นทีต้นน้ำ ตอนที่ 11
ดวงดาวในดวงตา
ใต้ตึกวิศวะ
“เฮ้ย! พวกมึงมึงเห็นนี่ยัง?” เจ้าพ่อโซเชียลอย่างต้นปาล์มตะโกนเรียกเพื่อนพลางยื่นโทรศัพท์ให้ดู
ทุกคนสุมหัวมาดูทันที ไม่เพียงแค่เพื่อนในกลุ่ม แต่เพื่อนคนอื่นที่นั่งรอขึ้นตึกเรียนอยู่ด้วยกันก็แหวกเข้ามามุงด้วย นทียื่นหน้าเข้ามาดูแวบเดียวก่อนหลบมุมไปนั่งกดโทรศัพท์อยู่คนเดียว
“นี่มันต้นน้ำนี่หว่า”
“โคตรน่ารักเลย”
“เป็นเกย์เหรอวะ? ทำไมแต่งหญิง ดูไม่ออกเลย”
“ลองจีบดูสิวะ เดี๋ยวก็รู้”
“พวกมึงอย่าลอง เจ้าของมันดุ” น็อตปรามเพื่อนในคณะ เกรงว่าจะพูดเอาสนุกกันจนเลยเถิด ยังไงเสีย... ต้นน้ำก็ถือว่าเป็นเพื่อนเขาคนหนึ่ง
“นี่มึงรู้ด้วยเหรอไอ้น็อตว่าใครเล็งมันอยู่?” เม่นถาม
“เชี่ย มีแต่คนตาบอดเท่านั้นแหละที่ดูไม่ออก”
“ใครวะ? เจ้าของไอ้น้ำ ไอ้น้ำมันมีแฟนแล้วเหรอ?” ต้นปาล์มถามขึ้นด้วยสีหน้าแววตาไร้เดียงสาอย่างที่สุด
น็อตม้วนกระดาษเป็นม้วนกลม แล้วฟาดลงหัวเพื่อนแสนซื่อดังป้าบ ก่อนหันไปบอกเม่น
“กูขอเพิ่มจากเมื่อกี้ มีแต่คนตาบอดกับคนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้”
ต้นปาล์มคลำหัวป้อยๆ “เออ พวกคนฉลาด มึงบอกกูหน่อยสิ ว่าแฟนไอ้น้ำเป็นใคร?”
น็อตยิ้มเหยียดใส่ต้นปาล์มก่อนมองไปยังนทีที่นั่งหลบมุมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในโลกส่วนตัว อาการเหมือนสาวน้อยตาหวานมีความรัก เสียจริตสัดๆ ไปหมดแล้ว... นทีคนเท่ห์
“มึงไม่รู้ ก็จงไม่รู้ต่อไปเถอะ” เม่นส่ายหน้า ลูบหัวต้นปาล์มเบาๆ ก่อนเดินขึ้นตึกเรียน
ต้นปาล์มถลึงตาใส่ ตีหัวเขา... เขาไม่โกรธ แต่พูดแล้วไม่บอก... เขาโกรธมาก หลอกให้ยากแล้วจากไป ไม่ได้คิดเล๊ยยยย... ว่าต้นปาล์มจะค้างคาใจขนาดไหน ถ้าเขาคิดมากจนเป็นโรคนอนไม่หลับ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขัดจังหวะการอ่านหนังสือของต้นน้ำ ร่างโปร่งลุกขึ้นไปเปิดประตู นทีส่งยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนเบียดตัวเข้ามา ในมือมีถุงกระดาษติดมาด้วย
“อ่ะ.. เอามาให้ เห็นนายชอบ”
“อะไร?” ต้นน้ำเปิดถุง หยิบขึ้นมาดูแบบงงๆ ก่อนทำตาเหลือก... ว๊ากกก! ชุดนักเรียนหญิงญี่ปุ่นแบบเน็คไทด์ “เฮ้ย... มันไม่ใช่... “
“ที่ป๊ากับแม่ซื้อมาให้จากญี่ปุ่นไง เราไม่ได้ใช้หรอก นายเก็บไว้เถอะ”
“เราก็ไม่ได้ใช้เหมือนกัน มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ”
“อะไร? เราคิดอะไร? เราก็ไม่ได้คิด”
ต้นน้ำ “...........”
นทีเดินไปที่ประตู ชี้ลงไปในถุงที่ต้นน้ำถืออยู่ “มีชุดเมทกับชุดพยาบาลด้วยนะ ท่าจะน่ารักดี” มือใหญ่ปิดประตูลง ทันเวลาก่อนที่ถุงกระดาษจะปลิวหวือลอยไปกระแทกตามหลังนิดเดียว
บ้านดวงดาราตั้งอยู่ชานเมืองปทุมธานีริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบ้านเก่าหลังใหญ่ซึ่งได้รับบริจาคมาจากเศรษฐีนีชราที่สูญเสียลูกชายสองคนไปในอุบัติเหตุรถคว่ำ ทำให้ไม่มีผู้สืบทอดมรดกจึงได้เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นสถานสงเคราะห์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้เรื่อยมา
เด็กในบ้านมีอายุตั้งแต่เจ็ดขวบไปจนถึงวัยมัธยมปลาย ส่วนเด็กเล็กกว่านั้นจะอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอีกแห่ง
“สวัสดีครับป้าเล็ก” ต้นน้ำพาเพื่อนๆ เข้าไปสวัสดีป้าเล็ก
นทีอึ้งไปเล็กน้อย ‘ป้าเล็ก’ ในความคิดของเขาคือผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูอบอุ่นและใจดี ผิดไปจากรูปลักษณ์ของ ‘ป้าเล็ก’ ตัวจริงลิบลับ ป้าเล็กที่อยู่ตรงหน้าเขาคือผู้หญิงรูปร่างผอมสูงสวมเสื้อผ้าฝ้ายยาวคลุมเข่าทับกางกางผ้าฝ้ายสีนวลไว้อีกชั้น ผมยาวสลวยปะบ่า ใบหน้านวลตกแต่งไว้อย่างประณีต ขนตาดกดำเป็นแพใหญ่ และ...มีลูกกระเดือก!
“เรายังไม่ได้บอกนายเหรอ?” ต้นน้ำถามเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของนที
“เรื่อง...?”
“ป้าเล็กเป็นกระเทย”
นทีส่ายหน้าหวือ
“เอาเถอะ ไม่แปลกหรอก เราก็เพิ่งรู้ว่าป้าเป็นกระเทยตอนมอสี่นี่เอง เราเข้าใจว่าป้าเป็นผู้หญิงมาตลอด”
นทีมองต้นน้ำอึ้งๆ เขาไม่เคยเจอป้าเล็กมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นกระเทยก็ไม่แปลก แต่ต้นน้ำที่สนิทกับป้าเล็กมานาน ไม่รู้ว่าป้าเล็กเป็นกระเทย...นั่นน่ะแปลก!
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ” เสียงแหบที่บีบจนเล็กสมชื่อกล่าวทักทาย “โอ้ย...มีแต่คนหน้าตาดีๆ มาซิ....มาให้ป้ากอดให้ชื่นใจหน่อย”
ร่างสูงไล่กอดไปทีละคน เริ่มจากต้นน้ำ “โอ๊ย...ชื่นใจ ลูกชายป้า ไม่เจอกันแป๊บเดียว โตเป็นหนุ่มขึ้นเยอะ นี่นทีใช่ไหม? ตอนเด็กๆ ว่าหล่อแล้ว ยิ่งโตยิ่งหล่อ จำป้าไม่ได้ล่ะสิ ตอนพวกเราเล็กๆ พ่อแม่พาเราไปงานเลี้ยงรุ่นกัน พ่อแม่พวกเธอน่ะ...โน่น! อยู่หน้าเวที ปล่อยให้ฉันเลี้ยงพวกเธอนี่ล่ะ” ป้าเล็กเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มพราย
ฝนทิพย์กับธนกรหัวเราะ
“นี่ มีแฟนหรือยังล่ะ?”
“ยังครับ”
“อะไร? หน้าตาแบบนี้ รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ไงเนี่ย เสียดายของ”
“ใครจะเหมือนแกไอ้เล็ก แรดแต่เด็ก” ธนกรแซวเพื่อน
“ย่ะ พวกแกลงเอยกันได้เพราะใคร สำเหนียกบุญคุณไว้บ้างสิยะ” เล็กหันไปค้อนใส่ธนกรทั้งที่มือก็ยังจับนทีไว้ไม่ยอมปล่อย ก่อนวกกลับมากอดพวกเด็กๆ เรียงตัว “มีปัญหาปรึกษาป้าเล็กได้ พ่อเธออาจจะเก่งเรื่องงาน แม่เธอก็อาจจะเก่งเรื่องเลี้ยงลูก แต่เรื่องความรัก...ไว้ใจป้า ป้าเล็กเก่งที่สุด”
“ใช่” ธนกรแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “พวกป๊าอกหักรวมกันทั้งรุ่น ยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของป้าแกเลย”
เล็กตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อน “แน่นอนย่ะ จะอกหักสักกี่สิบครั้งก็ยังคุ้ม ถ้าสุดท้ายได้เจอคนที่ใช่” จบประโยคก็หันไปทำตาหวานกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ด้านหลังของลุงแดง...ชายสูงวัยคู่ชีวิตที่คบกันมานานนับสิบปีที่กำลังขะมักเขม้นช่วยจัดอาหารสำหรับเด็กๆ “เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำงานก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน” เล็กเอามือดันหลังของหนุ่มสาววัยฉกรรจ์ก่อนตะโกน “ที่รัก แรงงานมาแล้วจ้า”
พวกเขาแยกย้ายกันลำเลียงของ จัดฉากถ่ายรูป โดยมีตากล้องมาจากทางสำนักพิมพ์และจากทางบริษัทของธนกรคอยถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อย มีพนักงานเก่าแก่ที่สนิทสนมกันหน่อยเท่านั้นที่มาร่วมด้วย มีเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ก่อนที่จะมีพิธีรับมอบของ โดยเด็กที่บ้านดวงดาราจะแบ่งกันนั่งเป็นโต๊ะละสิบคน ในหนึ่งโต๊ะจะมีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเด็กโตเพื่อที่พี่ๆ ที่โตกว่าจะได้ดูแลน้อง ๆ ได้ ส่วนโต๊ะพวกเขาก็จะแยกเป็นกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กๆ เหมือนกัน กลุ่มของธนกรจะมีครูใหญ่นั่งอยู่ด้วย ส่วนโต๊ะของต้นน้ำมีครูพี่เลี้ยงอีกสองคนนั่งด้วย
“ต้องขออภัยด้วยนะคะ” หนึ่งในครูพี่เลี้ยงกล่าวกับพวกเขา “เด็กๆ ที่บ้านเราอาจจะดูไม่เรียบร้อยไปบ้างที่พูดคุยกันตอนรับประทานอาหาร ทางเราอยากให้เด็กๆ รู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน ไม่อยากให้มีกฎเกณฑ์บังคับมากมายเหมือนอยู่โรงเรียนประจำ เราปฏิบัติกันมาแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่คุณยายท่านยังอยู่แล้วค่ะ”
“คุณยายคือใครเหรอครับ?” น็อตถาม
“ท่านชื่อคุณยายทองจันทร์ค่ะ ท่านเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นคนบริจาคที่ดินทั้งหมดและก่อตั้งบ้านดวงดาราขึ้นมา”
“ทำไมชื่อว่าบ้านดวงดาราล่ะคะพี่?” แป้งที่ติดสอยห้อยตามเนมมาด้วยถามบ้าง
“คุณยายท่านเล็งเห็นว่าในชีวิตของเด็กคนหนึ่งต้องประสบเรื่องราวต่างๆ มากมาย การสูญเสียพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้าก็เป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งในชีวิตของเด็กๆ เท่านั้น แต่การใช้ชีวิตต่อไปยังต้องพบเจอเรื่องราวอีกมาก คุณยายอยากให้เด็กๆก้าวผ่านได้ในทุกสถานการณ์ค่ะ...ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะสูญเสียอะไรไป แต่อย่าสูญเสียดวงดาวในตาเรา...เป็นที่มาของชื่อบ้านดวงดาราค่ะ หมายถึงแสงของดวงดาวในดวงตาของเรา”
“โห...คุณยายเจ๋งมากเลยครับ” ปาล์มบอกอย่างตื่นเต้น
“แล้วป้าเล็กกับลุงแดงเขาเป็นอะไรกับมึงวะ? ดูท่าเขาจะรักมึงมากเลยนะ” ริวถามต้นน้ำเพราะเห็นเล็กดูแลเอาใจใส่ต้นน้ำเป็นพิเศษ เรียกลูกคะ...ลูกขาทุกคำ พูดเพราะยิ่งกว่าแม่ตัวจริงอย่างฝนทิพย์พูดกับลูกเสียอีก ดูไม่เหมือนเป็นแค่ลูกชายเพื่อนธรรมดา
“เป็นพ่อแม่คนที่สองของกูมั้ง เขาเลี้ยงกูมา” ตอนเด็กๆ เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อมักเดินออกจากบ้านไป ส่วนแม่ก็หลบไปร้องให้ สภาวะจิตใจยังไม่พร้อมที่จะดูเด็กอย่างเขา เวลานั้น...ป้าเล็กจะถูกเรียกมา พาเขาเล่น พาเขาเที่ยว สอนหุงข้าว ล้างจาน คอยให้คำปรึกษาเวลาทะเลาะกับเพื่อน
ตอนที่พ่อเสีย ป้าเล็กต้องมาอยู่กับเขาบ่อยขึ้น ดูแลทั้งจิตใจและร่างกายของเขา เพราะแม่ที่ต้องรับภาระมากขึ้น...ต้องทำงานหนักขึ้น แม้ว่าจะมีเงินประกันชีวิตจากพ่อมาช่วยเหลือภาระหนี้สินเรื่องบ้าน เรื่องรถ และพอมีเงินเหลือสำรองอยู่บ้าง แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนก็ไม่ใช่น้อย กว่าร้านดอกไม้ของแม่จะลงตัวพอที่จะทำกำไรมาจุนเจือค่าใช้จ่ายได้ก็ใช้เวลาเป็นปี ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสมัยมัธยมต้นของต้นน้ำจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับป้าเล็กและลุงแดง ซึ่งทั้งสองคนก็รักและเอ็นดูต้นน้ำเหมือนเป็นลูกของตัวเอง
ช่วงบ่ายเป็นช่วงเล่นเกมส์ก่อนมอบของโดยแบ่งทีมเป็นทีมของเด็กๆ บ้านดวงดาราและทีมงานที่มามอบของ โดยมีโอเล่และเต้...พนักงานจากสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบุ๊คของเล็กเป็นพิธีกรดำเนินรายการ
“เอาล่ะค่ะ มาถึงช่วงเล่นเกมส์กันแล้วนะคะเด็กๆ เป็นเกมส์ง่ายๆ ธรรมดาๆ นะคะ...เกมส์เก้าอี้ดนตรีค่ะ ขอตัวแทนจากทีมดวงดาราค่ะ...เอากี่คนดี สิบแล้วกัน แล้วก็ตัวแทนจากทีมดันดาราอีกสิบคนค่ะ” โอเล่ตั้งชื่อทีมเองเสร็จสรรพเรียบร้อย
ทีมดวงดาราเลือกพี่โตวัยมัธยมปลายมาลงสนาม เพราะต้องแข่งกับผู้ใหญ่ทั้งนั้น เด็กๆ ส่งเสียงเชียร์กันเฮฮาสนุกสนาน
“คุณนทีไปสิ” พวกพนักงานบริษัทส่งเสียงเชียร์ทำให้นทีต้องลุกขึ้นไปพร้อมชวนต้นปาล์มไปด้วย
“ของป้าส่งน้ำไปด้วย” ป้าเล็กดันต้นน้ำให้ลุกขึ้น ต้นน้ำลากริวกับเนมไปด้วยกัน
ทีมดันดาราประกอบไปด้วยริว เนม ต้นน้ำ นที ปาล์ม และพนักงานอีกห้าคน
“พร้อมกันนะคะ?” โอเล่ถาม ทั้งสองทีมพยักหน้า
เต้ให้สัญญาณเปิดเพลง เพลงที่ใช้เป็นเพลงลูกทุ่งที่จังหวะมันส์มากพลอยทำให้ทุกคนคึกคักไปด้วย เพลงหยุด...มีสามคนที่ต้องออก ริวผู้ไม่แพ้ยังคงอยู่ ต้นปาล์มผู้ชื่นชอบการแข่งขันก็ยังอยู่ เนมคนอวดแฟนก็ยังคว้าเก้าอี้ไว้ได้ รวมถึงนทีและต้นน้ำด้วย คนที่ออกไปคือพนักงานบริษัทของเล่นของธนกรที่ดูเหมือนจะเข้ามาเล่นเพื่อให้ครบจำนวนคนเฉยๆ ไม่ได้จริงจังกับการแข่งขันมากขนาดนั้น
“รอบแรก ทีมดันดาราออกไปสามนะครับ ทีมดวงดารายังอยู่ครบ เหมือนกับว่าดวงดารามาพร้อมกับดวงจริงๆ นะครับวันนี้”
“คุณเต้คะ ดูเหมือนคุณจะเป็นกลางมากเลยนะคะ พวกเราดูไม่ค่อยออกเลยว่าคุณเชียร์ทีมดวงดาราจนออกนอกหน้าไปนิดนึง” โอเล่ประชดเพื่อนร่มงานก่อนหันมายังทีมต้นน้ำ “ดันดาราคะ ยังสู้กันอยู่หรือเปล่า?”
“สู้ครับ!” พวกเขาตะโกนตอบ
“ดวงดารา สู้ไหม?” พิธีกรผู้เป็นกลางถามบ้าง
“สู้!!!” เสียงเด็กๆ ตะโกนเต็มเสียงเล่นเอาเสียงพวกเขาแผ่วไปเลย
เพลงเปิดขึ้นอีกครั้ง แต่รอบนี้เป็นเพลงช้ามาก น่าจะยุคสุนทราภรณ์ได้ ทุกคนเดินกันเอื่อยเฉื่อย ระวังหน้าระวังหลังกันสุดฤทธิ์ เพลงเปิดนานมาก เดินวนกันจนผู้เล่นทุกคนคลายความระวังตัว...เพลงก็หยุดกะทันหัน ต้นน้ำรีบถลาไปยังเก้าอี้ว่างที่ใกล้ตัวที่สุด ชั่วขณะที่กำลังจะนั่งลงไปนั้นกลับมีคนที่เร็วกว่า แต่ก็ยั้งไม่ทันแล้ว เขานั่งทับลงไปบนตักของคนที่นั่งลงก่อนหน้า พอรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งตักใครสักคนอยู่ ร่างโปร่งก็ผลุนผลันผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ากลับเร็วเกินไปจนเกือบทรงตัวไว้ไม่อยู่ มือใหญ่คว้าเอวเขาไว้ได้พลางประคองให้กลับลงมานั่งตักเหมือนเดิม ต้นน้ำเอี้ยวตัวไปมอง...สายตาคมยิ้มกริ่มของนทีมองตอบกลับมา
ชั่วเวลาแค่กระพริบตาสองปริบที่หัวใจเขาเต้นแรง เลือดลมทั้งหมดสูบฉีดมาที่ใบหน้า แต่ช่วงเวลาแต่สูดลมหายใจเข้าถัดมา...เขาก็รวบรวมสติท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายได้ “เราว่า...เราเห็นก่อนป่ะ?”
“เราก่อนดิ นายดูด้วย...ว่าใครนั่งก่อน”
ใบหน้าใสเบะปากใส่ก่อนลุกขึ้นยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
“เอาล่ะครับ ดันดาราออกไปอีกสาม” เต้ประกาศผล
ต้นน้ำหันขวับหาผู้ร่วมชะตากรรมทันที เป็นทีมงานจากลิตเติ้ลบุ๊คอีกสองคน ต่างฝ่ายต่างหัวเราะให้แก่กันในความกากของทีมตัวเอง
“ดันดาราเหลืออีกสี่คนเท่านั้นนะครับ ในขณะที่ดวงดารายังอยู่กันครบทีมเลย” เต้บรรยายพลางเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างนทีกับริว โดยมีต้นปาล์มกับเนมยืนอยู่ข้างๆ “น้องๆ ครับ ยอมแพ้เลยดีไหมครับ?”
เสียงกรี๊ดจากน้องๆ บ้านดวงดาราดังสนั่น พวกพี่ที่มารอบนี้หล่อสวยกันทุกคนเลย โดยเฉพาะพี่นทีกับพี่ริว
“ไม่นะคะ ทีมดันดาราจะแพ้ไม่ได้นะคะ? เพื่อเป็นการจูงใจในการแข่งขัน เรามีรางวัลจากบอร์ดบริหารจากทั้งสองบริษัทมามอบให้แก่ผู้ชนะเป็นพิเศษ มาค่ะ...พี่เตรียมไว้แล้ว” โอเล่ล้วงซองสีขาวขึ้นมาโชว์ “พี่เตรียมซองไว้แล้วค่ะ ส่วนเงินรางวัลจะเป็นเท่าไรนั้น... ” โอเล่ทำหน้าเจ้าเล่ห์เดินไปหาธนกรที่พอรู้ตัวว่าโดนมัดมือชกเข้าให้แล้วก็หัวเราะลั่นพลางล้วงกระเป๋าเงินคว้าแบงค์พันขึ้นมาใส่ลงในซองขาวสองใบอย่างใจป้ำ
จำนวนเงินสองพันเรียกเสียงเฮดังมาจากเด็กๆ บ้านดวงดาราอีกครั้ง พร้อมๆ กับเสียงโห่จากผู้แพ้ที่ตกรอบไปก่อนหน้านี้ รวมถึงต้นน้ำด้วย
เมื่อมีเงินรางวัลมาล่อ การแข่งขันก็ยิ่งคึกคักขึ้น “เดี๋ยวค่ะ...เดี๋ยว มีเงินรางวัลแล้วก็ต้องมีบทลงโทษ เมื่อกี้พี่เห็นน้องๆ ไม่ตั้งใจแข่งกันเลย ใครแพ้ต้องเป็นแฟนพี่นะคะ”
“ผมมีแฟนแล้วครับ” เนมรีบชี้มาที่แป้ง
“โอเคค่ะ ไม่แย่งแฟนกัน ที่เหลือ...ใครแพ้ต้องเป็นแฟนพี่นะคะ”
เสียงกรี๊ดดังมาจากน้องๆ บ้านดวงดาราอีกครั้ง น้องบางคนก็ใจกล้าตะโกนขึ้นมาว่า “ใครชนะต้องเป็นแฟนหนู?” เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน
“เอ้าๆๆๆๆ พี่โอเล่อยากมีแฟน พวกเรามีกันตั้งสิบคน จัดให้หน่อยดีไหม?” เต้ผู้ไม่เป็นกลางอย่างเห็นได้ชัดถามทีมดวงดารา ซึ่งน้องๆ ก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี “ดีมาก เริ่มได้!”
เพลงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ทุกคนดูเกร็งและคาดหวังมากกว่าเดิม ต้นน้ำที่กลับมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนๆ ก็พลอยลุ้นตามไปด้วย
“รู้งี้กูไปเล่นด้วยก็ดี” เอื้องฟ้าบอก
“ทำไม? มึงอยากเป็นแฟนพี่โอเล่เขาเหรอ?” ขิงถาม
“เปล่า กูอยากได้เงินสองพัน”
“เชี่ย” ขิงหัวเราะเพื่อน
เพลงหยุดแล้ว รอบนี้เนมกับน้องๆ บ้านดวงดาราได้ออกอีกสองคน โอเล่ดูระรี้ระริกเป็นพิเศษ ทีมดันดาราเหลือสาม ดวงดาราเหลือแปด
“โอ๊ย...เหี้ย พอพี่โอเล่จะจับทำแฟน ไอ้สามตัวนั้นแม่งเล่นโหดสัด ไอ้ปาล์มแทบจะถีบกูออกจากเก้าอี้” เนมบ่นกระปอดกระแปดพลางลูบแขนที่มีรอยแดงจางๆ เพราะรอบเมื่อกี้เขาแย่งเก้าอี้กับต้นปาล์ม
เพื่อนๆ พากันหัวเราะ ก่อนพากันหันไปสนใจเกมส์ที่กำลังจะเริ่มรอบใหม่อีกครั้ง โอเล่ยังคงปล่อยมุกเต๊าะหนุ่มๆ ไม่หยุดแถมยังดูเหมือนจะแปรพักต์เข้าข้างน้องๆ บ้านดวงดาราไปแล้ว รอบนี้ทุกคนตั้งใจมากเป็นพิเศษ ดูเหมือนสามคนนั้นจะไม่มีคำว่าเพื่อนหลงเหลืออยู่แล้ว
“มึงว่าพวกมันจริงจังกันเกินไปป่าววะ?” น็อตถามเม่น
“มึงดูหน้าพี่โอเล่ก่อน กูว่าเขาเอาจริงนะ” ถึงโอเล่จะทำเป็นพูดเล่นก็เถอะ แต่ก็ดูมีความสุขมากที่ได้แซะหนุ่มๆ
“น้องทีๆ น้องทีชอบคนแก่กว่าหรือเด็กกว่าคะ?”
นทียิ้มเขิน “แก่กว่าครับ”
ต้นน้ำก็พลอยยิ้มไปด้วย โอ๊ย...แล้วเขายิ้มทำไมวะเนี่ย? แล้วไอ้ความรู้สึก...แอร๊ยย แอร๊ยย...แบบที่เห็นบ่อยๆ ตามคอมเม้นท์สาวๆ นี้มันคืออะไรวะเนี่ย?
“เราก็มีสิทธิ์น่ะสิ พวกเด็กๆ หลบไป” โอเล่หันไปบอกเด็กๆ บ้านดวงดารา
“อย่าเพิ่งร้องลูก อย่าเพิ่งร้อง ยังเหลืออีก...”พี่โอเล่เหล่สายตาไปยังปาล์มกับริว
“โอเล่ครับ” พี่เต้สะกิดเตือน “เบาๆ ครับ เจ้านายมาด้วยนะ”
“วินาทีนี้แล้วนะคะเต้ อายไม่ได้แล้วค่ะ ทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องแล้วล่ะค่ะ”
เต้ทนความหื่นของเพื่อนร่วมงานสาวไม่ไหว สั่งเปิดเพลงโดยด่วน พอเพลงจบพวกนทียังคงยึดเก้าอี้เป็นของตัวเองไว้ได้ น้องๆ บ้านดวงดาราออกไปกันสามคน
“เอาแล้วๆ อาจเป็นเพราะกำลังใจของโอเล่ทำให้หนุ่มๆ ของทีมดันดาราเกาะเก้าอี้กันไว้ได้เหนียวแน่น” เต้พูดไปหัวเราะไปอย่างสะใจ “ทีมดวงดาราออกไปอีกสามคนนะครับ น้องเป็นยังไงกันบ้างครับ? ยังสู้อยู่ไหม?”
“สู้!” น้องๆ ยังคงกำลังใจดีพอๆ กับโอเล่ที่ยิ่งคึกคัก
“เริ่มเลยเถอะ พี่ทนไม่ไหวแล้ว พี่อยากรู้เหลือเกินว่าพี่จะได้ตกเป็นของใคร? มิวสิค!” พี่โอเล่เรียกเพลง ซึ่งก็ได้เพลงตามที่เรียก ผู้เล่นยังงงๆ อยู่เลยตอนที่เพลงขึ้น
เพลงจบ...นทีกำลังจะเข้าไปนั่ง แต่มือบางของโอเล่เร็วกว่า เธอดึงเก้าอี้ออกแล้วเอาไปเสียบไว้ให้น้องๆ บ้านดวงดาราแทน
“พี่โอเล่ มายไอดอล” เอื้องฟ้าแทบจะตะโกนบอกรักพี่โอเล่ ประทับใจในการเต๊าะหนุ่มแบบหน้าด้านๆ ไม่อายฟ้าอายดินของนาง
“คนนี้แฟนฉัน” โอเล่เดินไปคล้องแขนนทีที่ทำหน้าหัวเราะไม่ได้ ร้องให้ไม่ออก แล้วก็หันไปแซวธนกรที่นั่งหัวเราะอยู่กับฝนทิพย์ “คุณพ่อขา คุณพ่อได้ลูกสะใภ้แล้วนะคะ เสียสองพัน แลกกับลูกสะใภ้หนึ่งคน คุ้มนะคะเนี่ย”
ธนกรพยักหน้าเออออไปด้วย หัวเราะไปด้วย สักพักก็ส่ายหน้าระอาใจ
“เดี๋ยวฉันเป็นเจ้าภาพฝ่ายหญิงให้เอง แถมข้าวสารให้ด้วยนะ” เล็กแซวธนกรบ้าง
โอเล่รั้งตัวนทีไว้ลูบๆ คลำๆ พอประมาณก่อนปล่อยมานั่งกับเพื่อน นทีเดินหมดแรงมานั่งข้างต้นน้ำ ต้นน้ำก็ยื่นขวดน้ำเย็นให้ นทีรับมาดื่มเงียบๆ คอยลุ้นเกมส์ต่อไปที่เหลือแค่ริวกับต้นปาล์มสองคน
“คู่ต่อสู้ของเราวันนี้สูสีมากนะครับ ทีมดันดาราเหลือสองคน ทีมดวงดาราเหลือสามคน รอบนี้จะมีคนออกทั้งหมดสามคน แล้วเราก็จะเข้าสู่รอบสุดท้ายกันแล้วนะครับ”
เพลงเริ่ม...เสียงพูดคุยก็เงียบลงไป เพลงรอบนี้นานมาก รอจนทุกคนเริ่มเบื่อเพลงก็หยุด ต้นปาล์มโถมตัวไปยังเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด แต่กลับต้องกระเด็นออกมาเพราะแรงปะทะจากคนที่ตังโตกว่าอย่างริว ทั้งสองคนกระเด็นไปคนละข้าง มือที่สามจากดวงดาราคว้าเก้าอี้ไปได้
คนแพ้ทั้งสองคนโดนโอเล่แทะโลมสักพักก็ปล่อยตัวออกมาสู่อ้อมอกเพื่อน
“เชี่ย มึงชนกูทำไมวะ?” ปาล์มบ่นริว
“มึงก็ชนกูเหมือนกันแหละ”
“ไม่เหมือน กูเจ็บกว่า สองพันกูปลิดปลิวไปแล้ว”
“มึงจะเอาไปทำไมวะ...สองพัน ให้น้องๆ เขาไปเถอะ”
“กูได้มา กูก็จะให้น้องอยู่ดีแหละ แบบนั้นโคตรเท่ห์ แต่แบบนี้ไม่เท่ห์เลย ศักดิ์ศรีน่ะ...มึงรู้จักไหม?”
ริว “.....” คนอย่างต้นปาล์มรู้จักคำว่าศักดิ์ศรีด้วยเหรอ?
เป็นที่แน่นอนว่าน้องๆ ดวงดาราได้เงินรางวัลสองพันบาทไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี มาถึงช่วงสุดท้าย โอเล่เชิญคุณครูใหญ่ขึ้นมาบนเวที
“สวัสดีค่ะ วันนี้ครูอยากจะขอบคุณมากๆ สำหรับน้ำใจ ความสนุกสนาน และมิตรภาพที่มีให้กับน้องๆ ครูเองก็เป็นเด็กรุ่นหนึ่งที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน เรียนจบแค่มอหก...ก็ไม่เรียนต่อแล้ว แต่เลือกที่จะมาทำงานอยู่ที่นี่แทน เพราะคิดว่าเราเติบโตมาจากที่นี่ เราก็ควรตอบแทนบุญคุณที่นี่ ด้วยความที่ตอนนั้นยังอายุน้อย ความคิดความอ่านก็แคบ ครูต่อว่ารุ่นพี่คนหนึ่งที่มาเป็นลูกคุณยายรุ่นแรก ในตอนนั้นมีเด็กเยอะขึ้น ต้องการแรงงานหนุ่มสาวมาช่วยดูแลมากขึ้น อะไรหลายๆ อย่างยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง แต่รุ่นพี่คนนั้นกลับเห็นแก่ตัว ไม่ยอมมาอยู่ดูแลที่นี่...ที่ที่เป็นรากเหง้าของตัวเอง เขาคนนั้นทิ้งที่นี่ไปเดินทางตามความฝันของตัวเอง น่าแปลก...ทั้งที่คุณยายไม่เคยโกรธคนคนนั้นเลย แต่ครูกลับโกรธมาก จนแทบจะไม่อยากคุยกับรุ่นพี่คนนั้นเลย
ก่อนที่คุณยายจะเสีย...ท่านป่วยหนัก เราประสบปัญหาทางด้านการเงิน จำนวนเด็กที่มากขึ้นทำให้เราแทบจะรับมือกับปัญหาการเงินไม่ไหว แต่อย่างที่คุณยายได้ตั้งใจถ่ายทอดแนวคิดของท่านไว้เรา...ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร เราจะไม่สูญเสียดวงดาวในดวงตาเรา วันหนึ่ง...ดวงดาวของท่านก็กลับมา ทันเวลา...เพื่อให้คุณยายได้เห็นว่าดวงดาวของท่านเปล่งประกายงดงามแค่ไหน?” คุณครูใหญ่พูดไปทั้งที่น้ำตาคลอ ทั้งความรู้สึกผิด ความซาบซึ้ง ความกตัญญูถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงที่แผ่วเบาทว่าหนักแน่น “ขอบคุณพี่เล็กค่ะ ขอบคุณพี่เล็กที่กลับมาในวันนั้น ทำให้เรายังมีวันนี้อยู่”
เล็กเดินเข้าไปตระกองกอดครูใหญ่ไว้ในอ้อมแขน เรียกน้ำตาของคนที่คอยฟัง
เด็กๆ และครูที่ดูแลร้องให้กันหมด ฝนทิพย์น้ำตาไหลซบใบหน้าลงกับอกกว้างของธนกร แป้งซับน้ำตาที่หัวตาโดยมีมือของเนมโอบกอดอยู่เบื้องหลัง เอื้องฟ้ากับขิงน้ำตาไหลแบ่งกระดาษทิชชูกันเช็ด ต้นปาล์มผู้อ่อนไหวปล่อยโฮโดยมีน็อตกับเม่นคอยห้ามไม่ให้ร้องให้หนักกว่านี้แล้ว...มันน่าอาย
“ร้องให้ใช่ไหม?” นทีถามเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากการเบียดของคนทางด้านหลัง
“อืม” ต้นน้ำตอบเสียงสั่น เขาใช้หลังนทีบังไม่ให้คนอื่นเห็นว่าเขาร้องให้ ริวที่นั่งข้างๆ ยื่นมือมาตบบ่าเขาเบาๆ
“นี่คือบทเรียนสุดท้ายที่คุณยายทิ้งไว้ให้ครูก่อนจากไป...เราไม่สามารถตัดสินใครได้ ตราบใดที่เราไม่ได้เดินทางไกลโดยสวมรองเท้าของเขา” ครูใหญ่ทิ้งท้ายประโยคลงได้อย่างสวยงามก่อนยื่นไมค์ส่งต่อให้กับเล็ก
เล็กยิ้มรับไมค์ ยิ้มให้ครูใหญ่ก่อนหันมายิ้มให้เด็กๆ
“เรียกว่าป้าเล็กแล้วกันเนอะ” เล็กเงียบอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูด “อย่างที่ทุกๆ คนรู้ ป้าเล็กเป็นกระเทยค่ะ” คราวนี้ทุกคนเงียบ “เหตุผลที่ป้าต้องมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะว่าป้าไม่มีพ่อแม่ แต่เป็นเพราะว่าพ่อของป้ารับไม่ได้ที่ป้าเป็นแบบนี้ ป้าถูกตีทุกวัน แต่อย่างว่านะคะ...กระเทยไม่ใช่โรค ที่รักษาแล้วหายได้...ไม่ใช่นิสัย ที่ตีแล้วนิสัยจะดีขึ้นมาได้...คุณยายพบป้า แล้วพาป้ามาอยู่ที่นี่ คุณยายบอกกับป้าว่า...ถ้าจะเป็นกระเทย...อย่าเป็นกระเทยธรรมดา แต่ให้เป็นกระเทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่าเป็นกระเทยขี้เหร่ที่หาได้ดาษดื่นตามท้องถนน...แต่จงเป็นกระเทยที่สวยที่สุด”
“ตอนแรกๆ ป้าไม่เข้าใจ ป้าไว้ผมยาว แต่งหน้า ทาปาก สวยมาก ป้าเป็นนางรำ ประกวดนางงาม...แต่คุณยายก็ยังบอกว่าป้าเป็นกระเทยธรรมดาอยู่นั่น” เล็กหัวเราะเมื่อนึกถึงอดีต “สมัยนั้นยังไม่เปิดกว้างเหมือนทุกวันนี้ ป้าโดนเด็กผู้ชายแกล้ง ป้าก็ด่ากลับบ้าง ตีกันบ้าง จนมาวันหนึ่ง...ป้าเหนื่อยแล้วที่จะต่อสู้ ป้าแค่พยักหน้าให้แล้วเดินออกมา วันนั้น...เป็นวันแรกที่คุณยายชมป้าว่าสวย พวกหนูเริ่มเข้าใจไหมลูก?” ป้าเล็กหยุดถาม
เด็กๆ หลายคนพากันพยักหน้าหงึกหงัก
“เราเป็นคนสวย...เราไม่จำเป็นต้องสนใจคำพูดของคนอื่น ถ้าเรามั่นใจว่าเราสวยแล้ว...ให้เดินต่อไป เราอยู่เริ่ดๆ เชิ่ดๆ สวยๆ ของเรา การทะเลาะเบาะแว้ง...ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนไม่สวยทำนะคะ” สิ่งที่เล็กพูดตอบโจทย์ที่ครูใหญ่ทิ้งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เพราะเธอมั่นใจว่าเธอได้ทำในสิ่งที่สมควรแล้ว เธอจึงได้เดินหน้าต่อในวิธีของตัวเองแม้ว่าครูใหญ่และคนอื่นๆ จะไม่เห็นด้วยก็ตาม “ลูกๆ ทุกคนมีวิถีทางเป็นของตัวเอง อย่าไปตัดสินใคร และอย่าปล่อยให้ใครมาตัดสินเรา จงเป็นตัวเองให้ดีที่สุด เอาล่ะ...ป้าฝากไว้เท่านี้ เด็กๆ อยากถ่ายรูปกับคนสวยไหมคะ?” เล็กชี้ที่ตัวเอง
“อยากค่ะ” เด็กๆ ตะโกนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ป้าเล็กของนายเจ๋งจริงๆ ด้วย” นทีกระซิบบอกต้นน้ำที่ยังคงตาแดงช้ำอยู่ แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมายักคิ้วให้เขา
-----------------------------------------
เป็นตอนที่เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนบ่อยมากๆ
ซีนหวานไม่ค่อยมีนะ
เดี๋ยวตอนหน้า พวกนางจะไปเที่ยวสงกรานต์กันจ้า
ซีนต้องมาล๊าวววว
ทวงถาม ทักทาย ได้ที่ที่เพจเหงาๆ ของช้อยเอง