50%
ถึงแม้ผมจะอาสาเพื่อเปลี่ยนผาจากการขับรถ แต่สุดท้ายเขาก็ยังยืนยันว่าตัวเองสามารถทำหน้าที่เดิมได้โดยไม่มีปัญหา ด้วยเหตุผลว่าเขาชำนาญทางมากกว่าเพราะสถานที่ต่อไปคือบ้านของเจ้าตัว ดังนั้นคนนำทางรอบนี้เลยกลับกลายเป็นเขาเช่นเดิมโดยมีผมนั่งเคียงข้างพร้อมกับการหันไปมองคนขับเป็นระยะๆ
อาการของผากลับมาเป็นปกติในเวลาไม่นาน จะมีก็เพียงแต่แววตาที่จดจ้องไปยังถนนตรงหน้าที่มันเปลี่ยนไปจากเดิม อาจเพราะผมคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ความเฉยชาที่เจือปนอยู่ในนั้นมันเลยทำให้รู้ว่าเขาแค่แสดงออกให้ผมหายห่วง
ทั้งๆที่ความคิดของเจ้าตัวยังวุ่นวายกับเรื่องที่เกิด
คราวนี้ผมไม่สนว่าผาจะว่าอะไรไหมเมื่อตัดสินใจจับมือเขามากุมแล้ววางไว้บนตัก หลังจากประเมินสถานการณ์ตรงหน้าว่าเป็นถนนที่ขับไม่ยาก ผมเลยไม่อยากปล่อยให้เจ้าตัวผ่านเรื่องราวต่างๆเพียงแค่คนเดียว
ผมย้ำกับเขาเสมอ…ว่าผมยังอยู่ตรงนี้
และเขาก็รับรู้มาเสมอ...ว่าผมไม่เคยไปไหน
เพราะแบบนั้นผาเลยยิ้มจางส่งมาให้แล้วกระชับมือผมเข้าอีกที แค่นั้นมันก็ทำให้ใจผมฟูขึ้นมาเกือบเท่าตัว นิ้วที่เบียดกันส่งผ่านอุณหภูมิอุ่นร้อนจนผมไม่อยากปล่อยมือเขาเลยสักนิด เลื่อนมองมือเล็กที่เข้ากับมือตัวเองได้อย่างเหมาะเจาะ ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ผิวเนื้ออ่อนนุ่มเบาๆ พิจารณามือเขาอย่างถี่ถ้วนคล้ายกับไม่เคยทำมาก่อน
มันอาจจะดูประหลาดกับอาการที่ผมเป็นอยู่ แต่ไม่รู้สิ ผมแค่อยากเก็บทุกช่วงเวลากับเขาไว้ล่ะมั้ง
เหมือนที่ผาก็กำลังเก็บช่วงเวลาของตัวเองเอาไว้เหมือนกัน
ผมเริ่มเก็บความทรงจำว่ามือเขารูปร่างแบบไหน นิ้วของเขาเรียวยาวสมส่วนเท่าไหร่ มีไฝหนึ่งเม็ดทางด้านซ้าย และมีรอยแผลเป็นเล็กๆพาดอยู่ไม่ไกลกันนัก
นอกจากนั้นผมก็เริ่มสังเกตไปทีละส่วน ตั้งแต่ต้นแขน ลำคอ หัวไหล่ จบลงที่ใบหน้าของคนที่ยังตั้งใจกับการขับขี่
ผามีผมสีดำ สีเดียวกันกับนัยตาเจ้าตัว เป็นสีดำที่นุ่มลึกดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีแสงจันทร์คอยเคียงข้างจนมืดสนิท แต่เป็นความมืดที่น่าหลงใหล เป็นความมืดที่มีแรงดึงดูดให้เข้าไปใกล้ จนกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเพราะลุ่มหลงเกินกว่าที่ใจคิดเสียแล้ว
อีกฝ่ายมีจมูกที่รับกับใบหน้า ไม่เชิดรั้น พอดีกับริมฝีปากบางและปลายคางที่ได้ทรงสวย มองเผินๆแล้วเขาไม่ได้อ่อนหวาน แต่ทุกอย่างลงตัวพอดีในแบบของมัน ไม่ได้อยู่ในนิยามของคำว่าหล่อเหลา แต่กลับมีเสน่ห์แบบที่หลายคนไม่มีและนั่นทำให้สายตาหลายคู่จับจ้องเวลาเดินผ่าน ผาคงไม่รู้ว่าโดนคนอื่นมองบ่อยครั้งเพราะปกติแล้วก็แทบจะไม่สนใจใครนอกจากเพื่อนที่เขามี
“ปล่อยก่อนได้มั้ย ใกล้จะถึงแล้ว” เขาเอ่ยขอ น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมยอมทำตามและสังเกตว่ารอบข้างเริ่มเป็นถนนที่แยกออกจากถนนหลักมาอีกที
“แล้วใครอยู่ที่บ้านบ้าง?” เพราะสงสัยมาตลอดตั้งแต่เจอบุคคลที่สามเมื่อยามเช้า ผมเลยถามเขาจนได้ ทั้งๆที่คิดไว้ว่าเขาจะพามาเจอบิดาที่บ้านหลังใหญ่แต่เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะเข้าเค้ากับสิ่งที่คิดไว้เท่าไหร่นัก
“น้ากับแฟนน้า...น้องของแม่น่ะ”
“อ่อ” ผมเงียบ ก่อนจะถามต่อ “แล้วเคยพาใครมาที่บ้านรึเปล่านอกจากเค้า?”
และมันก็เป็นคำถามที่วางเดิมพันด้วยราคาสูงลิบลิ่วเสียด้วย
มีคนบอกผมว่าเมื่อไหร่ที่ผู้คนกล้าพนัน นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นมั่นใจว่าผลลัพธ์จะออกมาตามที่ตัวเองต้องการอย่างน้อย 50%
แต่ผมคิดว่าสำหรับตัวเองแล้ว
“ไม่เคย”
รอบนี้ผมมั่นใจเกินกว่า 100% เสียอีก
“ถ้าไม่นับมาร์ช...มึงก็คนแรก”
ผมอมยิ้ม ดุนลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้มด้วยความเหนือกว่า รู้สึกเป็นผู้ชนะแม้จะไม่มีคู่แข่งเพียงสักคน
“บอกน้าไว้แล้วว่าจะกลับแต่ไม่ได้บอกว่ามึงมาด้วย เมื่อคืนมันกะทันหันไปหน่อย ขอโทษที”
ผมพยักหน้าเพราะพอจะเข้าใจที่ผาพูด เจ้าตัวก็คงไม่ได้คาดการณ์ว่าจะชวนผมออกมาด้วยล่ะมั้งเลยทำให้แผนการเปลี่ยนไปนิดหน่อย
“น้าเธอใจดีมั้ย?”
“ก็ใจดีนะ”
“ใจดีกับเธอแต่ดุใส่เค้าแบบนี้ไม่เอานะ”
“โดนแน่มึงอ่ะ กวนดีนัก” เขายิ้มเยาะ ก้มหัวลงให้คุณลุงยามหน้าหมู่บ้านและทักทายกันอย่างสนิทสนม
“เธอก็บอกน้าเธอใจดีๆกับเค้าหน่อยดิ ไม่ช่วยกันเลย” ผมพูดต่อหลังจากรถเคลื่อนตัวเข้าด้านใน สองข้างทางตกแต่งด้วยสวนที่มีต้นไม้สวยงาม
“จะบอกให้ดุเยอะๆเลยดีมั้ย?”
“ดุอะไรอีก อนาคตแฟนเธอทั้งที ดุเยอะเดี๋ยวทิ้งเลยนะ”
“...”
“ทิ้งแล้วอย่ามาง้อนะ พูดจริงๆเลยเนี่ย”
หลังจากพูดจบผาก็อึ้งไปนานจนผมอมยิ้ม มองเห็นเขาพยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ ก่อนแก้มจะขึ้นสีและนั่นทำให้ผมไม่เซ้าซี้อะไรต่อ
น่ารักว่ะ
“มึงนี่มัน…”
น่ารักฉิบหายเลยผาอ่ะ
สาบานจากใจลูกผู้ชายคนนี้นะ
ได้เป็นแฟนแบบที่พูดเมื่อไหร่จะทำให้เขาอ้อนผมให้ได้เลยคอยดู
คนขับมองซ้ายมองขวาก่อนจะหักเลี้ยวหนึ่งครั้งเมื่อเราเข้ามาถึงสระน้ำขนาดใหญ่ใจกลางพื้นที่ บ้านของผาตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง มีพื้นที่ของบ้านแต่ละหลังคาเรือนค่อนข้างกว้างพอควร ตั้งเรียงรายกันเป็นระเบียบแยกไปตามตรอกซอกซอยที่ออกแบบมาไว้อย่างดี มีพื้นที่ส่วนกลาง มีสนามเด็กเล่น และมีร้านค้าที่เปิดบริการอำนวยความสะดวกให้กับคนที่อาศัย
สุดท้ายเขาก็จอดรถยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้นสีขาวและมีต้นไม้ต้นใหญ่ด้านหน้า ยังไม่ทันที่เครื่องยนต์จะได้ดับลง ประตูหน้าบ้านก็เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติพร้อมกับมองเห็นหญิงสาววัยกลางคนเดินออกมา
“ขอบคุณครับน้าหลิว” ผาเลื่อนกระจกลงเพื่อกล่าวขอบคุณกับอีกฝ่าย ก่อนจะเคลื่อนรถยนต์ให้เข้าจอดด้านในทันที เจ้าบ้านก้าวลงจากรถก่อน ตามด้วยผมที่ก้าวลงทีหลัง มองเห็นสองคนที่ยืนเคียงข้างกำลังมีบทสนทนากันเล็กน้อย
“ม่านนี่น้าหลิว ส่วนน้าหลิวครับ นี่ม่าน เพื่อนผาเอง”
“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้อีกฝ่าย คนอายุมากกว่าตอบรับพร้อมกับยิ้มหวาน
“เข้ามาข้างในกันก่อนสิ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน อายุทเพิ่งออกไปแก้งานเมื่อกี้ ยังไงก็ตามสบายเลยนะ”
“ครับ”
เมื่อไม่รู้จะทำยังไงผมเลยเดิมตามไปห่างๆ แอบรู้สึกเก้ๆกังๆนิดหน่อยเพราะอาการประหม่าเวลาเจอผู้ใหญ่ ตอนนี้เลยเริ่มเข้าใจผาแล้วว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้คิดมากตอนที่ผมพาเขาไปเดทที่บ้าน
ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการเอาคืนผมตามฉบับผาหรือเปล่า
ผาพาผมเข้ามาด้านในยังห้องรับแขก ส่วนหญิงสาวก็รีบหาน้ำหาท่ามาให้แม้ผมจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจไปหลายรอบ น้าและหลานหายไปนานสองนาน ก่อนที่ผาจะกลับมานั่งด้านข้างพร้อมกับจ้องมองผมที่นั่งนิ่งเมื่อไม่รู้จะทำอะไร
“ตอนแรกว่าจะแวะมาแปบเดียว แต่น้าหลิวไม่ยอม บอกให้ทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนค่อยกลับ”
“เอาสิ อยู่นานเท่าที่เธอต้องการเลยก็ได้นี่”
ผาเงียบ หันกลับไปพร้อมกับยกหมอนอิงขึ้นกอดแนบอก
“ปกติแล้วกูมาไม่นานหรอก ไม่ค่อยอยากอยู่นานเท่าไหร่”
“...” ผมนั่งนิ่ง พอจะเดาออกว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
และดูเหมือนการสันนิษฐานของผมจะถูกต้องทุกอย่าง
“กลัวว่าจะคิดถึงแม่”
สายตาคู่นั้นกวาดมองไปรอบๆ หยุดอยู่ที่แจกันดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนมุมหนึ่งของห้อง เป็นแจกันดอกไม้ปลอมที่ดูเก่ากว่าชิ้นอื่นที่ประดับไว้
“อันนี้บ้านเธอใช่ไหม?” ผมถาม ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับผา
“อืม บ้านกูเอง”
“...”
“ย้ายมาตอนประถม แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กจนโต พอแม่เสียน้าก็ช่วยมาดูแลกูที่อยู่คนเดียว”
ทุกเหตุการณ์ในช่วงชีวิตผามักจะมีเรื่องราวของมารดาอยู่เสมอ เหมือนกันกับสิ่งที่มันขาดหายไปคือการเอ่ยถึงหัวหน้าครอบครัวคล้ายกับพยายามเลี่ยง
ผาไม่เคยพูดถึงพ่อ และผมก็พอปะติดปะต่อได้ว่าคงไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสำหรับเขาเท่าไหร่นัก จากสายตาและท่าทางเย็นชาที่ผาแสดงออก
มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเบื้องลึกในใจของเขายังคงมีเรื่องราวของคุณพ่อซ่อนอยู่
“พ่อเป็นคนซื้อบ้านหลังนี้เพราะแม่ชอบ เมื่อก่อนสวนหน้าบ้านจะปลูกดอกไม้ ถ้ามึงเห็นดอกกุหลาบที่แม่ปลูกไว้มึงจะชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันกับกูแน่ๆ” เขาเว้นช่วง “ยิ่งตอนที่แม่อยู่นะ มองไปทางไหนของบ้านก็จะมีแต่ดอกไม้ ทางขึ้นบันได ห้องรับแขก ห้องครัว เข้าบ้านมาทีไรก็มีแต่กลิ่นหอมๆ”
ผมยังตั้งใจฟังเรื่องราวที่ไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังบ่อยนักจากปากเขา
“อยากให้มึงได้มาเห็นจริงๆ” หลังจบประโยคเขาก็หันมาทางผม ยิ้มจางแบบที่ดูอบอุ่นไม่สมกับเป็นเจ้าตัวส่งมาให้ รับรู้ความรู้สึกของเขาได้ผ่านแววตาที่อ่อนลงอย่างมาก
“เสียดายเลย” ผมตอบรับ ส่งยิ้มกลับไปเหมือนกันในยามที่เราสบตา
“นั่นสิ”
“แต่ไม่เป็นไรหรอก ตัวเธอก็หอมเหมือนกัน”
“คนละเรื่องแล้ว”
“มาให้ดมๆหน่อย” ผมใช้นิ้วสะกิดไปยังต้นแขน เจ้าตัวเบี่ยงออกไปอีกทางคล้ายรังเกียจแต่ก็หัวเราะออกมา
“แล้วนี่คุณน้าหายไปไหน?”
“ออกไปตลาด ไปซื้อของมาทำกับข้าวเนี่ยแหละ”
“อ่อ”
ผมพยักหน้า เราสองคนเลยตัดสินใจฆ่าเวลาด้วยการที่เขาพาผมเดินเล่นรอบๆบ้าน สำรวจสวนที่ยังคงเหลือไว้แค่ดอกไม้บางชนิดที่คุณน้าเป็นคนปลูกเสียแทน
“มาร์ช!!”
แต่ในจังหวะหนึ่งที่เขาเหลือบเห็นคนที่เดินผ่าน ผาก็รีบตะโกนเสียงดังให้เจ้าของชื่อนั้นได้ยิน เจ้าตัวงุนงงในคราแรก ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้จนสามารถเห็นเค้าโครงหน้าได้อย่างแจ่มชัด
“กลับมาตั้งแต่วันไหนเนี่ย?”
“เพิ่งมาถึง แล้วนี่จะไปไหน?”
“ซื้อขนมให้หลาน หลานมาบ้านก็โดนใช้งานหนักเลย”
ผายิ้มเยาะให้กับคนหลังกำแพง ก่อนที่คนแปลกหน้าจะเห็นว่ามีผมยืนอยู่ด้วยกัน
“อ่า นี่ม่าน” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูแปลกๆ เขาเลยรีบแนะนำผมให้อีกฝ่ายได้รู้จัก ผมก้มหัวลงทักทาย อีกฝ่ายก็เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วคนทางนั้นก็หันไปทางผาอีกรอบ
“มากับเธอหรอ?” คนชื่อมาร์ชเอ่ยถามเสียงนุ่ม สรรพนามที่พูดออกมาทำให้ผมจ้องมองตามสัญชาตญาณอย่างช่วยไม่ได้
เธองั้นหรอ?
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเรียกผาแบบนั้นมาก่อน
“มาด้วยกัน”
“อ่อ” อีกคนพยักหน้าแล้วหันมาหาผมอีกรอบ ความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านทำให้ผมอยากจะโทษตัวเองที่คิดร้ายกับเขาในเวลาก่อนหน้า
คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“ไม่เคยรู้จักเพื่อนเธอคนนี้เลย”
คราวนี้ผาเงียบ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะของเราทั้งคู่
“ไม่ใช่เพื่อน เป็นรุ่นน้อง”
“อ่อ” ชายหนุ่มลากเสียงยาว ไม่เกินเสี้ยววินาทีที่ดวงตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นการหยอกล้อแล้วกดเสียงต่ำเพื่อย้ำคำถามที่ส่งให้ “รุ่นน้อง...หรอ?”
ในใจผมเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกับคราวนี้ผมกำลังเริ่มต้นการพนันครั้งใหม่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
และมันเป็นการพนันที่ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะได้เกิน 50% ด้วยซ้ำ
ถึงจะคิดไปแบบนั้น แต่ผากลับทำให้ทุกอย่างตาลปัตรไปจนหมด
“เปล่า”
“...”
“ไม่ใช่น้อง”
จากการปฏิเสธคำถามของคนอายุมากกว่า และย้ำความหมายที่ชัดเจนมากพอให้คนตรงหน้าเข้าใจ ผมพอจะรับรู้ได้จากสีหน้าและแววตาของเขาที่มองผมและผาสลับกันไปมาอีกหนึ่งรอบ เจ้าตัวค่อยๆส่งยิ้มมาให้ มีแววของความขี้เล่นที่แฝงไว้ด้านในอย่างเต็มเปี่ยม
“มองอะไร?”
“เปล่า”
“มึงสองคนนี่มันกวนตีนเหมือนกันชิบ”
ผาบ่นออกมาก่อนจะผลักหัวเจ้าตัวไปหนึ่งที อีกฝ่ายหัวเราะร่า ก่อนจะถามต่ออย่างอารมณ์ดี
“ไปหาแม่มาแล้วอ่ะดิ?”
“อืม ไปมาแล้ว ไปหาแม่ก่อนจะมาบ้านนี่แหละ”
“อ่า ดีแล้ว”
“กูเจอพ่อด้วย”
ทันทีที่ผาพูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็จางหายไปจนหมด เขามองผาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ความห่วงใยที่ส่งผ่านมาทางแววตาทำให้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูเหมือนมาร์ชจะรับรู้เรื่องราวต่างๆในชีวิตของผาได้ดีกว่าผมเสียอีก
“โอเคแน่นะ?”
“อืม”
“...”
“...”
“เธอก็รู้ว่าเธอโกหกคนอื่นได้แต่เธอโกหกเค้าไม่ได้นะผา”
โทนเสียงทุ้มต่ำแสดงออกชัดเจนว่ากำลังดุ คนที่จนมุมทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่โดนรู้ทัน ผาเงียบไปสักพักก่อนจะตอบรับด้วยคำเดิม
“โอเคน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจริงๆ”
สายตาเย็นเยียบจ้องมองอยู่นานก่อนที่เจ้าบ้านจะเปลี่ยนเรื่องโดยการเชื้อเชิญแขก
“วันนี้มาทานข้าวด้วยกันสิ น้าหลิวจะเข้าครัว ไหนๆก็เจอกันแล้ว”
อีกคนพยักหน้ารับหลังจากตัดสินใจ “เอาดิ คิดถึงแกเหมือนกัน แต่เดี๋ยวไปซื้อขนมให้หลานก่อน”
“รอในบ้านนะ”
“คร้าบบ”
เขาทั้งคู่บอกลากันอย่างเรียบง่ายก่อนที่เราจะตัดสินใจเดินเข้าบ้าน ไม่นานอีกฝ่ายก็ตามมาด้วยเสียงบ่นออดแอดตลอดทางเรื่องสภาพอากาศที่ร้อนจัดยามเที่ยง ผาเข้าครัวช่วยน้าของเขา เหลือเพียงผมกับแฟนเก่าใครบางคนที่รอคอยในห้องรับแขกสองต่อสอง
บรรยากาศระหว่างเราดูจะแปลกไปเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเพราะเป็นการเจอกันครั้งแรกหรือเพราะสถานะความสัมพันธ์ที่มันยุ่งเหยิงของเราทั้งสามคนเลยทำให้ผมทำได้แค่เงียบ ส่วนเขาเองก็เงียบ ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ดูเป็นธรรมชาติและคุ้นเคยกับทุกๆอย่างรอบตัวเป็นอย่างดี
เราคุยกันบ้างเล็กน้อยเพื่อไม่ได้ดูเป็นการเสียมารยาทมากเกินไป เขาถามมา ผมตอบรับ ผมถามกลับ เขาก็ตอบสั้นๆเหมือนกันคล้ายกับไม่รู้ว่าต้องไปต่อที่ตรงไหน โชคดีที่ผาเข้ามาทำลายความอึดอัดที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยเลยทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
มื้อเที่ยงที่แสนเอร็ดอร่อยหมดเกลี้ยงลงในพริบตา คนทั้งสามที่ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมากพูดคุยอย่างออกรส คงเพราะคุณน้าของผาเองที่ชวนผมคุยเหมือนกันเลยทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นคนนอกในการสนทนาครั้งนี้ หลายครั้งที่ผมแอบมองไปยังสองคนที่นั่งตรงหน้า รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ที่มันพิเศษแม้จะไม่ได้อธิบายออกมาให้เข้าใจ
เป็นความสัมพันธ์ที่ผาเคยบอกผมไว้
ว่าเมื่อไหร่ที่เขาย้อนไป เจ้าตัวจะมีรอยยิ้มให้กับมันเสมอ
ถ้าจะให้พูดว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นเพราะผมคาดหวัง และคนที่คาดหวังก็คงไม่อยากจะผิดหวังเป็นแน่ ผมเป็นแบบนั้น เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นมันก็ส่งผลต่อความรู้สึกผมเป็นอย่างมาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ความรู้สึกที่บอกว่าผมยังเป็นที่สองรองจากมาร์ชมันยังกวนใจผมอยู่ตลอด จนกว่าเราจะนั่งบนรถ คงเพราะอาการของผมเองที่เงียบมาสักพักเลยทำให้ผาหันมาถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
ผมทวนคำถามเขาในใจซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้ว่าต้องตอบไปแบบไหนถึงจะทำให้มันไม่แย่ลงกว่าเดิม
ถ้าตอบว่าเป็นแล้วบอกเหตุผล...เขาจะยอมง้อไหม?
แล้วผมสำคัญมากพอที่เขาจะให้เขาง้อหรือเปล่า?
“วันนี้มึงได้เจอหลายคนเลยนะ” ผาไม่เซ้าซี้ นิสัยเขาอีกเหมือนเคยเมื่อผมเอาแต่เงียบ “ทั้งแม่ ทั้งพ่อ มาร์ช แล้วก็น้า”
รถยนต์เคลื่อนตัวออกช้าๆ สายตาเขายังจดจ้องไปนอกกระจก
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ ชีวิตกูเป็นแบบที่มึงคิดไหม?”
ผมมองออกไปอย่างไม่มีจุดหมายเช่นกัน อาจเพราะอะไรหลายอย่างที่เริ่มตีกันอย่างหนักในหัว
“บอกไปแล้วใช่ไหมว่ามึงคนแรกที่กูพามาที่นี่” เขาเว้นช่วง “ไม่เคยมีใครที่กูยอมขนาดนี้นะ...ไม่มีจริงๆ”
แต่สุดท้ายแล้วผมก็แพ้ให้กับเขาอีกจนได้ จากคำพูดของผาที่ย้ำชัดให้ผมเข้าใจ
ว่าที่จริงแล้วเขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังตั้งใจเรียนรู้ผมไปพร้อมกัน
“เลิกคิดได้แล้วว่ากูไม่จริงจัง กูก็จริงจังเหมือนกัน แต่กูไม่เก่งในความสัมพันธ์พวกนี้ ถ้ามีอะไรที่กูพลาดไปก็ขอโทษด้วยจริงๆ”
“...”
“...บางทีกูไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทำให้มึงเสียใจไปแล้ว ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นก็รู้ไว้ด้วยว่าไม่ได้ชอบ”
“...”
“...ชอบเห็นมึงยิ้มมากกว่า...”
มือเล็กส่งมายีที่ศีรษะจนเส้นผมของผมยุ่งเหยิง เขาไม่ได้ส่งยิ้มให้ แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจจนทิ้งความคิดบ้าๆพวกนั้นออก ไม่รู้เพราะผมเอาแต่เงียบหรือเพราะเขาอยากจะบอก ประโยคต่อไปเลยทำให้รอยยิ้มของผมปรากฏอย่างง่ายดาย
และทำให้ผมมั่นใจว่าตัวเองยังยืนอยู่ในใจเขาลำดับแรกดังเดิม
“แล้วก็ที่เคยถามไว้...จะตอบให้ก็ได้”
ด้วยประโยคสุดท้ายก่อนที่มือเล็กจะคว้ามือผมไว้ บังคับให้จับมือเจ้าตัวไม่ห่างไปไหนเหมือนเคย
“ที่จริงกูมีคำตอบนานแล้วนะ ถ้าถามว่าใครหล่อกว่าน่ะ...”
“...”
“แต่กลัวว่าพูดไปเดี๋ยวจะทำให้เด็กแถวนี้ได้ใจซะเปล่าๆ”
ผมยกยิ้ม อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ
แต่ว่ามองไปมองมา...ผมก็หล่อกว่าพี่มาร์ชแบบที่ผาว่าจริงๆนั่นแหละ
ไม่เถียงเลย
:’)
#ผาเพียงฟ้า
Talk2
มีเด็กได้ใจใหญ่แล้วค่ะพี่ผา
24/11/19
before30october