#ทิศเหนือของผม (เพิ่มเนื้อหาตอนที่ 26) ---18/06/2563 ---
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #ทิศเหนือของผม (เพิ่มเนื้อหาตอนที่ 26) ---18/06/2563 ---  (อ่าน 22058 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: #ทิศเหนือของผม ตอน 20
«ตอบ #91 เมื่อ24-02-2020 14:45:53 »

20

ออมสินอินยัวแอเรียย๊ะ

 

 

หลังจากที่ออมสินมันได้รู้ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นอร์ธ มันก็บอกกับพวกผมว่ามันขอเวลาทำใจสักยี่สิบสี่ชั่วโมง เรื่องนี้มันใหญ่เกินไปสำหรับหัวใจดวงน้อยๆของมัน ซึ่งแน่นอนว่าผมเองก็เข้าใจ เพราะถ้าผมเป็นออมสิน ผมก็คงจะช็อกไม่ต่างจากมัน หยุดไปแค่ไม่กี่วัน เปิดเรียนมาอีกทีเพื่อนเป็นแฟนกันเฉยเลย

ไม่แน่ผมอาจจะเป็นมากกว่าที่ออมสินมันเป็นอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้

 

NiceAdr

กูกับไอ้นอร์ธรออยู่หน้าห้องน้ำนะ

 

ผมส่งข้อความเข้าแชทกลุ่มของพวกเรา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคราะห์ซ้ำหรือกรรมซัด ที่ทำให้ออมสินมันต้องมาเจอหน้าพวกผมเร็วกว่ากำหนด ก็จริงอยู่ที่วันนี้พวกผมมีเรียนแยกกัน แต่ต่อให้แยกกันยังไง สุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอกันที่ห้องเชียร์อยู่ดี

น่าสงสารจริงๆเลยออมสินเพื่อนกู...

 

G.

ไนซ์

เพื่อนรักมึงจะโดด

มันจะไม่เข้าห้องเชียร์

 

ข้อความที่ไอ้ไกด์ส่งมาทำเอาผมขมวดคิ้ว

 

NiceAdr

ใครวะ

G.

ไอ้หน้าเต้าหู้นี่ไง

*ส่งรูปภาพแล้ว*

 

ทันทีที่เห็นรูปผมก็หลุดยิ้มออกมาทันที ใจหนึ่งก็สงสารเพราะเห็นใจออมสินมัน แต่อีกใจพอเห็นภาพที่ซีอิ๊วกำลังลากออมสินที่เกาะเสาอยู่ ผมก็อดขำออกมาไม่ได้จริงๆ

แต่เอาเถอะ วันนี้กูตั้งแท็ก #Saveออมสิน มึงไม่ต้องห่วงนะเพื่อนว่ามึงจะโดนรังแก กูจะปกป้องมึงอย่างสุดความสามารถ

ทูตแห่งการต่อรองและสามัคคีปรองดอง ท่านทูตไนซ์มาแล้ว!

 

NiceAdr

พวกมึงจะบังคับมันทำไม

ถ้ามันไม่อยากมาก็ไม่ต้องบังคับ

 

น้อวววววว ซีนพระเอกสัด ออมสินต้องรักกูและเทิดทูนกูเหนือหัวแล้วล่ะจังหวะนี้ มันจะไม่มีอำนาจใดมาลบล้างความดีงามของกูได้

Rrrr... !

ยังไม่ทันที่จะมีข้อความตอบกลับมาจากอีกฝ่าย เสียงเรียกเข้าจากเบอร์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ผมกดรับสายไอ้ไกด์อย่างไม่รอช้า แต่แปลกตรงที่ปลายสายมันไม่ใช่เสียงของไอ้ไกด์

“ไอ้ไนซ์ช่วยกูด้วย!”

ออมสิน...

“กูบอกพวกมันแล้วว่ากูยังไม่พร้อม!”

“แต่มึงต้องยอมรับความจริง”

“เออ ก็มันเป็นไปแล้วมึงจะให้ทำยังไงวะออมสิน”

สองเสียงที่แทรกเข้ามานั่นคงเป็นเสียงของไกด์และซีอิ๊ว ดูท่าพวกมันคงจะไม่ได้แค่เถียงกันหรอก ถ้าให้ผมเดามันคงกำลังแย่งมือถือกันอยู่ด้วย เสียงกุกกักที่ดังมาจากปลายสายนี่สามารถเป็นหลักฐานได้อย่างดี

“ไอ้ไนซ์ช่วยกูด้วย กูบอกมึงแล้วไงว่าขอเวลาทำใจยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“เออ พวกมึง...”

ตรู๊ดดดด ~

ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยคสายก็ถูกตัดไปซะก่อน

กูช่วยมึงได้แค่นี้จริงๆ ให้อภัยกูด้วยนะออมสิน...






 

[ ออมสินอินยัวแอเรียย๊ะ ]

 

เพิ่งเคยตกอยู่ในสถานการณ์นี้ครั้งแรก…

ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นผู้ต้องหาคดีอะไรสักอย่างที่กำลังถูกสอบสวนโดยมีสี่ตำรวจหนุ่มที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลัง

หันซ้ายก็ไอ้ไกด์…

หันขวาก็ไอ้อิ๊ว…

ตรงกลางก็ไอ้ไนซ์กับไอ้นอร์ธ

ตั้งแต่มานั่งตรงนี้ผมก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไปสักคำ ทำแค่เพียงมองพวกมันสี่คนสลับไปมา เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยถ้าได้ลองมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผมก็คงจะพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน มันไม่ใช่ไม่มีคำพูดอยู่ในหัวนะ แต่มันมีเยอะมากจนไม่รู้จะหยิบคำไหนขึ้นมาพูดก่อน

ก็หยุดไปแค่ไม่กี่วัน เปิดมาอีกทีเพื่อนแม่งได้กันเฉยเลย ออมสินงงครับออมสินงง

“มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะออมสิน”

เป็นไอ้ไกด์จอมเผด็จการที่พูดขึ้นหลังจากที่ผมเผลอไปสบตามันได้ศูนย์จุดสองวินาที

“ไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้นอะ กูบอกมึงไปแล้วว่ากูยังไม่พร้อม ขอเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง แค่นี้ให้กันไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้”แล้วไอ้ไกด์มันก็เดินอ้อมมาข้างหลังผมพร้อมกับจับหัวผมก่อนจะออกแรงบังคับให้ผมหันไปมองหน้าของไอ้นอร์ธกับไอ้ไนซ์“ถ้าครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วมึงเกิดหนีขึ้นมาพวกกูจะทำยังไง”

“กูจะหนีไปไหนได้วะ ถามแค่นี้”

“...”

“เพื่อนในมหา’ลัยก็ไม่มีใครเลยนอกจากพวกมึง”

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องคุยกันวันนี้ให้จบ”

ไอ้จอมเผด็จการ!

ในเมื่อใช้คำพูดเรียกความเห็นใจจากพวกมันไม่ได้ผมก็คงต้องใช้ไม้ตายเดียวที่ตัวเองมี

นั่นก็คือ…

ท่าไม้ตายไอ้ไนซ์เพื่อนรัก

ผมพยายามส่งสายตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากไอ้ไนซ์ที่กำลังสบตาอยู่กับผมพอดี และด้วยความที่เราทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกัน สื่อสารผ่านทางสายตาไม่ถึงสามวินาที ไอ้ไนซ์ก็อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

อย่าทำให้กูผิดหวังนะไนซ์ มึงคือความหวังของหมู่บ้าน

พ่อเทพบุตร อัศวินขี่ม้าขาว เจ้าชายของราพันเซล

“ไม่ต้องไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากไอ้ไนซ์เลยนะ”

แน่นอนครับ พอเสียงของไอ้ไกด์ดังขึ้น ไนซ์มันก็หุบปากลงทันที

ฝันสลายแล้วไอ้สัด!

“มึงอย่าเพิ่งทำตัวเป็นพ่อพระได้มั้ยไนซ์ กูขอร้องเลย”

“แต่ออมสินมันขอเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงนะเว้ย”

“...”

“มึงให้เวลามันหน่อยไม่ได้เหรอ กูเข้าใจมันนะ ถ้าเป็นกู กูก็คงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน”

ถึงหนทางของออมสินจะมืดมนเพียงใด ก็ยังมีไนซ์คนนี้ที่คอยซัพพอร์ต โธ่ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของพี่

ไอ้ไนซ์ กูรักมึง!

“มึงไม่ต้องมาปกป้องมันเลยนะไนซ์”

“...”

“มึงกำลังสอนให้เพื่อนหนีความจริงอยู่นะเว้ย”

“...”

“ขนาดเรื่องแค่นี้มันยังหนี แล้วในอนาคตมันจะไปสู้อะไรใครเขาได้”

“...”

“เลิกให้ท้ายเพื่อนเถอะไนซ์ เพื่อนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง”

ไอ้สัด มาเป็นชุด...

แต่เอาเถอะ กูเชื่อมั่นในกัปตันกู ไอ้ไนซ์สู้เขา อย่ายอมแพ้ ถึงมึงจะดูหน้าโง่ไปบ้างแต่กูเชื่อว่าคนแบบมึงต้องเถียงชนะไอ้ไกด์มันแน่ๆ

ผมพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้ไอ้ไนซ์มันอีกรอบ คนตรงหน้าผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจและเดินเข้ามาหาผม มือเรียวตบเข้าที่ไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่ไนซ์มันจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

“ที่ไอ้ไกด์พูดก็ถูกของมัน”

“...”

“มึงต้องโตได้แล้วนะออมสิน กูไม่อยากทำให้มึงกลายเป็นคนหนีปัญหา”

“...”

“สู้ๆนะเพื่อน”

ให้กูสู้กับเหี้ยอะไร กูแค่ขอเวลาทำใจและไปตั้งสติเอง ทำไมพวกมึงต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต

ฮืออออ แม่ครับช่วยผมด้วย



[ อดิรัตน์คนคูล ]



หลังจากภารกิจเราจะทำตามสัญญาขอเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงของออมสินถูกยกเลิก พวกเราก็มีเวลานั่งคุยกันอีกนิดหน่อย ออมสินเองพอได้มานั่งฟังไอ้นอร์ธมันอธิบายว่าทำไมความสัมพันธ์ของผมสองคนถึงดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้มันก็เหมือนจะเข้าใจ แต่เชื่อผมเถอะ ออมสินมันเข้าใจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก

คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกกับผมว่ามันเป็นเช่นนั้น

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

“เหรอวะ...”ทันทีที่นอร์ธมันพูดจบออมสินมันก็แสดงสีหน้าที่มีแต่ความสงสัยออกมา

นั่นไง! ผมเดาผิดซะที่ไหน

“ทำไม มึงสงสัยอะไร”แต่ยังไม่ทันที่โคไนซ์ยอดนักเสือกอย่างผมจะได้ถาม ไอ้ไกด์ก็จัดการแทนผมไปเรียบร้อย

ออมสินมันมองหน้าผมกับไอ้นอร์ธสลับกันก่อนจะขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

“กูไม่เชื่ออะ”

ว้อท!? จากตอนแรกที่เป็นฝ่ายมองออมสินมันขมวดคิ้ว ตอนนี้ผมกลับต้องขมวดคิ้วซะเอง แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ได้มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่ขมวดคิ้วให้กับคำพูดของออมสิน ไอ้สามคนที่เหลือก็เช่นกัน โดยเฉพาะไอ้เตี้ย รายนั้นขมวดคิ้วไม่เกรงใจริ้วรอยที่จะมาก่อนวัยอันควรเลย

“มึงไม่เชื่อเหี้ยอะไร ไหนพูดมาดิ”เป็นไอ้ไกด์เช่นเดิมที่ทำหน้าที่ตั้งคำถามกับคนขี้สงสัย

“กูไม่เชื่ออะ ว่าคนอย่างไอ้นอร์ธจะชอบไอ้ไนซ์ก่อน”

“...”

“พวกมึงต้องโกหกกูอยู่แน่ๆ บอกเหตุผลจริงๆมาเถอะว่าพวกมึงตกลงเป็นแฟนกันเพราะอะไร”

ในใจผมตอนนี้มีแต่คำว่าอีหยังวะ มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ยออมสิน ไอ้นอร์ธมันก็เล่าความจริงทุกอย่างไปแล้วนั่นไง มึงจะเอาอะไรอีก...

“แต่พวกมึงไม่ต้องพูดก็ได้ กูพอจะเดาออกแล้วว่าพวกมึงคบกันเพราะอะไร”เป็นเพราะพวกผมเงียบไปนาน ออมสินมันถึงได้พูดต่อบทสนทนาที่ค้างไว้ของตัวเอง“ที่มึงสองคนตกลงคบกัน มันเป็นเพราะมึงสองคน...”

“...”

“เมาแล้วเผลอได้กันใช่มั้ย”

พ่อมึง!

“เหี้ยอะไรเนี่ยออมสิน มึงดูหนังมากไปปะ”ผมว่าก่อนจะมองออมสินด้วยความไม่เข้าใจ

“ใครมันจะไปรู้วะ พวกมึงไม่มีสัญญาณอะไรบอกกูล่วงหน้าสักอย่างว่าจะชอบกัน รู้อีกทีมึงสองคนแม่งก็คบกันแล้วอะ”

“...”

“แบบนี้ถ้าไม่ใช่เมาแล้วได้กันมันจะเป็นอะไรได้อีก”

ก็ที่ไอ้นอร์ธมันนั่งอธิบายให้มึงฟังนั่นง๊ายยยยยยย

ไอ้เหี้ย... กูเครียด






หลังจากกิจกรรมห้องเชียร์เสร็จ พวกผมก็ใช้เวลากันอีกนิดหน่อยกักตัวออมสินไม่ให้หนีไปไหนเพื่อที่จะจูนสมองมันให้เข้าที่ แต่กว่าจะจูนเสร็จก็เสียเวลาไปหลายนาทีเหมือนกัน

ตอนแรกผมก็คิดไว้ว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการ #saveออมสิน แต่ในเมื่อออมสินเข้าใจผิดขนาดนี้ เซฟออมสินอะไรกูไม่ต้องการ กูขอเซฟตัวกูเองก่อน!

หลังจากที่เคลียร์กันเรียบร้อยและเตรียมตัวที่จะออกจากห้องประชุม มือถือของผมก็มีการแจ้งเตือนจากใครบางคนที่ผมไม่เห็นหน้ามาหลายวัน



Skkk. ส่งข้อความแล้ว




พอเห็นชื่อว่าเป็นพี่สงคราม ผมก็ไม่รอช้ารีบกดเข้าไปอ่านอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องพี่สงครามมันก็ไม่ทักมาหาผมเลย ทั้งที่ปกติต้องทักมากวนใจ แต่นี่ไม่มีเลย ขนาดผมทักไปหาพี่มันก็ไม่ตอบแถมไม่อ่านด้วย



Skkk.

อยู่ไหน



มาแบบสั้นๆเปิดมาแบบงงๆ นี่คนไม่ได้คุยกันหลายวันเขาเปิดบทสนทนากันแบบนี้เหรอวะพี่ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยพี่มันก็ทักมา ทำให้ผมได้รู้ว่าพี่มันไม่ได้ล้มหายตายจาก

ขอแค่พี่รหัสไม่เป็นอะไร อดิรัตน์ก็สบายใจครับ



NiceAdr

อยู่ห้องประชุมอะพี่

เพิ่งเลิกเชียร์

พี่มีอะไรหรือเปล่า

แล้วหายไปไหนตั้งหลายวัน

ผมทักไปก็ไม่ตอบ

เป็นอะไรหรือเปล่า

Skkk.

ใจเย็นๆ

อย่าเพิ่งถาม

เดี๋ยวกูเข้าไปหา

จะให้ถามจนปากฉีกถึงหูเลย



“มึงคุยกับใครวะไนซ์”

ผมหันไปมองไอ้ไกด์ที่ยืนอยู่ข้างๆและกำลังจะชะโงกหน้ามาดูข้อความในมือถือของผม

“พี่สงคราม”

พอตอบไปแบบนั้น ผมก็ต้องชะงักทันที เพราะคนที่ยืนห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งเมตรอย่างไอ้นอร์ธหันมามองด้วยแววตาที่ผมเห็นแล้วต้องคอหด

กูพูดอะไรผิดเหรอ…

ได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจ สุดท้ายก็ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

ไอ้นอร์ธกับพี่สงครามมันเพิ่งมีเรื่องกันไปนี่หว่า

ฉิบหายละ แล้วพี่สงครามมันบอกจะมาหา สงครามโลกครั้งที่สามอิสคอลลิ่งมี ฮืออออออออ

ติ๊ง!



Skkk.

อยู่กับไอ้นอร์ธด้วยหรือเปล่า



พี่มันถามทำไมวะ… หรือว่ามันจะมาแก้แค้น

ไม่ได้นะเว้ย แผลที่เข่ากูยังไม่ทันหายดีเลยไอ้สัด พี่มึงจะเอาใหม่อีกแล้วเหรอ สงสัยกูคงจะต้องโกหกพี่สงครามมัน พยายามทำให้สองคนนี้ไม่ได้เจอกัน ไม่อย่างนั้น ฉิบหายแน่ๆ



NiceAdr

ไม่อยู่อะพี่

Skkk.

เหรอ

แต่กูเห็นมันยืนอยู่กับมึงนะ



พออ่านข้อความจบผมก็เงยหน้ามองไปรอบๆทันที

“กูอยู่นี่”

เท่านั้นแหละครับท่านผู้ชม พี่สงครามกับไอ้นอร์ธก็สบตากันไปหนึ่งรอบ อยู่ดีๆกูก็กลายเป็นส่วนเกินเฉยเลย ทั้งๆที่พี่สงครามมันน่าจะพูดประโยคนั้นกับผม...

กูเห็นความฉิบหายอยู่รำไร แม่จ๋า ช่วยไนซ์ด้วย

“มึงมาทำเหี้ยอะไร”

นั่นไง คำทักทายแรกที่หลุดออกมาจากปากของไอ้นอร์ธ รุนแรงเหลือเกินพ่อจ๋า

ผมไม่รอให้พี่สงครามมันได้พูดอะไรต่อ รีบวิ่งเข้าไปหาไอ้นอร์ธพร้อมกับจับแขนของมันเอาไว้ ต้องเข้ามาห้ามมันไว้ก่อน เพราะผมเองก็กลัวเหมือนกันว่าคำทักทายของพี่สงครามมันจะแรงไม่แพ้กับของไอ้นอร์ธ

พี่น้องคู่นี้เขายอมกันได้ที่ไหนล่ะ ดูอย่างครั้งที่แล้วสิ ต่อยมาต่อยกลับไม่โกง

พูดแล้วยังเจ็บไม่หาย... ตีนนั้นชั่งตราตรึง

“ไอ้นอร์ธ มึงใจเย็นๆนะ”

“เออ กูรู้”มันหันมามองผมก่อนจะหันกลับไปหาพี่สงครามอีกครั้ง“สรุปมึงมาทำเหี้ยอะไร”

“คนไม่เจอหน้ากันหลายวันเขาทักกันแบบนี้เหรอวะ”

พี่สงคราม มึงจะไปกวนตีนมันทำม๊ายยยยยย มาแน่ๆสงครามโลกครั้งที่สามของกู

“มึงเป็นเหี้ยอะไร เลิกกวนตีนสักวันมันจะตายมั้ย”

“กูก็แค่มาหาน้องรหัสกู กูผิดอะไร”โธ่ คิดถึงกูผิดเวลาไปหรือเปล่าพี่“ไหน มึงจะถามอะไรกู”

ประโยคนี้พี่สงครามมันหันมาหาผม จนทำให้ไอ้นอร์ธต้องมองตาม ความกดดันเกิดขึ้นที่นายอดิรัตน์คนนี้แต่เพียงผู้เดียว กูไม่ถามมึงแล้วได้มั้ยพี่ ถือซะว่าที่กูพิมพ์ไปในแชทมันเป็นระบบตอบข้อความอัตโนมัติ

“ไม่มีแล้วพี่”

“แน่เหรอ?”

“อื้อ”ได้แต่พยักหน้ารัวๆเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดมันคือความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีโกหก

“แล้วแต่มึงเลย”พี่มันว่าก่อนจะยิ้ม“แล้วนี่จะกลับยัง”

“...”

“ให้กูไปส่งมั้ย”

“เอ่อ… คือ”อยู่ดีๆก็เสือกหนักใจขึ้นมา ปกติเวลามีคนอาสาไปส่งกูต้องรู้สึกดีใจสิ แต่สถานการณ์แบบนี้ดีใจไม่ออกจริงๆว่ะ

“มึงตอบช้าอะ กูจะถือว่ามึงตกลงก็แล้วกันนะ”

“...”

“เดี๋ยวกูไปรอที่รถ จอดอยู่ตรงหน้าหอประชุมเนี่ย ยังไงก็รีบๆตามมานะ”พี่สงครามมันพูดจัดแจงทุกอย่างจนเสร็จสรรพโดยไม่เว้นช่องว่างเพื่อให้ผมได้ปฏิเสธ

มึงจะพูดเองเออเองแบบนี้ไม่ด๊ายยยย

แต่ก่อนที่ผมจะอ้าปากเพื่อปฏิเสธน้ำใจของพี่สงคราม ใครบางคนก็พูดตัดบทผมซะก่อน

“กูไปด้วย”


ไอ้นอร์ธ...

“กูจะไปหอไอ้ไนซ์พอดี”

โอเค... เวลคัม ทู สงครามโลกครั้งที่สาม


#ทิศเหนือของผม


หายหน้าไปนาน แฮะๆ คิดถึงทุกคนมากเลยคับ

ออกัสมีเพจแล้วนะ จิ้มๆได้เลย

อย่าลืมส่งฟีดแบ็กที่แท็กด้วยนะ ^^





ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: #ทิศเหนือของผม ตอนที่ 21
«ตอบ #93 เมื่อ09-03-2020 19:57:09 »

21

สงครามรีเทิร์น

 

“ขอบคุณนะพี่ที่มาส่ง”

ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถผมก็พูดขอบคุณพี่สงคราม ใจหนึ่งก็คิดว่าจะชวนพี่มันไปกินน้ำบนห้องดีมั้ยวะไหนๆพี่มันก็พามาส่งที่หอแล้ว อยากทำอะไรตอบแทนสักหน่อย แต่พอคิดดูอีกที ผมก็กลัวว่าคู่มวยไทยเจ็ดสีคู่นี้มันจะเปิดสังเวียนกันซะก่อน

ไม่อยากจะพูดหรอก แต่ขอบ่นหน่อย บรรยากาศบนรถแม่งโคตรแย่เลย เปิดเพลงก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้น เพราะรังสีอำมหิตของพี่สงครามกับไอ้นอร์ธที่แผ่ใส่กันไม่หยุดหย่อนกลบจนหมด

ทำไมชีวิตกูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย...

“ส่งเสร็จก็ไปได้แล้วมึงอะ”

ยกที่หนึ่ง… ไอ้เหี้ย

ผมหันไปหาคนที่เพิ่งเดินลงมาจากประตูหลังอย่างไอ้นอร์ธ มันมองพี่สงครามพร้อมทำหน้ากวนประสาท

ฮืออออ

#Saveตัวกูเอง

แม่จ๋าช่วยไนซ์ด้วย…

แถวนี้แม่งไม่มีใครรู้จักกูเลยสักคน ครั้นจะให้วิ่งขึ้นไปตามพี่ๆพาวเวอร์พัฟเกิร์ลให้ลงมาช่วยห้ามก็ยังไงอยู่ อีกใจหนึ่งผมก็กลัวว่าจะกลับมาไม่ทัน แบบลงมาอีกทีแม่งเหลือแต่ซาก แบบนั้นไม่เอานะ มันน่ากลัวเกินไป

“อะไรกันวะน้องชาย”

“ใครน้องมึง”

ได้แต่ยืนอึ้งให้กับคำตอบของไอ้นอร์ธ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ถามหน่อยว่าใครจะชินได้ ถ้ารู้ว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ถ้ามีใครสักคนทนไม่ไหวขึ้นมา มันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม

ผมคนหนึ่งล่ะที่ทำตัวให้ชินไม่ลง

“โห นี่เราตัดพี่ตัดน้องกันแล้วเหรอวะ”

“เลิกกวนตีนสักทีเถอะมึงอะ”

“กูไม่ได้กวน”

“มึงกวน”

“ก็บอกว่าไม่ได้กวนไง”

“เอ่อ… พวกมึงกูขอเสือกหน่อยได้มั้ย”รู้แหละว่าที่ทำอยู่มันเสี่ยงตาย แต่ถ้ากูไม่ทำแล้วใครจะทำวะ

ผมเข้าไปแทรกในบทสนทนาของไอ้นอร์ธกับพี่สงครามพร้อมกับยื่นมือไปจับไหล่ของไอ้เตี้ยมัน ไอ้นี่น่ะใจนักเลงที่สุดแล้ว จับได้ต้องรีบจับ กันไว้ดีกว่าแก้“คือ… อย่ามีเรื่องกันเลยนะ มันไม่ดีหรอก เชื่อกู”

“กูยังไม่ทันจะมีเรื่องกันเลย”

มึงจะอมพระ อมวัด อมเจ้าคณะตำบลมาพูดกูก็ไม่เชื่อ!

น้ำเสียง สายตาแม่งมาเต็ม ขาดก็แค่หมัดเท่านั้นแหละ

“พวกกูไม่มีเรื่องกันหรอก มีการศึกษามากพอ... จริงมั้ย?”

“เออ มีการศึกษามากพอ”

มีการศึกษามากพอ… กูถามจริง

เดี๋ยวกูตีด้วยแผลเลย กล้าพูดเนอะ วันนั้นก็พวกมึงสองคนไม่ใช่เหรอที่ต่อยกัน

“ไอ้ไนซ์”

“ครับ”

“กูหิวน้ำอะ ขอไปกินน้ำบนห้องมึงได้ปะ”

โอ้โห เหมือนอ่านความคิดกูออก แต่กูว่าขึ้นไปกินตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่มั้งพี่ ล้มเลิกความตั้งใจซะเถอะ ตาไอ้นอร์ธกระตุกแล้ว

“กลับไปแดกที่ห้องมึงสิ”

ฮือ ใครก็ได้ เอากูออกไปจากตรงนี้ที มันจะตีกันแล้วววว

“ดุเป็นหมาเลยมึง”

“เรื่องของกู”

ผมใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที คิดหาวิธีที่จะจับสองคนนี้แยกกัน

“ไอ้นอร์ธ”ผมออกบีบที่ไหล่ของไอ้นอร์ธเพื่อเรียกให้มันหันมาสนใจ ตาคมใต้กรอบแว่นหันมามองหน้าผมก่อนจะถอนหายใจ ผมรีบถือโอกาสนี้หันไปบอกพี่สงครามที่มองไอ้นอร์ธอย่างไม่วางตา ผมต้องการที่จะจบทุกอย่าง ไม่ต้องการให้มันยืดเยื้อไปมากกว่านี้“พี่สงคราม พี่กลับไปก่อนได้มั้ย ไว้วันหลังเดี๋ยวผมแบกน้ำมาให้พี่กิน จะเอากี่ขวดก็บอก วันนี้ก็ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”

พูดทุกอย่างออกไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับ เลื่อนมือลงมาคว้าเข้าที่แขนของคนข้างกายและออกแรงลากให้มันเดินตามผมขึ้นหอ








[ ทิศเหนือคนจริง ]



“มึงใจร้อนเกินไปแล้วรู้ตัวหรือเปล่า”

“…”

“วันหลังจะทำอะไรต้องใจเย็นกว่านี้นะนอร์ธ เข้าใจมั้ย”

“...”

“มึงต้องรู้จักระงับอารมณ์ตัวเอง ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนพร้อมต่อยเขาทุกวินาทีขนาดนี้”

พอเห็นแบบนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ผมมองนิ้วเรียวที่กำแขนผมจนแน่น เสียงเจื้อยแจ้วของไอ้แมวอ้วนดังขึ้นเป็นระยะตอนที่เราเดินขึ้นบันไดมาด้วยกัน

“เนี่ย ถ้าวันหนึ่งไปมีเรื่องกับคนที่มีอาวุธแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง พ่อแม่จะเสียใจมั้ย”

“...”

“มึงได้ยินที่กูพูดปะเนี่ย”มันหยุดเดิน ตรงทางเดินมีแค่เราสองคน เจ้าของตากลมหันมามองหน้าผมพร้อมเลิกคิ้ว“ยิ้มอะไรของมึงวะ”

“เปล่า”

“เปล่าอะไรก็เห็นยิ้มอยู่ เคยเรียนมั้ยพระพุทธศาสนาน่ะ โกหกมันไม่ดี”

พยามกลั้นยิ้มให้กับคำพูดของไอ้แมวอ้วนช่างจ้อ จากตอนแรกที่หัวเสียเพราะไอ้สงคราม ตอนนี้ความรู้สึกนั้นแม่งหายไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เหลือแค่เพียงความรู้สึกดีๆที่ได้มาจากคนตรงหน้า

โคตรน่ารักเลยว่ะไอ้แมวอ้วน กินเหี้ยอะไรเป็นอาหารถึงได้น่ารักขนาดนี้

“มึงป่วยปะนอร์ธ กูบ่นมึงอยู่นะเนี่ยไม่ได้ชมมึง ทำไมต้องยิ้มขนาดนั้นด้วย”

ผมไม่รอให้แมวอ้วนมันได้บ่นอะไรต่อ รีบตัดบทมันทันที

“เป็นห่วงกูเหรอ”

“ห้ะ...”

อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ดูท่ามันคงจะได้ยินสิ่งที่ผมถามไม่ชัดสักเท่าไหร่ ผมเลยต้องเน้นเสียงให้หนักมากกว่าเดิมในแต่ละคำพูด

“กูถามว่า”

“...”

“มึงเป็นห่วงกูเหรอ”

“เออดิ กูเป็นห่วง”

พอได้ยินคำตอบแบบนั้นมันยิ่งทำให้ผมกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

“มึงเพื่อนกูทั้งคน จะไม่ให้กูห่วงได้ยังไง”

ไอ้สัด... หมดกันความโรแมนติกของกู

“เพื่อนพ่อมึงอะ”

ยื่นมือไปตบหัวไอ้แมวอ้วนจนดังลั่น

“กูเจ็บนะเว้ย! มึงมาตบหัวกูทำไมเนี่ย”ปากว่าแต่มือก็ลูบหัวตัวเองป้อยๆ

“ก็มึงบอกว่ากูเป็นเพื่อนมึงอะ”

มันขมวดคิ้ว นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะทำตาโต“เออว่ะ โทษที มันชินปากอะ เวลามีคนมาถามแบบนี้กับกู กูก็ตอบประมาณนี้ตลอด”

ผมมองไอ้แมวอ้วนด้วยความขุ่นเคืองที่อยู่ภายในใจ ไม่รู้ล่ะ กูไม่ยอม กูรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม

“ทำไมมึงมองกูอย่างนั้นล่ะ”

“กูโกรธ”

“กูก็ขอโทษแล้วนี่ไง”

“กูไม่รับคำขอโทษ”

“แล้วมึงจะเอาอะไร”

“เรียกกูดิ”

“นอร์ธ”แมวอ้วนมันทำตามอย่างไม่อิดออด

แต่สิ่งที่ผมต้องการมันไม่ใช่คำว่านอร์ธ!

“ไม่เอา”

“เอ้า มึงจะเอายังไงกับกูเนี่ย มึงให้กูเรียก กูก็เรียกมึงแล้วนี่ไง”

“กูไม่เอาคำว่านอร์ธ”

“แล้วมึงจะเอาคำว่าอะไร”

“แฟน”

“ห้ะ...”

“เรียกกูว่าแฟน”


“...”

“เร็วๆ”

“…”

“เรียกดิ”

“ไม่เรียกได้มั้ย”

“ไม่ได้”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้นแหละ”ผมว่า“มันจะยากอะไรแค่เรียกกูว่าแฟน ตอนออมสินมันถามมึงยังกล้าเรียกเลย”

“…”

“และที่สำคัญ มึงเองเป็นคนผิดนะแมวอ้วน”

“แค่เรียกผิดนิดเดียวเอง อีกอย่าง...”

“ไม่ต้องมาต่อรอง”

“เออๆ ก็ได้ๆ”

พอมันตอบมาแบบนั้น นายทิศเหนือคนนี้ก็หูผึ่งทันที ยอมรับเลยว่าเมื่อเช้าตอนที่แมวอ้วนมันบอกกับออมสินว่าผมเป็นแฟนมัน ผมแม่งโคตรมีความสุขเลย

เพราะฉะนั้น นับตั้งแต่วินาทีนี้...

เวลาแห่งความสุขของนายทิศเหนือกำลังจะกลับมาอีกครั้ง!

“ไหน ลองเรียกกูแฟนดิ”

ห้า

“...”

สี่

“...”

สาม

“...”

สอง

“...”

หนึ่ง

“แฟน”

โบ้ม!

ไม่พูดเปล่าแต่ไอ้แมวอ้วนมันยังช้อนตามองผมด้วย!

ใครเขาสั่งเขาสอนให้มึงพูดแล้วมองกูด้วยสายตาแบบนี้ห้ะไอ้แมวอ้วน

ไอ้เหี้ย ใจกู ท่องเอาไว้นะเว้ยนอร์ธ

อย่าเพิ่งจับกด

อย่าเพิ่งจับกด

อย่าเพิ่งจับกด

ท่องให้ขึ้นใจเลย

“พอใจยัง?”

กูว่าพอเถอะ...

“อะ เออ... พอใจแล้ว”

ก่อนที่กูจะสติแตก










NiceAdr

กลับดีๆ

North

อือ

ล็อกห้องด้วย

อย่าให้ใครเข้าสุ่มสี่สุ่มห้า

NiceAdr

ครับพ่อ

รู้แล้วครับ



ส่ายหน้าให้กับความกวนประสาทก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์กวนๆไปหามัน หลังจากที่ขึ้นไปส่งไอ้แมวอ้วนจนถึงห้องผมก็ขอตัวกลับเลยทันที เพราะภาพนั้นแม่งยังคงติดตาไม่หายไปไหน ถ้าผมอยู่ต่อรับรองได้เลยว่าตบะแตกแน่ๆ

ติ๊ง!

ขณะที่ผมกำลังจะเก็บมือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง ขายังไม่ทันจะก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย ใครบางคนก็ส่งข้อความมาหา จนทำให้ผมต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะเก็บและเอามันขึ้นมาดูแทน



Skkk.

มาเจอกันหน่อยดิ

กูมีเรื่องจะคุยด้วย



พอเห็นว่าเป็นข้อความจากไอ้สงคราม ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ค่อยจะญาติดีกันสักเท่าไหร่ จากที่กำลังอารมณ์ดี ตอนนี้กลับหัวเสียภายในเวลาไม่ถึงห้าวินาที

ไอ้เหี้ยนี่มันมีความสามารถพิเศษคือทำให้คนอื่นหัวเสียหรือยังไงวะ

แต่เอาเถอะ ในเมื่อแก้ที่มันไม่ได้ก็แก้ที่ตัวเองนี่แหละ



Skkk.

อย่าเพิ่งเก็บมือถือใส่กระเป๋า

สนใจแชทกูก่อน



แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเก็บมือถือใส่กระเป๋าเป็นรอบที่สอง สงครามมันก็ส่งข้อความมาอีกรอบ

นี่นั่งทางในมาอ่านใจกูหรือไงวะ ทำไมพิมพ์มาเหมือนตาเห็น



Skkk.

ตอบ

ตอบกู

ตอบแชทกู

ตอบเดี๋ยวนี้

North

ตอบแล้วไอ้เหี้ย

Skkk.

กูพี่มึงนะ

North

กูเคยบอกว่ายังไง

กูไม่นับ

แล้วถ้าจะส่งข้อความมากวนประสาทกูเฉยๆ

กูขอบล็อคนะ

อุตส่าห์ไม่ก้าวก่าย

แต่เสือกมาวุ่นวายในชีวิตกู

มึงเป็นเหี้ยอะไร

Skkk.

ใจเย็นไอ้สัด

กูมีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆ

North

ว่ามา

ถ้าไร้สาระกูจะด่าให้ลืมชื่อพ่อเลย

Skkk.

ใจเย็นดิน้องชาย

North

จะคุยอะไรก็เร็วๆเถอะ

กูจะกลับหอ

Skkk.

มาเจอกูที่หน้าหอน้องรหัสกูได้ปะ



ไอ้เหี้ยนี่เรื่องมากฉิบหาย

แต่ถึงในใจจะก่นด่ามันยังไง แต่สายตาก็พยายามมองหามันอยู่ดี



North

มึงอยู่ตรงไหน

Skkk.

*ส่งรูปภาพแล้ว*

North


เออ

เดี๋ยวกูไป










“หน้าหอบ้านมึงดิ บอกสวนสาธารณะก็จบแล้วมั้ย”

ผมบ่นคนที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้เหล็กอย่างสบายใจ นอกจากจะไม่สนใจคำพูดของผมแล้วมันยังยักคิ้วให้ผมอย่างกวนประสาทก่อนจะยกน้ำอัดลมขึ้นดื่มอีกด้วย

“จะพูดอะไรก็รีบๆพูด”ผมว่า

“นั่งก่อนดิ”

“ไม่นั่ง”

“กูซื้อน้ำมาเผื่อมึงด้วย”ว่าแล้วมันก็หันไปหยิบกระป๋องน้ำอัดลมอีกกระป๋องยื่นให้ผม“เอาไป”

“กูไม่กิน มึงอย่าลีลาได้มั้ยสงคราม มีอะไรจะพูดก็รีบๆพูดมา”

สงครามมันถอนหายใจก่อนจะวางกระป๋องน้ำอัดลมลงข้างตัว

“คิดถึงตอนเด็กเนอะ ตอนนั้นมึงกับกูแม่งตัวติดกันฉิบหาย”มันว่าแต่สายตาไม่ได้มองมาทางผมเลยสักนิด กลับกันผมต่างหากที่เป็นฝ่ายมองมันไม่เลิก แสงของหลอดไฟที่ห่างจากจุดที่พวกผมยืนทำให้เงาของไอ้สงครามมาตกกระทบลงบนตัวผม

“มึงอย่ามานอกเรื่องได้มั้ย”

“เราจะกลับมาคุยกันดีๆเหมือนเดิมได้มั้ยวะนอร์ธ”

“...”

“กูรู้ว่าที่กูทำมันไม่น่าให้อภัย แต่กูขอโทษได้มั้ยวะ”ร่างสูงหันมาสบตาเข้ากับผม“กูขอโทษทุกๆอย่างเลย กูเหี้ยเองแหละ ถ้าวันนั้นกูไม่เล่นอะไรเหี้ยๆ...”

คำพูดของไอ้สงครามทำให้เหตุการณ์บางอย่างในความทรงจำกลับมาฉายชัดอีกครั้ง

“มึงไม่ต้องพูดหรอก”

“...”

“มันก็เป็นความคิดของมึงตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอที่ปล่อยกูไว้แบบนั้นอะ”

“...”

“ถ้าวันนั้นมึงไม่คิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆกูก็คงไม่ต้องวิ่งตามมึง แล้วแขนกูก็คงจะไม่หัก”

แววตาของคนที่รู้สึกผิดฉายชัดในแววตาของไอ้สงคราม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรมันถึงรื้อฟื้นเรื่องเมื่อหลายสิบปีที่แล้วขึ้นมา

อย่างที่สงครามมันว่า เมื่อก่อนผมกับมันเคยสนิทกันมากกว่านี้

แต่นั่นมันก็แค่เมื่อก่อน

ผมยังจดจำได้ทุกรายละเอียด ความหวาดกลัวทำหน้าที่ของมันได้ดีในวันที่ผมมีอายุเพียงเจ็ดขวบ

วันนั้นบ้านของพวกเราไปพักกันที่รีสอร์ตที่พ่อผมกับพ่อไอ้สงครามเป็นหุ้นส่วนกัน แล้วกลางดึกคืนนั้นสงครามมันก็ชวนผมไปเดินเล่น ด้วยความที่เป็นเด็กและมีพี่ชายที่ตัวเองรักและไว้ใจมากๆมาเดินด้วย ผมเลยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว

แต่นั่นมันก็แค่ชั่วขณะ เพราะหลังจากนั้นสงครามมันก็เล่นพิเรนทร์ ปล่อยมือผมและวิ่งหนี ความหวาดกลัวเริ่มทำหน้าที่ของมัน ทุกสิ่งรอบตัวมันดูน่ากลัวไปหมด ผมเรียกมันจนสุดเสียง แต่มีเพียงเสียงหัวเราะสะใจของมันที่ดังห่างจากผมไปเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มเกาะกินจนผมไม่อยากเผชิญหน้าอยู่กับมันอีกต่อไป

วิ่งเร็วขึ้นเพียงหวังว่าจะถึงตัวสงครามและแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว

แต่สุดท้าย ความพยายามของผมก็พังทลาย ผมไปไม่ถึงจุดหมาย ล้มลงและแขนหัก

ความจริงถ้าวันนั้นมันขอโทษผมสักนิด ผมก็อาจจะไม่โกรธมันขนาดนี้ก็ได้

แต่นี่มันเลือกที่จะไม่ทำไง ผมไม่เคยได้รับคำขอโทษจากปากมันเลยสักครั้ง เห็นจะมีแค่แม่ พี่สาวและพ่อของมันที่ขอโทษผมทุกครั้งที่เจอ

ผิดกับไอ้คนทำที่นอกจากไม่มีคำขอโทษแล้ว มันยังตีตัวออกหากจากผม

มันทำแบบนี้อยู่ห้าหกปี... จนสุดท้ายเราสองคนก็ต่อกันไม่ติด

เพราะแบบนี้เวลาที่มันพยายามจะเข้าใกล้ผม ผมก็มักจะเดินหนีหรือไม่ก็แสดงความไม่พอใจอะไรสักอย่างเพื่อให้มันได้รับรู้ ว่าสิ่งที่มันทำในวันนั้น ยังส่งผลกระทบมาถึงทุกวันนี้

แต่มาวันนี้… ผ่านมาสิบกว่าปี ผมเพิ่งจะได้รับคำขอโทษจากมัน

มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอวะ

“มึงรู้มั้ย วันนั้นกูแม่งโคตรกลัวเลย”

“...”

“กูร้องเรียกมึงแทบตาย แต่มึงกลับวิ่งหนี แล้ววันนี้มึงจะมาขอโทษ มึงต้องการเหี้ยอะไรอะ”

“กูขอโทษ”

“ถ้ามึงจะขอโทษมึงทำไปนานแล้วสงคราม”

“...”

“มึงคงไม่ปล่อยให้มันผ่านมาเป็นสิบๆปีแบบนี้หรอก”

“...”

“ถ้าเรื่องที่มึงจะพูดมีแค่นี้ กูไปก่อนนะ”   

ผมเลือกที่จะเดินออกมาโดยไม่รอให้สงครามมันได้พูดต่อ ความรู้สึกเก่าๆที่เคยหายไปตอนนี้มันกลับมาจนเกือบครบ

คนอย่างมันคงเก่งแค่สร้างบาดแผล

ให้มารักษาใครก็คงทำไม่ได้หรอก


#ทิศเหนือของผม


สามารถติดตามนักเขียนได้ที่—

Twitter • @augustismine1

Fanpage • Augustismine





ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

คุยกันดี ๆ พี่น้องกัน

อย่าถือทิฐิมากนัก

ในเมื่อพี่เขาขอโทษแล้ว  ก็ลองฟังสักหน่อย  อย่าเพิ่งบอกปัด

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: #ทิศเหนือของผม ตอนที่ 22
«ตอบ #96 เมื่อ28-03-2020 19:36:38 »

22

ต้นเหตุ



[ อดิรัตน์คนคูล ]



“รู้แล้วหน่า ก่อนนอนก็เช็กตลอด”

“ไว้ใจไม่ได้หรอกคนอย่างแก ขี้ลืมจะตายไป”

“โธ่แม่ เห็นไนซ์เป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอ”

“หลักฐานมันก็ฟ้องอยู่”

ผมที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา ได้แต่เบะปากให้กับคนปลายสาย โทรคุยกับแม่ครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อนๆ มีอัปเดตชีวิตให้กันฟังบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะบ่นซะมากกว่า 

“แล้วไปอยู่นั่นตั้งเกือบเดือนแล้ว”

“...”

“มีแฟนหรือยัง”

จากที่นอนๆอยู่ถึงกับต้องลุกขึ้นมานั่งเพราะคำถามนั้นของแม่

“แม่ถามอะไรของแม่เนี่ย”

“เอ้า แม่ก็แค่ถาม ทำไม ถามนิดถามหน่อยไม่ได้เลยหรือไง สรุปมีแฟนยัง?”

ผมไม่รู้จะตอบคำถามนี้ของแม่ยังไง คือมันเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก โกหกแม่ก็บาปอีก ครั้นจะบอกว่ามีแล้วเป็นเพื่อนคณะแถมหล่อด้วย มันก็น่าจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ แต่ถ้าจะบอกว่ามีแล้วเฉยๆโดยที่ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย แม่ก็คงจะถามผมไม่เลิก

รายนี้น่ะ ถ้าอยากรู้อะไรแล้วต้องรู้ให้ได้

“ทำไมเงียบ มีพิรุธนะเนี่ย”

“พิรุธอะไรล่ะแม่ ไม่มี”

“แล้วสรุปยังไง มีแฟนหรือยัง”

“เอ่อ...”

Rrrr… !

เอาล่ะ สวรรค์มาโปรดกูแล้ว

“แค่นี้ก่อนนะแม่ มีคนโทรมา”

ไม่รอฟังคุณนายเขาพูดอะไรต่อรีบกดวางสายและรับอีกสายที่โทรซ้อนมา

“ฮัลโหล”

“แมวอ้วน”

“ว่าไง”

นอร์ธมันโทรมาทำไมวะ... หรือว่าลืมของ

“มึงอยู่ห้องมั้ย”

“อยู่ดิ มึงก็เพิ่งมาส่งกู จะให้กูไปไหนได้วะ”

“อือ”

“มึงถามทำไมวะ”

“กูไปหาที่ห้องได้มั้ย”

ทำไมเสียงของไอ้นอร์ธ...

“ได้มั้ยแมวอ้วน”

ถึงได้สั่นและแผ่วเบาเหมือนกับวันนั้นเลย

“ได้ดิ มาถึงเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”

วันที่มันมีเรื่องกับพี่สงคราม






North


กูอยู่หน้าห้องมึงแล้ว



หลังจากเห็นข้อความของไอ้นอร์ธ ผมก็ไม่รอช้ารีบเดินไปเปิดประตูให้มันในทันที พอบานประตูถูกเปิดออก ผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าผมไม่ยอมพูดอะไร

ความเงียบเริ่มทำหน้าที่ของมัน จนสุดท้ายก็เป็นผมที่ทนกับความอึดอัดกับบรรยากาศไม่ได้เลยต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบ

“มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ”

“...”

“เข้ามาในห้องก่อนมั้ย”

ไม่มีคำตอบจากคนตรงหน้า มีเพียงสายตาที่มองมา ไม่รู้หรอกว่านอร์ธมันเป็นอะไร แต่สัมผัสได้ว่ามันไม่ปกติ

หรือจริงๆแล้วผมควรจะปล่อยให้ความเงียบได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป

เพราะบางที ความเงียบอาจเป็นสิ่งเดียวที่ไอ้นอร์ธมันต้องการในตอนนี้

แต่ถ้าต้องการแค่ความเงียบแล้วมึงจะมาหากูทำแป๊ะอะไรวะ...

“แมวอ้วน”

“หือ?”

“กู...”

“...”

“ขอกอดมึงหน่อยได้มั้ย”


ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยได้ ทั้งคำขอของไอ้นอร์ธและท่าทีที่เปลี่ยนไปของมัน

เหมือนไม่ใช่นอร์ธที่รู้จักเลย

“ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้”

แต่ถึงจะยังไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ผมก็อนุญาตให้นอร์ธมันได้ทำในสิ่งที่มันต้องการ และทันทีที่ผมตกปากรับคำ คนตรงหน้าก็โผเข้ามากอดผมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กอดของไอ้นอร์ธก็จะยิ่งแน่นขึ้นเท่านั้น

“มึงเป็นอะไรวะ”

“...”

“มีอะไรไม่สบายใจก็บอกกูได้นะ”

ถามด้วยความเป็นห่วง แต่คำตอบที่ได้มามีเพียงการส่ายหน้าของคนที่สวมกอดผมอยู่

“ไม่มีอะไร”

“มันจะไม่มีได้ยังไง มึงเคยทำตัวแบบนี้ซะที่ไหน”

“...”

“มีอะไรก็บอกกันดิ คนอุตส่าห์ยอมให้กอดเลยนะเว้ย”

“กูเหนื่อยอะแมวอ้วน”

“...”

“ขอกูอยู่แบบนี้ก่อนได้มั้ย”

“...”

“มึงอย่าทิ้งกูไปไหนนะ”




หลังจากยืนให้นอร์ธกอดจนพอใจผมก็ชวนมันเข้ามานั่งในห้อง หวังว่ามันจะระบายเรื่องที่ทำให้ตัวเองไม่สบายใจออกมาให้ผมฟังบ้าง แต่นี่ก็นั่งจ้องหน้ามันมาพักใหญ่แล้วมันก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ เอาน้ำเอาขนมมาให้มันก็ไม่ยอมกิน

“มึงเป็นอะไรวะ ระบายมาให้กูฟังได้นะเว้ย”ทันทีที่ผมใช้มือลูบหน้าขามันเบาๆ ตาคมใต้กรอบแว่นก็จ้องมาที่ผมก่อนจะหลุบตาลงต่ำ“กูไม่สบายใจเลยนะที่เห็นมึงเป็นแบบนี้อะ มีอะไรก็ระบายให้กูฟังได้นะ เก็บไว้คนเดียวมันไม่ดีหรอกเชื่อดิ”

ยอมรับเลยว่ารู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่ที่เห็นไอ้นอร์ธเป็นแบบนี้ ปกติเวลาเจอหน้ากันก็มักจะถูกมันพูดจากวนประสาทใส่หรือไม่ก็เป็นผมเองที่เข้าไปกวนประสาทมันก่อน

แต่พอมาเห็นมันเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่กวนประสาทเลย แค่แอบด่ามันในใจอย่างที่เคยทำผมยังไม่กล้า

บรรยากาศภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ ก่อนคำพูดของคนตรงหน้าผมจะดังขึ้น

“มึงเคยมีเรื่องฝังใจมั้ยแมวอ้วน”

“เคยสิ”ผมว่าก่อนจะขมวดคิ้ว“แล้วมึงถามทำไมวะ”

“กูไปเจอเรื่องที่เคยทำให้ฝังใจมา… ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้ว”

“...”

“แต่พอมาวันนี้กูเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้ว... กูยังรู้สึกกับมันเหมือนเดิม”

จากตาที่เคยสบกัน ตอนนี้มันเลื่อนไปทางอื่น ราวกับกลัวว่าผมจะสังเกตเห็นแววตาที่สั่นไหว

“มันแม่งไม่เคยหายไปไหนเลย”

“...”

“มีแค่ตัวกูเองนี่แหละที่พยายามโกหกตัวเองมาตลอด”

นอร์ธว่าก่อนเม้มปากแน่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมันดลใจให้ผมทำแบบนี้ แต่พอเห็นว่ามือของนอร์ธยังว่างอยู่ ผมก็ยื่นมือของตัวเองไปจับมือมันไว้

พอนึกถึงคำพูดที่มันเคยพูดก่อนหน้านี้ จากตอนแรกที่จับเอาไว้หลวมๆผมก็เริ่มออกแรงบีบมันเบาๆ

“นอร์ธ”

ตาคมหันมาสบเข้ากับผม

“กูไม่รู้หรอกนะว่าคนอย่างกูจะช่วยมึงได้มากน้อยแค่ไหน”

“...”

“แต่กูอยู่ตรงนี้นะนอร์ธ”

“...”

“อยู่ข้างๆมึงเลย”





[ สมพงษ์สั่งลุย ]




สุดท้ายแผนที่จะกลับไปคืนดีกันของผมกับไอ้นอร์ธก็พังลงไม่เป็นท่าด้วยมือของผมเอง

ผมไม่น่าปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมาเป็นสิบๆปีแบบนี้เลย…

รถของผมเคลื่อนอยู่บนท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย ก่อนที่เสียงเรียกเข้าจากมือถือจะดังขึ้นจนต้องหยิบมันขึ้นมาดู

ไอ้ปิ่น

กดรับสายอย่างไม่ลังเล แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ปลายสายก็พูดสวนมาซะก่อน

“สงคราม มึงอยู่ไหนเนี่ย”

“เพิ่งกลับจากหอน้องรหัส”

“เหรอๆๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง เรื่องน้องรหัสกูอะ”

ผมแค่นยิ้ม“พังไม่เป็นท่าเลยว่ะ”

ปิ่นเป็นเพื่อนสนิทของผมและเป็นพี่รหัสของไอ้นอร์ธ แน่นอนว่าแผนการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นอร์ธให้กลับมาเหนี่ยวแน่นเหมือนเดิม ปิ่นมันก็เป็นคนคิด

“เอ้า ทำไมพังวะ มึงได้ทำตามแผนกูปะเนี่ย”

“ทำตาม”

“ทำตามแล้วมันพังได้ยังไงวะ”มันว่าก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง“มึงได้ไปกวนตีนอะไรน้องมันก่อนหน้านี้ปะ”

สิ้นคำพูดก็ถึงกับพูดไม่ออก ถ้าบอกความจริงไป ปิ่นมันต้องด่าแน่ๆ

“ทำไมเงียบวะ... หรือว่าก่อนจะทำตามแผนมึงไปกวนตีนน้องมัน”

“อือ”

“โอ๊ยยย ไอ้เหี้ยสงคราม ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ”ปลายสายโวยวาย

“เป็นผู้หญิงพูดให้มันเพราะๆหน่อยได้มั้ย”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย มึงเล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะว่ามึงไปกวนตีนอะไรน้องมัน”

“ไว้เดี๋ยวค่อยเล่าได้มั้ย”

“เดี๋ยวค่อยเล่าอะไร ไหนๆก็โทรแล้ว เล่าตอนนี้เลย”

“กูกำลังจะไปหามึงที่หอ ไว้ค่อยเล่าตอนนั้นได้มั้ย”

“จะเอาอย่างนั้นเหรอ”

“เออ”

“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถดีๆ ถึงเมื่อไหร่ก็บอกกูด้วย”

“อือ”กดวางสายก่อนจะโยนมือถือไว้ที่เบาะข้างคนขับ

จากตอนแรกที่ขับรถแบบไม่มีจุดหมาย แต่ในเมื่อปิ่นมันโทรมา ก็ถือโอกาสนี้ไปหามันที่หอซะเลย อย่างน้อยๆการอยู่กับไอ้ปิ่นก็คงดีกว่านั่งเครียดอยู่ที่ห้องคนเดียวแน่ๆ


หลังจากที่มาถึงห้องของปิ่น มันก็ไม่รอช้า สั่งให้ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้มันฟังโดยละเอียด ผมนั่งลงที่ปลายเตียงโดยมีปิ่นนั่งกอดหมอนมองหน้าผมอย่างตั้งใจ ปิ่นคือเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมเลือกจะปรึกษาเรื่องนี้ด้วย เพื่อนคนอื่นๆมันไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่ทำให้ผมกับไอ้นอร์ธไม่กินเส้นกันอย่างทุกวันนี้มันเกิดจากอะไร

แล้วถ้าถามว่าทำไมถึงต้องเป็นปิ่น เหตุผลที่เห็นก็น่าจะมีเพียงข้อเดียว

วันที่ผมมีเรื่องกับไอ้นอร์ธจนโดนต่อยหน้าช้ำปากแตกกลับมาที่ห้องตัวเอง ปิ่นมันเป็นเพื่อนคนแรกที่เห็นผมในสภาพนั้นเพราะมันเอาดันลืมของไว้ที่ห้องของผม

ปัญหาของผมกับไอ้นอร์ธเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานหลายปี เรื่องนี้ไม่ต้องโทษใครเลย มันเป็นความผิดของผมล้วนๆ หลังจากที่ทำผิด แทนที่จะขอโทษ ผมเสือกหนีหน้ามันตั้งหลายปี

เพราะแบบนี้มันเลยไม่แปลกที่นอร์ธจะไม่ชอบหน้าผม

แต่แทนที่จะอยู่ใครอยู่มันโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกเลย ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผมก็เพิ่งจะทำงานตอนที่เวลาล่วงเลยมาแล้วเกือบสิบปี

ผมเริ่มกลับมาวนเวียนอยู่ในชีวิตของไอ้นอร์ธอีกครั้ง พยายามชวนมันคุย แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมามีเพียงคำด่าและหน้าตาที่แสดงออกชัดเจนว่ารำคาญผมเต็มทน

ถึงสุดท้ายบทสนทนาของผมกับมันจะกลายเป็นการทะเลาะกันทุกครั้ง แต่นั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมได้คุยกับไอ้นอร์ธ

จนไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่ผมโดนไอ้นอร์ธต่อย ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัว

ผมเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งตัวเองทำมาตลอดนั้นเป็นสิ่งที่ผิด

หมัดแรกที่มันต่อยเข้ามาพร้อมกับแววตาที่ไม่เห็นผมคนนี้เป็นพี่ชายอีกต่อไป

ผมรู้สึกหวาดกลัว

กลัวว่าสุดท้ายผมจะเสียน้องชายคนนี้ไปจริงๆ

ผมกลัวว่าสุดท้ายแล้ว... เราจะกลายเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกกัน

เพราะแบบนี้ผมเลยเลือกที่จะปรึกษาปิ่น เพื่อให้มันช่วยคิดแผนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผมสองคน

แต่ก็นั่นแหละ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น… มันพังลงไม่เป็นท่า

“มึงทำเหี้ยอะไรลงไปเนี่ย ไอ้สงคราม”ทันทีที่เล่าจบ ปิ่นมันก็ทุบหลังผมจนดังลั่น“นิสัยกวนตีนของมึงมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอหรือไง แค่ให้เลิกกวนตีนสักครึ่งชั่วโมงยังทำไม่ได้”

“เออ กูรู้ว่ากูผิด อย่าซ้ำเติมได้มั้ย”

“เฮ้อ มีเพื่อนแบบมึงกูล่ะเหนื่อยใจจริงๆ”

“...”

“แล้วมึงจะเอายังไงต่อ”

“กูไม่รู้”ผมว่า“เอาจริงๆนะปิ่น ตอนนี้กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ะ”

“มึงหมายความว่ายังไง”

“ตอนแรกกูเคยคิดนะว่าทุกอย่างมันต้องโอเค ถ้ากูได้กลับไปเป็นพี่ชายที่มันรักอีกครั้ง นอร์ธมันต้องมีความสุขมากแน่ๆ”

“...”

“แต่ตอนนี้แม่ง ไม่มีความคิดนั้นในหัวเลยว่ะ”

ยิ่งได้เห็นสีหน้าและแววตาของมันที่มองมา

ความคิดที่จะกลับเข้าไปมีบทบาทในชีวิตของไอ้นอร์ธก็ถูกพับเก็บในทันที

“บางที… การที่กูกับมันเป็นแบบนี้”

“...”

“อาจจะเหมาะกว่าการกลับไปคืนดีกันก็ได้”






#ทิศเหนือของผม

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
มีปมไปอีกเด็กน้อยทั้งสอง

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
รู้สึกผิดเลยหลบหน้า
หรือ
เพิ่งรู้สึกผิด เลยอยากขอโทษ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ต่างคนต่างกวนทีน

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
#ทิศเหนือของผม ตอนที่ 23
«ตอบ #102 เมื่อ21-04-2020 20:21:22 »

23

ความพยายามของแมวอ้วน



[ ทิศเหนือคนจริง ]



ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!

เป็นเพราะเสียงแจ้งเตือนจากมือถือที่ปลุกผมให้ตื่นก่อนเวลา ผมหรี่ตาควานหาแว่นที่เคยวางไว้ข้างหมอน หยิบมันขึ้นมาใส่ก่อนจะคว้ามือถือที่วางไว้ข้างๆกันมาเปิดดู



NiceAdr

ตื่นยัง

ตื่นได้แล้ว

เช้าแล้ว

เดี๋ยวน้ำเต้าหู้หมด



พอเห็นชื่อคนที่ส่งมาผมก็ต้องเด้งตัวขึ้นจากเตียง ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวินาทีในการรวบรวมสัมปชัญญะก่อนจะพิมพ์ตอบกลับมันไป



North

อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย

NiceAdr

อารมณ์อยากกินน้ำเต้าหู้

North

อยากกินก็ไปซื้อสิ

ทักมาหากูทำไม

วันนี้กูกลับมานอนที่ห้องตัวเอง

NiceAdr

*ส่งรูปภาพแล้ว*



อีกฝ่ายไม่ตอบกลับเป็นตัวหนังสือ แต่ส่งรูปมาแทนและทันทีที่เปิดดูผมก็ต้องแปลกใจเพราะรูปที่แมวอ้วนมันถ่ายมา มันเหมือนประตูหน้าห้องผมเลย…



North

มึงอยู่ไหน

NiceAdr

กูมาทัศนศึกษา

North

ทัศนศึกษาอะไรของมึงวะ

ตอบดีๆดิแมวอ้วน

NiceAdr

ก็มาทัศนศึกษาที่หน้าห้องเด็กชายทิศเหนือไง

มาเปิดประตูให้กูหน่อย

ยืนจนจะเป็นตะคริวแล้ว



พออ่านจบตาผมก็ถึงกับกระตุก มันโกหกกูหรือเปล่าวะ หอมันกับหอผมก็อยู่กันคนละทาง แล้วอีกอย่างไอ้แมวอ้วนมันก็ไม่เคยมาหอผมเลยสักครั้งมันจะมาถูกได้ยังไง



North

มึงหลอกกูปะเนี่ย

NiceAdr

กูจะหลอกมึงทำไมล่ะนอร์ธ

หรือมึงไม่เชื่อ

งั้นมึงรอก่อน

*ส่งรูปภาพแล้ว*

นี่ไง



เปิดรูปที่แมวอ้วนถ่ายส่งมาอีกรอบ ครั้งนี้เป็นรูปมันเซลฟี่หน้าตัวเองกับป้ายชื่อหอ



NiceAdr

กูถ่ายไว้ก่อนจะเดินขึ้นมา เผื่อมึงไม่เชื่อ

แล้วก็ได้ใช้จริงๆซะด้วย



ลงทุนสัด…



NiceAdr

ทีนี้จะมาเปิดประตูให้กูได้ยัง

ถ้าปล่อยให้ยืนกว่านี้กูจะเหมือนพวกตามทวงหนี้แล้วนะ



ผมไม่ปล่อยให้แมวอ้วนมันรอนาน รีบลุกจากเตียงและเดินมาที่ประตู ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปจับลูกบิดผมก็เพิ่งสังเกตเห็นสภาพของตัวเอง

เสื้อยืดย้วยๆกับบ๊อกเซอร์… จะออกไปเจอแมวอ้วนทั้งที่ใส่ชุดแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ

“นอร์ธ ออกมายังเนี่ย”

แต่ดูเหมือนแมวอ้วนมันจะไม่มีเวลาให้ผมมากนัก เพราะตอนที่กำลังคิดอยู่เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดๆกัน

“ถ้ามึงยังไม่ออกกูจะนั่งรอหน้าห้องแล้วนะ”

“มาแล้วๆ”

ผมตัดสินใจหมุนลูกบิด คนอย่างแมวอ้วนคงไม่ถือสาอะไรหรอกมั้ง

ทันทีที่ประตูถูกเปิด ผมก็เห็นแมวอ้วนในชุดนักศึกษาพร้อมกระเป๋าคู่ใจกำลังยืนกอดอกรอผมอยู่

“เพิ่งตื่นเหรอวะ”ตากลมใต้กรอบแว่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า จะเน้นเป็นพิเศษก็ตรงช่วงท่อนล่างที่มองค้างไม่ยอมละสายตาไปไหน“ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะหลักฐานมันก็ชัดอยู่”

พูดจบมันก็ขำออกมา

“ไม่ต้องมาขำเลย มึงไม่ใส่บ๊อกเซอร์ตอนนอนหรือไง”

“กูไม่ใส่หรอกบ๊อกเซอร์อะ คนอย่างกูต้องใส่ชุดนอน”

“ไอ้ชุดนอนลายทางของมึงอะนะ”ผมว่า

“กูก็มีหลายชุดมั้ยล่ะ”มันเถียง

ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะถอยให้แมวอ้วนเดินเข้ามาในห้อง และทันทีที่มันเดินเข้ามาผมก็ถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย

“แล้วมาหากูแต่เช้ามีอะไร”

“กูก็บอกไปแล้วไงว่าจะมากินน้ำเต้าหู้”แมวอ้วนมันว่าก่อนจะเลื่อนเอาเก้าอี้ที่ผมใช้นั่งทำงานเป็นประจำมานั่ง“มึงอะรีบไปแต่งตัวเลย เดี๋ยวไปสายน้ำเต้าหู้หมดก็อดกินกันพอดี”

ผมได้แต่ยืนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า จนแมวอ้วนมันต้องลุกขึ้นมาและจับผมหันหลังก่อนจะออกแรงดันผม

“เอาแต่ยืนมองอยู่ได้”

“มึงจะดันกูไปไหนเนี่ย”

“ก็ดันมึงให้ไปอาบน้ำไง รีบไปอาบน้ำเร็วๆเลย เดี๋ยวน้ำเต้าหู้กูหมด”

“เดี๋ยวสิ กูยังคุยกับมึงไม่เสร็จเลย”ผมออกแรงต้านพยายามหันหลังกลับไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง แต่แมวอ้วนมันไม่ยอมยังคงออกแรงดันผมจนสุดความสามารถ

“รีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวค่อยออกมาคุย”

สุดท้ายผมก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความแน่วแน่ของแมวอ้วน ยอมเดินมาอาบน้ำแต่โดยดีและทิ้งให้มันนั่งรออยู่ตรงนั้น

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็เดินเข้าไปเอามือถือที่วางทิ้งไว้ในห้องก่อนจะมาหยิบกระเป๋าสะพายข้างที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน หันมามองแมวอ้วนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือมองผมตาแป๋ว

“เสร็จยัง”อีกฝ่ายถาม ผมพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะเอากระเป๋าขึ้นมาสะพาย“ถ้าอย่างนั้นก็ไปซื้อน้ำเต้าหู้ได้แล้วอะดิ”

“อย่าเพิ่ง”แมวอ้วนที่ตั้งท่าจะลุกถึงกับต้องชะงักและมองค้างมาที่ผม

“ทำไมอะ”

“คุยกันก่อน”

“เดินไปคุยไปก็ได้ เดี๋ยวไม่ทันน้ำเต้าหู้นะเว้ย”

“พักเรื่องน้ำเต้าหู้ไว้ก่อนได้มั้ย ขอเคลียร์เรื่องที่คาใจก่อน”

“มึงคาใจอะไรอะ”

เรื่องคาใจที่ผมมีมันมากมายเกินกว่าจะเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้ในระยะเวลาอันสั้น ด้วยเหตุผลนี้ผมเลยตัดสินใจผมเลยตัดสินใจถามคำถามที่คิดว่าครอบคลุมมากที่สุด

“กูถามจริงๆเลยนะแมวอ้วน”

“...”

“ที่มาหากูแต่เช้าเพราะมึงแค่จะมาชวนกูไปซื้อน้ำเต้าหู้ แค่นี้น่ะเหรอ”

“อือ ก็ใช่ไง”แมวอ้วนมันว่า“แต่ถ้ามึงรู้สึกว่าเหตุผลแค่นี้มันไม่พอ กูเพิ่มให้มึงอีกอย่างก็ได้”

“...”

“วันนี้กูจะสวมบทบาทเป็นผู้ปกครองให้มึงเอง”

“ผู้ปกครองอะไรของมึงวะ”

ยิ่งให้มันพูดผมก็ยิ่งงง ไม่รู้ว่าแมวอ้วนมันกำลังเล่นอะไรอยู่

“ก็ผู้ปกครองที่จะมารับเด็กชายทิศเหนือไปมหา’ลัยไง”แมวอ้วนยิ้มก่อนจะยืนขึ้น“เสร็จแล้วก็รีบไปกันเถอะ ถ้าช้ากว่านี้ต้องไม่ทันน้ำเต้าหู้แน่ๆ”

พูดจบมันก็ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไร ลากผมออกมาจากห้องก่อนจะล็อกให้เสร็จสรรพ


รถเมล์ เราสองและน้ำเต้าหู้อีกสองถุง…

หลังจากซื้อน้ำเต้าหู้เสร็จแมวอ้วนมันก็พาผมมายืนรอรถเมล์ที่ป้ายรอรถ พอรถเมล์มาถึงแมวอ้วนก็ไม่รอช้าเดิมนำผมขึ้นไปก่อนมองหาที่ว่างสำหรับเราทั้งคู่ และที่นั่งที่ยังเหลืออยู่คือเบาะคู่ฝั่งขวา มันเป็นที่นั่งเกือบท้ายสุดของคันรถ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคดีหรือวันนี้ผมไปมหา’ลัยเช้ากว่าทุกวัน คนบนรถเมล์ถึงได้ดูบางตาอย่างนี้

ปกติอย่าให้พูดเลย แน่นเหมือนปลากระป๋อง

กระเป๋ารถเมล์ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นเคย เขาเดินมาเก็บเงินผมกับแมวอ้วน เราต่างฝ่ายต่างจ่ายส่วนของตัวเองก่อนจะกลับมาสนใจเรื่องที่นั่งต่อ

“มึงจะนั่งริมหน้าต่างหรือให้กูนั่ง”

“แล้วแต่มึงเลย กูนั่งตรงไหนก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นกูขอนั่งริมหน้าต่างนะ”

“อือ”

พอผมตอบคนตรงหน้าก็ยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปชิดริมหน้าต่าง ผมทิ้งตัวลงข้างๆแมวอ้วน แย่งถุงในมือมันมาเพื่อช่วยถือ

“เอามานี่ เดี๋ยวกูถือให้”อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนกลับกันพอได้ยินผมพูดแบบนั้นมันก็ยอมยกถุงน้ำเต้าหู้แสนรักแสนหวงของมันให้ผมอย่างง่ายดาย“มึงรู้ได้ยังไงวะแมวอ้วนว่าน้ำเต้าหู้ร้านนี้อร่อย”

ผมมองถุงที่บรรจุน้ำเต้าหู้พลันนึกไปถึงตอนที่แมวอ้วนพาไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ มันเอาแต่พูดว่าร้านนี้อร่อยนักอร่อยหนา ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเคยมากินตอนไหน

“ขนาดกูอยู่แถวนี้กูยังไม่รู้เลยว่าร้านนี้อร่อย”

เงียบ…

พอเห็นว่าอีกฝ่ายปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาหลายวินาที ผมจึงตัดสินใจถามอีกครั้ง

“ไอ้แมวอ้วน มึงได้ยินที่กูถามมั้ยเนี่ย”

ตากลมละสายตาจากท้องถนนตรงหน้าเลื่อนมาสบตาเข้ากับผม แมวอ้วนยิ้มแห้งๆก่อนจะเฉลยความจริงบางอย่างออกมา

“คือ… กูก็ไม่รู้หรอกว่ามันอร่อยจริงมั้ย แต่กูโทรไปถามซีอิ๊วมา มันบอกว่าตอนมาหอมึงมันเคยกินสองสามรอบก็อร่อยดี กูเลยคิดว่าถ้าคนอย่างซีอิ๊วบอกว่าอร่อย มันก็ต้องอร่อย”

โธ่ ไอ้แมวอ้วน…

“แล้วถ้าให้กูเดา ที่มึงมาหอกูถูกก็เพราะโทรไปถามไอ้อิ๊ว?”

“อือ”

“...”

“กูโทรหาซีอิ๊วตั้งหลายรอบแหนะ”

“...”

“แถมเมื่อเช้ายังเกือบหลงอีกด้วย”

ทันทีที่ได้ยินประโยคหลังคิ้วของผมก็เริ่มขมวด เพราะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่แมวอ้วนมันทำสักเท่าไหร่

“มึงจะลงทุนทำขนาดนี้ทำไมวะแมวอ้วน”

“เอ่อ...”อีกฝ่ายมองผมนิ่งคงเป็นเพราะไปต่อไม่ถูก

“วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้มั้ย ค่าเดินทางก็ตั้งหลายบาท แถมยังไปไหนมาไหนคนเดียวอีก ถ้าหลงขึ้นมาจะทำยังไง”

“ไม่หลงหรอกหน่า กูโทรถามทางซีอิ๊วตลอด”

“ใครจะไปรู้วะ ถ้าสมมติเมื่อเช้าอิ๊วมันไม่ตื่นมารับสายมึง แล้วมึงเกิดหายไปขึ้นมาจะทำยังไง”

“อย่าเพิ่งดุดิ”อีกฝ่ายเอ่ยเสียงแผ่ว

“ก็ดูที่มึงทำดิ มันน่าดุมั้ย”

คงเป็นเพราะผมเผลอขึ้นเสียงใส่ แมวอ้วนเลยมองหน้าผมด้วยแววตาสั่นระริก

“อือ”

“...”

“ถ้าที่กูทำมันผิดมาก… กูขอโทษก็แล้วกัน”

พูดจบมันก็หันหน้าไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาใส่

บทสนทนาของเราจบลงตรงนั้น

เราทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบ เห็นจะมีเพียงเสียงรอบข้างที่ยังดังขึ้นเป็นระยะ


พอลงรถเมล์ได้แมวอ้วนก็ไม่สนใจผมอีกเลย มันทิ้งให้ผมเดินตามมันต้อยๆพร้อมกับถุงใส่น้ำเต้าหู้สุดรักสุดหวงของมัน

“วันนี้มาช้ากว่าปกติปะวะ”

เสียงของออมสินที่นั่งอยู่คนเดียวตรงโต๊ะประจำของพวกเราดังขึ้นทันทีที่ผมสองคนมาถึง แต่แทนที่แมวอ้วนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆออมสิน มันกลับยืนนิ่งก่อนจะยื่นมือไปแตะบ่าออมสินเบาๆ

“เดี๋ยวกูไปนั่งรอที่ห้องนะออมสิน”

พูดแค่นั้นก่อนจะปลีกตัวออกไป ผมมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางก่นด่าตัวเองไปในใจ

โกรธกูไปแล้วแน่ๆ มึงทำเหี้ยอะไรลงไปเนี่ย ไอ้เหี้ยนอร์ธ ไอ้ควาย

“มันยังไม่ถึงเวลาเรียนไม่ใช่เหรอวะ”ออมสินที่ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองพูดขึ้นก่อนจะมองหน้าผม“มึงไปแกล้งอะไรมันปะเนี่ยไอ้นอร์ธ หน้าแม่งบูดเป็นตูดแต่เช้าเลย”

“คือ...”

ยังไม่ทันได้เล่าอะไร ซีอิ๊วกับไกด์ก็ตามมาสมทบ

“อ้าวไอ้นอร์ธ มึงไม่ได้มาพร้อมไนซ์เหรอวะ”พูดจบอิ๊วก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างก่อนจะใช้หลอดเจาะกล่องนมที่ถืออยู่“กูนึกว่ามึงจะมาพร้อมกันซะอีก”

“ไอ้ไนซ์น่ะมาแล้ว มาพร้อมไอ้นอร์ธด้วย”ออมสินว่า“แต่ไม่รู้วันนี้แม่งเป็นอะไร มาถึงก็หน้าบูดเป็นตูดแล้วก็บอกกูว่าจะไปนั่งรอที่ห้องเรียน”

“รอที่ห้องเรียนอะไรวะ อีกตั้งหลายนาทีไม่ใช่เหรอ”ไอ้ไกด์ที่นั่งข้างไอ้อิ๊วพูด“แล้วอีกอย่าง วิชานี้มันก็ลงเรียนกับมึงไม่ใช่เหรอออมสิน ทำไมไม่รอไปพร้อมกัน”

“กูก็ไม่รู้”ออมสินตอบไอ้ไกด์ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม“ว่าแต่มึงเถอะนอร์ธ ไปแกล้งอะไรไอ้ไนซ์มันหรือเปล่า”

พอตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งสาม ความกดดันก็เริ่มทำหน้าที่

“อือ... กูคงไปทำให้มันโกรธแล้วล่ะมั้ง”

พูดจบคิ้วของพวกมันก็ขมวดเข้าหากันทันที ก่อนจะเป็นออมสินที่ทำหน้าที่เป็นคนตั้งคำถาม

“มึงทำอะไรมัน?”

“ก็กูเป็นห่วงมันอะ ไนซ์มันดั้นด้นมาหากูทั้งๆที่ไม่รู้ทางมาหอกูเลยด้วยซ้ำ”

“...”

“ถ้าวันหลังมันเกิดหลงทางแล้วเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไงอะ”

“แล้วมึงไปทำยังไงให้มันโกรธวะ ปกติกูไม่เคยเห็นคนแบบมันโกรธใคร”

“คือ… กูเผลอไปดุมันอะ แต่มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าที่กูทำไปก็เพราะเป็นห่วง”

“ถึงจะเป็นห่วง แต่กูว่าที่มึงทำมันก็เกินไปว่ะ”

อิ๊วมันโพล่งขึ้นก่อนคิ้วเข้มจะขมวดหนักกว่าเดิม

“มึงรู้ปะว่าเมื่อคืนไนซ์โทรมาหากูอะ”

“รู้ดิ มันบอกกูแล้วว่ามันโทรถามทางจากมึง”

“เออ แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าไนซ์เครียดอะ”

“เครียด?”

“เออ ไนซ์โทรมาขอคำปรึกษาจากกู มันบอกว่าอยู่ดีๆมึงก็เหมือนไม่ใช่มึง มันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ไนซ์ไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้ แต่กูก็ไม่ได้ให้คำปรึกษาอะไรเลยนะ เพราะทุกอย่างไนซ์แม่งเป็นคนคิดเองทั้งหมดเลย ทั้งเรื่องไปรับมึงมามหา’ลัยแล้วก็เรื่องน้ำเต้าหู้ กูมีหน้าที่แค่บอกที่อยู่หอมึงกับพิกัดร้านน้ำเต้าหู้ให้ก็แค่นั้นแหละ แต่กว่าจะได้แผนพวกนี้มาไนซ์ก็ถามกูเพื่อความมั่นใจตั้งหลายรอบนะ ว่าถ้าทำแบบนี้มึงจะโอเคมั้ย ถ้าพูดแบบนี้ไปมึงจะไม่เครียดเพิ่มใช่หรือเปล่า”

“...”

“ถ้าไนซ์ไม่เป็นห่วงมึงอะ มันคงไม่ลงทุนทำขนาดนี้หรอก จริงมั้ย”

พอได้ฟังสิ่งที่ซีอิ๊วพูด ความรู้สึกผิดก็เริ่มถาโถม ถ้าแมวอ้วนมันจะโกรธผมก็คงไม่แปลก เพราะถ้าผมเป็นมัน ผมก็คงจะโกรธตัวเองไม่ต่างกัน

วินาทีนี้ผมไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเอง เมื่อวานยังแบกร่างและความรู้สึกพังๆของตัวเองไปให้แมวอ้วนมันปลอบอยู่เลย

แต่พอมาวันนี้ผมกลับทำลายความรู้สึกของมันจนย่อยยับ... ผมกำลังทำให้แมวอ้วนเสียความรู้สึก

ผมวางกระเป๋าและถุงน้ำเต้าหู้ลงบนโต๊ะ หันไปหาออมสินที่มองหน้าผมอยู่

“มึงมีเรียนที่ห้องไหนออมสิน”

ออมสินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือถือส่งมาให้ผมอย่างไม่ขัดขืน เป็นเพราะวอลล์เปเปอร์มือถือของมันเป็นรูปตารางเรียนมันเลยยื่นมือมาจิ้มลงบนเลขห้องห้องหนึ่งเพื่อช่วยร่นเวลาในการมองหา

“ห้องนี้อะ”

“เออ ขอบใจมาก”

พูดจบผมก็ท่องเลขห้องไว้ในใจก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องนั้นอย่างไม่รอช้า



[ อดิรัตน์คนคูล ]



ผมแบกร่างของตัวเองขึ้นบันไดอย่างยากลำบาก คำพูดพวกนั้นของไอ้นอร์ธยังคงดังก้องอยู่ในหัว ปกติถ้าโดนมันว่ามาขนาดนั้นผมคงเถียงกลับอย่างไม่เกรงกลัว

แต่นี่ไม่ใช่… คงเป็นเพราะครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งไหนๆ

ผมคาดหวังกับผลลัพธ์ที่ตัวเองจะได้ ซึ่งแน่นอนว่า... ผมผิดหวัง

ไอ้นอร์ธดูไม่โอเคกับสิ่งที่ผมพยายามทำลงไป หนำซ้ำมันยังดูโกรธมากๆอีกด้วย

ไม่นานนักผมก็เดินมาถึงที่หน้าห้องเรียน เหลียวซ้ายแลขวาก็ยังไม่เห็นใครมาสักคน สุดท้ายเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าห้องเรียน ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากมารอเรียนไวขนาดนี้หรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากอยู่กับไอ้นอร์ธมันมากกว่า ยิ่งเวลาเห็นหน้ามันผมยิ่งอยากร้องไห้

แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างผมสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่นึกถึงไอ้นอร์ธได้ไม่นาน มันก็โผล่มาในทันที ผมลุกขึ้นยืนอีกครั้งตั้งท่าจะเดินหนีแต่ยังไม่ทันได้ไปไหน ไอ้เตี้ยมันก็วิ่งเข้ามาประชิดตัวผมซะก่อน

“อย่าเพิ่งหนีกู… กูขอร้อง”

นอร์ธก้มหน้าหอบก่อนจะเงยขึ้นมาสบตากับผม

และแน่นอนว่าผมทำตรงกันข้ามกับที่มันขอ ผมหันหลังเตรียมตัวที่จะเดินหนีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นอร์ธไม่ได้มีแค่คำพูด ฝ่ามือหนายื่นมาจับที่ข้อมือของผม

หัวตาเริ่มร้อนผ่าว ความรู้สึกมากมายอัดแน่นจนเหมือนจะระเบิดออกมา

“กูขอเวลาหน่อยได้มั้ย สองนาทีก็ได้ กูขอคุยกับมึงก่อน”

“แต่กูไม่อยากคุย”

พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นแต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

“ทำไมถึงไม่อยากคุย”

มันถามเหมือนคนไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่ความจริงแล้วมันนั่นแหละคือคนที่ควรรู้ทุกอย่าง

“นี่มึงไม่รู้จริงๆหรือตั้งใจจะกวนประสาทกูอะ”ผมหลุดคำพูดนั้นออกไปก่อนจะหันกลับไปสบตากับมัน ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มควบคุมไม่อยู่ ทั้งสีหน้า แววตาหรือแม้กระทั่งคำพูดที่พรั่งพรูออกมา“มึงแม่ง โคตรใจร้ายเลยรู้ปะ”

“แมวอ้วน...”

“ถ้าไม่ชอบที่กูทำก็บอกกันดีๆดิ ไม่เห็นต้องมาดุกูเลย”

ใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับรู้หน้าที่ของตัวเอง

“กูไม่อยากเป็นห่วงมึงแล้วอะนอร์ธ”

เสียงของผมดังสลับกับเสียงสะอื้น

“ถ้ากูรู้ว่าความเป็นห่วงของกูมันจะทำให้มึงโกรธอะ กูคงไม่คิดจะทำมันตั้งแต่แรกแล้ว”

“อย่าร้องไห้ดิ”

“ก็กูเสียใจอะ คนเสียใจร้องไห้ไม่ได้หรือไงวะ”

จังหวะนั้นเองเป็นตอนที่ผมถูกไอ้นอร์ธดึงเข้าไปกอด ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แทนที่จะขัดขืนผมกลับซบหน้าลงกับไหล่ของมัน ซ้ำยังร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

“กูขอโทษ”

“...”

“เลิกร้องนะแมวอ้วน”

“...”

“วันหลังกูจะไม่ดุมึงแล้ว”


ไม่รู้ว่าเป็นเวรซ้ำหรือกรรมซัด ยังไม่ทันที่ผมจะเลิกร้องไห้ เพื่อนร่วมเซคและอาจารย์ก็ทยอยกันเดินมา เพราะสถานการณ์ที่บีบบังคับมันเลยทำให้ผมเข้ามานั่งในห้องเรียนทั้งๆที่ยังร้องไห้อยู่ เข้ามานั่งได้สักพักผมก็เลิกร้อง แต่เสียงที่ยังหลงเหลืออยู่คือเสียงสะอื้น

ผมโคตรเกลียดตัวเองตอนร้องไห้เลย นอกจากหน้าจะเบ้เหมือนส้นตีนแล้วยังหายสะอื้นยากอีกด้วย

“ไอ้นอร์ธมึงทำอะไรมันเนี่ย ทำไมมันร้องไห้แบบนี้”

คำถามของออมสินดังขึ้นในระดับที่เราสามารถได้ยินกันแค่สามคน อาจารย์ที่ยืนพูดอยู่หน้าห้องไม่ได้เป็นจุดสนใจของผมอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ทำให้ผมสนใจได้มากกว่าคือการมีอยู่ของคนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ

“กูยังไม่ได้ทำอะไรมันเลย”

ไอ้นอร์ธที่แฝงตัวเข้ามาในเซคของพวกผมได้อย่างแนบเนียนตอบออมสินเสียงเบา

ผมไม่รู้ว่าไอ้นอร์ธตั้งใจจะทำอะไร เพราะก่อนเดินเข้าห้องผมก็บอกมันไปแล้วว่าเอาไว้ค่อยคุยกัน แต่มันก็ไม่ฟัง เดินตามผมเข้ามาต้อยๆ ผมนั่งตรงไหน มันก็นั่งตรงนั้น ผมจะหยิบจะจับอะไรมันก็จ้องไปซะทุกอย่าง

“ถ้ามึงไม่ได้ทำแล้วไนซ์มันจะร้องไห้ได้ยังไง”

“...”

“ทำไมเงียบอะ มึงมีพิรุธนะเนี่ย บอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่ามึงทำอะไรมัน”ออมสินถามย้ำ แต่ถึงมันจะถามยังไง นอร์ธมันก็ตอบตามเดิม

“กูไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าไม่เชื่อมึงถามมันดูก็ได้”

พอมันโยนมาทางผม ผมก็เลือกที่จะตอบออกไปโดยไม่รอให้ออมสินได้ถาม

“เออ ฮึก ไอ้นอร์ธไม่ได้ทำ”

สะอื้นไม่เลิกเลยกู...

“แล้วมึงร้องไห้ทำไม”

“ก็กูเสียใจกูจะร้องไห้ไม่ได้เลยหรือไง”ผมว่าก่อนจะหันไปมองไอ้นอร์ธ“ทำไมไม่ไปเรียน”

“ก็กูจะอยู่กับมึง”

“พ่อแม่ส่งให้มาเรียน ไม่ได้ส่งให้มาเฝ้ากู”

“...”

“ไปเรียนเลย”

“ก็เลิกร้องไห้ก่อนดิ”

“เลิกแล้ว”

“เลิกอะไร มึงยังสะอื้นอยู่เลย”

“สะอื้นก็ส่วนสะอื้นสิ อย่าเอามารวมกัน”ผมว่า ก่อนเสียงอื้นจะค่อยๆเบาลง“ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวก็โง่หรอก”

“ไม่กลัวหรอกโง่อะ”

“...”

“กูกลัวไม่ได้อยู่ปลอบมึงตอนร้องไห้มากกว่า”



[ ออมสินอินยัวแอเรียย๊ะ ]



ผมนั่งมองไอ้นอร์ธกับไอ้ไนซ์คุยกันงุ้งงิ้งอยู่สองคน พวกมันทั้งคู่ปล่อยให้ผมกลายเป็นเพียงอากาศธาตุ

พูดเลยว่าหมาครับ

และแน่นอนว่าหมาในที่นี้ไม่ใช่สัตว์แต่เป็นตัวกูเอง

เพิ่งเคยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางขนาดนี้ก็ตอนนี้แหละ เหมือนเป็นก้างขวางคอพวกมันสองคนยังไงก็ไม่รู้ สุดท้ายผมก็เลยต้องตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

ณ จุดนี้ผมคงต้องกราบขอโทษอาจารย์ศักดินนท์ไว้ล่วงหน้า ผมพยายามจนสุดความสามารถแล้ว แต่ทนนั่งฟังอาจารย์พูดท่ามกลางความรักที่เอ่อล้นของมันสองคนไม่ได้จริงๆ

จึงขอเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

จาก… ออมสินศิษย์รัก


#ทิศเหนือของผม



สามารถติดตามนักเขียนได้ที่—

Twitter ; augustismine1

Fan Page ; Augustismine








ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โถ ออมสินลูก~

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: #ทิศเหนือของผม ตอนที่ 24
«ตอบ #107 เมื่อ02-05-2020 21:23:32 »

24

สิ้นสุดทางแฟน



[ ทิศเหนือคนจริง ]



ผมเอาแต่ขลุกอยู่กับแมวอ้วนจนกระทั่งเรียนช่วงเช้าเสร็จ ดีที่วันนี้ผมมีเรียนเซคเดียวกับไอ้อิ๊วและไอ้ไกด์ ผมจึงไหว้วานให้มันสองคนช่วยดูแลกระเป๋าของผมและน้ำเต้าหู้ลูกรักของแมวอ้วน

และแน่นอน กว่าคำว่าตกลงจะหลุดออกมาจากปากของพวกมันผมก็โดนมันทั้งคู่บ่นไปหลายประโยคเหมือนกัน

แต่เอาเถอะ อย่างน้อยการโดนบ่นครั้งนี้มันก็แลกมาด้วยอะไรที่คุ้มค่ามากกว่า

อย่างเช่น การได้นั่งมองหน้าแมวอ้วนเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ไม่ได้มีบ่อยๆนะโอกาสแบบนี้

“นี่กระเป๋ากับน้ำเต้าหู้ของมึง”

ยังไม่ทันได้เดินขึ้นไปบนโรงอาหาร อิ๊วกับไกด์ก็เดินมาสมทบกับพวกเราทั้งสาม ผมยื่นมือไปรับของจากมือซีอิ๊ว ก่อนเอากระเป๋าขึ้นมาสะพายข้างส่วนน้ำเต้าหู้ผมก็ทำหน้าที่เป็นคนถือเหมือนเมื่อเช้า

“เดินมาด้วยกันแบบนี้แสดงว่าดีกันแล้ว?”ไอ้ไกด์เลิกคิ้วถาม แต่แทนที่คนตอบจะเป็นผมหรือไม่ก็แมวอ้วน ออมสินมันกลับทำหน้าที่นั้นแทน

“เออ มันดีกันแล้ว มึงสองคนลองทายนะ ว่าใครเป็นหมา”

“ไม่เห็นจะยากเลยคำถามนี้”ไอ้ไกด์มันว่าปนขำ“ก็มึงไง”

“มึงแม่งเก่งว่ะไกด์”ออมสินเอ่ยชม จากตอนแรกที่ยื่นอยู่กับพวกผมสองคน มันก็ย้ายตัวเองไปอยู่กับไอ้ไกด์และไอ้อิ๊ว“มึงสองคนเชื่อมั้ย พอพวกมันดีกันปุ๊บ กูก็รับรู้ได้ถึงพลังงานของความรักที่ลอยวนอยู่ในอากาศ นี่ถ้ามดขึ้นตัวกูได้คงขึ้นไปแล้ว”

“มึงพูดเว่อร์เกินไปแล้วออมสิน”คนข้างกายผมที่อารมณ์ดีมากกว่าเมื่อเช้าพูดพร้อมยื่นมือไปดึงแขนเสื้อชุดนิสิตของออมสิน

“เอาอะไรมาเว่อร์ ใครไม่เป็นกูไม่รู้หรอก คุยกันงุ้งงิ้งอยู่สองคน ปล่อยให้กูกลายเป็นแค่อากาศ พูดแล้วก็เศร้านะเว้ยไอ้ไกด์ไอ้อิ๊ว คำว่าเพื่อนกับแฟนของคนเรามันไม่เคยเท่ากันอยู่แล้ว”พูดจบออมสินมันก็สวมบทเป็นผู้ถูกกระทำ แกล้งปาดน้ำตาทิพย์อะไรของมันไป

เลิกเรียนวิศวะแล้วไปเรียนการแสดงเถอะมึง...








[ อดิรัตน์คนคูล ]



พอเรียนเสร็จ ชีวิตผมก็วนกลับเข้ามาในวงจรเดิม

วันนี้คนที่ทำหน้าที่ยืนรอผมเปลี่ยนชุด ไม่ใช่ออมสิน

แต่เป็นไอ้นอร์ธ…

ทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา ผมก็เห็นไอ้เตี้ยมันยืนจ้องหน้าอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่ หอบเอาข้าวของและกระเป๋ามาวางไว้ที่หน้ากระจก จัดการพับเสื้อผ้าลงกระเป๋า สายตาก็ยังไม่วายสังเกตใครบางคนผ่านกระจก ไอ้นอร์ธมันเดินเข้ามาประชิดตัวผมก่อนขวดนมหนึ่งขวดจะถูกวางลงตรงหน้า
“อะไร?”

“นมช็อกโกแลต”

“แล้วเอามาให้กูทำไม”

“กูซื้อมาฝาก”

“แต่กูยังไม่อยากกินอะ”

“ถ้ายังไม่กินก็เก็บไว้”มันถือวิสาสะยัดนมกล่องนั้นใส่ในมือผม“ถือซะว่ากูซื้อมาแทนน้ำเต้าหู้สองถุงนั้น”

พอพูดถึงน้ำเต้าหู้ผมก็ยังรู้สึกเสียดายไม่หาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนหรือว่าอะไรมันเลยทำน้ำเต้าหู้สองถุงนั้นเสียไวกว่าปกติ

สุดท้ายผมก็เลยอดกินน้ำเต้าหู้ที่อุตส่าห์ดั้นด้นตื่นเช้าไปซื้อมา

แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น สิ่งที่ผมสงสัยคือ

“นมช็อกโกแลตมันจะแทนน้ำเต้าหู้ได้ยังไงวะ”

“…”

“แค่สีก็คนละอย่างแล้ว”

“เออหน่า มันก็หวานเหมือนกันนั่นแหละ”

“ถ้าหวานเหมือนกัน กูแดกน้ำตาลทรายแทนก็ได้งั้นดิ”

พอผมพูดจบอีกฝ่ายก็ขำออกมา ผมมองรอยยิ้มนั่น ก่อนคำถามบางคำถามจะแล่นเข้ามาอยู่ในหัว

“นอร์ธ”

“หือ”

“มึงโอเคขึ้นหรือยังวะ”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องเมื่อวานไง”

อีกฝ่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ“เออ”

พอได้ยินคำตอบผมก็ได้แต่ขมวดคิ้ว“เออ นี่คือเอออะไร เออโอเคหรือเออไม่โอเค”

“เออ กูโอเค”

“อ๋อ”

ได้ยินดังนั้นก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยไอ้ที่ร้องไห้ไปวันนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่า

ผมหยิบเอาป้ายชื่อออกจากกระเป๋าก่อนจะจัดการกวาดทุกอย่างที่คิดว่าเป็นของตัวเองลงกระเป๋า

รวมถึงนมช็อกโกแลตขวดนั้นด้วย

“แมวอ้วน”

ขณะที่ผมกำลังเอาป้ายชื่อขึ้นมาคล้องคอ คนข้างกายก็เรียกชื่อจนผมต้องหันไปมอง

“ว่าไง”

“ขอบใจนะ”

“เรื่องอะไรวะ”

“เรื่องเมื่อวาน”

“...”

“กอดของมึงช่วยกูไว้ได้เยอะเลย”






หลังกิจกรรมเชียร์เสร็จพี่ปีสองก็ขอประกาศอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย และเรื่องที่พวกพี่เขาพูดก็มีทั้งหมดสองเรื่องด้วยกัน โดยเรื่องแรกที่พี่เขาประกาศคือเรื่องการประกวดดาวเดือนของคณะเรา

ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้ตำแหน่งเดือนคณะจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากทนายเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งความสดใสของโลกใบนี้

ทางด้านดาวคณะก็เป็นไปตามที่ผมคาดไม่มีผิดเพี้ยนเช่นกัน  เพราะคนที่ได้ตำแหน่งนั้นไปครอบครองก็คือ ออกัส วิศวะไฟฟ้า

เอาจริงๆถ้าผมเป็นคนคัดเลือกผมก็จะเลือกให้ออกัสเป็นดาวคณะของเราเหมือนกัน คนอะไรก็ไม่รู้ทั้งน่ารัก ยิ้มสวยแถมยังวางตัวดีอีกด้วย หาที่ติไม่ได้จริงๆ

พอประกาศชื่อคนที่ได้ตำแหน่งครบ เขาก็ให้ทั้งทนายและออกัสออกไปพูดอะไรนิดหน่อย

ทนายยังคงคอนเซ็ปต์เดิมของตัวเอง นั่นก็คือคำพูดซื่อๆกับรอยยิ้มโลกละลาย พูดได้เลยครับว่าตายเรียบ!

ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนต่างเอ็นดูทนาย

และหนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย นายอดิรัตน์ผู้คลั่งรักทนายยิ่งกว่าอะไรดี

พอพูดเสร็จเขาก็ให้ทั้งสองคนกลับมานั่งตามเดิม ทันทีที่ทนายทิ้งตัวลงนั่ง ผมก็รีบเอ่ยแสดงความยินดี

“เราดีใจด้วยนะทนาย”

“ขอบใจนะไนซ์”อีกฝ่ายยิ้ม“เนี่ย เมื่อกี้นะ เราตื่นเต้นมากๆเลยนะ ไม่เชื่อลองจับดูดิ”

แล้วทนายก็เอามือผมไปวางไว้ตรงหน้าอกของตัวเอง  หัวใจของเขาเต้นแรงราวกับไปวิ่งรอบสนามมาสักห้ารอบ

“ทนายเก่งอะ ทั้งๆที่ตื่นเต้นยังพูดได้ดีขนาดนี้เลย ถ้าเป็นเรานะ ไม่ทันพ้นคำว่าสวัสดีหรอก”พอจบประโยคเราทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา

และเรื่องต่อไปที่พี่เขากำลังจะพูดก็เป็นสิ่งที่พวกเราชาวปีหนึ่งหลายๆคนต่างรอคอย

เรื่องที่ว่านั่นจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเรื่องของเสื้อช็อปและเกียร์รุ่น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะมีพิธีมอบหลังจากกิจกรรมห้องเชียร์เสร็จสิ้นไปแล้วหนึ่งถึงสองวัน ส่วนรายละเอียดของพิธีการพี่เขาบอกว่าให้รอฟังอีกที แต่ที่แน่ๆคนที่จะมามอบเกียร์กับช็อปให้ก็คือพี่รหัสของพวกเราแต่ละคนนั่นเอง






ผมเดินทางกลับมาที่หอของตัวเองและแน่นอนครับ

ผมไม่ได้มาเพียงตัวเดียว... เพราะไอ้นอร์ธมันติดสอยห้อยตามมาด้วย

“มึงจะบอกกูได้ยังว่าตามกูมาทำไม”

พอเดินมาถึงหน้าห้อง คำถามนี้ก็ดังออกจากปากผมเป็นรอบที่สาม หันไปมองคนที่เดินตามผมมาติดๆอย่างไอ้นอร์ธ มันไม่รีบตอบในทันทีทันใด ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปครู่หนึ่งกว่าผมจะได้ยินคำบางคำหลุดออกจากปากของมัน

“ก็กูอยากอยู่กับมึง”

ครบ จบภายในประโยคเดียว แต่ถึงจะชัดเจนขนาดไหนพอได้ยินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ วันนี้เราสองคนตัวติดกันไม่ต่างจากตังเม ตอนเช้าอยู่ด้วยกัน เที่ยงก็นั่งกินข้าวข้างกัน บ่ายเรียนเซคเดียวกันแถมยังลากยาวมาจนถึงเข้าห้องเชียร์

แค่นี้ยังไม่พอใจมึงอีกเหรอ อีกนิดคือย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้วนะ

“วันนี้ก็อยู่มาเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ กูเจอหน้ามึงสามเวลาหลังอาหารแล้วเนี่ย”

“สำหรับมึงมันอาจจะเยอะ”

“...”

“แต่สำหรับกู แม่งยังไม่พอว่ะ”

หยุดเดี๋ยวนี้! หยุดทันที! วันนี้หลายดอกแล้วนะมึง ไม่มีแผ่วเลย คิดว่ากูจะกลัวอย่างนั้นน่ะเหรอ เออ! มึงคิดถูก ใครจะไปต้านทานไหววะมาติดๆกันแบบนี้

ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของมัน และตั้งหน้าตั้งตาไขกุญแจเพื่อเปิดห้อง

พอบานประตูถูกเปิดออก ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปในห้อง คนข้างกายผมก็พูดขัดขึ้นซะก่อน

“เดี๋ยวกูมานะ”

“มึงจะไปไหน?”

“ไปเอาของที่พวกพี่จั๊มพ์”

“อ๋อ”

ผมหยักหน้าแทนการตอบ และก่อนที่ไอ้เตี้ยจะเดินไป มันก็ไม่ลืมทิ้งคำสั่งไว้ด้วย“อย่าลืมล็อกห้องนะ”

“ไม่ต้องล็อกก็ได้มั้ง เดี๋ยวมึงก็มาหนิ แป๊บเดียวเอง”

“กูจะกลับช้าหรือเร็วก็ต้องล็อก”

“แต่...”กำลังจะอ้าปากพูดประโยคที่อยู่ในหัวแต่ก็ถูกมันพูดขัดซะก่อน

“ต้องล๊อค”

“ไม่ดิ...”

“ต้องล็อก”

“…”

“ต้องล็อก”

“เออ”กูยอมแพ้มึงก็ได้!

“ก็แค่นี้”อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะหันหลังและเดินจากไป

“ก็แค่นี้”ล้อเลียนประโยคสุดท้ายที่มันพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย คอยดูเถอะไอ้เตี้ยจอมเผด็จการ กูจะล็อกห้องไม่ให้มึงเข้า!

พอล็อกประตูตามคำสั่งของไอ้นอร์ธเรียบร้อย ผมก็ไม่รอช้ารีบถอดรองเท้าและเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!


ยังไม่ทันที่ผมจะหายเหนื่อย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นติดๆกัน

มันไปเร็วมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ…

ผมยันตัวลุกขึ้นยืนและตรงดิ่งไปที่ประตู

“ทำไมมาเร็วขนาดนี้วะ...”

พอบานประตูถูกเปิด ผมก็ต้องร้องเชี่ยออกมาในใจเป็นพันๆครั้ง

“คิดถึงกูมั้ย น้องชายสุดที่รัก”

เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่ไอ้นอร์ธแต่เป็น

“พี่นันท์”

พี่ชายของผมเอง...

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นอะ นี่พี่ชายนะเว้ยไม่ใช่ผี”

“พี่นันท์มาทำอะไรที่นี่อะ”

“กูก็แค่อยากมาหา ทำไม เดี๋ยวนี้การจะมาหาเจอหน้ามึงมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมองข้ามหัวผมเข้าไปในห้อง เป็นเพราะพี่นันท์สูงกว่าผมหลายเซ็นต์มันเลยไม่ใช่เรื่องยากกับการที่เขาจะทำแบบนี้

“พี่นันท์มองหาอะไรอะ”

“เปล่า กูแค่รู้สึกว่าวันนี้มึงแปลกๆ”

“…”

“เลยสงสัยว่ามึงอาจจะซ่อนอะไรไว้ในห้อง”

“ไม่ได้ซ่อนอะไรทั้งนั้นแหละ”

“แน่เหรอ?”

“แน่ดิ”

“ใครจะไปรู้วะ มึงอาจจะซ่อนสาวไว้ก็ได้”

สาวอีกแล้ว... คนที่บ้านกูดูจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษนะ

“ไม่มีสาวไหนทั้งนั้นแหละ”

มีแต่หนุ่ม เนี่ย พอนึกถึงหนุ่ม ความกังวลก็เริ่มก่อตัวเพราะไอ้นอร์ธมันบอกว่าจะกลับมาที่ห้อง แล้วถ้ามันเจอพี่นันท์ขึ้นมาผมจะทำยังไงอะ คือผมไม่ได้ต้องการจะเก็บความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่เป็นความลับนะ แต่ที่กลัวเพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆแล้วอีกอย่างผมกับไอ้นอร์ธก็ยังเป็นแฟนระยะทดลองกันอยู่  เลยยังไม่กล้าที่จะยืนยันสถานะของเราทั้งคู่กับคนรอบตัวสักเท่าไหร่ เผื่อวันใดวันหนึ่งมันเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

“ให้มันจริงเถอะ แล้วนี่ใจคอมึงจะปล่อยให้พี่ชายยืนอยู่แค่นอกห้องเหรอ”

พอได้ยินแบบนั้นผมก็หลีกทางให้พี่นันท์เดินเข้ามาในห้อง

เราทั้งคู่อายุห่างกันหลายปี กว่าผมจะขึ้นมหา’ลัย พี่นันท์ก็ทำงานแล้ว และมันเหมือนจะเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ พอเรามีพี่หรือน้องเราก็มักจะถูกเปรียบเทียบ ผมนี่โดนเป็นประจำเลย

ซึ่งผมก็คิดนะ ว่ามันไม่สามารถเอามาเทียบกันได้เลย ก็มันเป็นคนละคนกัน พยายามให้ตายยังไงก็ไม่เหมือนกันหรอก

ผมปล่อยให้พี่นันท์ได้เดินสำรวจห้อง ส่วนตัวเองก็เดินมาหยิบน้ำออกจากตู้เย็นและเทใส่แก้ว ก่อนจะเอามันมาวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา“นี่น้ำนะพี่นันท์”

“เออ”

“…”

“แล้วนี่มึงกลับเวลานี้ทุกวันเลยหรือเปล่า”

“ก็เกือบทุกวันนะ ยกเว้นแค่วันศุกร์”ผมเอ่ยตอบพลางทิ้งตัวลงนั่ง

“อ๋อ ตอนแรกแม่บอกว่ามึงกลับหอมืดทุกวัน กูก็ไม่คิดว่ามันจะมืดขนาดนี้”

“ช่วงนี้มันมีเข้าห้องเชียร์ด้วยไง ไนซ์เลยกลับมืด แต่เหลือเข้าอีกแค่ไม่กี่ครั้งหรอก ต่อไปคงไม่ได้กลับมืดแล้ว”

อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆก่อนจะถามต่อ“แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี”

“เหรอ”

“อื้อ”

“แล้วมึงกินข้าวยัง”พี่นันท์ถามพลางเดินมาทิ้งตัวข้างผม

“ยังเลยอะ พี่นันท์ล่ะกินมาหรือยัง”

“กูก็ยังเหมือนกัน”

“...”

“แถวนี้มีร้านไหนอร่อยบ้างล่ะ เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าวเย็น”

“เอ่อ...”

ผมกระอักกระอ่วน ใจหนึ่งก็กลัวว่าถ้าไปแล้วนอร์ธกลับมามันจะไม่เจอใคร แต่อีกใจก็อยากตอบตกลงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย อย่างน้อยๆมันก็สามารถขัดขวางการเจอกันครั้งนี้ของไอ้นอร์ธกับพี่นันท์ได้

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่ให้เวลาผมคิดสักเท่าไหร่

เพราะยังไม่ทันจะหาทางออกของปัญหาได้ ท่านก็ส่งไอ้นอร์ธกลับเข้ามา...

ตาผมเบิกโพลงหันไปมองที่บานประตู ก้อนเนื้อที่ออกข้างซ้ายเต้นแรงราวกับว่ามีคนมารัวกลองชุดอยู่ข้างใน

ฉิบหายแล้ว...

“ใครมาวะ”

พี่นันท์ขมวดคิ้วถาม ผมใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อคิดหาคำตอบออกจากสมองอันน้อยนิดของตัวเอง“น่าจะเพื่อนไนซ์แหละมั้ง เดี๋ยวไนซ์ขอไปดูก่อน”

พูดจบก็รีบลุกจากโซฟาแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไปไหน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกระลอกแต่รอบนี้มันมีเสียงอื่นเพิ่มเข้ามาด้วยนี่สิ

“แมวอ้วนเปิดประตูให้กูหน่อย”


ถึงกับชะงักและหันกลับไปมองพี่นันท์ที่ตอนนี้ขมวดคิ้วหนักเข้าไปใหญ่

“แมวอ้วนคือใครวะ ชื่อมึงเหรอ”

“เอ่อ… คือ”เอายังไงดีวะกู

ในระหว่างที่กำลังคิดหาคำอธิบายให้กับฉายาแมวอ้วน จังหวะนรกของผมก็ไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันยังตามมาด้วยคอมโบชุดใหญ่ที่ต้อนผมให้จนมุม

“มัวทำอะไรอยู่วะ”

“...”

“ปล่อยให้แฟนรอนานมันไม่ดีนะแมวอ้วน”

กูเกลียดมึงไอ้เตี้ยหัวล้านจังหวะนรก!

รอบนี้พี่ชายผมไม่นั่งเฉยเหมือนอย่างเคย พี่นันท์ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนจะพูดด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

“ข้าวเอาไว้ทีหลังก็ได้”

“...”

“แต่ตอนนี้กูต้องการคำอธิบายอะไรนิดหน่อย”

พูดจบเขาก็รับหน้าที่เป็นคนเปิดประตูแทนผม กูร้องไห้แล้ว นึกถึงบุญกุศลที่ตัวเองเคยก่อ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงปกปักรักษาและช่วยให้นายอดิรัตน์รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยเถิด สาธุ






[ ทิศเหนือคนจริง ]



ผมกระชับสายสะพายของกระเป๋ากีตาร์ยืนรอแมวอ้วนอย่างมีความหวัง นับตั้งแต่การเคาะประตูครั้งแรกมันก็ผ่านมาตั้งหลายนาที แต่แมวอ้วนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะออกมาเปิดประตูให้

มันหลับหรือเปล่าวะ...

กำลังจะเอื้อมมือไปเคาะอีกทีแต่ก็ต้องหดมือกลับก่อน เพราะอยู่ดีๆลูกบิดประตูก็ถูกหมุน ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากคาดหวังว่าจะได้เจอแมวอ้วนยืนคิ้วขมวดทำหน้างออยู่หลังบานประตู

แต่ความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้าม เพราะคนที่ยืนสบตาผมอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แมวอ้วน แต่เป็นใครหน้าไหนก็ไม่รู้ที่โคตรจะสูงแถมหน้าตายังดีอีกด้วย รอยยิ้มของผมหุบลงซ้ำยังตามมาด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

กำลังจะเอ่ยปากถามว่าผู้ชายตัวสูงนี่คือใคร แต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยเสียงของแมวอ้วนที่พยายามแทรกตัวออกมาจากห้องและเดินมายืนข้างกัน มันยื่นมือมาจับชายเสื้อผมก่อนจะกระตุกเบาๆ

“นอร์ธ”

“...”

“นี่พี่นันท์”

“...”

“พี่ชายกูเอง”

จบประโยคผมก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นมาไหว้พี่ชายแมวอ้วนแบบงงๆ

“สวัสดีครับ”

กูไปแค่ไม่กี่นาที ทำไมอยู่ดีๆพี่ชายมันมาโผล่ในห้องได้วะ พออีกฝ่ายรับไหว้เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงยิ่งคำถามใส่ผมทันที

“ชื่อนอร์ธเหรอมึงอะ”

“ใช่ครับ”

“เรียนอยู่คณะเดียวกัน?”

“ครับ”

“แล้วจบมาจากไหน”

“จบมาจากโรงเรียน SN ครับ”

กูพูดเลยว่ามีหางเสียงทุกประโยค ถึงจะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่ไหนๆก็มีโอกาสแล้ว นายทิศเหนือก็ขอทำคะแนนกับพี่ชายแมวอ้วนสักหน่อย

ความประทับใจแรกสำคัญเสมอ ผมเชื่อแบบนั้น

“เด็กโรงเรียนตรงข้ามนี่หว่า”

“ครับ”

ผมตอบทุกคำถามอย่างฉะฉาน จนกระทั่งมาถึงคำถามสุดท้ายที่ทำเอาไปต่อไม่เป็น

“แล้วมึงเป็นอะไรกับน้องชายกู”

ผมเอาแต่นิ่งเงียบก่อนจะหันมามองแมวอ้วนที่ยืนอยู่ข้างกาย ใบหน้าของมันมีแต่ความกังวล แมวอ้วนเอาแต่ยืนกำชายเสื้อผมแน่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ผมไม่รู้ว่าแมวอ้วนต้องการให้ผมตอบยังไง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่ชายมันอยากได้คำตอบแบบไหนจากปากของผม

แต่ดูจากรูปการณ์... ถ้าเขากล้าที่จะถามแบบนี้นั่นก็แปลว่าเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมกับแมวอ้วนเราเป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นการจะโกหกว่าเราทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกันคือตัดทิ้งไปได้เลย เพื่อป้องกันการที่ถูกมองในแง่ลบและปัญหาที่จะตามมาภายหลัง คว้าเอามือของคนข้างกายที่กำชายเสื้อของผมอยู่มาประสานเข้ากับมือตัวเองพลางหันมาสบตากับพี่นันท์ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติและความกล้าก่อนจะเปล่งคำบางคำออกมา

“แฟนครับ”

“...”

“ผมกับไนซ์เราเป็นแฟนกัน”




[ อดิรัตน์คนคูล ]



“ผมกับไนซ์เราเป็นแฟนกัน”

ผมมองมือของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายประสานนิ้วทั้งหน้าจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันสลับกับเสี้ยวหน้าของไอ้นอร์ธ ไม่คิดว่ามันจะกล้าตอบพี่นันท์ออกไปแบบนั้น เพราะขนาดตัวผมเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าเราสองคนจะไปกันรอดมั้ย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่นันท์จะว่ายังไง หากรู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน

ถึงจะมีการเตรียมใจมาแต่เนิ่นๆแล้วก็เถอะว่าวันหนึ่งถ้าคบกันผมต้องพาไอ้นอร์ธไปรู้จักกับที่บ้าน แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมคิดไว้ไง ยังไม่ทันพ้นช่วงทดลองเป็นแฟนกันเลยด้วยซ้ำนอร์ธมันก็ชิงบอกไปก่อนแล้ว

ผมหันมาสบตากับพี่ชายตัวเองด้วยความกังวล แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมามันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิดไว้ลิบลับเลย...

“เออ มึงแม่งตรงดีว่ะ กูชอบ”

คำตอบของพี่นันท์ทำเอาผมต้องถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป

“พี่นันท์ไม่โกรธเหรอ”

เจ้าของชื่อหันมาขมวดคิ้วใส่“มึงจะให้กูโกรธเรื่องอะไร”

“ก็ที่ไนซ์กับไอ้นอร์ธเป็นแฟนกันไง”

“กูไม่โกรธมันก็ดีแล้วมั้ย หรือมึงจะให้กูโกรธ”

“ไม่เอา”ผมรีบยกมือปฏิเสธ“ไนซ์ก็แค่สงสัยเฉยๆไง คิดว่าพี่นันท์จะโกรธ”

“กูจะโกรธทำเหี้ยอะไร ลำพังแค่คนเด๋อๆแบบมึงมีคนมาชอบ กูก็ดีใจไปสามวันแปดวันแล้ว”

“...”

“และอีกอย่างไอ้เตี้ยนี่ก็ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไร”พูดจบก็หันไปมองไอ้นอร์ธ“มึงก็คงไม่ได้เข้ามาเพื่อหลอกน้องกูหรอก จริงมั้ย”

“ครับ”

“กูอะเป็นแค่พี่มึง ไม่มีสิทธิ์ไปบงการชีวิตมึงหรอก”ประโยคนี้พี่นันท์หันมาพูดกับผม“คนที่มีอิทธิพลมากสุดคือแม่กับพ่อโน่น ถ้ามึงจะกลัว มึงต้องกลัวสองคนนั้นโกรธไม่ใช่กู”

พูดจบก็ยื่นมือมาดีดหน้าผากผม

“เข้าใจมั้ยไอ้เด็กโง่”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อยู่ดีๆก็รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่พี่นันท์พูดแบบนั้นออกมา ถึงบางครั้งพี่นันท์จะดูเป็นคนเจ้าอารมณ์และไร้เหตุผล แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าครั้งนี้พี่นันท์น่ะ โคตรเท่เลย!






หลังจากวิกฤตของพวกเราผ่านพ้นไป พี่นันท์ก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็นเราทั้งสองคนที่ร้านอาหารใกล้ๆหอ ตอนแรกก็ดีใจนะที่พี่นันท์ไม่ได้โกรธและดูจะเข้ากับไอ้นอร์ธได้ดี

แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนความคิด!

เพราะตั้งแต่เดินออกมาจากห้องจนกินข้าวเสร็จ ผมก็ถูกถอดยศจากน้องชายสุดที่รักโดยอัตโนมัติ กลายเป็นเพียงหมาข้างถนนตัวหนึ่งที่เข้าไปนั่งร่วมบนโต๊ะอาหาร

ทั้งคู่คุยกันไม่หยุดส่วนบทสนทนาที่ใช้คุยจะเป็นเรื่องอะไรได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของผม

งานนี้พูดเลยว่าเผากูกันยับ

ผมนี่แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหรือไม่ก็กัดลิ้นให้ตัวเองตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

“พี่มึงนี่คุยสนุกเหมือนกันนะ”

“สนุกมึงคนเดียวน่ะสิ”

อีกฝ่ายหัวเราะร่วน พอจัดการกับมื้อเย็นจนพุงกางผมก็อาสามาส่งไอ้นอร์ธที่หน้าหอโดยให้พี่นันท์ขึ้นไปรอบนห้องก่อน

“แล้วนี่มึงจะกลับยังไง”ผมถามพลางก้มดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ

นี่ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว...

“ก็คงต้องรถเมล์แหละ”

“อ๋อ ให้กูไปส่งที่ป้ายรถเมล์มั้ย”

“ไม่ต้องหรอก มึงส่งกูแค่นี้ก็พอ”

ในเมื่ออีกฝ่ายว่ามาแบบนั้นผมจะไปขัดอะไรมันได้

“แมวอ้วน”

แต่ในตอนที่กำลังอ้าปากบอกกับมันว่าแล้วแต่มึง ไอ้นอร์ธมันก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน สุดท้ายเลยได้แต่เลิกคิ้วรอฟังว่ามันจะพูดว่าอะไร

“ไว้กูจะพามึงไปเจอคนที่บ้านกูบ้างนะ”

ถึงจะแอบดีใจที่ได้ยินคำนั้นออกมาจากปากมัน แต่ความสับสนก็ประเดประดังเข้ามาไม่ต่างกัน

ก็อย่างที่บอกไป... ผมยังไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของเราสักเท่าไหร่

“มึงแน่ใจแล้วเหรอวะนอร์ธ”

“ทำไมมึงถามแบบนั้นวะ”

“ก็… กูยังไม่แน่ใจอะ ว่าอนาคตเราสองคนจะไปด้วยกันรอดมั้ย”

“...”

“เลยถามเผื่อไว้ไง สมมติว่ามึงพากูไปเจอคนที่บ้านแล้ววันหนึ่งเราไปด้วยกันไม่รอด กูก็กลัวว่าคนที่บ้านมึงจะผิดหวัง”

“ก็ช่างหัวอนาคตมันดิ”

“...”

“สนแค่ปัจจุบันไม่ดีกว่าเหรอวะ”

ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก เพราะนอกจากหน้าตานอร์ธจะจริงจัง เสียงมันยังดังขึ้นอีกด้วย

“แต่ตอนนี้เรายังเป็นแฟนระยะทดลองกันอยู่เลยนะเว้ย”

“ถ้าอย่างนั้นก็คบกับกูดิ”

“ห้ะ...”

“เป็นแฟนกับกู กูไม่อยากเป็นแล้วแฟนระยะทดลองอะไรเนี่ย กูอยากจริงจังกับมึงแล้ว”

“...”

“เป็นแฟนกันนะแมวอ้วน”

ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเรียกสติให้กลับเข้ามาอยู่ที่ตัว เรียบเรียงคำพูดมากมายที่อยู่ในหัว ผมไม่รู้ว่าคำถามนั้นพาตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง

“เดี๋ยวดิ เรายังศึกษากันไม่ครบทุกมุมเลยนะเว้ย”

“เหลืออะไรให้ศึกษาอีกล่ะ นอกจากเยกันแล้วพาไปบ้านมันก็ไม่เหลืออะไรให้มึงศึกษาแล้ว”

หากนอร์ธใจเย็นๆแล้วฟังไนซ์สักหน่อย ไม่มีแผ่วเลยนายคนนี้

“ไม่ดิ...”

ยังไม่ทันที่คำถามของจะส่งไปหามันจนจบประโยค อีกฝ่ายก็พูดขัดอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นกูขอถามมึงอย่างหนึ่งได้มั้ย”

“ถามอะไรวะ”

“ตอนนี้ชีวิตมึงมีความสุขมั้ย”

“มึงถามทำไมอะ”

“ตอบมาเถอะ เอาตามตรงเลย”

ผมสบกับตาคมคู่นั้นอีกครั้ง อยู่ดีๆก็รู้สึกปากหนัก กว่าจะเอ่ยออกมาได้แต่ละคำก็ช่างยากลำบาก

“ก็… มี”

“มากมั้ย”

“มาก”

“แล้วความสุขของมึง”

“...”

“มีกูอยู่ในนั้นหรือเปล่า”

คำถามสุดท้ายทำเอาผมปากหนักมากกว่าเดิม คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ถ้าไม่นับเรื่องที่มันทำให้ผมร้องไห้วันนี้…

“ก็… มี”

นอร์ธมันก็เป็นความสุขของผมมาโดยตลอด

“เนี่ย แค่นี้ก็เป็นแฟนกันได้แล้ว”

“อย่าเพิ่งดิ”ผมร้องห้าม“กูขอถามมึงกลับบ้าง”

เพราะยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากรู้และหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้

“ถามอะไร”

“ถ้าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน… กูหมายถึงหลังจากนี้อะ”

“...”

“มึงจะหายไปมั้ยวะ”

แววตาคู่นั้นหม่นลงเล็กน้อย ก่อนอีกฝ่ายจะสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดและเสมองไปทางอื่น

“กูก็ยืนยันไม่ได้เหมือนกันว่าจะหายไปมั้ย”

นอร์ธมันตอบโดยไม่ยอมหันมาสบตากับผม

“แต่ถ้าไม่ได้หายไป กูก็คงจะเหมือนเดิมกับมึงไม่ได้”

“...”

“อาจจะคุยกับมึงน้อยลงหรือไม่... ก็พยายามหลบหน้ามึง”

“…”

“มึงถามทำไมวะ หรือคำตอบของมึงไม่ใช่อย่างที่กูหวัง”

คำถามนั้นถูกส่งมาพร้อมดวงตาของมันที่หันมาสบกับผมอีกครั้ง

“ไม่ใช่แบบนั้น”

ผมรีบตอบพร้อมส่ายหน้าก่อนที่มันจะคิดไปไกลกว่านี้

เอาจริงๆความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นอร์ธที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้ต่างจากตอนเป็นเพื่อนกันสักเท่าไหร่

อาจจะมีแค่บางอย่างที่เปลี่ยนไป เช่นดูแลผมดีขึ้น ตามวอแวผมมากขึ้น ส่วนเรื่องอื่นๆก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยเฉพาะปากยังที่หมาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้แย่ไง เพราะผมก็ใช่ว่าจะพูดเพราะๆกับมัน

ในเมื่อใช้เหตุผลนี้มาช่วยตัดสินไม่ได้ ผมก็คงต้องเลือกความสบายใจของตัวเองเป็นหลัก

ไม่รู้หรอกว่าที่ตัวเองตัดสินใจจะใช่ทางที่ดีที่สุดหรือเปล่า แต่ถ้าถามว่าระหว่างกลัวคนที่บ้านนอร์ธผิดหวังกับกลัวไม่มีมันอยู่ในชีวิต

“แล้วคำตอบของมึงคืออะไร?”

“...”

“ตกลง?”

ผมขอเลือกกลัวอย่างหลังดีกว่า

“อือ”

“...”

“เป็นแฟนกัน”



#ทิศเหนือของผม


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เขาเป็นแฟนกันจริงๆแล้วววว :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ตอบแบบคนคูลไปเลยนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สถานะเรียนรู้กันก็เลยหมดไป กลายเป็นสถานะแฟนไปแล้ว

สงสัยต้องขอบคุณคุณพี่ชายโนะ

ออฟไลน์ Payumoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: #ทิศเหนือของผม ตอนที่ 25
«ตอบ #115 เมื่อ19-05-2020 11:17:34 »

25

ทิศเหนือกับความรักสุดมหัศจรรย์





[ ทิศเหนือคนจริง ]



9 เดือนที่แล้ว...




ผมจำได้ไม่แน่ชัดว่าเจอกับเขาครั้งแรกเมื่อไหร่ เช่นเดียวกันผมก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุของการตกหลุมรัก

เด็กผู้ชายคนนั้น...

คนที่มักจะปั่นจักรยานกลับมาที่หน้าโรงเรียนของตัวเองเป็นเวลาเดิมทุกวัน เพื่อเอาไก่ย่างมาให้หมาตัวโตตัวนั้น

หมาตัวเดิม จักรยานคันเดิมและคนคนเดิม

มีใครบางคนเคยบอกว่าเรามักจะตกหลุมรักความธรรมดา ตอนได้ยินครั้งแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก จนได้มาเจอกับตัวเองนี่แหละ

เขาทำให้กิจกรรมยามเย็นของผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง หลังจากเตะบอลเสร็จผมก็ต้องรีบออกมายืนหน้าโรงเรียน เพื่อรอดูเขาให้ไก่ย่างกับหมา

โรแมนติกสัด...

แต่ถึงกระนั้นการตกหลุมรักครั้งนี้ของผมมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวัง เพราะเรื่องของเขาถูกนำไปพูดกันอย่างหนาหูในโรงเรียนของผม พูดในด้านดีบ้าง ไม่ดีบ้าง มีแม้กระทั่งเอาไปหัวเราะเยาะกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ว่าเขาเพี้ยนที่เอาแต่ยืนคุยกับหมาเป็นระยะเวลาหลายนาที ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน ออกจะน่ารักด้วยซ้ำไป

หน้าเหมือนแมวแต่ยืนคุยกับหมา

“ไอ้เพี้ยนอีกแล้วเหรอวะ”

เสียงของใครบางคนดังขึ้นจนทำให้คิ้วของผมขมวด หันไปก็เจอไอ้ตองห้องสามกำลังชะเง้อมองไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามก่อนมันจะหันไปหัวเราะกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันพูดแบบนี้...

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คนอย่างไอ้ตองถึงได้มีอิทธิพลในโรงเรียนเป็นอย่างมาก ไม่ว่ามันจะพูดหรือทำอะไร คนส่วนใหญ่ก็ต้องเห็นดีเห็นงามตามมันไปซะหมด

ไม่เว้นแต่เรื่องไม่ดี

เพราะไอ้ตองเป็นหนึ่งในคนที่อยู่เล่นฟุตบอลกับผมทุกเย็น มันเลยได้เจอกับเขาคนนั้นและทุกครั้งที่มันเจอก็มักจะมีคำพูดหมาๆออกมาจากปากของมันเสมอ

ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินคงต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆ

ผมถอนหายใจกำลังจะก้าวขาออกจากจุดที่ตัวเองยืน อยู่ต่อไปก็มีแต่อารมณ์เสีย ไม่มีใครอยากได้ยินเรื่องของคนที่ตัวเองชอบถูกพูดถึงในทางไม่ดีหรอก

“มึงว่ามันคุยกับหมารู้เรื่องปะ”

แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนผมก็ต้องชะงักเพราะคำพูดของไอ้ตอง

“กูว่าไม่หรอก ถ้าคุยรู้เรื่องป่านนี้คงไม่มาเรียนหรอกไปอยู่โรง’บาลบ้าโน่น”

แทนที่จะห้ามกัน เพื่อนไอ้ตองกลับเสริม

ใครว่าอยู่ชายล้วนแล้วจะไม่มีเรื่องนินทา แนะนำให้เปลี่ยนความคิดนั้นใหม่ ดูอย่างไอ้พวกนี้เป็นตัวอย่าง ไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมแบบไหน จะเล็กหรือใหญ่ เราก็ต้องเจอกับคนประเภทนี้อยู่เสมอ

ไอ้พวกปากอยู่ไม่สุขชอบพูดให้คนอื่นรู้สึกแย่เนี่ย แค่หุบปากแล้วไม่พูดระรานคนอื่นมันจะตายหรือไง

“เฮ้ย พวกเรามาดูไอ้เพี้ยนคุยกับหมาดิ”

สิ้นเสียงของมันราวกับทุกคนที่ยืนอยู่รอบตัวผมรู้ว่าไอ้เพี้ยนที่ไอ้ตองมันพูดถึงคือใคร สายตาหลายสิบคู่พากันมองไปที่อีกฟากของถนน ถึงนี่จะเป็นเวลาเย็น จำนวนคนที่ยืนอยู่หน้าโรงเรียนก็มีไม่ต่ำกว่าสิบคน

“สงสัยเพื่อนไม่คบมั้ง”

“…”

“หรือบางทีก็อาจจะคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องจนต้องมาคุยกับหมา”

หลังจากฟังมานาน ความอดทนของผมก็ขาดผึง กัดฟันกรอดเดินไปหาคนที่ยืนห่างจากผมไม่ถึงสิบก้าว อีกฝ่ายหน้าถอดสีตอนผมพุ่งตัวเข้าไปหา

“มึงเป็นเหี้ยอะไรกับเขามากปะตอง”

“…”

“ปากนี่จะอยู่เฉยๆไม่ได้เลยเหรอ”

มันนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดหาคำพูดที่จะใช้โต้เถียงกับผม

“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วยวะนอร์ธ ปากก็ปากกูมั้ย”

“แล้วที่บ้านมึงไม่สอนเหรอว่าถ้าปากมันพูดดีไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดอะ”

“มึงลามปามเหรอวะ”จากที่เป็นคนบุก ตอนนี้ผมถูกกระชากคอเสื้อกลับ จากตอนแรกที่หน้าโรงเรียนที่เคยมีคนอยู่เพียงหย่อมหนึ่ง ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“เฮ้ย มีไรกันวะ ไอ้เหี้ยนอร์ธ!”ซีอิ๊ววิ่งเข้าหาผมก่อนจะพยายามแยกผมกับไอ้ตองออกจากกัน“พวกมึงเป็นเหี้ยอะไรกันเนี่ย ทะเลาะกันเรื่องอะไร”

“มึงก็ถามเพื่อนมึงเองเถอะ อยู่ดีๆก็มาด่ากู ไปปกป้องไอ้เหี้ยนั่นทำเหี้ยอะไรก็ไม่รู้”

“…”

“สงสัยจะเพี้ยนเหมือนกัน”

“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรล่ะ”ผมสะบัดตัวจนหลุดออกจากการจับกุมซีอิ๊ว พุ่งหมัดเข้าไปที่หน้าของไอ้ตองจนอีกฝ่ายล้มไปกองกับพื้น พอลุกขึ้นได้มันก็ไม่ยอมให้ผมได้ทำฝ่ายเดียว ซัดหมัดเข้ามาที่หน้าของผมอย่างจัง ตอนแรกก็ทำหน้าที่เป็นผดุงความยุติธรรมอยู่หรอก แต่ตอนนี้ผมใช้อารมณ์ของตัวเองล้วนๆ หลายสิบหมัดที่ผมต่อยมันไป ถูกมันต่อยคืนมาในจำนวนที่เท่ากัน

ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าของเหลวที่อยู่ในปากของตัวเองมันคือน้ำลายหรือว่าเลือด

ความชุลมุนเกิดขึ้นได้ไม่นาน แล้วทุกอย่างก็ต้องยุติ เพราะครูฝ่ายปกครองเดินออกมาจากโรงเรียนและจับผมทั้งสองคนแยกออกจากกัน สภาพตอนนี้พูดเลยว่าดูไม่ได้

เพราะนอกจากขาแว่นจะหัก ปากผมก็ยังแตกอีก เป็นเพราะนี่ไม่ใช่การมีเรื่องครั้งแรก ผมเลยรู้ดีว่าพรุ่งนี้ร่างกายของตัวเองต้องใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาจจะถึงขั้นระบมและฟกช้ำไปทั้งตัว

ไอ้ตองมันต่อยแค่ที่หน้าผมซะที่ไหน หมัดที่มันต่อยมาแม่งโดนตั้งแต่ส่วนหัวไปถึงช่วงเอว

และแน่นอน เรื่องมันไม่ได้จบแค่ต่อยกันแล้วกลับบ้านไปอย่างสบายใจ

พรุ่งนี้ทั้งผมและไอ้ตองถูกเรียกพบผู้ปกครอง...






“มึงนี่จริงๆเลยนะนอร์ธ”

“…”

“แล้วจะไปบอกพ่อกับแม่มึงว่ายังไงเนี่ย”

ผมหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างกัน ซีอิ๊วมันบ่นผมตั้งแต่โรงเรียน จนตอนนี้มาถึงหน้าปากซอยบ้านผมมันก็ยังไม่เลิกบ่น แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ผมเดินได้ช้ากว่าทุกวัน เพราะหมัดของไอ้ตองมันสำแดงเดชเร็วกว่ากำหนด กูนี่ระบมไปหมด

“ก็ไม่ต้องบอก”

“ไม่บอกได้ยังไงไง ไอ้ตรงอื่นอะโกหกได้แต่ดูที่ปากมึงดิ จะไปโกหกเขาว่าไง สะดุดขาตัวเองล้มแล้วปากแตกเหรอ”

“เป็นความคิดที่ดี”

“ดีบ้านมึงสิ”มันว่าก่อนจะใช้นิ้วกดมาที่ปากผมจนต้องทำหน้าเบ้

“เจ็บนะเว้ย”

“เจ็บก็จำ ยังไงวันนี้มึงก็ต้องบอกที่บ้านอะ ไม่อย่างนั้นวันเฉลิมตามถึงบ้านมึงแน่”

“ก็ช่างหัวเขาดิ”

เพื่อนตัวสูงถอนหายใจ พระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน ย้อมทุกอย่างรอบตัวผมให้กลายเป็นสีส้ม“กูถามมึงจริงๆเลยนะนอร์ธ”

“…”

“มึงไปมีเรื่องกับไอ้ตองมันทำไมวะ”

“ก็มันปากหมา”

“คนอย่างไอ้ตองมันก็ปากหมาปกติอยู่แล้วมั้ย”

“แต่มันไปว่าเขา”

อิ๊วขมวดคิ้ว“เขาไหนวะ”

“คุณโรงเรียนตรงข้าม”

ซีอิ๊วเป็นเพื่อนสนิทของผม มีอะไรผมก็มักจะเอาไปปรึกษามันเป็นคนแรกๆตลอด รวมถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มันจะรู้ว่าคุณโรงเรียนตรงข้ามคือใคร

“อ๋อ ไนซ์”

“มึงรู้ชื่อเขาแล้วเหรอ?”ผมเลิกคิ้วถาม

“เออ ตอนกูไปล้างหน้ากูเจอไอ้ซันพอดีเลยหลอกถามมันมา เห็นมันมีเพื่อนอยู่โรงเรียนนั้นเยอะ”

“…”

“มันบอกว่าคุณโรงเรียนตรงข้ามของมึงอะชื่อไนซ์ เป็นเพื่อนของเพื่อนมันเอง”

“มึงแน่ใจนะว่าถูกคน”

“แน่ดิ ไนซ์คนรู้จักเยอะจะตายแถมนิสัยดีด้วย”

“อันนี้รู้ด้วยตัวเอง?”

“เปล่า ไอ้ซันบอกมาอีกที แต่เชื่อกูเถอะว่าถูกคน กูเช็กมาแล้ว”

ผมได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ถือว่าวันนี้ซีอิ๊วมันทำได้ดี เพราะอย่างน้อยผมก็รู้ข้อมูลของเขาเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง

เป็นคนหน้าเหมือนแมวที่ชื่อว่าไนซ์






“แน่วแน่ยิ่งกว่าการเรียน”

ผมหันไปขมวดคิ้วใส่คนที่ยืนอยู่ข้างกัน ซีอิ๊วจิ้มลูกชิ้นเข้าปากก่อนจะพูดทั้งๆที่ยังเคี้ยวไม่ทันหมด

“ทำไมมึงจีบเขาให้จบๆไปเลยวะ แอบมองมาตั้งนานละ”

“สามอาทิตย์เอง”

วันนี้ผมก็มายืนรอเขาที่หน้าโรงเรียนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ต่างกันแค่วันนี้ไม่มีบอลให้เตะ แหงล่ะ เมื่อวานผมกับไอ้ตองเล่นต่อยกันหน้าโรงเรียนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆขนาดนั้น คงจะมีคนอยากชวนไปเล่นด้วยหรอก

เมื่อเย็นพอกลับบ้านไปผมก็โดนเทศน์ชุดใหญ่จากทั้งพ่อและแม่ พอเทศน์เสร็จพวกท่านก็ถามหาเหตุผลของการกระทำ แน่นอนว่าบ้านของผมเป็นแบบนี้มาตลอด พ่อแม่ของผมท่านก็เป็นคนปกติทั่วไป มีอารมณ์โกรธและไม่พอใจ ซึ่งผมก็เข้าใจตรงนี้ดี ถ้าหากวันหนึ่งผมได้เป็นพ่อคนแล้วเห็นลูกชายตัวเองกลับมาบ้านในสภาพเดียวกับผมเมื่อวาน ก็ต้องเลือกที่จะบ่นก่อนอยู่แล้ว

พวกท่านสอนผมตลอดว่าทุกการกระทำมีเหตุและผลของมันอยู่เสมอ เพราะแบบนี้ท่านเลยเลือกที่จะบ่นและฟังเหตุผลของผมประกอบไปด้วย แต่เพราะรู้สึกว่ายังไม่ควรพูดเหตุผลทั้งหมดให้พวกท่านรับรู้ เลยไม่ลงรายละเอียดอะไรมาก พูดแค่ว่าเข้าไปเตือนไอ้ตองเพราะมันพูดจาไม่ดีใส่คนอื่น แต่มันไม่ฟังจนสุดท้ายเราทั้งคู่ก็เกิดมีปากมีเสียงและจบลงที่ต่อยกัน...

ส่วนการเรียกพบผู้ปกครองวันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงจะโดนทัณฑ์บนแถมยังตามด้วยครูวันเฉลิมด่าอีกหนึ่งชุดใหญ่ๆ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่ เพราะมันก็แลกมากับการเลิกปากหมาของไอ้ตองไปอีกสักพัก

“สามอาทิตย์มันก็เกือบจะเดือนแล้วมั้ย”

“…”

“จีบเลย เชื่อกู”ไอ้นี่ก็ยุให้กูจีบจังเลย

“ไม่เอา กูยังไม่พร้อม”

“แล้วมึงรออะไรอยู่วะ”

“กูไม่ได้รอ”

“…”

“แต่กูไม่กล้า”

อิ๊วมันถึงกับหลุดขำ“โห คนอย่างมึงเนี่ยนะไม่กล้า?”

“…”

“ทีตอนต่อยกับไอ้ตองไม่เห็นพูดงี้”

“ต่อยกับจีบมันเหมือนกันที่ไหนมึงก็รู้”

อีกฝ่ายยักไหล่“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่มึงเลย”

“…”

“แต่รีบหน่อยก็ดี เพราะเดี๋ยวเรียนจบมึงก็ไม่ได้มายืนมองเขาแบบนี้แล้ว”






สองเดือนต่อมา...



“มึงแน่ใจเหรอวะ”

ผมมองหน้าซีอิ๊วด้วยความไม่มั่นใจ

“เออ แผนนี้โอเคสุดแล้ว เชื่อกู”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ มึงเหลือเวลาไม่เยอะแล้วนะเว้ย”

ผ่านมาหลายเดือน ความสัมพันธ์ของผมกับไนซ์ก็ยังเหมือนเดิม

เป็นความสัมพันธ์ที่แอบมองเขาจากอีกฟากของถนน

โคตรกระจอกเลยทิศเหนือ

ผมมองกุหลาบแดงที่อยู่ในมือสลับกับใบหน้าของเพื่อนสนิทที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม

ต่างกับผมลิบลับเลย...

ดูท่าแผนสารภาพรักของซีอิ๊วคงพังไม่เป็นท่าแล้ว ครับ แผนสารภาพรัก อิ๊วมันบอกว่ามันใช้เวลาเกือบทั้งคืนในการคิดแผนนี้ให้ผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเสียเวลาทั้งคืนไปทำไม เพราะสุดท้ายก็มีแค่ดอกไม้กับคำสารภาพรักที่ก๊อปมาจากในหนัง

แต่ถึงมันจะยากหรือง่ายยังไง ผมก็ไม่กล้าทำอยู่ดี ฝั่งนั้นเป็นถึงไนซ์เลยนะ คนที่ผมแอบมองมาตั้งหลายเดือนอะ จะให้ไปสารภาพรักกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ใครจะไปกล้าวะ

“เอาไว้วันหลังได้ปะวะ”

“ไม่ได้ ไอ้ซันมันบอกว่ามอหกโรงเรียนนั้นจะมาโรงเรียนวันนี้เป็นสุดท้ายแล้ว ถ้าอยากเจออีกทีก็ต้องเป็นงานปัจฉิมเลย”

“เอาไว้วันปัจฉิมไม่ได้เหรอวะ”

“มึงรู้ล่วงหน้าหรือไง บางทีวันนั้นมึงอาจจะไม่ว่างก็ได้”

“แต่กูไม่กล้า”มือที่กำดอกกุหลาบของผมตอนนี้มันชื้นไปหมด

“ถ้าไม่บอกตอนนี้จะไปบอกตอนไหนวะนอร์ธ”

“…”

“มึงจะมีโอกาสได้เจอเขาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้”คำพูดของอิ๊วมันก็ทำให้ผมคิดเหมือนกันว่าควรจะก้าวข้ามความกลัวของตัวเองเพื่อไปสารภาพรักกับเขา

แต่อีกใจผมก็ยังรู้สึกกลัวอยู่...

“แต่กูไม่อยากผิดหวังว่ะ”

ผมกลัวความผิดหวัง

อีกฝ่ายถอนหายใจ“มึงจะกลัวทำไมวะ คนเรามันไม่เคยมีใครไม่ผิดหวังหรอก ถ้าเดินไปกับเขา คือมึงมีโอกาสอยู่ในมือแล้วห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามึงไม่เดินไป ทุกอย่างแม่งเป็นศูนย์เลยนะเว้ย”

“…”

“เลือกเอาก็แล้วกัน ว่าจะคว้าแขนเขาเอาไว้หรือปล่อยให้เขาหายไป”มันว่าก่อนจะบุ้ยปากไปที่โรงเรียนฝั่งตรงข้าม หันหลังไปผมก็พบกับเจ้าของจักรยานคันเดิม คนที่ผมแอบมองมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน หลังของผมถูกใครบางคนดันให้เดินไปข้างหน้า ซีอิ๊วกำลังส่งยิ้มให้ผมราวกับว่าทำแบบนี้แล้วผมจะมีความกล้ามากขึ้นอย่างนั้น

ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมเดินไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักเพราะความกระจอกของตัวเอง

ไนซ์ให้ไก่ย่างที่อยู่ในมือกับหมาตัวนั้น เขาคุยกับมันเหมือนที่เคยทำแถมวันนี้ดูจะพูดเยอะกว่าปกติด้วย

วันแรกเขาน่ารักยังไง วันนี้ก็น่ารักแบบนั้น

“ทำไมมึงไม่เดินไปวะ เดี๋ยวเขาก็กลับก่อนหรอก”ซีอิ๊วมันว่า ผมไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงยืนมองไนซ์นิ่งๆ ระหว่างที่ยืนมองเขาจากตรงนี้ผมก็มีเวลาได้คิดทบทวนอะไรนิดหน่อย

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัดสินใจถูกมั้ย...

แต่ผมก็ยังเป็นผมวันยังค่ำ วันแรกกระจอกยังไง

วันนี้ก็กระจอกแบบนั้น

“ให้เขาไปเถอะ”

“ทำไมวะ มึงจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปเหรอ”

“อือ”

“…”

“บางทีกูอาจจะเหมาะกับการยืนมองเขาจากตรงนี้ก็ได้”

ปล่อยให้เวลาล่วงเลยโดยที่ไม่ขยับไปไหน มองคนที่อยู่อีกฟากของถนนด้วยความรู้สึกที่ล้นเอ่อ ดีที่วันนี้หน้าโรงเรียนคนไม่เยอะ มันช่วยให้ผมได้ซึมซับกับภาพและความรู้สึกตรงหน้าได้อย่างเต็มที่

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เพราะในตอนที่เขากำลังเก็บของเตรียมตัวที่จะกลับ

เราทั้งคู่เหมือนจะสบตากัน

โลกทั้งใบของผมหยุดหมุน จุดโฟกัสเดียวที่มีในเวลานี้ก็คือเขา

ผมลอบยิ้มอยู่ภายในใจจนกระทั่งเขาหันหลังขึ้นคร่อมจักรยานและปั่นไป เราทั้งคู่ห่างไกลกันเรื่อยๆ ผมรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมดของตัวเองเพื่อตะโกนบอกเขาโดยไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะได้ยินมั้ย

“กลับบ้านดีๆนะ!”

ไว้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ จะกล้ามากกว่านี้






ผ่านมาหลายวันแล้วที่โรงเรียนฝั่งตรงข้ามไม่มีเขา ผมยืนมองหมาตัวนั้นที่เอาแต่ยืนรอให้ไนซ์มาหาโดยไม่รู้เลยว่าวันนี้ตัวเองต้องรอเก้ออีกแล้ว มันทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันไม่ต่างจากผมที่พยายามชะเง้อมองไปที่โรงเรียนฝั่งตรงข้ามทั้งๆที่รู้ว่ามองไปให้ตายก็ไม่เจอเขา

“ไปสารภาพรักตั้งแต่วันนั้นก็จบแล้ว”

ผมหันไปมองตาขวางใส่ซีอิ๊ว ไอ้นี่ก็ซ้ำเติมกูไม่เลิก

“เป็นคนชอบซ้ำเติมเพื่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่มึงปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปไง”

บางทีก็ตรงไป ถ้ากูอารมณ์อ่อนไหวง่ายคือยืนร้องไห้ไปแล้ว

“ถ้าวันนั้นทำตามที่กูบอกป่านนี้คงได้คบกันไปแล้ว”

“เว่อร์”

“ไม่เว่อร์หรอก ถ้ามึงเริ่มอะ อะไรแม่งก็เป็นไปได้”

“…”

“ตอนนี้เป็นไงล่ะ เหลือแค่หมาไว้ดูต่างหน้า”

หมา... ดูต่างหน้า

“อิ๊ว”พอได้ยินคำพูดนั้น ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว

“หือ”

“หมาตัวนั้นมันมีเจ้าของมั้ย”

“ตัวไหนวะ”มันขมวดคิ้วถาม

“ก็ตัวที่ไนซ์เอาไก่ย่างมาให้ทุกวันนั่นไง”

“มึงถามทำไม”

“ตอบกูมาเถอะหน่า”

“ก็... น่าจะไม่มีมั้ง”

ถือว่าเป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจ“งั้นดีเลย”

“ดีอะไรของมึงวะ”

“กูจะเอาหมาตัวนั้นไปเลี้ยง”

“ห้ะ!?”ซีอิ๊วร้องเสียงหลง“ไม่ได้มั้ย”

“ทำไมจะไม่ได้ ก็มึงบอกเองว่าเขาทิ้งหมาไว้ให้ดูต่างหน้า”

“กูแค่พูดให้มึงเห็นภาพเฉยๆมั้ยล่ะ แล้วอีกอย่าง เลี้ยงหมามันเรื่องใหญ่นะเว้ย แล้วนี่มึงก็ยังไม่ได้ปรึกษาที่บ้านเลย”

“ที่บ้านกูเข้าใจมึงเชื่อสิ”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้นแหละ มึงต้องช่วยกูเกลี้ยกล่อมหมาตัวนั้นให้ไปบ้านกูให้ได้”

“โอ๊ย ไอ้เหี้ยกูเครียด”






วันสอบสัมภาษณ์



“มึงคิดว่าเขาจะถามอะไรพวกเราบ้างวะ”

ผมหันไปถามซีอิ๊ว วันนี้เราทั้งคู่แต่งชุดนักเรียนถูกระเบียบตั้งหัวจรดเท้า สอบสัมภาษณ์ทั้งทีก็ต้องขอดูดีกันสักหน่อย

ชุดม้านั่งใต้ร่มไม้กลายเป็นที่นั่งรอเวลาสำหรับพวกผมทั้งคู่ ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะเหลือเวลาให้นั่งเปื่อยอีกตั้งชั่วโมงกว่า ผมคงไม่รีบแหกขี้ตาตื่นชวนซีอิ๊วมามหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าแบบนี้หรอก

“กูก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ตื่นเต้นฉิบหาย กลัวตอบไม่ได้”

“แต่เท่าที่กูอ่านรีวิวของพวกรุ่นพี่มา เขาบอกว่าอาจารย์ไม่ค่อยถามคำถามเครียดๆนะ”

“อย่าไปเชื่อ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

“ก็จริงของมึง”

“แล้วมึงออกมาจากบ้านตั้งแต่เช้าแบบนี้ไอ้ลัคกี้ไม่งงแย่เหรอ ตื่นมาไม่เจอเจ้าของ”

ลัคกี้ที่พูดถึงก็คือหมาตัวนั้นนั่นแหละครับ พอตัดสินใจว่าจะเอามันกลับไปเลี้ยง ผมก็ทำการขออนุญาตพ่อกับแม่ ไม่รู้จะใช้คำนี้ได้มั้ย เรียกว่าบอกเฉยๆน่าจะเหมาะกว่า เพราะกว่าพวกท่านจะรู้ก็ตอนผมพามันเข้าบ้านแล้วนั่นแหละ ไม่รู้หรอกว่าตอนอยู่กับไนซ์เขาเรียกมันว่าอะไร แต่ที่ผมตั้งชื่อนี้ให้ก็เพราะว่ามันคือตัวกลางที่ทำให้ผมได้มาเจอกับไนซ์

ถ้าไม่มีมัน... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชาตินี้จะได้รู้จักกับคนชื่อไนซ์มั้ย

“ไม่งงหรอก พ่อกับแม่กูก็อยู่”

“แต่มันติดมึง”

โอเค อันนี้ไม่เถียง ลัคกี้มันติดผมมากจริงๆ มาอยู่บ้านได้วันสองวันก็เดินตามผมต้อยๆราวกับเลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเจอหมาที่ไหนอัธยาศัยดีเท่านี้มาก่อนเลย

“เดี๋ยวกลับไปก็เจอกันแล้ว มันเองก็คงเข้าใจ”

“พูดอย่างกับมันฟังมึงรู้เรื่อง”

“อย่าดูถูกนะเว้ย ถ้าฝึกให้มันพูดได้กูคงทำไปแล้ว”อันนี้ผมพูดจริงไม่ได้โอเว่อร์ ลัคกี้มันฉลาดจริงๆ สั่งอะไรมันก็รู้เรื่อง ถึงบางทีจะแอบดื้อบ้างก็เถอะ

“อวยเข้าไป รักเหมือนลูก”

“ก็ลูกกู”

“เออลูกมึง แต่ไม่มีแม่นะ แม่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

“สัด”คำพูดแทงใจดำกูเหลือเกิน

“เฮ้ย”

ผมและซีอิ๊วถึงกับชะงักและยุติบทสนทนาของเราไว้แค่นั้น หันไปมองยังผู้มาเยือน

“ขอนั่งด้วยคนดิ ได้ปะ?”คำพูดคล้ายจะมาหาเรื่อง แต่มองจากแววตาก็ดูไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร

“เออ นั่งดิ”ซีอิ๊วเป็นคนเอ่ยปากอนุญาต ไอ้หนุ่มกางเกงดำไม่รอช้าทิ้งตัวลงตรงที่นั่งที่ยังว่างอยู่ วางแฟ้มของตัวเองลงกลางโต๊ะ

“กูชื่อไกด์นะ มาจากโรงเรียน D พวกมึงชื่ออะไรกัน”

“กูซีอิ๊ว โรงเรียน SN”

“กูนอร์ธ มาจากโรงเรียนเดียวกัน”

“พวกมึงมารอสอบสัมภาษณ์วิศวะเหรอ”

“เออดิ มึงรู้ได้ไงวะ”ซีอิ๊วเลิกคิ้วถาม

“ก็นี่มันคณะวิศวะ มึงจะให้กูเดาว่าพวกมึงมาสอบสัมภาษณ์รัฐศาสตร์กันเหรอ”พอเจอคำพูดขวานผ่าซากของไอ้ไกด์เข้าไป พวกผมก็ถึงกับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนซีอิ๊วจะหัวเราะแห้งๆออกมา

“มึงนี่อารมณ์ขันดีเหมือนกันเนอะ”

“เออ จริง”

ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดเสริมและหัวเราะกลบเกลื่อน

มันเข้าหาแบบนี้แปลว่าต้องการจะเป็นเพื่อนใช่มั้ยวะ

แล้วถ้าเป็นเพื่อนกัน... คำพูดขวานผ่าซากของมันจะไม่พาตีนมาหาพวกกูถูกมั้ย






วันแรกพบ




“มึงไลน์ตามไอ้ไกด์ดิ เดี๋ยวก็สายกันพอดี”ผมหันไปบอกซีอิ๊วที่ยืนอยู่ข้างกัน มันหยิบมือถือขึ้นมากดยิกๆก่อนจะปิดหน้าจอและเก็บลงกระเป๋าตามเดิม“เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ ไม่ต้องรีบหรอกหน่า”

“ถ้ารีบไปอย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้นั่งพักหายใจหายคอมั้ยล่ะ”

“แบบวันสอบสัมภาษณ์น่ะเหรอ ได้นั่งพักตั้งชั่วโมงกว่า”ต่อไปไม่ต้องเรียกมันว่าซีอิ๊วแล้ว ให้เรียกว่าไอ้จอมซ้ำเติม กูพลาดนิดพลาดหน่อยนี่ไม่ได้เลย!

หลังจากวันสอบสัมภาษณ์จนถึงวันนี้ ชีวิตของผมก็ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มรูปแบบ ลาก่อนนะชุดนักเรียนและวัยมัธยม ต่อไปจะมีแต่นายทิศเหนือวิศวะเท่านั้น!

ซึ่งแน่นอนว่าไอ้สามหน่อที่นั่งตรงม้านั่งด้วยกันวันนั้น ติดคณะเดียวกันหมดในวันนี้ บางทีที่ตรงนั้นอาจเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่มีใครเคยพบเจอก็ได้

ยืนรอไปได้สักพัก ไกด์มันก็ส่งข้อความมาหาซีอิ๊วว่าตอนนี้กำลังเข้าแถวรอลงทะเบียน ให้พวกผมเดินมาได้เลย

ไอ้หอกหัก! แล้วโทรมาบอกให้พวกกูยืนรอเพื่ออะไร!?

พอเดินมาลงทะเบียนเรียบร้อย พี่เขาก็เข้ามาผูกผ้าที่ข้อมือของผมก่อนพี่อีกคนจะยัดเสื้อสีแดงเลือดหมูและป้ายชื่อใส่มือพร้อมทั้งบอกรายละเอียดต่างๆ

“ไอ้ไกด์อยู่ไหนวะ”ผมถามซีอิ๊วที่เดินตามมาติดๆ เราทั้งคู่ช่วยกันมองหาจนสุดท้ายก็ไปสะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่ห่างจากผมไม่ถึงสามเมตร...

แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเขาก็จะยังเป็นคนที่เด่นชัดที่สุดในสายตาของผมเสมอ

ไนซ์...

แรงสะกิดเกิดขึ้นที่สีข้าง ผมหันไปมองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“คนที่นั่งใกล้ๆไอ้ไกด์ ใช่ไนซ์ปะวะ”

“เออ... ใช่ ไนซ์ตัวเป็นๆเลย”

ผมละบทสนทนาของเราไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปหาไอ้ไกด์โดยทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

ห้ามมีพิรุธนะนอร์ธ ทำขรึมไว้ มึงจะให้เขารู้ว่ามึงชอบเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันไม่ได้! แต่ยอมรับเลยว่าตอนนี้ใจเต้นแรงฉิบหาย ถ้ามันเด้งออกมาได้คงทำไปนานแล้ว

“มึงนี่ไอ้นอร์ธกับไอ้ซีอิ๊ว เพื่อนกูเอง”

ไกด์มันแนะนำผมให้ไนซ์กับเพื่อนอีกคนได้รู้จักก่อนหันมามองหน้าพวกผมที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งได้ไม่นาน

“ไอ้นอร์ธไอ้อิ๊วนี่ไอ้ออมสินกับไอ้ไนซ์”

ผมมองตามมือของไอ้ไกด์ แต่สายตาไปไม่ถึงคนชื่อออมสินหรอกเพราะเอาแต่หยุดสายตาไว้ที่ใครบางคน ตากลมใต้กรอบแว่นนั่นมองผมสลับกับซีอิ๊วอย่างคนที่ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่

ทำหน้าเหมือนแมวสงสัยเลย

“อ๋อ ไนซ์”หันขวับไปหาเพื่อนสนิทของตัวเอง ที่ทำตัวเกินเรื่องเกินราว ใจเย็นๆนะอิ๊ว อย่าเพิ่งทำกูโป๊ะแตก

“รู้จักกูด้วย?”

“เออดิ เห็นพวกเด็กในโรงเรียนชอบพูดถึงกัน”

รู้แหละว่าเขาเป็นคนน่ารัก... แต่ไม่คิดว่าจะน่ารักขนาดนี้ไง คนอะไรแค่โดนพูดถึงนิดเดียวตาก็เป็นประกายแล้ว แต่ก็เป็นประกายได้ไม่นานหรอกครับ

“ไนซ์ที่ชอบยืนคุยกับหมาทุกเย็นอะ”

หลังจากที่เพื่อนสนิทผมพูดประโยคถัดมา ตาที่เคยเป็นประกายก็หายไปภายในไม่กี่วินาที

น่ารักเป็นบ้าเลย


#ทิศเหนือของผม



ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ augustismine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: #ทิศเหนือของผม ตอนที่ 26
«ตอบ #117 เมื่อ08-06-2020 12:57:35 »

26

ทิศเหนือผู้พกความรักมาเต็มกระเป๋า



เหมือนวันนี้ดวงผมจะดีเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะได้มาเรียนคณะเดียวกัน เราทั้งคู่ยังถูกจับแยกให้มาอยู่บ้านเดียวอีกด้วย รายละเอียดของกิจกรรมที่จะทำหลังจากนี้คือเขาจะให้เวลาพวกเราสิบนาทีในการทำความรู้จักกัน ยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะได้ยินพี่เขาพูดว่าจะมีเกมให้เล่นหลังหมดเวลาด้วย

เราทุกคนแยกย้ายกันไปทำความรู้จักกับเหล่าชายฉกรรจ์ เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าบ้านห้าแม่งมีแต่ผู้ชาย ไม่เห็นเหมือนบ้านอื่นเลยที่ยังมีผู้หญิงปนบ้าง และด้วยความที่มีแต่ผู้ชายนี่แหละมันเลยทำให้เกิดการทักทายที่จะเรียกว่าทำร้ายร่างกายทางอ้อมก็คงไม่แปลก กูนี่จุกไปหมด บางคนก็ทุบเข้ากลางหลัง กระชากคอเสื้อ ทุบหน้าอกและอีกสารพัดสิ่งที่มันจะสามารถทำกันได้

มาทำความรู้จักเพื่อนใหม่หรือมาโดนซ้อมวะกูงง

“เอาล่ะค่ะน้องๆ เดี๋ยวพี่จะให้พี่ไจ๋แจกผ้าปิดตานะคะ”

หลังจากนั้นพี่คนชื่อไจ๋ก็เอาผ้ามาแจกพวกเรา โดยแจกคนเว้นคนทั้งแถวหนึ่งและแถวสอง

“คนที่ได้ผ้า เอาผ้าปิดตาตัวเองได้เลยค่ะ”

สิ้นคำสั่งคนที่มีผ้าปิดตาอยู่ในมือก็เริ่มปิดตาของตัวเอง ส่วนคนที่ไม่ได้ผ้าแบบผมก็ทำได้เพียงยืนมองเพื่อนๆผูกผ้าปิดตาของตัวเอง

“น้องไนซ์คะ ทำไมไม่ปิดตาล่ะลูก พี่ไจ๋คะ ช่วยปิดตาให้น้องหน่อยค่ะ”

ผมหันไปมองไนซ์ที่อยู่ห่างจากผมไม่มาก เป็นเพราะกิจกรรมเมื่อครู่เลยทำให้แถวพวกเราคละกันไปหมด เจ้าของชื่อทำหน้าเด๋อด๋าเหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้พูด พี่คนชื่อไจ๋ ก็เอาผ้าไปปิดตาซะก่อน

“เอาล่ะค่ะ ต่อไปนะคะ คนที่ไม่ได้ผ้าปิดตามายืนต่อแถวกันตรงนี้ค่ะ”

มองตามมือของพี่เขาและเดินตามไปอย่างว่าง่าย เหล่าชายฉกรรจ์ที่ไม่มีผ้าปิดตามาต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วพวกรุ่นพี่ที่เคยยืนอยู่รอบๆก็เดินมากระซิบหูพวกเราทีละคน จนกระทั่งถึงคิวผม

“เดี๋ยวน้องไปนั่งข้างหน้าน้องไนซ์นะ เขาจะลูบหรือคลำก็ปล่อยเขาไป แต่ไม่ว่าเขาจะถามอะไรก็ห้ามตอบ โอเคมั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกๆและเดินไปหาเจ้าของชื่อที่คุ้นเคยกันดี โอเค ผมคุ้นเคยกับเขาแค่ฝ่ายเดียวก็ได้

“อะ เรียบร้อย ต่อไปพี่จะให้เพื่อนๆคนที่ไม่ถูกปิดตาไปนั่งตรงหน้าน้องๆนะคะ แล้วก็จะให้น้องๆทายว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามน้องคือใคร ห้ามเฉลยให้กันนะคะ”

ผมทิ้งตัวลงนั่ง มองริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันจนแน่น

เลิกน่ารักสักครึ่งชั่วโมงจะได้มั้ย เดี๋ยวจะตายเอา

“พี่จะให้เวลาสามนาทีนะคะ จะจับ จะคลำ จะดม จะชิมหรือยังไงก็ได้ พอหมดสามนาทีพี่จะขอคำตอบนะคะหรือใครที่สามารถตอบก่อนหมดเวลาได้ก็ตอบนะคะ”

“…”

“เริ่มได้ค่ะ”

สิ้นประโยคเสียงกลองก็ดังขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะของใครหลายๆคน

“มึงชื่ออะไร”ใจผมกระตุกวูบตอนที่อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แก้มนี่เฉียดจมูกกูไปนิดเดียว เย็นไว้เว้ยนอร์ธ หายใจเข้าลึกๆ“เฉลยหน่อยดิ”

“…”

“ไม่บอกจริงดิ”

ผมพยายามกลั้นใจไม่ตอบ อีกฝ่ายถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะใช้มือเป็นตัวช่วย ลูบตั้งแต่หัวไล่ไปกลางลำตัวก่อนจะลงต่ำไปเรื่อยๆ ส่วนเสียงกรี๊ดและรัวกลองก็ดังขึ้นเป็นระยะเช่นกัน

โอเค กูว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ มันจะถึงจุดอันตรายเอา

“ต่ำไปแล้วไอ้เอ๋อ”

เอ๋อในที่นี้ไม่ได้ว่าร้ายแต่อย่างใด แต่พูดออกเพราะเอ็นดูล้วนๆ แต่ดูเหมือนการเอ็นดูของผมมันจะผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย พอเปล่งเสียงออกไป มือของอีกฝ่ายก็คว้าหมับเข้าที่เป้ากูเต็มๆ

หรรมเน้นๆเลย...

“ไอ้นอร์ธ!”

“น้องไนซ์ตอบถูกค่า เปิดผ้าได้”

ไนซ์เปิดผ้าอ้าปากค้าง มองหน้าผมสลับกับเป้าไปมา ว้าวซ่า ชีวิตสุดมหัศจรรย์ของนายทิศเหนือ รู้จักกับคนที่ชอบวันแรกก็โดนเขาจับหรรมเลย...




หลังจากเหตุการณ์จับหรรมผ่านไป เราก็ทำกิจกรรมอะไรกันอีกนิดหน่อยก่อนพี่เขาจะปล่อยให้มาพักเที่ยง

“เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้สัด มึงไม่บอกกูอะ ว่ากูจะจับเป้ามึงแล้ว ทำไมมึงไม่บอกกู๊!”

มองหน้าคนที่โวยวายหลังจากโดนเพื่อนๆล้อเรื่องฉายาใหม่ของตัวเอง ผ่านมาครึ่งวันพวกเราทั้งห้าก็สนิทกันมากขึ้น จากตอนแรกที่ดูไม่ค่อยกล้าพูดคำหยาบใส่กันสักเท่าไหร่ ตอนนี้ก็พ่นคำหยาบใส่กันได้ราวกับสนิทกันมาสักสามปี

“ก็พี่เขาบอกกูว่าห้ามพูดกับมึง”

“แต่นั่นมันหรรมมึงเลยนะเว้ย... หรรมมึงอะ มึงจะไม่หวงหน่อยเหรอ”

“ก็มันจับไปแล้วมึงจะโวยวายทำบ้าอะไร”

“ใช่สิ มึงไม่เสียหายเหมือนกูนี่”

มันต้องกูสิ กูต้องพูดคำนั้น กูเป็นคนเสียหาย! แต่เพื่อไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ผมจึงพับเก็บความคิดนั้นของตัวเอง ยักไหล่อย่างไม่ยี่หร่ะและก้มหน้ากินข้าวต่อ

นอกจากคำหยาบที่ได้รับการปลดล็อก ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับรู้หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาครึ่งวันคือ ไนซ์เป็นคนขี้โวยวาย... ใช่ครับ ขี้โวยวายมากๆแถมยังเดาอารมณ์ไม่ค่อยถูกอีกด้วย สองนาทีแปดอารมณ์ แถมบางครั้งยังเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวตลอดเวลา

หวังว่าจะไม่ได้แอบด่ากูในใจหรอกนะ




“รู้จักกันวันแรกก็ตั้งท่าจะเป็นศัตรูกันเลยนะ”

ผมหันไปมองซีอิ๊วที่ยืนล้างมืออยู่ข้างกัน“เออดิ พอรู้จักแล้วแสบฉิบหาย”

หลังจากเลิกกิจกรรมผมก็ถูกพี่ปีสองใช้ให้ยกของนิดหน่อย เสร็จจากตรงนั้นถึงได้มาเข้าห้องน้ำห้องท่าเพื่อเตรียมตัวจะกลับหอ

“รู้ว่าแสบแบบนี้จะยังชอบอยู่ปะ”

“ทำไมถามแบบนั้นวะ”คิ้วผมขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“ก็ถามเฉยๆ เผื่อนิสัยไนซ์ไม่ตรงกับที่คิดไว้”

“จะตรงหรือไม่ตรงก็ช่างมันเถอะ”

“…”

“ขอแค่เป็นไนซ์ก็พอ”

“คลั่งรักโดยสมบูรณ์แบบเลยว่ะ”

ไม่ได้เถียงอะไรทำเพียงยักไหล่ก่อนจะเดินนำออกมาจากห้องน้ำ ดูเหมือนว่าแต้มบุญในวันนี้ของผมจะยังไม่หมด เพราะใครบางคนมาปรากฏอยู่ในม่านสายตา

ไนซ์ยังไม่กลับ แถมยังยืนติดฝนอยู่ที่ใต้ถุนคณะด้วย

“มีอะไรปะวะ”เจ้าของคำถามมาหยุดยืนข้างๆผม“อ้าว นั่นไนซ์นี่หว่า กูคิดว่ากลับไปแล้วซะอีก”

ผมเปิดกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง จำได้รางๆว่าเมื่อเช้าหยิบร่มใส่กระเป๋ามาด้วย

“อิ๊ว”พอหาเจอผมก็จัดการยัดร่มใส่มือมัน

“เอามาให้กูทำไมวะ”

“ไม่ได้ให้มึง”

“แต่มึงยัดใส่มือกู”

“เอาไปให้ไนซ์ที”

“ห้ะ”

“เอาร่มไปให้ไนซ์ที”

“แล้วทำไมต้องเป็นกูอะ”ไอ้นี่ก็ถามเก่ง!

“ก็กูไม่กล้า”

“ไม่กล้าอะไรวะ นี่โอกาสทำคะแนนของมึงเลยนะเว้ย”

ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง“ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันได้มั้ย แต่บอกว่าเป็นร่มมึง”

“ใช่เรื่องเหรอ ทำไมไม่บอกว่าของตัวเองวะ”

“ไม่เอา”

“กาก”

“เออ กูยอมให้มึงด่าว่ากากก็ได้ แต่มึงช่วยเอาไปให้ไนซ์หน่อย เดี๋ยวไนซ์กลับไม่ได้”

“โห ไม่มีอีกแล้วนอร์ธคนกล้า”มันส่ายหน้าอย่างผิดหวัง“ความรักแม่งทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“อย่าเพิ่งกวนตีน ขอร้อง”

“เออๆๆ กูเอาไปให้มึงก็ได้”

“…”

“แต่แค่ครั้งเดียวนะเว้ย ถ้าครั้งหน้าใช้กูอีก กูจะเป็นคนบอกกับไนซ์เองว่ามึงคลั่งรักไนซ์ขนาดไหน”

“เออ”

“ดี จำคำพูดมึงไว้แล้วกัน ไอ้คนกาก”

ไม่ได้เถียงอะไรต่อทำเพียงเดินตามซีอิ๊วไปเงียบๆ

“ไนซ์”

เจ้าของชื่อหันมามองตามเสียเรียกของซีอิ๊ว

“อ้าว ยังไม่กลับกันเหรอวะ กูนึกว่ามึงสองคนกลับกันไปแล้ว”

“ยังๆ กูสองคนไปช่วยพี่ปีสองยกของหนีฝนมา”

“อ๋อ”อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ

“แล้วนี่ยืนรออะไรทำไมยังไม่กลับ กูนึกว่ามึงกลับไปแล้ว”

“รอพ่อไปก่อน”ไม่ว่าเปล่าซ้ำยังใช้นิ้วชี้ขึ้นฟ้า

โคตรน่ารัก

ประโยคที่บอกว่าเวลาเราหลงใครสักคน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเราก็จะมองว่าน่ารักไปหมดนี่คงจะจริงสินะ

แย่จริงๆว่ะนอร์ธ มึงไม่ทันได้แก่ตายหรอก... สำลักความน่ารักของไนซ์ตายก่อน

“โห ดูท่าไม่น่าจะหยุดตกง่ายๆว่ะ”

“นั่นสิ”

“แล้วกลับยังไง?”

“ถามทำไมอะ จะพากูวิ่งฝ่าฝนแบบในซีรี่ส์เหรอ”

“บ้าแล้ว จะให้ยืมร่มเฉยๆหรอก”ซีอิ๊วทำตามแผน มันหยิบร่มที่ผมให้ออกจากกระเป๋าและยื่นให้ไนซ์“อะนี่”

“ให้ทำไมอะ แล้วมึงจะกลับยังไงเอาร่มมาให้กูแบบนี้”

“เอ่อ...”

พอโดนคำถามนั้นอิ๊วมันก็หันมาหาผมราวกับขอความช่วยเหลือ กูจะช่วยอะไรมึงได้ หันมามองแบบนี้มันก็มีพิรุธสิวะ หันกลับไปเดี๋ยวนี้!

ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาทีอิ๊วมันก็หันกลับไปตอบไนซ์

“กูกลับได้ก็แล้วกัน มึงรับไปเถอะ”ร่มสีดำถูกยัดใส่มือไนซ์ อีกฝ่ายมองผมสองคนอย่างไม่วางใจ กางร่มออกซ้ำยังมองซ้ายสลับกับขวาเหมือนกำลังหาสิ่งผิดปกติ“ไม่มีอะไรหรอกหน่า”

“ก็พวกมึงมีพิรุธ”

“โธ่ไนซ์ มึงเห็นพวกกูเป็นคนยังไงเนี่ย…”

“เออๆๆ ไม่มีก็ไม่มี งั้น... กูไปละ ขอบใจมากๆสำหรับร่ม”

“เออ”

แผนสำเร็จ!

และในตอนนั้นเองที่ไนซ์หันมาสบตากับผม แต่จะดีกว่านี้ถ้าอีกฝ่ายไม่มองมาด้วยสายตาอาฆาตแค้นแบบนั้น สงสัยยังโกรธเรื่องจับหรรมอยู่แหงๆ




ยิ่งนานวันความสัมพันธ์ของผมกับไนซ์ก็ยิ่งพัฒนาไปในทางที่ดี... หรือเปล่าวะ

แต่ก็ถือว่าคุยกันเยอะกว่าเมื่อก่อนอะ ถึงส่วนใหญ่จะเป็นการเถียงกันโดยมีผมเป็นคนเริ่มก็เถอะ ก็ผมไม่รู้จะชวนคุยยังไงหนิ ครั้นจะให้เดินเข้าไปแล้วถามว่า เฮ้ยมึงน่ารักจัง เมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร ขี้คล่องดีมั้ย ก็ไม่ใช่เรื่องปะวะ

เชื่อผมเถอะว่าวิธีนี้คือการเริ่มต้นตีสนิทแบบวิถีคนจริง!

เป็นผู้ชายร้ายๆเหมือนพระเอกซีรีส์เกาหลีที่แม่ผมชอบดู อารมณ์แบบเลิกด่าคนทั้งอำเภอเพื่อเก็บมาด่าเธอคนเดียวงี้

“พวกผมกลับก่อนนะพี่”

บอกกับพี่จั๊มพ์ที่เปิดประตูออกมาส่งพวกเราหน้าห้อง วันนี้ผมกับซีอิ๊วแวะมาเอากีตาร์ที่พี่จั๊มพ์ยืมอิ๊วมันไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนยืมนะ ตามไปเอาถึงที่ห้อง แต่ตอนจะคืนเสือกให้พวกกูมาเอาเอง โคตรเท่เลยพี่กู

พี่จั๊มพ์เป็นรุ่นพี่ของพวกผม เรารู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยมเรียก ถึงพี่จั๊มพ์จะโตกว่าผมสองปี แต่พวกเราก็สนิทกันในระดับหนึ่งเลยแหละ นอกจากพี่จั๊มพ์แล้วก็ยังมีพี่ดินกับพี่ภูมิอีกที่สนิทพอๆกัน สามคนนี้พักอยู่หอเดียวกัน ซึ่งไม่ได้นัดกันมาด้วย บังเอิญจองหอตรงกันเอง ช่วงแรกพี่จั๊มพ์ก็ทักมาบ่นกับผมบ่อยๆว่าพี่ดินกับพี่ภูมิชอบมาป่วนที่ห้อง อยากจะย้ายหนีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็ทำไม่ได้ เหตุผลเพียงเพราะวันไหนไม่ได้ยินเสียงของสองคนนั้นเขาก็จู้สึกเหงาหู ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักดี อารมณ์แบบรำคาญนะแต่ก็ยังอยากให้มาป้วนเปี้ยนอยู่ในชีวิต

“เออ กลับกันดีๆ แล้วเจอกัน”

“ครับ”

“วันหลังถ้าจะคืนก็เอามาให้ที่ห้องนะพี่ ไม่ต้องเรียกให้ผมมาเอาเอง ขี้เกียจ”

“แค่นี้ทำเป็นบ่น ถ้ารอกูเอาไปคืนก็คงโน่น จบปีสี่”

“โหพี่ นานไปปะ กีตาร์ผมไม่กลายเป็นผงไปแล้วเหรอกว่าจะถึงตอนนั้น”

“มึงก็เว่อร์เกิน”

เราสามคนพากันหัวเราะก่อนที่ผมและซีอิ๊วจะเดินออกมา แต่ในตอนที่ใกล้จะถึงบันไดมือถือของผมก็ดังขึ้นซะก่อน ยกขึ้นมาดูพอเห็นว่าเป็นชื่อของแม่ผมก็บอกซีอิ๊วที่หยุดรอให้นำไปก่อน

“มึงลงไปก่อนก็ได้ กูขอคุยกับแม่แป๊บ”มันพยักหน้าให้ผมเล็กน้อยก่อนเดินลงบันไดไป

“นอร์ธลูก”ปลายสายเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมกดรับ

“ครับแม่”

“ตอนย้ายของไปหอ ได้เอาไอแพดไปด้วยหรือเปล่า”

“เปล่านะครับ แม่ถามทำไม”ผมขมวดคิ้ว

“แม่จะเอามาดูซีรี่ส์ พ่อนอร์ธน่ะสิแย่งทีวีแม่อีกแล้ว”

โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าอะไร...

“นอร์ธเก็บไว้ตรงไหนลูก”

“นอร์ธเอาไว้บนโต๊ะทำงานครับแม่ ก่อนมาก็จำไม่ได้ว่าปิดเครื่องไว้หรือเปล่า สายชาร์จก็วางอยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละครับ”

“อ๋อ ขอบใจมากลูก แค่นี้แหละ”

ถ้าจะถามหาซีนบอกรักแม่จนน้ำตาหยดลงมือถือด้วยความซาบซึ้งผมแนะนำให้ล้มเลิกความตั้งใจนั้นไปซะ เพราะคุณนายเขาชิงตัดสายใส่ผมก่อนแล้ว ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนเก็บมือถือใส่กระเป๋าและเดินตามซีอิ๊วลงบันไดไปติดๆ

แต่ยังลงไปไม่ถึงไหนผมก็ต้องชะงัก มองลงไปเห็นซีอิ๊วยืนคุยอยู่กับใครบางคนที่ผมไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่

ไนซ์…

“เดี๋ยวดิ ยังคุยกันไม่เสร็จเลย”

อยู่หอนี้เหรอวะ

บทสนทนาของทั้งคู่ดังพอที่จะทำให้ผมได้ยิน ซีอิ๊วดึงแขนไนซ์เอาไว้แต่อีกฝ่ายก็พยายามขัดขืน

“อิ๊วปล่อยกูไปเถอะ ถือว่ากูขอ กูไม่อยากเจอหน้ามัน”

คงไม่ต้องบอกหรอกมั้งว่าไอ้มันที่ว่านี่หมายถึงใคร... จะเป็นใครไปได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่ไอ้ทิศเหนือคนนี้

“เจอหน้ากูแล้วมันทำไม”

ไวเท่าความคิดคงเป็นปากของผม เพราะหลังจากปล่อยให้สมองได้ประมวลผลประโยคนั้นเพียงสองวินาที ผมก็เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปสมทบ

“ก็ไม่ทำไม แค่ไม่อยากเจอ กูปวดหัว ขี้เกียจเถียง รำคาญมึงด้วย”

จากตอนแรกที่ตั้งท่าเหมือนจะหนี ตอนนี้ไนซ์กลับหันมาสู้หน้าผม

“หึ”

เหมือนแมวกำลังขู่เลย

“หึอะไรของมึง”

“เปล่า”

“เปล่าได้ไง ก็มึงหึอะ กูได้ยินเต็มๆสองหูเลย”

“เปล่าก็คือเปล่าไง มึงจะอะไรกับกูเนี่ยเอ๋อ”

“กูชื่อไนซ์ไม่ได้ชื่อเอ๋อ”

“พูดกับมึงแม่งเหนื่อยที่สุดในกลุ่มแล้ว ขนาดออมสินมันพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง คุยกับมันยังรู้เรื่องกว่าคุยกับมึงเลย”คนตรงหน้าพยายามเถียง แต่เหมือนจะคิดคำพูดไม่ออกเลยทำได้เพียงขมวดคิ้วและหายใจฟึดฟัด“อิ๊ว เดี๋ยวกูไปรอที่รถนะ”

ว่าก่อนจะเอากระเป๋ากีตาร์ของมันมาถือ

“เออๆ”

ผมหันกลับมาหาไนซ์อีกครั้ง

“กูไปก่อนนะไอ้เอ๋อ”

“โอ๊ะ!”

พูดจบผมก็ยื่นมือไปผลักหัวอีกฝ่ายก่อนเดินออกมาอย่างสบายใจเฉิบ

“ไอ้เหี้ยนอร์ธ! ไอ้เตี้ย!”

และแน่นอนว่าเสียงด่าไล่หลังนี่จะเป็นของใครไปไม่ได้เลย นอกจากเสียงของไนซ์

เห็นทีหลังจากนี้ผมคงต้องหาเรื่องมาห้องพี่จั๊มพ์บ่อยๆแล้วล่ะ




หลังจากรู้ว่าไนซ์อยู่หอเดียวกับพวกพี่จั๊มพ์ผมก็ใช้พวกพี่มันมาเป็นข้ออ้างเพื่อมาเจอใครบางคน แต่แหตุผลขี้เล็บแบบนั้นมันคงฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ ผมจึงหยิบยกเอาเหตุผลที่สวรรค์ประทานให้มาใช้อย่างไม่เกรงใจ เมื่อเช้าผมดันเก็บของสำคัญของไนซ์มันเอาไว้ อือ ไอ้ไข่มุกถุงโตนี่แหละ พี่รหัสมันฝากคนอื่นเอามาให้เมื่อเช้า

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับพี่รหัสไนซ์สักเท่าไหร่ มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ผมเองก็บอกไม่ถูก เนี่ย แค่นึกถึงคิ้วก็ขมวดแล้ว

ผมมองแก้วโกโก้โอรีโอ้ปั่นที่อยู่ในมือสลับกับบานประตู วันนั้นผมแอบเห็นว่าไนซ์ถือน้ำสีนี้ขึ้นมา ตอนแรกก็ไม่มั่นใจหรอกว่ามันคือน้ำอะไร ครั้นจะให้ซื้อน้ำมั่วๆมาฝากก็กลัวว่าเจ้าตัวจะไม่รับอีก เลยตัดสินใจไปถามร้านน้ำปั่นหน้าหอทีละร้านแถมยังเปิดรูปของไนซ์ให้ดู จนเจอร้านที่เจ้าตัวซื้อเป็นประจำนั่นแหละถึงได้สั่งโกโก้โอรีโอ้ปั่นใส่มุกมา

แกร๊ก!

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว บานประตูก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นใครบางคนที่มองผมด้วยความแปลกใจ

“ไอ้นอร์ธ...”

“อ้าว”

อึ้งแดกเลยสิกู ทำเหี้ยอะไรไม่ถูกเลย ตั้งใจจะเคาะประตูและยื่นแก้วน้ำปั่นให้ด้วยอินเนอร์ของพระเอกซีรี่ส์เกาหลี แต่เขาเสือกชิงเปิดประตูก่อนกูจะเคาะไง...

“มึงมีอะไรวะ ทำไมถึงมายืนหน้าห้องกู ไม่ได้จะมาเพื่อกวนตีนกูใช่ปะ”

“เห็นกูเป็นคนยังไง”

“เป็นคนกวนตีน”

“สัด มึงนั่นแหละกวนตีนกู”

“มึงสิ”

“มึงนั่นแหละ”

“นอกเรื่องว่ะนอร์ธ ตกลงมึงมีอะไร”

“กูเอาไอ้นี่มาให้มึงอะ”

พออีกฝ่ายเปิดโอกาสผมจึงหยิบเอาถุงไข่มุกยื่นให้มัน“อ้าว กูลืมสนิทเลย ขอบใจมากๆ”

“เออ ไม่เป็นไร แต่รับไปสักทีเหอะ กูเมื่อย”

“แล้วมึงไปเจอมันมาจากไหน”ไนซ์ถามขณะยื่นมือมารับ

“ก็เมื่อเช้ามึงวางทิ้งไว้บนโรงอาหาร”

“แบบนี้มันจะเสียมั้ยวะ”

“ไม่รู้ดิ”

มันพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามามองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในมือของผม

“นั่นอะไรอะ”

เหยื่อติดกับแล้ว!

“โกโก้โอรีโอปั่น”

“เฮ้ย มึงชอบกินเหรอวะ เหมือนกูเลย”

“เปล่า ป้าเขาทำให้กูผิด มึงชอบเหรอ เอาไปกินปะ”

“จะดีเหรอวะ มึงยังกินได้ไม่เยอะเลยนะ”

“ถ้าจะพูดแบบนั้น แต่สายตาอยากกินขนาดนี้ก็ไม่ต้องพูด”ผมล่ะอยากให้มันเห็นหน้าตัวเองตอนนี้จริงๆ ปากบอกเกรงใจ แต่มองแก้วน้ำปั่นตาละห้อยเลย

“กูเกรงใจ”

“หึ”

“มึงหึอะไร”

“จะกินมั้ย”

“กิน”

“งั้นก็เอาไป”

“ฮึ้ยยย ไม่ได้ๆ”

“อะไรเนี่ย เรื่องมากจังวะไอ้เอ๋อ”

“กูชื่อไนซ์”

“นอกเรื่อง ตอบมา จะเอาหรือไม่เอาสรุป ถ้าไม่เอากูจะได้เอาไปทิ้ง”

“เอาๆๆ แต่มึงดูดก่อนได้ปะล่ะ ดูดให้มันยุบๆไป กูจะได้สบายใจ”

“เรื่องมาก”ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เป็นเพราะผมตั้งใจจะเอามาให้ไนซ์อยู่แล้ว จึงต้องจำใจดูดน้ำในแก้วให้มันพร่องไปนิดหน่อยก่อนยื่นให้คนตรงหน้า“พอใจยัง”

“เออ โอเคละ”รับแก้วไปถืออย่างสบายใจ“แล้วนี่มึงมาทำอะไรที่นี่วะ คงไม่ใช่มาหากูอย่างเดียวหรอกใช่มั้ย”



อยากตอบว่าเออ กูตั้งใจมาหามึงแค่คนเดียวเลย... แต่มันทำไม่ได้ไง เลยต้องตอบอย่างอื่นออกไปแทน

“เออดิ กูมาหารุ่นพี่ กูจะคุยเรื่องเพลงที่ใช้เล่นในร้าน”

“แชทคุยกันก็ได้มั้ง”

“เรื่องของกู”

“สัด”

“ไม่มีอะไรแล้ว กูไปแล้วนะ”

“เออ”

“แดกดีๆ อย่าให้มุกติดคอตาย”

“ไอ้นอร์ธ มึงแช่งกูเหรอ”

“เปล่า กูพูดเฉยๆ ไปละ คุยกับมึงแล้วประสาทจะแดก”

พูดจบผมก็หันหลังและเดินหนีมทันที ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรต่อ

ติ๊ง!

เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ เสียงแจ้งเตือนจากมือถือผมก็ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดูก็พบกับข้อความของพี่จั๊มพ์



Jumppp

มึงเดินขึ้นมายัง

North

ผมใกล้จะถึงห้องพี่แล้ว

มีอะไรหรือเปล่า



พิมพ์ตอบกลับไป รอไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมา



Jumppp

มึงไปไหนมา



ทำไมคำถามมันแปลกๆวะ…



North

เปล่านะพี่

ถามทำไมอะ

Jumppp

เหรอ

ถ้าอย่างนั้นมึงหันหลังมา



คิ้วขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ พลันหันกลับไปมองตามที่พี่จั๊มพ์บอก

ครบเลยครับ ทั้งพี่จั๊มพ์ พี่ดิน พี่ภูมิ...

“อ้าว พวกพี่เดินตามผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”พูดจบก็หัวเราะแห้งๆใช้นิ้วเกาที่หางคิ้วแก้เก้อ ภาวนาขออย่าให้พวกพี่มันเห็นตอนผมเอาน้ำปั่นไปให้ไนซ์ด้วยเถอะ

อย่างที่บอกไปว่าผมกับพวกพี่จั๊มพ์สนิทกัน และด้วยความที่ผมไม่เคยมีแฟนมันเลยทำให้พวกพี่จั๊มพ์คาดหวังกับรักครั้งแรกของผมอยู่ไม่น้อย ผมเลยไม่ค่อยอยากให้พวกพี่มันรู้สักเท่าไหร่ว่าผมชอบใครอยู่ตอนนี้

ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้พวกพี่มันมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมนะ ไอ้รู้สึกดีน่ะมันก็มี ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันดี แต่บางทีมันก็เยอะเกินไปไง แต่ละรายก็ใช่ว่าจะเหมือนคนปกติซะที่ไหน เล่นใหญ่กันทั้งนั้น

ถ้าพวกพี่มันรู้ว่าผมชอบไนซ์นะ รับรองได้เลย ไอ้ทิศเหนือคนนี้โดนซักจนสะอาดแน่

“ก็ตามมาตั้งแต่มึงซื้อน้ำปั่น จนเอาไปให้น้องผู้ชายคนนั้นอะ”

โอเค แต้มบุญกูหมดแล้ว...

“กูว่าวันนี้เราคงไม่ต้องคุยเรื่องเพลงกันแล้วล่ะมั้ง”พี่ภูมิว่าก่อนจะมองเพื่อนสองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย“บลอสซัมกับบับเบิลส์คิดเหมือนบัตเตอร์คัปมั้ย”

“บับเบิลส์ก็คิดเหมือนมึงบัตเตอร์คัป”

พี่ดินเสริมก่อนเป็นพี่จั๊มพ์ที่ปิดท้าย

“บลอสซั่มว่าเรื่องของน้องเราน่าสนุกกว่าคุยเรื่องเพลงเยอะเลย”

“…”

“คงไม่มีเพื่อนที่ไหนมานะไปไล่ถามร้านน้ำปั่นทีละร้านเพื่อตามหาน้ำที่เพื่อนชอบหรอกจริงมั้ย”

กูอยากจะกรี๊ด พวกมึงไม่ใช่พาวเวอร์พัฟเกิร์ลแล้วพี่ นี่มันขบวนการนักสืบเยาวชน!

เพราะหลักฐานมันคาตาผมจึงต้องจำใจยอมรับทุกอย่าง พวกพี่จั๊มพ์เองก็รับหน้าที่เป็นลูกอีช่างซักได้ดีเหมือนเคย ถามตั้งแต่การเจอกันครั้งแรกจนถึงปัจจุบันนั่นแหละ แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทุกอย่างนะครับ เพราะพวกพี่จั๊มพ์ก็ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจมาให้ผม

เขายอมให้ผมใช้ชื่อพวกเขามาเป็นข้ออ้างในการมาหาไนซ์ในแต่ละครั้ง แถมยังลงทุนให้ผมนอนที่ห้องด้วยหากผมต้องการ แลกกับการรายงานความคืบหน้าของความสัมพันธ์นี้เป็นระยะ

ซึ่งผมคิดว่ามันก็แฟร์ดี... ส่วนความสัมพันธ์จะพัฒนามั้ยนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง



*อ่านต่อด้านล่างค่ะ*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2020 20:56:10 โดย augustismine »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด