[END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62  (อ่าน 19627 ครั้ง)

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
24 : ช่วงเวลาสำนึกผิด


ผมตื่นขึ้นมาตอนที่ฟ้าข้างนอกเปลี่ยนเป็นสีส้มอีกครั้งมองดูนาฬิกาตรงหัวเตียงถึงรู้ว่านี่มันเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ เพื่อหาคนตัวสูง แต่ไม่มี…

ห้องว่างเงียบ หม่นๆ ดูไม่อบอุ่นเหมือนที่ผมเคยรู้สึก ผมทิ้งตัวลงนอนลืมตานิ่งอยู่สักพัก แค่ขยับนิดหน่อยก็ปวดเมื่อยไปหมด ผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็ลุกขึ้นนั่ง  รู้สึกระบมไปทั้งสะโพกและเจ็บช่องทางด้านหลัง แถมเจ็บกรามอีก พอก้มลงมองตัวเองก็เห็นทั้งรอยกัด รอยดูด รอยมืออยู่เต็มตัวไปหมด

ผมนั่งทำใจอยู่ซักพักแล้วก็ค่อยลุกขึ้นเดิน หวังจะไปอาบน้ำ แต่พอลุกขึ้นน้ำรักของพี่นัทที่อยู่ภายในก็ไหลออกมาตามเรียวขา ผมกัดฟันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่พอถึงหน้าตู้เสื้อผ้าน้ำตาผมก็ไหลลงมาอีก...จะไม่ให้ไหลได้ยังไงไหว พื้นหน้าตู้มีแต่เสื้อผ้าของผม ข้างๆ ก็มีกระเป๋าที่ผมใส่เสื้อผ้ามาในตอนแรกวางอยู่

เดากันออกใช่มั้ย? ผมโดนพี่นัทไล่แล้วไง

“ฮึก พี่นัท ผมขอโทษ ฮึก”

ผมยืนร้องไห้อยู่แบบนั้นไม่นานแล้วหยิบผ้าขนหนูเสื้อผ้าขึ้นมาหนึ่งชุด ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำค่อนข้างนานเพื่อจัดการทำความสะอาดตัวเอง รวมถึงนั่งทำใจด้วย แทบจะอาบน้ำตาแทนน้ำปะปาอยู่แล้ว แต่ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไรแล้วตอนนี้

ผมเดินออกมาจัดการเก็บเสื้อผ้า และทำความสะอาดห้องและร้านให้พี่นัท  เก็บผ้าปูที่นอนและเสื้อผ้าพี่นัทไปซักและตากให้ กวาดและถูพื้นให้ มันลำบากที่ต้องทำในตอนที่สภาพร่างกายไปพร้อมแบบนี้ แต่ผมอยากทำ ทำเพื่อรอพี่นัทกลับมาด้วย แต่รอจนผมทำทุกอย่างหมดแล้ว พี่นัทก็ยังไม่กลับ ผมนั่งรอพี่นัทอยู่ตรงโซฟาแบบนั้นไปเรื่อยๆ และเผลอหลับไปอีก ผมหลับไปนานพอสมควรและก็สะดุ้งตื่นขึ้นอีกทีตอนตีห้ากว่าๆ ของอีกวันแต่ก็ยังไร้วี่แววของพี่นัท  ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพี่นัทรู้สึกยังไงตอนที่รอผมกลับ ไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกันมั้ย แต่ไม่ว่ายังไงคนที่รอก็รู้สึกทรมานแน่ๆ

ผมตื่นขึ้นมารอบนี้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวๆ ร้อนๆ สลับไปมาอยู่แบบนั้น ก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะเป็นไข้เลยตัดใจที่จะรอแล้วสะพายกระเป๋ากลับห้อง

พอเดินมาถึงที่พักก็นึกขึ้นได้ว่าข้าวของของผมอยู่บนรถพี่วายุหมดเลย ทั้งกล้องถ่ายภาพ โทรศัพท์ กระเป๋าเงินและกุญแจห้อง ผมนั่งรออยู่ตรงหน้าที่พักไม่นานเจ้าหน้าที่ของที่พักก็มา ผมขอยืมกุญแจสำรองและไขประตูเข้าห้อง ผมหยิบเงินสำรองที่ผมเก็บติดห้องไว้จำนวนหนึ่ง  แล้วเดินลงไปร้านสะดวกซื้อหน้าที่พักเลือกซื้อยาและอาหารไว้จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นห้อง กินข้าวกินยาและนอนพัก

ผมเคยได้ยินมาหลายครั้งว่าช่วงเวลาที่เรานอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง ช่วงเวลาที่เราเตรียมตัวจะหลับ มันเป็นช่วงเวลาที่คนเราคิดมากที่สุด ผมขอบอกอีกเสียงเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง…

ผมร้องไห้ ผมคิดถึงพี่นัท หนึ่งปีที่ผ่านมาเวลาที่ผมไม่สบายพี่นัทก็คอยดูแลตลอด แต่ตอนนี้ผมนอนอยู่คนเดียวไม่มีกอดอุ่นๆ ไม่มีข้าวต้มอร่อยๆ มีแต่โจ๊กซองและยาขมๆ นอนกอดหมอนข้างอยู่คนเดียวในห้อง

‘เจ็บกว่าการไม่มีคือการเคยมี’

ผมเข้าใจคำนี้ก็ในเวลานี้แหละ แต่มันก็สมควรแล้วใช่มั้ย? เพราะผมทำตัวไม่ดีกับพี่นัทก่อน ผมรู้ ผมผิด และตอนนี้ผมรู้สึกผิดมาก ผมคิดน้อยไป ผมละเลยพี่นัทและออกไปกับคนอื่น ไม่นึกถึงความรู้สึกพี่นัทว่าเขาจะรอผมอยู่ ไม่คิดว่าพี่นัทจะรู้สึกยังไง ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัว เห็นความสุขของตัวเองสำคัญที่สุด และขาดความรับผิดชอบ พี่นัทให้งานให้โอกาสผม แต่ผมก็คิดน้อย ไม่สิ! ไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำตอนที่ทำตัวแบบนั้น มันก็ไม่แปลกที่พี่นัทจะผิดหวังในตัวผม ผมทำให้พี่นัทเสียใจ ทำให้ผิดหวัง ผมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยซักนิด…

ตองหนึ่งในอดีตหรือตองหนึ่งในวันนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ไม่เคยทำให้ใครภูมิใจได้เลย

“ฮือ ฮึก ผมขอโทษ หนึ่งขอโทษ”

ผมลุกขึ้นนั่ง เช็ดน้ำตา ตอนนี้หลับไม่ลงแล้ว ผมลงจากเตียง เปิดลิ้นชักหาโทรศัพท์เครื่องเก่า เป็นรุ่นเก่าที่ยังเป็นปุ่มกดธรรมดาอยู่ เป็นเครื่องที่ผมใช้ตอนขึ้นมหาลัยใหม่ๆ ผมนำไปชาร์ตดีใจขึ้นมาหน่อยที่เห็นว่ายังสามารถเปิดติดอยู่ ผมล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปซื้อซิมการ์ดที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่าง แล้วรีบขึ้นมาใส่และเปิดใช้งานจนเรียบร้อย ในเครื่องยังมีเบอร์เพื่อนเก่าที่เซฟไว้ในเครื่อง มีเบอร์เก่าพี่วายุ มีเบอร์เก่าตองสองที่ตอนนี้มันเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว เลื่อนลงมาเรื่อยๆ ก็เจอเบอร์ของแม่...แม่ยังคงใช่เบอร์นี้อยู่ ตั้งแต่ผมเพิ่งใช้โทรศัพท์เป็นจนถึงตอนนี้ ผมไม่เคยเห็นแม่เปลี่ยนเบอร์เลย ผมกดโทรออกโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก อยากคุย อยากได้ยินเสียง

สายแรกที่โทรไป แม่ไม่ได้รับ ผมก็กดโทรไปอีกรอบ อาจเพราะว่าเป็นเบอร์แปลกหรืออาจเป็นเพราะแม่ไม่ว่าง ผมตั้งใจจะวางสายเพราะเกรงว่าจะรบกวนแม่ แต่แม่ก็กดรับสายซะก่อน

(สวัสดีจ้า)

“...” ผมเงียบ เสียงของแม่ลอยมาตามสาย พอได้ยินเสียงก็อยากเจอหน้าแม่ อาทิตย์นี้ผมยังไม่ได้โทรหาแม่เลยซักครั้ง

(สวัสดีจ้า นั่นใครเอ่ย?)

“แม่…หนึ่งเอง”

(อ้าวตองหนึ่ง เอาเบอร์ใครโทรมาลูก)

“เบอร์ใหม่ครับ ผมทำเครื่องเก่าหาย”

(โธ่ ไม่รักษาของเลยนะเรา)

“...” แม่แค่พูดเรื่องโทรศัพท์แต่ผมดันนึกไปถึงเรื่องพี่นัท จริงอย่างที่แม่บอก ผมไม่รักษาของเลย ข้าวของตัวเองยังไม่รักษา หัวใจตัวเองก็รักษาไว้ไม่ได้เหมือนกัน คิดๆ แล้วน้ำตาและก้อนสะอื้นมันก็มาจุกที่คออีกครั้งจนพูดไม่ออกขึ้นมา

(แล้วเบอร์ใหม่นี่ได้บอกน้องยัง? แล้วซื้อเครื่องใหม่มานี่แพงมั้ย? เก็บดีๆ นะ อย่าทำหายอีก มันเปลืองตัง รู้มั้ย!)

“...” แม่ก็บ่นไปเรื่อย แต่ผมดันร้องไห้อีกแล้ว ผมนั่งเงียบๆ ฟังเสียงแม่บ่น คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ อยากกลับบ้าน แต่ถ้าแม่เห็นผมสภาพนี้ แม่คงไม่สบายใจแน่ๆ แล้วอีกอย่างผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่นัทยังจะให้ผมไปทำงานอีกรึเปล่า? ผมไม่อยากบอกแม่ว่าผมตกงานอีกแล้ว ผมไม่อยากให้แม่กับพ่อผิดหวังกับผมอีก

(ตองหนึ่ง...เป็นอะไรไปลูก)

ปกติผมก็ไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่ไม่ใช่ไม่พูดเลยแบบนี้ พอผมเงียบไปแม่เลยทัก ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ  กลืนก้อนสะอื้นลงไป แล้วคุยกับแม่ต่อ

“ผมคิดถึงแม่กับพ่อไง”

(โถ คิดถึงก็กลับมาบ้านบ้างสิ อยากกินอะไรเดี๋ยวแม่ทำให้กินหมดเลย พ่อเขาก็อยากให้หนึ่งมานอนบ้านบ้าง เขาเข้าไปกวาดห้องหนึ่งทุกอาทิตย์เลยนะ)

“...” ผมเช็ดน้ำตาและเงียบอีกครั้ง เช็ดน้ำตาจนรู้สึกแสบเปลือกตาไปหมด ผมพยายามห้ามน้ำตา แต่มันห้ามไม่ไหวจริงๆ  สุดท้ายก็หลุดสะอื้นไปจนแม่ได้ยินก็เลยหยุดพูดและถามผม

(ตองหนึ่ง...เป็นอะไรลูก) แม่พูดแบบนั้น ผมได้ยินว่าแม่เรียกพ่อให้มาคุยกับผมด้วย เห็นมั้ย! แค่อยู่ที่นี่ผมก็ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจจนได้

“แม่ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

(ตองหนึ่ง หนูเป็นอะไรลูก) คราวนี้ไม่ใช่เสียงแม่ แต่เป็นเสียงนุ่มๆ ของพ่อ นานแล้วที่ไม่ได้ยินพ่อเรียกแทนตัวผมแบบนั้น ในตอนเด็กๆ พ่อกับแม่เรียกผมกับตองสองแบบนั้น แต่พอโตขึ้นพ่อก็เปลี่ยนมาเรียกชื่อปกติ

ผมชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงไปและร้องไห้ พอผมไม่พูดอะไรพ่อกับแม่ก็เงียบบ้าง แต่ก็ยังถามเป็นระยะๆ ผมร้องไห้จนพอใจก็ตอบกลับไป

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่เหนื่อย แล้วก็คิดถึงพ่อกับแม่ไง”

(เหรอ พ่อกับแม่ก็คิดถึงหนูนะ หยุดงานวันไหนล่ะ กลับมาบ้านมั้ย รอตองสองหยุดงานด้วย พากันกลับมาหาพ่อกับแม่)

ผมเงียบไม่อยากพูดถึงเรื่องงานให้พ่อแม่ฟัง ไม่อยากบอกว่าตอนนี้ไม่มีงานทำอีกแล้ว พอผมเงียบคนปลายสายก็เงียบ เขาคงไม่อยากเร่งรัดหรือเซ้าซี้อะไรผมมาก

“ผมรักพ่อกับแม่นะ รักมากๆ เลย”

(อืม พ่อกับแม่ก็รักหนู ฝากบอกตองสองด้วยว่าพ่อกับแม่ก็รักเขาเหมือนกัน)

“ไม่บอกหรอก ผมจะเก็บความรักของพ่อกับแม่ไว้คนเดียว” เพราะตอนนี้ผมต้องการความรักมากที่สุด

(จ้า แล้วทำไมโทรมาเวลานี้ ไม่ทำงานเหรอ)

“...พ่อกับแม่เคยทะเลาะกันมั้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องตั้งใจจะถามไปเรื่อยเปื่อย แต่เพราะในสมองตอนนี้มันคิดแต่เรื่องทะเลาะก็ถามพ่อไปแบบนั้น

(เคยสิ มีใครไม่เคยทะเลาะกันมั่งล่ะ?)

“แล้วเคยเลิกกันมั้ย?”

(ถ้าเลิกแล้วจะมีสองหน่ออย่างพวกแกได้ไงล่ะ)

“นั่นสิ”

(แต่มีทะเลาะกันครั้งนึง แม่งอนพ่ออยู่ 3 วัน แต่พ่อแกตามตื๊อง้อแม่จนรำคาญต้องคืนดีด้วยเลยแหละ) แม่พูดแล้วหัวเราะกับพ่อ ผมก็พลอยหัวเราะไปด้วย พ่อคุยเรื่องตอนที่แม่งอนพ่อ แล้วก็วิธีที่พ่อใช้ง้อแม่ มันน่ารักและตลกมาก ผมเลยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่เพราะว่าพ่อกับแม่ต้องทำงาน ไม่นานพ่อกับแม่ก็วางสายไป ผมที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้อย่างหนักจนตอนนี้ตาบวมจนแทบลืมตาไม่ขึ้น บวกกับอาการไข้และฤทธิ์ยา ทำให้ต้องคลานกลับมานอนที่เตียงอีกครั้ง

ก่อนจะหลับคราวนี้ก็คิดมากเหมือนเดิมแหละ แต่มีความคิดอื่นแทรกเข้ามาด้วย ผมอยากจะรัก อยากอยู่กับพี่นัทนานๆ เหมือนพ่อกับแม่ เรื่องทะเลาะไม่เข้าใจกันมันมีทุกคู่ ถึงเรื่องของผมมันจะแย่มาก แต่ก็หวังว่าพี่นัทยังไม่เกลียดผมมากนัก

ผมรักพี่นัท ผมไม่อยากเสียพี่นัทไป ผมอยากอยู่กับพี่นัทไปนาน ผมจะตามตื๊อ ตามง้อ ตามขอโทษพี่นัท จะทำทุกอย่างจนกว่าพี่นัทจะคืนดีแล้วก็ยกโทษให้ ผมต้องทำทุกอย่างให้พี่นัทหายโกรธ พรุ่งนี้ผมต้องไปขอโทษพี่นัท!!





“ตองหนึ่งสู้ๆ ”

ผมบอกตัวเองและก้าวขาออกจากห้อง หลังจากที่บอกกับตัวเองว่าจะตามตื๊อขอโทษพี่นัทวันนั้น วันถัดมาอาการไข้ก็เล่นงานจนผมได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงเกือบทั้งวัน แต่เพราะผมบังคับตัวเองกินข้าวกินยาอย่างตรงเวลา เช้าวันนี้อาการเลยดีขึ้น ไม่ปวดหัวแล้ว ไม่มีอาการหนาวร้อนแล้ว สะโพกกับเอวก็หายเจ็บแล้วด้วย จะเหลือก็แต่รอยกัดตามตัวที่มันเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคเลย ผมเลือกใส่เสื้อแขนยาวและใส่ฮู้ดทับปิดรอยตามคออีกที คนอื่นไม่เห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเต็มร้อย

ผมเดินอ้อมไปอีกซอยหนึ่งเพื่อที่จะซื้อดอกไม้สวยๆ ไปขอโทษพี่นัท แต่เพราะผมไม่ชอบดอกไม้ที่ถูกตัด ผมเลยเลือกซื้อมาทั้งต้นเลย ผมเดินหอบต้นดอกลิลลี่ไปที่ร้าน ระหว่างทางใจมันก็หวั่นๆ ว่าพอไปถึงแล้วจะโดนพี่นัทไล่กลับรึเปล่า วันนั้นพี่นัทโกรธผมมากเลย ไหนจะเรื่องที่ผมทำไม่ดีกับเขา แล้วยิ่งเข้าใจผิดว่าผมนอกใจอีก พี่นัทจะเกลียดผมไปแล้วรึยัง?

“ไม่ๆ อย่าคิดแบบนั้นสิ เราต้องสู้ไว้” ผมสะบัดหัวบ่นห้ามความคิดตัวเอง แล้วก็เดินต่อ จนมาถึงหน้าร้าน วันนี้พี่นัทไม่เปิดร้าน มันเงียบมากๆ  ผมแอบส่องดูตามช่องของม่านก็ไม่เห็นอะไรเลย ข้างในมันมืด

ผมวางดอกลิลลี่ไว้หน้าร้านแล้วก็เดินไปดูทางประตูหลังแต่มันก็ถูกปิดและล็อค ผมอยากจะลองไขกุญแจเข้าไป แต่กุญแจมันอยู่ในกระเป๋าบนรถพี่วายุ ผมเลยได้แต่กลับมานั่งรออยู่หน้าร้านเหมือนเดิม พี่นัทอาจจะนอนอยู่บนชั้นสอง ผมนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ พี่นัทน่าจะออกมารดน้ำต้นไม้ เพราะต้นไม้หน้าร้านใบยังแห้งอยู่ แสดงว่าวันนี้พี่นัทยังไม่ได้รดน้ำให้

แต่ผมนั่งรออยู่ได้ครึ่งวันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่นัท หรือว่าเขาจะออกไปข้างนอกอ่ะ ผมหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าขึ้นมา หวังจะโทรหาพี่นัทไปเลย แต่ผมจำเบอร์พี่นัทไม่ได้ พยายามนั่งนึก กดมั่วๆ ไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็เก็บที่เดิมแล้วนั่งรอต่อไป

รออีกแปปเดียว เดี๋ยวพี่นัทก็กลับ....

ผมบอกตัวเองด้วยประโยคนั้นตั้งแต่เที่ยงจนตอนนี้มันสองทุ่มแล้ว ไม่เคยนั่งรอใครนานขนาดนี้เลย  เพราะคำว่า...อีกแป๊ปเดียวเดี๋ยวเขาก็กลับแล้ว วันนี้ต้องขอโทษ... คำพวกนี้มันเวียนอยู่ในหัวทำให้ผมนั่งรอได้ แต่รอจนยุงกัดเลือดจะหมดตัวแล้วพี่นัทก็ไม่มา

พี่นัทไปไหน พี่นัทอยู่ข้างในรึเปล่า? หรือว่าพี่นัทเห็นว่าผมนั่งรออยู่ตรงนี้เขาเลยไม่ออกมา ผมมองไปที่ต้นไม้ ใบยังแห้งเหมือนเดิม ดินก็แห้ง

“ต้นไม้ น่าสงสาร...” ผมมองดอกไม้แล้วพึมพำออกมา ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น เดินไปลากสายยางมาฉีดน้ำรดต้นไม้ ให้ผมแห้งเหี่ยวอยู่คนเดียวแหละพอแล้ว อย่าให้ต้นไม้ดอกไม้สวยๆ มาแห้งไปด้วยเลย

หลังจากที่รดน้ำเสร็จเสร็จก็เดินกลับห้อง อาบน้ำ อุ่นข้าวกล่องกินแล้วก็นั่งเหี่ยวอยู่บนเตียง เมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียว เวลาแบบนี้ผมทำอะไร....

อืม...ผมนั่งคิดถึงกิจกรรมของตัวเองในสมัยก่อน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีแลปทอป ผมมีไอดีของพี่นัท ผมติดต่อกับพี่นัทผ่านโซเชียลได้นี่

“นั่งโง่อยู่ได้ตั้งสองวันนะตองหนึ่ง” ผมก็บ่นตัวเองแล้วเปิดเครื่องแลปทอป รีบเข้าเว็บตัวเอฟสีน้ำเงินแล้วเข้าไปที่หน้าโปรไฟล์ของพี่นัท ไม่มีการอัพเดทอะไรเลย ผมกดข้อความและเตรียมมือจะพิมพ์ทักทายไป แต่ก็ชะงัก เพราะนึกไม่ออกว่าจะพิมพ์ไปว่าอะไรดี

ตอนนี้พี่นัทโกรธผมอยู่ ต้องพิมพ์ไปยังไงดี ขอโทษไปเลยดีมั้ย? หรือจะพูดสวัสดีไปก่อนดี?

“เฮ้อ...เรื่องง่ายๆ ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเลย” ผมล่ะเซ็งตัวเอง

คิดอยู่นานก็เลยพิมพ์ไปด้วยถ้อยคำธรรมดาๆ

ตองหนึ่ง: พี่นัทครับ

ผมรอไม่นานมันก็ขึ้นว่าพี่นัทได้อ่านข้อความแล้ว แต่ก็ไม่มีความอะไรตอบกลับมา ผมนั่งรอนั่งจ้องอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรเดียว ผมเลยพิมพ์ต่อไป เพราะอย่างน้อยพี่นัทก็ได้อ่านข้อความของผม

ตองหนึ่ง: พี่ครับ วันนี้พี่ไปไหน พี่นัทได้อยู่ในร้านรึเปล่าครับ ผมไปรอพี่ที่หน้าร้านด้วยนะครับ ผมอยากขอโทษเรื่องที่ผมทำไม่ดี

ตองหนึ่ง: พี่จะเปิดร้านวันไหนครับ ผมยังได้ทำงานอยู่ใกล้ๆ พี่มั้ย ผมคิดถึงพี่มากเลยครับ

ไม่ว่าผมจะพิมพ์ไปเยอะขนาดไหน มันก็แค่ขึ้นว่าอ่านแล้ว พี่นัทไม่ตอบกลับอะไรมาเลย

ตองหนึ่ง: ผมขอโทษจริงๆ ครับ

หลังจากจบประโยคนั้น ผมก็ปิดแลปทอป ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วก็ร้องไห้ ก็ไม่อยากร้องไห้หรอกแต่ขอหน่อยเถอะ ขอระบายความอึดอัดในใจออกไปหน่อย หลังจากร้องจนพอใจ ผมก็หลับ เก็บพลังไว้ตื๊อพี่นัทต่อในวันต่อไป

 

ผมหวังว่าจะตื๊อขอโทษจนกว่าพี่นัทจะหายโกรธ แต่นี่มันผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ผมก็ยังไม่เจอพี่นัท ผมทำแบบเดิมมาตลอดอาทิตย์ นั่งรอหน้าร้าน บ้างก็เดินไปดูทางด้านหลังบ้าง กลางวันก็เดินไปกินข้าวที่ร้านประจำข้างๆ บางวันก็แวะไปทำบัตรประชาชนใหม่ พอได้มาก็เอาไปทำบัตรกดเงินใหม่ต่อ  ตอนเย็นรดน้ำดอกไม้และต้นไม้หน้าร้าน แล้วก็กลับห้อง เช้าวันต่อมาก็ทำแบบเดิม ต้นไม้ที่ผมตั้งใจเอามาขอโทษก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ  วางเกะกะเต็มหน้าร้านไปหมด  ส่วนข้อความที่ส่งไปก็ไม่มีการตอบกลับเลย ผมพยายามอธิบายเรื่องของผมและพี่วายุไปแต่เขาก็ไม่อ่านมันด้วยซ้ำ

ผมคิดถึงพี่นัท ถ้ายังไม่เจอพี่นัทต่อไปแบบนี้แล้วผมจะทำยังไง ผมซบหน้าลงกับเข่าแล้วก็หลับตา คิดว่าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกท้อขึ้นมา ถ้าพี่นัทไม่อยู่ร้าน แล้วพี่นัทจะไปอยู่ที่ไหน

บ้าน!!

ใช่ พี่นัทอาจกลับไปอยู่บ้าน พรุ่งนี้ลองไปบ้านพี่นัทดูดีมั้ย จะดูก้าวก่ายเกินไปรึเปล่า

“แล้วจะไปยังไงวะ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ทางไปก็จำไม่ได้”

ผมลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น แต่หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจำเส้นทางไปบ้านพี่นัทไม่ได้ ก็กลับมานั่งหลังงอเหมือนเดิม...ตองหนึ่งไม่ได้เรื่อง

ผมด่าตัวเองในใจ แต่ก็นั่งรอต่อไปเหมือนเดิม ไปบ้านไม่ถูก ก็นั่งโง่รออยู่ตรงนี้ให้รากงอกนี่แหละ ซักวันพี่นัทต้องกลับมาร้านแน่ๆ  พี่นัทรักร้านนี้จะตาย เขาไม่ทิ้งร้านไปนานแน่

 

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1

“เกะกะ”

เสียงนุ่มที่แข็งกระด้างดังขึ้น ผมที่นั่งรอจนจะหลับก็เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตัวสูงที่หอบข้าวของอยู่เต็มสองมือ

“พี่นัท!!”

ผมลุกขึ้นยืน มองพี่นัทที่ตอนนี้ก็โทรมใช่เล่น คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ามีหนวดขึ้นประปราย พี่นัทตอนมีหนวดก็ดูหล่อเข้มดีนะ ผมยิ้มออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ ดีใจที่ได้เจอ อยากจะโผเข้าไปกอดตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

“แล้วนี่อะไร เกะกะเต็มหน้าร้านไปหมด” พี่นัทพูดและก้าวข้ามบรรดากระถางดอกไม้เข้ามาด้านใน

“ดอกไม้ไงครับ ผมเอาขอโทษพี่ครับ” ตอนนี้ผมอยู่ห่างพี่นัทแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้น ได้กลิ่นพี่นัทจางๆ  คิดถึง คิดถึงมากๆ  ผมมองพี่นัทที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทั้งดีใจทั้งกังวลปนกันไป แต่ความดีใจความคิดถึงมันวิ่งแซงหน้าความกังวลว่าพี่นัทจะเกลียดผมแล้วรึเปล่า ทำให้ผมเดินเข้าไปใกล้พี่นัทมากขึ้น อยากจะกอดแน่นๆ

“หลีก จะเข้าร้าน...มันหนัก” แต่พี่นัทก็ขยับตัวออก และบอกผมที่ยืนบังประตูหน้าร้านให้หลีกทาง

“ผมช่วยครับ”

“ไม่ต้อง!”

ผมยื่นไปจะช่วยถือของแต่พี่นัทก็ปฏิเสธเบี่ยงหลบ และถอยห่างไปอีก ผมชะงักนิดหน่อยที่เห็นพี่นัททำท่าแบบนั้น แต่ก็ยอมหลบดีๆ ไม่อยากให้พี่นัทแบกไว้นานเพราะเห็นของท่าทางจะหนักมาก

พี่นัทวางของลงมือนึงแล้วก็หยิบกุญแจมาไข แต่เพราะมีแค่มือเดียวเลยไม่ถนัด ทำให้กุญแจที่ไขอยู่มันล่วงหล่นไปที่พื้น พี่นัทกำลังจะก้มลงไปเก็บ แต่เพราะมีของอยู่ทำให้ช้ากว่าผม ผมรีบเก็บขึ้นมาแล้วเอาไปไขร้านและเปิดประตูให้ แล้วก็หันไปยิ้มให้พี่นัท คนตัวสูงมองผมนิ่งๆ  ถอนหายใจแล้วก็หยิบของเดินเข้าร้านไป พี่นัทเอาของไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ แล้วก็เดินกลับออกมาหาผม พี่นัทกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ผมอยากขอโทษกับเรื่องแย่ๆ ที่ผมทำ” พี่นัทชะงักไปเล็กน้อย เขาก้มหน้า ยกมือขึ้นมานวดขมับ ดันแว่นขึ้นแล้วก็มองผมนิ่งๆ  ผมก็ยิ้มอย่างเดียว จนพี่นัททำท่าจะพูด ผมก็ชิงพูดขึ้นก่อนอีกครั้ง “ผมคิดถึงพี่”

คราวนี้พี่นัทกอดอก ถอนหายใจใส่ มองผมสลับกับมองพวกดอกไม้ ผมหันไปมองดอกไม้ทางด้านหลัง แล้วก็หันมายิ้มกว้างให้

บอกเลยว่าถึงหน้าตาผมจะยิ้มแค่ไหน แต่ในใจมันเต้น สั่นไปหมด ความรู้สึกหลากหลายอัดอยู่ข้างใน ดีใจที่ได้เจอ ตื่นเต้นที่ได้คุยกัน แต่ก็กลัวว่าจะโดนเกลียด กังวลว่าพี่นัทจะไล่ผมอีก

“ดอกไม้พวกนั้น มันวางเกะกะหน้าร้าน รกเหมือนป่า ขนเอาไปทิ้งให้หมดด้วย”

“...ผมทิ้งไม่ได้ครับ ดอกไม้นั้นสวยนะครับ แล้วก็ไม่ได้ผิดอะไรซักหน่อย ผมสงสารดอกไม้ ผมไม่กล้าทิ้ง” พี่นัทยืนจ้องผมนิ่งๆ แบบนั้นอยู่สักพักจนผมเริ่มที่จะประหม่าขึ้นมา ยกมือขึ้นมาเกาคอ เกาหัวอยู่ตลอด เขามองผมนิ่งๆก่อนจะกัดฟันพูดกลับมา

“สงสารดอกไม้ แล้วไม่สงสารพี่เหรอ ทีทิ้งพี่ยังทิ้งได้เลย แค่ดอกไม้...ทิ้งง่ายกว่าตั้งเยอะ”

พี่นัทจ้องผมด้วยสายตาน่ากลัว ผมมองลึกลงไปในตานั้นแล้วก็ตัดสินใจถามคำถามที่ผมกลัวคำตอบที่สุดออกไป

“พี่นัทเกลียดผมแล้วเหรอครับ? พี่เกลียดผมไปรึยัง?”

พี่นัทก็ขยับตัวออก ผมเม้มปาก อาการอึดอัดในใจตีขึ้นมาทันที ผมสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตา แล้วก็ยืนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น  พอเห็นผมนิ่ง พี่นัทก็ดันตัวผมออกเพื่อที่จะปิดประตู แต่ผมไม่ยอม นั่งรอมานานขนาดนี้ใครจะไปยอมแพ้ง่ายแบบนี้ล่ะ พี่นัทไม่ตอบ ก็เท่ากับว่ายังไม่เกลียด ผมยึดมือพี่นัทไว้ แล้วก็พูดกลับไปเสียงค่อนข้างดัง

“ผมจะไม่ทิ้งดอกไม้ ไม่ทิ้งอะไรทั้งนั้น”

ผมพูดจูบ พี่นัทก็ดันตัวผมออก ปิดประตูพร้อมทั้งดึงม่านลง ผมยืนร้องไห้อยู่หน้าร้านสักพัก พี่นัทก็ไม่มีท่าทีจะออกมา ผมเลยเดินกลับห้อง

ขอกลับไปทำใจก่อน แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ สัญญากับตัวเองว่า ต่อให้ไล่ผมยังไง ก็ไม่ยอมแแพ้ จะตื๊อจนกว่าจะได้เลย คอยดูเถอะ!

 

พี่นัท’s part

ตอนที่ผมเดินมาถึงหน้าร้าน ภาพที่ผู้ชายตัวเล็กนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่หน้าร้านทำเอาใจผมเต้นแรงจนปวดหนึบไปหมด มันทั้งดีใจแต่ก็ไม่เข้าใจปนกันไป

ดีใจที่เขาไม่ไปถึงแม้ว่าผมจะไล่เขาโดยการทิ้งเสื้อผ้าเขาไว้กับพื้นในวันนั้น แต่ก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อผมยอมปล่อยแล้วทำไมไม่ไป หรือเสียดายผมเหรอ? ใช่เหรอ? ไอ้วายุก็ดูดีใช่เล่น การงานก็ดูมั่นคง แถมยังชอบในเรื่องเดียวกับที่ตองหนึ่งชอบด้วย เทียบกับผมแล้วผมไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาสนใจอยู่เลยด้วยซ้ำ

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเอาแต่คิด...วันนั้นผมทำรุนแรงกับเขาเกินไปรึเปล่า เขาก็แค่ไม่รักผมแล้ว แต่ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะไปทำร้ายหรือรุนแรงกับเขาถึงขนาดนั้น ผมเอาแต่คิดว่าสิ่งที่ผมทำมันเลวร้ายเกินไป...สิ่งที่ผมทำนั่นเรียกว่าข่มขืนได้เลย

แต่อีกใจพอนึกถึงภาพที่เห็นภาพที่ตัวเล็กๆ นุ่มๆ โดนคนอื่นกอด ภาพที่ปากแดงๆ โดนคนอื่นประกบ มันก็ทำให้ผมคิดว่า คิดจะนอกใจกันแบบนั้นโดนแบบนั้นมันก็สมควรแล้ว

...ผมเองก็อาจจะสารเลวไม่แพ้คนอื่นหรอก

และเพราะมันสับสน ผมไม่อยากคิดอะไรแล้ว ผมก็เลยเลือกที่จะตัดขาดจากเขาดีกว่า

อยู่บ้านผมก็เอาแต่ฟุ้งซ่านอยู่ในห้อง เป็นห่วงร้านด้วยก็เลยคิดว่ากลับมาทำงานดีกว่า  วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจกลับมาทำงานต่อ ซื้อของและเข้ามาที่ร้าน แล้วก็มาเจอกับตองหนึ่ง

“สงสารดอกไม้ แล้วไม่สงสารพี่เหรอ ทีทิ้งพี่ยังทิ้งได้เลย แค่ดอกไม้...ทิ้งง่ายกว่าตั้งเยอะ”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดีกับตองหนึ่งแบบนั้น ผมเห็นตองหนึ่งเม้มปาก น้ำตาคลอที่ดวงตา หน้าตาน่ารักที่ทำท่าจะร้องไห้ ผมเห็นแล้วก็อยากดึงมาปลอบ แต่ผมเป็นอะไรของผมไม่รู้ ในใจมันบอกให้ผมดึงตัวตองหนึ่งกอดแล้วลืมๆ เรื่องแย่นั้น แต่สมองก็แย้งว่าถ้าไม่อยากเจ็บอีกก็ปล่อยไป ไม่รู้ว่าจะเชื่อหัวใจหรือสมองดี

แต่ที่ผ่านมาผมทรมานกับเหตุการณ์ที่เห็น ผมร้องไห้แทบบ้า มันทำให้ผมขาดสติจนทำร้ายตองหนึ่ง และผมก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก ผมเลยคิดว่าเชื่อสมอง...คงดีที่สุด

“พี่นัทเกลียดผมแล้วเหรอครับ? พี่เกลียดผมรึยัง?”

ผมส่ายหน้า ดันตัวตองหนึ่งออก และปิดประตู ไม่อยากฟังไม่อยากพูดอะไรแล้วทั้งนั้น

ผมไม่ได้เกลียดตองหนึ่ง ตอนนี้ยังรักอยู่...และก็รักมากด้วย แล้วผมควรทำยังไงดี ลองเชื่อใจตองหนึ่งอีกครั้งดีมั้ย? มันจะไม่เป็นแบบที่ผ่านมาใช่มั้ย?

ตอนนี้ผมแอบมองตองหนึ่งที่ยืนร้องไห้อยู่หน้าร้าน แล้วก็เจ็บใจตัวเอง ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง มันดีใจมากตอนที่ตองหนึ่งบอกว่าคิดถึงผม

ตองหนึ่งพูดจริงมั้ย ผมไม่รู้ แต่ผมคิดถึงตองหนึ่งจริงๆ ผมอยากจะกอดร่างเล็กนั่นแน่นๆ

หรือว่าผมควรให้โอกาสตองหนึ่ง เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำผิดก็ได้

จะลองเสี่ยงดูอีกครั้งดีมั้ย? ควรเชื่อหัวใจหรือสมองดี?



ตองหนึ่ง's part

เช้าวันถัดมาผมกลับมาตื่นเวลาเดิม...เพื่อไปทำงาน ก็พี่นัทกลับมาแล้วและวันนี้ก็น่าจะเปิดร้าน ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายังได้ทำงานอยู่ที่นั้นมั้ย? แต่ถ้าพี่นัทยังไม่พูด ก็แสดงว่าผมยังพนักงานร้านพี่นัทอยู่

ผมใส่เสื้อเชิตสีชมพู กางเกงสีดำ รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีดำ ออกจากห้องเร็วกว่าปกติ เดินอ้อมไปอีกซอยเพื่อซื้อต้นไม้เหมือนหนึ่งอาทิตย์ที่ทำมา วันนี้ผมเลือกต้นดอกลิลลี่สีขาวเหมือนกับวันแรก เพราะมันหมายถึงการขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา

ผมเดินมาจนถึงร้านก็พบว่าดอกไม้ที่เมื่อวานมันวางอยู่เต็มหน้าร้าน ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว ผมก็ยังคิดในแง่ดี เดินไปดูด้านข้างของร้าน เผื่อว่ามันเกะกะทางเข้าพี่นัทก็เลยย้ายไปไว้ด้านข้างหรือด้านหลังของร้านแทน แต่ผมก็เดินจนทั่วแล้ว ไม่มีแม้แต่กระถางให้เห็น

พี่นัทขนไปทิ้งหมดเลยจริงๆ เหรอ

อาการตันๆ หายใจไม่ทั่วท้องตีขึ้นมาชั่วขณะ คิดว่าพี่นัทใจร้าย แต่ก็เพราะผมทำให้พี่นัทเป็นแบบนี้เอง ผมก็ควรรับผิดชอบ ต้องรีบพาพี่นัทที่ใจดีกลับมา

ผมวางกระถางดอกไม้ไว้ตรงทางเข้าหลังร้าน ผมเดินเข้าไปทางประตูหลังร้านที่เปิดทิ้งไว้  ในครัวไม่มีใครอยู่ มีแค่อุปกรณ์ วัตถุดิบแล้วก็ขนมที่กำลังถูกอบอยู่ในเตา กลิ่นเนยหอมๆ คลุ้งไปทั่ว ผมหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นเนยและแป้งหอมอบอวลไปทั่ว กลิ่นนี้ผมก็คิดถึง

ผมเดินมาที่หน้าร้านก็เห็นพี่นัทวิ่งเช็ดโต๊ะตัวนั้น ตัวนี้ จัดเก้าอี้ ดูวุ่นวายเห็นแล้วเหนื่อยแทนเลย ผมเลยเดินเข้าไปตรงเคาน์เตอร์แล้วก็เรียกพี่นัท

“พี่นัทครับ ผมจัดการหน้าร้านให้มั้ย?” พี่นัทหยุดทำแล้วก็หันมาทางผม ดันแว่นดึงเสื้อให้เข้าที่ พี่นัทตอนนี้กลับมาหน้าใสไร้หนวดเหมือนเดิมแล้ว แต่สำหรับผมไม่ว่าจะแบบไหนพี่นัทก็หล่อตลอดเวลาอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไร พี่ทำคนเดียวได้” ผมดีใจนิดหน่อยที่พี่นัทยังใช้สรรพนามแบบเดิม

“แต่พี่ให้ผมดูแลเรื่องหน้าร้านนี่ครับ พี่จะได้ทำขนมได้เต็มที่ไง”

พี่นัทจ้องผมนิ่งๆ   หันไปทางอื่นแล้วก็ถอนหายใจ หันกลับมาผมอีกครั้งนึงแล้วก็ส่งผ้าเช็ดโต๊ะให้

“ทำดีๆ ล่ะ”

“ไว้ใจผมได้เลย” ผมยิ้มแล้วก็รีบรับผ้ามา เอาของไปวางแล้วก็วิ่งกลับมาเช็ดโต๊ะต่อ ผมทำทุกอย่างเหมือนกับก่อนหน้านี้ กวาดพื้นเช็ดกระจก ล้างแก้ว เสร็จแล้วก็เข้าไปช่วยพี่นัทยกเค้กออกมา

 

“ลูกค้ายังเยอะเหมือนเดิมเลยนะครับ นี่ขนาดหยุดไปหลายวันนะเนี่ย”

“...”

“ตอนที่พี่นัทหยุด ผมมานั่งรอพี่นัททุกวัน มีลูกค้ามาที่ร้านแล้วก็ถามว่าร้านจะเปิดเมื่อไรหลายคนเลยครับ”

“...”

“ตอนที่พี่นัทหยุด พี่นัทไปไหนมาเหรอครับ ผมส่งข้อความไป เห็นพี่นัทอ่าน แล้วทำไมไม่ตอบผมบ้างเลย”

“เงียบแล้วก็เอานี่ไปเสิร์ฟซะ”

“ครับผม” ผมรับเครื่องดื่มและเค้กจากพี่นัทแล้วก็เดินไปเสิร์ฟ ตั้งแต่เช้าผมชวนพี่นัทคุยตลอด ดูรู้แหละว่าพี่นัทคงรำคาญผมไม่น้อยเลย ก็เล่นแสดงออกทางสีหน้าท่าทางขนาดนี้ แต่ผมเองก็รู้สึกไม่ดีที่โดนพี่นัททำท่ารำคาญใส่ แต่ถ้าถามว่าจะหยุดพูดมั้ย ผมต้องขอบอกเลยว่าไม่มีทาง!

“เสิร์ฟมาเรียบร้อยแล้วครับผม”

“อือ”

“ลูกค้าคนนั้นบอกว่าผมน่ารักด้วยแหละ”

“...” พี่นัทไม่พูดอะไร แต่ชะเลืองมองผมแล้วก็ทำเครื่องดื่มต่อ

“ความจริงแล้วผู้ชายเนี่ยควรจะถูกชมว่าหล่อมากกว่าน่ารักนะ”

“...ไม่จำเป็นเลย”

“เหรอ....แล้วพี่นัทคิดว่าผมน่ารักมั้ยครับ?”

“เฮ้อ!” พี่นัทถอนหายออกมาหันหยิบแก้ว แล้วก็หันกลับ เทเครื่องดื่มใส่แก้ว บีบวิปครีม และตกแต่งด้วยทอปปิ้งอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ใส่ถาดพร้อมกระดาษทิชชู่และยื่นมาให้ผม

“แต่ผมคิดว่าพี่นัทหล่อนะ”

“เสิร์ฟโต๊ะห้า”

“ได้ครับ สุดหล่อของผม” ผมรับเครื่องดื่มจากพี่นัทมา แล้วก็พูดหยอดอีกนิดหน่อย พี่นัทก็จิ๊ปากใส่ผมแล้วหันไปทางอื่น

ผมไม่เคยพูดเยอะพูดเพ้อไปเรื่อย พูดหยอดพูดจีบแบบนี้บ่อยนัก ตอนนี้มาพูดมันก็อายนะ แต่ก็แบบที่พี่นัทเคยบอกแหละตรับ ด้านก็ได้อายก็อด

ถ้าพี่นัทไม่ยอมยกโทษให้ ผมก็คิดว่าจะจีบใหม่ไปด้วยเลย ดักไว้ทั้งสองทาง คนใจดีอย่างพี่นัทไม่นานต้องใจอ่อน



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
25 : โหยหาสัมผัสที่อบอุ่น


“พี่นัทไม่หิวเหรอครับ”

“....”

ผมยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ถามพี่นัทที่กำลังตักขนมอยู่ เขาดูไม่ค่อยสนใจที่ผมพูดซักเท่าไร ผมก็อยากช่วยพี่นัทตักขนมหรือทำเครื่องดื่มบ้าง แต่เมื่อเช้าตอนที่ผมจะเข้าไปช่วยตามปกติที่เคยทำ พี่นัทก็ห้ามไม่ให้ผมเข้าไปในเคาน์เตอร์เด็ดขาด ให้คอยรอเสิร์ฟอย่างเดียวส่วนเรื่องในเคาน์เตอร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะจัดการอยู่คนเดียว

“นี่มันจะบ่ายสองแล้ว พี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนะครับ”

ก่อนหน้านี้เวลากินมื้อกลางวัน พี่นัทจะให้ผมไปซื้อข้าวร้านข้างๆ มาผลัดกันกิน แต่วันนี้พี่นัทยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย ในเมื่อพี่นัทยังไม่ได้กิน แล้วผมจะไปกินก่อนได้ยังไงล่ะ สรุปแล้วผมก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน แล้วผมก็หิวมาก เมื่อเช้าผมไม่ได้กินข้าวเช้าเพราะยังหลงตัวเองคิดว่าพี่นัทยังจะให้ขนมปังร้อนๆ กับนมอุ่นๆ เป็นมื้อเช้า แต่ไม่เป็นอย่างที่ผมคิดน่ะสิ พออบเค้กเสร็จ พี่นัทก็ยกขนมปังกับกาแฟมานั่งกินคนเดียว ผมก็ได้แต่มองตาปริบๆ เข้าใจในทันทีว่าต่อจากนี้ มื้อเช้าของผมต้องกลับไปกินขนมปังในร้านสะดวกซื้อเหมือนเดิมแล้ว

“...” พี่นัททำเหมือนเสียงผมเป็นแค่ลมวิ่งผ่านหูแค่นั้น พี่เขายกเค้กมาวางในถาดแล้วก็หันไปทำเครื่องดื่มต่อ

“ลูกค้าก็ไม่เยอะแล้ว ให้ผมไปซื้อข้าวร้านข้างๆ ให้มั้ยครับ”

“...”

กริบ…ไม่มีสัญญานจากเลขหมายที่ท่านเรียกในขณะนี้

“พี่ครับ ผมหิวอ่ะ”

“หิวก็ไปก็ไปกินสิ ใครอุดปากไว้ล่ะ” พี่นัทพูดออกมาแบบไม่เงยหน้ามองผม ผมก็ยืนนิ่งๆ ดูพี่นัทสักพักนึงว่าเขาจะพูดอะไรต่อรึเปล่า แต่พี่นัทก็เงียบทำงานต่อไป น้ำย่อยในกระเพาะของผมมันเรียกร้องอาหารมากๆ ผมก็เลยเดินออกมา กะว่าจะเข้าไปเอาเงินที่ในครัว แต่ออกตัวไปได้ไม่เท่าไร พี่นัทก็วางเครื่องดื่มลงในถาด แล้วก็พูดลอยๆ ด้วยเสียงเนิบๆ นิ่งๆ ว่า

“ลูกน้องที่ดีก็ไม่ควรที่จะกินข้าวก่อนนายจ้าง”

“...”

“โต๊ะ 1 ครับ” พี่นัทดันถาดมาทางผมแล้วก็หันกลับไปยืนพิงเคาร์เตอร์รอลูกค้าเข้าร้าน พอเห็นแบบนั้นผมก็เดินกลับมายกถาดไปเสิร์ฟแทบไม่ทัน ถ้าผมเป็นโรคกระเพาะขึ้นจะทำยังไงล่ะ พี่เขาใจร้ายกับผมจัง

พอเสิร์ฟเสร็จผมก็กลับมายืนทนหิวเฝ้าพี่นัทที่หน้าเคาน์เตอร์ต่อ

“พี่นัท ตอนนี้ยังไม่มีออเดอร์ใหม่ เรากินข้าวกันดีมั้ยครับ?”

“พี่ไม่หิว”

“แต่ผมหิว...” ผมทำไหล่ตกเสียงอ่อน พอท้องหิวแรงกายในการตื๊อพี่นัทก็ลดลงไปครึ่งนึงเลยนะ หรือนี่คือวิธีตัดกำลังของพี่นัทอ่ะ ผมหิวจนหมดแรงจะพูด ผมเลยยืนเกาะเคาน์เตอร์อยู่เงียบ ตอนนี้ไม่อยากพูดมาก เก็นแรงไว้เดินเสิร์ฟดีกว่า

“...ข้าวผัดกุ้ง” แล้วจู่ๆ พี่นัทก็พูดขึ้นแล้วก็ยื่นแบงค์ร้อยมาให้ผม

“ครับ?”

“เห้อ...พี่จะกินข้าวแล้ว ไปซื้อมา” พี่นัทถอนหายใจใส่ แล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผมอีกด้วย

“ได้ครับ รอแค่อึดใจเดียว เดี๋ยวผมมา”

ถึงพี่นัทจะทำหน้ากริ้วใส่ผมแค่ไหน ผมก็ยิ้มสู้แล้วก็รับเงินมา ตามปกตแล้วพี่นัทเขาจพเป็นคนออกเงินค่าข้าวให้ผมตลอด แต่คราวนี้เงินที่เขาให้มามันไม่พอสำหรับข้างสองจาน ซึ่งผมรู้ตัวดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ผมไม่ควรจะใช้เงินเขา ผมจึงรีบวิ่งไปหยิบเงินตัวเองแล้วก็ไปจัดการสั่งร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ข้างๆ ไม่นานข้าวสองกล่องก็อยู่ในมือผม แต่พอผมกลับมาพี่นัทติดรับออเดอร์ลูกค้าอยู่ พี่เขาก็เลยให้ผมเข้ามากินก่อน ผมก็เกรงใจกับคำพูดที่พี่นัทอยู่ก่อนหน้านี้นะ แต่พอพี่นัทพูดกลับมาว่า ‘ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างที่ดี ตอนนี้จะมากังวลทำไม’ พร้อมกับไล่ผมให้รีบๆ เข้ามากิน ผมก็เลยเดินเจี๋ยมเจี๊ยมรีบมาจัดการกินในส่วนของตัวเองก่อน หลังจากนั้นจึงเอาข้าวของพี่นัทใส่จาน เตรียมช้อนเตรียมน้ำไว้คอย พอดีกับที่พี่นัทเดินเข้ามาพอดี พี่นัทก็บ่นนิดหน่อยว่าจะเทใส่จานให้เปลืองน้ำล้างทำไม กินจากกล่องเลยก็ได้ ก็แบบว่าผมอยากทำให้ไง พี่นัทนี่ไม่เข้าผมเลย แต่ผมก็แค่ยิ้มกว้างๆ ไปทีนึง แล้วก็ขอตัวไปเฝ้าหน้าร้านแทน

หลังจากที่กินข้าวเสร็จพี่นัทก็ออกมารับออเดอร์ต่อ ผมก็หาเรื่องคุย หาเรื่องหยอดพี่นัทไปเรื่อยอ่ะ ก็ไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบนี่ ผมจ้อไม่หยุด นึกเรื่องอะไรออกก็พูดไป พี่นัทก็แสดงท่าทีรำคาญผมนะ แต่ก็ไม่ยักจะไล่หรือดุผม ผมก็ยิ่งได้ใจคุยไปเรื่อยๆ จนได้เวลาที่จะต้องปิดร้าน

ผมเช็ดโต๊ะ ปิดม่าน ล้างแก็ว เช็ดแก้วเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งมองพี่นัทอยู่ห่างๆ ความจริงพี่นัทให้ผมกลับตั้งแต่เสร็จงานแล้วแหละ แต่ผมยังอยากอยู่กับพี่นัทต่อ

“เหนื่อยอ่ะ ไม่อยากเดินกลับเลย”

“...”

 ผมพูดขึ้นแบบลอยๆ ตั้งใจให้พี่นัทที่นั่งทำบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์ได้ยิน แต่พี่แกก็ไม่สนใจ นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างเดียว

“อืม กลับไปแค่หกชั่วโมงก็ต้องตื่นมาทำงานอีกแล้ว แถมเดินกลับตอนนี้ก็น่ากลัวด้วย ซอยก็เปลี่ยวมากเลย ไม่มีใครเป็นห่วงผมเหรอไงน๊า”

“.....” ก็ยังคงก้มหน้าอยู่ แต่ก็แอบเหล่ตามามองผมอยู่นิดหน่อยพอเห็ฯว่าผมยังพูดไม่เลิกเขาก็ถอนหายใจและจิ๊ปากเล็กน้อยตามสเต็ป

“อยากได้คนใจดีไปส่งจังเลยครับ”

“...”

“หรือไม่ก็อยากได้เจ้านายใจดี ให้ลูกน้องตาดำๆ ค้างที่ร้านซักคืน...หรือสองคืน หรือ...”

“หรือไม่ก็ไล่ลูกน้องออก ให้ไปหางานใหม่ที่ไม่เลิกดึกแบบนี้ดีล่ะ” พี่นัทเงยหน้าขึ้นมองผม บ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่าเขาชักจะหงุดหงิดแล้ว

“อุ่ย....ผมว่าลูกน้องคนนั้นคงเลือกเดินกลับดึกๆ มากกว่าจะหางานใหม่ครับ แหะแหะ”

ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับที่พัก ผมมองพี่นัทที่กลับไปก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง แล้วก็เดินไปใกล้ๆ  เท้าคางกับเคาน์เตอร์

“พี่นัทครับ…” ผมเอียงหัวไปทางซ้าย

“...” พี่นัทก็ไม่สนใจ

“พี่ครับ” ผมเอียงหัวกลับมาทางขวาและตั้งใจส่งยิ้มให้

“...” พี่นัทก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่นัท...” ผมเขย่งขายื่นหน้าข้ามเคาน์เตอร์ไปเล็กน้อย “พี่นัทที่รักของผมครับ”

“อะไรเล่า!!” คราวนี้พี่นัทเสียงดังจนผมยังตกใจ แต่ก็เก็บอาการและตั้งสติไว้ได้ ผมกลับไปยิ้มหวานเหมือนเดิมแล้วก็พูดกับพี่นัทที่ทำหน้าตาไม่พอใจว่า

“ผมรักพี่นะครับ” ผมปั้นยิ้มให้หวานที่สุด ยิ้มแบบที่เขาชอบ พี่นัทนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งแล้วก็หลับตาลง ไม่นานก็ลืมตาขึ้นมาใหม่ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและจ้องเข้ามาในดวงตาของผม ผมเขินแต่ก็ไม่หลบสายตาพยายามทำใจแข็งจ้องกลับไป ทั้งที่เขย่งจนขาสั่นไปหมดแล้ว หัวใจก็เต้นแรง รู้สึกได้เลยว่าแก้มและหูตัวเองมันร้อนๆ ขึ้นมา เขาหันมายิ้มถึงจะแค่มุมปากเล็กน้อยก็เถอะ

“เหรอ แต่พี่ไม่ได้รักหนึ่งแล้วนะ” พี่นัทพูดจบรอยยิ้มก็กว้างขึ้น ผิดกับรอยยิ้มของผมที่มันค่อยๆ เจื่อนลงจนจืดสนิท ใจที่ฟองเมื่อครู่นี้โดนเจาะเป็นรู แล้วก็ฟีบลงเหมือนลูกโป่งที่โดนเข็มทิ่มแทง

“แหะแหะ มันดึกแล้วงั้นผมกลับก่อนนะครับ” ผมพยายามหัวเราะ พยายามคิดว่าพี่นัทก็พูดเล่น ทั้งๆ ที่ใจมันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันเจ็บในใจแต่ผมไม่ได้ร้องไห้ อาจจะเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่นัทอาจจะเลิกรักผมไปแล้วก็ได้ ก็ผมทำให้พี่นัทเสียใจ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจผิดแต่ยังไงก็ทำเขาเจ็บอยู่ดี ผมหยุดเดิน สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วก็จับที่หน้าอกตัวเอง

“สู้ก่อนนะตองหนึ่ง ซักวันจะต้องดีขึ้น อย่าเพิ่งท้อนะ”

ผมบอกตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองและเงยหน้ามองท้องฟ้า ในเมืองหลวงที่มีไฟแสงสีเยอะจนทำให้กลบแสงดาวลงจนเกือบมองไม่เห็น แต่ถ้ามองดีๆ มันก็ยังมีดาวอยู่ เหมือนความหวังของผมไง

ผมคิดว่าความหวังของผมแสงมันอาจจะริบหรี่ แต่ก็คงมีแสง...

พอเรียกกำลังใจให้ตัวเองได้ ผมก็เดินต่อ ก่อนเข้าที่พักก็แวะซื้อข้าวกล่องแช่แข็งที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ผมกินมันไม่หมดกล่องหรอกครับ ผมเบื่อแล้ว อยากกินข้าวหอมมะลิหุงใหม่ๆ  ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิที่เป็นกลิ่นพลาสติกแบบนี้ อยากกินข้าวฝีมือแม่ อยากกินข้าวฝีมือพี่นัท

ผมเดินเอาข้าวไปทิ้ง แอบขอโทษชาวนาในใจนิดหน่อย แต่มองหน้าตาของข้าวแห้งๆ ในกล่องแล้ว ผมก็ทิ้งลงถุงขยะทันที ผมอยากกินข้างหุงสุกใหม่ๆ  แต่เพราะผมเลิกงานดึก ร้านขายข้าวก็เลยปิดกันหมดแล้ว พอไม่ได้กินกับพี่นัทก็ต้องกลับมาพึ่งข้าวกล่องแช่แข็งแบบนี้แหละ เฮ้อ~

เดี๋ยวสิ! หาซื้อไม่ได้ ก็หุงกินเองไปเลยดิ พี่นัทเคยสอนหุงข้าว แล้วก็ทำกับข้าวมาบ้างแล้วนี่นา ใช่!! นี่แหละ เป็นความคิดที่ดี พอผมทำกับข้าวกินเอง กลางวันก็ทำข้าวกล่องไปกินที่ร้านด้วย ทำให้พี่นัทกินด้วย ทีนี้แหละสเน่ห์ปลายจวักของตองหนึ่งก็จะมัดใจพี่นัทได้ด้วย

ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่เข้าท่าอยู่นะ

พอคิดได้แบบนั้น ผมสำรวจดูว่าผมต้องซื้ออุปกรณ์อะไรบ้างแต่ห้องของผมมันมีแค่ไมโครเวฟกับตู้เย็นแค่นั้น ผมคงต้องซื้อเครื่องครัวชุดใหญ่เลยแหละ วางแผนเรียบร้อยผมก็รีบเปิดแลปทอปเข้าเว็ปไซต์สั่งซื้อเครื่องครัวออนไลน์ ของจำเป็นต่างๆ ผมซื้อมาครบเซ็ตเลยรวมถึงกล่องใส่ข้าวลายน่ารักๆ ชุดใหญ่มาเลยด้วย ผมสั่งแบบบริการส่งด่วนที่สุด ไม่เกินสามวันพี่นัทได้กินข้าวกล่องของผมแน่นอน~



เช้าวันต่อมาผมตื่นแล้วก็อาบน้ำแต่งตัว แวะไปดูของที่ตู้รับของรวมของที่พัก ก็รู้ว่ายังไม่มาแหละเพราะเพิ่งสั่งไปเมื่อคืนนี่เอง แต่มันตื่นเต้นอ่ะ ผมซื้อและหยุดกินนมและขนมปังสักพัก แล้วก็แวะไปซื้อดอกไม้ จากนั้นก็เดินไปทำงาน ก่อนเข้าร้านผมแอบทำใจอยู่เล็กน้อย วันนี้จะโดนพี่นัทเล่นสงครามประสาทอะไรอีกก็ไม่รู้ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้หน่อย

พอพร้อมก็เดินเข้าทางประตูหลังร้าน วางดอกไม้ไว้หน้าประตูแทนที่ดอกลิลลี่ที่หายไป จะหายไปไหนได้ พี่นัทคงจะหิ้วไปทิ้งอีกอ่ะแหละ พี่ขยันทิ้ง ผมก็ขยันซื้ออ่ะ ไม่ยอมแพ้หรอก

“สวัสดีครับพี่นัท~” ผมทักทายพี่นัทที่ยืนผสมแป้งด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับว่ามีสายรุ้งและม้ายูนิคอร์นอยู่ในครัวด้วย ส่วนพี่นัทก็เมินหน้าหนีไป ผมยิ้มเก้อนิดหน่อย แล้วก็ค่อยๆ เดินเอากระเป๋าไปเก็บ ผูกผ้ากันเปื้อน แล้วก็ออกไปทำความสะอาดหน้าร้าน พอหน้าร้านเรียบร้อยก็เข้ามาช่วยพี่นัทปั่นครีมและล้างผมไม้ในครัว

“วันนี้พี่นัททำอะไรบ้างเหรอครับ?” ผมถามขณะที่คนครีมสีเหลืองนวลในหม้อที่ตั้งไฟอ่อนๆ ให้เข้ากัน

อีกฝ่ายไม่ตอบ หันไปหยิบถุงและหีวบีบวิปครีมแล้วก็เดินเข้ามาหาผม ใช้ช้อนตักชิมนิดหน่อย แล้วก็ดันผมให้หลบทาง พี่นัทเทครีมลงไปในถุงแล้วก็ตั้งพักไว้ แล้วเอาครีมสดพร้อมเครื่องตีไฟฟ้ามาวางตรงหน้าผม แล้วก็พูดออกมาสั้นๆ

“ตีให้ฟู”

พูดน้อย ยิ้มยากแบบนี้พี่นัทก็ดูเท่และสุขุมไปอีกแบบนะ แต่ผมชอบพี่นัทที่พูดเยอะๆ แล้วก็ยิ้มเก่งมากกว่าอ่ะ คิดถึงพี่นัทที่เป็นแบบนั้นจะแย่แล้ว ผมมองพี่นัทด้วยสายตาที่พยายามเว้าวอนเล็กน้อย อยากให้เขาใจอ่อนลงหน่อย อยากให้เขาเห็นว่าผมพยายามอยู่นะ แต่พี่แกก็เมินเหมือนผมไม่ใช่คน ผมก็เลยเลิกคิดแล้วก็เริ่มต้นตีอย่างช้าๆ ให้เนื้อครีมมันเข้ากัน พอมันฟูพี่นัทก็มาเอาไปใส่ถุงบีบและไปบีบตกแต่งหน้าเค้ก

ผมคิดถึงรสชาติเค้กฝีมือพี่นัท ได้กลิ่นล่อกิเลสทุกวันแบบนี้ผมล่ะอยากจะแอบกิน เห็นพี่นัททิ้งเศษขนมปัง เศษเค้กแบบนี้ผมล่ะปวดใจ เอามาทิ้งลงท้องผมจะเป็นพระคุณมาก อยากกินอ่ะ ถ้าผมแอบกินแบบตอนนั้น พี่นัทจะลงโทษผมแบบไหน จะทำแบบนั้นอีกมั้ย? ผมเผลอคิดไปถึงบทลงโทษตอนที่ผมแอบกินเค้กแล้วพี่นัทจับได้ แล้วหูมันก็ร้อนขึ้นมา ผมอมยิ้มเล็กน้อยเพราะคิดแล้วมันเขิน ถ้าตอนนี้ผมแอบกินอีก พี่นัทจะยังลงโทษแบบเดิมมั้ย?

ผมคิดถึงเสียงนุ่มๆ ที่ปลอบใจในตอนนั้นมากเลย คิดถึงสัมผัสอ่อนโยนแต่เร่าร้อน คิดถึงความสุขในตอนนั้น รอยยิ้มปลอบโยนและอ้อมกอดหลังจากที่มีความสุขกัน ผมคิดถึง…

“หลีก! ยืนยิ้มอยู่ได้ เอานี้ไปบีบครีมใส่ อย่าให้ทะลักออกมานะ” แล้วเสียงแข็งๆ กับหน้าตาบูดบึ้งของเขาในตอนนี้ก็ดึงผมออกมาจากความคิด ผมว่าถ้าผมแอบกินคราวนี้ พี่แกคงจับผมโยนออกนอกร้านไปเลยแหละ

พี่นัทใช้ศอกดันผมให้ออกห่าง ก่อนจะยกถาดที่มีขนมเป็นก่อนวางไว้อย่างเป็นระเบียบออกมาวางบนโต๊ะ

ว้าว! เมนูพิเศษของพี่นัทวันนี้คือชูครีมก้อนใหญ่ หอมมากเลยครับ ผมยืนมองขนมสายตาเป็นกระกายวิ้งๆอยากกินแต่รู้ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เดี๋ยวค่อยไปซื้อกินที่ร้านสะดวกซื้อพรุ่งนี้ก้ได้ ผมส่งสายตาอาลัยอาวรขนมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็หยิบขึ้นมาใส่ใส้

“อยากกินเหรอ?” พี่นัทพูดขึ้นมา

“อยากครับ” ผมก็พยักหน้า ยิ้มสวยๆ  อ้อนพี่นัทนิดหน่อย เผื่อว่าเขาจะใจดีให้ผมซักก้อนนึง

“...ของเอาไว้ขาย”

“แล้วถ้าผมขอซื้อล่ะครับ”

“ของลูกค้า”

“ผมซื้อ ผมก็เป็นลูกค้าไง” พี่นัทวางมีดที่ตัดเค้กลงแล้วก็ทำหน้าเบื่อใส่ผม ผมถอยหลังออกห่างเล็กน้อย ไปเถียงพี่นัทมากๆ  เดี๋ยวพี่นัทรำคาญแล้วเอามืดปาใส่หน้าผม นี่เสียโฉมเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า

“งั้นก็เอาไว้ซื้อหลังเลิกงาน ถ้าเหลือเดี๋ยวขายให้”

ผมแอบง้องแง้งในใจ ก็ถ้ารอหลังเลิกงานนะผมอดแน่นอน  พวกขนมกับเค้กไม่เคยเหลือเลย ให้ผมตอนนี้เลยก็ไม่ได้ พี่นัทใจร้าย ผมอดกินขนมที่พี่นัททำแน่ๆ อ่ะ

พี่นัทยั่วน้ำลายผมโดยการหยิบชูครีมที่ใส่ครีมจนเต็มแล้ว ไปนั่งกินกับกาแฟร้อนต่อหน้าผม

“อืม อร่อย แป้งก็นุ่มครีมก็หวานกำลังดี” พี่นัทพูดถึงรสชาติ ผมแอบเลียปากกลืนน้ำลายตอนที่เห็นพี่นัทกัดแป้งชูครีมสีเหลืองน่ากินแล้วครีมก็ทะลักออกมา แบบนี้มันจงใจชัดๆ  พี่นัทจงใจแกล้งผมชัดๆ เลย!

ตลอดวันนั้นผมก็เอาแต่จ้องขนมก้อนกลมนี่ตลอด ภาวนาว่าอย่าให้หมดเหลือซักก้อนก็ยังดี แต่พอช่วงเย็นชูครีมก้อนสุดท้ายก็หมดไป เสียดายครับ….แต่รู้อยู่แล้วแหละว่าไม่ได้กินแน่ๆ อยู่แล้ว ไปซื้อกินที่อื่นก็ได้ บู่ว~

วันนี้พี่นัทปิดร้านตอนประมาณสามทุ่ม เขาทำความสะอาดตู้เค้กส่วนผมก็ทำความสะอาดโต๊ะ พอเสร็จก็เตรียมไปเอาไม้ถูมาถูพื้นต่อ แต่ตอนที่ผ่านเคาน์เตอร์ ผมเห็นพี่นัทยกถาดออกมาจากตู้เค้ก แล้วผมก็เห็นชูครีมที่เหลืออยู่สองก้อน

“อ๊ะ! ชูครีม” ยังเหลืออยู่อ่ะ แต่เมื่อเย็นผมเห็นพี่นัทคีบใส่กล่องให้ลูกค้าไปจริงๆ นะ หรือว่าผมดูไม่ทั่วอ่ะ ยังไงก็ช่างเถอะ เหลือตั้งสองลูกแหนะ ขอเหมาสองก้อนเลยได้มั้ยอ่ะพี่นัท

“จะซื้อมั้ย? มันเหลือ...”

ผมเดินเข้าไปหาพี่นัท ผมยิ้มแล้วก็พยักหน้า พี่นัทหันไปหยิบกล่องมาใส่ให้ผมแล้วก็วางไว้หน้าเคาน์เตอร์ ผมรีบหยิบเพราะอยากจะกินมันซะตอนนี้เลย แต่พี่นัทก็เบรกผมไว้เสียก่อน

“ไปรีบทำงานให้เสร็จก่อนสิ แล้วค่อยเอาไปกินที่อื่น จะให้พี่ยืนรอปิดร้านช้าเพราะมัวแต่รอพนักงานอู้เอาแต่ยืนกินขนมเหรอไง”

“อ่า...ได้ครับ ผมจะรีบทำให้เสร็จ” ผมวางกล่องขนมไว้ที่เดิมแล้วก็รีบจัดการถูพื้น ล้างแก้วและถาดขนม พอเสร็จแล้วผมก็เตรียมตัวกลับที่พัก ผมสะพายกระเป๋าออกมาหาพี่นัทที่ยืนอยู่หน้าร้าน

“พี่นัทครับ นี่ค่าขนม” ผมยื่นเงินให้พี่นัท แต่คนตัวสูงกลับไม่รับเดินหนีไปในเคาน์เตอร์ซะงั้น ผมก็เดินตามไปยื่นเงินให้

“เก็บไปเถอะ เดี๋ยวหักจากเงินเดือนเอา” พี่นัทพูดไม่มองหน้าผม เอาแต่เช็ดเคาน์เตอร์ ผมก็ไม่รู้จะยืนทำอะไรก็เลยหยิบกล่องขนมมาถือแล้วบอกลาพี่นัท

“ผมกลับก่อนนะครับพี่นัท”

“...”

“ฝันดีนะครับ..” ผมรักพี่นะ ฝันถึงผมหน่อยนะครับ...

ผมได้แต่ต่อประโยคหลังในใจ ความจริงก็อยากจะพูดไปแบบนั้น แต่กลัวจะโดนตอกกลับมาแบบเมื่อวาน ผมเลยเงียบไว้ดีกว่า ผมยิ้มให้พี่นัทที่ก้มหน้าอยู่ แล้วก็เดินออกจากร้านมา

ก่อนถึงที่พักก็แวะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนข้าวกล่อง หลังจากนั้นก็เดินเข้าที่พัก แอบแวะไปส่องของ แล้วประกฏว่า มีลังกล่องใหญ่อยู่สามกล่องตั้งอยู่ เป็นชื่อผมทั้งหมด ผู้ส่งก็เป็นชื่อเว็บไซต์ที่ผมสั่งของไป ไม่เสียแรงที่ยอมจ่ายแพงสั่งแบบส่งด่วน ผมต้องขึ้นลงสองรอบเพื่อขนกล่องสามกล่อง

ผมรีบจัดการตัวเองอาบน้ำแล้วต้มบะหมี่ทานจนอุ่นท้อง ผมก็มาไล่นั่งแกะกล่องด้วยความตื่นเต้นอ่ะ เหมือนได้ของขวัญจากซานต้า ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนซื้อเอง พอแกะของทั้งหมดออกมาวางเรียงแล้วก็ยิ้มไม่หุบ

พรุ่งนี้แหละ พี่นัทจะได้กินข้าวกล่องจากรักของผม  เตรียมท้องไว้ได้เลยพี่นัท!





#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie


Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
26 : ที่รักของผม


04.30 AM

ผมตื่นเช้ากว่าปกติมากๆ  เพื่อที่จะได้ไปตลาดแล้วก็กลับมาทำข้าวกล่องไงครับ ผมเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจแล้วนอนต่อเพราะมันเช้ามากและผมก็ง่วง แต่พอคิดถึงหน้าพี่นัทตอนที่ได้ลองชิมข้าวกล่องฝีมือผมแล้วมันตื่นเต้นและมีแรงฮึดขึ้นมา ก็เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำและมายืนเลือกผักในตลาด

เมื่อคืนก่อนนอนผมหาข้อมูลเรื่องการเลือกผักสด เนื้อสด หรือวัตถุดิบต่างๆ  จากอินเตอร์เน็ตมาอย่างดี ผมวางแผนไว้ว่าจะซื้อทีก็ซื้อค่อนข้างเยอะเพราะผมรู้ตัวเองว่าตื่นมาตลาดแบบนี้ทุกวันไม่ไหวแน่ๆ ผมก็หิ้วของกลับห้อง พะรุงพะรังเต็มสองมือไปหมด ตอนไปตลาดผมเดินไป แต่ตอนกลับผมต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับ

พอถึงห้องผมก็รีบเอาของสดที่ยังไม่ใช้เข้าตู้เย็นก่อน และเนื่องจากห้องพักของผมไม่ได้มีครัวให้เป็นสัดส่วน มีเพียงอ่างล้างจานที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงด้านนอก ผมจึงต้องยกโต๊ะในห้องไปตั้งไว้ที่ระเบียงเพื่อทำเป็นพื้นที่ในการทำอาหาร พอมีพื้นที่ของครัวเล็กๆ แล้วผมก็จัดการล้างเครื่องครัว กล่องข้าวต่างๆ หลังจากนั้นจึงหุงข้าวและเตรียมเนื้อสัตว์ ทั้งการหุงข้าวและสูตรอาหารผมหาวิธีทำมาอย่างดี

เมนูของวันแรกที่ผมเลือกคือ หมูผัดซีอิ๊วพริกไทยดำกับไข่ดาว ผมก็ค่อนข้างมือใหม่ ขอเมนูง่ายก่อนแล้วกัน ผมหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นบางๆ  อืม…พยายามทำให้บางมากกว่าครับ เพราะผมก็ไม่ถนัดเรื่องการใช้มีด มันก็เลยเก้ๆ กังๆ เนื้อหมูก็เลยออกมา บางบ้าง หนาบ้าง แถมด้วยแผลสดที่โดนมีดแฉลบเข้าเนื้อตรงนิ้วชี้อีกแผลนึง

“ทำไมมัยยุ่งยากจังวะ”

หลังจากเนื้อหมูผ่านไป ผมก็มาทุลักทุเลกับการปอกกระเทียมต่อ อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาเพราะยิ่งกลีบเล็กยิ่งปอกยาก แต่แม่บ้านในเน็ตเขาบอกว่ากลีบเล็กกลิ่นจะหอมกว่ากลีบใหญ่ ผมก็ซื้อกระเทียมไทยหลายหัวเลย

ยุ่งกับการปอกกะเทียมแล้วก็มายุ่งกับการทำอย่างอื่นอีก การทำอาหารยังคงเป็นสิ่งที่ยสกสำหรับผมเสมอเพระาน้ำมันกระเด็นไปทั่วเลย ผมได้แต่ยืนห่างแล้วใช้ตะหลิวเขี่ยหมูในกระทะไปมา กว่าจะผัดเสร็จได้มือและแขนผมก็มีแต่รอยแดงและแสบยิบๆ ไปทั้งแขนเลย

แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าไรหรอกครับ สิ่งที่สำคัญคือหมูผัดซีอิ๊วพริกไทยดำนี่ตังหาก หน้าตาและสีสันก็ดูดีใช้ได้เลย แต่ดูจากหน้าตาอย่างเดียวไม่ได้จุดสำคัญมันอยู่ที่รสชาติ

“โฮ้ว ร้อน!!” เพราะผมลืมเป่าไล่ความร้อน ทำให้หมูลวกลิ้นผมจนต้องรีบเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงไป รู้สึกว่าลิ้นชาไปเลย ผมอ้าปากผึ่งลิ้น พลางนึกถึงรสชาติเมื่อสักครู่ไปด้วย

อืม...มันก็ไม่แย่หรอกมั้ง กำลังดีแหละแต่เหมือนจะหนักพริกไทยไปหน่อย ผมตกลงกับตัวเองว่ารสชาตินี่แหละ โอเคแล้ว! ผมเปิดหม้อหุงข้าวที่ขึ้นว่าสุกมาสักพักนึงแล้วดู

“หอมจัง~ นี่แหละกลิ่นของข้าวที่หุงสุกใหม่ๆ ” ผมใช้ทัพพีตักข้าวใส่กล่องสองใบ แล้วก็ตักหมูในกะทะราดบนข้าว ตบท้ายด้วยไข่ดาวที่สุกไปนิดนึง พอเสร็จแล้วผมก็ชื่นชมผลงานตัวเองแต่ความรู้สึกมันดูโล่งๆ ขาดอะไรบางอย่างไป ผมเลยไปเปิดตู้เย็น เอาผักชีออกมาสองต้นแล้วก็เด็ดใบมาโรยหน้าไป ทุกอย่างดูโอเคขึ้นแค่มีผักชีโรยหน้า

“สวยงาม~”

ผมยิ้มแล้วก็ปิดผากล่องข้าวเตรียมช้อนไปสองชุด ผมหาถุงผ้ามาใส่แล้วก็นำไปวางไว้ข้างๆ กระเป๋าสะพายของผม พอดีกับที่ผมเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาว่าได้เวลาที่ผมควรออกจากห้องได้แล้ว แต่ผมควรจะอาบน้ำใหม่เพราะเหงื่อจากการที่ซื้อของในตลาด แล้วไหนจะคราบน้ำมันกระเด็นอีก ผมหยิบผ้าขนหนูเข้าห้อง ไม่ถึงห้านาทีก็ออกมาแต่งตัวด้วยชุดทำงานที่เตรียมไว้ สะพายกระเป๋าและหยิบกล่องข้าวเตรียมออกจากห้อง ส่วนพวกกะทะอะไรนั่นค่อยกลับมาล้างตอนเลิกงานแล้วกัน ขืนผมล้างตอนนี้ คงได้ไปทำงานสายแน่ๆ

ถึงกำลังจะไปสายผมก็ยังอุตส่าอ้อมไปซื้อดอกไม้มาอีก พอซื้อเสร็จผมก็หอบทั้งถุงกล่องข้าวและกระถางดอกไม้วิ่งมาที่ร้าน

“เจ็ดโมงครึ่งแหนะ โดนดุแน่เลย” ผมพึมพำพลางวางดอกไม่ไว้แทนอันเก่าที่หายไป รีบเก็บข้าวเก็บกระเป๋าใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกไปที่หน้าร้าน เห็นพี่นัทกำลังเช็ดกระจกอยู่ ก็รีบเดินเข้าไปหาพอดีกับที่พี่เขาหันมามองผมพอดี

“สวัสดีตอนเช้าครับพี่นัท” ผมยกมือทักทายพี่นัทแล้วก็ยิ้มให้

“สายนะ” พี่นัทพูดแค่นั้น ส่งผ้ามาให้ผมแล้วก็เดินเข้าครัวไป

ผมก็พึมพำขอโทษไปเบาๆ  แล้วหันมาเช็ดกระจกและทำความสะอาดหน้าร้าน พอทำทุกอย่างเรียบร้อยพี่นัทก็เปิดร้าน

ผมเดินเสิร์ฟไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง เมื่อลูกค้าเริ่มบางตา ไม่มีออเดอร์ใหม่ พี่นัทก็ใช้ผมไปซื้อข้าว แต่ผมก็ดึงพี่นัทเข้ามาในครัวแทน

“ลูกค้าไม่ค่อยมีแล้วทำไม ไม่ไปซื้อข้าวล่ะ” พี่นัทก็บ่นมาตลอด ผมปล่อยมือจากเสื้อพี่นัทแล้วก็เดินมาหยิบถุงผ้า

“วันนี้ไม่ต้องซื้อครับ” ผมหยิบข้าวกล่องออกมา แล้วก็ยื่นไปให้พี่นัทกล่องนึง

“อะไร?” พี่นัทไม่ได้รับไปแต่มองกล่องข้าวในมือผมด้วยสายตาอ่านยาก ผมทำใจกล้ายื่นให้อีกครั้งแต่พี่แกก็ถอยหลังเหมือนเห็นกล่องข้าวผมเป็นกล่องระเบิด

“กล่องข้าวไงครับ ผมทำมาเอง อันนี้เป็นของพี่นัท” พี่มองกล่องข้าวในมือผม แล้วก็ส่ายหน้าไปมาพาให้ผมใจเสีย

“ไม่กินอ่ะ” พี่นัทแล้วก็หันหลังจะกลับออกไปหน้าร้าน

“อ้าว ถ้าพี่ไม่กินนี่แล้วพี่จะกินอะไรครับ” ผมรีบวิ่งไปขวางไว้

“ก็ข้าวร้านข้างๆ นี่ไง”

“แต่ผมทำข้าวกล่องนี่มาให้พี่แล้วไง เมื่อเช้าผมตื่นมาทำแต่เช้าเลยนะครับ ถ้าพี่ไม่กินผมเสียใจนะ”

“ไร้สาระน่ะ” พี่นัทพูดแล้วก็เบี่ยงออกไปอีกทาง ผมก็ขยับไปขวางไว้ ผมตื่นมาทำแต่เช้า ตั้งใจจะให้พี่นัทกินเป็นมื้อกลางวัน ผมก็ต้องทำให้พี่นัทยอมกินให้ได้แหละ

“ไม่ๆ ไม่ไร้สาระเลยครับ ผมตั้งใจทำมาให้พี่เลยนะ ผมลองชิมแล้วด้วยรสชาติไม่แย่แน่นอนครับ” แล้วผมก็ยื่นข้าวกล่องให้พี่นัทอีกครั้ง พี่นัทดันออก ผมก็ดันกลับไปอีก...ผมแค่อยากให้เขากินข้าวของผม อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังพยายามมากแค่ไหน

“พี่ไม่อยากกิน อย่าบังคับได้มั้ย?”

“ผ...ผมตั้งใจทำมาให้พี่นะครับ ลองชิมหน่อยสิครับ นะๆ แค่คำเดียวก็ได้นะครับ”

“…”

“นี่ๆ พี่ดูสิครับ ผมทำหมูผัดซีอิ๊วพริกไทยดำแล้วก็ไข่ดาว หน้าตาดูดีใช่มั้ยครับ? พี่ลองกินนะ” ผมลองเปิดกล่องข้าว แล้วก็ให้พี่นัทดูเมนูข้างใน ถึงจะไม่ร้อนน่าทานเท่าเมื่อเช้าตอนที่เสร็จใหม่ แต่รสชาติไม่เปลี่ยนไปแน่นอน

“...หนึ่ง”

“ส่วนข้าวนี่ ผมใช้ข้าวหอมมะลิแบบที่พี่นัทใช้หุงเลยนะครับ ผมตวงน้ำอย่างดี ไม่แฉะเป็นข้าวต้มแบบครั้งแล้วแน่ครับ” ผมยื่นกล่องข้าวพร้อมส่งช้อนให้พี่นัทอีกครั้ง คราวนี้พี่นัทดันไหล่ผมออกและผมยังไม่หยุดเซ้าซี้เลยทำให้พี่นัทหงุดหงิดจนทนไม่ไหว และเพราะผมเซ้าซี้มากเกินไป พี่นัทเลยหงุดหงิด ถอนหายใจเสียงดังจนผมต้องหยุดมอง

“ตองหนึ่ง! ไม่อยากกินก็คือไม่อยากกินจะมาเซ้าซี้กันทำไม น่ารำคาญว่ะ!”

แต่เพราะคงรำคาญผมมาก พี่นัทก็ดันผมออกค่อนข้างแรงจนกลายเป็นผลัก นั่นทำให้ผมยิ่งไปได้แต่มองหน้าพี่นัทที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เลย

ผมฝืนยิ้มให้...และเพิ่งคิดได้ว่า ผมไม่ควรเอาแต่ใจตัวเองในเวลานี้เลย ถ้าพี่นัทไม่อยากกินจริงๆ ผมก็ไม่ควรจะบังคับพี่นัทจนเขาต้องรำคาญขนาดนี้ ผมก็เลยถอยหลังออก เม้มปากแน่นแล้วก็ปิดฝากล่องข้าว

“อะ..เอ่อ ผมขอโทษครับ ผมแค่...อืม ผมขอโทษครับ”

ผมขอโทษเสียงแผ่ว รู้ว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้เพราะน้ำตามันมาคลอไปทั่วดวงตาแล้ว ผมเลยก้มหน้ามองกล่องข้าวในมือตัวเอง ไม่อยากมองพี่นัท ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นว่าตอนนี้พี่นัทจะทำหน้าเบื่อผมขนาดไหน…

“....”

“พี่นัทอยากกินอะไรครับ ด...เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้” ผมถามทั้งๆ ทียังก้มหน้าก้มตาอยู่ เขาไม่ตอบและเงียบอยู่อย่างนั้น ผมเม้มปาก ตอนนี้น้ำตามันไหลออกมาแล้ว หยดแหมะๆ ลงบนกล่องข้าว ผมพยายามกลั้นสะอื้นและก่อนที่เขาจะพูดออะไรออกมาผมก็รีบเดินเอากล่องข้าวไปเก็บ

พอหันหลับมาก็เห็นปลายเท้าพี่นัทที่กำลังเดินเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเขาเข้ามาต่อว่าอะไรอีก ผมรู้ว่าผมทำตัวน่ารำคาญ แต่ตอนนี้ผมไม่พร้อมรับฟังหรือโดนดุอะไรทั้งนั้น ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหว ผมไม่อยากให้เขาเห็นผมร้องไห้น่าสมเพชแบบนี้เลย

“ผม...ขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ” ผมรีบเดินหลบพี่นัทไปเข้าห้องน้ำ ทันทีที่เข้ามาในห้องน้ำผมก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่ไหว นั่งเบะปากร้องไห้เป็นเด็กๆ พยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นหลุดออกไป แต่บางครั้งที่ก็กลั้นไม่อยู่ มีเสียงร้องไห้หลุดออกมาบ้าง

ผมแค่อยากให้พี่นัทกินข้าวกล่องฝีมือผม ผมตั้งใจทำมาให้ ผมตื่นแต่เช้า ตั้งใจเลือกผักเลือกของสด ผมพยายามทำ ผมทำกับข้าวไม่เป็นแต่ผมพยายามทำ ข้าวกล่องนั่นผมตั้งใจทำให้พี่นัท ตอนที่เลือกของสดก็นึกถึงแต่พี่นัท ตอนทำก็นึกถึงแต่พี่นัท พี่นัท พี่นัท พี่นัท ผมนึกถึงแต่เขาตลอดเลย

ตอนนี้ผมรู้สึกหลายๆ อย่าง น้อยใจ เสียใจ ท้อ ผมควรจะทำยังไงต่อ ถ้าตื้อต่อไปแบบนี้ผมกลัวว่าพี่นัทจะรำคาญจนไล่ผมออกไปจากชีวิตมากกว่าที่จะยอมคืนดีด้วย ผมรักพี่นัท...ผมยังอยากอยู่ใกล้เขา ผมอยากให้เขารักผมแบบก่อนหน้านี้ ผมอยากให้พี่นัทกลับมาใจดีกับผม ผมอยากกอดพี่นัท ผมรักพี่นัท ผมไม่อยากยอมแพ้ ผมไม่อยากถอดใจ แต่ตอนนี้ผมท้อแล้ว เริ่มได้ไม่เท่าไรผมก็ท้อ...เพราะมันเหนื่อยและเจ็บ มันบั่นทอนจิตใจผมไปหมด

ผมนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำสักพัก พอได้ร้องให้ ได้ระบาย ใจที่อึดอัดหนักอึ้งในตอนแรกก็เบาลง แล้วก็เริ่มคิดในแง่มุมของพี่นัทบ้าง ผมคิดว่าผมคงตื๊อและเซ้าซี้พี่นัทมากเกินไป ถ้าผมโดนทำแบบนั้นผมก็รำคาญ  ผมไม่ควรที่จะวอแวพี่นัทจนเกินไป...ผมต้องใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป มันต้องใช้เวลา

พี่นัทไม่ชอบดอกไม้ เพราะผมอาจจะเอามาวางเกะกะทางเดินก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะเอาไปวางเข้ามุมอย่างสวยงามไม่เกะกะแน่นอน

หรือถ้าพี่นัทไม่ชอบดอกลิลลี่สีขาว ผมก็จะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ชนิดอื่นแทนได้  ดอกกุหลาบก็สวย ปลูกง่ายด้วย

ถ้าพี่นัทไม่อยากให้ผมกินเค้กที่พี่นัททำ ผมก็จะไม่กิน เพราะก่อนหน้านี้ผมกินมาเยอะแล้ว ถือโอกาสตอนนี้ลดความอ้วนไปด้วยเลย

หรือถ้าพี่นัทไม่อยากกินข้าวกล่องที่ผมทำก็ไม่เป็นไร ผมจะวิ่งไปซื้อข้าวที่อื่นให้พี่นัทกินแทนก็ได้

แค่ทำแบบนี้ พี่นัทก็จะไม่รำคาญผมมากเกินไปใช่มั้ย...

ผมเช็ดน้ำตาลุกขึ้นล้างหน้าและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พยายามคิดในแง่ดี เปลี่ยนมุมมองกับเรื่องต่างเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ จังหวะเดียวกับที่พี่นัทเดินออกมาจากครัวพอดี ผมก็ยิ้มให้แล้วก็ก้มหน้าลง ถึงเมื่อกี้ผมจะเข้าใจแล้วแต่ก็ยังน้อยใจอยู่ลึกๆ เห็นหน้าพี่นัทแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอยากร้องไห้อีกจึงก้มหน้าหวังว่าให้พี่นัทเดินนำไปก่อน แล้วผมค่อยเดินตามไปทีหลัง แต่เขาเดินมาหยุดตรงหน้าผม

“เค็ม”

“...?” พี่นัทหยุดแล้วก็พูดขึ้นมาแค่คำเดียว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่เขาพูดถึงอะไร จึงเงยหน้าขึ้นมองพี่นัทที่มองมาที่ผมอยู่

“มันเค็มเกินไป คราวหลังทำก็เบาๆ พวกซีอิ๊วกับเกลือหน่อย”

“...”

“รีบไปกินข้าวแล้วมาทำงานต่อ อย่าอู้ให้มันเยอะนัก เปลืองเงินเดือน”

“เอ่อ...ค ครับ” ผมพยักหน้ารับถึงแม้ว่าจะยังงุนงงอยู่ พี่นัทเดินออกไปที่หน้าร้านแล้วผมก็เดินมากินข้าวในครัว แล้วก็เห็นกล่องข้าวที่ถูกกินจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวซักเม็ด ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะยิ้มกว้างจนแก้มแทบจะปลิ หัวใจดวงน้อยๆ ที่ห่อเหี่ยวในก่อนหน้านี้เริ่งพองฟูอีกครั้ง

“เค็มจริงๆ ด้วย” ไม่ใช่แค่เค็มอย่างเดียวนะ แต่ฉุนพริกไทยด้วย พรุ่งนี้ต้องลดเกลือกับพริกไทยลงหน่อย พอกินข้าวเสร็จก็เก็บกล่องและเตรียมไปทำงานต่อ

ผมเดินออกมาหน้าร้าน พี่นัทมองมาทางผมนิดหน่อยแล้วก็หันกลับไป พอเห็นหน้าพี่นัทผมก็ยิ้มออกมา ผมหยุดยิ้มตัวเองไม่ได้ มันดีใจไปหมด

“ยิ้มอะไร...”

“ก็พี่กินข้าวกล่องที่ผมทำ”

“กินเพราะหิว คนที่บอกว่าจะไปซื้อข้าวให้ ดันหนีไปเข้าห้องน้ำตั้งนาน”

“แหะแหะ แล้วพี่นัทชอบข้าวกล่องที่ผมทำมั้ยครับ?”

“ใครจะไปชอบ เค็มจะตาย กินเยอะเสี่ยงเป็นไตอีก”

“ขอโทษครับ ผมคงใส่เกลือเยอะไป” พี่นัทไม่ได้ตอบอะไรเพราะมีลูกค้าเข้ามาพอดี ผมหลบทางให้ลูกค้า พี่นัทก็รับออเดอร์ เสร็จแล้วก็จัดการทำเครื่องดื่ม พอลูกค้าเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็ถามพี่นัทต่อ

“พรุ่งนี้ผมจะลดเกลือลงอีกนะครับ”

“ยังจะทำอีกเหรอ? ถามพี่รึยังว่าต้องการรึเปล่า หรือจะบังคับกันอีก?” พี่นัทพูดแล้วก็ส่ายหน้า ผมก็เลยเจื่อนๆ ลงไป

“...” ก็จริงอย่างที่พี่นัทพูด ที่เขายอมกินวันนี้ก็ใช่ว่าพรุ่งนี้เขาจะกินอีกนี่เนอะ

“...แต่ถ้าพรุ่งนี้ทำแบบอร่อยๆ มาก็กินได้” ผมเงยหน้ามองพี่นัทแล้วก็ยิ้มทันที แต่พี่นัทก็ดูไม่สนใจผมเพราะก้มหน้าเทน้ำลงแก้ว พรุ่งนี้ผมจะทำข้าวมาให้พี่นัทอีก ผมจะทำแบบสุดฝีมือเลย ต้องทำให้อร่อยให้ได้

“ยิ้มอะไรเยอะแยะ เอานี่ไปให้เสิร์ฟ”

ผมถือถาดนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ ผมยิ้มตลอดทาง ยิ้มแบบหุบยิ้มไม่ได้จริงๆ  ยิ้มแฉ่งจนลูกค้าคงคิดว่าผมเป็นบ้าอ่ะ

ประมาณสองทุ่มกว่าๆ พี่นัทก็ปิดร้าน ช่วงหลังมานี้เขาปิดร้านเร็วกว่าแต่ก่อน ผม...แอบคิดเข้าข้างตัวเองไปด้วยว่าเขาปิดเร็วเพราะไม่อยากให้ผมเดินกลับดึกๆ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ แต่ผมก็ขอคิดแบบนั้นเพื่อความสุขของผมละกัน

“พี่นัทครับ ผมกลับแล้วนะครับ” ผมทำความสะอาดจนครบก็เตรียมตัวจะกลับที่พัก แต่ก่อนที่จะไปก็เดินมาหาพี่นัทที่ทำบัญชีอยู่ตรงเคาน์เตอร์

“...”

“พรุ่งนี้เจอกันนะครับ ผมจะรีบมาแต่เช้า”

พี่นัทไม่เงยหน้ามามองผม ผมก็เลยหันหลังเตรียมออกจากร้าน แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวเขาก็เรียกไว้ แล้วก็ยื่นกล่องเค้กให้

“มันเหลือ จะซื้อมั้ย?”

ผมยิ้มแล้วก็รีบเดินเข้าไปรับกล่องเค้กมา วันนี้พี่นัททำพานาคอตต้า เนื้อเนียนน่ากิน แถมขายดีมากๆ เหลือถึงผมแบบนี้ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากเลย

“ขอบคุณนะครับ”

“...ค่าขนมเดี๋ยวหักในเงินเดือนนะ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“...”

“ผม….กลับแล้วนะครับ”

ผมโบกมือลาพี่นัทแล้วก็เดินออกมา ผมมองกล่องเค้กในมือแล้วก็เดินยิ้มกลับที่พัก ผมคิดว่าพี่นัทคงเริ่มใจอ่อนแล้ว อีกไม่นานพี่นัทคงหายโกรธผม แล้วพอพี่นัทหายโกรธจนสนิทและใจเย็นพอที่จะฟัง ผมก็จะบอกความจริงทุกอย่างกับพี่นัท บอกว่าผมรักเขาคนเดียว ไม่ได้นอกใจอย่างที่เขาเข้าใจ ผมอยากกลับไปเป็นคนที่พี่นัทรัก ผมอยากให้พี่นัทกลับมารักผม

แต่ผมก็มีเรื่องที่หวั่นใจอยู่ หลังจากวันนั้นพี่วายุหายไปเลย ผมก็อยากจะได้กล้องถ่ายภาพของผมคืน แต่ไม่กล้าส่งข้อความไป กลัวว่าถ้าพี่วายุกลับมา พี่นัทก็จะโมโหอีก ถ้าพี่นัทต้องกลับไปเป็นคนที่น่ากลัวแบบนั้น ผมยอมไม่เอากล้องคืนก็ได้ ผมไม่อยากให้พี่นัทโมโหหรือรู้สึกไม่ดีอีก
.
.
.

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1

ผ่านไปเกือบดือนแล้วที่ผมทำข้าวกล่องมาให้พี่นัทกินตอนมื้อเที่ยง พอได้ทำทุกวันมันก็คล่องมากขึ้น รสชาติก็ดีขึ้น ช่วงอาทิตย์แรกพี่นัทยังติโน่นแนะนี่อยู่

‘ก็ใช้ได้’ เป็นคำที่เขามักจะพูดบ่อยๆ ในระยะหลังมานี้ ถึงจะไม่ได้ชมว่ามันอร่อยหนักหนา แต่แค่นี้ผมก็ปริ่มใจแล้ว และผมก็รู้สึกว่าพี่นัทใจดีขึ้น ถึงจะยังไม่ได้กลับไปพูดคุยกับผมตามปกติแต่ก็ตอบเวลาที่ผมถาม เลิกเมินหรือปล่อยให้ผมพูดกับอากาศคนเดียวแล้ว แต่ที่ยังไม่เปลี่ยนคือ พี่นัทยังคงขนต้นไม้ที่ผมซื้อมาไปทิ้งทุกวัน หรือว่าพี่นัทไม่ชอบอ่ะ ผมลองเปลี่ยนเป็นดอกไม้ชนิดอื่นแล้ว แต่เช้าวันต่อมามันก็หายไปอยู่ดี แต่ผมก็ไม่หยุดที่จะซื้อมาทุกวัน ซื้อจนเริ่มสนิทกับเจ้าของร้านแล้ว

“พี่นัทครับ”

“...” เขาไม่ตอบเพราะกินข้าวกล่องของผมอยู่เต็มปาก แต่เงยหน้าขึ้นมามองและเลิกคิ้วใส่ผม

“พี่ไม่ชอบดอกไม้เหรอครับ?”

“ทำไม?” พี่นัทกลืนข้าวแล้วก็ถามผมกลับ

“ก็ผมซื้อต้นดอกไม้มาให้พี่ แต่พี่ก็ขยันเอาไปทิ้งทุกวันเลย”

“รู้ได้ไงว่าทิ้ง”

“ก็มันหายไปทุกเช้าเลย ถ้าพี่ไม่ทิ้งแล้วมันจะหายไปไหนล่ะครับ โดนขโมยเหรอ?”

“ก็ไปวางไว้ตรงนั้น มันเกะกะ เดินเข้าออกลำบาก”

“แต่ผมก็เปลี่ยนไปวางข้างๆ กำแพงแล้วนี่ครับ ไม่ได้รบกวนทางเดิน”

พี่นัทวางช้อนแล้วก็มองหน้าผมนิ่งๆ  เอ่อ...ผมว่า ผมคงถามมากไปแล้วพี่นัทคงจะรำคาญแล้วเหละ ผมกำลังจะบอกว่า พี่นัทไม่ต้องตอบก็ได้ แต่เขาก็พูดขึ้นมาก่อน

“แล้วคิดว่าดอกไม้ที่ตัวเองซื้อมาทุกวันแบบนี้ มันจะเยอะแค่ไหนล่ะ ถ้ายังวางอยู่ที่เดิมแล้วพี่ไม่ได้เอามันออก ลองคิดดูสิป่านนี้จะเป็นยังไงอ่ะ?”

ผมคิดภาพตาม มันก็จริงแบบที่พี่นัทพูดแหละ ผมซื้อให้พี่นัทมาจะเป็นเดือนแล้ว แถมบางวันผมยังซื้อมาสองต้นอีกถ้าพี่นัทไม่ขนไปทิ้ง ตอนนี้หลังร้านคงกลายเป็นป่า มีแต่กระถางจนเดินไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นกระถางเล็กๆ แต่ก็คงเกะกะน่าดู

“...คงไม่มีทางเดิน”

“อืม เลิกซื้อมาได้แล้ว วางไปก็เกะกะ” พี่นัทพูดและตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ผมมองแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาพูดเสียงดังฟังชัดใส่พี่นัท

“พี่ก็หายโกรธผมแล้วกลับมารักผมสิ ผมจะได้เลิกซื้อดอกไม้มาง้อพี่ไงครับ”

พี่นัทส่ายหน้า ยกน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วก็ลุกขึ้น ชี้มาที่กล่องข้าวของผม

“รีบกินเร็วๆ แล้วออกไปหน้าร้าน”

แล้วเขาก็เดินออกไปเลย ผมก็ก้มหน้ารีบตักข้าวเข้าปาก วันนี้ผมได้กินข้าวเที่ยงพร้อมพี่นัท เพราะว่ามันเป็นช่วงวันหยุดยาว มหาลัยที่อยู่ใกล้ๆ ก็ปิดนักศึกษาก็กลับบ้าน คนแถวนี้ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ลูกค้าก็เลยน้อยๆ ผมก็เลยได้โอกาสมานั่งกินข้าวพร้อมกันกับเขา

“วันหยุดยาวแบบนี้ พี่นัทไม่หยุดบ้างเหรอครับ?” ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเลย พอนักศึกษาปิดเทอมกัน ร้านก็เงียบลงไปมาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงานที่มาซื้อและออกไป ไม่ใช้เข้ามานั่งทำงานหรือติวกันแบบพวกนักศึกษา

“อยากหยุดเหรอ?” พี่นัทถามผมกลับ ผมส่ายหน้าเท้าคางลงกับเคาน์เตอร์และยิ้มให้พี่นัท

“ไม่อยากเท่าไร ผมอยากเจอพี่นัททุกวันครับ” พี่นัทกลอกตามองบน แล้วก็ดันหน้าผมออกจากเคาน์เตอร์

“ยังไม่แน่ใจว่าจะหยุดดีมั้ย ลูกค้าเข้าร้านน้อยกว่าที่คิดไว้ ดีนะที่วันนี้ทำเค้กน้อย ไม่งั้นคงเหลือบานเลย”

“ถ้าเหลือ พี่นัทก็ขายต่อผมไงครับ เหลือกี่ชิ้นผมก็จะซื้อหมดเลยครับ”

“หึ” พี่นัทหัวเราะในลำคอและหันไปทำเครื่องดื่ม ผมก็งงว่าทำไปทำไม ไม่มีลูกค้าเลย พี่นัททำให้ใครอ่ะ ผมมองพี่นัททำไม่นาน นมสดปั่นเพิ่มวิปปิ้งครีมและราดคาราเมลก็มาวางตรงหน้าผม ผมทำตาโต เพราะคิดว่านมนั่นพี่นัททำให้ผม

“โห ของผม...”

ผมพูดได้แค่นั้นพี่นัทก็เสียบหลอดลงมาแล้วยกขึ้นไปดูดเอง ผมนี่หุบปากแทบไม่ทันเลย แก้วนั้นพี่นัททำกินเองแหละ ผมก็หลงตัวเองเห็นว่าพี่นัทใจดีขึ้นมากๆ  ก็เลยคิดว่าทำให้ ผมก็หัวเราะแห้งๆ แก้เก้อไป รู้สึกหน้าแตกระเอียดยิบเลยครับ

“อะไร คิดว่าพี่จะทำให้เหรอ? อยากกินก็สั่งออเดอร์แล้วจ่ายตังสิ”

“งั้นผมขอสั่งออเดอร์ครับ เอานมสดปั่นและทอปปิ้งแบบพี่นัทครับ”

“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจทำ”

“โถ่…” ผมหน้ามุ่ย

“ดูทำหน้าเข้า ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่นัทหัวเราะออกมา ผมตาโต หูผึ่ง เมื่อกี้พี่นัทหัวเราะให้ผม เสียงหัวเราะของเขาที่ผมไม่ได้ยินมาเป็นเดือน ถึงจะแค่นิดเดียว แต่ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยจิตใจมาก การะกระทำที่ดีขึ้นของเขาทำให้ผมรู้สึกมีหวังมากขึ้นทุกวัน

พี่นัทที่กินนมปั่นอยู่ วางแก้วและมองไปนอกร้านแล้วขมวดคิ้ว แถมหน้าตาก็ดูทมึนทึงน่ากลัวขึ้นด้วย ผมหันไปมองตามว่าพี่นัทเห็นอะไร แล้วก็ตกใจคนที่ผมไม่อยากให้พี่นัทเจอที่สุดกำลังเดินมาที่ร้าน...พี่วายุ

ในมือของเขามีกระเป๋าเป้และกระเป๋ากล้อง นั่นนะของผมแน่นอน ผมหันกลับมามองพี่นัทที่มองผมอยู่เช่นกัน เขาขมวดคิ้ว ดวงตาแข็งกร้าวดูก็รู้ว่าไม่พอใจมากๆ  ผมส่ายหน้า ตามันร้อนผ่าว รู้เลยว่าผมกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว พี่นัทเดินออกมาจากเคาน์เตอร์และ เดินไปทางหน้าร้านเตรียมที่จะเปิดประตูออกไป ผมจึงรีบวิ่งไปจับแขนเขาไว้เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงเกินควบคุมแบบวันนั้นอีก

“พี่จะไปไหนครับ!”

“ไปหามันไง”

“ผ ผมไปด้วย!”

“จะไปทำไม อยากเจอมันเหรอ?” พอพี่นัทพูดแบบนั้น น้ำตาผมมันไหลออกมา ผมยกมือขึ้นเช็ดแบบลวกๆ  แล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น ฮือ” ผมกลัวว่าจะมีเรื่องแบบนั้น ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการแบบนั้น วันนั้นพี่วายุมีเลือดออกมามาก พี่นัทก็น่ากลัวมากๆ เหมือนกัน

“เข้าไปอยู่หลังเคาน์เตอร์ ห้ามออกมาเด็ดขาด กินนมปั่นให้หมด”

“...”

“ถ้าหนึ่งออกไปหรือถ้าพี่เข้ามา แล้วนมยังไม่หมด พี่จะไล่หนึ่งออก”

“ฮึก ฮือ พี่นัท”

พี่นัทแก้มือผม แล้วดันผมเข้ามาในร้านพร้อมกำชับเสียงเข้มอีกครั้ง

“ถ้าออกมา หางานใหม่ได้เลย”

ผมเดินเข้ามาในเคาน์เตอร์ รีบยกนมปั่นขึ้นมาดูดทั้งน้ำตา แล้วก็ชะเง้อคอดูว่าพี่นัทที่เดินออกไปด้านนอก พี่วายุชี้มาทางผม แล้วก็พูดอะไรออกมา พี่นัทก็ยืนนิ่งๆ แล้วส่ายหน้าบ้าง บางครั้งก็เหมือนพูดอะไรบางอย่างกลับไป พี่วายุเปิดกล้องของผมแล้วส่งให้พี่นัทดูก่อนจะหันมาทางนี้ ผมก็รีบยกนมปั่นมาดูด ความเย็นแล่นปรี๊ดขึ้นไปที่สมองทันทีจนผมต้องยกมือขึ้นบีบขมับตัวเอง พวกเขาคุยกันไม่นานมากนักก่อนที่พี่วายุจะส่งยิ้มาให้ผมแล้วเดินกลับไป ส่วนพี่นัทก็มองกล้องของผมนิ่งแบบนั้นอยู่นานแล้วเดินกลับเข้าร้านมา ผมรับก้มหน้าดูดนมปั่นที่เหลืออยู่ค่อนแก้วจนหมดก่อนที่พี่นัทจะเข้าร้าน  ผมวางแก้วลงตอนที่พี่นัทเปิดประตูเข้ามาพอดี

“...” พี่นัทหยุดตรงหน้าประตู และมองผมอยู่อย่างนั้น ผมรีบกลืนเกล็ดน้ำแข็งเย็นๆ ลงคอและยกแก้วขึ้นมาโชว์พี่นัท

“ผมกินจนหมดแก้วแล้วนะครับ ก่อนที่พี่จะเปิดประตูเข้ามา”

“...” พี่นัทไม่ตอบ เดินเข้ามาในเคาน์เตอร์และส่งข้าวของให้ ผมรับมาถือไว้ก่อนจะโดนพี่นัทดันตัวออกจากเคาน์เตอร์

“เอ่อ..พี่นัทครับ นมปั่นอร่อยมากเลย ขออีกแก้วได้มั้ยครับ”

“...” ผมพยายามชวนคุยแต่เขาก็ไม่ตอบ เอาแต่มองผมแล้วก็หันไปทางอื่น ผมรู้สึกไม่ดีเลย ทำไมพี่นัทถึงกลับมาเงียบแบบนี้อีกแล้วล่ะ พี่วายุพูดอะไรกับพี่นัทกันแน่

“พ...พี่นัทครับ พรุ่งนี้พี่อยากกินอะไร ผมจะทำมาให้”

“......” พี่นัทยืนพิงเคาน์เตอร์และหันหลังให้ผม พี่นัทจะกลับมาเมินผมอีกแล้วเหรอครับ

“พี่ครับ...พี่ว่าวันนี้จะมีลูกค้าเข้ามาอีกมั้ย?”

“......”

“ม มาเล่นเกมกันมั้ยครับ? ทายกันว่า ช่วงบ่ายจะมีลูกค้าเข้ามากี่คน”

“....”

“พี่นัทครับ” ผมเสียงสั่นเพราะพี่นัทไม่ตอบไม่หันมามองผมเลย เขาก้มหน้าจมอยู่กับความคิดตัวเอง บ้างก็เงยหน้ามองผมแล้วทำหน้าเจ็บปวดจนผมอยากจะร้องไห้ตาม เขาก็เป็นแบบนั้นตลอดบ่าย จนช่วงหัวค่ำพี่เขาก็บอกให้ปิดร้าน ผมก็ทำตามคำสั่งพร้อมกับชวนเขาคุยตลอดเวลา แต่เขาก็ยังคงไม่พูดไม่ตอบอะไร ผมเลยเงียบๆ ลงบ้างเพราะกลัวว่าพี่นัทจะรำคาญที่ผมพูดมากไป

ผมกำลังกลับไปแย่ และตอนนี้ผมโกรธพี่วายุมากๆ เขาไม่น่ามาเลย พอเขามาพี่นัทก็กลับมาเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นแบบวันแรก

“ตองหนึ่ง…” พี่นัทเรียกตอนที่ผมกำลังถูพื้นอยู่ ผมรีบวางไม้ถูแล้วก็เดินไปหาพี่นัททันที

“ครับ พี่นัท”

“ที่หนึ่งเคยบอกว่าจะยอมทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง หนึ่งพูดจริงรึเปล่า?”

“จ...จริงครับ ไม่ว่าพี่นัทต้องการอะไร ผมจะพยายามทำให้ได้” ผมตอบเสียงดังฟังชัดและยิ้มให้ พี่นัทขมวดคิ้ว ขบกรามและมองมาที่ผม ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่พี่นัททำหน้าแบบนั้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกกลัว...กลัวที่จะรู้สึกเสียใจอีก

“ถ้าขอให้เลิกมายุ่งวุ่นวายล่ะ...ทำให้ได้มั้ย?”

ยิ้มของผมมันค่อยหายไป ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ตาก็เริ่มพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา ผมก้มหน้าลง กลืนก้อนสะอื้นลงท้อง และส่ายหน้าช้าๆ

“พี่ขอแบบนั้น...ผมทำให้ไม่ได้”

“หึ แล้วบอกว่าทำให้ได้ทุกอย่าง” พี่นัทถอนหายใจออกมา ผมยิ้มบางๆ ตอบกลับไป แล้วก็กลับไปถูพื้นต่อ ผมถูพื้นเงียบๆ

ทำไมพี่นัทถึงขอผมแบบนั้น พี่นัทไม่อยากมีผมอยู่ใกล้ๆ แล้วเหรอ ตอนนี้ร่างกายผมมันหนักไปหมด เหมือนมันชาไปทุกส่วน รู้สึกที่ทำไปตลอดหนึ่งเดือนมัน…หายไป ความหวังที่เคยมี….ก็เหมือนไม่มีแล้ว

“ทำไมถึงยังอยู่…”

“ผม...ผมรักพี่ไงครับ รักพี่คนเดียว”

“คืนนั้น...พี่ทำเรื่องแย่มากๆ หนึ่งจะรัก...รักคนที่ข่มขืนตัวเองได้จริงๆ เหรอ?”

“ฮึก ผมรักพี่”

“...”

ผมเข้าใจว่าคืนนั้นพี่นัทขาดสติ ซึ่งผมเป็นคนทำให้พี่นัทเป็นแบบนั้นเอง ผมไม่ได้รักคนที่ข่มขืนผม ผมรักพี่นัทคนที่ใจดีกับผม คนที่ดูแล อ่อนโยน และรักผมมากๆ...ให้ผมเลิกรักพี่นัท ผมทำไม่ได้เลย ทำไม่ได้จริงๆ

“ผมรักพี่ ฮือ พี่ครับ”

เขาส่ายหน้าและหันหลังให้ และนั้นทำให้ผมร้องไห้ น้ำตาเม็ดเล็กไหลออกมา หยดน้ำที่กลั่นออกมาจากความเจ็บปวดของผม ผมหวังว่ายังคงมีหวัง ให้พี่นัทหันกลับมาหาผมหน่อย

“เดี๋ยวพี่ถูเอง หนึ่งรีบกลับเถอะ” พี่นัทแย่งไม้ถูไปจากมือ ผมเจ็บ...ที่พี่นัททำแบบนี้เพราะไม่อยากให้ผมอยู่แล้วรึเปล่า? ผมยืนมองอยู่พักหนึ่ง พี่นัทก็ไม่สนใจ เอาแต่ถูพื้น จนผมถอดใจเดินมาเอาของหลังร้าน หลังจากนั้นก็เดินไปหาเขา

“พี่นัทครับ...ผมจะกลับแล้วนะครับ”

พี่นัทไม่มองมองผมเลย พอถูพื้นเสร็จ พี่นัทก็เดินไปหลังร้านทันทีไม่สนใจผม ผมมองตามแล้วก็หลับตาลง ยกมือขึ้นมากุมตรงหน้าอกที่มันบีบจนเจ็บไปหมด ผมเดินออกจากร้าน ฝนลงเม็ดปอยๆ และก็ตกหนักขึ้นจนผมต้องกลับมาที่ร้านที่หลบฝน ผมจะเดินตากฝนกลับก็ได้ แต่ผมไม่อยากให้กล้องเปียก

ผมมองฝนพลางนึกถึงคนที่อยู่ในร้าน ตอนนี้ผมมีโอกาสแค่ไหน ในเมื่อพี่นัทกลับมาเป็นแบบนี้ ผมควรจะทำยังไงต่อ ผมมองไปในร้าน เห็นพี่นัทนั่งก้มหน้าอยู่ที่เคาน์เตอร์ ดูเหมือนไม่รู้ด้วยว่าผมวิ่งกลับมายืนอยู่ที่หน้าร้าน ผมมองแล้วก็คิดว่า ถ้าพี่นัทไม่อยากให้ผมไปวุ่นวายกับเขาแล้ว ผมควรที่จะยอมแพ้ดีกว่ามั้ย?

ผมไม่อยากยอมแพ้ ถึงแม้จะรู้ตัวว่ากำลังจะแพ้

ผมรักพี่นัทแต่ผมเหนื่อยและตอนนี้ผมท้อมาก พี่นัทกลับไปเมินผมอีกแล้ว ผมอยากจะกลับไปร้องไห้ที่ห้อง ฝนก็ดันมาตก จะเดินร้องไห้กลางฝนก็ไม่ได้ มีกล้องอยู่อีก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงนอนกอดพี่นัทอยู่ที่ร้านนี่แหละ ผมอยากนอนกอดพี่นัท  ผมอยากย้อนเวลา แต่มันย้อนไม่ได้….

...

ใช่...เวลามันย้อนไม่ได้ ถ้าวันนี้ผมเลือกยอมแพ้ เดินห่างจากพี่นัท แล้วในอนาคตผมจะเสียใจมั้ยที่ไม่พยายามให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ผมยังสามารถคุยกับพี่นัทได้ ผมก็ควรที่จะทำให้เต็มที่เพราะถ้าผมเลือกที่จะไม่ทำ อนาคตผมอาจจะเสียใจมากกว่าตอนนี้ก็ได้...ผมทำใจปล่อยพี่นัทไปไม่ได้จริงๆ

ผมมองไปในร้านพี่นัทยังนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ผมอยากกอดพี่นัท อยากให้พี่นัทพูดว่ารักผม ขอแค่อีกครั้งเดียว ถ้าผมลองคราวนี้แล้วพี่นัทไม่กลับมารักผมแล้วจริงๆ  ผมก็จะยอมรับความจริง ว่าพี่นัทจะไม่ทางรักผมได้อีก

ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะ….

ผมเช็ดน้ำตาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าร้าน พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมยิ้มให้มองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยใจที่หนักอึ้ง...พี่นัทตาแดง ปลายจมูกก็แดง ผมดูออกว่าเขาเพิ่งจะร้องไห้ ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังเสียใจเรื่องอะไร แต่ผมรู้สึกแย่ที่เขาไม่มีความสุข

ผมอยากกลับไปเป็นความสุขของเขา อยากได้ยินเสียงหัวเราะ อยากทำให้เขายิ้ม

“ฝนตก ผมกลับไม่ได้ ผมขอนอนค้างที่นี่ได้มั้ยครับ?”

“ไม่” ผมยิ้มออกมาถึงแม้จะโดนปฏิเสธ

“แต่ฝนตก...หนักด้วย”

“ก็รีบเดินไปสิ”

“ผมไม่อยากเปียก”

“ยังไม่ทันเปียกหรอก”

“แต่ผมมีกล้องด้วยนะ ผมไม่อยากให้กล้องเปียก”

ผมพูดแล้วก็ทำใจกล้ายิ้มไป ส่วนพี่นัทก็มองผมนิ่งๆ อยู่นาน ใบหน้าเครียดเขม็งชวนให้หวั่นใจว่าดีรึเปล่าที่เซ้าซี้เขาแบบนั้น จนผ่านไปซักพักเขาก็หันไปทางอื่นพร้อมถอนหายใจออกมา

“อยากทำอะไรก็ทำ”

แล้วพี่นัทก็เดินไปปิดไฟ ผมยิ้มออกมา ดีใจสุดๆ  ผมรีบเดินไปช่วยพี่นัทปิดม่านอีกแรง แล้วก็เดินตามพี่นัทขึ้นห้องชั้นสอง

พี่นัทเปิดประตูเข้าไป แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไปทันที ผมเดินไปวางของไว้ที่โซฟา แล้วก็มองรอบๆ ห้อง ผมคิดถึงห้องนี้ คิดถึงกลิ่นนี้  ผมมองไปรอบห้อง พอดีกับที่ได้ยินเสียงน้ำจากในห้องน้ำ

พี่นัทกำลังอาบน้ำอยู่...

ผมเดินไปหน้าห้องน้ำ ค่อยๆ แนบหูกับประตู แล้วก็ฟังเสียงพี่นัทอาบน้ำ อาจจะดูโรคจิตนะแต่มันรู้สึกว่า ตอนนี้ผมอยู่กับพี่นัท มันรู้สึกดี

ผมยืนฟังอย่างนั้นอยู่ซักพัก แล้วประตูห้องน้ำก็เปิดออก

“เฮ้ย!!” พี่นัทอุทานออกมา เพราะพอเปิดประตูห้องมาก็เจอหน้าผมอยู่

“...”

“ตกใจหมด” พี่นัทพึมพำแล้วก็ดันผมออกให้พ้นทาง ผมเดินตามหลังพี่นัท จมูกก็ดมกลิ่นสบู่หอมๆ ที่โชยออกมาจางๆ จากตัวพี่นัท กลิ่นนี้ผมก็คิดถึง…

“พี่นัทครับ ผมขอยืมเสื้อหน่อยได้มั้ย ผมไม่มีชุดนอน”

พี่นัทจิ๊ปาก แต่ก็ยอมเปิดตู้และส่งเสื้อกับกางเกงมาให้ผมหนึ่งชุดพร้อมกับผ้าเช็ดตัว ผมดูชุด มันเป็นเสื้อกับกางเกงที่พี่นัทเคยให้ผมใส่ตอนที่ผมมานอนห้องนี้วันแรก ชุดนี้ผมก็คิดถึง

ผมขอบคุณพี่นัทแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเสร็จ ผมเอาชุดทำงานของวันนี้ไปใส่เครื่องซักผ้า พร้อมทั้งซักชุดของพี่นัทไปด้วยเลย แล้วก็ไปนั่งดูทีวีตรงโซฟากับพี่นัท พี่นัทไม่พูดอะไรเลย ตาก็มองแต่ทีวี จนเครื่องซักผ้าส่งเสียงเตือนว่าผ้านั้นซักเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปเอาผ้าใส่ตระกร้าเตรียมเอาไปตาก แต่จู่ๆ พี่นัทก็รีบเดินมาแย่งตระกร้าผ้า ผมก็บอกว่าผมตากคนเดียวได้ พี่แกก็สั่งไม่ให้ผมตามมา ไม่งั้นจะไล่กลับห้อง เพราะตอนนี้ฝนก็หยุดแล้วผมเดินกลับได้แน่ แล้วพี่นัทก็เอาผ้าไปตากคนเดียว พอพี่นัทตากผ้าเสร็จ กลับมาก็ปิดไฟ ปิดทีวีเข้านอนโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมเลย

ผมนอนมองแผ่นหลังพี่นัท พี่นัทนอนชิดจนติดขอบเตียง พี่นัททำเหมือนไม่อยากเข้าใกล้ผม ผมก็นอนบอกตัวเองว่า บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่ายอมแพ้ ผมบอกตัวเองแบบนั้นไปเรื่อยๆ และไม่นานผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอ ผมหันไปมองแผ่นหลังพี่นัทในความมืด

“พี่นัทครับ พี่นัท…” ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ  แล้วลองเรียกเบาๆ ดูว่าพี่นัทหลับแล้วจริงๆ รึเปล่า

ไม่มีเสียงจากคนตรงหน้านอกจากเสียงหายใจ ผมขยับตัวเองเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยืดแขนโอบเขาเอาไว้อย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ฝังหน้าเข้ากับแผ่นหลังกว้างอบอุ่นที่คิดถึง

...คิดถึง อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ  ต้องทำยังไง คิดถึงกลิ่นของพี่นัท รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความอบอุ่นและความใจดี คิดถึงทุกอย่างของพี่นัท...คิดถึงมาก แต่ผมทำผิดก่อน ผมทำตัวผมเอง ผมต้องรับผิดชอบความผิดของตัวเอง คราวนี้ผมต้องรอจนกว่าพี่นัทจะไว้ใจผมใหม่ ต้องรอ ต้องอดทน...แต่ผมจะไม่ไหวแล้ว

“พี่นัท ผมขอโทษ ผมรักพี่คนเดียวจริงๆ นะครับ ผมรักพี่จริงๆ  ฮึก ไม่ได้นอกใจพี่จริงๆ นะครับ ผมรักแต่พี่คนเดียว”

ผมพูดพึมพำเบาๆ  และกดหน้าแนบกับแผ่นหลังอุ่น น้ำตามันรื้นออกมา อยากจะร้องไห้เต็มทน ผมกลั้นสะอื้น และพยายามกลั้นน้ำตา เดือนกว่าๆ เลยนะที่ไม่ได้กอดพี่นัทแบบนี้ คิดถึงมากไม่อยากปล่อยมือเลย

แต่เพราะกลัวพี่นัทจะรู้สึกตัวแล้วตื่น ผมเลยต้องค่อยๆ ขยับตัวออก หันกลับมานอนที่ฝั่งตัวเองแล้งงอตัวกอดตัวเองเอาไว้ ผมเช็ดน้ำตา พยายามสูดหายใจเข้าเพื่อตั้งสติแล้วหลับตาลง ทรมานเหมือนกันนะมีพี่นัทนอนใกล้ๆ แต่กอดไม่ได้

ผมหลับตาลงแล้วกอดตัวเองขึ้น พยายามทำใจยอมรับว่าผมแพ้แล้ว แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่พูดอยู่ข้างหู

“พี่ขอโทษครับ...”



 
ทุกคนเตรียมตัวนะคะ...ตอนหน้านะ...



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนหน้าอะไรเหรอ? 

ฉาก NC?

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
27 : ที่รักของผม 2


“พี่ขอโทษครับ...”

“!!!”

ผมตัวแข็งร่างกายเกร็งเพราะความตกใจและความไม่เชื่อ ผมอาจคิดไปว่าตัวเองฝันหรือพี่นัทละเมอแต่เพราะความอบอุ่นที่กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับสัมผัสอุ่นชื้นที่ต้นคอ ทำให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันและเขาก็ไม่ได้ละเมอด้วย

“ตองหนึ่ง…” พี่นัทซบหน้าลงกับต้นคอของผมและเรียกชื่อออกมาเบาๆ  เพียงแค่นั้นน้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมไม่รู้ทำไมพี่นัทถึงยกโทษให้ผม แล้วก็กลัวว่าพรุ่งนี้พี่นัทจะกลับไปเมินผมเหมือนเดิมอีก

“ฮึก ฮือ พี่นัทครับ ฮือ” ยิ่งพี่นัทกอดผมแน่นและจูบที่ต้นคอผมแผ่วเบาเท่าไร ผมยิ่งร้องไห้และสะอึกสะอื้นมากเท่านั้น

“หนึ่งครับ พี่ขอโทษ”

พี่นัทขอโทษเรื่องอะไร ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมพลิกตัวกลับไปกอดเขา กดหน้าลงกับหน้าอกพี่นัทแล้วก็พูดออกไป

“ฮึก ไม่ใช่พี่...ผมต้องเป็นคนขอโทษต่างหาก ผมตัวว่าผมผิด ผมขอโทษที่ตอนนั้นผมไม่ใส่ใจพี่นัทเลย ขอโทษที่ออกไปกับคนอื่นแล้วก็ทำให้พี่ไม่สบายใจ ทำให้พี่นัทเสียใจ ฮือ”

“พี่เองก็ทำหนึ่งเสียใจ พี่ทำ...เรื่องไม่ดี”

“ผมทำให้พี่ร้องไห้ ผมขอโทษ ฮือ ฮึก พี่นัทหายโกรธผมนะ หายโกรธผมเถอะนะ นะครับ ฮืออ ฮึก” ผมพูดเสียงอู้อี้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าพี่นัทจะฟังรู้เรื่องมั้ย ผมอยากขอโทษแต่ก็อยากกอดพี่นัทแน่นๆ ไปด้วย

“พี่เองก็ทำหนึ่งร้องไห้ ทำสิ่งที่ไม่ดีมาก...”

“ฮึก พี่นัท อย่าพูดแบบนั้น เพราะผม...เพราะผมคนเดียว ฮือ ทำให้พี่โกรธ ขอโทษ”

“พี่ไม่ได้โกรธหนึ่งแล้วครับ...ไม่ได้โกรธนานแล้ว หยุดร้องไห้เถอะนะ พี่ขอโทษ โอ๋ๆ หยุดร้องนะ พี่ไม่ดีเองครับ” เขากอดผมแน่นเสียงขึ้นจมูกของเขาทำให้ผทต้องเงยหน้าดู พี่นัทเองก็ทำท่าจะร้องไห้ ผมรีบกอดเขาอีกครั้ง กอดให้แน่นที่สุด

“จริงๆ นะ พี่ไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย? ฮือ”

“ไม่โกรธแล้วครับ หยุดร้องก่อนนะ”

พี่นัทพูดแล้วก็กดจูบลงมาที่กลางกระหม่อมของผม ถึงพี่นัทจะบอกให้ผมหยุดร้องไห้แต่ผมกลั้นน้ำตากลั้นเสียงไม่ได้ ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง ผมเอาแต่คิดว่าคควรใช้โอกาสนี้รีบอธิบายความจริงทั้งหมด ผมพยายามหยุดสะอื้น และลุกขึ้นนั่งดีๆ พี่นัทก็ลุกตามแล้วก็เช็ดน้ำตาให้ผม แต่มันก็เหมือนว่ายิ่งเขาปลอบผมก็ยิ่งร้อง ผมกลั้นสะอื้นดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาแล้วตั้งใจพูดออกไป

“พี่ครับ พี่ฟังผมนะ พี่อย่าโกรธผมอีกนะ ผมจะอธิบาย...ไม่ได้แก้ตัวแล้วก็ไม่ได้โกหกด้วยนะครับ” ผมจับมือเขาไว้ มองหน้าเขา พยายามที่จะสื่อว่าสิ่งที่ผมพูดต่อจากนี้เป็นความจริง ผมจริงใจในคำพูดทุกคำ “วันนั้นอ่ะ...วันนั้นผมไม่ได้นอกใจพี่เลยนะครับ พี่วายุเขาเข้าใจผิดแล้วก็คิดไปเองของเขาคนเดียวนะครับ ผมไม่ได้นอกใจพี่เลยนะ ฮือ พี่นัทเชื่อผมสิ...ผมรักพี่คนเดียว รักพี่นัทมากนะครับ ฮึก”

ผมเคยคิดมาก่อนหน้านี้ว่าเวลานี้ผมต้องพูดยังไง พูดอะไรก่อน แต่พอถึงเวลาผมเรียบเรียงคำพูดตัวเองไม่ได้ สิ่งที่จะอธิบายก็พูดไม่ออก เลยได้แต่บอกซ้ำๆ ว่า ผมรักพี่นัทที่สุด แล้วผมก็พูดวนอยู่แค่นั้น ส่วนพี่นัทก็ยิ้มบางๆ และเช็ดน้ำตาให้ผม ทั้งที่ในดวงตาของเขาก็คลอหยาดน้ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

“ครับ พี่เชื่อตองหนึ่งแล้วครับ”

“ผมไม่เคยคิดจะนอกใจ ผมรักพี่คนเดียว...รักพี่คนเดียวจริงๆ”




พี่นัท’s part

“ผมไม่เคยคิดจะนอกใจ ผมรักพี่คนเดียว...รักพี่คนเดียวจริงๆ”

ผมมองตองหนึ่งที่เอาแต่พูดและร้องไห้ไม่หยุด มือเล็กๆ กำที่ชายเสื้อผมแน่น ไม่ว่าผมจะขยับยังไงเขาก็กำไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป

ผมไล่เช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ก้มลงไปจูบปลอบบ้างเป็นบางครั้ง ผมไม่เคยเห็นตองหนึ่งร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน หนึ่งร้องไห้จนตาแดงจมูกแดง ร้องเสียงดังจนเสียงแหบแห้งไปหมด ผมมองแล้วก็ยิ่งสงสาร ยิ่งรู้สึกผิดแล้วก็ยิ่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ

ถ้าวันนี้วายุไม่มาและถ้าผมไม่ยอมฟังที่วายุอธิบาย ผมคงโง่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ตองหนึ่งไม่ได้นอกใจอย่างที่ผมเข้าใจผิด วันนี้วายุมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาเอารูปภาพในกล้องของตองหนึ่งให้ผมดู มันไม่ได้มีแค่ภาพขนมภาพเครื่องดื่มที่ผมทำ แต่ในกล้องนั้นมีรูปถ่ายของผมอยู่เต็มไปหมด ทุกๆ อริยาบถ ทุกๆ หน้าตาและรอยยิ้มของผมถูกตองหนึ่งจับภาพไว้ และยิ่งวายุอธิบายความจริงของเหตุการณ์มากเท่าไรผมยิ่งรู้สึกแย่…

คืนนั้นผมทำในสิ่งที่คนอื่นเรียกว่าการข่มขืน...มันแย่มากจริงๆ ผมจะไม่แปลกใจเลยหากคนตรงหน้าเลือกที่จะเกลียดผม เขามีสิทธิเอาผมเข้าคุกได้เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกผิดคือสิ่งที่เกาะกินใจผมอย่างหนัก...คนที่สารเลวไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นตัวผมเองนี่แหละ

 ก่อนหน้านี้ใจร้ายกับตองหนึ่งไปเยอะมาก หนึ่งพยายามอธิบายตั้งหลายครั้งผมก็ใจร้อนไม่ยอมฟังเลย ถ้าตอนนั้นผมใจเย็นและยอมเปิดใจฟังตองหนึ่งอธิบายหน่อย ทั้งหนึ่งทั้งผมก็คงไม่ต้องเสียใจแบบนี้

“พี่ผิดเองครับ พี่คนเดียวเลย พี่คนเดียวที่นิสัยไม่ดี”

“ไม่ๆ ผมผิดเอง ฮือ เพราะผม...”

ผมกอดตองหนึ่งไว้แน่นเต็มสองแขนซุกหน้าลงกับไหล่เล็กและร้องไห้ออกมา รับรู้ได้ว่าเราสองคนกำลังสั่น ผมพยายามกอดและจูบปลอบเพื่อให้เขาหยุดร้องไห้ แต่ผมจะทำได้ยังไงในเมื่อผมเองก็หยุดร้องไม่ได้

“ตองหนึ่ง...สิ่งที่พี่ทำไป พี่ไม่ว่าอะไรนะหากหนึ่งจะโกรธพี่...หรือเปลี่ยนใจไปหาใครที่เขาจะทำดีกับหนึ่งได้มากกว่า” น้ำเสียงผมขาดห้วง อึดอัดและเจ็บจนหายใจไม่ออก สิ่งที่ผมกับเขา...แม้แต่ตัวผมก็ไม่อยากจะให้อภัยตัวเอง

“ฮึก ไม่เอา! พี่อย่าพูดแบบนั้น ผมรักพี่ไง ผมรักพี่คนเดียวอ่ะ” ตองหนึ่งกำเสื้อผมแน่น เขาขยับตัวเข้าหาและกอดคอผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พร่ำบอกว่าเขาไม่โกรธ เขาลืมสิ่งที่ผมทำตอนขาดสติไปแล้ว

“แต่...ที่พี่ทำไป มัน...เรียกว่าข่มขืน”

“ก็บอกว่าผมรักพี่ไง ฮือ พี่ไม่ได้เลว ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วพี่เป็นคนยังไง ที่ผมยังรักเพราะรู้ว่าพี่รักผมมากแค่ไหน ฮึก  หากพี่ยังรู้สึกผิด ต่อจากนี้ก็รักผมมากๆ ดีกับผมมากๆ สิ...พี่นัท อย่าทิ้งผม อย่าไปคิดถึงมันเลย” ตองหนึ่งร้องเสียงสูงและส่ายหน้าไปมา เขากุมหน้าอกตัวเองแล้งงอตัวเข้าหาผม เป็นท่าทางที่น่าสงสารจับใจ “ลืมเรื่องนั้นไปนะ เรามาเริ่มต้นใหม่นะครับ...เรายังรักกันนะ”

“ไม่ทิ้งครับ ไม่เคยคิดอยากจะทิ้งเลย พี่เคยคิดแบบนั้นได้เลย...หยุดร้องไห้เถอะนะครับ”

ถึงแม้จะรู้สึกผิด แต่ผมไม่อยากให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้ เราสองคนร้องไห้กันมากเกินไปแล้ว ในเมื่อเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ ผมก็ควรหยุดนึกถึงเรื่องไม่ดีที่เคยทำไว้เช่นกัน เก็บมันไว้เป็นบทเรียนและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก และเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมตองหนึ่ง...คนรักของผม

“ฮึก ผมรักพี่ พี่นัทไม่ใช่คนไม่ดีที่ทำแบบนั้นเพราะว่าพี่โกรธมากๆ แต่ผมไม่เป็นอะไรแล้ว เรากลับมารักกันนะครับ ผมคิดถึง..ฮือ” ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้องหนัก ผมเลยปล่อยตองหนึ่งออกพร้อมเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือก่อนจะก้มลงจูบไปตามแก้มนุ่ม ไล้ปากสัมผัสไปมาอยู่อย่างนั้น มือก็ลูบไปมาตามแผ่นหลังและต้นคอเพื่อปลอบให้เขาดีขึ้น

“ขอบคุณครับ พี่ก็รักหนึ่งนะ”

“ฮึก พี่นัท ผมก็รักพี่นัท ผมรักพี่คนเดียวจริงๆ ” คนตัวเล็กในอ้อมกอดผมพูดพลางสะอึกสะอื้นจนตัวสั่น ผมกระชับแขนแน่นแล้วกดจูบไปที่หน้าผาก

“พี่รู้แล้ว…รู้แล้วว่ารัก”

“ผมคิดถึงพี่มากๆ เลย ฮือ ฮึก”

ตองหนึ่งกอดผมแน่นจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมส่งยิ้มให้และเช็ดน้ำตาให้คนตัวเล็กในอ้อมแขน ไม่ใช่แค่หนึ่งที่คิดถึง พี่ก็คิดถึงหนึ่ง ถึงจะเจอกันทุกวัน แต่ผมเอาแต่โกรธและทิฐิจนเหมือนสร้างกำแพงกันไว้

ตองหนึ่งร้องไห้ไม่หยุด แขนก็กอดผมแน่น ผมลูบหลังเบาๆ ให้หนึ่งใจเย็น แล้วก็กอดอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย

“หยุดร้องไห้เถอะนะคนดี เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”

“ครับ  พี่อย่าโทษตัวเองนะครับ ฮึก เราเริ่มใหม่นะ”

“ครับ หยุดร้องไห้นะ” ผมกอดปลอบแล้วก็โยกตัวเหมือนปลอบเด็ก ตองหนึ่งพยักหน้ารัวก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่ก็ยังมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ ผมจึงเช็ดน้ำตาออกให้อีกครั้งแล้วจูบลงที่หน้าผากแล้วคลอเคลียอยู่แบบนั้น

เรานั่งกอดกันอยู่ค่อนข้างนาน จนตองหนึ่งหายสะอึกและน้ำตาหยุดไหล ผมก้มลงไปหอมแก้มคนตัวเล็ก 2-3 ฟอดและส่งยิ้มให้ หนึ่งก็เงยหน้ามองผมแล้วก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ ผมจึงก้มลงไปเพื่อที่จะฟังให้ชัดขึ้น

“ผมรักพี่” ผมมองหน้าตองหนึ่งที่อมยิ้มน้อยๆ  อยู่ แววตามัวหม่นตอนนี้กลับมาใสแจ๋วอีกครั้ง

น่ารัก… เขายังคงน่ารักอยู่เสมอ

“พี่ก็รักหนึ่ง” ผมพูดเบาๆ ตอบกลับไปแล้วก็ยิ้ม ผมกอดเขาแน่น วนเวียนหอมและจูบเพื่อปลอบใจและทำให้เขารู้สึกดีและสบายใจ ทดแทนเวลาแย่ๆ ที่ผ่านมา คนตัวเล็กเองก็เอาแต่หอมแก้มผม เพื่อย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช้ความฝัน

“ผมคิดถึงพี่” เรากอดและจูบกันไปมาอยู่เกือบชั่วโมง ตองหนึ่งก็ขยับขึ้นนั่งบนตัก เขากระซิบเบาแล้วหอมแก้มผมอีกหลายครั้ง

“พี่ก็คิดถึงหนึ่ง”

“ผมคิดถึงพี่นัทมากๆ เลย ผมอยากให้พี่นัทกอดผม”

“ก็กอดอยู่นี่ไงครับ” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก

ตองหนึ่งส่ายหน้า และช้อนตามองผม มือเล็กที่จับอยู่ตรงเอวผมเลื่อนขึ้นมาตรงท้ายทอยและดึงผมให้ก้มลงไปให้ริมฝีปากผมแตะสัมผัสอย่างแผ่วเบากับริมฝีปากนุ่ม

ตองหนึ่งปล่อยผมออก และสิ่งยิ้มมาให้ ยิ้มหวานๆ ที่ผมเห็นทีไรก็ตกหลุมรักทุกที

“กอดและรักผม...”

“...” ผมเลิกคิ้ว มองเด็กตรงหน้าที่อมยิ้ม ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด แต่คาดไม่ถึงว่าเราจะทำกันทันทีที่คืนดีกันแบบนี้ แถมเขายังเป็นฝ่ายชวนก่อนอีก

“ผมคิดถึงพี่ คิดถึงความอ่อนโยนของพี่...”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าแน่ใจรึเปล่า? แต่ตองหนึ่งก็เอาแต่ยิ้มน้อยๆ  ปากพูดชวนแต่แก้มนี่แดงก่ำเชียว

“เวลาแบบนี้ยังจะมาอารมณ์อีกนะ” ผมแซว คนในอ้อมกอดก็อมยิ้มแล้วตอบกลับเสียงเบาด้วยท่าทีที่น่าเอ็นดู

 “ผมคิดถึงพี่นัท คิดถึงมากๆ”

ผมก้มลงไปจูบปากแผ่วๆ แล้วผละออก ก้มลงไปอีกครั้งแล้วก็ผละออก ทำแบบนั้นอยู่สองสามครั้งเพื่อลองเชิงว่าเขาจะเอาจริงรึเปล่าแต่ตองหนึ่งก็ร้องอย่างขัดใจอีกทั้งยกมือขึ้นมากอดคอ ดึงผมลงประกบปากด้วยตัวเอง ทำให้ผมมั่นใจว่าพร้อมที่จะทำจริงๆ

ตองหนึ่งขยับปากบดเคล้ากับริมฝีปากของผมช้าๆ  เราต่างก็ขยับเปลี่ยนองศาให้กลีบปากสัมผัสกันมากขึ้น หนึ่งเริ่มสอดลิ้นเล็กเข้ามาในปากผม ส่วนผมสอดมือเข้าไปลูบที่ผิวเนียนใต้เสื้อตัวใหญ่ สะกิดและคลึงอย่างแผ่วเบาที่ยอดอกเม็ดเล็กๆ ตองหนึ่งครางในลำคอ ยืดตัวและแอ่นอกขึ้นเพื่อให้ผมสัมผัสอย่างถนัดถนี่ ผมกดจูบไปทั่วใบหน้าหวาน ดูดุนไปทั่วผิวนุ่มพร้อมทั้งถอดเสื้อเขาออก และลากลิ้นวนรอบๆ ยอดอก ปัดผ่านไปมาจนได้ยินเสียงครางกระเส่าของเขา แถมยังแอ่นอกให้ผมทำอย่างเต็มที่

ผมขยับขึ้นไปจูบปากตองหนึ่งอีกครั้ง และจ้องเข้าไปในดวงตาฉ่ำของตองหนึ่ง คนตัวเล็กยิ้มพราว

“แน่ใจว่าจะทำกันตอนนี้เลย...ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้นะครับ” เขาประคองใบหน้าผมไว้แล้วพยุงตัวขึ้นมาจูบปากก่อนจะเอื้มมือไปที่ลิ้นชักหัวเตียง

“พี่จะให้ผมหยิบถุงยางกี่อันดี” ตองหนึ่งยิ้มและกัดปากตัวเอง นี่คือตั้งใจยั่วกันใช่มั้ย? ผมแค่อยากรอให้เขาพร้อมจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะว่าต้องทำหรืออยากเอาใจผม แต่อีกฝ่ายกลับพยักหน้าแถมยังกระตือรือร้นที่จะทำอีกตังหาก คงต้องเชื่อแล้วว่าเขานั้นพร้อมยิ่งกว่าผมเสียอีก

“อยากให้พี่ทำกี่ครั้ง ก็หยิบมาเท่านั้นแหละครับ”

“...งั้นคงต้องหยิบมาทั้งกล่อง”

“หึหึ เจ้าเด็กลามก”

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1

“ผมเป็นเด็กลามกของพี่แค่คนเดียว อืม”

เขายิ้มอย่างน่ารัก ผมจึงให้รางวัลโดยการมอบจูบหวานๆ ให้ทันทีที่เขาพูดจบ จูบและดูดกลีบปากถึงแม้จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ก็ใช้ระยะเวลานาน พอผละออกปากอิ่มของตองหนึ่งก็เจ่อขึ้นมาอย่างเซ็กซี่ ผมลูบไปตามเนื้อตัวและเรียวขา ผมใช้มือยกขาทั้งสองข้างของตองหนึ่งขึ้นแล้วค่อยถอดกางเกงออก ตองหนึ่งมองผมทั้งๆ ที่แก้มแดงแจ๋ แต่ก็ยังอ้าขาออกกว้างเพื่ออวดส่วนน่ารักที่ฉ่ำเยิ้มนั้นให้ผมมอง

“ยั่วกันขนาดนี้ แค่กล่องเดียวคงไม่พอละมั้ง”

“ผมเห็นว่าในลิ้นชักก็ยังมีอีกกล่องนึง…”

ทำไมวันนี้ถึงยั่วเก่งขนาดนี้ แบบนี้คงแย่แน่ๆ

ผมใช้หมอนมารองด้านใต้และยกสะโพกตองหนึ่งขึ้น ช่องทางเล็กๆ ที่สั่นระริกทำเอาสายตาผมพร่าไปหมด ท่อนเนื้อใต้กางเกงผมมันก็ขยายตัวจนเจ็บไปหมด อยากจะเข้าไปในรูเล็กๆ นั่นใจจะขาด ผมใช้มือคลึงสะโพกและก้นเพื่อให้เขาผ่อนคลายซักหน่อย แล้วก็วกขึ้นมาที่แท่งเนื้อฉ่ำน้ำของตองหนึ่ง ผมค่อยรูดขึ้นลงช้าๆ น้ำใสตรงส่วนปลายก็ยิ่งปริ่มออกมาจนเยิ้มไปทั่ว

“อือ อื้ม” ตองหนึ่งครางเบาๆ  หลับตาพริ้ม ปากอิ่มสีระเรื่ออ้าออกเพื่อหอบหายใจ ทั้งน่ารักทั้งเซ็กซี่ ผมมองดูแล้วก็ต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกเพื่อระบายอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านไปทั่ว

ผมคลึงเบาๆ ตรงส่วนปลายและก็รูดขึ้นลง และเพิ่มความเร็วขึ้นไม่นานตองหนึ่งก็ปล่อยน้ำสีขาวออกมาเต็มฝ่ามือ ผมใช้น้ำนั่นมาละเลงตรงช่องทางต่อและค่อยดันนิ้วเข้าไป คนตัวเล็กเกร็งขึ้นทันที ผมขยับตัวขึ้นและจูบปากตองหนึ่ง ดูดปากล่างและสอดลิ้นเข้าไป ตองหนึ่งโอบแขนรอบคอผม แล้วก็เริ่มใช้มือลูบไปตามแผ่นหลังและท้านทอยของผม  เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กหายเกร็งแล้วจึงดันนิ้วเข้าไปช้าๆ จนสุด และเริ่มชักเช้าชักออกช้าๆ

“อ๊ะ! อะ อาๆ ”

ผมผละริมฝีปากออก เขาก็ครางในลำคอในขณะที่ผมก็เพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปเรื่อยๆ คนตัวเล็กใต้ร่างผมเริ่มตอบสนองมากขึ้น เสียงครางแว่วหวาน มือเล็กที่ค่อยๆ ลูบก็เปลี่ยนมาจิกและบีบไปตามต้นแขนผมแทน แถมยังอ้าขาออกกว้างและยกสะโพกตัวเองขึ้นสูงเพื่อให้ผมขยับได้อย่างถนัด เขาดูพร้อมและผมก็ทนไปมากกว่านี้ไม่ไหว

ผมดึงนิ้วออก ถอดกางเกงตัวเองขณะที่ท่าทางของตองหนึ่งให้พร้อม เมื่อทุกอย่างโอเค ผมจึงค่อยๆ จับเจ้าท่อนเนื้อของผมดันเข้าไปในตัวของตองหนึ่ง แต่จู่ๆ  ตองหนึ่งก็กลับมาเกร็งใหม่อีกครั้งแถมยังรุนแรงกว่าเดิมจนผมตกใจ

“อื้อ พี่นัท มันแน่น อือ อึก อื้อ!!”

อาจเพราะเราไม่ได้ทำกันมาเกือนเดือน ตองหนึ่งเลยอึดอัดมากกว่าปกติ และอาการเกร็งคราวนี้มันแย่กว่าครั้งแรก ตองหนึ่งเกร็งตัวไม่ผ่อนคลาย และเมื่อผมพยามที่จะดันให้เข้าไปจนสุด ตองหนึ่งก็เกิดอาการตัวสั่นขึ้นมา

ผมตัดสินใจหยุดขยับและคราวนี้คนตัวเล็กเกร็งจนผมรู้สึกเจ็บไปด้วย ดันเข้าก็ไม่ได้ ดึงออกก็ไม่ได้  ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วจึงค่อยจับเรียวขาของตองหนึ่งให้โอบสะโพกผมไว้ มองตองหนึ่งที่เกร็งไปทั้งตัว หลับตาแน่น กัดปากของตัวเอง และดูเหมือนจะร้องไห้

“ที่รัก ลืมตามองหน้าพี่หน่อยครับ” ผมก้มตัวลงแล้วกอดตองหนึ่งไว้ ผมพอจะเดาออกว่ากลัว พอผมเริ่มสอดใส่ตองหนึ่งก็เริ่มกลัวผม ประสบการณ์ครั้งสุดท้ายที่เราทำเมื่อหนึ่งเดือนก่อน มันแย่มากสำหรับตองหนึ่ง แล้วตองหนึ่งก็คงกลัวว่าจะเป็นแบบนั้นอีก

“อึก อือ ผมอึดอัดครับ ฮือ ฮึก พี่อย่าทำผมเจ็บนะ ฮือ” เขาเริ่มร้องให้อีกครั้ง ผมจูบลงไปบนเปลือกตาทั้งสองข้าง พรมไปทั่วทั้งใบหน้า มือก็ลูบไปตามแผ่นอก หน้าท้อง และหยุดบีบอยู่ที่สะโพก พยายามทำให้หนึ่งผ่อนคลายและหายกลัวผม

“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ทำแบบนั้นอีก พี่สัญญาว่าจะไม่ทำครับ...เริ่มต้นใหม่นะ เริ่มกันใหม่...พี่รักหนึ่งนะครับ”

“ผมก็รักพี่ ฮือ ฮึก”

ตองหนึ่งลืมตามองและเริ่มหายเกร็งลงไปเล็กน้อย ผมจูบซับไปที่เปลือกตาอีกที แล้วไล่ก็มาที่ริมฝีปาก ผมแค่ทาบไว้นิ่งๆ  ให้ตองหนึ่งเป็นคนนำและขยับปาก เขาสอดลิ้นเล็กมาเกี่ยวกับลิ้นผม ส่วนผมก็คอยขยับลิ้นตามอีกที ขณะที่มือผมก็ยังนวดไปตามตัวและสะโพกไม่หยุด

“อืม อา!” ผมใช้เวลาซักพักจนตองหนึ่งหายเกร็งและกลับมาครางอีกครั้ง ตองหนึ่งอ้าขาออกกว้างพร้อมๆ  กับยกสะโพกตัวเองขึ้นสูงจนท่อนเนื้อของผมที่อยู่ในตัวตองหนึ่งขยับเข้าไปลึกกว่าเดิม

“อืม...หนึ่ง..รู้สึกดีแล้วใช่มั้ยครับ?” ผมพยามระงับความอยากที่จะขยับแรงๆ  และถามเขา แต่ดูเหมือนคนที่เคยบอกว่าอึดอัดไม่คิดจะตอบคำถามผมเลย เพราะเอาแต่ขยับสะโพกตัวเองเข้าหาผมอยู่อย่างเดียว ผมจึงเท้าแขนลงกับเตียงและเป็นฝ่ายขยับสะโพกบ้าง ผมพยายามที่จะอ่อนโยนและทำเบาๆ  ไม่ให้ตองหนึ่งกลัว

“อือ พี่นัท อึก”

“ดีมั้ยครับ?” ผมค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขยับเป็นพายุเหมือนที่ผ่านมา ผมก้มลงกัดและเม้มเบาๆ  ไปทั่วลำคอและช่วงอก ผมชอบที่ผิวขาวเนียนของตองหนึ่งมีรอยจูบของผมจางๆ

“อืม ดีครับ… อา แต่ผมอยากรู้สึกดีกว่านี้ ทำแรงๆ  กว่านี้นะครับ” ตองหนึ่งพูดเสียงออดอ้อน ใช้ศอกชันตัวลุกขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างเกี่ยวคอผมให้ลงไปจูบกับปากอิ่มหวานฉ่ำ ผมซี๊ดปากเล็กน้อยเมื่อตองหนึ่งเด้งสะโพกสวนกับผมขึ้นมาจนผมใช้แขนยึดเอวเล็กๆ นั่นไว้แน่น

“เดี๋ยวเราก็กลัวพี่อีก” ไม่ใช่แค่หนึ่งที่อยากทำแรงๆ  แต่ผมก็อยากทำไม่แพ้กัน แต่กลัวว่าตองหนึ่งจะกลัวผมอีก เหมือนในตอนแรกที่ให้ความร่วมมืออย่างดี แต่พอผมจะลงมือทำจริง คนตัวเล็กดันเกิดอาการเกร็งและกลัวผมขึ้นมาซะงั้น ผมไม่อยากให้ผมสุขแค่คนเดียว ถ้าผมรู้สึกดี ตองหนึ่งก็ต้องรู้สึกดีไปกับผมด้วย

ดูเหมือนคนตัวเล็กที่เกี่ยวคอผมไว้เริ่มที่จะไม่พอใจผมแล้ว เพระใบหน้าเริ่มงอแก้มเริ่มป่องเพราะงอน ตองหนึ่งปล่อยมือจากคอผม ดันตัวผมออกและบังคับดันไหล่ผมให้นอนราบกับเตียงแทน แล้วก็ขึ้นมานั่งคร่อมผมอย่างรวดเร็ว

“แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้ว” ตองหนึ่งพูด ยกตัวขึ้นนั่งยองๆ แล้วก็จับท่อนเนื้อของผมให้ตรงกับช่องทางของตัวเอง หลังจากนั้นจึงค่อยทิ้งตัวลงช้าๆ  พอเข้าไปจนสุด ตองหนึ่งก็เริ่มขยับทันที

ผมนอนนิ่งๆ มองภาพตรงหน้า ใบหน้านวลเชิดหน้าไปด้านหลัง แขนทั้งสองข้างเท้าลงกับต้นขาของผม เขาอ้าปากครางแผ่วๆ ยอดอกสีเรื่อชูชันจนผมต้องใช้มือลูบและสะกิดให้แดงบวมขึ้นไปอีก ขาเล็กๆ ก็ขยับส่งตัวขึ้นลง ผมมองไปทั่วจนมาถึงส่วนที่เชื่อมต่อกัน เพราะเราทำกันท่านี้ เลยทำให้ผมมองเห็นท่อนเนื้อของผมหายไปในช่องทางของตองหนึ่งอย่างชัดเจน ยิ่งได้เห็นผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าท่อนเนื้อของผมมันขยายขึ้นจนเหมือนจะระเบิดเอาให้ได้

“อ๊ะ อะ พ..พี่นัท อะ มัน สะ...เสียว อะๆ ” ตองหนึ่งหลับตาพริ้มครางเสียงดังขึ้น ดูเหมือนว่าใกล้จะถึงจุดแล้ว ผมจึงขยับมือลงมากอบกุมท่อนเนื้อเล็กไว้แล้วก็ชักรูดขึ้นลง เขาขยับตัวมาด้านหน้าแล้วกุมมือผมไว้อีกที พร้อมกับสะโพกที่ขยับขึ้นลงแรงขึ้น

“ตองหนึ่ง อือ”

“อึก อ๊ะ อือ อื้อ!” ผมเด้งสะโพกสวนขึ้นไปเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งตองหนึ่งก็หยุดขยับและเกร็งตัวปล่อยออกมาใส่มือผม

เขาตาปรือมองผมแล้วก็ซวนซบลงมาที่แผ่นอกของผมพลางหอบหายใจไปด้วย ผมก็อยากให้ตองหนึ่งพักซักนิดนะ แต่ตัวผมมันจะไม่ไหวแล้ว เป็นฝ่ายที่ถูกทำมันก็ดีแต่ผมชอบที่จะทำให้หนึ่งรู้สึกดีมากกว่า

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วกดสะโพกตองหนึ่งลงมาอีกครั้ง จนคนที่เพิ่งเสร็จไปหมาดๆ ร้องเสียงหลง หลังจากนั้นผมก็ใช้ทั้งสองมือจับเอวหนึ่งไว้มั่น บังคับให้ขยับขึ้นลงอย่างเร็ว พร้อมกับที่ผมเด้งสะโพกสวนขึ้นไปด้วย

“อืม หนึ่งครับ”

หนึ่งครางและหอบหายใจอยู่ข้างใบหูผม เสียงแหบเซ็กซี่ดังอยู่ใกล้หูยิ่งทำให้ผมเร่งเด้งสะโพก อยากได้ยินมากกว่านี้ อยากจะฟังมากกว่านี้ อยากทำให้ร้องมากกว่านี้

“อ๊ะ หวา! อ๊า จะเสร็จ..อะ” ผมรีบดันตัวตองหนึ่งนอนลงกับเตียงอีกครั้ง รีบจับขาทั้งสองข้างขึ้นพาดบ่าและขยับสะโพกทันที ไม่นานตองหนึ่งแอ่นตัวขึ้นแล้วปล่อยน้ำรักออกมาอีกรอบ ผมรีบเร่งจังหวะ ขยับเอวเข้าไปอีกแค่พักเดียวผมก็ปลดปปล่อยออกไปในช่องทางนิ่มๆ ของตองหนึ่ง

ผมก้มมองตองหนึ่งที่นอนแผ่หลาหอบหายใจอยู่ ดวงตาที่ฉ่ำและแพขนตาหนาที่ถูกเกาะด้วยน้ำตา แก้มแดงก่ำ ไม่รู้เป็นว่าเพราะเลือดกำลังสูบฉีดดีหรืออายกันแน่ ปากเจ่อสีแดงเรื่อเพราะโดนผมตะโบมจูบไปหลายครั้ง รอยจูบสีแดงอ่อนเป็นทางลงมาตั้งแต่คอจนถึงสะโพก ผิวขาวเนียนก็เปียกไปด้วยเหงื่อจนดูมันวาวไปหมด

ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมาอีกรอบ เจ้าหนูที่ยังคงอยู่ในรูแคบนิ่มๆ ของตองหนึ่งเริ่มพองตัวและขยับขยายขึ้น ตองหนึ่งมองมาที่ผมแล้วทำปากหวอตาโต ผมยิ้มและหัวเราะเล็กน้อยแล้วก็เริ่มขยับเอวอีกครั้ง  ตองหนึ่งเริ่มครางแผ่วๆ และก็ตอดรัดผมเป็นอย่างดี ผมเงยหน้าซี๊ดปาก  จับขาตองหนึ่งลงจากบ่า พลิกร่างเล็กๆ นั่นให้นอนคว่ำและยกสะโพกขึ้นสูงจนอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ผมดันแท่งเนื้อเข้าไปใหม่แล้วก็เริ่มขยับ

“ยังไหวอยู่ใช่มั้ยครับ?”

“ว...ไหว อ๊ะ! ท่านี้ อะ...ลึก อะๆ”

ผมไม่ได้ขยับแรงเร็วแต่ค่อยดันเข้าไปลึกๆ แล้วดึงออกช้าๆ สองมือก็ลูบไปทั่วแผ่นหลังขาว เห็นแล้วอยากทำให้เป็นรอยซัก2-3รอย  ผมก้มตัวลงแล้วใช้ริมฝีปากและฟันขบเม้มจนเป็นรอย บริเวณต้นคอด้านหลังและหัวไหล่ก่อนจะยืดตัวขึ้นมาดูอย่างพอใจ สะโพกก็ขยับไม่หยุด รักษาจังหวะเอาไว้

ตองหนึ่งส่ายหน้าไปมาหลังจากนั้นก็ปลดปล่อย น้ำสีขาวขุ่นหยดลงบนผ้าปูที่นอน จนเป็นดวงไปหมด เขาเชิดหน้าแอ่นตัวเกร็งอย่าสุขสมอยู่ซักพักจนปลดปล่อยออกมาหมด แขนทั้งสองข้างที่เท้าอยู่กับที่นอนก็หมดแรงจนหน้าทิ่มลงไปกับเตียง

“อ๊ะ! พี่นัท อืม...ช้าก่อน”

ผมใช้สองจับสะโพกหนึ่งไว้แล้วดึงเข้าหาตัวช้าๆ แล้วก็เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น คนที่ตัวเล็กที่เพิ่งเสร็จไปหมาดๆ ก็กลับมาครางระงมอีกครั้ง ผมขยับสะโพกช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันไป ตองหนึ่งส่ายหน้าไปมา ปากก็บอกให้ผมช้าลงหน่อย เห็นแบบนั้นแล้วมันน่าแกล้ง ผมเลยขยับเข้าไปจนลึกและพยายามให้โดนกับจุดกระสันของตองหนึ่งเน้นๆ

“ช้าแบบนี้ดีมั้ยครับ?”

“อ๊าๆ  ต...ตรงนั้น อะ เสียว เสียวมากเลย” ตองหนึ่งร้องครางและแอ่นสะโพกให้ผมทำอย่างถนัด ผมบีบขยำแก้มก้นนุ่มๆ อย่างมันมือ เห็นมันเป็นรอยแดงจากการขยำก็หมันเขี้ยว ผมเลยฟาดลงไปทีนึง

ตองหนึ่งร้องเสียงดังแล้วก็ถึงจุดสุดยอดไปอีกครั้ง ตองหนึ่งเกร็งตัว และตอดรัดท่อนเนื้อของผมถี่ยิบ ผมกระแทกสะโพกเน้นๆ อีกพักนึงก็ปลดปล่อยตามหนึ่งไป

“อืม อือ อื้อ! พี่ครับ อืม”

ตองหนึ่งครางออกมาเพราะผมค่อยๆ ดึงตัวออก น้ำขาวขุ่นจำนวนมากไหลตามออกมาเป็นทาง ผมจ้องช่องทางสีสดที่มีน้ำรักของผมไหลออกมาเขม็ง ผมแยกขาตองหนึ่งออกและยกสะโพกขึ้นเพื่อที่จะดูให้เต็มตา ช่องทางสีสดที่เริ่มบวมแล้วมีคราบน้ำขาวๆ  เปรอะเต็มไปหมด อีกทั้งยังคงขมิบเป็นจังหวะอยู่ เห็นแล้วมันก็กระตุ้นอารมณ์ผมอีก เจ้าน้องชายที่ก่อนหน้านี้อ่อนตัวลงไปแล้ว ก็กลับมาปึ๋งปั๋งอีกครั้ง อยากจะทำอีกแต่คนตัวเล็กดูเหนื่อยล้าอ่อนปวกเปียกไปหมด

“รักนะครับ รักตองหนึ่ง” ผมหอมแก้ม กดจูบบนต้นคอย้ำๆ ซ้ำๆ คนตัวเล็กหันมาหาแล้วส่งยิ้มให้ แก้มกลมแดงก่ำน่าเอ็นดู

“ท...ทำอีกก็ได้นะ” เขาจับไปที่แก่นกายของผมแล้วรูดรั้งจนมันขยายตัวเต็มที่

“ไม่เหนื่อยเหรอ?”

“ผมไหว...ผมอยากทำ อืม”

ผมจับตัวตองหนึ่งให้นอนตะแคงข้างดีๆ  หยิบหมอนมารองต้นคอให้ ส่วนผมก็ลงไปนอนซ้อนหลังอีกที

“ท...ท่านี้” ตองหนึ่งพิงตัวกับผมจนก้นนิ่มถูกับท่อนเนื้อของผมอย่างจัง คนตัวเล็กนิ่งและเงียบลง แก้มกลมแดงระเรื่อและเม้มปากแน่น ผมหัวเราะเบาๆ กับทาทางนั่น จากนั้นก็ก้มลงจูบไปทั่วแก้ม และต้นคอ มือก็ยกขาตองหนึ่งขึ้นข้างนึง นำมาพาดไว้กับขาของผม แล้วก็ใช้มือเดิมนวดคลึงไปที่แท่งเนื้อของตองหนึ่งให้แข็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“อืม” ผมครางในลำคอ ซุกใบหน้าลงบนกลุ่มผมนุ่มแล้วขยับสะโพกเข้าหาทีละน้อยๆ

“อืม พี่นัทพรุ่งนี้พี่จะหยุดร้านมั้ย?”

“ครับ? ก็อยากจะหยุดนะ วันหยุดแบบนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไร เปิดไปก็คงได้ไม่คุ้มเสีย ”

“...อึก งั้นหยุดนะ วันหยุดนี้เราจะใช้เวลาด้วยกันเยอะๆ ทดแทนเวลาที่เสียไป...” เขาอ้อน ดึงมือไปจูบแล้วกอดเอาไว้ในขณะที่ผมดันตัวเข้าไปลึกขึ้น

“ตกลงครับ ใช้เวลาด้วยกันเนอะ” ผมสอดแท่งเนื้อร้อนของผมเข้าไปในตัวตองหนึ่งจนสุดแล้วค่อยเริ่มขยับและมือกดหน้าท้องของตองหนึ่งไว้แล้วก็เพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น คนตัวเล็กครางระงม แอ่นก้นเข้าหาและเกี่ยวขาผมเอาไว้ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเลยเชียว

“อืม...งั้นเอาถุงยางอีกกล่องออกมาใช้กันนะครับ”

“หึหึ เด็กลามก”

...

..

.

“พี่นัท ผมง่วง…” ตองหนึ่งพูดเสียงเบา แล้วก็ทิ้งตัวเอนหัวซบลงกับไหล่ผม

“พี่กำลังอาบน้ำให้ไง หนึ่งจะได้สบายตัวไงครับ” ผมใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดไปตามเนื้อตัวของตองหนึ่ง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ เราทำกันไปหลายรอบ ทั้งเหงื่อทั้งคราบน้ำรักจึงเต็มตัวไปหมด ผมก็เลยอุ้มตองหนึ่งที่หมดแรงไปแล้วมาอาบน้ำให้ ที่ทำกันไปมันอาจจะเกินลิมิตของตองหนึ่ง แต่มันเต็มอิ่มกับร่างกายและจิตใจของผมมากๆ  เลย พอร่างกายที่อัดอั้นมาตลอดหนึ่งเดือนได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ อารมณ์ผมตอนนี้มันเลยชื่นมื่นสุดๆ

ผมยิ้มเมื่อเห็นตองหนึ่งครางอื้ออึงอยู่ข้างๆ หู และใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงปัดมือผมออกเมื่อผมเลื่อนมือลงไปเช็ดตรงส่วนล่างให้ ปากก็บ่นว่าพอแล้วๆ  ทีตอนยั่วล่ะเก่งนัก ตอนนี้เลยหมดแรงแบบนี้ไง ผมกดสบู่มาถูไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มของตองหนึ่ง แล้วก็ล้างน้ำออกให้ มีพิสูจน์เล็กน้อยว่าสะอาดทุกซอกทุกมุมรึเปล่า?

“ผมง่วงอ่า…”

ตองหนึ่งพูดท้วงตาปรือตอนที่ผมเผลอบีบไปตามสะโพกอีกครั้ง  ผมหยุดมือ และพาตองหนึ่งขึ้นจากอ่าง พอทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อตัวตองหนึ่งออกมา  ผมจัดการเช็ดตัว เช็ดผมและใส่เสื้อผ้าให้จนครบก็อุ้มมานอนต่อบนเตียง ผมดึงผ้าปูที่เลอะออกไปแล้ว เตียงตอนนี้จึงสะอาดและน่านอน ผมปิดนาฬิกาปลุก ที่กำลังจะส่งเสียงในอีกไม่ถึงสิบนาทีนี้ อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วและเพื่อป้องกันแสงรบกวนตอนในเช้า ผมจึงเดินไปปิดม่านใหญ่ภายในห้องให้หมด หลังจากนั้นก็กลับมานอนกอดตองหนึ่ง ผมห่มผ้าและดึงตองหนึ่งหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอนเข้ามากอด

ผมนอนมองใบหน้าหน้าน่ารักผ่านความมืด ในหัวใจของผมตอนนี้มีแต่คำว่ารัก รัก รัก อยู่เต็มไปหมด รู้สึกเสียดายเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมเอาแต่โกรธ และกลัวความเจ็บ จนทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปหลายอย่าง ผมขยับเข้าใกล้ตองหนึ่งก้มลงไปจูบปากเบาๆ  ผมกะว่าจะหยุดแค่นั้น แต่เห็นแก้มป่องๆ แล้วมันหมันเขี้ยวก็เลยฟัดไปข้างละสองฟอด

“อื่อ พี่นัท ผมง่วง...” ตองหนึ่งปรือตาขึ้นมาบ่นผม คิ้วขมวดเล็กน้อย ผมเลยจุ๊บๆ ไปเบาๆ ตรงหัวคิ้ว

“พี่รักตองหนึ่งนะครับ”

ผมมองหน้าตองหนึ่งแล้วยิ้ม คนที่อยู่อ้อมกอดผมพยักหน้าแล้วก็หลับตาลง วาดแขนมากอดเอวผมไว้หลวมๆ

“ผมก็รักพี่…รักที่สุดเลย”


 

 
ทุกคนเตรียมตัวนะคะ...เตรียมตัวต้องรับความหวานไงงง
เอาให้หวานหยดจนมดขึ้นมดไต่กันไปเลยจ้า ร้องไห้กันมาเยอะเลยเนอะ ต่อจากนี้เวลาอ่านก็ขอให้ยิ้มกว้างๆ ไปเลย หรือหากอ่านในที่สาธารณะก็แอบยิ้มมุมปากกันไปนะคะ
ขอให้เรื่องราวของพี่นัทและตองหนึ่งสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนนะ

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
เพราะตองหนึ่งรักพี่นัทมากจริงๆ ถึงได้ลงเอยด้วยดีแบบนี้

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
28 : กลิ่น strawberry


ตองหนึ่งs’ part

“เอาไข่ลวกเพิ่มอีกฟองมั้ยครับ?” พี่นัทยิ้มหน้าระรื่นและชูไข่ไก่ในมือขึ้น พร้อมกับหันมาถามผมที่ยังคงนั่งจมอยู่กับเตียง

พอผมลืมตาตื่นมาก็ปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว พี่นัทก็รีบยกอาหารจำพวก เนย นม ขนมปัง มาเสิร์ฟยันเตียงเลยทีเดียว

“ไม่เอาแล้วครับ พี่จะให้ผมกินอะไรเยอะแยะ แค่สองฟองผมก็อิ่มแล้ว นมถั่วเหลืองนี่อีก ผมกินไม่หมดจริงๆ นะครับ” ผมวางแก้วนมที่เหลืออยู่เต็มแก้วลง ผมกินไม่ไหวแล้วจริงๆ  นอกจากไข่ลวกแล้วก็ยังกินขนมปังทาเนยไปสามแผ่น แถมพี่นัทยังบังคับให้กินนมอีกสองแก้ว จะขุนกันไปถึงไหน แค่นี้ก็ใส่เสื้อผ้าตัวเก่าไม่ได้แล้วครับ

“ก็เมื่อคืนพี่ทำหนึ่งเพลียมาก พี่รู้สึกผิดก็เลยต้องบำรุงกันหน่อย หนึ่งรู้มั้ยครับ ไข่ลวกเนี่ยทำให้น้ำอสุจิแข็งแรง ส่วนนมถั่วเหลืองทำให้หนึ่งมีน้ำอสุจิเยอะขึ้น”

“...” ผมนั่งปากหวอฟังพี่นัทอธิบาย รู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าวๆ

“หนึ่งต้องกินเยอะๆ นะครับ เวลาเราทำกัน ร่างกายของหนึ่งจะได้ผลิตน้ำอสุจิทัน แล้วก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ dry orgasms แบบเมื่อคืนอีก” (dry orgasms คือสภาวะการถึงจุดสุดยอดแต่ไม่หลั่ง เกิดจากร่างกายผลิตน้ำอสุจิไม่ทัน)

ผมอ้าปากกว้างกว่าเดิม อยากจะตะโกนใส่พี่นัทแต่เสียงไม่อำนวย เมื่อคืนผมรู้จักความรู้สึกของ dry orgasms ครั้งแรกในชีวิต ผมได้แต่กัดฟันรับความอาย แต่จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อคืนผมคึกมากไปหน่อย...ก็ผมคิดถึงเขา

“พี่อย่าล้อผม” ผมมุดหน้าเข้าผ้าห่มเพื่อกลบแก้มแดงๆ ของตัวเอง ได้ยิ่งเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายผมก็ยิ่งอาย

“เป็นอะไรไปครับ ยิ่งทำแบบนั้นพี่ยิ่งอยากแกล้งนะ” พี่นัทเดินมานั่งที่เตียงข้างๆ ผม แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บ พร้อมทำหน้าทะเล้น ตั้งท่าว่าจะแกล้งผมอีก

“พอแล้วพี่นัท หยุดแกล้งผมเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องมาแตะตัวผมเลย” ผมดันหน้าพี่นัทให้ออกห่าง เห็นหน้ายิ้มล้อๆ ของพี่นัทแล้วมันหงุดหงิด ทั้งอายทั้งหงุดหงิด พี่นัทยิ้มและขยับมาใกล้ๆ  ขโมยหอมแก้มผมไปอีกฟอดหนึ่งด้วย

“อุ๊ย! แตะไปแล้วอ่ะ” พี่นัทพูดแล้วทำตาโต หน้าเหวอ แบบนี้มันแสแสร้งแกล้งผมนี่หว่า

“หยุดเลย” ผมใช้มือฝาดลงไปที่ไหล่พี่นัท คนที่ทำหน้าตากวนประสาทผมอยู่เอี้ยวตัวหลบและคว้ามือไปจูบตรงหลังมือจนผมต้องรีบชักกลับมา

“โอ๊ะ! พี่เผลอแตะไปอีกแล้วอ่ะ”

“...” ผมเปลี่ยนมานั่งเงียบๆ  นิ่งๆ  พี่นัทก็จับตามแก้มตามแขน ผมก็ไม่ปัดออก จนพี่แกดึงผมเข้าไปกอดแล้วเอาแก้มมาถูกับแก้มผม ตัวใหญ่อย่างกับหมี แต่มามาถูคลอเคลียเป็นแมวเลยนะพี่นัท

“5555 งอนพี่เหรอครับ งอนทำไมอ่ะ?” ยังจะมาถามอีก ผมดันพี่นัทออก แต่มือพี่แกก็เหนียวซะเหลือเกิน

“พี่นั่นแหละ! ล้อผมอยู่ได้ แกล้งให้ผมหงุดหงิดมันสนุกมากรึไงครับ?” พี่นัทเขาอยากให้ผมทำหน้าบึ้งมากรึไง ถึงได้เอาแต่ล้อ เอาแต่แกล้ง เอาแต่กวนประสาทผมแบบนี้อยู่เรื่อยอ่ะ!

“ก็หนึ่งน่ารัก พี่เลยอยากแกล้งไง” พี่นัทพูดแล้วก็ถูแก้มขึ้นลงๆ

“พี่ไม่ต้องแกล้งผมมากก็ได้นะ ถึงพี่ไม่แกล้งผมก็น่ารักอยู่แล้ว”   เป็นไงล่ะ มีความหลงตัวเองเบาๆ

“โถ่~ ถ้าไม่พี่แกล้งแฟนตัวเอง แล้วจะให้พี่แกล้งใครล่ะครับ เนอะ~” พี่นัทขยับตัวพิงหัวเตียงแล้วก็ถึงตัวผมให้ขึ้นไปนั่งตัก ใช้มือทั้งสองข้างโอบเอวผมไว้หลวมๆ

“พี่ก็อย่าแกล้งผมเยอะสิครับ” พี่นัทหัวเราะเบาๆ  แล้วก้มลงจูบที่หน้าผากของผม

“เมื่อยตัวมั้ยครับ? เดี๋ยวพี่นวดให้” พี่นัทพูดพร้อมกับบีบเบาๆ ไปตามท่อนแขน ผมพยักหน้า พี่นัทก็เลยถอดแว่นวางไว้ตรงหัวเตียงและดันตัวผมลงจากตักแล้วก็จับให้นอนคว่ำลงกับเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มที่ผมใช้คลุมตัวไว้ออกไป

“นวดอย่างเดียวนะครับ” ผมพูดดักทางไว้ก่อน ดึงผ้าห่มออกแบบนี้ รู้เลยว่ามีแผนแน่ๆ

“...นวดอย่างเดียวก็ได้ครับ” ผมมองพี่นัทด้วยหางตาเล็กน้อย แล้วก็หลับตาลงเมื่อพี่นัทเริ่มบีบนวดไปตามเอวและสะโพกของผม

แรงมือของพี่นัทที่บีบไปตามตัวผมนั้นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากๆ  ไม่ต้องมีน้ำมัน หรือกลิ่นอโรม่าอะไรทั้งนั้น แค่มือของพี่นัทคู่เดียวทำเอาผมเคลิ้มแทบจะหลับได้เลย

แต่เคลิ้มได้ไม่นานก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อุ่นๆ และชื้นแตะไปตามแผ่นหลังไปจนถึงสะโพกและต้นขา ผมลืมตาแล้วเอี้ยวตัวมอง เห็นพี่นัทกำลังใช้ริมฝีปากแตะไปตามผิวของผม

“ไหนบอกว่าแค่นวดอย่างเดียวไงครับพี่นัท” พี่นัทเงยหน้ามองผมแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“ก็นวดตามแบบฉบับของพี่มันต้องใช้ปากด้วยไงครับ”

“กะล่อนจังเลยนะ ผมไปอาบน้ำดีกว่าครับ”

“อ้อ ได้ครับ” ผมขยับตัวลุกขึ้น พี่นัทก็ขยับตัวออก เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินนำเข้าห้องน้ำไป ผมยังยืนงงอยู่หน้าเตียงที่เดิม ผมบอกว่าตัวผมจะอาบน้ำ แล้วพี่นัทเขาเดินเข้าไปทำไม ผมยืนคิดได้แปปเดียว พี่นัทก็ยื่นหน้ามาตาม

“ตามเข้ามาสิครับ หนึ่งจะอาบน้ำไม่ใช่เหรอ”

“แล้วพี่จะเข้าไปทำไมครับ?”

“เดี๋ยวพี่จะขัดหลังให้ไง พี่ได้เกลืออาบน้ำกลิ่นใหม่มา ขัดแล้วหอม ผิวใสแน่นอนครับ” พี่นัทพูดแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ

ผมก็อยากปฏิเสธนะ แต่ว่ามีคนขัดหลังให้ตอนอาบน้ำมันก็ดีนี่ครับ ผมก็เลยตัดสินใจเดินตามเข้าไป

ผมกับพี่นัทใช้เวลาอยู่ในห้องนานนานมาก เกือบหนึ่งชั่วโมงได้เลยมั้ง ขัดหลังเสร็จแล้วก็แช่นานอุ่นๆ ตามมาด้วยบริการนวดอีกเล็กน้อย สระผมให้ด้วย หลังจากแช่น้ำจนตัวเปื่อยแล้ว พี่นัทก็ห่อผมด้วยผ้าขนหนู พามาแต่งตัวหน้าตู้ รู้สึกราวกับว่า ตัวเองกลับไปเป็นเด็กแล้วนั่งนิ่งๆ ให้พ่ออาบน้ำและแต่งตัวให้

“ไม่มีเสื้อผ้าของหนึ่งเลยอ่ะ” พี่นัทเปิดตู้เสื้อผ้าใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองจนเรียบร้อยแล้วก็มองหาเสื้อให้ผม

“ก็ตอนนั้นพี่นัทเอาชุดผมทิ้งไว้หน้าตู้ ผมก็เลยเก็บชุดของตัวเองกลับไปหมดแล้ว” ผมก็พูดบอกพี่นัทด้วยน้ำเสียงธรรมดาไม่ได้คิดอะไร แต่พี่นัทคงจะคิดมากเพราะเขาเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา พอหันไปมองก็เห็นว่าพี่นัททำหน้าเศร้าอยู่

“พี่ขอโทษนะครับ พี่ใจร้ายกับหนึ่งมากเลยใช่มั้ย?” พี่นัทไหล่ตกพูดเสียงเบาๆ  แล้วก็ขยับเข้ามากอดผม

“ใช่ พี่นัทใจร้ายกับผมมาก แต่ผมทำให้พี่นัทเป็นแบบนั้นเอง ผมเข้าใจครับ พี่นัทไม่ผิดหรอก”

“พี่ขอโทษ ตอนนั้นพี่ไม่ฟังหนึ่งเลย” พี่นัทกอดผมแน่นขึ้น ผมเลยลูบหลังพี่นัทแล้วก็พูดปลอบพี่นัท

“มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้เราดีกันแล้วนี่ครับ”

“พี่ยังรู้สึกผิดอยู่เลย เหวอ!” ผมดันพี่นัทออกแล้วก็กระโดดกอดคอแล้วก็เอาขาเกี่ยวเอวพี่นัทไว้ พี่นัทที่ยังไม่ทันตั้งตัวอุ้มผมแทบไม่ทัน ตัวผมเองก็เกาะและเกี่ยวพี่นัทไว้แน่นเหมือนกัน เมื่อกี้แอบหวั่นใจนิดหน่อยกลัวพี่นัทจะอุ้มไม่ทัน แล้วผมคงได้หงายหลังหัวฝาดพื้นแน่ๆ

พอมั่นใจว่าพี่นัทอุ้มไว้แล้วผมเกาะแน่นจนไม่ตกแน่นอนแล้ว ผมก็เอาหน้าผากของตัวเองชนกับหน้าผากของพี่นัท

“ถ้าพี่รู้สึกผิดไม่หาย ต่อจากนี้ พี่ก็แกล้งผมให้น้อย ตามใจแล้วก็ใจดีกับผมให้มาก แล้วก็รักผมหลงแต่ผมคนเดียวสิครับ”

“หึหึ ตอนนี้ก็ทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” พี่นัทขยับตัวผมให้อุ้มได้ถนัดขึ้นแล้วก็จูบมาที่ริมฝีปากและผละออกไปยิ้มละมุนให้

“ส่วนผมก็ยังรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เราทะเลาะกัน ต่อจากนี้ผมจะรักและมีแต่พี่นัทคนเดียวไปตลอดเลยครับ”

“สัญญานะครับ ถ้าหนึ่งทิ้งพี่ไปจริงๆ  พี่คงขาดใจตาย ไม่รู้ว่าจะไปหาเมียน่ารักๆ แบบนี้ที่ไหนได้อีก”

ผมเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วอมยิ้ม เม้มปาก แก้มทั้งสองมันเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อได้ยินพี่นัทเรียกผมว่าเมียได้เต็มปากเต็มคำมาก บวกกับรอยยิ้มละมุนและสายตากรุ้มกริ้มยิ่งทำให้ผมโคตรจะเขินจนต้องมุดหน้าลงกับไหล่พี่นัท ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินพี่นัทเรียกแบบนั้นมาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ดาเมจมันแรงกว่าครั้งก่อนๆ จนผมเขินม้วนไปหมด

พี่นัทดันผมให้พิงกับประตูตู้เสื้อผ้าที่ปิดสนิทแล้วจับขาผมให้เกี่ยวเอวพี่นัทแน่นๆ  พร้อมทั้งเบียดตัวเข้ามา เขาเลียริมฝีปาก กัดปากล่างแล้วยิ้ม อีกทั้งจ้องตาผมด้วยสายตาที่โคตรจะดูเร่าร้อน และผมก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่า ผ้าขนหนูผืนเดียวที่ผมมีนั้น มันล่วงไปกองกับพื้นตั้งแต่ที่ผมกระโดดเกาะพี่นัทแล้ว

“ตอนแรกก็คิดว่าจะพาไปข้างนอก แต่ตอนนี้หนึ่งน่ารักจนพี่อยากจะเปลี่ยนความคิดแล้วสิ”

“ต...แต่ผมอยากออกข้างนอก ปะ...ไปเที่ยวบ้าง...อื้มม” ผมพูดไม่ทันจบพี่นัทก็ประกบปากและสอดลิ้นเข้ามา เกี่ยวไล้ไปทั่วทั้งโพรงปาก ผมขยับตัวเกาะพี่นัทแน่นขึ้น มือก็ขยำจนคอเสื้อเขายับ พี่นัทผละออกเพื่อดูดริมฝีปากล่างของผมและเบียดตัวเข้ามาจนผมแทบจะแบนไปกับตู้ พี่อุ้มผมด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือนึงนั้นก็ลูบขึ้นมาที่หน้าอกแล้วคลึงไปมา ผมร้องครางในลำคอเพราะยังยอดอกผมยังระบมจากเมื่อคืนอยู่เลย พี่นัทผละหน้าออกแล้วเลียริมฝีปากตัวเอง

“เดี๋ยวพี่พาไปเที่ยวสวรรค์ไงครับ”

จุ๊บ!

พี่นัทยื่นหน้ามาจะจูบที่ปาก แต่ผมหันหนี ปากพี่นัทเลยจุ๊บลงที่แก้มผมแทน พี่นัทหัวเราะในลำคอแล้วก็เม้มปากไปตาม สันกรามและลำคอของผม

“พี่ครับ ผมยังเจ็บอยู่เลย ทำไม่ไหวแล้ว”

“เดี๋ยวพี่จะทำเบาๆ”

“อื้อพี่เพิ่งจะบำรุงผมไป พี่ก็จะใช้แรงผมเลยเหรอครับ”

“ไม่อยากทำจริงๆ เหรอครับ ไม่คิดถึงพี่เหรอครับ” พี่นัททำหน้าตาออดอ้อน แล้วก็เอาหน้ามาคลอเคลียตามแก้มและซอกคอ

“คิดถึงสิครับ แต่เมื่อคืนพี่เล่นทำซะผมหายคิดถึงเลย” พี่นัทยังคงไม่เลิกเกลี่ยกล่อมผม แค่คำพูดไม่พอ มือข้างที่ไม่ได้รัดตัวผมไว้ก็คอยลูบคอยคลึงยอดอก แถมยังขยับสะโพกเข้าหาตัวผมเป็นจังหวะอยู่ตลอดอีกด้วย

“แต่พี่ยังไม่หายคิดถึงหนึ่งเลยนะครับ นะ~ ขออีกรอบเดียวนะ” พี่นัทขยับออกแล้วอุ้มผมไปนอนที่โซฟาแทน แล้วแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาผมอย่ารวดเร็ว ไม่ใช่ว่าผมหวงตัวอะไรหนักหนาหรอกครับ แต่มันยังระบมอยู่จริงๆ  แล้วเมื่อคืนพี่นัทเล่นรีดน้ำผมออกจนน้องชายน้อยๆ ของผมหลับแบบปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่นแบบนี้

“อะ..อย่า พี่นัท…” ผมดันหัวพี่นัทออก เมื่อพี่แกก้มลงเลียตรงยอดอกผม ผมก็ได้แค่ดันออก ไม่กล้าทำแรง กลัวพี่นัทจะเจ็บ แต่ถึงจะไม่เจ็บพี่นัทก็คงรำคาญ เพราะพี่เขารวบข้อมือทั้งสองข้างผมไปยึดไว้เหนือหัว แล้วใช้อีกมือที่ว่าง ช้อนสะโพกผมขึ้นพร้อมกับที่พี่นัทขยับตัวเข้ามา ผมหน้าแดงขึ้น พูดไม่ออก เมื่อสัมผัสได้ว่า พี่นัทมีอารมณ์จนส่วนนั่นมันจิ้มก้นผมอยู่...ไม่รอดแน่ๆ เลยผม

“อืม เนื้อตัวของหนึ่งมันนุ่มมือไปหมด พี่ชอบมากเลยครับ” พี่นัทเงยหน้ามาพูดแล้วก็ก้มลงไปงับตามตัวผมเบาๆ

“อือ...หยุดก่อนพี่นัท”

พี่นัทปล่อยมือผมออก แล้วใช้ทั้งสองมือใหญ่ลูบไปทั่วลำตัวผม เมื่อมือของผมไม่ได้โดนยึดอยู่ ผมก็กลับมาดันตัวพี่นัทออก พี่นัทยืดตัวขึ้นเตรียมที่จะถอดเสื้อตัวเองออก ผมรีบจับมือพี่นัทไว้ พี่นัทยิ้มแล้วเปลี่ยนมาจูบที่มือผมแทน แล้วก็จูบสลับกดจมูกลงกับผิวของผมไล่ลงมาเรื่อยๆ ตามแขน

“หอมจัง ตัวหนึ่งเป็นกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ด้วยครับ น่ากินมากๆ เลย พี่ชอบสตรอว์เบอร์รี่ พี่อยากกินสตรอว์เบอร์รี่ลูกนี่จังเลยครับ”

“ฮือ พี่นัท แต่ตอนนี้สตรอว์เบอร์รี่ลูกนี้ยังไม่สุกนะครับ กินตอนนี้ไม่อร่อยหรอก อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่านะครับ” ที่ตัวผมเป็นกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ก็เพราะว่าเกลือขัดตัวที่พี่นัทซื้อมาใหม่เป็นกลิ่นนั้น แล้วผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จกลิ่นก็เลยติดตัวอยู่ ผมมองพี่นัทที่เอาแต่ยิ้มแล้วกดจมูกดมไปผิวของผม

“งั้นขอชิมหน่อยนะครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ถอยตัวออก แยกขาผมออกจนกว้าง แล้วเตรียมจะก้มหน้าไปตรงส่วนนั้น

“หวา!! ไม่ได้พี่นัท!” ผมร้องเสียงหลง  ลุกขึ้นแล้วจับหน้าของพี่นัทไว้

“โธ่ ทำไมเล่นตัวจัง ขอพี่ชิมหน่อยนะครับ คนดี นะ” พี่นัทพูดเสียงอ่อน ทำหน้าตาออดอ้อน โธ่พี่นัท ผมไม่ได้เล่นตัว แต่ไม่มีอารมณ์จริงๆ นี่นา ถ้าปกตินะ ป่านนี้ผมยอมพี่นัทไปแล้ว แต่ตอนนี้พี่นัททั้งจูบทั้งลูบ นกเขาผมยังไม่ขันเลยครับ

“วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆ ครับ ไว้วันหลังนะ วันนี้ไปเที่ยวกันเถอะครับ”

“หนึ่งไม่ไหวจริงๆ เหรอ พี่อุตส่าบำรุงไปตั้งเยอะนะ”

“โธ่ พี่นัทบำรุงแค่มื้อเดียวเองครับ ผมจะไปไหวได้ยังไง จริงมั้ยครับ? หลังจากนี้พี่นัทก็บำรุงผมทุกวัน ผมจะได้พร้อมทุกเมื่อเพื่อพี่เลยครับ” ผมพยายามหว่านล้อมให้พี่นัทหยุด พี่นัทก็รับฟังหยุดขยับเอวใส่ผม  แต่มือก็ยังลูบอยู่ที่ต้นขาของผมอยู่

“...” พี่นัททำปากจู๋ แต่ก็ยอมปล่อยตัวผมออก แล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่กองอยู่กับพื้นมาคลุมตัวผมให้ ผมถอนหายใจ ขอรักษาร่างกายให้หายระบม หายเมื่อยก่อน แล้วผมจะตามใจพี่นัท ไม่อิดออดเลยจริงๆ

“ไว้ครั้งหน้านะครับ ครั้งหน้าพี่นัทอยากให้ผมทำอะไร ผมทำให้ทุกอย่างเลย ยอมทุกอย่างเลยจริงๆ  ไม่งอแงแบบตอนนี้เลยครับ” พี่นัทที่กำลังคลุมผ้าให้ผมทำตาโต มองมาทางผม แล้วก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่โคตรเจ้าเล่ห์และดูมีแผนการสุดๆ  จนผมยังหวั่นใจว่าพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ทำไมพี่นัทยิ้มแบบนั้น

“ก็ได้ครับ แต่ต้องตามใจจริงๆ นะ พี่ให้ทำอะไรก็ต้องยอมนะ”

“เอ่อ...ครับ” รู้สึกเหมือนต้องให้โดนทำอะไรแปลกๆ และน่าอายมากแน่เลยครับ รู้สึกหวาดหวั่นในใจ

พี่นัทยิ้มกว้างแล้วก้มลงมาหอมแก้มผมทั้งสองข้างฟอดใหญ่ แล้วก็เดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า เพื่อหาชุดให้ใส่

“ใส่ชุดพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาไปเปลี่ยนที่ห้องหนึ่งอีกที” พี่นัทหยิบเสื้อกับกางเกงตัวใหญ่แล้วส่งมาให้ ผมรับมาแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย พอใส่เสร็จแล้วก็ลงไปนั่งข้างๆ พี่นัท

“พี่นัทจะพาผมไปไหนเหรอครับ”

“อืม...พี่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ อยากไปต่างจังหวัดอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เปิดร้านพี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลๆ เลย”

ผมพยักหน้าฟังพี่นัทพูด แต่สายตาก็ดันไปสะดุดตรงส่วนที่มันนูนเด่นขึ้นมาตรงเป้ากางเกง

“เอ่อ...” เมื่อกี้ผมจะถามพี่นัทว่าอะไรนะ ลืมไปแล้ว

“อย่ามองมากสิครับ พี่พยายามคิดเรื่องอื่นให้มันลงๆ ไปอยู่ หนึ่งจ้องแบบนี้ เดี๋ยวพี่ก็เปิดให้ดูซะเลยนี่” เพราะเอาแต่จ้องๆ  ผมพยายามที่จะละสายตาไปแล้วนะ แต่รู้สึกว่ามันเด่นจนผมเผลอมองอีกตลอด

“แหะๆ  ผมไม่มองแล้วครับ” ผมหันไปตามอื่นแล้วก็หัวเราะแก้เขิน พี่นัทเลยเอาหมอนมาปิดไว้ แล้วก็วาดมือโอบไหล่ผม

“หนึ่งอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” พี่นัทก้มลงมาถาม ผมยิ้มแล้วก็ตอบกลับไปทันที

“ที่ไหนก็ได้ที่มีพี่นัทครับ” เป็นไงล่ะ เสี่ยวมั้ยล่ะ

“มาอยู่ในใจสิ พี่พกติดตัวเลยครับ” อูว พี่นัทเสี่ยวกว่า ผมและพี่นัทหัวเราะออกมาก่อนที่พี่นัทจะรีบลุกขึ้น จนผมตกใจแล้วก็ลุกตาม

“มีอะไรเหรอครับ”

“พี่เพิ่งจะนึกได้ว่า เราซักผ้าแล้วตากไว้ เมื่อคืนฝนตกลงมาใหม่ พี่ยังไม่ได้เอามาซักใหม่เลยครับ มีชุดของหนึ่งอยู่ด้วยครับ” พี่นัทหยิบตระกร้าและเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ผมก็เดินตามพี่นัทขึ้นไป

พี่นัทเปิดประตูออก แดดสีส้มและสายลมยามเย็นก็กระทบตามร่างกาย พี่นัทเดินไปเก็บผ้าที่ตากไว้ แต่ผมยืนค้างอยู่ตรงประตูตามองไปที่ กระถางดอกไม้มากมายที่อยู่มีผ้าใบสีทึบกางบังแดดให้อยู่ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ  เป็นดอกไม้ทั้งหมดที่ผมซื้อมาให้พี่นัท ทุกต้นถูกเปลี่ยนกระถาง เปลี่ยนดิน และมีผ้าใบกางบังแดดให้เป็นอย่างดี

ผมนั่งแล้วมองดอกลิลลี่ที่บางดอกเริ่มเหี่ยวแล้ว เพราะสภาพอากาศที่นี่มันไม่เอื้อให้เติบโตได้อย่างสวยงาม ผมมองไปที่ดอกไม้ รู้สึกดีใจจนอยากร้องไห้ พี่นัทไม่ได้ทิ้งเลยแต่กลับขนขึ้นมาไว้บนดาดฟ้านี่ แถมดูแลให้ด้วย ถึงจะเหี่ยวไปบ้าง แต่ก็ไม่มีต้นไหนที่เฉาตายเลย

“ตื้นตันใจล่ะสิ” พี่นัทเดินมายืนข้างๆ แล้วก็บีบแก้ม ผมหันไปยิ้มให้แล้วก็กอดพี่นัทแน่น คนตัวสูงที่ตั้งตัวไม่ทันตั้งตัวเซเล็กน้อย แต่ก็หัวเราะออกมาและลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

“ผมนึกว่าพี่จะทิ้งไปหมดเลย”

“พี่ทิ้งไม่ลง...นึกถึงตอนที่หนึ่งต้องเดินอ้อมไปซื้อ แล้วก็อุ้มกระถางหนักๆ มาตลอดทาง แล้วพี่ก็ทิ้งไม่ลง”

“ผมรักพี่จัง”

“พี่ก็รัก รักมากๆ ด้วย และเพราะรักมากตอนนั้นเลยเจ็บมาก พี่คิดว่าตองหนึ่งทำแบบนั้นจริงๆ พี่เลยเจ็บแล้วก็ทรมาน เข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่อกหักจนอยากฆ่าตัวตายเลยครับ”

“พี่อย่าคิดสั้นสิ” ผมเงยหน้ามองพี่นัทแล้วกอดแน่นกว่าเดิม พี่นัทกอดผมแล้วก็ลูบหลัง

“พี่แค่เข้าใจไม่ได้หมายความว่าจะทำครับ ถ้าพี่คิดสั้นจริงพ่อคงยืนด่าพี่หน้าโรงศพแน่” ผมหัวเราะออกมาเมื่อพี่นัทยกมือขึ้นไปดึงหูตัวเองแล้วทำใบหน้าท่าทางเบื่อ

“ใช่ครับ ถ้าผมไม่รักพี่แล้วจริงๆ ก็มีคนที่รักพี่ตั้งเยอะ”

พี่นัทจูงมือผมไปนั่งตรงม้านั่งที่พี่นัทจัดไว้เป็นมุมนั่งเล่นบนดาดฟ้าตอนไม่แดด หรือตอนกลางคืน

“พี่ขอถามได้มั้ยครับ ทำไมหนึ่งต้องซื้อดอกไม้มาเยอะขนาดนี้? ดูสิ เยอะมากๆ เลย”

“ผมขอโทษนะครับที่ลืมคิดว่าอาจจะเอามาเป็นภาระของนัท ที่ให้ดอกไม้ก็เพราะว่าพี่นัทไม่ยอมรับคำขอโทษ ผมก็เลยให้ดอกไม้ขอโทษแทน พี่นัทไม่ยอมเชื่อว่าผมรักพี่นัทคนเดียวก็เลยให้ดอกไม้ช่วยยืนยัน”

“ยังไงเหรอครับ?”

“ก็ดอกไม้แต่ละชนิดมันมีความหมายนี่ครับ”

“เหรอ แล้วหนึ่งบอกพี่ผ่านดอกไม้ว่าอะไรบ้างครับ” พี่นัทเอนตัวพิงผมแล้วก็ถาม ผมมองดูพี่นัทที่นั่งยิ้มมองดอกไม้อยู่ ผมเอนหัวพิงไหล่พี่นัทแล้วก็พูด

“ดอกลิลลี่สีขาวที่ผมเอามาให้พี่เยอะๆ นั่นหมายถึงผมขอโทษ ขอโทษจากใจจริง ที่เป็นกลีบบานๆ นั่นคือดอกเบญจมาศ ผมฝากให้บอกพี่ว่า...ยกโทษให้ผมเถอะนะครับ”

“...” ผมแอบเหล่มองพี่นัทนิดหน่อย แต่พี่แกนั่งนิ่งแล้วก็ยิ้มอย่างเดียว ผมเลยพูดต่อ

“ดอกบานไม่รู้โรยคือผมตั้งใจจะบอกพี่ว่า ผมจะรักพี่นัทไปตลอด”

“.....” พี่นัทยิ้ม ผมเลยขยับตัวนั่งหลังตรง แล้วหันหน้ามองพี่นัท พี่นัทที่มองต้นไม้อยู่หันมามองผม ผมยิ้มบางๆ แล้วมองหน้าพี่นัทอย่างจริงจัง

“ส่วนดอกกุหลาบแดง คือผมตั้งใจจะบอกว่า ผมรักพี่คนเดียว...”

“...”

“...”

ผมกับพี่นัทต่างก็ยิ้มให้กัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา  จนพี่นัทละลายตาจากผม เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันกลับมามองผมอีก พี่นัทใช้ทั้งสองมือจับใบหน้าของผมไว้แล้วก็ก้มลงมาจนปลายจมูกของเราแตะกัน

“ทำไมน่ารักอย่างนี้เนี่ย จะทำให้พี่หลงไปถึงไหนครับ”

พี่นัทพูดแล้วก็ใช้ปลายจมูกโด่งๆ นั่นถูกับปลายจมูกผม

“ทีพี่ยังทำให้ผมรัก จนไม่รู้จะรักยังไงแล้วเลยนี่ครับ”

พี่นัทหัวเราะออกมา เรานั่งรับลมอยู่ที่ดาดฟ้าอยู่สักพัก แล้วก็เอาผ้าลงมาซักใหม่ รอจนเสร็จก็นำไปตากบนดาดฟ้า แล้วพี่นัทก็พาผมไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องพักของผม แต่พอไปถึงผมก็พบกับน้องชายของผม

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ ตองสอง”

ตองสองยกมือไหว้ พี่นัทก็ยิ้มให้ ตองสองหลีกทางให้เราสองคนเดินเข้าห้อง ผมลืมไปเลยว่าช่วงนี้มันเป็นช่วงวันหยุด ตองสองก็ต้องหยุดงานเหมือนกันนี่เนอะ

“สองกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

“เมื่อคืนนี่เอง เอ่อ...พี่เอาน้ำอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมหยิบให้”

“พี่ขอแค่น้ำเปล่าครับ” สองเดินไปเทน้ำเปล่า แล้วนำมาให้พี่นัทที่นั่งรออยู่ตรงโซฟา

ส่วนผมก็เดินไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่มาเตรียมใส่เสื้อผ้า ตาก็เหลือบไปเห็นพวกเครื่องครัวตรงระเบียง ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานผมออกไปทำงานแล้วไม่ได้ล้างจาน ผมวางกระเป๋าแล้วรีบเดินไปตรงระเบียงทันที  ปรากฏว่าจานชาม กะทะ ถูกล้างแล้วคว่ำไว้อย่างดี ส่วนคนที่จัดการล้างให้ก็ต้องเป็นน้องชายผมแน่นอน ผมยิ้มแล้วก็หันหลังกลับไปมองน้องชายตัวเอง

“ล้างจานให้พี่เหรอ ขอบใจนะ”

“พี่ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ ตอนอยู่บ้านผมไม่เคยเห็นพี่ทำเลย”

“เอ่อ...ก็เพิ่งหัดๆ ทำไม่นานนี่แหละ” ผมบอกแล้วก็เดินมาจะเก็บเสื้อผ้าต่อ แต่ตอนที่เดินผ่าน ผมได้ยินมันพึมพำเบาๆ  แต่ก็ดังพอให้ผมต้องหันกลับไปมองทันที

“อ่อ หัดทำเพื่อง้อแฟนสินะ” ผมหันไปมองตาเขียวปั๊ด แต่ไอ้สองก็แค่ยักไหล่แล้วเดินไปนั่งบนเตียง แต่ก็ยังส่งสายตาแพรวพราวมาล้อผมเป็นระยะๆ  ถนัดเขาล่ะเรื่องกวนประสาทหน้านิ่งเนี่ย ก่อนหน้านี้เวลาที่ผมเหงาผมก็โทรติดต่อตองสองบ้าง มันก็เลยรู้เรื่องของผมกับพี่นัท แต่มันก็รู้แค่ว่าผมกับพี่นัททะเลาะกันแค่เล็กน้อย

ผมเดินมานั่งหน้าตู้ ตองสองก็เดินไปนั่งเล่นแลปทอปบนเตียงต่อ ซักพักผมก็เห็นว่าพี่นัทกับตองสองคุยอะไรบางอย่างอยู่ ตองสองให้พี่นัทดูบางอย่างในแลปทอป แล้วพี่นัทก็หยิบโทรศัพน์ขึ้นมา แล้วก็มองมาทางผม พอสบตากัน พี่นัทก็หันกลับไปทันที

“ขอบใจมากที่แนะนำ”

“ไม่เป็นไรครับ แต่เว็บไซต์นี้ผมรับประกัน ปลอดภัยแน่นอนครับ”

ผมมองว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน พี่นัทยิ้มและตบบ่าตองสองเบาๆ เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากางเกงแล้วก็เดินมาช่วยผมเก็บเสื้อด้วย

“พี่คุยอะไรกันครับ”

“เรื่องของลูกผู้ชายครับ”

“ผมก็ผู้ชายนะ”

พี่นัทยิ้มและยักไหล่ใส่ไม่ยอมตอบ ผมเลยหันไปมองตองสอง แต่มันก็ยักไหล่ใส่ผมเเล้วก้มลงไปมองจอต่อ  ผมเลยเลิกสนใจ

พี่นัทเป็นคนยืนเลือกชุด ส่วนผมมีหน้าที่พับใส่กระเป๋าอย่างเดียว ซึ่งชุดที่พี่นัทเลือกส่วนใหญ่ก็เป็นชุดที่พี่แกซื้อให้นั่นแหละ นอกจากจะเลือกเสื้อและกางเกงแล้ว พี่นัทยังใจดีเลือกกางเกงในให้ผมด้วย

“ตัวนี้พี่ยังไม่เคยเห็นหนึ่งใส่เลยครับ” พี่นัทแล้วใช้สองมือคลี่ชิ้นผ้าสีชมพูตัวเล็กโชว์ผม

“เห้ยพี่!” ผมรีบตระครุบชิ้นผ้าในมือมาใส่กระเป๋า ตาก็แอบเหล่มองตองสอง รู้สึกอายน้องตัวเองอ่ะ ขืนมันเห็นกางเกงในตัวนี้นะ มันล้อผมยันแก่แน่ ก็กางเกงในสีชมพูเว้าสูงที่พี่นัทเคยซื้อให้ผมไง ใครจะไปใส่ลงล่ะ ข้างหน้าก็ปิดไม่มิด ข้างหลังนี่อย่าหวัง โชว์ก้นเต็มๆ

“พี่อยากเห็นหนึ่งใส่อ่ะ พี่ว่าน่ารักดีนะ”

“ถ้าพี่ว่าน่ารักพี่ก็ใส่เองสิครับ ผมไม่อยากใส่อ่ะ”

พี่นัทไม่ตอบแต่ยิ้มจนตาหยี จากนั้นหันไปเลือกกางเกงในผมต่อ ผมแอบเหล่ตามน้องชายอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเห็นมันมองผมอยู่ แถมมันดันยักคิ้วให้ผมอีกด้วย ผมหันกลับมาช้าๆ แล้วก็ถอนหายใจ...มันคงเห็นไปแล้วสินะ

ประมาณสิบนาทีต่อมาพี่นัทก็เลือกชุดที่พอใจเสร็จ กระเป๋าแทบใส่ไม่พอ

“พี่ไปแล้วนะ อยู่คนเดียวดีๆ ล่ะ”

“รู้แล้ว เอ้อ! วันหยุดนี้พี่กลับบ้านมั้ย” ผมนิ่งไป ลืมคิดไปเลย พี่นัทก็ปิดร้านแถมเป็นหยุดยาวด้วย ผมก็ควรจะกลับบ้านสิ

“คงจะกลับไป 2-3 วันอ่ะ แล้วสองกลับวันไหน”

“พรุ่งนี้ จะได้อยู่บ้านนานๆ หน่อย” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินออกจากห้อง ตองสองเดินตามเพื่อมาล็อกประตู ก่อนที่ผมจะออกจากห้อง ตองสองแล้วก็ถามผมอีก

“แล้วระหว่างนี้ พี่จะกลับมานอนห้องมั้ย?”

“เอ่อ...คิดว่าไม่” ผมอ้อมแอ้มตอบ เห็นตองสองที่ยกยิ้มอย่างรู้ทันแล้วมันทำตัวไม่ถูกอ่ะ รู้สึกอายน้องตัวเองหวะ ผมแอบๆ เหล่มองพี่นัท ก็เห็นพี่แกมองผมอยู่แล้ว แถมยังยิ้มอีกด้วย หน้าตานี่เจ้าเล่ห์ใช่เล่นเลย

“อืม” ก่อนที่ตองสองจะปิดประตู ผมก็เห็นว่าพี่นัทกับตองสองยักคิ้วใส่กัน คือผมชักจะสงสัยจริงๆ แล้วสองคนนี้มีเรื่องอะไรกันเนี่ย ผมเตรียมจะถามพี่นัท แต่โทรศัพท์พี่นัทก็ดังขึ้นมาก่อน คุยได้ซักพักพี่นัทก็วางสายไปแล้วก็หันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มหวานหยดย้อย จนไม่น่าไว้ใจเลยครับ

ทำไมช่วงเย็นนี้เจอแต่เรื่องที่ทำให้หวั่นใจตลอดเลยเนี่ย เฮ้อ!

“พรุ่งนี้ไปนอนที่บ้านพี่กันนะครับ พ่อของพี่เขาบอกว่า อยากแกล้งหนึ่งอีก”



หวานๆ จ้า เรื่องไม่ดีอะไร หากผ่านมันมาได้และพร้อมที่จะเริ่มใหม่แล้วแล้วก็จำไว้เป็นบทเรียนและทิ้งไว้ข้างหลังนะคะ



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
กว่าจะเข้าใจกันได้ตองหนึ่งก็น่วมไปทั้งตัว พี่นัทใจร้าย  o18

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
29 : ครอบครัวเดียวกัน 1


“พี่นัท!” ผมร้องเรียกพี่นัทเสียงหลงเพราะทันทีที่ก้าวลงจากรถเจ้าหมายักษ์ที่ชื่อว่าแต้มก็เตรียมที่จะวิ่งน้ำลายยืดเข้ามาหาผมทันที ทำให้พี่นัทต้องรีบทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้ามากันเจ้าแต้มออกจากตัวผม

“แต้ม อย่ามายุ่งน่า!” พี่นัทดุแต้มจนหมาตัวใหญ่นั่นคอตกร้องหงิงๆ  เดินกลับไปเล่นที่สนามเหมือนเดิม พอเห็นว่าเจ้าหมายักษ์นั่นเดินไปแล้วผมก็ขยับออกจากหลังพี่นัท

“สองคืนที่ผมอยู่ที่นี่ หมายักษ์นั่นจะไม่ขย้ำผมใช่มั้ยครับ?”

“ไม่หรอกครับ แต้มมันเป็นหมาโง่ตัวใหญ่กัดใครไม่เป็นหรอก” พี่นัทยิ้มแล้วก็กอดคอผมเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของแล้วพาเดินเข้าบ้าน

“แต่ครั้งที่แล้ว พ่อพี่บอกว่าจะสั่งให้แต้มกัดผมก็ได้นะครับ”

นี่ผมไม่ได้ฟ้องพี่นัทนะ แต่แค่เล่าให้พี่นัทฟังเฉยๆ ว่า ถ้าลุงกร พ่อพี่นัทออกคำสั่งแต้มก็คงกัดผมได้

“พ่อพี่เขาก็พูดแกล้งหนึ่งไปแค่นั้นเองครับ อย่าเก็บมาคิดจริงจังสิ เชื่อคนง่ายแบบนี้นี่ไง ถึงได้โดนหลอกเอาเปรียบบ่อยๆ ”

พี่นัทยกมือที่กอดคอมายีหัวของผมแล้วก็หัวเราะ ผมยู่หน้าใส่ คนที่ผมไม่ควรเชื่อที่สุดก็คงต้องเป็นคนที่กอดคอผมอยู่นี่ไง คนที่หลอกเอาเปรียบผมบ่อยๆ ก็พี่นัทนี่แหละ

พี่นัทพาผมเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งลุงกร คุณลิซ่า พี่พาย และคุณมาคัส ทุกคนกำลังนั่งคุยและหัวเราะด้วยกันอยู่

“แหม พอนินทาปุ๊บเจ้าตัวก็มาปั๊บเลย” ลุงกรมองพี่นัทแล้วก็พูด พี่นัทกลอกตาใส่พ่อตัวเองเล็กน้อยแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ ผมก็ทำตามสวัสดีทักทายทุกคน ลุงกรยิ้มและพยักหน้ารับไหว้ผม คุณแม่ลิซ่าส่งยิ้มมาให้ หน้าตาดูใจดีเหมือนเดิม พี่พายที่ดูอวบขึ้นมากใส่ชุดคลุมท้องสีฟ้านั่งอยู่ข้างๆ กับคุณมาคัส

“มาอยู่กี่วันเนี่ย ขนของมาเยอะเลย” พี่พายหวานถาม เมื่อเห็นทั้งผมและพี่นัทหอบของกันมาเยอะแยะ

“พี่ว่าจะมานอนบ้าน 2 คืน แล้วจะพาตองหนึ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่เขาที่ต่างจังหวัดด้วย ก็เลยเอาของมาทีเดียวเลย”

“จะไปประจบพ่อตาเเม่ยายก็บอก” ลุงกรพูดและหรี่ตาใส่พี่นัท ส่วนคนตัวสูงที่อยู่ข้างผมก็แค่ยักไหล่แล้วพาผมขึ้นไปเก็บของบนห้อง

ห้องพี่นัทที่นี่ผมเคยมาครั้งนึงแล้วเมื่อตอนที่พี่นัทพาผมมาล้างหน้า แต่ครั้งนี้ผมเพิ่งจะได้เห็นชัดๆ  ห้องที่บ้านแตกต่างกับห้องที่ร้านอย่างสิ้นเชิง ห้องที่ร้านพี่นัทแต่งด้วยโทนอบอุ่น สีน้ำตาลและขาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป แต่งด้วยโทนสีน้ำเงินและเทา ก็ดูเท่ดี

“ห้องพี่นัทที่นี่เท่จัง ไม่เหมือนห้องที่ร้านเลยครับ”

“แล้วหนึ่งชอบห้องไหนมากกว่ากันครับ?” พี่นัทถามหลังจากที่นำกระเป๋าเสื้อผ้าไปวางให้เป็นที่เป็นทางเสร็จแล้วก็เดินมาลูบแก้ม ผมเอียงแก้มให้ลูบดีๆ แล้วก็ยิ้มให้

“ชอบห้องที่มีพี่นัทอยู่ด้วยครับ”

“ปากหวานนะ พี่อยากชิมคนปากหวานจัง” พี่นัทบีบแก้มและก้มลงมาจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วก็ลามลงมาที่ซอกคอมือใหญ่ก็กอดตรงเอว ผมหัวเราะแล้วก็ดันตัวออก

“ยังไม่ให้ชิมตอนนี้”

“หื้ม มันเขี้ยวจริง!”

พี่นัทยอมปล่อยๆ ดีแต่ก่อนปล่อยก็ฟัดแก้มผมไปหลายฟอดเลย ผมเดินไปตรงหน้าต่าง วิวจากห้องนอนพี่นัทมองลงไปด้านล่างเป็นเหมือนสวนเล็กๆ หลังบ้าน ปลูกดอกไม่ไว้หลายชนิดด้วย แต่ส่วนใหญ่ผมไม่รู้จักเลย

“หลังบ้านพี่มีแปลงดอกไม้ด้วย สวยจัง”

“ใช่ครับ คุณแม่ลิซ่าชอบปลูกดอกไม้และต้นไม้ ก็เลยทำเป็นแปลงไว้ พวกดอกไม้ที่หนึ่งเอามาให้พี่ก็ได้คำแนะนำจากแม่ลิซ่านี่แหละ ไม่งั้นป่านนี้พี่คงทำเฉาตายไปหมดแล้ว”

“ผมขอโทษครับ เลือกต้นที่ดูแลยากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ชอบมากเลย” พี่นัทเดินไปนั่งตรงโซฟาเล็กปลายเตียงพร้อมทั้งตบที่ว่างข้างตัวเพื่อให้ผมไปนั่งด้วย

“พี่นัทชอบดอกลิลลี่เหรอครับ” ผมถามและเดินไปหาพี่นัท เขายื่นมือมาดึงแขนผมทำให้จากที่ผมควรจะนั่งข้างๆ ก็กลับกลายเป็นว่าผมนั่งลงบนตักอีกฝ่ายแทน

“เปล่า...ชอบคนให้ครับ” พี่นัทก้มลงฟอมแก้มผมไปฟอดนึง ส่วนผมก็ยิ้มเขิน จะไม่ให้เขินได้ไงล่ะ ทั้งแววตา ทั้งรอยยิ้ม ดูกะลิ้มกะเหลี่ยซะเหลือเกิน

“อื้อ พอเถอะครับ ผมหิวแล้วนะ” ผมลุกขึ้นจากตัวพี่นัทแล้วเดินไปหยิบกล้องของตัวเองลงไปด้วย เห็นแปลงดอกไม้แล้วอยากถ่ายภาพ

“หิวพี่เหรอครับ?” พี่นัทยิ้มกว้างแล้วเดินมาหา

“หิวข้าวสิ!” ผมตอบแล้วหัวเราะ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย พอตื่นก็พากันอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาที่บ้านนี่เลย เพราะพี่นัทขี้เกียจมาเก็บกวาดล้างจานอีกที เราก็เลยหวังจะมาฝากท้องกันที่บ้านพี่นัท

พี่นัทพาผมเดินลงมาชั้นล่าง ทุกคนยังนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พี่นัทพาผมไปนั่งที่โซฟาใกล้กับคุณแม่ลิซ่า แล้วพี่นัทก็เอี้ยวตัวกอดเอวคุณแม่ตัวเองไว้

“คุณแม่ลิซ่าครับ ผมกับตองหนึ่งหิวมากเลย ที่บ้านเรามีอะไรกินบ้างครับ” ผมเพิ่งเคยเห็นพี่นัทอ้อนแม่ตัวเอง อดตะลึงไม่ได้จริงๆ นอกจากกอดแล้วเขายังทำเสียงเล็กเสียงน้อยเอาแก้มไปถูกับแก้มคุณแม่ลิซ่าอีกด้วย นี่มันเด็กชายโดนัทที่ลุงกรเคยพูดถึงชัดๆ

“ดูมัน เมียมันก็นั่งอยู่ข้างแต่ยังหน้าด้านมากอดเมียคนอื่นอีก” ลุงกรพูดขึ้นแล้วก็ดันหน้าพี่นัทออกห่างจากเมียตัวเอง ผมที่นั่งอยู่นิ่งๆ ก็มีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิง

“อ้อนเมียเยอะแล้ว กลัวเขารำคาญและตอนนี้อยากกินข้าวเลยต้องอ้อนแม่ ใช่มั้ยครับแม่ลิซ่า” ผมเม้มปากรู้สึกทำตัวไม่ถูก เมื่อลุงกรและพี่นัทพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเป็นเมียของลูกกชายตัวเอง ครอบครัวพี่นัทคิดว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติที่มีมานานแล้ว แต่สำหรับผมเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังไม่ชินซักเท่าไร มันเลยรู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้ครับ

“พูดจาน่าหมั่นไส้ แล้วเมื่อไรจะกลับมาอ้อนพ่อกรคนนี้บ้างล่ะ น้องโดนัท” ลุงกรดันหน้าพี่นัทออกจากแม่ลิซ่าอีกครั้งแล้วก็ดีดหน้าผากพี่นัทเบาๆ

“ก็ตอนขอตังค์ไงครับพ่อกร ” พี่นัทพูดแล้วก็หัวเราะออกมา ทุกคนต่างก็หัวเราะครื้นเครงยกเว้นลุงกรที่ลุกขึ้นมาดีดหูพี่นัทไปทีนึง

“จะไปไหนก็ไปเลยไป ไอ้ลูกไม่รักดี กวนประสาทนัก”

“ตามแม่มาลูก เมื่อเช้าแม่ทำแกงจืดเต้าหู้ หรือนัทอยากกินขนมปังกับไข่ดาว ไส้กรอกก็มีนะ” คุณแม่ลิซ่าถามพี่นัท สำเนียงภาษาไทยนี่ชัดเจน เห็นเป็นคนต่างชาตินึกว่าจะพูดไทยไม่ชัด แต่นี่ทั้งควบกล้ำและตัว ร. นี่พูดชัดกว่าผมซะอีกครับ

“แกงจืดดีกว่าครับแม่ ขนมปังให้ผมกินแค่ที่ร้านก็พอ”

ผมกับพี่นัทลุกขึ้นเดินตามคุณแม่ลิซ่าเข้ามาในครัว และกินข้าวเช้ากันที่โต๊ะเล็กในครัวแอบประหม่าเล็กน้อย เพราะคุณแม่พี่นัทเอาแต่ยืนมองและก็ยิ้มให้ผม แต่เพราะความหิวแล้วก็แกงจืดอร่อยมากทำให้ผมซัดข้าวไปสองจาน นี่ขนาดประหม่านะเนี่ย

“เห็นตัวเล็กแต่กินเก่งจังเลย เอาอีกจานมั้ยลูก แม่ตักให้?” แม่ลิซ่าพูดกับผม เมื่อเห็นผมตักข้าวคำสุดท้ายของจานที่สองเข้าปาก ก็ลังเลนิดหน่อยว่าจะเอาอีกดีมั้ย แต่เห็นแกงจืดในชามเหลืออีกนิดหน่อย แถมพี่นัทก็อิ่มไปแล้ว เหลือทิ้งก็เสียดายของอร่อย ผมเลยพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็ยิ้มให้คุณแม่ลิซ่า

“ขออีกแค่นิดเดียวนะครับ” คุณแม่ของพี่นัทยิ้มกว้างแล้วก็ยกจานผมไปตักข้าวเพิ่มให้ ส่วนพี่นัทก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ

“เมื่อก่อนตองหนึ่งตัวเล็กกว่านี้อีกครับแม่ นี่ผมขุนจนน่ากอดขึ้นมาตั้งเยอะ” พี่นัทพูดแล้วก็แอบยื่นมาเข้ามาบีบแก้มผมขณะที่คุณแม่ลิซ่ากำลังหันหลังตักข้าวให้ผมอยู่

“ตัวขนาดนี้แหละ แม่ว่ากำลังน่ารัก” คุณแม่ลิซ่าส่งจานข้าวให้ ผมรับมาแล้วก็ขอบคุณ จากนั้นก็กินจนเกลี้ยงทั้งข้าวทั้งแกงจืด ท้องตึงมากๆ บอกเลย

เมื่อกินข้าวเสร็จพี่นัทก็พาผมไปนั่งเล่นในห้องนั่งเล่นกับทุกคน นั่งคุยกันสนุกสนาน ทั้งเรื่องงาน เรื่องท้องของพี่พาย เรื่องคุณแก้วตา แต่ที่ทุกคนจะขำที่สุดก็คือเรื่องของพี่นัทนี่หละครับ ลุงกรเล่าวีรกรรมในวัยเด็กของพี่นัทให้ผมฟังแทบจะทุกเรื่องเลย

“ตอนนั้น นัทมันอยู่ประมาณประถมหนึ่ง โรงเรียนเขาก็มีประชุมผู้ปกครอง พ่อก็ไปโรงเรียนมัน แล้วในตอนท้ายเขาก็ให้เด็กนั่งที่โต๊ะเรียน ส่วนผู้ปกครองก็จัดที่นั่งแยกไว้ตรงหลังห้อง”

“โหย พ่อ เรื่องนั่นนี่พ่อจะเล่าอีกกี่รอบเนี่ย” พี่นัทแย้งขึ้นมา ลุงกรก็ไม่สนใจเล่าต่อไป

“เขาให้เด็กออกไปพูดเรื่องความฝันของตัวเองหน้าชั้นเรียน เด็กคนอื่นก็พูดไปว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นคุณครู แต่พอถึงคิวเจ้านัทพ่อก็รอฟังว่ามันอยากเป็นอะไร”

“...” พี่นัทถอนหายใจ แล้วก็นั่งกอดอกพิงโซฟา มองไปที่ลุงกรแล้วก็ขมวดคิ้ว

“มันออกไปหน้าห้อง แล้วก็ชี้ไปที่เด็กคนนึงแล้วมันก็พูดเสียงดังเลยนะว่า ‘ผมอยากแต่งงานกับคนนั้นครับ’ มันพูดแค่นั้นว่าตกใจแล้วนะ แต่เด็กที่มันชี้ไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ น่ารัก และที่สำคัญเป็นเด็กผู้ชายเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า” ลุงกรพูดแล้วก็ขำใหญ่

“...” ทุกคนก็ยิ้มกันหมดยกเว้นพี่นัทคนเดียวแหละที่อ้าปากหาวออกมาเล็กน้อย

“ตอนนั้นพ่อก็ตกใจ มันเข้าใจผิดหรืออะไรของมัน แต่มีหลายครั้งเลยที่พ่อชี้เด็กผู้หญิงหรือผู้หญิงสวยๆ ให้มันดู ถามว่าน่ารักมั้ย? หนึ่งรู้มั้ยมันตอบว่าอะไร?  มันดันบอกพ่อว่า ก็งั้นๆ แหละ แล้วหาว่าพ่อไม่มีรสนิยมอีก”

“...” พี่นัทยกมือขึ้นมาเกาหัว แล้วหรี่ตามองพ่อตัวเอง ผมมองแล้วก็ขำกับท่าทางแบบนั้น

“พ่อก็เลยถามกลับว่าแบบไหนถึงจะน่ารัก มันดันชี้ไปที่เด็กผู้ชายคนอื่นอีก พ่อก็ถามมันอยู่แบบนั้นตั้งแต่ประถมหนึ่งยันประถมหก มันก็ชี้อยู่แต่ผู้ชายแถมแต่ละคนที่มันชี้นะตองหนึ่ง สไตล์เดียวกับเราทั้งนั้นเลย”

“...”

“พ่อก็ทำใจไว้แล้ว ว่ามันคงเป็นเกย์แน่ๆ  แต่แฟนคนแรกของมันเป็นผู้หญิงนะ ช่วงนั้นคงกำลังสับสนตัวเอง”

ผมหัวเราะแต่นัทกอดอกเม้มปาก ผมแอบเห็นด้วยนะว่าหูพี่นัทน่ะแดงแปร๊ดเลย ไม่รู้ว่าโมโหหรือว่าอายกันอยู่แน่ ลุงกรก็เล่าอะไรให้ผมฟังหลายเรื่องมาก ถึงบางครั้งอาจจะมีล้อผมอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนคุยสนุก เรานั่งคุยกันอยู่นานจนพี่พายที่ท้องแก่เริ่มปวดหลัง คุณมาคัสเลยพาขึ้นไปนอนบนห้อง  พี่นัทที่ไม่อยากโดนลุงกรล้อ เลยเดินไปทางครัวกับคุณแม่ลิซ่า เหลือผมที่ยังนั่งกับลุงกรอยู่ที่ห้องนั่งเล่น พอเหลือกันแค่สองคน ผมก็เลยประหม่าขึ้นมา

“เห็นพกกล้องตลอดเลย ชอบถ่ายรูปเหรอ?” ลุงกรถามแล้วมองมาที่กล้องผม

“ครับ ผมเรียนจบทางด้านนี้มาด้วย”

“เหรอ งั้นถ่ายพ่อให้ดูหน่อยสิ ขอแบบหล่อๆ นะ เอาแบบดูไม่แก่นะ” ผมยิ้มแล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ผมถ่ายอยู่สองสามมุม แล้วก็เอารูปให้ลุงกรดู

“อืม ถึงจะดูแก่ไปหน่อย แต่ก็หล่ออยู่ ลุงขอเอาไปใส่กรอบไว้หน่อยล่ะกัน”

“ได้ครับ” ผมพยักหน้าและยิ้มกว้าง

“สอนพ่อถ่ายบ้างได้มั้ย อยากลองเล่นกล้องใหม่ๆ แบบนี้ดูบ้าง ไอ้เราก็ใช้เป็นแค่กล้องฟิล์มเก่าๆ”

“ได้ครับ” ผมรับเอาสายกล้องออกจากคอตัวเอง แล้วส่งให้ลุงกร พร้อมทั้งสอนปรับแสง ปรับโฟกัสภาพ โดยใช้แจกันดอกไม้เป็นตัวทดลอง ลุงกรยังปรับแสงไม่เป็น ผมเลยทดลองถ่ายให้ลุงกรดูอีกครั้ง จนผ่านไปซักครู่ลุงกรก็ทำได้ดีขึ้น

“ทำไมรูปที่พ่อถ่าย กับรูปที่เราถ่ายมันไม่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่ก็ถ่ายแจกับใบเดียวกัน” ลุงกรบ่นออกมาเมื่อมองสลับไปมาระหว่างรูปที่ผมถ่ายกับรูปที่ตัวเองถ่าย

“กว่าผมจะปรับแสงเป็นก็ฝึกหลายวันอยู่ครับ”

“อื้ม เราเป็นคนถ่ายรูปขนมลงเพจร้านของเจ้านัทด้วยใช่มั้ย?”

“ครับ” ลุงกรคืนกล้องให้ผม แล้วก็ทำท่าคิดอยู่พักนึง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น

“อืม...งั้นตามพ่อมาหน่อย”

“ครับ?” ผมงง แต่ลุงกรก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำผมไป พอผมยังนั่งอยู่ที่เดิม ลุงกรก็เดินกลับมาตามผมอีก

ลุงกรพาผมขึ้นรถแล้วขับพาผมไปข้างนอก ผมเริ่มตกใจเพราะไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน ออกมาข้างนอกแล้วไม่ได้บอกพี่นัทก่อนแบบนี้จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย… แต่คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง เพราะผมก็ออกมากับพ่อของพี่นัทนี่ ลุงกรคงไม่พาผมไปขายหรอก จริงมั้ย?

“ลุงกรจะพาผมไปไหนเหรอครับ?” ผมถาม ลุงกรหันมายิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเลห์มาก และเหมือนพี่นัทมาก จนแวบนึงผมเห็นหน้าพี่นัทซ้อนอยู่กับหน้าลุงกรเลยทีเดียว

“พาไปหาตังค์!!”

ลุงกรพูดแล้วยิ้มกว้าง แต่ผมนี่ยิ้มไม่ออกเลยครับ พาไปหาตังค์นี่คือพาไปไหนครับ จะพาผมไปขายจริงๆ เหรอ อย่างผมขายไม่ออกหรอครับ...

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงลุงกรก็จอดลงที่ลานจอดรถบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วพาผมเดินเข้าไปบริเวณที่เป็นอเวนิว มีร้านอาหารมากมายตั้งอยุู่ แล้วลุงกรก็ตรงไปที่ร้านขนมร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางของอเวนิว พอเข้าไปภายในร้าน พนักงานทุกคนต่างก็พากันยกมือไหว้ลุงกรพร้อมทั้งยิ้มมาให้ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วย ลุงกรเดินเข้าไปหลังร้าน ไม่นานก็ออกมา

“ร้านน่ารักมั้ยล่ะ ขนมก็น่ากินนะ” ลุงกรหันมาพูดกับผม ที่มัวแต่ยืนงงอยู่ ผมมองไปรอบๆ เป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ ลูกค้าในร้านก็มีแต่เด็กวัยรุ่นมานั่งอ่านหรือติวหนังสือกันทั้งนั้นเลย และพอลุงกรพูดถึงขนมผมก็หันไปมองตู้ขนมบ้าง ในตู้มีเค้กอยู่แค่ไม่กี่ชนิด แต่กลับมีโดนัทน่าตาน่ารัก น่าทานอยู่เต็มไปหมดเลย วอลเปเปอร์ส่วนใหญ่ของร้านก็เป็นลายโดนัท ของตกแต่งส่วนใหญ่ก็มีรูปร่างคล้ายโดนัท ขนาดยูนิฟอร์มของร้านยังเป็นลายโดนัทหลากสีเลย

“ร้านของลุงกรเหรอครับ?” ลุงกรพยักหน้าแล้วพาผมเดินไปนั่งตรงมุมหนึ่งของร้าน พร้อมกับพนักงานที่เดินนำโดนัทมาหลากหลายรส หลากหลายน่าตา หลากหลายขนาดมาวางตรงโต๊ะด้านหน้า นอกจากโดนัทแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายแก้ว หลังจากนั้นลุงกรก็ค่อยชี้ให้พนักงานช่วยกันจัดแบ่งเป็นเซตๆ จนโต๊ะด้านหน้าวางไม่พอ ต้องลากโต๊ะข้างๆ กันมาต่อเป็นโต๊ะใหญ่ ผมมองตาโต ที่เอามาทั้งหมดนี่คืออะไร ลุงกรจะทำอะไรกันเน่!!

“อะ...อะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจเลย”

“ช่วยถ่ายรูปขนมแล้วทำโปสเตอร์ให้พ่อหน่อยสิ เดี๋ยวพ่อให้ค่าขนม หนึ่งอยากได้เท่าไรบอกมาเลย”

“โปสเตอร์?”

“ใช่ ถ่ายเป็นเชตตามที่จัดไว้ พ่อจะเอามาทำโปสเตอร์แปะตรงเมนู เวลาเด็กๆ มาซื้อ ก็จะได้สั่งเป็นเซตกัน พนักงานก็ไม่งงมากเวลาคิดเงิน คนซื้อก็สะดวก คนขายก็สะดวก”

“...” ลุงกรอธิบายมารวดเดียว ผมที่สมองค่อนข้างช้า ยังคงงงๆ อยู่ เลยนั่งนิ่งเรียบเรียงคำพูดและเหตุการณ์ใหม่

“ช่วยทำให้พ่อหน่อยได้มั้ย พ่อไม่รู้ว่าต้องไปจ้างใครอะไรยังไง ต้องจัดการอะไรบ้าง ถ้าได้ตองหนึ่งที่เรียนทางด้านนี้มาช่วยทำให้ก็คงดีไม่น้อย เนอะ?”

ลุงกรมองหน้าผมแล้วยิ้ม พามาขนาดนี้ จัดเซตพร้อมสถานที่ให้แบบนี้ มัดมือชกกันชัดๆ  แล้วไหนจะไอ้คำว่า ‘เนอะ’ นี่อีก ลุงกรนี่คือพี่นัทรุ่นซีเนียร์ชัดๆ เลย เป๊ะเลยครับ

“...ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้า ลุงกรก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม

เมื่อผมตกลงที่จะทำแล้วก็อยากจะทำให้ดี ผมเลยขอให้ลุงกรหาฉากสีขาวมาวางให้เป็นสตูดิโอขนาดเล็ก ผมใช้เวลาตั้งฉากตั้งไฟไม่นานก็พร้อมถ่าย  มีลุงกรคอยกำกับ และบอกความต้องการตัวเองอยู่ใกล้แบบนี้ งานก็เสร็จเร็ว ใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงก็ได้รูปตามที่ลุงกรต้องการ

จากการที่ได้ทำงานร่วมกันระยะสั้นๆ ทำให้ผมได้รู้ว่า ถึงลุงกรจะขี้เล่นขี้แกล้งยังไง แต่พอเข้าโหมดทำงานก็เข้มงวดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน รูปไหนที่ไม่ถูกใจ แกก็ให้ถ่ายใหม่ จัดแสง จัดฉากใหม่หมดเลย แต่ผมก็ไม่มีปัญหา รู้สึกสนุกด้วยซ้ำ นานๆ ครั้งได้ทำอะไรแบบที่เคยทำก็ดีเหมือนกัน

“พวกขนมนี่ หนึ่งอยากกินอะไรก็หยิบกินได้เลยนะ”

“เอ่อ…” ผมลังเล หน้าตานัทนี่ก็น่ากินมากๆ เลย แต่ผมก็เกรงใจอ่ะ นี่ของซื้อของขายนะ

“กินไปเถอะ ของนี่เอาไปขายต่อไม่ได้หรอก ถ้าหนึ่งไม่กินพ่อก็ต้องให้เด็กๆ ในร้านกินกันอยู่ดี”

“...ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมขอบคุณลุงกรแล้วก็เลือกหยิบโดนัทมากินชิ้นนึง ไม่ใช่ว่าผมกลัวกินไม่หมดอะไรหรอก แต่เกรงใจอ่ะ ลุงกรมองหน้าผมแล้วหัวเราะเล็กน้อยแล้วก็หยิบโดนัทเพิ่มให้ผมอีก 2 ชิ้น ตามด้วยน้ำส้มอีกแก้วนึง

“เห็นครั้งที่แล้วกินไปตั้งเยอะ ครั้งนี้กินแค่ชิ้นเดียวจะไปอิ่มเหรอไง เกรงใจอยู่ได้”

“แหะแหะ ครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็พยักหน้าไป จากนั้นก็ก้มกินโดนัทต่อ ลุงกรก็ลุกขึ้นไปดูพนักงานบ้าง ดูร้าน ทักทายลูกค้าบ้าง จนผมกินโดนัทและน้ำส้มจนหมด ผ่านไปพักหนึ่งลุงกรก็เดินกลับมาหา พาผมไปในครัว ได้ทดลองทำโดนัทด้วย สนุกดีเหมือนกัน พี่ๆ ที่สอนทำก็ใจดี ถึงแม้ว่าบางครั้งจะร่วมด้วยช่วยลุงกรแกล้งผมบ้างเป็นบางครั้ง

ผมขลุกอยู่หลังร้านเกือบครึ่งวัน สนุกกับการแต่งหน้าโดนัทนี่แหละครับ ชุบน้ำตาล บีบช๊อคโกแลตบีบครีม ถึงขั้นตอนจะคล้ายๆ การทำเค้ก แต่ทำโดนัทนี่มันก็สนุกไปอีกแบบ ทุกอย่างดูกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารักไปหมด ลุงกรก็ใจดีให้ผมเอาโดนัทที่แต่งหน้าเองกลับไปกินที่บ้านได้ด้วย เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ จนลุงกรมาตามให้กลับบ้านผมถึงรู้ว่ามันเย็นมากแล้ว

“ตกลงว่า ค่าถ่ายรูปเราคิดยังไง พ่อจะได้โอนให้เลย” ลุงกรถามขณะที่ผมกำลังล้างมือเตรียมกลับ

“โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องให้ผมก็ได้ครับ” ผมรีบปฏิเสธ แต่ลุงกรก็หรี่ตาและส่ายหน้าใส่ผม

“จะไม่ให้ได้ยังไง หนึ่งมาถ่ายรูปให้ มันก็เหมือนเป็นงานของหนึ่งนั่นแหละ จะไม่คิดค่าเหนื่อยพ่อได้ยังไงล่ะ”

“...” ทีลุงยังไม่คิดค่าน้ำค่าขนมผมเลยนี่ ผมเถียงในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป

“ถ้าไม่คิดตัง พอไม่พากลับไปหาเจ้านัทนะ ทิ้งให้อยู่ที่นี่แหละ” ลุงกรพูดแล้วก็มองหน้าผมอยู่เล็กน้อย

“...”

“ถ้าคิดค่าแรงได้แล้วก็ยืมโทรศัพท์ที่ร้านโทรไปบอกพ่อนะ ไปล่ะ” ลุงกรพูดแล้วก็ก้าวฉับๆ  เดินออกจากครัวจากร้านไปทันที พนักงานในร้านต่างก็ยกมือไหว้กันแทบจะไม่ทัน นี่คือลุงกรเขาจะทิ้งผมไว้จริงๆ เหรอ ผมรีบวิ่งจนตามหลังทัน ลุงกรหันมามองและยักคิ้วใส่ผม

“ตกลงกี่บาท เดี๋ยวพ่อโอนให้ตอนนี้เลย”

“เอ่อ…2000 ครับ” ไม่ได้ตั้งใจกวนหรืออะไรนะ แต่แบบโดนสายตาคาดคั้นแล้วมันคิดไม่ออกอ่ะครับ

“อย่ามาตลก หารถกลับเองล่ะกัน” ว่าแล้วลุงกรก็เดินไปที่รถ ผมต้องวิ่งตามอีก

“ง่า...อย่าทิ้งผม คุณลุงอยากให้ผมเท่าไรก็ได้ครับ เอาตามที่ลุงกรอยากให้เลย” ลุงกรหยุดหันมามองผม แล้วก็ยิ้ม

“อืม งั้นเอาเลขบัญชีมา” ลุงกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วมองหน้าผม ผมเลยบอกเลขบัญชีธนาคารตัวเองไป

“...” ผมยืนมองลุงกรที่กดๆ จิ้มๆ โทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็เงยหน้ามองผมพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา

“เอาไว้กินขนมนะ” ลุงกรยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูจำนวนตัวเลข ผมตกใจเพราะตัวเลขหลักหมื่นกลางๆ ที่ลุงกรโอนให้ นี่มันมากเกินไปสำหรับการถ่ายรูปแค่เล็กน้อยของผมมากเลยนะครับ ผมถ่ายไปไม่เท่าไรแต่ได้ค่าจ้างเป็นหมื่นนี่ เกินไปจริงๆ

“คุณลุงครับ มันเยอะเกินไปนะครับ ราคาขนาดนั้นคุณลุงไปให้สตูดิโอดีๆ ทำให้ได้เลยนะครับ”

“เอาไปเถอะ พ่อให้เป็นค่าขนมไง ไปเร็ว รีบกลับบ้านกัน ป่านนี้ เจ้านัทคงกลายร่างเป็นยักษ์ไปแล้วมั้ง มันโทรมาเป็นสิบสาย...พ่อไม่ได้รับซักกะสาย”

ลุงกรพูดแล้วก็หัวเราะเสียงสะใจ ผมอยากจะร้องไห้ ไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนเลย ทั้งแรงกดดันจากจำนวนเงิน ทั้งนึกถึงพี่นัทในร่างยักษ์ที่ลุงกรพูดถึงอีก โอย...ปวดหัว พ่อกับลูกบ้านนี้ทำเอาผมปวดหัวจริงๆ

การจราจรในช่วงเย็นเป็นอะไรที่โคตรจะติดขัด กว่าจะถึงบ้านพี่นัทก็มืดเลย

“เดี๋ยวหนึ่งคอยดูนะ หน้าบ้านจะมียักษ์มายืนเฝ้า” ลุงกรบอกผมแล้วก็หัวเราะออกมา ดูลุงกรอารมณ์ดีมากเลย แต่ผมนี่สิได้แต่ยิ้มฝืดๆ หวั่นใจกลัวพี่นัทจะโกรธเอา

พอเข้ามาในบริเวณลุงกรก็ยิ่งหัวเราะเสียงดัง เพราะพี่นัทมายืนรอตรงที่จอดรถเลยด้วยซ้ำ หน้าตานี่หงุดหงิดสุดๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วก็เปิดประตูลงจากรถ ผมเห็นพี่นัทจ้องลุงกรเขม็งเลยอ่ะ สักพักก็ตวัดสายตามาทางผม

อือหืม ดุลอดแว่นมาเลย

“โอย หิวข้าวจัง วันนี้มีอะไรกินนะ” ลุงกรพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยยักษ์ที่ชื่อว่านัทอยู่กับผมแค่สองคน ทำไมลุงกรทิ้งผมแบบนี้ล่ะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม จะเดินตามลุงกรไปก็ไม่กล้า จะทักทายก็ไม่กล้าเหมือนกัน ผมเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ไปให้พี่นัท

“เด็กดื้อ เด็กนิสัยไม่ดี อยู่ดีๆ ก็หายไป” พี่นัทกอดอกจ้องผมเขม็งเลย

“ผมไม่ผิดนะ...” ผมพูดเสียงเบา ผมไม่ผิดจริงๆ นะก็ลุงกรเป็นคนพาผมออกไปเอง แล้วก็ออกไปกะทันหันด้วย ผมก็ไม่รู้จะบอกพี่นัทยังไงนี่นา

“ไปไหนทำไมไม่บอกกันหน่อยล่ะครับ พี่ก็เป็นห่วงไปสิ ออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาก็มืด โทรไปก็ไม่รับเลยซักคน”

“ก็มันกะทันหัน ผมไม่ได้พกโทรศัพท์ไป แล้วผมบอกพี่ไม่ทันเพราะพี่นัทก็ไม่อยู่ให้ผมบอกด้วย…”

“ยังจะมาเถียงอีก มันน่านัก” พี่นัทยกมือขึ้นเหมือนตี ผมเลยดันกระเป๋ากล้องไปไว้ด้านหลังแล้วรีบพุ่งเข้ากอดพี่นัทไว้ก่อน

“อย่าตี หนึ่งไม่ได้เถียง หนึ่งแค่อธิบายให้พี่นัทฟังครับ” ผมกอดเอว แล้วซบหน้ากับหน้าอกพี่นัท แล้วพูดเสียงออดเสียงอ้อน เวลาแบบนี้ต้องอ้อนเท่านั้นแหละ

พี่นัทลดมือลงแล้วเปลี่ยนดันไหล่ผมออกแทน ผมก็ยิ่งกอดเอวพี่นัทแน่นเข้าไปใหญ่ เงยหน้ากระพริบตาปริบๆ ใส่พี่นัท ยิ่งพี่นัทดันผมออกผมก็ยิ่งกอดแน่น

“ปล่อยได้แล้ว ถ้าไม่ปล่อยจะตีจริงๆ นะครับ”

“งื้อ พี่นัทจะตีหนึ่งจริงๆ เหรอครับ”

“จิ๊ มาทำเป็นอ้อนเสียงเล็กเสียงน้อย คิดว่าทำแบบนี้แล้วพี่จะหายโกรธเหรอ?” พี่นัทจิ๊ปากแล้วก้มมองผม จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น ผมเลยเขย่งเท้าขึ้นจุ๊บปลายคางพี่นัทไปทีนึง แล้วก็อ้อนต่อ

ผมเห็นว่าพี่นัทหูแดง ก็รู้เลยว่าพี่นัทน่ะใจอ่อนไปแล้ว ผมเลยเพิ่มระดับการอ้อนขึ้น พูดเพราะๆ ทำตาวิ๊งๆ ใส่ แถมยิ้มหวานให้ด้วย ไม่ยอมก็ให้รู้ไปสิ

“แล้วที่รักจะไม่หายโกรธเค้าเหรอ?” พี่นัทก้มลงมามองผมแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะใช้ทั้งสองดึงดึงแก้มผม

“หายสิคร๊าบ น่ารักแบบนี้ใครจะไปโกรธลงล่ะ”

พี่นัทยืนดึงแก้มแล้วถามสาเหตุที่ผมหายไปทั้งวันสักพักก็พาผมเข้าบ้าน เพราะอยู่นานๆ  ชักจะโดนยุงกัดเยอะ พอเข้าไปเราก็กินข้าวมื้อเย็นกัน ผมรู้สึกสนิทและคุ้นเคยกับครอบครัวพี่นัทมากขึ้น อาการประหม่าก็น้อยลง เพราะทุกคนก็ชวนผมคุยตลอด แถมยังใจดีมีขนมให้ผมกินเยอะแยะไปหมด

พอกินข้าวกินขนมกันเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องนอน  ผมก็รีบเปิดแลปทอปที่ติดตัวมาพอดีปรับแต่งภาพให้กับลุงกร เกรงใจค่าแรงครับเลยอยากทำให้เสร็จเร็วๆ ไม่กล้าอู้นาน

“หนึ่งครับ นี่มันดึกแล้วนะ ไปอาบน้ำแล้วมานอนกันเถอะ” พี่นัทเรียกจากบนเตียง ตอนนี้มันก็เวลาเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมอยากทำให้เสร็จคืนนี้เลย เหลืออีกแค่ไม่กี่ภาพเอง

“พี่นัทนอนไปก่อนเลยครับ ผมอยากทำภาพของลุงกรให้เสร็จก่อน”

“ไม่เอาอ่ะ พี่อยากนอนพร้อมหนึ่งนี่ครับ”

“ถ้าพี่นัทง่วงก็หลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมก็เสร็จแล้ว” ผมพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าจอ

“พ่อนะพ่อ แทนที่จะได้นอนกอดเมียดีๆ ยังส่งงานมาขัดขวางกันอีก” พี่นัทบ่นกระงอดกระแงดอยู่พักหนึ่ง แล้วเสียงก็เงียบไป พอผมหันไปอีกที คนที่บอกว่าอยากนอนพร้อมผมก็หลับไปก่อนซะแล้ว ผมยิ้มแล้วก็กลับมาทำงานตัวเองต่อ

ผมนั่งทำอยู่สักพักก็เสร็จ เวลาก็ตีสองกว่าๆ แล้ว ผมตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วก็จัดการโอนไฟล์ใส่ USB ที่ลุงกรให้มา ผมปิดคอมไปอาบน้ำแล้วก็มานอนกับพี่นัท

ผมค่อยแทรกตัวเข้าผ้าห่มเบาๆ เพราะกลัวว่าพี่นัทจะตื่น จนจัดท่าตัวเองเรียบร้อยแล้วกำลังจะหลับตานอน คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วก็สอดมือเข้ามาดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้ๆ กับตัวเอง

“พี่นัท ผมนึกว่าพี่หลับไปแล้ว” ผมพลิกตัว หันหน้าเข้าหาพี่นัทแล้วก็พูด ตอนนี้ทั้งห้องมืดไปหมด สายตาผมก็ยังไม่ชินความมืด เพราะเพิ่งจะปิดโคมไฟไป ผมเห็นแค่หน้าพี่นัทลางๆ แค่นั้น ไม่รู้ว่าหลับตาหรือลืมตาอยู่

“ไม่มีหนึ่งนอนข้างๆ แล้วมันหลับไปสนิท”

พี่นัทพูดแล้วก็ดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้อีก เปลี่ยนให้ผมนอนหนุนแขนพี่นัทแทนหมอน แล้วพี่นัทก็ใช้ตัวเองห่อผมไว้อีกที อบอุ่นสุดๆ  รู้สึกอบอุ่นจนร้อนเลยล่ะครับ

ผมเอื้อมมือกอดเอวพี่นัทไว้แล้วก็ซุกหน้าลงกับซอกคอพี่นัทและหลับตาลง หลังจากที่เงียบไปซักพัก เขาก็พูดขึ้นช้าๆ  เหมือนคนละเมอ

“พี่อยากหลับไปพร้อมกับหนึ่งแบบนี้ทุกคืน พี่รู้สึกมีความสุขที่มีหนึ่ง”

“...ผมก็มีความสุขที่มีพี่”

ผมพูดเสียงเบาๆ  แต่มั่นใจว่าพี่นัทได้ยินชัดแน่นอน เพราะหลังจากที่สิ้นเสียงผม พี่นัทก็กอดผมแน่นขึ้น มันไม่ได้อึดอัด แต่มันอบอุ่น...อุ่นใจ

“พี่มีความสุขที่ได้รักหนึ่ง” พี่นัทพูดเสียงเบาและช้าลงเรื่อยๆ  คงจะง่วงจนพูดไม่ไหวแล้ว ผมเลยขยับใบหน้าแล้วจูบเบาๆ ตรงคอพี่นัท

“ผมก็มีความสุขที่ได้รักพี่ครับ”

 
#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เจอครอบครัวว่ามี่ซะมีแล้ว แถมพ่อซะมีสายเปย์ซะด้วย  :katai2-1:

เหลือครอบครัวน้องจะโอเคมากๆ เหมือนกันหรือเปล่าน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
30 : ครอบครัวเดียวกัน 2


“อูย...” ผมรู้สึกตัวขึ้นช้าๆ  เมื่อรู้สึกว่าคนข้างตัวผมขยับเล็กน้อยพร้อมกับเสียงโอดโอยแล้วเงียบไป ผมมองหน้าต่างก็เห็นว่าฟ้ายังไม่สว่างดีเลย บวกกับที่ยังง่วงอยู่ ผมก็เบียดตัวเข้าหาพี่นัทแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง

“หนึ่งครับ ตื่นเถอะ” ผมได้ยินเสียงนุ่มๆ แล้วก็มืออุ่นที่ลูบไปตามแก้ม ยิ่งเจอแบบนี้ยิ่งไม่อยากตื่นเลย อยากจะนอนกอดกับพี่นัทแบบนี้ไปทั้งวัน ยิ่งคิดผมก็ตวัดแขนโอบเอวพี่นัทแล้วก็กอดไว้หลวมๆ

“เจ้าเตี้ยขี้เซา ตื่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” พี่นัทพูดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมืออุ่นที่ลูบนั้นก็เปลี่ยนเป็นบีบแก้มผมแทน

“อื้อ” ผมครางในลำคออย่างขัดใจเล็กน้อย แล้วก็ลืมตาค้อนใส่พี่นัทไปทีนึง แต่พอลืมตาปุ๊บก็เจอรอยยิ้มละมุนปั๊บ อาการขัดใจที่โดนปลุกก็หายไปทันทีเลย

“อรุณสวัสดิ์ครับ” พี่นัททักทายตอนเช้าพร้อมกับดันตัวผมออก แต่ผมไม่ยอม เบียดตัวเข้าหาพี่นัท ซุกหน้ากับซอกคออุ่นๆ  แต่ดูเหมือนว่าพี่นัทก็ยังพยายามที่จะดันตัวผมออกอยู่ดี ผมบุ้ยปากแล้วเงยหน้ามองพี่นัท

“ดันผมออกทำไม ผมอยากกอดพี่นี่ครับ”

“พี่ก็อยากนอนให้หนึ่งกอดครับ แต่ว่าหนึ่งลุกขึ้นดีกว่าครับ”

“ผมยังไม่อยากลุก นี่วันหยุดนะครับ ผมอยากนอนกอดพี่!” ผมส่ายหน้าแล้วเริ่มงอแง และพูดเสียงแข็งใส่พี่นัทผมอยากกอดเขาอ่ะ พี่นัทไม่อยากกอดผมรึไง ทีเมื่อคืนยังบอกว่ายังอยากนอนกอดผมอยู่เลย ผ่านมาแค่คืนเดียวทำไมกลับคำแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวงอนซะเลยนี่

“โอย  พี่ก็อยากนอนกอดหนึ่ง แต่ตอนนี้แขนพี่เป็นเหน็บชาไปทั้งแขนแล้วครับ หนึ่งรีบลุกออกไปก่อนเถอะนะครับ พี่รู้สึกเหมือนจะเป็นตะคริวแล้วด้วย”

พี่นัทพูดจบผมก็รีบลุกขึ้น มองไปที่แขนพี่นัทที่วางราบกับเตียง ส่วนพี่นัทก็พยายามใช้มืออีกข้างบีบนวดไปตามต้นแขน พร้อมกับร้องโอดโอยไปด้วย

“พี่นัท ผมขอโทษ ผมไม่รู้...ก็พี่ไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้นี่ครับ” ผมขยับตัวนั่งแล้วก็รีบบีบนวดไปตามแขนของพี่นัท ปากก็พูดโบ้ยความผิดไปให้คนตัวสูงที่นอนโอดอวยอยู่ ทั้งๆ ที่สาเหตุที่ทำให้พี่นัทแขนชาก็มาจากผมนี่แหละครับ ก็พี่นัทเล่นวางแขนมาให้ผมใช้หนุนแทนหมอนทั้งคืนเลย

“ครับๆ  พี่ผิดเองที่ไม่บอกหนึ่ง โอย” ผมบีบไปตามแขนและมือ พี่นัทก็พยายามขยับนิ้ว กำเข้าและแบออก เวลาผ่านไปนานพอสมควร อาการแขนชาดีขึ้น พี่นัทลุกขึ้นนั่ง แล้วยิ้มให้ผม

“พี่ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” ผมถามแต่มือก็ยังบีบแขนพี่นัทอยู่

“หายแล้วครับ ไม่ชาแล้ว” พี่นัทบอกแล้วกำมือแบมือโชว์ผม พอเห็นว่าพี่นัทคงจะหายแล้ว ก็หยุดนวดแล้วถอนหายใจออกมา และกำลังจะลุกออกจากเตียงเพิื่อไปเข้าห้องน้ำ แต่จู่ๆ ก็โดนพี่นัทดึงลงให้ไปนอนกับเตียงอีกครั้ง

“เหวอ!! พี่นัทจะ หวา~ พี่จะทำอะไรครับ” ผมตกใจเมื่อจู่ๆ ก็โดนดึงแล้วก็ตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆ พี่นัทแยกขาผมออกพร้อมๆ กับที่ตัวพี่แกแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางหว่างขาผมอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพี่นัทก็เหยียดตัวนอนยาว แล้วซบหน้าลงกับหน้าท้องของผม

“ก็หนึ่งบอกว่าอยากนอนกอดพี่นี่ครับ” พี่นัทมุดหน้าเข้าไปในเสื้อของผมแล้วแนบริมฝีปากลงกับหน้าท้องเปลือยเปล่าจนผมเกร็งหน้าท้องเล็กน้อย

“อื้อ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับผมอยากเข้าห้องน้ำ ผมปวดฉี่ครับ” ผมพูดแล้วก็บิดขาเข้าเล็กน้อย แต่พี่นัทก็ไม่ยอมหยุด ประทับจูบเบาๆ ไปทั่วหน้าท้องและเลยขึ้นมาที่หน้าอก มือข้างหนึ่งของพี่นัทก็กดลงที่ท้องน้อยของผม ทำเอาผมเกร็งตัวแทบไม่ทันเลย ก็แหม่...คนยิ่งปวดฉี่อยู่ มากดท้องน้อยกันแบบนี้ นี่อันตรายสุดๆ เลย

“นุ่มนิ่มดีจัง น่ากัด น่ากิน”

หงับ!

“อ๊ะ! พี่นัท!”  ผมสะดุ้ง เกร็งขาเกร็งหน้าท้อง เมื่อพี่นัทงับเข้าที่หัวนมผมอย่างกะทันหัน ผมมองลอดคอเสื้อของตัวเองก็มองเห็นว่าพี่นัทกำลังงับและดูดตรงยอดอกผมอยู่

“ข้างนี้ก็น่ากิน~” พี่นัทช้อนตามองผม แล้วก็ย้ายไปอีกข้าง ผมแหงนหน้าขึ้น บิดขาตัวเองเข้าหาตัวพี่นัท เกร็งหน้าท้องแน่น มือก็ดันหัวพี่นัทออก ยิ่งพี่นัทดูดผมก็รู้สึกเหมือนฉี่จะราดเอาให้ได้เลย

“อื่อ พี่นัท ผมไม่ไหวแล้วจะราดแล้ว ฮือ” ผมร้องครวญคราง หลับตาปี๋ อยากจะร้องไห้จริงๆ  ยิ่งมีตัวพี่นัทกดท้องน้อยผมอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งไปกระตุ้นให้ผมปวดมากกว่าเดิมอีกครับ

“อืม หนึ่งดูนี่สิ สีสวย แวววาวน่ากินมากเลย” พี่นัทชวนให้ผมมองยอดอกของตัวเองที่เป็นสีเรื่อๆ และตั้งชันเพราะโดนพี่นัทดูด อีกทั้งยังดูแวววาวเพราะน้ำลายของพี่นัทอีกด้วย

“ผมปวดฉี่ ผมจะฉี่ราดที่นอนพี่แล้วนะครับ” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อพี่นัทไม่ยอมลุกออกจากตัวผมซักที

“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปห้องน้ำนะครับ” พี่นัทยิ้มหวาน ลุกออกจากตัวผม แล้วเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาใส่ แล้วดึงตัวผมให้ลุกขึ้น จับแขนผมให้กอดคอและจับขาผมให้โอบเอวพี่นัทไว้ หลังจากนั้นก็อุ้มผมขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปห้องน้ำ

“พะ...พี่ ผมเดินมาเองก็ได้นะ” ผมบอก พี่นัทอุ้มผมมาในห้องน้ำ และปล่อยผมลงตรงหน้าชักโครก ผมรีบปลดกางเกงของตัวเองลงเตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อย แต่พี่นัทที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้ามายืนซ้อนหลัง

“เดี๋ยวพี่ช่วยนะครับ”

“ช...ช่วยอะไร...” ผมพูดเสียงเบาหวิว เมื่อเริ่มเข้าใจว่าพี่นัทจะช่วยอะไรผม

พี่นัทใช้มือข้างซ้ายจับทั้งสองมือและชายเสื้อของผมไว้ ส่วนมือขวาของพี่นัทก็ลูบลงไปตามหน้าท้อง ท้องน้อย ก่อนที่จะจับเข้าที่เจ้าหนูของผม ก่อนที่จะเล็งไปที่ชักโครก เล่นเอาผมเกร็ง ฉี่ไม่ออกไปเลยทีเดียว

“ปล่อยออกมาสิครับ” ใครจะไปปล่อยได้ล่ะ ทั้งจ้องทั้งจับขนาดนี้ น่าอายจะตาย

“ไม่เอา แบบนี้น่าอายเกินไป อื้อ...” พอผมปฏิเสธ แต่มือพี่นัทที่ยึดข้อมือผมไว้ก็กดลงไปเบาๆ  ตรงหน้าท้อง ทำเอาฉี่ผมเล็ดออกมาเล็กน้อย

“ปล่อยสิ อั้นไว้ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” พี่นัทพูด แล้วก็กดหน้าท้องผมหนักขึ้น ผมกัดปากตัวเองแน่น เหลือบตามองค้อนใส่คนที่อยู่ด้านหลัง ผมเอาแต่ยืนบิดขาไปมา ไม่ยอมฉี่ออกมาซักที พี่นัทก็ยิ่งกดท้องน้อยผมแรงขึ้น จนผมที่ปวดฉี่จนทนไม่ไหวอีกต่อไปก็ต้องปล่อยสายน้ำออกมา

จ๊อก~

“ฮือ โรคจิต...พี่นัทโรคจิต”

ผมก้มหน้าหลับตาปี๋ รู้สึกร้อนไปทั้งใบหูและหน้า อยากจะร้องไห้ออกมา ทั้งๆ ที่ด้านล่างก็ยังปล่อยน้ำออกมาไม่หยุด น่าอายจริงๆ  เพราะพี่นัทคนเดียวเลย พี่นัทโรคจิต

“หึหึ น่ารักจัง” พี่นัทพูดแล้วก็จุ๊บตรงหลังคอของผมเหมือนปลอบใจ

“พี่นัทโรคจิต” ผ่านไปครู่เดียวผมก็ปล่อยจนหมดก๊อก พี่นัทก็จัดการทำความสะอาดให้จนเรียบร้อย ผมมองพี่นัทตาขวาง ทำปากยื่นปากยาวใส่

“ทำไมมองแบบนั้นล่ะครับ อยากลองทำดูมั้ยครับ พี่ว่ามันก็ตื่นเต้นดีนะ พี่รู้สึกปวดฉี่อยู่พอดีเลยด้วย”

“...พี่นัทโรคจิต นิสัยไม่ดี”

“ฮ่าฮ่าฮ่า โรคจิตแล้วรักมั้ยล่ะ? นิสัยไม่ดีแล้วรักมั้ยล่ะ?” พี่นัทพูด ยิ้มกว้างทำหน้าตาทะเล้นน่ารัก แล้วเอามือมาแตะๆ แกล้มผมเหมือนหยอกเล่น

“ไม่รู้ หู้วว” ผมปัดมือพี่นัท แล้วถอดเสื้อออกเตรียมจะอาบน้ำ

“จะอาบน้ำเหรอ พี่อาบด้วยสิ จะได้ประหยัดเวลา” พี่นัทพูดแล้วทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาหาผม พลางถอดชุดนอนของตัวเองออกไปด้วย

“อาบด้วยกันได้ แต่ห้ามทำอะไรผมนะ ถ้าพี่ทำ...ตอนที่ไปบ้านผม ผมจะให้พี่นอนนอกห้อง” ผมบอกพี่นัทไว้ ไม่ได้ขู่ด้วย อยู่บ้านพี่นัทผมไม่มีสิทธิสั่ง แต่ถ้าอยู่บ้านผม ผมจะทำอะไรกับพี่นัทก็ได้ หึ!

“โถ่ ทำไมดักคอกันแบบนี้ล่ะครับ มีของน่ากิน น่าฟัด น่าขย้ำอยู่ตรงหน้า ใครจะอดใจไหว”

พี่นัทยังคงบ่นต่อไป แต่ก็ทำตามที่ผมบอก ไม่ได้มาลุ่มล่ามอะไรมาก พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พี่นัทก็พาผมลงด้านล่าง เจอคุณแม่ลิซ่าทำข้าวเช้าอยู่พอดีก็เลยเข้าไปช่วย จนตอนประมาณแปดโมงกว่าๆ  ทุกคนตื่นกันครบ เราก็ตั้งโต๊ะกินข้าวเช้ากัน

“อ๊ะ ลงกรครับ นี่รูปภาพของเมื่อวาน ผมทำเสร็จแล้ว แยกไฟล์ไว้แล้วด้วยครับ” ก่อนที่จะทานข้าว ผมส่ง USB ให้ลุงกร แล้วก็อธิบายไฟล์ภาพให้ลุงกรฟังเล็กน้อย

“อื้ม ทำเสร็จเสร็จเร็วจัง เดี๋ยวพ่อให้ทิปเพิ่มนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ที่คุณลุงให้ผมมาก็เยอะมากๆ เลยครับ ลุงกรไม่ต้องให้ผมเพิ่มแล้วครับ” ผมรีบปฏิเสธทันที ขืนรับเงินมาเยอะกว่านี้ ความเกรงใจผมคงจุกอกตาย

“แหม ว่าจะพูดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมยังเรียกลุงอยู่อีกล่ะ พ่อก็เรียกแทนตัวเองว่าพ่อแล้วไง หนึ่งก็เรียกพ่อว่าพ่อบ้างสิ พ่อกร อ่ะลองเรียกสิ”

“เอ่อ...”เมื่อลุงกรอยากให้ผมเรียกแทนตัวเองว่าพ่อ ผมก็เกิดอาการปากแข็งขึ้น มันยังไม่ชินนี่ ให้มาเปลี่ยนกะทันหันก็แปลกๆ อ่ะครับ

“ไม่ยอมเรียก พ่อจะสั่งให้แต้มมาขย้ำให้เหลือแต่กระดูกเลย แต้ม!!” ว่าแล้วลุงกรก็ตะโกนเรียกเจ้าหมายักษ์ลั่นบ้าน

โฮ่ง!!

ทันที่ลุงกรเรียก เจ้าแต้มที่ก่อนหน้านี้ ไปมุดอยู่รูไหนก็ไม่รู้ วิ่งหูกระเพื่อมมาเลย แถมวิ่งน้ำลายเยิ้มมาทางผมอีกด้วย จนผมตกใจรีบหลบหลังพี่นัททันที

“หวา! ผมจะเรียกครับ!”

“เหรอ งั้นเรียกสิ” ลุงกรลูบหัวเจ้าหมาแต้มเล็กน้อย เจ้ายักษ์นั่นก็นั่งลงอย่างว่าง่าย แต่ตานั่นดันจ้องมาทีผมอย่างเดียวเลย

“พ...พะ...” ผมตะกุกตะกัก ทั้งประหม่าที่ต้องเรียก ทั้งกลัวเจ้ายักษ์ที่นั่งน้ำลายยืดอยู่อีก

“แต้ม!” พอเห็นผมเอาแต่ติดอ่าง ลุงกรก็เรียกชื่อแต้ม เจ้าหมายักนั่นลุกขึ้นทันที จนผมต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่นัท

“พี่นัท ช่วยผมหน่อย”

“หนึ่งก็เรียกไปสิครับ ตอนนี้พ่อของพี่ก็เหมือนพ่อของหนึ่ง เร็วสิ ถ้าไม่รีบระวังแต้มงับจริงๆ นะ” นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังขู่ให้กลัวด้วย

“พะ พะ พะ...”

“แต้ม ไปกัดให้จมเขี้ยวเลย!”  ลุงกรตบก้นเจ้าแต้มทีนึง เจ้ายักษ์นั่นเตรียมท่าจะกระโจนใส่เต็มที่ ทำเอาผมตาเหลือกเลยทีเดียว

“พ่อกร!” ผมตระโกนเรียกเสียงดังจนคุณมาคัสกับพี่พายที่เพิ่งเดินลงมาพากันตกใจ

“เอ้อ แกล้งสนุกนะเราเนี่ย” ลุงกรหัวเราะชอบใจ ก่อนที่จะดึงคอเจ้าแต้มให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ส่วนผมก็ยืนสติกระเจิงอยู่ที่เดิม มีพี่นัทกับพี่พายคอยปลอบอยู่

พอลุงกร อ๊ะ! ไม่ใช่สิ พอพ่อกรกลับมา ทุกคนก็เริ่มทานข้าวเช้ากัน

“พรุ่งนี้นัทจะไปต่างจังหวัดนี่ จะออกกี่โมง เดี๋ยวแม่ตื่นมาทำข้าวเช้าให้” คุนแม่ลิซ่าถามพี่นัท

“ไม่เป็นไรครับ ผมออกกันแต่เช้า รถจะได้ไม่ติด”

“แล้วจะไม่กินข้าวเช้าเหรอ ลูกสะใภ้ฉันยิ่งกินเก่งๆ อยู่ อย่าปล่อยให้หิวสิ เดี๋ยวพ่อให้โดนัทไปกินระหว่างทางนะ” คราวนี้ลุงกร เอ๊ย! คุณพ่อกรพูด ทำเอาผมหน้าแดงทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ก็แกเรียกผมว่าลูกสะใภ้ได้เต็มปากขนาดนั้น ผมก็รู้สึกเขินๆ สิครับ

“ลูกสะใภ้พ่อก็เมียผมป่ะล่ะ ไม่ปล่อยให้อดตายหรอกครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ตักกับข้าวมาใส่จานให้ผม

“แล้วพรุ่งนี้จะเตรียมอะไรไปสู่ขอล่ะ ได้เตรียมของไว้รึยัง” พ่อกรถามพี่นัท ผมก็งงว่าสู่ขออะไร ผมเลยหันไปมองพี่นัทถามทางสายตา

“ทางบ้านตองหนึ่งเขาชอบกินกาแฟกับคุ๊กกี้กันครับ ผมเลยเตรียมเม็ดกาแฟพันธ์ดีกับคุ๊กกี้ที่ผมทำไว้ให้ครับ”

“หะ สู่ขออะไรครับ ทำไมผมไม่รู้เรื่อง” ผมพูดแทรกขึ้นไป อาจจะดูไม่มีมารยาท แต่นี่มันคือเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวผม ผมจึงอยากรู้จนทนไม่ไหวจริงๆ

“อ่าว…”พี่พายมองหน้าผม แล้วก็หันไปมองพี่นัท ทุกคนก็หยุดทาน แล้วมองผมกับมองพี่นัทกันเลิกลั่กไปหมด ทำไมทุกคนดูรู้เรื่องกันหมดแล้ว ยกเว้นผม ผมเนี่ยยังงงอยู่เลย

“คือพรุ่งนี้ เราจะไปเยี่ยมพ่อแม่หนึ่งกันใช่มั้ยครับ” พี่นัทวางช้อนแล้วหันมาพูดกับผม

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า พี่นัทยื่นมาจับแก้มผมและลูบเบาๆ

“พี่คิดว่าไหนๆ ก็ไปแล้ว แล้วพี่ไม่อยากจะคบหนึ่งแบบหลบๆ ซ่อนๆ หรือต้องปกปิดใครซักเท่าไร...อยากทำให้มันถูกต้องที่สุด”

“...”

“พี่ก็เลยตัดสินใจที่จะบอกเรื่องของเราให้พ่อแม่ของหนึ่งได้ทราบครับ” พี่นัทพูดแล้วยิ้มละมุน ผิดกับผมที่ยังคงนั่งนิ่งๆ มองพี่นัทอยู่

“แล้วถ้าพ่อผม แม่ผม ไม่ยอมรับล่ะครับ ถ้าเขาไม่ยอมให้เราคบกัน หรือถ้าพ่อแม่ผมรังเกียจผมล่ะ”ผมขมวดคิ้ว พอคิดตามที่พี่นัทพูด ผมก็กลัวๆ ขึ้นมา

“หนึ่งใจเย็นๆ สิครับ พี่คิดว่าพ่อแม่ของหนึ่งไม่รังเกียจหรอกครับ”

“ใช่ พ่อคิดว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะรังเกียจลูกเพราะเรื่องแค่นี้หรอก” พ่อกรพูดขึ้น ผมมองหน้าทุกคนที่ส่งยิ้มให้กำลังใจให้ผม

“แต่ผมกลัว ผมกับน้องเป็นผู้ชายทั้งคู่ แล้วก็เป็นแบบนี้ทั้งคู่ด้วย แม่เคยบอกว่าแม่อยากอุ้มหลาน อยากมีหลาน แต่ผมมีให้แม่ไม่ได้ ตองสองก็คงทำไม่ได้ ผมไม่กล้าบอก ผมกลัวแม่รับไม่ได้ กลัวพ่อรับไม่ได้” ผมพูดออกมาเสียงเบา แค่คิดถึงตอนที่ผมบอกความจริง แล้วแม่ต้องร้องไห้ หรือพ่ออาจจะไล่ผม...ผมก็กลัว

ตอนนี้ผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่ความกลัวที่อยู่ในใจตอนนี้ ผมไม่รู้จะจัดการยังไง คนที่กลัว ยังไงก็กลัวอยู่ดี ต่อให้คนอื่นมาปลอบว่าจะไม่เป็นไรก็เถอะ

“ถ้าหนึ่งกลัวก็ไม่เป็นไรครับ หนึ่งไม่อยากให้พี่บอกจริงๆ  พี่ไม่บอกพ่อแม่หนึ่งก็ได้ เราคบกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ  รอให้หนึ่งพร้อมแล้วเราค่อยบอกกันก็ได้นะครับ อย่าคิดมากนะ” พี่นัทพูดเสียงนุ่ม

“พอๆ  อย่าเพิ่งเครียดกันเลย มากินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะก่อน” ลุงกรพูดชวนให้ทุกคนกินข้าว ระหว่างมื้อเช้าผมก็แอบมองหน้าพี่นัทอยู่เรื่อยๆ  พี่นัทอยากจะบอกเรื่องราวของเราให้พ่อแม่ของผมรู้ ในขณะที่ผมคิดว่าจะปิดไปตลอด...อาจจะปิดไม่ได้นาน แต่ก็ไม่มีความคิดว่าจะบอกความจริงกับพ่อแม่ตัวเองในเร็วนี้ๆ

 

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1


พอทุกคนกินข้าวเช้ากันเสร็จ ก็แยกย้ายกันไป คุณมาคัสพาพี่พายไปตรวจครรภ์ ส่งลุงกรกับคุณแม่ลิซ่าเดินเล่นกันอยู่ในสวน ส่วนผมก็มาช่วยพี่นัททำคุ๊กกี้อยู่ในครัว

“ทำไมเงียบจัง เครียดเหรอครับ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มให้พี่นัท มือก็คนส่วนผสมในอ่างแก้วต่อไป พี่นัทที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  เท้ามือลงกับเคาน์เตอร์ครัวแล้วก้มหน้าลงมามองผม

“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกหนึ่งก่อน ไม่ได้ปรึกษาเรื่องที่จะบอกนั่น” พี่นัทยิ้มให้ผม พอผมไม่ได้ตอบอะไร พี่แกก็ขยับเข้ามาหอมแก้ม “โกรธพี่เหรอครับ?”

“ทำไมพี่นัทถึงอยากให้บอกเรื่องของเราให้พ่อแม่ผมรู้ล่ะครับ พี่นัทกลัวว่าผมไม่รักพี่นัทเหรอครับ พี่นัทกลัวว่าผมไม่จริงจังกับพี่นัทเหรอครับ”

ผมพูดตามที่ตัวเองคิด ที่พี่นัทอยากจะบอกพ่อแม่ของผม อาจเป็นเพราะว่า พี่นัทไม่มั่นใจในตัวผมรึเปล่า พี่นัทอาจจะคิดว่าที่ผมไม่บอกเรื่องนี้กับครอบครัวตัวเอง อาจเป็นเพราะผมไม่คิดจะจริงจังกับพี่นัทรึเปล่า

“ไม่ใช่แบบที่หนึ่งคิดนะครับ เพราะพี่รู้ว่าหนึ่งรักพี่มาก พี่รู้ว่าหนึ่งจริงจังกับพี่ เหมือนกับที่พี่รู้สึกรักและจริงจังกับหนึ่ง พี่เลยอยากจะจัดการเรื่องราวของเราให้เข้าที่เข้าทาง ให้พ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายรับรู้และเข้าใจเรื่องราวความรักของเรา…”

“...”

“พ่อแม่ของพี่ก็รักหนึ่งเหมือนลูก พี่ก็อยากให้พ่อแม่ของหนึ่งรักพี่เหมือนลูกด้วยเช่นกัน”

“...” พี่นัทจับตัวผมให้หันหน้าเข้าหา แล้วพี่นัทก็ใช้ทั้งสองมือประคองแก้มผมไว้ ก่อนที่จะมองตาผม

“พี่อยากทำให้เราทั้งสองคนเป็นครอบครัวเดียวกัน…” พี่นัทยิ้มหวานแล้วก้มลงมาจุ๊บปากผม ทาบทับไว้แบบนั้นอยู่สักพักแล้วก็ผละออก มองตาผมด้วยแววตาที่จริงจังของพี่นัท

“ฮึก ผมก็อยากเป็นครอบครัวกับพี่นัท ผมรักพี่นัทอ่ะ อยากมีพี่ไปตลอด” พอพี่นัทผละ ผมก็โผกอดพี่นัทไว้ ทำท่าจะร้องไห้เพราะความกังวลนนี้แต่ก็อึบเอาไว้ได้

ช่วงบ่ายพี่นัทพาผมไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ ส่วนใหญ่ก็วัตถุดิบแห้งเพื่อทำขนมนั่นแหละครับ ซื้อเตรียมไว้ก่อนที่ร้านเปิด พอซื้อเสร็จพี่นัทก็ชวนผมทานข้าวแล้วเดินเล่นอยู่ซักพักก่อนที่จะพากันกลับ เพราะพี่นัทเห็นว่าผมดูไม่ค่อยสนุกเท่าไร  ผมพยายามยิ้มกับหัวเราะเยอะๆ แล้วนะ แต่พี่นัทก็ดูออกอยู่ดี

ตลอดวันผมก็เอาแต่คิดเรื่องพ่อแม่ตัวเองอยู่ตลอด ถึงพี่นัทจะบอกว่า ถ้าผมยังไม่พร้อม พี่นัทก็จะไม่บอกพ่อแม่ผม แต่ผมก็อยากทำให้มันเข้าที่เข้าทางเหมือนที่พี่นัทพูด ผมควรที่จะกล้ามากกว่านี้ ควรจะจัดการอะไรบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งเฉยๆ  แล้วบอกว่ารักพี่นัทแต่ไม่ยอมทำอะไรเลย

พอทานข้าวเย็นเสร็จ ทุกคนก็นั่งคุยกันอยู่สักพัก คุยเรื่องของผม ส่วนใหญ่ก็ให้กำลังใจ บอกไม่ให้ผมเครียดแต่ผมห้ามตัวเองไม่ให้เครียดไม่ได้จริงๆ  ยิ่งเห็นว่าครอบครัวพี่นัทอบอุ่นและใส่ใจผมมากเท่าไร ผมก็คิดถึงครอบครัวตัวเองมากเท่านั้น ผมอยากให้ครอบครัวของผม พ่อแม่ของผม เข้าใจและยอมรับจริงๆ  อยากทำให้เราเป็นครอบเดียวกัน เหมือนที่พี่นัทต้องการ...

 

“พร้อมยังครับ?” พี่นัทถามขณะที่เราช่วยกันขนของขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปบ้านผม ผมพยักหน้าและยิ้มให้ พอเก็บของกันเสร็จก็เข้าบ้านไปบอกลาพ่อกรและคุณแม่ลิซ่าที่อุตส่าตื่นมาส่งพวกเรา ผมกับพี่นัทกินกาแฟกับโดนัทที่พ่อกรให้ไว้เป็นอาหารเช้า ก่อนที่จะขับรถมุ่งไปที่บ้านผมรวดเดียวเลย การจราจรในกรุงเทพช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ไม่ติดขัดเลยครับ แต่พอเข้าเขตต่างจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้นแหละ รถติดยาวมาก กว่าจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ

“ต้นไม้เยอะมากเลย” พี่นัทพูดขึ้น เมื่อขับรถเข้ามาในเขตของบ้านที่เป็นสวน

บ้านของผมอยู่ต่างจังหวัด ที่บ้านเป็นสวนผลไม้  พ่อกับแม่เป็นชาวสวน  มีคนงานอยู่นิดหน่อย ฐานะก็ปานกลาง พอมีพอใช้ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก บ้านก็เป็นบ้านไม้สองชั้น ร่มรื่นน่าอยู่ มีสัตว์เลี้ยงเป็นแมวอยู่ 4 ตัว

“พ่อ! แม่!” ลงจากรถได้ ผมก็ตะโกนเรียกพ่อแม่ตัวเองลั่นสวน ไม่นานก็เห็นพ่อกับแม่และตองสองเดินออกจากสวนมาหาผม ผมรีบวิ่งไปกระโดดกอดแม่ทันที

“กว่าจะกลับมาได้นะ” พ่อพูด ผมก็ยิ้มๆ แล้วก็รีบไปออเซาะพ่อทันที

“สวัสดีครับคุณน้าคุณอา” พี่นัทสวัสดีพ่อแม่ของผม แล้วก็หันไปยักคิ้วข้างเดียวให้กับตองสอง ผมล่ะเกลียดท่าทักทายของสองคนนี้จริงๆ เลย

“สวัสดีจ้า ขอบใจที่พาตองหนึ่งมานะ กินข้าวกันมายัง เดี๋ยวแม่หาอะไรให้กิน”

“ยังเลยครับ ผมหิวมากๆ เลย” ผมพูดอ้อนแม่ตัวเอง แล้วก็เดินตามแม่เข้าไปในบ้าน

ผมกับพี่นัทกินข้าวกันจนอิ่มก็เอาเสื้อผ้าไปเก็บบนห้อง แม่ให้พี่นัทนอนห้องเดียวกับผม เพราะคิดว่ายังไงเราก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่เตรียมเตียงเล็กกับที่นอนให้ จะได้ไม่นอนเบียดกันมาก แต่เตรียมไปเท่านั้นแหละ ผมว่ายังไงๆ ผมกับพี่นัทก็นอนเตียงเดียวกันอยู่ดี แต่เพื่อไม่ให้แม่สงสัยก็ต้องตามน้ำกันไป พอจัดที่นอนเสร็จพ่อกับแม่ก็พาพี่นัทเข้าสวน ส่วนผมขอนอนเล่นกับแมวอยู่บ้านดีกว่า

“อ่าว พี่ ไม่ได้ไปกับพ่อแม่เหรอ” ตองสองเดินนั่งข้างผม ตรงระเบียงชั้นสอง ช่วงบ่ายแบบนี้ลมเย็นมาก แล้วบ้านผมที่ต้นไม้เยอะขนาดนี้ ร่มรื่นน่านอน น่านั่งไปหมด

“หึ ขี้เกียจเดินแล้ว นอนตากลมอยู่ที่นี่ดีกว่า”

“อืม” สองตอบผมแค่นั้นแล้วก็นั่งเล่นแมวไปเงียบ ผมมองหน้าน้องชายตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง

 “สอง…”

“หืม...” สองครางรับเบาๆ  ไม่ได้เงยหน้ามองผม เพราะมัวแต่ถ่ายรูปแมวอยู่ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดไป

“พี่คิดว่า…จะบอกพ่อกับแม่ เรื่องของพี่และพี่นัท” ตองสองชะงักไป ก่อนที่จะค่อยเงยหน้ามองผม

“พี่จะบอกตอนไหน”

“ไม่รู้ ก็คงหาจังหวะดีๆ บอกนั่นแหละ”

“อืม…”

“...”

“แล้วถ้าพ่อกับแม่รับไม่ได้ล่ะ พี่จะทำยังไง” ผมมองตาน้องชายตัวเอง ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่ตองสอง ไม่ได้มีแต่ผมที่กลัว แต่ตองสองที่ดูแข็งแกร่งกว่าผมก็กลัวเหมือนกัน เราทั้งคู่ไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ เราทั้งคู่ไม่อยากให้พ่อแม่รังเกียจเราเหมือนกัน

“ไม่รู้สิ แต่พี่ไม่อยากปิดบัง มัน...อึดอัด อยากทำอะไรให้ชัดเจนไปเลย ไม่อยากหลอกให้ความหวังพ่อกับแม่ด้วย”

ตองสองพยักหน้าเข้าใจ พ่อกับแม่หวังให้ผมและตองสองแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัวที่ดี มีลูกที่น่ารัก มีหลานให้พ่อกับแม่อุ้ม ผมคิดว่าการที่ไม่ยอมบอกเรื่องรสนิยมของเราให้พ่อแม่ได้รู้สักที ก็เหมือนเป็นการหลอกให้ความหวังไปเรื่อยๆ

“อืม ขอให้โชคดีนะพี่”

ผ่านไปนานพอสมควร พ่อกับแม่และพี่นัทก็กลับมาจากสวน ทุกคนเดินคุยกัน หัวเราะสนุกสนาน ขนาดพ่อที่หัวเราะยากก็ยังหัวเราะออกมาด้วยเลย

“พ่อกับแม่ดูชอบพี่นัทมากนะ ตอนที่พี่บอกไปคงไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไรมาก” ตองสองพูดออกมา ผมก็ยิ้มมองไปที่พี่นัท เขาเป็นคนดี คุยสนุก อัธยาศัยดี พ่อแม่ก็ดูชอบพี่นัทไม่น้อยเลย แต่ตอนนี้คือพวกเขายังคิดว่าพี่นัทเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเป็นเจ้าของร้านของผม ถ้าเกิดได้รู้ความจริงแล้วว่าผมกับพี่นัทเป็นอะไรกัน เขาจะยังชอบพี่นัทเหมือนตอนนี้อยู่อีกมั้ย

ผมคิดได้ไม่นานแม่ก็เรียกพวกเราลงไปชั้นล่าง ให้ช่วยกันทำกับข้าว อาจดูวุ่นวายไปซักหน่อยเพราะคนเยอะ แต่มันก็สนุกดี พอทำกันเสร็จ เราก็นั่งกินข้าวกัน พี่นัทเข้ากับแม่ได้ดีมาก จนแม่แทบจะยกให้พี่นัทเป็นลูกในดวงใจแทนพวกผมเลยทีเดียว ส่วนพ่อนั้นถูกใจกาแฟบดพันธ์ดีที่พี่นัทเอามาฝากมาก เปิดฝากระปุกดมกลิ่นอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่ามันเย็นแล้วกลัวนอนไม่หลับ พ่อผมคงจะชงกินมันเย็นนั้นเลย

พอกินข้าวเย็นกันเสร็จ แม่ผมที่ติดละครหลังข่าว ก็ชวนพวกผมมาดูละครกัน ผมเริ่มที่จะกลับมากังวลสุดๆ อีกครั้ง ผมควรจะบอกตอนนี้เลยดีมั้ย หรือว่ารอตอนเช้าดี แต่ตอนนี้ใจผมมันร้อนไปหมดมันอึดอัดอยู่ภายใน อยากจะบอกให้จบๆ ไป จะได้รู้ไปเลย...แต่พอนึกไปถึงผลลัพธ์ ผมก็กลัวขึ้นมา ผมเอาแต่มองพี่นัท จนพี่นัทแปลกใจว่าผมเป็นอะไร

ผมนั่งเครียดจนละครจบ แล้วพ่อกับแม่ก็เตรียมตัวเข้าห้องนอน

“พ่อ...แม่… ผมมีเรื่องอยากบอก”

“หืม อะไรลูก” แม่หันมาถามผม ส่วนพ่อก็ยืนหาวอยู่ข้างๆ แม่ ผมเริ่มลังเลอีกครั้งว่าควรจะบอกเลยดีมั้ย ผมมองไปที่พี่นัทอีกครั้ง ในตอนแรกพี่นัทดูงง เพราะก่อนหน้านี้พี่นัทคิดว่าผมไม่พร้อม ก็เลยจะยังไม่บอกพ่อแม่ของผมในเร็วๆ นี้ แต่พอผ่านไปสักพัก พี่นัทก็เข้าใจและเดินมายืนข้างๆ ผม

ผมยืนมองหน้าพ่อแม่อยู่สักพัก จนแม่ถามซ้ำ

“หนึ่งมีอะไรลูก มีเรื่องอะไรกัน” ผมกำมือตัวเองแน่น รู้สึกตันไปหมด เหมือนจะหยุดหายใจเอาให้ได้ จนพี่นัทกุมมือผมไว้ ผมสังเกตุเห็นว่าพ่อมองมายังมือของผมและพี่นัทที่กุมกันไว้และเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่เกิดวันนี้ วันหน้าก็ต้องเกิดอยู่ดี

“ผม...มีแฟนแล้วนะครับ..”

“โถ่...แค่นั้นเอง ไว้บอกแม่พรุ่ง..” แม่พูดไม่ทันจบ ผมก็พูดแทรกขึ้นไป

“แฟนผมเป็นผู้ชาย แฟนผมคือพี่นัท ผมกับพี่นัทรักกัน” ผมพูดออกไปรวดเดียว รู้สึกว่าเสียงที่พูดออกไปมันสั่นมาก มือผมมันเย็นไปหมด มันทั้งตื่นเต้นและกลัวอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นทั้งพ่อแต่แม่ต่างตกใจและนิ่งไปแล้วด้วย ผมก็ยิ่งใจเสีย

ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรเลย มีแค่เสียงจิ้งหรีดข้างนอกบ้านเท่านั้น แม่มองหน้าผมกับพี่นัทสลับกันไปมา ในขณะที่พ่อมองหน้าพี่นัทเขม็งอยู่คนเดียว

“ผมยังไม่มีแฟน แต่ผมก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน”

หลังจากที่เงียบกันอยู่นาน ตองสองก็พูดขึ้น ผมตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าน้องจะบอกพร้อมกับผมวันนี้ ใจผมเต้นเร็ว รีบหันกลับไปมองแม่ตัวเอง ผมเห็นแม่ขมวดคิ้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ส่วนพ่อหันไปมองตองสอง แล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่พูดอะไรเลย  สักพักแม่ก็เดินตามพ่อไปโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกัน

“ฮึก ฮึก ฮือ” ผมทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา พี่นัทรีบนั่งลงแล้วกอดผมไว้ ส่วนตองสองก็นั่งลงด้านหน้าผมแล้วก้มหน้า

“ทำยังไงดี พ่อกับแม่ต้องรังเกียจแน่ๆ เลย ทำยังไงดี”

“ตองหนึ่งใจเย็นๆ ” พี่นัทพูดปลอบ ผมร้องไห้แล้วมองไปทางห้องนอนของพ่อกับแม่

“พี่นัท ทำยังไงดี อือ ทำยังไงดี พ่อกับแม่รังเกียจแน่ๆ เลย ฮือ” ผมเหมือนขาดสติไปแล้ว เอาแต่คิดอยู่แค่ว่าพ่อกับแม่รังเกียจผม รังเกียจตองสอง ผมขยับไปจับมือตองสองแน่น น้องเงยหน้าขึ้นมอง เห็นตาแดงๆ  ถึงจะไม่ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายเหมือนผม แต่ก็รู้เลยว่าตองสองก็เจ็บปวดเหมือนกันและนั่นยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่

“ฮือ ทำยังไงดี ผมควรทำยังไง พี่นัทช่วยผมหน่อย” ผมนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้นพักใหญ่ ตองสองก็เดินเข้าห้องไป พี่นัทก็รีบพาผมเข้าห้องนอนด้วยเหมือนกัน

“หนึ่งครับ มองหน้าพี่นะ พ่อแม่หนึ่งเขายังไม่ได้พูดอะไรเลย เขาไม่ได้รังเกียจหนึ่งหรอกครับ เขาแค่ตกใจ”

“ไม่ อึก ฮือ พี่นัท ทำยังไงดี” ผมเอาแต่พูดอยู่แบบนั้น พี่นัทอุ้มผมวางบนเตียงแล้วก็กอดผมไว้พลางลูบหัวลูบหลังไปด้วย

“ใจเย็นๆ นะครับ หยุดร้องไห้ก่อนะ คนดี ร้องไห้มากๆ เดี๋ยวเจ็บตานะครับ”

“ทำยังไงดี พ่อแม่จะผิดหวังแน่เลย ผมไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้เลย”

“โอ๋ๆ  ใจเย็นๆ นะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันให้รู้เรื่องนะ”

พี่นัทยังปลอบผมไปเรื่อยๆ  ผ่านไปนานมาก ผมร้องไห้จนตาบวมไปหมด พี่นัทก็ยังกอดผมอยู่ท่าเดิม ลูบหัวผมอยู่ตลอด

“ไหนขอพี่ดูหน่อย คนดีของพี่หยุดร้องไห้รึยัง?” พี่นัทดันตัวผมออกเพื่อมองหน้าผม ตอนนี้ผมหยุดสะอึกสะอื้นแล้ว แต่ก็ยังมีน้ำตาไหลออกมาบ้าง

“...”

“ตาบวมหมดเลย เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำแข็งมาประคบให้นะครับ” พี่นัทผละออกจนผมต้องรีบกอดเอวพี่นัทไว้แน่น ไม่อยากให้พี่นัทไปไหน ตาจะบวมก็ช่างมัน

“ไม่เอา พี่นัทอย่าไป อยู่กับผม ฮือ” ผมร้องไห้ออกมาอีกเล็กน้อย พี่นัทก็เลยกลับมานั่งกอดผมเหมือนเดิม

“โอ๋ๆ  พี่ไม่ไปแล้วครับ จะกอดหนึ่งไว้ทั้งคืนเลยนะ” พี่นัทพูดแล้วเช็กน้ำตาให้ ผมซุกหน้าเข้ากับอกเขา แอบเช็ดน้ำมูกน้ำตากับเสื้อพี่นัทไปด้วย

เรากอดกันเงียบๆ แบบนั้นไปอีกสักพัก จนผมเริ่มง่วง เพราะร้องไห้จนเพลีย แต่ก็หลับตานอนไม่ได้ เพราะแต่คิดเรื่องพ่อแม่ พอหลับตาก็เอาแต่คิดภาพตอนที่พ่อกับแม่หันหลังเดินเข้าห้องไป

“ผมง่วง…แต่ผมนอนไม่หลับ” ผมเงยหน้าบอกพี่นัท

“อืม ให้พี่กล่อมมั้ยครับ?”พี่นัทยิ้มแล้วลูบหัวผมอีกครั้ง

“ผมไม่ใช่เด็กน้อยนที่ต้องมากล่อมนอนอ่ะ” ผมทุบอกพี่นัทไปเบาๆ ก่อนที่พี่นัทจะลุกไปปิดไฟ แล้วเดินมาจับผมนอนแล้วก็พี่นัทก็กอดผมไว้อีกที

พี่นัทมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มจางๆ  ก่อนที่มืออุ่นๆ ของพี่นัทจะลูบไปตามเปลือกตาและแก้มผม

“หลับตาลงนะ…”

“...” พี่นัทลูบไปที่เปลืกตาผมเบาๆ  ทำให้ผมต้องหลับตาลง แล้วพี่นัทก็พูดต่อ

“นะ...คนดี”

“.....” ผมขยับตัวเข้าไปกอดพี่นัทไว้แน่น แล้วก็สัมผัสได้ว่าพี่นัทก้มลงจูบที่แก้มและหน้าผากผมเบาๆ  ก่อนที่จะเริ่มร้องเพลงกล่อมผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ทุ้มและนุ่ม

“หลับตาลงนะ นะคนดี

ขอให้เวลานี้ เธอหลับและพักผ่อน

กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน

แค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง…”



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต้องรอลุ้นเหตุการณ์วันรุ่งขึ้นสินะ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พ่อกับแม่คงตกใจมาก ที่ลูกชายทั้งสองคนก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน คงหมดสิทธิ์ได้หลานแล้ว

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
31 : I’m falling in you again and again.



“อืม…” ผมขยับตัวแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพบว่าฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว ผมยกมือขึ้นมาขยี้ตาเล็กน้อยแล้วพลิกตัวไปอีกทาง พี่นัทยังไม่ตื่น ผมนอนมองหน้าพี่นัทอยู่แบบนั้น แล้วก็คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพที่พ่อแม่หันหลังเดินเข้าห้องยังติดตาอยู่เลย

ผมถอนหายใจออกมา ตอนนี้ผมเครียด และหนักใจ พ่อกับแม่คงไม่ชอบที่ผมชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ผมรักพี่นัท พี่นัทเป็นผู้ชายเหมือนผม แล้วผมควรทำยังไงอ่ะ

ผมรักพี่นัทแต่ผมก็รักพ่อกับแม่ ถ้าจำเป็นต้องเลือก ผมควรเลือกอะไร…

ผมขยับตัวเข้าหาพี่นัท มองไปตามใบหน้าของเขา คิดถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมามันโคตรจะมีความสุข ในตอนนี้พี่นัทเหมือนเป็นครึ่งหนึ่งของความสุขของผมไปแล้ว ผมอยากอยู่กับผู้ชายคนนี้ไปนานๆ

แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งผมไม่มีพี่นัทแล้วจะทำยังไง?

แค่คิดถึงวันนั้นผมก็ใจเสียแล้วก็กอดพี่นัทไว้แน่น ดูดซับกลิ่นและไออุ่นจากเขาไว้ ผมรู้ว่าตอนนี้ผมอาจคิดมากไป แต่มันอดคิดไม่ได้ ผมห้ามความคิดความฟุ้งซ่านของตัวเองไม่ได้

“ตัวเล็ก เป็นอะไรครับ…” และเพราะผมอาจกอดแน่นเกินไปพี่นัทเลยตื่น เขาใช้มืออุ่นๆ นั้นลูบหลังผม เขาคอยส่งยิ้มมาให้ผมตลอดเวลา รอยยิ้มนี้ที่ทำให้ผมหลงรัก

“ผมรักพี่…” ผมมองหน้าพี่นัทแล้วบอกสิ่งที่มันอยู่ในใจออกไป ผมคิดว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมยังมีพี่นัทอยู่ข้างตัว ก็ควรเก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุด

“พี่ก็รักหนึ่ง” พี่นัทพูดแล้วลุกขึ้นนั่ง ช้อนตัวผมขึ้นไปนั่งบนตักแล้วกอดผมไว้ ไออุ่นจากร่างกายของพี่นัทโอบล้อมร่างกายผมไว้ ความอบอุ่นนี้ก็ทำให้ผมหลงรัก

“ผมรักพี่นะครับ” ผมพูดไปอีกครั้ง แล้วก็ยืดตัวถูแก้มตัวเองกับแก้มพี่นัท ตามด้วยหอมแก้มพี่นัทฟอดหนึ่ง จากนั้นก็เอียงแก้มตัวเองให้พี่นัทหอมคืนบ้าง

“อืม ทำไมเช้านี้ขี้อ้อนจังเลย” พี่นัทถามแล้วก็บีบปลายจมูกผมเบาๆ

“ก็อ้อนไว้เยอะๆ  ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้อ้อนไงครับ”

พี่นัทชะงัก เลิกบีบจมูกผม แล้วก็ถอนหายใจออกมา

“ถ้าพ่อแม่ของหนึ่งไม่ยอมรับจริงๆ  หนึ่งจะเลิกกับพี่เหรอครับ?” ผมมองพี่นัทที่ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที และเมื่อพี่นัทถามออกมาแบบนั้น ผมเลยรับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตาของผมมันรื้นน้ำตาขึ้นมา ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้อีกแล้ว

“ผมไม่อยากเลิกกับพี่นะครับ ” พี่นัทดึงผมไปกอด แล้วก็ลูบหัวผม

“หนึ่งครับ พี่ก็ไม่มีความคิดที่จะเลิกกับหนึ่ง ต่อให้คนอื่นจะไม่ยอมรับเราก็เถอะ แต่ตอนนี้พี่รักหนึ่ง รักมาก พี่ทิ้งหนึ่งไม่ได้ ตอนนี้พี่ไม่มีหนึ่งไม่ได้นะครับ พี่รักหนึ่ง หลงหนึ่งมากเลยนะ”

“ผมก็รักพี่ ต...แต่ผมไม่อยากให้พ่อแม่ลำบากใจเพราะผม ฮึก ทำไงดี... ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ถ้าพวกเขารังเกียจหรือรับไม่ได้ล่ะ ผมควรทำยังไงดีครับ…” ผมเสียงสั่น เพราะกำลังจะร้องไห้จริงๆ

“หนึ่งอย่าเพิ่งคิดมากสิครับ พ่อแม่ของหนึ่งรักหนึ่งมากๆ เลยนะครับ เขาไม่รังเกียจหนึ่งหรอก เมื่อคืน พวกเขาอาจจะแต่ตกใจ วันนี้เราลองๆ ค่อยอธิบายให้พ่อกับแม่ฟังดีกว่ามั้ยครับ?”

“....”ผมพยักหน้า และคิดตามที่พี่นัทพูด พยายามคิดตามที่พี่นัทบอก พยายามเชื่อว่าพ่อแม่อาจจะแค่ตกใจจริงๆ

“งั้นเราไปล้างหน้า ล้างตากันดีกว่านะครับ”

ผมกับพี่นัทพากันไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า แปรงฟันและอาบน้ำ แต่เพราะบ้านผมไม่ได้มีห้องน้ำส่วนตัวเหมือนบ้านพี่นัท เลยต้องใช้ห้องน้ำรวมที่อยู่ด้านนอกห้อง   และเพื่อเป็นการประหยัดเวลาบวกกับผมที่ไม่ยอมให้พี่นัทห่างจากผมเลย ทำให้ผมกับพี่นัทอาบน้ำด้วยกัน

“อะ...เอ่อ คือ เอ่อ…” และเมื่ออาบเสร็จออกมา ผมก็เจอพ่อที่ยืนรอ อยู่หน้าห้องน้ำ ผมอึกอัก ทำตัวไม่ถูก ยิ่งพ่อที่มองมาทางผมและพี่นัทที่อาบน้ำพร้อมกันตาเขม็งแบบนี้ ผมก็ยิ่งไม่กล้ามองหน้าพ่อเข้าไปใหญ่

“หลับสบายมั้ย?” พ่อมองอยู่สักพักแล้วก็ถามออกมา

“หลับสบายครับ ที่นี่เงียบมากเลย อากาศก็ดีด้วยครับ” เพราะผมเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนพี่นัทต้องตอบแทน ผมผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยเมื่อเห็นพ่อแต่พยักหน้าเบาๆ  พี่นัทยกมือขึ้นมาบีบไหล่ผม แล้วเราก็หลีกทางให้พ่อเข้าห้องน้ำ

แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไป พ่อก็หันมาหาพวกเราอีกครั้ง

“เอ้อ ลงไปช่วยแม่ในครัวสิ วันนี้เขาทำข้าวต้มกุ้ง”

“...” พ่อมองผมแล้วก็พูด ส่วนผมก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ  แล้วพยักหน้า ก่อนที่พ่อจะหันไปพูดกับพี่นัทต่อ

“พ่อฝากเจ้าของร้านกาแฟ ชงกาแฟให้หน่อยสิ ขอแบบเข้มๆ นะ”

“ได้ครับ เรื่องกาแฟไว้ใจผมได้เลย” พี่นัทตอบแล้วพ่อก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมมองหน้าคนที่อยู่ข้างตัวอย่างไม่เข้าใจ แต่พี่นัทก็แค่ยิ้มแล้วยักไหล่ใส่ผม หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปที่ครัว

ยังไม่ทันได้เข้าครัว ผมก็ได้กลิ่นข้าวต้มหอมๆ ลอยมาเตะจมูกแล้ว ผมคิดถึงข้าวต้มฝีมือแม่มาก พอได้กลิ่นแล้วท้องก็ร้องทันทีเลย ผมยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองที่ส่งเสียงออกมาเบาๆ  ผมเดินไปจนถึงครัวก็เห็นว่าแม่กำลังยืนอยู่หน้าเตา แล้วก็เห็นตองสองที่ยืนปลอกกระเทียมอยู่ด้วย

ผมกับพี่นัทยืนนิ่งอยู่หน้าห้องครัวจนแม่หันมา

“อ้าว ตื่นกันนานยัง แม่ยังทำข้าวต้มไม่เสร็จเลย รอสักพักนะ”

“...ครับ” ผมพยักหน้าแล้วตอบเสียงเบา แล้วก็ยืนมองแม่ที่หันไปเปิดฝาหม้อข้าวต้มแล้วคบเบาๆ  ก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไป

“เอ่อ แม่ครับ....มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ?” แม่หันไปมองรอบๆ ครัวแล้วก็หันมาตอบผม

“อืม….ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว งั้นหนึ่งมาช่วยน้องปอกกระเทียมนะลูก” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินไปที่ตองสองที่ยังตั้งใจปลอกเปลือกกระเทียมเม็ดเล็กๆ อยู่ ส่วนนัทก็ขอแม่ชงกาแฟให้พ่อ แม่ก็พยักหน้ายิ้มแย้มและคุยเล่นกับพี่นัทเหมือนเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมละสายตาจากแม่และพี่นัทมามองตองสอง

“ตองสอง พ่อกับแม่ไม่โกรธพวกเราเหรอ?” ตองสองเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วก็ส่ายหน้าไปมา

“สองก็ไม่รู้ แต่เมื่อเช้าเเม่ก็เข้าไปปลุกสองตามปกติ พูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย” พูดจบตองสองก็ก้มลงไปปอกกระเทียมต่อ ผมก็เลยช่วยน้องปอก พอเสร็จก็ส่งให้แม่สับเป็นชิ้นเล็กๆ  แล้วก็นำไปเจียวน้ำมันเพื่อโรยหน้าข้าวต้ม ไม่นานพ่อก็เดินลงมา แล้วเราก็เริ่มตั้งโต๊ะทานข้าวกัน

พ่อกับแม่พูดคุยกับพวกเราเหมือนกับว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่นัทที่คงสงสัยอยู่เหมือนกันก็แอบมองหน้าผมอยู่หลายครั้ง ทั้งที่พูดคุยกับแม่อยู่ ส่วนพ่อก็พูดแทรกบ้างเป็นครั้งคราว มีแต่ผมและตองสองที่นั่งกินกันเงียบๆ เอาแต่มองพ่อและแม่ตัวเอง สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่พ่อกับแม่คุยกับพวกผมปกติแบบนี้คือ พ่อกับแม่ยอมรับในสิ่งที่พวกผมเป็นแล้วใช่มั้ย ผมรักกับพี่นัทไปได้ใช่มั้ย ผมกับน้องไม่ต้องมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มก็ได้ใช่มั้ย?

“พ่อกับแม่ไม่โกรธผมเรื่องเมื่อคืนเหรอครับ” ตองสองทนความอยากรู้ไม่ไหว เลยพูดแทรกขึ้นไปตอนที่แม่หัวเราะอยู่

พ่อกับแม่หันมามองตองสองแล้วก็ยิ้มบางๆ  ก่อนที่พ่อจะพูดขึ้น

“โกรธเรื่องอะไรล่ะ” พ่อถามแล้วก็ตักข้าวต้มเข้าปาก เหมือนไม่รู้จริงๆ ว่าตองสองหมายถึงเรื่องอะไร ผิดกับพวกผมที่อึดอัดใจ อยากจะรู้ให้มันเคลียร์ๆ ไปเลย

“เรื่องที่ผมกับพี่เป็นเกย์…” ผมกับตองสองก้มหน้าลงแทบจะพร้อมกันเมื่อแม่ตวัดตาขึ้นมองพวกผม

แม่ถอนหายใจออกมา พ่อก็วางช้อนลงแล้วก็มองพวกผมโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศเฮฮาเมื่อครู่หายวับไป เปลี่ยนเป็นเงียบและดูมาคุขึ้น ผมนั่งก้มหน้า บีบมือที่เย็นเฉียบของตัวเองไปมา จนพี่นัทวางมือใหญ่ๆ นั่นทับลงบนมือผม แล้วบีบเบาๆ  ผมเอียงหน้ามองพี่นัท ก็เห็นรอยยิ้มพร้อมกำลังใจส่งมาให้อย่างเต็มเปลี่ยม

เราเงียบอยู่แบบนั้นสักพักจนแม่ถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้ง แม่ลุกขึ้น แล้วเอื้อมมือมาเชยคางของผมกับตองสองให้เงยหน้าขึ้นมองแม่

“เฮ้อ แม่ไม่ได้โกรธพวกลูกสองคนหรอก อย่าทำหน้าจะร้องไห้กันแบบนั้นสิ”

“อึก ฮึก ก็เมื่อวานพ่อแม่ไม่ยอมคุยกับพวกผม ผมก็นึกว่าแม่รังเกียจผม ฮือ ผมกับน้องเสียใจกันมากๆ เลย” ผมเบะปาก พอแม่ลูบแก้มเบาๆ ความขี้แงเป็นเริ่มกลับมาสิงผมอีกครั้ง

“ก็แค่ตกใจกันเฉยๆ หรอก” คราวนี่พ่อพูดบ้าง

“ใช่ ก็จู่ๆ  ลูกชายมาบอกตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วทั้งพี่ทั้งน้องเลย แม่กับพ่อก็ต้องตกใจกันอยู่แล้ว” น้ำตาผมไหลนองหน้าออกมาเรียบร้อยแล้ว แม่เลยเช็ดน้ำตาออกให้ผมอย่างเบามือ

“ลูกคนโตอ่ะตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะเป็นจริงๆ อย่างเคยคาดการณ์กันเอาไว้ ส่วนลูกคนเล็กนี่ต้องบอกว่าช๊อค ไม่คาดคิดมาก่อนเพราะเห็นว่าเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาหลายคน” พ่อพูดเสียงเรียบๆ ตามสไตล์ของพ่อพลางมองตองสองแล้วก็ส่ายหน้าไปด้วย

“ผมขอโทษครับ ความจริงผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายมานานแล้ว แต่ผมกลัวพ่อแม่รับไม่ได้ ผมเลยไม่กล้าบอกใคร” ตองสองพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง พ่อเลยตบเข้าที่ไหล่ของตองสองป้าบใหญ่

“พ่อไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยด้วย”

“ใช่ ลูกจะรักใครก็เป็นเรื่องของลูก แค่พวกเราเป็นเด็กดีของพ่อแม่ตลอดไปก็พอ”

“พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวพวกผมมั้ยครับ ผมกับตองสองอาจไม่มีหลานให้แม่อุ้มนะ ฮึก แม่เคยบอกอยากมีเด็กๆ  อยากมีหลาน อยากให้พวกผมมีครอบครัว อยากให้มีคนรัก คู่ชีวิตที่ดี ฮึก”ผมพลางคิดถึงคำที่แม่เคยพูดกับเราสองพี่น้อง

“แล้วหนึ่งคิดว่า คนที่นั่งจับมือหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะตลอดนั่นจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีได้มั้ยล่ะ” พ่อพูดแล้วมองเลยไปยังคนที่นั่งข้างๆ ผม ผมมองพ่อแล้วก็หันไปมองพี่นัทที่ยิ้มให้ผมอยู่

“ส่วนเรื่องหลานที่แม่เคยพูดถึงก็อย่าไปใส่ใจเลย แค่แมวสี่ตัวนี่ก็ปวดหัวแล้ว” แม่พูดแล้วก็หัวเราะออกมา แล้วต่อมน้ำตาผมมันก็แตก ร้องไห้ไม่พอ ยังสะอึกสะอื้นเป็นเด็กอีกตังหาก

“ฮึก ผมรักพ่อ ผมรักแม่ รักที่สุดเลย” ผมพูดไปเช็ดน้ำตา เช็ดน้ำมูกไป จนพี่นัทต้องส่งทิชชู่ให้ผม

“ผมก็รัก” ตองสองพูดแล้วยิ้มนิดๆ  แม่เลยเดินมากอดพวกเรา

“พ่อกับแม่ก็รักลูก ลูกๆ จะเป็นยังไงแม่ก็รัก” แม่พูดแล้วก็หอมแก้มพวกเราไปคนละฟอด แล้วก็กอดเราไว้

“พวกลูกเป็นเด็กดี เป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา” พ่อพูดบ้างแล้วก็เอื้อมมือมาลูบหัวพวกเราทั้งสองคน หลังจากนั้นก็เดินมากอด เราทั้งสี่คนกอดกันกลมกลางโต๊ะอาหาร โดยที่มีเสียงร้องให้ของผมดังระงมอยู่คนเดียว

“มาๆ  ลูกคนที่สามมากอดด้วยกันมา” พ่อพูดมองไปที่พี่นัทที่นั่งยิ้มอยู่แล้วก็กางแขนออก พี่นัทเลยเดินมากอดกับเราด้วย

“ขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ คุณอา คุณน้า”

“พ่อฝากตองหนึ่งด้วยนะ ดูแลมันดีๆ ” ยิ่งพ่อพูดแบบนั้น ยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่ มันทั้งดีใจ และโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยจริงๆ

กอดกันอยู่ครู่หนึ่ง เราก็กลับมานั่งกินข้าวกันต่อ เพราะแม่บอกว่าเดี๋ยวข้าวต้มชืดหมด

“แล้วพ่อคาดการณ์อะไรเกี่ยวกับพี่เขาไว้” ตองสองถามแทนผมที่ตอนนี้กำลังยื่นหน้าให้แม่ใช้ทิชชู่เช็ดน้ำมูกน้ำตาออกให้ พอเช็ดเสร็จ แม่ก็นั่งลงหันไปมองหน้าพ่อแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“แม่เคยคุยเล่นกับพ่อเขาว่า ลูกชายคนโตอาจเป็นตุ๊ดน่ะ เห็นอ้อนแอ้นไม่สนใจผู้หญิงเลย แถมยังมีพักนึงที่หนึ่งเคยโดนเพื่อนผู้ชายมาตามจีบอีก”

“ผมเคยโดนตามจีบด้วยเหรอครับ?”

“ใครมาตามจีบหนึ่งครับ!” ผมกับพี่นัทถามออกมาพร้อมกัน แต่พี่นัทเสียงดังกว่าผมมาก

“อ้าว ก็เพื่อนหนึ่งที่คอยมารับ มาส่งตอนที่เรียนพิเศษอยู่เกือบเทอมนึงนั่นไง หนึ่งจำไม่ได้เหรอ” พ่อพูดแล้วก็เริ่มกินข้าวต้มต่อ

ผมพยามคิดถึงช่วงที่ผมเรียนพิเศษ อืมม…ใช่ ช่วงม.6 ผมเรียนไปพิเศษช่วงวันหยุด แล้วก็มีเพื่อนที่เรียนพิเศษคนนึงเขามีรถ แล้วต้องผ่านบ้านผมพอดี เขาก็เลยให้ผมติดรถไปด้วยกันตลอด แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย

“เขาไม่ได้จีบผมนะครับ เขาแค่ให้ผมติดรถไปด้วยแค่นั้นเอง” ผมพูดแล้วก็หันไปหาพี่นัทที่จ้องผมอยู่

“เขาหอมแก้มหนึ่งบนรถด้วย อย่าคิดว่าแม่ไม่เห็น อย่าคิดว่าผมจำไม่ได้นะ”

“เคยหอมแก้มกันด้วย!” พี่นัทบีบเข้าที่มือผมค่อนข้างแรง แถมยังกัดฟันพูดใส่ผมอีก หืมม ผมว่ายักษ์เริ่มจะลงพี่นัทอีกครั้งแล้วแหละครับ

ผมขมวดคิ้วแล้วพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ความจริงผมก็จำลายละเอียดอะไรไม่ได้ มันก็ผ่านมาค่อนข้างนานแล้วอ่ะนะ

“อ๋อ เขาไม่ได้หอมแก้มผมครับ มันเป็นแค่อุบัติเหตุครับ”

“พี่อ่ะซื่อบื้อ ตอนนั้นผมมองปราดเดียวก็รู้แล้ว แต่ไม่ได้บอกพี่ คิดว่าพี่รู้แล้วซะอีก” คราวนี้ตองสองถอนหายใจใส่ผม ผมเลยกลับมานั่งเงียบๆ  คิดพิจารณาว่าผมไปโดนจีบตอนไหน ผมคิดว่าพี่นัทนี่แหละคนแรกในชีวิตที่จีบผมเลย

“ใช่ หนึ่งอ่ะซื่อ ซื่อจนบื้อ ไม่เคยทันใครเขาเลย บื้อจนพี่ล่ะปวดหัว” พี่นัทพูดแล้วก็ยกมือขึ้นมานวดขมับ เหมือนกับว่าปวดหัวมาก ผมเลยหันไปเบะปากใส่

เรากินข้าวต่อจนหมด ผมกับตองสองกินกันไปคนล่ะสองชาม พอเรื่องกังวลมันหมดไป ก็รู้สึกเจริญอาหารขึ้นมา กินกันเสร็จ ผมและพี่นัทก็ตามพ่อกับแม่เข้าสวนไปเก็บผลไม้ พอตอนเที่ยงก็กลับมากินข้าว ช่วงบ่ายๆ  พ่อแม่ก็ดูโทรทัศน์พักผ่อนกันไป ตองสองออกไปหาเพื่อนเก่า ส่วนผม พาพี่นัทไปเที่ยวในตัวเมือง สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัด

“คนเยอะมากเลย” ผมพูดแล้วเดินเบียดฝูงคนไปหาพี่นัท เราอยู่ที่งานกาชาดที่จังหวัดจัดขึ้น ก็กะว่าจะมาเดินเล่นหาขนมกิน แต่คนมันเยอะมาก ผมที่เตี้ยก็โดนคนเบียดจนหลงกับพี่นัทไปหลายรอบ

“ก็ช่วงวันหยุดนี่เนอะ หนึ่งเดินข้างหน้าพี่นี่มา” พี่นัทดึงผมให้ไปเดินอยู่ด้านหน้า โดยมีมือพี่นัทคอยจับต้นคอผมไว้ เราเดินลัดเลาะซื้อขนมกินจนเต็มมือก็คิดว่ากลับกันดีกว่า

“กรี๊ดๆ วู้ว!”

ระหว่างที่ผมกับพี่นัทกำลังเดินไปลานจอดรถ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของคนมากมาย พอผมหันไปดูก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าใส่แหวนให้กับผู้หญิงท่ามกลางผู้คน  เขากำลังขอผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแหละ ผมมองก็ยิ้มออกมา นับว่าต้องกล้ามากเลยนะที่จะขอใครซักคนแต่งงานแบบนั้น แล้วท่ามกลางคนเยอะแบบนี้ด้วย คงเขินกันน่าดู

“เขาขอแต่งการกันล่ะครับ” ผมบอกพี่นัทที่ยืนดูอยู่ข้างๆ  แล้วก็เงยหน้าไปยิ้มให้ พี่นัทพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็พาผมเดินไปที่รถต่อ

“ถ้าหนึ่งจะขอใครซักคนแต่งงาน หนึ่งจะขอเขาแบบไหนครับ”

“หืม ผมเหรอ?” ผมชี้เข้าตัวเองแล้วถามพี่นัทที่เริ่มออกรถ

“ครับ หนึ่งนั่นแหละ”

“อืม ผมคิดว่า คงจะขอไปตรงๆ เลยมั้งครับ คงไม่มีเซอไพรส์อะไรแบบนั้น อืม ไม่รู้สิ ต้องดูก่อนว่าคนที่ผมขอเขาชอบแบบไหน” ผมบอกพี่นัทไปตามที่ตัวเองคิด ผมไม่เคยนึกภาพตัวเองตอนที่ต้องไปขอคนอื่นแต่งงานเลย เพราะผมเคยคิดว่า ชีวิตนี้ผมคงไม่มีแฟนแน่ๆ

“แล้วหนึ่งชอบแบบไหนครับ”

“ผมเหรอ ถามทำไมอ่ะ พี่จะขอผมแต่งงานเหรอครับ? โอ๊ย!” ผมถาม แล้วก็ยื่นหน้าไปหน้าแป้นแล้นใส่พี่นัทที่ขับรถอยู่ จนเจ้าตัวต้องดันหัวผมออกตามด้วยดีดหน้าผากมาอีกทีนึง

“แล้วถ้าพี่จะขอหนึ่งแต่งงานล่ะได้มั้ย?” พี่นัทพูดแล้วใช้มือซ้ายที่ไม่ได้จับพวงมาลัยรถมาบีบแก้มผม

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ขอผมไม่ได้ กฏหมายประเทศเราไม่ให้ผู้ชายกับผู้ชายแต่งงานนี่ครับ”

“แต่งได้ แต่ยังไม่ให้จดทะเบียนสมรสครับ”

“นั่นแหละ เหมือนๆ กัน” ผมพูดแบบไม่ใส่ใจมาก มือก็เริ่มหยิบขนมขึ้นมากิน

“งั้น...บนรถนี่อ่ะ สมมุติไม่มีกฏหมาย ถ้าพี่ขอหนึ่งแต่งงานที่นี่ ตอนนี้ได้มั้ยครับ?” พี่นัทหันมาพูดกับผมตอนที่รถติดไฟแดงอยู่

“ผมจะได้สินสอดเท่าไรครับ” ผมทวงค่าสินสอดแล้วแลบลิ้นใส่ พี่นัทก็เลยเขกเข้าที่หัวผมไปทีนึง

“ขี้งกจัง แล้วหนึ่งจะเรียกสินสอดพี่กี่บาทครับ”

“อืม...เท่าไรดีอ่ะ” ผมคิดๆ  มองพี่นัทที่มองผมอยู่เหมือนกัน ทำหน้าตากวนๆ ใส่อีก แบบนี้ผมต้องเรียกค่าสินสอดจากพี่นัทแพงๆ หน่อย เพราะกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงผมจนได้ขนาดนี้เสียไปเยอะมาก ผมต้องคืนทุนให้พ่อแม่อ่ะ 5555555

“อย่าเยอะมากนะครับ ถ้าพี่จ่ายไม่ไหว พี่หนีเลยนะ” แหนะ ขู่แบบนี้ผมจะเรียกได้ซักเท่าไรล่ะ พี่นัทนี่ ไม่ได้เรื่องเล้ย~

“โถ่ งั้นสินสอดคือ...จูบ” ผมยื่นหน้าเข้าไปหา พี่นัทนัทเลยก้มลงมา แล้วประกบปากกับอยู่ครู่เดียวแล้วก็ผละออกไป เป็นเวลาเดียวกับพี่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี

“อืม ทำไมรสชาติมัน…” พี่นัทพูดแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ผมชูถุงขนมขึ้นมา พี่นัททำท่าจะหันมามอง แต่ทำไม่ได้ เพราะรถเยอะ ตาเลยต้องมองถนนอยู่ตลอดเวลา ผมก็หยิบเลยขนมที่ตัวเองเพิ่งกินก่อนที่จะจูบกับพี่นัท ไปป้อนพี่นัทแทน

“หืม อะไรอ่ะ ปลาหมึกบด!” พี่นัทพูดเสียงดัง แล้วทำหน้าแหย ผมเลยหัวเราะหนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า จูบผมอร่อยมั้ยล่ะ?” ผมหัวเราะร่า หยิบปลาหมึดรสชาติดีเข้าปาก พี่นัททำหน้าเบ้เพราะเขาไม่ชอบกลิ่นปลานหมึกแบบนี้

“เตี้ย!! แสบนักนะ เดี่ยวรอไฟแดงก่อนเถอะ จะโดนไม่ใช่น้อย”

“ไม่กลัว~” ผมยิ้มหน้าแป้นแกล้งคนที่ขบฟันอยู่ ผมหยิบปลาหมึกนั่นมากินอีกจนเต็มปาก แล้วก็ไปทำท่าจุ๊บใกล้ๆ พี่นัท จนเจ้าตัวดันหน้าผมออกสุดแขน พี่นัทคงหมันไส้ผมไม่น้อยเลย

“ตองหนึ่ง พี่ไม่ชอบปลาหมึดบด เอาออกไปไกลๆ เจ้าเตี้ย!” เพราะนานๆ ทีผมจะแกล้งพี่นัทได้บ้าง ผมก็เลยสนุกใหญ่ จนพี่นัทรำคาญจริงๆ  พี่แกเลยเลี้ยวรถเข้าข้างทาง แล้วใช้มือปิดปากผมและกดผมลงกับเบาะ

“อื้อ” ผมดิ้นออก แต่แรงพี่นัทอ่ะมากกว่าผมอยู่แล้ว ดิ้นไปก็เท่านั้น

“บอกให้หยุดไม่หยุดใช่มั้ย พี่คันไม่คันมืออยากลงโทษเจ้าเตี้ยจอมดื้อคนนี้มากเลยครับ”

“อื้อ อื่อ!!”  ผมร้องเมื่อพี่นัทล้วงมือเข้าในเสื้อผม แล้วก็คลึงไปที่หัวนมผมแรงๆ  ทั้งคลึงทั้งบีบ ส่วนตัวผมก็ทั้งเจ็บทั้งเสียว ผ่านไป 5 นาที ผมดิ้นจนหมดแรงก็เลยปล่อยให้พี่นัททำตามใจ

“ยอมแพ้ยัง?” พี่นัททำตาดุใส่ผม แต่มือก็ยังไม่เลิกคลึง แต่ผ่อนแรงลง

“อื้อ!!”พอสบโอกาส ผมใช้มือตัวเองดันพี่นัทออก ทั้งดิ้นทั้งตี แต่อยู่บนรถ มันก็ขยับมากไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่สะดวก

“ยังไม่เลิกดื้อ งั้นต้องโดนอีก” คราวนี้พี่นัทถกเสื้อผมขึ้นมาไว้ที่หน้าอก แล้วพี่แกก็ดันตัวผมให้พิงกับประตู แล้วเจ้าตัวก็ก้มลงไปที่ยอดอก เลียเบาๆ ก่อนที่จะขบด้วยฟัน จนผมสะดุ้งโหยง

“อื้อ อือ” ผมดันหน้าพี่นัทขึ้น แล้วก็พยักหน้ารัวๆ

“ยอมแล้ว?” ผมพยักหน้าอีก พี่นัทเลยปล่อย แล้วจับให้ผมนั่งดีๆ

“พี่นัทอ่ะ นิสัยไม่ดีเลย” ผมมองพี่นัทที่ขยับตัวออกไป แถมยังส่งยิ้มน่าหมันใส้นั่นมาให้ผมด้วย เจ็บใจตัวเอง ทำอะไรไม่เคยชนะเขาได้เลย

“ก็หนึ่งแกล้งพี่ก่อนนี่ครับ พี่บอกให้หยุดแล้ว หนึ่งก็ไม่ยอมหยุดนะ”

“ก็นานๆ ที ผมจะมีโอกาสได้แกล้งพี่บ้างนี่”

พี่นัทหัวเราะแล้วก็ขับรถต่อไป จนถึงบ้าน ผมกับพี่นัทช่วยกันขนของและขนมลงมา แม่บ่นผมนิดหน่อยว่าทำไมซื้อของมาเยอะ ก็ผมเลือกไม่ถูก มันน่ากินทุกอย่างเลย

“พี่ไปงานกาชาดจังหวัดมาเหรอ” ตองหนึ่งคงกลับมาก่อนผม ถามพลางดูๆ ขนมที่ผมซื้อมา จะบอกว่าผมซื้อก็ไม่ถูก เพราะพี่นัทเป็นคนออกตังค์ทั้งหมดเลย

“ใช่ คนเยอะมากเลย ไปสอยดาวมาด้วยนะ ได้แป้งมากระป๋องนึง” ผมพูดแล้วก็หัวเราะ ตองสองขยับออกห่างผม แล้วก็ยกมือขึ้นมาปิดจมูก

“ปากเหม็นอ่ะ ไปกินอะไรมา” ตองสองถาม ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ น้องชายตัวเอง แล้วก็ยิ้มกว้าง แกล้งพี่นัทไม่ได้ ก็แกล้งน้องนี่แหละวะ ตองสองขมวดคิ้วใส่แล้วก็ดันตัวผมออกห่าง

“ปลาหมึกบด ฟู่ว!” ผมพูดแล้วอ้าปากเป่าลมใส่น้อง ตองสองกลอกตาขึ้นข้างบน แล้วก็เดินหนี ส่วนผมก็เดินตามสิครับ

“ไปบ้วนปาก ไป๊!” คราวนี้ตองสองเดินหนีขึ้นชั้นสอง ผมก็เตรียมที่จะตามไปแกล้งนะ แต่ก็โดนพี่นัทหิ้วไปแปรงฟันซะก่อน พี่นัทบอกแค่บ้วนปากไม่พอ ต้องแปรงฟันเลย

 

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1


ช่วงเย็นก็เหมือนเมื่อวานที่ผ่านมา ช่วยกันทำกับข้าว พอกินข้าวเสร็จก็มานั่งดูโทรทัศน์กับแม่ พอละครจบก็แยกย้ายกันเข้านอน แต่ผมนี่สิ พอละครจบ ท้องมันก็ดันร้องขึ้นมา

“พี่นัท ผมหิว” ผมบอกพี่นัทที่กำลังจะเดินเข้าห้องไปนอน พี่นัทหันมาหา แล้วก็ส่ายหน้าใส่ ผมเลยเดินไปเกาะแขนพี่นัทไว้ “เบื่อผมเหรอ อย่าเพิ่งเบื่อผมสิ มีแฟนกินเก่งต้องทำใจนะพี่นัท”

“ทีแบบนี้ละอ้อนนัก อยากกินอะไรล่ะครับ ขนมที่ซื้อมามั้ย เดี๋ยวพี่ลงไปเอาให้”

“ไม่เอาขนมอ่ะ เอาข้าว...ข้าวไข่เจียวอ่ะ” ผมบอก พี่นัททำตาโตเพราะที่ผมอยากกินมันคืออาหารหนัก ที่ไม่ควรกินก่อนนอนเลย แต่ผมหิวอ่ะมันอยากกินอ่ะก็เลยอ้อนหนัก จนพี่นัทต้องลงไปทำให้ โชคดีที่มีข้าวเหลือ พี่นัทเลยไม่ต้องหุงข้าวใหม่ แค่เจียวไข่ให้ผมอย่างเดียว ผมกินไปยิ้มไป ไข่เจียวกินตอนดึกนี่ มันอร่อยกว่ากินตอนกลางวันอีกนะ

พอกินเสร็จผมก็เริ่มง่วง พี่นัทพาผมขึ้นมานอน ผมก็ยังอุตส่าอ้อนให้พี่นัทร้องเพลงให้ฟังก่อนนอนอีก ผมชอบเสียงพี่นัท ฟังแล้วมันอบอุ่น คืนนั้นผมไม่มีเรื่องกังวลใจเหมือนเมื่อคืนก่อน ผมเลยนอนหลับไปอย่างสบายใจ

 

“อือ...” ลืมตาขึ้นมากลางดึกมองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ความมืด ผมวาดมือออกไปหวังจะกอดพี่นัท เจอแต่ความว่างเปล่า ผมรับลุกขึ้นนั่ง พยามปรับสายตาให้เข้ากับความมืด แต่ไม่เจอพี่นัทอยู่ในห้องเลย

“พี่นัท ไปไหนอ่ะ” ผมลนลานอยู่บนเตียง เตรียมจะก้าวลงและออกจากห้องดูพี่นัทข้างนอก แต่ประตูห้องก็เปิดออกซะก่อน

“ตองหนึ่งเป็นอะไร” พี่นัทถามแล้วเดินเข้ามาหา

“ผมนึกว่าพี่หายไปครับ” ผมพูดเสียงสั่น พี่นัทเลยนั่งลงและกอดผม

“พี่จะหายไปไหนครับ พี่แค่ไปเข้าห้องน้ำเอง” ผมนิ่งไป แล้วก็คิดว่าตัวเองคงเบลอๆ เพราะเพิ่งตื่น ลืมคิดว่าพี่นัทอาจออกไปเข้าห้องน้ำ แวบนึงตอนที่ตื่นขึ้นมา ผมคิดว่าพี่นัทแอบหนีผมกลับไปแล้ว ผมก็เลยลนลานใหญ่เลย

“ก็ผมตกใจเฉยๆ ยังตื่นไม่เต็มตา มันก็เลยเบลอๆ แล้วตอนนี้กี่โมงครับ”

“ตีสามเองครับ มานอนต่อกันเถอะ” พี่นัทขยับจัดหมอนเตรียมจะนอนต่อ ผมเลยขยับตัวขึ้นนั่งทับตักพี่นัทไว้

“ผมตาสว่างแล้วเนี่ย”

“อ้าว แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะครับ พี่ยังง่วงอยู่เลย” พี่นัทพูดแล้วก็ขยี้หัวผมจนฟูไปหมด

“ผมไม่รู้ ตอนนี้ผมอยากกอดพี่นัท” พูดแล้วผมก็กอดคอพี่นัทแล้วซบหน้าลงกับอก พอพี่นัทยังนั่งนิ่งผมก็เลยจับแขนพี่นัทให้กอดเอวผมไว้ด้วย

“...”

“ตอนนี้ผมอยากหอมแก้มพี่นัทด้วย” พูดแล้ว ผมก็ยืดตัวขึ้นไปหอมแก้มพี่นัททีหนึ่ง พี่นัทเลยหัวเราะออกมาเบาๆ

“อ้อนแต่เช้าอีกแล้ว เป็นอะไรเนี่ย พอกลับมาอยู่บ้านตัวเองนี่อ้อนเก่งจังนะครับ”

“แล้วพี่ไม่ชอบเหรอ” ผมมองหน้าพี่นัทแล้วก็ถาม

“ชอบมากครับ” พี่นัทมองหน้าผมแล้วก็ตอบ ก่อนที่จะกดหน้าผมให้ลงไปซบอกตามเดิม

“พี่นัท...” ผมขยับแขนกอดคอพี่นัทไว้ แล้วก็ซุกหน้าเข้ากับอกพี่นัท

“หืม ว่าไง”

“พี่รักผมมั้ยครับ?”

“รักสิ”

“รักมากแค่ไหน”

“มากเท่าที่หัวใจของชายคนนี้จะรักได้”

“งั้นหอมแก้มผมหน่อย” ผมอดหัวเราะกับคำพูดเลี่ยนๆ ของพี่นัทไม่ได้ ก่อนจะขยับตัวออกพร้อมทั้งเอียงแก้มให้พี่นัท แต่คนตัวสูงก็ปล่อยมือจากเอวผมมาจับใบผมที่เอียงเล็กน้อยให้หันไปหาพี่นัทตรงๆ  แล้วคนตรงหน้าก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากผม พี่นัทกดปากลงกับปากผมให้แนบแน่นแล้วค้างไว้อย่างนั้นชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วก็ผละออก

“พี่แถมให้เป็นจุ๊บแล้วกันนะครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นแลกกันนะ...ตอนนี้พี่อยากได้อะไรจากผม” ผมยิ้มกว้าง พี่นัทหลับตาคิดเล็กน้อย สักพักก็ลืมตาแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

“พี่ขอจูบหวานๆ ได้มั้ยครับ” พี่นัททำปากจู๋ยื่นมาให้ ผมก็พยักหน้า เลียริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย แล้วขยับใบหน้าเข้าไปหาพี่นัทช้าๆ  ค่อยประกบปากลงไป ส่งลิ้นเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นพี่นัทไปมา ขยับใบหน้าเปลี่ยนองศาให้สัมผัสกันมากขึ้น ผมหลับตาแล้วขยับแขนกอดคอพี่นัทไว้   ก่อนที่จะดันตัวพี่นัทให้นอนราบกับเตียงพร้อมกับที่ผมขยับตัวตามไปนอนทับพี่นัทโดยพี่ริมฝีปากของเราประกบกันอยู่ตลอด มือใหญ่ของพี่นัทลูบไปตามแผ่นหลังก่อนที่ลาดต่ำลงไปที่สะโพก ผมผละริมฝีปากออก แล้วก็ยิ้มให้คนใต้ร่าง

ผมขยับตัวเปลี่ยนเป็นนั่งค่อมพี่นัทไว้ ก่อนที่จะยืดตัวถอดเสื้อยืดของตัวเองออก

“ผมก็มีของแถมเหมือนกันนะ”

“ว้าว~ เหมือนพี่จะได้ของแถมชุดใหญ่ซะด้วย” พี่นัททำเสียงตื่นเต้นและหัวเราะเบาๆ ฝ่ามือก็ไม่อยู่สุขลูบไปตามแผ่นอกและหน้าท้องของผม

“นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่บ้านพ่อแม่นะ ผมอยากจะแถมชุดใหญ่แบบจัดหนัก จัดเต็มให้พี่เลยล่ะครับ”

“เสียดายจัง งั้น…จัดหนัก! จัดเต็ม! เราค่อยไปจัดกันตอนที่อยู่กันแค่สองคนก็ได้ครับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ผมจะขยับตัวลุกออก แต่พี่นัทก็ขยับมากอดเอวผมไว้แน่น แล้วก็ส่งสายตาแพรวพราว และยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้

“แต่ตอนนี้พี่ขอแบบจัดหนักอย่างเดียวก่อนดีกว่า เนอะ!!”

“อะ อ๊ะ...” พอพี่นัทพูดจบก็เริ่มลงมือทันที

ผมครางเล็กน้อย เมื่อพี่นัทล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อบีบก้นผม และสัมผัสไปที่ช่องทางด้านหลังของผมด้วย ผมโค้งตัวลงเพื่อจูบกับพี่นัท ขณะเดียวกันพี่นัทก็ค่อยๆ ดันนิ้วเข้ามา ผมหลับตาครางเครืออยู่ในลำคอ เริ่มตวัดลิ้นเกี่ยวกับลิ้นพี่นัท มือที่สองข้างของผมก็ลูบไปตามตัวเขา พยายามทำตัวเป็นฝ่ายนำบ้าง ผมใช้นิ้วเกลี่ยไปที่ยอดอกพี่นัท คนใต้ล่างผมปัดมือผมออกแทบจะทันที อีกทั้งเอาคืนผมโดยการดันนิ้วที่อยู่ในตัวผมเข้าไปลึกกว่าเดิม

พี่นัทขยับนิ้วอยู่ภายใน และกดย้ำไปทั่ว จนเจอจุดเร้าอารมณ์ของผม แล้วก็กดย้ำอยู่อย่างนั้นจนผมแอ่นก้นขึ้น แล้วจิกเล็บเข้าเนื้อพี่นัทเพื่อระบายอารมณ์

“อ๊ะ อ๊าๆ ” ผมเปลี่ยนมาใช้แขนยันตัวเองขึ้นสูง แล้วแอ่นหน้าอกไปด้านหน้า เปิดโอกาสให้คนที่นอนอยู่ตวัดลิ้นสัมผัสยอดอกผมได้อย่างถนัด

“อืม พี่…พอ” ผมขยับตัวขึ้น แล้วจับแขนพี่นัทให้หยุดขยับนิ้วเข้าออก

“พี่ทำให้เจ็บเหรอครับ”

“ไม่ได้เจ็บครับ” ผมขยับตัวลงมาอยู่ตรงหว่างขาพี่นัทแทน แล้วค่อยดึงกางเกงพี่นัทลง แล้วใช้มือลูบเบาๆ ไปที่แก่นกายของเขาที่เริ่มเเข็งตัวขึ้นมา

“ผมอยากทำแบบนี้…” ผมพูดแล้วค่อยแลบลิ้นออกมา ไล้เสียเบาๆ ไปที่ส่วนปลาย ผมทำแบบนั้นไปสักพักก็เริ่มมีน้ำใสปริ่มออกมา พร้อมๆ กับส่วนนั้นที่ขยับขยาย เแข็งเต็มมือ ผมจึงค่อยๆ เปิดปาก ครอบลงไปตรงส่วนปลายที่ปริ่มน้ำนั้น

พี่นัทส่งมือมาลูบหัวผม บ้างก็ขยำเส้นผม ผมพยายามเปิดปากให้กว้างแล้วดันส่วนนั้นเข้ามาให้ลึกขึ้น

“อึก ตองหนึ่ง….” ผมได้ยินเสียงหายใจพี่นัทถี่กระชั้นมากขึ้น พอผมเหลือบตาขึ้นดูก็เห็นว่าพี่นัทมองผมอยู่ ใบหน้าพี่นัทแสดงออกอย่างชัดเจนว่า...กำลังรู้สึกดี

พี่นัทยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มือข้างนึงกดหัวผมให้รับส่วนนั้นของพี่นัทเข้ามามากขึ้น น้ำตาผมเริ่มไหล เพราะมันก็อึดอัดไม่น้อย ส่วนใหญ่โตของพี่นัทมันเข้ามาลึกเต็มปากเต็มคอจนหายใจแทบไม่ออก

มันก็ค่อนข้างทรมานที่หายใจไม่สะดวกนะ แต่ตัวผมดันรู้สึกเสียวซะงั้น ผมละมือข้างนึงลงไปดึงกางเกงตัวเองลงแล้วกำลูกชายตัวเองแน่น แล้วค่อยขยับมือขึ้นลง ยิ่งพี่นัทกดหัวผมขึ้นลงเร็วเท่าไร ผมก็ยิ่งสาวมือตัวเองเร็วตามไปด้วย

“อึก อื้อ!!” ในขณะที่ผมกำลังจะปลดปล่อย พี่นัทก็ดันตัวผมออก พร้อมทั้งจัดท่าทางให้ผม จนในที่สุดใบหน้าผมก็มาจ่ออยู่กับส่วนนั่นของพี่นัท พอกับๆ ที่ช่วงล่างของผมไปจ่ออยู่ตรงหน้าพี่นัทอย่างพอดิบพอดี

“อ๊ะ พี่...ท่านี้...ท่านี้มัน...”

“หกเก้าไงครับ เรายังไม่เคยทำท่านี้กันเลยนี่เนอะ”

“อ๊า!!” พี่นัทพูดจบก็กดสะโพกผมลง แล้วใช้ลิ้นอุ่นสัมผัสกับช่องทางของผม จนสะดุ้ง สติกระเจิงหนีไปทันที ผมยกสะโพกหนี แต่พี่นัทก็ใช้ทั้งสองมือกดไว้ ผมทำได้แค่ส่ายสะโพกไปมา ผมเลยก้มลงไปจัดการกับส่วนนั้นของพี่นัทบ้าง

“อะ ฮ๊ะ อาา พี่...ไม่ ไม่ไหวแล้ว พี่นัท...พอเถอะ” ผมเชิดหน้าครางออกมาเบาๆ  จะครางเสียงดังก็ไม่กล้า ห้องฝั่งตรงข้ามน่ะ ห้องพ่อแม่ผมนะครับ

พี่นัทดันตัวผมออก ดึงกางเกงผมโยนไว้บนพื้น จับผมให้ขึ้นนั่งคร่อมตัก และก่อนที่ผมจะได้ตั้งตัว พี่นัทก็จับตรงส่วนนั้นจ่อเข้าที่ช่องทางของผมแล้วค่อยกดตัวผมให้นั่งลงไป ทำให้ส่วนร้อนผ่าวนั่นสอดเข้ามาในตัวผมช้าๆ  และลึกขึ้นเรื่อยๆ

“อื้อ อื้อ!” ผมแยกสองขาออกกว้าง แล้วค่อยกดตัวลงไป จนเข้ามาสุด ท่านี้มันทำให้เข้ามาลึก รู้สึกเหมือนโดนทะลวงถึงท้อง มันเสียวไปหมด ขาทั้งสองข้างผมสั่นจนรู้สึกได้

“คนดีของพี่ ขยับหน่อยครับ พี่ไม่ไหวแล้ว” พี่นัทพูดแล้วจับสะโพกให้โยกขึ้นลง ผมอ้าขาตัวเองออกกว้าง กอดคอพี่นัทไว้แน่นแล้วก็ขยับตัวขึ้นลง

“อึก อะ”

“ดี...แบบนั้นแหละครับ”

ผมเชิดหน้าแล้วสะบัดไปมา เมื่อพี่นัทจับหน้าอกพร้อมกับที่รัวลิ้นลงบนยอดอกที่ตั้งชันของผม ความเสียวซ่านเร่งให้ผมขยับตัวเร็วขึ้น และกระแทกลงไปแรงกว่าเดิม แต่เหมือนมันจะไม่ทันใจพี่นัทเท่าไร เพราะคนที่ผมคร่อมอยู่ใช้สองมือจับสะโพกผมไว้แน่นแล้วเป็นฝ่ายเด้งกายสวนเข้าหาผมซะเอง

“อืม อะๆ  อ๊ะ พี่นัท...อือ”

“ดีมั้ยครับ…” พี่นัทถามผมเบาขณะที่ขยับตัว ผมก็พยักหน้าหัวสั่นหัวคลอนเพราะแรงกระแทกจากพี่นัท

“อ๊า!!”

“ชู่ว!! เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ตื่นหรอกครับ” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนพี่นัทรีบปิดปากผมเพราะกลัวคนที่หลับอยู่จะได้ยินกัน พี่นัทนั่นแหละผิด จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่า ไม่ทันตั้งตัว พี่แกก็ดันผมนอนกับเตียง แยกขาผมออกกว้างแทบจะร้อยแปดสิบองศา แล้วก็รัวสะโพกใส่ผมซะยิบเลย ผมเสียว ผมก็ต้องร้องสิครับ

“ปิดปากไว้นะครับ” พี่นัทถอดเสื้อตัวเองออก แล้วส่งมาให้ผมกัดไว้ ก่อนที่พี่แกจะเริ่มรัวใส่สะโพกผมอีกครั้ง ผมกัดผ้าแน่น หลับตาปี๋แล้วอ้าขาออกกว้าง หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะวาย ได้ยินเสียงเตียงลั่นเบาๆ ตามจังหวะที่นัทขยับ

ผมหอยหายใจกลั้นเสียงครางก่อนที่จะเกร็งตัวปลดปล่อยออกมา ในขณะที่พี่นัทจับเอวผมแน่นอีกครั้ง แล้วขยับสะโพกใส่ผมจนมองแทบไม่ทัน ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นร้อนที่ฉีดเข้ามาในตัว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ซบลงที่ซอกคอ ผมกับพี่นัทเกร็งกระตุกอยู่พักนึง แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบ เสียงที่ได้ยินมีแต่เสียงหอบหายใจของเราสองคน

“อืม...” พี่นัทค่อยถอนตัวออก แล้วขยับตัวลงไปนอนข้างๆ ผม ผ่านไปไม่นาน ผมยังไม่ทันหายเหนื่อย พี่นัทก็เข้ากอดผมอีกครั้ง

“เมื่อกี้มันดีมั้ยครับ รู้สึกดีมั้ย?”

“ดีครับ ดีมาก” ผมตอบไปตามตรง เมื่อกี้มันดีจริง ผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์จริงๆ

“ฟ้ายังไม่สว่างเลยเนอะ” พี่นัทขยับตัวลุกขึ้น แล้วแยกขาผมออกอีกครั้ง ก่อนจะค่อยดันเจ้าแท่งร้อนนั่นเข้ามาตัวในผม...ทีเดียวสุดทาง

“อา อื้อ!”

“พี่ขออีกรอบนะครับ”

ความจริงแล้ว พี่ควรที่จะขอก่อนแล้วค่อยทำไม่ใช่หรอก แต่นี่ทำไมพี่ถึงทำก่อนขออีกแล้วล่ะ

หลังจากที่จัดหนักกันไปแล้วสองรอบติดๆ และเกือบจะมีรอบที่สาม ถ้าไม่ใช่เพราะผมได้ยินเสียงแม่เคาะประตูปลุกตองสองที่อยู่ห้องข้างๆ ติดกับผมซะก่อน  ผมกับพี่นัทเลยลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า แล้วรอเข้าห้องน้ำ พออาบน้ำกันเสร็จก็ลงไปกินข้าวเช้า แล้วก็ขึ้นมาเก็บของ เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ตอนที่เดินขึ้นผมก็เห็นตองสองเดินเข้าห้อง ก็เลยเรียกไว้

“สอง กลับไปพร้อมกับพี่วันนี้เลยมั้ย?”

“ไม่อ่ะ พี่กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกสองวันผมค่อยกลับ” ตองสองหันหลังเตรียมจะเดินเข้าห้อง แต่ผมก็ยังรั้งไว้อยู่

“อืมๆ  แล้ววันนี้ไม่เข้าสวนไปกับแม่เหรอ”

“วันนี้ไม่อ่ะ ผมง่วง” ตองสองพูดแล้วก็อ้าปากหาวหวอดๆ ออกมา

“อะไรกัน เพิ่งจะตื่นมาง่วงอีกแล้ว”

“ผมตื่นตั้งแต่ตีสามล่ะพี่” น้องผมพูด ถอนหายใจออกมา แล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผมอีก

“ตีสามอะไร พี่ได้ยินแม่ปลุกเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้านี่เองนี่ อย่ามาโกหก”

“ผมตื่นก็เพราะพี่ๆ นั่นแหละ” ตองพูดแล้วทำหน้าตาเบื่อหน่ายใส่ผม รวมไปถึงพี่นัทที่เพิ่งเดินขึ้นมาด้วย

“อ้าว มาโทษพี่อีก”

“นี่...พี่ลืมไปแล้วเหรอ ผนังกั้นห้องเรามันเป็นแค่ไม่อัดบางๆ นะ พี่ทำอะไรกันเมื่อเช้า คิดว่าผมไม่รู้รึไง แค่พี่หายใจแรงๆ ผมก็ได้ยินแล้ว เฮ้ออ ทีนี้เข้าใจผมรึยัง!” ตองสองพูดแล้วก็เดินปึงปังเข้าห้องไปนอน ส่วนตัวผมนั่นแข็งเป็นหินไปแล้ว

“เห็นมั้ย พี่บอกแล้ว ให้ตองหนึ่งร้องเบาๆ หน่อย” เอ้า มาโทษกันเฉยเลย

“เพราะพี่นั่นแหละ” ผมชกอกพี่นัทไปที แล้วก็เดินเข้าห้องมาเก็บของต่อ

กว่าเราจะเก็บของเสร็จก็ปาเกือบเที่ยง เราเลยได้กินข้าวฝีมือแม่อีกมื้อนึง ก่อนกลับพ่อได้พาพี่นัทไปเก็บผลไม้มาให้เราอีกตระกร้าใหญ่ๆ  พี่นัทนี่ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก กว่าที่ผมจะได้ออกจากบ้านแม่จริงๆ ก็เกือบจะบ่ายสามนั่นแหละครับ และเพราะใกล้ที่จะหมดวันหยุดยาวแล้วรถก็ติดเป็นพิเศษ เพราะทุกคนก็เริ่มที่จะกลับจากการไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแล้วผมที่โคตรจะเหนื่อยจากการจัดหนักเมื่อเช้า บวกกับเมารถ พี่นัทเลยให้กินยาแก้เมารถ ผลก็คือผมหลับจนไม่รู้เรื่องเลย

 

พี่นัท’s part

หลังจากที่ขับรถมาเกือบสี่ชั่วโมง ในที่สุดก็ถึง ผมจอดรถที่ว่างหลังร้าน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินแบกของกันไกล ปกติผมจะจอดตรงนี้ก็ได้ แต่มันค่อนข้างแคบ เข้าออกลำบาก  พอจอดได้ที่แล้ว ก็หันไปมองคนข้างๆ ที่หลับคอพับคออ่อนมาตั้งแต่ออกจากบ้านพ่อแม่เพราะเมารถ ผมพยายามขับให้นิ่มที่สุดแล้ว แต่เพราะรถเยอะเลยทำให้คนตัวเล็กเมารถได้ไม่ยาก ผมเอื้อมมือเปิดไฟในรถเพื่อมองหน้าคนที่หลับอยู่ได้ชัดขึ้น

ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก ยิ่งรู้ว่าน่ารักก็ยิ่งหลง

ผมถูกใจตองหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ มันไม่มีเหตุผล แค่เห็นแล้วก็ชอบ มองๆ ดูแล้วมันน่ารักน่าแกล้งไปหมด แกล้งให้เขิน กวนให้หงุดหงิด พอได้รู้จักกันมากขึ้นก็ยิ่งรู้ใจตัวเองว่าคนนี้ ตรงใจผมเลย อยากได้มาเก็บไว้คนเดียว พอได้เป็นเจ้าของแล้วจริงๆ ก็หวงจนไม่อยากจะให้คนอื่นมาแตะเลยด้วยซ้ำ

ผมก้มลงไปหอมแก้มคนที่หลับไม่รู้เรื่อง แล้วเกลี่ยจมูกกับแก้มนิ่ม สูดดมกลิ่มเนื้อหอมละมุนจากตองหนึ่ง พ่อแม่เลี้ยงมาด้วยอะไร ทำไมถึงน่ารัก น่าฟัดได้แบบนี้

แค่แก้มมันไม่หนำใจ ผมเลยจูบไปที่ปากแล้วแล้วขยับดูดดึงเบาๆ  ตองหนึ่งพยายามหันหนีและเผลอเปิดปากออก เปิดโอกาสให้ผมสอดลิ้นเข้าไปเก็บเกี่ยวความหวานภายในโพรงปาก

“อือ อืม” ตองหนึ่งครางเบาๆ ทั้งๆ ที่เปลือกตายังปิดสนิทอยู่ ผมผละออก ไล้นิ้วไปตามริมฝีปากชุ่มสีเรื่อ ขึ้นมาที่เปลือกตาบาง ผมมองไปที่หน้าผากกลมมน ที่เหมือนจะดึงดูดให้ผมต้องประทับรอยจูบอยู่ตลอดเวลา

และก่อนที่ผมจะยับยั้งตัวเองไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจผละออก แล้วเขย่าตัวปลุกตองหนึ่ง

“ตองหนึ่ง ถึงแล้วนะ ตื่นได้แล้วครับ”

“อืออ งืมๆๆ ”

ผมปลุกตองหนึ่งอยู่สองสามครั้ง คนตัวเล็กก็ไม่ยอมลืมตา แต่เอางึมงำอยู่ในลำคอ เห็นแล้วมันมันเขี้ยว ผมเลยก้มลงไปกัดริมฝีปากตองหนึ่งเบาๆ  แล้วผละออก

“อื่ออ…” ตองหนึ่งปรือตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะหันหนีแล้วหลับไปอีก

“ขี้เซา ตื่นเร็วครับ ไปกินข้าวกัน ตองหนึ่งหนึ่งอยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ทำให้ครับ?”

“งืมๆ... ” ตองหนึ่งยังเอาแต่พูดในลำคอเหมือนเดิม ผมเลยเดินเอาของไปเก็บก่อน พอขนของเก็บหมดแล้วก็มาปลุกตองหนึ่งต่อ ผมเปิดปนระตูฝั่งของตองหนึ่ง แล้วก็เขย่าคนตัวเล็กแรงขึ้น

“อื่อ!” ตองหนึ่งขมวดคิ้วแล้วมองผม คงจะเริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ

“ตื่นเถอะครับ นี่มันมืดแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก” ผมขยับตัวเข้าไป ปรับเบาะที่เอนนอนอยู่ให้เข้าที่ดีๆ

“ผมง่วง...ง่วงมากอ่า” พอปรับเบาะเสร็จตองหนึ่งก็ไม่สามารถนอนได้ แต่เอนตัวมาซบผมแทน ขี้เซาจัง ผมคิดว่ายายังไม่หมดฤทธิ์ เลยให้อนอต่ออีกหน่อย

“นอนต่อก็ได้ครับ แต่ขึ้นไปนอนบนห้องดีกว่าครับ พี่จะได้เอารถไปเก็บ”

“อืม อุ้มหน่อย” ซบยังไม่พอ ยังมีการคล้องคอแล้วอ้อนให้อุ้มด้วย นี่กี่ขวบแล้วเนี่ย ตอบ!!

“ทำไมพักหลังๆ นี่อ้อนเก่งจัง จะทำให้พี่หลงไปถึงไหนครับ หืม” ถึงจะบ่น แต่ก็ยอมอุ้มอยู่ดี ผมจับขาตองหนึ่งให้เกี่ยวเอวผมไว้ แล้วก็ช้อนก้น ช้อนหลังตองหนึ่งขึ้น อุ้มแบบอุ้มเด็กนี่แหละครับ ถนัดดี

ผมอุ้มตองหนึ่งมาจนถึงเตียงแล้วก็ค่อยๆ  วางลง แต่พอจะผละออกเพื่อห่มผ้าให้ ตองหนึ่งดันไม่ยอมปล่อยคอผมซะนี่

“ผมหนาว…”

“หนาวก็ปล่อยพี่สิครับ เดี่ยวพี่ห่มผ้าให้ไง จะได้อุ่นๆ ”

“ไม่เอา...กอดพี่อุ่นกว่า” พูดแล้วก็ดึงคอผมลงไปมากกว่าเดิม จนปลายจมูกผมเฉี่ยวๆ แก้มคนตัวเล็กไปนิดเดียวเอง

“ครับๆ  งั้นหนึ่งขยับเข้าไปหน่อยนะ” ผมดันตัวตองหนึ่งให้เข้าไปนอนกลางเตียง แล้วก็ขยับขึ้นไปนอนข้างๆ พร้อมกับห่มผ้าให้

“กอดผมหน่อย~” ตองหนึ่งปรือตามองผม แล้วอ้าแขนออก ผมขยับตัวลงนอนแล้วกอดตองหนึ่งไว้ คนขี้อ้อนขยับขึ้นมาจุ๊บที่ปากผมเบาๆ แล้วก็ขยับลงไปซบอกผมต่อ

“นี่อ้อนหรืออ่อยเนี่ย เดี๋ยวก็โดนจัดหนักอีกรอบหรอกครับ”

“ไม่ได้อ่อยนะ” ผมยิ้มกริ่ม ตองหนึ่งพูดเบาๆ แล้วก็หลับตาลง

“...”

“ผมรักพี่นัท”

“พี่ก็รักหนึ่งครับ” หลังจากเงียบไปซักพัก ตองหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ ช้าๆ

“ผมอยากทำให้พี่พอใจ…อยากให้รู้ผมรักพี่มากแค่ไหน”

“...”

“ผมอยากกอดพี่แบบนี้ไปตลอด…”

“...”

“พี่อย่าทิ้งผมนะ หลงผมคนเดียวนะ รักผมคนเดียวนะ”

“...”

“เพราะหลังจากนี้ ผมคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว…”

“...” ผมฟังเงียบๆ แล้วก็ยิ้ม ดูว่าตองหนึ่งจะพูดอะไรมาอีกมั้ยแต่ผมก็ได้ยินเสียงหายใจและเสียงกรนเบาๆ แทน

“น่ารักขนาดนี้ พี่คงไปหลง ไปรักใครไม่ได้อีกแล้วเหมือนกันแหละครับ”

ดีต่อใจขนาดนี้ จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ ไม่ปล่อยให้ห่างใจ ไม่ยอมให้ห่างกายไปตลอดชีวิตเลย คอยดู






  #สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ทำอะไรไม่เกรงใจพ่อแม่เลยเน๊อะตองสองเน๊อะ  สงสารตองสอง คงไม่หลับยันหว่าง :laugh: 

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด