24
สิ้นสุดทางแฟน
[ ทิศเหนือคนจริง ]ผมเอาแต่ขลุกอยู่กับแมวอ้วนจนกระทั่งเรียนช่วงเช้าเสร็จ ดีที่วันนี้ผมมีเรียนเซคเดียวกับไอ้อิ๊วและไอ้ไกด์ ผมจึงไหว้วานให้มันสองคนช่วยดูแลกระเป๋าของผมและน้ำเต้าหู้ลูกรักของแมวอ้วน
และแน่นอน กว่าคำว่าตกลงจะหลุดออกมาจากปากของพวกมันผมก็โดนมันทั้งคู่บ่นไปหลายประโยคเหมือนกัน
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยการโดนบ่นครั้งนี้มันก็แลกมาด้วยอะไรที่คุ้มค่ามากกว่า
อย่างเช่น การได้นั่งมองหน้าแมวอ้วนเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ไม่ได้มีบ่อยๆนะโอกาสแบบนี้
“นี่กระเป๋ากับน้ำเต้าหู้ของมึง”
ยังไม่ทันได้เดินขึ้นไปบนโรงอาหาร อิ๊วกับไกด์ก็เดินมาสมทบกับพวกเราทั้งสาม ผมยื่นมือไปรับของจากมือซีอิ๊ว ก่อนเอากระเป๋าขึ้นมาสะพายข้างส่วนน้ำเต้าหู้ผมก็ทำหน้าที่เป็นคนถือเหมือนเมื่อเช้า
“เดินมาด้วยกันแบบนี้แสดงว่าดีกันแล้ว?”ไอ้ไกด์เลิกคิ้วถาม แต่แทนที่คนตอบจะเป็นผมหรือไม่ก็แมวอ้วน ออมสินมันกลับทำหน้าที่นั้นแทน
“เออ มันดีกันแล้ว มึงสองคนลองทายนะ ว่าใครเป็นหมา”
“ไม่เห็นจะยากเลยคำถามนี้”ไอ้ไกด์มันว่าปนขำ“ก็มึงไง”
“มึงแม่งเก่งว่ะไกด์”ออมสินเอ่ยชม จากตอนแรกที่ยื่นอยู่กับพวกผมสองคน มันก็ย้ายตัวเองไปอยู่กับไอ้ไกด์และไอ้อิ๊ว“มึงสองคนเชื่อมั้ย พอพวกมันดีกันปุ๊บ กูก็รับรู้ได้ถึงพลังงานของความรักที่ลอยวนอยู่ในอากาศ นี่ถ้ามดขึ้นตัวกูได้คงขึ้นไปแล้ว”
“มึงพูดเว่อร์เกินไปแล้วออมสิน”คนข้างกายผมที่อารมณ์ดีมากกว่าเมื่อเช้าพูดพร้อมยื่นมือไปดึงแขนเสื้อชุดนิสิตของออมสิน
“เอาอะไรมาเว่อร์ ใครไม่เป็นกูไม่รู้หรอก คุยกันงุ้งงิ้งอยู่สองคน ปล่อยให้กูกลายเป็นแค่อากาศ พูดแล้วก็เศร้านะเว้ยไอ้ไกด์ไอ้อิ๊ว คำว่าเพื่อนกับแฟนของคนเรามันไม่เคยเท่ากันอยู่แล้ว”พูดจบออมสินมันก็สวมบทเป็นผู้ถูกกระทำ แกล้งปาดน้ำตาทิพย์อะไรของมันไป
เลิกเรียนวิศวะแล้วไปเรียนการแสดงเถอะมึง...
☁
[ อดิรัตน์คนคูล ]พอเรียนเสร็จ ชีวิตผมก็วนกลับเข้ามาในวงจรเดิม
วันนี้คนที่ทำหน้าที่ยืนรอผมเปลี่ยนชุด ไม่ใช่ออมสิน
แต่เป็นไอ้นอร์ธ…
ทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา ผมก็เห็นไอ้เตี้ยมันยืนจ้องหน้าอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่ หอบเอาข้าวของและกระเป๋ามาวางไว้ที่หน้ากระจก จัดการพับเสื้อผ้าลงกระเป๋า สายตาก็ยังไม่วายสังเกตใครบางคนผ่านกระจก ไอ้นอร์ธมันเดินเข้ามาประชิดตัวผมก่อนขวดนมหนึ่งขวดจะถูกวางลงตรงหน้า
“อะไร?”
“นมช็อกโกแลต”
“แล้วเอามาให้กูทำไม”
“กูซื้อมาฝาก”
“แต่กูยังไม่อยากกินอะ”
“ถ้ายังไม่กินก็เก็บไว้”มันถือวิสาสะยัดนมกล่องนั้นใส่ในมือผม“ถือซะว่ากูซื้อมาแทนน้ำเต้าหู้สองถุงนั้น”
พอพูดถึงน้ำเต้าหู้ผมก็ยังรู้สึกเสียดายไม่หาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนหรือว่าอะไรมันเลยทำน้ำเต้าหู้สองถุงนั้นเสียไวกว่าปกติ
สุดท้ายผมก็เลยอดกินน้ำเต้าหู้ที่อุตส่าห์ดั้นด้นตื่นเช้าไปซื้อมา
แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น สิ่งที่ผมสงสัยคือ
“นมช็อกโกแลตมันจะแทนน้ำเต้าหู้ได้ยังไงวะ”
“…”
“แค่สีก็คนละอย่างแล้ว”
“เออหน่า มันก็หวานเหมือนกันนั่นแหละ”
“ถ้าหวานเหมือนกัน กูแดกน้ำตาลทรายแทนก็ได้งั้นดิ”
พอผมพูดจบอีกฝ่ายก็ขำออกมา ผมมองรอยยิ้มนั่น ก่อนคำถามบางคำถามจะแล่นเข้ามาอยู่ในหัว
“นอร์ธ”
“หือ”
“มึงโอเคขึ้นหรือยังวะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องเมื่อวานไง”
อีกฝ่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ“เออ”
พอได้ยินคำตอบผมก็ได้แต่ขมวดคิ้ว“เออ นี่คือเอออะไร เออโอเคหรือเออไม่โอเค”
“เออ กูโอเค”
“อ๋อ”
ได้ยินดังนั้นก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยไอ้ที่ร้องไห้ไปวันนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่า
ผมหยิบเอาป้ายชื่อออกจากกระเป๋าก่อนจะจัดการกวาดทุกอย่างที่คิดว่าเป็นของตัวเองลงกระเป๋า
รวมถึงนมช็อกโกแลตขวดนั้นด้วย
“แมวอ้วน”
ขณะที่ผมกำลังเอาป้ายชื่อขึ้นมาคล้องคอ คนข้างกายก็เรียกชื่อจนผมต้องหันไปมอง
“ว่าไง”
“ขอบใจนะ”“เรื่องอะไรวะ”
“เรื่องเมื่อวาน”
“...”
“กอดของมึงช่วยกูไว้ได้เยอะเลย”☁
หลังกิจกรรมเชียร์เสร็จพี่ปีสองก็ขอประกาศอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย และเรื่องที่พวกพี่เขาพูดก็มีทั้งหมดสองเรื่องด้วยกัน โดยเรื่องแรกที่พี่เขาประกาศคือเรื่องการประกวดดาวเดือนของคณะเรา
ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้ตำแหน่งเดือนคณะจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากทนายเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งความสดใสของโลกใบนี้
ทางด้านดาวคณะก็เป็นไปตามที่ผมคาดไม่มีผิดเพี้ยนเช่นกัน เพราะคนที่ได้ตำแหน่งนั้นไปครอบครองก็คือ ออกัส วิศวะไฟฟ้า
เอาจริงๆถ้าผมเป็นคนคัดเลือกผมก็จะเลือกให้ออกัสเป็นดาวคณะของเราเหมือนกัน คนอะไรก็ไม่รู้ทั้งน่ารัก ยิ้มสวยแถมยังวางตัวดีอีกด้วย หาที่ติไม่ได้จริงๆ
พอประกาศชื่อคนที่ได้ตำแหน่งครบ เขาก็ให้ทั้งทนายและออกัสออกไปพูดอะไรนิดหน่อย
ทนายยังคงคอนเซ็ปต์เดิมของตัวเอง นั่นก็คือคำพูดซื่อๆกับรอยยิ้มโลกละลาย พูดได้เลยครับว่าตายเรียบ!
ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนต่างเอ็นดูทนาย
และหนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย นายอดิรัตน์ผู้คลั่งรักทนายยิ่งกว่าอะไรดี
พอพูดเสร็จเขาก็ให้ทั้งสองคนกลับมานั่งตามเดิม ทันทีที่ทนายทิ้งตัวลงนั่ง ผมก็รีบเอ่ยแสดงความยินดี
“เราดีใจด้วยนะทนาย”
“ขอบใจนะไนซ์”อีกฝ่ายยิ้ม“เนี่ย เมื่อกี้นะ เราตื่นเต้นมากๆเลยนะ ไม่เชื่อลองจับดูดิ”
แล้วทนายก็เอามือผมไปวางไว้ตรงหน้าอกของตัวเอง หัวใจของเขาเต้นแรงราวกับไปวิ่งรอบสนามมาสักห้ารอบ
“ทนายเก่งอะ ทั้งๆที่ตื่นเต้นยังพูดได้ดีขนาดนี้เลย ถ้าเป็นเรานะ ไม่ทันพ้นคำว่าสวัสดีหรอก”พอจบประโยคเราทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา
และเรื่องต่อไปที่พี่เขากำลังจะพูดก็เป็นสิ่งที่พวกเราชาวปีหนึ่งหลายๆคนต่างรอคอย
เรื่องที่ว่านั่นจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเรื่องของเสื้อช็อปและเกียร์รุ่น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะมีพิธีมอบหลังจากกิจกรรมห้องเชียร์เสร็จสิ้นไปแล้วหนึ่งถึงสองวัน ส่วนรายละเอียดของพิธีการพี่เขาบอกว่าให้รอฟังอีกที แต่ที่แน่ๆคนที่จะมามอบเกียร์กับช็อปให้ก็คือพี่รหัสของพวกเราแต่ละคนนั่นเอง
☁
ผมเดินทางกลับมาที่หอของตัวเองและแน่นอนครับ
ผมไม่ได้มาเพียงตัวเดียว... เพราะไอ้นอร์ธมันติดสอยห้อยตามมาด้วย
“มึงจะบอกกูได้ยังว่าตามกูมาทำไม”
พอเดินมาถึงหน้าห้อง คำถามนี้ก็ดังออกจากปากผมเป็นรอบที่สาม หันไปมองคนที่เดินตามผมมาติดๆอย่างไอ้นอร์ธ มันไม่รีบตอบในทันทีทันใด ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปครู่หนึ่งกว่าผมจะได้ยินคำบางคำหลุดออกจากปากของมัน
“ก็กูอยากอยู่กับมึง”ครบ จบภายในประโยคเดียว แต่ถึงจะชัดเจนขนาดไหนพอได้ยินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ วันนี้เราสองคนตัวติดกันไม่ต่างจากตังเม ตอนเช้าอยู่ด้วยกัน เที่ยงก็นั่งกินข้าวข้างกัน บ่ายเรียนเซคเดียวกันแถมยังลากยาวมาจนถึงเข้าห้องเชียร์
แค่นี้ยังไม่พอใจมึงอีกเหรอ อีกนิดคือย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้วนะ
“วันนี้ก็อยู่มาเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ กูเจอหน้ามึงสามเวลาหลังอาหารแล้วเนี่ย”
“สำหรับมึงมันอาจจะเยอะ”
“...”
“แต่สำหรับกู แม่งยังไม่พอว่ะ”
หยุดเดี๋ยวนี้! หยุดทันที! วันนี้หลายดอกแล้วนะมึง ไม่มีแผ่วเลย คิดว่ากูจะกลัวอย่างนั้นน่ะเหรอ เออ! มึงคิดถูก ใครจะไปต้านทานไหววะมาติดๆกันแบบนี้
ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของมัน และตั้งหน้าตั้งตาไขกุญแจเพื่อเปิดห้อง
พอบานประตูถูกเปิดออก ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปในห้อง คนข้างกายผมก็พูดขัดขึ้นซะก่อน
“เดี๋ยวกูมานะ”
“มึงจะไปไหน?”
“ไปเอาของที่พวกพี่จั๊มพ์”
“อ๋อ”
ผมหยักหน้าแทนการตอบ และก่อนที่ไอ้เตี้ยจะเดินไป มันก็ไม่ลืมทิ้งคำสั่งไว้ด้วย“อย่าลืมล็อกห้องนะ”
“ไม่ต้องล็อกก็ได้มั้ง เดี๋ยวมึงก็มาหนิ แป๊บเดียวเอง”
“กูจะกลับช้าหรือเร็วก็ต้องล็อก”
“แต่...”กำลังจะอ้าปากพูดประโยคที่อยู่ในหัวแต่ก็ถูกมันพูดขัดซะก่อน
“ต้องล๊อค”
“ไม่ดิ...”
“ต้องล็อก”
“…”
“ต้องล็อก”
“เออ”กูยอมแพ้มึงก็ได้!
“ก็แค่นี้”อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
“ก็แค่นี้”ล้อเลียนประโยคสุดท้ายที่มันพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย คอยดูเถอะไอ้เตี้ยจอมเผด็จการ กูจะล็อกห้องไม่ให้มึงเข้า!
พอล็อกประตูตามคำสั่งของไอ้นอร์ธเรียบร้อย ผมก็ไม่รอช้ารีบถอดรองเท้าและเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!ยังไม่ทันที่ผมจะหายเหนื่อย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นติดๆกัน
มันไปเร็วมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ…
ผมยันตัวลุกขึ้นยืนและตรงดิ่งไปที่ประตู
“ทำไมมาเร็วขนาดนี้วะ...”
พอบานประตูถูกเปิด ผมก็ต้องร้องเชี่ยออกมาในใจเป็นพันๆครั้ง
“คิดถึงกูมั้ย น้องชายสุดที่รัก”
เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่ไอ้นอร์ธแต่เป็น
“พี่นันท์”พี่ชายของผมเอง...
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นอะ นี่พี่ชายนะเว้ยไม่ใช่ผี”
“พี่นันท์มาทำอะไรที่นี่อะ”
“กูก็แค่อยากมาหา ทำไม เดี๋ยวนี้การจะมาหาเจอหน้ามึงมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมองข้ามหัวผมเข้าไปในห้อง เป็นเพราะพี่นันท์สูงกว่าผมหลายเซ็นต์มันเลยไม่ใช่เรื่องยากกับการที่เขาจะทำแบบนี้
“พี่นันท์มองหาอะไรอะ”
“เปล่า กูแค่รู้สึกว่าวันนี้มึงแปลกๆ”
“…”
“เลยสงสัยว่ามึงอาจจะซ่อนอะไรไว้ในห้อง”
“ไม่ได้ซ่อนอะไรทั้งนั้นแหละ”
“แน่เหรอ?”
“แน่ดิ”
“ใครจะไปรู้วะ มึงอาจจะซ่อนสาวไว้ก็ได้”
สาวอีกแล้ว... คนที่บ้านกูดูจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษนะ
“ไม่มีสาวไหนทั้งนั้นแหละ”
มีแต่หนุ่ม เนี่ย พอนึกถึงหนุ่ม ความกังวลก็เริ่มก่อตัวเพราะไอ้นอร์ธมันบอกว่าจะกลับมาที่ห้อง แล้วถ้ามันเจอพี่นันท์ขึ้นมาผมจะทำยังไงอะ คือผมไม่ได้ต้องการจะเก็บความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่เป็นความลับนะ แต่ที่กลัวเพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆแล้วอีกอย่างผมกับไอ้นอร์ธก็ยังเป็นแฟนระยะทดลองกันอยู่ เลยยังไม่กล้าที่จะยืนยันสถานะของเราทั้งคู่กับคนรอบตัวสักเท่าไหร่ เผื่อวันใดวันหนึ่งมันเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
“ให้มันจริงเถอะ แล้วนี่ใจคอมึงจะปล่อยให้พี่ชายยืนอยู่แค่นอกห้องเหรอ”
พอได้ยินแบบนั้นผมก็หลีกทางให้พี่นันท์เดินเข้ามาในห้อง
เราทั้งคู่อายุห่างกันหลายปี กว่าผมจะขึ้นมหา’ลัย พี่นันท์ก็ทำงานแล้ว และมันเหมือนจะเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ พอเรามีพี่หรือน้องเราก็มักจะถูกเปรียบเทียบ ผมนี่โดนเป็นประจำเลย
ซึ่งผมก็คิดนะ ว่ามันไม่สามารถเอามาเทียบกันได้เลย ก็มันเป็นคนละคนกัน พยายามให้ตายยังไงก็ไม่เหมือนกันหรอก
ผมปล่อยให้พี่นันท์ได้เดินสำรวจห้อง ส่วนตัวเองก็เดินมาหยิบน้ำออกจากตู้เย็นและเทใส่แก้ว ก่อนจะเอามันมาวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา“นี่น้ำนะพี่นันท์”
“เออ”
“…”
“แล้วนี่มึงกลับเวลานี้ทุกวันเลยหรือเปล่า”
“ก็เกือบทุกวันนะ ยกเว้นแค่วันศุกร์”ผมเอ่ยตอบพลางทิ้งตัวลงนั่ง
“อ๋อ ตอนแรกแม่บอกว่ามึงกลับหอมืดทุกวัน กูก็ไม่คิดว่ามันจะมืดขนาดนี้”
“ช่วงนี้มันมีเข้าห้องเชียร์ด้วยไง ไนซ์เลยกลับมืด แต่เหลือเข้าอีกแค่ไม่กี่ครั้งหรอก ต่อไปคงไม่ได้กลับมืดแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆก่อนจะถามต่อ“แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี”
“เหรอ”
“อื้อ”
“แล้วมึงกินข้าวยัง”พี่นันท์ถามพลางเดินมาทิ้งตัวข้างผม
“ยังเลยอะ พี่นันท์ล่ะกินมาหรือยัง”
“กูก็ยังเหมือนกัน”
“...”
“แถวนี้มีร้านไหนอร่อยบ้างล่ะ เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าวเย็น”
“เอ่อ...”
ผมกระอักกระอ่วน ใจหนึ่งก็กลัวว่าถ้าไปแล้วนอร์ธกลับมามันจะไม่เจอใคร แต่อีกใจก็อยากตอบตกลงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย อย่างน้อยๆมันก็สามารถขัดขวางการเจอกันครั้งนี้ของไอ้นอร์ธกับพี่นันท์ได้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่ให้เวลาผมคิดสักเท่าไหร่
เพราะยังไม่ทันจะหาทางออกของปัญหาได้ ท่านก็ส่งไอ้นอร์ธกลับเข้ามา...
ตาผมเบิกโพลงหันไปมองที่บานประตู ก้อนเนื้อที่ออกข้างซ้ายเต้นแรงราวกับว่ามีคนมารัวกลองชุดอยู่ข้างใน
ฉิบหายแล้ว...
“ใครมาวะ”
พี่นันท์ขมวดคิ้วถาม ผมใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อคิดหาคำตอบออกจากสมองอันน้อยนิดของตัวเอง“น่าจะเพื่อนไนซ์แหละมั้ง เดี๋ยวไนซ์ขอไปดูก่อน”
พูดจบก็รีบลุกจากโซฟาแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไปไหน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกระลอกแต่รอบนี้มันมีเสียงอื่นเพิ่มเข้ามาด้วยนี่สิ
“แมวอ้วนเปิดประตูให้กูหน่อย”ถึงกับชะงักและหันกลับไปมองพี่นันท์ที่ตอนนี้ขมวดคิ้วหนักเข้าไปใหญ่
“แมวอ้วนคือใครวะ ชื่อมึงเหรอ”
“เอ่อ… คือ”เอายังไงดีวะกู
ในระหว่างที่กำลังคิดหาคำอธิบายให้กับฉายาแมวอ้วน จังหวะนรกของผมก็ไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันยังตามมาด้วยคอมโบชุดใหญ่ที่ต้อนผมให้จนมุม
“มัวทำอะไรอยู่วะ”
“...”
“ปล่อยให้
แฟนรอนานมันไม่ดีนะแมวอ้วน”
กูเกลียดมึงไอ้เตี้ยหัวล้านจังหวะนรก!
รอบนี้พี่ชายผมไม่นั่งเฉยเหมือนอย่างเคย พี่นันท์ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนจะพูดด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“ข้าวเอาไว้ทีหลังก็ได้”
“...”
“แต่ตอนนี้กูต้องการคำอธิบายอะไรนิดหน่อย”พูดจบเขาก็รับหน้าที่เป็นคนเปิดประตูแทนผม กูร้องไห้แล้ว นึกถึงบุญกุศลที่ตัวเองเคยก่อ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงปกปักรักษาและช่วยให้นายอดิรัตน์รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยเถิด สาธุ
☁
[ ทิศเหนือคนจริง ]ผมกระชับสายสะพายของกระเป๋ากีตาร์ยืนรอแมวอ้วนอย่างมีความหวัง นับตั้งแต่การเคาะประตูครั้งแรกมันก็ผ่านมาตั้งหลายนาที แต่แมวอ้วนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะออกมาเปิดประตูให้
มันหลับหรือเปล่าวะ...
กำลังจะเอื้อมมือไปเคาะอีกทีแต่ก็ต้องหดมือกลับก่อน เพราะอยู่ดีๆลูกบิดประตูก็ถูกหมุน ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากคาดหวังว่าจะได้เจอแมวอ้วนยืนคิ้วขมวดทำหน้างออยู่หลังบานประตู
แต่ความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้าม เพราะคนที่ยืนสบตาผมอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แมวอ้วน แต่เป็นใครหน้าไหนก็ไม่รู้ที่โคตรจะสูงแถมหน้าตายังดีอีกด้วย รอยยิ้มของผมหุบลงซ้ำยังตามมาด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
กำลังจะเอ่ยปากถามว่าผู้ชายตัวสูงนี่คือใคร แต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยเสียงของแมวอ้วนที่พยายามแทรกตัวออกมาจากห้องและเดินมายืนข้างกัน มันยื่นมือมาจับชายเสื้อผมก่อนจะกระตุกเบาๆ
“นอร์ธ”
“...”
“นี่พี่นันท์”
“...”
“พี่ชายกูเอง”
จบประโยคผมก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นมาไหว้พี่ชายแมวอ้วนแบบงงๆ
“สวัสดีครับ”
กูไปแค่ไม่กี่นาที ทำไมอยู่ดีๆพี่ชายมันมาโผล่ในห้องได้วะ พออีกฝ่ายรับไหว้เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงยิ่งคำถามใส่ผมทันที
“ชื่อนอร์ธเหรอมึงอะ”
“ใช่ครับ”
“เรียนอยู่คณะเดียวกัน?”
“ครับ”
“แล้วจบมาจากไหน”
“จบมาจากโรงเรียน SN ครับ”
กูพูดเลยว่ามีหางเสียงทุกประโยค ถึงจะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่ไหนๆก็มีโอกาสแล้ว นายทิศเหนือก็ขอทำคะแนนกับพี่ชายแมวอ้วนสักหน่อย
ความประทับใจแรกสำคัญเสมอ ผมเชื่อแบบนั้น
“เด็กโรงเรียนตรงข้ามนี่หว่า”
“ครับ”
ผมตอบทุกคำถามอย่างฉะฉาน จนกระทั่งมาถึงคำถามสุดท้ายที่ทำเอาไปต่อไม่เป็น
“แล้วมึงเป็นอะไรกับน้องชายกู”ผมเอาแต่นิ่งเงียบก่อนจะหันมามองแมวอ้วนที่ยืนอยู่ข้างกาย ใบหน้าของมันมีแต่ความกังวล แมวอ้วนเอาแต่ยืนกำชายเสื้อผมแน่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผมไม่รู้ว่าแมวอ้วนต้องการให้ผมตอบยังไง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่ชายมันอยากได้คำตอบแบบไหนจากปากของผม
แต่ดูจากรูปการณ์... ถ้าเขากล้าที่จะถามแบบนี้นั่นก็แปลว่าเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมกับแมวอ้วนเราเป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นการจะโกหกว่าเราทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกันคือตัดทิ้งไปได้เลย เพื่อป้องกันการที่ถูกมองในแง่ลบและปัญหาที่จะตามมาภายหลัง คว้าเอามือของคนข้างกายที่กำชายเสื้อของผมอยู่มาประสานเข้ากับมือตัวเองพลางหันมาสบตากับพี่นันท์ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติและความกล้าก่อนจะเปล่งคำบางคำออกมา
“แฟนครับ”
“...”
“ผมกับไนซ์เราเป็นแฟนกัน”[ อดิรัตน์คนคูล ]“ผมกับไนซ์เราเป็นแฟนกัน”
ผมมองมือของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายประสานนิ้วทั้งหน้าจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันสลับกับเสี้ยวหน้าของไอ้นอร์ธ ไม่คิดว่ามันจะกล้าตอบพี่นันท์ออกไปแบบนั้น เพราะขนาดตัวผมเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าเราสองคนจะไปกันรอดมั้ย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่นันท์จะว่ายังไง หากรู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน
ถึงจะมีการเตรียมใจมาแต่เนิ่นๆแล้วก็เถอะว่าวันหนึ่งถ้าคบกันผมต้องพาไอ้นอร์ธไปรู้จักกับที่บ้าน แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมคิดไว้ไง ยังไม่ทันพ้นช่วงทดลองเป็นแฟนกันเลยด้วยซ้ำนอร์ธมันก็ชิงบอกไปก่อนแล้ว
ผมหันมาสบตากับพี่ชายตัวเองด้วยความกังวล แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมามันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิดไว้ลิบลับเลย...
“เออ มึงแม่งตรงดีว่ะ กูชอบ”คำตอบของพี่นันท์ทำเอาผมต้องถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป
“พี่นันท์ไม่โกรธเหรอ”
เจ้าของชื่อหันมาขมวดคิ้วใส่“มึงจะให้กูโกรธเรื่องอะไร”
“ก็ที่ไนซ์กับไอ้นอร์ธเป็นแฟนกันไง”
“กูไม่โกรธมันก็ดีแล้วมั้ย หรือมึงจะให้กูโกรธ”
“ไม่เอา”ผมรีบยกมือปฏิเสธ“ไนซ์ก็แค่สงสัยเฉยๆไง คิดว่าพี่นันท์จะโกรธ”
“กูจะโกรธทำเหี้ยอะไร ลำพังแค่คนเด๋อๆแบบมึงมีคนมาชอบ กูก็ดีใจไปสามวันแปดวันแล้ว”
“...”
“และอีกอย่างไอ้เตี้ยนี่ก็ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไร”พูดจบก็หันไปมองไอ้นอร์ธ“มึงก็คงไม่ได้เข้ามาเพื่อหลอกน้องกูหรอก จริงมั้ย”
“ครับ”
“กูอะเป็นแค่พี่มึง ไม่มีสิทธิ์ไปบงการชีวิตมึงหรอก”ประโยคนี้พี่นันท์หันมาพูดกับผม“คนที่มีอิทธิพลมากสุดคือแม่กับพ่อโน่น ถ้ามึงจะกลัว มึงต้องกลัวสองคนนั้นโกรธไม่ใช่กู”
พูดจบก็ยื่นมือมาดีดหน้าผากผม
“เข้าใจมั้ยไอ้เด็กโง่”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อยู่ดีๆก็รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่พี่นันท์พูดแบบนั้นออกมา ถึงบางครั้งพี่นันท์จะดูเป็นคนเจ้าอารมณ์และไร้เหตุผล แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าครั้งนี้พี่นันท์น่ะ โคตรเท่เลย!
☁
หลังจากวิกฤตของพวกเราผ่านพ้นไป พี่นันท์ก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็นเราทั้งสองคนที่ร้านอาหารใกล้ๆหอ ตอนแรกก็ดีใจนะที่พี่นันท์ไม่ได้โกรธและดูจะเข้ากับไอ้นอร์ธได้ดี
แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนความคิด!
เพราะตั้งแต่เดินออกมาจากห้องจนกินข้าวเสร็จ ผมก็ถูกถอดยศจากน้องชายสุดที่รักโดยอัตโนมัติ กลายเป็นเพียงหมาข้างถนนตัวหนึ่งที่เข้าไปนั่งร่วมบนโต๊ะอาหาร
ทั้งคู่คุยกันไม่หยุดส่วนบทสนทนาที่ใช้คุยจะเป็นเรื่องอะไรได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของผม
งานนี้พูดเลยว่าเผากูกันยับ
ผมนี่แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหรือไม่ก็กัดลิ้นให้ตัวเองตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
“พี่มึงนี่คุยสนุกเหมือนกันนะ”
“สนุกมึงคนเดียวน่ะสิ”
อีกฝ่ายหัวเราะร่วน พอจัดการกับมื้อเย็นจนพุงกางผมก็อาสามาส่งไอ้นอร์ธที่หน้าหอโดยให้พี่นันท์ขึ้นไปรอบนห้องก่อน
“แล้วนี่มึงจะกลับยังไง”ผมถามพลางก้มดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ
นี่ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว...
“ก็คงต้องรถเมล์แหละ”
“อ๋อ ให้กูไปส่งที่ป้ายรถเมล์มั้ย”
“ไม่ต้องหรอก มึงส่งกูแค่นี้ก็พอ”
ในเมื่ออีกฝ่ายว่ามาแบบนั้นผมจะไปขัดอะไรมันได้
“แมวอ้วน”
แต่ในตอนที่กำลังอ้าปากบอกกับมันว่าแล้วแต่มึง ไอ้นอร์ธมันก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน สุดท้ายเลยได้แต่เลิกคิ้วรอฟังว่ามันจะพูดว่าอะไร
“ไว้กูจะพามึงไปเจอคนที่บ้านกูบ้างนะ”
ถึงจะแอบดีใจที่ได้ยินคำนั้นออกมาจากปากมัน แต่ความสับสนก็ประเดประดังเข้ามาไม่ต่างกัน
ก็อย่างที่บอกไป... ผมยังไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของเราสักเท่าไหร่
“มึงแน่ใจแล้วเหรอวะนอร์ธ”
“ทำไมมึงถามแบบนั้นวะ”
“ก็… กูยังไม่แน่ใจอะ ว่าอนาคตเราสองคนจะไปด้วยกันรอดมั้ย”
“...”
“เลยถามเผื่อไว้ไง สมมติว่ามึงพากูไปเจอคนที่บ้านแล้ววันหนึ่งเราไปด้วยกันไม่รอด กูก็กลัวว่าคนที่บ้านมึงจะผิดหวัง”
“ก็ช่างหัวอนาคตมันดิ”“...”
“สนแค่ปัจจุบันไม่ดีกว่าเหรอวะ”
ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก เพราะนอกจากหน้าตานอร์ธจะจริงจัง เสียงมันยังดังขึ้นอีกด้วย
“แต่ตอนนี้เรายังเป็นแฟนระยะทดลองกันอยู่เลยนะเว้ย”
“ถ้าอย่างนั้นก็คบกับกูดิ”
“ห้ะ...”
“เป็นแฟนกับกู กูไม่อยากเป็นแล้วแฟนระยะทดลองอะไรเนี่ย กูอยากจริงจังกับมึงแล้ว”
“...”
“เป็นแฟนกันนะแมวอ้วน”ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเรียกสติให้กลับเข้ามาอยู่ที่ตัว เรียบเรียงคำพูดมากมายที่อยู่ในหัว ผมไม่รู้ว่าคำถามนั้นพาตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง
“เดี๋ยวดิ เรายังศึกษากันไม่ครบทุกมุมเลยนะเว้ย”
“เหลืออะไรให้ศึกษาอีกล่ะ นอกจากเยกันแล้วพาไปบ้านมันก็ไม่เหลืออะไรให้มึงศึกษาแล้ว”
หากนอร์ธใจเย็นๆแล้วฟังไนซ์สักหน่อย ไม่มีแผ่วเลยนายคนนี้
“ไม่ดิ...”
ยังไม่ทันที่คำถามของจะส่งไปหามันจนจบประโยค อีกฝ่ายก็พูดขัดอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นกูขอถามมึงอย่างหนึ่งได้มั้ย”
“ถามอะไรวะ”
“ตอนนี้ชีวิตมึงมีความสุขมั้ย”
“มึงถามทำไมอะ”
“ตอบมาเถอะ เอาตามตรงเลย”
ผมสบกับตาคมคู่นั้นอีกครั้ง อยู่ดีๆก็รู้สึกปากหนัก กว่าจะเอ่ยออกมาได้แต่ละคำก็ช่างยากลำบาก
“ก็… มี”
“มากมั้ย”
“มาก”
“แล้วความสุขของมึง”
“...”
“มีกูอยู่ในนั้นหรือเปล่า”คำถามสุดท้ายทำเอาผมปากหนักมากกว่าเดิม คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ถ้าไม่นับเรื่องที่มันทำให้ผมร้องไห้วันนี้…
“ก็… มี”
นอร์ธมันก็เป็นความสุขของผมมาโดยตลอด
“เนี่ย แค่นี้ก็เป็นแฟนกันได้แล้ว”
“อย่าเพิ่งดิ”ผมร้องห้าม“กูขอถามมึงกลับบ้าง”
เพราะยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากรู้และหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้
“ถามอะไร”
“ถ้าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน… กูหมายถึงหลังจากนี้อะ”
“...”
“มึงจะหายไปมั้ยวะ”แววตาคู่นั้นหม่นลงเล็กน้อย ก่อนอีกฝ่ายจะสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดและเสมองไปทางอื่น
“กูก็ยืนยันไม่ได้เหมือนกันว่าจะหายไปมั้ย”
นอร์ธมันตอบโดยไม่ยอมหันมาสบตากับผม
“แต่ถ้าไม่ได้หายไป กูก็คงจะเหมือนเดิมกับมึงไม่ได้”
“...”
“อาจจะคุยกับมึงน้อยลงหรือไม่... ก็พยายามหลบหน้ามึง”
“…”
“มึงถามทำไมวะ หรือคำตอบของมึงไม่ใช่อย่างที่กูหวัง”
คำถามนั้นถูกส่งมาพร้อมดวงตาของมันที่หันมาสบกับผมอีกครั้ง
“ไม่ใช่แบบนั้น”
ผมรีบตอบพร้อมส่ายหน้าก่อนที่มันจะคิดไปไกลกว่านี้
เอาจริงๆความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นอร์ธที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้ต่างจากตอนเป็นเพื่อนกันสักเท่าไหร่
อาจจะมีแค่บางอย่างที่เปลี่ยนไป เช่นดูแลผมดีขึ้น ตามวอแวผมมากขึ้น ส่วนเรื่องอื่นๆก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยเฉพาะปากยังที่หมาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้แย่ไง เพราะผมก็ใช่ว่าจะพูดเพราะๆกับมัน
ในเมื่อใช้เหตุผลนี้มาช่วยตัดสินไม่ได้ ผมก็คงต้องเลือกความสบายใจของตัวเองเป็นหลัก
ไม่รู้หรอกว่าที่ตัวเองตัดสินใจจะใช่ทางที่ดีที่สุดหรือเปล่า แต่ถ้าถามว่าระหว่างกลัวคนที่บ้านนอร์ธผิดหวังกับกลัวไม่มีมันอยู่ในชีวิต
“แล้วคำตอบของมึงคืออะไร?”
“...”
“ตกลง?”
ผมขอเลือกกลัวอย่างหลังดีกว่า
“อือ”“...”
“เป็นแฟนกัน”#ทิศเหนือของผม