[END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62  (อ่าน 19624 ครั้ง)

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
14 : มงกุฎดอกไม้


“หนึ่งตื่นเร็วครับ สายแล้วนะ”

“งืม...กี่โมงแล้วครับ” ผมปรือตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหรี่หนีแสงจากหน้าต่างแล้วบิดขี้เกียจหมุนไปมา ยังไม่อยากลุกจากเตียงเลยอ่ะ มันทั้งนุ่มทั้งสบายฟุดๆ

“จะสิบโมงแล้วครับ”

ผมเด้งตัวลุกขึ้นทันที สายมากเลยนะเนี่ย ผมมองไปที่พี่นัทที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วแถมยังใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ด้วย ดูท่าจะตื่นนานแล้ว

“ทำไมพี่ตื่นแล้วไม่ปลุกผมด้วยล่ะครับ”

“ก็พี่เห็นเราหลับสบายก็เลยไม่อยากปลุกนี่ครับ”

“...” แต่ผมอยากตื่นพร้อมพี่บ้างอ่ะ พี่นัทยิ้มแล้วบิดแก้มผมเบาๆ  ผมหันหน้าหนี ไม่ต้องมายุ่งกับแก้มเลย ช้ำหมดแล้ว

“ไปอาบน้ำเร็ว เดี๋ยวมากินข้าวกันครับ”

ผมลุกไปอาบน้ำ แล้วก็ใส่เสื้อผ้าของผมที่พี่นัทซักไว้ให้ ผมซุกหน้าลงบนเสื้อของเขา ดมกลิ่นหอมสดชื่นเหมือนกลิ่นบนตัวพี่เขา พอผมใส่เสื้อผ้าเสร็จก็เดินไปหาพี่นัทที่อยู่ตรงครัวเล็กๆ ติดระเบียง

“หอมจังเลยครับ” ผมทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นหอมๆ  เดินไปยืนข้างพี่นัทที่กำลังทำอาหารอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม แล้วก็เทข้าวต้มกุ้งลงชาม แล้วก็เดินไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา ผมเดินต้อยๆ ตามกลิ่นหอมไป แล้วก็นั่งลงกับพื้นตรงข้ามกับพี่นัทคว้าช้อนขึ้นมาเตรียมจ้วง แต่พี่นัทดึงชามหนีซะก่อน ทำไมอ่าาา

“มันยังร้อนอยู่นะครับ ค่อยๆ กิน” แล้วพี่นัทก็ดันชามคืนมาให้ ผมตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าๆ เอาเข้าปาก แล้วก็พบง่าอร่อยอีกแล้ว ผมยิ้มแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้คนตัวสูงที่นั่นตรงกันข้าม

พี่นัทยิ้มกว้างแล้วก็ทำแก้มป่องยื่นมาให้ผม ผมก็เลยยืดตัวไปหอมแก้มให้ฟอดนึงเป็นรางวัลสำหรับของอร่อย

“อร่อยมากเลยครับ”

“ถ้าไม่อิ่มตักเพิ่มได้นะ ในหม้อยังมีอยู่”

หลังจากนั้นผมก็จัดการข้าวต้มทั้งในชามและในหม้อจนเรียบ ถ้ากินแบบนี้ทุกมื้อผมได้อ้วนกลมแน่ๆ พอทางมื้อเช้าเสร็จพี่นัทก็พาผมไปอบเค้กที่ครัวใหญ่ชั้นหนึ่ง ผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แค่ช่วยล้างอุปกรณ์ทั่วไป

“หนึ่งอยากทานด้วยมั้ยครับ พี่จะได้อบให้” ผมนี่พยักหน้าทันทีเลย ของอร่อยๆ ใครก็ชอบ นี่ครับ “งั้นมาช่วยพี่ปั่นครีมหน่อยนะครับ”

“ได้ครับ”

ผมเดินไปยืนข้างๆ พี่นัทแล้วก็ลงมือตีครีมตามที่พี่นัทเคยสอนไว้ มานึกๆ ดูวันที่พี่นัทสอนครั้งแรกนั้น พี่นัทต้องจงใจทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวแน่ๆ เลยอ่ะ ใครจะไปสอนปั่นครีมแบบนั้นกัน พี่นัทเจ้าเล่ห์สุดๆ ไปเลย

“พี่นัท นี่ใช้ได้ยังครับ”ผมตีไปเรื่อยๆ จนครีมเริ่มตั้งยอดก็ส่งให้พี่นัทดู

“อืม ได้แล้วครับ” พี่นัทที่กำลังปอกผลไม้อยู่เดินมาดูใกล้ๆ  แล้วก็จ้องหน้าผม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ผมถามพี่นัทก็ยังคงจ้องอยู่เหมือนเดิม แล้วก็ค่อยๆ ยิ้ม หลังจากนั้นพี่นัทก็ก้มลงมาจุ๊บที่ปากผมเร็วๆ แล้วก็ผละออก

“ขอบคุณที่ตีครีมให้ครับ” แล้วเขาก็เดินไปปอกผลไม้ต่อ อะไรอ่ะ...แค่ตีครีมเอง ไม่เห็นต้องขอบคุณอะไรเลย  ถึงจะขอบคุณก็ขอบคุณธรรมดาได้มะ ไม่เห็นต้องมาจุ๊บแบบนี้เลย ทำแบบนี้บ่อยๆ ผมก็เขินนะครับ

หลังจากพี่นัทปอกผลไม้เสร็จก็แต่งหน้าเค้กนิดหน่อย จนในที่สุดเค้กโรลช็อคโกแลตหน้าตาดูดีก็เสร็จ

“มีครีมเหลือนี่พี่จะทิ้งรึเปล่าครับ?”

มีครีมที่ตีไว้มันเหลืออยู่นิดหน่อย ถ้าพี่นัทจะทิ้งมันก็น่าเสียดาย ผมกะว่าจะขอกินซักหน่อย ครีมช็อคนุ่มๆ กินกับสตอว์เบอร์รี่เปรี้ยวอมหวาน  ก็น่าจะเข้าอยู่นะ

“ตอนแรกก็ว่าจะทิ้งแหละ แต่ตอนนี้พี่อยากชิมแล้วสิ”

ผมบุ้ยบปากอย่างเสียดาย ครีมมันมีอยู่หน่อยเดียวเอง แบ่งกินสองคนไม่พอหรอกครับ จากที่คิดว่าคงจะอดแล้วแต่พี่นัทก็เดินมาปาดครีมในอ่างแล้วก็ยื่นมาให้ ผมจึงรีบอ้าปากจะกินครีมที่อยู่บนนิ้วเขา แต่พี่แกดันขยับนิ้วหนีอีก ผมมองหน้าพี่นัท ตกลงจะยังไง จะแกล้งอะไรอีก

“พี่บอกว่า พี่จะชิมนะครับ ไม่ได้ให้หนึ่งชิมซักหน่อย”

“เอ้า! แล้ว…” ผมกำลังจะบอกว่า แล้วพี่จะยื่นมาให้ผมทำไม แต่พี่นัทดันมือบอนป้ายครีมลงมาบนปากผมซะก่อน มาอีหรอบนี้รู้เลยว่ากำลังจะโดนอะไร

ผมยืนนิ่งๆ ให้พี่นัทปาดครีมจนทั่วไปทั้งริมฝีปาก พี่นัทขยับออกไปดูผลงานตัวเองพลางเช็ดนิ้วที่เปื้อนครีมกับผ้ากันเปื้อนไปด้วย จากนั้นก็รั้งตัวผมให้เข้าไปใกล้ๆ

“ครีมที่อยู่บนปากหนึ่งดูน่ากินกว่าอยู่บนเค้กอีกครับ”

พีนัทก้มลงมากินครีมที่อยู่บนปากผม ค่อยเลียกินไปทีล่ะส่วนๆ  จากริมฝีปากล่าง แล้วก็ขึ้นมาที่ริมฝีปากบน จนครีมหมดแล้ว พี่นัทก็ยังไม่ผละออก ลิ้นร้อนเลียปัดไปมาไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในปาก แค่ดูดเม้มอยู่อย่างนี้ มีหลายครั้งที่พี่นัททำเหมือนแซะเข้ามาในปาก แต่พอผมเปิดปากออกกลับแค่ไล้เลียอยู่ที่กลีบปากแค่นั้น มันน่าหงุดหงิดจนผมต้องล่วงล้ำเข้าไปในปากพี่นัทเสียเอง

ในปากพี่นัทมีรสหวานๆ ของครีมอยู่ด้วย มันอร่อยจนผมโถมตัวใส่ พี่นัทต้องขยับเปลี่ยนท่าไปยืนพิงโต๊ะไว้ ผมเขย่งปลายขาและกอดคอพี่นัทให้ก้มลงมาเพื่อที่ผมจะได้จูบได้สะดวกๆ  แต่คนตัวสูงดูไม่ให้ความร่วมมือเท่าไรเลย แถมยังดันตัวผมออกอีก

พี่นัทเห็นแก่ตัวอ่ะ ทีตัวเองอยากทำนี่ นึกจะทำก็ทำ แต่ผมอยากจูบบ้างดันไม่ได้จูบ เฮอะ!

“หนึ่งจะชิมครีมด้วยมั้ย?” พี่นัทหยิบอ่างครีมขึ้นมา แล้วยื่นมาให้ผม ไม่มีอารมณ์จะมากินครีมแล้วววว ผมทำหน้าบึ้งแก้มป่อง แล้วหันหน้าหนีพี่นัท

“หึหึ  หนึ่งงอนพี่เหรอครับ”

“ผมไม่ได้งอนครับ” แค่หงุดหงิด

“โกหกชัดๆ  กินครีมมั้ย อร่อยนะ” พี่นัทยังยื่นอ่างครีมมาให้ผม จนผมต้องหันไปมองพี่นัทตาขวาง

“ผมไม่อยากกินแล้วครับ”

ผมกำลังจะออกห่างจากพี่นัทแต่พี่แกดึงตัวผมไว้ วางอ่างครีมลงกับโต๊ะ แล้วก็ใช้นิ้วโป้งปาดครีมออกมา พี่นัทมองผมยิ้มๆ  เลียริมฝีปากตัวเองพอเซกซี่แล้วก็ค่อยๆ บรรจงป้ายครีมลงไปที่ริมฝีปากของตัวเอง  เสร็จแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาหาผมช้าๆ

“กินครีมมั้ยครับ? อร่อยนะ”

นอกจากจะเจ้าเล่ห์ยังอ่อยเก่งอีกตังหาก ผมยิ้มออกมาแล้วก็เขย่งเท้าและโอบรอบคอพี่นัทลงมาจูบ

 

หลังจากที่ชิมครีม ชิมอะไรๆ กันเสร็จแล้ว ผมก็มานั่งดูพี่นัทจัดการผูกโบว์น่ารักๆ ที่กล่องเค้ก พี่นัทก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มและขยิบตาให้ผม ผมนี่ก้มหน้ามองเข่าตัวเองอย่างไวเลยครับ เมื่อกี้ยังกล้าเรียกร้องจูบ แต่พอตอนนี้กลับมานั่งนึกเขิน อย่างกะคนบ้าเลยครับผม คือแบบรสชาติครีมและสัมผัสของพี่นัทยังอวลอยู่ในปากจนผมเผลอแลบลิ้นออกเลียและกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ  ตาก็เหลือบขึ้นไปมองพี่นัทอีกที แต่พี่นัทก็ยังจ้องผมอยู่นิ่งๆ  จนผมรีบหลุบตาลงอีก

ผมเหลือบตามองอีกทีก็เห็นว่าพี่นัทเอาเค้กส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ในตู้เย็น จากนนั้นก็เดินมาทางผม รอยยิ้มนี่เจ้าเล่ห์มาเชียว เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วยืนซ้อนด้านหลัง แผ่นอกแข็งของอีกฝ่ายแนบชิดไปกับแผ่นหลังของผม มืออุ่นไล้ไปตามสีข้าง ปากก็คลอเคลียตามแก้มและต้นคอของผม

“พี่นัท…”

เสียงผมเบาหวิวเพราะมืออีกข้างของพี่นัทลูบลงไปต้นขาวกเข้าไปต้นขาด้านในของผม ลากผ่านน้องน้อยๆ ของผมอย่างแผ่วเบาจนขนตามสันหลังของผมพากันลุกซู่ซ่า พี่นัทลากขึ้นมาที่ชายเสื้อผมล้วงเข้ามาในเสื้อ ลูบที่หน้าท้องผมแผ่วเบา ปากนุ่มๆ อุ่นๆ ก็พรมจูบไปตามหลังคอ

พี่นัทลากขึ้นมาจนเจอยอดอกและปัดผ่านไปมาเบาๆ  ไม่บีบ ไม่บี้ จนผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจลึกๆ  ปากก็จูบซับมาเรื่อยๆ จนถึงติ่งหู พี่นับเม้มที่ติ่งหูผมเบาๆ  แล้วก็กระซิบว่า

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณแม่พี่รอ”

“หวา!!”

จบประโยคนั้นปุ๊บ พี่นัทก็ผละออกจนผมที่ไม่ทันตั้งตัว เซจนแทบตกเก้าอี้ ดีที่คว้าขอบโต๊ะเอาไว้ได้ ผมหันไปมองพี่นัทที่เดินถือกล่องเค้กและหัวเราะออกไป นี่ผมโดนเขาแกล้งกันอีกแล้ว เจ็บใจแต่ก็ได้เข่นเขี้ยวเขียวฟัน พึมพัมอยู่คนเดียว แล้วก็เดินตามพี่นัทออกไป

จำไว้เลยนะพี่นัท ซักวันผมจะปล่อยให้พี่ค้างบ้าง ฮึ่ย!

 

“พี่อย่าลืมพาผมไปเปลี่ยนชุดนะครับ”

พี่นัทกำลังจะเปิดประตูรถหันมามองผมแล้วก็หัวเราะออกมา

แหงดิ สภาพผมตอนนี้ ใครเห็นเขาก็หัวเราะกันทั้งนั้นแหละ เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ ที่ชายเสื้อแทบเลยเข่า กางเกงที่ดูยังไงมันก็กางเกงนอนตัวเก่าๆ  ที่ย้วยเต็มที่ และที่ยิ่งทำให้ดูตลกเข้าไปอีกคือ รองเท้าแตะคีบไซส์ยักษ์ของพี่นัทนี่แหละ ตอนส่องกระจกนี่อย่างกะเด็กไปขโมยชุดพ่อมาใส่

“ฮ่าฮ่าฮ่า แบบนี้น่ารักดีนะ พี่ชอบ”

“น่ารักของพี่คนเดียวอ่ะดิ”

“....”

พอขึ้นรถเรียบร้อยผมก็จัดการคาดเข็มขัด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอพี่นัทที่จ้องอยู่

“อะไรครับ”

“แต่ตอนไม่ใส่อะไร น่ารักที่สุดอ่ะ”

“พอเลยพี่นัท”

ผมนี่หันหน้าออกหน้าต่างเลยครับ ไม่อยากจะพูดต่อ เดี๋ยวจะโดนไปมากกว่านี้ คุยกันทีไรพี่นัทชอบลากเข้าเรื่องแบบนี้ทุกที หื่นจริงๆ

แค่แปปเดียวรถพี่นัทก็มาจอดหน้าที่พักผมเรียบร้อย ผมรีบขึ้นห้องแล้วก็เอากล้องที่ชื้นฝนนิดหน่อยเข้าตู้อบไล่ความชื้น ทิ้งไว้เกือบสองคืนหวังว่าคงไม่พังนะ ตัวนี้นี่แพงอยู่ด้วย

พอจัดการกับอุปกรณ์กล้องแล้วผมก็มาเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อ ส่วนพี่นัทที่ตามขึ้นมาด้วยก็ พอถึงห้องปุ๊บก็กระโดดลงไปกลิ้งกับเตียงผมทันทีเลย

อืม ใส่เสื้อตัวไหนดีหว่าา สีฟ้าดีกว่า สดใสเหมาะกับใส่ไปเยี่ยมคนป่วย จังหวะที่ยื่นมืออกกำลังจะใส่เสื้อ พี่นัทที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้ มายืนซ้อนหลังผมเฉยๆ

“ผมตกใจหมดเลย อย่ามายืนเงียบๆ แบบนี้ดิ”

“ตกใจอะไรครับ ในห้องไม่ได้มีคนอื่นซักหน่อย”

“อย่ามาพูดแบบนั้นในห้องผมนะ” ผมก็ไม่ใช่คนกลัวผีอะไรมากหรอกครับ แค่บางครั้งอยู่คนเดียว มันก็อดคิดไม่ได้อ่ะ พี่นัทหัวเราะแล้วก็หมุนตัวผมไปติดกระดุมให้

“พี่จะติดกระดุมก็ติดอย่างเดียวสิ จะมาลูบตัวผมทำไมล่ะครับ” ผมปัดมือพี่นัทออก เพราะพี่นัทลูบมือเข้ามาที่หน้าอกผม

“ก็เห็นแล้วมันดูเนียนนุ่มมือ เลยอยากสัมผัสดูนี่ครับ ดูดิ พุงนุ่มมากเลยอยากเอาหน้าฟัด”

“พี่หื่นอีกแล้ว ผมใส่เองดีกว่า” ผมดันตัวพี่นัทออกแล้วก็ แล้วก็จัดการใส่เสื้อ ใส่กางเกง แปปเดียวก็เสร็จ

“พี่ว่าหนึ่งไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องแวะกลางทาง”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ปวดหรอก”

“ไกลนะกว่าจะถึง”

ตอนแรกก็กะว่าจะไม่เข้าหรอก แต่พี่นัทย้ำแบบนั้นก็แสดงว่าคงจะไกลจริง แล้วพี่นัทคงอยากขับยาวๆ ไปเลย ผมก็ไปไปจัดการเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย

“เรียบร้อยแล้วครับ นั่นถุงไรอ่ะ”

“อ่อ ถุงเสื้อผ้าครับ เสื้อผ้าพี่มาอยู่ที่นี่เยอะมากเลย เอากลับๆ ไปบ้างดีกว่า”

ผมพยักหน้าเพราะของพี่นัทอยู่ที่ห้องผมเยอะมากจริงๆ  และเสื้อผ้าในตู้นี่เสื้อพี่นัทเยอะกว่าเสื้อผมซะอีก

พี่นัทจูงมือผมออกจากห้อง จากที่จูงข้อแขนธรรมดาก็เปลี่ยนเป็นจับมือแบบสอดนิ้ว ผมรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเวลาที่มีคนอื่นเดินสวนมาแล้วมอง  ผมพยายามที่จะบิดมือออก เวลาที่มีคนจ้องมากๆ เพราะผมกับพี่นัทก็ผู้ชายทั้งคู่ คนอื่นจะคิดยังไงก็ไม่รู้

“เป็นอะไรครับ”

ผมส่ายหน้าและยิ้มให้ แต่เหมือนพี่นัทดูออก เพราะพี่นัทปล่อยมือออก แต่กลับเปลี่ยนมาโอบไหล่ผมแทน ผมเดินตัวเกร็งไปตลอดทาง

มันก็รู้สึกดีที่พี่นัทกล้าเปิดเผยแบบนี้ แต่ผมตังหากที่แย่ ผมยังกลัวและอายสายตาที่คนอื่นมองมา มองพวกเราแบบมันผิดปกติ ทั้งๆ ที่เอาจริงๆ แล้วมันก็แค่ความรักรูปแบบนึง แต่ลึกๆ ผมก็ห้ามตัวเองไม่ไห้คิดไม่ไม่ได้ว่า มันคงดีกว่านี้ถ้าผมหรือพี่นัทมีใครซักคนเป็นผู้หญิง

ผมขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว แต่พี่นัทยังไม่ออกรถซักที ผมเลยหันไปมองพี่นัทที่ยิ้มอยู่ อ้ออ ผมลืมคาดเข็มขัด ทุกครั้งที่ขึ้นรถ พี่นัทจะไม่ยอมออกรถถ้าเรายังคาดเข็มขัดไม่เสร็จ พี่นัทค่อนข้างที่จะเคร่งครัดเรื่องแบบนี้พอสมควรเลยแหละ

ผมกำลังจัดการคาดเข็มขัด จู่ๆ พี่นัทก็เอี้ยวตัวลงมาล็อคให้และจุ๊บเบาๆ ที่ปาก ผมกำลังจะอ้าปากดุที่เขาแต๊ะอั๋ง แต่ก็โดนพี่นัทขยับเข้ามาหอมแก้มอีกครั้งแล้วยิ้มให้

“หนึ่งอย่าสนใจสายตาคนอื่นเลยครับ สนใจแค่พี่...สนใจแค่เราก็พอ”

“...”

“เนอะ ที่รัก!” พี่นัทพูดเสร็จก้ทำหน้าทะเล้น จับหมับเข้าที่แก้มของผม ดึงไปจุ๊บเน้นๆ ที่หน้าผากและปาก แล้วบีบแก้มผมไปมา

“โอ๊ยพี่! ผมเจ็บนะ”

ผมตีมือพี่นัทที่บีบแก้ม แล้วก็โวยวาย ความจริงก็ไม่เจ็บหรอกครับ แต่ผมเขิน ผมทำทีเป็นเอี้ยวตัวไปหยิบขนมขบเขี้ยวหลังรถมานั่งทานไปเรื่อยๆ เพื่อกลบความเขินอาย ผ่านไปไม่นานพี่นัทก็เลี้ยวรถเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานพยาบาลและพักฟื้นผู้ป่วยความจำเสื่อม ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าถึงแล้วรึเปล่า เพราะพี่นัทบอกว่าไกล แต่พอพี่นัทดับเครื่องยนตร์ และเอี้ยวตัวไปเอาเค้กที่เบาะหลัง จนผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นี่คือไกลของพี่เขาเหรอ ผมกินขนมยังไม่ทันหมดซองเลยนะ

“ไม่ลงเหรอครับ ถึงแล้วนะ”

“ไหนพี่บอกว่าไกล”

“นั่นสิ สงสัยพี่จำทางผิดมั้งครับ”

พี่นัทขี้โม้ ผมยังไม่ได้ทำใจเลย มาเจอแม่พี่นัททั้งทีแต่ผมกลับรู้สึกว่าเตรียมตัวมาไม่ดีพอ ผมซูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความประหม่าตื่นเต้นนี้แล้วก็เดินตามหลังคนตัวสูงเข้าไป

ที่นี่เป็นที่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง เหมือนบ้านหลังใหญ่มากกว่าโรงพยาบาล มีสวนที่สวย อาคารดูสะอาดสบายตา พอเดินเข้ามาๆ ก็เจอผู้ป่วยที่ใส่ชุดสีขาวเดินไปมาหลายคน มีพยาบาลเดินไปมาหลายคน เหมือนเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในบ้านมากกว่า

พี่นัทเดินไปจนถึงห้องๆ หนึ่ง เปิดประตูเข้าไป เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคนในรูปที่ผมเจอ แต่ร่างกานผ่ายผอมและใบหน้าดูโทรมกว่ามาก เธอนั่งอยู่บนเตียงมองไปที่หน้าต่าง ข้างเตียงมีโต๊ะเล็กๆ และมีคุณพยาบาลกำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่

พี่นัทพยักหน้าทักทายคุณพยาบาลและเดินไปที่เตียง จับมือและส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น

“สวัสดีครับคุณแม่ วันนี้ผมทำเค้กมาให้อีกแล้วนะครับ”

“...” ผู้หญิงที่พี่นัทเรียกว่าแม่ ยิ้มเหม่อลอยมองท้องฟ้าไม่ได้สนใจพี่นัทเลยซักนิด

“รบกวนคุณพยาบาลนำไปใส่จานให้ด้วยนะครับ มีส่วนของคุณพยาบาลด้วยนะ”

“ขอบคุณคุณนัทมากเลยนะคะ ทำมาเผื่อรินทุกครั้งเลย” ผมมองไปที่คุณพยาบาลหน้าตาน่ารัก ที่เดินยิ้มออกไปพร้อมกล่องเค้ก

“หนึ่ง มาตรงนี้สิครับ"

“ครับ” ผมที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าประตูห้อง เดินไปหาพี่นัท

“แม่ครับ นี่ตองหนึ่งนะครับ...แฟนของผมเอง”

ผมตกใจเล็กน้อยที่พี่นัทแนะนำตัวผมแบบนั้น ผมว่ามันคงเร็วไปจริงๆ นั่นแหละ ผมรู้สึกไม่พร้อมเลย แต่คุณแม่พี่นัทที่ตอนแรกมองท้องฟ้าอยู่นั้น ก็ค่อยๆ หันกลับมามองพี่นัทและมองมาที่ผม และจ้องอยู่อย่างนั้น

“อ...เอ่อ ส...สวัสดีครับ”

จนเวลาผ่านไปคุณแม่พี่นัทก็ยังจ้องผมอยู่จนผมเริ่มทำไรไม่ถูก หันไปหาพี่นัทอย่างขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องเกร็งหรอกครับ เป็นอาการปกติของคนเป็นโรคนี้แหละ”

“เค้กมาแล้วค่า” คุณพยาบาลนำเค้กมาวางบนโต๊ะสำหรับทานอาหารและเลื่อนมาข้างหน้าคุณแม่พี่นัท จากนั้นก็มองมาที่ผมและยิ้มให้ ผมก็พงกหัวรับและยิ้มกลับตามปกติ

“เรามาทานเค้กกันดีกว่าค่ะคุณแก้วตา”

“เดี๋ยวผมป้อนเองดีกว่าครับ คุณพยาบาลไปจัดดอกไม้ต่อก็ได้ครับ”

“ได้ค่ะ”

คุณพยาบาลส่งช้อนให้พี่นัทและเดินไปนั่งจัดดอกไม้ต่อ  ผมมองตามเล็กน้อยแต่คุณพยาบาลเงยหน้าขึ้นมาพอดี เธอจึงส่งยิ้มให้ผม

“อยากลองจัดดอกไม้ด้วยกันมั้ยคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดไม่เป็น”

คุณพยาบาลยิ้มให้และก้มลงไปจัดต่อ ส่วนผมก็หันกลับมาสนใจพี่นัทที่ป้อนเค้กให้คุณแม่ พี่นัทพยายามชวนคุณแม่คุยมากมาย และชี้ให้ดูนั่นนี่เยอะแยะ แต่คุณแม่ก็แค่นั่งยิ้มและเคี้ยวช้าๆ แค่นั้นจนเค้กหมดจาน

“หมดแล้ว เก่งจังเลย คุณแม่ใครเนี่ย เก่งจังเลยครับ”

พี่นัทปรบมือให้คุณแม่ ผมก็ทำตามไปด้วย

“เดี๋ยวรินเอาจานไปเก็บให้นะคะ”

ผมกับพี่นัทถอยออกให้คุณพยาบาลจัดการเก็บโต๊ะและจาน และในตอนที่คุณพยาบาลกำลังจะออก จู่ๆ เธอก็สะดุด แวบนึงผมใจหายและคิดว่าหน้าเธอต้องฟาดกับขอบเตียงแน่ๆ  แต่พี่นัทเร็วกว่าก้าวเข้ามาดึงไว้ทัน

...แต่จะมองหน้ากันอีกนานมั้ย รีบลุกขึ้นสิ

ผมมองไปที่พี่นัทกับคุณพยาบาลที่มองหน้ากันอยู่ ในใจมันก็หงุดหงิดๆ  แบบทำเป็นละครไปได้ จนผมอดคิดร้ายๆ ไม่ได้แบบ สะดุดอะไร สะดุดขาตัวเองเหรอ แล้วเมื่อไรจะปล่อย จะจ้องกันอีกนานมั้ย?

หลังจากนั้นพี่นัทก็รีบดันตัวคุณพยาบาลขึ้น ส่วนพยาบาลก็รีบจัดเสื้อและผมให้เข้าที่

“คุณพยาบาลเป็นอะไรมั้ยครับ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดีที่คุณนัทช่วยไว้ ไม่งั้นหน้ารินฟาดแน่ๆ ”

คุณพยาบาลบอกแบบอายๆ  เกาท้ายทอยให้ดูน่ารักนิดหน่อยก่อนจะเดินออกไป แล้วพี่นัทก็หันมายิ้มให้ผม ส่วนผมเหรอ เหอะ! จู่ๆ ก็หงุดหงิดครับ พี่นัทหัวเราะเบาๆ เดินไปที่โต๊ะจัดดอกไม้และหยิบดอกไม้ขึ้นมาส่งให้ให้ผม

“พี่ให้ครับ”

“นั่นไม่ใช่ของพี่ซักหน่อย” ผมส่ายหน้าไม่รับ พี่นัทหัวเราะแล้วก็ก้มลงไปหยิบขึ้นมาพันกันไปมาจนเป็นวงกลมคล้ายมงกุฎดอกไม้

“ว้าว~ คุณนัททำเหรอคะ สวยจังเลย”

คุณพยาบาลที่เดินเข้ามาตอนที่พี่นัททำเสร็จพอดี ออกปากพูดชมทันที

“ขอบคุณครับ ผมทำแต่ตองหนึ่งเป็นคนเลือกดอกไม้นะครับ”

หือ ผมไปเลือกตอนไหน ยืนอยู่ตรงนี้ตลอด ยังไม่ได้ขยับไปไหนเลยด้วย พี่นัทขี้ตู่ พี่นัทยิ้มให้ผม แล้วเดินเอามงกุฎไปสวมให้คุณแม่

“คุณแม่สวยมากๆ เลย ชอบมงกุฎที่ผมทำมั้ยครับ” คุณแม่ที่เหม่อไปมา ค่อยๆ หันมามองพี่นัทแล้วก็เอื้อมขึ้นเพื่อเอามงกุฎออก “โถ่ คุณแม่ไม่ชอบเหรอครับ ผมน้อยใจนะเนี่ย”

คุณแม่เปลี่ยนจากมองพี่นัทมามองผมแทน และค่อยขยับมือวางมงกุฎดอกไม้นั่งลงบนหัวผม ผมตัวเกร็งและตกใจเล็กน้อย พอวางเสร็จท่านก็ยิ้มพลางเอียงหน้าไปมา

“สวยมากๆ เลยครับ” พี่นัทยิ้มและพูดชม ก็ไม่รู้ว่าชมผม หรือชมดอกไม้ที่ตัวเองทำกันแน่อ่ะนะ

“ส...ส...สวย” คุณแม่พี่นัทพูดออกมาเบาๆ แค่คำเดียวแล้วก็เงียบ พี่นัทหันไปยิ้มกับคุณแม่และดูดีใจมากๆ  คุณพยาบาลก็ดูตื่นเต้นเช่นกัน

“คุณแก้วตาคิดว่าดอกไม้นั่นสวยใช่มั้ยคะ?”

“สวย สวยใช่มั้ยครับคุณแม่”

“ส..สวย”

คุณแม่พูดและยิ้มไปมา พี่นัทและคุณพยาบาลก็ดูดีใจแล้วก็หันมายิ้มกว้างให้ผม ผมก็ยังงงกับสถานการณ์อยู่ว่าทำไมทุกคนดูดีใจกันมากที่คุณแม่พูดออกมา

“ครับสวยมากๆ เลยเนอะครับแม่”

“ส..สวย” ท่านพูดคำเดิมอีกครั้ง พี่นัทยิ้มกว้างก้มลงไปหอมแก้มคุณแม่และชี้มาที่ผม คุณแม่ก็ทำตาม

“ทำไมเหรอครับ” ผมถามออกไปเพราะไม่เข้าใจ พี่นัทก็หัวเราะยกมือขึ้นลูบแก้มผม

“แม่คงรู้ว่าลูกชอบใคร แม่ก็เลยชอบด้วย”


ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
หลังจากคำพูดนั้นผมก็ชะงัก และไม่ใช่แค่ผมที่ชะงัก คุณพยาบาลก็ชะงักไปด้วยกัน ผมมองหน้าคุณพยาบาลที่มองหน้าผมค้างอยู่ ส่วนผมก็หันไปมองหน้าพี่นัทที่ยืนยิ้มลูบแก้มผมป้อยๆ อยู่ นี่พี่ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ อะไรเลยเหรอครับ!

“อ่ะ…เอ่อ จัดดอกไม้เสร็จพอดีเลยค่ะ รินขอตัวเอาไปเก็บอุปกรณ์ก่อนนะคะ”

คุณพยาบาลรีบพูด แล้วเดินหอบดอกไม้และอุปกรณ์ออกจากห้องไป แต่ระหว่างทางที่เดินออกไปนั้นก็ยังคอยมองผมอยู่ตลอด เอ่อ...เห็นแววตาเสียใจของเธอแล้วผมรู้สึกยังไงไม่รู้แหะ

“พี่นัท ผมว่าคุณพยาบาลคนนั้นต้องแอบชอบพี่อยู่แน่ๆ เลยอ่ะ” เชื่อผมสิ ผมรู้สึกได้ ผมพูดกับพี่นัทเสียงจริงจัง

“คนมันมีเสน่ห์ช่วยไม่ได้”

เขาพูดแล้วหัวเราะ ฟังคำพูดหลงตัวเองของเขาแล้วผมก็เบ้ปากใส่พี่นัทไปทีนึงเลยครับ แต่คิดในมุมของคุณพยาบาลแล้วก็แอบสงสารเธอนิดๆ เหมือนกันนะครับ อกหักแบบกะทันหันขนาดนั้น ผมสะบัดหัวเลิกคิดเรื่องของคนอื่น และหันมาดูพี่นัทที่ยังพยายามชวนคุณแม่คุยต่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเลิกพูดและกลับไปนั่งเหม่อไปมาเหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่ดูพี่นัทไม่ท้อเลยที่จะชวนคุณแม่คุยและดูนั่นนี่มากมาย

“พี่นัทครับ คุณแม่ของพี่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเหรอครับ?”

“อืม...ก็ช่วงที่พี่อยู่ประถมนู่นแหน่ะ”

“...” ผมพยักหน้าและเดินไปนั่ง อยากรู้เรื่องของพี่นัทอีกหลายๆ เรื่อง แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนที่สมควรถามหรือไม่สมควรถามเลยเลือกที่จะเงียบดีกว่า จนเวลาผ่านไปซักพัก พี่นัทก็เดินมานั่งข้างๆ  วางมือโอบไหล่ผมและเริ่มพูด

“แต่พ่อของพี่บอกว่า  แม่เริ่มมีอาการเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ท้องพี่แล้ว พอพี่อายุได้ขวบกว่า แม่ก็ขอหย่ากับพ่อแล้วก็ยกพี่ให้พ่อเลี้ยงไปเลย ส่วนแม่ก็กลับไปอยู่กับคุณยาย แต่พ่อก็ยังพาพี่ไปหาแม่อยู่บ่อยๆ นะ จนพี่อายุได้ซักประมาณเจ็ดขวบมั้ง คุณยายเสียชีวิตแล้วแม่ก็เริ่มเป็นหนักขึ้น จนดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อก็เลยพาแม่มารักษาที่นี่ เพราะแม่จะได้มีคนคอยดูแล กระตุ้นและคอยคุยด้วย”

“...” ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไป แค่พยักหน้า และนั่งเงียบๆ เอนตัวพิงกับพี่นัทฟังเขาเล่าต่อ

"โรคแบบนี้ก็น่ากลัวนะครับ อัลไซเมอร์น่ะ...ไม่ใช่โรคที่แค่ขี้หลงขี้ลืมธรรมดานะ แรกๆ ก็ลืมเล็กลืมน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมคนรู้จัก ลืมคนที่รัก ลืมครอบครัว พอนานวันเข้า ก็ลืมวิธีการพูด ลืมวิธีการใช้ชีวิต ลืมว่าตัวเองก็ยังมีชีวิตมีคนที่รักอยู่..."

"..." พี่นัทเงียบไป มองไปที่คุณแก้วตาด้วยสายตาที่ดูเจ็บปวด มันคงรู้สึกแย่น่าดูที่โดนแม่ตัวเองลืมแบบนี้

“หนึ่งครับ ถ้าเกิดวันหนึ่ง พี่เป็นแบบแม่ขึ้นมา หนึ่งจะทำยังไง?”

“หะ?”

“โรคนี้ก็ถือว่าเป็นกรรมพันธุ์นะครับ คุณตาก็เป็นโรคนี้ แล้วคุณแม่ก็เป็น พี่น่ะ มีโอกาสเป็นเยอะเลยนะ”

พี่นัทยกมือข้างที่โอบไหล่ผมมาบีบที่แก้มผมและลูบไปมา

ส่วนผม…ก็พยายามคิดตามพี่นัท ว่าถ้าเกิดจู่ๆ พี่นัทจำผมไม่ได้ ถ้าเกิดเขาเป็นแบบนี้ผมจะทำยังไง ผมจะดูแลพี่นัทได้เหรอ ผมคง…. ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองจะทำได้รึเปล่า

“ผม…ไม่รู้ครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก จะให้บอกไปว่าดูแลได้แน่นอนก็ไม่กล้าพูด… มันเหมือนกับว่าผมอาจจะโกหกเขา

“หึหึ อย่าซีเรียสสิครับ พี่แค่ถามเฉยๆ  พี่อาจจะมีโอกาสเป็นเหมือนแม่ แต่อาจจะไม่เป็นก็ได้...ใครจะไปรู้ใช่มั้ยครับ?”

“…” เหมือนเดิมที่ผมแค่พยักหน้า ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี

“มานี่ครับ” ผมขยับเข้าไปให้พี่นัทกอดได้สะดวก โดยยังไม่ทันตั้งตัว พี่นัทก็ก้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“เห้ยพี่! จะทำอะไรครับ แม่พี่อยู่นี่นะ” ผมดันตัวพี่นัทออกแล้วต่อยท้องพี่นัทไปเบาๆ สองที หมันไส้อ่ะ แต่พี่นัทก็ยอมซะที่ไหนล่ะ ดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักแถมมาด้วยหอมแก้มผมอีกข้างนึง “อื้อ!!”

ผมนี่ดิ้นสุดแรงเลยครับ ไม่ใช่ที่เลย ถ้าคนอื่นเข้ามาเห็นมันก็ไม่ดี แถมผมเกรงใจคุณแม่พี่นัทด้วย

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่พี่ก็ไม่เห็นว่าอะไรเลยนี่ครับ จุ๊บๆ นะ”

คราวนี้พี่นัทจุ๊บลงมาที่ปากเร็วๆ  พอผมทำท่าจะว่า พี่แกก็จุ๊บซ้ำลงมาอีก โอเค๊! ถ้าพี่จะทำแบบนี้ผมเงียบก็ได้ เหอะ!!

“เอ่อ...ขอโทษนะคะ แต่ว่า ได้เวลาทานยาของคุณแก้วตาแล้วค่ะ”

“ครับ เชิญตามสบายเลยครับ” พี่นัทพยักหน้าแล้วคุณพยาบาลก็เข้ามา ผมนี่กระโดดลงจากตักพี่นัทแทบไม่ทัน

“...”

“พี่ว่าเราก็มานานแล้วนะ กลับกันดีกว่า ให้คุณแม่ได้พักผ่อน” พี่นัทหันมาพูดกับผม

พี่นัมเดินเข้าไปหาคุณแม่ รอจนทานยาจนเสร็จแล้วก็บอกลากัน

“อ๊ะ! ลืมถอดดอกไม้นี่ออกเลยอ่ะ แล้วก็เดินร่อนไปทั่วเลย” ผมเดินออกมาจนเห็นเงาตัวเองที่ประตูรถ ถึงได้รู้ว่าบนหัวของตัวเองยังมีมงกุฎดอกไม้อยู่เล ผมหัวเราะ คนทั้งโรง’บาลคงคิดว่าผมสติไม่เต็มไปแล้วมั้ง ผมขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อย คาดเข็มขัด แล้วก็กำลังจะถอดดอกไม้บนหัวออก แต่พี่นัทก็ยืดตัวเขามาจุ๊บแก้มผมไปอีกที

“พี่นัท พอได้แล้วครับ แก้มผมอ่ะมีแต่คราบน้ำลายพี่ล่ะ” ผมบอกอย่างเอือมๆ  แล้วก็ถูแก้มตัวเองไปมา

“แฟนใครก็ไม่รู้น่ารักจัง~”

ผมหันไปมองแล้วทำตาโตใส่พี่นัท พี่ชอบแฟนที่มีคราบน้ำลายติดแก้มเหรอ? จนผมเลิกเช็ดแล้วพี่นัทก็ยังไม่ออกรถซักที ผมก็คาดเข็มขัดเรียบร้อยดีแล้วนี่

“พี่นัทครับ...”

“หนึ่งชอบความตื่นเต้นมั้ยครับ?” ผมกำลังจะถามว่าทำไมไม่ออกรถ พี่นัทก็หันมาถามซะก่อน

“หะ?” ตื่นเต้นอะไรอ่ะ งงครับ

“อยากทำอะไรตื่นเต้นๆ กันมะ?”

“หะ?  เห้ยๆ ” พี่นัทปลอดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วก็เอี้ยวมาหาผม พร้อมกับเอื้อมมือมาปรับเบาะให้เอนราบลงไป ผมแทบจะตะโกนเต็มเสียงตอนที่ พี่นัทก้มลงมาหาผมอย่างรวดเร็ว “พี่จะทำอะไรครับ?”

“ประสบการณ์ใหม่ไงครับ” ว่าจบพี่นัทก็ก้มลงมาจูบที่ซอกคอผม

ประสบการณ์อาไร๊! ไม่เอ๊า!

“พี่นัท!! นี่มันบนรถนะ ถ้าคนอื่นรู้จะทำไง อื้อ!”  เอายกขาและมือขึ้นมาดันพี่นัทออก แต่พี่แกก็ง้างแขนผมออกอย่างง่ายดาย แรงควายมาก!

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รถพี่ติดฟิล์มดำ ข้างนอกมองไม่เห็นแน่นอน มาลองทำบนรถดูนะครับ”

ยังไงก็ไม่อยู่ดี ผมพยายามดิ้นแต่พี่นัทยึดแขนทั้งสองข้างผมไว้แล้วก็ถกเสื้อผมขึ้นมาจนถึงหน้าอก

“อย่า พี่นัทหยุดก่อน ผมไม่อยากทำบนนี้ อื้อ ฮึก” พี่นัทก้มลงมาเลียตามยอดอกของผม ส่วนอีกมือที่ว่างก็ลูบลงไปที่หว่างขา ผมบีบขาแน่นไม่ยอมให้พี่นัทล่วงเข้าไปลึกกว่านี้แน่ๆ  แต่พี่นัทก็เปลี่ยนมาจับเข้าที่เป้าของผมเต็มๆ มือเลย

“ไม่ต้องกลัวครับ”

“พี่นัท ฮึก ถ้าพี่ไม่หยุด ผมจะร้องแล้วนะ ฮึก ฮือ” ร้องไปแล้วด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะร้องทำไมกับเรื่องแค่นี้ รู้แค่ว่าไม่อยากทำบนรถแบบนี้แล้วพี่นัทไม่ยอมหยุด เขาไม่ฟังผมเลยแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นคนขี้แงแบบนี้ซักหน่อย

“ตองหนึ่งครับ ร้องไห้ทำไม?” พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่หลังจากนั้นก็ก้มลงมาคลอเคลียบริเวณแก้มและซอกคอผม และดูดแรงๆ

“ฮือฮึก ก็พี่ ฮือ...พี่อ่ะ” พี่ไม่ยอมหยุดอ่ะ ผมไม่อยากทำอ่ะ

“โอ๋ๆๆ  พี่ขอโทษนะครับ พี่แค่แกล้งเฉยๆ พี่ไม่ทำแล้วครับ หยุดร้องนะ ตองหนึ่งหยุดร้องไห้นะครับ” พี่นัทปล่อยมือผมออก ดึงเสื้อลง จัดเสื้อผมและเช็ดน้ำตาให้ผม จากนั้นก็ดึงเบาะขึ้น

“แกล้งอะไรของพี่อ่ะ นิสัย…”

“ไหนดูหน้าคนขี้แงหน่อย หยุดร้องไห้ยัง” พี่นัทบีบจมูกผมไปมา

“...” ผมแค่นั่งนิ่งให้ให้พี่นัททำตามใจ

“ตัวเล็ก...งอนพี่เหรอครับ พี่ไม่ได้จะทำจริงๆ ซักหน่อย ถ้าหนึ่งไม่ยอมพี่ไม่ทำหรอกครับ พี่ขอโทษนะครับ อย่างอนพี่นะ ดีกันนะๆ” พอผมเงียบเข้าหน่อยพี่นัทก็ร่ายยาว ดึงตัวผมไปกอดแล้วโยกไปโยกมาเหมือนโอ๋เด็ก จากนั้นก็ส่งนิ้วก้อยมากระดิก ดิ๊กๆ ตรงหน้าผม แถมด้วยทำหน้าทำตาแบบเว้าวอนสุดๆ  มีการทำตาวิ๊งใส่อีก

“ผมไม่ได้งอนพี่ซักหน่อย”

“ไม่งอนแล้วร้องไห้ทำไมครับ?”

“...” ผมเงียบ ก็ไม่รู้จะตอบไงนี่ ผมไม่ได้งอนนะ แค่น้ำตามาไหลออกมาเอง

“อ่ะๆ  ถ้าน้องหนึ่งไม่งอนงั้นมาเกี่ยวก้อยกันหน่อย”  พี่นัทยังคงกระดิกนิ้วอยู่เหมือนเดิม จนผมต้องยกมือขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับพี่นัท เออะ ทำอะไรเป็นเด็กไปได้

“พี่ขอโทษนะครับ”

“...”

“ตัวเล็กค๊าบบ คุยกับพี่หน่อยสิ” พี่นัทซบหน้าลงกับพวงมาลัย แล้วก็หันหน้ามาคุยกับผม

“...”

“อย่าเงียบไปแบบนี้สิครับ พี่ใจคอไม่ดีเลย” พี่นัทเริ่มโขกหัวกับพวงมาลัยรถแล้วก็ทำหน้าหงอยใส่ ผมไม่ได้งอนพี่นัทจริงๆ นะครับ แค่แบบ...เห็นหน้าสำนึกผิดแบบนั้นแล้วอยากแกล้งคืนนิดหน่อย

“...”

“ไหนบอกไม่งอนพี่ไงครับ แถมเมื่อกี้เราเกี่ยวก้อยคืนดีกันแล้วด้วย ทำไมยังไม่คุยกับพี่อีกล่ะ พี่ใจจะขาดแล้วนะ”

“...” ขี้ตู่ ใจจะขาดอะไรเดี๋ยววันหลังก็แกล้งผมอีก ในเมื่อโอกาสก็ขอเอาคืนนิดนึง

“พี่ขอโทษครับ วันหลังพี่จะไม่ทำแบบนี้แล้ว ถ้าหนึ่งไม่ยอม พี่จะไม่ทำเด็ดขาดเลย พี่สัญญา”

“...” ไม่เชื่อ พอเวลานั่นพี่ก็ทำอีก พี่นัทขี้จุ๊ กะล่อน

“คุยกันนะครับ ดีกันๆ  ดีกันนะ” พี่นัทยื่นมาจิ้มแก้มผม น่าสงสารจังเล้ย เหมือนหมาหงอยเลย

“...”

“โธ่ ถ้าหนึ่งยังไม่ยอมคืนดี จะกลายเป็นพี่นี่แหละที่จะร้องไห้แทนหนึ่งแล้ว”

พี่นัทกอดพวงมาลัยแล้วก็ซบหน้าลงไปบ่นอู้อี้ๆ ดูเขาพูดเข้าสิ ผมแค่แกล้งนิดหน่อยเอง เหมือนที่พี่แกล้งผมไง แต่ชักน่าสงสารแล้วอ่ะ พอแล้วดีกว่า

“ผมไม่ได้งอนพี่ซักหน่อย แต่คราวหลังพี่อย่าทำแบบนี้นะครับ ผมไม่อยากถูกพี่บังคับให้ทำบนรถแบบนี้อ่ะ”

“ครับๆ  ไม่ทำแล้วครับ พี่ขอโทษ” พี่นัทหันมาพูดทำหน้าจริงจัง...แบบจริงจังเกินไป

เวลาผ่านไปชั่วครู่นึง ผมพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้บางๆ  พี่นัทยิ้มกว้าง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วก็หันกลับไปเตรียมตัวออกรถ

“น้องหนึ่งอย่าเงียบไม่คุยกับพี่แบบเมื่อกี้อีกนะ พี่เสียใจมากเลย แล้วพี่สัญญาเลยว่าต่อจากนี้ ตอนที่อยู่บนรถ พี่จะไม่ทำอะไรหนึ่งเด็ดขาดเลยครับ”

พี่นัทชูสามนิ้วขึ้นมาทำท่าเหมือนลูกเสืออย่างจริงจัง....จริงจังแบบนี้มันก็เกินไป ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้ซักหน่อย พี่นัทนี่ไม่เข้าใจผมเลย ต้องให้พูดอีก

“ไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ”

“.......”

“แค่อย่าบังคับผมก็พอ แค่แบบ...ถ้าผมเต็มใจ พี่ก็ทำได้..”  ผมก้มหน้าม้วนชายเสื้อตัวเล่น ท้ายประโยคผมพูดเสียงเบาๆ

“หนึ่งหมายความว่า...”


“ว่าถ้าผมเต็มใจ...ที่ไหนก็ทำได้...”



หรืออีกความหมายก็คือ...
ถ้าตองหนึ่งเต็มใจ พี่นัทจะทำอะไรตองหนึ่งที่ไหนก็ได้จ้า ฮิ้ว~
มีความฝึกอ้อยนะตองหนึ่ง ไม่ธรรมดาๆ

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie


 *** ข้อชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องโรคอัลไซเมอร์หน่อยนะคะ ระยะแรกของโรคนนี้ก็จะมีอาการขี้หลงขี้ลืมนิดหน่อยเหมือนที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แต่พอเข้าระยะที่สองและสามก็จะหนักขึ้น การหลงลืมจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง คือลืมวิธีการใช้ชีวิตไปเลย ไม่พูดจา เหมือนที่คุณแม่พี่นัทเป็นเลยค่ะ
เราอิงอาการมาจากภาพยนตร์เรื่อง still alice ค่ะ (เป็นหนังที่ดีมาก เราแนะนำให้ดูเลย) ***

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
15 : โอ้~ที่รัก


“ที่รักครับ เอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะสามให้พี่หน่อยครับ”

“พี่นัท!”

“ว่าไงครับ ที่รัก”

ผมที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ใกล้ๆ ก็รีบเดินหน้าตึงเข้าไปหาเขา คนอีกฝ่ายก็ดูจะไม่เกรงกลัวอะไรเลย กลับยิ้มแป้นแล้น ทำหน้าทะเล้นใส่อีก

“พี่อย่าเรียกผมแบบนั้นตอนที่ลูกค้าอยู่ได้มั้ยครับ” ผมคว้าแก้วจากมือพี่นัทมาแล้วนำไปเสิร์ฟ จากนั้นก็เดินหน้าตึงกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“ทำไมล่ะครับ ที่รักก็บอกว่าเรียกแบบนี้น่ารักดีไม่ใช่เหรอ?”

ตั้งแต่ตื่นนอนพี่นัทเอาแต่เรียกผมว่า ที่รักๆ  ตลอด ต้นเหตุมาจากเมื่อคืนตอนที่ดูหนังกัน ผมดันพูดออกมาว่า คู่รักที่เรียกชื่ออื่นแทนกันแบบนี้น่ารักมากเลย แต่นั่นผมหมายถึงคู่อื่นๆ ไง พอมาโดนเรียกเองแบบนี้แถมต่อหน้าลูกค้าอีก มันน่าอาย คนอื่นๆ มองมาจนผมไม่กล้าเดินไปเสิร์ฟแล้ว

“...ถ้าพี่เรียกผมแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นอีกนะ คืนนี้ผมจะกลับไปนอนห้องตัวเอง” ผมเข่นเขี้ยวเขี้ยวฟันพูดออกไป

“โธ่~ที่รักอ่า ถ้าที่รักไม่ชอบคำนี้...งั้นให้พี่ลองเรียก ฮันนี่ ดีมั้ยครับ คำนี้ก็น่ารักนะ หวานๆ ”

“คืนนี้ผมจะกลับห้อง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วก็หันหลังจะเดินออกมาไม่ให้พี่เขาท้วงหรือกวนอะไรได้อีก แต่พี่นัทซะอย่าง มือยาวหยั่งกับแม่นาค ยืดตัวข้ามเคาน์เตอร์มาคว้าแขนผมเอาไว้

“เดี๋ยวสิครับ พี่แค่ล้อเล่นเอง นอนนี่ด้วยกันแหละดีแล้วจะได้ไม่ต้องเดินไปมาไงครับ”

“ถ้าคราวหลังพี่เรียกผมแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นอีก ผมจะกลับห้องจริงๆ ด้วย”

“ครับๆ   เอาเก็บไว้เรียกกันบนเตียงสองคนเนอะ”

“พี่!!” ผมถลึงตาใส่พี่นัท  ไม่มีสำนึกเลยจริงๆ

“โธ่ เมื่อก่อนยังเป็นแค่แมวน้อยน่ารัก เชื่องๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้กลายเป็นแมวดุ ขู่ฟ่อๆ  ตลอดเวลาแบบนี้ไปได้น๊า สงสัยต้องจับฉีดยาซะบ้างแล้ว หึหึ”

พี่นัทหันหลังไปบ่นพึมพำอยู่คนเดียวแต่ผมได้ยินนะ แมวน้อยอะไรหล่ะ พี่นัทเพ้อเจ้อ ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ ก็แค่สนิทกับเขามากขึ้น มันก็เลยกล้ามากขึ้นแค่นั้นเอง

ผมยืนง้องแง้งอยู่กับพี่นัทซักพักหนึ่งก็มีลูกค้านักศึกษาชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ผมจึงหลบทางให้ลูกค้าเดินเข้ามาสั่งขนมและเครื่องดื่ม ส่วนผมก็กลับไปเช็ดโต๊ะต่อจนลูกค้าคนนั้นเดินมานั้งโต๊ะที่ผมเช็ดอยู่

“เชิญนั่งเลยครับ” ผมกล้าวอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นผมก็เข้าไปช่วยพี่นัทหยิบขนมเค้ก จัดใส่จานและนำไปเสิร์ฟให้ตามปกติ แต่จู่ๆ ก็ลูกค้าชายคนนั้นยื่นมือมาจับข้อมือของผมที่กำลังวางเค้กจานสุดท้ายลง ผมเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจซึ่งตอนนี้เขาก็มองอยู่เหมือนกัน ผมพยายามที่จะดึงมือกลับแต่เขาก็จับข้อมือผมแน่นมากและดึงมือผมให้นำจานเค้กไปวางตรงหน้าเขาพอดี

โดยปกติแล้ว ผมจะเสิร์ฟแบบวางจานได้ด้านหน้าตัวเองก่อนแล้วค่อยเลื่อนไปให้ลูกค้าที่นั่งด้านใน พอโดนลูกค้าทำแบบนี้ผมก็เลยรู้สึกตกใจขึ้นมา

“อะ เอ่อ รอเครื่องดื่มซักครู่นะครับ” คนที่จับมือผมยิ้มและพยักหน้าให้ ผมนี่รีบเดินกลับมาหาพี่นัทเลยครับ รู้สึกแปลกๆ กับลูกค้าคนนั้นยังไงก็ไม่รู้ ดูสายตาที่เขามองมาสิครับ...ผมไม่ชอบเลย

“พี่นัทครับ...”

“ครับ ว่าไง”

ผมคิดว่าจะบอกพี่นัทแต่ก็ลังเลที่จะพูดออกไป...เรื่องมันดูหยุมหยิม ก็แค่จับมือเอง เขาไม่ได้จะลวนลามอะไรมากไปกว่านนั้นเสียหน่อย คงไม่มีอะไรหรอก...ผมก็ผู้ชาย เขาจะมาลวนลามอะไรผมได้มาก

“ไม่มีอะไรครับ แค่อยากเรียกชื่อเฉยๆ ”

“หืม? เหรอครับ...แต่ถ้าเรียกชื่อไม่ถนัด เรียกที่รักก็ได้นะ~”

“เห้อ! พี่นี่นะ” ผมถอนหายใจและกลอกตาไปมา  พี่นัทหัวเราะแล้ววางเครื่องดื่มสองแก้วลงบนเคาน์เตอร์

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะเดิมนะ” พูดเสร็จเขาก็หันไปทำเครื่องดื่มต่อ

ผมยกเครื่องดื่มสองแก้วนั้นเดินไปที่โต๊ะ ผมหลุบตาลงเมื่อบังเอิญสบสายตากับผู้ชายคนที่จับมือผมและเขามองตามผมตั้งแต่เคาน์เตอร์จนมาถึงโต๊ะเลย

“เครื่องดื่มครับ เอ่อ...ได้ของออเดอร์ครบแล้วนะครับ”

เขาจ้องมองมาจนผมรู้สึกเกร็ง สายตาของเขาทำให้ผมไม่สบายใจจึงรีบวางแก้วลงบนโต๊ะหวังจะรีบเดินออกมาเร็วๆ  แต่พอผมหันหลังไปไม่เท่าไรผมก็รู้สึกว่าสะโพกของผมโดนจับอยู่

“!!” ผมปัดมือนั้นออกและหมุนตัวกลับไปมองอย่างตกใจ แล้วก็เจอผู้ชายคนเดิมที่จับมือและจ้องผมยกมือค้างไว้จากแรงสะบัดของผมเมื่อกี้ แต่เขาดูไม่รู้สึกผิดเลยกลับนั่งยิ้มและยังจ้องมาที่ผมเหมือนเดิม

“...”

“ค..คุณลูกค้าจะทำอะไรเหรอครับ”

“อืม...ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอ?” เขาถาม ซึ่งป้ายบอกทางไปห้องน้ำก็คิดอยู่แค่ตรงนี้เอง หันหน้าไปมองก็น่าจะเห็นแล้ว แต่โอเค...เขาอาจจะไม่เห็นจริงๆ ก็ได้

“อยู่ทางนั้นครับ เดินตรงไปก็เจอเลยและห้องน้ำอยู่ทางขวามือนะ...ครับ”

ผมพูดไม่ทันจบลูกค้าคนเดิมก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมที่ค้อมตัวลงเพื่อบอกทางอยู่ถึงกับผงะและเดินถอยหลังออกมา เพราะตอนที่เขาหันมาแล้วลุกขึ้นนั้นทำให้ใบหน้าของผมและเขาเฉียดกันไปนิดเดียวเอง

“รบกวนนายช่วยพาเราไปหน่อยสิ”

“เอ่อ...ห้องน้ำอยู่แค่ตรงนั้นเองครับ ไม่หลงหรอก”

“เราเจ็บข้อเท้าอยู่อ่ะ เดินไม่ถนัดกลัวจะล้มระหว่างทาง นายช่วยพาเราไปหน่อยนะ”

ผมก็ก้มลงมามองขาของลูกค้าที่ตอนนี้เขายกขึ้นมาน้อยๆ อยู่ข้างหนึ่ง แล้วหันไปมองพี่นัทกะว่าจะให้เขาช่วยหน่อย แต่ตอนนี้พี่เขากำลังทำเครื่องดื่มสลับกับรับออเดอร์อย่างหัวหมุนจนผมไม่กล้าเรียก แต่พอหันกลับมามองคุณลูกค้าที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ ยิ้มที่ดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้

“ช่วยลูกค้าแค่นี้คงไม่ลำบากอะไรมากนักหรอก”

“ก...ก็ได้ครับ”

ผมตอบเสียงเบา ห้องก็อยู่แค่นี้ คนก็เต็มร้านเขาคงทำอะไรผมไม่ได้หรอก พอผมพยักหน้าเขาก็โอบเข้าที่ไหล่พร้อมโถมตัวเข้าใส่จนผมรับแทบไม่ทัน เขาตัวใหญ่เกือบเท่าพี่นัท และตัวหนักมาก ผมจึงต้องจับแขนและโอบหลังเขาไว้แล้วตั้งหลักดีๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งผมและเขาล้มไปด้วยกันทั้งคู่

“ขอโทษนะครับ ผมเจ็บขามากเลย” เขาพูดแล้วขยับมือลงไปที่เอว ผมขนลูกไปหมดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตาก็มองไปที่ขาของเขาอย่างสงสัย ตอนเดินเข้าร้านมาก็ดูปกติรึเปล่านะ ไม่แน่ใจเลยเพระาผมไม่ได้สังเกตุอะไรขนาดนั้น

“ถึงแล้วครับ...” พอถึงห้องน้ำปุ๊บผมก็ปล่อยเขาทันที แต่พอผมเผลอเขาก็เปิดประตูห้องน้ำและดันตัวผมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมยังตกใจ

เดี่ยวนะ! ไหนบอกเจ็บขาอยู่

ผมจะผลักเขาออก แต่อีกฝ่ายก็ใช้ตัวใหญ่ของเขานนั้นดันผมให้ติดกับกำแพงห้องน้ำก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้จนผมต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาหัวเราะออกมาแล้วก็กดปลายจมูกลงบนแก้ม

“คุณลูกค้าจะทำอะ...อุ๊บ!”

ผมตะโกนออกไปด้วยความตกใจแล้วก็โนมือใหญ่ของผมตีเข้าที่ปากพร้อมกับปิดแน่นทำให้ผมไม่สามารถส่งเสียงได้ และตอนนี้ใบหน้าของผมและเขาอยู่ใกล้กันมากๆ ปลายจมูกเราเฉียดกันไปมา ดีที่มีมือเขากั้นปากเราอเอาไว้ ไม่เช่นนนั้นผมคงโดนเขาจูบไปแล้ว

“อื้อ!”

“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หรอก” มันพูดและยกมืออีกข้างนึงขึ้นลูบแก้มผม ขาของมันสอดเข้ามาตรงกลางหว่างขา จงใจให้โดนส่วนนั้นจนผมสั่นเพราะความกลัวตีขึ้นมา

“...อือ อือ” ผมส่ายหน้า พยายามจะส่งเสียง พยายามจะดิ้นก็เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าในห้องน้ำนี้มีสิ่งผิดปกติ แต่ผมก็หลับตาลงหยุดดื้นเมื่อโดนเขาออกแรงบีบปากบีบคาง พอมันเห็นว่าผมไม่ได้ขัดแขน แรงบีบก็คลายลงเล็กน้อยพอให้ผมหายใจออก

“เดี๋ยวจะปล่อยมือออกแต่นายห้ามร้องนะ ถ้าคราวนี้นายร้อง...เราจะจูบปิดปากนายเลยนะ”

“!!” ไอ้บ้า ไอ้โรคจิตนี่

ผมถลึงตาใส่ แต่ก็ยอมอยู่เงียบๆ เขาจึงเอามืออกจากปากผมช้าๆ ยืนรอดูท่าทีว่าผมจะตะโกนมั้ย เรื่องอะไรจะตะโกนเสียงดังอ่ะ ถ้ามันเกิดมันเอาจริง จูบปิดปากผมขึ้นมาทำไงล่ะ ผมไม่อยากเสี่ยงขนาดนั้น

“ฮืม~ น่ารักจังเลยน๊า ผิวก็นุ่มมากๆ เลย น่ากอดไปทั้งตัวจริงๆ ”

มันพูดพลางไล้มือไปตามแก้ม สันกรามและตอนนี้ลงมาที่ลำคอของผมแล้ว แถมสายตาที่มองมาก็เหมือนจะกินผมเข้าไปทั้งตัว ผมเม้มปากพยายามขยับตัวหนีและหาช่องทางให้ตัวเองออกไปจากสถานการณ์ให้ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยผมได้เลย สิ่งเดียวที่ผมคิดถึงในตอนนี้คือ...พี่นัท

พี่นัท พี่รีบๆ สังเกตุว่าผมหายไปแล้วมาช่วยผมหน่อย ฮึก

“ค...คุณลูกค้าจะทำอะไรเหรอครับ?”

ผมพยายามพูดเสียงเบาๆ  ขยับปากน้อยๆ ไม่กล้าขยับตัวเยอะ กลัวว่าจะสัมผัสกันไปมากกว่านี้ กลัวว่าหากพูดอะไรออกไปให้เขาไม่พอใจแล้วตัวผมจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้

“เราชอบนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลยนะ แล้วเรามาร้านนี้บ่อยมาก แทบทุกวันเลย นายจำเราไม่ได้เหรอ?”

ผมส่ายหน้า ลูกค้าเข้าร้านเป็นร้อย แถมนักศึกษาใส่ชุดแบบนี้กนมาเกือยทุกคน ใครจะไปจำได้ เขาเองก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นจนผมจำได้เลย

“โถ เสียใจจังเลย...นายทำเราผิดมากจริงๆ”

“...” ผมเม้มปาก มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ทั้งที่บอกว่าผิดหวังแต่ก็ยังยิ้มอยู่ตลอดเวลา แถมมือไม้เขาก็อยู่ไม่สุข ลูบแก้มผมอยู่ตลอด เขาเหมือนคนที่ประสาทไม่ปกติเลย

“เรามองนายทุกครั้งที่มาเลยนะ ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ แล้วเราสังเกตุว่าช่วงหลังมานี้นายน่ารักขึ้นมาก มากจนเราอดใจไม่ไหวอยากทำความรู้จักสุดๆ ไปเลย”

“ผมไม่น่ารักหรอกครับ” ผมพูดเสียงสั่นและลองพยายามดันตัวเขาออกอีกที แต่ก็เหมือนเขาใช้ตัวเองกดตัวผมไว้  อยากจะตะโกนเรียกพี่นัทแต่ผมไม่กล้า กลัวเขาทำอะไรไปมากกว่านี้

เมื่อไรพี่นัทจะมา ผมจะแย่แล้ว ผมกลัว พี่นัทช่วยมาเร็วๆ หน่อย ช่วยรู้หน่อยว่าผมหายไป ฮึก

ผมคร่ำครวญในใจหาพี่นัท ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมากๆ เลย แค่ดันตัวเขาออกยังทำไม่ได้ ผมนึกถึงแต่พี่นัท อยากให้เขามาช่วย ถ้าเป็นแต่ก่อนผมอาจจะไม่กลัวเท่านี้ แต่ในตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน มันทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าที่ผมคิด และตอนนี้ผมกลัว ขยะแขยงจนอยากจะร้องไห้แล้ว

“เราอยากรู้จักนายมากกว่านี้ ขอเบอร์นายได้มั้ย ไอดีหรืออะไรก็ได้? เรามารู้จักกันให้มากขึ้นนะ”

เขาพูดและขยับหน้าเข้ามาใกล้ มือก็ลูบอยู่ที่แขนผมและค่อยๆ ล้วงแขนเสื้อขึ้นมาที่ต้นแขน

“ผ..ผมจำเบอร์และไอดีของตัวเองไม่ได้ แล้วตอนนี้เวลางาน ผมไม่พกโทรศัพท์ติดตัวด้วย ขอออกไปเอาก่อนได้มั้ยครับ” ผมพยายามหาทางออกไปจากห้องน้ำแคบๆ นี้ แต่เขามองมาเหมือนไม่เชื่อเลย

...ผมควรทำไงดี ผมควรทำยังไง ผมควรทำยังไง

“ไม่ได้พกติดตัวไว้จริงๆ เหรอ งั้นขอพิสูจน์หน่อยน้า...”

พูดเสร็จเขาก็จับเข้าที่บริเวณอกเสื้อผมทันที ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าเขาจงใจจับหน้าอกผมมากกว่า เขาขยับมือไปมาแล้วปลายนิ้วก็บีบลงบนยอดอก ผมสะดุ้งรีบปัดมือเขาทิ้งทันที

“อ่ะ…เอ่อๆ ” ผมตกใจจนผลักเขาออก เขาถอยไปยืนจ้องหน้าผมและยิ้มกว้างขึ้น ซึ่งโคตรไม่น่าไว้ใจ

“กระเป๋าเสื้อไม่มีจริงๆด้วย งั้นต่อไปก็...กางเกง”

แล้วเขาก็เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมตั้งใจจะหลบแต่เขาเร็วกว่า เขาถึงตัวผมและจับไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังพร้อมกับขยำก้นผมไปด้วย ผมผลักเขาออกได้ แต่เขาเองก็ไม่ยอมแพ้ พุ่งกลับเข้ามาและจับที่หน้าผมพร้อมก้มลงมาอย่างรวดเร็ว

ริมฝีปากของเขาทาบทับลงมา ผมที่สติแตกข่วนไปที่ใบหน้าของเขา พออีกฝ่ายผละออกผมก็รีบยกเท้าขึ้นมาดันไปที่กลางตัวของเขาแล้วถีบออกไป จังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงจนกระแทกกับลูกค้า

“พี่นัท...ฮือ” ผมเรียกชื่อของคนที่เข้ามาใหม่ แค่เห็นหน้าเขาน้ำตาผมมันก็ทะลักออกมาทันที

พี่นัทดึงตัวผมออกมาจากห้องน้ำและดันไปไว้ด้านหลัง จากนั้นก็จ้องเขม็งผ่านแว่นไปที่ลูกค้าที่ตอนนี้ล้มลงไปกองกับพื้นห้องน้ำ

“ทำอะไรกันเหรอครับ?” พี่นัทถามเหมือนปกติ แต่น้ำเสียงและสายตาที่ส่งไปนั้น น่ากลัวมาก ขนาดผมหลบอยู่ข้างหลังยังสัมผัสได้ว่าเขาโกรธแค่ไหน

ชายโรคจิตคนนั้นค่อยลุกขึ้นยืนมาและจ้องที่พี่นัทเช่นกัน ทำท่าแบบนั้นหมายความว่าไง อย่าต่อยกันนะ ไม่เอา อย่าต่อยกัน ถึงอีกฝ่ายเป็นโรคจิตแต่หากพี่นัทต่อยก่อนก็จะกลายเป็นเราที่ผิดได้ เดี๋ยวเรื่องใหญ่ ฮือ ผมสะอึกสะอื้นอยู่ด้านหลังพี่นัท มือก็ขยำเสื้อพี่นัทจนยับไปหมดแล้ว

“ก็ผมชอบเขา อยากรู้จักเขามากกว่านี้ แล้วข้างนอกมันเสียงดังเลยพามาคุยกันตรงนี้”

“ผมต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะครับ ผมคงให้คุณรู้จักเขามากไปกว่านี้ไม่ได้”

“ทำไมอ่ะ ร้านนี้เขาห้ามพนักงานมีแฟนเหรอ?”

“ที่ร้านเราไม่ได้มีกฎอะไรแบบนั้นหรอกครับ” พี่นัทถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ และพูดเสียงเรียบกลับไป

“ถ้างั้นเขาก็มีแฟนได้ และผมก็จีบเขาได้เหมือนกัน คุณไม่มีสิทธิ...”

อีกฝ่ายพูดไม่จบประโยคพี่นัทก็หันมาคว้าผมเข้าไปในอ้อมกอดและก้มลงมาจูบอย่างรวดเร็ว

“พี่นัท อื้อ...อือ อืม”

ผมที่จากร้องไห้อยู่ น้ำตานี่แห้งไปเลยครับ ตกใจอ่า จะจูบโชว์โรคจิตก็บอกกันก่อนสิ นี่จู่ๆ มาคว้าไปแบบนี้ ผมตกใจนะพี่นัท

ตอนแรกผมก็ตกใจแต่รู้สึกได้ว่ามืออุ่นลูบเบาๆ อยู่ที่ช่วงเอวคล้ายจะปลอบให้ใจผมเย็นลง และพอเหลือบมองหน้าช๊อกๆ ของไอ้ลูกค้านั่นแล้วมันก็สะใจดี ผมเลยโอบแขนรอบคอพี่นัทและจูบตอบอย่างถึงพริกถึงขิงจนเสียงจูบเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินตลอดๆ

พี่นัทจูบผมนานพอสมควรจนในที่สุดเขาก็ปล่อยผมออกและก็หันไปยิ้มให้ลูกค้าที่ยืนตาค้างอยู่ท่าเดิม

“คุณมีสิทธิที่จะจีบใครก็ได้ครับคุณลูกค้า…แต่คุณไม่ควรไปจีบแฟนคนอื่น”

“...”

“และนี่..” พี่นัทมองมาทางผมและหันกลับหาลูกค้าที่ยังยืนนิ่งอยู่

“...”

“แฟนผม ผมหวงมากครับ”

จุ๊บ!

พี่นัทพูดเสร็จก็ก้มลงมาจูบผมแรงอีกรอบนึง จากนั้นก็โอบเอวผมเดินไปหน้าร้านและเปลี่ยนจากโอบเป็นลากผมเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์ หลังจากจัดการกับลูกค้าโรคจิตเรียบร้อยแล้วก็ถึงคิวผม พี่นัทหันหลังกลับมาบีบแก้มผมแรงๆ ผมเจ็บแต่ผมไม่กล้าร้อง เพราะพี่นัทก็ทำตาดุใส่ผมด้วยอ่ะ

“เรานี่นะ มันน่าจับตีซักที เข้าไปกับเขาได้ยังไง!”

“ก็เขาขาเจ็บ แล้วผมไม่รู้ว่าเขาจะทำแบบนั้น” ผมแก้ตัวเสียงอ่อน เหลือบตามองเขาแล้วก็หลุบตาลง ได้แต่เว้าวอนในใจ ขออย่าให้เขาทำตาดุแบบนั้น นี่ผมยังตกใจอยู่เลย ผมอยากให้เขาโอ๋ไม่ใช่มาดุซ้ำ ผมแฟนเขานะ เจอเรื่องแบบนี้มา พี่ต้องกอดและปลอบหน่อยสิ นี่อะไร มาดูกันอีก...ใจร้าย

“คืนนี้ต้องเคลียร์!”

“ง่า~ ผมผิดอะไร” ผมร้องครวญออกไป อะไรอ่ะ เคลียร์อะไร ผมไม่ผิดซักหน่อย ผมก็แค่อยู่ของผมเฉยๆ  แล้วเขาก็มาหลอกผมไปอ่ะ ผมผิดอะไรอ่ะพี่นัท ผมผิดอะไรอ่า

ผมโอดครวญในใจ ถึงจะรู้ว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่ใช่ความผิดผม แต่มันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ความจริงถ้าผมบอกพี่นัทตั้งแต่ตอนแรก ผมคงไม่โดนแบบนี้ แต่ใครมันจะไปรู้ว่าโดนแบบนั้น ไม่ใช่ความผิดผมเลยซักนิด ความผิดไอ้โรคจิตนั้นคนเดียว หึ่ม

ไม่นานหลังจากนั้น ไอ้ลูกค้าคนนั้นก็เดินออกมา ผมเห็นพี่นัทจ้องเขม็งแว่นแทบแตกไปที่มัน ผมก็เลยทำหน้าบึ้งตาดุใส่มันบ้าง แบบว่ากลัวพี่นัทจะเหนื่อยคนเดียว เลยช่วยพี่นัทด่ามันทางสายตาด้วยไง ผมจ้องชนิดที่ว่าไม่วางตาเลยทีเดียว เผื่อโทษคืนนี้ของผมจะลดลงบ้างไรงี้ ประจบสุดๆ อ่ะ

จ้องได้ไม่นานเขาก็รีบออกจากร้านไป ก็โดนกดดันขนาดนี้ใครจะไปอยู่ไหว นี่แค่กดดันทางสายตานะ ยังไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรเลย พวกอ่อนเอ๊ย! ผมนี่เก่งจริงๆ  พอมีพี่นัทอยู่ด้วยนี่ล่ะเก่งจริงจริ๊ง ก่อนหน้านี้ยังกลัวจนร้องไห้อยู่เลย

ผมถือถาดถือผ้าเตรียมไปเก็บโต๊ะที่พวกนั้นเพิ่งลุกออกไปแต่พี่นัท ดึงแขนผมไว้ก่อน

“หนึ่งไม่ต้อง เดี๋ยวพี่ไปเก็บเอง” แล้วพี่นัทก็แย่งผ้ากับถาดไปจากมือผม “เผื่อมันวางอะไรไว้ที่โต๊ะ คนพวกนี้อย่าไปไว้ใจมัน”



แรกๆ ผมก็ขำนะครับที่เห็นท่าทางระแวงของพี่นัท แต่ตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมาพี่นัทระแวงผู้ชายแทบทุกคนที่เข้ามาคุยกับผม พอผมคุยอะไรกับลูกค้านิดหน่อย พี่นัทนี่แทบจะโยนแก้วโยนช้อนทิ้งแล้วปรี่มาหาผมเลย ผมล่ะปวดเฮด

“เมื่อกี้คุยไรกันเหรอครับ เขาพูดจาอะไรไม่ดีใส่หนึ่งรึเปล่าครับ?”

“เขาแค่จะสั่งเค้กเพิ่มเองครับ พี่เลิกระเเวงได้แล้ว” ผมลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยใจ ทำไมพี่นัทเป็นคนแบบนี้นะ พี่นัทที่โคตรดูดีของผมหายไปไหน คบกันไม่ถึงสองวัน ทำไมพี่นัทกลายเป็นตาลุงคิดมากและง้องแง้งแบบนี้ไปได้เนี่ย เอาพี่นัทสุดเท่และโคตรคูลของผมคืนมา

“จะให้พี่เลิกระแวงได้ไงล่ะครับ ถ้าเกิดเขามาหลงเสน่ห์หนึ่งอีกคนพี่คงแย่...” พี่นัทละมือจากการปั่นน้ำมาขยี้หัวผมเบาๆ แล้วก็ทำหน้าตาที่ดูกังวล...ทำหน้าแบบนั้นไม่เหมาะกับเป็นพี่นัทเลยอ่ะ

“พี่นัทครับ อย่ากังวลเลย พี่เลิกระแวงเรื่องผมได้เลยครับ เพราะผมไม่มีเสน่ห์อะไรแบบที่พี่พูดมาซักนิด” ถ้าผมนี่เสน่ห์อย่างที่พี่นัทพูดจริง ผมคงไม่โสดเศร้าเหงาใจมาได้ตั้ง 24 ปีหรอก

ผมจัดเค้กใส่จานปล่อยและพี่นัทง้องแง้งไปคนเดียว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงพี่นัทบ่นถึงผม

“ไม่มีเสน่ห์อะไรล่ะ ที่พี่หลงจนโงหัวแทบไม่ขึ้นอยู่นี่ ก็ไม่ใช่เพราะเสน่ห์ของหนึ่งรึไง เจ้าเตี้ยเอ๊ย ไม่รู้เรื่องเลย!”

ผมหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ  และตอนที่เดินผ่านหลังพี่นัท ผมหยุดและก็เขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูพี่นัทเบา แล้วก็เดินหนีออกมาจากเคาน์เตอร์ทันที

"ก็ผมตั้งใจโปรยใส่พี่คนเดียวไงครับ"


เป็นไงล่ะพี่นัท
เจอสกิลการอ้อยของน้องหนึ่งเข้าไป 555
พี่นัทพลาดละ เอ๊ะ!! หรือว่าหนึ่งกันแน่ที่พลาดไปอ่อยพี่นัทแบบนั้น...

#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
16 : คืนนี้มีเคลียร์



หลังจากที่ปิดร้าน กินข้าวและอาบน้ำกันเสร็จแล้วผมก็เดินหัวเปียกมาผึ่งพัดลมที่หน้าโซฟา หลับตารับลมจากพัดลมและไอเย็นจากแอร์ที่เป่าลงมาตรงหัวพอดี วันนี้ลูกค้าเยอะมากแทบจะไม่ได้นั่งเลย แถมยังเจอลูกค้าโรคจิตอีก

“ที่รัก ผมยังไม่แห้งแต่เปิดทั้งแอร์ทั้งพัดลมแบบนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“ก็ผมกำลังจะเป่าพัดลมให้ผมแห้งอยู่นี่ไงครับ”

“มานี่มา เดี๋ยวพี่เช็ดให้”

“ครับ” ผมปิดพัดลมและลุกขึ้นเดินไปหาพี่นัทที่นั่งบนโซฟากางขาออกให้ผมลงไปนั่งแทรกตรงกลาง ให้อีกฝ่ายใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มเช็ดเบาๆ ไปตามเส้นผมและมีการนวดศีรษะให้ด้วย ผมนั่งเคลิ้มตาปรือให้พี่นัททำตั้งนานสองนาน

“หนึ่งครับ พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ?” เส้่นผมยังไม่แห้งดีพี่นัทก็หยุดมือพร้อมหมุนตัวให้ผมหันกลับไปจ้องหน้า ดูท่าทางจริงจังจนผมหวั่นใจว่าเจาจะพูดถึงเรื่องเมื่อกลางวันรึเปล่า ผมไม่อยากโดนดุอีก อุตส่าห์ทำเป็นไม่พูดถึงก็หวังว่าพี่เขาจะลืมไปแล้ว

“ก็...ได้ครับ” เรื่องอะไรก็ถามมา ขอแค่อย่าดุผมก็พอ

“ถ้าซักวัน...หนึ่งเจอคนที่ดีกว่า หนึ่งจะทิ้งพี่มั้ยครับ?” เขาพูดเสียงแผ่ว มองตาผมครู่หนึ่งก่อนจะหลุบลง ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วขยี้ไปมาตามปลายเส้นผมที่ชื้นน้ำ

“ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะครับ”

“...ทั้งสองครับ”

“ถ้าผู้ชายผมมั่นใจว่าไม่ แต่ถ้าผู้หญิงผมว่าไม่แน่ แหะแหะ” ผมตอบและกลั้วหัวเราะไปด้วย แต่พี่นัทที่ตอนนี้อยู่ในโหมดจริงจังบีบเข้าที่แก้มผมแล้วดึงขึ้นลงจนผมร้อง “โอ๊ยๆ พี่! ผมเจ็บ”

“พี่จริงจังนะครับ” เขาเปลี่ยนจากบีบแก้มผมมาจับไว้เบาๆ ทั้งสองข้างเหมือนเป็นการล็อคหน้าผมไว้ไม่ให้หันไปทางอื่น ผมเลยจัดการปัดมือพี่นัทออก ลุกขึ้นและขยับไปนั่งบนตักพี่นัทโดยที่หันหน้าเข้าหากัน พี่นัทก็ขยับให้ผมนั่งดีๆ  เอามือกอดหลังผมไว้ กันผมหงายหลังตกโซฟา ผมยกมือขึ้นมาจับแก้มพี่นัทไว้จ้องตาพี่นัทตรงๆ แล้วก็พูดออกไป

“นอกจากพี่ก็ไม่มีใครคิดอะไรกับเด็กกะโปโลแบบผมหรอกครับ”

“ไม่มีที่ไหนล่ะ ตั้งแต่กลับมาเปิดร้านนี่ พี่สังเกตุเห็นพวกผู้ชายดูสนใจหนึ่งตั้งเยอะ พี่แค่มองก็รู้แล้วว่าพวกนั้นจ้องจะงาบหนึ่งอยู่เหมือนกัน”

“พี่อย่าคิดมากสิครับ เพิ่งจะเคยเจอกัน เขาไม่คิดแบบนั้นกันหรอก”

“หนึ่งจะไปรู้ทันได้ไง ตอนพี่เจอหนึ่งครั้งแรก พี่ยังคิดจะจับหนึ่งกดลงกับโต๊ะตอนนั้นเลย”

“...ผมว่าพี่นี่แหละตัวอันตรายสำหรับผม” ผมดึงหูพี่นัทขึ้นลงเบาๆ แล้วก็หัวเราะออกมา พี่นัทมองผมนิ่งๆ ไปพักนึงก่อนจะกอดผมแน่นขึ้นและซุกหน้าลงกับไหล่พลางซุกไซ้ไปมาให้รู้สึกจักจี้

“แต่วันนี้พี่กลัวจริงๆ นะ ถ้าพี่ไม่รู้แล้วไปไม่ทัน...หนึ่งจะทำไงครับ” พี่นัทถามอู้อี้กับซอกคอ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำให้ผมขนลุกไปหมดแล้ว

“ผมก็ต่อยไงครับ” ถึงจะบอกไปแบบนั้น พูดเหมือนตลกเพื่อไม่หยากให้พี่เขาคิดมากแต่สถานการณ์จริงๆ ผมก็คงไม่กล้าหรอกมั้ง อาจจะสติแตกและกลัวจนร้องไห้แบบวันนี้ และพอผมพูดออกไปแบบนั้นพี่นัทก็ดึงคอเสื้อผมลงแล้วกัดเข้าที่ไหล่จนผมสะดุ้งเลย

“หึหึ เตี้ยแบบนี้โดนเขาต่อยทีเดียวก็สลบก่อนแล้วมั้งเราน่ะ...ถ้าเจอแบบวันนี้อีก หนึ่งต้องรีบบอกพี่เลยนะ ตะโกนบอกดังๆ เลยหรือไม่ก็หาของใกล้ๆ ตัวฟาดหัวมันไปก่อน เข้าใจมั้ย?”

“โธ่ พี่นัท...”

“เข้าใจมั้ยครับ?” พี่นัทถามย้ำและกอดผมแน่นกว่าเดิม

“ครับๆ  ถ้าเจอแบบวันนี้อีก ผมจะแหกปากให้ร้านแตกไปเลย”

“เด็กดี” พี่นัทลูบหลังผมไปมา และเงยหน้าขึ้นมาจูบที่ปากผมแผ่วๆ

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ” ใช่ ผมไม่เด็กแล้ว เนรยนจบมาสองปีแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้วเถอะ

“เด็กของพี่ไงครับ”

“ผมไม่เด็กแต่พี่อ่ะ...แก่”

พอเห็นพี่นัทหัวเราะออกมาผมก็รู้สึกโล่งอก เมื่อกี้คือการ ‘เคลียร์’ ของพี่นัทใช่มั้ย? ผมจะไม่โดนดุไปมากกว่านี้แล้วใช่มั้ย? ผมมองหน้าเขาและเราก็นั่งกอดแบบนั้นอยู่ซักพักนึงจนผมกลัวว่าพี่นัทจะเมื่อยเพราะผมนั่งทับขาพี่เขาอยู่ก็เลยจะขยับตัวออก

“จะไปไหนครับ นั่งแบบนี้แหละอบอุ่นดี” แต่พี่นัทไม่ยอมปล่อย รั้งเอวเอาไว้ให้ผมนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม

“พี่ไม่หนักเหรอครับ เดี๋ยวก็ขาชาหรอก” ถึงตัวผมจะเตี้ยตามที่พี่นัทพูดบ่อยๆ  แต่ผมก็ไม่ใช่คนตัวเล็กแบบที่พี่นัทคิดนะครับ ยิ่งช่วงนี่กินเก่งขึ้นมากๆ  จนจะเป็นอวบระยะสุดท้ายอยู่แล้ว

ความคิดผมหยุดลงทันที่เพราะพี่นัทกดท้ายทอยผมลงแล้วเขาก็เอียงหน้าประกบปาก และพอเห็นว่าผมไม่ขัดขืนเข้าหน่อยก็โดยพี่แกพลิกให้ตัวผมนอนราบไปกับโซฟาส่วนตัวพี่นัทก็ทับอยู่ด้านบนแทน

“อืม พี่นัท...” ผมครางเรียกเขาเสียงเบา ริมฝีปากอุ่นที่ผละออกไปนั้นไม่ได้ขยับออกห่างมากเท่าไรนัก เขายังคงวบเวียนขบเม้มตามกลีบปากล่างและปลายคางผมอยู่หลายที

“เมื่อตอนนั้นหนึ่งโดนมันจูบด้วยรึเปล่าครับ?”

“เอ่อ…” ผมชะงัก ผมโดนมัยจูบ แต่ไม่กล้าบอกเขาออกไป เพราะกลัวว่าพราเขาจะโกรธขึ้นมาอีก

“ว่าไง” พี่นัทผละออกเล็กน้อย ดวงตาคมดุขึ้นและปลายนิ้วร้อนที่ลากไปมาอยู่ที่ริมฝีปากก็ออกแรงบีบเล็กน้อยเป็นวิธีทวงคำตอบในแบบของเขา

“...นิดเดียวครับ”

“...”

ผมแอบกลืนน้ำลาย เมื่อแววตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ดุลอดแว่นมาเลยทีเดียว ผมเลยหันหน้าหนีและเสมองไปทางอื่น พี่นัทนี่บทจะดุ ก็ดูน่ากลัวจนผมไม่อยากจะยุ่ง

แต่ผมมองอย่างอื่นได้ไม่นานนัก พี่นัทก็จับคางผมให้หันกลับไปมองเขาเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่กล้าสบตาพี่นัทอยู่ดี ผมเลยหลุบตาลงต่ำจนแทบจะหลับตาอยู่เเล้ว

“พี่นัท” ผมหลับตาปี๋แล้วเม้มปากหนี พี่นัทก้มลงมากัดริมฝีปากของผม มันเจ็บเล็กน้อย และผมรู้ว่านี่คือการลงโทษ...ลงโทษที่ผมไม่บอกเขาว่าโดนไอ้โรคจิตนั่นทำอะไรบ้าง

“คืนนี้พี่บอกว่าจะเคลียร์นี่นา”

“อ้าว ที่คุยตอนแรกนั่นไม่เรียกว่าเคลียร์...เหรอครับ”

“นั่นพี่เรียกว่าคุยกัน”

“เอ่อ…แต่นั่นสำหรับผมเขาเรียกว่า เคลียร์ปัญหาครับ”

“ที่เราต้องเคลียร์กัน มันต่อจากนี้ต่างหากครับ”

พูดจบพี่นัทก็ถอดแว่นออกและก้มลงมาประกบปากไม่ยอมให้ผมได้ท้วงติงอะไรอีก พอโดนรุกเร้ามากเข้าผมพยายามหันหน้าหนีแต่พี่นัทใช้มือล็อคคางผมไม่ให้หันไปทางอื่นได้

“อึก อื้อ”

เขาตวัดลิ้นพัวผันกับกันลิ้นผมอย่างดุเดือดจนผมยังตกใจและหายใจตามไม่ทัน พี่นัทจูบไม่หยุดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพี่เขาขยับปากเหมือนผมยิ่งรู้สึกเหมือนผมโดนพี่นัทดูดเอาลมหายใจออกไป ผมได้แต่ขยำแขนเสื้อพี่นัทแล้วนอนหมดแรงอยู่กับโซฟา

เขาผละออก แล้วมองมาด้วยแววตาแปลกๆ ผมมองไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่พี่นัทมองผมนานมาก ยิ่มมองนาน แววตาเขาก็เปลี่ยนไป มันทำให้ผมกดดันและรู้สึกกลัวแปลกๆ แต่ไม่ทันที่จะได้พูดถามอะไร เขาก็ก้มลงมาใหม่ คราวนี้รสจูบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันรุนแรงและดูบุ่มบ่ามจนผมใจเต้นด้วยความกลัวเล็กน้อย

“อย่าดิ้น”

“พี่...เบาหน่อย”  ผมปรามให้เขาเบาลงหน่อยเมื่อพี่นัทผละออกและเคลื่อนต่ำลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอ ดูดสลับกัดกัดตรงจุดเดิมย้ำๆ จนผมเจ็บ แต่เขาไม่ได้ลดแรงลงเลย อีกทั้งฟันคมก็ขบลงมาแรงขึ้นเมื่อผมดันหน้าเขาออก

“หนึ่งเป็นของพี่” พี่นัทพึมพำออกมาพร้อมกับถกเสื้อผมขึ้น ริมฝีปากร้อนแตะแต้มไปทั่วแผ่นอกก่อนจะเริ่มต้นดูดดึงหัวนมทั้งสองข้างสลับกันไปมาจนมันตั้งชันขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงผละออก แต่ก็ใช่ว่าจะหยุด พอไม่ได้ใช้ปาก เขาก็ใช้ปลายนิ้วบีบขยี้ลงมาให้แอ่นตัวโค้ง หลังแทบไม่ติดโซฟา

“อื้อ!”

“อย่าไปปล่อยให้คนอื่นมาแตะตัวง่ายๆ สิครับ” พี่นัทเงยหน้ามาพูดแล้วก็ก้มลงไปตวัดลิ้นเลียอีกข้างนึง เขาปาดเลีย บ้างก็กัดทำให้ผมสะดุ้งแล้วระดุ้งอีก เพราะกลัวว่าเขาจะกัดแรงจนผมเจ็บไปมากกว่านี้

“อึก อือ เจ็บ...” 

ก็ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนคนอื่นทำแบบนั้นนี่…

 อยากจะเถียงกลับ แต่ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะตอบอะไรแล้ว พี่นัทไล้เลียเปลี่ยนข้างสลับไปมา ยอดอกของผมถูกพี่นัทดูดดึงจนมันแดงก่ำและบวมขึ้นมา พี่นัทล่ะมืออีกข้างที่ลูบอยู่ตรงยอดอกผมลงไปคลึงที่น้องชายผมแทน

“หนึ่งเป็นที่รักของพี่คนเดียวนะครับ” เขาพูดเหมือนคนละเมอพร้อมกับแยกขาผมออกกว้างและขยับตัวเข้ามาตรงหว่างขาผมพร้อมกับถูส่วนที่แข็งขืนนั่นกับแก่นกายของผม มันรู้สึกดีเมื่อเขาไม่ได้ทำให้ผมเจ็บมากนัก ยิ่งเขาขยับเอวเข้าหา ผมก็ยิ่งโยกเอวรับ บิดตัวไปซ้ายทีขวาทีด้วยความเสียว น้ำใสๆ ปริ่มออกมาเลอะกางเกงนอนจนแฉะไปหมด เห็นแบบนั้นพี่นัทก็ขยับตัวและถอดกางเกงขาสั้นผมออกไปให้พ้น

“ฮ๊า พี่ครับ...” ผมมองหน้าเขาและแยกขากว้างให้อีกฝ่ายขยับได้สะดวก เขาขยับมือร้อนๆ นั่นลงไปขยำก้อนเนื้อด้านหลังจนผมต้องซี๊ดปาก แต่ก็สะดุ้งอีกครั้งเพราะโดนเขาดันนิ้วที่แห้งผากนั้นเข้ามาด้านใน พอจะขยับหนีก็โดนเขายึดเอวเอาไว้

“ตองหนึ่ง…”

“พี่ครับ ใจเย็นหน่อย...ผมยังไม่พร้อม” ผมออกปากห้าม แต่อีกฝ่ายไม่หือไม่อือ เขายกสะโพกผมขึ้นและลูบปลายนิ้วไปมารอบช่งทางก่อนจะดันเข้าไปใหม่อย่างไม่อ่อนโยนนัก

“...ห้ามให้คนอื่นทำแบบนี้นะ” เขาพึงพำอยู่ในลำคอ ผมไม่มั่นใจนักว่าเขาพูดอะไร แต่ใบหน้าตอนนี้ของพี่นัทคือน่ากลัวมาก ผมเริ่มใจไม่ดีเมื่อเขาไม่หยุดมือ แถมยังดันทุลังดันเข้ามาในช่องทางที่ยังไม่มีสารหล่อลื่นมาเป็นตัวช่วยนั้น

“อือ พี่...ผมเจ็บ หยุดก่อน” ผมดันตัวเขาออก แต่พี่นัทในตอนนี้คือไม่ฟังผมเลย เห็นเขาไม่มีท่าทีจะหยุดแบบนั้นก็เลยเปลี่ยนมาแยกขาออกกว้างและพยายามผ่อนคลายตัวเองให้เจ็บน้อยที่สุด หรือไม่ก็พยายามทำให้ตัวเองเสร็จก่อนซักครั้ง แต่ผมก็ทำไม่ได้ ยิ่งเข้าเขาดันเข้ามาผมก็เจ็บจนทนไม่ไหว อารมณ์หวามก่อนหน้านี้ก็พากันหายไปหมดแล้ว

“...ถ้าพี่ไปช่วยไม่ทัน จะทำยังไง”

ไม่ได้สนใจฟัวที่ผมเขาพูดแล้ว สองตาผมเห็นว่าเขาพยายามที่จะเพิ่มนิ้วเข้าไปในตัวผมอีกนิ้ว ผมส่ายหน้าและดันพี่เขาออก ส่งเสียงโวยวายให้เขาฟังผมหน่อย แต่พี่นัทก็ไม่กลับ ทำท่าจะจะสอดนิ้วที่สามเข้ามา พอมันเข้าไม่ได้ เขาไม่ยอมหยุด ดันทุรังจนผมเจ็บจนน้ำตาไหล

“ตองหนึ่งครับ พี่...ฮึบ!

“อะ..โอ๊ย !เจ็บ ผมเจ็บ!!”

ผมตะโกนสุดเสียงอยู่ข้างหูจนพี่นัทก็สะดุ้งสุดตัวไปพร้อมๆ กับผม พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตา

“หนึ่ง… พี่...ขอโทษครับ”

“ฮึก พี่นัท...ผมเจ็บนะ”

“พี่ขอโทษนะครับ”พอพี่นัทได้ยินที่ผมพูด ก็รีบดึงนิ้วออกและจูบซับน้ำตาไปทั่วใบหน้าผม ส่วนมือข้างที่ทำผมเจ็บนั้นพี่นัทก็ใช้มันลูบที่เนินก้นเหมือนจะปลอบใจ

“ฮึก ผมเจ็บอ่ะ” ยิ่งพี่นัทปลอบ ผมยิ่งร้องหนัก ความรู้สึกเจ็บหน่วงๆ เมื่อกี้ผมยังรู้สึกได้อยู่เลย พี่นัทตอนที่ไม่ฟังอะไรแบบนั้น น่ากลัวมาก

“หนึ่งหยุดร้องเถอะครับ พี่ไม่ทำแล้ว”

พี่นัทลูบไปทั่วหน้าผมและเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะซบหน้าลงกับหน้าผากผมและคลอเคลียไปมา ผมพยายามกลั้นสะอื้นและหยุดร้องให้แต่มันก็มีหลุดออกมาบ้าง

“ฮึก ฮือ”

“พี่ไม่ทำแล้ว คนดี...หยุดร้องเถอะนะ” พี่นัทจูบเปลือกตาทั้งสองข้าง  ซุกหน้าลงกับซอกคอของผม และกอดผมไว้อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปซักพัก ผมหยุดสะอื้นและน้ำตาผมก็แห้งไป ผมเลยสะกิดเรียกพี่นัท

“พี่นัทครับ...ผมไม่ร้องแล้ว”

“พี่ขอโทษครับ ขอโทษที่ทำให้หนึ่งเจ็บแบบเมื่อกี้” พี่เงยหน้าขึ้นมองผมและยิ้มออกมา พอผมยิ้มตามเขาก็ขยับขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากผมแผ่วเบา คล่ยกับว่าเป็ฯการขอโทษผมอีกครั้ง

“พี่นัทเป็นอะไรครับ” ผมกุมแก้มพี่นัทไว้แล้วใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ เขาหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“พี่ก็ไม่รู้….พี่แค่คิดว่าถ้าพี่ไปไม่ทัน หนึ่งจะโดนอะไรบ้าง แค่คิดว่ามันจะทำอะไรกับหนึ่งบ้าง พี่ก็...รู้สึกโมโห” พี่นัทพูดจบก็ซบหน้าลงกับหน้าอกผมอีกครั้งนึง

“พี่อย่าไปคิดถึงมันสิ มันผ่านไปแล้วไง พี่ไปช่วยผมทันผมไม่เป็นอะไรด้วย”

“ครับ…”

พอเห็นว่าเข่ยังไม่สบายใจผมทก็อยากจะ ปลอบให้เขาดีขึ้น จึงยกแขนดึงคอพี่นัทลงมาแล้วผงกหัวขึ้นไปจูบ แรกๆ พี่นัทก็ปล่อยให้ผมนำ แต่ผ่านไปไม่นานานก็กลับกลายเป็นว่าพี่นัทเป็นคนนำและกลายเป็นผมที่ขยับปากตาม

“อืม อืออ” ผมครางในลำคอ หยัดตัวขึ้นเสียดสีกับตัวอุ่นๆ ของพี่นัท พี่นัทดันตัวผมออกและอุ้มผมไปที่เตียงนอน ผมส่งยิ้มให้เขาจึงก้มลงมาหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผมออก จาเปลือยไปทั้งตัว

“ถ้าพรุ่งนี้พี่ตื่นไม่ไหว อย่ามาโทษผมนะ”

“หนึ่งก็อย่ายั่วพี่มากนักสิ พี่จะได้ไม่เหนื่อยมาก” ผมไม่ได้ยั่วเขาเลย ผมอยู่ของผมเฉยๆ แต่พี่นัทตังหากที่มาหลงผมเอง

“พี่นัท...” ผมพูดออกคล้ายละเมอ ตามองไปที่พี่นัทที่ตอนนี้ถอดเสื้อออกตามด้วยกางเกง ผมไล่สายตามองตามเครื่องหน้าลงมาที่ลาดไหล่กว้าง แผ่นอกและหน้าท้องที่มีกล้ามเล็กน้อยเรียงตัวสวยงาม ต่ำไปกว่านั้นก็มีเส้นขนบางๆ และ…

ผมมองไปที่จุดนั้นและความรู้สึกที่หลากหลายก็วิ่งวนในหัวผม ทั้งสีและขนาดที่แตกต่างจากของตัวผมเอง และอดไม่ได้จะนึกไปถึงเวลาที่มันเข้ามาอยู่ร่างกาย

“เด็กลามกมองอะไรครับ”

ผมรีบละลายตาขึ้นไปมองและเห็นรอยยิ้มล้อๆ ของพี่นัท ผมก็รู้สึกเขินจนต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้

“ทีพี่ยังมองของผมได้เลย” ผมอุบอิบตอบกลับไป เราทำมาถึงขั้นนี้กันแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมองแต่พอโดนจับได้บวกกับรอยยิ้มล้อๆ นั่น มันก็อดรู้สึกเขินไม่ได้

“ก็มองไปสิ พี่ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย...จะจับมันด้วยก็ได้นะ”

พี่นัทพูดและขยับเอาส่วนนั้นเข้ามาใกล้ ผมค้อนตากลับและขยับตัวออก แต่ก็โดนอีกฝ่ายดึงแขนเอาไว้แล้วกดตัวผมให้นานราบไปกับเตียง

“อื้อ”

“จะหนีไปไหนล่ะครับ หืม?”

“ผมไม่ได้หนีไปไหนซักหน่อย”

“หึ แต่ถึงจะหนี...ก็หนีไม่พ้น” เขายิ้มและประกบปากลงมา จูบครั้งนี้หวาน และเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานผมก็มีอารมณ์ร่วม เขาไล่จูบไปทั่วใบหน้าและลำตัว ตรงไหนที่ทำรอยได้เขาก็ทำ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายผมที่ปากและมือของพี่นัทไม่สัมผัส ส่วนผมนั้นได้แต่บิดตัวครางอยู่ใต้ร่างพี่นัทอย่างสิ้นท่า

ผมมองพี่นัทเทเจลลงที่มือและค่อยดันนิ้วเข้ามา ผมเกร็งนิดหน่อยพราะกลัวจะเจ็บเหมือนที่พี่นัททำตอนแรก แต่พี่นัทก็ปลอบผมด้วยน้ำเสียงนุ่มข้างหู

“เจ็บรึเปล่า?” ผมส่ายหน้า ตัวสั่นไปหมด  โอบแขนรอบคอพี่นัทดึงเข้าหาตัวและกอดไว้แน่น พอเป็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็ดันนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น บ้างก็ผ่อนจังหวะลงเพื่อกดย้ำปลายนิ้วไปทั่วด้านในให้ผมเสียงสะท้านไปหมด

“อื้อ! พี่ครับ..ผม..อึก” ผมครวญคราง เงยหน้าขึ้นจูบปลายคาวของพี่เขา ขยับจาและสะโพกไปมาเพราะความวาบหวามเริ่มควบคุมร่างกาย ผมอ้าปากหอบหายใจหยัดตัวขึ้นให้ตัวผมและตัวพี่นัทเสียดสีกันไปมา ผมรู้สึกทนไม่ไหวจนต้องตวัดขาโอบสะโพกพี่นัท…

“เป็ฯอะไรครับ อยากได้อะไร?”

“...อือ” อยากได้มากกว่านี้ อยากได้อะไรที่มากกว่าแค่นิ้ว...ผมไม่ได้ตอบออกไป แต่กลับขยับมือลงไปสัมผัสแก่นกายร้อนผ่าวของเขา พี่นัทสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ผมยกขาขึ้น พยายามส่ายเอวไปมาให้ส่วนอ่อนไหวของเราเสียดสีกัน สิ่งที่ผมทำมันเสียวแต่มันก็ไม่สุด

“ใจเย็นๆ สิครับ ให้พี่จัดการตัวเองก่อน”

เขาพูดอย่างใจเย็น ขยับตัวออกช้าๆ แล้วหยิบถุงยางขึ้นมาและฉีกถุงออกและจัดการใส่ลงไป ผมมองทุกขั้นตอนอย่างตื่นเต้นและรอคอย พอเห้ฯว่าเขาพร้อมผมก็ใช้มือจับขาตัวเองทั้งสองข้างและแยกออกกว้างเพื่อให้พี่นัทเข้ามาได้สะดวก แต่เหมือนผมยิ่งอยากพี่นัทยิ่งจงใจทำทุกอย่างช้าๆ ไม่ทันใจผมเลย

“ฮื่อ! พี่นัท” ผมครางออกมาอย่างขัดใจ ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ พี่นัทและหยัดตัวขึ้นให้กลางกายของเขาสำผัสกับช่องทางด้านหลังของผม

“เด็กลามก ใจเย็นหน่อยครับ”

“ฮื่อ!!” ....ก็พี่ช้า ไอตอนอยากล่ะไม่ทำ ไอตอนที่ผมไม่อยากก็แกล้งจัง คนนิสัยไม่ดี

คนตัวสูงหัวเราะ ลูบฝ่ามือไปมาอยู่ปริเวณสะโพกแล้วกดหน้าอกผมลงกับเตียงและยกสะโพกผมขึ้น ผมปล่อยมือจากขาตัวเองเปลี่ยนมาโน้มคอพี่นัทลงมาจูบแทบ และตวัดขาโอบสะโพกพี่นัทไว้อีกครั้ง

“พี่จะเข้าไปแล้วนะครับ” พี่นัทพูดช้าๆ จับขาผมแยกออกกว้างอย่างช้าๆ ดันส่วนที่ร้อนผ่าวที่ผมรอคอยเข้ามาอย่างช้าๆ ทุกอย่างช้าไปหมด ไม่ทันใจผมเลยสักนิด

“พี่ครับ เร็วๆ ”

“...เดี๋ยวหนึ่งเจ็บ” ผมรู้ว่าพี่นัทก็อดกลั้นไม่น้อย เขาทำช้าๆ เพราะกลัวผมเจ็บ

“ไม่...ไม่เจ็บครับ”

หลังจากที่ผมพูดไปแบบนั้น พี่นัทก็ใส่ไม่ยั้งจนเตียงหลังใหญ่ที่ผมคิดว่าแข็งแรงมากๆ ก็สั่นเอี๊ยดอ๊าดไปด้วย

เขาขยับสะโพกอย่างแรง ปากก็ดูดลงมาตามหน้าอกและลำคอ ผมครางลั่นเพราะความกระสันและแรงกระแทกจากพี่นัท ผมกัดปากกลั้นเสียครางไม่ให้ดังจนเกินไปเพราะอารมณ์ผมพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ  ในขณะที่พี่นัทเองก็ขยับอย่างบ้าคลั่ง แต่อยู่ๆ พี่นัทก็ลดความเร็วลงเป็นช้าๆ เนิบนาบๆ แต่กระแทกเข้ามาลึกและตรงจุด

   “อือ แบบบนี้ดีมั้ย?” เขาถาม แต่ผมก็ส่ายหน้าไปมา ร้องขอให้เขาทำเร็วๆ แบบเดิม พี่นัทยกยิ้มอย่างเจ้าเลห์แล้วถามกลับมาอีกครั้ง “อยากได้เร็วๆ ?”

   “ครับ...เร็วๆ” ผมพยักหน้ารัว แล้วอ้าขากว้างขึ้นอีก สองมือเกี่ยวสะโพกพี่นัทเข้าหาตัว พร้อมกับหยัดกายขึ้น คนตัวสูงด้านบนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“แบบนี้เหรอ?” พี่นัทพูดพร้อมกับขยับสะโพกเร็วๆ ผมพยักหน้าจนคอแทบหัก ส่ายเอวอย่างถูกอกถูกใจ แต่ก็ร้องออกไปอย่างขัดใจตอนที่พี่นัทหยุด

“อื้อ พี่นัท! อย่างแกล้งผมแบบนี้ ฮึก”

“ที่รัก…” พี่นัทยิ้มเจ้าเลห์ สองมือประคองแก้มผมเอาไว้แล้วมก้มลงมาคลอเคลียจูบ ในขณะที่ยังคงขยับสะโพกช้าๆ เนิบนาบเหมือนเดิม

“ฮึก...อย่าแกล้งผม พี่ครับ”

“เรียกว่าที่รักหน่อยได้มั้ยครับ? เรียกพี่หน่อย...ที่รัก”

“ที่..ที่รัก ที่รัก ที่รัก” ผมพูดคำที่เขาต้องการออกมา พูดมันซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ผมทำตามที่เขาต้องการแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมทำอย่างที่ผมต้องการบ้าง ผมทนไม่ไหวเป็นฝ่ายหยัดตัวขึ้นสวนสะโพกขึ้นหาพี่นัทเสียงเอง แต่ก็โดนอีกฝ่ายกดเอวเอาไว้ให้นอนนิ่งๆ

“หนึ่ง...อืม อยู่เฉยๆ ก่อนสิครับ”

“ฮื่อ!! อือ ผมอึดอัดนะ!” ผมจิกลงไปที่ไหล่พี่นัทแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์ และรู้สึกได้ถึงน้ำตาของผมที่มันไหลออกมาเป็นทาง

“โถ เด็กขี้แยร้องไห้อีกแล้ว อย่าร้องสิครับ เงียบก่อนนะ โอ๋ๆ”

“ฮือ พี่แกล้งผม ฮึก” ผมส่ายหน้ากับหมอน ความรู้สึกอึดอัดเต็มไปทั้งร่างกาย อยากจะปลดปล่อย พอผมจะใช้มือปลดปล่อยให้ตัวเองก็โดนคนนิสัยไม่ดียึดมือเอาไว้ทั้งสองข้าง

“บอกพี่สิว่าหนึ่งอยากรู้สึกแบบไหน อยากให้พราทำแบบไหน?”

“อยาก...อยากเสียว” ผมพูดเสียงแผ่วเพราะมันน่าอาย แต่ก็ผมเหมือนจะได้ผล พี่นัทขยับเร็วขึ้นมาอีกหน่อย

“แล้วพี่ต้องทำยังไงให้ตองหนึ่งเสียงครับ บอกพี่หน่อยเร็ว”

“อืม...อยากให้ที่รักที่เร็วๆ เข้ามาลึกๆ เลย อ๊ะ!”

พูดไม่ทันจบพี่นัทก็กระแทกลงมาอย่างเร็วแถมด้วยความแรงจนผมรู้สึกเหมือนเอวผมคงหักคาเตียงแน่ๆ แต่มันก็สมใจอยาก ผมครางส่ายหน้าไปมากับหมอนอย่างสุขสม แยกขาออกกว้างให้พี่เขาขยับได้สะดวก ความอึดอัดในก่อนหน้านี้ก็เริ่มปะทุและผมก็ปลดปล่อยออกมาจนเลอะไปทั่วหน้าท้องของเราทั้งคู่ พี่นัทไม่ปล่อยให้ผมพักหายใจ เขาจับขาข้างนึงของผมพาดไปที่บ่ากว้างและขยับสะโพกต่อทันที

“หนึ่ง...อือ อย่ารัดพี่แน่นนักสิ อือ”

“พี่ครับ ผม...ฮึก” ผมส่ายหน้า มองพี่นัทที่หลับตาและหอบหายใจถี่ขึ้น ยิ่งมองเขาผมก็ยิ่งรู้สึก มันมีอารมณ์มากเกินไปจนต้องจับแขนพี่นัทที่เท้าลงกับเตียงเพื่อระบายความเสียวออกไป และหลังจากนั้นพี่นัทก็เรื่อมหอบหายใจแรงขึ้นจนเหมือนครางเสียงแหบพร้อมกับขยับสะโพกแรงขึ้น จนที่สุดพี่นัทก็ปล่อยออกมาพร้อมๆ กับที่ผมปล่อยออกมาอีกครั้ง เรานอนกอดกันนิ่งๆ จนเวลาผ่านไปซักพักนึง ลมหายใจของเราทั้งสองเริ่มกลับมาปกติ พี่นัทถึงค่อยดึงตัวออกอย่างช้าๆ แล้วตลบผ้าห่มมาคลุมตัวเราทั้งสองคน

“เมื่อกี้เจ็บมั้ยครับ?”

“...” ผมยิ้มบางๆ ซุกหน้าลงซบกับอกอุ่นของพี่นัท ก่อนจะพรมจูบและกัดลงไปบนเนื้อแน่นอย่างมันเขี้ยว

“กัดพี่ทำไมครับ อยากได้อีกซักรอบหรอ?” พี่นัพูดและเลื่อนมือลงไปลูบที่ก้น จนผมปัดมือเขาออกแทบไม่ทัน

“หยุดเลยพี่นัท ผมง่วงแล้ว เหนื่อยด้วย”

“หนึ่งนอนอยู่เฉยๆ จะไปเหนื่อยได้ไงครับ พี่สิขยับอยู่คนเดียวเหนื่อยจะแย่”

“พี่เหนื่อยมากเลยเหรอครับ” พี่นัทยิ้มแล้วก็พยักหน้า มือก็รั้งผมเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิม

“งั้นวันหลังเราก็ไม่ต้องทำแบบนี้กันแล้วเนอะ ผมไม่อยากให้พี่เหนื่อย!!” พูดจบผมก็กัดไปที่หน้าอกของพี่นัทแรงๆ อีกหล่ยครั้ง เขาครางโอดโอยเหมือนเจ็บมาก แต่ก็หัวเราะออกมาไม่หยุด

“พี่อยากเหนื่อยครับ พี่อยากเหนื่อยกับที่รักแบบเมื่อกี้อีกทุกคืนเลยด้วยครับ”

“หึ” ผมย่นจมูกใส่คนลามกแล้วไม่ได้พูดอะไรกลับไป นอนนิ่งๆ สบตาและให้เขาลูบแก้มผมเล่น

“หนึ่งรักพี่มั้ยครับ?”

“ทำไมพี่ถามบ่อยจัง”

“ก็พี่อยากฟังหนึ่งพูดบ้างนี่ครับ เหมือนพี่พูดคำว่ารักอยู่แค่คนเดียวเลยนะ”

“...” ผมเงียบแล้วก็กระชับกอดให้แน่นขึ้น จะกอดให้พี่นัทอึดอัดจนหายใจไม่ออกเลย

“พี่รักหนึ่งนะครับ” พี่นัทก้มลงมาจูบหน้าผากและแก้มทั้งสองข้างของผม แล้วก็หลับตาลง เวลาผ่านไปซักพัก ลมหายใจของพี่นัทเข้าออกสม่ำเสมอ พอเห็นว่าเขาหลับแล้วผมก็ลุกขึ้นนั่งมองหน้าเขา ยิ้มบางๆ ออกมาแล้วก้มลงจูบที่หน้าผาก 

คำว่ารัก...ที่ไม่พูด ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่ผมเขิน สิ่งที่คนขี้อายอย่างผมจะทำได้ก็คือรอให้พี่นัทหลับและบอกออกไป เปล่งถ้อยคำหวานให้เคล้าคลอไปกับความฝันดีๆ ของเขา


“ผมก็รักพี่...รักนะครับ”



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เรื่องน่าสนใจจจ แปะไว้ ติดตามค่าาาา

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
17 : น่ารัก


พี่นัท’s part

ผมรู้สึกตัวเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนผมต้องรีบหันไปปิดทันทีเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจะตื่น ปกติผมจะตื่นเวลานี้เพื่อไปตลาด แต่...เถลไถลอีกซักหน่อยก็ได้ ผมคิดอย่างอารมณ์ดีพลางหันกลับมากอดคนรัก มองแก้มกลมที่แนบอยู่หมอนแล้วก็อดใจไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปฟัด เข้าไปบีบให้ชื่น

“อืม” เขาบ่นงึมงำในคอก่อนจะหันหน้าหนีมือผม แต่พอเจอไอเย็นจากแอร์ก็กลับมาขดตัวซุกผมเหมือนเดิม เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้นแล้วก็อยากจะปิดร้านแล้วจับฟัดรับอรุณให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

ผมกระชับกอดแน่นขึ้น ขยับตัวไปหอมแก้มคนตัวเล็กทั้งซ้ายและขวา และเกลี่ยจมูกไปมาตามแก้มนุ่มๆ ตัวหอมๆ  มือก็บีบไปตามเอวเล็ก ลงไปที่สะโพกนุ่มแต่เคล้นได้ไม่นาน ตองหนึ่งก็ส่งเสียงหงุดหงิด ดิ้นหนีแถมยังดันหน้าผมออกอีกตังหาก ชักจะลามปามเกินไปแล้ว

“เจ้าเตี้ยขี้เซากล้าดันหน้าพี่ออกเหรอ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ต้องโดนซะแล้ว” ว่าแล้วก็เม้มปากดูดไปตามผิวเนียนนุ่ม ฝ่ามือก็ลูบลงไปที่ต้นขาแล้วตลบผ้านวมออกจนร่างขาวนวลละออปรากฏแก่สายตา

แม่เจ้าโว๊ย! ขาวเนียน น่าฟัด น่าขย้ำไปทั้งตัวเลย

ผมจับเขานอนหงาย พรมจูบไปทั่วแผงอกและหน้าท้องอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องหักห้ามใจ เพราะเดี๋ยวผมจะห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ แต่พอผมขยับออกห่างคนตัวเล็กก็ขดตัวเข้าหากันเพราะอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนผมต้องเอื้อมมือไปหยิบรีโมตมาปิดแอร์

“หนึ่งครับ ตื่นกันเถอะ” ผมกระซิบปลุก ริมฝีปากขบเม้มใบหูบางในขณะที่ฝ่ามือก็ลูบไปตามสะโพกอวบอย่างสุขใจ

“อือ...” เขาครางออกมาแล้วก็หันหน้าหนี สองมือดันอกดันคางผมออกจากตัวเขาใหญ่เลย

“จะตีห้าแล้ว เดี๋ยวพี่ทำเค้กไม่ทันนะครับ”

ผมจับคนตัวเล็กให้หันกลับมาหาแล้วก็ดึงมือเขาให้ลูกขึ้น แต่เจ้าคนขี้เซาก็ขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมลุกแถมยังเหนี่ยวคอผมให้ลงไปนอนด้วยอีก

“อืม  พี่นัท...ผมง่วง” เขาปรืตามองเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งทั้งกอดผมแน่น ถูไถแก้มนุ่มไปมากับแผงอกของผม

“ทำตัวน่ารักแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลยนะครับ ตอนเช้าๆ แบบนี้พี่ยิ่งเกิดอารมณ์ง่ายด้วยนะ” ผมพูดและบีบเคล้นไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็กอย่างห้ามใจไม่อยู่ แต่ก่อนที่ฝ่ามือผมจะคลืบคลานลงไปที่ส่วนอ่อนไหวของเขา ก็โดนตองหนึ่งคว้ามือเอาไว้เสียก่อน

“อื้อ! พี่จะทำอะไร”

ตองหนึ่งส่งเสียงดุและดันตัวออก เขาเบะปากและขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอผมยิ้มให้เขาก็ส่งยิ้มหวานจ๋อยกลับมาให้เช่นกัน บอกเลยว่าผมโดนโดนแอคแทคจากยิ้มนั้นอย่างรุนแรง หรือวันนี้จะปิดร้านอีกดีนะ…

ผมเลิ่มลังเล ใจนึงก็อยากจะอยู่กับตองหนึ่งแค่สองคนทั้งวัน แต่อีกใจก็ห่วงร้าน เพิ่งเปิดไม่นานแต่ดันมาปิดบ่อยๆ  มันก็ดูไม่ดี ลูกค้าคงหายหมด

ผมมองไปที่ตัวเล็กที่ตอนนี้นั่งงัวเงียหัวฟูอยู่ข้างๆ กัน ถึงตาจะยังปิดอยู่แต่ริมฝีปากเล็กนั่นกลับอมยิ้มอยู่ ผมก้มลงไปจุ๊บสลับกับดูดกลีบปากอวบอิ่มอยู่สักพักจนพอใจก็ผละออกมามองหน้าเขาอีกที

ผมจะปิดร้านบ่อยไม่ได้ เพราะต้องหาตังค์มาเลี้ยงเด็ก….คนนี้ยิ่งกินเก่งอยู่ด้วย

“ตัวเล็ก ตื่นได้แล้วครับ เดี๋ยวพี่ทำขนมอร่อยๆ กับนมอุ่นๆ ให้กินนะ”

“ผมอยากกินขนมปังเนยสด” พอผมพูดถึงเรื่องกิน หนึ่งก็ลืมตาขึ้นทันที แล้วก็พึมพำออกมาเสียงแหบๆ

“ถ้างั้นก็รีบไปอาบน้ำสิครับ พี่จะได้รีบลงไปทำขนมให้ไง”

คนตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ๆ ผม จากนั้นก็กอดและถูหน้ากับต้นแขน เท้าคางมนๆ นั่นไว้ที่หัวไหล่และช้อนตาขึ้นมองผม

“อาบน้ำให้หน่อย ผมง่วง ปวดเอวด้วย...เพราะพี่นั่นแหละ”

เขาพึมพำเสียงเบา พูดโทษว่าผมเป็นคนผิดอยู่ฝ่ายเดียวทั้งที่เขาเองนั่นแหละที่เรียกร้องให้ผมทำ แต่อ้อนมาแบบนั้นผมปฏิเสธไม่ลงหรอกครับ น่ารักอย่างแรงเลยคนนี้

“ตัวหอมจังเลย” หลังจากที่อาบน้ำกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ก้มลงไปหอมแก้วเขาอยู่หลายเลยระหว่างที่แต่งตัวกันอยู่ก็ตองหนึ่งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แบบนี้หอมมากเลยนี่ครับ

“พี่นัท เดี๋ยวพี่ก็อบเค้กไม่ทันหรอก”

“ก็หนึ่งตัวหอมอ่ะ อยากจะจับฟัดจับหอมไปทั้งวันทั้งคืนเลย”

“เมื่อคืนพี่ก็ฟัดผมไปทั้งคืนแล้วยังไม่พออีกเหรอครับ ตัวผมเป็นรอยหมดเลย” เขาแล้วถกเสื้อขึ้นให้ผมดูรอยจูบตัวเองที่อยู่ช่วงหน้าท้องและแผ่นอกของเขา แต่มาเปิดโชว์แบบนี้ถือว่าอันตรายมากเลยนะ จิตใจผมยิ่งหวั่นไหวกับตัวขาวๆ หอมๆ ของเขาอยู่

“หนึ่งครับ พี่ว่า...วันนี้เราปิดร้านอีกวันนึงดีมั้ย?” ผมถามพลางก้มจูบไปที่แก้มนุ่ม มือก็ลูบลงไปที่สะโพก คนตัวเล็กไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืนอะไรแค่หันหน้ามามองผมตาแป๋ว

“แต่ผมอยากกินขนมปังอ่ะพี่นัท”

“เดี๋ยวพี่ทำให้กินพรุ่งนี้ไงครับ” ยิ่งตัวเล็กไม่ขัดขืนผมยิ่งบีบไปที่สะโพกนิ่มๆ อย่างย่ามใจ

“แต่ผมอยากกินวันนี้อ่ะครับ...นะครับ”

หนึ่งพูดพลางทำหน้าตาน่ารักใส่ผม มีการพิงตัวกับผมและถูแก้มไปมา ตาก็ช้อนขึ้นมองอย่างน่ารัก ใครสั่งใครสอนให้อ้อนแบบนี้ครับ พ่อแม่เหรอ? สอนมาดีมากเลย...เจอแบบนี้ผมยอมทุกอย่างเลยครับ เขาอยากได้อะไรผมก็จะหามาให้ ต่อให้น้องบอกให้พี่ขายร้านทิ้ง พี่ก็ยอมหมดเลย

“ยอมแล้วครับๆ งั้นเราลงข้างล่างกันดีกว่าเนอะ”

พอลงมาด้านล่างตองหนึ่งก็เตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ผมก่อนที่จะออกไปทำความสะอาดหน้าร้าน ผมเริ่มต้นทำแป้งเค้กก่อน และระหว่างที่รอแป้งเค้กเย็นก็หันมาทำขนมปังเนยไว้ให้ตองหนึ่ง พอทุกอย่างเรียบร้อยก็ค่อยทยอยขนขนมเค้กไปเรียงไว้ในตู้หน้าร้าน

ผมแบ่งขนมปังไว้สี่ก้อนเป็นอาหารเช้าของผมและหนึ่ง จัดการแต่งหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งเล็กน้อยแล้วก็ถือออกไปวางไว้เคาน์เตอร์ ให้ตองหนึ่งหยิบกล้องมาถ่ายเล่นไป

“หนึ่งจะเอานมสดหรือโกโก้ดีครับ”

“อืม วันนี้ขอโกโก้ครับ”

ผมจัดการชงโกโก้ร้อนให้ตองหนึ่งและชงกาแฟให้ตัวเอง เสร็จแล้วก็หันไปหาหนึ่งที่ตอนนี้กินขนมปังหมดไปก้อนนึงแล้ว เคี้ยวจนแก้มกลมนั้นพองออกมาสองข้าง

"ช้าๆ ก็ได้ครับ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”  ผมวางแก้วโกโก้ไว้ตรงหน้าหนึ่งแล้วก็เอื้อมมอไปเช็ดคราบน้ำตาลที่ขอบปากออกให้ ผมยืนมองตองหนึ่งที่ยกโกโก้ขึ้นมาเป่าจนแก้มพองลมออกมา ผมบิขนมปังเป็นชิ้นเล็กแล้วป้อนเข้าปากให้ ตองหนึ่งก็รับไปแล้วเคี้ยหงับๆ อย่าน่ารัก

เลี้ยงง่ายจริงๆ ป้อนอะไรให้ก็อ้าปากรับไปหมด แถมกินน่าอร่อยเสียด้วย คนทำอย่างผมนี้ยืนมองใจฟูไปหมดเลยครับ

“พี่นัทไม่กินขนมปังเหรอครับ”  ผมมัวแต่จิบกาแฟและมองตองหนึ่งกินอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมกินขนมปังของตัวเอง แต่แค่เห็นหนึ่งกินอย่างอร่อยผมก็รู้สึกอิ่มไปด้วย

“หนึ่งยังไม่อิ่มเหรอครับ”

“ก็อิ่มแล้วครับ” ปากบอกว่าอิ่มแล้ว แต่จ้องขนมปังผมตาเป็นมันเชียว ผมหยิบขนมปังขึ้นมาแล้วก็เอาไปจ่อที่ปากเล็กๆ ของตองหนึ่ง

“พี่ให้” หนึ่งยิ้มออกมาแต่ก็ยังไม่ยอมอ้าปากกัดขนมปังเข้าไป

“แล้วพี่ไม่กินเหรอ”

“พี่กินแค่ก้อนเดียวก็อิ่มแล้วครับ”

คนตรงหน้ายิ้มกว้าง แล้วก็อ้าปากงับขนมปังเข้าไปคำใหญ่เรื่อยๆ จนหมดก้อน

“อร่อยมากๆ เลยครับ” กินหมดก็ส่งยิ้มหวานจับใจมาให้ หวานจนเบาหวานขึ้นตามองอะไรไม่เห็นนอกจากรอยยิ้มเขาไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

“มีอะไรที่พี่ทำแล้วหนึ่งบอกว่าไม่อร่อยบ้าง”

“ก็พี่ทำอร่อยทุกอย่างเลยนี่ครับ”

หนึ่งนั่งจิบโกโก้จนหมด ส่วนผมก็จัดการของตัวเองจนหมดแล้วเหมือนกัน หนึ่งเก็บจานจะเอาไปล้างแต่ผมคว้าแขนไว้ยังไม่ยอมให้ไป

“อะไรครับ?”

“ลืมอะไรรึเปล่า...”

ผมทำแก้มป่องแล้วเอียงให้ ก็ผมยังไม่ได้รางวัลเลยนี่ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้บ่นอะไรยอมหอมแก้มผมดีๆ  แถมหอมทั้งซ้ายทั้งขวาเลยด้วย น่ารัก…

“ขอบคุณสำหรับของอร่อยๆ นะครับ” คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่มีดาเมจแรงมาก ผมก้มลงไปจุ๊บที่ริมฝีปากเล็ก ตอนแรกผมก็แค่จะจุ๊บเบาๆ แต่ตองหนึ่งดันเผยอปากขึ้นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น ผมก็กลัวน้องจะรอคอย เลยสอดลิ้นเข้าไปด้วย ปากของหนึ่งตอนนี้ร้อนกว่าปกติเพราะเพิ่งกินโกโก้มา แต่ยิ่งจูบก็ยิ่งรู้สึกดี

ผมดึงเอวเขาเข้ามากอดและกดท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้เขาขยับหนี กวาดลิ้นชิมรสหวานไปทั่งริมฝรปากจนหนำใจก็ผละออก มองหน้าแดงระเรื่อของเขาอย่างขบขัน

“พี่นัทขี้โกง...”

“พี่เปล่านะ”

“ขี้โกงสิ”

“ขี้โกงยังไงครับ ก็หนึ่งกินขนมปังไปตั้งสามก้อนจะมาจูบแค่สองทีได้ไง ”

“...”

“สามก้อน ก็สามที ถูกแล้วนะนี่พี่ยังไม่ได้คิดค่าโกโก้เลยนะครับพี่เสียเปรียบเสียด้วยซ้ำ”

“นั่นแหละที่โคตรขี้โกง”

"หึ แล้วหนึ่งชอบมั้ยครับ ที่พี่ขี้โกงแบบนี้"

เขาย่นจมูก ดันผมออกแล้วก็เดินเอาจานไปเก็บ ผมเห็นแก้มแดงที่ลามมายันใบหูแล้วก็ยิ่งอยากแกล้งให้หนักๆ   ผมเดินไปพลิกป้ายหน้าร้านเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าร้านเปิดแล้ว ไม่นานก็มีลูกค้าเข้ามา และก็เข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน

และเพราะขนมปังเนยสดขายดีมา จนผมต้องเข้าครัวมาทำใหม่ในตอนที่ลูกค้าไม่ค่อยมี ผมเรียกหนึ่งที่เดินเข้ามาพอดีมานวดแป้งขนมปังต่อ ผมจะได้ไปดูหน้าร้าน

“หนึ่งครับ มานวดนี่ให้พี่หน่อย”

ผมขยับออกเพื่อให้หนึ่งยืนหน้าโต๊ะ แต่หนึ่งกลับเดินตรงดิ่งมาทางผม และก็เริ่มต้นบีบแขนผม

“หนึ่งมาบีบเเขนพี่ทำไมครับ”

“ก็พี่ให้ผมมานวดให้ไงครับ”

“หะ? พี่หมายถึงนวดแป้งนี่นะ...”

ผมบอกอย่างงงๆ  ชี้ไปที่แป้ง แล้วเจ้าเตี้ยก็ยืนเอ๋อไปพักนึง ผมอดขำไม่ได้กับหน้าตาที่อ้าปากค้าง มองผมกับก้อนแป้งสลับกันไปมาแบบนี้  แล้วผมก็หัวเราะกับหน้าตาบ๊องๆ นั่น

“ไหวมั้ยครับเด็กเอ๋อ ฮ่าฮ่าฮ่า”  ผมล้อและบีบไปที่แก้ม หนึ่งปัดมือผมออก หน้าแดงและคิ้วขมวดใส่ผม

“ฮื่อ!”

“สมองเบลอเหรอครับ หรือเพราะเมื่อคืนนอนไม่พอ”

“หยุดหัวเราะเลย ก็พี่บอกไม่ละเอียดนี่ครับ  พี่บอกให้ผมมานวด ผมก็ไม่รู้ว่านวดอะไร ผมเห็นว่าพี่แก่แล้ว อาจจะปวดเมื่อย ก็เลยมาช่วยนวดให้”

“หึหึ เด็กเอ๋อ” ผมไม่หยุดหัวเราะ แถมใช้นิ้มชี้จิ้มย้ำๆ ไปที่แก้มกลมจนเขาจิ๊ปากรำคาญผม

“พี่นัท! หยุดหัวเราะได้แล้วครับ” ตัวเล็กพูด ทำหน้าตาบึ้งตึง ทุบมาทีต้นแขนผมเบาๆ  เหมือนไม่พอใจผมที่หัวเราะแบบนี้ แต่ผมหยุดขำไม่ได้จริงๆ  ยิ่งทำท่าทางแบบนี้ เหมือนแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังขู่จนหางฟูอยู่เลย “พี่จะไม่หยุดใช่มั้ยครับ!”

“ก็เราน่ะ...ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหยุดขำไม่ได้ ได้แต่กุมท้องตัวเอวเอาไว้ อยากจะบอกว่าผมไม่ได้ขำที่ตองหนึ่งนวดผิดแล้ว แต่ขำหน้าตาบ๊องๆ ก่อนหน้านี้ และท่าทางที่อายแต่ทำโมโหกลบเกลื่อนนี่ด้วย

“ผมจะไม่ช่วยพี่แล้ว” พูดจบ หนึ่งก็หน้าบึ้งจะเดินออกไป แต่ผมคว้าแขนและดึงกลับมาให้ยืนที่เดิม

“โอเคๆ พี่หยุดแล้ว หึหึ” ผมพยายามหยุดหัวเราะ แต่ยิ่งมองหน้าแดงบึ้งๆ  ปากยู่ๆ นั้นแล้วก็หลุดขำออกมาอีกครั้ง

“พี่นัท!” หนึ่งกดเสียงต่ำเรียกชื่อผม และฟาดเข้าที่ไหล่ผมดังเพี๊ยะ อะไรกัน...แมวน้อยน่ารักขี้อ้อนเมื่อเช้าหายไปไหนแล้ว ตอนนี้ล่ะดุจริ๊ง

“โอ๊ย เจ็บครับ”

“สมควร พี่ควรออกไปได้แล้ว หน้าร้านไม่มีคนเฝ้าครับ ถ้าผมนวดแป้งนี่เสร็จแล้วเดี๋ยวผมเรียก” หนึ่งดันผมออกห่าง แล้วก็เข้ามายืนนวดแป้งต่อ ผมเดินไปล้างมือที่อ่างแล้วก็หันไปคุยคนที่ยืนหน้าบึ้งนวดแป้งอยู่

“คืนนี้พี่ว่าจะทำข้าวห่อไข่ หนึ่งทานได้มั้ยครับ?”

“...” อีกฝ่ายทำปากยื่น เหลือบตามามองครู่หนึ่งแล้วก็ก้มลงนวดแป้งต่อโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา...เงียบแบบนี้ สงสัยผมคงโดนงอนแน่เลย

“งอนพี่เหรอ?” ผมพูดแล้วจิ้มไปที่แก้มนั้นทีนึง แต่ตัวเล็กไม่ตอบ เอาแต่นวดแป้งอย่างเดียวแถมมีการหันหน้าหนีด้วย อาการแบบนี้นี่ “งอนพี่เหรอครับ?” แล้วผมก็จิ้มไปอีกสองจึ้ก

“หึ” คราวนี้สะบัดหน้าหนีเลยล่ะ ผมโดนเด็กน้อยงอนอีกแล้ว

“โถ่ เด็กน้อยขี้งอน” ผมยังคงล้อและลูบหัวทุยๆ นั่นแล้วก็หัวเราะ แต่หนึ่งคงไม่ชอบใจเท่าที่ผมเรียกเขาว่าเด็กน้อย เขาหันมามองตาขวางทันทีเลย

“ผมไม่เด็ก!”

“ก็หนึ่งงอนพี่นี่ครับ มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่ขี้งอนหนะ”

“ก็พี่แกล้งผมก่อน” ผมหัวเราะกับท่าทางกะฟัดกะเฟียด แต่หนึ่งก็หันมามองผมตาขวางทันที ผมรีบเข้าไปกอดและหอมหัวนั่นฟอดนึง เอาใจเล็กน้อยก่อนที่คนขี้งอนในอ้อมกอดจะโกรธผมจริงๆ

“ก็หนึ่งน่ารักพี่ก็เลยอยากแกล้งนี่ครับ เนอะๆ เด็กน้อยน่ารักของพี่” ผมยกมือขึ้นมาบีบแก้มหนึ่งทั้งสองข้าง แต่เหมือนตัวเล็กนี่จะไม่เล่นด้วยเลย

“...พี่แกล้งผมเยอะไป ผมไม่ชอบที่พี่หวเราะเยาะผมแบบเมื่อกี้เลย” เขามุบมิบตอบ เขาดข้าใจผิด ผมไม่ได้หัวเราะเยอะที่เขาทำผิด ผมแค่หัวเราะเพราะเอ็นดูเขา

“...งั้น”

แต่ทำเขางอนไปแบล้ว ยังไงผมก็ต้องง้อแหละ ผมยิ้มแล้วก็เดินไปหยิบกล่องสตอว์เบอร์รี่มาเรียงใส่จานและเทเกร็ดช็อกโกแลตนำไปใส่ไมดครเวฟและนำออกมาคนจนละลาย

“พี่จะทำอะไรครับ”

“ง้อเด็กไงครับ อ้าม~” ผมหยิบสตอว์เบอร์รี่เย็นๆ มาจุ่มไปในช็อกโกแลตที่กำลังอุ่นได้ที่ จากนั้นก็ป้อนเขา ตองหนึ่งอมยิ้มมองของหวานในมือตาเป็นประกายก่อนจะอ้าปากงับเข้าไปทั้งลูก ผมมองเข้าเคียวแล้วก็ยิ้มตาม “อร่อยมั้ยครับ?”

“อื้อ…”

คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก พอเคี้ยวลูกเก่าหมดก็อ้าปากรับลูกใหม่ที่ป้อนเข้าไป หึหึ ผมบอกแล้วว่าคนนี้เลี้ยงง่าย เอาอะไรมาป้อนก็อ้าปากรับเข้าไปหมด

“หายงอนพี่ยัง?”

“ไม่” เขาอมยิ้มเล็กๆ แล้วส่ายหน้าแถมแอบแลบลิ้นใส่ผมอีก อะไรกัน...นี่ผมเอาขนมมาง้อ เสียสตอว์เบอร์รี่ไปเกือบห้าลูกแต่เขาก็ยังไม่หายงอนอีก ใจร้ายจัง...สงสัยคำว่า คนน่ารักมักใจร้าย คงจะเป็นเรื่องจริง

“ทำไมล่ะ...เพระสตอว์เบอร์รี่ไม่อร่อย ช็อกโกแลตไม่หวาน หรือเพราะพี่หล่อเกินไปถึงไม่หายงอนเสียทีอ่ะ”

“หื้อ? เกี่ยวอะไรกับพี่หล่อครับ” ตองหนึ่งหลุดหัวเราะและส่งยิ้มหวานจนตาหยีมาให้ ดีต่อใจมากมาย

“หายงอนพี่แล้วใช่มั้ยครับ?”

“ยังครับ”

“อ้าว!” แล้วมายิ้ม มาหลอกให้พี่ดีใจเก้ออีก

“แต่...ถ้าพี่ป้อนสตอเบอรี่ผมอีกซัก 4-5 ลูก ผมอาจจะหายงอนก็ได้นะ”

“ต่อรองเก่ง~ แต่ถ้าจะยิ้มน่ารักแบบนั้น อยากกินอีกทั้งสวนพี่ก็ยอมครับ”





ของเก่าจะเป็น “ต่อให้ป้อนอีกร้อยลูกก็ยอม” แต่เราอยากให้รู้ว่าพี่นัทมันหลงน้องขนาดไหน

ก็เปลี่ยนเป็นสวนค่ะ 5555 แบบพี่นัทนี่ต้องเอาให้เวอร์ไว้ก่อนเลย



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
18 : เปลี่ยนแปลง


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ช้าๆ ทุกวันทีเรื่องให้ผมสุขใจตลอด จนตอนนี้ ผมเป็นแฟนกันพี่นัทมาได้ 10 เดือนแล้ว น่าดีใจที่พี่นัทยังไม่มีท่าทีเบื่อหรือรำคาญผมแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าช่วงหลังนี้จะเอาแต่ใจมากก็ตาม

ผมมักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าคนที่ไม่สนิทด้วย ผมก็ขี้อาย พูดน้อย แต่ถ้าสนิทกันผมก็จะพูดมาก แต่กับพี่นัทนั้น ผมพูดเยอะขึ้นจนตัวเองยังตกใจ ผมไม่เคยเถียง ไม่เคยเผลอแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นเวลาที่ผมเขินหรือโมโห แต่กับพี่นัทผมทำทุกอย่างที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองก็ทำอารมณ์แบบนั้นได้ด้วย แต่ก่อนแค่แตะตัวพี่นัทผมก็ไม่กล้า แต่ตอนนี้ผมตีเขาป้าบๆๆ  ตอนแรกๆ ผมกล้าพูดกับพี่นัทแค่คำว่า ‘ครับ’ แต่ตอนนี้ผมเถียงพี่เขาแทบจะทุกคำ แถมบางวันมีการสวนกลับอีกตังหาก เมื่อก่อนพี่นัททำอะไรมาผมก็กินหมด แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นคนสั่งให้พี่นัททำของที่ผมอยากกิน 

รู้สึกเป็นพระคุณมากที่พี่นัท ไม่แสดงท่าทางว่าอยากจะทิ้งและไล่ผมออกจากร้านเลยซักนิด ทั้งที่ผมคิดว่าตัวเองตอนนี้โคตรเอาแต่ใจ  ถึงแม้ว่าจะทะเลาะ มีงอแง แต่ก็งี่เง่าใส่กันไม่นาน เพราะพี่นัทชอบทำของอร่อยๆมาตามง้อทุกที เพราะพี่นัทตามใจ ผมก็เลยเคยตัวแบบนี้ไง ความผิดพี่นัทเลย

“หนึ่งครับ นมสดปั่นเพิ่มวิปราดคาราเมลหนึ่งแก้วครับ” พี่นัทหันมาสั่งออเดอร์กับผม ตอนนี้ผมสามารถปั่นเครื่องดื่มง่ายๆได้หลายอย่างแล้ว หลังจากเลิกงาน พี่นัทก็สอนผมทำอยู่เป็นเดือนกว่ารสชาติจะถูกใจพี่แก แต่กว่าจะอร่อยถูกใจนั้น พี่นัทเทน้ำผมไปเป็นสิบๆแก้ว ผมก็แอบเสียดายบ้าง แต่ถ้าให้กิน ผมก็ขอบายครับ เดี๋ยวจืด เดี๋ยวหวาน บางแก้วนี้เค็มอย่างกับใส่เกลือไปทั้งโหล

“โต๊ะไหนครับพี่”

“สามครับ”  หลังจากเทใส่แก้ว บีบวิปครีม ราดคาราเมลและตกแต่งแล้วผมก็ถามพี่นัทแล้วก็ยกไปเสริฟ คุยกับลูกค้านิดหน่อย

ผมเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ก็เห็นพี่นัทที่ยืนมองผมอยู่

“อะไรครับ” ผมเดินผ่านพี่นัทเข้ามาในเคาน์เตอร์ พี่แกก็หมุนตัวจ้องตามผมตลอด

“ก็เมียน่ารัก พี่เลยชอบมอง” คำพูดที่มาพร้อมแววตากะลิ้มกะเหลี่ย

“พี่นัทอย่าพูดแบบนั้นตอนที่มีลูกค้าสิครับ”

พี่นัทดึงมือผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆ ขยำแก้มผมทั้งสองข้างเบาๆ แล้วก็ยิ้ม

“น่ารัก น่าฟัด น่า…”

“น่าอะไรครับ” พี่นัทเว้นช่วงไปสักพักหนึ่งจนผมอยากรู้ เลยถามออกไป

“น่าเอา”

ผลั่วะ!!

“โอ๊ย!! นั่นถาดเลยนะครับ”

ผมใช้ถาดที่อยู่ฟาดไปที่แขนพี่นัทไม่แรงมากนัก แล้วก็เดินมาเช็ดเคาน์เตอร์แก้เขิน

“ถ้าเป็นมือนิ่มๆจะไม่ว่าเลยซักคำ”

พี่นัทบ่น เดินตามมายืนข้างๆผม แล้วก็ขยำไปที่ก้นผม จนตัวผมสะดุ้งหันไปกะว่าจะฟาดอีกที แต่พี่นัทตั้งกาดป้องกันไว้

“โอ๊ย!! พี่เจ็บ”

“ผมยังไม่ได้ตี!!”

“55555 ก็ร้องเผื่อไว้ไงครับ” ผมลดมือลงแล้วก็หน้าบึ้งกับท่าทางกวนๆของพี่นัท

“กวนนักนะพี่นัท”

“หนึ่งอ่ะ ใจร้าย ชอบทำร้ายร่างกายพี่”

“ก็พี่แกล้งผมก่อน”

“ที่แกล้งก็เพราะรัก” พี่นัทใช้นิ้มเขี่ยไปมาทีแก้มของผมแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

“แล้วพี่แกล้งผมแบบนี้ ไม่กลัวผมไม่รักเหรอครับ”

ผมทำเสียงอ่อนและช้อนตามองพี่นัทที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ เพิ่มความออดอ้อนด้วยด้วยการกระพริบตาช้าๆ

“โห…” พี่นัทถอยหลังออกไป ผมรู้สึกขำกับท่าทางใหล่ตก และมือขวาที่ยกขึ้นมากุมบริเวณหน้าอกด้ายซ้าย

ผมรู้ว่าพี่ชอบให้ผมอ้อน พอผมรู้จุดอ่อนนี้ผมก็เลยอ้อนบ่อยเลย

“ชอตเมื้อกี้ ทำเอาใจสั่นเลยแหะ” พี่นัทพึมพำแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้งแล้วก็ก้มลงมาลมหายใจร้อนของพี่นัทกระทบที่ใบหูของผม

“หนึ่งครับ พี่ขอหอมแก้มซักฟอดได้มั้ยครับ” ผมมองหน้าพี่นัทที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่

“แต่มีลูกค้าอยู่นะครับ”

“แค่คนเดียวเองครับ นั่งอยู่ในมุมด้วย เขาไม่รู้หรอกครับ”

“อย่าเลยครับ มันไม่ดีนะ”

ผมดันพี่นัทออก แต่คนตัวสูงก็ขยับเข้ามาใหม่ แถมแนบชิดกว่าเดิมอีกด้วย

“นะครับ แค่จุ๊บเดียวเอง” พี่นัทใช้นิ้วเรียวยาวเขี่ยนิ้วก้อยผมไปมาเบาๆ

“.........” ผมชะเง้อคอมองไปที่ลูกค้าที่นั่งอ่านหนังสืออยู่

“น๊าาา น้องหนึ่งคนดีของพี่ ตอนนี้ขอแค่จุ๊บเดียวจริงๆ”

พี่นัทแพ้ความออดอ้อนของผม ตัวผมเองก็แพ้ลูกตื๊อลูกอ้อนของพี่นัทเช่นกัน เสียงทุ้มนุ่ม แววตาอบอุ่นแต่กลับดูแวววับอยู่ในที แล้วยังจะมีริมฝีปากนิ่มๆที่อมยิ้มอยู่อีก เห็นทีไรใจอ่อนทุกทีเลยเว้ย!!

ผมนั่งลงกับพื้นหลังเคาน์เตอร์ ดึงพี่นัทให้ตามลงมา แล้วผมก็ยื่นแก้มขวาให้พี่นัท

พี่นัทเห็นแบบนั้นก็ได้ใจ ยิ้มกว้างคว้าตัวผมเข้าไปกอด จนผมเซทับพี่นัทไปเต็มๆ

“สุดที่รักของพี่”

“อื้อ!”

พูดจบพี่นัทก็กอดผมเข้าเต็มรัก และกดจมูกลงมากับแก้มผม พี่นัทสูดหายใจเข้าแรงๆ จนรู้สึกราวกับว่าแก้มของผมผมดูดเข้าไป เพียงแค่นั้นยังไม่พอพี่แกยังถูจมูกโด่งๆไปมากับแก้มผมอยู่พักนึงเลย

ฟอด!!

“อื้อ พอแล้วครับ เดี๋ยวลูกค้ามาเห็น”

“ฮาา ชื่นใจ~” พี่ผละออกแต่ยังกอดผมอยู่ แถมยังดึงผมขึ้นไปนั่งตักและส่งยิ้มละมุนละไมมาให้ พี่นัทยิ้มแบบนี้ทีไรผมเขินทุกที

หลังจากนั้นก็ส่งพยุงผมให้ลุกขึ้น ผมมองไปที่ลูกค้าที่ยังอ่านหนังสืออยู่ท่าเดิมไม่ขยับ แล้วก็หันมาขมวดคิ้วใส่พี่นัท

“เมื่อกี้พี่แทบจะดูดแก้มผมเข้าไปแหนะ”

“หนึ่งครับ ถ้าพี่ทำได้นะ พี่อยากจะ ดูดหนึ่งเข้ามาเก็บไว้ในกระพุ้งแก้มพี่ด้วยซ้ำครับ”

“ผมมีแฟนเป็นโรคจิต”

ผมว่าไม่จริงจังนักพลางทำหน้าแหยงใส่ พี่นัทเลยหัวเราะออกมา ผมหันไปเช็ดเคาน์เตอร์ส่วนพี่นัทก็ยังยืนอยู่ใกล้คอยยุ่งวุ่นวายกับผมอยู่ตลอดเวลา

ผมว่า กว่าพี่นัทจะเบื่อ ผมคงจะเบื่อพี่นัทก่อนแน่เลย

“หนึ่งครับ พอลูกค้าคนนี้ออก เราปิดร้านกันเลยดีมั้ยครับ?”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ เพิ่งจะสองทุ่มเอง พี่ต้องไปธุระเหรอครับ” โดยปกติแล้ว พี่นัทจะเริ่มปิดร้านตอนประมาณห้าทุ่ม แต่ก็มีบางครั้งที่ปิดเร็วหากพี่นัทต้องไปธุระ

“อยากปิดเร็วหน่อย พี่ว่าจะพาไปกินข้าวข้างนอกครับ”

“พี่ไม่ทำกินเองเหรอครับ” วันนี้ผมกะว่าจะอ้อนให้พี่นัททำต้มซุปไก่ให้กินซักหน่อย

“พี่เหนื่อยแล้วก็ขี้เกียจด้วยครับ ทำไมเหรอ หนึ่งไม่อยากออกเหรอครับ?”

พี่นัทถามกลับ มันก็ไม่ใช่ผมไม่อยากออกไปกินข้างนอกนะ แต่ว่ากว่าจะหาร้านได้ หาที่จอดรถอีก แล้วรถก็ติดอีก พี่นัทก็จะยิ่งเหนื่อยน่ะสิ

“ครับ ไม่อยากออก” แล้วก็มีความคิดเล็กๆโผล่แวบเข้ามาในหัวว่า ถ้าพี่นัทก็ไม่อยากทำ งั้นผมก็เป็นคนทำเองสิ

“เย็นนี้ผมทำให้ทานมั้นครับ”

พี่นัททำตาโตใส่ผม

“หนึ่งทำอาหารเป็นเหรอครับ?” ผมไม่ตอบแต่ยิ้มกว้างกลับไป

และไม่นานลูกค้าก็ออกจากร้านไป พี่นัทเดินไปพลิกป้าหน้าร้านและปิดม่าน ส่วนผมก็จัดการเก็บแก้วและเช็ดโต๊ะเล็กน้อย แล้วก็เดินตามพี่นัทเข้าหลังร้านไป

“จะทำอะไรให้พี่กินครับ”

“ไม่บอกก” ผมลากเสียงยาวอย่างยวน พี่นัทเลยแค่ยักใหล่และเดินไปลากเก้าอี้มานั่งรอตรงโต๊ะ  ผมจัดการเข้าอินเตอร์เน็ตหาสูตรทำต้มซุปไก่ และก็เริ่มทำตามทุกขั้นตอน และก็หุงข้าวจนเสร็จ ทุกอย่างผ่านไปอย่างทุลักทุเลเพราะผมไม่เคยทำกับข้าวเองเลย ซื้อข้าวแกงกินตลอด แต่ตอนเสร็จหน้าตาก็ดูใช้ได้นะ ที่น่าภูมิใจสุดๆคือ ผมทำเองคนเดียวทุกขั้นตอนโดยที่ผมไม่ยอมให้พี่นัทมาช่วยเลยแม้แต่น้อย

“เสร็จรึยังครับ พี่หิวมากเลยนะ” พี่นัทเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ผมหันไปยิ้มและส่งช้อนให้พี่นัทชิม นี่ให้พี่นัทชิมคนแรกเลยนะ เป็นการตัดริบบิ้นไง

พี่นัทตักน้ำซุปใสๆขึ้นมาเป่าและนำเข้าปากช้าๆ ผมยืนมองอยู่ข้าง รู้สึกตื่นเต้นนิดๆ

พี่นัทชิมเข้าไป แล้วก็หันมายิ้มให้กับผม ยิ้มแบบนั้นแสดงว่าอร่อยใช่มั้ย?

“จืดมากเลยครับ นี่พี่นึกว่ากินน้ำเปล่าอยู่นะ” ผมนี่หุบยิ้มแทบไม่ทันเลย ความมั่นใจในตอนแรกสลายหายวับไปทันที

“จริงเหรอครับ แต่ผมก็ใส่เกลือไปเยอะเลยนะ” พี่นัทส่งช้อนมาให้ผ ผมเลยเข้าไปลองชิมด้วยตัวเอง

จืดจริงด้วยอ่ะ ผมวางช้อนแล้วก็ยิ้มเจื่อนไปให้พี่นัท จ๋อยเลยสิผมเนี่ย

“เห็นมั้ยครับ พี่บอกแล้วว่าจืด”

“แต่ผมทำตามสูตรเป๊ะๆเลยนะครับ เขาใส่อะไร ผมใส่ตามหมดเลย”

“หนึ่งตวงผิดรึเปล่าครับ”

ผมส่ายหน้า เพราะไม่รู้ และก็ไม่แน่ใจด้วย

“นี่หนึ่งใส่น้ำไปกี่ถ้วยครับ พี่ว่ามันเยอะเกินไปนะ”

“สามครับ”

พี่นัทดูหน้าในหม้อและขมวดคิ้ว

“พี่คิดว่านี่มันเกินสามนะครับ เดี๋ยวนะ หนึ่งใช้ไอนี่ตวงน้ำเหรอครบ” ระหว่างที่พูดหันไปเห็นถ้วยเหล็กที่ผมใช่ตวง แล้วก็หันมาถามผม

“ใช่ครับ” พี่นัทหัวเราะออกมาเบาๆ

“นี่ไม่ใช่ถ้วยนะ นี่กะละมังครับ กะละมังใบเล็กแบบนี้ใช้ตวงน้ำไม่ได้นะ มันจะเยอะเกินไปแบบนี้ไงครับ”

“ก็ผมไม่รู้ เห็นขนาดใกล้เคียงกัน แค่ใหญ่กว่านิดเดียว ก็เลยเอามาตวงน้ำ”

“ถ้ากะน้ำนี่ยังผิด และน้ำที่ใช้หุงข้าวล่ะครับ” พี่นัทหันไปเปิดฝาหม้อข้าวและใช้ทัพพีตักขึ้นมาเป็นข้าวแฉะๆที่ไม่เป็นเม็ดเลย

“หือออ แฉะเป็นข้าวต้มเลยครับหนึ่ง”

ผมถูมือและยิ้มเจื่อนๆไปให้ สรุปที่ทำมานี่ ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ

“เฮ้อออ ไปหากินข้างนอกตั้งแต่แรกก็จบแล้วนะครับเนี่ย พี่ก็อุตส่าทนหิวรอกินฝีมือหนึ่ง สุดท้ายพี่ก็ต้องมาทำเองอยู่ดีนะเนี่ย”

พี่นัทดันตัวผมออกเล็กน้อย และเข้ามาจัดการตักน้ำซุปที่เกินมาเยอะออก ผมยืนมองพี่นัททำเงียบๆ ส่วนพี่นัทก็พูดอธิบายปนบ่นไปให้ผมฟัง ผมนี่จ๋อยแล้วจ๋อยอีก

ก็ผมรู้ว่าพี่นัทเหนื่อยก็เลยอยากเอาใจทำของอร่อยๆให้กิน แต่มันดันไม่อร่อยอย่างที่คิด แถมพี่นัทก็ยังบ่นไม่หยุดอีก จากที่เฟลๆตอนแรกก็กลายเป็นความรู้สึกน้อยใจขึ้นมานิดๆ

“ก็ผมเห็นพี่เหนื่อย ก็เลยไม่อยากให้ขับรถออกไปไหน อยากช่วยพี่ ก็เลยจะทำให้กิน พี่ทำของอร่อยให้ผมกินตั้งเยอะ ผมก็อยากทำของอร่อยให้พี่บ้าง แต่มันดันไม่อร่อย”

“.......” พี่นัทหยุดมือและหันมามองผมพูด

“ก็แค่นั้นเองครับ”

ผมก็ยืนใหล่ตกเงียบๆอยู่ข้างพี่นัท เฟลอ่ะ น้อยใจด้วย ไม่ได้อยากเพิ่มภาระให้พี่นัทซักหน่อย แค่อยากช่วยเอง

"ที่รักของพี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ"

ผมไม่รู้ตัวเองทำหน้าตาแบบไหนอยู่ แต่พี่นัทขยับเข้ามายกมือใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่แก้มผมและดึงตัวเข้าไปกอด พร้อมทั้งยังลูบแผ่นหลังผมอีกด้วย พี่นัทคงรู้ว่าผมน้อยใจแน่เลย

“พี่ขอโทษที่เผลอหงุดหงิดใส่น้องหนึ่งนะครับ”

ผมกอดตอบ ส่ายหน้าและตอบเสียงอู้อี้กับหน้าอกของพี่นัท

“พี่ไม่ผิดครับ”

เราเงียบกับไปสักพักแล้วพี่นัทก็ดึงตัวผมออก ส่งยิ้มมาให้ผม

“แต่พี่ยังอยากกินข้าวฝีมือหนึ่งอยู่นะครับ” พี่นัทดึงผมให้มายืนหน้าเตา ส่วนตัวพี่นัทเองยืนอยู่ข้างๆผม และยื่นทัพพีมาให้ผม

“พี่ตักน้ำออกให้แล้ว หนึ่งก็ปรุงตามสูตรที่หนึ่งหามาได้เลยครับ”

ผมส่ายหน้า ความมั่นใจหายไปแล้ว ตอนนี้ไม่กล้าปรุงอะไรเพิ่ม กลัวจะรสชาติห่วยมากไปกว่าเดิม

“งั้นมาทำพร้อมไปกับพี่นะครับ”

หลังจากนั้นพี่นัทก็บอกให้ผมใส่เครื่องปรุงต่างๆ ผมหยิบพริกไทยมาใส่พี่นัทก็มายืนซ้อนหลัง จับที่ข้อมือผม ออกแรงผ่านมือผมให้ใส่พริกไทยลงไปในซุปด้วยปริมาณที่พอเหมาะ

พอพี่นัททำแบบนี้ ผมก็นึกถึงตอนที่พี่นัทสอนผมตีครีม ผมคิดจนเผลอยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรครับ”  พี่นัทถาม ผมก็ส่ายหน้าแต่ก็ยังหุบยิ้มไม่ได้ 

กลิ่นหอมๆของซุปเริ่มเข้มข้นขึ้นตามปริมาณเครื่องปรุง

“กลิ่นหอมมากๆเลยครับพี่” ผมเงยหน้าไปบอกพี่นัท แล้วก็หันกลับมามองน้ำซุปในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ พี่นัทยื่นหน้าผ่านใหล่ผมมาดมกลิ่นหอมของซุป โดยที่แก้มผมและพี่เขาเฉียดไปนิดเดียวเอง

“อืมม หอมจริงด้วยครับ” พี่นัทพูด แล้วก็หันมากดจมูกลงบนแก้มผม อีกทั้งยังสูดลมหายใจเข้าไปแรงๆ

“แต่นี่หอมกว่า” แล้วพี่นัทก็ถูไถแก้มไปมากับแก้มผม ผมยืนนิ่งๆเอียงแก้มให้พี่นัทถู

ผมหลุดยิ้มออกมาด้วยความเขินปนความสุข ความน้อยใจเมื้อกี้อ่ะเหรอ โยนทิ้งลงท่อไปแล้วครับ

พี่นัทหัวเราะออกมาเบาๆ ขยับตัวออก หยิบช้อนมาตักน้ำซุปในหม้อมาชิม แล้วก็ตักอีกช้อนขึ้นมา เป่าไล่ความร้อนอยู่พักหนึ่งแล้วก็ยื่นมาให้ผม ผมก็ค่อยซดน้ำซุปอุ่นๆนั่นเข้าไป รสชาติความอร่อยซึมไปทั่วปาก ส่งผลให้น้ำย่อยในท้องผมทำงานอย่างหนึ่งจนเกิดเสียง

“อร่อยมากครับ”

พี่นัทยิ้มหันไปปิดเตา ตักต้มซุปไก่ร้อนๆใส่ชาม แล้วเราก็ตั้งโต๊ะกินมื้อเย็นกัน

“ข้าวแฉะมากๆเลย” ผมบ่นกับตัวเอง ข้าวในจานนั้น ดูไม่น่ากินเลย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าวแฉะก็ดีนะ ย่อยงายดี” พี่นัทพูดแล้วก็ส่งเนื้อไก่ที่เลาะกระดูกออกเรียบร้อยแล้วมาให้ผม

“ขอบคุณครับ”

มื้อเย็นของผมกับพี่นัทที่ตอนแรกนึกว่าจะพังแล้ว ผ่านไปด้วยดี จานชามทุกใบถูกเก็บล้างวางอยู่ในตู้เรียบร้อย ขึ้นห้องมาอาบน้ำจนสบายทั้งใจ สบายทั้งกายก็พุ่งหลาวใส่เตียงนอนนุ่มๆ แทรกตัวหนีแอร์เย็นๆเข้าไปในผ้านวมอุ่นๆ

พี่นัทปิดไฟเหลือแค่แสงสลัวๆจากไฟหัวเตียงแค่นั้น พอพี่นัทล้มตัวลงนอน ผมก็เอื้อมมือไปปิดจนทั้งห้องมืดสนิท ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ขยับเข้าไปใกล้ไออุ่นของพี่นัท แล้วก็หลับตาลงเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน

แต่เหมือนว่าพี่นัทจะไม่อยากพักผ่อนซักเท่าไร เพราะอยู่ๆพี่แกก็ลุกขึ้นคร่อมตัวผมและประกบปากลงมาอย่างแม่นยำก่อนที่ตัวผมจะได้พูดอะไร

พี่นัทแยกขาผมออกกว้างแทรกตัวเข้ามา ฝ่ามือร้อนไล้ลูบและขยำไปตามเนื้อตัวผม  ผมไม่ยอมเสียเปรียบที่โดนลูบอยู่คนเดียว ผมขยับมือขึ้นมาลูบไปตามแผ่นหลังและกล้ามหน้าท้องของพี่นัทไปทั่ว และค่อยลากลึกเข้าไปใต้กางเกงนอนของพี่นัท

พี่นัทถอนจูบออก เปลี่ยนมาแนบปากร้อนไปตามผิวเนื้อของผม ดูดบ้าง กัดบ้าง ทิ้งรอยแดงจางๆไว้ตามผิวของผม  ผมถอดเสื้อที่พี่นัทถลกขึ้นมาไว้เหนือแผ่นออกตามด้วยพยายามถอดเสื้อคนตัวโตที่คร่อมผมอยู่ออกด้วยเช่นกัน

พี่นัทจูบดูดไปตามหน้าท้อง พาปากร้อนๆนั่นต่ำลงไปเรื่อยๆ มือที่ลูบอยู่บริเวณสะโพกค่อยดึงกางเกงนอนตัวเล็กผมออก รูดออกจากเรียวขาและพาดไว้กับกับขอบเตียง แล้วกลับมาจูบซับไปตามเรียวขา พร้อมทั้งยังจ้องมองผมด้วยสายตาที่ผมเห็นแล้ว...พี่จะทำอะไร ผมยอมทุกอย่างเลยครับ

คนที่จ้องผมอยู่จูบมาลงมาจนถึงข้อพับและยังลงมาเรื่อยๆจนถึงต้นขาด้านใน ลมหายใจร้อนกระทบซอกขาพาให้ผมรู้สึกขนลุกและเกร็งตัว พี่นัทลากลิ้นแผ่วเบาใกล้เข้ามาที่จุดอ่อนไหวของผมช้าๆ ยิ่งผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนทำอะไร อารมณ์ของผมก็สูงขึ้น พี่นัทเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผมอีกครั้ง และเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนที่จะก้มไปตรงหว่างขาผมและ…..

กริ๊งงง!!! กริ๊ง!!!!!

ทั้งผมและพี่นัทต่างก็สะดุ้งกันทั้งคู่ ผมตกใจไปพักหนึ่ง เพราะสติยังไม่เข้าที่ จนรำลึกได้ว่า นี่มันเสียงโทรศัพท์ผมนี่หว่า

ผมรีบหากางเกงขึ้นมาใส่และถลาไปหาโทรศัพน์ที่ผมวางไว่บนโซฟา

“โอ๊ย!!” แต่เพราะรีบเกินไปบวกกับความมืดทำให้ผมเตะเข้าที่ขาโต๊ะอย่างจัง เจ็บจนน้ำตาจะไหล

“หนึ่งเป็นอะไรครับ!”  พี่นัทเปิดไฟหัวเตียงและถาม ผมส่ายหน้า ข่มความเจ็บ และตะเกียกตะกายไปรับโทรศัพท์

ใครฟระ โทรมาได้ถูกเวลาจริงๆ

(ตองสอง)

…….

….



..

หลังจากวางสายและปิดเสียงแล้ว ผมก็เดินกลับมาหาพี่นัทที่นั่งรออยู่บนเตียง

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

เป็นสิ จิตใจผมตอนนี้มันเหี่ยวฟีบไปแล้ว ไม่น่ารับโทรศัพน์เมื่อกี้เลยอ่ะ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ ใครโทรมาเหรอ?”

“น้องชายผมครับ”

ผมกระโจนใส่พี่นัท ซุกตัวและกอดพี่นัทไว้แน่น

“พี่นัทครับ…”

“ว่าไงครับ”


“พรุ่งนี้ ผมต้องกลับไปนอนห้องของตัวเองแล้วนะครับ”




#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่ชื่อตองหนึ่ง  น้องชื่อตองสอง  ถ้ามีอีกคนคงชื่อตองสาม ตองสี่  ไปเรื่อย ๆ

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
19 : ตองสอง


(พี่...นอนยัง? คุยได้มั้ย?)

น้ำเสียงนิ่งๆ ของน้องชาย ถามขึ้นหลังจากที่ผมรับสาย

“กำลังจะนอนแล้ว มีอะไรล่ะ โทรมาซะดึก” ความจริงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มตังหากครับ

(สองได้ที่ทำงานแถวคอนโดพี่อ่ะ แม่เลยให้สองไปอยู่กับพี่)

“...”

(พรุ่งนี้เย็นๆ  น่าจะถึง)

“เดี๋ยว! พรุ่งนี้เลยเหรอ แล้วจะมาอยู่นานแค่ไหน” ผมถามตาโต เร็วไปมั้ยเนี่ย? กะทันหันมาก ผมเตรียมตัวไม่ทันจริงๆ ผมมาอยู่กับพี่นัทเกือบตลอด ที่ห้องผมฝุ่นคงเต็มไปหมด

(จนกว่าผมจะหาที่อยู่ได้ หรือไม่ก็จนกว่าพี่หรือสองจะมีเมียเพราะแม่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน สองยังไงก็ได้ พรุ่งนี้พี่ก็ลองคุยกับแม่ดูสิ)

“แม่มาด้วยเหรอ”

(ใช่ พ่อกับแม่ก็จะไปหาพี่ด้วยเขาคิดถึงพี่กันมาก)

“พี่ก็คิดถึง” ผมไม่ได้กลับบ้านมาเกือบปีกว่าๆ แล้ว ทุกทีผมจะกลับแค่ช่วงปีใหม่ แต่ปีที่ผ่านมา ผมยุ่งกับการหางาน พอหางานได้ก็ยุ่งอยู่อีก เลยไม่ได้กลับ แต่ผมก็โทรหาแม่หาพ่อเกือบทุกอาทิตย์ แต่คุยผ่านโทรศัพท์มันไม่หายคิดถึงหรอก

(พี่เลิกงานกี่โมง?)

“ประมาณสี่ทุ่ม”

(ดึกเกินไป พ่อกับแม่คงได้กลับดึกเพราะรอเจอพี่แน่ๆ  พี่ลางานไม่ได้เหรอ?)

“...” ผมเงียบ มองไปที่พี่นัท ไม่อยากลางานแต่ก็ไม่อยากให้พ่อแม่ขับรถกลับดึกๆ  ถ้าจะให้ค้างที่ห้องผม แม่ก็ห่วงบ้านอีก พ่อกับแม่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบนอนค้างที่อื่น เพราะจะห่วงบ้านตลอด “เดี๋ยวพี่ลองขอดู”

(โอเค พรุ่งนี้เจอกัน)

นั่นคือบทสนทนาของผมและน้องที่คุยกัน นั่นแหละครับ...ผมมีน้องชื่อตองสอง ห่างจากผมแค่ 2 ปี เราเลยค่อนข้างสนิทกัน บุคลิคก็คล้ายๆ กัน แต่มันเท่กว่า หล่อกว่า เพราะมันรูปร่างเหมือนพ่อ ส่วนผมตัวเล็กเหมือนแม่...แต่ก็ถือว่าดูดีเหมือนกัน

“พี่นัทครับ…”

“ว่าไงครับ”

“พรุ่งนี้ ผมต้องกลับไปนอนห้องของตัวเองแล้วนะครับ”

พี่นัทมองผมที่ยังกอดอกอยู่ท่าเดิม ผมถอนหายใจออกมาแล้วก็หลับตาลง

“ทำไมล่ะครับ”

“น้องผมจะมาอยู่ด้วย ไม่รู้ว่านานแค่ไหน อาจจะจนกว่าน้องจะมีแฟนแล้วออกไป”

“แล้วทำไมหนึ่งถึงจะยังนอนกับพี่ไม่ได้ล่ะครับ ก็ให้น้องของหนึ่งนอนห้องนั้นไป ยังไงหนึ่งก็ไม่ได้ใช้ห้องนั้นแล้วนี่ครับ”

“ไม่ได้ครับ ถ้าทำแบบนั้น น้องผมก็สงสัยนะสิ ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นพวกอะไรแบบนี้”

ใช่ครับ ส่วนหนึ่งที่ผมหนักใจคือ ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวรู้ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ผมกลัวว่าพวกเขาจะรับผมไม่ได้ ผมกลัวว่าเขาจะให้ผมเลิกกับพี่นัท กลัวหลายๆ อย่าง

“...” พี่นัทมองผมและเงียบไป จนผมเริ่มนึกได้ว่า ที่ผมพูดไปแบบนั้นก็อาจทำให้พี่นัทรู้สึกไม่ดี

“พี่นัท ผมขอโทษที่พูดแบบนั้น ผมรักพี่นะครับ แต่ผมกลัวครอบครัวผมรับไม่ได้ ตอนนี้ผมเลยยัง...ผม…” พยายามคิดหาเหตุผลแต่ยิ่งคิดสมองผมยิ่งไม่ทำงาน ผมรู้ว่าเรื่องชอบเพศเดียวกันมันเป็นเรื่อปกติไปแล้ว แต่ก็มีคนรุ่นเก่าหลายคนที่ยังรับความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ ซึ่งผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมจะคิดกันยังไง ผมรักพี่นัทแต่ผมก็รักครอบครัวของผมเช่นกัน

ผมไม่อยากให้ครอบครับผิดหวังกับผมไปมากกว่านี้และผมไม่อยากให้พี่นัทเสียใจเพราะผมด้วย

“ตองหนึ่งอย่าคิดมากสิ พี่ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย พี่เข้าใจว่ามันค่อนข้างละเอียดอ่อน เรื่องครอบครัวไม่ต้องคิดมากเลยครับ ถ้าหนึ่งไม่อยากให้เขารู้...เราก็จะยังไม่ให้เขารู้”

“แต่เราก็จะไม่ได้นอนด้วยกัน ไม่ได้กอดกัน ไม่ได้จูบกันด้วย”

“แต่ยังไงเราก็ต้องเจอกันทุกวันอยู่ดี แล้วอีกอย่างเมื่อก่อนเราก็ไม่ได้นอนด้วยกันทุกคืน แต่ตอนกลางวันพี่ก็ยังกอด จูบหรือทำอะไรๆ มากกว่านั้นได้เลย จริงมั้ยครับ?  ”

พี่นัทจับคางผมให้เงยหน้ามอง แววตาพี่นัทเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ผมมองแล้วก็เขินขึ้นมา คิดถึงเมื่อก่อนที่ผมโดนพี่นัทหลอกล่อ พอมาคิดดูแล้วตอนนั้นผมมันโคตรซื่อเลย โดนพี่เขาหลอกล่อจนมาติดกับเสียได้

พี่นัทเอนตัวลงนอน ดึงผมที่กอดแน่นไม่ยอมปล่อยให้ขึ้นไปนอนทับข้างบน พี่นัทลูบหัวผมไปให้ผมผ่อนคลาย

“พรุ่งนี้ผมอาจจะต้องลางานเพราะพ่อแม่มาด้วย ผมให้เขารอจนเลิกงานไม่ไหว ไม่อยากให้เขากลับดึก”

“ไม่เป็นไรครับ พี่น่าจะทำคนเดียวได้”

“พี่อย่าหักเงินเดือนผมนะ”

“อืม...คงต้องหักครับ บอกกะทันหันแบบนี้พี่ลำบาก แต่ถ้ามีใบรับร้องแพทย์ว่าป่วยพี่จะไม่หักนะ”

“โธ่ ขี้งก ผมแฟนพี่นะ”

“หึหึ ถ้าไม่อยากโดนหักเงินเดือนก็ต้องทำงานล่วงเวลาชดเชยสิครับ” คนที่ลูบหัวผมอยู่เลื่อนมือลงไปที่แผ่นหลังและลูบไปที่บั้นเอว ผมเงยหน้ามองรอยยิ้มแพรวพราวของอีกฝ่าย พี่นัทนี่มันพี่นัทจริงๆ เลย หื่นยังไงก็หื่นแบบนั้น แล้วก็มาทำให้ผมหื่นตามไปด้วย แย่จริงๆ ครับคนแบบนี้

“งั้น...ก็ได้ครับ งั้นผมขอทำ OT ตอนนี้เลยแล้วกัน”

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1

พี่นัทอมยิ้มและเลื่อนมือลงไปจับบั้นเอวผมพร้อมบีบอย่างมันมือ ผมถอดกางเกงของตัวเองออกและลุกขึ้นนั่งคร่อมอยู่บนตัวพี่นัท ผมขยับสะโพกถูเบียดกับแท่งร้อนที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

“อืม...” เขาหลับตาแล้วครางในลำคอ ผมขยับสะโพกช้าๆ เน้นให้เราสำผัสกันมากขึ้น พี่นัทดึงตัวผมลงไปจูบ และมือทั้งสองข้างของพี่นัทกดสะโพกผมลงให้กระแทกกันเบาๆ อย่างเป็นจังหวะ

แก่นกายร้อนผ่าวแข็งผงาดอยู่ภายใต้กางเกงนอนเสียดสีไปมากับช่องทางด้านหลังของผม บางครั้งก็เหมือนว่าพี่นัทจะดันเข้ามาทั้งอย่างนั้นจนผมอดำไม่ได้ที่จะเกร็งเป็นระยะ ส่วนน้องน้อยด้านหน้าของผมถูอยู่ตรงของกางเกงและไรขนใต้สะดือของอีกฝ่ายให้ผมขนลุกไปหมด น้ำใสไหลปริ่มออกมาจากส่วนปลายมากมาย หยดลงบนผิวร้อนของคนใต้ร่าง

“อือ อึก พี่นัท” ผมหลับตาพริ้ม กอดพี่นัทไว้แน่น ครางในลำคอเบาบ้างดังบ้าง มวลอารมณ์ถาโถมเข้ามาจนความอายผมหายไป พยายามให้ร่างกายของผมสัมผัสกับร่างกายร้อนๆ ของพี่นัทให้มากที่สุด อยากจะกดตัวเองให้จมลงไปในตัวพี่นัทเลยด้วยซ้ำ ผมเร่งจังหวะขยับสะโพกเร็วขึ้นจนใรที่สุดก็ปลดปล่อยลงบนหน้าท้องของพี่นัท ก่อนจะหมดแรงซบลงไปทับน้ำรักที่ตัวเองเพิ่งปล่อยออกมา

“เสร็จแล้วเหรอครับ เด็กน้อย” พี่นัทพูดและลูบหัวของผมไปด้วย ผมจัดการทุบไปทีนึงข้อหาล้อเลียนผม คนที่เพิ่งล้อผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพลิกตัวกะทันกันจนผมหล่นไปอยู่บนเตียง และคนตัวสูงก็เข้ามาทับผมไว้อย่างเร็ว

“เหวอ! อุ๊บ”

พี่นัทก้มลงมาจูบ มือก็จับการแยกขาผมออกกว้าง จับน้องชายของผมชักขึ้นลงจนกลับมาสู้มืออีกครั้ง ลากนิ้วลงไปช่อทางด้านหลังของผม ลูบวนอยู่ครู่หนึ่งและค่อยดันเข้าไปช้าๆ  ผมเจ็บเล็กน้อยเวลาที่นิ้วเรียวยาวถูกดันเข้ามาจนสุดอาจเป็นเพราะพี่นัทไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่น แต่ใช้น้ำรักที่ผมเพิ่งปล่อยออกไปแทน

“หนึ่งครับ รักนิ้วพี่แน่นมากเลย”

“อื้อ อึก...พี่” ผมมองหน้าพี่นัท ซึ่งเขาเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน คนที่มองหน้าผมกดปลายนิ้วไปทั่วจนผมสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วหลังจากนั้นก็กดย้ำอยู่ที่เดิม ผมสะดุ้งครั้งแล้วครั้งเล่า ครางออกมาเสียงดัง ยกสะโพกไปมาเพื่อหนีนิ้วนั่นแต่พี่นัทล็อกเอวผมไว้ ความรู้สึกที่ได้รับทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“หนึ่งเจ็บเหรอครับ?”

ผมส่ายหน้าแต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล ในตอนนี้ผมไม่ได้เจ็บเลยซักนิด มันรู้สึกดีตังหาก ผมคิดว่าที่ผมร้องไห้เพราะผมรู้สึกดีเกินไป

“อา อือ อ๊ะ” พี่นัทดึงนิ้วเข้าออกเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น จนผมเริ่มชินพี่นัทก็เพิ่มจำนวนนิ้วเข้ามา จากเพียงแค่หนึ่งนิ้วก็กระโดดข้ามเข้ามาเป็นสามนิ้วทันที ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่จู่ๆ มันก็รู้สึกแน่นท้องไปหมดแล้วตามมาด้วยความเสียว ผมแหงนหน้าไปด้านหลังครางอย่างห้ามตัวเองไม่ไหวในขณะที่พี่นัทจูบและดูดดุนไปตามลำคอของผม พร้อมทั้งขยับมือไม่หยุด

“ดีมั้ย? ให้พี่ทำเร็วขึ้นดีมั้ย?

“อื้อ อ๊ะๆ  อึก พี่...พอ อือ พอ” ผมสั่นหน้าปฏิเสธ มองเขาแล้วบอกให้หยุด พร้อมทั้งเอื้อมมือไปจับมือพี่นัทด้วย แต่เขาไม่ยอมหยุดง่ายๆ แค่ผ่อนจังหวะลงเท่านั้น

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอครับ หนึ่งก็รู้สึกไม่ใช่เหรอครับ ดูสิ” พี่นัทพูดและพิสูจน์โดยการขยับนิ้วข้างในตัวผมไปมาอีกทั้งยังขยับเข้าออกเร็วๆ  ผมกัดฟันพูดกลับไป

“อาๆ  อยาก อึก อือ...ของพี่นัทดีกว่า อือ อยากได้ของพี่ อะ” ผมมองหน้าพี่นัทอย่างขอร้อง ตอนนี้ก็ดี...แต่ผมอยากรู้สึกกว่านี้ รู้สึกดีด้วยแท่งเนื้อร้อนๆ ของเขามากกว่า อีกฝ่ายยิ้มแล้วดึงนิ้วออก ก้มลงมาจูบปากผมอย่างดูดดื่ม เขากำลังทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบดีๆ นี้แต่สักพักเขากลับขยับตัวออกจนผมต้องกอดตัวพี่นัทเอาไว้

“พี่จะไปไหนครับ!”

“ใจเย็นๆ ปล่อยพี่ก่อนครับ ขอพี่หยิบถุงยางหน่อย”

ผมปล่อยพี่นัทออกให้เขาหันไปหยิบของในลิ้นชักหัวเตียงและยื่นให้พี่นัทเองกับมือ ผมลุกขึ้นนั่งขยับพิงกับหัวเตียง แล้วอ้าขาออกกว้างให้พี่นัทดูอย่างเต็มตา มือข้างนึงก็ลูบไปตามหน้าอกส่วนอีกข้างก็รูดรั้งแก่นกายเปียกชุ่มของตัวเอง

“ยั่วชิบ...”

พี่นัทพูดพึมพำพลางขยับเข้ามาหาผม พอจัดท้าจนเข้าที่ดีแล้วเขาก็ดันส่วนนั้นเข้ามาอย่างช้าๆ  ดึงออกและดันเข้ามาลึกกว่าเดิม ทำแบบนั้นจนเข้ามาได้หมด

“อือ แน่น อึก พี่นัทครับ…”

“ผ่อนคลายหน่อย พี่จะแย่เอา”

ผมส่ายหน้า ก็พยายามผ่อนคลายแล้วแต่มันก็ยังจุกแน่นไปทั้งหน้าท้องอยู่ดี ผมอ้าขาออกกว้าง จิกเล็บลงกับเตียงเพื่อระบายความอึดอัด เวลาผ่านไปไม่นานความอึดอัดทรมานก็หายไป เป็นความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่ ครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ตอนที่พีนัทขยับตัวและก็ดังขึ้นตอนที่พี่นัทเคลื่อนไหวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ผมครางระงมทั่วห้อง พี่นัทดันขาผมทั้งสองข้างขึ้นพาดบ่าและขยับเข้ามาราวกับพายุ ผมตวัดมือกอดคอพี่นัทและแหงนหน้าไปข้างหลัง น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ยิ่งเสียวมากเท่าไร ต่อมน้ำตาผมยิ่งแตก และพอน้ำตาผมแตกมากๆ เข้า น้ำข้างล่างผมก็แตกตาม  พี่นัทดันเข้ามาอีกสักพักนึงก็เกร็งและกระตุกตามผมมา

ผมขยับตัวออกแต่ขาที่ยังอยู่บนบ่าพี่นัทเลยทำให้ผมขยับตัวลำบาก คนตรงหน้าผมยื่นหน้าเข้ามาจูบ และบีบที่หน้าอก หน้าท้องและสะโพกผม สิ่งที่อ่อนลงไปแล้วเริ่มพองขยายใหญ่ภายใน จนผมอดจะเกร็งไม่ได้

พี่นัทโยกสะโพกเข้าหาอย่างเนิบนายทำให้ผมเริ่มที่จะไฟติดขึ้นมาอีกครั้งนึง พอจะหยัดตัวเข้าหาบ้างคนตัวสูงก็ก็จับขาผมลงและดึงตัวออก ทำให้ผมครางอย่างขัดใจ

“อื่อ!”

“ชู่ว~ อย่างโวยวายสิครับ”

เขาปรามแล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะจับผมพลิกให้นอนคว่ำและรั้งสะโพกผมให้สูงขึ้น และรับรู้ได้ว่ามีแก่นกายร้อนๆ ถูอยู่ตรงช่อทางแต่ไม่ยอมเข้ามาในตัวซักที

“พี่ครับ...อือ” ผมเอี้ยวตัวหันไปมอง เห็นพี่นัทค่อยๆ ดึงถุงยางออก มัดและโยนไว้ที่พื้น ผมหันกลับมาพยายามดันตัวไปด้านหลังส่ายสะโพกถูกับแก่นกายนั่นแต่พี่นัทก็ลีลาไม่เข้ามาตามที่ผมต้องการเสียที ผมไม่ชอบให้พี่นัทแกล้งผมแบบนี้เลย มันทรมารเกินไป

“เป็นอะไรไปครับ บอกพี่สิ”

“อยากให้...พี่เข้ามาเร็วๆ อ๊ะ” พี่นัทโน้มตัวลงมา แผ่นหลังของผมสัมฟัวได้ถึงแผ่นอกกว้างอบอุ่น เขาฝังเขี้ยวลงบนไหล่ น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกเสียวมากกว่าเจ็บ พี่เขาแลบลิ้นออกมาเลียตรงที่ลงเขี้ยวไว้ และกระซิบข้างหูผม

“พี่ตามใจหนึ่งครับ”

แล้วพี่นัทก็ดันตัวเข้ามารวดเดียวจนสุดโดยที่ไม่มีถุงยาง ภายในของผมสัมผัสกันความร้อนนั่นโดยตรง ผมอ้าปากค้าง มันร้อนและพี่นัทก็ดันเข้ามาลึกมาก

“อึก อือ อ๊า!”

มันเข้ามาจนสุดแล้วแต่พี่นัทก็ยังจงใจดันเข้ามา มันเข้ามาลึกเกินไป จนสมองผมขาวโพลนไปหมด ยิ่งตอนที่เขาดึงออกและกระแทกเข้ามาใหม่ ผมก็รู้สึกว่ามันลึกกว่าเดิมทุกครั้ง มันเข้ามามากเกินไปจนผมต้องเอี้ยวตัวใช้มือดันหน้าท้องพี่นัทไว้

“ดันไว้ทำไมล่ะครับ ไม่ชอบเหรอ?”

“พี่...อึก ลึกไป ผม...ผมเสียว อือ”

พี่นัทจับมือผมออก ไม่ฟังที่ผมพูดแต่เริ่มที่จะขยับเข้ามาเร็วๆ  ผมครางเสียงดัง ปากก็พร่ำครางสลับกับบอกให้พี่นัทหยุดก่อน ผมรู้สึกเหมือนมันสอดลึกเข้ามาถึงในท้องจริงๆ

“อืม เสียวชิบ รัดพี่แน่นดีมากเลย อือ”

“พี่หยุด อือ ลึกไป...พอก่อน อ๊ะๆ...”

“ไม่หยุดครับ ถ้าหนึ่งอยากให้พี่หยุดจริงคงไม่กระดกก้นรับแบบนี้...”

อา ผมกระดกก้นรับพี่เขาอยู่จริงๆ ด้วย…

แล้วโอทีก็ดำเนินต่อไปอย่างเร่าร้อนในหลายๆ ที ตั้งแต่บนเตียง โซฟา ในอ่างอาบน้ำที่ตั้งใจว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย แต่ถ้าผมไม่สลบก็ไม่มีคำว่ารอบสุดท้ายของพี่นัทหรอก



“พรุ่งนี้หนึ่งต้องมาทำงานเช้าๆ เลยนะครับ” พี่นัทส่งกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้ แต่พอผมยื่นมือไปรับ เขาก็ดึงหนี

“ผมรู้แล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปก่อนพี่นัทตื่นเลย” พี่นัทส่งกระเป๋าให้ผม แต่ก็ไม่ยอมออกจากห้องไปสักที มัวแต่ยืนทำตาละห้อยขวางประตูอยู่ “พี่ไม่กลับไปเปิดร้านเหรอครับ นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ”

ทั้งผมและพี่นัทต่างตื่นสายด้วยกันทั้งคู่เพราะทำโอทีกันจนเพลีย พอตื่นแล้วพี่นัทก็รีบลงไปทำเค้กจัดการร้าน ส่วนผมก็เก็บของจัดกระเป๋าเตรียมกลับมาห้องตัวเอง แต่ก่อนจะเปิดร้านพี่นัทก็อาสามาส่งฃทั้งที่ผมเดินเพียงแค่สิบนาทีก็ถึงแล้วแท้ๆ

“พอหนึ่งหยุดแล้วพี่อยากหยุดตามเลย”

“เดี๋ยวก็ขาดทุนหรอกครับ เมื่อวานพี่ก็ปิดร้านเร็ว”

“ร้านพี่ไม่ขาดทุนหรอกครับ แต่พี่นี่ดิจะขาดใจ”

“เว่อน่าพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้วไง”

พี่นัทยืนงี่เง่าอยู่หน้าห้องผมอยู่พักหนึ่งแล้วก็ออกไป ผมจัดการทำความสะอาดห้อง และลงไปซื้อของเล็กน้อยเตรียมไว้ให้น้อง เสร็จแล้วก็มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่นาน ไม่นานน้องชายและพ่อแม่ผมก็มาถึง

“ไงพี่” ผมพยักหน้าและยิ้มให้น้องชายไปทีนึง จากนั้นก็รีบไปกอดแม่ทันที

“แม่ครับ ผมคิดถึงแม่ที่สุด” แม่หัวเราะออกมา ผมกอดแม่แน่นกว่าเดิมจนเขาบ่นอึดอัด แล้วผมก็สัมผัสได้ถึงแรงดีดเบาๆ ที่กกหู พอหันไปมองก็เห็นพ่อยืนหน้านิ่งๆ อยู่ด้านหลัง ก็รีบปล่อยตัวแม่แล้วยกมือไหว้พ่อก่อนที่เขาจะน้อยใจ

“สวัสดีครับพ่อ ผมก็คิดถึงพ่อสุดๆ เหมือนกันนะ”

“คิดถึงแต่ไม่เคยกลับบ้านไปหาเลยนะ”

“ก็ผมทำงานไง”

พอผมพูดแบบนั้น พ่อก็เขกหัวผมมาทีนึง พ่อเดินไปหยิบของหลังรถ ผมกับตองสองก็เดินตามไปช่วย แล้วผมก็เดินนำขึ้นมาที่ห้องผม

“เนี่ย ห้องก็ออกกว้าง แม่บอกแล้วว่าอยู่ด้วยกันได้” แม่ผมพูดทันที่ผมเปิดห้องให้ทุกคนเข้าไป

“ผมก็โตแล้ว สองมันก็โตแล้ว จะให้มาอยู่ด้วยกันมันก็ไม่สะดวก”

“แต่อยู่ด้วยกันมันก็ดูแลกันได้ไง” แม่พูดพลางเดินสำรวจห้องไม่หยุด ส่วนพ่อพอวางของก็นอนตากแอร์บนเตียงสบายใจเฉิบ

“พี่เขาหมายถึง ถ้าผมหรือพี่มีแฟนมันจะไม่สะดวกอ่ะแม่” ตองสองพูด ผมก็พยักหน้าเห็นด้วยสุดๆ

“ก็ดีเลย จะได้ช่วยกันดู ว่าแฟนเป็นคนดีรึเปล่า” พอแม่พูดแบบนั้นตองสองก็มองหน้าผมแล้วส่ายหน้าทันที

“ก็จริง...พี่เขาซื่อจะตาย มองไม่ออกหรอกว่าใครดีหรือไม่ดี”

ผมหันไปหาน้องชายทันที อยากจะเถียงเหมือนกันแต่มันคือเรื่องจริง ผมมองไม่ออกหรอกว่าใครมาดีมาร้าย พ่อแม่นอนเล่นพักผ่อนบนเตียง ผมนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา ส่วนตองสองก็จัดการเอกสารสมัครงาน

“เอ้อ...ตองหนึ่งลูก แล้วที่ทำงานเป็นไงบ้าง วันนี้ขอหยุดแล้วเจ้านายเขาจะว่าอะไรรึเปล่า” แม่ที่นอนๆ อยู่ลุกขึ้นมาถามผม

“ไม่หรอกครับ ผมขอลาแล้ว” แถมทำงานชดเชยไปแล้วด้วย...

“ที่ทำงานพี่เป็นร้านกาแฟอยู่หน้าปากซอยนี่ใช่มั้ย ตอนเข้ามาผมเห็นอยู่ เหมือนที่พี่ส่งรูปให้ดู”

“ใช่ ร้านนั้นแหละ เจ้าของร้านใจดีด้วยนะ” ผมพูดไปยิ้มไป อธิบายเกี่ยวกับร้านแล้วก็พี่นัทให้แม่ฟังไปตั้งเยอะ “เป็นร้านเล็กๆ แต่ขายดีตลอดเลย พี่นัทที่เป็นเจ้าของร้านก็ใจดีให้ผมกินขนมทุกวันเลย แม่ดูตอนสิผมอ้วนขึ้นตั้งเยอะแหนะ”

“แล้วเห็นบอกเลิกงานดึก ซอยก็ดูเปลี่ยว ตอนกลับนี่ไม่อันตรายเหรอ”

“เอ่อ…ไม่นี่ครับ ผมเดินมาเป็นปีแล้วไม่มีอะไรหรอก” ผมโกหกแม่ไปคำโต เดินกลับทุกคืนอะไรล่ะ ห้องนี่ที่ผมกลับมาล่าสุดก็สองเดือนก่อนล่ะมั้ง ส่วนค่าเช่าค่าส่วนกลางที่นี่ผมใช้วิธีโอนเงินตลอดเลย

“อืม แล้วเริ่มงานก็เช้า เลิกงานก็ดึกมาก เขาให้เงินเดือนเท่าไร”

“ก็ถือว่าเยอะมากนะครับ” อันนี้ผมพูดตามจริงเลยครับ พี่นัทให้เงินเดือนเยอะจริง และให้ตรงเวลาตลอดทุกเดือน แล้วยิ่งตอนผมเริ่มค้างกับพี่นัทผมยิ่งเกรงใจ เพราะนอกจากค่าเช่ากับส่วนกลางห้องนี่แล้วแทบจะไม่ได้ใช้เงินเดือนเลย ค่ากินค่าอะไร พี่นัทก็ใจป๋าจ่ายให้หมด เงินเก็บของผมตอนนี้เยอะที่สุดในชีวิตเลยครับ

“ดีแล้วๆ  แม่ฝากน้องด้วยนะ”

“ครับ”

“เอ้อ ที่ทำงานหนึ่งเป็นร้านกาแฟใช่มั้ย”

“ใช่ครับ”

“ไหนๆ ก็มาแล้ว แวะไปดูหน่อยก็ดีเนอะ พ่อจะได้กินกาแฟก่อนขับรถกลับด้วย”

พ่อที่นอนๆ อยู่ลุกขึ้นนั่งแล้วก็พยักหน้า ด้วยเหตุการณ์นั้นทำให้ 30 นาทีต่อมา ผมและครอบครัวมานั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านพี่นัทอย่างสบายใจ

“อื้ม หอมอร่อย เนอะพ่อเนอะ” แม่ที่จิบกาแฟแล้วก็ชม แถมยังหันไปหาแนวร่วมจากพ่อที่ยกกาแฟเข้มๆ ขึ้นดื่ม หลังจากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับแม่ จนพี่นัทที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มจนแก้มแทบปริ

“ขอบคุณครับ รับเค้กหรือขนมด้วยมั้ยครับ คุ๊กกี้ก็มีนะครับ ทานคู่กับกาแฟ เข้ากันสุดๆ ”

พี่นัทพูด แนะนำเค้กต่างๆ ใหญ่ ทั้งแม่และพ่อผมที่ชอบขนมและอะไรแบบนี้อยู่แล้วก็ตั้งใจฟังและสนใจมาก จนสุดท้าย แม่ผมจัดการสั่งเค้กและขนมไปสามชิ้น คุ๊กกี้อีกชุดนึง ตองสองที่นั่งเงียบๆ ก็จัดการสั่งชีสพายไปชิ้นนึงด้วย ผมล่ะทึ่งกับทักษะการขายของพี่นัทตลอด คุยๆ กันครู่เดียวพี่แกก็เกลี้ยกล่อมลูกค้าให้ซื้อมาหลายรายเลยล่ะ

“รอซักครู่นะครับ”

แล้วพี่นัทก็เดินไปจัดการขนม ผมก็มองตามตลอด วันนี้พี่นัทดูวุ่นวายมาก ทั้งรับออเดอร์ ทั้งทำ ทั้งเสิร์ฟ ทำทุกอย่างอยู่คนเดียวเลย เห็นแล้วก็อยากเดินไปช่วยอ่ะ

“พ่อครับแม่ครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมขอไปช่วยพี่เขาแปปนึงได้มั้ย ดูเขายุ่งมากเลย”

พ่อแม่พยักหน้า ผมก็รีบวิ่งไปช่วยพี่นัททันที พอมาถึงในเคาน์เตอร์ผมแทบผงะ ของกระจัดกระจาย แก้วก็เต็มไปหมด แถมทำเครื่องดื่มค้างไว้ตั้งสองแก้วอีก แต่ยังมีเวลาไปคุยเล่นกับพ่อแม่ของผมอีกนะ

“โหยพี่ อะไรเนี่ย”

“ก็ไม่มีเวลาเก็บอ่ะ หนึ่งไม่อยู่พี่โคตรลำบาก ไม่อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง พี่ก็คิดถึงหนึ่งใจจะขาดแล้วเนี่ย”

“พี่แค่คิดถึงคนช่วยมากกว่าครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็คิดถึงหนึ่งที่คอยช่วยพี่ไงครับ” พี่นัทหัวเราะแห้งๆ แล้วก็แก้ตัว

“พี่ไปทำเครื่องดื่มก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาขนมไปให้พ่อแม่ผมเอง” ผมจะหยิบที่คีบขนมจากมือพี่นัท แต่พี่แกก็ไม่ยอม แถมดันผมมาที่เครื่องปั่นแทนด้วย

“หนึ่งทำเครื่องดื่มนั่นแหละครับ ขนมนี่เดี๋ยวพี่เอาไปเสิร์ฟเอง แม่ยายพ่อตาและน้องเมียมาหายันร้าน ลูกเขยอย่างพี่ก็ต้องรีบทำคะแนนหน่อย”

“ประจบมากกว่าอ่ะดิ ผมรู้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า สำหรับพี่เรียกว่าเอาใจครับ”

พี่นัทพูดแล้วก็เอาขนมใส่ถาดเดินหน้ายิ้มแป้นไปยังโต๊ะที่พ่อแม่ผมนั่งอยู่ แถมยังยืนคุยกันอยู่อีก ลูกค้าคนอื่นเขารอเครื่องดื่มกันเนี่ย ลืมไปแล้วเหรอพี่นัท!!

หลังจากที่อิ่มหนำสำราญ กินเค้กที่พี่นัทขนมาประจบจนเบาหวานแทบขึ้นแล้ว พ่อก็ชวนแม่กลับ เพราะไม่อยากขับรถกลางคืน

“ตองหนึ่ง ตองสอง แม่กลับแล้วนะลูก ดูแลกันดีๆ นะ”

“ครับผม” ผมตอบ ส่วนตองสองแค่พยักหน้า เราเข้าไปกอดแม่กันคนล่ะที ส่วนพ่อแค่ยืนลูบหัวพวกผมแค่นั้น

“ถ้าว่างก็กลับบ้านบ้าง พวกชบามันคิดถึง” พ่อผมพูดออกมาเรียบๆ หน้านิ่งๆ  แต่แววตาที่ส่งมาก็พอดูออกว่ามีแววเหงาๆ อยู่ แหงสิ..ถึงพ่อจะเงียบนิ่ง ดูหยิ่งเป็นเจ้าชายน้ำเเข็ง แต่ก็รักพวกผมมาก แต่ทำมาอ้างชบาคิดถึง ตัวเองคิดถึงก็บอกเถอะ  แล้วนี่ตองสองก็ย้ายมาอยู่กับผมแล้ว ที่บ้านก็เหลือแค่พ่อแม่สองคน กับแมวอีกสี่ตัว

ชบาที่พ่ออ้างก็คือแมว ชบาเป็นแม่ของ ดาวเรือง ส่วนอีกสองตัวชื่อกุ้งกับปูเป็นลูกของดาวเรืองอีกที  ชื่อแมวทุกตัวพ่อเป็นคนตั้ง ได้แรงบรรดาลใจมากจากอะไรไม่รู้ เจอกันครั้งแรกพ่อเรียกอะไร เราก็เรียกตามกันหมด

“ทำงานกันดีๆ นะลูก มีอะไรก็อดทนไว้...นัทลูก แม่ฝากดูแลลูกแม่ด้วยนะถ้าหนึ่งทำอะไรไม่พอใจทนมันหน่อย อย่าไล่มันออกนะลูก ถือว่าสงสารมันนะ”

ประโยคหลังแม่หันไปพูดกับพี่นัทที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถือการประจบของพี่นัทประสบความสำเร็จอย่างสูง แม่หลงคารม ความช่างเอาอกเอาใจ จนคนแก่สองคนหลงและไว้ใจในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง

“ครับ ผมจะดูแลตองหนึ่งให้ดีที่สุดเลยครับ คุณน้าคุณอาไม่ต้องห่วงเลยครับ”  พี่นัทโอบไหล่ผมยืดอก หมายมั่นปั้นมือรับปากแม่ไปอย่างขึงขัง จนตองสองที่ยืนอยู่ข้างผม แอบเหล่มองพี่นัทสลับกับผมนิดหน่อย จนผมต้องขยับออกจากพี่นัทมาเล็กน้อยเพราะกลัวว่าน้องจะจับสังเกตุได้

“พ่อกับแม่ไปแล้วนะลูก” แม่บอกลาอีกครั้ง และกำลังจะออกจากร้านพี่นัทก็รั้งไว้และยื่นถุงกระดาษและกล่องเค้กอีก 3-4 ชิ้น รวมทั้งกระปุกกาแฟบด ส่งให้แม่

“จะดีเหรอ เดี๋ยวนัทก็ขาดทุนหรอก ที่แม่กินกันไปวันนี้ก็เยอะ แล้วของนี่อีก แม่กับพ่อเกรงใจนะ” แม่ผมไม่ยอมรับถุงจากพี่นัท แต่ดันกลับ เพราะของบนโต๊ะนั้นพี่นัทก็ไม่ยอมคิดเงิน

“ไม่เป็นไรครับ รับไปเถอะครับถือเป็นของฝากเนื้อฝากตัวจากผมนะครับ” แม่รับไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวพี่นัทขาดทุนหรอก เดี๋ยวเขาก็มาเก็บกำไรจากตัวผมอยู่ดี

“งั้นก็ขอบใจนะจ๊ะ พ่อกับแม่ไปจริงๆ ละนะ”

“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” พอพ่อแม่ออกจากร้านไป พี่นัทก็หันมาส่งยิ้มให้ผม

“หนึ่งกับน้องกลับเลยก็ได้ครับ นี่มันเย็นแล้ว ลูกค้าไม่เยอะแล้วพี่ทำไหว”

“อ่ะ..เอ่อ เดี๋ยวผมช่วยเก็บแก้วก่อนก็ได้ครับ สองนั่งรอพี่ครู่หนึ่งนะ” ผมหันไปบอกน้อง สองก็พยักหน้าเดินไปนั่งโต๊ะเล็กที่มุม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นรอผม ผมก็หันมายิ้มให้พี่นัท เดินไปเก็บแก้วและจานเค้กที่โต๊ะ ความจริงคือผมยังอยากอยู่กับพี่นัท เลยหาเรื่องช่วย

“หนึ่งกลับเลยก็ได้นะครับ น้องจะได้ไม่ต้องนั่งรอ” พี่นัทเดินถือถาดมาช่วยผมเก็บแล้วก็พูด

“เดี๋ยวช่วยพี่ก่อนครับ”

“แค่นี้เอง พี่ทำได้ครับ นี่วันหยุดหนึ่งนะ”

“ผมอยากช่วยพี่ครับ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ หนึ่งกลับเถอะ เดี๋ยวมืดนะ”

“ผมยังอยากอยู่กับพี่”

“หึหึ ก็บอกมาแค่นั้นแหละ” พอผมพูดไปพี่นัทก็หัวเราะ ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมและไล้ลบมาบีบแก้มเบาๆ  พี่นัทส่งยิ้มมาให้ มันดีมากแต่จะดีกว่านี้ถ้าหางตาผมมไม่เหลือบไปเห็นว่าตองสองมองมาทางนี้อยู่ ผมปัดมือพี่นัทออกแทบจะทันที แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเก็บแก้วต่อ

พี่นัทถอนหายใจออกมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  พี่นัทยกถาดแก้วไปไว้ในเคาน์เตอร์ ผมก็ตามเข้าไปจัดการช่วยล้างและเช็ดแก้ว แถมเช็ดเคาเตอร์ทำความสะอาดเครื่องปั่นให้ด้วย ยื้อเวลาสุดๆ อ่ะ ทำจนไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ผมก็เลยเตรียมตัวกลับ

“ผมจะกลับแล้วนะครับ”

“ครับ พรุ่งนี้มาเช้าๆ นะ”

ผมพยักหน้า เดินออกมาจากเคาน์เตอร์ แล้วก็เดินกลับห้องพักกับตองสอง ตลอดทางมีแต่ความเงียบ เพราะผมก็พูดไม่เก่ง ตองสองก็พูดไม่เก่ง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอึดอัดอะไรอาจเพราะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว กลับกันมันเป็นความเงียบที่อยู่แล้วสบายใจนะ

“พี่…” ตองสองที่เดินมาเงียบๆ  หยุดเดินแล้วก็เรียกผม

“หืม” ผมหันไปถาม เพราะสองไม่พูดออกมาซักที

“เดี๋ยวกลับไปคุยกันที่ห้อง เรื่องของพี่กับคุณนัทน่ะ” ตองสองพูดนิ่งๆ แล้วก็เดินนำหน้าผมไป ทิ้งให้ผมยืนตัวเย็นอยู่กับที่ บรรยากาศสบายใจเมื่อครู่นี่หายวับไปทันที

...คุยอะไร คุยทำไม หรือว่ารู้แล้ว รู้ได้ไงอ่ะ

ผมเดินตามสองกลับห้องด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ  กลัวว่าน้องรู้แล้วจะทำยังไงกับผมต่อ จะบอกพ่อแม่มั้ย จะรังเกียจผมรึเปล่า แล้วน้องจะคิดกับผมยังไง ผมคิดมากไปเรื่อยเปื่อย

แต่อีกใจก็คิดในแง่ดี ว่าสองอาจยังไม่รู้ ที่จะคุย อาจจะคุยเรื่องทำไมพี่นัทหล่อจัง อะไรประมาณนี้ก็ได้มั้ง...คิดในแง่ดีไว้ก่อนแล้วกัน

เราเดินกันมาช้าๆ จนถึงห้อง ผมถอดรองเท้า และเดินตรงเข้าห้องน้ำก่อนที่สองจะได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่ขอผมทำใจก่อน จากความรู้สึกคงไม่ใช่เรื่องดีของผมแน่ๆ  ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า สูดหายใจเข้าเพื่อเรียกกำลังใจแล้วเดินออกไป ตองสองนั่งรออยู่ตรงโซฟา ผมก็เดินเข้าไปแต่ยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่ง สองก็หันมาทางผม

“พี่เป็นแฟนกับคุณนัทเหรอ?”

อืมหืม ตรงประเด็นมาก ไม่มีเกริ่นเลย ตองสองนายแน่มาก...ถึงแม้สองจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ผมก็รู้สึกกลัวอยู่ดี กลัวว่าน้องจะรับผมไม่ได้นะ ถึงจะรู้ว่านี่มันสมัยไหนแล้ว คนรับได้ก็มีเยอะ แต่รับไม่ได้มันก็เยอะเหมือนกัน แล้วตองสองล่ะ น้องชายผมล่ะ...รับได้มั้ย ถ้าพี่ชายจะเป็นเกย์น่ะ

ผมไม่ตอบนั่งนิ่งๆ  ก้มหน้ามองมือตัวเอง ตองสองก็นิ่ง ผมรู้สึกได้ว่าสองจ้องมาที่ผม จ้องมานิ่งๆ จนผมรู้สึกสั่นไปหมด ปลายนิ้วเย็นๆ ของผมบีบเข้าหากัน เม้มปากแน่น คิดหาคำตอบว่าควรตอบน้องยังไง จะตอบตามความจริง หรือโกหกออกไปดี

“...”

“พี่ตอบผมหน่อย” พอผมเงียบนานเข้า ตองสองก็เร่งเอาคำตอบ  สุดท้ายเลยพยักหน้าไปพร้อมกับน้ำตาของผมที่มันไหลออกมาด้วย  ตองสองเงียบ ผมก็เริ่มสะอื้นน้อยๆ

“ฮึก….”

“พี่ร้องไห้ทำไม”  ตองสองขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ  แล้วก็ยกมือขึ้นจับไหล่ผม

“ไม่รังเกียจพี่?” ผมพูดเสียงอู้อี้ เงยหน้ามองน้องชาย

“ไม่ จะรังเกียจทำไม” สองพูดออกมาแค่นั้น ผมก็เลยปล่อยโฮออกมาเสียงดัง “หยุดร้องน่ะพี่ รำคาญ”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังลูบไหล่ผมอยู่ ไอ้น้องบ้า ปากแข็ง จะปลอบให้หยุดร้องไห้ก็ปลอบดีๆ หน่อย

“ไม่รังเกียจกันจริงอ่ะ”

“จะรังเกียจทำไมล่ะ มันก็ความรักปกตินั่นแหละ ผมมองว่าเป็นคนสองคนรักกันก็เท่านั้น”

“อือ ตองสอง”  แล้วผมก็ร้องไห้อีกรอบ เวลาผ่านไปสิบนาที น้ำตาผมก็แห้ง ใจผมเบาขึ้นเยอะ นั่งเงียบๆ สงบอารมณ์ที่ก่อนหน้านี้ผมปล่อยให้ฟุ้งซ่านมากไปจนเกินเหตุ

“แล้วสองรู้ได้ไงว่าพี่คบกับพี่นัท”

“...ก็เดาๆ เอา” ตองสองพูดเหมือนเรื่องปกติ มือก็ไถหน้าจอโทรศัพน์ไปเรื่อย

“เดาเก่งเนอะ”  นี่ขนาดคิดว่าวันนี้พี่นัทไม่ค่อยลุ่มล่ามใส่แล้วนะ ตองสองยังดูออกเลย

“คุณนัทมองพี่ขนาดนั้น แถมมีจับแก้มจับหัวกันอีก แถมแววตาที่คุณนัทมองพี่มันก็พอให้ผมรู้ ก็ประมาณ…ผีเห็นผีล่ะมั้ง”

ผมเงียบไปพักนึง เพราะไม่เข้าใจ ผีเห็นผี เกี่ยวไรกับมันรู้อ่ะ...

…เดี๋ยวนะ ผีเห็นผีคือ พวกเดียวกันที่มองเห็นพวกเดียวกัน พี่นัทชอบผู้ชายแล้วไอ้สองมองออก งั้นก็แสดงว่า….

“เฮ้ย สอง…นี่แก”

“ผมเป็นไบ” ตอบได้ปกติมาก หน้านิ่งได้อีก ช่วยตกใจเป็นเพื่อนพี่แกหน่อยได้มั้ยไอ้น้องชาย

“ไบ...คือได้ทั้งชายและหญิง?”

“ใช่ ตอนแรกก็ชอบผู้หญิงปกติ พอเจอคนนึงเป็นผู้ชายแล้วผมก็ชอบเขา แต่ก็ยังรู้ชอบผู้หญิงอยู่ด้วยเลยรู้ว่าตัวเองได้ทั้งสองแบบ”

“ค..เคยลองกับผู้ชายแล้ว?” ตองสองพยักหน้า

“...ก็ตอน ม.4” ร้ายมาก น้องชายผมมันไม่ธรรมดา มีประสบการณ์มาตั้งแต่เพิ่งขึ้นมัธยมปลายเลยทีเดียว

“แล้วไม่กลัวพี่กับพ่อแม่รู้เหรอ?” ผมถามออกไป

“ก็เพราะกลัว เลยไม่บอกใครไง”

“อืม...ถ้าพ่อแม่รู้จะทำยังไง?”

“ไม่รู้สิ ยังไม่กล้าบอก ยิ่งแม่อยากอุ้มหลาน ผมยิ่งไม่อยากบอก ตอนแรกคิดว่ายังไงพี่คงมีหลานให้แม่ได้ แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่” ตองสองพูด ทิ้งตัวพิงโซฟา เงยหน้ามองเพดาน ผมเลยทำตาม แล้วก็ถอนหายใจออกมา

“สองไง สองยังไม่มีแฟนนี่ แถมชอบผู้หญิงได้ด้วย มีโอกาสมีหลานให้แม่นะ”

“เดี๋ยวดูก่อน แต่โอกาสน้อยนะ...ผมมีคนในใจอยู่แล้ว” ตองสองตอบแล้วก็หลับตาลง ในห้องเงียบขึ้นมา ผมเงยหน้ามองเพดานคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ไหนๆ ตองสองก็รู้แล้ว...คืนนี้กลับไปนอนกับพี่นัทจะดีมั้ย?



มีคนติดแฟนอยู่ทางนี้ 2 ae จ้า

เม้นและติดแท็กให้เราหน่อยน้า ฟีดแบ็กดีจะมาต่อไวๆ เล้ย


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว  ผีเห็นผีซะงั้น

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
20 : ของโปรดคือโดนัท


“สอง พี่ไปทำงานแล้วนะ” คนที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงส่งเสียงอือในลำคอนิดหน่อย แล้วก็พลิกตัวไปอีกฝั่ง ผมกระชับกระเป๋าให้แนบแผ่นหลังแล้วก็เดินออกมา ตอนนี้เพิ่งจะตีสี่เอง มันเช้าเกินไปมาที่จะไปทำงานในเวลานี้ แต่ผมอยากเจอพี่นัทเร็วๆ นี่ เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร ก็มันหนาว ผ้าห่มก็มีผืนเดียว ต้องแย่งผ้าห่มกับน้องอีก แต่ตอนที่พี่นัทมานอนด้วยนี่ไม่ต้องแย่งเลย เพราะพี่นัทห่มผ้าแล้วนอนกอดผม อบอุ่นสุดๆ

ผมเพิ่งรู้ว่าผมติดพี่นัทกว่าที่คิด ไม่ได้นอนด้วยกันแค่คืนเดียว ผมยังเป็นขนาดนี้  ผมคิดว่านี่ต้องเป็นแผนของพี่นัทแน่ๆ  เข้าทำให้ผมหลง ทำให้ผมรักจนโงหัวไม่ขึ้น ตามใจผมทุกอย่าง ผมอยากได้อะไรพี่นัทก็ไม่ค่อยจะขัดใจ ทำของอร่อยให้กิน ทำตัวน่ารักใส่ผม ทำให้ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา

ต้องเป็นแผนของพี่นัทแน่ๆ  พี่นัทที่เป็นจอมเจ้าเล่ห์ จอมกะล่อนและหื่น แต่ก็น่ารักที่สุด ผมนี่หลงพี่นัทสุดๆ เลยนี่หว่า แต่มันไม่ผิดนี่ครับ ที่ผมจะหลงแฟนตัวเองอ่ะ หรือไม่จริง?

ผมเดินสลับวิ่งไม่นาน เหงื่อยังไม่ทันออก ผมก็ถึงร้าน ผมหยิบกุญแจดอกเล็กที่มีตุ๊กตาหัวใจสีแดงแปร๊ดห้อยอยู่ออกมาไขประตูหลังร้านและเดินเข้าไป ในครัวมืดและเงียบมาก อาจเพราะพี่นัทยังไม่ตื่น ผมโยนกระเป๋าไว้ที่โต๊ะกลางครัวแล้วก็เดินขึ้นชั้นสองไปเงียบๆ และพอเปิดประตูห้องนอนชั้นสอง ความเย็นจากแอร์ก็กระทบผิวแผ่วๆ แสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดผ้าม่านไว้เข้ามา ผมปิดประตูเบาๆ เดินไปที่เตียง พี่นัทนอนหลับห่มผ้าจนถึงคอ ผมมุดผ้าห่ม ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ พี่นัทที่หลับสนิท ซุกหน้าและสูดกลิ่นกายจากอกอุ่นๆ พี่นัทยับตัวเล็กน้อยแล้วกอดผมเอาไว้

“ตองหนึ่ง….” พี่นัทพึมพำแล้ววาดวงแขนมากอดผมไว้แล้วดึงเข้าไปกอดแน่นๆ  ตอนนั้นผมนึกว่าเขาตื่นแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง พี่นัทคงหลับตาและกรนอยู่เหมือนเดิม ผมแอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจ พี่นัทคงทำไปเพราะความเคยชิน เขาชินกับการนอนกอดผม ส่วนผมเองก็ชินกับอ้อมกอดพี่นัทเช่นกัน

ผมนอนกอดพี่นัทไม่นาน นาฬิากาก็ปลุกดัง คนตัวสูงละมือจากตัวผมไปควานหานาฬิกาแล้วปิดเสียง หลังจากนั้นก็นอนต่อทั้งที่ยังถือนาฬิกานั้นอยู่ ผ่านไปซักพักนาฬิกานั่นก็ดังขึ้นใหม่  พี่นัทก็ทำเหมือนเดิมคือปิดเสียงแล้วก็หลับต่อ

“พี่นัทครับ จะไม่ตื่นเหรอ” ผมขยับตัวขึ้นมานอนทับเขา แล้วก็บีบแก้มเล่น

“อือ…ขออีกนิด”

“เดี๋ยวทำเค้กไม่ทันอีกนะครับ”

“อือ…” พี่นัทครางในลำคอ แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น ผมเลย ตวัดผ้าห่มออก แล้วลุกขึ้นนั่งบนตัวพี่นัท จากนั้นก็จุ๊บไปที่ปากพี่นัทรัวๆ

“ตื่นๆ พี่นัทตื่นได้แล้ว” ว่าแบ้วรัวจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย  “ถ้าพี่ไม่ตื่น ผมจะจุ๊บไปเรื่อยๆ นะ”

“อื้อ”

“ตื่นแล้วครับ ทำขนมให้ผมกินหน่อย”

“อือ...หนึ่ง”

เขาครางในลำคอเสียงกระเส่าขึ้นเล็กน้อย ผมไม่ได้เอะใจอะไร และยังคงจุ๊บไปเรื่อยๆ  ตั้งใจว่าจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะตื่น แต่ก็ต้องหยุดเมื่อรู้สึกได้ว่าบริเวณก้นของผมมันมีบางอย่างดุนดันอยู่ พอผมขยับออกแล้วหันไปมอง ก็เห็นน้องชายพี่นัทตั้งตรงเคารพธงชาติตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

“พี่นัท! น้องชายพี่มันตื่นก่อนพี่ซะอีก โว๊ะ!”

“หึ ฮ่าฮ่าฮ่า” คนที่ผมคิดว่ายังไม่ตื่น หลุดหัวเราะออกมายกใหญ่ แล้วก็ลืมตามองมาจนเห็นแววตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์ ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นเลยซักนิด

“ตื่นแล้วทำไมไม่ลุกล่ะครับ แกล้งผมอีกแล้ว”

“หือ....พี่ก็ลุกแล้วนี่ไงครับ” พี่นัทพูดแล้วก็เปรยตามองไปที่เป้าตัวเองที่ทั้งลุกทั้งพองตัว ดันก้นผมอยู่ตลอด

“ผมไม่ได้หมายถึงไอ้นี่ซักหน่อย” ผมอ้อมแอ้มตอบไป แต่ตาก็ยังมองจ้องไปที่น้องชายพี่นัทที่ชี้เพดานอยู่ในกางเกงนอน “เห้ย! พี่จะถอดกางเกงทำไม!”

“แหม ก็เห็นจ้องซะขนาดนั้นพี่ก็เลยเปิดให้ดูไปเลย”

จะไม่ให้ผมตกใจได้ไงล่ะครับ ก็จู่ๆ  พี่นัทก็ถกกางเกงลง จนอะไรๆ ของพี่นัทเด้งออกมาให้ผมเห็นเต็มตาเลย เห็นท่าไม่ดีผมก็รีบคลานลงจากตัวพี่นัท เตรียมหนีก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายเอาเปรียบอีก

“ผม...ผมว่า ผมลงไปทำความสะอาดดีกว่าครับ”

“เดี๋ยวสิ จะมาทำให้พี่อยาก แล้วจะมาจากไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

“ผมไม่ได้ทำ” ผมตอบ พี่นัทก็ดึงผมเข้าใกล้ ผมรั้งตัวเองไว้ ขืนถ้าผมยอมตามพี่นัท วันนี้คงได้เปิดร้านครึ่งวันอีกแน่ๆ

“แค่หนึ่งนั่งหายใจเฉยๆ พี่ก็เกิดอารมณ์แล้วครับ” พอผมไม่ยอมพี่นัทเลยเปลี่ยนจากดึงมือ มารั้งเอวผมเข้าไปใกล้ๆ แทน

“ไม่ได้ ผมต้องไปทำความสะอาดหน้าร้าน แล้วพี่ก็ต้องไปทำเค้กด้วย.” ผมขืนตัวออกสุดแรง แล้วปฏิเสธท่าเดียว ตอนแรกผมพูดไม่เสียงแข็งเลย แต่พอเจอสายตาสีน้ำตาลอ้อนๆ เข้าหน่อย เสียงผมก็อ่อนลงไปซะอย่างงั้นอ่ะ

“จะไม่ช่วยกันเหรอครับ เมื่อคืนพี่อุตส่าห์อดทนไม่ช่วยตัวเอง เพื่อรอหนึ่งมาช่วยพี่เลยนะ ไม่เห็นใจน้องน้อยของพี่บ้างเลยเหรอครับ ดูสิน้ำตามันไหลใหญ่เลย”

ผมขึงตาใส่เขาที่พูดจาทะลึ่ง เขาก็หัวเราะจับผมไปนั่งตรงด้านหน้าให้น้องชายพี่นัทชี้หน้าผม ผมพยายามหันหน้าออกไปทางอื่น แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบกลับมามองส่วนนั้นของเขาอยู่ตลอดเลย

ก็ไม่ใช่ไม่อยากช่วยพี่นัทหรอก แต่ลองคิดดูสิครับ คนอย่างเขาน่ะเขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่ใช้มือแน่นอน แล้วก็ไม่อยากให้พี่นัทไปเปิดร้านสายอ่ะ เดี๋ยวพี่นัทก็ขาดทุนแล้วลูกค้าก็รอด้วย

“...เดี๋ยวพี่ก็เปิดร้านสายอีก ผมทำให้พี่เปิดร้านเที่ยงมาหลายครั้งแล้วนะครับ”

“หนึ่งไม่สงสารพี่เหรอ ดูสิ...แข็งจนเจ็บไปหมดแล้วนะ” พี่นัทจับมือผมไปสัมผัสส่วนๆ นั้น ผมเม้มปากแน่น พอผมไม่ชักมือออก พี่นัทก็จัดการบังคับมือผมให้กำรอบลำแกร่งที่ร้อนและพองขยายขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าขาดทุนจนร้านเจ๊ง ก็อย่ามาโทษผมละกัน…”

“ถ้าหนึ่งทำให้พี่พอใจ พี่จะไม่โทษหนึ่งเลยครับ”


“ตองหนึ่งเป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมหน้าแดงแบบนั้น”

“...จิ๊”

ผมหันไปมองพี่นัทที่ยิ้มล้อๆ อยู่ แล้วก็เดินหนีไปถูพื้นอีกทางนึง ได้ยินเสียงคนตัวสูงหัวเราะมาแว่วๆ เมื่อเช้า ผมก็ช่วยพี่นัทปกติแหละไปมาๆ  กลับกลายเป็นว่าพี่นัทมาช่วยผมด้วยซะงั้น พี่นัทเสร็จไปหนึ่งรอบ แต่ผมนี่สิเห็นประตูสวรรค์ไปถึง 3 รอบ เสียเซลฟ์ชะมัดเลย

“เลิกงอนแล้วมากินอาหารเช้าเถอะครับ”

“ผมไม่ได้งอน”

“ไม่ได้งอนก็มากินเร็วครับ เดี๋ยวนมหายอุ่นแล้วจะไม่อร่อยนะ”

“พี่ก็หยุดยิ้มแบบนั้นสักทีสิ เห็นแล้วหมันไส้ชะมัดเลย” ผมบ่นอุบอิบแล้วก็เดินไปนั่งกินข้างๆ พี่นัท เมนูวันนี้คือชูครีมที่ข้างในเป็นใส้ครีมสด และที่ขาดไม่ได้คือนมสดอุ่นๆ กินแบบนี้ทุกวันเลย เห็นแววเบาหวานขึ้นมารำไรๆ เลยครับ

“อร่อยมั้ยครับ?”

“มีอะไรที่พี่ทำแล้วผมบอกว่าไม่อร่อยบ้างล่ะครับ วันหลังพี่เอาเครื่องอัดเสียงมาอัดไว้เลยก็ได้ครับ พี่ถามผมแบบนี้ทุกวัน ผมก็ตอบแบบเดิมทุกวันน่ะแหละ”

“โธ่ หนึ่งอ่ะ ที่พี่ถามก็แค่เก็บเป็นกำลังใจให้มีแรงทำงานต่อไปแค่นั้นเอง พี่ก็แค่อยากได้ยินเสียงใสๆ ของแก้วตาดวงใจของพี่แค่นั้นเองครับ” พี่นัทพูดแล้วก็มองมาที่ผม แถมยังส่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยมาให้อีก แล้วดูตาเขาสิจะประกายแวววาวอะไรได้ขนาดนั้น

“น้ำเน่ามากครับพี่นัท แก้วตาดวงใจอะไรกัน”

ปากผมบอกแบบนั้นแต่หน้าผมนี่ร้อนแทบใหม้ ฟังๆ แล้วก็แอบเขิน พี่นัทคนบ้า

 

หลังจากทานอาหารแล้วเราก็เปิดร้านกันตามปกติ ลูกค้าก็เยอะเหมือนปกติ จนถึงช่วงดึก ลูกค้าเริ่มน้อยลง และเราก็เตรียมตัวปิดร้าน

ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์พี่นัทดังขึ้น พี่นัทละมือจากทำความสะอาดตู้เค้กมารับโทรศัพท์ คุยไม่นานพี่นัทก็วางแล้วหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้งที่ชวนให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก

“พรุ่งนี้ไปหาพ่อพี่กันครับ พาลูกสะใภ้ไปแนะนำให้คุณพ่อรู้จักซักหน่อย”

หลังจากคำพูดนั้นของพี่นัท สติผมก็ปลิวหายไปทันที คราวก่อนไปหาคุณแม่ คราวนี้ต้องไปหาคุณพ่อของพี่นัทอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวอีก

พี่นัทขับรถไปส่งผมที่ที่พัก ผมรื้อเสื้อผ้าออกมาเลือกจนตองสองหาว่าผมเพี้ยน ทำตัวเป็นผู้หญิงที่จะไปเดทแรก  นี่มันยิ่งกว่าเดทแรกอีกนะ...นี่มันไปหาพ่อพี่นัทเลย!

ผมหาชุดที่ดูสุภาพและเป็นผู้ใหญ่ที่สุด และจบลงที่ เสื้อเชิตสีขาว และกางเกงสแล็คสีดำ ในตอนแรกที่เลือก ผมก็คิดว่า ชุดนี้แหละไม่ตลกแน่นอน จนมาเจอพี่นัท คำแรกที่พี่แกทักทำเอาผมใจฝ่อเลยทีเดียว

“ทำไมใส่ชุดนักศึกษามาล่ะครับ”

ไม่~ นี่ไม่ใช่ชุดนักศึกษา ผมทำท่าจะกลับไปเปลี่ยน แต่พี่นัทไม่ยอมลากผมขึ้นรถแล้วเดินทางทันที

“พี่น่าจะให้ผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ ผมไม่มั่นใจเลยอ่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ หนึ่งอย่าคิดมากดิ พ่อพี่เขาไม่ได้เป็นคนเข้มงวดอะไรซักหน่อย”

“...” ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรออกไป ความรู้สึกหลายๆ อย่างตีกันมั่วไปหมด นี่ผมรู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวยิ่งกว่าตอนที่ไปหาแม่พี่นัทอีกอ่ะ พี่เขาเห็นว่าผมดูท่าทางกังวลก็เลยเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“อย่าคิดมากๆ พ่อพี่ใจดี อืม….ก็ถือว่าใจดีนะแต่ขี้แกล้งไปหน่อย”

ระยะทางจากร้านไปที่บ้านพี่นัทไม่ไกลมาก แต่เพราะจราจรที่ติดขัดทำให้การเดินทางนั้นค่อนข้างนาน  แต่ถึงจะนานขนาดไหน สุดท้าย เราก็ถึงจุดหมายปลายทางอยู่ดี

ผมยืนอยู่ข้างรถพี่นัทยังไม่อยากขยับไปไหน สายตาก็มองไปรอบๆ บ้านพี่นัทเป็นบ้านสองชั้น ดูทันสมัย มีสวนที่ค่อนข้างกว้าง ในโรงจอดรถที่มีรถหลายคันจอดอยู่ มีสระว่ายน้ำใหญ่ๆ  อยู่อีกด้านหนึ่งของบ้าน...นี่มันบ้านคนรวยเลยนี่หว่า ยิ่งรู้แบบนั้นผมก็ยิ่งประหม่าไปอีก

“จะยืนสิงประตูรถพี่อีกนานมั้ยครับ เข้าบ้านกันเร็ว พี่ร้อนมากเลย”

ผมส่ายหน้าน้อยๆ  พี่นัทเลยเดินมาลากผมเข้าไปในบ้าน ตื่นเต้นง่ะ

เขาพาผมมานั่งในห้องนั่งเล่น แล้วพี่แกก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ แล้วซักพักก็มีสุนัขตัวใหญ่สีขาวแต้มน้ำตาลเดินเข้ามาหาผม ผมที่เกร็งอยู่แล้วยิ่งเกร็งขึ้นไปอีก ผมเคยบอกไปรึเปล่า ว่าผมไม่ถูกกับสุนัขตัวใหญ่อ่ะ แล้วเจ้าตัวที่นั่งจ้องผมอยู่นี่ เรียกได้ว่า...ใหญ่มหึมาเลยล่ะครับ

ผมพยายามส่งยิ้มให้ บอกให้เจ้ายักษ์นั่นรู้ว่าผมมาดี ไม่ได้เป็นขโมยเข้ามาทำอะไรไม่ดีทั้งนั้น แต่เหมือนว่าเจ้ายักษ์จะดูไม่ออกหรืออยากทักทายผมก็ไม่รู้ เพราะมันทำท่าจะกระโจนใส่ผมและเห่าออกมาเสียงดัง

โฮ่ง!

“เหวอ! พี่นัท”

ผมรีบกระโดดขึ้นมายืนบนโซฟา แล้วเรียกพี่นัทเสียงดัง ผมมองไปที่หมายักษ์ไม่วางสายตา griktกลัวว่าถ้าไม่ได้สบตากับมันไว้แล้วมันจะกระโดดเข้างับหัวผมน่ะสิ

“คุณสุนัข ผ...ผมมาดีนะครับ ผมมากับพี่นัท รู้จักมั้ย?” ผมพูดเพราะๆ ใส่หมา เขาว่าหมาฟังภาษาคนรู้เรื่อง ถ้าผมพูดไปก็คงรู้เรื่องเหมือนกันแหละ

โฮ่งๆ !

“พี่นัท!” ผมแหกปากเรียกพี่นัทลั่นบาท แต่ก็ไม่เห็นหัวพี่นัทออกมาเลย พี่พาผมมาบ้านให้เป็นขนมให้หมายักษ์นี่เขี้ยวเล่นเหรอวะ...หมายักษ์นั่นเดินเข้ามาหาผม จนผมต้องกระโดดไปอยู่ที่โซฟาอีกตัว มันก็ดันตามมาอีก  ผมร้องเรียกพี่นัทและกระโดดเหยงๆ ไปมา ไอ้หมายักษ์นั่ยก็เห่าไม่หยุดอีกด้วย

หลังจากกระโดดไปมาอยู่ซักพัก หมานั้นก็กระโดดใส่ผม ผมเห็นมันอ้าปาก และผมก็เห็นเขี้ยวมันด้วย ไปแล้วว หัวผมจะโดนกัดไปแล้ว

“พี่นัท! เหวอ!”

แผล่บ! โฮ่ง แผล่บๆ

“พี่นัท! ช่วยผมด้วย”  ผมร้องเรียกและยกมือบังใบหน้าตัวเอง ตอนนี้ผมล่วงมานอนแอ้งแม่งอยู่บนโซฟาอีกตัว มีหมายักษ์อยู่ด้านบน ลิ้นใหญ่ๆ เลียไปทั่วใบหน้าและมือ น้ำลายเต็มไปหมด

“แต้ม! ออกมา”

พอเสียงเข้มๆ นั้นดังขึ้น หมายักษ์ก็กระโดดออกจากตัวผม ทำเสียงร้องหงิงน่าสงสารก่อนจะเดินไปหาคนที่เรียก

ผมพยุงตัวเองขึ้น มือก็เช็ดไปตามหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำลายเหนียวๆ  มองไปที่ผู้ชายตัวสูงโปร่ง ผมสีดำแซมสีขาวเล็กน้อย หน้าตาคล้ายพี่นัท และที่เหมือนพี่นัทสุดๆ ก็ดวงตานี่แหละ ดูขี้เล่นและเจ้าเล่ห์อย่างบอกไม่ถูก เบ้าเป๊ะขนาดนี้...พ่อพี่นัทชัวเลย

“ส...สวัสดีครับ”

ผมรีบลุกขึ้นนั่ง แล้วยกมือไหว้ ชายตรงหน้ายิ้มออกมานิดๆ แล้วก็พยักหน้า พี่นัทที่หายไปนานวิ่งหน้าตื่นออกมา

“เกิดอะไรขึ้นครับ” พี่นัทเดินเข้ามาเห็นสภาพผม แล้วก็หันไปถามคุณพ่อ

“ไปดูเด็กแกก่อนไป เกือนโดนไอ้เเต้มขย้ำคอขาดแล้วไง ถ้าพ่อมาช้าอีกนิดนะได้โดนกัดจมเขี้ยวไปแล้ว”

อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ หมายักษ์นั้นตั้งใจจะขย้ำคอผมจริงๆ สินะ ที่เลียๆ นั่นคือชิมก่อนใช่มั้ย คิดเองเออเองแล้วก็กลัวจนตัวแข็งขึ้นมาอีกครั้ง

“หนึ่งครับ เป็นอะไรมากมั้ย?”

ผมส่ายหน้า แล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะที่พี่นัทเดินเข้ามาช่วยพยุง

“พาเด็กแกไปล้างหน้าล้างตัวก่อน แล้วค่อยพาไปคุยกันที่สวนหลังบ้านนะ ล้างๆ ดีล่ะ ระวังโดนโรคจากน้ำลายหมา ไอ้แต้มนี่ยังฉีดยาไม่ครบเลย”

ประโยคท้ายเหมือนคุณพ่อหันมาคุยกับผม แต่หมายักษ์นั่นมีโรคเหรอ? ติดจากน้ำลายได้เหรอ? ผมจะติดมั้ยอ่ะ

“พ่อก็หยุดพูดแกล้งแฟนผมเถอะน่า โถ่ หนึ่งยิ่งกลัวๆ อยู่”

พี่นัทลูบหัวลูบหลังผม แล้วก็พาเดินขึ้นชั้นสอง แล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสียงดังตามหลังมา เมื่อกี้คือผมโดนแกล้งเหรอ ผมโดนคุณพ่อพี่นัทแกล้งเหรอ ในขณะที่ผมกำลังงุนงง คนตัวสูงก็พาผมเดินเข้ามาที่ห้องๆ หนึ่ง หยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าแล้วก็พาเข้าห้องน้ำ

“ก้มลงมาหน่อยครับ” เขาว่าพลางกดคอผมลงเล็กน้อย แล้ววักน้ำขึ้นมาล้างตามใบหน้าและฝ่ามือ จนน้ำลายเหนียวๆ นั่นหมดไป “เป็นอะไรครับ หนาวเหรอ น้ำเย็นไปเหรอ?”

“พี่นัทหมายักษ์เมื่อกี้จะกัดผมจริงๆ เหรอครับ”

“พ่อพี่แค่แกล้งหนึ่งเล่นเองครับ ไอ้แต้มมันเคยกัดใครซะที่ไหนล่ะ”

“แต่เมื่อกี้หมานั่นกระโจนใส่ผมเลยนะครับ แล้วตัวมันก็ใหญ่มาก ปากก็ใหญ่ เขี้ยวก็ใหญ่มาก!”

“หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดก็ต้องตัวใหญ่อยู่แล้ว แต้มมันก็แค่อยากเล่นกับหนึ่งแค่นั้นแหละครับ มันไม่กัดหรอก”

“...เหรอครับ” พี่นัทจูงผมออกจากห้องน้ำ แล้วก็พาไปลงชั้นล่าง เดินเข้าไปอีกทางของตัวบ้านแล้วก็มาโผล่อีกด้านหนึ่งที่มีสวนและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีโต๊ะตั้งอยู่ บนโต๊ะมีขนมอยู่มากมาย น้ำชา กาแฟ นมสด ครบชุด มีกลุ่มคนนั่งล้อมโต๊ะอยู่ มีคุณพ่อพี่นัท ที่พอเห็นผมเขาก็หัวเราะออกมา พี่พายที่ส่งยิ้มใจดีมาให้ผม ผู้ชายหน้าตาดีที่ซีดเซียว นั่งดมยาดมอยู่ข้างๆ พี่พาย ผู้หญิงชาวต่างชาติที่นั่งข้างๆ คุณพ่อที่ส่งยิ้มมาทางผมเช่นกัน

“แฟนผมครับ ชื่อตองหนึ่ง” พี่นัทพูดแนะนำตัวผม แล้วนั่งลง ผมสวัสดีทุกคนอย่างประหม่า

“พ่อว่าแก่คบแฟนเด็กเกินไปนะ นี่ยังเรียนอยู่เหรอ จะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์รึเปล่าล่ะ”

“อย่าแกล้งมากจะได้มั้ย ตองหนึ่งยิ่งขี้กลัวอยู่” พี่นัทพูดออกมา คุณพ่อพี่นัทก็หัวเราะ แล้วก็หันไปป้อนขนมให้ผู้หญิงชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน พี่นัทก็ส่งจานที่มีโดนัทมาให้ พร้อมด้วยชาหอมๆ อีกแก้วนึง ผมรับมานั่งกินเงียบๆ  แล้วนั่งฟังพ่อลูกคุยกัน

“แล้วที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”

“ครับ ก็เรื่อยๆ  เข้าที่เข้าทางแล้ว”

“ลูกค้าเยอะมั้ย?”

“ก็เยอะอยู่ครับ อยู่ใกล้มหาลัยด้วย เลยเหนื่อยหน่อย”

“ให้มีวันหยุดซักวันนึงบ้างสิ ไม่งั้นก็เหนื่อยเกินไปแบบนี้ หาวันหยุด หยุดงาน นอนเล่น พาแฟนไปเที่ยวบ้าง หรือต้องขยันหาตังมาเลี้ยงเด็ก ดูท่าแล้วคงกินเก่ง”

“...” ทุกคนเงียบแล้วก็หันมาที่ผมพลางอมยิ้ม

“ดูสิ...มานั่งแปปเดียวแต่กินขนมเข้าไปตั้งกี่ชิ้นล่ะ เอาอีกมั้ยหนู เดี๋ยวพ่อเข้าไปทำเพิ่มให้?”

“พ่อพอเถอะน่า จะแกล้งกันไปถึงไหน โธ่”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเด็กแกทำหน้าเข้าสิ ตลกว่ะ”

ผมเม้มปากแล้วค่อยๆ วางโดนัทลง...ก็จริงอย่างที่เขาพูดแหละครับ ผมมานั่งแค่แปปเดียว แต่กินโดนัทเข้าไปมากกว่าคนทั้งโต๊ะนี้กินซะอีก

“กินต่อเถอะตองหนึ่ง โดนัทนี่พี่ทำเองนะ ทำไว้เยอะเลย ถ้าหนึ่งไม่กินก็เหลือทิ้ง พี่ก็เสียดาย”

พี่พายพูด แล้วส่งโดนัทให้ผมอีกสองชิ้น ผมเหลือบมองคุณพ่อพี่นัทนิดหน่อย แต่ก็รับมา...ก็เกรงใจพี่พายนี่ครับ เขาอุตส่าห์ส่งให้แบบนี้ ถ้าไม่รับมาก็เสียมารยาทสิ

“พาย กินขนมเยอะเหรอ อ้วนขึ้นเยอะเลย” พี่นัททักพี่พาย ผมก็คิดว่าพี่พายอ้วนขึ้นนะ ดูอวบๆ ขึ้นมากเลยอ่ะ

“ไม่อ้วนสิแปลก พายอยากกินอะไร คุณมาคัสก็ไปหามาให้หมด พายได้กินอย่างมีความสุข ส่วนตัวเองก็มานั่งแพ้ท้องแทนเมียจนหมดสภาพแบบนั้นไง” คุณพ่อพี่นัทพูดแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“แพ้ท้อง พายท้องเหรอ!” พี่นัทตกใจ ผมก็ตกใจเหมือนกัน ส่วนพี่พายก็หันไปหาชายที่นั่งข้างพลางยิ้มกว้างออกมา

“ใช่ค่า 3 เดือนแล้ว โอ๊ย!”

พี่นัทเอื้อมมือไปเขกหัวพี่พายเล็กน้อย ข้อหาที่ไม่บอกข่าวอะไรพี่นัทเลย แล้วเขาก็หันไปพูดกับผู้ชายที่ชื่อมาคัส

“หนูๆ ชื่อหนึ่งใช่มั้ย” 

“ค...ครับ” พ่อพี่นัทหันมาคุยกับผม ผมพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมวางโดนัทในมือลง

“ลุงชื่อกรนะ ผู้หญิงสวยๆ คนนี้ชื่อลิซ่า เมียลุงเองแหละ” ผู้หญิงที่ชาวต่างชาติหันไปตีคุณพ่อพี่นัทเบาๆ

“สวัสดีครับคุณลิซ่า” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าและส่งยิ้มดูใจดีให้ผม อืม...สวยจริง ๆ

“คบกับไอ้นัทมานานแค่ไหนล่ะ”

“ป...ประมาณ 10 เดือนได้แล้วครับ”

“อืม...แล้วมันได้พาหนูไปหาแม่มันบ้างยัง คุณแก้วตาน่ะรู้จักมั้ย?”

“ครับ ก็พาไปหลายครั้งแล้ว”

“อุแหม่! ไอ้นี่ พาไปหาแม่ตั้งหลายครั้งแต่พึ่งจะพามาหาพ่อ ลำเอียงจริงๆ เลยเว้ย” ลุงกรพูดแล้วปรายตาไปทางพี่นัทที่คุยกับคุณมาคัสอยู่

“...”

“แล้วเราทำงานกับมันด้วยใช่มั้ย? มันขายดีรึเปล่า? มีขาดทุนหรือได้กำไรเยอะมั้ย? มีปัญหาอะไรที่ร้านรึเปล่า? เอาขนมค้างคืนให้ลูกค้าบ้างรึเปล่า?”

“เอ่อ คือว่า…” ผมกุกกัก หลุบตามองมือตัวเอง เพราะพอเขาถามมาแบบนั้นผมก็ตอบไม่ถูกเลย ก็ผมไม่ค่อยรู้เรื่องขาดทุนหรือกำไรของร้านเท่าไรนี่ครับ เวลาพี่นัทนั่งทำบัญชี ผมก็เอาแต่นั่งเล่น นอนเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่เคยได้ช่วยพี่นัทเลย

“บอกความจริงมาเลยหนู ไม่ต้องกลัวหรอก”

“เอ่อ….ก็ขายดีครับ เรื่องกำไรกับขาดทุนอะไรผมไม่รู้เรื่องครับ” ผมตอบเสียงเบาๆ จนลุงกรต้องเอียงหูฟัง ก็แบบว่ายังไม่ชินอ่ะ แถมยังมีหมายักษ์ที่เดินมานั่งจ้องหน้าอีก ผมก็เริ่มกลับมาเกร็งอีกครั้ง

“ตอบมาตามตรงเถอะน่า ถ้าไม่พูดลุงจะสั่งให้ไอ้แต้มไปกระโดดงับคอเอานะ ดูสิ ท่าทางมันคงอยากเขี้ยวคอหนูแหละ”

พูดเสร็จ ลุงกรก็หันไปกระดิกนิ้วเรียกหมายักษ์นั้นให้ลุกขึ้น แล้วเดินเข้าใกล้

“อ่า...พี่นัทเปิดร้านสายบ่อย แต่ลูกค้าก็เยอะครับ เค้กขายหมดทุกวัน ไม่เคยเอาเค้กค้างคืนให้ลูกค้าครับ” ผมพูดออกไปอย่างเร็วจนลืมหายใจ เพราะหมานั่นดันเอาปากใหญ่ๆ มาวางเกยบนตักผม ผมที่ไม่ถูกกับหมาตัวใหญ่ก็กลัวสิครับ

“เหรอ~ ดีๆ”

“พ่อแกล้งอะไรแฟนผมอีกเนี่ย คุณแม่ลิซ่าก็ไม่ห้ามพ่อเลยนะครับ สงสารตองหนึ่งบ้างสิ กลัวจนสั่นไปหมดแล้วครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ลุกขึ้นดึงคอหมายักษ์นั่นให้เดินไปทางอื่น

“แหม แค่พูดด้วยนิดหน่อยทำเป็นหวงนะ”

“ก็พ่อชอบแกล้ง หนึ่งกลัวไอ้แต้ม พ่อก็ยังพาให้แต้มมาแกล้งแฟนผมอีก”

“พ่อพามันมาที่ไหน แต้มมันชอบเด็กแกหรอกเลยอยากเล่นด้วยแค่นั่นเอง”

“พ่อเป็นคนสั่งไม่ใช่รึไงครับ พ่อชอบแกล้งทุกคนแบบนี้ ผมเลยไม่อยากจะพาใครมาบ้านซักเท่าไรเลย”

“โถ น้องโดนัทที่ติดพ่อเมื่อก่อนหายไปไหนแล้ว ตอนนี้กลายเป็นพี่นัทที่ติดแฟนไปซะแล้ว”

“พ่อ!” พี่นัทตะเบ็งเสียง มองหน้าพอ่ตัวเองเลิ่กลั่กก่อนจะหันมามองผม

“แหน่ะ ดูสิ ลิซ่าจ๋า น้องโดนัทที่น่ารักและขี้อ้อนของคุณเสียงดังใส่ผมด้วยแหละ” ลุงกรหันไปหันไปฟ้องคุณลิซ่าที่นั่งหัวเราะอยู่

ผมหน้าแดงนิดหน่อยที่ถูกพาดพิงว่าพี่นัทติดผม แต่ก็หลุดยิ้มออกมากับชื่อที่ลุงกรเรียกพี่นัท แล้วก็ท่าทางอายปนโกรธๆ ของพี่เขาด้วย

“พอเถอะน่า ผมว่าผมกลับดีกว่า อยู่ไปพ่อก็แกล้งแฟนผมอีก”

“จะกลับเอาขนมกลับไปด้วย ดูท่าทางเด็กแกจะชอบกิน”

พี่พายลุกขึ้นจัดการเอาโดนัทหลากรสใส่กล่องให้ผมหลายชิ้น แล้วก็ยื่นให้พี่นัท

“ผมไปแล้วนะครับ” พี่นัทเดินเข้าไปกอดคุณลิซ่า แล้วก็แวะเขกหัวพี่พายนิดหน่อย แล้วก็เดินจูงผมออกมา แต่ลุงกรก็ตะโกนตามหลังมาด้วย

“พาเด็กแกมาบ้านบ่อยๆ นะ พ่อชอบแกล้งง่ายดี” ผมได้ยินแล้วก็หันไปหาพี่นัท คนตัวสูงส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ พอเดินมาถึงรถ ผมก็เห็นหมายักษ์ที่วิ่งอยู่ตามสนาม วิ่งตรงดิ่งเข้ามาหาผม

“เหวอ! หยุดเลยนะ!”

ผมตกใจที่เห็นมันวิ่งน้ำลายเยิ้มมาหาผม เลยเผลอเสียงดังและออกคำสั่งไป เจ้าหมาที่วิ่งๆ อยู่เกือบถึงตัวผมก็ค่อยๆ หยุด และยืนจ้องหน้าผมนิ่ง

โฮ่งๆ !

“หนึ่งลองสั่งให้มันนั่งดูก็ได้ครับ แต้มมันเป็นหมาโดนฝึกมาแล้ว”

“งั้น...นั่ง!” ผมหันไปพูดคำเดียว เจ้าหมายักษ์ก็นั่งลงอย่าว่าง่าย

โฮ่ง!

“งั้นไปแล้วนะ บ๊ายบาย เจ้าแต้ม” ผมโบกมือบ๋ายบายให้หมา แล้วก็ขึ้นรถมา พี่นัทส่งกล่องโดนัทให้ผมแล้ว ก็ออกรถ ผมเปิดกล่องหยิบโดนัทขึ้นมากิน ป้อนพี่นัทบ้างเป็นระยะๆ

“อร่อยมั้ยครับ?”

“ครับ พ่อพี่ชอบกินโดนัทเหรอ?”

“อืม ก็ชอบมั้งครับ แค่คงชอบพวกเค้กมากกว่า ที่วันนี้ทำโดนัทเพราะคุณแม่ลิซ่าน่าจะอยากกิน พ่อเลยให้พายทำ”

“แล้วทำไมเขาไม่ตั้งชื่อพี่ว่าน้องเค้กแทนน้องโดนัทล่ะครับ...” พี่นัทหันมามอง ผมส่งยิ้มล้อๆ ไปให้ ตามด้วยเสียงหัวเราะขบขันเล็กน้อย

“เดี๋ยวเถอะนะ เดี๋ยวคืนนี้พี่ไม่ให้กลับห้องเลยนี่”

“อุ๊บส์ ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมและพี่นัทหัวเราะออกมา หันกลับมานั่งกินโดนัทต่อ พี่นัทหันมามองบ่อยๆ ผมก็เลยฉีกแป้งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนให้ แต่นัทก็ส่ายหน้าไม่กิน

“หนึ่งชอบโดนัทมากเหรอครับ”

“ชอบที่สุดเลยครับ”

“ชอบเท่าโดนัทที่เป็นคนมั้ยครับ?”

“...” ผมอมยิ้มขำพลางส่ายหน้า พูดไม่ได้เพราะผมเคี้ยวอยู่เต็มปาก

“โถ่ พี่น้อยใจ โดนัทคนแพ้โดนัทขนม”

“ผมชอบโดนัทที่เป็นขนม แต่ผมรักน้องโดนัทที่เป็นคนครับ”

“พูดได้ดี! ไหนๆ วันนี้ก็ปิดร้านแล้ว เดี๋ยวกลับไปพี่จะป้อนโดนัทให้กินทั้งวันเลย ดีมั้ย?”

“ไม่ไหวแล้วครับ ผมอิ่มมาก ในท้องมีแต่แป้งโดนัทเต็มไปหมด”

“พี่ก็ไม่ได้จะป้อนโดนัทที่เป็นขนมซักหน่อย” เขาพูดเสียงกะล่อนพล่งยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมส่ายหน้าแล้วพูดกลับไป

“...แล้วโดนัทนั้นอร่อยมั้ยครับ”

“หนึ่งก็กินมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่...อร่อยดีมั้ยล่ะ?”

พี่นัทคนบ้า...คนหื่นด้วย!



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นัท...มาจากโดนัทนี่เอง

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
คนพี่ลามก  o18

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
21 : ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับ


พี่นัทไม่ได้พาผมกลับร้านแต่พามากินข้าวและดูหนังแทน ผมกอดป็อบคอร์นถังใหญ่และยืนดูดน้ำที่ตนตัวสูงยื่นมาป้อนให้ถึงปาก รอเวลาหนังเข้าฉาย

“ถังใหญ่ขนาดนี้ หนึ่งกินหมดแน่นะครับ”

“หมดแน่นอนครับ” ผมตอบอย่างมั่นใจ ทุกครั้งที่ผมมาดูหนังผมจะสั่งถังประมาณนี้ตลอด และกินหมดทุกครั้งด้วย ตอนที่ดูหนังผมจะไม่ชอบให้ปากตัวเองว่าง มันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ป็อบคอนถังใหญ่แบบนี้มีปริมาณพอดีๆ ให้ผมเคี้ยวจนหนังจบเลยครับ

“ทำไมกินเก่งจังครับ กินโดนัทหมดไปกล่องนึงแล้ว ก็ยังกินข้าวไหว นี่มาดูหนังก็อุ้มป๊อปคอร์นถังใหญ่มากินอีก”

“ผมก็กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ครับ ปกติ”

“กว่าจะเลี้ยงมาโตขนาดนี้ พ่อแม่เลี้ยงไหวได้ไงเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า”

“พ่อแม่ผมอ่ะเลี้ยงไหว แล้วพี่นัทอ่ะเลี้ยงผมไหวไหมครับ?” ผมส่งยิ้มทะเล้นไปให้คนตัวสูง

“คิดว่าพี่ไหวมั้ยล่ะครับ เลี้ยงมาเป็นปีแล้วเนี่ย แถมยังขุนให้น่ารักกว่าเก่าได้อีกด้วย”

พี่นัทพูดพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางดึงแก้มผมไปด้วย ผมเองก็ขยับไปใกล้ๆ ทำทีเป็นเอาหัวถูต้นแขนไปมาอย่างออดอ้อน

“ถ้าพี่นัทเลี้ยงไหว ก็เลี้ยงผมไปนานๆ นะครับ”

“พี่อยากจะเลี้ยงหนึ่งไปตลอดชีวิตเลยครับ”

ได้ยินพี่นัทพูดแบบนั้น ใจผมก็เบิกบาน พองฟูเหมือนข้าวโพดที่โดนความร้อนและกลายเป็นป็อปคอร์นอย่างไรอย่างนั้นเลย ผมหันมองรอบๆ ตัวนิดหน่อย พอเห็นว่าไม่มีคนก็เขย่งเท้าขึ้นจุ๊บแก้มเขาไปทีนึงเป็นรางวัลที่เขาพูดได้ถูกใจ

“ไม่กลัวคนอื่นเห็นเหรอครับ?”

“มันมืด...ไม่มีใครเห็นหรอกครับ”

“งั้นเข้าโรงหนังกันเถอะ ในนั้นมืดกว่าตรงนี้อีกครับ”

พูดจบพี่นัทก็ดันหลังผมเดินเข้าไปในโรงหนังที่หนังรอบเก่าเพิ่งฉายจบและมีคนมากมายเดินออกมาพอดี  ผมเดินตามพี่นัทไปยังที่นั่ง เขาเลือกเก้าอี้ฮันนีมูนแถวหลังสุด เห็นเก้าอี้กว้างๆ แล้วมันน่าทำอะไรอย่างอื่นมากกว่าดูหนัง...ผมหมายถึงนอนหลับนะครับ ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นเลย

“เก้าอี้เขากว้างดีเนอะ ไม่เสียแรงที่จ่ายแพง” พี่นัทพูดแล้วก็หันมายิ้มกรุ้มกริ้มกับผม เห้อ...ผมอ่ะไม่ได้คิดอะไร แต่คนที่นั่งข้างผมนี่สิ คิดแน่นอน

เรานั่งรอกันไม่นาน คนอื่นก็ทยอยเข้ามาเรื่อย และเพราะเป็นหนังใหม่ที่ใครๆ ก็อยากดู คนเลยเต็มทุกที่นั่ง พี่นัทที่จ้องจะจับตรงนั้นแตะตรงนี้ของผมก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อมากนัก อย่างมากก็แค่แอบหอมแก้มนิดหน่อยแต่เพราะเรานั่งหลังสุดและมันก็มืด ผมก็เลยไม่ได้หันไปว่าอะไร ผมกินป็อปคอร์นจนหมดถังพอดีกับที่หนังจบ เราก็เดินออกมา พี่นัทพาผมไปซื้อของวัตถุดิบทำเค้กต่อ พอได้ของที่ต้องการครบแล้วเขาก็พาไปที่รถ ผมนึกว่าเราจะกลับกันแล้วแต่พอเก็บของไว้ท้ายรถเสร็จ พี่นัทก็พาผมเดินเข้าห้างอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้พี่นัทพาผมมาที่แผนกเสื้อผ้าแทน

“หนึ่ง เอาตัวนี้ไปลองให้พี่หน่อย”

“พอแล้วพี่นัท ผมเหนื่อยแล้วอ่ะ เมื่อยด้วย” ผมเริ่มงอแง ก็ผมโดนพี่นัทจับลองชุดมาเป็น 10 ชุดแล้วมั้ง ออกร้านนั้นเข้าร้านนี้จนผมงงไปหมด พี่นัทอ่ะชอปปิ้งเก่งกว่าผู้หญิงอีกมั้งเนี่ย

“ชุดสุดท้ายแล้วครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ยื่นเสื้อมาให้ผม ผมรับแล้วก็เดินเข้าห้องลองเสื้อไปอย่างเสียไม่ได้ ผมถอดเสื้อตัวเก่าออก ใส่เสื้อยืดสีชมพูอ่อนที่มีรูปหัวใจสองดวงเล็กๆ ปักตรงอกซ้าย ผ้าเนื้อดีใส่สบาย พอเสร็จผมก็ออกจากห้องลอง เพื่อไปให้พี่นัทพิจารณา แต่พอเดินออกมาก็เห็นพี่นัทที่ใส่เสื้อแบบเดียวกับผมอยู่

“อ้าว พี่ก็เข้าไปลองเอง แล้วพี่จะให้ผมลองด้วยทำไมล่ะครับ”

“หยุดบ่นก่อนสิครับ” พี่นัทดึงผมให้ยืนตรงหน้ากระจกบานใหญ่ในร้าน พี่นัทยืนข้างๆ ผมแล้วก็ยิ้ม “เหมือนเสื้อคู่เลยครับ น่ารักมากเลยเนอะ”

“ครับ น่ารักมาก ผมชอบตรงลายปักรูปหัวใจตรงนี้…”ผมมองดูเงาในกระจก แล้วยิ้มออกมา

“พี่ไม่ได้หมายถึงเสื้อ พี่หมายถึงตองหนึ่งครับ น่ารักมากเลย”

ชมมาแบบนั้นผมก็เขินสิครับ พอหันหนีไปอีกทางก็เจอคุณพนักงานยืนยิ้มอยู่ ยิ่งเพิ่มความเขินความอายให้ผมไปอีก จะเสี่ยวก็ดูสถานที่หน่อยสิพี่นัท

“ผมเอาสองตัวนี้นะครับแล้วก็รบกวนเอาเสื้อนี่ใส่ถุงให้ด้วยครับ พวกผมจะใส่เสื้อตัวนี้ออกไปเลย”

พี่หันไปคุยกับพนักงานแล้วยื่นเสื้อตัวเก่าของผมกับพี่นัทไปใส่ถุงแทน

หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วพี่นัทก็พาผมเดินออกมา แล้วก็บอกว่าจะกลับแล้วจริงๆ  แต่ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่รถ พี่นัทหยุดกึก มองไปที่บางอย่างเขม็ง ผมมองตามก็เห็นร้านชุดชั้นในชาย และดูจากสายตาแล้ว พี่นัทกำลังมองไปที่หุ่นสีขาวที่ใส่กางเกงในสีขาวขอบชมพูอ่อนที่ด้านข้างเว้าสูงจนผมคิดว่านั่น ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ชายใส่แน่นอน

“พี่นัทอยากได้ตัวนั้นเหรอครับ”

“อยากได้ครับ” พี่นัทออกมาตาเป็นประกายวิ้งๆ  ผมก็เห็นกางเกงในพี่นัทมาหมดแล้วนะ แต่ไม่เคยเห็นว่าพี่นัทจะมีทรงแบบในหุ่นนั่นเลย หรือว่าพี่นัทอยากลองใส่แบบใหม่ แต่ผมว่าพี่นัทไม่น่าจะใส่ได้นะ เว้าสูงขนาดนั้น แล้วจะเก็บอะไรยังไงอ่ะ

พี่นัทพาผมเข้าไปในร้าน พนักงานรีบเดินมาต้อนรับทันที

“ผมอยากได้ตัวที่เหมือนในหุ่นหน้าร้านครับ”

“ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต้องการขนาดอะไรครับ?”

“เอสครับ”

อืม พี่นัทใส่กางเกงในไซส์เดียวกับผมเลยอ่ะ...



หื้ม ใช่เหรอ? พี่นัทตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ…เดี๋ยวนะ ทำไมผมรู้สึกทะแม่งๆ

“พี่ซื้อให้ใครครับ”

“ให้หนึ่งไงครับ” พอผมถามออกไปปุ๊บ พี่นัทก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนคิดไว้ก่อนแล้ว

“ไม่เอา! ผมไม่ใส่นะพี่นัท” แน่นอนว่าผมก็ปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“ต้องใส่สิครับ พี่ซื้อแล้วเนี่ย” พี่นัทพูดเป็นเวลาเดียวกับที่ยื่นบัตรให้พนักงานและรับถุงมา

“ถึงพี่จะซื้อมาแล้ว ผมก็ไม่มีทางใส่”

“หนึ่งต้องได้ใส่แน่นอนครับ” พี่นัทพูดออกมาอย่างมั่นใจ รับบัตรคืนจากพนักงานแล้วก็พาผมเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้าน

“ผมไม่ได้ใส่ด้วยความเต็มใจแน่นอนครับ” ระหว่างทางผมก็บ่นๆ เรื่องนี้ไปตลอด พี่นัทคงรำคาญหรือขี้เกียจฟังก็เลยเปลี่ยนเรื่องชวนผมคุยเรื่องอื่น ถึงจะชวนคุยเรื่องอื่น แต่ผมก็ไม่ลืมเรื่องกางเกงในแน่นอน

ระหว่างที่ขับรถนั้นเสียงจากเรียกเข้าโทรศัพท์พี่นัทดังขึ้น เขาหยิบหูฟังบลูทูธมาสวมเพื่อขับรถไปด้วยและคุยไปด้วย คุยได้สักพักพี่นัทก็วางสายแล้วก็หันมาเล่าให้ผมฟัง

“อีกสองวันจะมีคนมาดูร้านครับ เขาจะเอาร้านเราไปแนะนำในเว็บไซต์ของเขา”

พอพี่นัทพูดชื่อเว็บไซต์นั้นออกมาผมก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย เว็บไซต์นั้นเป็นเว็บที่ค่อนข้างดัง คอยรีวิวร้านอาหารหรืออะไรหลายๆ อย่าง ถ้าเขามารีวิวร้านพี่นัท ลูกค้าก็ต้องเยอะขึ้นแน่ๆ

“ว้าว ดีอ่ะ พี่นัทเก่งจัง”

“แน่นอนครับ พี่เก่ง หล่อด้วยนะ” ผมไม่เถียงเพราะมันคือเรื่องจริง พี่นัททำขนมเก่ง ทำอะไรๆ ก็เก่ง รู้สึกภูมิใจที่มีแฟนเก่งแถมหล่อ

หลังจากฝ่าการจราจรสุดโหด พี่นัทก็ขับรถมาส่งผมที่ที่พัก ส่งถุงเสื้อผ้าให้ผม

“ทำไมมันเยอะจังอ่ะ ผมนึกว่าของผมมีแค่ถุงเดียว”

“จะถุงเดียวได้ไงล่ะครับ หนึ่งลองไปตั้งหลายชุดไง”

“พี่ซื้อมาหมดนั่นเลยเหรอ?” พี่นัทส่งยิ้มมาให้

“ก็มันน่ารักนี่ครับ หนึ่งลองใส่แล้วพี่ชอบ พี่ก็เลยซื้อมา”

“ไม่เห็นต้องซื้อให้เยอะขนาดนี้เลย ผมเกรงใจ”

“ก็พี่ชอบนี่ครับ พี่อยากให้คนที่พี่รัก ใส่สิ่งของที่พี่ชอบ พี่จะได้ทั้งรักทั้งชอบหนึ่งมากขึ้นไปอีก” พูดจบพี่นัทยื่นหน้ามาจุ๊บที่ปากผมแล้วก็ผละออก ผมที่ตอนแรกว่าจะบ่นก็กลายเป็นนั่งเขินเงียบๆ  บ่นไม่ลงอ่ะ

“ผมไปดีกว่า ตองสองรออยู่” ผมหอบถุงลงจากรถ แต่ก่อนที่จะปิดประตูพี่นัทจับมือผมไว้แล้วก็พูด

“พรุ่งนี้หนึ่งมาเช้าๆ อีกนะครับ มาคอยปลุกพี่”

“พี่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกสิครับ”

“พี่อยากให้หนึ่งปลุกพี่แบบเมื่อวานอ่ะครับ พี่รู้สึกกระชุ่มกระชวยทั้งวันเลย”

“กลับดีๆ นะครับ” ผมถอนหายใจ แล้วก็วิ่งหน้าแดงขึ้นห้องมาเลย พี่นัทไปว่าพ่อตัวเองว่าขี้แกล้ง ตัวพี่นัทเองก็แกล้งผมเหมือนกันน่ะแหละ บู่ววว

 

สองวันผ่านไป ตอนนี้ผมกับพี่นัทกำลังหัวหมุนกับการเตรียมร้าน เตรียมเมนูขนมเพื่อต้อนรับตัวแทนจากเว็บไซต์ที่จะเข้ามาทำการรีวิว แต่รอตั้งแต่เช้าจนบ่ายเขาก็ยังไม่มากัน ผมกับพี่นัทก็มัวแต่พะวักพะวงตื่นเต้น แต่ดูๆ ไปแล้วเหมือนผมจะตื่นเต้นกว่าพี่นัทซะอีก พี่นัทแค่ก็รับออเดอร์กับลูกค้าตามปกติ มีแค่ผมคนเดียวที่ลุกลี้ลุกลน กังวลว่าเขาจะมากันตอนไหน

“หนึ่งใจเย็นๆ สิครับ เลิกถูโต๊ะได้แล้วครับ เสิร์ฟโต๊ะสี่ครับ” พี่นัทยื่นถาดขนมมาให้ผมไปเสิร์ฟ แล้วก็เดินกลับมาช่วยพี่นัทตรงเคาน์เตอร์ต่อ

“รับอะไรดีครับ” พี่นัทรับออเดอร์จากลูกค้าคนใหม่ ผมไม่ได้สนใจอะไรเพราะมัวแต่เรียงเค้กในตู้ให้สวยงามเตรียมพร้อมเอาไว้

“ผมมาจากเว็บไซต์ที่ติดต่อไว้ครับ”

ผมเงยหน้าจากตู้เค้กขึ้นมองทันที เป็นผู้ชายสูงโปร่งคนหนึ่งใส่เสื้อสีดำในมือมีสมุดกับปากกาอยู่ มากันแล้วสินะ ผมคิดอย่างตื่นเต้น รู้สึกประหม่าเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง

พี่นัทรับออเดอร์ตามปกติ แล้วก็หันมาสั่งผมให้ตักเค้กใส่จาน เขาสั่งขนมหลายอย่าง น้ำหลายแก้ว ผมก็แอบแปลกใจนิดหน่อย มาคนเดียวจะทานหมดเหรอ ผมเดินถือบรรดาขนมไปเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วก็พูดแนะนำเค้กไปด้วย เขาก็ก้มหน้าจดยิกๆ ในสมุด มีถามแทรกบ้างเป็นบางครั้ง

“หนึ่ง...ตองหนึ่ง”

ระหว่างที่ผมกำลังแนะนำอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกผม เป็นเสียงผมค่อนข้างคุ้นเคย ผมหันกลับไปมองก็เจอผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สะพายกล้องตัวเขื่อง ผมสั้นเซ็ตเข้าทรงอย่างดี ท่าทางคุ้นตา รอยยิ้มและน้ำเสียงที่คุ้นเคย

“....พี่ยุ!” พี่วายุ หรือที่ผมเรียกสั้นๆ กันว่ายุ เขายิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหา

“นึกว่าจะจำพี่ไม่ได้แล้ว”

“จำได้ครับๆ ” ผมยิ้ม พี่เขาเป็นพี่รหัสของผมตอนที่เรียนมหาลัย เขาคอยช่วยผมตลอด ช่วยทุกอย่าง ทั้งการเลือกกล้องเลือกเลนน์ที่จำเป็น การถ่ายรูปแล้วก็เป็นคนแนะนำงานหลายๆ อย่างให้ผมด้วย แต่พอพี่เขาเรียนจบออกไป เราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จนมาถึงตอนนี้

“ตอนนี้หนึ่งทำงานที่นี่เหรอ”

“ครับผม” ผมยิ้มและพยักหน้ากลับไป

“พาร์ทไทม์?”

“ฟูลไทม์ครับ”

“อ่าวเหรอ แล้วยังได้ถ่ายรูปอยู่มั้ย?” พี่วายุนั่งลงตรงโต๊ะของคนจากเว็บไซต์ ดูจากเสื้อและกล้องแล้ว พี่วายุคงทำงานนี่อยู่แน่ๆ เลย

“ก็ถ่ายพวกเมนูของที่ร้านนี้ลงทางเพจครับ รูปทั้งหมดเป็นฝีมือผมหมดเลย” ผมยืดเล็กน้อย รูปสวยๆ ในเพจอ่ะผีมือผมถ่ายหมดเลยนะครับ

“เอ้อ พี่เสียดายฝีมือเราอ่ะ หนึ่งถ่ายรูปแนว close up สวยนะ พี่ชอบ”

“ขอบคุณครับ แต่สวยสู้พี่ไม่ได้หรอกมั้ง ได้ทำงานเว็บดังด้วย”

“อยากลองมาทำงานกับพี่มั้ย แนวถ่ายอาหารแบบนี้แหละ เดี๋ยวพี่แนะนำกับเจ้านายให้เอง”

“จริงเหรอครับ!” ผมตื่นเต้นตาโต พี่ยุพยักหน้าแล้วก็หัวเราะ

“เจ้านายพี่ต้องชอบแน่ๆ  ถ่ายแนวๆ นี้อ่ะ”

ผมยิ้มแล้วก็พยักหน้า รู้สึกตื่นเต้นเรื่องการถ่ายรูป ผมยืนคุยเรื่อยเปื่อยกับพี่วายุและเพื่อนพี่เขา คุยเรื่องทั่วไป ทั้งเรื่องงานเรื่องข้อมูลของร้าน ผมเดินหน้าบานกลับมาพี่นัทที่กำลังเตรียมเครื่องดื่มอยู่

“คุยจ้อเชียว หายตื่นเต้นแล้วเหรอครับ” พี่นัทถามแล้วก็วางแก้วใส่ถาดให้ผม

“ครับ เจอคนรู้จัก ก็เลยคุยง่าย”

“คนรู้จัก? คนจากทางเว็บไซต์ด้วยเหรอครับ”

“ใช่ครับ พี่ผู้ชายที่เป็นตากล้อง พี่รหัสผมเองครับ โลกกลมเนอะ”

“ยิ้มแป้นเชียว แต่หายเกร็งก็ดีแล้ว เขาถามอะไรบ้างครับ”

“ก็เรื่องขนมทั่วไปครับ ส่วนเรื่องที่มาของร้านเขารอพี่นัทครับ”

“เหรอครับ ทำแก้วนี้เสร็จเดี๋ยวพี่ก็ไปเสิร์ฟเองละกัน”

“ครับ พี่นัทครับ เมื่อกี้พี่วายุที่เป็นพี่รหัสผมอ่ะ ชวนผมไปทำงานกับเขาด้วยครับ เขาดูรูปในเพจของร้านที่ผมถ่ายแล้วเขาก็ชอบ บอกว่าเจ้านายเขาก็ชอบแนวๆ ที่ผมถ่ายอยู่”

“...” ผมพูดไปยิ้มไปจนลืมดูท่าทางของพี่นัท

“แล้วพี่ยุก็บอกจะแนะนำผมกับเจ้านายให้ด้วย”

“...แล้วหนึ่งจะไปทำกับเขาเหรอครับ” พี่นัทหยุดมือแล้วก็หันมาถามผม

“เอ่อ...ไม่...ไม่หรอกครับ” พี่นัทยิ้มแล้วก็หันกลับไปทำงานต่อ

“...” พอเห็นท่าทางแบบนั้นของพี่นัทผมก็หยุดพูดเรื่องนั้นทันที ผมเงียบ พี่นัทก็เงียบด้วย

พอทำเครื่องดื่มเสร็จพี่นัทก็ยกไปเสิร์ฟด้วยตัวเอง พูดคุยกันถ่ายรูปกันนิดหน่อย พี่นัทก็กลับมารอรับออเดอร์ที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิม  บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัดยังไงไม่รู้อ่ะ ผมจึงพยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อให้บรรยากาศกลับมาดี

“พี่นัทครับ วันจันทร์หน้าตองสองก็ไปทำงานแล้วก็ไม่ค่อยกลับห้อง ผมสามารถมากลับมานอนกับพี่ได้แล้วนะครับ” ตองสองทำงานกับนิตยสารการท่องเที่ยวที่ต้องออกเดินทางบ่อยมาก ทำให้ไม่ค่อยกลับห้องซึ่งสองเริ่มงานอีกสี่วันข้างหน้า ผมก็สามารถมานอนกับพี่นัทตามปกติก่อนหน้านี้ได้แล้ว

“จริงเหรอครับ ดีจังเลย พี่อยากจะฟัดหนึ่งมากๆ เลย จะลงแดงตายอยู่แล้วเนี่ย”

ผมยิ้มและหัวเราะออกเมื่อพี่นัทกลับมามีท่าทางปกติ  สงสัยเมื่อกี้ผมคงกังวลไปเองแหละ เรื่องนั้นแค่เล่าให้พี่นัทฟัง ไม่ได้จะไปทำงานกับพี่วายุจริงซักหน่อยนี่

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมก็อยากโดนพี่นัทฟัดจะแย่แล้ว”

“อย่าพูดแบบนั้นเชียว เดี๋ยวพี่ก็ทนไม่ไหวหรอกครับ โอ๊ยๆ  อย่าทำหน้าน่ารักแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็จับฟัดกลางร้านนี่เลย”

“อย่านะ ผมหนีก่อนดีกว่า” พี่นัทจะเดินเข้ามาหาพร้อมอ้าแขนออก ผมแกล้งร้องแล้วเดินหนีไปหลังร้าน

“ฮันแหน่! เดินไปทางหลังร้านแบบนั้น คือชวนพี่ใช่มั้ยครับ?”

“ไม่ใช่ซักหน่อย ผมหนีพี่ตังหาก!”

“หนีมาหลังร้านนี้ หนีเท่าไรก็หนีไม่พ้นหรอกครับ” พี่นัทกอดผมแน่นแล้วซุกหน้าลงที่ซอกคอ ผมหัวเราะออกมาเพราะจักจี้ ยิ่งเขาคลอเคลียปลายจมูกลงมาแรงผมยิ่งหัวเราะดังขึ้น

“คิก พอก่อนครับ ต้องกลับไปหน้าร้านแล้วนะ”

ผมกับพี่นัทเดินออกมาหน้าร้าน แล้วต่างทำหน้าที่กันต่อ

 

“ขนมอร่อยมากเลยครับ การเดินทางก็สะดวกมีลานจอดรถอีกตังหาก พอรีวิวถูกแชร์แล้ว ร้านนี้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่นอนครับคุณนัท เตรียมรับมือได้เลย” เพื่อนพี่วายุพูด พี่นัทจัดการห่อขนมที่เขาทานไม่หมดใส่กล่องแล้วยื่นให้พี่วายุ

“ขอบคุณมากเลยนะครับ ที่ให้โอกาสร้านเล็กๆ ของผม”

“ครับ ทางเราขอตัวก่อนนะครับ พี่ไปก่อนนะหนึ่ง ว่างๆ จะแวะมาคุยด้วย”

พี่วายุบอกพี่นัทและหันมาคุยกับผมพร้อมทั้งยื่นมือมาขยี้หัวผมอีกด้วย หลังจากนั้นก็เดินหิ้วน้ำและขนมออกจากร้านไป  ผมหันยืนโบกมือยิ้มส่งอยู่ พอหันกลับมาก็เจอพี่นัทที่ยืนหน้าบึ้งอยู่

“สนิทกันจังเลยนะ”

“ครับ เมื่อก่อนสนิทกว่านี้อีก พี่ยุเขาช่วยผมทุกอย่างเลยครับ”

“เหรอ ช่วยอะไรบ้างครับ”

“ก็หลายๆ อย่าง ทั้งช่วยทำงาน ให้ผมยืมกล้อง แนะนำการเรียน ช่วยสอนเทคนิคต่างๆ ให้เยอะแยะมากเลยครับ หางานให้ผมทำด้วยนะ บางครั้งพาผมไปเที่ยว พาไปถ่ายภาพ แถมพาผมไปเลี้ยงข้าวบ่อยๆ ด้วย เป็นพี่รหัสที่ดีมากๆ เลยครับ”

“เหรอครับ...แล้วพี่กับเขา ใครดีกว่ากันครับ หนึ่งสนิทกับใครมากกว่ากันครับ”

ผมหันไปมองหน้าพี่นัทอีกที โอโห หน้านี่ตูมเชียว นี่ต้องไม่พอใจอยู่แน่ๆ เลย

“ผมต้องสนิทกับพี่นัทมากกว่าอยู่แล้วสิครับ”

“...”

“พี่วายุอ่ะแค่พี่รหัส แต่พี่นัทอ่ะ...”

“พี่ทำไมครับ”

“พี่อ่ะแฟนสุดที่รักของผมเลยนะครับ”

พูดเสร็จผมก็เดินหนีมาเขินอยู่หลังเคาน์เตอร์  พี่นัทยืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าประตูพักหนึ่งก็เดินตามผมเข้ามา

“ให้พี่เป็นแฟนสุดที่รักหนึ่งไปนานๆ นะครับ”

พูดจบพี่นัทก็ก้มลงมาจุ๊บที่ปากผมหนักๆ  แต่แค่แปปเดียวก็ผละออก เดินไปประจำที่ตรงเคาน์เตอร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นปล่อยผมยืนเขินอยู่ตรงที่เดิม แล้วสักพักก็มีลูกค้าเดินเข้ามาพี่นัทก็รับออเดอร์แต่ก็มิวายหันมาขยิบตาให้ผม พร้อมทั้งขยับปากพูดแบบไม่ออกเสียง

‘รักนะครับ’

ผมหัวเราะแก้มร้อนผ่าวและยิ้มกว้าง พอตั้งสติควบคุมความเขินได้แล้วขยับปากบอกพี่นัทกลับเช่นกัน เป็นคำที่ทำให้พี่นัทตาโต ยกมือขึ้นกุมบริเวณหน้าอกตัวเองเลยทีเดียว

'ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับ'




แหววๆ หวานๆ กันต่อไปเรื่อยๆเลยนาจา

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2019 19:36:31 โดย Loammy »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่นัทเนี่ย คนหลงเมียขั้นสุดอ่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
22 : ชนวน


พี่นัท’s part

“สวัสดีครับพี่ยุ มาอีกแล้วนะครับ”

“ก็ว่างอยู่พอดีเลยอยากแวะมาหาหน่อยครับแล้วเป็นไงบ้าง คนเยอะเลย”

“เยอะกว่าเดิมมากเลยครับ ตั้งแต่สองวันที่แล้วที่รีวิวถูกแชร์ออกไป”

“เหนื่อยแย่เลยดิ เดี๋ยวพี่ช่วยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เป็นลูกค้านะ ไปนั่งรอดีกว่าครับ”

มือผมทำเครื่องดื่มแต่ตาก็แอบเหลือบมองตองหนึ่งกับไอ้พี่รหัสไปด้วย  หลังจากที่คุณวายุมาทำรีวิววันนั้น เขาก็มาทุกวันเลย รวมวันนี้ก็วันที่สี่แล้ว ดูท่าก็รู้แล้วว่ามันต้องเล็งหนึ่งของผมอยู่แน่ๆ แม่งเล่นมาทุกวันแบบนี้ แถมยังเอาแต่จ้อง เอาแต่แอ๊วตองหนึ่งคนเดียว ใครก็ดูออกวะว่าจ้องจะงาบแฟนผม จะมีก็แต่เจ้าตัวเด็กบ๊องนั่นแหละที่ไม่รู้ดูไม่ออก พอผมพูดๆ ก็หาว่าผมคิดมากเป็นตาลุง พอผมบ่นมากๆ ตองหนึ่งก็ทำหน้าเบื่อใส่ พอผมโกรธตองหนึ่งก็หาว่าผมไม่ไว้ใจที่รักของตัวเองอีก ผมไว้ใจตองหนึ่งแต่ไม่ไว้ใจมันโว้ย! จะออกปากไล่ก็ไม่กล้ากลัวโดนเมียโกรธที่ไปไล่พี่รหัสผู้มีพระคุณของเขา ถ้าตองหนึ่งโกรธผมขึ้นมาจริงๆ ทำไงอ่ะ จะให้ทะเลาะกันไม่ได้เด็ดขาด ช่วงนี้ยิ่งมีสุนัขมาป้วนเปี้ยนอยู่ ถ้าตองหนึ่งโดนสุนัขคาบไปผมคงอกแตกตาย

แล้วอีกอย่างสองวันนี้ลูกค้าเยอะขึ้นมากจนเขาต้องมาเดินช่วยเสิร์ฟเป็นครั้งคราว อยากจะบอกว่าไม่ต้องช่วยแต่ก็บอกได้ไม่เต็มปากนักเพราะลูกค้าเยอะจริงๆ เยอะจนสงสารตองหนึ่งที่ต้องเดินทั้งวัน อยากจะจ้างคนเพิ่ม แต่ก็นะ ลูกจ้างดีๆ หาได้ง่ายซะที่ไหนล่ะ

“สวัสดีครับคุณนัท”

“คุณวายุว่างมาทุกวันเลย ไม่มีงานทำแล้วเหรอครับ...แล้ววันนี้รับอะไรดี” ผมแอบเหน็บไปนิดหน่อยแต่คุณวายุคงหน้าหนาเกินไปเลยเลยดูไม่สะทกสะท้านเท่าไร

“เดี๋ยวผมช่วยเดินเสิร์ฟก่อนครับ คุณนัททำของคนอื่นก่อนก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรครับผมเกรงใจ”

“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจช่วย วันนี้ผมว่างทั้งวัน อยุู่ช่วยได้ตลอดเลยครับ”

“ผมไม่มีค่าจ้างให้นะครับ”

“ไม่เป็นไร ผมอยากช่วยหนึ่งเฉยๆ ” กล้ามเนื้อใบหน้าผมกระตุกนิดหน่อย ความหงุดหงิดที่ก่อตัวก่อนหน้านี้เริ่มใหญ่ขึ้นๆ  เป็นความรำคาญอย่างสุดๆ

“ตองหนึ่ง โต๊ะสามนะ” ผมเลิกพูดกับคุณวายุแล้วหันไปหาหนึ่งแทน

“เดี๋ยวพี่ไปเองครับ” วายุหันไปยิ้มให้ตองหนึ่ง ยกแก้วที่ผมเพิ่งวางลงในถาดไปเสิร์ฟที่โต๊ะ คนตัวเล็กก็เลยเข้ามาหยิบเค้กแล้วก็ไปเสิร์ฟที่โต๊ะเดียวกัน ระหว่างนั้นผมก็เห็นว่าไอ้คุณวายุนั้นดูถึงเนื้อถึงตัวน้องตองหนึ่งของผมมากเกินไปรึเปล่า? จับมือยังอาจจะบังเอิญโดน แต่ไอ้จับหัวขยี้ผม บีบแก้ม นี่มันใช่เหรอวะครับ?  แล้วตองหนึ่งก็ช่วยอย่าไปหัวเราะคิกคัก ส่งยิ้มน่ารักๆ แบบนั้นให้คนอื่นได้มั้ย ผมหวงมากเลยอ่ะ หงุดหงิดว่ะ!

หลังจากช่วงกลางวันนั้นผมก็หงุดหงิดงุ่นง่านมันอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ไอ้คุณวายุไม่ใช่แค่มาช่วยแค่ครู่เดียวแต่มาอยู่จนร้านปิด พอทำความสะอาดร้านเสร็จ ตองหนึ่งก็เดินยิ้มมาหาผม

“พี่นัทครับ วันนี้ผมจะออกไปถ่ายรูปกับพี่วายุอีกนะ เดี๋ยวผมค่อยมานอนกับพี่วันพรุ่งนี้แทน”

“เดี๋ยวสิครับ เมื่อวานหนึ่งก็ไปมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ครับ วันนี้พี่วายุจะไปพาไปอีกที่นึง น่าตื่นเต้นกว่าเมื่อวานอีกครับ” ตองหนึ่งพูดและแววตาเป็นกายระยิบระยับเชียว อาจจะเห็นแก่ตัวแต่ตอนนี้ผมอยากจะพูดไปว่าหนึ่งควรจะมีเรื่องตื่นเต้นกับพี่แค่คนเดียวสิครับ ทำไมต้องไปกิ๊วก๊าวกับคนอื่นด้วยอ่ะ ผมเริ่มชักจะน้อยใจแล้ว และถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธแต่พอได้เห็นท่าทางตื่นเต้นอยาไปของเขาแบบนั้นผมก็ห้ามไม่ลง ได้แต่พยักหน้าแล้วมองคนตัวเล็กหยิบกระเป๋าเดินออกจากร้านไปพร้อมกับไอ้วายุนั่น

ผมพยายามไม่คิดมากแบบที่ตองหนึ่งบอก พี่วายุของตองหนึ่งอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดก็ได้ ไม่งั้นตลอดเวลาที่เป็นสายรหัสกันตอนอยู่มหาวิทยาลัยหนึ่งคงไม่น่ารอดมาถึงผมได้หรอก ผมคิดแบบนั้นเพื่อให้ตัวเองสบายใจ

ผมขึ้นห้องมาอาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่พอปิดไฟ หลับตา ความคิดน่ากลัวๆ ก็ประเดประดังเข้ามา ก็แบบว่าตองหนึ่งตอนนี้น่ารักขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ เมื่อตอนปีที่แล้วหนึ่งก็น่ารักแต่ตอนนี้ก็น่ารักโคตรๆ ขึ้นไปอีกอ่ะ ไอ้คุณวายุนั่นอาจจะเพิ่งมาคิดอะไรกับตัวเล็กของผมตอนนี้ก็ได้ ไม่งั้นไม่มาเสียเวลาเดินช่วยงานหนึ่งอยู่ได้ตั้งหลายวันแบบนี้หรอก แถมยังพาไปถ่ายรูปอะไรตอนดึกๆ แบบนี้อีก

ผมรู้สึกไม่สบายใจจนต้องหยิบโทรศัพน์มาโทรหาหนึ่ง แต่ตัวเล็กดันปิดเครื่องอ่ะ หรือว่าถึงห้องพักแล้วนอนหลับไปแล้ว

อืม...แต่หนึ่งไม่เคยปิดเครื่องตอนนอนนี่ หรือแบตจะหมดอ่ะ...หรือจะโดนไอ้คุณวายุจับเคี้ยวเล่นไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ผมพยายามที่จะหหลับตานอน แต่ก็รู้สึกกังวลจนหลับไม่ลง นอนพลิกไปมาจนถึงเวลานาฬิกาปลุก

...

อา...วันนี้ผมต้องไปตลาดด้วยนี่

ผมลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปตลาดเพื่อซื้อผลไม้และของมาทำขนมด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้เลเวลหนึ่ง

ตลาดตอนเช้าคึกคัก เสียงเจื้อยแจ้วของแม่ค้าทำให้ผมตื่นตัวกระฉับกระเฉงขึ้นมาได้บ้าง ในขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ เลือกผลไม้ ผมก็บังเอิญไปเห็นไอ้คุณวายุที่กำลังเดินถ่ายรูปอยู่

เห็นหน้าแต่เช้าแบบนี้ช่างไม่รื่นอารมณ์เอาซะเลย...ทำหน้าเซ็งได้ไม่เท่าไรผมก็ต้องเบิ่งจนตาแทบถลนออกมา ก็เพราะรูปร่างเล็กคุ้นตาที่กำลังเดินกินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ตามหลังคุณวายุต้อยๆ นั่นอ่ะ มันตองหนึ่งของผมนี่ครับ เห็นแบบนั้นผมรีบหิ้วถุงผลไม้เดินลิ่วไปหาสองคนนั้นทันที

“ตองหนึ่ง” พอเดินเข้าไปหาในระยะที่พอได้ยิน ผมก็เรียกตองหนึ่งเสียงเย็น เอาให้ได้ยินแล้วรู้สึกหนาวไขสันหลังไปเลย อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังไม่พอใจ

“พี่นัท~” แต่นอกจากตองหนึ่งจะไม่หนาวยังส่งเสียงสดใสกลับมาจนน้ำแข็งที่เส้นเสียงผมละลายไปทันทีเลยครับ แถมยังส่งยิ้มกว้างมาให้อีก ยิ้มน่ารักแบบนั้นแล้วทำให้ผมหงุดหงิดไม่ลงเลยครับ

“สวัสดีครับคุณนัท ซื้อของไปทำขนมเหรอครับ” คุณวายุที่ถ่ายรูปอยู่หันมาทักทายผม ผมก็แค่พยักหน้ากลับไป ไม่อยากจะพูดด้วยเลย หงุดหงิดมัน หวังจะมาแย่งตองหนึ่งไปจากผมสินะ ฝันไปเถอะเอ็ง!!

“หนึ่งครับ ทำไมเมื่อคืนปิดเครื่องล่ะ” ผมหันไปถามคนตัวเล็กที่ยืนเคี้ยวปาท๋องโก๋อยู่ตุ้ยๆ

“อ้อ เเบตหมดครับ”

ตองหนึ่งตอบมาแค่นั้นแล้วก็ก้มลงดูดน้ำเต้าหู้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร...โอเคครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าพอชาร์ตแล้วหนึ่งไม่คิดจะโทรกลับมาหาพี่บ้างเหรอครับ ผมอยากจะพูดไปแบบนั้นแต่เพราะคุณวายุยังอยู่ก็เลยไม่อยากพูด เดี๋ยวผมจะดูงี่เง่าเกินไป

“แล้วหนึ่งมาทำอะไรที่ตลาดนี่ครับ”

“พี่วายุพามาถ่ายรูปตลาดเช้าครับ เลี้ยงขนมผมด้วย อร่อยๆ ทั้งนั้นเลย พี่นัทอยากกินอะไรมั้ยครับ?” ตองหนึ่งพูดแล้วก็ชูถุงขนมหลายถุงขึ้นมาอวดผม  ผมส่ายหน้าไป

“แล้วหนึ่ง…”

“ตองหนึ่งครับ ไปถ่ายภาพทางนั้นกันมั้ยครับ” คุณวายุที่ยืนเงียบมานานพูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปอีกฟากหนึ่งของตลาด ตัวเล็กของผมก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วทำท่าจะเดินตามไปจนผมคว้าแขนแทบไม่ทัน

“ตองหนึ่งจะไม่ไปทำงานเหรอ นี่จะเจ็ดโมงเเล้วนะครับ”

ตามปกติตองหนึ่งจะไปที่ร้านประมาณเจ็ดโมงซึ่งนี่ก็ใกล้เวลาแล้วด้วย ไม่ใช่ว่าผมเข้มงวดอะไรมากนักหรอก แต่ผมไม่อยากหนึ่งไปกับคนอื่นในตอนนี้

“คุณนัทครับ ผมว่าเวลานี้มันเช้าเกินไปที่จะทำงานนะครับ ร้านคุณเปิดตั้งสิบโมง หนึ่งเข้างานเก้าโมงครึ่งยังทันเลยครับ เข้างานก็เช้า เลิกงานก็ดึกมาก ผมว่ามันเกินไปนะครับ”

สอใส่เกือกจริงๆ เลยไอ้นี่ ผมตวัดตามองคุณวายุตาขวาง

“อะ..เอ่อ..พี่วายุครับ ความจริงแล้วผม….” ตองหนึ่งที่เห็นท่าไม่ดีจึงเดินมาแทรกกลางและเตรียมจะอธิบาย แต่ไอ้คนที่ไม่รู้เรื่องอะ ไรเลยกลับพูดไม่หยุดและไม่ยอมให้หนึ่งพูดด้วย

“ยังไงวันนี้หนึ่งคงต้องเข้างานสายวันนึงนะครับ แต่ผมจะไปส่งตองหนึ่งก่อนที่คุณจะเปิดร้านแน่นอนครับ”

พูดจบคุณวายุก็จับมือหนึ่งแล้วเดินไปทันที  ผมมองหนึ่งที่หันหลังกลับมาหาพลางทำหน้าขอโทษผม แต่ก็วิ่งต๊อกแต๊กตามคุณวายุนั่นไป ส่วนผมจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ซื้อของให้เสร็จแล้วกลับไปทำเค้กต่อสิครับ ใจนึงก็อยากวิ่งตามตองหนึ่งไป ตามให้กลับไปกับผม ไม่อยากให้ไปกับคุณวายุแต่หนึ่งก็เข้าใจชอบถ่ายรูปมาก ผมรู้ว่าหนึ่งมีความสุขที่ได้ถ่ายภาพ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ  เกี่ยวกับการถ่ายภาพนั้น แล้วจะให้ผมไปขัดความสุขของหนึ่งได้ยังไงล่ะครับ

พอซื้อของเสร็จผมก็กลับมาร้าน รีบทำความสะอาดร้านก่อนแล้วจึงค่อยเข้าครัวมาทำเค้ก การทำอะไรๆ คนเดียวมันโคตรจะวุ่นวาย แถมพอคิดถึงเรื่องตองหนึ่งก็ทำให้ใจไม่สงบ ทั้งน้อยใจทั้งหงุดหงิดปนกันไปหมด

ผ่านไปสามชั่วโมงกว่าๆ  ผมถึงจะทำเค้กและขนมทั้งหมดเสร็จ ผมนำมาจัดเรียงใส่ตู้ให้สวยงาม  ตอนนี้มันเลยเวลาเปิดร้านมานานแล้ว แต่ไอ้คุณวายุก็ยังไม่พาตองหนึ่งมาส่งตามที่บอกไว้ จนผมต้องโทรตามตองหนึ่ง และผมถือสายซักพักตองหนึ่งก็รับสาย

“หนึ่งครับ ใกล้จะถึงร้านยังครับ?”

(เอ่อ.. พี่นัทครับ ผม…)

“พี่กำลังจะเปิดร้านแล้วนะครับ พอไม่มีหนึ่งช่วย พี่เลยเปิดร้านสายเลย”

(พี่นัทครับ ผม...เอ่อ อยากจะขอลาครึ่งวัน...)

“...” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ รู้สึกจุกอกอย่างห้ามไม่ได้ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่น้อยใจโคตรๆ  ผมน้อยใจตองหนึ่งอ่ะ ผมรู้สึกน้อยใจจนขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมาเลย เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  แล้วก็ผ่อนออกมาเฮือกใหญ่ ไล่ความรู้สึกจุกอกและอึดอัดน้อยใจนี้ออกไป

(พี่นัทครับ) ตองหนึ่งส่งเสียงเรียกมา เพราะผมเงียบไปนาน ผมอ้าปากเตรียมจะตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ’ อยากจะบอกน้องไปแบบนั้น แต่ผมพูดไม่ได้จริงๆ  ผมน้อยใจเขามากเกินกว่าที่จะพูดคำนั้น สุดท้ายผมก็เลยกดวางสายไปเลย

หลังจากวางสายไปผมก็เดินไปเปิดร้าน ไม่นานลูกค้าก็ทยอยกันเข้ามาจนเต็มร้าน ผมทั้งตักเค้กทั้งทำเครื่องดื่มจนมือเป็นระวิง ทำให้ความอึดอัดจุกอกผมหายไปได้บ้าง

จนผ่านไปบ่ายโมงกว่าที่ผมเพิ่งเคลียออเดอร์เสร็จ ลูกค้าบางตาไปแล้ว ผมก็เห็นตองหนึ่งเดินลงจากรถเก๋งคันงามซึ่งเดาว่าเป็นของไอ้วายุนั่นแน่ๆ  แล้วตองหนึ่งเดินหน้าเจื่อนเข้ามา ที่ตอนลงจากรถยังยิ้มให้วายุอยู่เลยแล้วทำไมตอนเดินเข้าร้านทำหน้าแบบนั้นล่ะ เห็นแล้วต่อมน้อยใจมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาเลยจริงๆ

“พี่นัทครับ….” พอตองหนึ่งพูดขึ้นมาปุ๊บ ผมก็วางแก้วเครื่องดื่มบลูโซดาลงตรงเคาน์เตอร์ทันที

“เสิร์ฟโต๊ะสองครับ”

“อ่ะ...ครับๆ ” ตองหนึ่งรีบหยิบถาดมาใส่แล้วเดินไปเสิร์ฟทั้งที่ยังสะพายกระเป๋ากล้องอยู่  พอเสิร์ฟเสร็จก็เอากระเป๋าไปเก็บแล้วออกมาทำงานต่อ ตองหนึ่งก็ชวนผมพูดนั่นนี่มากมาย แต่ความน้อยใจมันเต็มอก ทำให้ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ถึงจะรู้ว่าที่ทำนี้มันดูงี่เง่าไม่สมเป็นผู้ใหญ่ก็เถอะ วันนี้ขอพี่งอนวันนึงล่ะกัน แล้วพรุ่งนี้จะกลับไปเป็นพี่นัทคนเดิมนะครับตองหนึ่ง

บรรยากาศในร้านดูมึนตึงทั้งวัน ตองหนึ่งก็พยายามพูดไปเรื่อย ผมก็เงียบลูกเดียว พอตองหนึ่งจะเข้ามาง้อ ผมก็ดันงี่เง่าทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา จนช่วงดึกที่ลูกค้าน้อยลงตองหนึ่งก็ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเห็นแล้วก็ทั้งสงสารทั้งเสียใจที่ตัวผมทำให้หนึ่งซึมแบบนั้น  มันรู้สึกขัดแย้งกันในใจ ทั้งน้อยใจแต่ก็สงสารที่เป็นตัวเล็กของผมซึมๆ ไม่ยิ้มแบบนั้น สุดท้ายเป็นผมนี่แหละที่ทนไม่ไหวเดินเข้าไปคุยกับตองหนึ่งเอง

“ตัวเล็กครับ”

“น้องตองหนึ่ง!”

ผมพูดและก็มีอีกเสียงที่เพิ่งเข้าร้านมา ตะโกนเรียกตองหนึ่งเสียงดังจนกลบเสียงผมมิด...ไอ้คุณวายุมาอีกแล้ว มันจะมาทำไมบ่อยๆ วะ อยากจะแช่งให้ตกงานจริงๆ

แต่ไม่ได้ดิ ยิ่งมันตกงานยิ่งมีเวลาว่างมาหาตองหนึ่ง เผลอๆ อาจมาขอสมัครงานที่นี่เพื่ออยู่กับตองหนึ่งอีก ต้องอวยพรให้มันทำงานจนยุ่งไม่มีเวลาหายใจเลยสิถึงจะถูก

ส่วนตองหนึ่งที่ตอนแรกนั่งซึมอยู่ก็เดินยิ้มไปหามัน เห็นแล้วมันน่าน้อยใจมั้ยล่ะ? ผมน่ะมันคนขี้หวง แล้วนั่นน่ะรอยยิ้มของผม ทำไมหนึ่งต้องไปยิ้มให้มันด้วย

“พี่วายุเลิกงานแล้วเหรอครับ?”

“ใช่ครับ พี่ว่าจะพาหนึ่งไปดูไฟอีก การถ่ายภาพไฟ เทคนิคพิเศษการถ่ายภาพกลางคืนแบบแปลกๆ ไม่เหมือนเมื่อคืนแน่นอน สนใจป่าว?”

“สนครับ”

“ใกล้เลิกงานแล้วนี่ เดี๋ยวออกไปรอข้างนอกนะ” ตองหนึ่งพยักหน้า ส่วนไอ้วายุนั่นพอได้คำตอบแล้วก็เดินออก แต่ก็ยังไม่วายแอบหันมายักคิ้วใส่ผม แบบนี้มันตั้งใจกวนกันนี่หว่า ผมเดินออกจากเคาน์เตอร์ แล้วก็รีบดึงแขนตองหนึ่งมาเคลียโดยทันที

“หนึ่งครับ คืนนี้หนึ่งบอกว่าจะนอนกับพี่ไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมถึงออกไปกับเขาอีกแล้วล่ะ”

“อะ...เอ่อ เดี๋ยวผมกลับมาไงครับ  ผมไปไม่นาน...นะครับ”

“เมื่อวานหนึ่งก็เลื่อนนะครับ วันนี้พี่ไม่ยอมเด็ดขาดเลย ถ้าคืนนี้หนึ่งไม่มานอนให้พี่กอด พี่จะไม่ให้หนึ่งกินขนมเลยนะ” บอกว่าจะไม่ให้กินขนมแบบนี้เหมือนเป็นเด็กเลยอ่ะ ยิ่งพอเห็นตองหนึ่งเงียบๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่งี่เง่า

“...”

“แล้วพี่ยังไม่หายงอนหนึ่งเรื่องเมื่อเช้าเลยนะครับ หนึ่งจะไปอีกแล้วเหรอ” พอเอาเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างผมก็ยิ่งรู้สึกเป็นคนงี่เง่าเข้าไปใหญ่ ผมรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไปหมดเลย

“พี่อย่าโกรธผมเลย หายงอนผมนะครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะให้พี่นัทกอดผมทั้งคืนเลย” ตองหนึ่งพูดแล้วเดินเข้ามากอดผม คลอเคลียไปมาเหมือนลูกแมว “พี่วายุเขาเป็นคนดี ไม่ทำอะไรผมหรอกครับ”

“แล้วพี่ล่ะครับ พี่เป็นคนดีมั้ยครับ”

“พี่นัทก็เป็นคนดีครับ พี่นัทเป็นคนดีที่สุด”

“ครับ หนึ่งมองว่าพี่เป็นคนดี แต่พี่ก็คิดอะไรๆ ลามกกับหนึ่งได้เยอะแยะ ไอ้คุณวายุนั่นก็เหมือนกัน”

“พี่นัท ให้ผมไปเถอะนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ไม่มีใครทำอะไรผมได้ ถ้าผมไม่เต็มใจ”

“...”

“ให้ผมไปนะ นี่เวลาเลิกงานผมนะครับ ผมอยากไปถ่ายรูป”

“งั้นพี่ไปด้วยได้มั้ยครับ?”

“แต่มันดึกแล้ว ผมไปไม่นานหรอก แล้วผมก็ดูออกว่าพี่นัทไม่ชอบพี่วายุ ถ้าพี่ไปด้วยก็จะหงุดหงิดเปล่าๆ นะครับ ผมไม่อยากให้พี่อารมณ์ไม่ดีมากไปกว่านี้”

“...”ผมเงียบเพราะจริงอย่างที่หนึ่งพูด ต้องไปกับไอ้คุณวายุนั้นผมคงหงุดหงิดประสาทแตกตาย

“ให้ผมไปนะ”

“...ก็ได้ครับ แต่ห้ามเกินเที่ยงคืนนะ”

“ครับ ไม่เกินแน่นอนครับ”

พูดจบผมกับตองหนึ่งก็เริ่มๆ เคลียร้านและไม่นานร้านก็ปิด ผมเดินออกมาส่งตองหนึ่งที่หน้าร้านและกำชับให้กลับมาเร็วๆ  ตองหนึ่งก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่เกินแน่นอน



01.20 am.

ผมอดทนรอจนตอนนี้มันล่อไปตีหนึ่งกว่าแล้วก็ยังไม่เห็นแววของแฟนผมเลย พอโทรไปก็ไม่รับสายของผมอีก ผมยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ รู้สึกคิดผิดที่ปล่อยให้ตองหนึ่งไป จนเวลาผ่านไปซักพักแอปพลิเคชั่นสีน้ำเงินที่ผมได้ติดดาวติดตามความเคลื่อนไหวของตองหนึ่งไว้ก็ได้ขึ้นแจ้งเตือนว่า มีใครบางคนได้ลงรูปภาพและแท็กชื่อตองหนึ่งและได้เช็คอินสถานที่ไว้

“ไปถ่ายรูปกัน แล้วทำไมเช็คอินที่ร้านใต้แสงเทียนแบบนี้วะ” ในภาพเป็นไอ้คุณวายุกับตองหนึ่งกำลังยิ้มอยู่ด้านหน้าเป็นจานขนมหวานหน้าตาน่ากิน แถมบรรยากาศใต้แสงเทียนนั่นก็โรแมนติกจนน่าหมันไส้

ไม่ใช่ไม่ไว้ใจตองหนึ่งนะ แต่ไม่ไว้ใจไอ้วายุนั่นเลยซักนิด มันทำตัวชัดเจนมากว่าจีบตองหนึ่ง ผมรีบเปลี่ยนชุดแล้วหยิบกุญแจรถขับไปตามสถานที่ที่วายุได้เช็คอินไว้ทันที

พอมาถึงผมที่กำลังจะลงจากรถก็เห็นว่าวายุกับตองหนึ่งเดินออกมาพอดี ทั้งสองคนขึ้นรถแล้วก็ขับออกไป ผมคิดว่าคราวนี้ทั้งสองคงจะกลับแล้วจริงๆ  แต่ทางที่รถของวายุขับไปนั้น มันไม่ใช่ทางที่จะกลับที่พักของตองหนึ่งเลย ผมที่ขับตามมาห่างๆ  เริ่มรู้สึกเจ็บและอึดอัดในใจ ความกลัวความผิดหวังและความน้อยใจต่างอัดแน่นอยู่ในสมองและในอก สิ่งที่เห็นและรับรู้ตลอดหลายหวังมานี้ทำให้สมองที่สับสนของผมส่งความคิดที่น่าเจ็บปวดมาให้ผมคิดเล่นๆ

ความคิดที่ว่า...ตองหนึ่งกำลังนอกใจผมอยู่รึเปล่า?

ผมขับรถตามมาห่างๆ  จนรถไอ้วายุมาจอดที่แห่งหนึ่ง เป็นสวนสาธาณะข้างแม่น้ำ ไฟโดยรอบตกแต่งสวยงาม และเพราะดึกแล้วคนเลยไม่มี ผมแอบจอดรถไปบริเวณข้างสะพานเล็กๆ ซึ่งต้นไม้ใหญ่บังไว้ และเพราะแสงส่องไม่ถึง ทำให้บริเวณนี้มืด สองคนนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตุรถผม

ผมเห็นวายุเดินลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูฝั่งคนนั่ง ในตอนแรกตองหนึ่งยังไม่ยอมลงจากรถ จนวายุแทรกตัวเข้าไปอุ้มตองหนึ่งลงมา ผมเห็นฉากนั้นก็รู้สึกโมโหจนอยากจะลงจากรถไปซะเดี๋ยวนั้นเลย ผมเห็นตองหนึ่งเดินไปบริเวณที่มีไฟสว่าง แล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ส่วนไอ้คุณวายุก็เปิดท้ายรถและคว้าเอาช่อดอกไม้พร้อมลูกโป่งอัดแก๊สออกมา และเดินไปยังตองหนึ่งพร้อมยื่นไอ้ช่อฟรุ้งฟริ้งนั่นให้ไป พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ตองหนึ่งอึ้งไป

แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นก็ทำให้ผมแทบบ้า ใจผมบีบอัดและเต้นรัวจนเจ็บอยู่ในอก  รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง ความแจ็บและจุกในใจแล่นพล่านไปทั่ว กระบอกตาผมร้อนจนแทบไหม้เมื่อน้ำตามันมาคลอๆ อยู่ ผมกำพวงมาลัยรถแน่น ขบฟันจบเจ็บไปหมด

ผมเคยเชื่อตองหนึ่งว่าไม่มีทางจะทำแบบนี้กับผมแน่นอนแต่ตอนนี้เขาก็ทำ ผมเคยเชื่อคำที่ตองหนึ่งเคยบอกว่าผมรักผมคนเดียวแต่ตองหนึ่งก็โกหกผม

ภาพตรงหน้าผมตอนนี้คือคนที่เคยบอกว่ารักผมคนเดียว คนที่เคยบอกให้ผมเชื่อใจ คนที่บอกว่าให้ผมรักเขาไปนานๆ  รักเขาไปตลอดชีวิต คนนั้นกำลังยืนกอดและยืนจูบกับผู้ชายคนอยู่

และผมไม่ใช่ไอ้บ้าที่จะใจเย็นถึงขนาดยืนดูแฟนตัวเองไปกอดจูบกับคนอื่น ผมมีความรู้สึก ผมรักได้ ผมโกรธเป็น และแน่นอน...ผมเกลียดเป็นด้วยเช่นกัน


 

ไม่มีอะไรพูดกับตอนนี้เลย เรารู้สึกว่าจู่ๆ ก็ลากมาดราม่าเร็วไปรึเปล่า พยายามรีไรท์อยู่นานแต่ก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันจะดูยืดเยื้อโดยใช่เหตุ สุดท้ายเลยคงไว้แบบเดิมค่ะ มีปรับเปลี่ยนแค่นิดหน่อยให้ดูสมูทขึ้น 

ครั้งที่แล้วมีคนว่าตองหนึ่งเยอะเลย แต่ก็อยากให้เข้าใจน้องนะ น้องชอบถ่ายรูปแอบเอาแต่ใจเล็กน้อย ยิ่งเห็นว่าพี่นัทตามใจก็เลยเอาแต่ใจหนักจนลืมนึกถึงใครอีกคน...และอยากให้รู้ไว้นะคะ ตองหนึ่งรักพี่นัทมากนะ เพราะฉะนั้นอย่าว่าน้องแรง เดี๋ยวน้องร้องไห้ แงงง




#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie


Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ๋....รักพี่นัท แต่ทำไมถึงปล่อยให้วายุกอดจูบได้หล่ะ?

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อยากบอกให้นัทเลิกรักตองหนึ่งไปเลยเหอะตองหนึ่งชอบถ่ายรูปก็จริงแต่ไม่ควรทำแบบนี้นะ

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
23 : เจ็บ


ตองหนึ่ง’s part

01.05 am.

“เอ่อ...พี่ยุครับ ความจริงผมอยากจะกลับก่อนเที่ยงคืนอ่ะครับ” ผมหันไปพูดกับพี่วายุที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากที่เขาพาผมไปถ่ายภาพไฟสวยๆ แล้ว จนเวลาเกือบๆ เที่ยงคืนผมก็ชวนพี่วายุกลับ พี่เขาก็รับรู้แล้วแต่ไหงถึงมาโผล่ที่ร้านอาหารกึ่งผับแบบนี้ไปได้อ่ะ พอผมถามเหตุผล พี่แกก็บอกว่าพี่เขาหิวข้าวจนขับรถต่อไม่ไหว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่นานหรอก เข้ามานั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”

“แต่ผม...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดให้จบพี่วายุก็พูดแทรกขึ้นมา สิ่งที่ผมไม่ชอบในตัวพี่วายุก็คือการพูดแทรกนี่แหละ ไม่รอให้ผมพูดให้จบตัวพี่เขาก็ชอบพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“พี่หิวมากเลยครับ ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็นแล้วนะ หิวอ่ะ” ไม่รอให้ผมพูดอะไรต่อพี่วายุก็เปิดประตูลงไปและอ้อมมาลากผมไปด้วย ผมก็คิดว่าแค่กินข้าวเอง ไปร้านที่มันธรรมดากว่านี้ไม่ได้เหรอ

พอเข้ามาด้านในก็มีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ  แสงไฟไม่สว่างมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่ดูดีมีฐานะ บริกรพาพวกผมไปนั่งที่โต๊ะ  ซึ่งโต๊ะนั่นมีเพียงโต๊ะเล็กๆ หนึ่งตัวกับโซฟาตัวใหญ่ตัวเดียว ผมเลยต้องนั่งข้างๆ กับพี่เขาอย่างช่วยไม่ได้ ไฟบริเวณนั้นมืดสลัวกว่าบริเวณอื่นๆ ของร้าน พอเรานั่งกันเรียบร้อยบริกรก็เดินมาพร้อมเมนูอาหาร ทั้งยังจุดเทียนให้ พี่วายุก็สั่งอาหารมาสำหรับเขาหนึ่งที่และของหวานหนึ่งจานสำหรับผม พร้อมทั้งยังสังเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาอีกด้วย

“พี่วายุครับ พี่มากินที่ร้านแบบนี้บ่อยเลยเหรอ?”

“เฉพาะวันที่อารมณ์ดีมากๆ ครับ”

“...วันนี้พี่ก็อารมณ์ดีมากๆ เลยเหรอครับ”

“ใช่ครับ ตองหนึ่ง...พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”

“ได้ครับ” ผมพยักหน้า พี่วายุก็ขยับเข้ามาใกล้ผมกว่าเก่าและมองตาจนผมรู้สึกแปลกๆ

“หนึ่งคิดยังไงกับพวกรักร่วมเพศครับ”

“แบบเกย์ เลสเบี้ยน แบบนี้เหรอครับ” พี่วายุพยักหน้าแล้วก็ยิ้มผมก็ยิ้มกลับแล้วตอบ “ก็ไม่คิดอะไรนี่ครับ ยังไงก็เป็นความรักเหมือนกัน แต่มันต่างกันที่คนที่เรารักเป็นเพศเดียวกับเราแค่นั้นเองครับ” ผมพูดแล้วก็ยิ้มๆ นึกถึงพี่นัท เขาเคยบอกผมแบบนั้น ผมก็เลยเอาคำพูดของพี่นัทมาบอกคนอื่นต่อ

“แล้วถ้ามีผู้ชายมาชอบหนึ่งล่ะ”

“ถ้าผมชอบเขาก็ไม่มีปัญหาครับ” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งนึกถึงพี่นัท แล้วผมก็ยิ้มออกมา

“เหรอ ได้ยินแบบนี้พี่ก็ดีใจ”

“ดีใจทำไมครับ พี่ชอบผู้ชายด้วยกันเองเหรอ” ผมแค่พูดล้อเล้นไปตามประสา แต่พี่วายุดันพยักหน้าแล้วยิ้ม

“ครับ พี่เป็นเกย์”

“ก็...ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ยังไงพี่ก็พี่รหัสที่น่ารักของผมเสมอแหละ”

“หึหึ วันนี้เป็นวันที่ดี ที่ทำให้พี่อารมณ์ดีจริงๆ เลยครับ”

“เหรอครับ พี่อารมณ์ดีเรื่องอะไร”

“เรื่องความรักครับ”

“อ่อ...ครับ”

“พี่ได้ตามที่หวังตลอด เรื่องที่พี่จะทำต่อจากนี้ก็ต้องสมหวังแน่นอน พี่มั่นใจ”

ผมไม่ตอบแต่พยักหน้ากลับไป มองไปรอบร้านๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมา รู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงไม่รู้ ไม่นานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล์พร้อมกับจานขนมหวานน่าตาน่ากินก็เสิร์ฟที่ด้านหน้าผม  พี่วายุจัดการรินเครื่องดื่มให้ตัวเองและให้ผมด้วย

“เอ่อ...พี่ครับ ผมไม่อยากดื่ม”

“นิดนึงนะ ดื่มเป็นเพื่อนพี่ไง”

“ผมดื่มไม่เก่งนะครับ”

“อันนี้รสชาติดีแน่นอน ไม่ขมบาดคอเหมือนที่เรากินกันตามร้านสมัยเรียนหรอกครับ ลองดูๆ ”

“...”หลังที่เลื่อนแก้วกันไปมา ผมก็ยอมแพ้ให้พี่วายุดันแก้วมาไว้ที่ฝั่งผม

“น่ากินจังเลยนะครับ อืม...ถ่ายรูปกันหน่อยมั้ย? ใต้แสงเทียนแบบนี้ บรรยากาศดีเนอะ”

พี่วายุไม่ได้รอให้ผมพูดตอบอะไร เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็ถ่ายทันทีจนผมตั้งตัวไม่ทัน ตอนที่พี่วายุกำลังลงรูปภาพที่ถ่ายในโซเชียลผมก็เห็นเวลาที่มุมจอโทรศัพท์พอดี ตอนนี้มันตีหนึ่งแล้ว พี่นัทต้องรอผมอยู่แน่ๆ  ผมรีบร้อนหวังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ ทั้งกระเป๋าเสื้อ และกระเป๋ากางเกง

“ผมขอยืมกุญแจรถหน่อยได้มั้ย? ผมน่าจะลืมโทรศัพท์ไว้บนรถครับ”

“หนึ่งรีบใช้โทรศัพท์เหรอ? ใช้ของพี่ก่อนมั้ยครับ?”

“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่กุญแจรถก็พอ”

“อืม....งั้นดื่มแก้วนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ให้กุญแจ”

“...” แก้วทรงสูงที่มีน้ำสีอำพันอยู่ครึ่งแก้วถูกพี่วายุหยิบขึ้นมาและนำมาจ่อถึงปาก กลิ่นฉุนกึกของแอลกอฮอล์ในแก้วลอยเข้าจมูกผมทันที แค่กลิ่นผมก็จะเมาแล้ว ผมหันหน้าหนีเล็กน้อยแต่พี่วายุก็ยังคงคะยั้นคะยอให้ดื่ม

“แค่อึกเดียวครับ เดี๋ยวพี่ให้กุญแจรถเลย”

ผมเลยยอมรับแก้วแล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย แต่พี่วายุดันยื่นมือมาจับที่คอของผมและดันก้นแก้วขึ้นจนผมเกือบสำลัก เลยจำเป็นต้องกระดกเข้าไปจนหมดแก้ว รสชาติขมนุ่มไม่ได้บาดคอก็จริง แต่มันก็แย่มาก ทั้งกลิ่นและรสชาติมันตีกันคลุ้งไปทั่วโพรงปากและขึ้นจมูกสุดๆ  พอกลืนลงไปก็รู้สึกร้อนเหมือนเหล้านั่นมันไปไหม้ท้องผมเลย

“พี่!!” ผมหันไปดุพี่วายุตาเขียวปั๊ด แต่พี่แกดูไม่รู้สึกผิดอะไร แค่นั่งหัวเราะและยื่นกุญแจรถมาให้ ผมรีบรับมาแล้วก็ลุกขึ้นทันที แต่เพราะฤทธิเหล้าเมื่อทำเอาผมมึนเซจนต้องลงไปนั่งใหม่

“เอ้าๆ  ไหวไหมตองหนึ่ง ค่อยๆ ลุกสิ เหล้านี่ดีกรีมันแรงอยู่นะครับ” พี่วายุยกมือขึ้นมาลูบหลัง ผมปัดมือพี่วายุออก ได้โปรดอย่าลูบ เดี๋ยวอ้วก!

ผมตั้งหลักใหม่แล้วลุกขึ้น เดินคลำทางไปที่รถ และก็หาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้ และกระเป๋ากล้อง แต่มันไม่มี ผมเลยต้องก้มดูตามเบาะรถและหลังรถ พอก้มๆ เงยๆ มากเข้ามาก็รู้สึกมึนพะอืดพะอมขึ้นมาอีก

“เหล้าเมื้อกี้มันอะไรวะ ชาตินี้จะไม่แตะอีกเลย” ผมบ่นแล้วก็นั่งยองๆ อยู่ข้างรถ พักจนอาการมึนหัวหายไปผมก็ลุกขึ้นมาหาโทรศัพท์ใหม่ แต่เพราะมันมืดบวกกับอาการมึนๆ ผมก็เลยถอดใจเดินกลับเข้าร้านไปหาพี่วายุ

“พี่ครับ ผมหาโทรศัพท์ไม่เจอ ขอยืมโทรศัพท์พี่ได้มั้ยครับ?”

“หนึ่งจะเอาไปโทรหาใครครับ”

“โทรเข้าเครื่องตัวเองครับ ไม่รู้ว่าผมเอาไปเก็บไว้ตรงซอกไหน?” พี่วายุตบตรงที่ว่างข้างๆ  ให้ไปนั่ง ผมก็เดินไปและนั่งปุกอยู่ข้างๆ พี่เขา

“อีกแก้วสิ แล้วพี่จะให้” เจารินให้ผมอีกแก้วและคราวนี้เยอะกว่าเดิมอีก

“ไม่ไหวแล้วครับพี่ เหล้าแรงมาก ผมมึนไปหมด”

“น่านะ เดี๋ยวก็ชิน”

“ผมไม่เอาแล้ว…อึก”

พี่วายุดันแก้วชิดปากผมแล้วก็กระดกแก้วขึ้น ผมเลยต้องเปิดปากก่อนที่เหล้านนั่นมันจะหกรดเสื้อ ผมอมไว้มันปากไม่ยอมกลืน แต่ยิ่งอมไว้นานกลื่นเหล้าก็ขึ้นจมูกจนอยากจะอ้วก และรู้สึกราวกับว่าน้ำเหล้านั่นมันเผาใหม้ไปทั้งโพรงปากผม ผมรีบคว้าแก้วจากมือพี่วายุมาแล้วเตรียมจะบ้วนทิ้ง

“อ๊ะ! น้องตองหนึ่งครับ มันแพงนะ ถ้าตองหนึ่งคายทิ้ง ต้องกินเข้าไปแทนอีกสองแก้วนะครับ”

“อืม...อึก” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยต้องกลืนลงไปทันที พี่วายุพูดจริงมั้ยไม่รู้ แต่ผมไม่ขอเสี่ยงดีกว่า แค่สองแก้วที่กินมานี่ก็จะแย่แล้วผม หัวมันรู้สึกตื้อไปหมด ลมหายใจเข้าออกผมมีแต่กลิ่นเหล้า

“เมื่อกี้นี้ตองหนึ่งจะยืมอะไรพี่นะครับ?”

ผมมึนหัวจนไม่สามารถนั่งก้มหน้าได้ผมแหงนคอไปด้านหลังพิงกับโซฟา ยกมือสองข้างมากุมขมับ แล้วส่ายหน้าให้พี่วายุ นึกไม่ออกว่าเมื่อกี้จะยืมอะไรจากคนข้างๆ ยิ่งพยายามนึกก็ยิ่งจะรู้สึกมึนมากขึ้นไปอีกจนได้แต่นั่งเฉยๆ

ผมนั่งแหงนหน้าฟังอีกฝ่ายพูดอยู่นานมาก จนรู้สึกดีขึ้นก็เลยชวนพี่วายุกลับ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว บรรยากาศมืดๆ แสงเทียนวูบไหวไปมาทำให้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเวียนหัว

“กลับกันเถอะครับ ผมอยากออกจากที่นี่แล้ว”

“อยู่อีกซักครู่สิครับ เหล้าที่เหลือในขวดนี่ยังได้อีกสองแก้วนะ” ผมเหลือบมองขวดเหล้า ที่ตอนนี้มันพร่องไปเยอะแล้ว

“ผมไม่อยู่ในนี้แล้วครับ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยครับ เรากลับกันเถอะนะ”

“ช่วยพี่กินอีกแก้วนึงสิครับ หมดขวดนี้ พี่จะพาออกจากที่นี่ทันทีเลย” พี่วายุยื่นแก้วที่รินเหล้าไว้แล้วมาให้ ผมเบือนหน้าทีทันที

“ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้วครับ”

“งั้นเราคงต้องนั่งกันอีกนานเลยครับ พี่อยากกินให้หมดก่อนแล้วค่อยออก”

ผมส่ายหน้า ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ  อยากจะกลับไปนอน อยากจะทิ้งตัวลงกับเตียงนุ่มๆ  อยากกลับไปหาพี่นัท อา...ใช่ ผมยังไม่ได้โทรหาพี่นัทเลย นี่กี่โมงแล้ว พี่นัทรออยู่แน่ๆ

“พี่วายุเรากลับกันเถอะครับ มันดึกมากแล้ว” พอพูดมากๆ  ไอ้การมึนหัวก็วนกลับมาหาผมอีก เหล้าบ้าอะไรวะ กินไปสองแก้วเหมือนกินไปสองขวด

“งั้นช่วยพี่แก้วนึง แค่แก้วเดียวครับ...แก้วสุดท้าย”

“งั้นผมกลับเองก็ได้ครับ”

ผมส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นทันที ผมไม่กิน แล้วก็จะหนีไปขึ้นรถ ถ้าพี่วายุไม่ไปส่ง ผมก็จะนั่งแท็กซี่กลับ แต่เขาไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้น

“หนึ่งจะกลับยังไงครับมันดึกมากเเล้ว แท็กซี่เหรอ ไม่มีหรอกครับแล้วกระเป๋าและของหนึ่งก็อยู่ในรถพี่ทุกอย่างอ่ะ”

“แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่”

“แก้วสุดท้ายจริงๆ ครับ เดี๋ยวพี่พาออกเลย”

“อือ” ผมครางในรำคออย่างขัดใจ แต่ก็รีบยื่นมือไปรับแก้วมากระดกเข้าไปทีเดียวจนหมด แล้วก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะ แล้วหันไปหาพี่วายุ

“หมดแล้ว พาผมกลับได้รึยังครับ”

ผมพูดอย่างไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะแล้วก็รอบริกรมาเก็บเงินอย่างใจเย็น พอเรียบร้อยแล้วเขาถึงพยุงผมออกมาจากร้าน

“อืม แก้มแดงเชียว น่ารักจัง” พี่วายุพูดแล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบแก้ม ผมหันหน้าหนีพยายามรีบเดินให้มันถึงเร็ว แต่อีกฝ่ายที่พยุงตัวผมไว้นนั้นกลับก้าวเดินช้าเหมือนเขาจงใจกวนผมอ่ะ และพอขึ้นรถได้ปุ๊บ ผมแทบอยากจะเอนเบาะนอนแล้วหลับตาไปเลย

“...”

“ไหวมั้ยครับ? คออ่อนจังเลยเรา”

“เวียนหัว” ผมหลับตาลง ปล่อยให้พี่วายุขับรถไป ความจริงแล้วผมไม่ได้หลับแค่พักสายตา ไม่อยากจะมองทางหรืออะไรทั้งนั้น กลัวจะอ้วกออกมา ไม่อยากให้รถเปื้อนเลยหลับตาไว้ดีที่สุด

ไม่นานรถก็หยุด พี่วายุดับเครื่องยนตร์ และผมได้ยินเสียงประตูรถเปิดและปิด ผมคิดว่าคงถึงที่พักผมแล้วเลยลืมตาขึ้น แต่ถาพตรงหน้ามันไม่ใช่ที่พักผม มันเป็นพื้นที่ที่อยู่ข้างแม่น้ำ มีติดไฟประดับสีส้มสวยงาม แล้วประตูรถฝั่งผมก็ถูกเปิดโดยพี่วายุยืนยิ้มอยู่

“ลงมาเร็วครับ”

“พี่พาผมมาที่นี่ทำไม ผมอยากกลับแล้ว...มีคนรอผมอยู่”

“ก็พี่เห็นหนึ่งเมาๆ  เลยพามาสูดอากาศไงครับ ลงมาสิครับ ลมเย็นดีนะไฟสวยด้วยครับ”

ผมส่ายหน้าไม่อยากลง ไม่อยากจะขยับตัวแล้ว แต่พี่วายุไม่ยอม ถือวิสาสะอุ้มผมลงรถไป

“พี่ปล่อยผม!” ผมเผลอเสียงดังใส่พี่วายุเล็กน้อย แต่พี่เขาก็ดูไม่โกรธอะไร แค่ยิ้มๆ แล้วก็ส่งกล้องที่สะพายไว้ตอนแรกมาให้ผม

“นี่ครับ เคยมีคนเคยบอกพี่ว่าถ้าลองถ่ายภาพตอนที่เรากรึ่มๆ เมาๆ  รูปจะออกมาสวยนะ”

“ไม่ครับ ผมไม่อยากถ่ายแล้ว” ผมดันกล้องกลับอย่างสะเปะสะปะ แต่พี่วายุก็ไม่ยอมรับกลับไป ผมเลยตัดรำคาญโดยการเดินไปถ่ายให้สองสามภาพ แต่เพราะมันมึนหัวจนผมต้องยืนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ลมเย็นๆ ริมแม่น้ำพัดมากระทบหน้าเอื่อยๆ อืม...ลมเย็นนี่ก็ทำให้สร่างได้บ้างเหมือนกันแหละเนอะ

“ตองหนึ่งครับ”

ผมก็ยืนตากลมไปเรื่อย ผ่านไปสักพักพี่วายุก็เรียกผมด้วยเสียงที่เรียกได้ว่าตั้งใจดัดให้มันนุ่มทุ้ม พอผมหันไป ก็เจอกับช่อดอกไม้สีแดงที่มองดีๆ แล้วมันคือดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ผูกติดกับลูกโป่งอัดแก๊สสีชมพูและขาวสามสี่ลูก

“อะไรเนี่ย...” ผมปัดช่อดอกไม้ออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนให้

“พี่ให้ครับ”

“ให้?... ให้ผมทำไม?”

“...ก็พี่ชอบหนึ่งไง พี่ก็เลยให้”

“หะ?” เมื่อกี้พี่เขาพูดว่าอะไรนะ ผมเมา ผมมึนจนหูเพี้ยนฟังผิดหรือว่ายังไง? เพราะว่าผมยังมึนหัวอยู่การตอบสนองก็เลยดูช้าๆ ไปหมด

“พี่ชอบหนึ่งนะครับ” พี่วายุพูดซ้ำอีกครั้งแล้วก็ดันดอกไม้ไส่มือผม พอผมรับไว้พี่วายุก็รวบทั้งตัวผมทั้งดอกไม้เข้าไปไว้ในอ้อมแขนแล้วก็ก้มหน้าลง ริมฝีปากอุ่นก็ทับลงมาที่ปากผมตามมาลิ้นหยุ่นๆ ที่มีกลิ่นเหล้าได้แทรกตามเข้ามาด้วย

“ฮื้อ! อื้อ!” ผมหันหน้าหนีและดันตัวออก แต่ไอ้อาการมึนๆ ที่จู่ๆ ก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทำเอาผมเซไป ทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสรวบตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง

“ทำไมล่ะครับ หนึ่งชอบพี่ไม่ใช่เหรอ?”

ผมมองหน้าพี่วายุอย่างงงๆ  ผมไปแสดงท่าทางว่าชอบพี่วายุแบบนั้นตั้งแต่ตอนไหน ผมก็แค่ตามพี่เขาเพราะอยากไปถ่ายรูปแค่นั้นเอง ผมไม่ได้ตั้งใจให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้

“ไม่ ผมไม่ได้ชอบพี่!” พี่วายุดูผิดหวังไปเล็กน้อยแต่ก็กลับมายิ้มใหม่

“ไม่เป็นไรครับ ยังไม่ชอบไม่เป็นไร คงจะบอกเร็วไป พี่จีบมาอาทิตนึงแล้วเดี๋ยวพี่จะจีบหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ ”

“จีบเหรอ? พี่จีบผมตอนไหน”

“เจ้าเซ่อ! พี่ก็จีบเรามาตลอดแหละครับ แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ค่อยจีบค่อยคุยไปเรื่อยๆ นะ ไม่ต้องกังวลก็ได้ ให้โอกาสพี่ก็พอ”

“พี่จีบผมไม่ได้ ผมไม่ได้ชอบพี่”

“น้องตองหนึ่งไม่คิดจะให้โอกาสพี่เลยเหรอครับ” พี่วายุทำทาทางอ้อนๆ และกอดผมแน่นขึ้น จนหนามกุหลาบที่ทางร้านคงตัดออกไม่หมดแทงเข้ามาที่เนื้อแขนผมเล็กน้อย ผมพยายามดันพี่วายุออกแต่เขาก็ไม่ปล่อยเลย

“ผมให้โอกาสไม่ได้ ผม...ผมมีแฟนแล้ว”

“หนึ่งมีแฟนแล้วเหรอ? ผู้หญิงที่ไหนครับ”

“ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกครับ และผมรักเขามากด้วย”

“เขาที่หนึ่งว่า...คือ....” พี่วายุถามผม

“พี่นัทไงครับ พี่ดูไม่ออกเหรอว่าผมกับเขารักกันน่ะ” ผมบอกตามความจริง ไม่เคยคิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกก็คิดบ้างว่าพี่เขาจะรับได้รึเปล่า แต่ผมกับพี่นัทก็ไม่ได้รักกันแบบแอบซ่อนๆ ซักหน่อย เขาจะมองไม่ออกจริงๆ เหรอไง แต่คนตรงหน้าผมดูอึ้งและตกใจไปจริงๆ ผมใช้โอกาสนนี้ดันตัวเขาออกและเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“พี่นัท...คุณนัท ที่เป็นเจ้าของร้านของหนึ่ง..เหรอครับ”

“ครับ ผมกับพี่นัทรักกัน…”

แววตาของพี่วายุดูผิดหวังไม่น้อย เขาถอยหลังออกไปเล็กน้อยและมองมา ผมไม่คิดจริงๆ ว่าพี่วายุจะชอบผมแบบนั้น ผมนึกว่าเขาแค่เห็นผมเป็นรุ่นน้อง เพราะเขาก็เคยบอกผมตอนสมัยเรียนว่าผมเป็นรุ่นน้องที่เขาเอ็นดูและสนิทที่สุด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจอกันอีกครั้งพี่เขาจะเปลี่ยนใจแบบนี้

“ตองหนึ่ง!!”

เสียงบางคนที่ไม่ใช่เสียงพี่วายุแทรกขึ้นมา เสียงนั้นดังมาจากทิศทางที่ไฟส่องไม่ถึง เป็นเสียงที่แค่ฟังผมก็รู้สึกกลัว เป็นเสียงของบางคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่เวลานี้ได้เลย

“พ..พี่นัท พี่มาที่นี่ได้ไงครับ” พี่นัทไม่ได้สนใจที่ผมพูดแต่เดินตรงไปที่พี่วายุแล้วต่อยเข้าไปทันที พี่วายุที่ยืนงงอยู่ในตอนแรกล่วงลงไปกับพื้น พี่นัทไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาตามลงไปต่อยพี่วายุรัวๆ  พร้อมกับตะโกนเสียงดัง

“ไอ้วายุ ไอ้เลว มึงคิดจะแย่งแฟนกูเหรอ ฝันเหรอมึง!”

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1

พี่นัทปล่อยกำปั้นไม่ยั้ง หมัดพี่นัทดูรุนแรงอีกทั้งเขายังใช้เข่ากดที่หน้าอกของพี่วายุไว้ทำให้ดิ้นไม่ได้มาก ผมที่ตั้งตัวได้ก็รีบทิ้งกล้องและดอกไม้ลง เข้าไปคว้าแขนพี่นัทไว้ไม่ให้ปล่อยกำปั้นไปมากกว่านี้ แต่พี่นัทไม่ยอมพอผมคว้าข้างขวาไว้ พี่นัทก็เปลี่ยนไปใช้มือซ้าย ผมพยายามจับไว้ทั้งสองข้าง แต่แรงพี่นัทมาก เขาผลักผมออกอย่างแรงและหันมาชี้หน้าผม แววตาพี่นัทน่ากลัวมาก แดงก่ำไปหมด เหมือนพี่นัทร้องไห้เลย

พอเห็นพี่นัทเป็นแบบนี้ น้ำตาผมก็ไหลออกมา

“หนึ่งก็อีกคน ทำไมต้องนอกใจพี่ หมดใจแล้วก็บอกกันดีๆ เห็นพี่เป็นควายเหรอวะ!!”

“แค่กๆ ไม่…อย่า…” พี่วายุที่โดนพี่นัทใช่เข่าทับออกอยู่ไอออกมา เลือดกลบปากกลบจมูกจนแดงน่ากลัวไปหมด พอพี่วายุเริ่มพูดออกมาแค่นั้น พี่นัทก็หันไปปล่อยกำปั้นอีกชุดใหญ่ พร้อมทั้งยังพูดด่า คำหยาบคายถูกปล่อยออกมาเสียงดัง ผมจับใจความได้ประมาณว่า เป็นชู้ นอกใจ...และเลว

ผมเข้าใจทันทีว่าพี่นัทคงเห็นตอนที่พี่วายุกอดผมแน่ๆ  หรืออาจเห็นมากกว่านั้น

“ไม่ๆ  ไม่ใช่นะครับ ฮึก ฮือ พี่ฟังพวกผมอธิบายก่อน พี่วายุเขาไม่ได้ตั้งใจนะครับ ฮืออ พี่นัทหยุดก่อน” ผมเข้าไปใกล้และคว้าแขนพี่นัทพร้อมทั้งรีบอธิบาย

“เงียบ!” พี่นัทสะบัดผมออกและก็หันมาตวาดเสียงดังจนผมสะดุ้ง และจ้องหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้น พี่นัทไม่เคยจ้องผมด้วยท่าทางและเเววตาแบบนี้มาก่อน ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของพี่นัทดูน่ากลัวไปหมด

“ฮึก ฮือ”

“โธ่เว้ย!” พี่นัทสบถออกมาและหันไปปล่อยกำปั้นใส่พี่วายุอีกหมัดหนึ่ง

ผลั่ว!

“ฮึก พี่นัทอย่าทำเขา”

“ไม่ให้ทำมัน งั้นพี่ทำหนึ่งแทนก็ได้มั้ยล่ะ!” พี่นัทหยุดต่อยพี่วายุ และหันมาหาผมแทน ผมรู้สึกว่าพี่นัทในตอนนี้ดูอันตรายและน่ากลัวจนผมถอยออกมาโดยสัญชาติญาณ ผมมองหน้าพี่นัทอย่างหวาดๆ

เขาลุกขึ้นและเข้ามากระชากคอเสื้อผมให้ลุกขึ้นตาม ผมยังไม่ทันได้ลุกเต็มขา พี่นัทก็ลากคอเสื้อผมไปในทางที่มืดๆ นั่น ผมที่ก้าวขาตามไม่ทันเลยทำท่าจะล้มหลายรอบ

“ฮึกก ฮืออ พี่นัท ใจเย็นๆ ก่อน พี่นัทครับ ฮึก ฮืออๆ ”

พี่นัทไม่พูดไม่จาอะไรแต่ตวัดสายตาน่ากลัวๆ นั่นมาที่ผม พี่นัทขบกรามจนขึ้นเป็นสัน หน้าตาเคร่งเครียดน่ากลัว น่ากลัวจนผมไม่กล้ายื่นมือไปสัมผัสตัวพี่นัท

พี่นัทลากผมมาที่รถเปิดประตูแล้วก็ดันผมขึ้นไป จะเรียกว่าดันก็ไม่ถูก ต้องเรียกว่ายัดมากกว่า หัวผมโขกกับขอบประตูด้านบนที่เป็นเหล็กเเข็งๆ  ผมเจ็บมากแต่พี่นัทไม่สนใจปิดประตูโดยไม่สนใจว่าตัวผมนั้นเข้ามานั่งเรียบร้อยหรือยัง ผลก็คือชายเสื้อผมโดนประตูหนีบไปส่วนหนึ่ง ผมพยายามดึงออก แต่ไม่สามารถทำได้ ผมจึงเปิดประตูออกเพื่อที่จะดึงชายเสื้อ แต่พี่นัทที่ขึ้นรถมาพอดีและคิดว่าผมจะหนี รีบเอื้อมมือมากันไม่ให้ผมเปิดได้อีกทั้งยังมองผมด้วยสายตาน่ากลัวมา ผมเลยต้องนั่งติดประตูไปแบบนั้น

พี่นัทขับรถเร็วมากๆ  ถึงถนนจะมีรถไม่มาก แต่มันก็น่ากลัวอยู่ดี ในเวลาปกติพี่นัทเป็นคนที่ขับรถนิ่มแต่ตอนนี้รถเคลื่อนไปอย่างเร็ว ถึงจะหยุดทุกไฟแดง แต่เวลาที่รถออกตัวพี่นัทก็ออกตัวแรงจนผมหน้าหงาย แถมเวลาจอด พี่นัทก็จอดกะทันหันจนหัวผมโขกกับหน้ารถไปหลายรอบ และเพราะผมไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย เวลาพี่นัทขับรถแบบนี้ทำให้อาการมึนหัวและพะอืดพะอมกลับมาอีกรอบแต่คราวมันหนักกว่าเดิม หนักจนผมต้องการที่จะอ้วกออกมาจริงๆ

“อึก พี่นัทครับ พี่ขับดีๆ ได้มั้ยครับ ผมรู้สึกคลื่นใส้มากเลย”

“....”  เขาไม่ตอบและไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย แถมพอเจอไฟแดงพี่นัทก็ยังเบรกแรงจนหัวผมพุ่งไปโหม่งกับหน้ารถอีกครั้ง

“ผมเจ็บ พี่เบรกดีๆ ได้มั้ยครับ”

“...”

คราวนี้พอไฟเขียว พี่นัทก็ออกรถทันที จนผมหน้าหงายกลับมากระแทกเบาะอีก ยิ่งกระแทกไปกระแทกมา ความมึน และพะอืดพะอมก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่

“พี่นัทครับ พี่ฟังผมหน่อย พี่ขับแบบนี้มันอันตรายนะครับ”

“...” พี่นัทไม่ยอมฟังผมอยู่แล้ว ซ้ำยังจะเร่งความเร็วจนหน้าปัดมันขึ้นไปร้อยกว่าๆ

“ผมว่ามันเร็วๆ ไปแล้วนะครับ” พี่นัทเงียบ นิ่ง และก็ขับเร็วกว่าเดิม

“...”

“ผมกลัวนะ พี่ครับ ช่วยช้าลงหน่อย”

“เงียบ!” พอผมเซ้าซี้มากๆ  พี่นัทก็รำคาญหันมาตวาดผมเสียงดังก้องรถจนสะดุ้ง ผมไม่เคยโดนพี่นัทตวาดหรือเสียงดังใส่ขนาดนี้มาก่อน พอโดนมันก็ไม่ชิน น้ำตามันก็เลยไหลมากกว่าเดิม

“ฮึก พี่นัทอย่าเสียงดัง ผมกลัว ฮือ”

“...” พี่นัทยังเงียบ ผมรู้ว่าพี่นัทโกรธผมมากเพราะเขาเข้าใจผิด ผมคิดว่าผมต้องรีบอธิบายทุกอย่างให้พี่นัทฟังตอนนี้ พี่นัทจะได้ใจเย็นลงบ้าง

“พี่ครับ พี่โกรธผมเรื่องพี่วายุใช่มั้ย ผมอธิบายได้นะ ที่พี่เห็นมันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ”

“หุบปาก! ไม่อยากฟัง”

“ไม่ได้นะครับ ฮือ ฮึก พี่นัทต้องฟังก่อน พี่จะได้ใจเย็นลง ฮือ”

จู่ๆ  พี่นัทก็เลี้ยวรถเข้าจอดที่ข้างทางอย่างกะทันหัน รอบข้างเป็นพงหญ้าดูน่ากลัว เสาไฟก็ไม่ค่อยมี ตรงนี้คือส่วนไหนของเมืองผมก็ไม่รู้ ใจผมก็แอบหวั่นว่าพี่นัทจะรำคาญจนปล่อยผมลงตรงนี้รึเปล่า?

“ฮึก พี่จอดทำไมครับ?”  ผมมองไปรอบๆ  พอหันกลับมา ก็โดนพี่นัทดึงคอเสื้อให้เข้าไปใกล้ๆ  จนเสื้อส่วนหนึ่งที่โดนประตูหนีบมันตึง และเสียดสีกับผิวจนเจ็บ

“หนึ่งจะให้พี่ใจเย็นแล้วฟังหนึ่งแก้ตัวเหรอ”

“ไม่ใช่ ผมไม่ได้แก้ตัว ฮือ พี่นัท ผม...”

“เหรอ! แล้วจะพูดว่าอะไร บอกได้มั้ยล่ะว่าทำไมไปยืนจูบยืนกอดกับมัน ถ้าพี่ไม่ไปขัดซะก่อนก็คงพากันไปเอาที่โรงแรมแล้วใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่ใช่ครับ พี่ฟังผมก่อนได้มั้ย? ฮึก ฮือ ผม...”

“เสียดายมั้ย คืนนี้ไม่ได้เอากับมัน อยากมากมั้ย เดี๋ยวสงเคราะห์ให้”

“ไม่ๆ พี่อย่าพูดแบบนั้นสิ ผมไม่ได้จะไปทำแบบนั้น ฮือ ฮึก ผมรักพี่คนเดียว ผมไม่มีทางทำแบบนั้น” ตอนนี้ผมพูดอะไรไปพี่นัทไม่ฟัง พี่นัทปล่อยคอเสื้อผม แล้วก็สั่งให้ปีนไปที่เบาะด้านหลังรถ แต่เพราะเสื้อโดนประตูหนีบ ผมเลยไปไม่ได้ เป็นแบบนั้นเลยยิ่งทำให้เขาโมโหเข้าไปใหญ่เพราะคิดว่าผมตั้งใจกวนประสาท พี่นัทดึงตัวผมอย่างแรงจนเสื้อขาด และก็บังคับให้ตัวผมข้ามไปตรงเบาะด้านหลังแล้วพี่นัทก็ตามมา

“ถอดเสื้อ” พี่นัทสั่งผมเสียงแข็ง แววตาก็น่ากลัวแข็งกร้าวตลอดเวลา

“ฮึก พี่จะทำอะไร นี่มันบนรถนะครับ” เพราะผมลีลาท่ามาก ไม่ยอมถอดเสื้อตามคำสั่งพี่นัทก็เลยลงมือกระชากเสื้อผมออก ตามด้วยกางเกง แล้วก็ก้มลงมาซุกตามซอกคอ

“ฮือ พี่อย่า พี่เคยบอกจะไม่ทำถ้าผมไม่เต็มใจ ฮือ” พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้งก่อนก็ก้มลงไปที่แผ่นอก พี่นัทไม่ได้จูบหรือดูดเบาๆ อย่างที่เคยทำ ครั้งนี้พี่นัทใช้ฟันกัดลงมาอย่าแรง ผมสะดุ้ง มันเจ็บมากๆ  น้ำตาผมก็ไหลพรากไม่หยุด เขากัดผมแรงจนเหมือนว่าอยากให้ผมเลือดออก

“จะร้องไห้ทำไม”

“ฮือ ก็พี่เคยบอกแบบนั้น พี่จะผิดสัญญาเหรอครับ”

“อย่ามาพูดดี หนึ่งผิดสัญญาก่อน ไหนเคยบอกว่าจะรักพี่คนเดียว แล้วนี่อะไร วิ่งออกไปกับผู้ชายอื่นทุกคืน อย่างนี้ต้องเรียกว่าอะไร” พี่นัทมองหน้าผม เหมือนต้องการคำตอบ

“ฮึก ฮือ ไม่ใช่นะครับ” พอผมส่ายหน้า พี่นัทก็เลื่อนใบหน้ามาข้างใบหูผม แล้วกระซิบเบาๆ  แต่ดังก้องไปมาในหัวผมอยู่แบบนั้น

“แบบนี้มันเรียกว่านอกใจกันไม่ใช่เหรอ...” ผมส่ายหน้า น้ำตาไหล เจ็บไปหมด ใจเหมือนโดนบีบและคลายออก แล้วก็โดนบีบใหม่ให้เจ็บกว่าเดิม ผมแค่อยากให้พี่นัทหยุดแล้วฟังผมก่อน...ขอแค่ฟังผมหน่อย

“ฮื้อ พี่อย่ากัด ผมเจ็บ ฮือ”

“หุบปาก” เขากัดฟันพูดและกัดแรงกว่าเดิม กัดและดูดไปทั่วทั้งลำคอ ไหล่ ช่วงหน้าอก และต้นแขนของผม ไม่นานมันก็ขึ้นรอยกัดชัดเจนไปทั่วทั้งตัว

“ฮือ เจ็บ พี่นัทอย่ากัดนะครับ ผมเจ็บ อึก” พี่นัทใช้นิ้วมือเข้ามาคว้านไปทั่วช่องปากของผม บังคับให้อ้ากว้างจนสุด กว้างจนผมรู้สึกเจ็บมุมริมฝีปากและตรงกราม จากนั้นก็ก็ขยับลงมาใกล้ก่อนจะขยับออกไป

“กินเหล้ามาเหรอ?”

“ฮือ ผม...” ผมปฏิเสธไม่ได้ เพราะผมกินจริงๆ

“น่าผิดหวัง น่าผิดหวังจริงๆ ” พี่นัทขยับออก และกดหัวผมให้ลงไปที่ส่วนนั้นของพี่นัท

“ฮือ พี่นัท ฮึก”

“ทำสิ รู้อยู่แล้วนี่ว่าต้องทำอะไร”

“ฮึก ฮือ ผมไม่อยากทำ” พอผมส่ายหน้าไม่ยอมทำ พี่นัทก็กดหน้าผมลงกับส่วนนั้นที่มันแข็งดันกางเกงขึ้นมาเล็กน้อย

“ถ้าไม่ทำก็ลงจากรถไป”

พี่นัทพูดเสียงเรียบนิ่ง และดูจริงจัง ผมเงยหน้ามองตาคนด้านบน และพี่นัทกลับดันหัวผมให้แนบไปกับตรงนั้น

"จะทำหรือจะลง" และเพราะผมยังนิ่ง เอาแต่ร้องไห้ พี่นัทเลยขยับมือออก ดันตัวผมขึ้นและทำท่าจะเปิดประตูรถจริง จนผมต้องคว้ามือพี่นัทไว้และรีบละล่ำละลักบอกเสียงสั่น

"อย่า ฮือ พี่อย่าไล่ผม ผมทำแล้ว ต...แต่ถ้าเสร็จแล้ว พี่ต้องฟังผมนะ" ผมรีบรูดซิปกางเกงพี่นัท และก้มลงไปชั้นในพี่นัทลงและใช้เรียวลิ้นสัมผัสลงตรงส่วนที่ร้อนผ่าวไปมาตามความยาว จากนั้นจึงค่อยส่งเข้าไปในโพรงปาก พยายามไม่ให้โดนฟันของผม และเริ่มขยับหัวขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ  ผมได้ยินเสียงครางแผ่วของพี่นัทและแรงขยำจากท้ายทอย พร้อมๆ กับแท่งร้อนที่อยู่ในช่องปากผมนั่นพองขยายขึ้นเรื่อยๆ  จนตอนนี้มันคับปากไปหมด

“ลึกกว่านี้...” พี่นัทกดหัวผม ทำให้ท่อนเนื้อเข้าไปลึกเข้าไปจนถึงคอ

“อือ อึก” ผมตีต้นขาพี่นัทเบาๆ  รู้สึกมันเข้ามาลึกเกินไป ผมหายใจไม่ออก ขยับลิ้นลำบากแต่พี่นัทไม่สนใจ ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายจับหัวผมโยกขึ้นลง บางครั้งพี่นัทก็เด้งสะโพกสวนขึ้นมาจนผมสะอึก มันทรมานเพราะผมหายใจไม่สะดวก พอผมพยายามดันตัวขึ้นก็โดนพี่นัทกดไว้ ผมเปิดช่องปากให้กว้าง หลับตาปี๋ มือก็บีบอยู่ที่ต้นขาของพี่นัท

“อึก อื้อ!”

“หนึ่ง...” พี่นัทขยับหัวผมขึ้นลงเร็วขึ้น อีกทั้งขยับสะโพกสวนขึ้นมา เสียงหอบหายใจของพี่นัทดังก้องไปทั่วรถ ผมกำมือแน่น รู้สึกทรมานมาก เหมือนจะหมดลมหายใจ แต่ผมทนอยู่แบบนั้นไม่นานพี่นัทก็ครางเสียงดังในลำคอ กดหัวผมลงไปจนสุด รู้สึกได้ถึงแท่งเนื้อที่แทงลึกเข้ามายันกลางลำคอ ผมเบิกตากว้าง และรู้สึกได้ถึงของเหลวร้อนที่ฉีดทะลักอยู่ในโพรงปาก

“อื้อ! อึก อ่ะ แค่กๆ” เขาคลายมือผมจึงรีบดันตัวออกขึ้นมานั่งไอจนตัวงอ สำลักของเหลวขาวขุ่นที่บางส่วนขึ้นจมูก อีกทั้งยังต้องพยายามกอบโกยอากาศเข้าปอด ในขณะที่อีกฝ่ายใช่มือจับคางผมบังคับให้เงยหน้าขึ้นเขา

“กลืน”

“อึก พี่ แค่กๆ อื้อ อึก” พี่นัทกวาดนิ้วเข้ามาในปาก บังคับให้อ้าออกกว้างเพื่อดูของเหลวด้านใน ก่อนที่พี่นัทจะแสดงสีหน้าพอใจจากนั้นก็ลูบนิ้วยาวนั่นลงมาที่ลำคอ  เขากดลงไปเบาๆ ลงไปบวิเวณลูกกระเดือกและถูวนอยู่อย่างนั้น ผมรู้สึกหน่วงๆ อย่างบอกไม่ถูกจนต้องหุบปากและเผลอกลืนของเหลวในปากนั่นลงไปด้วย

“ดีมาก” พี่นัทพูดแค่นั้นก็ดันตัวผมลงนอนกับเบาะ จับขาผมอ้าออก จับสะโพกผมยกขึ้นสูงแล้วพี่นัทก็แทรกเข้ามา ผมรู้ว่าพี่นัทกำลังจะทำอะไร แต่ผมให้พี่นัททำตอนนี้ไม่ได้ ผมรู้ตัวว่ามันยังไม่พร้อม

“ไม่ๆ  พี่นัท ฮือ ตอนนี้ไม่ได้นะ อือ ฮือ” พี่นัทไม่ฟัง จับแก่นกายของตัวเองและชักรูดให้พองขยายขึ้นมาใหม่ และขยับเข้ามาแนบชิดขึ้นอีก ผมเอื้อมมือไปดันตรงหน้าท้องพี่นัท และขยับตัวหนี แต่พี่นัทก็ดึงตัวผมกลับมาใหม่และปัดมือผมออก และจับแท่งแข็งนั้นถูตรงช่องทางของผมก่อนที่จะดันเข้ามาเล็กน้อย

“...”

“โอ๊ย! อึก พี่นัทอย่า อย่าทำ ผมเจ็บ...มันเจ็บ” ผมใช้มือดันตรงหน้าท้องไว้ไม่ให้พี่นัทขยับเข้ามามากไปกว่านี้

“อย่าเกร็งมากนักสิ ฮึบ!!” พี่นัทไม่ฟัง ไม่สนใจผม เขากดตัวผมให้นอนนิ่งอยู่บนเบาะและดันตัวเข้ามาอย่าแรงทีเดียวจนเข้ามาสุด ความเจ็บที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนโจมตีผม ความรู้สึกจุกๆ รามไปทั่วท้องน้อยผมเผลอเกร็งหน้าท้องตัวเองไว้แน่น ผมเกร็งนิ้วจิกเล็บลงไปในเนื้อของพี่นัทระบายความเจ็บและทรมานนี้ออกไป

“อึก!! จ...เจ็บ พะ...พี่ เอาออกก่อน เจ็บ ผ...ผมเจ็บ” พี่ไม่ได้หยุดแต่เริ่มขยับเข้าออกช้าๆ ตัวผมโยกคลอนตามจังหวะการขยับของคนด้านบน ความทรมานจู่โจมไปทั่ว ทุกครั้งที่ผมมีเซ็กส์กับพี่นัทผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แม้แต่ครั้งแรกที่ผมว่าเจ็บแต่มันก็มีความก็รู้สึกดีมากอยู่ด้วย 

ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บอย่างเดียว เจ็บอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ได้มีความรู้สึกอื่นนอกจาก เจ็บ จุก ทรมาน พอผมมองดูคนข้างบนที่เอาแต่ขยับไม่สนใจผม ก็ทำให้ผมรู้สึกโมโหและน้อยใจขึ้นมา

“ฮึก อือ พี่นัทใจร้าย ฮือ ใจร้าย ฮื้อ!!” ผมสะอึกสะอื้นกล่าวว่าคนตรงหน้า ก่อนที่จะกรีดร้องเล็กน้อย เพราะพี่นัทขยับแรงขึ้นนิดหน่อย แต่มันก็เพิ่มความเจ็บให้กับผมได้มากโข

“หึ!”

ผมตัดพ้อไปเรื่อย น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ร่างกายมีแต่รอยกัด รอยบีบ แถมยังรู้สึกเหมือนตรงช่องทางนั้นก็ฉีกขาดอีกด้วย ผมส่ายหน้าไปมากับเบาะ ผมรู้สึกแย่ที่สุด ในความคิดผม พี่นัทในตอนนี้ใจร้ายมาก

“อึก ฮือ...พี่ไม่รักผมแล้วเหรอครับ ฮือ พี่นัทบอกว่ารักผมไง จำไม่ได้เหรอ… โอ๊ย! อื้อ!!” ระหว่างที่ผมพูดพี่นัทก็ทำหน้าตาน่ากลัวขึ้น เขาจับต้นแขนผมแน่นยกตัวผมขึ้นและกระแทกผมลงกับเบาะรถอย่างแรง ถึงจะเป็นเบาะนุ่มไม่เจ็บมาก แต่มันก็ทำให้ผมสะเทือนไปทั้งตัว ผมมองพี่นัทอย่างตกใจ เขาดูน่ากลัวมากกว่าเดิมเสียอีก

“ผิดสัญญา? บอกว่ารัก? จำไม่ได้? พี่ตังหากที่ต้องถามว่าหนึ่งจำไม่ได้เหรอ? ที่บอกว่ารักพี่ บอกให้พี่รักหนึ่งไปตลอดชีวิต แล้วดูที่หนึ่งทำกับพี่สิ บอกให้พี่รออยู่ที่ร้าน พี่ก็โง่รอไง...เพราะไว้ใจ ปล่อยให้หนึ่งออกมากับมัน ถามจริงถ้าพี่ไม่ตามมาเจอหนึ่งยืนแรดกอดจูบอยู่กับมันแบบนี้ พี่ก็ต้องนั่งโง่เป็นควายรอหนึ่งไปอีกนานแค่ไหนวะ!!”

“ไม่…ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ พี่เข้าใจผิด ฮืออ”พี่นัทพูดออกมาด้วยแววตาเจ็บปวดแล้วขยับสะโพกเข้ามาเป็นบางครั้ง แต่ละครั้งที่เข้ามา มันลึกจนเหมือนทะลุถึงท้อง มันเจ็บและจุกไปหมด

“พี่ต้องถามหนึ่งตังหากว่ายังรักพี่อยู่รึเปล่า? พี่ไว้ใจหนึ่งแค่ไหนรู้บ้างไหม? หนึ่งเคยใส่ใจพี่รึเปล่า? นึกถึงความรู้สึกพี่บ้างไหม? เวลาที่หนึ่งออกไปกับมันดึกดื่นพี่รู้สึกยังไง หนึ่งบอกว่าจะมานอนกับพี่แล้วก็ผิดนัด หนึ่งไม่สนใจพี่เลย หนึ่งขอลาครึ่งวันเพราะไปถ่ายรูปบ้าบอกับมัน เคยคิดบ้างมั้ยว่าพี่จะรู้สึกยังไง พี่น้อยใจแค่ไหนเคยคิดบ้างรึเปล่า!”

“ผมขอโทษ ฮือ ผม…”

“ใครกันแน่ที่ผิดสัญญาก่อน พี่เหรอ? หนึ่งไง หนึ่งบอกพี่ว่าอะไร บอกว่าจะกลับกี่โมง บอกว่าจะรักพี่คนเดียว แล้วที่หนึ่งทำมันใช่เหรอวะ แรดไปกับผู้ชายคนอื่นตั้งหลายคืนหลายวัน ทิ้งพี่ยังไม่พอนะ ยังขาดความรับผิดชอบทิ้งงานไปอี๋อ๋อกับมัน แบบนี้มันใช่เหรอวะ!! ติดใจอะไรมันนักหนาหะ! ถามจริงๆ  ไอ้รูเนี่ยให้มันเข้ามากี่ครั้งแล้ว!!”

“ฮือ พี่นัท อย่าพูดแบบนั้น...มันไม่ใช่แบบนั้น ผมเจ็บ” พี่นัทตะคอกใส่ผมแล้วขยับเข้าออกแรงๆ  ผมได้แต่กรีดร้องและส่ายหน้าไปมาอยู่อย่างนั้น

“แล้วพี่ล่ะ...พี่ไม่เจ็บเหรอ พี่รักหนึ่งมากแค่ไหนเข้าใจบ้างไหม? ฮึก พี่เจ็บมากแค่ไหนหนึ่งจะเข้าใจบ้างไหม? ฮือ รู้รึเปล่าว่าพี่รักมากแค่ไหน เคยรู้บ้างไหม? ฮือ”

ผมรู้สึกแย่ และยิ่งรู้สึกแย่ที่สุดเมื่อเห็นผู้ชายตรงหน้าผมมีน้ำไหลออกมาจากดวงตา น้ำหยดเล็กหยดลงกระทบกับหน้าผม ใจผมสั่นไหวเจ็บปวดรุนแรง เจ็บที่สุด เจ็บกว่าความรู้สึกไหนๆ ที่ผ่านมา แต่มันคงไม่เจ็บเท่าคนตรงหน้าผม คงไม่ทรมานเท่าที่พี่นัทรู้สึกทรมาน ผมยกมือขึ้นไปหวังจะเช็ดน้ำตาให้พี่นัทแต่เขาก็ปัดมือผมออกแล้วเช็ดออกเอง...

หลังจากนั้นก็เริ่มต้นขยับอีก  ผมเจ็บแต่ก็นอนนิ่งๆ ไม่ได้ขัดขืน ไม่ได้โวยวายอย่างตอนแรก พอพี่นัทเห็นผมไม่ขัดขืนอะไรแล้วเขาก็ขยับสะโพกช้าลงหน่อยแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ผมได้แต่นอนกัดฟันอยู่อย่างนั้น

ผมรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำที่สุด ผมไม่คิดว่าพี่นัทจะรู้สึกยังไง ผมมันเห็นแก่ตัวเอาความสุขของตัวเองสำคัญที่สุด แล้วก็ละเลยพี่นัท ที่ผมโดนแบบนี้มันก็สมควรแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยพี่นัทระบายอารมณ์ความรู้สึกแย่ๆ ที่ผมเป็นต้นเหตุออกมา ผมไม่รู้ว่าพี่นัทเจ็บปวดแค่ไหน แต่รู้ว่าต้องเจ็บปวดและเสียใจกว่าผมมากแน่นอน เพราะแค่ผมลองคิดกลับกันว่าถ้าพี่นัทนอกใจผม ไม่สนใจผมและทำแบบที่ผมทำกับเขา ผมก็คงปวดใจและทรมานใจที่สุด มันทรมานกว่าที่ผมโดนอยู่ตอนนี้มากแน่นอน แค่คิดก็จะทนไม่ไหวแล้ว

ผมได้แต่นอนนิ่งๆ ให้พี่นัททำอย่างที่ต้องการ แต่ก็พูดขอโทษออกมาบ้างเป็นบางครั้งเวลาที่ความรู้สึกผิดมันเกาะกินอยู่ในใจจนต้องพูดขอโทษออกมา ไม่นานหลังจากนั้นพี่นัทก็ปลดปล่อยในตัวผม ผมไม่ได้ถึงจุดปลดปล่อยไปกับเขา มันเจ็บเกินกว่าที่จะรู้สึกดีได้ เขาดึงตัวออกจัดการทำความสะอาดตัวเองเล็กน้อย และกลับไปนั่งตำแหน่งคนขับและขับรถกลับร้าน ผมค่อยลุกขึ้นน้ำจากข้างในไหลออกมา ผมใช้ทิชชู่ที่พี่นัทโยนมาให้เช็ดทำความสะอาดตัวเอง แล้วก็จัดการใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วก็นั่งร้องให้เงียบๆ อยู่อย่างนั้น นั่งทบทวนความผิดของตัวเอง มองไปที่พี่นัทที่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเป็นระยะๆ

ไม่นานเราก็ถึงร้าน พี่นัทนำรถไปจอดที่ลานจอดรถรวมและลากผมขึ้นห้อง ผมล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทาง แข้งขาอ่อน ไม่มีแรงจนพี่นัทต้องอุ้มผมขึ้นและเดินขึ้นห้อง ความทรมาน ความเสียใจ ความรู้สึกผิดของผมมันไม่ได้จบลงแค่ที่เบาะหลังรถนั้น มันดำเนินไปเรื่อยๆ จนสว่าง ผมเผลอหลับไป พี่นัทก็ปลุกผมขึ้นมาทำต่อ จนร่างกายผมทนไม่ไหวรู้สึกเหมือนโลกมันหมองลงแต่ก่อนที่ผมจะหมดสติไปผมกลับรับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดและเสียงร้องไห้ของคนที่ผมรัก ผมอยากกอดเขาอยากขอโทษ แต่ผมไม่มีแรงแล้ว...





ตอนนี้ก็รีไรท์นาน เพราะมีฉากที่เรียกได้ว่าเป็นการข่มขืน TT ขอบอกไว้ก่อนว่าเราไม่เคยสนับสนุนการข่มขืนหรือการมีเซ็กส์แบบไม่เต็มใจนะคะ แต่ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะเปลี่ยนปมเรื่องนี้ เราอยากแสดงให้รู้ว่าพี่นัทอารมณ์ร้อนและโกรธตองหนึ่งมากขนาดไหน แต่ก็จะมีอีกความคิดเห็นนึงในสมองเราแย้งว่าแสดงออกด้วยวิธีอื่นไม่ได้เหรอ??...

มันค่อนข้างละเอียดอ่อนเหมือนกันนะ แงงง เลยอยากจะขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนิดนึงนะคะ เดี๋ยวพี่นัทเขาจะได้รับบทเรียนจากการไม่ฟังและอารมณ์ร้อนของเขาในภายหลังค่ะ

 

#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้วายุ  เมิงมันเลว

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
นัททำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะแย่กว่าวายุอีกแบบนี้ไม่เรียกว่ารักเรียกว่าเห็นแก่ตัวมีอีกหลายหนทางถึงจะโกรธกับสิ่งที่เห็นก็ควรฟังกันชีวิตรักของหลายคนพังเพราะการไม่ฟังกันเชื่อในสิ่งที่แค่ตาตัวเองมองเห็น

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด