บทที่ 30 ส่งท้าย
ผมถูกท่านประธานปลุกให้ตื่นในตอนที่รถจากัวร์แล่นเข้ามาจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถชั้น VIP ของโรงแรมแห่งหนึ่ง ท่านประธานก้าวเท้าลงจากรถ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งติดมือมาด้วย ส่วนผมที่กำลังงัวเงียรีบลงจากรถแล้วเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆเข้าไปด้านในของโรงแรม
ท่านประธานเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อพูดคุยบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ ส่วนผมที่ไม่ได้ใส่ใจจะฟังว่าเขากำลังพูดอะไรก็กวาดสายตามองไปรอบๆจึงเพิ่งสังเกตเห็นป้ายชื่อของโรงแรมที่ทำจากไม้แกะสลักงดงาม มันถูกติดอยู่บนผนังด้านหนึ่งซึ่งเขียนว่า ‘Scala Hotel’
อา…งั้นนี่ก็คือโรงแรมของท่านประธานสินะ หนึ่งในธุรกิจหลายร้อยล้านของเขา วันนี้ผมมีบุญได้มาเหยียบแล้ว และเป็นไปได้สูงเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้บริการห้องพักแบบฟรีๆด้วยอ่ะ
ผมยังไม่ทันได้สำรวจความหรูหราของโรงแรมแห่งนี้จนละเอียดถี่ถ้วนก็ได้ยินเสียงร้องเรียก ‘ท่านประธาน’ ดังมาแต่ไกล ก่อนจะปรากฏร่างท้วมของชายวัยกลางคนที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากกว้างๆ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นว่าท่านประธานกำลังยืนรอเขาอยู่
“คุณปัฐวี”
ท่านประธานหันมาเรียกหาผม แล้วหลังจากนั้นก็มีพนักงานชายเข้ามาช่วยถือกระเป๋าของพวกเรา ก่อนจะนำทางไปยังห้องพักที่ดีที่สุด
ในห้องพักหรูหราสมคำร่ำลือ ผมเคยค้นหาราคาห้องพักของสกาล่าในอินเตอร์เน็ทและพบว่าห้องพักของที่นี่มีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นต้นๆไปจนถึงสองแสนบาท และห้องนี้อาจจะคืนละหนึ่งแสนบาทก็เป็นได้ มันเป็นห้องที่กว้างพอๆกับเพนท์เฮ้าส์ มีสองห้องนอน ด้านในตกแต่งแบบไทยๆ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องไม้และผ้าไหมในการตกแต่ง เล่นสีทองสลับสีแดงเลือดนก ทำให้ดูหรูหราราวกับราชวังของเจ้าหญิงเจ้าชายในสมัยโบราณ
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
ผมสะดุ้ง เกือบลืมไปแล้วว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องเดียวกับผม ท่านประธานวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งก่อนจะหยิบเสื้อยืดกับกางเกงนอนขายาวมาส่งให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ หลุบตามองเสื้อผ้าในมือ นี่ผมต้องรบกวนเสื้อผ้าของเขาแล้วเหรอ มันออกจะเกินไปหรือเปล่านะ แต่จะให้ปฎิเสธเพราะคำว่าเกรงใจก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเมื่อเสื้อผ้าของผมที่ใส่อยู่ตอนนี้ยังชื้นไปด้วยน้ำฝน ถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าของท่านประธานแล้วถอดชุดนี้ออกมาตากให้แห้ง ผมก็ไม่มีอะไรให้ใส่แล้วจริงๆ
…ไหนๆก็รบกวนมาขนาดนี้แล้ว เอาอีกสักเรื่องคงไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงซะ วันนี้ท่านประธานก็ใช้ผมอย่างคุ้มค่าแล้ว…
ผมปลอบใจตัวเองก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่ง ด้านในมีเตียงไม้สี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยกพื้นกลางห้อง มีม่านสีขาวบางๆล้อมรอบเตียง ผ้าปูเตียงและผ้านวมทำมาจากผ้าทอราคาแพง ตรงผนังห้องด้านหนึ่งติดกระจกใส สามารถมองออกไปเห็นชายหาดสีขาวที่มีเกลียวคลื่นสีดำสาดกระทบชายฝั่งได้ และผมเพิ่งสังเกตอย่างจริงจังว่าโรงแรมแห่งนี้ได้หันหน้าเข้าหาหาดบางแสน สถานที่ที่ผมเคยอยากมานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินมากที่สุด เพียงแต่ยามนี้พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้เข้าไปในห้องน้ำ แล้วถือโอกาสทดลองใช้อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่นอนแช่ตัวอย่างเป็นสุข กว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็กินเวลามากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ท้องของผมเริ่มร้องโครกครากหาอาหาร กำลังคิดว่าจะออกไปหาท่านประธานแล้วชวนเขาให้ไปหามื้อเย็นกินด้วยกัน
แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมา กลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดก็ลอยมากระทบโพรงจมูกแทบจะทันที สายตารีบกวาดมองไปรอบๆห้อง จึงเห็นว่าบนโต๊ะไม้สักหน้าระเบียงเต็มไปด้วยถ้วยชามเบญจรงค์ที่บรรจุอาหารหน้าตาหน้ากินไว้เต็มไปหมด ส่วนใครอีกคนกำลังถือเชิงแก้วไวน์แดงไว้ในมือ ทิ้งตัวยืนพิงขอบประตูกระจก แล้วทอดสายตามองออกไปบนท้องฟ้าอย่างไรจุดหมาย
“รอผมหรือเปล่าครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด ไม่เห็นรู้เลยว่าท่านประธานสั่งมื้อเย็นมาให้แล้ว แถมยังไม่ยอมแตะต้องอาหารเพราะรอผมอาบน้ำ แบบนี้ผมก็กลายเป็นคนที่โคตรจะไร้มารยาทเลยนะสิ กินของเขา ใช้ของเขา แล้วยังให้เขามารออีก
“ขอโทษนะครับ”
ท่านประธานที่ยังอยู่ในชุดเดิมหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะผายมือไปทางเก้าอี้
“นั่งสิ”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเก้าอี้ของท่านประธาน แล้วเริ่มลงมือกินอาหารเงียบๆ ทุกอย่างบนโต๊ะรสชาติดีที่สุดเท่าที่ผมเคยลิ้มลอง เพียงแต่ผมรู้สึกฝืดคอจนแทบกลืนอาหารไม่ลงเพราะอาหารทุกอย่างบนโต๊ะ คือของโปรดของผมทั้งหมด…
ทั้งที่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายจำผมได้ แต่ลึกๆแล้วผมก็หวังว่าเขาจะคิดถึงผมบ้าง…สักนิดก็ยังดี
“ไม่อร่อยเหรอ” ท่านประธานเอ่ยถาม ทำให้ผมซึ่งกำลังเคี้ยวข้าวเอื่อยๆเกือบจะสำลัก
“อร่อยมากครับ”
ผมกลืนอาหารลงคอก่อนจะรีบตอบ แล้วระหว่างพวกเราก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ผมเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเขาเรียบเฉยติดจะเย็นชา เขาไม่ได้แตะต้องอาหารเลย เอาแต่ดื่มไวน์ไปเกือบครึ่งขวดแล้ว ผมอยากถามเขาว่าไม่หิวเหรอ ทำไมไม่กินข้าว ทำไมดื่มแต่ของพวกนี้ แต่ผมก็ไม่กล้า…ลูกน้องตัวเล็กๆอย่างผม จะมีสิทธิ์อะไรไปถามคนเป็นเจ้านายแบบนั้น
“ชอบงานที่ทำอยู่มั้ย”
“ชอบครับ”
ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากตอบ งานที่ยูเนียนค่อนข้างมีแบบแผน ไม่ได้ยากเกินความสามารถของผม ส่วนเพื่อนร่วมงานไม่นับว่าดีที่สุด แต่ทุกที่ย่อมมีคนที่ขัดแย้งกับเราบ้าง นั่นทำให้ผมมองข้ามไปได้ ส่วนเงินเดือนถือว่าดีมากสำหรับเด็กเข้าใหม่อย่างผม โดยรวมแล้วผมชอบยูเนียน
“มีอะไรที่อยากให้บริษัทปรับปรุงหรือเปล่า”
ท่านประธานเอ่ยถามด้วยประโยคทั่วไป อย่างที่เจ้านายคนหนึ่งต้องการจะรับฟังความเห็นของผู้ใต้บัญชา เพราะเขาอาจมองเห็นในมุมที่สูงเกินกว่าจะเข้าใจในมุมที่ต่ำ
“ตอนนี้ยังครับ”
ผมเพิ่งทำงานที่ยูเนียนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ยังเห็นระบบการทำงานได้ไม่ครบทุกด้าน ดังนั้นผมยังไม่มีอะไรให้ complain
“แล้วมีอะไรอยากถามผมมั้ย”
ประโยคถัดมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบนัยน์ตาสีดำของท่านประธาน หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่มันเป็นแค่ประโยคปลายเปิดที่เขาสามารถหมายถึงอะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไม บางอย่างในสายตาของเขากำลังทำให้ผมคิดถึงเรื่องต่างๆระหว่างพวกเรา
“บอส…”
ผมเอ่ยอย่างลังเล มือขวาเผลอกำช้อนไว้แน่น
“แต่งงานหรือยังครับ”
เมื่อหลุดปากถามออกไปแล้ว ผมก็อยากจะยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองแรงๆสักที เป็นบ้าอะไรไปถามเขาแบบนั้นนะ เขาจะแต่งหรือไม่แต่งเกี่ยวอะไรกับมึง!
“ยังครับ”
คำตอบที่ได้รับทำให้ผมชะงัก เงยหน้าขึ้นไปมองดวงหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉย ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบคำถามง่ายๆแบบนี้ แถมดูเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยด้วย
“แล้วมีคนรักหรือยังครับ”
ผมรุกถามเขามากขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจในการละลาบละล้วงของผม ถ้าเขายังไม่ได้แต่งงาน แล้วตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาได้คบหาดูใจกับใครบ้างหรือเปล่า หรือเขาอาจจะกลับไปชอบผู้หญิงเหมือนเดิมมั้ยนะ
“เคยมีครับ”
ผมหลุบตาลง รู้สึกผิดหวังชะมัดเลย ตั้งแต่เลิกกับเขามาห้าปี ผมไม่เคยเริ่มต้นใหม่กับใครได้เลย ต่างจากเขาที่เริ่มต้นกับคนใหม่แล้วจบกับคนใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่…ประโยคต่อมากลับทำให้หัวใจของผมสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ คลื่นลูกหนึ่งก่อตัวปั่นป่วนอยู่ในร่างกายของผม ทั้งแฝงความเศร้าและแฝงความโหยหา…
“แต่เขาทิ้งผมไป…ห้าปีแล้ว”
เขา…หมายถึงผม!
ผมอ้าปาก อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก สายตาของท่านประธานที่ทอดมองมาที่ผมอย่างเงียบสงบ ทำให้ผมคาดเดาไม่ได้เลยว่าเขารู้หรือไม่ว่าผมเป็นใคร และต่อให้เขารู้ นั่นก็แค่หมายความว่าเขากำลังแกล้งทำเฉยเมยต่ออดีตคนรักอย่างผมเท่านั้นเอง
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน เชิญตามสบาย”
ท่านประธานเอ่ย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วหมุนตัวจากไปทันที แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวทำให้ผมอยากเอื้อมมือไปสัมผัสแล้วโอบกอดเขาไว้แน่นๆ
แต่นั่น…เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงในความคิดของผมเท่านั้น
หลังจากที่ท่านประธานหายเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของผม เขาก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ผมทานอาหารอิ่มแล้ว แต่ไม่ได้ลุกไปไหน ผมแค่คิดว่าบางที เมื่อเขาหิว แล้วอาจจะออกมากินอะไรสักหน่อยก็ได้
เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม จมอยู่ในความคิดของตัวเอง มือหนึ่งกำลังเขย่าขวดไวน์แดงเบาๆแล้วยกขึ้นกระดกใส่ปาก ปล่อยให้รสชาติอ่อนนุ่มไหลลงคอ ก่อนจะเผลอขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ เมื่อคิดว่าต่อให้ดื่มหมดขวด ของแบบนี้ก็ไม่มีทางทำให้ผมเมาได้เลย
ผมรู้สึกง่วงนอนหลังจากที่ไวน์แดงถูกผมกำจัดลงไปในกระเพาะจนหมดขวด ขาสองข้างก้าวไปข้างหน้า มือเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูห้องนอนให้เปิดออกก่อนจะปิดมันลงอย่างแผ่วเบา ความมืดและความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมตัวสั่นเล็กน้อย สายตาค่อยๆคุ้นชินกับความมืด จึงทำให้พอจะมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้กลางห้อง
แน่ล่ะ นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ดังนั้นคนที่นอนหลับสนิทราวกับเจ้าชายนิทราจะเป็นใครได้นอกจากท่านประธาน
ผมไม่ได้เมา…ผมแน่ใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผมจึงกล้าบุกรุกห้องนอนของคนอื่นในยามวิกาลแบบนี้ ผมแค่อยากเข้ามา…นั่นเป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในสมอง
ผมก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบเข้าไปใกล้ร่างของท่านประธาน ทรุดตัวนั่งบนขอบเตียง แล้วก้มหน้ามองดูดวงหน้าคุ้นเคยที่กำลังหลับสนิท ผมคิดถึงเขามากเหลือเกิน…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมทำได้แค่นั่งมองใบหน้ายามหลับของเขาเงียบๆ มีหลายครั้งที่คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าที่ห่วงหา แต่ความรู้สึกผิดที่กดเก็บอยู่ลึกๆทำให้ผมไม่กล้าแตะต้องเขา
แต่ยิ่งมอง…ผมก็ยิ่งคิดถึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่ทำให้ผมกล้าบ้าบิ่น หรือเป็นเพราะความต้องการของผมอยู่แล้วจึงได้โน้มใบหน้าลงไปประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนริมฝีปากอุ่นๆ ตั้งใจว่าจะผละออกทันทีแต่กลับต้องชะงักเมื่อมือของคนที่ควรจะหลับ กลับยกขึ้นมาดันท้ายทอยของผมให้แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
เรียวลิ้นที่คุ้นเคยของเขากำลังขยับช้าๆเพื่อสอดแทรกเข้ามาให้โพรงปากของผมที่เปิดอ้ารับด้วยความเต็มใจ ผมถูกดึงให้ล้มตัวลงมาทาบทับร่างข้างใต้ก่อนจะถูกอีกฝ่ายพลิกกลับมาคร่อมทับร่างของผมเอาไว้
ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำท่ามกลางความมืดมิด ระหว่างพวกเราไม่มีคำพูดใดเลย ผมไม่อยากสนใจแล้วว่าเขากำลังคิดถึงใคร จูบผมเพราะอะไร แต่ผมสนใจเพียงแค่ว่าผมจูบเขาเพราะผม ‘รัก’ เขามากเหลือเกิน
สายลมแรงที่พัดกระทบใบหน้า ทำให้ผมหรี่ตาลง มองภาพสวยงามเบื้องหน้าด้วยจิตใจที่ล่องลอย ท้องทะเลสีครามอมเขียวก่อเกิดเกลียวคลื่นลูกเล็กๆสาดกระทบเท้าเปลือยเปล่าของผมที่เหยียบย่ำอยู่บนหาดทรายสีขาว แสงแดดอ่อนๆในยามที่ดวงอาทิตย์ยังแอบอยู่หลังกลุ่มเมฆทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย…เมื่อคืนหลังจากที่ผมเผลอตัวเผลอใจจูบกับท่านประธานอย่างดูดดื่มเหมือนที่เราเคยทำนับครั้งไม่ถ้วน ในสมัยอดีต เขาก็โอบกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืน ผมหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิราอย่างเป็นสุขอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน และเช้าวันนี้เมื่อผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เดินใจลอยมาจนถึงชายหาดบางแสนแล้ว ปล่อยให้ใครอีกคนนอนจมอยู่ในห้วงนิทราเพียงลำพัง
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ทำให้ผมละสายตาจากท้องทะเลไปมองร่างสูงในชุดลำลองสบายๆเช่นเดียวกับผม ท่านประธานเดินมายืนเคียงข้างแล้วหันไปทอดมองท้องทะเล และระหว่างเราก็มีเพียงความเงียบเช่นเดิม แต่ความเงียบในครั้งนี้กลับทำให้ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกเราจะเปิดปากคุยกันถึงเรื่องในอดีตเสียที
ผมหมุนตัวกลับไปทางโรงแรม อย่าให้ผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทุกอย่างออกมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ใช่หลังจากที่ผมเพิ่งได้จูบกับเขาหลังจากที่เวลาผ่านมาถึงห้าปี
“วิน”
“…”
ขาทั้งสองข้างชะงักเมื่อชื่อเล่นของผมหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย หัวใจของผมเต้นกระหน่ำด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปมองแผ่นหลังของคนที่ยืนหันหน้าไปมองท้องทะเล
“ไหนบอกว่าจะไม่ไปจากกูแล้วไง”
ประโยคทวงถามพร้อมกับนัยน์ตาสีดำที่หันมามองผมอย่างอ่อนโยน ทำให้กระบอกตาของผมร้อนผ่าวก่อนจะค่อยๆปล่อยน้ำใสให้ไหลรินอาบแก้มช้าๆ
…เมื่อถึงตอนนั้นถ้ามึงยังต้องการกู กูจะไม่ไปจากมึงอีก…
ผมจำได้ดี นั่นคือประโยคหนึ่งที่ผมเขียนลงในจดหมายก่อนที่พอร์ชจะไปเรียนต่อที่อเมริกา…เมื่อถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จ วันที่เขาเข้มแข็งและผ่านความยากลำบากมาด้วยตัวเอง ผมคิดว่าวันนั้นเขาคงจะไม่ต้องการผมอีกแล้ว
“มึงจำกูได้เหรอ” ผมถามขณะใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า
“ไม่เคยลืม”
“ขอโทษ”
ผมพึมพำแล้วก้มหน้ามองพื้นทราย ขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ผมอยากกอดเขา…ได้มั้ยนะ
“กูไม่เคยโกรธมึงได้เลย”
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย รู้สึกใจบางอย่างบอกไม่ถูก ผมรักรอยยิ้มของเขา รักสายตาของเขา และรักทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขา
“เริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ย”
ช่างมันเถอะ…ศักดิ์ศรีไม่มีความหมายสำหรับผมอีกแล้วหากไม่มี ‘พอร์ช’ ขอแค่ได้เขาคืนมาต่อให้ต้องคุกเข่าง้องอน ผมก็จะ ‘ทำ’
“ได้เสมอ”
คำตอบรับสั้นๆได้ใจความทำให้ผมวิ่งเข้าไปกอดพอร์ชทันที ขณะที่อ้อมแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายก็ตวัดรัดร่างของผมไว้ ผมซุกหน้าลงบนไหล่ของเขาแล้วร้องไห้โฮอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน พวกเรากอดกันแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปล่อยให้ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาสู่พวกเราอย่างช้าๆ
“กูคิดถึงมึง” ผมพึมพำด้วยเสียงสะอื้นอยู่ข้างใบหูของพอร์ช
“ไม่อนุญาตให้ทิ้งกูไปไหนแล้วนะ”
พอร์ชเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบาๆ ผมถูใบหน้ากับแผ่นอกของเขาแล้วรับคำในลำคอ
“อืม”
“อย่าร้อง”
พอร์ชต้องใช้เวลาปลอบโยนผมหลายสิบนาที กว่าผมจะหยุดน้ำตาของตัวเองไว้ได้แล้วผละออกจากอ้อมกอดของเขา
“มึงไม่สบาย หายหรือยัง หรือว่าตอนนี้มองเห็นหน้ากูแล้วใช่มั้ย”
ผมถามด้วยความสนใจ แล้วเอียงคอมองดวงหน้าของพอร์ช แต่เขากลับขยับยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้า
“เปล่า มองไม่เห็น”
แม่ของพอร์ชเคยบอกว่าโอกาสที่เขาจะหายเป็นปกติมีเพียง 1% เท่านั้น ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่เขายังมีอาการของโรค Prosopagnosia เหมือนเดิม
“ที่ผ่านมาลำบากหรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่”
ผมยิ้มกว้าง ต่อให้ผมไม่เชื่อว่าเขาผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย แต่ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาที่สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างคนปกติทั่วไป
“จริงๆแล้วกูหล่อมากเลยนะ”
ผมว่าแล้วดึงมือข้างหนึ่งของพอร์ชมาวางบนใบหน้า ผมอยากให้เขาจดจำผมเอาไว้ ไม่ใช่ด้วยสายตา แต่เป็นการสัมผัสที่จะประทับลงในสมอง
“ขี้โม้”
แม้ว่าพอร์ชจะมีสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับค่อยๆไล้สัมผัสดวงหน้าของผมไปทีละส่วน ตั้งแต่หน้าผาก ข้างแก้ม เปลือกตา จมูกและริมฝีปาก
พวกเราเดินจูงมือกันเลียบหาดบางแสน พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ก่อนจะหยุดนั่งพักบนหาดทรายที่ชื้นน้ำทะเล
“จำได้มั้ยว่ากูเคยสัญญาว่าจะนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกับมึง” พอร์ชถาม ซึ่งนั่นทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจที่เขายังจดจำคำขอไร้สาระของผมได้
“ยังจำได้เหรอ”
“เย็นนี้พวกเรามานั่งดูด้วยกันนะ”
“ได้เหรอ”
ผมถามด้วยความลังเล เมื่อความทรงจำเรื่องแม่ของพอร์ชย้อนกลับมาในสมองของผมอีกครั้ง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“แม่ของมึง เอ่อ…” ยอมรับได้แล้วหรือว่ามึงชอบผู้ชาย
“อย่ากังวล” พอร์ชเอื้อมมือมาวางบนไหล่ของผมแล้วบีบเบาๆ
“แม่ของมึงรับได้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่รู้”
อ้าว ไอ้ส้นตีน…ผมทำหน้ายุ่งใส่เขา ผมไม่อยากถูกจับแหกอกอีกแล้วนะ
“เดี๋ยวก็ยอมรับได้สักวันนั่นแหละ”
พอร์ชเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ราวกับว่าความคิดของคุณแม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญต่อชีวิตของเขา
“งั้นเหรอ”
“วิน”
“หื้ม”
“กูรักมึงนะ”
ผมส่งยิ้มให้พอร์ช…ต่อให้มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น ผมก็จะขอยืนเคียงข้างเขาอย่างที่คนรักกันควรจะทำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสดีๆเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมจะรักษาและใช้ความผิดพลาด ความขลาดเขลาในอดีตมาเป็นบทเรียนแสนเจ็บแสบเพื่อประคับประคองกันและกันตลอดไป
ขอบคุณสำหรับโอกาสและพรหมลิขิตที่ทำให้พวกเราได้พบกันอีกครั้ง และผมไม่มีทางปล่อยพอร์ชไปอีกแล้ว
“กูก็รักมึง”
-End-
คุยกับนักเขียน
สวัสดีค่ะ เป็ดก๊าบก๊าบนะคะ ขอกราบสวัสดีทุกท่านและยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งจินตนาการของเรา ก่อนอื่นเลยอยากเล่าถึงแรงบันดาลใจในนิยายเรื่อง ‘แอคโนเซีย’ ค่ะ เริ่มจากที่เราท่อง Google ไปเรื่อยๆและไปพบกับบทความเรื่อง ‘โรคแปลกๆที่มีอยู่จริง’ จึงนำมาเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ บวกกับช่วงที่เด็กวิศวะเปื้อนฝุ่นเพิ่งจบ มีเสียงเรียกร้องจากแฟนนิยายหลายท่านว่า อ่านจบแล้วรู้สึกสงสารพี่วิน ทำไมพี่เป็นพญานกที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ หาคู่ให้พี่แกหน่อยได้มั้ย เราจึงตัดสินใจจับนางวินมาเป็นนายเอกและหาพระเอกที่เหมาะสมให้ค่ะ ซึ่งก็คือพี่พอร์ชนั่นเอง
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักอ่านที่ช่วยสนับสนุนนิยายเรื่องนี้นะคะ ทั้งแฟนนิยายเก่าๆที่เคยติดตามผลงานมาหลายเรื่องแล้ว แล้วก็ยินดีต้อนรับแฟนนิยายท่านใหม่ๆด้วย ยังไงก็หวังว่าจะได้เจอทุกคนที่นิยายเรื่องถัดไปของเรา ส่วนใครที่ไม่ชอบรอการอัพนิยายทีละตอน เราก็ขอฝากนิยายเก่าๆที่อัพจบแล้วไว้ให้อ่านแทนด้วย
หากนิยายเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทั้งด้านการใช้ภาษา หรือบางส่วนที่ขัดต่อความเป็นจริงไปบ้าง ต้องกราบขออภัย ณ ที่นี้
ด้วยรัก
เป็ดก๊าบก๊าบ
[ขายของจ้า] หนังสือ Agnosia - (แอคโนเซีย)
- ราคา 330 บาท (ส่งฟรีพัสดุธรรมดา)
- หนังสือจำนวน 360+ หน้า
- ที่คั่นหนังสือ 1 อัน/โปสการ์ด 1 ใบ (ในเล่ม)
- ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงเว็บไซต์ จำนวน 3 ตอน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องเล่าของพอร์ช (เป็นพาร์ทของพอร์ช ที่เล่าความรู้สึกของการป่วยเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้)
ตอนพิเศษ 2 ในห้องทำงานที่เร่าร้อน (NC กรุบกริบในที่ทำงาน)
ตอนพิเศษ 3 คนขี้หึง (ช่วยกันเลี้ยงหลานชายของวิน)
- สั่งซื้อผ่านสนพ. >>
http://darin-novel.lnwshop.com/- สั่งซื้ออีบุ๊ค >>
https://www.mebmarket.com/ebook-96119-Agnosia- แฟนเพจนักเขียน >>
https://www.facebook.com/PKrabKrab