หนังสือเก่า
ผมเบื่อดวงอาทิตย์ บางครั้งมันร้อนเกินไป มันสว่างเกินไป เบื่อที่มันทำอะไรเหมือนเดิมทุกวัน เบื่อมากๆ
ผมกับเคยครองคู่กับใครคนหนึ่งมานานหลายปี แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งมันก็อิ่มตัว ทุกสิ่งอย่างมันก็ดูน่าเบื่อ ไม่มีอะไรตื่นเต้น ผมเจอเขาตอนที่อายุยังน้อย หลงไหลและมัวเมากับเสน่ห์ของเขาจนคิดว่าพลาดอะไรสนุกๆ ในช่วงชีวิตวัยรุ่นไป ผมเบื่อเขาและเขาเองก็คงจะเบื่อผม ผมเริ่มทำสิ่งที่ไม่ดี พูดไม่ดี ไล่เขา ไม่ให้กลับมาอีก เขาเลยจากผมไป ช่วงแรกผมสนุกกับชีวิตที่เกือบโสด
ผมมีอะไรกับคนใหม่ไม่ได้เพราะพันธะที่ผมฝากไว้ที่เขา แต่ผมก็โอเคกับการมองคนอื่นไปเรื่อยโดยที่ไม่มีอะไรลึกซึ้งกัน เพราะเขาคนเก่าทำให้ผมเบื่อความสัมพันธ์ในเชิงนั้น
...
อาทิตย์แรกที่ผมแฮปปี้มาก สนุก ทุกอย่างแปลกใหม่ น่าดึงดูด มันเหมือนว่าหัวใจผมกลับมาเต้นอีกครั้ง
...
เดือนแรกที่เขาจากไป ผมยังคงมีความสุข เหงาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ออกไปเที่ยวหาเพื่อนได้ทุกเวลา ไม่มีใครมาคอยบ่น
…
เดือนที่สองที่ไม่มีเขาผมเริ่มเหนื่อย เหนื่อยงาน เหนื่อยใจ ไม่อยากเที่ยว และเริ่มรู้จักคำว่าเหงาอย่างถ่องแท้
ผมไม่เคยรู้สึกเหงาแบบนี้เลย เพราะเจอเขาตั้งแต่ 18 พอเรียนจบก็ทำงาน ตั้งตัวและอยู่กินกันมา เกือบสิบปี เราไม่ได้มีลูกด้วยกัน หลังผูกพันธะเราร่วมรักกันโดยไม่ได้ป้องกันเลยแต่เขาก็ไม่ท้อง เราไม่ได้รีบเร่งมีลูกกันอยู่แล้วจึงไม่ได้ไปหาหมอตรวจหาความปกติอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการแยกย้ายกันในครั้งนี้จึงง่ายดาย เพราะไม่มีอะไรมาเป็นโซ่ที่รั้งใจพวกเราไว้ ตอนที่เขาจากไป ผมคิดว่าดีแล้วที่ไม่มีลูกไม่งั้นคงจะลำบากใจน่าดู
แต่มาวันนี้ผมกลับเสียดาย...เราน่าจะมีลูกด้วยกัน จะได้แยกกันยากๆ หน่อย
เขาชื่อรวี…
รวี ที่แปลว่า ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่ส่องแสงสวยงาม อบอุ่น เป็นกำลังใจให้กันในทุกเช้าๆ ผมชอบแสงอาทิตย์
และวันนี้อยากได้ดวงอาทิคย์ของผมคืนมา ผมเริ่มรับรู้ว่าชีวิตของผมมืดมนเกินไปเมื่อไม่มีเขา
ผมคิดถึงรวี ดวงอาทิตย์ของผม...
“วี...สบายดีมั้ย”
ผมทักเมื่อได้พบใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันเลยมาตลอดสี่เดือน ผมดีใจมากแต่กลับไม่มีถ้อยคำตอบรับจากคนตรงหน้า เขาเหลือบตามองผมและก้มหน้าลงจัดหนังสือต่อ
รวีชอบหนังสือ ตอนเราอยู่ด้วยกัน ห้องของเราจะรกไปด้วยหนังสือของเขา ผมมักบอกว่าเล่มไหนที่ไม่ได้อ่านให้ขายทิ้งไปบ้าง เขาบอกว่าเขาอ่านทุกเล่ม....ซึ่งผมไม่เชื่อ หนังสือเป็นร้อยจะอ่านหมดได้ยังไง
ผมไม่ชอบหนังสือ เพราะมันทำให้รก ฝุ่นชอบเข้ามาเกาะ แถมเก็บไว้นานๆ กลิ่นก็อับ...แต่พอไม่มีหนังสือเหล่านั้นในห้อง ผมกลับรู้สึกว่า...มันโล่งเกินไป ห้องที่เคยมีกลิ่นหนังสือในห้องเริ่มจางหายไป
ผมคิดถึงจึงมาที่ร้านหนังสือใกล้ที่พัก สถานที่ที่ผมไม่เคยคิดจะเข้ามาเลยหากไม่จำเป็น และผมก็เจอเขา...รวี ดวงอาทิตย์ของผม
เพราะรวีทำงานที่นี่ ผมมาจึงทุกวันหลังเลิกงาน ผมเห็นหน้าเขาไม่เยอะและไม่ได้คุยกันเลย รวีไม่ยอมคุย...เมื่อผมเดินไปหาเขามักจะเข้าไปด้านหลังร้าน เขาดูไม่สบายที่เจอผม ผมจึงไม่ได้ตื้อเข้าไปคุยให้เขาลำบากใจ ผมยืนมองเขาทำงานอย่างเงียบๆ ผมยืนดูเขาจัดหนังสือ คิดเงิน หรือคุยกับลูกค้าคนอื่นๆ และยิ้มอย่างสุขใจเมื่อเห็นว่าเขาดูมีความสุข ผมคิดถึงเขาอย่างที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน…
ผู้หญิงดูมีภูมิฐานคนหนึ่งเข้าไปคุยอะไรบางอย่างรวี เขามีสีหน้าลำบากใจและเดินเข้ามาหาผม
“หากคุณลูกค้าไม่ได้ซื้ออะไร โปรดออกจากร้านได้มั้ยครับ มันรบกวนและขวางทางลูกค้าคนอื่น” เขาบอกผมแบบนั้น คำพูดสุภาพ น้ำเสียงห่างเหิน และเขาไม่สบสายตาผมเลยซักนิด ผมยิ้ม ผมได้กลิ่นหอมๆ เมื่อเรายืนอยู่ใกล้กัน ผมคิดถึงกลิ่นของเขา กลิ่นที่ผมเคยดมอยู่ทุกวัน
ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นจนเขาพูดย้ำอักครั้ง ผมจึงหยิบหนังสือแถวนั้นมาเล่มนึงและซื้อมันกลับไป
วันต่อมาผมก็หยิบมาอีกเล่ม ยืนมองเขาทำงานและซื้อเล่มนั้นกลับบ้าน
ผมทำแบบนั้นเกือบเดือน ได้หนังสือที่ผมไม่เคยเปิดอ่านเลยมายี่สิบแปดเล่ม บางเล่มยังคงอยู่ในถุงกระดาษ ผมไม่เคยมองหน้าปกมันเลยซักครั้ง
“ผมเห็นคุณซื้อทุกวัน ได้เปิดอ่านซักตัวอักษรนึงบ้างรึยัง”
“....” ผมมองเขาที่ก้มหน้าจัดหนังสือเข้าชั้น ผมมองรอบตัวเองเล็กน้อยว่าพูดกับใคร แต่แถวนี้มีแค่เราสองคน รวีพูดกับผมและยังคงไม่ยอมสบตากัน
“....”
“ผม...อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยมาซื้อเล่มใหม่” แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ รวีถอนหายใจและลุกขึ้นมองหน้าผม ครั้งแรกเลยที่เขามองมา
“ปกติคุณชอบหนังสือแนวไหน”
ผมดีใจที่เขาถามก่อนแต่ก็คิดหนัก ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือเท่าไร อ่านบ่อยสุดก็พวกหนังสือพิมพ์ ไม่ได้อ่านเพราะชอบ แต่ต้องอ่านเพราะจำเป็น
อืม...แต่ก็มีอยู่บ้างบางครั้งที่อ่านหนังสือของเขา เมื่อก่อนที่ผมยังไม่รู้สึกเบื่อ รวีมักจะนอนอ่านหนังสือบนตักผม ผมก็ได้อ่านไปด้วย ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะมองหน้าเขามากกว่า
“...แนวที่คุณชอบอ่าน”
รวีนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อผมตอบ เขามองหน้าผมแล้วเม้มปากเล็กๆ จากนั้นก็หันหลังบอกให้ผมเดินตามไป เขาพาผมไปที่โซนด้านในสุด เลือกหาไม่นานก็หยิบเล่มหนึ่งออกมาให้ผม
“เล่มนี้เก่ามากแล้ว แต่อ่านง่ายและสนุกมากครับคุณลูกค้า ลองอ่านคำโปรยดู เผื่อคุณชอบ”
เขายังคงพูดและเรียกผมอย่างห่างเหิน ผมเข้าใจดีจึงได้แต่ยิ้มและหยิบเล่มนั้นมา ปลายนิ้วเราสัมผัสกัน เขารีบชักมือกลับและเดินจากไปทันที ผมได้กลิ่นหอมที่เข้มขึ้นแต่ยังไม่ทันดมให้เต็มจมูกกลิ่นก็หายไปแล้ว
ผมพลิกด้านหลังอ่านคำโปรยและเปิดอ่านหน้าแรกเล็กน้อย สำนวนในหนังสือนั้นคุ้นเคยเหมือนผมเคยอ่าน ไม่สิ...เคยฟังตังหาก ผมพลิกดูหน้าแรกอีกครั้ง ความทรงจำสีขาวเริ่มชัดขึ้นมาทีละนิด เดทแรกของเรารึเปล่านะ...ผมพาเขาไปกินข้าวและนั่งเล่นที่สวน วีหยิบหนังสือติดมือไปด้วย เรานอนอยู่ข้างๆ กันท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียว แสงแดดยามบ่ายส่องทะลุต้นไม้ใหญ่ลงมาเป็นหย่อมๆ และเสียงเจื้อยแจ้วของเขาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ให้ผมฟัง
‘คุณน่าจะอ่านเองมากกว่านะ จะได้ซึ้งมากกว่านี้’
‘ไม่เป็นไร ที่ผมให้คุณอ่านเพราะผมชอบเสียงคุณ’ผมคิดถึงเสียงของเขาตอนที่อ่านหนังสือให้ผมฟัง...
“ผมจะซื้อเล่มนี้ครับ”
“...”
“ขอบคุณครับ พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่นะ
“อ่านให้จบก่อนนะ แล้วค่อยมาซื้อเล่มใหม่”
เขาบอกเสียงเบาพลางใส่หนังสือลงถุงกระดาษให้ ผมยิ้มเดินกลับกลับที่พัก ในหัวก็นึกโอกาสที่จะทำให้ได้คุยกับเขาทุกวัน คืนนั้นผมกลับมาถึงห้อง วางหนังสือเล่มบนกองหนังสืออื่นๆ อาบน้ำและเข้านอน
วันต่อมาหลังเลิกงานผมก็รีบตรงไปที่ยังร้านหนังสือนั้น ขอให้เขาแนะนำหนังสือให้ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้สนใจเท่าไร แต่ถามเพราะอยากจะพูดคุยกับเขาเท่านั้น
“ช่วยแนะนำหนังสือดีๆ ให้ผมซักเล่มได้มั้ยครับ”
รวีมองหน้าและขมวดคิ้ว เขาทำสีหน้าคล้ายไม่พอใจผมเล็กน้อย
“เล่มเมื่อวานคุณอ่านจบแล้วเหรอครับคุณลูกค้า”
“...” ยังเลย ยังอยู่ในถุงด้วยซ้ำ
“ผมบอกว่าให้คุณอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยมาซื้อเล่มใหม่...เอ่อ ขอโทษที่ก้าวก่ายครับคุณลูกค้า ลองหนังสือเล่มนี้นะครับ เพิ่งวางขายวันนี้แต่ก็ได้เป็น Best-seller ของร้านแล้ว”
เขาชี้ไปที่กองหนังสือที่จัดเรียงอย่างสวยงาม หนังสือออกใหม่และเป็น Best-seller เขาแนะนำแต่ผมกลับไม่อยากหยิบมา สุดท้ายผมจึงออกจากร้านมามือเปล่าและกลับไปอ่านหนังสือเก่าเนื้อเรื่องคุ้นหูที่เขาแนะผมมาเมื่อวาน
แรกๆ ผมอ่านเพราะความจำใจ แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็อ่านเพราะมันสนุกจนวางไม่ลง ผมเร่งจบการประชุม สั่งเลขาไม่ให้รบกวนหากไม่มีเรื่องด่วนเพื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ หนังสือสามร้อยหน้าจบลงหลังจากนั้นสามวัน ผมมองหนังสือเล่มหนาด้วยความภูมิใจ เรื่องราวสวยงามยังคงตราตรึงอยู่ในอก ผมยกให้นี่เป็นหนังสือเล่มโปรดเล่มแรกของผม
เย็นวันนั้นหลังจากอ่านหนังสือจบ ผมไปร้านหนังสืออีกครั้ง ขอให้เขาแนะนำเล่มใหม่ให้
รวีมองหน้าผม เขาไม่พูดอะไรแต่เดินนำไปยังโซนเดิม เขายืนเลือกอยู่ครู่หนึ่งและหยิบหนังสือมาสองเล่ม อธิบายเรื่องราวคร่าวๆ และให้ผมเลือกเองอีกที
ผมมองหนังสือเล่มขวามือของเขา ผมรู้จักหน้าปกนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่ารวีเคยฝากให้ผมซื้อเล่มนี้ให้เขาเมื่อนานมาแล้ว
‘เกรทได้หนังสือมาให้รึเปล่า ที่ผมฝากซื้อน่ะ’
‘ได้มาสิ รู้มั้ยผมต้องต่อคิวนานแค่ไหน คนซื้อเยอะมาก’
‘นักเขียนคนนี้เขียนสนุกมาก ผมชอบ ขอบคุณนะ’
บนสนทนาและใบหน้าดีใจ และจูบนุ่มๆ ที่เขามอบให้เป็นการขอบแวบเข้ามาในหัว เขายิ้มสวย และเขาเคยยิ้มให้ผมเสมอ แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้...วรียืนหน้านิ่งมองผม คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยราวกับว่ากำลังรำคาญที่ผมไม่ยอมเลือกเสียที
“ผมเลือกเล่มนี้” ผมหยิบเล่มทางขวามือ รวีจึงนำเล่มที่เหลือไปเก็บแล้วเดินนำไปเพื่อชำระเงิน แพ็คใส่ถุงกระดาษแล้วยื่นให้ผม
เล่มนี้บางกว่าเล่มที่แล้วนิดหน่อย แต่เนื้อเรื่องซับซ้อนกว่าบวกกับหน้าที่การงานที่ค่อนข้างยุ่งทำให้ผมใช้เวลาอ่านนานกว่าเล่มก่อนหน้านี้
เวลาเกือบเที่ยงคืน ผมปิดหนังสือลงเมื่ออ่านจบ เล่มนี้มีเนื้อหาค่อนข้างหนักหน่วง แต่ตอนจบกลับมีความสุขสมหวังจนชวนให้ผมโล่งใจและยินดีไปกับตัวเอกของเรื่อง
วันต่อมาเป็นวันหยุดที่ผมว่างทั้งวัน ไม่ต้องออกไปทำกิจกรรมกระชับมิตรทางธุรกิจกับคนอื่นๆ เหมือนที่ผมต้องทำประจำทุกอาทิตย์...เป็นหยุดแรกในรอบหลายเดือน
ผมตื่นมาทำอาหารเช้าง่ายๆ เป็นหนึ่งเมนูที่ผมสามารถทำเองได้ รวีเคยสอนผมเมื่อตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน เขาสอนผมตอกไข่ ทอดยังไงให้ไข่แดงสุกกำลังดีในแบบที่ผมชอบ หรือควรปิ้งขนมปังยังไงไม่ให้ไหม้เกรียมเป็นสีดำ
‘ยากอ่ะ’
‘ไม่ยากหรอก ลองทำดูสิ’
‘วีทำอร่อยกว่า วีก็ทำสิ ทำไมต้องให้ผมทำเองด้วย’
‘ก็ฝึกทำเอาไว้ เผื่อวันไหนวีไม่อยู่ เกรทจะได้ไม่อดตายไง’
‘คุณจะไปไหน ผมไม่ยอมให้ไปหรอก วีเป็นของผมแล้วจะทิ้งกันไปไม่ได้นะ’
‘ไม่ได้จะไหน วีแค่อยากทานอาหารฝีมือเกรท นะ...ทำด้วยกันนะ’ท่าทางและแววตาออดอ้อนของรวีวนเวียนอยู่ในหัวผม ความสุขแบบนั้นผมอยากสัมผัสมันอีก ผมรีบทานอาหารเช้า แต่งตัวและเดินเรื่อยๆ ไปที่ร้านหนังสือ
รวีเช็ดกระจกอยู่ ผมหยุดยืนหน้าร้านมองเขาที่กระโดดเหยงๆ ไปมาเพื่อเช็ดกระจกด้านบน ผมหัวเราะเพราะเขาน่าเอ็นดู รวีคงรู้ตัวว่าโดนหัวเราะ เขาหยุดกระโดดและมองมา ผมจึงโบกมือทักทาย รวียืนนิ่งๆ ไม่ได้ตอบกลับอะไร
“ผมอ่านเล่มเก่าจบแล้ว รบกวนแนะนำเล่มใหม่ให้ทีนะครับ”
“สนใจเป็นแนวไหนครับคุณลูกค้า”
“แนวที่ชอบคุณ...เอ้ย แนวที่คุณชอบครับ”
ผมจ้องไปในดวงตาเขา จงใจส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม รวีหลุบตาลงแก้มเขายังคงเป็นสีเดิมไม่มีอาการเขินอายใดใดทั้งสิ้น แต่ผมรู้สึกว่ากลิ่นจากตัวเขามันหอมกว่าเดิมเล็กน้อย ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่า…
เขาเดินนำผมไปที่โซนเดิม ผมเพิ่งสังเกตุว่าเป็นโซนหนังสือเก่ามือสอง คนไม่ค่อยเดินเข้ามาแถวโซนนี้มากนัก ช่วงเช้าที่ร้านหนังสือเพิ่งเปิดแบบนี้ทำให้คนยังไม่เยอะ ไม่มีเสียงใครพูดคุยกัน จะมีก็แค่เพียงเสียงเพลงสบายๆ ที่เปิดคลอเบาๆ
ผมมองคนตรงหน้าที่ยืดตัวไร้ปลายนิ้วเล็กไปมาตามชั้นหนังสือด้านบน ผมมองใบหน้าของเขา มองเรียวแขน ไล่ลงมาที่หัวไหล่และเอวคอด ผมอยากดึงเอวนั้นมากอดแล้วซบหน้าลงกับหัวไหล่เล็ก ดอมดมกลิ่นของเขาให้เต็มปอด ผมคิดถึงเขา…
“เล่มนี้มั้ยครับคุณลูกค้า อ่านยากกว่าเล่มก่อนเล็กน้อย แต่สนุกไม่แพ้กันเลย”
ผมมองหนังสือเล่มหนาในมือเขา ลวดลายบนปกนนั้นดูโดดเด่นสะดุด และเพราะความสะดุดตาของมันทำให้ผมจำได้ว่าหนังสือเล่มนี้เคยอยู่บนชั้นหนังสือที่ห้องเมื่อครั้งที่ผมและเขายังอยู่ด้วยกัน
แต่เล่มนี้หนามาก คนสมาธิสั้นอย่างผมคงต้องใช้เวลาอ่านเป็นอาทิตย์กว่าจะอ่านจบ แต่วันนี้ผมตั้งใจว่าอยากจะได้เล่มบางกว่านี้
“ขอโทษนะครับ มีเล่มที่สามารถอ่านให้จบได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงบ้างมั้ยครับ เล่มที่บางกว่านี้หน่อย”
รวีมีสีหน้าไม่เข้าใจแต่ก็วางหนังสือเล่มนั้นลงที่เดิม ใช้เวลาไม่นานเขาก็หยิบหนังสือเล่มเล็กขนาดพกพามาให้ผมเลือก
“เป็นหนังสือเรื่องสั้นครับ เล่มเล็ก”
ใช่ เพราะมันเล่มเล็ก รวีจึงพกไปไหนมาไหนด้วย ผมมักเห็นเขาหยิบขึ้นมาอ่านเวลาที่เราไปเที่ยวต่างเมือง ผมรับหนังสือนั้นมา เมื่อมองหน้าปกดีๆ และอ่านเรื่องย่อก็จำได้ว่าผมเคยอ่านแล้ว ถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่ารวีอ่านให้ฟังตอนที่เราแช่น้ำอยู่ด้วยกัน...
‘เล่มนี้จบดีจัง ผมชอบ เกรทชอบมั้ย?’
‘หยุดอ่านก่อนคุณ ไม่กลัวหนังสือเปียกรึยังไง’
‘เพราะกลัวเลยต้องนั่งนิ่งๆ ไง แหน่ะๆ คุณนั่นแหละจะทำให้หนังสือผมเปียก’
‘ฮ่าฮ่าฮ่า เราหยุดอ่านหนังสือก่อนดีกว่านะ’
‘คุณจะทำอะไร เอามือออกไปจากก้นผมเดี๋ยวนี้เลย’
‘หื้ม แต่มือคุณก็วางอยู่บนน้องชายของผมนะ’ผมยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงความสุขครั้งนั้น รวีมองหน้าผมเขาเม้มปากเล็กน้อย และผมสังเกตุเห็นว่าพวงแก้มเขาขึ้นสีระเรื่อจางๆ กลิ่นหอมเข้มข้นขึ้น ผมชะงักและสบตากับอีกฝ่ายแต่รวีก็รีบหันหลังและเดินหนีไป
เขากำลังเขิน… เขาเขินหรืออายอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไร ผมเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เดินตามไปชำระเงินโดยขอไม่ให้เขาใส่ถุงกระดาษให้ เพราะผมตั้งใจจะอ่านเลย
“วี...ที่ร้านนี้มีที่ให้นั่งอ่านมั้ย หรือผมสามารถนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ที่ไหนบ้าง” ผมจงใจเรียกชื่อเขา รวีไม่เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย แต่กลับผายมือไปด้านหน้าร้านหนังสือ ซึ่งมีร้านกาแฟตั้งอยู่อีกฝากของถนน
“ที่ร้านไม่ได้จัดที่นั่งไว้ให้ แต่มีร้านกาแฟอยู่หน้าร้านครับคุณลูกค้า”
ผมยิ้มรับแล้วเดินข้ามถนนไปร้านนั้น สั่งกาแฟรสโปรด มองหาที่เหมาะๆ ในการอ่านหนังสือและนั่งมองเขา ระหว่างที่ผมดื่มด่ำไปกับกาแฟกลิ่นหอมและเนื้อเรื่องเบาสมองก็เงยหน้ามองรวีบ้างเป็นระยะๆ ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มเล็กนี้ประมาณสี่ชั่วโมง หนังสือเล่มไม่ใหญ่และเนื้อเรื่องก็อ่านง่าย คนทั่วไปอาจจะใช้เวลาอ่านน้อยกว่านี้ แต่สายตาของผมดันจับจ้องอยู่ที่รวีเสียเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้อ่านได้ช้า
ผมกำลังเดินข้ามถนนกลับไปที่ร้านหนังสือ แต่ก็เห็นว่ารวีเดินออกมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่ง เขาไม่ได้ใส่ผ้ากันเปื้อนสีครีมแล้ว เดาว่าคงอยู่ในช่วงพักเที่ยงของเขา ผมเดินตามเขาไปเงียบๆ และกินข้าวร้านเดียวกับเขา แอบมองเขายิ้มและกำลังมีความสุขกับการอ่านหนังสือไปพลาง กินอาหารกลางวันไปพลาง
นั่นทำให้ผมรู้สึกสุขใจและปวดใจไปพร้อมๆ กัน
สุขใจที่เห็นว่าเขามีความสุขดี แต่ก็ปวดใจที่เห็นว่าเขามีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผมแล้ว
หลังมื้อเที่ยงเขากลับมาทำงานต่อ ผมก็เดินเข้าร้านหนังสือไปอีกครั้ง รวีมองมาด้วยแววตาสงสัย ผมขอให้เขาแนะนำหนังสือเล่มบางสำหรับการอ่านในช่วงบ่ายให้ผมอีกเล่ม
นี่แหละสาเหตุที่ผมอยากได้หนังสือบางๆ ที่จะอ่านจบได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เพราะวันนี้ผมจะได้ขอให้เขาแนะนำหนังสือให้ผมได้อีก หยุดทั้งทีก็ขอให้ได้คุยกับเขาหลายๆ ครั้งหน่อยเถอะ
ผมเห็นว่าเขาแอบยิ้ม แต่ไม่กี่วินาทีรอยยิ้มน่ารักนั้นหายไปราวกับว่าผมตาฝาดไปเอง รวีเดินนำผมไปที่โซนเดิมแล้วหยิบออกมาให้ผมเลือก จากนั้นผมก็ทำแบบเดิมเหมือนช่วงเช้า ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือและมองดูเขา...วันนี้เป็นวันหยุดที่ดีมากสำหรับผม
ผมอ่านเล่มนี้จบในช่วงเย็น ผมเดินเข้าไปในร้านอีกครั้งแต่รวีติดคุยอยู่กับลูกค้าคนอื่น มีพนักงานในร้านเดินเข้ามาแต่ผมก็บอกว่าขอเดินดูเองเพราะอยากจะรอรวีคนเดียว
ผมเดินวนไปมาอยู่นานจนรวีว่าง ผมถึงเดินเข้าไปช่วยให้เขาแนะนำหนังสือสนุกๆ ให้อีกครั้ง เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกและยังคงพาผมเดินไปที่โซนเดิม หยิบหนังสือหนาเล่มเมื่อเช้ามาให้ ผมเองก็อยากอ่านเล่มนั้นอยู่เหมือนกันจึงรับมา
“อ้าววี เลยเวลาเลิกงานแล้วนี่”
“อื้ม เดี๋ยวจะกลับแล้วล่ะ”
เขาบอกร่วมงานและเดินนำไปที่เคาน์เตอร์คิดเงิน หลังจากนั้นรวีก็หายไปที่ด้านหลังของร้านส่วนผมนั้นยังคงยืนอยู่หน้าร้าน...ก็รวีกำลังเลิกงาน เป็นโอกาสที่ดีที่เดียวที่ผมจะเดินไปส่งเขา
“ไม่เป็นไรครับ ผมเดินกลับเองดีกว่า”
“...” เขาปฏิเสธคำขอของผมอย่างชัดเจน ด้วยคำพูดคำจาที่ยังคงดูห่างเหินไม่เปลี่ยนแปลง ผมส่งยิ้มให้ ไม่ได้เซ้าซี้เพราะมีแผนการอื่น แต่รวีที่หลังเดินไปแล้วก็หันกลับมาอีกครั้งมองผมด้วยรอยยิ้มที่ดูเหนือกว่า
“และอย่าทำตัวเป็นสต๊อกเกอร์ตามผมมานะครับ ไม่อย่างงั้นผมจะแจ้งตำรวจ”
เขารู้ทัน แต่ผมก็จะทำ ผมเดินตามไปห่างๆ ทิ้งระยะไว้เยอะๆ แต่ก็จับจ้องแผ่นหลังของเขาไม่วางตา ไม่นานเขาก็เดินเข้าไปในตึกๆ หนึ่งด้านล่างเป็นร้านขายขนมปังซึ่งมีป้ายแปะไว้ว่าคนนอกห้ามเข้า
ผมมองดูตึกนั้นและสังเกตุเห็นว่ามีห้องๆ หนึ่งเพิ่งเปิดไฟ ผมเห็นว่าม่านเพิ่งถูกเปิดออกและรวีก็เดินออกมายืนตรงระเบียง เขากวาดตามองไปทั่วจนผมหลบแทบไม่ทัน...ผมยืนมองอย่างนั้นจนเขาเดินกลับไปเข้า ห้องพักของเขาไม่ไกลจากร้านหนังสือมากนัก แต่เป็นคนละทางกับที่พักของผมเลย
ผมยืนมองห้องนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกลับที่พักตัวเอง ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำและมานอนอ่านหนังสือ เป็นเรื่องที่สนุกและเศร้าไปพร้อมๆ กัน เนื้อเรื่องหน่วงใจชวนให้ผมแอบน้ำตาซึมได้หลายครั้ง
ผมเงยหน้าเพดานที่ว่างเปล่า หัวใจกำลังถูกบีบตามเนื้อเรื่องที่เพิ่งอ่าน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอินกับเนื้อเรื่องได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยเข้าใจเวลาที่รวีอ่านหนังสือแล้วร้องไห้
‘วีร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรคุณ’
‘ฮึก เขาทำผมร้องไห้’
‘ใคร! เขาไหน?’
‘ตัวเอกในนิยาย...’
‘โธ่...วี’
‘คุณไม่ได้อ่าน คุณไม่เข้าใจหรอก’...แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว
ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนั้นเป็นอาทิตย์ พอได้อ่านอักษรสุดท้ายของเล่ม ความสงสารที่มีต่อตัวเอกในเรื่องทำให้น้ำตาผมก็ไหลออกมาไม่หยุด พอพลิกอ่านดีๆ ถึงได้รู้ว่ามีเล่มต่อไปให้ติดตามได้ ใจผมมีความหวังขึ้นมา...หวังว่าตัวเอกในเรื่องจะได้พบเจอเรื่องดีๆ ในเล่มต่อไป
เย็นวันนั้นผมหอบหนังสือเล่มหนาไปที่ร้านหนังสือ ตั้งใจจะขอให้ช่วยหาเล่มต่อให้หน่อย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพนักงานคนอื่นบอกว่ารวีลาหยุดหนึ่งอาทิตย์
“เขาลามากี่วันแล้วเหรอครับ”
“ประมาณห้าวันค่ะ คุณลูกค้าอยากได้แนวไหนเป็นพิเศษเหรอคะ ทางเราสามารถแนะนำให้ได้เหมือนกัน”
เธอตอบ แนะนำและยิ้มอย่างสุภาพ ผมส่ายหน้า บอกขอบคุณและเดินออกมาจากร้านนั้น
รวีหยุดงานไปห้าวันแล้วงั้นเหรอ ทำไมถึงหยุดนานขนาดนี้ หรือเขาอาจจะไม่สบาย
ทันทีที่คิดได้แบบนั้นผมก็ก้าวขาเดินไปทางตรงกันข้ามกับที่พักของผม ผมเดินมาเรื่อยจนที่ห้องพักของเขา ระเบียง หน้าต่างและผ้าม่านถูกปิดสนิท ผมคงคิดว่ารวีคงไม่อยู่ห้องหากไม่เห็นว่ามันเปิดไฟอยู่ ผมยืนมองระเบียงห้องเขาอย่างเป็นห่วง ใจคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเขาไม่สบายตรงไหน จนนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ของเดือนคือรอบฮีทของเขา…
ผมร้อนใจเมื่อคิดว่ารวีกำลังทรมาน ตอนนี้เขาจะทำยังไง ช่วงฮีทตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน รวีแทบไม่ได้กินยาระงับเลยเพราะเขามีผม แต่ตอนนี้เขาไม่มี...หรือเขาจะหาอัลฟ่าคนอื่นมาช่วย ไม่ได้สิ...เขาทำแบบนั้นไม่ได้ หากเขาทำกับคนอื่น พันธะที่เรามีต่อกันจะทำให้เขาทรมานยิ่งขึ้น
ผมเดินวนไปมาอยู่หน้าตึกจนดึกดื่น ใจผมเป็นห่วงเขา ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าเพราะผมได้กลิ่นหอมของเขาแทบตลอดเวลาที่อยู่ตรงนั้น แต่มันจะเป็นไปได้ไงในเมื่อเขาปิดห้องอย่างมิดชิดขนาดนั้น
ใจผมร้อนรน และร้อนกว่าเดิมในช่วงดึก ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม สังเกตุเห็นว่าเขาแง้มหน้าต่างออกเล็กน้อยในช่วงที่คนบนท้องถนนน้อยลง
“รวี…”
ผมเรียกชื่อเขาเสียงแหบ เมื่อเห็นข้อมือเล็กผ่านกระจกหน้าต่าง กลิ่นหอมจางๆ ชวนให้ใจหวิวพัดมาตามสายลม ผมกลืนน้ำลายช้าๆ ลงคอที่แห้งผากและรีบหันหลังกลับที่พักตัวเองก่อนที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้
สามวันหลังจากนั้นรวีก็กลับมาทำงานตามปกติ ผมยืนมองอยู่หน้าร้านครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไป เราสบตากันเล็กน้อยและผมส่งยิ้มกับเขา รวีรีบก้มหน้าลงหันกลับไปคุยกับลูกค้าคนเดิม ผมจึงยืนรอเงียบๆ ทำทีเป็นหยิบหนังสือขึ้นมาดู แต่เผลอครู่เดียวเขาก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้ว ผมมองไปรอบๆ เพื่อหาเขา แล้วผมก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย มันฟุ้งกระจายไปทั่วร้านหนังสือนี้
จิตใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รีบก้าวขาเดินตามกลิ่นไป จนมาโซนหนังสือเก่าที่เขาชอบแนะนำหนังสือดีๆ ให้ รวีกำลังนั่งซบหน้าลงกับเข่าตัวเอง เนื้อตัวเขาสั่นเทา ผมเรียกชื่อเขา รวีไม่เงยหน้ามองผมแต่กลับกอดตัวเองแน่นขึ้น พร้อมกับปล่อยกลิ่นหอมที่รุนแรงกว่าเดิม
“คุณกำลังฮีทอยู่?”
“ไม่...มันหมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานก่อน ต...แต่ทำไม?”
เขาส่ายหน้าไปมากับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ เรามองหน้ากันและกลิ่นเขาก็ดูเหมือนว่าจะเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม นั่นทำให้ผมมึนหัวตามไปด้วย
“รวี คุณไม่ควรอยู่ที่นี่”
เขาส่ายหน้านั่งคุดคู้อยู่ที่เดิม ผมดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืน รีบพาตัวเขากลับที่พัก รวีขัดขืนเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมตามมา ผมเลือกเดินไปที่ห้องเขา เพราะใกล้กับร้านหนังสือมากกว่าที่พักที่เราเคยอยู่ด้วยกัน
“ค...คุณรู้ที่อยู่ผม”
“เปิดห้องเร็วๆ”
“คุณมัน ส...สต๊อกเกอร์”
เขามือสั่นผมจึงถือวิสาสะดึงกุญแจในมือเขามาเปิดห้องเอง ผมดันตัวเขาเข้าไปในห้อง และผมก็ถือวิสาสะอีกครั้งตามเข้าไป...ผมรู้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น อีกใจนึงบอกให้ผมรีบกลับที่พักตัวเอง แต่อีกใจกลับคิดอีกแบบ
“วี…” ผมเท้าแขนลงกับโต๊ะ บางทีผมอาจคิดผิดที่เข้ามาในห้องของเขา ในนี้มีกลิ่นของเขาอยู่เต็มไปหมด มันเข้มข้น หอมหวานและชวนใจสั่นเกินที่จะควบคุมได้ ผมกัดฟันและรับรู้ได้ถึงอาการบางอย่างของตัวเอง ผมกำลังรัท...
“คุณ อะ...ออกไป กลิ่นคุณ ฮือ”
วีพูดไม่เป็นคำและผ้านวมผืนหน้าถูกดึงมาคลุมตัว เขาทิ้งตัวซบหน้าลงกับโซฟาและกลิ่นของเขามัน...ทำให้ผมเป็นบ้า
ผมไม่สามารถออกไปในสภาพแบบนี้ได้ ผมทรมานแทบขาดใจ กลางกายเจ็บปวดจนอยากจะถอดกางเกงออก ผมเดินเข้าไปหาเขาและดึงผ้านวมออก รวียกมือกุมจมูกตัวเองและส่ายหน้าไปมาอย่างทรมาน กลิ่นหอมของเขาตีเข้าหน้ามัวเมาให้ผมแทบคลั่ง
ดวงตากลมโตฉ่ำหวานมองมาที่ผม เขาไม่พูดอะไรออกมาตอนที่ผมโน้มตัวลงไป วีทำท่าจะหันหน้าหนีแต่สุดท้ายเขาก็นอนเฉยๆ ให้ผมประทับริมฝีปากลงบนแก้มนุ่ม คลอเคลียไปมาตามที่ใจต้องการ และผมได้ยินเสียงครางอย่างแผ่วเบาอย่างพึงพอใจจากเขา
“ผมอยากช่วยคุณ” และต้องการให้คุณช่วยผมด้วย…