♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)  (อ่าน 47347 ครั้ง)

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
«ตอบ #30 เมื่อ04-09-2019 17:48:26 »

อ้างถึง
“ว่าผาไม่ได้คิดอะไรกับกูเลย”
​​   “อืม”
​​   “...”
​​   “ถ้าเขาคิด เขาคงไม่เดินตามคนอื่นแบบนั้น”

อึ้งไปเลยฉอดนี้
สู้ต่อไปครับน่า
รักแล้วเลิกไม่ได้ก็ไม่ต้องเลิก
 :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
«ตอบ #31 เมื่อ04-09-2019 22:44:08 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ SimplyDelicious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
«ตอบ #32 เมื่อ04-09-2019 23:10:33 »

ฮืออออ ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ มันดูเป็นความสุขที่ค่อยเป็นค่อยไป
ชอบความสัมพันธ์แบบนี้มากเลย คือมันละมุนมากสำหรับเรา
ผาน่ารักอ่ะ คือทำไมมองน้องด้วยฟีลเตอร์น่ารักก็ไม่รู้
ยิ่งเห็นโหดๆ เถื่อนๆงี้ แต่ทำไมเราเอ็นดูววววว
น้องม่านก็น่ารักอยู่แล้ว
เราทีมม่านผา ดีใจมากที่เราลงเรือถูก 555555
น้องน่ารักกันมากๆ คุณคนเขียนก็แต่งดีมากๆเลยค่ะ ชอบมากเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
«ตอบ #33 เมื่อ07-09-2019 01:31:31 »



ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


8

you came into my heart, really fast



_________


thank you


_________








   ดูเหมือนว่าช่วงนี้ชีวิตผมจะยุ่งเกินกว่าปกติ จากงานที่ยังคงค้างและการสอบกลางภาคที่จะมาถึง

​​​​   พวกกลุ่มเพื่อนนัดกันออกมาทำงานนอกสถานที่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เราเลือกห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อรวมตัว และหลายครั้งที่ต้องการความเงียบสงบจึงมาชุมนุมกันที่ห้องของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเสียแทน

​​​​   และคนๆ นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้

​​​​   นอกจากได้ฮั่นที่ห้องมันมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบถ้วนทุกอย่าง

​​​​   “ชีทนี้มึงอ่านยังวะ?” ไอ้เหนือวางกระดาษปึกหนึ่งไว้ด้านข้าง บนนั้นถูกปากกาเน้นข้อความหลากสีลากเป็นทางยาวหลายบรรทัด

​​​​   “ยัง”
​​​​   “เฮ้อ กูไม่เข้าใจเลย” มันใช้มือยีผมตัวเองจนยุ่ง คิ้วขมวดมุ่นจนทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูแทบไม่ได้

​​​​   “อะแฮ่ม มาๆ เดี๋ยวกูสอนเองครับคุณเหนือ” นาวากระแอมไอ ขยับแว่นของตัวเองให้มั่น ก่อนจะยืดตัวขึ้นตั้งมาดผู้ดีอย่างกวนตีน แต่ไม่นานเกินเสี้ยววิ เสียงดัก อั่ก! ก็ตามมาพร้อมกับมันที่ตัวโยน

​​​​   “อย่าเสนอหน้า กูรู้ว่ามึงก็ไม่ได้อ่านไอ้สัส”

​​​​   การทะเลาะกันของมันทั้งสองเรียกเสียงหัวเราะจากไอ้ปัทถ์ที่นั่งอยู่ เมื่อเนิร์ดไม่จริงโดนหยอกล้อก็เหยียดขาถีบ แต่ถึงอย่างนั้นคนอารมณ์ดีก็ยังไม่หยุดส่งเสียง

​​​​   “ชีทนั้นมีกี่หน้า?” เจ้าประจำที่ยังเงียบเอ่ยถาม ไม่แม้แต่จะเปรยตามอง
​​​​   “ยี่สิบห้า”
​​​​   “เยอะจังวะ” คราวนี้ไอ้ตินขมวดคิ้วแล้วหันมา วางทุกอย่างในมือลงแล้วแย่งกระดาษที่อยู่ใกล้ผมไปอ่าน
​​​​   “คำนวณทั้งนั้นด้วย” ไอ้ฮั่นรีบเสริม

​​​​   “มึงอ่านแล้วอ่ะดิ?” เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยรีบถาม
​​​​   “อ่านไปเมื่อคืน ถ้าจะให้ติวก็ได้นะ แต่กูก็ยังไม่แม่น” มันมองหน้า ถอนหายใจออกมายามที่พูด
​​​​   “มาๆ แม่นไม่แม่นก็ติวไว้ก่อน จะสรุปค่อยว่ากันอีกที” ไอ้คนเปิดประเด็นขยับเข้าใกล้เจ้าของห้อง ผมเลยรีบถดตัวเป็นนอนคว่ำ หยิบชีทของตัวเองวางไว้พลางเพื่อให้ไอ้ฮั่นมันทวนให้ฟังคร่าวๆ

​​​​   เรารวมตัวกันย่อมๆตรงบริเวณปลายเตียง คนอื่นๆ มีทีท่าตั้งใจฟังไม่ต่างจากคนอธิบายที่ตั้งใจสอน เนื้อหาวิชาที่ลอยผ่านทำเอาใบหน้าแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไป จากเล่นๆ อยู่ก็กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

​​​​   ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าโดยมีการหยุดพักเป็นครั้งครา ในที่สุดฮั่นมันก็สอนจบ เสียงบ่นออดแอดดังตามมาเมื่อเนื้อหายากกว่าที่คาดคิด ทุกคนมีอาการไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ดูเหมือนเราจะเริ่มทนไม่ไหวกับความรู้ที่มันอัดแน่นในหัว

​​​​   “แดกเหล้ามะ?”
​​​​   ปั่ก!
​​​​   “อะไรอีกเนี่ย!” คนชวนสบถ เมื่อเห็นว่าใครที่กำชีทม้วนเป็นวงแล้วตีเข้าที่หัวตัวเองก็เหยียดขาถีบไปอีกหนึ่งรอบ

​​​​   เพราะคู่กรณีเป็นไอ้ปัทถ์ที่มักจะแกล้งกันอยู่บ่อยๆ

​​​​   “จะสอบแล้วยังจะแดกอีก”
​​​​   “ไม่ไหวจริงว่ะ สมองจะระเบิด”
​​​​   “ถ้ามึงคิดว่ามึงอ่านทันในสองวันมึงก็ไป” เหนือพยักพเยิด สามทหารเสือของกลุ่มตั้งวงทะเลาะกันอีกแล้ว

​​​​   “ผา”
​​​​   “อะไร” ผมตอบ ไม่คิดว่าจะมีชื่อตัวเองแฝงอยู่ในการพูดคุยที่ไม่รู้จุดจบ
​​​​   “ไปป่ะ?”
   
​​​​   คำชักชวนถูกส่งให้ ผมเลยหันไปทางไอ้ตินแล้วพูดหยอกล้อบ้าง

​​​​   “ถ้าไอ้ตินไปกูไป”
   
​​​​   นาวาหันขวับไปหาเหยื่ออีกหนึ่งของวันนี้ แต่มันคงรู้ดีว่าถ้าคนนี้ตอบไม่ไป ยังไงเจ้าตัวก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน แต่คนที่โดนจับจ้องนั้นยักไหล่ ไม่ได้ตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธ เป็นการบอกว่า ยังไงก็ได้ ถ้าพวกมึงไปกูก็ไปเหมือนกัน

​​​​   “พอเลยไอ้สัส อีกสองวันก็หัดอดทนเอาหน่อย เอาไว้สอบเสร็จค่อยไปแดก” เป็นเจ้าของห้องที่เข้าห้าม ผมอมยิ้มจางก่อนจะตั้งใจอ่านของตัวเอง

​​​​   อันที่จริงก็รู้สึกเบื่อแบบที่นาวามันพูดเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ในเมื่อสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นคือหน้าที่ของการเป็นลูกที่ดีและเป็นนักศึกษาที่ตั้งใจใฝ่หาความรู้ไปประกอบอาชีพ มันเลยทำให้ผมต้องอดทนและไม่กล้าที่จะเหลวไหลไปมากกว่าเก่า

​​​​   แค่นี้ก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นเละเทะมากพอแล้ว ตั้งใจนิดหน่อยจะเป็นไรไป

​​​​   ยิ่งการสอบมิดเทอมของเราแต่ละครั้งคือการตัดสินว่าการเรียนต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางไหน ผมก็ต้องให้ความสนใจมากกว่าปกติ เพราะถ้าผมทำคะแนนดี นั่นหมายความว่าปลายภาคผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าคะแนนผมออกมาไม่สวยเท่าไหร่ ในอนาคตก็คงต้องดร็อปจนตามไม่ทัน คนอื่นๆก็คงคิดแบบเดียวกัน ไม่งั้นพวกมันก็คงไม่สุมหัวทำหน้าเครียดกันภายในห้องสี่เหลี่ยม จะว่าไปก็ตลกไม่น้อย เหล่าชายวัยโจ๋ที่ต้องการออกไปเริงร่ายังโลกภายนอกกลับต้องยอมแพ้ให้กับชีทปึกหนาและนั่งหงอยจนหมดแรง

​​​​   คล้ายกับว่านี่คือนรกดีๆ นี่เอง

​​​​   ความคิดของผมจบลงเมื่อมองเห็นโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัว หน้าจอมันดับสนิทเมื่อตั้งการทำงานเป็นโหมดกลางคืน เพื่อไม่ให้เสียงเตือนดังขัดจังหวะตอนกำลังอ่านหนังสือ ผมเลยจำเป็นต้องละทิ้งโลกออนไลน์เอาไว้เบื้องหลัง

​​​​   หน้าจอเครื่องสี่เหลี่ยมสว่างวาบเมื่อเปิดใช้งาน มีแจ้งเตือนต่างๆจากแอปพลิเคชันทั่วไป ผมไม่ได้สนใจมากนัก เพราะต้องการเลื่อนดูแจ้งเตือนจากใครบางคนเสียมากกว่า

​​​​   และพบว่าข้อความสุดท้ายที่ส่งมาคือเมื่อเจ็ดชั่วโมงที่แล้ว

​​​​   ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ปกติม่านแทบไม่ปล่อยให้มันทิ้งห่างแบบนี้

​​​​   “แหนะ แอบซ่อนกิ๊กหรอวะ?” เสียงจากเพื่อนขัดจังหวะ ผมเลยเงยหน้ามองอย่างมีคำถาม

​​​​   “จะมีกิ๊กได้ไง แฟนยังไม่มีเลย” ไอ้เหนือเข้าสมทบ ผมยังนิ่งเช่นเดิมไม่โต้ตอบ

​​​​   “แล้วน้องม่านล่ะ ไม่ใช่แฟนหรอ?”
​​​​   “บ้า ไม่น่าใช่”
​​​​   “ก็ไปกินข้าวด้วยกันแล้วนี่ แบบนี้ไม่ใช่แฟนก็ยังไงๆ อยู่ป่ะ”

​​​​   การตบมุกของพวกมันเรียกเสียงฮาดังสนั่น เห็นไอ้ตินแอบอมยิ้มคนเดียวเหมือนกันในมุมหนึ่ง ผมเบ้ปาก ไม่อยากเสวนากับพวกชอบพล่าม ก่อนจะลุกนั่งหันหลังพิงกำแพงเพื่อไม่ให้พวกมันเห็นหน้าจอ

​​​​   ข้อความสุดท้ายที่ส่งมาให้เป็นเพียงประโยคสั้นๆ เป็นการให้กำลังใจรูปแบบหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะทำ และม่านก็เช่นกัน

ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะครับ : AMAN

​​​​   มันก็ทำแบบนั้นเหมือนคนอื่นๆ

​​​​   ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกรอบก่อนจะกดปิดหน้าจอ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยไม่รู้ทำไม อาจเพราะพวกเพื่อนมันยังล้อต่อไปไม่เลิก หรือเพราะไม่ได้รับข้อความจากคนอายุน้อยกว่า

​​​​   แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด

​​​​   “​​​​อยากดูหนังว่ะ” จู่ๆ ไอ้ปัทถ์ก็พูดขึ้น มันโยนหนังสือทั้งหมดทิ้งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดเพื่อดูรอบหนัง จากนั้นก็พล่ามไม่ยอมหยุด “พวกมึงดู IT กันยัง มันเพิ่งเข้าโรงอาทิตย์ก่อน”

​​​​   “จะเอาเวลาไหนไปดู กูก็อ่านหนังสือกับมึงทุกวัน” เมื่อมีคนสวน คนชวนเลยหัวเราะร่า ใช้มือเสยผมไปมาเมื่อพูดต่อ

​​​​   “มีอนิเมะด้วย แต่อยากดู IT มากกว่า”
​​​​   “กูยังไม่ได้ภาคแรกเลย”
​​​​   “ก็ดูภาคสองได้น่า”

​​​​   ปัทถ์มันยั้งไม่ล้มเลิกความพยายามในหารป้ายยา ไอ้เหนือมองมา ก่อนจะตอบตกลงจนผมรู้สึกแปลกใจ

​​​​   “สองคนมะ?” มันเอ่ยถาม อาจเพราะรู้ว่าไม่มีแนวร่วมจากคนอื่นๆ
​​​​   “เอาดิ”
​​​​   “กูไปด้วย” คราวนี้คนทั้งห้องหันไปทางคนพูด ไอ้ตินวางชีทในมือลงแล้วหยิบของสองสามอย่างเพื่อเตรียมตัว

​​​​   “นาวา มึงเอาไง?”
​​​​   “ครบทีมแบบนี้กูพลาดได้ไงล่ะครับ”

​​​​   เมื่อสมาชิกที่เหลือเริ่มทยอยตกลงกันครบจนเหลือผมกับไอ้ฮั่น สายตากดดันก็ถูกส่งมา

​​​​   “มีรอบทุ่มครึ่งนะครับผม แดกข้าวดูหนังแล้วกลับมาอ่านชิวๆดีกว่าเพื่อน”

​​​​   ผมมองหน้าเจ้าของห้อง ยักไหล่แล้ววางชีทตามกันไปติดๆ

​​​​   “เออ ไปก็ไป”

​​​​   ไม่รู้ว่ากินเหล้ากับดูหนังมันต่างกันยังไง ในเมื่อก็เสียเวลาพอกัน









#ผาเพียงฟ้า










​​​​   สุดท้ายแล้วผมกับไอ้ฮั่นก็ตอบตกลงกับพวกมันเข้าจนได้ มื้อเย็นของพวกเราเลยจบลงที่พิซซ่าถาดใหญ่พร้อมกับอาหารอีกหลายอย่าง จากนั้นพวกเราก็ขึ้นมาชั้นบนสุดในโซนโรงหนังขนาดใหญ่

​​​​   หน้าที่ในการจองตั๋วจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมและไอ้ปัทถ์ ที่เป็นแบบนั้นเพราะหนึ่งพวกมันเกี่ยงกันจนน่ารำคาญ และสองคนชวนต้องไปเลือกเองบ้างตามที่ตกลงกันไว้

​​​​   ที่นั่งที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำเอาเราสองคนต้องกุมขมับกันอยู่นาน เพราะชะล่าใจว่าจะมีที่เหลือพอหลังจากรับประทานอาหารจึงไม่ได้จองล่วงหน้า อันที่จริงก็พอเหลือที่นั่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงห้าที่ที่เราต้องการจนครบ เว้นก็แต่แถวแรกๆ ติดหน้าจอที่ไม่เป็นที่ต้องการสักเท่าไหร่

​​​​   “ตรงไหนดีวะ?” คนด้านข้างเอ่ยถาม ชี้นิ้วไปยังที่ว่างที่อื่น “มันมีมากสุดสี่ที่กับสามที่หมดเลย ”

​​​​   “อ่าวพี่ปัทถ์ สวัสดีครับ”

​​​​   แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบ เสียงทักทายก็ดังขึ้นก่อนด้านหลัง

​​​​   เป็นรุ่นน้องสองคนที่ยืนข้างกัน และพวกผมก็รู้จักพวกมันเป็นอย่างดี

​​​​   “​​​​ไงมึง...ไอ้ม่านน” ครั้งแรกมันก็เอ่ยทักตามปกติ แต่พอเห็นว่ามีใครสักคนที่พอจะเป็นประเด็น เจ้าตัวก็ลากเสียงยาวอย่างอารมณ์ดี

​​​​   คนอายุน้อยกว่าก้มหัวให้ ผมยิ้มรับนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทต่อใครบางคนที่ยังไม่สนิท ส่วนอีกคน...ก็ไม่ได้สนใจและหันกลับไปเลือกที่นั่งต่อ

​​​​   “ดูหนังกันหรอพี่?” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยถาม ได้ยินมันแว่วๆอยู่ไม่ไกล
​​​​   “เออดิ พวกมึงล่ะ”
​​​​   “มาดูหนังเหมือนกันนี่แหละครับ”

​​​​   เสียงซุบซิบเกิดขึ้นสักพักจนผมต้องหันไปมอง เห็นเพื่อนตัวเองกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับมองไปทางม่านและภีมอย่างมีเลศนัย

​​​​   “ปัทถ์ จะเลือกได้ยัง?” เมื่ออีกฝ่ายอ้อแอ้ ผมเลยเรียกด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง มันเดินเข้ามาหาก่อนจะกอดคอผมเอาไว้มั่น จากนั้นก็ย่อตัวลงนิดหน่อยแล้วเอ่ยถามเมื่อจิ้มไปยังหน้าจอ

​​​​   “เอาเป็นสี่กับสาม ตรงนี้ มึงโอเคไหม?”
   
​​​​   สมองผมประมวลผลทันทีเมื่อตัวเลขของบัตรที่เราต้องการมากขึ้น ที่นั่งอีกสองที่เดาได้ว่าน่าจะเป็นคนที่ยืนด้านหลังทั้งคู่“อืม เอาดิ”

​​​​   ผมตอบตกลงทันทีถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบบริเวณนี้มากเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดๆดูแล้วก็เป็นที่ๆ ดีที่สุดที่พอจะเลือกได้แล้วจริงๆ

​​​​   ปัทถ์หยิบจับนู่นนี่อยู่สักพักเมื่อเข้าสู่กระบวนการจ่าย ไม่นานตั๋วทั้งเจ็ดใบก็อยู่ในมือ เราทั้งหมดเดินไปหาคนที่กำลังนั่งรอ เมื่อเห็นว่ามีใครตามมาพวกมันก็ทำสีหน้าแปลกใจระคนอมยิ้มไปด้วย

​​​​   “เจอมึงบ่อยเหลือเกินนะ”
​​​​   “โหพี่ ช่วงนี้ไม่ได้เจอเลยเถอะ” ม่านย่นคอลงเมื่อไอ้เหนือโอบไหล่ ความสูงของมันน่าจะพอๆกันได้เมื่อยืนอยู่ใกล้แบบนี้

​​​​   “เจอกูหรือเจอใคร?” คำถามที่ส่งให้ทำเอารุ่นน้องหันมาหาผมหนึ่งที เจ้าตัวยิ้มจนตาหยีก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

​​​​   “เจอทั้งหมดนั่นแหละ โถ อย่าล้อน้องเยอะดิวะ”

​​​​   ไอ้เหนือหัวเราะเมื่อการแกล้งของมันเป็นผลสำเร็จ ฮั่นและตินเดินมาสมทบหลังจากหายไปสูบบุหรี่ พอมาถึง พวกเราก็เดินเข้าไปซื้อของทานเล่นระหว่างรับชม

​​​​   คราวนี้ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นแทนบ้างหลังจากซื้อตั๋วให้ พวกมันหันมานับจำนวนสมาชิกสามสี่รอบก่อนจะคิดปริมาณของที่ต้องการ

​​​​   “นึกว่าจะเอาแต่อ่านหนังสือที่ห้องพี่ฮั่นซะอีก” เมื่อได้จังหวะ คนตัวสูงก็เข้ามาคุยด้วย ม่านกอดอก ไม่สนใจสายตาที่มองเราทั้งสองที่ยืนข้างกัน

​​​​   “อืม” ผมตอบออกไปสั้นๆ ก้มหน้าไถโทรศัพท์ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่

​​​​   “เธอเป็นอะไรอ่ะ?” เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป เจ้าตัวก็เอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อถาม น้ำเสียงแผ่วเบาพอที่เราจะได้ยินกันสองคน “อารมณ์ไม่ดีหรอ?”

​​​​   “เปล่า”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “...”

​​​​   อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เราปล่อยให้ความเงียบเดินทางมาเล่นงานจนรู้สึกอึดอัดไปซะหมด

​​​​   “ขอโทษที่ไม่ได้ทักไปนะ” คราวนี้เขาพูดเสียงอ่อย โชว์ของในมือเด่นหราเพื่อสนับสนุนเหตุผลที่ตามมาต่อจากนั้น “ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วไม่ได้เอาที่ชาร์จสำรองไปด้วย แบตหมดเลยทีนี้”

​​​​   ดูเหมือนมือที่ค้างกลางอากาศจะค่อยๆลดลงตามเวลาที่มันเพิ่ม ม่านก้มลงมากกว่าเดิมเพื่อมองหน้าเมื่อผมยังยืนนิ่ง

​​​​   “เธอครับ” และใช้น้ำเสียงอ่อยๆ เอ่ยเรียกอีกครั้ง

​​​​   ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตอบกลับเมื่อรับรู้สาเหตุที่หายไปของเจ้าตัว

​​​​   “รู้แล้วน่า”

​​​​   ถึงแม้จะยังไม่เงยหน้าขึ้น

​​​​   มือผมเลื่อนขึ้นเลื่อนลงอยู่อย่างนั้น กดเข้าแอปพลิเคชันต่างๆอย่างเพลินใจเมื่อทำเป็นเมินอีกฝ่าย ไม่รับรู้ถึงลูกเล่นอะไรบนหน้าจอสักอย่าง ในหัวมีแต่คำพูดของม่านที่ลอยก้อง

​​​​   คำพูดบ่งบอกสาเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ

​​​​   และคำพูดที่ทำให้ผมแทบจะยิ้มออกมา

​​​​   “ไปกันเหอะ หนังจะเริ่มแล้ว”

​​​​   เพื่อนเอ่ยเรียกหลังจากเราเดินมาอีกทาง ยื่นตั๋วให้พนักงานสักพักก็เดินเข้ามาในโรง ที่นั่งถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกอยู่ด้านหน้า ส่วนอีกกลุ่มนั่งถัดมายังด้านหลัง

​​​​   “อ่ะ” ไอ้ปัทถ์ยื่นกระดาษสามใบให้ม่าน แล้วจากนั้นพวกมันทั้งสี่คนก็เดินนำไปก่อน

​​​​   คงเป็นตอนนั้นที่ผมรู้ได้ว่าตัวเองถูกวางแผนเอาไว้อย่างแนบเนียน

​​​​   ม่านทำตาใสซื่อ ยืนอึกอักอยู่สักพักโดยมีเพื่อนมันเดินนำไปก่อน

​​​​   “คือว่า...ต้องนั่งด้วยกันน่ะ”

​​​​   ผมเลิกมองมันก่อนจะเดินตามรุ่นน้องไปห่างๆ แต่ม่านก็รั้งเอาไว้แผ่วเบาบริเวณไหล่ให้ตัวเองเดินนำ แล้วให้ผมเดินตามมันอีกที

​​​​   เรานั่งลงเคียงข้างกัน มันคงจะนึกภาพการมาดูหนังสองคนสุดโรแมนติกเอาไว้แต่เสียดายที่รอบกายเรามีแต่คนห้อมล้อม

​​​​   “มึงติดสินบนอะไรพวกมันไว้?”

​​​​   ผมถาม ต้องใช้การกระซิบเล็กน้อยตามมารยาทที่ต้องทำ

​​​​   “บอกกูมา” เมื่อม่านไม่ยอมตอบ ผมเลยทำเสียงแข็งส่งให้อีกรอบอย่างเอาแต่ใจ

​​​​   “คือว่า...” มันพูดไม่เต็มปาก ในที่สุดก็ยอมบอกแต่โดยดี
​​​​   “...”
​​​​   “...แค่เหล้าสองกลม...แค่นั้นเอง”

​​​​   เจ้าตัวเสยผมไปด้านหลัง หลบตาที่เอาแต่จ้องเพื่อจับผิด

​​​​   “กูต้องได้แดกด้วย”
​​​​   “อะไรนะ?”
​​​​   “สองกลมนั้นน่ะ...ถ้ากูไม่ได้กินด้วยมึงตายแน่”

​​​​   เสียงมันหัวเราะเบาๆตามมา ก่อนที่จะส่งป๊อปคอร์นและน้ำอัดลมวางให้ ผมปฏิเสธขนมเพราะไม่หิวเท่าไหร่ ม่านเลยวางไว้ยังที่พักแขนระหว่างเรา

​​​​   ภาพยนตร์เริ่มดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ แสงไฟหรี่ลงจนมืด อุณหภูมิเย็นฉ่ำเริ่มทำให้ดวงตาคล้อยปิดตามกระบวนการของร่างกายหลังกินอิ่ม คงเพราะการนอนไม่พอหลายวันติด ผมเลยเผลอวูบไปหลายรอบ

​​​​   “ผา”

​​​​   คนด้านข้างเอ่ยเรียก ผมพยายามถอนหายใจเข้าออกเพื่อระงับความง่วง

​​​​   แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่

​​​​   ศีรษะเอนไปจนเกือบจะถึงคนด้านซ้าย ถ้าไม่ติดว่ามีมือใหญ่เอื้อมมารองรับพร้อมกับดันให้มันวางบนไหล่ตัวเองในท้ายที่สุด ม่านค่อยๆฉวยโอกาสลูบไล้มันไปมาสองสามรอบ แผ่วเบาเหมือนสัมผัสเข้าที่ข้างแก้มเมื่อวันวาน

​​​​   ผมรับรู้ทุกอย่าง อาจเพราะยังไม่ได้หลับสนิทแบบที่อีกคนคิดก็เท่านั้น


​​​​   ไหล่เรากระทบกันบางจังหวะ รวมถึงมือของเขาที่สัมผัสแขนผมอย่างไม่ตั้งใจ

​​​​   เสื้อคลุมของเพื่อนม่านถูกส่งให้ ก่อนที่ร่างกายผมจะรู้สึกอุ่นไปทั่วจากการดูแลของใครบางคน


​​​​   ไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอให้ความหวังอีกฝ่ายไหม
​​​​   แต่ตอนนี้...ผมแค่อยากเห็นแก่ตัวบ้างนิดหน่อย


​​​​   เพียงแค่นั้น



​​​​   เพราะไหล่ของม่านมันทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ




​​​​   “ขอบคุณนะ”













#ผาเพียงฟ้า

ม่านน่ารักเนาะ
น่ารักกับพี่ผาตลอดเลย แงงง ไอ้หมาเอ้ยยย


7/9/19
before30october


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีหงุดหงิดเขาน้ออออ  :hao3:

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ารักมากๆเลยค่ะ ฮือออ มันมีความหน่วง ความไม่แน่นอนนะคะ แต่ก็เป็นอะไรที่ทำให้ใจฟูได้เช่นกัน ชอบเวลาม่านเรียกผาว่าเธอและแทนตัวเองว่าเค้ามากๆค่ะ แสนจะน่ารัก รอดูว่าผาจะใจแข็งไปได้แค่ไหน รอติดตามตอนต่อไปนะคะ อยากอ่านนนน ส่งกำลังใจค่ะ

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


9

keep it secret!!!



_________


no answer is also an answer


_________







   สัปดาห์นรกของการสอบผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก เวลานอนของผมแปรปรวนอย่างหนัก จากที่นอนดึกอยู่แล้วตอนนี้กลายเป็นนอนเช้าอย่างช่วยไม่ได้

​​​​   ตุบ!

​​​​   กระเป๋าเรียนถูกทิ้งไว้ยังโต๊ะอ่านหนังสือ จากนั้นผมก็ทิ้งตัวนอนลงบนฟูกนุ่มทั้งๆ ที่อยู่ในชุดนักศึกษา ได้กลิ่นน้ำหอมของตัวเองลอยมาแตะจมูก มันเจือจางไปกับกลิ่นเหงื่อเล็กน้อย และนั่นทำให้ผมชอบมากกว่าตอนที่ฉีดใหม่ๆ เสียอีก

​​​​   แอปพลิเคชันไลน์ของผมแจ้งเตือนเป็นชุด เมื่อเปิดดูผ่านๆ ทางหน้าจอพบว่าผองเพื่อนนัดกันไปทานข้าวมื้อเย็นกันที่ประจำ ผมนึกว่ามันจะเป็นการนัดไปกินเหล้าแบบทุกครั้ง แต่ก็ผิดคาด เมื่อเจ้าตัวการอยากไม่ได้เอ่ยชวนแต่อย่างใด

​​​​   คงเป็นเพราะความเหนื่อยที่สะสมเหมือนกัน พวกเราเลยเปลี่ยนแผนเป็นพักผ่อนเสียแทนเมื่อร่างกายแทบจะไม่ไหวอยู่รอมร่อ

​​​​   Pha : กินกันเลย กูไม่ไปนะ

​​​​   เมื่อมีชื่อผมอยู่ในประโยคชักชวนประโยคใดประโยคหนึ่ง จึงรีบตอบปฏิเสธตามที่ตั้งใจเอาไว้ ผมไม่อยากลงไปเจอผู้คนตอนนี้ ยิ่งเป็นเวลามื้อเย็นที่คนอื่นๆต่างก็มารับประทานอาหาร ผมเลยเลี่ยงเพื่อทานบนห้องเสียแทน

​​​​   อาหารที่อยู่ในตู้เย็นถูกนำมาอุ่นด้วยไมโครเวฟที่วางอยู่บนเค้าน์เตอร์ โชคดีที่ผมชอบตุนอาหารสำรอง มันเลยมีตัวเลือกมากมายให้หยิบจับ มื้อเย็นของผมจบลงที่กับข้าวสองสามอย่างและจากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงตามเดิม

​​​​   
สอบเป็นไงบ้าง? : AMAN

​​​​   เมื่อกำลังเพลิดเพลินไปกับรายการโทรทัศน์อยู่ไม่นาน ใครบางคนก็ส่งข้อความมา

​​​​   เป็นไอ้เด็กหน้าหมาที่ช่วงนี้เริ่มมาวอแวผมบ่อยๆ

​​​​   Pha : ใครเขาให้ถามแบบนี้หลังสอบ
55555555555 : AMAN
เธอเก่งอยู่แล้ว : AMAN
​​​​   Pha : อย่ามาอวย
ไม่ได้อวย : AMAN
นี่พูดจริงๆ : AMAN

​​​​   คิ้วเริ่มขมวดเมื่อมีการโต้เถียงเกิดขึ้น และครั้งนี้ผมก็ไม่ยอมแต่อย่างใด

​​​​   Pha : กูโง่จะตายม่าน
เธอเก่ง : AMAN
​​​​   Pha : มึงก็เก่ง
ทำให้เค้าคิดถึงอ่ะเก่ง : AMAN

​​​​   ‘เถียงกูเก่ง’

​​​​   ข้อความที่มันส่งมาทำให้ผมชะงักการพิมพ์ของตัวเองชั่วขณะ เดี๋ยวนี้เขามักจะหยอดผมกลับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มาแบบช้าๆ เนิบๆ แต่ค่อนข้างมีอำนาจทำลายล้างสูง

ไม่ต้องมาเถียงเลย : AMAN

​​​​   มันบังคับ ครั้งนี้ผมเลยยอมทำตามใจเด็กมันหน่อย

แล้วสรุปเค้าเก่งอะไร? : AMAN

​​​​   เมื่อผมเงียบหายไปนานอีกฝ่ายจึงพยายามต่อบทสนทนา ม่านถามถึงเรื่องที่ผมค้างเอาไว้ เนื้อหาประโยคยังไม่มีใจความที่สมบูรณ์

ทำให้เธอคิดถึงเก่งเหมือนกันไหม? : AMAN
แบบนั้นดีใจตายเลยนะ : AMAN

​​​​   ผมลังเลเมื่อพิมพ์ตอบ ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกดส่งข้อความเดิมที่พิมพ์เอาไว้ก่อนหน้า

​​​​   Pha : เถียงกูเก่ง
ว้า : AMAN
แย่อ่ะ : AMAN
อะไรกัน : AMAN

​​​​   เมื่อไม่เป็นคำตอบที่ตัวเองต้องการอีกฝ่ายก็ออกอาการงอแงเล็กน้อย สติกเกอร์ลูกหมาทำปากคว่ำลงถูกส่งมาก่อนที่เจ้าตัวจะส่งสติกเกอร์ลูกหมาร้องไห้ต่อจากนั้น

​​​​   ม่านกำลังอ้อน แถมอ้อนได้น่ารักซะด้วย

​​​​   ผมไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่พิมพ์แล้วลบข้อความของตัวเองอยู่อย่างนั้น รู้สึกไม่ชอบเวลาที่กำลังคิดมากเพราะม่านมันเลยสักนิด เพราะถ้าผมสนใจมากไป ก็กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวัง แต่ถ้าผมเมินอีกครั้ง คราวนี้ม่านก็คงรู้สึกกับมันไม่มากก็น้อย

​​​​   Pha : แล้วมึงสอบเสร็จยัง?

​​​​   หัวข้อของการสนทนาถูกเปลี่ยนไปอย่างเร็วไว ผมพยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้ตัวเองอึดอัด และเปิดประเด็นใหม่โดยการชวนมันคุยเสียแทน

เสร็จวันนี้เหมือนกัน : AMAN

​​​​   แถมม่านก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ

​​​​   Pha : ไปกินเหล้าไหนล่ะทีนี้
อาจจะไม่ไป : AMAN
​​​​   Pha : แปลก
ก็คิดว่าถ้าไปอาจจะไม่ได้คุยกับเธอ : AMAN
เลยไม่ไปดีกว่า : AMAN
^^ : AMAN

​​​​   เอาล่ะ ผมว่าม่านมันเก่งเรื่องการเข้าหาใครสักคนจริงๆ

​​​​   Pha : หยอดกูตลอด
นี่พูดจริง ไม่ได้หยอดเธอครับ : AMAN
​​​​   Pha : อืม

​​​​   แต่พอมาคิดๆดูอีกที ผมก็รู้สึกเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปจากคำพูดของคู่สนทนา

​​​​   Pha : แล้วรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ไปไหน?

​​​​   ผมถาม และคาดเดาคำตอบไว้ก่อน

ก็ : AMAN
ถามพี่เหนือมา55555 : AMAN

​​​​   และคำตอบนั้นก็เป็นไปตามข้อสันนิษฐาน

​​​​   Pha : ว่าละ

​​​​   ดูเหมือนการพูดคุยของเราคราวนี้จะไหลลื่นมากกว่าปกติ หรืออาจเพราะผมกำลังอารมณ์ดีก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ที่ม่านส่งข้อความมาผมเลยตอบกลับแทบจะทันทีเลยก็ว่าได้

​​​​   เสียงโทรศัพท์ดังลั่นขัดจังหวะในตอนที่เผลอ เมื่อมองดูพบว่าเป็นชื่อของเพื่อนสนิทที่โชว์เด่นหรา ก่อนจะเลื่อนปุ่มสีเขียวเพื่อกดรับแล้ววางเครื่องสีดำแนบหู

​​​​   “ว่า?”
​​​​   (บ้านไอ้เหนือ)

​​​​   เราพูดคุยกันด้วยประโยคสั้นๆ ได้ใจความ แต่ผมและฮั่นก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร

​​​​   “ไม่ค่อยอยากเลยว่ะ”
​​​​   (พรุ่งนี้จารย์งด ไปนังๆนอนๆแก้เบื่อก็ดี) มันชักชวน และนั่นทำให้ใจผมเริ่มเขว

​​​​   เพราะตอนนี้ห้องสี่เหลี่ยมเริ่มน่าเบื่อแบบที่เพื่อนพูดจริงๆ

​​​​   “กูยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
​​​​   (กูก็ยังไม่ได้อาบ)
​​​​   “พวกมึงจะไปตอนกี่โมง?”
​​​​   (พวกไอ้นาวา ไอ้ปัทถ์ไปก่อนละ เห็นบอกจะไปเล่นเกมส์)
​​​​   “อ่อ”
​​​​   (เดี๋ยวไอ้ตินตามไป)

​​​​   ผมเหม่อมองรอบห้อง คิดคร่าวๆว่าต้องเตรียมของอะไรต่อจากนี้

​​​​   “ไปก็ไปวะ”
​​​​   (ดีๆ กูคงไปงีบที่นู่น)
​​​​   “เหมือนกัน”
​​​​   (เห็นบอกว่าจะไปกินกันด้วย)
​​​​   “มึงไปไง”
​​​​   (เอารถไป มึงจะไปกับกูป่ะ)

​​​​   ใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ผมก็ตอบรับเพื่อนกลับไป

​​​​   “ไม่ต้อง เดี๋ยวกูเอารถไปเอง ไม่อยากให้มึงมารอ”
​​​​   (ขับดีๆ เจอกันที่นู่น)
​​​​   “เค”

​​​​   ปลายสายถูกตัดออกไปจนได้ยินเสียงสัญญาณดังเป็นจังหวะ ผมใช้รีโมทปิดโทรทัศน์แล้ววางไว้ที่เดิม จังหวะที่กำลังจะเดินไปอีกทาง เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังสนั่นพร้อมกับข้อความของคู่สนทนา

​​​​   เป็นประโยคที่บอกว่า เราจะได้เจอกันอีกในไม่ช้าที่บ้านใครสักคน

​​​​   
เค้าว่าจะไปบ้านพี่เหนือ : AMAN
อาจจะตอบช้าหน่อยนะครับ : AMAN










#ผาเพียงฟ้า











​​​​   เสียงเอะอะโวยวายที่อยู่ด้านนอกทำเอาผมตื่นจากการนอน เวลาเพียงชั่วโมงกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วบนเตียงหลังใหญ่ สายตาค่อยๆปรับเข้ากับความมืดภายใน ก่อนที่จะเห็นแสงไฟรำไรลอดผ่านบานประตู

​​​​   บิดขี้เกียจสักพักก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ผ่านโถงทางเดินทอดยาวไปสู่ห้องรับแขกที่มีโซฟาสีน้ำตาลตั้งอยู่ บริเวณนั้นไม่มีผู้คนเหมือนภาพที่เห็นก่อนเข้าไปนอน ผมจึงมองหาคนอื่นๆผ่านทิศทางของเสียงที่ได้ยิน

​​​​   “อ่าว ตื่นแล้วหรอพี่ผา” เป็นรุ่นน้องคนสนิทอีกคนที่เอ่ยทัก เจ้าตัววางถาดไว้บนเคาน์เตอร์หินอ่อนในครัวก่อนจะวุ่นหาของบางอย่าง

​​​​   “อะไรน่ะ?”
​​​​   “เนื้อย่างครับพี่ ลองชิมมั้ย?” ภีมชักชวน ผมพยักหน้าตอบรับเมื่อรู้สึกว่าชิ้นเนื้อมันเริ่มยั่วยวนใจ

​​​​   “อ่ะ” เจ้าตัวใช้มีดหั่นมันเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนที่จะนำส้อมขึ้นตักแล้วยื่นให้เพื่อป้อน

​​​​   เพราะไม่อยากเสียมารยาท ผมเลยยอมให้เขาได้ทำตามใจ

​​​​   “เฮ้ยๆๆๆ!” แต่เสียงของใครบางคนก็ดังเข้าขัดจังหวะ “มึงนะสัสภีม”

​​​​   เจ้าตัวเดินเข้ามาก่อนจะใช้มือวางไว้ที่ไหล่ของเพื่อน บังคับให้ขยับห่างจากผมหนึ่งก้าว เป็นระยะที่พอเหมาะในความคิดของมันเพราะไม่อยากให้ภีมเข้าใกล้ผมจนเกินไป

​​​​   “กูไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย พี่ผาเขาเพิ่งตื่นเลยจะให้ชิมเฉยๆ”
​​​​   “พูดมากมึงอ่ะ”
​​​​   “อ่าว” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะ เสมองมาทางผมเพื่อหาตัวช่วย “พี่ดูมันดิ”

​​​​   “หาเรื่องน้องกูหรอ”

​​​​   และมีหรือที่คนคอยซ้ำจะไม่ร่วมทีม

​​​​   “เธออย่าใจร้ายได้มั้ย”

​​​​   คราวนี้ผมอมยิ้ม เห็นม่านชะงักนิ่งไปสักพักก่อนจะใช้มือลูบใบหน้า คงเพราะไม่ชินที่ได้เห็นมันบ่อยๆล่ะมั้ง

​​​​   “แล้วมึงเข้ามาทำไม?” ภีมยังไม่เงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อเอ่ยถาม ก้มหน้าก้มตาพยายามทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
​​​​   “พี่เหนือใช้ให้มาเอาลำโพง”
​​​​   “อ่อ”

​​​​   ผมยืนชิมเนื้อต่ออย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะมองคนชวนที่ยังยืนอยู่

​​​​   “เธอไปหลังบ้านสิ พวกพี่ๆกำลังกินกันเลย”
​​​​   “มีเหล้ามั้ย?”
​​​​   “ก็สองกลมของเค้าไง”

​​​​   พยักหน้าตอบรับเป็นการทำความเข้าใจ ก่อนที่จะเบี่ยงตัวไปอีกทาง

​​​​   “เจ้างานวันนี้ มาซะที” นาวาตบมือให้ผมนั่งลงข้างมันทั้งๆที่เบาะนั่งอยู่เกือบในสุด คนอื่นๆพากันแหวกทางให้เมื่อเห็นว่าหัวโต๊ะยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ผมเลยต้องเดินเข้าไปแต่โดยดี

​​​​   หลังบ้านของไอ้เหนือเป็นสวนตกแต่งอย่างสวยงาม มีบริเวณที่นั่งให้ได้พักผ่อนตามอัธยาศัย พื้นปูด้วยหินขนาดใหญ่เป็นบริเวณกว้างยาวไปเกือบจรดสระน้ำ มีแปลงดอกไม้และพุ่มไม้แซมบ้างประปราย ก็ตามประสาบ้านคนรวยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากพอจะทำอะไรก็ได้ตามใจเจ้าของ

​​​​   ซุ้มที่เรานั่งอยู่ถูกสร้างจากไม้ที่วางเป็นระแนง ทั้งรอบด้านและหลังคาที่มีเถาวัลย์เลี้ยวเกาะ ผ้าใบกันฝนถูกพับเอาไว้อีกทาง ป้องกันเวลาที่ฝนเทกระหน่ำจนเปียกชื้น โต๊ะที่วางตรงกลางสูงจากที่นั่งเพียงนิด มันรายล้อมด้วยเบาะนุ่มที่หุ่มหนังอย่างดี มีลวดลายเป็นสีเรียบที่เข้ากับสีพื้นอย่างเหมาะเจาะ

​​​​   “กินกันไปนานยังเนี่ย?” ผมถาม จิ้มของกินเข้าปากอยู่อย่างนั้นเมื่อความหิวเริ่มทำงานหลังจากตื่น
​​​​   “สักพัก” เจ้าของบ้านเป็นคนตอบ ยื่นขนมที่ใส่จานให้ผมอีกที
​​​​   “เนื้อนี่อร่อยว่ะ”
​​​​   “ฝีมือไอ้ม่าน”
​​​​   “จริงหรอ?” ตาผมโตขึ้นหนึ่งระดับ เคี้ยวไปพลางถามเพื่อนกลับ
​​​​   “ถามมันดิ” แต่มันก็ทิ้งระเบิดไว้ให้ผมจนได้

​​​​   เจ้าตัวการนั่งลงยังปลายโต๊ะอีกฝั่ง ผมเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนมันมากันถึงสามคน มีภีม เต แล้วก็มาร์ท ที่พอรู้จักหน้าคร่าตากันบ้าง ส่วนอีกคนนั้นไม่ค่อยเจอสักเท่าไหร่ จำได้ว่าชื่อแทนหรืออะไรสักอย่าง

​​​​   “เฮ้ย ม่าน!!” เสียงเรียกชื่อมันตะโกนก้อง เพราะผมรั้งไอ้เหนือไว้ไม่ทัน เลยทำให้ต้องสบตากับคนที่เป็นประเด็นอยู่ “ไอ้ผามีเรื่องจะถาม”

​​​​   ผมเหล่มองเพื่อนด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะส่ายหน้าให้คนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

​​​​   “อ่าว อยากถามก็ถามดิวะ”
​​​​   “อะไรของมึงเนี่ย” ผมสบถเมื่อคนอื่นๆก็เริ่มคะยั้นคะยอ
​​​​   “นี่ไง มันอุตส่าห์มานั่งแล้ว”
​​​​   “กูไม่ได้อยากถาม”
​​​​   “เธอมีอะไรรึเปล่า?”

​​​​   ประโยคสุดท้ายดังลอดผ่าน เจ้าตัวยกแก้วสีชาขึ้นดื่มพลางจ้องหาคำตอบ

​​​​   “เปล่า” ผมปฏิเสธอีกรอบ แต่ไอ้ปัทถ์ก็ปากโพล่งเข้าจนได้
​​​​   “ผามันสงสัยว่ามึงแอบไปคุยกับคนอื่นว่ะ”
​​​​   “ปัทถ์”

​​​​   คนถามขยับไปตามรัศมีวงกว้างจากมือผม ตัวมันเข้าซบน้องคนหนึ่งที่นั่งข้างกัน คนอื่นๆหัวเราะคิกคักตามประสา

​​​​   “ไม่มีอะไร อย่าไปสนใจ” ผมบอกม่าน แต่ดูเหมือนทางนั้นจะมีสีหน้าจริงจังเข้าแล้ว

​​​​   “เค้าไม่ได้คุยกับคนอื่นนะ” เจ้าตัวรีบตอบ ได้รับรอยยิ้มจากเพื่อนผมเพื่อหยอกล้อ
​​​​   “เออ กูรู้แล้ว”
​​​​   “แล้วเชื่อใช่มั้ย?”
​​​​   “ม่าน”
​​​​   “ครับ”
​​​​   “มันแกล้งกูอยู่ ดูหน้าแต่ละคนด้วย”
​​​​   “อ่อ” เมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดคนตัวสูงก็เกาหัวแก้เขิน

​​​​   “ก็กลัวเธอไม่เชื่อนี่หว่า”
​​​​   “...”

​​​​   ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคที่ทำเอาเสียงวิ้ดวิ้วดังตามมา

​​​​   “จะกล้ามีคนอื่นได้ไง เค้ารักเดียวใจเดียวจะตาย เผื่อเธอไม่รู้”

 ​​​​   นาวาตบเข้าที่หลังผมแผ่วเบาเมื่อมันยิ้มร่า โอบร่างผมเข้าหาแล้วกระซิบชิดใกล้

​​​​   “เด็กมันเอาเรื่องว่ะผา”

​​​​   เสียงพูดคุยดังสนั่นเมื่อมีผู้คนรายล้อม การชุมนุมของเรายังดำเนินต่อข้ามคืนอย่างไม่รู้จบ มีเสียงเพลงที่เปิดดังคลอเคล้า และมีแอลกอฮอลล์เป็นเครื่องกระตุ้นความสุข

​​​​   “เล่นเกมกันดีกว่าว่ะ” หนึ่งในรุ่นพี่เอ่ยชวน คนอื่นๆ ก็คงอยากสนุกตามเวลา
​​​​   “มึงจะเล่นเกมไร?”
​​​​   “ง่ายๆ truth or dare ทำไม่ได้ลงน้ำ”

​​​​   ไ​​​​อ้ฮั่นพยักหน้า ก่อนที่คนชวนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า มันพิมพ์รายชื่อคนที่ร่วมโต๊ะจนครบ แล้ววางไว้ตรงกลางเพื่อหาคนเริ่ม

​​​​   “ใครจะกดคนแรก?”

​​​​   ทุกคนต่างบ่ายเบี่ยงกัน ไอ้เหนือเลยอาสาเป็นฝ่ายกดก่อน

​​​​   คล้ายกับมีเสียงบางอย่างหมุนดังตามมา ก่อนที่เสียง ติ๊ง! จะดังขึ้นทีหลัง

​​​​   ‘ติน’

​​​​   บนหน้าจอปรากฏชื่อเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกล มันเสมองด้วยใบหน้านิ่งเรียบเช่นเคย

​​​​   “Truth or Dare?”
​​​​   “Truth” ตินตอบพลางยกแก้วขึ้นดื่ม

​​​​   “เมื่อกี้คุยกับแม่หรือเมีย?” คนถามรีบยกมือที่วางบนไหล่ผมชูสูง พูดเสียงดังฟังชัดจนได้ยินกันทั่วโต๊ะ
​​​​   “แม่”
​​​​   “ไหนขอดูหลักฐาน”

​​​​   ไอ้ตินนิ่งไปนาน คล้ายกับเจ้าตัวไม่อยากให้ใครค้นโทรศัพท์ แต่สุดท้ายก็ส่งให้โดยดี

​​​​   มันยื่นเครื่องสีดำเพื่อโชว์หน้าจอเด่นหรา สายสุดท้ายที่โทรมาบันทึกว่า ‘mom’

​​​​   ผมนึกว่ามันจะโกหกเสียอีก

​​​​   การเสี่ยงดวงดำเนินต่อไป และผู้โชคร้ายคนที่สองนั้น—
​​​​   ติ๊ง!
​​​​   —เป็นรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างม่าน


​​​​   ‘เต’

​​​​   “Truth”
​​​​   “ผมเองพี่” คนตัวสูงเป็นฝ่ายเสนอทันทีเพราะตัวเองน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับเพื่อน มันครุ่นคิดชั่วครู่พร้อมกับอมยิ้มอยู่ตลอด

​​​​   “คนเก่ากับคนใหม่มึงรักใครมากกว่ากัน?” ม่านเอ่ยถาม ได้เสียงโห่ตอบรับจากคนอื่นๆบนโต๊ะ

​​​​   “ใหม่” เตตอบสั้นๆ ก่อนจะยักคิ้วกวน เมื่อแกล้งไม่ได้ผล การวนรอบใหม่จึงเริ่มขึ้นทันที

​​​​   ผมไม่ได้สนใจกับเกมมากนักเพราะมันไม่โดนตัวเอง มีแต่คนรอบข้างที่ผลัดเปลี่ยนกันเล่น ไอ้ฮั่นกระโดดน้ำไปแล้วหนึ่งรอบ รวมถึงรุ่นน้องอีกคนที่ไม่กล้าตอบจนต้องยอมแพ้

​​​​   ติ๊ง!

​​​​   ‘ม่าน’

​​​​   “ผมขอนะพี่” เมื่อมีชื่อของคู่กรณีก็เหมือนได้ทีของไอ้เต เจ้าตัวยกยิ้มกวน ก่อนคำถามเดียวกันจะถูกส่งให้จนหลายคนชอบใจเป็นอย่างมาก

​​​​   “แล้วมึงล่ะ คนเก่ากับคนใหม่...มึงรักใครมากกว่างั้นหรอ?”

​​​​   ไอ้นาวาใช้มือโอบผมอีกครั้งเพื่อลุ้นคำตอบ ผมพยายามไม่สนใจแต่สุดท้ายก็สบสายตากับม่านเข้าจนได้ มันมีสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนที่จะค่อยๆอมยิ้มแล้วหันไปทางคนด้านข้าง

​​​​   “คนเก่า”

​​​​   พร้อมกับตอบคำถามที่ทำเอาเพื่อนผมเริ่มอยู่ไม่นิ่ง
​​​​   ก็แน่ล่ะ ใครมาแหยมกับคนของตัวเองพวกมันก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้เสมอ

​​​​   “ดีๆนะมึง”
​​​​   “ระวังไว้หน่อย” คนอื่นๆ เริ่มออกเสียงเตือน ผมเลยส่ายหัวอย่างเหลืออด

​​​​   เหตุเพราะคำตอบพวกนั้นล่ะมั้ง ที่มันไม่ได้เลือกผมอย่างที่คิดกันเอาไว้

​​​​   “ขอเหตุผลที” คราวนี้ไอ้ตินเป็นฝ่ายออกตัว บรรยากาศแตกต่างออกไปจนดูน่ากลัวเมื่อมันเป็นฝ่ายพูด

​​​​   “ก็ผมเคยรักเขาอ่ะพี่ กับคนนี้ผมยังไม่ได้มีโอกาสเลย ถ้าได้รักผมอาจจะรักมากกว่าเขาก็ได้ ใครจะไปรู้”

​​​​   บนโต๊ะเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงคุยกันจะดังตามมา ไอ้นาวามันกระซิบผมเข้าอีกรอบ

​​​​   “ไม่เสียใจนะเพื่อน”

​​​​   ผมสบถในลำคอ ใช้มือจับคางมันแล้วส่ายไปมาหลายรอบ ถ้าต้องบอกให้นาวาได้รู้จริงๆ ก็คงจะพูดออกไปตามตรง

​​​​   ว่าผมไม่ได้เสียใจเลย

​​​​   ถูกแล้วที่ม่านควรจะรักใครคนนั้นของมันมากกว่า ในเมื่อช่วงเวลาที่ทั้งคู่ใช้ด้วยกันคงจะมีแต่ความทรงจำที่แสนพิเศษ ผมสัมผัสได้ถึงความรักที่จริงใจของม่าน และมันก็ส่งความรู้สึกแบบนั้นมาให้ผมเหมือนกันในตอนปัจจุบันที่เราคุยกันอยู่

​​​​   อันที่จริงแล้วผมชอบคำตอบของมันนะ ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้เอาใจ เป็นความจริงใจและการบอกว่ามันไม่เคยโกหก

​​​​   อย่างน้อย ยกนี้มันก็ได้คะแนนในใจผมเพิ่มมากโขเลยล่ะ

​​​​   ผมยิ้ม รอยยิ้มนั้นถูกส่งให้ใครบางคนที่มีความกังวลบนใบหน้า เขาสบตากับผมอยู่นาน ก่อนที่ผมเองจะเป็นฝ่ายละสายตาจากแล้วสนใจอย่างอื่น

​​​​   พร้อมๆกับเกมที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

​​​​   ติ๊ง!

​​​​   ‘ม่าน’

​​​​   “ไหงโดนกูสองรอบเลยอ่ะพี่” คราวนี้จำเลยทักท้วง มันยีผมสีดำขลับของตัวเองไปมา

​​​​   “ซวยชิบหาย” คนอื่นๆหัวเราะ ก่อนที่เพื่อนผมที่นั่งด้านข้างจะเป็นฝ่ายดำเนินการเกมนี้เสียเอง

​​​​   “เอาล่ะ Truth or Dare น้องรัก?”
​​​​   “เลือก Dare ให้กูหน่อยได้ป่ะว้า” แถมผู้ร่วมทีมของมันก็สมรู้ร่วมคิดกันเป็นอย่างดี
​​​​   “ใจๆ ป่ะมึงอ่ะ”
​​​​   “อย่าแกล้งน้อง”

​​​​   ไอ้ปัทถ์หัวเราะ ก่อนที่จะพูดต่อจนรุ่นน้องทำตัวไม่ถูก

​​​​   “เรายังต้องพึ่งพากันอีกเยอะนะม่าน”

​​​​   คราวนี้เจ้าตัวเงียบไปนาน ก่อนจะพยักพเยิดทำตามที่รุ่นพี่พอใจ

​​​​   “สรุป Dare นะ?”
​​​​   “เออครับ”

​​​​   นาวาเป็นคนสรุป มองหน้าคนอื่นๆเมื่อเอ่ยท้า

​​​​   “กล้ากอดไอ้ผาเปล่า?—โอ๊ยย!!” มันร้องเสียงหลงท้ายประโยค จากมือผมที่หยิกเข้าต้นขา พร้อมกับทำตาถลึงใส่คนเล่นไม่รู้เรื่อง

​​​​   และดูเหมือนจำเลยจะรู้โทษตัวเองดี

​​​​   “เนี่ย รู้ว่าผมจะแพ้ก็แกล้งกันจังนะ” มันบ่นอิดออด ลุกขึ้นแล้วหยุดยืนเพื่อถาม

​​​​   “มีชุดให้กูเปลี่ยนมั้ยพี่เหนือ?”
​​​​   “มีเยอะแยะ”

​​​​   เมื่อได้คำตอบ คนตัวสูงก็จัดการถอดเสื้อยืดของตัวเองทันทีจนเหลือเพียงกางเกงยีนที่สวมใส่ ผมหันหน้าหนีเพราะไม่อยากมองรูปร่างสมส่วนนั่น แต่หางตาก็พบว่ากล้ามเป็นมัดบนร่างกายมันทำเอาต้องกลืนน้ำลาย

​​​​   เสียงกระโดดน้ำดังมาแต่ไกล เกมเริ่มต่อไปในทันที

​​​​   ติ๊ง!

​​​​   ‘ผา’

​​​​   และคราวนี้หวยออกที่ผม

​​​​   “กูรอวันนี้มานานละ” ไอ้ฮั่นถูมือเข้าหากัน ขยับตัวนั่งคล้ายกับเตรียมพร้อม

​​​​   “Truth” ผมตอบเสียงเรียบ ไม่อยากเลือกอีกทางเพราะรู้ว่าแบบนั้นคงต้องได้ลงสระแน่ๆ

​​​​   แต่แบบนี้ก็ใช่ว่าจะรอด

​​​​   ผมรู้ในตอนที่ฟังคำถามจากคนสนิท

​​​​   “มึงเริ่มชอบไอ้ม่านแล้วใช่มั้ย?”

​​​​   มันก็ทำให้ผมต้องนิ่งคิดเพราะไม่รู้จะตอบออกไปยังไง

​​​​   เพื่อนม่านหันมามองกันครบ ไม่ต่างจากเพื่อนผมที่รอลุ้น มือที่ถือส้อมอยู่ชะงักค้างกลางอากาศ จิ้มมันกับอาหารไปมาสองสามรอบจนรู้สึกอึดอัดกับสายตาคนบนโต๊ะ

​​​​   “เฮ้ย ยังไงเนี่ย” เสียงหัวเราะของนาวาอยู่ใกล้ๆ
​​​​   “โหผา หนักเลยว่ะมึง”

​​​​   ไอ้ฮั่นคาดคั้น ก่อนที่ประโยคต่อไปของมันจะทำให้ผมตัดสินใจลุกในทันที

​​​​   “คำถามง่ายๆเอง ทำไมไม่กล้าตอบ”

​​​​   คนอื่นๆอมยิ้ม ต่างจากผมที่เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ร้อนจัด ม่านเดินสวนกับผมระหว่างทาง มันเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

​​​​   “ทำไมเธอโดดอ่ะ?”

​​​​   ผมไม่ตอบ ได้ยินเสียงมันถามคนอื่นตามหลังจนต้องตะโกนกลับไป

​​​​   “อย่าบอกมัน!!”

​​​​   “แลกด้วยการถอดเสื้อนะสัส!!!”

​​​​   และได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนตอบกลับมา

​​​​   ผมยอมทำตามแต่โดยดี เพราะอยากเก็บความลับของตัวเองเอาไว้ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เสื้อแขนยาวตัวบางถูกถอดออกบริเวณศีรษะ มันถูกโยนทิ้งข้างทาง ผมส่งนิ้วกลางตามหลังเมื่อได้ยินเสียงวี้ดวิ้วให้กับร่างกายของตัวเอง

​​​​   เท้ารีบก้าวไปยังจุดหมาย ก่อนที่ผมจะมองเห็นสระว่ายน้ำอยู่ตรงหน้า สระขนาดใหญ่ประดับไฟไว้อย่างสวยงาม แต่ทั้งหมดมันไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมสักเท่าไหร่ เพราะในความคิดตอนนี้มันมีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

​​​​   เรื่องของใครสักคนที่เริ่มมีอิทธิพลต่อใจตัวเอง



​​​​   ให้ตาย

​​​​   ทำไมตอนนั้นผมตอบไม่ได้ก็ไม่รู้



​​​​   ตู้มม!!

















#ผาเพียงฟ้า

ห้ามบอกไอ้เด็กนะคะ
ไม่งั้นมีคนหัวใจวายแน่
อิอิ


8/9/19
before30october


ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
«ตอบ #37 เมื่อ08-09-2019 20:07:03 »

อร๊ายยยยยยยพี่ผาเริ่มมีใจให้น้องแย้วววววววววว :hao7:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
«ตอบ #38 เมื่อ08-09-2019 22:05:48 »

ชอบเรื่องนี้มากกกกก ชอบความสัมพันธ์ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป   ผาหวั่นไหวแล้วนะเอออ  :-[

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
«ตอบ #39 เมื่อ08-09-2019 22:41:03 »

 :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
« ตอบ #39 เมื่อ: 08-09-2019 22:41:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
«ตอบ #40 เมื่อ08-09-2019 23:52:19 »

เด็กมันทำตัวน่ารักขนาดนี้ คนพี่ต้องมีหวั่นไหวกันบ้างแหละน่า น่ารักมากกกกก ถึงแม้ผาจะยังไม่ได้พูดหรือยอมรับตรงๆ แต่มันก็ดีที่ผาไม่ปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป ถ้าม่านรู้ก็มีเสียอาการแน่นอนเลยค่ะ555555555 ทั้งนี้ทั้งนั้นสงสัยค่ะว่าทำไมเพื่อนๆต้องให้ม่านถอดเสื้อแลกกับการไม่บอกผา หรือว่าปกติม่านไม่ชอบถอดเสื้อ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจค่ะ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีนะคะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
«ตอบ #41 เมื่อ09-09-2019 12:27:49 »

เด็กหล่อ กล้ามล่ำ สู้ต่อไปครัช
 :mew3:

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2
Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
«ตอบ #42 เมื่อ09-09-2019 15:15:50 »



ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


10

I don't know how hurt I am until someone was kind to me



_________


bgm : รอไม่มีกำหนดการ - คณะขวัญใจ

' ...พอคอยนานๆ ใจมันเริ่มท้อ
จะทำอย่างไรให้เธอหันมอง
คนรอตรงนี้ใจมันร่ำร้อง
อ้อนวอน ต้องการแต่เธอ...'



_________







   เสียงเพลงเริ่มลดระดับไปตามทางเดิน บ่งบอกว่าผมออกห่างจากแหล่งกำเนิดมันทีละนิด ไม่ต่างจากเสียงเพื่อนที่คุยกันอยู่ มันค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็แผ่วจาง

​​​​   “ไง”

​​​​   ผมทักทายคนที่นั่งเงยหน้าบนโซฟา มันใช้ศีรษะพิงกับพนักแล้วแหงนขึ้น มือข้างหนึ่งกดโทรศัพท์ ส่วนมืออีกข้างถือผ้าประคบจมูกอยู่อย่างนั้นเพื่อไม่ให้เลือดกำเดามันไหล

​​​​   เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่ผมกระโดดลงสระด้วยร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า ผิวเนื้อมีหยดน้ำเกาะพราว และกางเกงแนบลู่ไปกับร่างกาย

​​​​   นั่นทำให้ใครบางคนเก็บอาการเอาไว้ไม่ได้

​​​​   และมันก็รีบเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับเสียงโห่ร้อง

​​​​   “ค่อยยังชั่วแล้ว” ม่านตอบเสียงอู้อี้ ลดมือลงวางเครื่องสีดำไว้ด้านข้าง
​​​​   “เลือดหยุดไหลยัง?” ผมเดินเข้าไปหวังจะดูอาการมันเสียหน่อย จากนั้นคนอายุน้อยกว่าก็ยอมนั่งนิ่ง ดูเหมือนมันจะโอเคขึ้นแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมลดผ้าที่แนบไว้ออกเพราะอยากให้อาการมันหายสนิท

​​​​   “สมน้ำหน้า”

​​​​   เจ้าตัวหัวเราะเมื่อโดนด่าเข้าให้ ก่อนจะเสมองเมื่อผมนั่งลงไม่ไกลจากที่เขานั่งอยู่

​​​​   “อย่าว่าเค้าดิ”
​​​​   “คิดอคติกับกูดีนัก”
​​​​   “ไม่ได้คิดเลย...” เสียงมันแผ่วลงในตอนท้าย คนอายุน้อยกว่าหันหน้าไปอีกทาง ก่อนเสียงแหบแห้งจะตอบกลับมาอีกครั้ง

​​​​   และครั้งนี้มันก็ทำผมไปไม่เป็นเสียด้วย

​​​​   “ขอโทษครับ ก็มันเป็นไปเองอ่ะ เค้าคุมได้ซะที่ไหน”

​​​​   นั่นแหละที่ผมบอกไป จากอาการที่มันเป็นอยู่แสดงให้เห็นว่าม่านคิดยังไงกับตัวเอง ผมเลยรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยแสดงออกบ่อยครั้ง เวลามีอะไรจะเก็บไว้คนเดียวมากกว่า แต่คราวนี้มันกลับแสดงออกมาผ่านทางร่างกาย

​​​​   “ไม่ห่วงเค้าเลยหรอไง?” เจ้าตัวเอียงหน้ายามที่อ้อน กะพริบตาปริบยามมองไม่ละไปไหน

​​​​   “เดินมาหาถึงนี่ไม่ห่วงมึงเลยมั้ง” และผมก็สวนกลับจนทำให้มันเงียบไปเสียนาน

​​​​   จากนั้นม่านค่อยๆ แบ่งปันรอยยิ้มกว้างมาให้แล้วนั่งนิ่งๆประคบต่อ

​​​​   “ไม่กินต่อแล้วหรอ?”
​​​​   “มาเปลี่ยนเสื้อ”
​​​​   “อ่อ รีบไปเปลี่ยนดิเดี๋ยวไม่สบาย”
​​​​   “ไล่กูหรอ?” ผมสวน มันส่ายหน้าพัลวันจนดูตลก
​​​​   “ไม่กล้าไล่คร้าบ ไม่กล้าไล่ไปไหนหรอกคร้าบ” พร้อมกับทำเสียงยานคางอย่างอารมณ์ดี

​​​​   “แล้วเมื่อกี้...พวกมันคุยอะไรกับมึงรึเปล่า?” คราวนี้ผมถามกลับ กลัวว่าสิ่งที่ค้างคาใจจะทำเอานอนไม่หลับเข้าจนได้

​​​​   สาเหตุจากคำตอบของตัวเองที่มันเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
​​​​   และม่านต้องไม่รับรู้

​​​​   “อืมㅡ”

​​​​   ผมอุทานเป็นคำหยาบในใจ
​​​​   ดังก้องให้ได้ยินแต่เพียงผู้เดียว

​​​​   “ㅡพี่เหนือบอกว่ามันถามเธอเรื่องแฟนเก่า”

​​​​   แต่เมื่อได้ยินคำตอบ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเพื่อนผมมันก็แถเก่งไม่แพ้ใคร

​​​​   “...”
​​​​   “...” ม่านเงียบไป และผมก็เงียบตาม

​​​​   “แต่ไม่เป็นไรนะ ถึงเธอจะยังลืมคนนั้นไม่ได้แต่เค้าก็ไม่สนใจอ่ะ” จู่ๆมันก็พูดพร้อมเสียงหัวเราะ ดวงตาหยีลงเป็นเส้นโค้งแบบที่เคยเห็น “อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันเธออยู่ตรงนี้กับเค้าต่างหาก”

​​​​   แต่ทำไมดูเหมือนว่าคำถามที่ไอ้เหนือบอกไปจะส่งผลต่ออีกคน

​​​​   ให้ผมเดาก็คงเป็นคำถามราวๆกับว่าตัวเองลืมคนเก่าได้หรือยัง หรือมีใจความไปในทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมไม่สามารถล่วงรู้ จึงบอกอีกฝ่ายไปคร่าวๆถึงจุดจบที่มี

​​​​   “กูไม่ได้ตอบ”
​​​​   “...”
​​​​   “เพ้อเจ้อเก่งนะมึง”

คราวนี้มันหัวเราะเสียงดัง สบตาผมอีกครั้งก่อนจะเลื่อนมือเข้ามาใกล้

​​​​   “ผา”
​​​​   “ว่าไง?”

​​​​   มือใหญ่หยุดไว้ด้านข้าง หงายมันขึ้นเพื่อรอรองรับบางอย่างที่จะส่งให้

​​​​   “ขอจับมือเธอได้มั้ย?”

​​​​   พร้อมกับเอื้อยเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

​​​​   ผมชะงักนิ่ง เข้าใจว่าบรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นม่านถึงได้กล้าขอ อีกฝ่ายแค่อยากจะทำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากจะยอมให้ทั้งหมด

​​​​   เ​​​​พราะผมเป็นคนมีกำแพงในใจ

​​​​   และม่านยังไม่ได้ฝ่ามันไปจนถึงตรงนั้น

​​​​   ตรงที่ผมจะยอมมันได้ทุกอย่าง

​​​​   มือผมค่อยๆเลื่อนเข้าใกล้ สัมผัสนิ้วของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ จากนั้นผมก็ออกแรงบังคับให้มันกำแน่น ละมือตัวเองออกแล้วเอ่ยเสียงแหบ

​​​​   “โทษทีนะ”
​​​​   “...”
​​​​   “กูคิดว่ามันไวไป”

​​​​   กำมือของเขาแบออกอย่างช่วยไม่ได้ ม่านตัดสินใจเลื่อนมันมายีเส้นผมสีดำขลับ และผมก็ยอมไม่ปัดมันทิ้ง

​​​​   “เธอก็ยังเป็นเธอตลอดเลย” เจ้าตัวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แววตาไม่บ่งบอกว่าดีใจหรือเสียใจ

​​​​   แต่มีบางอย่างที่แฝงอยู่ข้างในจนผมต้องหลบสายตา

​​​​   เป็นความเข้าใจ...ว่าผมเองไม่สามารถตอบรับความรู้สึกเขาได้ในตอนนี้

​​​​   “กูจะไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
​​​​   “ครับ”
​​​​   “นั่งนี่ล่ะ เดี๋ยวเอามาให้” ผมสั่ง ติดเป็นนิสัยแล้วล่ะมั้งเวลาอยู่กับมันแบบนี้
​​​​   “จะเอามาให้เค้าหรอ?”
​​​​   “เออ”
​​​​   “ขอบคุณครับ”

​​​​   ผมบอกลาก่อนจะเดินมายังห้องเดิมที่ใช้งีบเมื่อหัวค่ำ จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองวางไว้บนเตียง กระโจนเข้าอาบน้ำอย่างเร่งรีบโดยใช้เวลาไม่กี่นาที จากนั้นก็เลือกหยิบชุดใหม่ออกไปให้ม่านยังด้านนอก

​​​​   “มึงจะอาบน้ำมั้ย?” คำถามถูกส่งให้ คราวนี้คนที่นั่งอยู่ลดผ้าลงจนเห็นใบหน้าคมคายเด่นชัด

​​​​   “อาบก็ดี”
​​​​   “งั้นไปห้องด้านหลัง มันจะมีสองห้อง มึงเปิดเข้าไปใช้ห้องน้ำข้างในได้เลย” ผมอธิบายบริเวณบ้านไอ้เหนือให้ฟังอย่างละเอียด คงเพราะมา hang out ที่นี่บ่อย เลยรู้ว่าตรงไหนที่อนุญาตให้ใช้งานได้ตามสะดวก
​​​​   “โอเค”

​​​​   อีกฝ่ายรับของไปจากมือ ก่อนที่มันจะหันมาถามก่อนจากไป

​​​​   “เธอจะไปนั่งข้างนอกต่อหรอ?”

​​​​   ผมส่ายหน้า เดินตามมันไปติดๆ

​​​​   “ไม่ไปแล้ว”
​​​​   “...”
​​​​   “จะเอาฟูกมานอนดูหนังข้างในแทน”

​​​​   ม่านนิ่งคิด ก่อนคำขอร้องจะถูกส่งมาให้อีกโดยผ่านการประมวลผลมาอย่างดี

​​​​   “งั้นเค้านั่งดูหนังกับเธอแทนได้ไหมอ่ะ?”
​​​​   “...”
​​​​   “ไม่อยากออกไปแล้วเหมือนกัน”

​​​​   เพราะรู้ว่าเจ้าตัวก็คงเบื่อเหมือนกันผมเลยพยักหน้าตกลงแต่โดยดี เราเดินเลี่ยงกันไปคนละทาง ผมเดินไปห้องเก็บของที่อยู่ในสุดแล้วเอาของที่ต้องการออกมา

​​​​   แสงไฟในบ้านถูกหรี่ลงจนเกือบมืด ปล่อยให้แสงสว่างจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเข้าแทนที่ หน้าจอขนาดใหญ่แผ่กว้างออกจนเกือบจะเท่าความยาวของโซฟา อันที่จริงจะบอกได้ว่าห้องนี้เป็นเธียเตอร์ขนาดย่อมๆเวลาผองเพื่อนมารวมตัวกันก็ว่าได้

​​​​   ฟูกนุ่มและผ้าปูถูกวางไว้ทับพรมขนสัตว์ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าบ้านไอ้เหนือมันมีแต่เครื่องประดับราคาแพง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ของที่ดูมีค่าจนไม่สามารถตีราคาได้

​​​​   ครั้งแรกพวกผมก็เกร็งนิดหน่อยเวลาที่มาถึง แต่มันก็บอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อกับแม่ใช้พักร้อนและอนาคตมีแผนจะยกให้มันอยู่แล้ว พอมันพูดแบบนั้นพวกเราก็เริ่มทำตัวสบายมากขึ้น

​​​​   จนตอนนี้ที่นี่เหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองไปซะแล้ว

​​​​   ผมจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่ เปิดทีวีเพื่อเลือกรายการหนังที่อยากดู ไม่นานคนที่หายไปก็เข้ามา มันนั่งยังด้านล่างโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ก่อนจะหยิบยื่นน้ำอัดลมส่งให้

​​​​   “หยิบมาเผื่อ”

​​​​   ผมรับมาก่อนจะเห็นว่ามีขนมที่อีกฝ่ายนำมาด้วย เราตกลงเลือกหนังซีรีย์เรื่องหนึ่ง เนื้อหาที่รับชมสนุกมากกว่าที่ผมคาดไว้

​​​​   “ก็ว่าหายไปไหน” จนกว่าหนังจะผ่านไปครึ่งเรื่อง เสียงเพื่อนก็ดังขึ้นด้านหลัง “มาสวีทกันสองคนอยู่นี่นี่เอง”

​​​​   นาวามันหยุดยืนด้านหลัง เท้าแขนทั้งสองข้างพาดทับไหล่ผมก่อนจะเกยคางไว้บนศีรษะ

​​​​   “ดูมั้ย?”
​​​​   “ไม่อ่ะ กูจะไปนอนแล้ว”

​​​​   มันปฏิเสธ แต่ในความคิดผมมีอีกเหตุผลหนึ่ง

​​​​   “ไม่ใช่ไม่อยากเป็นกขคนะ แต่กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ลมหายใจของมันมีแต่กลิ่นแอลกอฮอลล์เต็มไปหมด คงจะกินกันหนักหน่วงพอสมควรหลังจากที่ผมจากมา

​​​​   “มาดูด้วยกันดิพี่” คราวนี้ม่านชวนบ้าง มันหยิบขนมขึ้นทานอย่างเพลินใจ
​​​​   “เอาเลยๆ” คนอายุมากกว่าเว้นช่วง “ขอบคุณสองกลมของมึงด้วย ไอ้ปัทถ์หัวจะทิ่มอยู่แล้วเนี่ย”

​​​​   ม่านหัวเราะตอบรับ ก่อนที่นาวามันจะทำบางอย่างจนผมต้องง้างหมัดเข้าให้

​​​​   จากริมฝีปากของมันที่ยู่ลงแล้วจะส่งมายังข้างแก้มผมอย่างจงใจ

​​​​   แต่โชคดีที่ผมหลบได้อย่างเฉียดฉิว

​​​​   “ไปตาย!”

​​​​   มันหัวเราะร่าโดยมีสายตาม่านมองเราสองคนสลับไปมาอยู่อย่างนั้น

​​​​   “อะไร?” ผมถามเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เลิกมอง
​​​​   “เพื่อนเธอเล่นแบบนี้กันหรอ?”
​​​​   “มันกวนตีน”
​​​​   “งั้นเป็นเพื่อนเธอบ้างได้ไหมอ่ะ?”
​​​​   “ม่าน”
​​​​   “ถ้าให้จุ๊บแบบนั้นจะยอมเป็นเพื่อนเลย”

​​​​   ตุบ!

​​​​   “อย่าเยอะ”

​​​​   มือที่ผลักหัวอีกฝ่ายเป็นการเตือนว่าให้หยุด ม่านมันตัวโยน คงเพราะหัวเราะแหละจึงเป็นแบบนั้น

​​​​   หลังจากเราดูจบตอนแรก ตอนที่สองก็ตามมาติดๆ คนอื่นๆทะยอยเข้ามาด้านในกันจนครบ บางคนก็ขอตัวไปนอน ส่วนบางคนก็ออกมานั่งกับเราสองคนเพื่อรับชมภาพยนตร์บนจอสี่เหลี่ยม

​​​​   จนตอนนี้สมาชิกของเรามีถึงห้า
ม่าน ผม ไอ้ฮั่น เต แล้วก็มาร์ท

​​​​   ดูเหมือนเพื่อนม่านจะคอแข็งไม่แพ้รุ่นพี่เลยสักนิด

​​​​   “ไอ้เหนือไปนอนแล้วหรอ?” ผมถาม คนที่นั่งข้างๆก็พยักหน้า
​​​​   “พาไอ้ปัทถ์ไปนอน แล้วมันก็บอกว่าจะนอนเหมือนกัน”
​​​​   “คงจะง่วงแหละ หนักหน่วงกันตั้งแต่เช้า”
​​​​   “ไม่ได้งีบเหมือนพวกเราด้วยไง”

​​​​   ไอ้ฮั่นกระดกน้ำเข้าปาก เป็นการกระทำของคนที่ดื่มเหล้ามากๆแล้วอยากสร่างในตอนท้าย

​​​​   เสียงม่านและเพื่อนมันคุยกันดังอยู่ไม่ไกล รุ่นน้องที่เห็นเลือกนั่งด้านล่างกันหมด ปล่อยให้ผมสองคนครอบครองพื้นที่ด้านบนเสียแทน

​​​​   “แล้วมึงจะนอนตอนไหน?”

​​​​   อีกฝ่ายถาม ผมเลยยักไหล่ตอบรับ

​​​​   “ไม่รู้ กูงีบนานเลยไม่ค่อยง่วง”
​​​​   “งั้นกูไปนอนก่อนนะ”

​​​​   มันบอกลา ก่อนที่ผมจะชี้ไปยังห้องที่เราเลือกเป็นรูมเมทกันในคืนนี้

​​​​   “ของกูอยู่ข้างในอ่ะ เข้าไปมึงก็เจอ”
​​​​   “อืม”

​​​​   ฮั่นไม่ได้ทิ้งท้ายอะไรมาก แต่ก็มองม่านเป็นการบอกว่าฝากผมด้วย

​​​​   สมาชิกที่เหลือดูหนังต่อไปอย่างเงียบๆ มีเสียงถกเถียงกันบ้างตามเนื้อหาที่รับชม ผมทานขนมบ้างพลางยกหมอนขึ้นกอด และในขณะที่กำลังเริ่มตอนใหม่ ผมก็สังเกตเห็นใครบางคนที่นอนราบไปกับพื้น

​​​​   เป็นเตกับมาร์ทที่สลบไสลพร้อมกับหายใจเป็นจังหวะ

​​​​   และไม่นาน ผมก็รู้สึกได้ว่าศีรษะของม่านกำลังพิงเข่าตัวเองอยู่

​​​​   มันค่อยๆกางแขนซ้ายออกมาวางไว้ยังโซฟาอย่างหมิ่นเหม่ ถามคำถามเดิมที่ผมปฏิเสธไปก่อนหน้า

​​​​   “จับมือเธอไม่ได้จริงๆหรอครับ?”

​​​​   และผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน

​​​​   ในใจเจ้าตัวคงจะหวังอยู่มาก เพราะผมเริ่มตามใจเขาหลายอย่างช่วงหลังมานี้

​​​​   “ม่าน”
​​​​   “อืม”
​​​​   “ยอมให้พิงเข่าก็ดีแค่ไหนแล้ว”

​​​​   เสียงหัวเราะของม่านดังขึ้นเหมือนเป็นเครื่องตอบรับอัตโนมัติ จากนั้นมันก็เลื่อนมือกลับ ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่ม

​​​​   “นี่”
​​​​   “...”
​​​​   “อาทิตย์หน้าเค้ามีแข่ง” เขาเว้นช่วง “ไปให้กำลังใจหน่อยได้มั้ย?”

​​​​   ผมยังเงียบ แต่ก็เลือกคำตอบที่จะทำให้มันไม่ผิดหวังไปมากกว่าเก่า

​​​​   “ถ้ากูว่างแล้วกัน”
​​​​   “แค่ไปดูก็ดีใจแล้วครับ”

​​​​   เขาพูดต่อ

​​​​   “แล้วก็...เค้ามีเรื่องจะขอด้วยแหละ”
​​​​   “...”

​​​​   ม่านนิ่งไปสักพัก ผมรู้ได้ทันทีต่อจากนั้นว่ามันกำลังรวบรวมความกล้า

​​​​   “ถ้าชนะไปเดทกับเค้าได้มั้ย?”
​​​​   “...”
​​​​   “จะตั้งใจแข่งเลยจริงๆ”









#ผาเพียงฟ้า











​​​​   ผมไม่ได้ตอบรับคำขอครั้งสุดท้าย แค่ปล่อยให้มันลอยผ่านไปแต่ก็ไม่ได้ละความสนใจอย่างที่อีกฝ่ายรับรู้
​​​​   
​​​​   เกมการแข่งมาไวกว่าที่คิด และตามที่ให้สัญญากับใครบางคนไว้ตั้งแต่แรก เมื่อมีเวลาว่างผมจึงมานั่งยังข้างสนาม พร้อมกับผองเพื่อนที่ต้องการมาเหมือนกันเพราะเป็นเรื่องที่เรามักจะทำกันอยู่แล้ว อาจเพราะคราวนี้มีสมาชิกในกลุ่มลงแข่งด้วย เราเลยตั้งใจมาเชียร์มันอย่างที่ทำกันอยู่ตลอด ไอ้เหนือในชุดเสื้อกล้ามสีแดงดูดีไม่หยอก ไม่ต่างจากคนๆ นั้นที่ผมเห็นเป็นคนแรกๆ ในสนาม ม่านใส่เสื้อสีแดงเหมือนกัน เจ้าตัวมัดผมจุกไว้ด้านบนศีรษะ ข้อมือข้างขวาใส่ปลอกแขนสีดำอันเล็ก ภาพมันที่เห็นดูแปลกตาไปจากเคย อาจเพราะใบหน้าที่เคร่งขรึม รวมกับคิ้วที่ขมวดไม่สมกับเป็นเจ้าตัวนั่นล่ะมั้งมันเลยทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้

​​​​   ม่านรับตำแหน่ง Point Guard สำหรับทีม มันยืนอยู่ข้างสนาม รอจังหวะที่จะส่งบอลทำแต้มและซัพพอร์ตคนอื่นๆ ส่วนเพื่อนของเขารับหน้าที่ Center อยู่ด้านหลัง พละกำลังของมันจะช่วยให้ทีมได้เปรียบมากกว่า

​​​​   เกมเริ่มจากเสียงนกหวีดที่ลากยาว ดูๆแล้วคงจะหนักหนาสาหัสพอสมควรเมื่อเราเล่นกับคณะที่ขึ้นชื่อว่ามีประชากรผู้ชายเยอะคณะหนึ่ง นั่นหมายความว่านักกีฬาก็จะมีความสามารถสูงเพราะมีให้เลือกสรรเยอะได้นั่นเอง

​​​​   บรรยากาศของสนามดุเดือดขึ้นเท่าตัวเมื่อเกิดการปะทะ มีการล้มและการสบถเกิดขึ้นดังสนั่น

​​​​   และดูเหมือนว่าคณะผมจะเป็นรองจากคะแนนที่โชว์เด่นหรา

​​​​   25 : 37

​​​​   ใบหน้าของทุกคนเริ่มเคร่งเครียดกว่าเดิม บริเวณที่นั่งเงียบกริบเมื่อต่างลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่อ

​​​​   จนกว่าจะมีการขอเวลานอก

​​​​   ทุกอย่างก็เหมือนจะดีมากขึ้นเรื่อยๆ

​​​​   คะแนนขยับเป็น 35:39 จากการชู้ตสามแต้มของ Point guard ลูกใต้แป้นของม่าน และคนในทีมที่ช่วยกันออกแรง

​​​​   เฮ!!!

​​​​   ที่นั่งฝั่งเขาเริ่มคึกคักเมื่อนักกีฬาทำแต้มได้อีก คล้ายกับว่าต้องการให้กำลังใจจนถึงที่สุด

​​​​   เกมมีการผลัดรับผลัดสู้ อีกฝ่ายเริ่มกระเตื้องจากการเริ่มเกมที่เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

​​​​   42 : 43

​​​​   และดูเหมือนควอเตอร์สุดท้ายของการแข่งขันใกล้จะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาที

​​​​   ไอ้เหนือส่งลูกกลมให้รุ่นน้อง เจ้าตัวเลี้ยงบอลอยู่สักพักก่อนจะส่งต่อมายังม่าน คนตัวสูงใช้เทคนิคหลบหลีกจนเกือบเข้าใกล้เป้าหมาย ขยับข้อมือเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนจังหวะ แต่ในตอนที่กำลังเผลอㅡ

​​​​   ปรี๊ดด!!

​​​​   มันก็โดนกระแทกจนล้มลงพร้อมกับเสียงนกหวีดที่ดังขึ้น
ไม่ต่างจากเสียงโห่ร้องที่ดังก้องไปทั่วสนาม

​​​​   ผมมองตาม สีหน้ามันบ่งบอกว่าเจ็บกับการกระแทกในครั้งนี้

​​​​   แต่สปิริตนักกีฬาของเจ้าตัวก็ยังดำเนินต่อ

​​​​   ม่านเป็นฝ่ายโยนลูกฟาวล์ จ่อเล็งลูกกลมไว้เหนือศีรษะ หลังจากได้ยินเสียงนกหวีด มันก็ลอยโค้งเข้าห่วงอย่างสวยงามเหมือนจับวางเอาไว้

​​​​   ปรี๊ดด!!

​​​​   พวกผมโห่ดีใจก่อนที่จะชูนิ้วตาม ม่านมองมาทางนี้หนึ่งครั้ง เราสบตากันภายในเสี้ยววิก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปสนใจเกมการแข่งในสนามทันที

​​​​   เวลาเริ่มนับถอยหลัง การส่งบอลกันไปมายังเกิดการปะทะอยู่ตลอด ตอนนี้ทางคณะผมได้ครองบอล ม่านเลือกตัดสินใจส่งไปให้ไอ้เหนือที่วิ่งมาสมทบด้านหลัง ผมคิดว่ามันจะชู้ตใต้แป้นแล้วด้วยซ้ำ แต่มันก็ส่งต่อไปทางม่านที่ยืนอยู่แสนไกล

​​​​   คนตัวสูงเหลือบมองเวลาที่ติดไว้บนผนัง รอคอยให้มันตรงตามที่คิดเอาไว้

​​​​   5

​​​​   4

​​​​   ก่อนจะโยนลูกกลมออกไปอย่างตั้งใจ

​​​​   3

​​​​   และมันก็ลงห่วงอย่างสวยงาม

​​​​   2

​​​​   1

​​​​   ปรี๊ดด!!


​​​​   คณะเขาเอาชนะด้วยคะแนน 45:43


​​​​   จากการชู้ตสามแต้มของม่านในตอนจบ




​​​​   เรารอคอยไอ้เหนืออยู่ไม่นานก็ออกไปทานข้าว มีเวลาแสดงความดีใจต่อคนอื่นๆอยู่สักพักก่อนจะกลับหอ ผมไม่ได้เจอม่าน ไม่รู้มันหายไปไหนเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปแบบที่ใจคิด เมื่อกลับมาถึงห้อง ถึงพบว่ามีสายเรียกเข้าที่ตัวเองไม่ได้รับอยู่ก่อนแล้วหนึ่งสาย

​​​​   เป็นเบอร์โทรที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ และตอนนี้เหมือนเจ้าของมันจะติดต่อมาอีกรอบ

​​​​   “สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงกลับไปตามมารยาท พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่หายไปนั่นเอง

​​​​   (เค้าม่านนะ)
​​​​   “อ่า”
​​​​   (เค้าโทรมาทวงสัญญา)

​​​​   เสียงอีกคนเริ่มอู้อี้ มีเสียงดนตรีและผู้คนแทรกด้านหลัง ผมเดาอีกครั้งว่าคงอยู่ในร้านเหล้าที่ไหนสักแห่ง

​​​​   (พรุ่งนี้เค้าไปร้บใต้หอนะ เอาไว้เจอกันครับ)

​​​​   อีกคนไม่ยอมให้ผมพูดต่อ กดตัดสายทันทีที่พูดเสร็จ ความงุนงงเลยเกิดขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบนานหลายนาที ผมยังไม่ได้ตอบรับมันอย่างจริงๆจังๆ แล้วอีกฝ่ายก็ทักท้วงมาบ่อยครั้งเรื่องที่เราต้องไปเดทกันสองต่อสอง

​​​​   ผมไม่ได้เตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิด...มันคงไม่ผิดหรอกมั้งที่ตอนเช้าของอีกวันผมจะตอบกลับไปเสียงแข็ง

​​​​   “ม่าน กูบอกแล้วไงว่าไม่ไป”
​​​​   (...)
​​​​   “กลับห้องไปได้แล้ว กูมีนัดกับไอ้ฮั่น”

​​​​   พร้อมกับบอกเหตุผลที่ทำให้เดทที่มันคิดไว้พังทลายจนหมด
​​​​   
​​​​   คงเป็นเพราะช่วงนี้ผมยอมทุกอย่าง ยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยไม่ปฏิเสธ

​​​​   ยอมทักไปตอนดึก
​​​​   ยอมไปทานข้าว
​​​​   ยอมให้เรานั่งข้างกันแม้จะรู้ว่าเป็นแผนที่วางเอาไว้

​​​​   ผมยอมมันจนได้ใจ และม่านก็คงจะดีใจไปกับสิ่งที่ผมทำ

​​​​   แต่ไม่ใช่ว่าผมจะยอมมันทุกอย่างเสียหน่อย

​​​​   ผมยังไม่พร้อมที่จะมีใคร ถึงแม้ผมจะเริ่มมีใจให้เขา แต่ก็ใช่ว่าจะให้มันจะง่ายไปซะหมด กำแพงของผมมันสูงจนน่ากลัว ผมรู้ดีว่าไม่มีใครคนไหนจะกล้าปีนขึ้นไปอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ยอมลดมันให้กับคนที่เริ่มเข้ามานั่งในใจ

​​​​   มันเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองง่ายๆ

​​​​   ของคนที่ไม่อยากเจ็บปวดให้กับเรื่องเดิมๆ

​​​​   ผมคิดมาดีแล้ว ไม่ใช่แค่จะตอบกลับไปแค่นั้น มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะออกไปกับม่าน

​​​​   ยังไม่ใช่เวลานั้นจริงๆ

​​​​   
ครับ : AMAN
​​​​   เค้ากลับแล้วนะ^^ : AMAN

​​​​   แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจคือการที่อีกฝ่ายตอบกลับมาอีกหลายชั่วโมง

​​​​   ม่านมารอผมตั้งแต่เช้า โดนปฏิเสธออกไปแทบจะทันทีที่เอ่ยขอ ทั้งวันผมก็เอาแต่ออกไปกับไอ้ฮั่นจนลืมมันไปจนหมด

​​​​   จนถึงตอนเย็นที่เพิ่งเข้าห้อง ข้อความของม่านก็ทำให้ใจผมกระตุกไม่เป็นจังหวะ

​​​​   คล้ายกับทั้งวันที่ผ่านมา มันรอให้ผมเปลี่ยนใจจนถึงวินาทีสุดท้ายเสียอย่างนั้น

​​​​   แอปพลิเคชันต่างๆ ถูกเปิดขึ้นเพื่อดูว่าม่านรู้สึกอะไรกับเรื่องราวที่ผ่าน แต่แอคเคาน์ต่างๆก็ไม่มีความเคลื่อนไหว แม้แต่อินสตาแกรมของมันยังนิ่งไม่มีการบ่งบอกว่าเจ้าตัวเข้าใช้งานในวันนี้มาก่อน

​​​​   ผมปล่อยให้ทุกอย่างเคลื่อนผ่านเชื่องช้า หงุดหงิดกับตัวเองไม่น้อยกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ถึงแม้จะเปิดดูมากแค่ไหน จนสุดท้ายม่านก็ไม่ได้อัพเดทอะไรให้ได้รับรู้

​​​​   เครื่องสีดำถูกทิ้งไว้ยังเตียงนุ่ม หลังจากผ่านเที่ยงคืนผมเลยตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ ปล่อยให้อุณหภูมิเย็นฉ่ำของมันช่วยชะโลมจิตใจ

​​​​   แต่ในตอนที่กลับมานอนบนเตียงหลังใหญ่

​​​​   เสียงแจ้งเตือนครั้งใหม่ก็ดังขึ้น
​​​​   เป็นแจ้งเตือนจากใครบางคนที่หายไปทั้งวัน


​​​​   ม่านส่งเพลงมาให้

เค้ายังรอนะ : AMAN
ที่เคยบอกว่าจะรอก็ไม่ได้โกหกเธอเลย : AMAN
:-) : AMAN


​​​​   พร้อมกับข้อความใหม่อีกสองสามประโยค


​​​​   ผมหลับตาลงแน่น ค่อยๆเลื่อนมือไปกดฟังเพลงที่เขาให้มา


​​​​   จากนั้น เสียงไพเราะของท่วงทำนองแสนหวานและเนื้อหาของมันก็เข้าเล่นงานใจผมอย่างหนัก


​​​​   ม่านบอกว่าจะรอ

​​​​   และตอนนี้ผมก็เชื่อว่าเขาตั้งใจที่จะรอผมแล้วจริงๆ



​​​​   ดูเหมือนคราวนี้ผมจะใจร้ายกับเขามากเกินไปซะแล้ว
















#ผาเพียงฟ้า

ครั้งแรกที่ฟังเพลงก็คิดถึงเรื่องนี้ทันที
เลยคิดว่ายังไงก็ต้องหยิบมาแต่งให้ได้
สุดท้ายก็ได้นำมาใส่แล้วเราก็รู้สึกว่ามันอธิบายตัวม่านได้ดีมากๆ

ไม่รู้ว่ามีใครเคยฟังวงนี้ไหมนะคะ
ช่วงนี้เราฟังบ่อย เพลงดีหลายเพลงเลย :-)


9/9/19
before30october


ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อ้างถึง
...พอคอยนานๆ ใจมันเริ่มท้อ
เฮ้อ...
ตบบ่า ลูบหลังม่านเบาๆ พูดไม่ออกว่ะม่าน
ผาสูงชันเทียมฟ้าเหลือเกิน
ค่อดเฮิร์ต
 :mew2:

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ส่งกำลังใจให้ม่านค่ะ รอต่อไปก่อนนะเจ้าม่าน เรื่องความรู้สึกของผามันบังคับกันไม่ได้จริงๆ บางคนเค้าก็รู้สึกinsecureและไม่อยากจะมีใครเข้ามาในชีวิตในตอนนั้นๆ เท่าที่ม่านได้รับมันก็ถือว่าดีกว่าตอนเริ่มต้นมากๆแล้ว ให้มันค่อยเป็นค่อยไปในแบบที่ทั้งคู่จะไม่อึดอัด ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจให้คุณนักเขียนค่ะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้ำตาจะไหล สงสารม่าน ม่านมั่นคงมากเลยทั้งๆที่ไม่มีหวังแต่ก็ยังรอ
กำแพงผาสูงมากจริงๆ เราว่าผาต้องมีเบื้องหลังที่ค่อนข้างหนักมากทีเดียว ถึงได้ไม่กล้าเปิดรับใครเข้ามา

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พี่ผาใจอ่อนเร็วๆสิ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ม่านดื้อจังเลย  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


11

an endless beach ft. you



_________


somewhere only we know


_________







   ​​​​ดูเหมือนหลังจากที่ผมปฏิเสธเขาในครั้งนั้น เราก็เจอกันน้อยลง

​​​​   ผมมัวแต่ยุ่งเพราะการทำโปรเจคใกล้จบ และได้ข่าวว่าอีกคนก็ยุ่งกับการฝึกซ้อมเพื่อแข่งในแมทช์ต่อไป

​​​​   ใ​​​​นช่วงเวลานั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับและม่านก็ไม่ได้ติดต่อมาเช่นกัน

​​​​   ความสัมพันธ์ของเราเหมือนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง...ที่ๆผมและเขาไม่เคยมีความหลังกันมาก่อน

​​​​   “พวกมึงเก็บของกันยัง?” ไอ้ฮั่นเอ่ยถามเป็นคนแรก คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตรงข้ามหันมามอง มันเท้าแขนไปด้านหลัง ส่ายหน้าเพื่อบ่งบอกคำตอบของตัวเอง

​​​​   “ยังมีเวลาอีกเยอะ”
​​​​   “มึงรีบหรอวะ?” ไอ้ปัทถ์ละสายตาจากโทรศัพท์เพื่อมอง แต่มือก็ยังรัวอยู่บนหน้าจอไม่หยุด

​​​​   “เปล่า เผื่อจะชวนกรึบๆก่อนคืนนี้”

​​​​   คนเปิดประเด็นยักคิ้วหลิ่วตา วางแผนสำหรับค่ำคืนที่ใกล้จะมาถึงด้วยความตื่นเต้น และผมก็เชื่อว่าคนอื่นๆก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกัน

​​​​   พวกเรารอคอยวันสัมมนาของภาควิชามาโดยตลอด อธิบายง่ายๆคือเป็นการรับน้องนอกสถานที่ที่ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษ เหมือนเป็นทริปพาเที่ยวหรือทริปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นตามประสาเด็กวัยรุ่น และตามประเพณีแล้วก็จะมีการดื่มเฉลิมฉลองกันนิดหน่อย

​​​​   “กูไม่ไปนะ รอเจอรถทีเดียว” ผมสวนขึ้นก่อน ส่วนไอ้ปัทถ์ก็พยักหน้าเห็นด้วยหลังจากที่พูดจบ
​​​​   “เหมือนกัน ขี้เกียจว่ะ”
​​​​   “โห อะไรกันวะ” ไอ้ฮั่นบ่นงึมงำ ก่อนที่คำตอบเราจะจบลงที่การเจอกันตอนขึ้นรถบัสเลยทีเดียว

​​​​   พอมานึกๆดูแล้วการที่พวกเราออกไปดื่มบ่อยครั้งน่าจะมีสาเหตุมาจากความอยากที่ไม่พร้อมกันนั่นเอง วันก่อนคนหนึ่งชวน อีกวันอีกคนชวน เลยทำให้พวกเพื่อนๆ ต้องคอยหาจุดลงตัวที่พอดีและไม่ทำให้เที่ยวกลางคืนมารบกวนการเรียนมากเกินไป

​​​​   ถึงแม้หลังๆมันจะทำไม่ค่อยได้ก็เถอะ

​​​​   ก็เพราะเพื่อนเขามันอยากบ่อยขนาดนี้ ไม่ว่ากี่ทีก็ตกลงไปกันจนได้

​​​​   “ไปกัน” เมื่อคนที่หายไปพบอาจารย์กลับมา เราก็เก็บของแล้วลุกออกจากม้านั่งใต้คณะในทันที

​​​​   ผมเดินนำ มีไอ้เหนือพาดแขนไปกับไหล่ในยามที่มันเดินเคียงข้าง ไอ้ปัทถ์ยังเอาแต่เล่นเกมอยู่ไม่ห่าง ส่วนคนอื่นๆก็จับกลุ่มคุยถึงเรื่องการไปสัมมนาที่จะมาถึง

​​​​   “หักอกน้องกูหรอมึงอ่ะ?”

​​​​   จู่ๆคนที่เดินข้างกันก็เอ่ยถาม นิ้วชี้จิ้มลงบนแผงอกแผ่วเบาเป็นการย้ำคนกระทำถึงเรื่องที่พูด

​​​​   “...” ผมเงียบ เปรยตามองเมื่อไม่รู้จะตอบอะไร

​​​​   “เห็นไอ้ม่านบอกว่าไม่ค่อยได้คุยกัน ก็นึกว่ามึงไปหักอกเด็กมันซะอีก”

​​​​   คราวนี้ผมเบือนสายตากลับไปด้านหน้า พยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่ฟังดูดี

​​​​   แต่มันกลับไม่มีให้พูดออกไป

​​​​   ทำไงได้ ก็ผมมันใจร้ายจริงๆ

​​​​   ทางเดินทอดยาวในยามเย็นร้างผู้คน มีเพียงพวกเขาและนักศึกษาอีกสองสามคนที่เดินสวน เราเดินผ่านโรงอาหารขนาดใหญ่ ก่อนจะก้าวไปทางลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกลต่อจากนั้น

​​​​   แต่จู่ๆ สายตาผมก็มองเห็นใครบางคนที่เราไม่ได้เจอกันเสียนานในตอนที่เดินเข้าลานกว้าง

​​​​   ใครคนนั้น...ที่กำลังยืนพิงกำแพงสูบหรี่ มีผองเพื่อนยืมล้อมรอบอีกทีเพื่อสูบบุหรี่เช่นกัน

​​​​   คงเป็นเพราะการสบตากับเขามันเลยทำให้จังหวะการก้าวของผมผิดแปลกไปนิดหน่อย เราไม่ได้เอ่ยทัก ดูเหมือนว่าเพื่อนผมจะมองไม่เห็นม่านด้วยซ้ำ ทั้งหมดเลยจบลงที่เราเดินผ่านโดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครยืนอยู่

​​​​   แต่กลับกลายเป็นว่ารอบนี้ผมเป็นฝ่ายมองเจ้าตัวเนิ่นนาน

​​​​   นานจนใครบางคนหลบสายตาก่อน แล้วรีบทิ้งก้านขาวลงพื้นเพื่อเดินขึ้นรถที่จอดรับ ก่อนม่านจะหายไปพร้อมกับผมที่มีความคิดหลายอย่างอยู่ในหัว

​​​​   เหตุการณ์ที่ผ่านคงเป็นการเจอกันของเราครั้งแรกหลังจากเรื่องที่เกิด

​​​​   และเป็นการเจอกันที่ผมรู้สึกแปลกๆในหัวใจ









,










​​​​   เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเมื่อฝูงชนต่างรวมตัวกันบริเวณจุดนัดพบ ผมหันไปมองเพื่อนคนสุดท้ายของกลุ่ม มันเจรจากับคนประสานงานชั่วครู่แล้วรีบเดินเข้ามา

​​​​   “เกือบตกรถแล้วไหมล่ะ” นาวาเอ่ยทัก ในมือถือนมกล่องขึ้นดูดอย่างเอร็ดอร่อย
​​​​   “ขาดกูไปก็ไม่สนุกสิคร้าบ” ไอ้เหนือสวนขึ้นทันควัน ก่อนมันจะหันไปตบหัวไอ้ฮั่นเบาๆ
​​​​   “ขาดมึงนี่แหละกำลังดี”

​​​​   เรารออยู่ไม่นาน รถบัสก็เดินทางมาจอดยังด้านหน้า ผู้ประสานงานกล่าวผ่านโทรโข่งเสียงดังเรื่องการจัดแจงที่นั่งบนรถทั้ง4 คันอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ปี1 ขึ้นรถไปก่อน และจากนั้นจึงเป็นปี 2 3 และ4 ตามลำดับ

​​​​   ผมนั่งลงยังเบาะฝั่งด้านหลัง รอคอยเพื่อนที่จะนั่งด้วยกันเดินตามมา โดยปกติแล้วจะเป็นไอ้ฮั่น และรอบนี้ก็เป็นมันอีกเช่นกันที่ทิ้งกระเป๋าลงด้านข้าง

​​​​   “ไอ้ปัทถ์มานี่มา” เป็นนาวาที่เรียกเพื่อน ส่วนไอ้เหนือและไอ้ตินคงนั่งด้วยกันตามระเบียบอีกเช่นเคย

​​​​   ที่นั่งของเพื่อนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างพอดี จะมีก็แต่เบาะไอ้ตินที่เยื้องกันไปทางด้านหลัง ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก เห็นไอ้ฮั่นกำลังช่วยพวกผู้หญิงวางกระเป๋าไว้ยังที่เก็บของด้านบนศีรษะ

​​​​   “ทำไมเด็กปีสามมาคันเราได้วะ?”

​​​​   ทันใดก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นจนทั่ว ไม่นานก็มีคนไม่คุ้นตาเดินหาที่นั่งรอบรถ ได้ยินเสียงประกาศว่าจะมีรุ่นน้องมานั่งด้วย เหตุผลเพราะรถปีอื่นเต็มจนต้องกระจายๆกันออกไป

​​​​   “ม่าน!!!” เสียงตะโกนดังสนั่น ก่อนที่ผมจะเห็นเจ้าของชื่อหันมาทางนี้ “ข้างหลังว่าง”

​​​​   เป็นไอ้เหนือที่เรียกคนสนิทเข้ามาหา กลุ่มเพื่อนมันเดินเข้ามาแล้วผ่านผมไป

​​​​   แต่คนสุดท้ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น

​​​​   ม่านเสมอง เจ้าตัวกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้ในมือแน่น มีเสื้อแขนยาวสีดำพาดผ่านบนไหล่ ผมก็ไม่คิดจะเบือนหน้าหนี เป็นอีกครั้งที่รุ่นน้องหลบตาก่อนแล้วนั่งลงยังเบาะด้านหลังถัดจากตัวเอง

​​​​   ใจผมเต้นแรง ไม่รู้ทำไมมันเหมือนว่ามีสายตาจ้องมองอยู่ตลอด ได้ยินเสียงหัวเราะพร้อมกับเสียงคุยอย่างออกรสดังขึ้น ก่อนที่ไอ้ฮั่นจะกลับมานั่งตามเดิม

​​​​   “ม่านนั่งคันนี้นี่”
​​​​   “รู้แล้ว”

​​​​   มันหัวเราะเบาๆเมื่อได้รับคำตอบห้วนจัด อีกฝ่ายเก็บของอยู่สักพักแล้วหันไปร่วมวงสนทนานั้นอีกคน

​​​​   รถเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทาง ผมเลยใช้หูฟังตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ท้องฟ้ายามตีสี่ยังมืดมิดไม่มีแสงอาทิตย์คอยสอดส่อง มีเพียงแสงจากโคมไฟข้างถนนที่ตั้งอยู่เป็นระยะ ผมกดเลือกเพลงโปรดให้บรรเลง เอนซบไปกับเบาะด้านหลังด้วยท่าสบาย

​​​​   แต่ในตอนที่ร่างกายเริ่มต้านทานความง่วงไว้ไม่ไหว

​​​​   ตุ๊กตาหมีก็ถูกวางไว้บนตักโดยไอ้ฮั่น

​​​​   “มีคนฝากมาให้”

​​​​   พร้อมกับเสื้อแขนยาวสีดำที่วางไว้ข้างกันอีกที

​​​​   ผมรู้ได้ในทันทีว่าเป็นของใคร ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งข้อความฝากเอาไว้

​​​​   พร้อมกับใจที่เริ่มเต้นแรง


เอาไว้กอดนะครับ : AMAN
:-) : AMAN









,










​​​​   เราเดินทางร่วมห้าชั่วโมงก็มาถึงชายหาดแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง มีการพักทานข้าวเช้าเกิดขึ้นก่อน จากนั้นรถก็แล่นเข้าสู่จุดหมายโดยไม่แวะพักที่ไหนอีก

​​​​   ทางรีสอร์ตเตรียมต้อนรับด้วยน้ำผลไม้พร้อมกับของว่างอีกหลากหลายชนิด ผมให้ไอ้ฮั่นไปสอบถามเรื่องห้องพักกับผู้ประสานงาน ไม่นานมันก็กลับมาพร้อมกับกุญแจหลายดอกพร้อมกับนำทางไปในทันที

​​​​   บริเวณที่พักอยู่ติดกับภูเขาลูกเล็กทางด้านหลัง ส่วนอีกฝั่งจรดกับหาดขาวและทอดยาวเป็นมหาสมุทรกว้าง ทางเดินด้านในเลยจะเป็นขั้นบันไดไปตามความลาดชัน มีบ้านเป็นหลังแบ่งตามโซนกันออกไป เราเดินผ่านสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มันสูงจากระดับน้ำทะเลพอประมาณ เมื่อมองลงไปจะเห็นหลังคาของสิ่งปลูกสร้างด้านล่างเรียงกันอย่างสวยสด

​​​​   บ้านพักของเราตั้งอยู่ทางด้านขวาของสระน้ำอีกที มีสวนดอกไม้แบ่งพื้นที่เอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว จากนั้นบ้านพักสองชั้นก็ปรากฏแก่สายตา

​​​​   “เราได้สามห้อง อีกสามห้องจะเป็นของคนอื่น” ฮั่นพูดเมื่อผองเพื่อนเริ่มสำรวจภายในบ้านคร่าวๆ มีห้องโถงใหญ่ที่รองรับสมาชิกได้หลายคน และมีห้องนอนแยกย่อยต่อจากนั้นอีกหลายห้อง

​​​​   “จะเอาสามห้องบนหรือสามห้องล่าง?”
​​​​   “บนดีกว่าป่ะ กูเห็นห้องใหญ่กว่า”
​​​​   “งั้นเอาบนนะ”
​​​​   “เออ”

​​​​   เราจัดแจงห้องกันอยู่สักพักก็เดินตามมาสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ กิจกรรมหลักๆ ส่วนมากจะจัดกันที่หาด จากนั้นผองเพื่อนก็ตกลงกันว่าจะไปรวมตัวกันที่สระว่ายน้ำเพื่อเริ่มต้นการดื่มอย่างที่เคยเป็น

​​​​   กิจกรรมดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน เราแบ่งกันเป็นฐานตามชั้นปีที่เรียน บริเวณชายหาดดูคึกคักเมื่อผู้คนต่างรายล้อมบริเวณนี้จนหมด

​​​​   “อะไรวะ?”
​​​​   “ดินสอพองไง” ไอ้นาวาตอบคำถามจากคนที่ยืนข้างผม ในมือมีขันพร้อมกับใช้นิ้ววนไล้ไปมา
​​​​   “เฮ้ยขอบ้างดิ จะไปปะน้องหมวยคนสวยของกู” ไอ้ปัทถ์ตามมาสมทบ มันระริกระรี้กันอยู่สองคนอย่างตื่นเต้น
​​​​   “จนได้นะพวกมึงอ่ะ” ผมพูดพร้อมกับส่ายหัว ก่อนที่ตัวการจะมองมาแล้วท้าทาย
​​​​   “อยากประเดิมคนแรกไหมล่ะครับน้องผา”
​​​​   “อย่ามาเล่นแบบนะ— เฮ้ยย!!

​​​​   ผมตกใจเมื่อจู่ๆคนที่ยื่นข้างกันก็ล็อกแขนตัวเองเอาไว้ เมื่อพยายามดิ้นก็มีมืออีกสองข้างเข้าช่วย คราวนี้คนที่โดนบ่นเมื่อครู่เดินเข้ามาใกล้ ผมจ้องของที่อยู่ในมือมันเอาไว้ด้วยสายตาคาดโทษ

​​​​   “ไอ้ฮั่นปล่อยกู!” เมื่อรู้ว่าปลายทางจะจบลงตรงไหนผมจึงรีบออกคำสั่ง

​​​​   แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่รับฟังอะไรเกี่ยวกับผมอีก

​​​​   “ปล่อยกู!!” คราวนี้คนอื่นๆต่างหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่ไอ้ตินที่กอดอกมองมา ผมรู้ว่าไม้แข็งใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป จึงพยายามอมยิ้มแล้วออดอ้อนกลับเผื่อมันจะเห็นใจกันบ้าง

​​​​   อย่างน้อยไม่ต้องเอาดินสอพองมาปาดหน้าผมก็ยังดี

​​​​   แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไป

​​​​   “อือ”

​​​​   เมื่อนาวาใช้มือซ้ายเข้าทาบทับข้างแก้มผมแผ่วเบา จากนั้น ไอ้ปัทถ์ก็เข้ามาลูบแก้มข้างขวาด้วยเช่นกัน ผมพยายามเอียงหลบสัมผัสแต่รู้ว่ายังไงก็ไม่พ้น

​​​​   สองคนนั้นหัวเราะร่าก่อนจะรีบวิ่งหนีไปเมื่อผมเป็นอิสระจากการเกาะกุม มือผมฟาดไปที่กลางหลังไอ้ฮั่นที่ช่วยพวกมันเอาไว้ เตรียมตัวจะหลบหนีไปล้างสิ่งแปลกปลอมนั้นออกเพราะรู้สึกอายเต็มที

​​​​   แต่ในตอนที่หันหลังกลับ ใครบางคนก็โผล่ขึ้นมาด้านหลังจนเกือบจะตกใจ

​​​​   ม่านยิ้มร่าพร้อมเลื่อนมือมาวางไว้บนศีรษะคล้ายกับว่าเจ้าตัวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ

​​​​   “น่าสงสารคนโดนแกล้งจังเนาะ”








,








​​​​   ผมกลับมาอาบน้ำหลังจากทานมื้อเย็นของทางรีสอร์ต ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นก่อนที่จะก้าวเข้าไป มองเห็นคนคุ้นหน้าสองสามคนเดินขวักไขว่กันภายในห้องโถง

​​​​   “สองห้าศูนย์ อยู่หลังหิน”
​​​​   “ตรงไหนวะ?”
​​​​   “ซ้ายมึงอ่ะม่าน เออๆ ตรงนั้น ยิงเลยๆ!!”

​​​​   คนที่นอนบนโซฟาตะโกนดังสนั่น ได้ยินเสียงยิงปืนดังตามหลังกันมาติดๆ อีกสองคนที่นั่งล้อมวงอยู่ยังจดจ้องยังหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับมีสีหน้าเคร่งเครียด ยกเว้นคนสุดท้ายที่มีผ้าเช็ดตัวพาดไว้บนบ่าที่หันมามอง

​​​​   ผมสบตากับรุ่นน้องก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้มให้เป็นการทักทาย ดูเหมือนว่าเกมภายในเครื่องสี่เหลี่ยมจะทำให้คนพวกนั้นไม่ได้สนใจรอบข้าง เอาแต่จดจ้องมันอยู่อย่างนั้นแม้เพื่อนผมจะเดินเข้ามาหาพวกมันเป็นครั้งคราว ผมเลี่ยงขึ้นชั้นบนยังห้องพักของตัวเอง พบไอ้ฮั่นที่อาบน้ำเสร็จก่อนแล้วมีผ้าเช็ดตัวคลุมอยู่

​​​​   “ริมหาดนะ ข้างลานต้นมะพร้าว” มันบอกถึงสถานที่ที่เราจะนั่งดื่มในคืนนี้ ผมรื้อกระเป๋าของตัวเอง พลางเอ่ยถามรูมเมทที่ยังเช็ดผม

​​​​   “มีคนไปจองละหรอ?”
​​​​   “ไอ้ปัทถ์กับไอ้ตินนั่งอยู่ เห็นมันคุยกับพวกไอ้ดอย”
​​​​   “พวกมันอาบน้ำกันยังอ่ะ?”
​​​​   “น่าจะยัง”

​​​​   ผมพยักหน้าเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนที่ฮั่นจะออกไปก่อนและให้ผมได้ทำธุระส่วนตัว ไม่นานหลังจากที่อาบน้ำเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ถูกเปลี่ยน เสียงที่ดังในตอนแรกดูเหมือนจะหายไปแล้ว ที่บ้านเหลือเพียงความเงียบจนผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่

​​​​   โต๊ะไม้ขนาดไม่ยาวมากมีผู้คนรายล้อมจนเต็ม บนโต๊ะมีแอลกอฮอลล์หลากหลายชนิดวางรวมกัน มีไฟแช็กและกล่องบุหรี่ที่มักจะเห็น ผมหย่อนตัวข้างไอ้ฮั่นที่มันขยับไปด้านข้างจนเหลือที่ว่างบนเก้าอี้ให้ตัวเองนั่งได้อย่างพอดี

​​​​   “เล่นยาดองเลยหรอวะ” เมื่อสังเกตเห็นของบนโต๊ะ ผมก็กระซิบกระซาบกับเพื่อนในทันที
​​​​   “พี่บอลอ่ะดิให้มา”
​​​​   “กูไม่เอานะ”
​​​​   “กูก็เหมือนกัน”

​​​​   มันพูดแล้วยกแก้วขึ้นชนกับแก้วผมเบาๆ จากนั้นเราก็ดื่มกันอย่างหนักโดยไม่หยุดพักเลยสักนิด ของเหลวในแก้วถูกเติมอยู่หลายรอบ จากนั้นก็หมดลงโดยที่ผมยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก เสียงเพลงที่ดังจากลำโพงอันเล็กช่วยคลอเคล้าบรรยากาศได้อย่างมาก และผมก็รู้สึกเคลิ้มไปกับฤทธิ์แอลกอฮอลล์เข้าจนได้

​​​​   สายลมเย็นพัดผ่าน ผมรับฟังเรื่องเล่าต่างๆที่เพื่อนมอบให้ เราปล่อยให้ความมัวเมาเข้าควบคุมร่างกายเอาไว้และปล่อยให้เสียงหัวเราะเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น

​​​​   จนในตอนที่ผมสบตากับใครบางคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มที่มีก็ค่อยๆน้อยลงจนมันจางหายไปจนหมด

​​​​   แต่ถึงอย่างนั้นม่านมันก็ยังยิ้ม ยกก้านบุหรี่ขึ้นชิดริมฝีปากแล้วพ่นควันออกมาช้าๆ ใบหน้าอีกฝ่ายหายไปเพียงชั่วครู่ก่อนที่เราจะสบตากันดังเก่า คราวนี้ผมตัดสินใจลุกขึ้น เดินออกไปยังชายหาดที่มืดมิดไกลจากผู้คน

​​​​   ก่อนจะส่งข้อความไปหาใครคนนั้นที่เฝ้ารอให้ตามมา

​​​​   Pha : ขอคุยด้วยหน่อยดิ

​​​​   ผมก้าวเดินอย่างช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบเมื่อรอให้เขาก้าวเข้ามาเดินข้างๆ

​​​​   ม่านก้าวเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนที่จะสอดสองมือไว้ในกระเป๋ากางเกงยามเอ่ยทัก

​​​​   “ตกใจนะเนี่ย— เรียกเค้ามาแบบนี้” เสียงเขายังดูอารมณ์ดีเหมือนเคย

​​​​   เราเงียบกันอยู่สักพัก ปล่อยให้เสียงน้ำทะเลที่เซาะเข้าฝั่งช่วยทำลายความอึดอัดเสียแทน

​​​​   “นั่นตุ๊กตามึงหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเสียก่อน ม่านพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ

​​​​   “ของเค้าเอง นอนกอดทุกคืนเลยเอามาด้วย”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “เด็กชิบ”

​​​​   เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายดังแผ่วเบาเมื่อโดนค่อนขอด พยายามบังคับฝีเท้าของเราให้เป็นจังหวะเดียวกัน

​​​​   “แล้วกอดอุ่นมั้ย?”

​​​​   ผมไม่ตอบ ก้มหน้าลงก่อนจะตั้งใจเดินต่อ

​​​​   “...มึงหายไปไหน?”

​​​​   แต่สุดท้ายก็เก็บคำถามนั้นไว้กับตัวไม่ได้ มันเลยถูกส่งออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้
​​​​   ว่าผมกำลังสับสนกับเรื่องของเราที่เป็นอยู่ในตอนนี้

​​​​   คราวนี้ม่านเงียบไปบ้าง เหม่อมองไปทางข้างหน้าที่มีแต่ความมืดมิด

​​​​   “...ถ้าบอกว่าหายไปทำใจ…?”
​​​​   “...”
​​​​   “...จะเชื่อรึเปล่า?”

​​​​   เท้าผมก้าวผิดจังหวะ แต่สุดท้ายก็บังคับให้มันเป็นดังเดิม

​​​​   “อืม...”
​​​​   “...”
​​​​   “...แล้ววันนั้นกลับตอนไหน?”
​​​​   “วันไหน?”
​​​​   “วันที่มารอกู”

​​​​   ผมภาวนาให้คำตอบของมันไม่เป็นอย่างที่คิด แต่สุดท้ายแล้วม่านก็ทำให้ผมเองต้องรู้สึกผิดเป็นรอบที่สอง

​​​​   จากการบอกเวลาของการรอคอยในวันที่ผมปฏิเสธมันออกไป

​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “ตอนที่ตอบเธอนั่นแหละ”​​​​

​​​​   รวมๆแล้วคงเกือบห้าชั่วโมงที่มันรอผมอยู่ตรงนั้น รอคอยให้ผมเปลี่ยนใจแล้วตกลงให้กับการขอร้องของมันที่ส่งมา

​​​​   “รอทำไม” เสียงผมแหบแห้ง หลับตาแน่นพร้อมกับถอนหายใจ “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ”
​​​​   “...”

​​​​   คราวนี้ม่านมันเงียบก่อนจะหยุดเดินจนผมต้องหันหลังกลับ เราสบตากันอีกครั้ง คราวนี้เขามีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างมากจนผมไม่รู้จะทำตัวยังไง

​​​​   “เธอเรียกเค้ามาคุยเรื่องอะไรอ่ะ?”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “บอกเค้าก่อนได้ป่ะ?”
​​​​   “...”
​​​​   “ใจเค้ามันไม่พร้อมหรอกนะถ้าเธอจะบอกว่ารำคาญ...”

​​​​   ผมกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก รับรู้ความในใจของอีกฝ่ายที่มันอัดแน่น

​​​​   “เปล่า”

​​​​   ม่านเบือนหน้าไปทางท้องทะเล ปล่อยให้เส้มผมปลิวไปกับสายลมยามเหม่อมอง ผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะตัดสินใจเลือนมือไปกอบกุมใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้แผ่วเบา

​​​​   “...จะมาบอกว่าขอบคุณ”

​​​​   เขาหลับตาลงช้าๆ เอนศีรษะเข้าซบมือเล็กอย่างโหยหา

​​​​   “...ก็นึกว่าจะไล่เค้าซะอีก”
​​​​   “ใครจะไปกล้าไล่”
​​​​   “เธอไง”
​​​​   “ก็มาง้ออยู่นี่ไง”

​​​​   ม่านแลบลิ้นเลียริมฝีปากแก้เขิน ก่อนจะเบี่ยงตัวแล้วค่อยๆเดินออกไป ผมรู้ได้ในทันทีว่าเขารู้สึกอย่างไรเพราะอกด้านซ้ายของตัวเองก็เริ่มทำงานเข้าจนได้เมื่อพูดประโยคนั้น

​​​​   ประโยคที่สื่อความหมายบางอย่างจนทำให้เราต้องขัดเขิน

​​​​   ผมเดินตามไปไม่ห่างจนสุดท้ายก็กลับไปยืนเคียงข้างเขา เราเดินด้วยจังหวะเชื่องช้า ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีก

​​​​   จนในตอนที่ผมเลื่อนมือเข้าใกล้ ค่อยๆ กอบกุมมือเขาไว้จนมันแนบแน่น

​​​​   “หายงอนได้รึยัง?”

​​​​   พร้อมกับเอ่ยคำถามที่ทำเอาอีกคนกระตุกมือกลับ และใบหน้าของผมก็เริ่มร้อนจัดอย่างช่วยไม่ได้

​​​​   จากนั้นเราสองคนก็มองไปคนละทางพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

​​​​   “ไม่หายหรอก”

​​​​   “...”


​​​​   และดูเหมือนชายหาดที่เดินจะยาวไกลกว่าที่เคยเห็น


​​​​   “เค้าเคยงอนซะที่ไหน”
















#ผาเพียงฟ้า

เขาจับมือกันแล้วค่าาาา
/ปิดตา


9/9/19
before30october


ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ม่านไปใหนไม่ได้แล้วแหละ ผาก็เช่นกัน  :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


12

I will be a good guy, I promise



_________


:-)


_________







   ​​​​ผมไม่ได้บอกเพื่อนว่าตัวเองหายไปไหน แต่พวกมันคงรู้ได้จากการที่ผมและอีกฝ่ายกลับมาพร้อมกัน

​​​​   ​​​​แอลกอฮอลล์ในแก้วดูจะหวานกว่าเดิมเท่าตัว ผมสบตากับม่านบ่อยครั้ง ผมยิ้มให้เขาบ้างในบางที ดูเหมือนจะมีแค่เราที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เดินเล่นบนชายหาดกันสองต่อสอง

​​​​   ​​​​จนในตอนที่ล่วงเลยข้ามวัน คนอื่นๆเริ่มกลับไปพักผ่อนหลังจากสังสรรค์กันอย่างหนัก มีคนที่ยังนั่งประจำที่โต๊ะบ้าง บางคนก็กลับไปกินที่บ้านเมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว

​​​​   ​​​​ส่วนพวกผมเลือกที่จะนั่งที่เดิม โดยปกติแล้วถ้าไม่น็อคไปเสียก่อนก็จะได้เห็นพระอาทิตย์ยามเช้าสว่างไสว

​​​​   ​​​​“อ่ะ ทีมึงละ” ไอ้ฮั่นยื่นแก้วเล็กให้แต่ไกล ก่อนผมจะทำหน้าหยีแล้วรีบปฏิเสธออกไปในทันที
​​​​   ​​​​“กูไม่กินยาดอง”
​​​​   ​​​​“เอาหน่อย ไม่เมาหรอก”
​​​​   ​​​​“แต่มันจะอ้วก”
​​​​   ​​​​“ไอ้ผา มึงจะแดกไม่แดก” เพราะความดื้อรั้นของผมทำให้รุ่นพี่ที่สนิทกันออกโรงเสียแทน ผมชั่งใจอยู่สักพัก ด้วยความเคารพจึงไม่อยากขัดพี่แก

​​​​   ​​​​มือเล็กเอื้อมไปรับแก้วมา ก่อนจะค่อยๆเรียกความมั่นใจแล้วยกมันดื่มในรอบเดียว

​​​​   ​​​​อึก!

​​​​   ​​​​“เออ ให้มันได้แบบนี้” พี่บอลพูดเสียงดังฟังชัดก่อนที่ผมจะเอื้อมไปหยิบน้ำเปล่าดื่มตาม รสชาติขมของมันทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ยิ่งรู้ว่าเหล้าชนิดนี้จะส่งผลต่อตัวเองยังไงจึงทำได้แต่ภาวนาไม่ให้มันรุนแรงจนเกินไปเท่านั้น

​​​​   ​​​​ผมมองรุ่นพี่ที่จบไปแล้วอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน พวกเพื่อนคุยกับเขาอย่างออกรส อาจเพราะกลุ่มผมมันเป็นนักดื่ม แถมมิตรภาพลูกผู้ชายมักจะเกิดขึ้นในร้านเหล้า ไม่แปลกใจที่แต่ละคนจะรู้จักไปทั่วแบบที่เห็น

​​​​   ​​​​“นั่งด้วยได้ไหม?”

​​​​   ​​​​และในจังหวะที่กำลังเผลอใครบางคนก็วางแก้วลงด้านข้าง คล้ายกับว่าประโยคที่เจ้าตัวพูดนั้นไม่ได้ตั้งใจจะถามแค่ต้องการบอกเป็นกลายๆว่า ถึงจะตอบว่ายังไง เขาก็จะนั่งอยู่ดี

​​​​   ​​​​“เรียกไอ้เตมาให้หน่อยดิม่าน” เมื่อม่านนั่งลงเสียงสั่งของเพื่อนผมก็ตามมา มันเรียกเพื่อนให้มาหาแบบที่ไอ้ฮั่นว่า ก่อนที่สมาชิกบนโต๊ะเราจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

​​​​   ​​​​ผมเห็นไอ้ฮั่นเสวนาอะไรสักอย่างกับรุ่นน้อง ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่ถามไถ่เพื่อทำความรู้จัก ก็คงจะยกเว้นแต่ผมที่นั่งเงียบ และม่านที่ยังอมยิ้มรับการสนทนาที่เกิด

​​​​   ​​​​“ยาดองรสชาติเป็นไง?” อีกฝ่ายพูดก่อน มือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ส่วนมืออีกข้างกวนน้ำแข็งในแก้วตัวเองไปมา
 
​​​​   ​​​​“ห่วยแตก”

​​​​   ​​​​ม่านหัวเราะให้กับคำตอบของผม ก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อพูดต่อ

​​​​   ​​​​“อยากลองอยู่เหมือนกัน”
​​​​   ​​​​“มึงไม่ต้องลองหรอก”
​​​​   ​​​​“ไม่อร่อยหรอ?”
​​​​   ​​​​“มันแรง”

​​​​   ​​​​ผมดุ มองเห็นอีกคนยักคิ้วเมื่อรับรู้ข่าวใหม่

​​​​   ​​​​“แสดงว่าเธอกินแล้วเมาอ่ะดิ” มันยังไม่เลิกคาดคั้น ผมเลยยอมเล่าให้ฟังแต่โดยดี

​​​​   ​​​​“เละ”

​​​​   ​​​​คราวนี้ม่านมันหัวเราะอีก ยกแก้วขึ้นจิบรับรสชาติขมหวาน

​​​​   ​​​​“อยากรู้ว่าเธอเมาแล้วจะเป็นยังไง”
​​​​   ​​​​“ก็เมาบ่อยจะตาย”
​​​​   ​​​​“นั่นเมาแล้วหรอ?”
​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​“ดูไม่ออกเลยว่ะ”

​​​​   ​​​​ดวงตาเขาจับจ้องมาที่ผมเพื่อสำรวจ เมื่อไม่รู้จะรับมือแบบไหนผมเลยหยิบบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปากแล้วจุดไฟแช็ก

​​​​   ​​​​“แล้วมึงล่ะ”
​​​​   ​​​​แชะ!
​​​​   ​​​​“เมาแล้วเป็นยังไง?”

​​​​   ​​​​ผมถาม แต่รอไม่นานก็ได้คำตอบ

​​​​   ​​​​“เมาแล้วคิดถึงเธอ”
​​​​   ​​​​“โกหก” ผมเถียงทันควันเมื่อได้ยินประโยคที่ส่งมา
​​​​   ​​​​“อ่าว” มันหัวเราะอีก “นี่พูดจริงๆ”
​​​​   ​​​​“มึงน่ะชอบโกหก”
​​​​   ​​​​“โกหกตรงไหน?”
​​​​   ​​​​“ที่บอกว่าเมาแล้วคิดถึงไง”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ไม่เมาก็คิดถึงป่ะวะ มึงอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก”

​​​​   ​​​​แก้วของมันถูกยกดื่มจนหมดเมื่อเจ้าตัวไม่มีอะไรจะเถียง มือใหญ่รินเติมให้แก้วตัวเองอีก วางมันลงไว้ด้านหน้าก่อนจะวนไล้นิ้วมือไปมากับน้ำแข็ง

​​​​   ​​​​“แล้วตอนเธอเมาไม่คิดถึงเค้าบ้างหรอ?”

​​​​   ​​​​คำถามที่ส่งให้ทำเอาผมเงียบ ก่อนจะค่อยๆหันไปสบตา

​​​​   ​​​​“เมื่อก่อนก็ไม่”

​​​​   ​​​​ม่านเสยผมไปด้านหลังเมื่อได้ยินคำตอบ

​​​​   ​​​​“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
​​​​   ​​​​“ก็ไปคิดเอาเองสิ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ตอบแบบนี้ไม่ผิดใช่มั้ย?”
​​​​   ​​​​“เธอแม่ง...เอาอีกละ”
​​​​   ​​​​“ดูเหมือนกูจะเมาแบบที่มึงพูดจริงๆแล้วว่ะ”

​​​​   ​​​​ผมอมยิ้มเมื่อได้สวนกลับไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ม่านไม่ได้ถามต่อ คงยังคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ผมส่งให้ ผมเลยปล่อยให้เขาได้ใช้ความคิดต่อไปเงียบๆ

​​​​   ​​​​“ผา พี่ชนหน่อย” แต่ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองจะยิ้มมากเกินไป รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ยกแก้วเข้าหา

​​​​   ​​​​ผมก้มหัวลงยามยกแก้วตัวเองขึ้น มองเห็นสายตาอีกฝ่ายจ้องมองหลังจากซดมันจนหมด และไม่ว่าจะเป็นตอนไหนต่อจากนั้น สายตาคู่เดิมก็จับจ้องผมตลอดจนรู้ว่าคิดอย่างไร

​​​​   ​​​​“ไอ้ภพเบาๆ นั่นน้องกู” พี่บอลเป็นฝ่ายเตือน ดูเหมือนคนทั้งโต๊ะจะสังเกตถึงความผิดปกติจากบทสนทนาที่เกิด

​​​​   ​​​​เพื่อนม่านมองมา ไม่ต่างจากเพื่อนผมที่เริ่มจดจ้องมากกว่าปกติ แต่ปฏิกิริยาของพวกมันกลับต่างออกไปจากที่คิด บางคนหัวเราะ บางคนก็อมยิ้มเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ต่อจากนี้มันช่างเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

​​​​   ​​​​“น้องยังไม่มีแฟน”
​​​​   ​​​​“มึงรู้ได้ไง?”
​​​​   ​​​​“ไอ้ตินบอกเมื่อกี้”
​​​​   ​​​​“มึงเชื่อมันหรอ?”
​​​​   ​​​​“อ่ะงั้นกูถามให้เลย”

​​​​   ​​​​เพราะระยะห่างเพียงแค่โต๊ะคั่นทำให้ผมได้ยินบทสนทนานั้นทุกประโยค ก่อนที่ชื่อตัวเองจะถูกเรียกโดยรุ่นพี่คนเดิม เจ้าตัวเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

​​​​   ​​​​“เรายังไม่มีแฟนใช่ไหม?”

​​​​   ​​​​เสียงพูดคุยดังขึ้น เพื่อนพี่ภพตบหลังคล้ายกับหยอกล้อกันไปมา คนรอบข้างรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่รู้จะทำตัวแบบไหน

​​​​   ​​​​ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปเช่นไร เพราะรู้ดีว่าคำตอบของตัวเองจะกระทบกับใครหลายคนต่อจากนี้

​​​​   ​​​​ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าจนได้

​​​​   ​​​​“ยังไม่มีครับ”

​​​​   ​​​​ผมพูด ไม่ได้มองคนด้านข้างว่ามีสีหน้าแบบไหนตอนที่ตอบ

​​​​   ​​​​“เห็นมั้ยกูบอกแล้ว” พี่ภพยักคิ้วพร้อมกับมีสีหน้าดีใจ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็ยังมองอยู่ไม่ละไปไหนเสียที

​​​​   ​​​​“แย่จังเลยเนาะ” แต่จู่ๆม่านก็พูดขึ้น มองหน้าผมด้วยรอยยิ้มแบบที่เคยเห็น

​​​​   ​​​​ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จากสถานะที่ผมบอกรุ่นพี่ไปเลยทำให้เขารู้สึกแบบนั้น เราไม่ได้ผูกมัดกันด้วยซ้ำ ไม่มีการตกลงว่าจะเป็นอะไรกันในชีวิตของอีกฝ่าย

​​​​   ​​​​แม้แต่คนคุย...ยังไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า

​​​​   ​​​​ผมยกแก้วขึ้นดื่มแก้เบื่อ ใช้แขนเช็ดริมฝีปากเมื่อน้ำหยดไหล แต่ในตอนที่วางแก้วลงไปกับโต๊ะตรงหน้า เสียงไอ้ฮั่นก็ดังขึ้นมาเป็นการเรียกชื่อของม่านในระดับที่ดังกว่าปกติ

​​​​   ​​​​“ม่าน”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ปากไอ้ผา”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวชี้มือไปที่มุมปากของตัวเองเป็นการประกอบคำพูด ม่านเข้าใจในทันทีก่อนจะหันมาหาผมแล้วใช้มือตัวเองช่วยเช็ดอย่างแผ่วเบาท่ามกลางสายตาของคนทั้งโต๊ะ

​​​​   ​​​​มันไม่พูดอะไรในตอนที่ละออก แต่กลับใช้มือเอื้อมมาด้านหลัง โอบเอวผมเบาๆจนไหล่เราชิดกันคล้ายกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

​​​​   ​​​​คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอ้าปากค้าง พี่ภพสบถเบาๆพร้อมรอยยิ้มก่อนที่ผมจะค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย

​​​​   ​​​​ดูเหมือนแผนการของไอ้ฮั่นจะไปได้สวยกว่าที่คิด

​​​​   ​​​​“ก็ว่า”

​​​​   ​​​​พี่ภพพูดเมื่อจ้องมองมาพร้อมกับม่านที่กระซิบบอกการกระทำของตัวเอง

​​​​   ​​​​“แย่หน่อยเนาะ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ทำได้แค่นี้เอง”

​​​​   ​​​​คงเพราะขอบเขตที่จำกัดของความสัมพันธ์ทำให้เขาพูดแบบนั้นออกมา ม่านคงหมายถึงการที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆในตัวผม ไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเรานั้นเป็นอะไรกันอยู่ และผมก็เช่นกัน ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาที่จะบ่งบอกว่าเราผูกมัดกันด้วยความรู้สึกบางอย่าง

​​​​   ​​​​ความรู้สึกที่ผมเองเป็นฝ่ายกำหนดให้มันเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็น

​​​​   ​​​​ผมละความสนใจจากมันแล้วดูดบุหรี่ต่อ มีเพื่อนย้ายฝั่งมานั่งข้างกันหลังจากผลัดเปลี่ยนไปเข้าห้องน้ำ นานเข้าที่รู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ไหวกับของมึนเมาที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักจนอยากจะอาเจียนออกมา เมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัยเท้าผมจึงรีบก้าวไปทางห้องน้ำในทันที สติกระเจิดกระเจิงจนเริ่มเดินไม่ตรง มือผมระไปตามผนังเพื่อพยุงตัว ก่อนที่จะมองเห็นปลายทางอยู่ไม่ไกลแล้วกลั้นใจเดินต่อ

​​​​   ​​​​ออ—อ!!

​​​​   ​​​​ความรู้สึกพะอืดพะอมแล่นขึ้นจนถึงริมฝีปาก ผมขย้อนมันออกมาพร้อมกับมือที่จับโถชักโครกแน่น พยายามหอบหายใจเพื่อเรียกสติตัวเองแต่ก็ต้องตัวโยนเข้าอีกรอบ

​​​​   ​​​​อ่—กก!!

​​​​   ​​​​น้ำลายผมยืด พร้อมกับน้ำตาที่คลอตลอดพร้อมจะไหล รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ไหวจนเกือบจะหมดสติ แต่ในตอนที่กำมือแน่น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนใครบางคนจะเอ่ยเรียก

​​​​   ​​​​“เธออยู่ข้างในรึเปล่า?”

​​​​   ​​​​มือผมเอื้อมไปกดชักโครก ต่อจากนั้นก็ปลดล็อกกลอนประตูให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสภาพแบบไหน ม่านนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงด้านหลังพร้อมกับเสยผมที่ปรกตาของผมออก

​​​​   ​​​​“ไหวมั้ยครับ?”

​​​​   ​​​​มือเล็กยกขึ้นเป็นการบอกว่าห้ามถาม ผมทำมือตอบเขาว่าไม่สามารถพูดได้ เพราะถ้าพูดออกไปอาการมึนเมาจะกลับเข้ามาอีกรอบ

​​​​   ​​​​“หนักเลยแฮะรอบนี้”

​​​​   ​​​​เขาขยับออกห่างนิดหน่อย ไม่ยอมถอยไปไหนเพราะความเป็นห่วง ผมพยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับฤทธิ์แอลกอฮอลล์เข้าจนได้

​​​​   ​​​​ออ—อืออ!!

​​​​   ​​​​คราวนี้ม่านพุ่งตัวเข้ามาเร็วไว อีกฝ่ายใช้มือใหญ่ลูบหลังผมอย่างเชื่องช้า มันค่อยๆ ขยับเลื่อนขึ้นเป็นจังหวะตามการหายใจของผม สิ่งนั้นช่วยได้อย่างมากโขเมื่อรอบนี้มันมีแต่ของเหลวที่ขย้อนออกมา

​​​​   ​​​​“อืออ พ— พออ แล้ว..”

​​​​   ​​​​เสียงผมแหบพร่า ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมาโดยมีการช่วยเหลือจากเขาอีกที ม่านพามายังม้านั่งที่อยู่ไม่ไกล ผมเอนหลังเอาไว้พร้อมกับหลับตาลงแน่น

​​​​   ​​​​“เธอรอเค้าอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำเปล่ากับผ้ามาให้”

​​​​   ​​​​อีกคนหายไปสักพัก ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่านานแค่ไหน แต่ก็นานพอให้ผมรู้สึกตาสว่างขึ้นมาอีกนิด จากนั้นน้ำขวดเล็กก็ถูกส่งให้ในมือ

​​​​   ​​​​“ผา..ผาครับ”

​​​​   ​​​​ม่านเอ่ยเรียก ลูบไหล่เพื่อเตือนสติ

​​​​   ​​​​“หืมม?”
​​​​   ​​​​“ล้างมือก่อนมา” ผมทำตามที่อีกคนสั่งอย่างว่าง่าย “คราวนี้บ้วนปากนะ— ค่อยๆ—อ่ะ อีกรอบครับ”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวประคองไหล่ผมเอาไว้ตลอด จนตอนที่ใบหน้าของผมชุ่มฉ่ำ สายน้ำก็ทำให้อาการเมาหายไปเกือบครึ่ง

​​​​   ​​​​“เนี่ย เมาจนดูไม่ได้เลย” อีกคนหัวเราะร่าแล้วใช้ผ้าสีขาวเช็ดใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา
​​​​   ​​​​“ก็ไม่ต้องดู”
​​​​   ​​​​“จะดู”
​​​​   ​​​​“ดื้อ”

​​​​   ​​​​ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงชอบใจกับคำเอ็ดของตัวเองนัก ผมจึงผลักหน้าอกอีกคนไปบ้าง แต่แรงน้อยนิดแค่นั้นก็ไม่ทำให้ม่านถอยห่างออกไปได้ไกลกว่าที่คิด

​​​​   ​​​​“มึงมันดื้อ”
​​​​   ​​​​“ไม่ชอบคนดื้อหรอ?” อีกฝ่ายถามกลับ ดวงตาหยีลงเป็นเส้นโค้ง
​​​​   ​​​​“ไม่ชอบ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ชอบเด็กดี” เสียงผมยานคาง ม่านค่อยๆกดซับบริเวณขมับที่ยังเปียกอยู่
​​​​   ​​​​“งั้นเค้าสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี”

​​​​   ​​​​คราวนี้ผมเงียบ สมองประมวลผลเชื่องช้าด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์

​​​​   ​​​​“จะรอดู”

​​​​   ​​​​ขวดน้ำเปล่าถูกเปิดออกก่อนผมจะค่อยๆดื่มมันเพื่อบรรเทาอาการเมาของตัวเอง เรานั่งอยู่ตรงนั้นเสียนาน เพราะผมด้วยล่ะมั้งที่เอาแต่ตั้งสติ จนกว่าในตอนที่เราจะกลับไปยังโต๊ะ ผองเพื่อนก็หนีหายกันไปหมดเหลือแต่รุ่นพี่ที่นั่งอยู่

​​​​   ​​​​“ไอ้ฮั่นกับไอ้ตินพาพวกนั้นไปเก็บละ ขืนนั่งต่อมีหวังเรื้อนกันแน่ๆ” พี่บอลเป็นคนบอก จากนั้นเราจึงลาคนอื่นๆแล้วกลับไปยังที่พักแต่โดยดี

​​​​   ​​​​ประตูห้องนอนแต่ละห้องปิดสนิท ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหายไปนานขนาดไหน แต่มันก็คงจะนานพอที่ทำให้ทุกคนคล้อยหลับและไม่สนว่าผมจะนอนห้องไหนเพราะตอนนี้ทุกห้องถูกล็อกกลอนเอาไว้ จากคนด้านในที่ไม่ว่าจะเคาะและเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิด

​​​​   ​​​​“เพื่อนเค้าก็ไม่ตื่นกันเลย” ม่านหัวเสีย มองผมที่เดินลงมาชั้นล่างเมื่อห้องเดียวที่ยังว่าง— คือห้องม่านที่เปิดประตูอยู่

​​​​   ​​​​“อืม กูรู้แล้ว”

​​​​   ​​​​ผมไม่ได้เอะใจ คิดว่าเพื่อนๆ คงวางแผนพิเรนๆ เอาไว้อีกแน่ๆ

​​​​   ​​​​“แล้ว...เธอจะนอนไหน?” อีกฝ่ายถาม ก่อนผมจะเดินนำทางไปยังด้านใน

​​​​   ​​​​พร้อมกับคำตอบที่เป็นทางออกของเราทั้งคู่

​​​​   ​​​​“ก็นอนด้วยกันไง”



​​​​   ​​​​“...”




​​​​   ​​​​“ไม่เห็นยาก”
















#ผาเพียงฟ้า

เล้าเปิดก็อัพสองตอนเลย
._.



16/9/19
before30october


ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ดีใจได้อ่าน2ตอนติดเลย ขอบคุณค่ะ ผาพอได้ทีก็เอาใหญ่เลย ตัวร้ายยย ทำม่านเสียหลักไม่หยุด ม่านเสียอาการไปหมดแล้วว  :o8: ทั้งนี้ทั้งนั้นน่าร้ากกกกกมากค่ะ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจจจจจให้คุณนักเขียน 

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ม่านน่ารักจังงงงง :-[
ไม่รู้ว่าคุณนักเขียนจะลงสองตอน พอเข้าเล้าได้เห็นเรื่องนี้อัพเลยเข้ามาเลยค่ะ เม้นคั่นเลยแงงง :sad4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เหมือนทดสอบความอดทน 55555555555555

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
สู้ต่อไปครัชม่าน
ส่วนคืนนี้ เอิ่ม..ลักหลับได้ คนเมาไม่รู้เรื่องหรอก
 :hao6:

ออฟไลน์ SimplyDelicious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โง้ยยยย เขินหน้าร้อนผ่าว  ผาน่ารักกกก

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


13

4 minutes, 17 seconds



_________


bgm: ข้างกาย - safeplanet

' ฉันเองจะรับเธอเอาไว้
ให้เธอลองปล่อยให้มันเป็นไป
ไม่ต้องห่วง ฉันจะเข้าใจ'



_________







   ​​​​ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ใจแข็งอะไรหรอก รู้สึกแปลกๆด้วยซ้ำที่เราต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสอง อาจเพราะในห้องมันเงียบเกินไปล่ะมั้งเลยเป็นแบบนี้

​​​​   ​​​​“เธอจะอาบน้ำก่อนมั้ย?” ม่านเอ่ยถาม เหมือนเขาก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันเมื่อสถานการณ์บังคับให้เราต้องร่วมห้อง

​​​​   ​​​​“มึงอาบก่อนไป”
​​​​   ​​​​“เค้ารอได้”
​​​​   ​​​​“กูขอนั่งพักแปบนึง”

​​​​   ​​​​เมื่อฟังเหตุผลจบอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ หยิบของใช้ที่จำเป็นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำที่ตั้งไว้ยังมุมหนึ่ง ผมถอนหายใจออกมา รู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยเมื่ออยู่คนเดียว เพราะแบบนั้นสมองจึงโลดแล่นคิดอะไรเพลินๆมากไปหน่อย จนความคิดเดินทางมาถึงบทสนทนาของเราที่พึ่งพ้นผ่าน

​​​​   ​​​​บทสนทนาที่ดูเหมือนผมและม่านคือคู่รักที่ต้องค้างห้องเดียวกันเป็นครั้งแรก

​​​​   ​​​​ค้างในความหมายที่ไม่ใช่ค้าง
​​​​   ​​​​แต่หมายถึงมีกิจกรรมอื่นประกอบกันไปด้วย

​​​​   ​​​​ไม่เคยมีครั้งไหนที่การได้ยินเสียงคนอาบน้ำจะทำให้ใจเต้นแรงได้เท่านี้มาก่อน มันเหมือนจังหวะกลองตอนเพลงเริ่ม ค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นตามกาลเวลา

​​​​   ​​​​จากจังหวะเชื่องช้าเป็นระรัวจนตามแทบไม่ทัน
​​​​   ​​​​หัวใจผมเป็นแบบนั้น

​​​​   ​​​​ก่อนมันจะลงน้ำหนักครั้งสุดท้ายเป็นเสียงที่ดังที่สุดจนทำให้ตกใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้ตั้งตัวก็ไม่สามารถรับมือไหวเพราะสุดท้ายมันก็ได้พัดพาความรู้สึกบางอย่างลอยละลิ่วขึ้นบนฟ้า สูงส่งจนไม่สามารถคว้ามาได้ จากนั้นก็ปล่อยให้ตกลงมายังพื้นดินกว้างจนทุกอย่างแตกสลาย

​​​​   ​​​​กลับกลายเป็นความเงียบอีกครั้ง

​​​​   ​​​​อันที่จริงผมไม่ได้รังเกียจอีกฝ่ายที่ต้องร่วมเตียง ไม่ได้กลัวว่าจะดูแย่ถ้าเราต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

​​​​   ​​​​แต่มันเป็นแค่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องนอนกับคนที่แอบชอบ…โดยที่ตัวเองก็ㅡ

​​​​   ​​​​ㅡรู้สึกกับเขามากเกินกว่าจะใช้คำว่าปกติ

​​​​   ​​​​อืมㅡนั่นแหละ

​​​​   ​​​​เพราะแบบนั้นนั่นแหละเลยทำให้คิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ

​​​​   ​​​​ม่านอาบน้ำอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว อีกฝ่ายอยู่ในกางเกงวอร์มลากเท้า ใส่เสื้อแขนยาวสีเข้มและมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไหล่ มันคงจะเอาไว้ใช้เช็ดผมที่เปียกหมาดจนมีน้ำหยดลงพื้น

​​​​   ​​​​“เค้าเสร็จแล้ว” เจ้าตัวบอก “เธออาบต่อได้เลย”

​​​​   ​​​​คงเพราะเห็นผมนิ่งไปสักพักคนอายุน้อยกว่าจึงถามกลับมาตามที่สงสัย

​​​​   ​​​​“ไม่มีเสื้อผ้าใช่ไหม?”
​​​​   ​​​​“อืม กระเป๋าอยู่บนห้อง”
​​​​   ​​​​“งั้นเอาชุดเค้าไปก่อน”

​​​​   ​​​​มันหยิบเสื้อผ้าที่ดูใหม่เกินกว่าจะเป็นชุดนอนส่งให้ ผมเดาได้ว่าคงเป็นชุดลำลองของอีกฝ่ายที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้

​​​​   ​​​​“แล้วมึงจะใส่อะไรกลับ?”
​​​​   ​​​​“เดี๋ยวไปยืมของไอ้มาร์ท”
​​​​   ​​​​“เอาไปเหอะ กูใส่ชุดเดิมเนี่ยแหละ” ผมเถียง แต่ม่านก็ทำเสียงแข็งกลับมา
​​​​   ​​​​“ใส่ไปเลย มันเหลือชุดเดียวแล้ว เสื้อเธอเลอะขนาดนั้นยังจะไม่เปลี่ยนอีกหรอไง”

​​​​   ​​​​ชุดที่เปียกหมาดถูกสำรวจไปจนทั่ว ผมพิจารณามันเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้สึกว่าเห็นด้วยกับความคิดของเขา จากนั้นจึงรีบเอื้อมมือไปรับอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ เพราะของๆผมมันอยู่ห้องข้างบนที่ล็อกเอาไว้

​​​​   ​​​​สายน้ำเย็นกระทบผิวเนื้อเมื่อผมตัดสินใจไม่ใช้งานเครื่องทำความร้อน มันช่วยได้มากโขเพราะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันตาเห็น อาการเมาหายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกสบายตัวหลังจากอาบแล้วเสร็จและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ นั่นทำให้ผมขอบคุณที่ตัวเองไม่ได้ปฏิเสธม่านไปอีกรอบ

​​​​   ​​​​ภาพที่เห็นหลังออกมาจากห้องน้ำคือเขาที่นั่งอยู่ปลายเตียง ผ้าขนหนูยังคลุมไว้บนเส้นผมสีดำขลับ ผมมองไม่เห็นหยาดน้ำที่ไหลลงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเส้นผมของเขายังไม่แห้งสนิท

​​​​   ​​​​ม่านหันมามองชั่วครู่ คงอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เกมในมือถือก็ทำให้ต้องหันกลับไปดังเดิม

​​​​   ​​​​“เกมอะไรหรอ?” ใบหน้าผมชะโงกไปใกล้ ตัดสินใจนั่งลงด้านข้าง สองมือกุมไว้ยังผ้าขาวที่อยู่บนศีรษะ

​​​​   ​​​​“พับจี”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“เธอไม่เคยเล่นหรอ?”
​​​​   ​​​​“ไม่เคย”

​​​​   ​​​​ผมส่ายหน้า ได้ยินเสียงในเครื่องสีดำดังขึ้นเป็นระยะ บางครั้งมีเสียงคนเดินบ้าง บางครั้งก็เป็นเสียงปืนที่ยิงกันไปมา

​​​​   ​​​​“สนุกนะ ลองเล่นไหม?”

​​​​   ​​​​คงไม่มีครั้งไหนที่ผมรู้สึกสนอกสนใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้เท่าครั้งนี้แล้วมั้ง เพราะคำตอบคือการพยักหน้ากลับ ม่านเลยบอกให้ผมรออยู่สักพัก จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งมือถือมาให้แล้วเริ่มอธิบายไปทีละนิด

​​​​   ​​​​“ง่ายๆเลย เธอเจอใครก็ให้ยิง”
​​​​   ​​​​“ยิงหมดเลยหรอ?”
​​​​   ​​​​“ใช่”

​​​​   ​​​​เขากดปุ่มในมือถือสองสามรอบ

​​​​   ​​​​“ถ้าเธอเล่นคนเดียวเธอก็ยิงหมดเลย แต่ถ้าเธอเล่นกับเพื่อน ก็คือจะเล่นกันเป็นทีม”
​​​​   ​​​​“ช่วยกันยิงแบบนี้ป่ะ?”
​​​​   ​​​​“ครับ”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวยิ้มก่อนพยักหน้า ดูเหมือนจะมีเด็กชอบใจที่เห็นผมถามไม่หยุด

​​​​   ​​​​“แล้วต้องยิงยังไง?”
​​​​   ​​​​“ปุ่มนี้เอาไว้เดิน ถ้าเธอเลื่อนไปข้างหน้าแบบนี้ㅡ” เขาจับนิ้วมือผมแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆดันขึ้น “ㅡเห็นมั้ยว่ามันจะไปตามที่เธอบังคับ”
​​​​   ​​​​“อ่อ โอเค”
​​​​   ​​​​“ส่วนถ้าเธอจะหันซ้ายหันขวา ก็กดเลื่อนๆตรงนี้ ㅡบนหน้าจอได้เลย”
​​​​   ​​​​“อ่าฮะ”
​​​​   ​​​​“นี่ไง ได้แล้ว”
​​​​   ​​​​“ไม่ถนัดอ่ะ”
​​​​   ​​​​“เล่นไปเดี๋ยวก็ชิน”

​​​​   ​​​​เสียงหัวเราะดังตามมา ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้กันมากกว่าที่คิด

​​​​   ​​​​เขานั่งด้านข้าง เอียงตัวมาหาคล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างเราทั้งสอง

​​​​   ​​​​“อันนี้เค้าตั้งค่าให้ปุ่มยิงอยู่ทางด้านซ้าย เห็นไหม? ที่เป็นรูปลูกกระสุนㅡ ใช่ๆ นั่นแหละ เธอจะกดยิงตรงนั้นก็ได้ หรือถ้าไม่ถนัด ก็กดหน้าจอได้เลยเหมือนกัน แต่ต้องกดเน้นๆนะ มันถึงจะยิงให้”
​​​​   ​​​​“ยากว่ะ”
​​​​   ​​​
​​​​   ​​​​โทรศัพท์ถูกส่งคืนไปยังเจ้าของ ผมเตรียมจะลุกขึ้นอยู่รอมร่อแต่ก็ถูกรั้งข้อมือเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งตามเดิมเพราะผมสู้แรงเขาได้ที่ไหน อีกอย่างก็เพราะเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไรนั่นแหละเลยลองให้ม่านสอน

​​​​   ​​​​จะได้ไม่ต้องอึดอัดที่เราอยู่ด้วยกันในห้องสี่เหลี่ยม

​​​​   ​​​​“งั้นดูเค้าเล่นแมทช์นึงก่อนแล้วเธอลอง มาๆ สนุกนะจะบอก”

​​​​   ​​​​เขายิ้มร่าก่อนจะสาธิตการเล่นให้ผมตามที่โอ้อวด อีกคนดูชำนาญไม่น้อย นิ้วมือระวิงไปกับตรงนั้นตรงนี้จนตามแทบไม่ทัน

​​​​   ​​​​อะไรกัน
​​​​   ​​​​ไหนบอกเล่นไม่ค่อยเก่งไง

​​​​   ​​​​“อ่ะ ตาเธอละ”
​​​​   ​​​​“เล่นเลยหรอ?”
​​​​   ​​​​“ลองเลยๆ ครั้งแรกก็เล่นคนเดียวก่อน จะได้รู้”

​​​​   ​​​​ถึงอยากจะปฏิเสธแต่ผมก็รับเครื่องสี่เหลี่ยมมาถือไว้จนได้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเหมือนกัน ถึงจะเคยเล่นเกมแนวนี้มาบ้างแต่ครั้งแรกก็คงไม่ง่าย

​​​​   ​​​​มันต้องอาศัยการฝึกฝน

​​​​   ​​​​เสียงม่านอธิบายดังอยู่ข้างๆ ผมยังกล้าๆกลัวๆนิดหน่อยหลังจากเล่นไปได้สักพัก โชคดีที่มีเขาคอยปลอบและใจเย็นอยู่ตลอดแม้บางทีผมจะฟิวส์ขาดไปแล้ว

​​​​   ​​​​ปังปังปัง!!

​​​​   ​​​​“เฮ้ย นี่ไง kill 1” นิ้วเรียวชี้ไปยังตัวเลขบนหน้าจอ ผมมองตาม มันเป็นการบ่งบอกว่าการเล่นเกมในรอบนี้กำลังไปได้สวย

​​​​   ​​​​“เห็นมั้ย บอกแล้ว”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวอมยิ้ม ชี้นิ้วอธิบายเพื่อให้ข้อมูลเพิ่ม แต่ผมเริ่มสนใจกับไหล่ด้านซ้ายของเขาซะก่อน มันแนบชิดเข้ากับไหล่ผมจนเจ้าตัวไม่ทันได้สังเกต พอผละออกก็เท้าแขนไปด้านหลัง แต่ม่านกลับวางมือไว้ยังเบาะนุ่มที่เยื้องมาทางตัวเองเสียได้ มันเลยพาดผ่านหลังผมไปอย่างน่าใจหาย รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ก่อตัวขึ้นจากแขนที่ทาบทับ

​​​​   ​​​​และจากลมหายใจของเขา
​​​​   ​​​​ที่มันรินรดอยู่ยังข้างแก้ม

​​​​   ​​​​“ต้องไปทางไหน?”
​​​​   ​​​​“ตามทิศตรงนี้เลย”

​​​​   ​​​​เพราะเจ้าตัวดูตั้งใจสอนผมเลยยอมเป็นนักเรียนที่ดี แต่ก่อนที่จะได้กดเลื่อนไปไกลมากกว่านั้น หน้าจอก็แสดงผลว่าเกมครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว

​​​​   ​​​​และผมเป็นฝ่ายแพ้

​​​​   ​​​​“สงสัยเธอโดนคนอื่นยิงแน่เลย”

​​​​   ​​​​ข้อสันนิษฐานดังตามมา ผมส่งมือถือกลับไปให้ม่าน คนตัวสูงรับไปก่อนจะชะงักนิดหน่อยเมื่อมือผมยีเข้าที่ศีรษะ ก่อนจะส่งยิ้มเพื่อเป็นค่าสอนของคนใจดี

​​​​   ​​​​“เอาไว้เดี๋ยวกูโหลดมาเล่น”
​​​​   ​​​​“ครับ”

​​​​   ​​​​ร่างกายผมเริ่มตอบสนองต่อความง่วง ดวงตาหนักขึ้นหลังจากเจอแอร์ในห้องที่เย็นฉ่ำ ดังนั้นจึงรีบจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมเข้านอนในคืนนี้

​​​​   ​​​​เตียงคิงไซส์มีผ้าห่มผืนใหญ่เพียงหนึ่งผืน หมอนสองใบวางไว้บนนั้น และเท่าที่มองหา มันกลับไม่มีหมอนข้างแบบที่คิดไว้ตั้งแต่แรก

​​​​   ​​​​ถึงแม้มันจะผิดแผนไปเสียหน่อย แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือถามเขากลับ

​​​​   ​​​​“มึงจะนอนฝั่งไหน?”

​​​​   ​​​​เรายืนกันคนละฝั่ง ชั่งใจว่าจะทำยังไงกับการตกลงในครั้งนี้

​​​​   ​​​​“ม่าน?”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“...”

​​​​   ​​​​หมับ!

​​​​   ​​​​“เค้าว่า เค้าออกไปนอนข้างนอกดีกว่า”

​​​​   ​​​​หมอนอีกใบถูกคว้าเอาไปถือ เจ้าตัวอมยิ้ม ก่อนจะเดินไปทางประตูห้องโดยไม่ลืมที่จะหยิบบางอย่างออกไปด้วย

​​​​   ​​​​เป็นตุ๊กตาตัวเล็กสีน้ำตาล
​​​​   ​​​​ที่ซุกอยู่ในมือข้างซ้ายเจ้าของ

​​​​   ​​​​“นอนได้แน่หรอ?” ผมถามย้ำ เม้มริมฝีปากแน่นเพราะกลัวว่าจะเป็นตัวเองที่ทำให้เขาต้องลำบาก
​​​​   ​​​​“ได้สิ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ไม่เห็นเป็นไรเลย”
​​​​   ​​​​“นอนข้างในด้วยกันก็ไดㅡ”
​​​​   ​​​​“พอเลย”

​​​​   ​​​​จู่ๆ ม่านก็เอ่ยขัด ทำสายตาปรามไม่ให้ผมพูดต่อ

​​​​   ​​​​“ถ้าเธอพูดอีกรอบเค้าก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“เธอก็รู้ว่าเค้าไม่ใช่คนเก่ง และเค้าจะเสียใจมากถ้ามันเกิดอะไรขึ้น”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“เอาเป็นว่าแบบนี้เซฟสุดสำหรับเราทั้งคู่แล้วกัน”

​​​​   ​​​​ผมเคยอิจฉาที่เขามีรอยยิ้มสว่างไสวอยู่ตลอด รอยยิ้มที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องพยายาม มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วย

​​​​   ​​​​ผมอิจฉาเขาจริงๆ
​​​​   ​​​​เพราะสำหรับใครบางคนแล้วมันเหมือนเจอโจทย์คณิตศาสตร์ที่แก้ไม่ออก ไม่ว่าจะทำอย่างไรคำตอบก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง กว่าจะอดทนกับมันความพยายามก็ลดลงจนไม่อยากจะทำต่อ

​​​​   ​​​​สำหรับผมมันเป็นแบบนั้น
​​​​   ​​​​ยาก

​​​​   ​​​​“อืม”

​​​​   ​​​​และไม่มีใครเข้าใจ

​​​​   ​​​​แผ่นหลังกว้างเล็กลงตามระยะทางที่เราห่าง จากช่องประตูที่เปิดไว้ทำให้มองเห็นว่าม่านกำลังทิ้งตัวลงโซฟาอย่างช้าๆ สองมือยกโทรศัพท์ขึ้นกดเหนือหัวฆ่าเวลา และมันก็มองมาเมื่อผมหยุดยืนยังหน้าประตู

​​​​   ​​​​“ม่าน”
​​​​   ​​​​“หืม?”

​​​​   ​​​​ผมทิ้งช่วงเสียนาน
​​​​   ​​​​นานจนอีกคนลุกนั่ง

​​​​   ​​​​“ฝันดีนะ”

​​​​   ​​​​ก่อนจะพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มดังเดิม

​​​​   ​​​​เราสบตากันอยู่นานก่อนคนตัวสูงจะก้มลง ผมเห็นว่าเขากำลังยิ้ม คงเพราะทุกอย่างทำให้เรานึกไปถึงตอนที่อยู่บนชายหาด

​​​​   ​​​​ตอนที่เราจับมือกันพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่มันแล่นผ่านกลางใจ

​​​​   ​​​​เจ้าตัวไม่ได้ตอบรับ แต่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับตุ๊กตาตัวนั้นที่ถือไว้ดังเดิม

​​​​   ​​​​“ฝันดีเหมือนกัน”

​​​​   ​​​​เสียงเขาแผ่วเบา สายตาคู่นั้นจับจ้องผมอยู่นานจนนึกหวั่นใจ

​​​​   ​​​​ก่อนที่มือเจ้าตัวจะเลื่อนของในมือขึ้น จรดมันแนบยังใบหน้าของผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

​​​​   ​​​​“จุ๊บ”

​​​​   ​​​​เป็นการจูบอ้อมๆข้างแก้ม

​​​​   ​​​​“แก้มเธอน่ะ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“จองเอาไว้แล้วนะ”


​​​​   ​​​​โดยตุ๊กตาหมีที่ถูกเจ้าของบังคับ


​​​​   ​​​​“เพราะฉะนั้นมันเป็นของเค้าแค่คนเดียว”












,











​​​​   ​​​​ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีบางอย่างเข้าทาบทับจนอึดอัด ทั้งๆที่เหนื่อยจนอยากจะนอนต่อแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมองสิ่งแปลกปลอมที่เริ่มเกาะแกะไปตามร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ

​​​​   ​​​​สิ่งแรกที่เห็นคือเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของมัน ก่อนที่จะลามไปยังแผ่นหลังกว้างที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด มัดกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายเด่นชัดในสายตา ไอ้ปัทถ์โถมตัวลงมา มือทั้งสองข้างกอดรัดผมเอาไว้ผ่านผ้าห่มผืนใหญ่อีกที

​​​​   ​​​​“อะไรของมึงเนี่ย” เสียงผมยังงัวเงีย พยายามถีบเพื่อนให้พ้นจากเตียงที่นอนอยู่

​​​​   ​​​​“นอนด้วย” ผมคิดว่าเสียงมันก็ไม่ต่าง เจ้าตัวขยับเล็กน้อยแต่ก็ยังรุ่มร่ามแบบเดิม

​​​​   ​​​​“ไปนอนดีๆ”
​​​​   ​​​​“อือ”
​​​​   ​​​​“ไอ้ปัทถ์”

​​​​   ​​​​ต้องโดนเอ็ดเข้าสักครั้งมันถึงจะยอมเบี่ยงตัวออกไปเล็กน้อยแต่แขนขาก็ยังเกาะผมเอาไว้ตามเดิม ขามันพาดเข้าที่ช่วงล่าง ก่อนที่แขนอีกข้างจะพาดผ่านโดยไม่สนใจว่าทำให้ผมรำคาญหรือเปล่า

​​​​   ​​​​ดูเหมือนมันจะยกตำแหน่งหมอนข้างให้ผมง่ายๆแบบนี้เลย

​​​​   ​​​​อีกฝ่ายขยับออกตามแรงผลัก โชคดีที่ครั้งนี้มันไม่ได้บ่นออดแอดเหมือนเมื่อสักครู่ ผมมองดูก็พบว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปอีกรอบ คงเพราะอาการเมาค้างล่ะมั้งมันเลยเป็นแบบนั้น เมื่อผมกลายเป็นอิสระจึงควานหาโทรศัพท์ของตัวเอง มันวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง บนหน้าจอปรากฏตัวเลขที่บ่งบอกเวลาว่าตอนนี้ผ่านมาจนเกือบจะเจ็ดโมงเช้าอยู่รอมร่อ ผมวางแผนว่าจะนอนต่อเพราะยังเหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกมาก

​​​​   ​​​​ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าไอ้ปัทถ์ไปทำท่าไหนถึงได้มานอนตรงนี้ทั้งๆที่มันควรจะนอนห้องด้านบนแบบที่เราวางแผนกันเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ผมก็เลิกขบคิดเรื่องนั้นแล้วพยายามหลับตาลง สักพักถึงได้ยินเสียงบางอย่างที่เข้ารบกวนจนต้องชำเลืองมอง

​​​​   ​​​​มีผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ปลายเตียง เจ้าตัวถือกระเป๋าในมือเอาไว้แล้วทำท่าเหมือนไม่คิดว่าจะมีใครตื่นขึ้นมาเจอ

​​​​   ​​​​“เค้าแค่จะมาเอาของไปอาบน้ำข้างนอกอ่ะ ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ เธอนอนต่อเลย”
​​​​   ​​​​“มึงตื่นไวจังวะ” มือปิดปากตอนหาว ยีศีรษะไปมาเพื่อให้ผมอยู่ทรง
​​​​   ​​​​“ไอ้เตเรียกไปกินข้าวอ่ะดิ หิวจะตายอยู่แล้ว”
​​​​   ​​​​“ตื่นกันหมดแล้วหรอ?”
​​​​   ​​​​“เพื่อนเค้าตื่นแล้ว เหลือเพื่อนเธอ”
​​​​   ​​​​“อืออ”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวเก็บของพลางตอบคำถาม ผมตั้งสติโดยการลุกนั่งแล้วมองอีกฝ่ายที่เดินไปมาในห้องอย่างถือวิสาสะ

​​​​   ​​​​และเมื่อจ้องนานเข้า ผมก็เพิ่งรู้ว่าม่านมันเป็นคนที่มีแรงดึงดูดให้เข้าหาอยู่ไม่น้อย

​​​​   ​​​​เส้นผมที่เริ่มยาวจนปรกตา ต่างหูข้างซ้ายที่เจ้าตัวสวมใส่ แหวนอีกสองสามวงที่ประดับเอาไว้อยู่ตลอด แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าเรียบๆแค่ชุดผ้าฝ้าย แต่เมื่อทุกอย่างบนตัวเจ้าของรวมกันมันก็ขับทำให้ม่านดูมีเสน่ห์ขึ้นหลายเท่า

​​​​   ​​​​“ทำไมพี่ปัทถ์ถึงมานอนนี่ได้เนี่ย”
​​​​   ​​​​“ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นมาก็เห็นมันแล้ว”

​​​​   ​​​​คนตัวสูงส่ายหัวไปมาเพราะเอือมระอากับรุ่นพี่ที่อายุมากกว่า มันคงจะเห็นจนชินแล้วว่าพฤติกรรมหลังกินของพวกผมเป็นยังไง ก็คงมีอยู่ไม่กี่อย่าง

​​​​   ​​​​เละ
​​​​   ​​​​ดูไม่ได้
​​​​   ​​​​และเหมือนตายมาแล้วหลายปี

​​​​   ​​​​ผมลุกขึ้น หวังจะเก็บของแล้วกลับไปยังห้องตัวเองที่อยู่ชั้นบนเพื่อให้เจ้าของห้องที่แท้จริงได้ทำธุระตามสะดวก แต่เมื่อกำลังจะผ่านใครบางคนที่ยืนรออยู่หน้าประตู เสียงล้อของเขาก็ดังขัดจังหวะจนไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้

​​​​   ​​​​“ใส่ชุดใครมาหรอครับคุณครับ น่ารักเชียว”

​​​​   ​​​​ม่านอมยิ้ม กอดอกเมื่อพิงกับกำแพงด้านข้าง ผมใช้สายตาเหล่มอง ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงคิดจะเดินหนีไปและไม่สนใจเจ้าตัว แต่เขาก็ทำให้ผมต้องหยุดเท้าเอาไว้อีกรอบ

​​​​   ​​​​จากประโยคที่ตั้งใจให้มีความหมายกำกวมเพื่อเล่นงาน

​​​​   ​​​​“ชุดแฟนรึเปล่าน้าา”

​​​​   ​​​​เขายังยิ้มอยู่ตลอด จนเมื่อตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้เจ้าตัวถึงได้เดินถอยหลัง พร้อมกับเอนไปตามแรงผลักศีรษะจากมือของคนที่ยังโดนล้อไม่เลิก

​​​​   ​​​​ผลัก!

​​​​   ​​​​“อย่ามาเยอะ”
​​​​   ​​​​“ฮ่าๆ”
​​​​   ​​​​“มึงนี่มัน...”

​​​​   ​​​​ความอดทนที่อยู่ในใจมันเริ่มจะหมดลงไปทีละนิด ผมรู้สึกได้ถึงหน้าของตัวเองที่กำลังร้อนผ่าว มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนถึงแม้จะโดนหนักมากแค่ไหน

​​​​   ​​​​คงเพราะครั้งนี้ผมใส่เสื้อผ้าของเขา
​​​​   ​​​​และเมื่อคืนเราก็อยู่ด้วยกัน

​​​​   ​​​​แบบนั้นล่ะมั้ง

​​​​   ​​​​คำว่า ‘แฟน’ มันเลยตกกระทบอย่างแรงจนเกิดเสียงก้องภายในใจ

​​​​   ​​​​“ไม่เห็นตอบเลย”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ชุดแฟนแน่ๆแบบนี้”

​​​​   ​​​​เขาตะโกนตามหลังเมื่อผมขึ้นบันไดมายังด้านบน และก่อนที่จะหายไปยังมุมหนึ่งจนลับสายตา ผมก็รีบตะโกนตอบกลับและได้ยินเสียงหัวเราะดังตามหลังมาอีก

​​​​   ​​​​“ชุดหมาแถวนี้เหอะ!!”

​​​​   ​​​​แต่ทำไมมันถึงชอบใจนักก็ไม่รู้!









,











​​​​   ​​​​เพราะการนอนน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้ผมง่วงอย่างหนัก หลังจากที่ได้สัญญาณให้ขึ้นรถก็รีบจัดของเพื่อเตรียมนอนระหว่างทางกลับในทันที เพื่อนคนอื่นๆ เดินขึ้นมาประจำที่บ้างแล้ว ส่วนบางคนก็ยังหาซื้อของฝากและจับกลุ่มยืนคุยกันเพื่อรอเวลาออกรถในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

​​​​   ​​​​อาการหาวที่เกิดขึ้นด้วยความถี่สามครั้งต่อหนึ่งนาทีเป็นเครื่องบ่งบอกอย่างดีว่าผมเริ่มไม่ไหว สุดท้ายเลยตัดสินใจเอนไปด้านหลัง หลับตาลงแน่นไม่สนว่าใครจะทำอะไรต่อจากนี้ ขอเพียงแค่ตัวเองได้นอนตามที่ร่างกายโหยหาก็พอ

​​​​   ​​​​ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้กว่าที่ผมจะรู้สึกตัว ภาพวิวด้านข้างเคลื่อนไหวไปตามความเร็วที่รถวิ่งผ่าน ไม่ใช่เพราะการเคลื่อนที่ของมันที่ทำให้ตื่นหรอก แต่เป็นน้ำหนักบางอย่างที่อยู่บนไหล่ผมต่างหาก

​​​​   ​​​​ศีรษะเขาเอียงมาทางนี้อย่างจงใจ มือสองข้างกอดตุ๊กตาหมีตัวเดิมเอาไว้แน่นคล้ายกับหวงแหนเป็นอย่างมาก ผมไล่สายตาไปตามใบหน้าคมคาย จากเส้นผมสีดำขลับลงไปยังปลายจมูก รวมถึงริมฝีปากที่เข้ากับโครงหน้าได้รูป และสุดท้ายหยุดอยู่ที่ขนตา

​​​​   ​​​​อันที่จริงผมไม่เคยมองเขาใกล้ขนาดนี้มาก่อน ใกล้สุดคงจะเป็นตอนที่เรานั่งเล่นเกมด้วยกันเมื่อสิบชั่วโมงที่ผ่านมา พอระยะที่ใกล้สายตาเลยเห็นไปถึงผิวเนื้อของเจ้าตัวแจ่มชัด  มันไม่ได้เรียบเนียนไปซะทุกส่วน ม่านมีรอยสิวนิดหน่อยตรงข้างแก้ม และเหมือนจะมีรอยแผลเป็นเล็กน้อยบริเวณปลายคิ้ว

​​​​   ​​​​ผมละจากการสำรวจเพราะเห็นสายตาของเพื่อนที่มองมา มันทำท่าทางคล้ายกับมีมีดปาดที่ลำคอ เป็นการบ่งบอกว่าแผนการนี้สำเร็จและเป็นไปตามเป้าหมาย

​​​​   ​​​​“ม่าน” การปลุกครั้งแรกไม่ได้ผล ครั้งที่สองเลยตามมาติดๆ “ม่าน”

​​​​   ​​​​ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้สึกตัวเพราะเสียงดังรอบข้าง ผมเลยตัดสินใจเลื่อนมือไปเขย่าแขนเจ้าตัวเบาๆ จากนั้นคนที่หลับพริ้มก็ตื่นแล้วกลับไปนั่งพิงเบาะตัวตรง

​​​​   ​​​​“อ่า...โทษทีครับ”

​​​​   ​​​​เขาพูดพร้อมกับใช้มือเสยผมไปด้านหลัง ผมเลยถามถึงที่มาที่ไปว่าทำไมไม่ใช่ไอ้ฮั่นที่อยู่ตรงนี้

​​​​   ​​​​“มึงมานั่งนี่ได้ไง?”
​​​​   ​​​​“ก็เพื่อนเธอบอกให้นั่ง”
​​​​   ​​​​“ฮั่นล่ะ?”
​​​​   ​​​​“อยู่ข้างหลัง”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“พี่ฮั่นนั่นแหละที่บอกให้เค้ามานั่งกับเธอ”

​​​​   ​​​​คำตอบที่ส่งมาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ รู้อยู่แล้วว่ายังไงพวกเพื่อนก็เชียร์ไอ้เด็กคนนี้สุดใจแบบที่เป็นมาตลอด ไม่รู้ว่าไปเห็นอะไรดีของมันเข้าหรือเปล่า ถึงได้เอาอกเอาใจและไม่ปิดกั้นแบบคนอื่นๆที่มักเข้ามา

​​​​   ​​​​คนนี้ถึงได้อยู่นานกว่า
​​​​   ​​​​และเป็นนักปีนผาที่เดินทางไกลจนไม่สามารถบันทึกสถิติได้อีกแล้ว

​​​​   ​​​​“เมื่อยมั้ย?” ม่านเอียงมอง คงรู้สึกผิดไม่น้อยที่พิงไหล่ผมโดยไม่รู้ตัว

​​​​   ​​​​คำตอบที่ส่งไปเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ ผมหันไปมองวิวข้างทาง แต่ก็ได้รับการสะกิดเรียกจากคนด้านข้างให้หันกลับไป แอร์พอร์ดหนึ่งข้างถูกแบ่งมาให้และเจ้าของมันก็ถือวิสาสะใส่ไว้แนบใบหู ม่านไม่รอช้าเมื่อเขาใช้มือกดเลื่อนหน้าจอเพื่อเลือกเพลง

​​​​   ​​​​และไม่นาน เสียงดนตรีก็เริ่มขึ้น
​​​​   ​​​​เป็นดนตรีที่บรรเลงบทเพลงที่ผมเคยฟังมาแล้วก่อนหน้า

​​​​   ​​​​เนื้อหาของมันทำให้ต้องหันไปมองทางอื่น แต่แล้วก็ต้องยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นเมื่อเห็นแจ้งเตือนที่ปรากฏบนหน้าจอ

​​​​   ​​​​มันมาจากคนด้านข้างเช่นกัน
​​​​   ​​​​ผมเห็นม่านกำลังพิมพ์อะไรส่งมาอีกต่อจากนั้น

​​​​
เค้ามีแข่งอีกแมทช์อาทิตย์หน้า : AMAN
ถ้าเค้าชนะ : AMAN


read

เค้าขอเธอไปเดทกันอีกรอบได้มั้ย? : AMAN


​​​​   ​​​​ผมอ่านข้อความเดิมอยู่หลายรอบ ปล่อยให้เวลาผ่านเนิ่นนานจนม่านต้องหันไปทางอื่น มันคงจะลุ้นอยู่เหมือนกันว่าผมจะตอบกลับไปว่ายังไง เพราะรอบนี้ถ้าผมตอบว่าไม่

​​​​   ​​​​เขาก็คงจะเสียใจอยู่ไม่น้อย

​​​​   ​​​​เพราะมันดูเหมือนให้ความหวังแล้วจากไปเหมือนรอบก่อนๆ


​​​​   ​​​​ประโยคของผมถูกพิมพ์แล้วลบอยู่อย่างนั้น อันที่จริงมันเป็นประโยคเดียวทุกรอบที่พิมพ์ด้วยซ้ำ แต่ผมกลับไม่กล้ากดส่งไปให้เจ้าตัวได้รับรู้

​​​​   ​​​​Pha : อืม

​​​​   ​​​​สุดท้ายผมก็ตัดสินใจก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง
​​​​   ​​​​แล้วบอกคำตอบที่เก็บไว้ให้อีกฝ่าย

​​​​   ​​​​Pha : ถ้าชนะนะ

​​​​   ​​​​แก้มของอีกคนยกขึ้น ผมมองเห็นจากทางด้านข้างแม้เขาจะยังไม่หันมามอง

ครับ : AMAN
อืม : AMAN
โว้ยย5555555 : AMAN


​​​​   ​​​​เพราะแบบนั้นแหละมั้ง ผมถึงได้กล้าอมยิ้มแล้วหันไปทางอื่นเหมือนกันเพราะรู้ว่ายังไงเขาก็ไม่เห็น





​​​​   ​​​​พร้อมกับภาพวิวที่ผ่าน
​​​​   ​​​​พร้อมกับคนนั่งด้านข้าง

​​​​   ​​​​และพร้อมกับเพลงเดิมที่วนซ้ำมันไปมา





​​​​   ​​​​ข้างกาย - safeplanet
















#ผาเพียงฟ้า

เรื่องนี้หยิบเพลงที่เราชอบมาแต่งเยอะมาก
หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนกันนะคะ :-)


22/9/19
before30october

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2019 03:11:37 โดย before30october »

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชนะให้ได้นะเจ้าม่าน จะได้ไปเดทซักที ตอนนี้น่ารักดีค่ะ มันดีที่ผาก็เริ่มยอมรับใจตัวเองแล้วก็ไม่ได้ปิดกั้นม่าน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องชมชาวแก๊งและคนวางแผนทั้งหลายสินะคะ สร้างโอกาสเก่ง ชงเก่ง ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจค่ะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ม่านสู้ๆพิชิตหน้าผ้านี้มาให้ได้น้าา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด