12 : หนึ่ง...
หลังจากพี่พี่นัททวงรางวัลจนพอใจแล้ว เขาก็พาผมไปอาบน้ำและหาเสื้อผ้าให้ใส่ เขาพาผมมานั่งที่โซฟาและรื้ออัลบั้มรูปต่างๆ ออกมาให้ผมดูมากมาย เพราะตอนที่อาบน้ำผมมองไปที่กรอบรูปด้วยแววตาสงสัย พี่แกก็เลยเข้าใจผิดไปว่าผมไม่เชื่อเรื่องที่เขาบอก...แต่ผมเชื่อเขานะ
ผมนั่งดูรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างรอพี่นัทเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว แต่ละรูปดูแล้วน่ารักมาก พี่นัทกับพี่พายเหมือนจะเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก เขาแกล้งกัน เล่นกัน เหมือนพี่น้องทั่วไปที่รักกันดี ผมเปิดอัลบั้มไปทีละหน้า ดูไปทีละรูปจนมาถึงรูปหนึ่ง ทั้งหน้ามีเพียงรูปใบเล็กใบเดียว รอบๆ มีสติ๊กเกอร์รูปดอกไม้แล้วหัวใจเต็มไปหมด ในรูปเป็นเด็กชายหน้าตาคล้ายพี่นัทในชุดนักเรียนประถมนั่งอยู่บนตักผู้หญิงผมดำหน้าตาสะสวย ที่ใส่ชุดสีฟ้าลักษณะคล้ายๆ ผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ผมมองรูปใบนั้นด้วยความสงสัย การที่เขาเอารูปใบเล็กนี้ไว้หน้าเดียวแถมรอบๆ ก็ตกแต่งอย่างสวยงามแบบนี้ บ่งบอกว่าผู้หญิงในภาพสำคัญสำหรับพี่นัทมากๆ
ผมหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังใส่เสื้ออยู่ อยากจะถามแต่ก็ดูเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป แต่ความอยากรู้ของผมมันกำลังพลุ่นพล่าน หรือว่าจะเป็นคุณแม่ของเขา… อาจจะเป็นไปได้เพราะเมื่อวานพี่นัทบอกว่าเขากับพี่พายเป็นพี่น้องคนล่ะแม่กัน
ฟอด!
“อื้อ!” เพราะผมมัวแต่คิดเรื่องรูป พี่นัทแอบมาหอมแก้มก็เลยตกใจนิดหน่อย วันนี้ผมโดนพี่นัทหอมแก้มกับจุ๊บเล็กจุ๊บน้อยบ่อยมาก บ่อยจนแก้มช้ำปากช้ำ ช้ำไปทั้งตัวแล้ว
“เชื่อยังครับว่าพี่กับพี่พายเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ ”
“ผมไม่ได้ไม่เชื่อพี่ซักหน่อย” พี่นัทยิ้มให้แล้วกระโดดข้ามโซฟามานั่งข้างๆ ดึงผมเข้าไปกอดไว้ ผมเงยหน้ามองเขาแล้วบุ้ยปากใส่
“แล้วทำไมตอนมองรูปในห้องน้ำถึงจ้องแบบนั้นล่ะครับ อยากรู้อะไรหนึ่งก็ถามพี่มาเลยสิครับ”
พี่นัทก้มหน้าซุกไหล่ผมแล้วโยกตัวไปมา ผมมอมยิ้มเอนตัวพิงเขา ดมกลิ่นหอมสดชื่นจากอีกฝ่าย ผมชอบกลิ่นพี่นัทนะ ดมกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
“ผมก็แค่มองเฉยๆ ครับ แต่ที่ผมอยากรู้จริงๆ คือทำไมอาทิตย์ที่แล้วพี่ถึงไม่ค่อยคุยกับผมเลยล่ะครับ ไม่ให้ผมทำงาน ไม่ให้ผมทำอะไรเลย ผมรู้สึกแย่มากเลยนะ”
ผมแกะมือพี่นัทออกแล้วหันไปจ้องหน้า นี่คือคำตอบที่ผมอยากรู้ ถ้าผมทำอะไรที่พี่นัทไม่พอใจ ผมจะได้เลิกทำ ผมไม่อยากให้พี่นัทรู้สึกว่าผมไม่มีตัวตน ไร้ประโยชน์แบบนั้นอีก
“โห...นั่นเป็นประโยคที่หนึ่งพูดยาวที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมาเลยนะเนี่ย ขออัดเสียงไว้ได้มั้ยครับ”
“...” ผมถึงกับถอนหายใจและมองบนใส่เขาที่ทำตาโต เหมือนกับว่าการที่ผมพูดยาวขนาดนนั้นมันเป็นเรื่องแปลกหยักหนา แต่นี่มันใช่เวลามาเล่นมั้ยเนี่ย ผมอยากรู้จริงๆ นี่ซีเรียสนะครับ
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ขอโทษครับ ตอนนั้นพี่แค่แกล้งหนึ่งเล่นเอง ก็ตอนที่หนึ่งทำตัวเหมือนหึงพี่มันน่ารักมากๆ เลยนี่ครับ พี่ไม่เคยเห็นหนึ่งอารมณ์เสียแล้วก็ต้องการพี่แบบนั้นมาก่อน แต่พี่ดันได้ใจไปหน่อยเผลอแกล้งแรงไปจนทำให้หนึ่งร้องไห้เลย”
ระหว่างที่พูดพี่นัทก็บีบแก้มผมไปด้วย พอพูดจบก็ก้มลงมาจูบที่หน้าผาก ถึงพี่เขาจะมาอธิบายแล้วก็เถอะ แต่ทำแบบนั้นมันไม่ดีเลย ผมคิดมากจนนอนไม่หลับเลยนะ
“...พี่นี่นะ นิสัยไม่ดี”
“ครับๆ พี่นิสัยไม่ดี หนึ่งคงต้องลงโทษพี่แล้วล่ะ ทำโทษพี่เลย พี่พร้อมแล้ว มามะ...”
“ม...ไม่ทำครับ ผมไม่ได้โกรธขนาดนั้น” ผมก้มหน้าหลบสายตากรุ้มกริ่มของคนตรงหน้า ผมไม่ไว้ใจไอ้คำว่าลงโทษของพี่นัทเลยซักนิด คนจะโดนลงโทษที่ไหนเขาทำสายตาแวววาวถูกใจแบบนั้นกันเล่า
พอเห็นว่าผมไม่ทำอะไรเขาก็หัวเราะ ดึงผมขึ้นไปนั่งตักแล้วกอดเอวผมเอาไว้
“หึหึ พี่ขอโทษนะครับ” พี่นัทพูดแล้วจูบเบาๆ ที่แก้มหนึ่งที
“แล้ว...ทำไมพี่ไม่ยอมให้ผมทำอะไรเลย ผมรู้สึกไร้ประโยชน์มากๆ ”
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ต้องการให้หนึ่งรู้สึกแบบนั้นนะครับ ก็ตอนนั้นพายมันมาขอให้พี่ช่วยเรื่องของมัน พี่ก็เลยใช้ให้มันทำงานในร้านทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่ได้อยากให้หนึ่งรู้สึกแบบนั้นเลยนะครับ แค่อยากให้นั่งเฉยๆ เป็นเจ้าชายน้อยใจในพี่”
“เจ้าชายอะไร...”
ผมพึมพำ เขาจะให้ผมอยู่เฉยๆ เพราะอยากให้ผมเป้ฯเข้าชายเหรอ คิดอะไรของเขากันล่ะนั่น ผมหัวเราะกับความคิดของเขา พี่นัทก็หัวเราะตามแล้วจูบแก้มผมไปอีกทีหนึ่ง
“หนึ่งไม่มีทางไร้ประโยชน์สำหรับพี่แน่นอน อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อหัวใจของพี่”
จบประโยคเสี่ยวๆ นั่นพี่แกก็หอมแก้มผมไปอีกสองฟอด บอกแล้วว่าอยู่กับพี่เขาอ่ะ ผมเปลืองตัวสุดๆ แต่หลังจากที่เขาอธิบายมาแบบนั้นผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย จะมีก็แต่อีกเรื่องที่ยังตาใจ...จะถือเแ็นความงี่เง่าของผมเองก็ได้ แต่ผมอยากรู้
“ปลเว…ทำไมตอนที่ผมขอลาออก พี่ถึงอนุญาตให้ผมออกง่ายๆ ล่ะครับ พี่ไม่อยากยื้อผมไว้เหรอ”
“พี่ขอโทษครับ...แต่พี่ถามหนึ่งแล้วว่า คิดดีแล้วเหรอ หนึ่งก็ยังยืนยัน อีกทั้งเห็นว่าหนึ่งดูไม่มีความสุขที่จะอยู่ด้วยกัน พี่ก็เลยไม่อยากบังคับเราไว้”
“ก็พี่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ”
“พี่ขอโทษ พี่ผิดเองครับ ไม่โกรธพี่เรื่องนั้นนะ” เขารัวจูบลงบนหัวไหล่ผมหลายครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบอะไรไป ได้แต่อมยิ้มแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น เรื่องนั้นผมก็ไม่ได้โกรธ แต่อดที่จะเคืองไม่ได้ ทีตอนที่อยากให้ยื้อล่ะไม่ยื้อ ปล่อยไปง่ายๆ เลย
“...”
“พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่นะครับคนดี”
พี่นัทจูบไปทั่วใบหน้าของผม ปากนุ่ม แตะเบาไปตามหน้าและลำคอ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีมาก เงยหน้าให้พี่นัทจุ๊บลงมาอย่างสะดวก เผยอปากรอด้วย เผื่อว่าพี่เขาอยากจะจูบขอโทษด้วย เขาดึงเอวผมให้แนบชิดแล้วปากก็ประกบพร้มอเลียงลิ้นนุ่มที่กวาดไล้ไปทั่วโพรงผากอย่างนุ่มนวล ใขณะที่ผ่ามือด็สอดเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไปมาตามแผ่นหลัง ผมไม่ได้ว่าอะไรหากเขาจะลูบอยู่แค่ตรงนั้น แต่นี่พี่แกดันขยับมาที่แผ่นอก เดี๋ยวนะ..ไม่ใช่ละ นี่มันเกินกว่าจูบแล้ว!
“พี่นัท! พี่สำนึกผิดจริงป่ะครับ เผลอไม่ได้เลยนะ”
ผมรีบดึงมือพี่นัทออกจากเสื้อ โวยวายกอดอกตัวเองแล้วจ้องหน้าเขา ตอนนี้ยอดอกผมมันแดงและบวมนิดๆ ผมจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเวลาที่โดนสัมผัส มันไม่แปลกที่ผมจะเจ็บในที่แบบนั้นก็เมื่อคืนผมโดนเขาจับดูดจับบีบซะแทบจะหลุดติดปากพี่เขาไป
“สำนึกสิครับ แต่พี่ถือคติจะง้อคนก็ต้องใจร่มๆ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ”
“...” ผมมองหน้าพี่นัทเพราะไม่เข้าใจคำที่เขาพูด ง้อคนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกันที่พี่นัทจะแต๊ะอั๋งผมอีก
“แต่ตอนนี้พี่ไม่มีน้ำเย็นเลยต้องใช้มือลูบแทนครับ”
“โว๊ะ! พี่นี่...”
พอได้ยินคำพูดกะล่อนๆ ของเขาผมก็กลอกตาไปมา ทำท่าจะขยับลงจากตักของเขา แต่พี่นัทไม่ยอม กอดตัวผมเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“โธ่~ พี่ขอโทษจริงๆ ครับ นี่พี่นึกว่าเรื่องนี้จะเคลียร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะเนี่ย”
“ใครจะไปเข้าใจ พี่ไม่อธิบายอะไรเลย มาถึงก็จับผมอาบน้ำแล้วก็...ทำ..อะไรก็ไม่รู้”
ผมอ้อมแอ้มตอบตรงช่วงท้าย นึกถึงเรื่องที่ทำเมื่อคืนแล้วมันน่าอายมาก เหมือนไม่ใช่ผมเลยทั้งคำพูดและท่าทาง นั่นมันไม่ใช่ผมเลยแม้แต่น้อย!
“พี่ต้องทำยังไงหนึ่งถึงจะหายโกรธพี่ครับ ไม่เห็นหนึ่งยิ้มแบบนี้พี่รู้สึกเหมือนจะขาดใจรอนๆ แล้วเนี่ย” พี่พูดแล้วก็จับมือผมไปกุมไว้ตรงหน้าอก แถมเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ อีก ดูคำพูดคำจาเขาสิครับ กะล่อนไม่มีใครเกิน
“ผมไม่ได้โกรธแล้วครับแต่พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ผมรู้สึกไม่ดีเลย”
ผมดึงมือออกแล้วก็เตรียมตัวลุก ว่าจะลงไปข้างล่าง แต่พี่นัทดึงมือผมให้ลงไปนั่งเหมือนเดิม กอดไว้ แล้วก็เอาคางเกยไหล่อีกครั้ง
“สัญญาว่าจะไม่แกล้งแบบนั้นแล้วครับ”
พี่นัทยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าผมพลางกระดิกไปมา ริมฝีปากได้รูปยิ้มกว้างจนดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นหยีจนแทบปิด ผมยื่นนิ้วก้อยออกไปแตะเบาๆ พี่เขาก็เกี่ยวนิ้วก้อยเขาเข้ากับนิ้วของผม แล้วก็แกว่งไปมา ก่อนที่เขาจะก้มลงมาจรดริมฝีปากลงบนนิ้วก้อยของเรา ผมยิ้มกับสิ่งที่พี่นัททำ ถึงจะดูกะล่อนไปและเสี่ยวไปบ้าง แต่การกระทำแบบนั้นของเขาผมว่าน่ารักดี
“พี่สัญญาแล้วนะครับ ถ้าแกล้งอีกผมจะตีพี่เลย”
“น่ารักจริงๆ ” พี่นัทพึมพำออกมาแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ คลายออกแล้วก็พรมจูบไปมาตามซอกคอ มือก็ไม่อยู่สุขลูบไปตามแขนและต้นขาของผม
“พี่นัท ผมหิวแล้ว”
“ครับ พี่ก็หิว...” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พี่นัทก็ยังไม่ยอมหยุด แถมล้วงเข้ามาในขากางเกงผมแล้วด้วย
“งั้นไปกินข้าวกันครับ” ผมพูดเสียงดัง ผลักพี่นัทออกแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกมาทันที ได้ยินเสียงพี่นัทบ่นแว่วๆ
“โธ่ พี่อยากกินตองหนึ่งมากกว่ากินข้าวนี่นา”
ผมนี่รีบเดินลงมาข้างล่างทันที ที่โดนทำไปเมื่อคืนยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย เดินก็ไม่สะดวก ปวดเมื่อยตัวไปหมด เอวยิ่งปวด เมื่อเช้าที่ตื่นมานี่นึกว่าเอวหักไปแล้ว ผมเดินหนีลงมาข้างล่างก็เห็นพี่พายกำลังเก็บของเข้าตู้เย็นอยู่จึงรีบเดินเข้าไปช่วย
“สวัสดีครับพี่พาย ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย”
“ก็พี่นัทใช้ให้พี่ไปซื้อของสดมาเก็บไว้น่ะสิ”
“พี่หิ้วมาคนเดียวหมดนี่เลยเหรอครับ” จากที่เห็นนี่มันเยอะมากเลยนะ ไม่ได้มีแค่ของสดนะ มีทั้งผัก ผลไม้ นมและขนมอีก
“ใช่ค่ะ หนักมากแขนพี่จะหลุด” พี่พายเหวี่ยงแขนตัวเองไปมา แล้วก็จัดการเก็บของต่อ ผมก็หัวเราะฟังพี่พายพูดบ่นพี่นัทไปเรื่อย
พี่พายคงโดนใช้โหดน่าดู ทั้งช่วยพี่นัททำเค้ก ทำเครื่องดื่ม ซื้อของ และถ้ารวมงานในส่วนของผมด้วยนี่ พี่พายแทบจะทำทุกอย่างในร้าน ซึ่งผมว่ามันหนักเอาการอยู่นะ พี่นัทนิสัยไม่ดีจริงๆ ผมมองไปทางบันใด พอไม่เห็นวี่แวว่าพี่นัทจะเดินลงมาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้พี่พายแล้วถามบางอย่างออกไป
“พี่พายครับ คือ...พี่กับพี่นัทรู้จักกันมานานยังครับ?”
“รู้จักตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ พี่นัทยังไม่ได้บอกหนึ่งเหรอว่าพี่กับเขาเป็นพี่น้องกัน”
“...บอกไปตั้งสองรอบแล้ว แต่หนึ่งไม่ยอมเชื่อพี่ซักที พี่รู้สึกน้อยใจขึ้นมาแล้วนะเนี่ย”
พี่นัทที่เดินมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ตอบแทนด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเขาน้อยใจผมจริงๆ ผมนี่กลืนน้ำลายหลบตาวืดเลยตอนที่เขามองมา คือ...ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อที่พี่นัทบอกนะ แต่ที่ถามพี่พายด้วยก็เพื่อความมั่นใจไงครับ
…
แต่ก่อนหน้านี้ผมเชื่อพี่นัทไปแล้ว 90% เลยนะ...พี่พายที่เก็บของเสร็จแล้วเดินไปหาพี่นัทแล้ววางมือบนบ่าแล้วตบเบาๆ คล้ายปลอบใจ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มเยาะเย้ย
“สมน้ำหน้า ฮ่าฮ่าฮ่า”
“จะไปไหนก็ไปเลยไป” พี่นัทมองพี่พายด้วยหางตาแล้วสะบัดไหล่หนี เดินดันหัวพี่พายไปที่ประตู
“เดี๋ยวๆ นี่ไม่ห่วงน้องเลยเหรอ ใจคอจะไล่กันจริงๆ เหรอ ข้างนอกฝนตกนะพี่นัท”
พี่นัทหยุดดันหัวพี่พาย แล้วเดินกลับเข้ามาเพื่อเอาร่มไปยื่นให้ เธอทำหน้ายู่ยี่แต่ก็ยอมรับร่มแล้วเดินออกไปดีๆ แต่ถึงแม้ว่าร่มจะคันใหญ่แต่ลมค่อนข้างแรงพี่พายก็เลยโดนฝนสาดจนเปียกไปครึ่งตัว
หลังจากพี่พายขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว พี่นัทก็เดินกลับมาจับผมให้นั่งบนเก้าอี้สูงโดยไม่พูดอะไร เขาเดินไปใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายทางเรียบๆ แต่ดูมุ้งมิ้ง จากนั้นก็หยิบของในตู้เย็นออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ
“พี่จะทำอาหารเองเหรอครับ?” ผมมั่นใจว่าพี่นัททำขนมอร่อยมากแต่ไม่เคยเห็นพี่นัททำอาหารคาวเลย พี่เขาไม่ได้ตอบผมแค่เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ให้แค่นั้น
“…”
เงียบแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่า...พี่นัทงอนผมน่ะ แต่จะใช่เหรอ? คนอย่างผมเนี่ยนะจะทำพี่เขางอนได้
“เอ่อ..พี่ครับ ให้ผมช่วยมั้ย? ผมหั่นผักได้นะ”
“นั่งรอเฉยๆ ดีกว่าครับ”
พูดโดยที่ไม่หันมามองเลยแม่แต่น้อย บู่ว~ เขางอนผมจริงๆ ด้วย พี่นัทขี้งอน
ผมนั่งเท้าคางมองเขาทำอาหาร ถึงจะไม่ใช่ขนม แต่พี่นัทก็ยังทำอย่างคล่องแคล่ว หั่นโน่น ผัดนี่ ดูแล้วไม่เบื่อเลย แถมยังดูมีเสน่ห์มากๆ เลยด้วย แล้วเวลาผ่านไปไม่นานข้าวผัดทะเลจานโตก็ถูดวางลงด้านหน้าผม กลิ่นหอยฉุย ข้าวสีสวย ปลาหมึกและกุ้งตัวใหญ่ที่แกะเปลือกออกเรียบร้อยแล้ว ทำให้ผมตาโตแล้วรู้สึกหิวจริงๆ ขึ้นมาทันที
“ผมกินเลยนะครับ” ผมยิ้มให้ จับช้อนเตรียมตักข้าว พอพี่นัทพยักหน้าผมก็จัดการจ้วงใส่ปากทันที และพบว่าไม่ได้ดูดีแค่หน้าตา รสชาติก็อน่อยมากๆ อีกด้วย พี่นัทนี่ก็จะเก่งเกินไปแล้วนะ ทำขนมก็อร่อย ทำข้าวก็อร่อยอีก ใครได้เป็นแฟนนะโชคดีตายเลย
“...”
“อร่อยมากเลยครับ ผมชอบข้าวผัดที่พี่ทำมากๆ เลย”
“ครับ...”
ผมทานไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป ก็ทุกทีพี่นัทจะชวนผมคุยแต่วันนี้พี่เขาแค่นั่งกินเงียบๆ พอผมมองไปมากๆ เข้าพี่แกก็แค่เงยหน้ามายิ้มให้แล้วก้มลงก็ทานต่อโดยไม่ได้พูดอะไร ผมนั่งกินสลับมองไปพี่นัท สมองก็คิดหาทางง้ออีกฝ่ายจนข้าวหมด
“พี่ครับ...ถ้าไม่อิ่ม ผมขออีกจานได้มั้ยครับ?”
“เดี๋ยวพี่ไปตักให้ครับ” พี่นัทหยิบจานผมไปตักข้าวเพิ่มให้ แล้วก็เอาวางที่เดิม พี่นัทยิ้มให้เหมือนเดิม แล้วก็กลับไปนั่งกินเงียบๆ เหมือนเดิม อืม...แล้วผมต้องทำยังไงต่อล่ะ
ผมตักข้าวกินคำนึง แล้วก็ใช้ส้อมจิ้มกุ้งตัวใหญ่ๆ ที่กะว่าจะเก็บไว้กินตอนสุดท้ายยื่นไปให้พี่นัท เขาเงยหน้ามองมาแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น
“หืม?”
“ผมให้ไง...” ผมเม้มปาก ยื่นกุ้งไปจ่อตรงปากพี่นัท พูดง่ายๆ ก็คือตั้ฃใจจะป้อนเขา แต่พี่นัทก็ดันมือผมออก
“แล้วหนึ่งไม่กินเหรอ”
“ผม...ง้อพี่อยู่”
ผมตอบเบาๆ แล้วเม้มปากอย่างประหม่า ผมไม่เคยง้อใครเลยเพราะไม่มีใครให้ง้อ เพื่อนผมมีแค่คนเดียวก็คือไอ้พี แล้วมันก็ไม่เคยงอนผมแบบที่พี่นัทงอน หรือต่อให้มันงอนผมก็คงไม่ง้อแบบที่ผมง้อพี่นัทอยู่ตอนนี้
“...”
พี่นัทมองมาด้วยแววตาสุขุมแบบที่เขาไม่เคยเป็น ทำให้ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตา ได้แต่เหลือบมองเป็นระยะ มือที่จิ้มกุ้งค้างไว้เริ่มสั่น เพราะยกค้างไว้จนเมื่อย ผมเม้มปากแน่นรู้สึกกลัวว่าจะโดนพี่นัทเมินใส่ ถ้าเขาไม่ยอมกินกุ้งที่ผมป้อน ผมต้องทำยังไง ทำไมเขายังไม่กินเข้าไปเสียที นี่เสียสละกุ้งให้ตัวนึงเลยนะ หรือไม่พอ
ผมเอาส้อมกลับมาเพื่อจิ้มกุ้งเพิ่มอีกตัว แล้วยื่นไปให้อีกครั้ง ตอนนี้ส้อมผมอัดแน่นไปด้วยเนื้อกุ้งตัวใหญ่ๆ สองตัว ที่จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ แต่เขาก็ไม่กินเสียที ทำไมล่ะ...นี่ผมง้ออยู่นะ ง้อเขาอยู่
ผมกัดริมฝีปาก หลบตาของอีกฝ่ายและรอจนจะร้องไห้อยู่แล้ว ถ้าพี่นัทไม่ยอมกินนี่อีกนิดเดียวน้ำตาจะไหลออกมาแล้วนะแต่ในที่สุด พี่นัทก็ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก็อ้าปากเอากุ้งทั้งสองตัวเข้าปากในทีเดียว
พี่นัทเคี้ยวจนแก้มตุ่ยแล้วก็มองผมไปด้วย ผมดีใจจนยิ้มกว้างออกมา ไม่เสียแรงที่ให้กุ้งไปตั้งสองตัว
“หึหึ พี่ไม่ได้งอนหนึ่งซักหน่อย แต่หนึ่งตอนที่พยายามง้อพี่ น่ารักดีนะต้องงอนให้ง้อบ่อยๆ ซะแล้ว”
อย่าเลยครับพี่ ถึงผมไม่ได้ง้อพี่ ผมก็มั่นใจว่าน่ารักให้พี่ได้อยู่แล้ว
พอกินกันเสร็จแล้วผมก็ยกจานไปล้างและเก็บจนเรียบร้อย หันกลับมาก็เจอพี่นัทนั่งจ้องอยู่ ดูท่าทางแล้วคงจะจ้องอยู่นานแล้วด้วย เอ่อ...รู้สึกทำตัวไม่ถูกแหะ ผมมองไปรอบๆ เพื่อที่จะหาเรื่องมาคุยกับเขา
“เอ่อ...พี่นัทครับ ทำไมวันนี้ปิดร้านล่ะครับ”
“ก็เมื่อคืนเจ้าของร้านมัวแต่ง้อเด็กทั้งคืน เลยตื่นเช้ามาทำเค้กไม่ไหวครับ”
นั่น...ไม่น่าถามให้เข้าตัวเองเลย หลังจากได้ยินคำตอบแบบนั้นผมก็ไม่คิดที่จะหาเรื่องคุยอีก นี่ก็จะปั้นหน้าไปไม่ถูกแล้วเนี่ย
พี่นัทเอาแต่จ้องหน้าผมแล้วยิ้มไม่พูดอะไร ผมนี่ทั้งเขินทั้งอึดอัด จะนั่งก็ไม่กล้านั่งเลยได้แต่ยืนเกร็งอยู่หน้าอ่างล้างจาน จนพี่นัทดันเก้าอี้ออกแล้วตบตัก คล้ายกับว่าต้องการให้ผมไปนั่งบนตักเขาแต่โดยดี
“ถึงจะไม่ได้งอนแต่พี่ก็น้อยใจนะ พี่ดูไม่น่าเชื่อถือมากเลยเหรอครับ”
“ผมเชื่อพี่ครับ!” ผมหันกลับไปกอดแล้วซุกหน้ากับอกพี่นัท ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงผมก็ขออ้อนไว้ก่อนล่ะ
“เชื่อพี่แล้วจริงๆ อะ?”
“เชื่อครับ” ผมพยักหน้ากับอกพี่นัทรัวๆ ตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อหมดใจ ให้ทั้งตัวเลยด้วย
“แต่พี่ยังน้อยใจอยู่ ปลอบใจพี่หน่อยสิครับ”
“ปลอบยังไงครับ”
“ก็…”
พี่นัทดันตัวผมออก หลับตาทำแก้มป่อง แล้วก็เอียงแก้มขวามาให้ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วล่ะว่าพี่เขาต้องการอะไร ผมอมยิ้มเขิน แล้วกดริมฝีปากลงแก้มพี่นัท แล้วผละออกก้มหน้าลงซุกหน้าอกพี่เขาเหมือนเดิม พี่นัทหัวเราะแล้วดันตัวผมออกจากนั้นก็เอียงแก้มอีกข้างมาให้
“ผมทำไปแล้วนะ”
“ทำให้ครบสองข้างสิครับ เดี๋ยวข้างนี้มันน้อยใจนะ” พูดจบเขาก็หลับตาลงรอผมปลอบใจ ผมก้มลงไปหอมแก้มเขาอีกฟอดใหญ่ พอได้สมใจเขาก็ลืมตาขึ้นมองผมแล้วยิ้มกว้าง ผมชอบรอยยิ้มของพี่นัท ชอบที่สุด...
ผมก้มลงไปจุ๊บแก้มพี่นัทอีกสองครั้งอย่างรวดเร็ว ผละออกมาก็แก้มร้อนผ่าว เม้มปากแน่น เพราะรู้สึกอายในความใจกล้าของตัวเอง ผมสบตากับพี่นัทที่ทำหน้าตกใจยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองป้อยๆ
“เมื่อกี้...เป็นของแถมจากผม”
“...พี่ชอบของแถมมากเลย แต่อยากได้ของแถมแบบเมื่อคืนจังครับ” พี่นัทส่งสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ให้ชวนให้นึกถึงเรื่องที่เราทำด้วยกันเมื่อคืน ผมเม้มปาก ซุกแก้มร้อนๆ ลงกับแผ่นอกกว้าง เรียกเสียงหัวเราะจากอีฝ่ายได้ดี และนั่นยิ่งทำให้อายยิ่งขึ้นไปอีก พี่นัทเชยคางผมขึ้นซึ่งแน่นอนว่าผมขัดขืนเพราะเขินเกินกว่าจะมองหน้าเขาได้ คนตัวสูงจอมทะเล้นหัวเราะและงัดตัวผมออกจากอกสำเร็จก็ยิ้มหวานแล้วก้มลงมาจูบที่ขมับของผมแล้วคลอเคลียอยู่แบบนั้น
“ผ...ผมไปทำความสะอาดหน้าร้านดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องทำเยอะ” ผมหาทางหนี ยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้าง เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนแก้มมันไหม้ไปหมดแล้ว แต่คนตัวสูงก็ยอมปล่อยไป เขากอดเอวผมเอาไว้ วางคางไว้ที่หัวไหล่ของผม ลมหายใจอุ่นๆ ของเขามันรินรดอยู่ข้างแก้มให้ผมเขินอายยิ่งขึ้น
“ไม่ต้องทำหรอก พรุ่งนี้พี่คงต้องปิดร้านอีกวันนึง”
“...ทำไมล่ะครับ”
“ก็พนักงานลาออกไปคนนึง พี่ก็ต้องหาพนักงานใหม่ไงครับ”
อาใช่...ผมลาออกไปนี่นา แต่ว่าเราเข้าใจกันแล้วแถมเมื่อคืน...โอ้ย ไม่เกี่ยวๆ นั่นมันเรื่องส่วนตัว นี่มันเรื่องงาน แต่นี่ก็หมายความว่า...ยังไงผมก็ตกงานอยู่ดีเพระาผมลาออกมาเอง
พี่นัทขยับตัวให้ผมนั่งหงอยบนเก้าอี้ ส่วนเขาก็เดินไปเปิดตู้เย็นเอากล่องสตอว์เบอร์รี่กับบลูเบอร์รี่ แล้วของอื่นๆ ออกมาวางไว้ที่โต๊ะ ผมมองของน่ากินเหล่านนั้นด้วยความสงสัย
“พี่จะทำอะไรเหรอครับ”
“ของหวานไงครับ คาราเมลหรือช็อกโกแลต?”
“อืม...ช็อกโกแลตครับ”
ผมตอบออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร แต่ผมก็ตอบสิ่งที่ผมชอบไว้ก่อน พี่นัทยิ้มให้ ก่อนจะหันไปทำขนมหวานอย่างคล่องแคล่ว ล้าง หั่นผลไม้ ตีวิปครีม แล้วก็จัดใส่จาน โดยที่ผมไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่นานของหวานน่าตาน่ากินก็วางลงตรงบนโต๊ะด้านหน้าผม
“ขอบคุณครับ”
พี่นัทยิ้มกว้างให้ผมแล้วก็เดินออกไปทางหน้าร้าน ผมใช้ส้อมจิ้มสตอว์เบอร์รี่สดและวิปครีมรวดด้วยซอสช็อกโกแลตขึ้นมา จัดการเอาใส่ปากเข้าไปทั้งลูกแล้วก็ยิ้ม อร่อยจนอยากจะกินทุกวันต่อให้อ้วนผมก็ยอมล่ะวะ
ผมกินไปฟินไป ไม่นานพี่นัทก็เดินกลับมานั่งลงเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับผม เขาสูดลมหายใจเข้าดูประหม่าจนผมเอะใจ พี่นัทส่งยิ้มให้แล้วกางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะก่อนจะดันมาให้ผมอ่าน
“อ...เออ เอ่อ ได้ข่าวว่า...ตกงานอยู่ใช่มั้ยครับ?”
“...” ผมมองพี่นัทที่ยิ้มแล้วก็ก้มมองที่กระดาษ ‘ใบสมัครงาน’ ด้วยความไม่เข้าใจ พี่เขาเล่นอะไร จะแกล้งอะไรผมอีก
“แล้ว...แล้วตอนนี้ก็ยังหางานไม่ได้ด้วยใช่มั้ยครับ?”
“พี่จะแกล้งอะไรผมครับ”
“...คือตอนนี้ พี่ต้องการพนักงานประจำมากๆ หนึ่งพอจะช่วยพี่ได้มั้ย...ครับ”
“...” พี่นัทยัดปากกาใส่มือผมแล้วก็ยื่นกระดาษให้ ผมยังงงอยู่ ไม่เข้าใจว่าพี่เขาต้องการอะไรกันแน่
“เขียนใบสมัครสิครับ หนึ่งไม่อยากกลับมาทำงานกับพี่แล้วเหรอ?”
ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีดตัวนั่งหลังตรง จรดปลายปากกาลงบนกระดาษด้วยความดีใจ ผมก็เขียนชื่อและข้อมูลต่างๆ ตามปกติ จนมาถึงช่องตำแหน่ง ซึ่งโดยปกติผมจะต้องเขียนว่า พนักงานประจำ แต่ในตอนนี้ ช่องนั้นกลับมีตัวหนังสือเขียนไปอยู่ก่อนแล้ว...
‘แฟนเจ้าของร้าน’
“เห้ยยย!!” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่นัทที่นั่งตัวตรงกุมมือตัวเองอยู่ ดูท่าทางเขาแล้วก็คงจะประหม่าไม่แพ้ผมเลย
“ตำแหน่งนี้ สวัสดิการเยอะนะครับ ได้ดื่มน้ำฟรี ได้ทานเค้กฟรี แถมยัง ด..ได้ ได้เจ้าของร้านฟรีอีกด้วย”
และยิ่งพี่นัทดูประหม่า ผมก็ยิ่งประหม่าเขินตามเขาไปใหญ่ อะไรของพี่เขากัน จะมาขอคนอื่นเป็นแฟน ยังจะมาทำท่าทางแบบนั้นอีก พี่นัทบ้า บู่ว~
“ล...แล้วก็ถ้าทำงานเหนื่อยกลับบ้านไม่ไหว ชั้นสองก็มีห้องนอนให้พักฟรี อยู่ได้ตลอดเวลา แล้วก็มีเจ้าของร้าน...เอ่อ...นอนเป็น...แล้วก็มีเจ้าของร้านไว้ให้นอนกอดอุ่นๆ ด้วยนะครับ ”
“อ่า…” ผมบกมือเกาแก้มตัวเอง พยายามเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม มองผู้ชายตัวโตที่พูดไปเขินไปเอามือขึ้นมาเกาคอบ้าง เกาจมูกบ้าง ดันแว่นบ้าง เขาเขินได้น่ารักดีนะ แต่พี่อย่าเขินสิ ผมตังหากที่ควรเขิน
“แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย”
“...”
“ถ้าสนใจก็...ลงชื่อตรงนั้นแล้วก็มา ประทับตรา...ตรงนี้” พี่นัทพูดแล้วก็เอามือชี้ไปที่ปากตัวเอง วิธีการประทับตราของเขานี้นะ หาเรื่องแตะอั๋งผมตลอด
“แล้ว...มีแค่ตำแหน่งนี้เหรอครับ?”
“หนึ่งไม่ชอบตำแหน่งนี้เหรอครับ!”
ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ทำจาแป๋วมองไป แล้วจู่ๆ พี่นัทก็ลุกขึ้นเดินมาทางผม อุ้มผมขึ้นไปนั่งบนโต๊ะแทนเก้าอี้ แล้วก็ดันตัวผมให้นอนราบกับโต๊ะจนผมดันตัวเขาออก
“อ๊ะ...พี่จะทำอะไรครับ พี่นัทอย่าจับตรงนั้น!”
“ทำให้หนึ่งรู้ไงว่าตำแหน่งแฟนเจ้าของร้านมันดียังไง”
พูดเสร็จพี่นัทก็ก้มลงมาจูบที่แก้มทั้งสองข้างๆ แถมก็ไม่อยู่นิ่ง หนุบหนับเข้ามาที่แผ่นอกของผมอย่างรวดเร็ว ไอ้คนที่เขินอยู่ตอนแรกมันหายไปไหนแล้ว
“เดี๋ยวพี่ หยุดก่อนครับ ตอนแรกพี่ยังอายอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทำไม...”
“ก็ตอนนี้พี่ถือคติ ด้านได้อายอด ครับ”
“...”
“ตอนแรกก็อาย แต่พี่ก็อยากได้หนึ่งมากๆ พี่เลยต้องด้านครับ”
“อื้อ พี่หยุดก่อน...อย่าจับตรงนั้นสิ!” พี่นัทก้มลงมาจูบปากผมแผ่วๆ สลับกับดูดไปมา แถมมือก็เลื่อนลงที่บั้นท้ายจนต้องตีแขนเขาไปหลายที
“หนึ่งไม่อยากได้ตำแหน่งนั้นจริงๆ เหรอ เป็นแฟนเจ้าของร้าน แถมเจ้าของร้านหล่อมากด้วยนะ”
“ผมแค่ถามว่ามีตำแหน่งอื่นมั้ย ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากทำตำแหน่งนั้นซักหน่อย” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ดูคำพูดของเขาสิครับ มีการชมตัวเองว่าหล่อด้วย
“งั้นก็...”
“ผมจะเซ็นชื่อตรงนี้ แล้วก็…” ผมดันตัวพี่นัทออกแล้วก็หยิบปากกามาลงชื่อแล้วก็ส่งคืนพี่นัทที่ยืนยิ้มจนแก้มปริอยู่
“มาประทับตราตรงนี้ครับ” พี่นัททำปากจู๋ แล้วยื่นหน้ามาหา ผมว่าพี่นัทนี่ต้องเป็นโรคสองบุคลิกแน่ๆ ตอนแรกยังเขินน่ารักอยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนกลับมาเป็นจอมหื่นไปแล้ว
ผมจับเสื้อพี่นัทให้ก้มลงมาใกล้ๆ แล้วจุ๊บไปที่ปากของพี่นัทเบา ตอนกำลังจะผละออกพี่นัทก็จับคอกอดเอวผมไว้ไม่ยอมให้ผมหันหนี
“อื้อ...อืม” พี่นัทถอนจูบออก เขาส่งยิ้มแล้วก้มลงมาจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผาก ปลายจมูกโก่งคลอเคลียไปมากับปลายจมูกผม ไล้ไปที่สันกรามและลำคอ ก่อนจะวกขึ้นมาขบเม้มที่ติ่งหูจนผมขนลุกไปหมด
“หนึ่งครับ...” พี่นัทกระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่โคตรอบอุ่น
“ครับ…”
“ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ”
“ครับ” พี่นัทลูบไปตามแผ่นหลังของผม แล้วก็จูบแก้มและลำคอไปด้วย สัมผัสและสายตาของเขาทำให้ผมนี่โคตรของโคตรจะเขิน
“หนึ่ง..”
“ครับ” จะพูดอะไรอีก พูดมาเลยครับ เอาให้เขินไปทีเดียว เอาให้ผมละลายไปเลย
“หนึ่ง…”
“ครับ” ผมตอบดังขึ้นมาอีกหน่อย คิดว่าพี่นัทไม่ได้ยิน
“หนึ่ง…”
“อะไรครับ”
“หนึ่ง..”
“...” คราวนี้ผมหันหนีไม่ตอบแล้ว เขาจงใจกวนผมชัดๆ และผมไม่ว่างตอบ...เขินอยู่
“หนึ่ง”
พี่นัทจับหน้าผมให้สบตากับพี่นัท แล้วก็ถูจมูกไปมากับปลายจมูกผม ตอนนี้หน้าผมกับหน้าพี่นัทใกล้กันมาก ผมมองตาพี่นัทนิ่ง เรามองตากัน มีเพียงเลนส์แว่นเท่านั้นที่กั้นอยู่ ใครก็ได้เอาน้ำมาสาดผมที ผมเขินจนไหม้ไปทั้งตัวแล้ว
“หนึ่ง…”
“....”
“หนึ่ง…ในใจพี่”
เอารถดับเพลิงมาเลยดีกว่าครับ
หนึ่งในใจพี่...
loammy...หนึ่งในใจคุณ >0<
#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie