พิมพ์หน้านี้ - ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: before30october ที่ 04-07-2019 22:00:21

หัวข้อ: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 04-07-2019 22:00:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




__________




ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


And smiles turn into laughs
and laughs turn into kisses-
and before you know it,
the days turn into weeks-
and weeks into months.

And you'll find yourself
forgetting what it was like
before they were in your life.
                                 
j.a





สารบัญ
 1 | don't smile like that (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg3987362#msg3987362)
 2 | the hardest climb (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg3987968#msg3987968)
 3 | How to deal with insomnia (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg3989178#msg3989178)
 4 | ILYSB (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg3990185#msg3990185)
 5 | me, you and him (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg3991883#msg3991883)
 6 | can you take me home? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg3995358#msg3995358)
 7 | I'm not lying (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4001510#msg4001510)
 8 | you came into my heart, really fast (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4002013#msg4002013)
 9 | keep it secret!!! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4002293#msg4002293)
 10 | I don't know how hurt I am until someone was kind to me (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4002440#msg4002440)
 11 | an endless beach f. you (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4002985#msg4002985)
 12| I will be a good guy, I promise (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4003038#msg4003038)
 13 | 4 minutes, 17 seconds (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4004248#msg4004248)
 14 | p.s. tomorrow 10 am (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4004714#msg4004714)
 15 | and then autumn kill spring with his hug (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4004955#msg4004955)
 16 | rainstroms, earthquakes or blackouts (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4005726#msg4005726)
 17 | Maybe I miss you (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4006883#msg4006883)
 18 | that kind of smile (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4007054#msg4007054)
 19 | your laugh, your smile and your kiss (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4007746#msg4007746)
 20 | and my words are as timed as the beating in my chest 50% แรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4011466#msg4011466)
 20 | and my words are as timed as the beating in my chest 50% หลัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4011757#msg4011757)
 21 | I feel so safe when I'm with you 50% แรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4013335#msg4013335)
 21 | I feel so safe when I'm with you 50% หลัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4014565#msg4014565)
 22 | Falling Slowly 50% แรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4014951#msg4014951)
 22 | Falling Slowly 50% หลัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4015142#msg4015142)
 23 | Said "I'm fine", but it wasn't true 50% แรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4017816#msg4017816)
 23 | Said "I'm fine", but it wasn't true 50% หลัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4018828#msg4018828)
 24 | And then I said "yes" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4018907#msg4018907)
 25 | something only we know (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4019364#msg4019364)
 26 | "I LOVE YOU" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4022596#msg4022596)
 27 | you feel like home and everywhere i've never been  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4024121#msg4024121)
 28 | you've got daddy issues and i love it too  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4024772#msg4024772)
 29 | here, there and everywhere 50% แรก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4026155#msg4026155)
 29 | here, there and everywhere 50% หลัง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4027099#msg4027099)
 30 | a drunk man never tell a lie  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70632.msg4028778#msg4028778)













before30october


Other
◑ คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68842.0)
ʕ·ᴥ·ʔ พ ร ะ เ พ ลิ ง แ พ้ พ่ า ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71675.msg4028497#msg4028497)




หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 | don't smile like that P.1 (4/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 04-07-2019 22:12:52


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


1

don't smile like that


_________



   เป็นเพราะว่า ‘เขา’ เป็นน้องรักของเพื่อนในกลุ่มผม
   และ ‘ผม’ เป็นเพื่อนสนิทของพี่ที่เขารู้จัก

   เลยทำให้โลกของ ‘เรา’ บังเอิญโคจรซ้อนทับกันอยู่บ่อยๆ
   .
   .
   .

   “เรียกไอ้ม่านมาดิ”
   ใครสักคนในกลุ่มพูดพลางจ้องมองไปยังเจ้าของชื่อที่ยืนคุยกับเพื่อนอยู่อย่างออกรส

   จังหวะที่ลมพัดผ่าน ผมละสายตาจากแผ่นกระดาษบนโต๊ะแล้วมองตาม อันที่จริงแล้วตัวเองไม่ค่อยเห็นความจำเป็นที่จะต้องเรียกเขาด้วยซ้ำ
   เพราะโดยปกติแล้ว—

   “นั่นไง มันมานู่นละ”

   —เขาก็มักจะเข้ามาอยู่ในวงโคจรของผมซ้ำๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร

   “ขอตัวดิพี่”
   คนอายุน้อยกว่ายื่นมือไปข้างหน้าหลังจากพูดจบ เหมือนเป็นที่รู้กันดีว่าคำพูดที่สื่อออกไปมันหมายความว่ายังไงในเมื่อเรานั่งบนม้านั่งของบริเวณพื้นที่สูบบุหรี่

   ฮั่นเป็นคนที่หยิบยื่นให้เขาในทันทีหลังจากคำร้องขอ ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของคนทั้งห้าที่นั่งร่วมกัน รวมทั้งผมด้วยอีกคน
   คนในชุดนักศึกษาล้วงไฟแช็กจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังขึ้นจุด หมุนฟันเฟืองของมันเกือบรอบให้เปลวไฟจุดติดบริเวณก้าน สูดเอาความหอมหวานของนิโคตินเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยร่องรอยการเผาไหม้ให้ลอยขึ้นสูง

   ผมเหลือบมองอยู่สักพักก่อนจะตั้งใจอ่านข้อความในเนื้อหาบนกระดาษแผ่นเดิมต่อ

   แต่มันกลับไม่เป็นดังหวัง
   เมื่อเสียงเรียกดังแทรกเข้ามาจนต้องละความสนใจทั้งหมด

   “ขยันแบบนี้ตลอดเลยเปล่า?”

   น้ำเสียงของเขายังยียวนกวนประสาทเช่นเดิม บวกกับรอยยิ้มมุมปากหลังจากยกก้านบุหรี่ออกนั่นมันทำให้ผมได้แต่ทำหน้านิ่งตอบรับ
   หลายคนบอกว่ามันดูหยิ่ง

   แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่

   “อารมณ์ไม่ดีหรอ?”
   เสียงเขาเปลี่ยนเป็นกระซิบ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถเล็ดลอดจากความเอาใจใส่ของเพื่อนในกลุ่มไปได้
   มีหนึ่งคนจ้องมา อีกสองยิ้มขำ ส่วนคนอื่นๆ ก็เล่นโทรศัพท์แต่เงี่ยหูฟังอย่างแน่นอน

   “เปล่า”

   “ก็ดูทำหน้าดิ”

   ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มองไอ้คนที่ใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาไม่ละไปไหน เราสบตากันอยู่นานก่อนที่ตัวเองจะปฏิเสธออกไปอีกรอบ

   “แค่ไม่ได้ยิ้มนี่ถือว่าอารมณ์ไม่ดีเลยหรอ?”

   อีกฝ่ายยักไหล่ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบบุหรี่ครึ่งมวนเอาไว้แล้วเท้าแขนไปด้านหลัง
   แถมการกระทำเหล่านั้นเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่สะลายตาไปเลยสักนิด

   “เปล่า”

   คราวนี้อีกคนตอบปฏิเสธ ผมรู้สึกงุนงงจึงไม่พยายามหาคำตอบจากเขาอีก อาจจะเพราะชินกับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นเป็นอย่างดีจึงไม่อยากเท้าความต่อ

   “ก็ปกติเธอยิ้ม”

   เพราะสรรพนามที่ถูกเรียกมันทำให้ผมชะงัก
   และแน่นอน
มีสี่คนจ้องมา หนึ่งคนยิ้มขำ เจ้าตัวการแลบลิ้นคล้ายกำลังแอบขัดเขิน

   โห
   รอบนี้มีถึงสี่เลยหรอวะ?

   ผมโน้มตัวไปข้างหน้า เพียงแค่โต๊ะหินอ่อนคั่นไม่ได้เป็นปัญหากับระยะทางของเราทั้งคู่ ก่อนที่จะหยุดลงเมื่อคิ้วของคนตัวสูงเริ่มขมวด

   เราสบตากันอยู่อย่างนั้น
   ก่อนที่ยิ้มหวานจะถูกส่งให้จนใครบางคนใจเต้นรัว   

   “แบบนี้หรอที่อยากได้?”

   บรรยากาศบนโต๊ะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างเห็นได้ชัด เสียงวิ้ดวิ้วดังตามมาก่อนที่จะมีมือตบหลังคนที่นั่งตรงข้ามเบาๆ

   “ยอมรับเหอะว่ามึงแพ้ ฮ่าๆ”

   “สู้ๆ นะครับม่าน”

   “มันหน้าแดงหมดละ”

   ผมส่ายหัวเมื่อได้ยินดังนั้น แอบทำหน้าดุใส่อีกฝ่ายส่งท้ายเพื่อบอกว่าการกวนประสาทของเราจบลงเท่านี้

   แต่ประโยคของคนตรงหน้า

   “แม่ง...”

   ที่มันเอื้อยเอ่ยออกมาในตอนที่มีรอยยิ้มกว้างจนตาปิด เสยผมไปด้านหลังพร้อมกับหัวเราะเบาๆ นั้น

   “โคตรน่ารักเลยว่ะ”

   เพราะประโยคนั้น
   มันทำให้ใจผมเริ่มเต้นรัวบ้างอย่างที่มันเป็นมาตลอด

   เจ้าตัวหันมองไปทางอื่น แอบอมยิ้มเพราะไม่สามารถกลั้นอาการของตัวเองได้ แตกต่างจากผมเองที่ยังคงนิ่ง ไม่ฉายแววว่าดีใจหรือเสียใจหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว




   แต่ใครจะไปรู้
   ว่าคนที่โดนชอบมันก็มีแอบหวั่นไหวบ้างเหมือนกันแหละน่า






   ไอ้เด็กหน้าหมา!
   ใครบอกให้ยิ้มแบบนั้นวะเวลาชมคนอื่น!



   





#ผาเพียงฟ้า

4/7/19
before30october



หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 | don't smile like that P.1 (4/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 07-07-2019 02:08:31


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


2

the hardest climb


_________

bgm : you - zweet n' roll


' อยากให้เธอได้รู้ ฉันแค่ขอเฝ้าดู
ยังไม่ขอเข้าไป อยู่ข้างๆใจเธอ
เก็บช่วงเวลาเอาไว้ เพราะมันทำให้ใจของฉันลอยไป '


_________






   บางครั้ง ผมก็ภาวนาให้คืนวันศุกร์ของตัวเองจบลงที่เตียงนอนหลังใหญ่ เปิดคอมดูเนตฟลิกซ์ไปพร้อมกับผ้าห่มแสนนุ่ม
 
   ​แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเพื่อนๆ ผมมันช่างลดความอยากแอลกอฮอลล์ได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน
 
​   “ได้ข่าวว่าไอ้ทัพมันจีบน้องป่านหรอ?”
 
​   ผู้ชายใส่แว่น หน้าตี๋ เป็นคนเปิดบทสนทนาก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นสูบ หน้าตาเจ้าตัวดูเนิร์ดเข้าไส้แต่ใครจะรู้ว่ามันน่ะเจ้าชู้ตัวพ่อ
 
   ​“ป่านไหนวะนาวา?” คนที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยถามต่อ กอดอกหลังจากวางแก้วที่มีของเหลวอยู่เพียงครึ่ง
 
​   “น้องป่านปีหนึ่งอ่ะ กลุ่มน้องมิค”
   ​“น้องเดือนสาขา?”
​   “เออคนนั้นแหละ”
 
   ​นาวาพยักพเยิดก่อนจะยกบุหรี่มวนเดิมขึ้นดูดอีกรอบ ขยับตัวนั่งให้ได้ท่าที่สบายจนเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายฮาวายที่ปลดกระดุมบนสองเม็ดแหวกบริเวณอก เผยให้เห็นรอยสักที่ติดตัวมาตั้งแต่ที่ผมรู้จักมันครั้งแรก
 
​   ก็บอกแล้ว มันไม่ได้เนิร์ดจริงหรอก
 
   ​“เหอะ อย่างไอ้ทัพ”
 
   ​คนที่นั่งข้างผมสบถในลำคอพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ใช้นิ้วชี้เคาะเถ้าถ่านจากการเผาไหม้ลงบนที่เขี่ยบุหรีสีใส ก่อนจะหันมามองเมื่อรู้สึกได้ว่าโดนจ้องอยู่นาน
 
   ​“อะไร?”
   “เปล่า”
 
​   ผมยักไหล่เป็นการปฏิเสธ เอียงศีรษะรับองศาให้กับควันที่ลอยกรุ่นขึ้นบนฟ้า และในตอนที่ก้มหน้าลงมาดังเก่า เราก็ได้สบตากันโดยบังเอิญ
 
   ​จากผู้ชายที่นั่งตรงนั้น
​   ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้า
   ​แต่มันกลับโดดเด่นในสายตาผมเป็นอย่างมาก
 
   ​เจ้าตัวใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำแบบที่เห็นเป็นประจำนอกจากชุดนักศึกษา แผงอกขาวปะทะเมื่อผ้าพลิ้วไหวไปตามการขยับ มีเครื่องประดับเป็นสร้อยสีเงินสองสามเส้นที่สั้นยาวต่างกันบริเวณลำคอ มันสะท้อนแสงที่มีอยู่อย่างระยิบระยับ และเมื่อบวกกับต่างหูที่เขาเลือกสวมใส่ด้วยแล้ว

   มันก็ทำให้​ผมไม่สามารถละสายตาไปไหนได้อีกเลย
 
   ​เราสบตากันเพียงเสี้ยววิ ก่อนที่รอยยิ้มจะประดับบนใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าในตอนที่หันไปหาเพื่อน
 
   ​และเป็นอีกครั้ง
   ที่เขานั้นเป็นฝ่ายหลบสายตาผมก่อน
   
   ​“ไอ้ม่านก็มาหรอ?”
 
​   บทสนทนาเรื่องชาวบ้านกลับกลายเป็นคำถามของคนสนิท หลังจากนั่งเงียบมานานไอ้ตินก็ร่วมวงด้วยประโยคสั้นๆ ได้ใจความตามที่พูด
 
​   “นั่งอยู่นั่นไง”
​   “มากับแก๊งมันอ่ะดิ”
 
​   ปัทถ์เอ่ยตอบเพราะอยู่ในมุมที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเหมือนกัน เจ้าตัวกอดอกพร้อมกับเอนไปด้านหลัง รับฟังเสียงเพลงที่คลอเคล้าในร้านเหล้าอย่างเพลิดเพลินใจ
 
​   “แต่เพื่อนมึงเนี่ย นานเหลือเกินนะ”
 
   ​เนิร์ดไม่จริงถามหาบุคคลอีกหนึ่งที่หายไปจากในกลุ่ม มองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบแล้วดับไป
 
​   “เอาเหอะ ไอ้เหนือไม่สายงานไหนไม่ใช่มันจริงๆ ว่ะ”
   ​“นินทากูหรอไอ้สัส”
 
​   จู่ๆ คนที่โดนนินทาก็ปรากฏด้านหลัง มันใช้แขนแกร่งรัดคอผมจนไอค่อกแค่กเพราะขาดอากาศ แอบยิ้มเยาะให้กับภาพใบหน้าแหยนั่นก่อนจะนั่งลงด้านข้างอีกฝั่งที่ยังว่างอยู่
 
​   “ไปไหนมา”
​   ผมถามมันพอเป็นพิธี ได้รับคำตอบพร้อมการยักไหล่
   ​“คุยกับแม่”
   ​“แม่ทูนหัวมึงน่ะสิไม่ว่า”
   ​เพี๊ยะ!
   ​“เชี่ย เจ็บบบ”
 
   ​การทะเลาะกันของไม้เบื่อไม้เมาอย่างปัทถ์และเหนือยังดำเนินต่อไปไม่รู้จบโดยมีผมอยู่ตรงกลาง พยายามที่จะไม่สนใจแต่บางครั้งก็อดสวนกลับไปบ้างไม่ได้ ตินมองมาด้วยสายตาเย็นชาเช่นเคย ต่างจากฮั่นและนาวาที่ดูเบื่อเสียเต็มประดาพร้อมกับจิบเหล้ากันไปสองคน
 
​   ยิ่งเวลาผ่านไปนาน รสชาติของแอลกอฮอลล์ก็เริ่มหวานจนเกินจะทานทน
​   แต่มันช่างต่างกับบทเพลงที่ถูกบรรเลงโดยคนสองสามคนเสียอย่างนั้น
 
​   คงจะจริงอย่างที่เขาว่า
​   ยิ่งดึก เพลงก็ยิ่งเคล้าน้ำตาเป็นไหนๆ
 
​   “อ้าวชนๆ”
 
   ​เพื่อนในกลุ่มสะกิดเรียกกันเป็นทอดๆ ผมเปลี่ยนมือที่คีบบุหรี่เป็นด้านขวา ก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมาแล้วยกดื่มจนหยดน้ำไหลรินออกจากริมฝีปาก
 
​   พร้อมกับเริ่มรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างจ้องมาจากทางด้านซ้าย
 
​   อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยคล้ายกับจะเอ่ยถาม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก พยายามใช้แขนเช็ดความสกปรกที่ยังคงอยู่ให้หายไปจนหมด
 
​   “ไงมึง โผล่หน้ามาจนได้นะ”
​   ไอ้เหนือเอ่ยทักเป็นคนแรก คนอายุน้อยกว่าหัวเราะเบาๆ
 
   ​“เพื่อนผมกลับกันหมดแล้วพี่ เลยมาหาเนี่ยแหละ พวกพี่จะกลับกันยัง?”
​   “หมดขวดนี้ก็กลับละเหมือนกัน”
 
​   ม่านพยักหน้าหงึกหงัก รับบุหรี่ที่ยื่นให้จากไอ้ปัทถ์แล้วหยิบไฟแช็กของมันจ่อบริเวณปลาย และก่อนที่เปลวไฟจะสว่างวาบ มันมองหน้าผมอีกครั้งคล้ายกับมีคำถามที่ไม่ได้เอ่ยออกมา
 
​   เจ้าตัวยังนิ่ง นิ้วชี้และนิ้วกลางยังหนีบก้านสีขาวเอาไว้มั่น
​   เมื่อไม่เห็นว่าผมจะสนใจ อีกฝ่ายก็เอียงหน้าลงอีกครั้งเพื่อขอคำตอบ
 
   ทั้งๆที่ไม่ต้องขอด้วยซ้ำ
   แต่ทำไมมันก็ยังจะทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ

​   “อืม”
 
   ​คำอนุญาตที่ส่งออกไปเพียงแผ่วเบาถูกตอบรับเป็นเสียง แชะ! ที่ดังตามมาติดๆ ถึงแม้จะเป็นสถานการณ์ที่ดูแปลกไปนิด แต่ผมก็ชินชากับมันแล้วจริงๆ
 
   ​ม่านมันก็เป็นแบบนี้
   ​ไม่พูดมาก ไม่ถามย้ำ และไม่ทำให้เขาอึดอัดกับความสัมพันธ์ที่มันเป็นฝ่ายเริ่ม

   บรรยากาศยามเลิกร้านเงียบลงเป็นอย่างมาก เรื่องราวบนโต๊ะไหลลื่นไปหลายทาง ทั้งเรื่องชาวบ้าน เรื่องงานของมหาลัย หรือแม้แต่เรื่องเซ็กส์ของชายหนุ่มวัยอยากรู้อยากลอง
 
​   “กูไปก่อนนะ”

​   บุคคลที่เงียบที่สุดในโต๊ะบอกลาพร้อมกับใช้มือล้วงกระเป๋า เรายกมือทักทายเล็กน้อย

   เมื่อคนที่นั่งคั่นลุกออกไปจากตรงนั้น ก่อนที่เจ้าของเสื้อเชิ้ตสีดำก็เอ่ยถามผมย้ำด้วยความเป็นห่วง
 
​   “แล้วเธอล่ะ...”
​   “…”
   ​“จะกลับไง?”
 
   เขาเลื่อนมือที่ถือบุหรี่ไปไว้อีกข้าง ใช้มือปัดเพื่อทำลายล้างสิ่งที่อยู่ในอากาศไปมา กลัวว่าควันที่มันลอยต่ำจะทำอันตรายต่อผม

   ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นอีกนั่นแหละ
 
​   “คงกลับกับฮั่น”
   ​“ไม่ได้เอารถมาหรอ?”
​   “ขี้เกียจขับ”
 
​   อีกฝ่ายเงียบไปนานคล้ายกำลังชั่งใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะถามมาอีกครั้ง
​   และครั้งนี้ มันก็เป็นคำของ่ายๆ ที่ทำเอาผมชะงักไปชั่วครู่
 
​   “ให้เค้าไปส่งได้มั้ย?”
 
​   ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะร้องขอ เพราะเจ้าตัวเองก็รู้ว่าผมมักจะปฏิเสธความหวังดีจากเขาอยู่เสมอ
 

   ผมไม่ได้อยากใจร้าย
   และผมก็ไม่ได้อยากเลี้ยงไข้ความชอบของใครที่ส่งมา

   กลัวว่าสักวันหนึ่งถ้าเราเรียนรู้กันแล้วมันไม่ใช่
   คนที่จะเจ็บปวดให้กับความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น


   จะเป็นเขาเอง




   ​ริมฝีปากบางเม้มแน่น สายตายังสบกับเจ้าของคนพูดที่มองอยู่อย่างมีความหวัง ผมเบือนหน้าไปอีกทาง ดูดบุหรี่ที่เกือบจะหมดก้านอยู่รอมร่อแล้วดับมันลงอย่างเชื่องช้า
 
   ​พร้อมกับความคิดในหัวที่ตีกันไปมาอย่างหนัก
 
​   “ให้น้องมันไปส่งเหอะ”
 
   ​และเป็นฮั่นที่เข้ามาขัดจังหวะในตอนที่สับสน
 
   ​ผมมองหน้ามันแน่นิ่ง ไม่รู้ทำไมถึงได้พูดแบบนั้นออกมา แต่พอจะเข้าใจได้ว่าคงจะเอ็นดูปนกับสงสารเด็กที่ตามวอแวผมมาสักพักแล้วเหมือนกัน
 
​   “เอาน่าผา คิดมากจังวะ”
 
   ​มันเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับผลักหัวเขาไปมา แรงที่ส่งให้ทำเอาต้องเอนไปด้านหลังจนเกือบเซ แต่ดีที่ยั้งตัวไว้ทันจึงกลับมานั่งท่าเดิมได้
 
​   “อืม”




​   “คือ?”
 
​   อีกฝ่ายแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะเสยผมไปด้านหลัง ท่าทางเหล่านั้นมันเด่นชัดว่ากำลังประหม่า
 
​   “ก็ไปส่งไง”

 
 



 
 
   ​,

   
​   เสียงเพลงบนรถช่วยผ่อนคลายความอึดอัดไปได้มากระหว่างที่อยู่บนท้องถนน แสงไฟเปลี่ยนจากสีแดงเป็นเขียวเพื่อเป็นสัญญาณให้รถวิ่งผ่าน ความเร็วที่อีกคนใช้ไม่มากนัก พอจะทำให้ผมโล่งใจอยู่บ้างว่าม่านไม่ได้ดื่มมากจนไม่มีสติ
 
​   “กินเยอะไหมวันนี้?”
 
​   บทสนทนาของเราเริ่มต้นขึ้นด้วยประโยคง่ายๆ ผมเป็นฝ่ายถาม และคนที่นั่งหลังพวงมาลัยนั้นก็ตอบกลับอย่างแผ่วเบา
 
   ​“นิดนึง วันนี้วันเกิดไอ้เตมันเลยเลี่ยงไม่ได้”
​   “เมาแล้วอย่าขับรถล่ะ” ผมเอ็ด ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเจ้าตัวคลอเคลียอยู่ตลอด
   ​“ถ้าเมาก็ไม่กล้าขับมาส่งหรอก”
​   “…”
​   “แล้วเธอล่ะ?”
   ​“ไม่เมา กินไปนิดเดียว”
​   “อืม ——ดีแล้ว”
​   “…”
​   “จะได้ไม่ห่วง”
 
   ​คำว่าห่วงของมันทำเอาผมคิ้วขมวดเล็กน้อย จังหวะที่เป็นปกติตรงอกข้างซ้ายกระตุกจนหวั่นใจ

   อาจเพราะเจ้าของประโยคพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความหวือหวาซ่อนอยู่ ไม่ได้มีบรรยากาศแสนโรแมนติกโดยรอบ

   แค่พูดคำที่อยู่ในใจออกมาอย่างง่ายๆ

   แต่บ่งบอกได้ทางน้ำเสียงว่ากำลังจริงจัง
 


​   เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักจนกว่ารถจะจอดเทียบท่าที่ฟุตบาท แสงไฟสีส้มส่องเป็นทางลอดผ่านกระจก มองเห็นใบหน้าคนด้านข้างที่ยังไม่ละสายตาจากท้องถนน มือข้างหนึ่งพาดไปยังพวงมาลัย ไม่ได้ดับเครื่องยนต์แต่อย่างใดทั้งนั้น
 
   ​ความอ้อยอิ่งเกิดขึ้นจนผมเองเกิดทนไม่ไหว เลื่อนมือปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อเตรียมตัวลงจากรถ
 
   ​“เดี๋ยวสิ”
 
   ​แต่ก็ถูกรั้งไว้จากคนข้างกายที่ยังนั่งนิ่ง

   มือแกร่งสัมผัสเพียงแผ่วเบาที่ต้นแขนเพื่อรั้ง ผละมันออกอย่างรวดเร็วคล้ายรู้ว่ากำลังลำเส้น

   และดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เจ้าตัวแตะต้องเขา

   ​“…”
   ​“…”
 
​   “มีอะไร?” ถามด้วยความสงสัย เห็นอีกฝ่ายเอนตัวพิงกับเบาะพร้อมกับถอนหายใจออกมา

   “...”
   “...”
   “ม่าน?”
 
   ​“เปล่าหรอก”
​   “…”
​   “แค่อยากอยู่กับเธอให้นานกว่านี้อีกหน่อย”
   “...”




   “แค่นั้นเอง”



   ​รอยยิ้มปรากฏจนทำให้ดวงตาคู่นั้นยิ้มตามไปด้วย เจ้าตัวมองผมก่อนจะเบือนไปทางเก่าคล้ายอยากจะเก็บช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด

   รอยยิ้มเริ่มหายไป เหลือเพียงเศษเสี้ยวความสุขที่หลงเหลือบนใบหน้า

 
   ​และผมเองก็เข้าใจ
   เวลาที่ชอบใครมากๆ เราก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับเขาให้เนิ่นนานเช่นกัน



   ผมไม่เคยตอบรับความรู้สึกที่เขาให้มาเลยสักครั้ง
   แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมองผ่านสิ่งที่เขาตั้งใจจะมอบให้มาโดยตลอด

   บอกแล้วว่าผมไม่ได้อยากใจร้าย
   แต่ตัวตนของผมตอนนี้มันไม่พร้อมจะรับความหวังดีของใครไว้ได้หรอก
   และก็ไม่อยากให้ใครคนนั้นรับเอาตัวตนของผมมากเกินไปกว่านี้ด้วย




   เป็นแค่คนธรรมดา
   ที่กำแพงในหัวใจสูงลิบลิ่ว



   เป็นหน้าผาที่สูงเพียงฟ้า
   และไม่มีนักปีนเขาคนไหนอดทนต่อความเสี่ยงนี้ได้เลย





   ยกเว้นก็แต่คนด้านข้าง

 
 
   ​“ผา”
 
   ​เสียงเรียกชื่อตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายของวันดังขึ้นในตอนที่เพลงเปลี่ยนคีย์ใหม่
 
   ​“ฝันดีนะ”
 
   ​และผมก็ตอบรับกลับไปเบาๆ อย่างที่เคย
 
   ​“อืม”
 
   ​สายลมของยามดึกพัดผ่านจนทำให้เส้นผมปลิวไสว เท้ารีบก้าวเข้าไปข้างในตึกสูง กดเลขชั้นเพื่อให้ลิฟต์เดินทางไปส่งยังด้านบน
 
 
   ​แต่ในตอนที่นึกถึงช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนหน้า
​   ช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ
   ​ช่วงเวลาที่รู้สึกสบายใจโดยไม่ต้องทำอะไรมาก
   ​มันกลับทำให้ผมก้มลงพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ปรากฏอย่างไม่มีสาเหตุ
 
 
 
 
   ​บางครั้ง
   ​ความธรรมดาที่ได้รับมันกลับพิเศษในใจใครบางคนเหมือนกันโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยได้รู้






   และหน้าผาที่สูงเพียงฟ้า





   ก็ดูเหมือนมันจะค่อยๆ พังลงมาทีละนิด












   





#ผาเพียงฟ้า

พอฟังเพลงนี้พล็อตก็ขึ้นมาทันทีเลย
ลองไปฟังกันได้นะคะ
เป็นเพลงใหม่ของ zweet n' roll ที่เราชอบมากๆ อีกแล้ว

7/7/19
before30october



หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 | the hardest climb P.1 (7/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 07-07-2019 02:27:13
ฮือออออออ ดีมากกกกกกก รอต้ดตามนะะะะ
หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 | the hardest climb P.1 (7/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 11-07-2019 21:38:06


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


3

How to deal with insomnia


_________

bgm : หนีห่าง - เขียนไขและวาณิชย์


' ใจเธอยังคงสับสน
อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนึง
คอยหมุนผ่านไป
รอบกายฉัน '


_________




   สองสามวันมานี้ผมสังเกตเห็นความผิดปกติในห้องขนาดเล็กของตัวเองที่อาศัยอยู่ รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่มันเปลี่ยนไปคล้ายกับมีใครบางคนอยู่ข้างๆ

   ผมไม่ได้สนใจมันมากนัก ถึงแม้จะเป็นสิ่งลี้ลับก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวอยู่แล้ว แค่ใช้ชีวิตตามปกติไม่มาเบียดเบียนโลกของกันและกันก็จะขอบคุณมาก

   แต่วันนี้มันกลับแตกต่างไปจากเดิม

   ผมรู้สึกได้ว่ามันชัดเจนขึ้นจากหลายวันก่อน คล้ายกับมีคนจ้องมองผมในตอนที่นอนบนเตียงหลังใหญ่ เวลาทำอะไรก็เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่เคยเป็น

   มันชัดเจนขึ้น

   มากขึ้นเรื่อยๆ

   จนในวินาทีที่ผมทนไม่ไหวถึงกับต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ แสงไฟริบหรี่ในห้องก็กะพริบปริบตามจังหวะการเดิน ผมพยายามมองไปรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็มาหยุดยืนอยู่มุมหนึ่งที่มีสวิตช์ไฟฝังอยู่จนได้

   จากนั้น มือก็เอื้อมไปสลับขั้วให้แสงสว่างเริ่มต้นทำงานในห้องน้ำขนาดเล็ก

   พรึบ!

   และผมก็ได้เห็นบางอย่างผ่านช่องประตูที่แง้มไว้อยู่เล็กน้อย

   มันเป็นสีแดง
   หยดไหลบนผนังไปตามแรงโน้มถ่วงที่ดึงดูดลงเบื้องล่าง เสียงตอนกระทบกับแอ่งน้ำที่เจิ่งนองบนพื้นดัง

   แหมะ!

   ติดต่อกันอย่างแผ่วเบา

   แถมสิ่งเหล่านั้นยังกระเด็นไปทั่วเท่าที่สังเกตได้จากสายตา

   พรึบ!!


   หัวใจผมเต้นแรง
   ไม่รู้ว่าชั่วหรือดีที่กำลังจะเกิดแต่มือก็รีบคว้าเอาอาวุธที่คิดว่าพอจะป้องกันตัวได้ แท่งเหล็กแข็งที่ถือไว้มาจากไหนไม่ทราบ ผมไม่อยากจะหาคำตอบของมันเพราะใจจดจ่ออยู่ในห้องน้ำที่มืดสนิท

   ก่อนจะกลั้นหายใจเพื่อเปิดสวิตช์ไฟอีกที

   พรึบ!!

   ภาพที่เห็นคราวนี้แตกต่างจากเดิม ดวงตาเบิกขึ้นเพราะตกใจกับความพริ้วไหวของผ้าสีน้ำเงินเข้ม มากกว่านั้นยังมีมือปริศนาโผล่ออกมากลางอากาศ กำลังหยิบจับอะไรสักอย่างอยู่ด้านใน มันเคลื่อนไหวไปมาราวกับไม่ทันได้สังเกตว่าเขาอยู่ตรงนี้

   แอ๊ดด…

   และในวินาทีที่แทบจะหยุดหายใจ เสียงประตูที่เปิดเอาไว้ก็ดังลากยาว

   สิ่งมีชีวิตด้านในหยุดชะงัก ไม่ต่างจากผมที่ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นว่ามันค่อยๆเคลื่อนที่มาทางนี้อย่างรวดเร็ว

   เงาดำทาบทับแทนภาพตรงหน้า

   ประตูห้องน้ำเปิดออกอย่างแรง


   พร้อมกับอะไรบางอย่างที่พุ่งมาทางเขาและㅡ


   เฮือกก!!!




   เสียงหอบหายใจดังเป็นจังหวะเดียวกันกับการเคลื่อนที่ขึ้นลงของหน้าอก เหงื่อผมผุดขึ้นทั่วตัว คงเป็นปฏิกิริยาตอบรับเมื่อมีอาการกลัวอย่างหนักกับสิ่งที่เกิด

   ให้ตาย


   ผมฝันร้ายอีกแล้ว


   ดวงตาทั้งสองข้างหลับลงแน่น มองหน้าจอโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองกว่าๆ จึงเอื้อมมือไปเปิดไฟให้สว่างก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า

   เพราะถึงให้นอนต่อ ผมก็นอนไม่หลับอยู่ดี


   โดยปกติแล้วผมไม่ใช่คนช่างฝัน เป็นประเภทนอนหลับลึกและไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกสักเท่าไหร่ ถ้าไม่มีฝันร้ายนั้นเข้าเล่นงาน เช้าที่สดใสคงจะเดินทางมาถึงในอีกไม่ช้า

   ฝันร้ายที่ว่ามันคือฝันร้ายของคนไม่ช่างฝัน
   และมันคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

   ผมพยายามเปิดโทรทัศน์ให้เสียงของมันอยู่เป็นเพื่อนยามเหงา แม้จะไม่ได้เบนสายตาไปเพราะในมือเอาแต่ไถโทรศัพท์ขึ้นลงเพื่อหาความสนุกจากโซเชียลเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น การที่รู้สึกว่าห้องไม่เงียบเกินไปก็เป็นอะไรที่ไม่เลวนัก

   โซฟาในห้องนั่งเล่นรองรับร่างที่โถมลงไปอย่างแรง ผมเปิดแอปพลิเคชันชื่อดังสองสามอัน กดเลื่อนขึ้นๆลงๆอย่างนั้นโดยไม่แสดงความเห็นอะไร จนในตอนที่กำลังนั่งไล่ดูรูปอยู่เพลินๆ เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทก็ดังขึ้นพร้อมกับข้อความพรีวิวที่โชว์เด่นหรา


   
นึกว่านอนไปแล้ว : AMAN


   เป็นม่านนั่นเองที่ทักมาหาในเวลาแบบนี้

   เมื่อรู้ตัวว่าเผลอกดอ่านจนอีกฝ่ายก็น่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของตัวเอง ผมจึงตอบกลับไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท


   Pha : ตกใจตื่น

   
นอนไม่หลับแล้วอ่ะดิ : AMAN


   ความรู้ทันของเขาทำเอาผมเบ้ปาก เปลี่ยนมานอนคว่ำแล้วลงน้ำหนักลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว


   Pha : สงสัยจะเป็นงั้น

   
5555555 : AMAN


   คู่สนทนารัวเลขห้าแบบที่ชอบทำ และผมก็พอจะเห็นภาพว่าถ้าเจ้าตัวยืนตรงหน้าจะทำหน้าทำตาแบบไหน

   ก็คงจะมีรอยยิ้มร่า
   และดวงตาที่หยีลงเป็นเส้นโค้ง


   Pha : ทำไมถึงรู้ว่ากูยังไม่นอน


   คราวนี้ผมถามกลับ เพราะแอบสงสัยเล็กน้อยกับการที่เขาทักมาทั้งๆที่ตัวเองก็แทบไม่ได้ทำอะไรที่โจ่งแจ้งจนรู้ว่ายังตื่นอยู่


   
เห็นแจ้งเตือนในไอจี : AMAN
   
มันขึ้นว่าเธอกำลังเล่นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน : AMAN



   อ่อ


   
เลยทักมาเผื่อไม่ได้นอนจริงๆ : AMAN



   ผมเข้าแอปพลิเคชันที่เขาพูดถึง ลองกดอยู่สองสามครั้งก็รู้ว่ามันขึ้นแบบนั้นกับคนอื่นๆเหมือนกัน

   ข้อความสุดท้ายถูกทิ้งนานไม่มีการตอบรับ ม่านไม่ได้ส่งมาต่อจากนั้น และผมก็ไม่ได้ตอบกลับหลังจากคำถามที่ตัวเองสงสัย

   ถ้าผมส่งกลับไปเพื่อต่อบทสนทนา
   ก็ให้รู้ไว้เพียงว่าไม่มีอะไรทำแล้วจริงๆ


   Pha : แล้วมึงล่ะ?


   Pha : ดึกดื่นป่านนี้ยังจะเล่นอีก



   ตัวอักษรภาษาอังกฤษขนาดเล็กที่อยู่ด้านใต้ข้อความที่ส่งไป ขึ้นเตือนเป็นการบอกว่าอีกฝ่ายเปิดอ่านข้อความนั้นอย่างรวดเร็ว

   และเขาก็ตอบข้อความนั้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน


   
นอนไม่หลับเหมือนกันเนี่ยแหละ : AMAN


   อาจเป็นเพราะความบังเอิญที่หลังจากอีกคนตอบ Instagram Story ก็รันมาเป็น account ของเจ้าตัวอย่างพอดิบพอดี

   ดูจากเวลาการโพสต์แล้วก็ประมาณ 14 นาทีก่อน เป็นรูปภาพโถงรับแขกขนาดเล็ก แสงไฟสีส้มสลัวจนแทบมองไม่เห็นรอบข้าง และมีข้อความสั้นๆที่กำกับไว้มุมหนึ่ง


   ‘ที่นอนคืนนี้ยุงเยอะชิบหาย :/’


   ความสงสัยก่อตัวขึ้นแทบจะทันที แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ปล่อยผ่านและพยายามทำอย่างอื่นเพื่อลบเลือนความรู้สึกดังกล่าว แต่จนแล้วจนเล่าก็ต้องวนเวียนกลับไปดูรูปนั้นอีกรอบ

   ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรืออะไร แต่มันค้างคาใจผมจริงๆ


   Pha : Sent a photo
   Pha : คืออะไร?



   ไม่ถึงเสี้ยววิที่อีกฝ่ายเปิดอ่านข้อความคล้ายกับกำลังรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ

   
ไม่มีอะไรๆ : AMAN
   
อย่าสนใจ555555555 : AMAN

   Pha : กูไม่ชอบคนโกหกนะม่าน


   อาจเป็นเพราะผมเองใช้มาตรการขู่กลับ เจ้าตัวถึงเงียบไปนานแล้วยอมรับมาแต่โดยดี


   
เมทขอยืมห้องอ่ะดิคืนนี้ มันพาแฟนมานอนด้วย555555555 : AMAN


   เพราะใจความที่แฝงอยู่ของมันทำให้ผมเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ผู้ชายพาแฟนขึ้นห้องและถึงขั้นกับขอร้องขนาดนี้ ก็คงจะมีเป้าหมายเพียงไม่กี่ทางพอจะรู้ๆ กัน


   Pha : แล้วทำไมไม่ไปห้องเพื่อนคนอื่น?
   Pha : เต มาร์ท?

   
เตน้องมาหา มาร์ทกลับบ้าน ส่วนคนอื่นๆไม่อยากกวน มันก็มีเมทเหมือนกัน55555555 : AMAN


   คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากันเป็นปม ถึงอีกคนจะดูไม่ได้ใส่ใจอะไรมากจากข้อความที่ยังดูอารมณ์ดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เลิกเป็นห่วง


   อืม
   คงเป็นห่วงนั่นแหละ

   ไม่อยากเห็นมันนอนในที่แบบนั้นจริงๆ


   
ไม่เป็นไรน่า อยู่ได้สบายมาก555555 : AMAN
   เธอจะได้ไม่เหงาด้วยไง : AMAN
   Sent sticker : AMAN


   อีกฝ่ายส่งกลับมา พร้อมกับสติกเกอร์หน้าหมาที่กำลังยิ้ม

   ให้ตาย
   ทำไมไอ้เด็กนี่มันเล่นกับใจคนเก่งจังวะ


   
แล้วเธอจะทำอะไรต่อ? : AMAN
   Pha : ดู Stranger Things
   
ระวังเก็บไปฝัน : AMAN
   Pha : ก็เพราะดูแล้วเก็บไปฝันนี่แหละถึงนอนไม่หลับอยู่นี่ไง
   
น่ารักว่ะ : AMAN
   
555555555555 : AMAN


   เพราะการรัวเลข 5 และข้อความก่อนหน้าของเขา ผมเลยหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมา

   ดูเหมือนผู้พิชิตผาคนนี้จะมีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนอื่นจริงๆ


   Pha : : |
   
นี่เก็บไปฝันจริงดิ?555 : AMAN
   Pha : เออ
   
โอ๋ๆๆ : AMAN
   
กอดนะครับ555555 : AMAN


   ผมปิดโทรศัพท์แล้วโยนมันทิ้งลงด้านข้าง พยายามสนใจกับเนื้อหาของซีรีย์ชื่อดังที่เปิดมันขึ้นไม่นานก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายแล้ว แม้จะตั้งสมาธิมากเท่าไหร่ ประโยคสุดท้ายที่ม่านส่งมาก็รบกวนจิตใจผมอย่างหนัก

   ผมไม่ได้ชอบคำพูดหวานหู
   ไม่ชอบคนที่เอาใจเกินไปจนไม่รู้จักห้าม

   แต่ม่านมันก็เป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกอย่าง
   เพราะเวลามันพูดอะไรหวานๆ

   ใจผมกลับเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ทุกที


   เหล่มองไปยังโทรศัพท์คู่ใจที่มีแจ้งเตือนขึ้นแล้วดับไปดังเก่า ผมไม่ได้ตอบข้อความของมันต่อ เม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะกดโทรหาใครบางคนในยามดึกเพื่อปลุกให้ตื่น

   และไม่นาน ข้อความสุดท้ายของวันก็ถูกส่งมาในตอนที่ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ


   
พี่ฮั่นมารับแล้ว : AMAN
   ขอบคุณที่โทรบอกให้นะ : AMAN
   .
   .
   .
   .
   แล้วก็ฝันถึงเค้าด้วยล่ะ : AMAN

   สัญญาจะไม่หลอกจนทำให้กลัวเลย5555 : AMAN




   ใครบอก
   ฝันถึงมึงน่ะหมายถึงฝันร้ายชัดๆ…





















   ,




   “กูล่ะโคตรง่วง ชั่วโมงจารย์ปิ๊กนี่แทบจะลงไปฟุบ”

   คนที่พาดแขนไว้ยังไหล่ผมพูดขึ้น มืออีกข้างแกว่งขวดน้ำตรามหาลัยไปมา

   “ลองฟุบดูดิ บ่นทีแล้วหนาวเลยมึงเอ้ย” นาวาสวนกลับ เราหัวเราะพร้อมกันแล้วเร่งฝีเท้าไปตามทางเชื่อมที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ

   “นี่ก็อย่างง่วง กาแฟก็ไม่ช่วย” ผมเสริมเล็กน้อยให้กับประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ เห็นฮั่นมันชำเลืองมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

   “กลับไปจะนอนสักสองสามชั่วโมง ไม่ไหวจริง”

   “ไปห้องนอนห้องมึงก่อนได้ป่ะฮั่น?” เพื่อนที่เดินนำหน้าหันมาด้านหลัง ถามถึงแหล่งมั่วสุมชั้นหนึ่งที่เรามักจะไปกันก่อนทำหน้าเจ้าเล่ห์

   “ห้องกูนี่สาธารณะมากสินะ เมื่อคืนก็ไอ้ม่าน วันนี้ก็พวกมึง”
   “ไอ้ม่านไปทำอะไรห้องมึง?”

   เมื่อเกิดความสงสัยเพื่อนก็ถามขึ้นมาทันควัน และเมื่อมีชื่อบุคคลพิเศษอยู่ในประโยคนั้น สายตาหลายคู่ก็มักจะจ้องมองผมร่วมด้วย

   “จะอะไรอีก ก็เมทมันเอาผู้หญิงมานอนไง”
   “นิสัยเหมือนมึงเลยไอ้เหนือ”
   “พ่อมึงสิ”

   ผมยิ้มขำให้กับการหยอกล้อ นาวาหลบเท้าที่พุ่งไปยังเจ้าตัว ก่อนจะปัดเสื้อให้เข้าทรงเมื่อคนที่พาดไหล่ผมไว้ไม่เอาความอะไรต่อ

   “มีเมทแบบนี้ล่ะซวยชิบ”
   “ใครจะไปเหมือนมึง เมทแสนดีน่ารักปุกปิก”
   “ธรรมดาว่ะ คนมันหล่อ”
   “เฮ้ออ”

   สียงถอนหายใจขัดจังหวะทำเอาไอ้สองตัวด้านข้างตบหัวผมคนละที ผมมองค้อน ให้พวกมันรับรู้ว่าการแก้แค้นไม่จบลงเพียงเท่านี้แน่ๆ

   “นั่นแหละนะ มีคนโทรปลุกกูให้ไปรับมันถึงที่ นี่ก็คงไม่ธรรมดาเหมือนกัน”
   “อ่ออออออออ”

   สองเสียงประสานลากยาวตามความเจ้าเล่ห์ ไอ้เหนือพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนคนที่มีรอยสักยกมือขึ้นตบเปาะแปะสองสามที

   อืมม
   เอาเข้าไป

   “เดี๋ยวนี้แม่งพัฒนา”
   “มีความไปส่งด้วยนะครับ”
   “จะใจแข็งไปได้อีกกี่น้ำ”
   “สงสารไอ้ม่าน จีบใครไม่จีบมาจีบไอ้ผา เป็นกูจีบหมายังดีกว่าเลย”
   “ฮ่าๆ”

   ปัก!!

   “โอ๊ยย”


   ศอกแหลมทิ่มไปยังท้องของคนด้านข้างอย่างแรง มันงอตัวแล้วกุมเอาไว้คล้ายกับเจ็บเสียเต็มประดา ใบหน้าอาฆาตแค้นอย่างหนักเมื่อเห็นผมยิ้มร่าให้กับการเอาคืน

   ผลของการล้อมากๆ
   ผมก็ไม่ยั้งมือตัวเองแต่อย่างใด


   สองเท้าก้าวไปโดยไม่คิดจะสนใจเพื่อนด้านหลัง ถือกาแฟแก้วที่สองอย่างมาดมั่นแล้วเดินไปตามทางที่นำไปยังตึกใหญ่

   แต่ในจังหวะที่ผมเลี้ยวเข้ามาในลานกว้าง ที่ๆมีผู้คนรายล้อมเพื่อทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนานตรงหน้า

   สายตาผมก็มองเห็นใครสักคนที่ยืนตรงนั้น


   เจ้าตัวยืนกอดอกพร้อมกับมีผู้ชายอีกคนพาดไหล่ไว้อย่างเหมาะเจาะ ใบหน้าหล่อเหลาของทั้งคู่ดึงดูดสายตาจากคนอื่นๆได้ไม่ยาก ยิ่งบวกกับรูปร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับไปถึงข้อศอก ไม่แปลกที่สองคนตรงนั้นจะเป็นคนดังของคณะอย่างที่ผมพอจะรับรู้

   ม่านมันอมยิ้ม มองภาพกิจกรรมอย่างอารมณ์ดีประสาของเจ้าตัว

   และอีกคนก็ไม่ต่าง ถ้าผมจำไม่ผิด คนชื่อภีมก็มีรอยยิ้มสว่างไสวไม่ต่างจากม่านเองเช่นกัน


   ผมยืนนิ่ง ไม่แปลกใจเลยสักนิดกับคำพูดของเพื่อนที่เคยเตือนไว้ก่อนหน้า


   ‘คนอย่างไอ้ม่านที่หล่อเลือกได้อ่ะนะ ระวังไว้หน่อยก็ดี’


   มันก็ยังเป็นข้อความที่เขียนไว้เตือนใจบนปราการอีกชั้นที่ผมสร้างมันขึ้น



   ผมไม่รู้ถึงความจริงข้อนั้นหรอก
   ก็แค่คำพูดลอยๆ ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์นิสัยของม่านเลยด้วยซ้ำ

   แต่ถึงอย่างนั้น กลไกการป้องกันตัวก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดิบดี


   คงมีเพียงแต่เวลา
   และความมุมานะของคนที่เข้าหา

   จนกว่าวันที่จะเดินทางไปถึงยอดเขาที่สูงเพียงฟ้า




   ผมถึงจะรู้ความจริงทุกอย่างผ่านการกระทำของเจ้าตัว






   “ผา!!”

   เสียงเรียกชื่อผมดังจากที่ๆ เดินจากมา มองเห็นคนที่ยืนอยู่แสนไกลเปลี่ยนเป็นมาหยุดยืนใกล้ๆ ตรงหน้า พร้อมกับยื่นกระดาษสีขาวขนาดเล็กสองสามใบส่งให้อย่างใจจดใจจ่อ



   มันเป็นกระดาษที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือยึกยือจนแทบอ่านไม่ออก

   แต่ถึงอย่างนั้น



   มันก็เล่นงานใจผมอย่างหนักคล้ายกับคลื่นที่ซัดขึ้นสูง


   ‘เลี่ยงฝันร้าย ด้วย 11 สิ่งที่คาดไม่ถึง’
   ‘10 อาหารแก้อาการนอนไม่หลับ แถมกินก่อนนอนได้ ไม่ต้องกลัวน้ำหนักขึ้น’



   ‘Thisisaman คือไอดีไลน์ 7 ตัวที่เป็นเพื่อนยามเหงาของคุณ ทักได้ทุกเวลา :’) ’






   ไอ้เด็กหน้าหมา

   หาช่องว่างบนกำแพงของผมเจอได้ยังไงวะ


   อยากจะรู้จริงๆ





   












   





#ผาเพียงฟ้า

เด็กนี่มันวอแวจริงๆเลยเนาะ :-)


11/7/19
before30october



หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 3 | How to deal with insomnia P.1 (11/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-07-2019 00:49:48
น่ารักมากเลยค่ะ ยิ่งตอนเขาคุยกัน สรรพนามที่ม่านใช้ อ่านแล้วเขิน55555 ขนาดยังไม่ได้คบกันยังดีค่อใจขนาดนี้  :-[ อีกไม่นานกำแพงของผาคงพังทลายได้ไม่ยาก เราชอบความที่เขาแมนๆทั้งคู่ ตัวละครไม่มีจริตสาวแต่อ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความหวานในสิ่งที่เขาสื่อถึงกันได้
นี่ตามมาจาก คุณไม่ตรงปก จะติดตามควบคู่กันไปทั้งสองเรื่องเลยค่ะ ชอบการบรรยายของนักเขียนมากเลย
หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 3 | How to deal with insomnia P.1 (11/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 12-07-2019 03:24:58
โอ้ยเขินน้องม่านมากกกกกกก ฮือออออออออดีต่อใจมากๆๆ ชอบเวลาเค้าคุยกันน
หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 3 | How to deal with insomnia P.1 (11/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-07-2019 05:54:32
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 3 | How to deal with insomnia P.1 (11/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-07-2019 11:37:00
เป็นการให้ไลน์ที่แบบสำหรับคุณคนนั้นที่นอนไม่หลับ 555555555555
หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 3 | How to deal with insomnia P.1 (11/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 15-07-2019 23:50:55


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


4

ILYSB


_________

bgm : ILYSB - LANY (Conan Gray Cover)


' And you need to know
You're the only one, alright alright
And you need to know
That you keep me up all night, all night '




_________




   ทั้งวันผ่านไปได้ด้วยดีโดยที่ผมมีกาแฟเข้าช่วยถึงสองแก้ว แก้วแรกในตอนเช้า และแก้วที่สองคือตอนก่อนพักกลางวันลากยาวจนถึงบ่าย

   โชคดีที่ร่างกายผมทำงานเข้ากับฤทธิ์ของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพทำให้อาการผล็อยหลับไม่เกิดขึ้นในห้องเรียนแต่อย่างใด ถึงแม้จะมีหาวบ้างตามประสาคนนอนไม่เต็มอิ่ม แต่ดวงตาก็ไม่สามารถหลับลงได้อย่างที่ใจคิดเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีนที่กินเข้าไป

   ตุบ!

   ผมทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟาแสนนุ่ม ปล่อยให้ร่างกายได้พักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าใบเล็กที่พกไปเรียน

   แต่มือของผมกลับไปคว้าสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งเข้าจนได้

   เป็นเศษกระดาษยับยู่ยี่ที่ผมเกือบลืมไปแล้วว่าเขาเคยให้มา

   ผมพลิกตัวนอนหงาย ใช้หมอนอิงเข้ารองศีรษะเพื่อได้ท่าที่สบายก่อนจะยกมันขึ้นอ่าน ค่อยๆ แกะตัวหนังสือยึกยือนั้นอีกครั้งแล้วออกเสียงในใจไปตามประโยค


   ‘เลี่ยงฝันร้ายด้วย 11 สิ่งที่คาดไม่ถึง’

   1.กลิ่น พบว่าการได้กลิ่นของดอกไม้ในช่วงที่หลับจะช่วยให้นอนหลับฝันดี แต่ถ้าหากได้กลิ่นของกำมะถันจะทำให้ฝันร้าย

   2.เสียง ถ้าหากอยากจะนอนหลับฝันดี ลองหาเสียงธรรมชาติ หรือเสียงเพลงเบา ๆ เปิดคลอไปในช่วงที่นอนหลับก็จะช่วยทำให้ฝันดีได้แน่นอน



   ข้อความยืดยาวถูกตั้งใจอ่านอย่างดีจากคนที่นอนบนโซฟา ตอบแทนความตั้งใจเช่นกันของเจ้าของที่ส่งมันให้ ถึงแม้จะเป็นลายมือที่อ่านยาก แถมบางครั้งก็มีเส้นขีดฆ่าคำผิดแล้วเขียนเพิ่มลงไปนิดๆหน่อยๆ

   สายตาผมเลื่อนมาจนถึงประโยคสุดท้าย ไอดีไลน์ของม่านปรากฏเด่นชัดแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไร เพราะยังไงผมก็มีไลน์ของเขาอยู่แล้ว เจ้าตัวคงอยากจะสื่อว่าให้เขาอยู่เป็นเพื่อนยามเหงาก็แค่นั้น

   ผมวางกระดาษไว้ยังโต๊ะกลางที่สูงเลยเข่ามาเล็กน้อย ควานหาโทรศัพท์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วกดส่งข้อความหาใครบางคน

   เจ้าคนที่ส่งกระดาษใบนั้นมาให้นั่นแหละ


   Pha : ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ


   คราวนี้มันไม่ได้ตอบกลับในทันทีแบบที่เราคุยกันครั้งล่าสุด ผมจึงเลื่อนไปเล่นแอพพลิเคชันอื่นเพื่อฆ่าเวลา

   และก็พบว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นมันเพราะอะไร

   คราวนี้มันไม่ได้ตอบกลับในทันทีแบบที่เราคุยกันครั้งล่าสุด ผมจึงเลื่อนไปเล่นแอพพลิเคชันอื่นเพื่อฆ่าเวลา

   และก็พบว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นมันเพราะอะไร

   จากสตอรี่ไอจีของม่านที่อัปโหลดไว้เมื่อชั่วโมงก่อน เป็นภาพเคลื่อนไหวที่เจ้าตัวกำลังกระโดดขึ้นสูงเพื่อส่งบอลเป็นเส้นโค้ง ให้เจ้าลูกกลมๆตกลงบนแป้นรองรับที่อยู่ห่างออกไปอย่างเหมาะเจาะ ภาพเหล่านั้นดูเหมือนจะทำให้ช้าลงในตอนที่เจ้าตัวปล่อยลูกบอลออกจากมือ ก่อนที่จะกลับมาเป็นความเร็วดังเก่าพร้อมกับเสียงเฮดังลั่นสนามเมื่อลูกสีส้มลูกนั้นโค้งอย่างสวยงามลอดลงห่วง

   ก่อนที่วิดีโอที่สองจะตามมา ทั้งหมดเป็นภาพเหตุการณ์หลังจากวิดีโอแรกที่เขารับชม มีผู้ชายหลายคนพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายจนล้มจากนั้นก็ตามมาด้วยหลายๆคนที่พากันโหมเข้าใส่ ม่านยังมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่ตลอดแม้ในตอนที่แท็กมือกับเพื่อนและเสยผมไปด้านหลัง

   ผมเผลอกดให้วิดีโอเหล่านั้นเล่นซ้ำอีกครั้งเป็นรอบที่สอง มองความสุขที่ส่งผ่านจากสีหน้าเจ้าของของมันก่อนจะเผลอยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว

   ด้วยความที่เราค่อนข้างจะสนิทกันในระดับหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าเขามีเพื่อนเยอะ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีคนเข้าหาและรุมล้อมอยู่ตลอด ก็ตามประสาผู้ชายที่อัธยาศัยดีและมีแต่คนอยากรู้จัก

   เอาจริงแล้วก็ไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่ เราแทบจะอยู่ในสังคมเดียวกันก็ว่าได้ทั้งคณะและสาขาที่เรียนอยู่ คงจะมีนิสัยผมเองที่ต่าง มันเป็นนิสัยที่ติดตัวมานานและผมเองก็คิดว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

   ผมไม่ค่อยเปิดให้ใครเข้ามาในชีวิต กว่าจะทำความรู้จักกับเพื่อนที่สนิทก็ล่วงเลยมาจนถึงปีสอง พวกมันพยายามทำให้ผมเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบที่ช่วยกันสร้างขึ้น และผมก็พูดได้ว่าพวกมันก็เป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดที่ผมเคยมี


อ่านแล้วใช่ป่ะ? : AMAN
Pha : อืม
คืนนี้นอนไม่หลับก็ทักมาได้นะ : AMAN
Pha : ใครจะอยากคุยกับมึง
55555555555 : AMAN


   คู่สนทนารัวเลขห้ามาอย่างเคย ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับ ดันตัวขึ้นเพื่อไปอาบน้ำหลังจากรู้สึกเหนียวไปทั่วร่างกายเพราะเหงื่อที่ประปรายตลอดทั้งวัน


เธอทำอะไรอยู่หรอ? : AMAN


   เสียงเตือนว่ามีข้อความใหม่ดังลั่นขัดจังหวะ ผมชะโงกไปมองหน้าจอพร้อมกับค่อยๆถอดเสื้อออกจนหลุดลุ่ย


Pha : กำลังจะไปอาบน้ำ
อ้อออ นี่ก็กำลังจะไปกินข้าวกับพวกไอ้เต : AMAN
Pha : บอกกูทำไม?


   ด้วยความสงสัยเลยถามออกไปตรงๆ แต่ก็เพิ่งมาคิดได้ทีหลังว่ามันจะดูทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายมากไปหรือเปล่า

   บางครั้งการเป็นคนถูกชอบมันก็น่าอึดอัดเหมือนกัน เพราะต้องมานั่งคิดมากเรื่องความรู้สึกของคนอื่นเนี่ยแหละ


อยากบอกให้เธอรู้เฉยๆ : AMAN
ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบไง เค้าไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ555555 : AMAN


   แต่เพราะเลขห้าที่รัวมานี่แหละมั้ง เลยทำให้ผมรู้ได้ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากจากการที่ถามออกไปแบบนั้น

   อย่างที่บอก ม่านมันไม่เหมือนคนอื่นที่พยายามจะเข้าหาเลยสักคน
   ทั้งไม่ทำให้เขาอึดอัด และไม่ล้ำเส้นเข้ามาในที่ๆ หวงห้ามแต่อย่างใด


   ‘เล่นบาสเสร็จแล้วหรอไง?’


   ผมพยายามเบี่ยงประเด็นเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เราคุยกันอยู่ แต่เมื่ออ่านข้อความที่พิมพ์ไว้ก็รู้สึกแปลกๆ เพราะปกติแล้วผมไม่ใช่คนชวนคุยเก่งสักเท่าไหร่ เลยเลื่อนเพื่อจะกดลบมันให้หมดอยู่รอมร่อ แต่ปรากฏว่าในตอนที่กำลังเผลอ

   มือผมก็กดส่งข้อความนั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว


Pha : เล่นบาสเสร็จแล้วหรอไง?


   ชิบ


   ครั้นจะกดยกเลิกข้อความด้วยความร้อนรน อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะอ่านมันเป็นที่เรียบร้อยจากตัวหนังสือที่ขึ้นว่า read ด้านล่าง


   ชิบหาย


รู้ได้ไงอ่ะว่าเค้าไปเล่นบาสมา : AMAN


   ผมไม่ตอบ แถมยังเปิดหน้าต่างแชทค้างไว้อีกต่างหาก


แอะ : AMAN
สนใจเค้าด้วยหรอ : AMAN

   ม่านส่งมา

   พร้อมกับอีโมจิหน้าหมาที่กำลังเอียงคอยิ้มกว้างด้วยความขัดเขิน


   ให้ตายเหอะ ถึงผมจะไม่มีข้อแก้ตัวแต่ทางเดียวที่สามารถเลี่ยงมันไปได้คือบอกความจริงที่พอจะเข้าใจง่ายๆให้อีกฝ่ายได้รับรู้


Pha : อย่าเยอะ
Pha : กูแค่เห็นในไอจี

555555555555 : AMAN
อืม : AMAN


   คราวนี้เขาตอบแค่สั้นๆ และผมก็ตอบกลับไปเหมือนกันด้วยข้อความเดิม

   แต่อารมณ์ของเราสองคนช่างแตกต่างกันสิ้นดี


Pha : อืมมม
อืมมมมมม^^ : AMAN

   อาจเป็นเพราะความโชคดีที่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ต่อหน้าเขา ไม่งั้นม่านคงรู้ได้ว่าผมทำตัวแปลกไปจากความร้อนที่มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


   จากประโยคล่าสุดของเขา
   และประโยคใหม่ที่ส่งเข้ามา


https://youtu.be/K3xbUe_spgA : AMAN
ให้เธอครับ :-) : AMAN


   แค่สองประโยคสั้นๆ

   มันก็ทำให้ผมต้องกำมือแน่นพร้อมกับรีบเข้าไปอาบน้ำในทันที



   เพราะไม่รู้ต้องทำยังไงกับความหมายที่แฝงมาในนั้น
   จากเพลงแสนไพเราะที่เปิดฟังหลังจากเจ้าของมันส่งมา


   'ILYSB <3 '










#ผาเพียงฟ้า











   ตลาดในมหาลัยวันนี้ดูคึกคักกว่าปกติมากนัก อาจจะเพราะผมไม่ได้มาเป็นเวลานานหรือยังไม่คุ้นชินกับมันเสียที

   เพื่อนรอบข้างแวะซื้อของกินกันคนละอย่างสองอย่าง บ้างก็เดินกิน บ้างก็เก็บไว้ไปชุมนุมที่ห้องไอ้ฮั่นมันเหมือนเคย

   “พี่ผาจะกินอะไรอ่ะ?” คนด้านข้างเอ่ยถาม ดวงตากลมโตเงยมองผมด้วยความสงสัย

   “ยังไม่รู้เลย”

   “นี่ก็ไม่รู้ ว่าจะลอกพี่” เจ้าตัวหัวเราะก่อนจะมองไปมองมาเพื่อหาของที่น่าสนใจ

   แต่จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาเดินขนาบข้างพร้อมกับพูดเสียงหวานเพื่อหยอด

   “คิดถึงน้องน่านจังเลยย—โอ้ยย สัสผา”

   ปัก!

   “ไปไกลๆน้องกู”

   ผมดันศีรษะไอ้ปัทถ์ไปอีกทางก่อนจะดึงหลานรหัสให้มาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง คนตัวเล็กหัวเราะก่อนจะยกมือไหว้คนอื่นๆที่เดิมตามมาสมทบ

   “สวัสดีครับ”

   “มาคนเดียวหรอเรา?” ฮั่นถามก่อนจะดูดน้ำผลไม้ที่เพื่อนยื่นให้ชิม

   “เปล่าครับ น่านมากับเพื่อน แต่บังเอิญมาเจอพี่ผาก็เลยแวะมาหาแปบนึง” เพื่อนผมตาละห้อยเป็นทางเมื่อเจอรอยยิ้มหวานที่ส่งให้ ก็นั่นแหละนะ น่านมันก็น่ารักใช่ย่อยซะที่ไหน ผมเห็นผมยังเอ็นดูไม่ต่างจากพวกมันเลย

   “เลือกเลยอยากกินอะไร พี่เหมาให้น้องน่านได้ทั้งตลาดอ่ะ” คราวนี้ไอ้เหนือยักคิ้ว ข่มเนิร์ดไม่จริงที่วันนี้ใส่แว่นมาเป็นพร็อพอ่อยสาว

   “โห งั้นน่านจะซื้อเยอะๆเลย”

   “พี่มีบัตร รูดได้สบายมาก”

   เสียงหัวเราะของสามแสบของแก๊งดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ไอ้ฮั่นส่ายหัว ส่วนตินยังยืนมองผมและน้องไปมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

   เออ เอาเข้าไป
   แต่ละคน


   “ไปเหอะ อย่าสนใจพวกมันเลย”

   และเป็นผมเองที่ดันแผ่นหลังของร่างบางให้เดินต่อ ใช้มือเล่นกลุ่มผมของน่านไปมาด้วยความเพลิดเพลิน

   “อ๊ะ!”

   จนกว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครสักคนเดินตาม ก็ในตอนที่มีขวดน้ำเย็นเฉียบทาบเข้าข้างแก้มจนสะดุ้งสุดตัว

   “เฮ้ยๆ เค้าขอโทษ ฮ่าๆ”

   ดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบใจเสียมากกว่าที่ทำผมตกใจ สายตามองค้อนไปยังคนที่อายุน้อยกว่า แต่ก็ถูกบดบังไปด้วยน้ำส้มคั้นที่อีกฝ่ายยื่นให้

   “อะไร?”
   “ซื้อให้เธออ่ะ”
   “...”
   “...”

   “พี่ม่านสวัสดีครับ”

   สถานการณ์ระหว่างเราถูกทำลายด้วยเสียงสดใสของคนที่ยืนมองมันอยู่สักพัก ผมรีบหยิบน้ำส้มขวดนั้นไว้ในมือ ก่อนที่ม่านจะหยิบอีกขวดส่งให้น่านที่ยืนถัดไป

   “อ่ะนี่ของเรา”
   “คือ—ครับ?” คนอายุน้อยกว่ามองเราสองคนสลับกันไปมา คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังสับสนว่าจะรับมันมาดีหรือไม่

   จนกว่าผมจะพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก

   “วันนี้พี่ม่านหล่อสุดในใจน่านเลยอ่ะ”
   “ทำมาพูดเหอะเรา” มือใหญ่ดันหน้าผากมนไปอีกทาง จนน่านต้องเอนตัวไปด้านหลัง ผมจึงได้ปรามด้วยการดันม่านด้วยแรงที่มากพอ
   “อย่าแกล้งน้องกูให้มาก”
   “ฮ่าๆ” มันหัวเราะจนตาหยี กล่าวทักทายเพื่อนของเขาที่เพิ่งจะตามทันอย่างสนิทสนม

   “คือว่า—น่านว่า—น่านขอตัวไปก่อ—”
   “ไม่ต้องหรอก เดินด้วยกันนี่แหละ”

   ดูเหมือนว่าน่านก็คงจะดูออกถึงท่าทีของอีกคนที่มีต่อผมถึงได้อยากปลีกตัวออก แต่ก็ถูกรั้งไว้จากคำพูดของม่านที่บอกให้น้องมันอยู่พร้อมกับดึงแขนรั้งเอาไว้

   “แต่พี่ผากับ—”
   “พี่จะได้มีคนให้แกล้ง”
   “คนเราอ่ะ”

   ผมยืนมองคนอารมณ์ดีทั้งสองยืนคุยกันอย่างคุ้นเคย เราเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ ใช้เวลาคุ้มค่ามากที่สุดเมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน

   ผมเดินเคียงข้างน่าน และมีม่านกับเพื่อนของเขาอีกคนที่อยู่ด้านหลัง

   เขาไม่ได้รบกวนผมหลังจากนั้น ปล่อยให้เราเดินไปเรื่อยๆโดยไม่มีการพูดคุยกันอีก

   จนเวลาล่วงเลยผ่านไปสักพัก หลานรหัสก็ขอตัวลาไปด้วยของกินเต็มไม้เต็มมือ โบกมือให้กับเพื่อนผมด้วยท่าทางน่ารัก และด้านข้างของผมก็ว่างเปล่า

   เมื่อรู้สึกถึงเสียงพูดคุยด้านหลังผมจึงต้องหันกลับไปมอง เห็นเพื่อนมันกำลังเถียงกันอย่างหนักและชี้มือมาทางนี้อย่างพร้อมเพรียง

   ฮั่นอมยิ้มพร้อมกับสบตาไม่ละไปไหน ต่างจากไอ้เหนือ ปัทถ์ นาวาและม่านที่เสมองไปทางอื่น

   คำตอบที่ได้มาจากตินที่ยังใช้มือล้วงกระเป๋าไว้ทั้งสองข้าง สายตามองม่านและที่ว่างข้างผมเป็นการบอกใบ้

   ที่จริงก็พอจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างอยู่หรอก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ถึงคนที่ขยับก้าวเป็นจังหวะเดียวกัน ไพล้มือไว้ด้านหลังอย่างสงบเสงี่ยม

   “...”
   “...”

   ม่านไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ชำเลืองมองมาที่ผมอยู่บ่อยๆ

   “ไอ้พวกนั้นยุอีกแล้วใช่มั้ย?” ผมถาม ยกน้ำส้มขึ้นดูดจนหมดขวด
   “ก็...นิดหน่อย” เสียงหัวเราะเบาๆดังตามมา
   “...”
   “แต่เอาจริงก็คิดไว้แล้วแหละว่าจะมาเดินด้วย”

   ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะดึงดูดผู้คนได้เยอะสมควร เพราะไม่ว่าใครที่เดินสวนเราทั้งคู่ สายตาเหล่านั้นก็จะจับจ้องไปยังคนอายุน้อยกว่าอยู่ตลอด

   “วันนี้ไม่เห็นเจอเธอที่คณะเลย” อีกฝ่ายพูดในตอนที่แอบเอียงตัวมาเล็กน้อยเพื่อแข่งกับเสียงดังเซ็งแซ่
   “ไม่เจอกูสักวันก็ได้มั้ง”
   “ได้แหละ” เขาตอบ
   “...”
   “แต่ก็จะคิดถึงหน่อยๆ”

   ผมก้มลงต่ำ ไม่อยากมองหน้ามีความสุขของมันเท่าไหร่

   เพราะกลัวว่าจะใจง่ายไปกับรอยยิ้มพวกนั้นเข้าจริงๆ


   ระยะห่างระหว่างผมกับมันเริ่มลดลงเรื่อยๆ อาจเพราะผู้คนที่เบียดเสียดจากทุกทิศทาง ไหล่ของเขาเลยกระทบไหล่ผมบ้างบางจังหวะ

   และผมก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมม่านถึงไพล้แขนไว้ด้านหลัง


   ก็คงเป็นเหตุผลเดียวในตอนนี้ล่ะมั้ง
   เพราะไม่อยากให้มือของเขามาสัมผัสกับมือผมโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน


   คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ


   “ม่าน”

   “ครับ?”


   เจ้าตัวทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยที่โดนเรียก แต่ก็มีรอยยิ้มกว้างหลังจากที่ผมเดินผ่าน


   พร้อมกับวางมือไว้บนศีรษะของเจ้าตัว
   ยีมันเล็กน้อยก่อนพูดคำที่เก็บเอาไว้มาโดยตลอด






   “น่ารักแบบนี้ไปนานๆล่ะ”






#ผาเพียงฟ้า

ม่านสลบไปยังหว่า...


15/7/19
before30october

หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 4 | ILYSB P.1 (15/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-07-2019 02:17:49
ม่านนนนนนนนนนน ยังอยู่ใช่มั้ย 5555555555555
หัวข้อ: Re: ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 4 | ILYSB P.1 (15/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 16-07-2019 18:00:29
เขินอ่าาา :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 4 | ILYSB P.1 (15/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 20-07-2019 01:19:00
 :L2: ชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 4 | ILYSB P.1 (15/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 21-07-2019 01:21:18
ม่ายตายไปยัง555555
น่ารักมากค่าาา
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 4 | ILYSB P.1 (15/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-07-2019 09:03:32
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 4 | ILYSB P.1 (15/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 23-07-2019 15:24:05


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


5

me, you and him







   ผมจำไม่ได้หรอกว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน แต่ถ้าถามอีกฝ่าย ผมแน่ใจว่ายังไงม่านมันก็จำได้แน่นอน

​   ‘ดาดฟ้าบ้านพี่เหนือไง ที่เค้าออกไปดูดบุหรี่คนเดียว’

​   เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม และหลังจากฟังประโยคนั้นจนจบ ความทรงจำของผมก็ดูเหมือนจะฉายชัดขึ้นทีละส่วน

​   ตั้งแต่การรวมตัวของเราเพื่อก๊งเหล้าแบบครั้งอื่นๆ ในสถานที่ที่ต่างออกไปจากปกติ ไม่ใช่ร้านเหล้า ไม่ใช่ห้องใครสักคน แต่เป็นบ้านหลังใหญ่ของเพื่อนในกลุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก

​   ผมจำได้ว่าวันนั้นตัวเองดื่มอย่างหนัก สติที่มีก็เลือนรางไปบางส่วน จนในตอนที่อยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ ดาดฟ้าชั้นสามก็ตอบโจทย์ความต้องการของผมได้เป็นอย่างดี

​   แต่เมื่อผมไปถึง มันกลับมีใครอีกคนหนึ่งยืนอยู่ก่อน

​   ครั้นจะหลีกหนีก็โดนเสียงที่ดังจากด้านล่างบ่งบอกความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงรีบปิดประตูแล้วหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากคนที่ใช้มือซ้ายสูบบุหรี่

​   ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะชื่อ ‘ม่าน’ จากที่ผมมักจะได้ยินเพื่อนเรียกกันบ่อยๆ

​   “ข้างล่างเริ่มเละกันแล้วอ่ะดิ”

​   อีกฝ่ายเป็นคนเปิดบทสนทนา ถึงแม้เราจะไม่เคยทำความรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าผมไม่รู้สึกถึงความห่างเหินที่ปกติคนแปลกหน้ามักจะมี

​   “อืมม” ผมตอบไปเงียบๆ ใช้หลังพิงระเบียงแล้วกอดอก ก้มลงปล่อยให้ผมตกหล่นและเอนไหวไปตามสายลมที่พัดผ่าน

​   “เมาแล้วเป็นแบบนี้ทุกที”

​   ครั้งนี้ผมไม่ได้ตอบรับเขา ความเงียบเลยเข้าแทรกซึมระหว่างเราทั้งคู่

​   “แล้วพี่ผาอ่ะเมายัง?” ดูเหมือนว่าชื่อผมที่อีกคนพูดจะทำให้เกิดความแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันรู้จักได้ไง แต่เอาเป็นว่าคงไม่ยากเท่าไหร่เพราะกลุ่มเราก็คลุกคลีกันมาพอตัว

​   “จะเหลือ”

​   คำตอบที่ส่งให้ทำเอาอีกคนหัวเราะจนตาหยี ยกก้านบุหรี่จรดปาก แล้วพ่นควันมันออกมาช้าๆ คล้ายกับว่าต้องการละเลียดกลิ่นหอมหวานนั้นทีละนิด

​   “กินกันเยอะเกิน ยิ่งพี่ฮั่นนะ บังคับเอาๆ”
​   “ใครจะไปคอแข็งเท่ามันอีกล่ะ”
​   “นั่นดิ แต่คอแข็งแล้วแฟนทิ้งแบบนั้นก็ไม่เอาดีกว่าว่ะ”

​   ผมหลุดหัวเราะให้กับเรื่องที่อีกฝ่ายพูด ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้อะไรมาเยอะพอสมควรถึงได้หยอกล้อแบบนั้น

​   และดูเหมือนแอลกอฮอลล์เริ่มจะเล่นงานผมอย่างหนักเข้าแล้วเหมือนกัน

​   เพราะรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมยิ้มตามได้อย่างง่ายๆ ทั้งๆที่ผมไม่ใช่คนที่ยิ้มเก่งอะไรเลยสักนิด เป็นเสี้ยววินาทีที่เราสบตากัน ก่อนที่จะเบือนหน้าไปคนละทางเมื่อคิดได้ว่านี่คือครั้งแรกที่เราสองได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการหลังจากเจอหน้ามานานแรมปี

​   มันค่อนข้างแปลกดีที่ม่านไม่ได้ทำให้ผมอึดอัด แถมผมยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ทำให้บรรยากาศแย่ลงกว่าเดิม

​   ผมพลิกตัวไปยืนอีกฝั่ง ยืนมือไปยังด้านข้าง ม่านมองมันก่อนจะหยิบกล่องสีเงินวางไว้ให้

​   “ดูดร้อนนะ”
​   “อืม”
​   “...”
​   “กูดูดได้”

​   เพราะว่าไม่ได้หยิบไฟแช็กมาจากด้านใน ผมเลยแบมือไปหาคนข้างกายอีกรอบ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาตามมาแต่ทว่าเขาไม่ได้หยิบยื่นให้แบบครั้งก่อนที่เคยทำ

​   ม่านดันฟันเฟืองจนเกิดเสียงดังในตอนที่หยุดมือเอาไว้ยังปลายก้านสีขาว ผมไม่แน่ใจมากเท่าไหร่ว่าเราอยู่ใกล้กันแค่ไหน แต่จำได้ว่าเมื่อผมมองหน้าเจ้าตัวอีกครั้ง

​   สายตาคู่นั้นก็จับจ้องที่ริมฝีปากบางและไม่ขยับไปไหนอีกเลย

​   แววตาของเขาเปลี่ยนไป

​   และหลังจากนั้น
​   ความสัมพันธ์ของเราก็เปลี่ยนตาม
​   รวมถึงสรรพนามที่อีกคนมักจะมี






#ผาเพียงฟ้า








​   ฝนที่สาดเทลงมาอย่างหนักทำให้คนที่กลับค่ำถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมรีบเดินเข้าไปในตัวรถ จัดการหยาดน้ำที่เปียกปอนไปทั่วตัวก่อนจะเปิดเครื่องยนต์ให้ทำงานในทันที

​   เพราะการทำโปรเจคจบในปีสุดท้ายของการเรียนทำให้ผมต้องเข้าพบอาจารย์อยู่บ่อยๆ ยิ่งเวลาของผู้สอนมีน้อยนั่นทำให้ต้องมาปรึกษานอกตารางเวลาที่กำหนด การอยู่พบจนดึกดื่นจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในชีวิต

​   ถ้าไม่ติดว่าต้องปฏิเสธเพื่อนคนอื่นอย่างไม่เต็มใจ

​   ฮั่นชวนผมออกไปทานอาหารตั้งแต่ตอนเย็น ส่วนนาวาก็เซ้าซี้เรื่องที่จะไปกินเหล้าอยู่นั่น ยิ่งมันเป็นพวกที่ชอบให้เพื่อนไปกันครบๆแล้วด้วย ทั้งหมดเลยเป็นเหตุให้โทรศัพท์ผมสั่นไหวจากแจ้งเตือนของข้อความที่ส่งมาอยู่ตลอด

​   ผมไม่ได้สนใจมันมาสักพักหลังจากปฏิเสธกลับไป เพราะกว่าจะกลับถึงห้อง เปลี่ยนชุด อาบน้ำ และแต่งตัวมันก็เกินกว่าครึ่งค่อนคืนไปแล้ว เอาไว้คราวหน้าผมค่อยไปยังดีซะกว่า

​   แถมวันนี้อากาศก็ไม่เป็นใจเสียด้วย

​   เสียงครืนดังกระหึ่มตามมาหลังจากท้องฟ้าสว่างวาบ สายฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย มันกระทบกระจกใสจนเกิดเสียงดังเปาะแปะไปโดยทั่ว ผมตัดสินใจเปิดเพลงคลอเคล้าเบาๆหลังจากรอรถที่แน่นขนัดแม้จะเลยผ่านช่วงเวลาสำคัญไปนานพอสมควร ดูเหมือนวันนี้การจราจรจะชะลอตัวไปโดยทั่วจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่

​   แต่ในตอนที่ผมกำลังเคาะนิ้วไปตามจังหวะเพลงสากลที่ดังขึ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นใครสักคนกำลังเดินฝ่าฝนออกมาจากมุมมืด

​   เจ้าตัวเปียกโชกไปแทบทุกส่วน เสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวลู่ลงไปตามร่างกายจนเห็นสัดส่วนที่ได้รูป ม่านกำกระเป๋าบังไว้บนหัว มองซ้ายมองขวาก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังทางที่ไม่มีหลังคาบดบัง

​   โชคดีว่ารถเริ่มเคลื่อนตัวหลังจากหยุดชะงักมานาน ทำให้ผมหยุดอยู่ไม่ห่างจากเขา เมื่อเป็นดังนั้น กระจกข้างจึงลดลงพร้อมกับเรียกคนที่กำลังครุ่นคิดถึงทางที่จะกลับโดยไม่ต้องฝ่าออกไปอีก

​   “ม่านน!!”

​   เสียงผมดังแข่งกับเสียงฝนที่เทกระหน่ำอยู่ด้านนอก คล้ายกับอีกคนจะไม่ได้ยินดังนั้นผมเลยต้องตะโกนเป็นรอบที่สอง

​   “ม่าน!!”

​   และครั้งนี้เจ้าของชื่อก็หันมา

​   เขาเอียงหน้าลงเล็กน้อย จ้องมองผ่านความมืดก่อนจะยิ้มทักทายแบบที่เคยทำเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียก

​   “จะไปไหน?”
​   “กลับหอ”
​   “ขึ้นมาก่อน”

​   ผมออกคำสั่งเพราะไม่อยากเสียเวลาถามจนมากความแล้วทำให้เขาเปียกปอนไปมากกว่านี้ แต่ม่านก็ดูเหมือนยังลังเลพร้อมกับยกกระเป๋าขึ้นบังเหนือศีรษะ

​   “ขึ้นมา”

​   เสียงผมต่ำลงกว่าเดิม รอบนี้ม่านมันพยักหน้าแล้วรีบเปิดประตูเข้ามานั่งด้านใน

​   เบาะด้านข้างยวบลงไปตามน้ำหนักที่ถาโถม เขาเสยผมสีดำขลับไปด้านหลัง ใช้แขนที่ชุ่มฉ่ำเช่นกันเช็ดหยดน้ำจากใบหน้า

​   “มีผ้าขนหนูอยู่เบาะหลัง ไปหยิบมาดิ”
​   “ครับ”

​   อีกฝ่ายตอบรับ เอี้ยวตัวหันหลังกลับเพื่อไปเอาผ้าแห้ง ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนที่รดลงยังบริเวณไหล่ คล้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้สังเกตถึงความใกล้ชิดของตัวเองกับผมเลยสักนิด

​   ผมไม่ได้เอาความอะไรต่อ คงเพราะเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจนั่นแหละ ไม่นานผ้าขาวก็ถูกใช้งานจนเปียกหมาด แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังไม่แห้งดีจากการซับน้ำแค่เพียงนิด

​   ผ้าผืนบางที่แนบเข้ากับร่างกายทำให้เห็นผิวเนื้อด้านในแจ่มชัด อีกฝ่ายไม่ได้มีรูปร่างที่ใหญ่โตเมื่อเราเทียบกัน แต่ก็ไม่ได้ผอมบางจนไม่น่ามอง เป็นความสูงโดยเฉลี่ยทั่วไปตามประสาคนที่ชอบออกกำลังกายแค่นั้น

​   “ทำไมวันนี้เธอกลับค่ำ?”

​   เจ้าตัวเอ่ยถามเป็นครั้งแรกหลังจากนั่งมาสักพัก ถือผ้าไว้ในมือพร้อมกับซับน้ำไปเรื่อยๆ

​   “ไปคุยกับอาจารย์มา”
​   “โปรเจคหรอ?”
​   “อืม”
​   “ทำกับใครอ่ะ?”
​   “อาจารย์กฤษ”
​   “อ่อ”

​   ผมตอบแม้สายตาจะยังจดจ้องไปยังท้องถนน มือขวาตบไฟเลี้ยวแล้วหมุนพวงมาลัยตาม เราออกจากแยกที่มีรถแน่นขนัดเพื่อไปยังทางที่โล่งกว่า

​   “แล้วทำไมมึงมาอยู่นี่ได้?”

​   อีกคนหันมามองพร้อมกับเอียงหน้าลง

​   “แวะเอาของมาให้หมอก พอจะกลับฝนก็ตกพอดี”
​   “...”
​   “—น้องเค้าเอง”
​   “กูรู้”

​   คล้ายกับกลัวว่าผมจะเข้าใจผิดว่าเขาไปหาคนอื่น ม่านเลยย้ำสถานะให้ฟังอีกรอบ

​   “ไม่เอารถมาล่ะ?”
​   “รถเข้าอู่ ไปชนมา”

​   คิ้วผมขมวด ไม่เห็นได้ข่าววามันเอารถไปชนอะไรมาก่อน

​   “ชน?”
​   “อืม”
​   “...”
​   “มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ถอยชนต้นไม้ที่หอเลย”

​   เสียงหัวเราะมาพร้อมกับการแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เจ้าตัวเหมือนประหม่าอย่างหนักเมื่อผมถามอย่างคะยั้นคะยอ

​   “เกินไป”
​   “เออดิ เธออ่ะเกินไป...”
​   “...”
​   “...มาลูบหัวเค้าแบบนั้นทำไมวะ”

​   ความเงียบเกิดขึ้นบนรถฉับพลันเมื่อข้อความเหล่านั้นเล่นงานเราทั้งคู่
​   ผมเบือนหน้าหนี ส่วนม่านก็หันไปอีกทาง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหูแดงก่ำของอีกฝ่าย

​   “เอาไปให้เขาเคลมเฉยๆ อาทิตย์หน้าก็ได้แล้ว”

​   ผมไม่ได้ตอบรับ ม่านก็แค่อยากบอกไว้แบบที่เขานั้นทำเป็นประจำ จนกว่าจะมาถึงทางแยก ผมจึงได้ถามพร้อมกับหันไปมอง

​   “หอมึงเลี้ยวขวาแล้วเข้าซอยห้าใช่ป่ะ?”
​   “ไปหอเธอเลย”
​   “ก็จะไปส่งมึงก่อน”
​   “ไปหอเธอนั่นแหละ”
​   “ไปทำไม?”

​   ผมงุนงงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้จะกลับห้องของตัวเอง ทั้งๆที่ทั้งตัวเปียกโชกและไม่น่าเหลือสภาพไปทำอย่างอื่นได้อีก

​   “เฮ้ออ...”
​   “...”
​   “ห้องเค้าไม่ว่าง จะไปรอให้ไอ้เตมารับที่หอเธอแล้วกัน”

​   อีกคนเอนตัวเข้ากับเบาะ อมยิ้มแล้วมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น

​   “ไม่ได้จะขึ้นไปรอบนห้องซะหน่อย จะรอข้างล่างครับ”

​   ผมไม่ได้ตอบ แต่ก็เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่อถึงอะไร เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนสี ผมจึงเลี้ยวพวงมาลัยไปยังอีกทางที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

​   ม่านเดินตามแม้จะลงรถไปก่อน เราเข้ามายังห้องรับรองใต้ตึก อีกคนเลือกนั่งมุมหนึ่งที่อยู่ในสุดห่างจากผู้คนที่สัญจรไปมา ก้มหน้าพร้อมกับถือใช้ผ้าเช็ดตัวที่ขอยืมไว้ใช้

​   ผมมองภาพนั้นอยู่นาน ในใจบอกให้เดินหนีแล้วขึ้นไปยังห้องของตัวเองซะทีจะได้ไม่ต้องเห็นภาพใครบางคนที่เหมือนลูกหมาตกน้ำนั่งอยู่

​   แต่เท้าผมก็ดูเหมือนจะไม่ขยับเลยสักนิด

​   จนสุดท้าย ผมก็แพ้ให้กับความคิดที่อยู่ในหัว

​   “ขึ้นไปห้องกู”
​   “หืม?”

​   ม่านตกใจที่โดนเชิญชวนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาขมวดคิ้ว อาจจะเพราะรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

​   “เค้ารอไอ้เตได้”
​   “เพื่อนมึงจะมาตอนไหนล่ะ?”
​   “...”

​   อีกคนไม่ตอบ และผมก็รู้ว่าคงจะนานแน่ๆ

​   “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
​   “...”
​   “...”

​   เขาเงียบ จนผมเกือบจะหงุดหงิดเพราะมีคนไม่ยอมทำตาม

​   “เค้าไม่ไปดีกว่า”
​   “...”
​   “เธอขึ้นไปพักผ่อนได้แล้ว”

​   คนตัวสูงตอบปฏิเสธ อาจเพราะไม่อยากอยู่กันสองต่อสองกับผมในห้องนอนสี่เหลี่ยม

​   “ม่าน”
​   “รู้แล้วครับ เค้าก็ไม่อยากขัดหรอก แต่ไม่อยากให้คนอื่นมองเธอไม่ดี”

​   เหตุผลของเจ้าตัวทำเอาผมชะงักนิ่งไปนาน ต่างจากคนพูดที่มันเอาแต่ยิ้มจนตาหยี

​   “...”
​   “...”
​   “ไปๆ รีบอาบน้ำด้วยนะเดี๋ยวไม่สบาย”

​   คราวนี้ผมหันหลังกลับแต่โดยดี ครั้นเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องบอกเขาถึงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจ

​   “มึงเป็นห่วงกลัวกูจะไม่สบาย คิดว่ากูไม่ห่วงมึงแบบนั้นบ้างรึไง?”
​   “...”
​   “ถ้าคิดได้ก็ขึ้นมา”

​   ม่านหัวเราะร่า พยักหน้าสองสามครั้งแต่ก็ยังนั่งที่เดิม

​   ผมหลับตาลงแน่นในตอนที่พิงกำแพงห้องนอน โยนกระเป๋าไว้ข้างหมอนก่อนจะเดินไปทำธุระให้แล้วเสร็จ ในตอนที่ชุดใหม่ถูกสวมใส่ โทรทัศน์มีภาพยนตร์ตำรวจไล่จับผู้ร้ายใจกลางเมือง

​   เสียงเคาะประตูห้องผมก็ดังขึ้น

​   ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองอยู่ห้องไหน
​   แต่เขาก็คงรู้ได้จากคนที่ยืนด้านข้าง

​   ม่านยักไหล่พร้อมกับสอดมือเข้าในกางเกงนักศึกษา ต่างจากไอ้ฮั่นที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ


​   “ไอ้สัสม่านเรียกกูมา”


​   ส่วนไอ้ลูกหมาก็ยิ้มร่าแล้วพูดต่อในทันที



​   “ทีนี้เข้าไปได้ยัง?”












#ผาเพียงฟ้า

เด็กมันน่ารักจริงๆเนาะ ;-;


23/7/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 5 | me, you and him P.1 (23/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-07-2019 15:59:47
ม่านนี่มันน่ารักจริงๆ อ่านแล้วเขินทุกตอนเลย :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 5 | me, you and him P.1 (23/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-07-2019 16:13:35
สุดจะแคร์เขา  :heaven
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 5 | me, you and him P.1 (23/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 24-07-2019 03:47:33
ม่านนนนนนน หาแบบม่านได้ที่ไหนนนน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 5 | me, you and him P.1 (23/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-07-2019 17:08:36
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 5 | me, you and him P.1 (23/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 24-07-2019 19:43:50
น้องม่านน่าร๊ากกกกกกกกก

พี่ผาใจอ่อนไวๆ น๊าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 5 | me, you and him P.1 (23/7/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 09-08-2019 00:41:23


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


6

can you take me home?




_________


this is why you're here


_________







   “ย้ายหอมั้ยกูว่า”

​​   คนที่นั่งด้านข้างออกความเห็น ขาทั้งสองข้างในกางเกงยีนขาดๆ ตั้งชัน มือขวาพาดไว้บนนั้น ส่วนมือซ้ายเคาะเขม่าจากการเผาไหม้ให้ตกหล่นลงบนถาดใส

​​   “ก็คิดอยู่เหมือนกันพี่ ช่วงนี้รู้สึกว่าบ่อยเกินไป”
​​   “เห็นมึงไม่ได้นอนห้องเลยสักคืน”
​​   “ก็เข้าใจมันแหละ อยู่กับแฟนทั้งที”

​​   ม่านยกบุหรี่ของตัวเองขึ้นดูดบ้าง เงยหน้าเพื่อพ่นควันขึ้นบนฟ้าแผ่วเบา

​​   “มึงก็รีบจีบไอ้ผาให้ติดแล้วย้ายมาอยู่กับมัน”

​​   เขาหัวเราะเมื่อคนอายุมากกว่าพูดประโยคที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเร็ววัน ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเจ้าของห้องที่ไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกันนั้นมีนิสัยเป็นยังไง

​​   ผาไม่ใช่คนที่จะเดาอารมณ์ได้ง่ายๆ ใครๆ ก็รู้

​​   “ก็อยากดูแลเขาเหมือนกัน...” เขาพูด จ้องมองไปด้านในห้องที่มีใครคนหนึ่งกำลังวุ่นกับการเก็บของพัลวัน “...แต่ก็กลัวจะทำผาอึดอัดด้วย”

​​   ฮั่นหัวเราะเบาๆ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบบุหรี่จรดริมฝีปาก “คิดมากจังวะมึงอ่ะ”

​​   “ถ้าเพื่อนพี่จีบง่ายจะไม่คิดเท่านี้เลย”

​​   คราวนี้เสียงหัวเราะนั้นดังลั่น ทำเอาเขาต้องอมยิ้มเขินตามไปด้วย

​​   “ก็บอกแล้วไง ว่าจะจีบมันก็ให้ทำใจหน่อย”
​​   “อืม”
​​   “...”
​​   “ผมก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วแหละ”

​​   เราเหม่อมองออกไปยังความมืดของท้องฟ้าที่ไม่มีแสงดาว มีเพียงแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องคอยส่องนำทางไปสุดลูกหูลูกตา และมีสายลมเย็นจากความสูงของชั้นสิบเจ็ดคอยพัดผ่าน

​​   “มันไม่ได้ไล่มึง”
​​   “หะ เมื่อกี้พี่ว่าไงนะ?”

​​   เขาเอนหน้าลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคล่าสุดไม่ถนัด อีกฝ่ายยักคิ้วกลับแล้วพูดมันอีกครั้ง

​​   “ปกติแล้วผามันไม่ชอบคนที่เข้ามายุ่งกับชีวิตมันเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ไล่กลับก็แทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำมั้ง”

​​   ความจริงที่ได้ฟังทำเอาใครบางคนก้มหน้าลง แลบลิ้นเลียริมฝีปากเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวกับความรู้สึกที่เริ่มจู่โจมเข้ามาอย่างหนัก

​​   ถ้าอีกฝ่ายพูดแบบนี้ แสดงว่าเขายังมีหวังใช่ไหมนะ?...

​​   “อย่าให้ความหวังผมเยอะ เดี๋ยววันไหนอกหักมาผมช้ำตายพอดี”

​​   เสียงหัวเราะเราสองคนสลับสับเปลี่ยน คนอายุมากกว่าหยิบบุหรี่มวนที่สองขึ้น ก่อนจะจุดติดมันด้วยไฟแช็กที่วางอยู่ไม่ไกล

​​   “อย่ามาโกหกกูหน่อยเลย มึงก็หวังเยอะเหมือนกันน่ะแหละ”

เขาปล่อยให้บุหรี่ในมือมอดไหม้จนเกือบครึ่งมวนโดยไม่ได้ยกมันขึ้น เฝ้ามองควันสีเทาที่ลอยละล่องหายไปกับสายลมที่พัดผ่านไปจนหมด

​​   “หวังดิพี่”
​​   “...”
​​   “เวลาชอบใครแล้วเราก็หวัง ปฏิเสธมันไม่ได้หรอก”

​​   อีกคนเงียบ เราปล่อยให้ความคิดได้แล่นผ่านระหว่างเราทั้งคู่

​​   อย่างที่เขาบอก เวลาที่ได้รักใครสักคน ยังไงเราก็มีความเห็นแก่ตัวซ่อนลึกอยู่ในใจ อยากได้มาไว้ครอบครอง อยากให้เราได้อยู่ชิดใกล้ อยากให้ใครคนนั้นเป็นของเราคนเดียวไปตลอด

​​   มันไม่มีทางที่จะเก็บความหวังลึกๆ ในใจได้หรอก
​​   เขาเป็นแบบนั้น

​​   “ไม่เผื่อใจไว้เลยหรอ?”

​​   อีกคนมีคำถาม จ้องหน้าเขาเพื่อรอคำตอบ

​​   “ไม่รู้จะเผื่อไปทำไม ผมรักใครผมก็อยากรักให้เต็มที่ ไม่อยากมานึกเสียใจทีหลังว่าตอนนั้นน่าจะทำมันให้ดีกว่านี้” เขาเว้นช่วง “แบบนั้น...คงจะดีกว่า”

​​   บุหรี่ที่หมดมวนทำให้เขาต้องบดมันเข้ากับถาดที่วางด้านข้าง

​​   “พังมาก็เจ็บฉิบหายเลยแบบนั้น”
​​   “พี่อย่าเพิ่งแช่งได้ป่ะวะ” เมื่ออีกคนแย้ง เขาเลยสวนกลับไปในทันที เสียงหัวเราะรอบนี้เลยดังกว่ารอบอื่นๆ
​​   “ฮ่าๆ กูขอโทษ”
​​   “ผมยังไม่อยากอกหักเร็วๆ นี้หรอก”

​​   สิ้นประโยค เสียงเปิดประตูบานเลื่อนก็เรียกความสนใจเราได้ทั้งคู่ เจ้าของห้องกอดอกพร้อมกับพิงบานประตูเอาไว้อย่างนั้นเมื่อก้มลงมองคนทั้งสองที่นั่งอยู่

​​   “เป็นไง สนทนากันยามดึกสนุกมากเลยสินะพวกมึง”

​​   เขาเงยมอง คนที่เปลี่ยนมาเป็นชุดลำลองชุดใหม่ยังจ้องอยู่ไม่มีเปลี่ยน ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ฉายแววอะไร แต่ดูเหมือนว่าน้ำเสียงที่อีกคนใช้จะดูอารมณ์ดีกว่ารอบอื่นที่เราเคยเจอ

​​   “ก็ตามประสาคนมีความรักว่ะ” เพื่อนเจ้าตัวเอ่ยทีเล่นทีกวน ทำเอาผายักคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง
​​   “...”
​​   “ใช่ป่ะวะม่าน?”

​​   และระเบิดลูกนั้นมันก็มาลงที่เขาอย่างช่วยไม่ได้
​​   เขาไม่อยากเล่นกับใจอีกฝ่ายมากนัก แต่บางทีมันก็อดแกล้งไม่ได้จริงๆ

​​   “ก็...ประมาณนั้น”
​​   “มึงมันไม่มีความรักมึงไม่เข้าใจหรอก”

​​   ฮั่นพูดก่อนจะทิ้งบุหรี่มวนสุดท้ายยังถาดใสเหมือนกัน เก็บซองกระดาษที่ยังบรรจุก้านขาวเกือบครึ่งไว้ยังกระเป๋าหลังของกางเกงยีน ก่อนจะหยิบไฟแช็กตามไปด้วยเมื่อลุกขึ้น

​​   “สนใจจะเข้าร่วมวงบ้างไหมล่ะ?”

​​   เจ้าตัวหยุดยืนแล้วพูดต่อหน้าอีกฝ่าย

​​   “ก็ดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะเริ่มมีหน่อยๆ แล้วนี่นา”

​​   ปัก!
​​   พร้อมกับโดนกำปั้นชกเข้าหน้าท้องอย่างจัง ก่อนที่คนคนนั้นจะเดินเข้าห้องไปก่อน

​​   “กวนตีน”














#ผาเพียงฟ้า















​​   เสียงคนนั่งลงด้านข้างทำให้ผมต้องหันไปมอง ฮั่นมันหย่อนก้นลงบนเบาะนุ่ม ก่อนที่จะพาดแขนไปกับความยาวคล้ายกับโอบไหล่ผมไปไหนตัว

​​   อีกคนที่เดินตามมาไม่ห่างนั่งลงยังโซฟาตัวเล็กที่อยู่ถัดไป มันในชุดเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายกับกางเกงวอร์มของผมเองทำให้ดูแปลกไปถนัดตา อาจเพราะไม่เคยเห็นม่านใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาก่อน เพราะไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้ง อีกฝ่ายก็มักจะอยู่ในชุดนักศึกษาหรือว่าเสื้อเชิ้ตสีดำธรรมดามากกว่า

​​   ไม่ใช่ชุดลำลองที่เหมือนกับชุดนอนแบบนี้

​​   “เหม็นชิบ”

​​   ผมบ่นอุบให้กับกลิ่นที่โชยแรงหลังจากการดูดบุหรี่ของเพื่อน ฮั่นหัวเราะเล็กน้อย เคาะนิ้วเป็นจังหวะบ่นไหล่ข้างขวาของผมเอง

​​   “สัส!”
​​   พลัก!

​​   และในจังหวะที่มันเอนตัวเข้าหาผมเพื่อแกล้ง แรงที่ส่งไปก็ทำให้อีกฝ่ายเอนหลังไปอย่างจัง มันเกือบจะล้มถ้าไม่ใช้มือซ้ายยันไว้กับโซฟาด้านหลัง แล้วกลับมานั่งดังเดิมพร้อมเสียงหัวเราะจากการหยอกล้อ

​​   หลังจากนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันอยู่ไม่นาน เราจึงตกลงกันว่าจะไปทานข้าวหลังจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เย็น ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ไปพลาง ดูภาพยนตร์ไปพลาง จนเกือบจะถึงเวลาที่ตกลงกันไว้ ฮั่นก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวจะออกไปตามที่นัด

​​   เหลือผมกับม่านที่นั่งด้วยกันสองต่อสอง
​​   ในระยะห่างที่มากพอ แต่ก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ ไปด้วยเช่นกัน

​​   “ใส่ได้ใช่ป่ะ? ชุดกู” ผมเอ่ยถาม วางเครื่องสีดำไว้ด้านข้างแล้วหยิบหมอนขึ้นกอด มองเห็นอีกฝ่ายขยับตัวไปมาเพื่อย้ำคำตอบของตัวเองอีกที

​​   “ได้ดิ พอดีเลยเนี่ย”

​​   ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ม่านกลับเป็นฝ่ายต่อบทสนทนานั้นเสียเอง

​​   “ขอบคุณนะเรื่องเสื้อ”
​​   “อืม”
​​   “เรื่องที่ให้เค้าขึ้นมารอบนห้องอีก”
​​   “...”
​​   “ห้องเธอน่ารักกว่าที่คิดเยอะเลย”

​​   เจ้าตัวมันพูดก่อนจะยิ้มกว้างพร้อมกับกอดอกไปพร้อมกัน ผมถอนหายใจยกใหญ่ เพราะไม่ว่ายังไง

​​   คำว่าน่ารักมันก็ดูจะไม่เข้ากับตัวเองเลยแม้แต่น้อย

​​   คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากันเป็นปม มองไปรอบๆก็ไม่เห็นจะพบกับความน่ารักแบบที่เขาบอก ก็แค่ห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา มีเฟอร์นิเจอร์ โซฟา และของตกแต่งเหมือนกับห้องของเพื่อนคนอื่นๆ

​​   “ประสาท”

​​   เหมือนกับว่าอีกคนจะชอบประโยคที่ส่งให้เสียมากกว่า เพราะคราวนี้ม่านมันยิ้มร่าจนตาปิด

​​   “เดี๋ยวเค้าซักชุดแล้วจะคืนให้นะ”
​​   “ไม่ต้องซักก็ได้”
​​   “ซักเหอะ เมื่อกี้ดูกับพี่ฮั่นไปแล้ว กลิ่นมันยังติดอยู่เลย”

​​   อีกฝ่ายบอกเหตุผลกลับมา เมื่อเจ้าตัวยังดื้อรั้นผมเลยไม่ได้เท้าความอะไรต่อ ปล่อยให้มันทำตามใจโดยไม่คิดจะปฏิเสธ

​​   “เรื่องหอน่ะ จะเอายังไง?”

​​   เมื่อเงียบไปนานจนดูอึดอัด ผมเลยถามคำถามที่เก็บเอาไว้อยู่ตลอด

​​   “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าคงไปดูๆ ไว้ละ จะย้ายออกจริงๆ แล้วแหละ”

​​   ผมเห็นด้วยกับคำที่เจ้าตัวพูดเลยพยักหน้าตอบ ก็พอจะเข้าใจไม่น้อยเวลาที่เจอสถานการณ์แบบนั้นเข้า การที่ออกมาอยู่คนเดียวคงจะสะดวกและสบายใจมากกว่า

​​   เราจบการพูดคุยกันไว้แค่ตรงนั้นเพราะฮั่นออกมาพอดี อาจจะเพราะผมไม่ชอบให้เพื่อนมองด้วยสายตาแปลกๆ เลยพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายเวลาเรามีคนรายล้อมรอบกายเป็นจำนวนมาก

   มื้อดึกที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เราซัดมันอย่างหนักด้วยความหิวโหย ตามแพลนแล้ว เราแค่จะมาทานข้าวแล้วกลับ แต่ทุกอย่างก็ต้องตาลปัตรเมื่อเพื่อนคนอื่นๆ โทรตามให้ไปหา

   เพราะม่านกับไอ้ฮั่นมันไม่อยากไปๆ กลับๆ ห้องผม การที่เราเลือกมานั่งร้านเหล้าเพื่อฆ่าเวลาจึงเป็นข้อเสนอที่ดีไม่น้อย

   เพื่อนคนอื่นดูจะแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคนอายุน้อยกว่าเดินตามหลัง แต่แค่เพียงเสี้ยววิที่พวกมันทำหน้าสับสน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทำการต้อนรับรุ่นน้องคนสนิทอย่างดีแบบที่เคยเป็นมาตลอด

   ผมนั่งข้างไอ้ติน เวลาแบบนี้ความเงียบของผมและมันดูจะเข้ากันเป็นอย่างดี

   “วันนี้กูเจอน้องโมว่ะ” เมื่อดื่มไปได้สักพัก สิงห์นักล่าอย่างไอ้เหนือก็พูดอย่างโอ้อวดพร้อมกับยักคิ้วไปด้วย

   “น้องโมบัญชี”
   “ตาโตๆ ผมสั้นๆ หุ่นแบบ—อ่ะ” มันเว้นช่วงด้วยการทำมือไปพลาง เป็นรูปร่างโค้งเว้าของร่างกายหญิงสาวอย่างแจ่มชัด ผมที่มองอยู่ห่างๆ ส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มจนหมด

   ไม่รู้ทำไม วันนี้ดูมันจะลื่นคอกว่าวันอื่นๆ

   “นั่นไงๆๆ” เมื่อคนที่พูดถึงเดินผ่าน เจ้าตัวก็รีบพยักพเยิดอย่างแนบเนียนไปทางด้านเป้าหมาย สายตาชายหนุ่มหลายคนจับจ้องไปทางเดียวกันโดยอัตโนมัติ ไม่ต่างจากไอ้ติน ผม และม่านก็ด้วยเช่นกัน

   “เฮ้ยๆๆ มึงมองไรม่าน”

   เมื่อมีคนตาดีเห็นเหตุการณ์ คนที่นั่งเยื้องไปยังฝั่งตรงข้ามก็หันกลับมาแล้วส่ายหน้าพัลวัน

   “เปล่าพี่”
   “กูเห็นนะว่ามึงมองอ่ะ” นาวาชี้หน้ารุ่นน้อง สายตาของคนโดนกล่าวหาเหลือบมองมาทางผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหน้ายุ่งแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
   “...”

   คราวนี้ม่านมันเงียบเพราะคงเถียงไม่ไหว ก็หลักฐานมันปรากฏชัดอยู่ทนโท่ คนอื่นๆมองหน้าผมสลับกับมันคล้ายกับว่าตลกที่ได้หยอกล้อ จนม่านต้องหันมาอีกรอบแล้วเอ่ยบอกแก้ตัว

   “เธออย่าเข้าใจผิดนะ”

   เพราะประโยคสั้นๆ ของมันทำให้นาวายิ้มร่า ไม่ต่างจากเสือยิ้มยากอย่างไอ้ติน ดูๆแล้วมันก็คงจะได้ใจเพื่อนผมไปหมดแล้วล่ะมั้ง

   “แล้วมึงมองจริงมั้ยล่ะ?”

   ลำคอแกร่งขยับไปตามจังหวะการกลืนน้ำลาย เห็นได้ชัดว่าคงกลัวผมจะโกรธ

   “มองก็มองดิ กูยังไม่ได้ว่าไรเลย”

   ผมยกแก้วขึ้นดื่ม ก่อนที่ไอ้ฮั่นจะกอดคอม่านเพื่อกระซิบอะไรสักอย่างอย่างอารมณ์ดี แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาของมันก็ยังจ้องผมอยู่ตลอด คงจะรู้สึกผิดติดตัวมันนั่นแหละ

   ก็จริงที่ว่าผมไม่ได้โกรธ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย

   ผมปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นผ่านไป ยังไงซะเราก็ไม่ได้ผูกมัดทางความสัมพันธ์เหล่านี้สักหน่อย ถ้าให้พูดตามตรง เราก็ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องผูกมัดอะไรอยู่แล้ว เพราะความคลุมเครือที่เกิดขึ้นไม่มีตรงไหนที่มันชัดเจนเลยสักนิด

   แก้วที่อยู่ตรงหน้าถูกเติมครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือนครั้งนี้ผมจะยอมให้ฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์เข้าเล่นงานแต่โดยดี

   บุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะถูกขโมยโดยคนที่ไม่ค่อยชอบสูบแบบชาวบ้านที่นั่งโดยรอบ ผมวางมันจรดฝีปาก ป้องมือเพื่อบังลมนิดหน่อย ก่อนจะหมุนฟันเฟืองของไฟแช็กให้แสงสว่างวาบแล้วสูบเอาความหอมหวานเข้าปอด

   ความรู้สึกอุ่นร้อนค่อยๆ ไหลเข้าสู่ห้วงของความรู้สึก ผมดำดิ่งกับความมึนเมาอันแสนเย้ายวน คล้ายกับมีบางสิ่งพร่ำเรียกตัวเองอยู่ปลายทาง มันกรีดร้องโหยหาความต้องการบางอย่างที่ซ่อนตัวไว้ยังส่วนลึกสุดของหัวใจ

   สายตาผมจับจ้องไปที่ใครบางคน คนคนนั้นมีรูปร่างสมส่วน หน้าตาอ่อนหวาน

   และดูเหมือนจะปลุกความต้องการผมได้เป็นอย่างดี

   กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองลุกออกจากที่นั่งก็ในตอนที่เสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นอีกรอบ ผมยังไม่ทิ้งมวนบุหรี่ที่อยู่ในมือ ค่อยๆ สูบอย่างไม่เร่งรีบพร้อมกับเดินตามคนตรงหน้าไปไม่ห่างหลังจากได้รับสัญญาณของหญิงสาว

   และในตอนที่ผมกำลังจะตัดสินใจเข้าประชิด ข้อมือผมก็ถูกรั้งไว้แล้วโดนออกแรงให้เดินตามไปยังมุมมืด

   อาการมึนในตอนแรกหายไปจนเกือบหมด ผมมองร่างสูงที่เดินนำหน้า เขายังไม่หันกลับมา ปล่อยให้ความเงียบได้แล่นผ่านพร้อมกับสายผมที่พัดความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจ

   ม่านนั่งลงยังม้านั่งสักแห่งในมุมมืด ก้มหน้าลงชิดข้อมือที่ยังไม่ปล่อยไปไหน

   “...”
   “...”

   เมื่อเจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร ผมเลยจะชักมือกลับเพราะรู้สถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

   แต่ถึงอย่างนั้นม่านก็รั้งมันไว้อีกเป็นครั้งที่สอง

   “ไม่ไปกับเขาได้มั้ย?”
   “...”
   “นะครับ”

   เสียงขอร้องแหบพร่า ก่อนที่หน้าตาจริงจังจะเงยมอง ผมยังกัดริมฝีปากไว้แน่น หายใจเข้าออกเป็นจังหวะเพื่อผ่อนปรนความร้อนที่อยู่ภายใน

   “เค้าไม่อยากให้เธอไปเลย”

   ผมหลับตาแน่น พันธนาการจากแขนแกร่งเตือนสติตัวเองได้มากโข

   “อืม”
   “...”

   เสียงตอบรับแผ่วเบาทำเอาอีกฝ่ายมองไปทางอื่น

   “ปล่อยได้แล้ว”

   สิ้นสุดประโยค ม่านก็ยอมปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ เขาสานมือเข้าหากันแล้วใช้ศอกเท้าไว้กับเข่า ก้มหน้าทำเอาเส้นผมสีดำขลับตกลู่ไปตามแรงโน้มถ่วง

   “ขอโทษนะ” เจ้าตัวเอื้อนเอ่ย “จะด่าก็ได้ รอบนี้เค้าเห็นแก่ตัวกับเธอเกินไปหน่อย”

   ผมที่นั่งลงด้านข้างเท้าแขนไปด้านหลัง เหม่อมองท้องฟ้าที่ไร้หมู่ดาวในตอนที่เรานั่งข้างกัน
   ก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวเพื่อตอบรับ

   “ไม่เป็นไร”
   “...”
   “ขอบคุณมึงซะอีก กูจะได้เลิกทำเหี้ยกับคนอื่นซะที”

   ผมเงียบ ม่านก็เงียบ

   “แล—”

   ดูเหมือนอีกคนต้องการจะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยมันออกมา ม่านยังนั่งก้มหน้าเอาไว้อย่างนั้น

   คล้ายกับว่าอีกฝ่ายยังเก็บหลายอย่างเอาไว้ในใจ อาจเพราะรู้ดีว่าการที่ผมต้องการจะไปกับคนอื่นนั่นมันหมายถึงว่าความรู้สึกที่เจ้าตัวส่งมามันยังไม่มากพอให้ผมหยุดอยู่ที่ตัวเองได้ ไม่ได้ผูกมัดอะไรผมไว้จากความพยายามที่ผ่านมา

   ก็คงจะเสียใจไม่น้อยแหละมั้ง
   กับการที่ผมไม่ได้ตอบรับอะไรกลับไปแบบนี้

   “ขอโทษครับ”

   เขาพูดเสียงแหบ ตั้งใจจะลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังทางที่จากมา แต่คงไม่เร็วเท่ามือผมที่คว้าร่างสูงเอาไว้

   แล้วขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย


   “ไปส่งกูหน่อย”


   เพื่อให้ตัวเองไม่ดูใจร้ายจนเกินไป


   กับคนที่แอบชอบ
   และกับคนที่มีโอกาสจับมือผมแต่เจ้าตัวก็ไม่ทำ เพียงแค่จับมันให้สูงขึ้นกว่านั้น บนข้อมือที่อีกคนเลือกจะสัมผัสมันอย่างตั้งใจ


   เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง
   ผมถึงไม่กล้าไล่มันไปไหนสักที












#ผาเพียงฟ้า

ก็ยังจะพูดคำเดิมว่าม่านมันน่ารักมากๆ แงง ;-;


9/8/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 09-08-2019 03:42:25
ฮืออออออ ม่านก็คือม่านนนนน น่ารักมากกกกกกก หาแบบม่านได้จากที่ไหนอี๊กกกกกกกกกกกกก เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ มาอัพบ่อยๆน้า อ่านวนสามรอบเเล้ว หลงรักม่านมากกก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-08-2019 00:44:46
ม่านนน มีความน้องงง เขาไม่ได้คบกัน ไม่ได้หวาน ไม่หวือหวา แต่อ่านแล้วทำให้เขินได้ จะว่าไปผาก็ใจอ่อนมากแล้วนะเนี่ย  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 10-08-2019 20:09:16
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-08-2019 22:30:09
ไม่มีฉากหวาน ไม่มีฉากโรแมนติก แต่ทำไมอ่านแล้วเขิน :hao7: :hao7:

ชอบเวลาน้องม่านคุยกับพี่ผา  "เธอ" "เค้า" :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 14-08-2019 12:54:59
ม่านน่ารักฝุดๆ
ผาเพียงฟ้าอยู่แค่เอื้อม
สู้ต่อไปตัวเทอ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-08-2019 15:09:13
โอ๊ยยยยยย TT
ใจแป้วแทนม่านไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 6 | can you take me home? P.1 (9/8/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 04-09-2019 00:35:24


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


7

I'm not lying






​​   น้ำในอ่างถูกวักขึ้นล้างหน้าอย่างแรงเพื่อเรียกสติ ผมมองคนในกระจกอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นยังมีแววตาที่แฝงไปด้วยอารมณ์คงค้างของฤทธิ์แอลกอฮอลล์ อารมณ์ของผมกำลังขึ้นลงอย่างไม่มีจุดหมาย

​​   บางครั้งมันลอยสูงจนถึงปุยเมฆ แต่บางคราวมันก็ดำดิ่งลงสู่หุบเหวของความปรารถนา

​​   น้ำเย็นถูกรินลงในแก้วใสจนปริ่ม อันที่จริงผมลังเลระหว่างมันและกระป๋องเบียร์ที่ยังแช่อยู่ แต่เพราะไม่อยากเติมความรู้สึกต้องการให้มันมากกว่าเก่า ผมเลยดับกองไฟที่กำลังมอดไหม้นั้นเสีย

​​   ก่อนที่มันจะลุกลามไปยังบริเวณอื่น

​​   หลังจากผมดื่มน้ำจนหมด สองมือก็เท้าลงไปกับเค้าน์เตอร์อีกรอบเพื่อครุ่นคิดไปถึงหลายอย่างที่เพิ่งเกิด

​​   ผมเมา
​​   และผมต้องการมีเซ็กส์กับผู้หญิงสักคนในร้านเหล้าที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน มันเป็นความรู้สึกพื้นฐานของผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นด้วยความเลือดร้อน อะดรีนาลีนพรั่งพรูตามฮอร์โมนในตัว

​​   แต่แล้วใบหน้าของใครบางคนก็ฉายชัดเข้าแทนที่ ความรู้สึกผิดถาโถมผมอีกครั้ง เพราะใบหน้าม่านที่กำลังเสียใจล่ะมั้งเลยทำให้รู้สึกแบบนี้ มันไม่ยอมพูดอะไร ฉาบเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแม้จะผิดหวังก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเรากำลังผิดปกติ

​​   และผมเดาถูก

​​   ม่านก็แค่ไม่อยากเข้ามายุ่งกับเส้นที่ขีดไว้เพราะกลัวว่าผมจะผลักมันออกอีกรอบ ผมเข้าใจดี ความกลัวของการแอบชอบมันไม่ใช่เรื่องเล็กในโลกของคนที่หวัง

​​   ผมให้มันมาส่งที่หอ ถ้านับตั้งแต่คุยกันมานี่ก็คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมยอมเอ่ยปากขอ เจ้าตัวยังคงทำเช่นเดิม แต่ผมก็เห็นสิ่งที่ต่างไปจากความอึดอัดที่มันลดลงเรื่อยๆยามที่ได้นั่งข้างคนขับ

​​   ม่านบอกลาอย่างอ้อยอิ่งอีกครั้งในตอนที่มาถึง ก็แบบฉบับมันนั่นแหละ อยากอยู่ด้วยกันนานๆ อยากให้ผมอยู่เคียงข้างมันแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ

​​   แต่ไม่มีใครสามารถหยุดเวลาเอาไว้ได้แม้แต่พระเจ้า

​​   เราเลยต้องลาจากพร้อมกับรอยยิ้มของอีกฝ่ายคล้ายต้องการจะบอกว่าฝันดี

​​   ระเบียงห้องถูกเลื่อนออก สายลมพัดผ่านแทรกเข้ามาจนเส้นผมปลิวไปตามแรง ผมนั่งลงยังที่เดิมที่มักจะนั่งประจำ ดึงบุหรี่หนึ่งมวนออกจากซองสีเขียวที่อยู่ด้านหลัง จุดไฟแช็กตรงก้านแล้วสูบมันเข้าปอด

​​   Pha : นอนยัง?

​​   ผมชั่งใจกดส่งอยู่นานหลังจากลบแล้วพิมพ์ข้อความนั้นหลายรอบ ไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบ เลยตัดสินใจกดปิดหน้าจอแล้วพ่นควันขาวขึ้นสูง

​​   ถ้าเขาส่งกลับมา นั่นหมายความว่าผมจะไม่เหงา
​​   แต่ถ้าเขาไม่ตอบ ผมก็แค่ผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างยากลำบากนิดหน่อย

​​   ก็ม่านมันบอกแล้วว่าทักได้ ก็ลองทักไปไม่น่าจะมีอะไรเสียหายล่ะมั้ง

นอนแล้ว : AMAN

​​   เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นก่อนพร้อมกับการสั่นของเครื่องสี่เหลี่ยม จากนั้นข้อความก็ปรากฏเด่นชัดบนหน้าจอ

​​   Pha : กวนตีน
555555555555 : AMAN

​​   อีกคนหยอกล้อ ก่อนจะรัวเลขห้าส่งมาตามเดิม

sent a photo : AMAN
กินป่าว? : AMAN

​​   รูปแฮมเบอร์เกอร์พร้อมกับเครื่องเคียงหลายอย่างเด้งขึ้นมาให้เห็น เขามองเฟรนช์ฟรายและโค้กแก้วใหญ่ที่เป็นของโปรด ถ้าไม่ใช่เวลาแบบนี้ผมคงดั้นด้นไปหามันมาจนได้

​​   Pha : sent a photo
​​   Pha : ดูดอยู่

สองสามตัวพอนะครับ : AMAN
โอเคนะ? : AMAN

​​   คราวนี้มันห้าม ไม่บ่อยนักเหมือนกันที่จะไม่ตามใจ
​​   แถมทำแบบนี้ก็เป็นนิสัยที่ผมชอบเสียด้วย

​​   Pha : โอเคครับ

​​   แ​​จ้งเตือนที่บ่งบอกว่าคู่สนทนากดอ่านขึ้นทันทีที่ส่งกลับ คราวนี้ม่านเงียบไปนาน นานพอจนผมจุดบุหรี่มวนที่สองเขาก็ยังไม่ได้ตอบรับอะไรกลับมา

​​   Pha : หาย

​​   ผมทักท้วง คงเพราะต้องการคนคุยด้วยล่ะมั้ง

เธอนะ : AMAN

​​   เขาส่งมาหนึ่งประโยคแล้วเงียบไปอีก แถมเป็นประโยคที่มีใจความงุนงงทำเอาผมต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน

​​   ต้องการอะไรของเขา?

เธอน่ะนะ : AMAN
น่ารักชิบหายเลยว่ะ : AMAN

​​   ถึ​​งแม้จะมีคำไม่สุภาพแฝงมา แต่ใจผมก็ยังเต้นรัวกับข้อความเหล่านั้นโดยห้ามไว้ไม่ได้

​​   โ​​ดนมันชมเป็นร้อยครั้ง
​​   หยอดด้วยคำหวานอีกร้อยหน

​​   แต่ครั้งที่ร้อยหนึ่งทำไมมันเขินจนต้องรีบปิดหน้าจอหนีแบบนี้

ทำไมต่อหน้าไม่พูดเพราะแบบนี้บ้างล่ะ? : AMAN
น่ารักจะตาย : AMAN

​​   ผมปล่อยให้ข้อความเด้งขึ้นโดยไม่กดดู จนกว่าจะผ่อนปรนให้จังหวะบนอกซ้ายกลับมาเป็นปกติ จึงคว้าเครื่องสีดำขึ้นรัวแป้นพิมพ์อีกครั้ง

​​   Pha : กูเป็นผู้ชาย
​​   Pha :  กูน่ารักไม่ได้

เค้าหมายถึงนิสัย : AMAN
ไม่ได้หมายถึงหน้าตา : AMAN

​​   เสียงรถเคลื่อนผ่าน แสงไฟสว่างวาบไปตามการเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว

ทำไมคนคนนึงจะน่ารักไม่ได้แค่เป็นเพศชายอ่ะ : AMAN
น่ารักคือน่ารัก จะเป็นเพศไหนก็น่ารักได้ทั้งนั้นแหละ : AMAN
​​   Pha : สรุปคือจะชมกูงั้นดิ?
อืม : AMAN
ชมเธอ : AMAN
​​   Pha : ปากหวานสัส
แล้วชอบมั้ยล่ะ? : AMAN

​​   คราวนี้ม่านหยั่งเชิงบ้าง เจ้าตัวคงได้ใจไม่น้อยเมื่อเรากำลังเพลิดเพลินกับการโต้ตอบ

​​   Pha : ไม่รู้
​​   Pha : ยังไม่ได้ลอง


​​   ผมลองหยอด รอยยิ้มเลยปรากฏบนใบหน้า เพราะคราวนี้ผมรู้ทันทีว่าม่านมันคงจะช็อกแน่ๆ ผมเองก็ไม่อยากเล่นกับใจอีกฝ่ายมากนักกลัวว่าจะเป็นการให้ความหวังมากไป แต่สถานการณ์แบบนี้ม่านมันคงรู้ได้ว่าผมตั้งใจกวน

อย่าไปพูดแบบนี้กับใครได้มั้ยอ่ะผา : AMAN
ถือว่าขอ : AMAN
​​   Pha : จะพยายาม
ง่า : AMAN
555555555 : AMAN
​​   Pha : อันที่จริงกูก็ไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว
​​   Pha : ทุกวันนี้มีแต่มึง


​​   เมื่อลองอ่านประโยคของตัวเองอีกทีใบหน้าผมก็ร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมไม่ตั้งใจจะให้มันสื่อความหมายไปในทางแบบนั้น ที่ผมต้องการจะบอกคือมีแค่มันที่วอแวตัวเองได้ทุกวันต่างหาก

​​   แต่ไม่รู้ว่าม่านจะเข้าใจไปทางไหน

​​   แม่ง
​​   ไปกันใหญ่เลยทีนี้

ทำไมวันนี้อ้อนจังเลย : AMAN
หรือว่าเมา? : AMAN
​​   Pha : อืม
​​   Pha : เมา
​​   Pha : 55555

แล้วเค้าช่วยอะไรเธอได้บ้างมั้ยเนี่ย? : AMAN
​​   Pha : ก็ช่วยไปแล้ว

​​   บุหรี่มวนที่สามของผมกำลังจะหมดก้าน และตามคำสัญญาที่ให้ใครสักคนไว้ตั้งแต่ต้น มันเลยเป็นมวนสุดท้ายที่ผมจะสูบแล้วกลับเข้าไปในห้อง

อืม : AMAN
โอเค555555555 : AMAN

​​   คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกถึงความกังวลเมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์ที่ผมเมาแล้วจะไปกับคนอื่น ม่านรัวเลขห้าส่งมาอีก ดูเหมือนมันอารมณ์ดียิ่งกว่าตอนไหนที่ได้เจอ

ผา : AMAN
​​   Pha : ว่า?
เค้าไม่ได้รีบนะ : AMAN
จริงๆ : AMAN

​​   อีกฝ่ายบอกแบบนั้น และคำขอร้องต่างๆก็ถูกส่งมาเพิ่มเติม

ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแบบนี้เค้าก็พอใจแล้ว : AMAN
ขอแค่เธออย่าเพิ่งรีบตัดสินเค้าก็พอ : AMAN
เค้ายังมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะให้และอยากจะทำกับเธอ : AMAN
ค่อยๆ ให้เวลาพามันไปนะ : AMAN
แบบนี้ : AMAN
ได้รึเปล่า? : AMAN

​​   โทรศัพท์สั่นรัวเมื่อมีข้อความส่งมาเรื่อยๆ คราวนี้โปรแกรมแชทดูหนักไปทางซ้าย จากข้อความของเขาพร้อมกับความในใจมากมายที่ต้องการจะบอก

​​   อันที่จริงผมรู้ดีอยู่แล้วแหละโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยถึง ผมมองการกระทำมากกว่าคำพูด

​​   และบังเอิญว่าม่านก็เป็นคนแบบนั้น

​​   Pha : อืม

​​   ผมลุกขึ้น ปัดเศษฝุ่นบนกางเกงแล้วกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูสีขาวออกมาก่อน ตามด้วยชุดที่ต้องการจะสวมใส่หลังจากนี้

​​   Pha : กูจะไปอาบน้ำแล้ว

​​   เมื่อไม่อยากเสียมารยาท การบอกลาจึงเกิดขึ้นในทันทีเพราะไม่อยากปล่อยให้มีใครรอถ้าจะไม่ตอบกลับ ผมค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น พร้อมกับก้มลงมองหน้าจอเมื่อม่านตอบรับแทบจะทันที

ต้องบอกฝันดีกันแล้วอ่ะดิ : AMAN
​​   Pha : คงงั้น
ขอบคุณที่ทักมานะ : AMAN
​​   Pha : ขอบคุณทำไม
ไม่รู้ : AMAN
555555555 : AMAN
แค่อยากขอบคุณอ่ะ : AMAN
​​   Pha : เพ้อเจ้อ
5555555555 : AMAN

​​   เลข 5 ปรากฏบนหน้าจอเสียยืดยาว หยิบกองผ้าที่ตกลงบนพื้นใส่ตะกร้า แล้วหันกลับมาหาโทรศัพท์อีกรอบ

​​   ดูเหมือนวันนี้ผมจะวุ่นกับมันมากกว่าปกติเสียจริง

เอาเป็นว่า ฝันดีครับ : AMAN
​​   Pha : อืม
ไม่ใช่ : AMAN
​​   Pha : อะไร?
เธอต้องบอกว่าฝันดีเหมือนกัน : AMAN
​​   Pha : ฝันเอานะ
อ่าว5555555555555555555 : AMAN

​​   มันคงรู้ความหมายของประโยคผมดี ไม่ใช่การบอกฝันดีแบบที่คิด แต่เป็นการบ่นรูปแบบหนึ่งที่ไม่มีคำหยาบใส่ลงไป

​​   Pha : ไปนอน
อืม^^ : AMAN
ฝันดีอีกรอบ : AMAN

​​   เมื่อหน้าจอดับสนิทลงแล้ว ผมก็เตรียมตัวจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่เสียงเตือนของมันก็ดังขึ้นจนผมต้องถอนหายใจออกมา ม่านมันก็จนได้ รั้งผมเอาไว้ทำไมก็ไม่รู้

ผา : AMAN
​​   Pha : อะไรอีก
​​   Pha : กูไม่ได้อาบน้ำเพราะมึงเนี่ย


​​   ความหยาบคายกำลังเพิ่มระดับ เพราะผมเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ทำดั่งใจ

​​   Pha : เร็ว

​​   ผมเร่ง อันที่จริงก็ผ่านไปแค่ไม่กี่วิ

ถ้าพรุ่งนี้เค้าชวนเธอไปกินข้าว : AMAN
เธอจะไปไหม? : AMAN

​​   คำขอร้องของอีกฝ่ายทำเอาผมต้องชะงักค้าง กำเครื่องสีดำอยู่นานก่อนจะใช้สมองประมวลผล

โอเค : AMAN
ไม่เป็นไร4555555 : AMAN
ไปอาบน้ำเหอะ : AMAN

​​   เพราะรู้แหละมั้งว่าจะโดนปฏิเสธ ม่านมันเลยหัวเราะกลบเกลื่อนแบบที่ทำมาเสมอ

​​   เมื่อเป็นดังนั้น ผมเลยลองเลือกทางที่ต่างออกไป

​​   Pha : กี่โมง?

​​   ใจผมเต้นรัว คงไม่ต่างจากใจอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนนี้

เย็น : AMAN

​​   คนอายุน้อยกว่าตอบสั้นๆ ดูไม่เป็นธรรมชาติสำหรับคนพูดมากอย่างมันเท่าไหร่

​​   และต่อจากนั้น ผมก็ตอบกลับพร้อมกับคำอุทานที่ส่งให้จนต้องหัวเราะออกมา

​​   Pha : อืม
เชี่ย : AMAN
​​   Pha : ไปดิ

​​   เป็นการตอบตกลงที่เหมือนตัวเองโดนด่ายังไงก็ไม่รู้













#ผาเพียงฟ้า
















​​   เขาไม่คิดว่าการชวนครั้งนั้นจะได้ผล แค่ขอออกไปเล่นๆ แต่บังเอิญว่าคำตอบคือการตกลงของอีกฝ่าย

​​   ผาดูอารมณ์ดีกว่าปกติที่เราได้คุย เจ้าตัวหยอกล้ออยู่ตลอดในตอนที่ตอบกลับมา ปกติแล้วจะนิ่งเสียมากกว่า คงเพราะไม่อยากให้ความหวังเขามากเกินไป

​​   อย่างที่บอกไป เขาพอใจกับความสัมพันธ์ของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยของอีกฝ่าย การที่โดนกักกันเอาไว้ไม่ให้ก้าวเข้าไปใกล้กว่านั้น รวมทั้งการที่บางครั้งไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กลับมา

​​   เขาปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลา

​​   สักวันเขาหวังว่าผาจะมองเห็นความพยายามที่ผ่านมาของตัวเอง

​​   “ม่าน”
​​   “ว่า?”

​​   เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้น หันไปมองก็พบเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างกันกำลังกระดกกระป๋องน้ำอัดลมเพื่อดื่ม

​​   “มีแข่งก่อนรับน้อง อย่าลืมล่ะ”

​​   อีกฝ่ายเอ่ยเตือนถึงแมทช์สำคัญที่ใกล้เข้ามาถึง เป็นงานกีฬาระหว่างคณะที่จัดขึ้นโดนมหาวิทยาลัย มีการแข่งขันที่เปิดให้นักศึกษาเข้าร่วมอยู่หลายประเภท ทั้งฟุตบอล บาสเกตบอล ว่ายน้ำ ฟันดาบ รวมถึงเทควันโด

​​   และมีหนึ่งในนั้นที่เขาต้องลงแข่งเพื่อเป็นตัวแทนของคณะในครั้งนี้

​​   “พี่เต็มนัดซ้อมยังวะ?”

​​   ไอ้แทนพยักหน้า ก่อนบอกรายละเอียดตามมาทีหลัง “ตารางในกลุ่มไลน์ เมื่อกี้กูดูคร่าวๆ จำไม่ได้แล้วว่าวันไหนบ้าง”

​​   “เค”

​​   มันเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เมื่อเขารู้สึกว่างมากเกินไปจึงหยิบบุหรี่ขึ้นสูบ

​​   “ว้าวว”
​​   “อะไร?”

​​   เพื่อนสนิทร้องทัก พยักหน้าสองสามครั้งคล้ายกำลังกวนตีน

​​   “ไหนบอกว่าลดอยู่ไง”
​​   “เออ กูลดอยู่”
​​   “แต่มึงก็ดูด”
​​   “อยากคลายเครียดบ้างว่ะ”
​​   “ไปเครียดอะไรมา”
​​   “เปล่า” เขาเว้นช่วง “จะไปกินข้าวกับผา แต่กูตื่นเต้นนิดหน่อย”

​​   คราวนี้มันอ้าปากค้าง เพราะรู้ดีอยู่แล้วล่ะมั้งว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ

​​   “ทานข้าว?”
​​   “ใช่ ทานข้าว”
​​   “มึงชวน?”
​​   “ผาคงชวนกูมั้ง”

​​   เสียงหัวเราะดังก่อนที่มือมันจะตบเข้าที่หลังเสียแรง เขายกมือขึ้นเสยผม จรดก้านข้าวไว้บนริมฝีปาก

​​   “กูก็ไม่คิดว่าพี่ผาจะชวนมึงหรอก”

​​   คราวนี้เขาหัวเราะบ้าง ก็จริงของมัน ถ้าผาทำแบบนั้นเขาก็คงต้องฉุกคิดว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย

​​   “ทำไมรอบนี้เขาถึงยอม?”
​​   “ไม่รู้เหมือนกัน” ร่างสูงส่ายหน้าเป็นคำตอบ พ่นควันออกจากปากแล้วพูดต่อ “คงเรื่องคืนก่อนละมั้ง”
​​   “ที่มึงบอกว่าเขาจะไปกับผู้หญิง?”
​​   “อืม”

​​   เรื่องที่เกิดขึ้นถูกส่งผ่านไปให้เพื่อนสนิทได้รับรู้ ต้องบอกว่าคืนนั้นมันเห็นเหตุการณ์ก่อนแล้วบอกเขาต่างหาก ไม่งั้นเขาก็คงตามไม่ทันเหมือนกันในจังหวะที่ละสายตา

​​   “กูว่ามึงคงรู้อยู่แก่ใจแหละ”

​​   คราวนี้เขาหัวเราะในลำคอ เป็นฝ่ายมองทอดออกไปยังภาพวิวบ้างเพราะไม่อยากสบตากับเจ้าตัว

​​   “ทำไมจะไม่รู้วะ”
​​   “...”
​​   “ว่าผาไม่ได้คิดอะไรกับกูเลย”
​​   “อืม”
​​   “...”
​​   “ถ้าเขาคิด เขาคงไม่เดินตามคนอื่นแบบนั้น”

​​   ม่านนั่งเงียบ บดก้านบุหรี่ด้วยรองเท้าผ้าใบแล้วหยิบหมากฝรั่งขึ้นเคี้ยว

​​   “ก็ต้องลองดู”

​​   คนด้านข้างกระดกน้ำจนหมดกระป๋อง ก่อนจะยิงคำถามที่ส่งตรงลงมายังกลางใจ

​​   “มึงเคยคิดจะเลิกชอบเขามั้ย?”

​​   เขาหันไปสบตา ยักคิ้วแล้วเท้าแขนไปด้านหลัง

​​   “ชอบขนาดนี้เลิกได้ด้วยหรอ?”

​​   “ก็จริง”















#ผาเพียงฟ้า



















​​   หัวมุมคือจุดนัดพบของเราทั้งสองในตอนพลบค่ำ ผมยืนอยู่ไม่นาน ม่านก็ตามเข้ามาสมทบ

​​   อีกฝ่ายอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำ สวมใส่เครื่องประดับแบบที่มักจะเห็นเป็นประจำ เส้นผมตกลู่ไม่ได้เซตเป็นทรงมากนักแต่มันก็ขับให้เจ้าตัวดูดีไม่น้อย

​​   “...คือ...เธออยากกินอะไร?”

​​   ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตา ความสูงของเราไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่แต่ก็ต้องเงยมองอยู่ดี

​​   “ไม่รู้เหมือนกัน”

​​   อีกคนยกมือเกาหัว ก้มหน้าลงเม้มปากต้องการเก็บรอยยิ้ม ฉะนั้นผมเลยต้องหันหน้าไปอีกทางเพราะอาการเขินของม่านจะทำให้หวั่นไหวไปมากกว่าเก่า

​​   “​​แล้วมึงล่ะ?”
​​   “ตามใจเธอเลย”

​​   คิ้วผมขมวดเข้าหากันเป็นปม แบบนี้เราต้องมีการเจรจากันเรื่องเมนูอาหารกันแน่ๆ

​​   “มีร้านข้าวหมูกรอบตรงนั้นอร่อย” นิ้วเรียวยาวชี้ผ่านหน้าผมไปทางด้านขวา “แต่ช่วงเย็นคนจะเยอะหน่อยนะ”

​​   “อืม”
​​   “​​...”
​​   “มึงอยากกินหรอ?” ผมถามย้ำ ม่านเบิกตากว้างก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
​​   “โดนรู้ทันซะละ”
​​   “งั้นก็ไปดิ”

​​   คนข้างกายหยุดชะงัก นั่นทำให้ผมต้องหยุดตามเมื่อไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่แล้วม่านก็ผายมือให้เดินไปก่อน ไม่ยอมเอ่ยบอกว่าคิดอะไรในใจผมเลยไม่เซ้าซี้ต่อ

​​   รอคิวอยู่ไม่นานเราก็เข้ามานั่งในร้าน เป็นโต๊ะไม้พอดีต่อที่นั่งสองที่ มีเมนูอาหารวางไว้พร้อมเครื่องเคียงและเครื่องปรุงรสตามร้านอาหารทั่วไปตั้งอยู่ เราสั่งเมนูข้าวคนละจาน เป็นอาหารที่ม่านแนะนำ ก่อนจะตกลงกันว่ามีอาหารอีกสองสามอย่างเพิ่มเติม

​​   คนที่ร้านแน่นขนัดแบบที่อีกคนบอกไปตั้งแต่ตอนต้น โชคดีที่โต๊ะเราเป็นโต๊ะริมผนังด้านในสุด เลยทำให้ที่ตรงนี้ไม่ตกเป็นเป้าสายตา

​​   “ไม่เคยมากินร้านนี้ล่ะสิ?” ม่านมีคำถามหลังจากไปตักน้ำแข็งมาให้ ยื่นแก้วของผมมาวางไว้ตรงหน้า

​​   “ไม่เคย” ผมส่ายหัวปฏิเสธ เป็นฝ่ายรินน้ำให้คนอายุน้อยกว่าเสียแทน “ก็เห็นคิวมันเยอะเนี่ยแหละ เพื่อนเลยไม่ค่อยมากัน”

​​   “อ่า..ขอโทษทีนะ ให้เธอต้องมารอเลย” คำขอโทษมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ แต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะรู้ว่าม่านมันรู้สึกผิดจริงๆ

​​   “ไม่เห็นจะเป็นไร”

​​   อาหารจานใหม่ถูกนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เพราะความหิวโหยเราเลยซัดมันจนหมดโดยไม่ได้พูดคุยอะไรมาก ถึงแม้จะเงียบกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ดูอึดอัดมากไปกับการทานข้าวด้วยกันครั้งแรก

​​   คนตรงหน้าทานอย่างเอร็ดอร่อยตามประสาวัยกำลังโต ดูเหมือนเขาจะทานเยอะกว่าผมเสียด้วยซ้ำ จนเวลาไม่นานทุกอย่างบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง

​​   ม่านเป็นฝ่ายอาสาจ่ายเงินให้ ผมไม่ได้ปฏิเสธแม้อยากจะทำแบบนั้นก็ตาม จะถือว่ามันเป็นครั้งแรกแล้วกัน ครั้งอื่นผมค่อยว่ากันอีกที

​​   “เดี๋ยว” มือใหญ่รั้งผมไว้ยังข้อมือ ออกแรงเล็กน้อยให้เดินเข้าไปยังร้านข้างทางที่เราผ่าน

​​   เป็นร้านไอศครีมหน้าตาน่ารักและตกแต่งด้วยสีสันอ่อนหวานสะดุดตา

​​   “ทานวานิลาได้มั้ย?” ม่านหันมาถาม ผมเลยพยักหน้าตอบ “โอเค...งั้นเอาวานิลาสองถ้วยครับ”

​​   ถ้วยไอศครีมถูกยื่นมาให้ทันควัน จากนั้นเราก็เริ่มต้นเดินเคียงข้างไปตามทางเพื่อกลับไปพักผ่อน

​​   “เดี๋ยวเค้าเดินไปส่งที่รถ” อีกฝ่ายเอ่ยบอก ตักของหวานเข้าปากไปพลาง

​​   “อร่อยมั้ย?”
​​   “อืม”
​​   “...”
​​   “ก็อร่อยดี”

​​   ผมละเลียดลิ้นเข้ากับช้อนใบเล็ก ต้องเปลี่ยนคำตอบจากตอนแรกเป็นอร่อยมากเสียแล้วล่ะมั้ง เพราะว่าดูเหมือนผมจะเริ่มชอบมันอย่างจังเข้าแล้ว

​​   “แล้วข้าวหมูกรอบล่ะ”
​​   “...”
​​   “ว่าไง” คนตัวสูงเซ้าซี้ ได้รับการมองค้อนเมื่อพูดมากเกินความจำเป็น
​​   “เออ”
​​   “​​น่ะ”
​​   “ก็อร่อยเหมือนกันไง”

​​   เจ้าตัวยิ้มกว้าง ใช้มือข้างหนึ่งเสยผมไปด้านหลังก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

​​   “ค่อยโล่งหน่อย”
​​   “...”
​​   “กลัวว่าเธอจะไม่ชอบซะแล้ว”

​​   เขาบ่นกับตัวเองเสียงดัง ชะลอฝีเท้าให้ก้าวช้าลงจนเป็นจังหวะที่พอดี

​​   ผู้คนที่เดินผ่านเริ่มบางตาลง จนเริ่มเข้าสู่ทางที่ไม่ค่อยมีใครสัญจรมากนัก ท้องฟ้ามืดมิดไร้หมู่ดาวคอยเคียงคู่ให้แสงสว่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สลักสำคัญอะไรกับผมนักถ้าเทียบกับคนที่เดินด้านข้างในตอนนี้

​​   สายลมเย็นพัดผ่านจนเส้นผมตกลงปรกตา ม่านค่อยๆใช้มือของเขาปัดมันออกช้าๆ ก่อนจะเดินต่อ

​​   ไม่มีการขออนุญาต มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่ยังคงอยู่

​​   “แค่ได้ไปทานข้าวด้วยกันแต่ทำไมเค้ามีความสุขจังวะ” อีกคนพร่ำบอกอีกครั้ง “เป็นบ้าแล้วมั้งเนี่ย”

​​   เสียงหัวเราะแว่วผ่าน เท้าทั้งสองข้างนำพาเจ้านายให้ก้าวเป็นจังหวะตรงกันโดยบังเอิญ

​​   ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ใช้ความเงียบปกปิดความรู้สึกที่มีของตัวเองจนหมด
​​   แต่ถ้าให้พูด ผมก็อยากจะบอกเขาว่าผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน

​​   เป็นความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นของวัน
​​   โดยที่มีม่านเป็นหนึ่งในนั้น ที่ทำให้มันพิเศษ

​​   ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องพยายามทำอะไร
​​   แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป...แบบที่มันควรจะเป็น


​​   “หืม?”


​​   ผมเงยมองเขาอีกครั้ง เมื่อเราเดินมาถึงปลายทางแต่ม่านก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน

​​   มือใหญ่เลื่อนเข้าใกล้ แต่ก็ชะงักค้างเพราะกลัวว่าจะโดนตอกกลับ ผมยังเงียบ ปล่อยให้เขาได้ทำตามใจจนนิ้วเรียวข้างนั้นสัมผัสเข้าที่ข้างแก้ม


​​   นิ้วโป้งลูบไล้มันเชื่องช้า โอนอ่อนกว่าสัมผัสของปุยนุ่น



​​   “ที่บอกไปก็ไม่ได้โกหกหรอกนะ” ม่านย้ำ “ว่าการมีเธอน่ะ ทำให้เค้ามีความสุขมากจริงๆ”









#ผาเพียงฟ้า

เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เราแต่งแล้วมีความสุขที่สุดตั้งแต่เคยแต่งนิยายมาแล้วก็ว่าได้
ไม่รู้ทำไม เวลาแต่งแล้วจะอบอวลไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ
หม่นๆ สีเทาๆ แต่ก็แอบอมยิ้มไปกับทุกการกระทำของเขาสองคน

มีคนถามเข้ามาว่าเรื่องนี้ผาม่านหรือม่านผา
เราจะบอกว่าเรื่องนี้ม่านผานะคะ ไม่สลับโพแน่นอน แงแอ5555

เรารักน้องม่าน ไอ้หน้าหมาของเรา <3

ปล.สำหรับใครที่ยังรอ ก็ขอบคุณมากเลยนะคะ
ไม่ได้มาบ่อย แต่ก็คิดถึงทุกครั้งที่หายไปเลย


4/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-09-2019 01:37:23
ประโยคนั้นก็คือเจ็บ
ตอนนี้ยังไม่ชอบตอนหน้าก็ชอบได้  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 04-09-2019 17:48:26
อ้างถึง
“ว่าผาไม่ได้คิดอะไรกับกูเลย”
​​   “อืม”
​​   “...”
​​   “ถ้าเขาคิด เขาคงไม่เดินตามคนอื่นแบบนั้น”

อึ้งไปเลยฉอดนี้
สู้ต่อไปครับน่า
รักแล้วเลิกไม่ได้ก็ไม่ต้องเลิก
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-09-2019 22:44:08
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 04-09-2019 23:10:33
ฮืออออ ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ มันดูเป็นความสุขที่ค่อยเป็นค่อยไป
ชอบความสัมพันธ์แบบนี้มากเลย คือมันละมุนมากสำหรับเรา
ผาน่ารักอ่ะ คือทำไมมองน้องด้วยฟีลเตอร์น่ารักก็ไม่รู้
ยิ่งเห็นโหดๆ เถื่อนๆงี้ แต่ทำไมเราเอ็นดูววววว
น้องม่านก็น่ารักอยู่แล้ว
เราทีมม่านผา ดีใจมากที่เราลงเรือถูก 555555
น้องน่ารักกันมากๆ คุณคนเขียนก็แต่งดีมากๆเลยค่ะ ชอบมากเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 7 | I'm not lying? P.1 (4/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 07-09-2019 01:31:31


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


8

you came into my heart, really fast



_________


thank you


_________








   ดูเหมือนว่าช่วงนี้ชีวิตผมจะยุ่งเกินกว่าปกติ จากงานที่ยังคงค้างและการสอบกลางภาคที่จะมาถึง

​​​​   พวกกลุ่มเพื่อนนัดกันออกมาทำงานนอกสถานที่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่เราเลือกห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อรวมตัว และหลายครั้งที่ต้องการความเงียบสงบจึงมาชุมนุมกันที่ห้องของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเสียแทน

​​​​   และคนๆ นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้

​​​​   นอกจากได้ฮั่นที่ห้องมันมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบถ้วนทุกอย่าง

​​​​   “ชีทนี้มึงอ่านยังวะ?” ไอ้เหนือวางกระดาษปึกหนึ่งไว้ด้านข้าง บนนั้นถูกปากกาเน้นข้อความหลากสีลากเป็นทางยาวหลายบรรทัด

​​​​   “ยัง”
​​​​   “เฮ้อ กูไม่เข้าใจเลย” มันใช้มือยีผมตัวเองจนยุ่ง คิ้วขมวดมุ่นจนทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูแทบไม่ได้

​​​​   “อะแฮ่ม มาๆ เดี๋ยวกูสอนเองครับคุณเหนือ” นาวากระแอมไอ ขยับแว่นของตัวเองให้มั่น ก่อนจะยืดตัวขึ้นตั้งมาดผู้ดีอย่างกวนตีน แต่ไม่นานเกินเสี้ยววิ เสียงดัก อั่ก! ก็ตามมาพร้อมกับมันที่ตัวโยน

​​​​   “อย่าเสนอหน้า กูรู้ว่ามึงก็ไม่ได้อ่านไอ้สัส”

​​​​   การทะเลาะกันของมันทั้งสองเรียกเสียงหัวเราะจากไอ้ปัทถ์ที่นั่งอยู่ เมื่อเนิร์ดไม่จริงโดนหยอกล้อก็เหยียดขาถีบ แต่ถึงอย่างนั้นคนอารมณ์ดีก็ยังไม่หยุดส่งเสียง

​​​​   “ชีทนั้นมีกี่หน้า?” เจ้าประจำที่ยังเงียบเอ่ยถาม ไม่แม้แต่จะเปรยตามอง
​​​​   “ยี่สิบห้า”
​​​​   “เยอะจังวะ” คราวนี้ไอ้ตินขมวดคิ้วแล้วหันมา วางทุกอย่างในมือลงแล้วแย่งกระดาษที่อยู่ใกล้ผมไปอ่าน
​​​​   “คำนวณทั้งนั้นด้วย” ไอ้ฮั่นรีบเสริม

​​​​   “มึงอ่านแล้วอ่ะดิ?” เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยรีบถาม
​​​​   “อ่านไปเมื่อคืน ถ้าจะให้ติวก็ได้นะ แต่กูก็ยังไม่แม่น” มันมองหน้า ถอนหายใจออกมายามที่พูด
​​​​   “มาๆ แม่นไม่แม่นก็ติวไว้ก่อน จะสรุปค่อยว่ากันอีกที” ไอ้คนเปิดประเด็นขยับเข้าใกล้เจ้าของห้อง ผมเลยรีบถดตัวเป็นนอนคว่ำ หยิบชีทของตัวเองวางไว้พลางเพื่อให้ไอ้ฮั่นมันทวนให้ฟังคร่าวๆ

​​​​   เรารวมตัวกันย่อมๆตรงบริเวณปลายเตียง คนอื่นๆ มีทีท่าตั้งใจฟังไม่ต่างจากคนอธิบายที่ตั้งใจสอน เนื้อหาวิชาที่ลอยผ่านทำเอาใบหน้าแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไป จากเล่นๆ อยู่ก็กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

​​​​   ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าโดยมีการหยุดพักเป็นครั้งครา ในที่สุดฮั่นมันก็สอนจบ เสียงบ่นออดแอดดังตามมาเมื่อเนื้อหายากกว่าที่คาดคิด ทุกคนมีอาการไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ดูเหมือนเราจะเริ่มทนไม่ไหวกับความรู้ที่มันอัดแน่นในหัว

​​​​   “แดกเหล้ามะ?”
​​​​   ปั่ก!
​​​​   “อะไรอีกเนี่ย!” คนชวนสบถ เมื่อเห็นว่าใครที่กำชีทม้วนเป็นวงแล้วตีเข้าที่หัวตัวเองก็เหยียดขาถีบไปอีกหนึ่งรอบ

​​​​   เพราะคู่กรณีเป็นไอ้ปัทถ์ที่มักจะแกล้งกันอยู่บ่อยๆ

​​​​   “จะสอบแล้วยังจะแดกอีก”
​​​​   “ไม่ไหวจริงว่ะ สมองจะระเบิด”
​​​​   “ถ้ามึงคิดว่ามึงอ่านทันในสองวันมึงก็ไป” เหนือพยักพเยิด สามทหารเสือของกลุ่มตั้งวงทะเลาะกันอีกแล้ว

​​​​   “ผา”
​​​​   “อะไร” ผมตอบ ไม่คิดว่าจะมีชื่อตัวเองแฝงอยู่ในการพูดคุยที่ไม่รู้จุดจบ
​​​​   “ไปป่ะ?”
   
​​​​   คำชักชวนถูกส่งให้ ผมเลยหันไปทางไอ้ตินแล้วพูดหยอกล้อบ้าง

​​​​   “ถ้าไอ้ตินไปกูไป”
   
​​​​   นาวาหันขวับไปหาเหยื่ออีกหนึ่งของวันนี้ แต่มันคงรู้ดีว่าถ้าคนนี้ตอบไม่ไป ยังไงเจ้าตัวก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน แต่คนที่โดนจับจ้องนั้นยักไหล่ ไม่ได้ตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธ เป็นการบอกว่า ยังไงก็ได้ ถ้าพวกมึงไปกูก็ไปเหมือนกัน

​​​​   “พอเลยไอ้สัส อีกสองวันก็หัดอดทนเอาหน่อย เอาไว้สอบเสร็จค่อยไปแดก” เป็นเจ้าของห้องที่เข้าห้าม ผมอมยิ้มจางก่อนจะตั้งใจอ่านของตัวเอง

​​​​   อันที่จริงก็รู้สึกเบื่อแบบที่นาวามันพูดเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ในเมื่อสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นคือหน้าที่ของการเป็นลูกที่ดีและเป็นนักศึกษาที่ตั้งใจใฝ่หาความรู้ไปประกอบอาชีพ มันเลยทำให้ผมต้องอดทนและไม่กล้าที่จะเหลวไหลไปมากกว่าเก่า

​​​​   แค่นี้ก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นเละเทะมากพอแล้ว ตั้งใจนิดหน่อยจะเป็นไรไป

​​​​   ยิ่งการสอบมิดเทอมของเราแต่ละครั้งคือการตัดสินว่าการเรียนต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางไหน ผมก็ต้องให้ความสนใจมากกว่าปกติ เพราะถ้าผมทำคะแนนดี นั่นหมายความว่าปลายภาคผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าคะแนนผมออกมาไม่สวยเท่าไหร่ ในอนาคตก็คงต้องดร็อปจนตามไม่ทัน คนอื่นๆก็คงคิดแบบเดียวกัน ไม่งั้นพวกมันก็คงไม่สุมหัวทำหน้าเครียดกันภายในห้องสี่เหลี่ยม จะว่าไปก็ตลกไม่น้อย เหล่าชายวัยโจ๋ที่ต้องการออกไปเริงร่ายังโลกภายนอกกลับต้องยอมแพ้ให้กับชีทปึกหนาและนั่งหงอยจนหมดแรง

​​​​   คล้ายกับว่านี่คือนรกดีๆ นี่เอง

​​​​   ความคิดของผมจบลงเมื่อมองเห็นโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัว หน้าจอมันดับสนิทเมื่อตั้งการทำงานเป็นโหมดกลางคืน เพื่อไม่ให้เสียงเตือนดังขัดจังหวะตอนกำลังอ่านหนังสือ ผมเลยจำเป็นต้องละทิ้งโลกออนไลน์เอาไว้เบื้องหลัง

​​​​   หน้าจอเครื่องสี่เหลี่ยมสว่างวาบเมื่อเปิดใช้งาน มีแจ้งเตือนต่างๆจากแอปพลิเคชันทั่วไป ผมไม่ได้สนใจมากนัก เพราะต้องการเลื่อนดูแจ้งเตือนจากใครบางคนเสียมากกว่า

​​​​   และพบว่าข้อความสุดท้ายที่ส่งมาคือเมื่อเจ็ดชั่วโมงที่แล้ว

​​​​   ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ปกติม่านแทบไม่ปล่อยให้มันทิ้งห่างแบบนี้

​​​​   “แหนะ แอบซ่อนกิ๊กหรอวะ?” เสียงจากเพื่อนขัดจังหวะ ผมเลยเงยหน้ามองอย่างมีคำถาม

​​​​   “จะมีกิ๊กได้ไง แฟนยังไม่มีเลย” ไอ้เหนือเข้าสมทบ ผมยังนิ่งเช่นเดิมไม่โต้ตอบ

​​​​   “แล้วน้องม่านล่ะ ไม่ใช่แฟนหรอ?”
​​​​   “บ้า ไม่น่าใช่”
​​​​   “ก็ไปกินข้าวด้วยกันแล้วนี่ แบบนี้ไม่ใช่แฟนก็ยังไงๆ อยู่ป่ะ”

​​​​   การตบมุกของพวกมันเรียกเสียงฮาดังสนั่น เห็นไอ้ตินแอบอมยิ้มคนเดียวเหมือนกันในมุมหนึ่ง ผมเบ้ปาก ไม่อยากเสวนากับพวกชอบพล่าม ก่อนจะลุกนั่งหันหลังพิงกำแพงเพื่อไม่ให้พวกมันเห็นหน้าจอ

​​​​   ข้อความสุดท้ายที่ส่งมาให้เป็นเพียงประโยคสั้นๆ เป็นการให้กำลังใจรูปแบบหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะทำ และม่านก็เช่นกัน

ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะครับ : AMAN

​​​​   มันก็ทำแบบนั้นเหมือนคนอื่นๆ

​​​​   ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกรอบก่อนจะกดปิดหน้าจอ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยไม่รู้ทำไม อาจเพราะพวกเพื่อนมันยังล้อต่อไปไม่เลิก หรือเพราะไม่ได้รับข้อความจากคนอายุน้อยกว่า

​​​​   แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด

​​​​   “​​​​อยากดูหนังว่ะ” จู่ๆ ไอ้ปัทถ์ก็พูดขึ้น มันโยนหนังสือทั้งหมดทิ้งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดเพื่อดูรอบหนัง จากนั้นก็พล่ามไม่ยอมหยุด “พวกมึงดู IT กันยัง มันเพิ่งเข้าโรงอาทิตย์ก่อน”

​​​​   “จะเอาเวลาไหนไปดู กูก็อ่านหนังสือกับมึงทุกวัน” เมื่อมีคนสวน คนชวนเลยหัวเราะร่า ใช้มือเสยผมไปมาเมื่อพูดต่อ

​​​​   “มีอนิเมะด้วย แต่อยากดู IT มากกว่า”
​​​​   “กูยังไม่ได้ภาคแรกเลย”
​​​​   “ก็ดูภาคสองได้น่า”

​​​​   ปัทถ์มันยั้งไม่ล้มเลิกความพยายามในหารป้ายยา ไอ้เหนือมองมา ก่อนจะตอบตกลงจนผมรู้สึกแปลกใจ

​​​​   “สองคนมะ?” มันเอ่ยถาม อาจเพราะรู้ว่าไม่มีแนวร่วมจากคนอื่นๆ
​​​​   “เอาดิ”
​​​​   “กูไปด้วย” คราวนี้คนทั้งห้องหันไปทางคนพูด ไอ้ตินวางชีทในมือลงแล้วหยิบของสองสามอย่างเพื่อเตรียมตัว

​​​​   “นาวา มึงเอาไง?”
​​​​   “ครบทีมแบบนี้กูพลาดได้ไงล่ะครับ”

​​​​   เมื่อสมาชิกที่เหลือเริ่มทยอยตกลงกันครบจนเหลือผมกับไอ้ฮั่น สายตากดดันก็ถูกส่งมา

​​​​   “มีรอบทุ่มครึ่งนะครับผม แดกข้าวดูหนังแล้วกลับมาอ่านชิวๆดีกว่าเพื่อน”

​​​​   ผมมองหน้าเจ้าของห้อง ยักไหล่แล้ววางชีทตามกันไปติดๆ

​​​​   “เออ ไปก็ไป”

​​​​   ไม่รู้ว่ากินเหล้ากับดูหนังมันต่างกันยังไง ในเมื่อก็เสียเวลาพอกัน









#ผาเพียงฟ้า










​​​​   สุดท้ายแล้วผมกับไอ้ฮั่นก็ตอบตกลงกับพวกมันเข้าจนได้ มื้อเย็นของพวกเราเลยจบลงที่พิซซ่าถาดใหญ่พร้อมกับอาหารอีกหลายอย่าง จากนั้นพวกเราก็ขึ้นมาชั้นบนสุดในโซนโรงหนังขนาดใหญ่

​​​​   หน้าที่ในการจองตั๋วจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมและไอ้ปัทถ์ ที่เป็นแบบนั้นเพราะหนึ่งพวกมันเกี่ยงกันจนน่ารำคาญ และสองคนชวนต้องไปเลือกเองบ้างตามที่ตกลงกันไว้

​​​​   ที่นั่งที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำเอาเราสองคนต้องกุมขมับกันอยู่นาน เพราะชะล่าใจว่าจะมีที่เหลือพอหลังจากรับประทานอาหารจึงไม่ได้จองล่วงหน้า อันที่จริงก็พอเหลือที่นั่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงห้าที่ที่เราต้องการจนครบ เว้นก็แต่แถวแรกๆ ติดหน้าจอที่ไม่เป็นที่ต้องการสักเท่าไหร่

​​​​   “ตรงไหนดีวะ?” คนด้านข้างเอ่ยถาม ชี้นิ้วไปยังที่ว่างที่อื่น “มันมีมากสุดสี่ที่กับสามที่หมดเลย ”

​​​​   “อ่าวพี่ปัทถ์ สวัสดีครับ”

​​​​   แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบ เสียงทักทายก็ดังขึ้นก่อนด้านหลัง

​​​​   เป็นรุ่นน้องสองคนที่ยืนข้างกัน และพวกผมก็รู้จักพวกมันเป็นอย่างดี

​​​​   “​​​​ไงมึง...ไอ้ม่านน” ครั้งแรกมันก็เอ่ยทักตามปกติ แต่พอเห็นว่ามีใครสักคนที่พอจะเป็นประเด็น เจ้าตัวก็ลากเสียงยาวอย่างอารมณ์ดี

​​​​   คนอายุน้อยกว่าก้มหัวให้ ผมยิ้มรับนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทต่อใครบางคนที่ยังไม่สนิท ส่วนอีกคน...ก็ไม่ได้สนใจและหันกลับไปเลือกที่นั่งต่อ

​​​​   “ดูหนังกันหรอพี่?” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยถาม ได้ยินมันแว่วๆอยู่ไม่ไกล
​​​​   “เออดิ พวกมึงล่ะ”
​​​​   “มาดูหนังเหมือนกันนี่แหละครับ”

​​​​   เสียงซุบซิบเกิดขึ้นสักพักจนผมต้องหันไปมอง เห็นเพื่อนตัวเองกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับมองไปทางม่านและภีมอย่างมีเลศนัย

​​​​   “ปัทถ์ จะเลือกได้ยัง?” เมื่ออีกฝ่ายอ้อแอ้ ผมเลยเรียกด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง มันเดินเข้ามาหาก่อนจะกอดคอผมเอาไว้มั่น จากนั้นก็ย่อตัวลงนิดหน่อยแล้วเอ่ยถามเมื่อจิ้มไปยังหน้าจอ

​​​​   “เอาเป็นสี่กับสาม ตรงนี้ มึงโอเคไหม?”
   
​​​​   สมองผมประมวลผลทันทีเมื่อตัวเลขของบัตรที่เราต้องการมากขึ้น ที่นั่งอีกสองที่เดาได้ว่าน่าจะเป็นคนที่ยืนด้านหลังทั้งคู่“อืม เอาดิ”

​​​​   ผมตอบตกลงทันทีถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบบริเวณนี้มากเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดๆดูแล้วก็เป็นที่ๆ ดีที่สุดที่พอจะเลือกได้แล้วจริงๆ

​​​​   ปัทถ์หยิบจับนู่นนี่อยู่สักพักเมื่อเข้าสู่กระบวนการจ่าย ไม่นานตั๋วทั้งเจ็ดใบก็อยู่ในมือ เราทั้งหมดเดินไปหาคนที่กำลังนั่งรอ เมื่อเห็นว่ามีใครตามมาพวกมันก็ทำสีหน้าแปลกใจระคนอมยิ้มไปด้วย

​​​​   “เจอมึงบ่อยเหลือเกินนะ”
​​​​   “โหพี่ ช่วงนี้ไม่ได้เจอเลยเถอะ” ม่านย่นคอลงเมื่อไอ้เหนือโอบไหล่ ความสูงของมันน่าจะพอๆกันได้เมื่อยืนอยู่ใกล้แบบนี้

​​​​   “เจอกูหรือเจอใคร?” คำถามที่ส่งให้ทำเอารุ่นน้องหันมาหาผมหนึ่งที เจ้าตัวยิ้มจนตาหยีก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

​​​​   “เจอทั้งหมดนั่นแหละ โถ อย่าล้อน้องเยอะดิวะ”

​​​​   ไอ้เหนือหัวเราะเมื่อการแกล้งของมันเป็นผลสำเร็จ ฮั่นและตินเดินมาสมทบหลังจากหายไปสูบบุหรี่ พอมาถึง พวกเราก็เดินเข้าไปซื้อของทานเล่นระหว่างรับชม

​​​​   คราวนี้ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นแทนบ้างหลังจากซื้อตั๋วให้ พวกมันหันมานับจำนวนสมาชิกสามสี่รอบก่อนจะคิดปริมาณของที่ต้องการ

​​​​   “นึกว่าจะเอาแต่อ่านหนังสือที่ห้องพี่ฮั่นซะอีก” เมื่อได้จังหวะ คนตัวสูงก็เข้ามาคุยด้วย ม่านกอดอก ไม่สนใจสายตาที่มองเราทั้งสองที่ยืนข้างกัน

​​​​   “อืม” ผมตอบออกไปสั้นๆ ก้มหน้าไถโทรศัพท์ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่

​​​​   “เธอเป็นอะไรอ่ะ?” เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป เจ้าตัวก็เอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อถาม น้ำเสียงแผ่วเบาพอที่เราจะได้ยินกันสองคน “อารมณ์ไม่ดีหรอ?”

​​​​   “เปล่า”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “...”

​​​​   อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เราปล่อยให้ความเงียบเดินทางมาเล่นงานจนรู้สึกอึดอัดไปซะหมด

​​​​   “ขอโทษที่ไม่ได้ทักไปนะ” คราวนี้เขาพูดเสียงอ่อย โชว์ของในมือเด่นหราเพื่อสนับสนุนเหตุผลที่ตามมาต่อจากนั้น “ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วไม่ได้เอาที่ชาร์จสำรองไปด้วย แบตหมดเลยทีนี้”

​​​​   ดูเหมือนมือที่ค้างกลางอากาศจะค่อยๆลดลงตามเวลาที่มันเพิ่ม ม่านก้มลงมากกว่าเดิมเพื่อมองหน้าเมื่อผมยังยืนนิ่ง

​​​​   “เธอครับ” และใช้น้ำเสียงอ่อยๆ เอ่ยเรียกอีกครั้ง

​​​​   ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตอบกลับเมื่อรับรู้สาเหตุที่หายไปของเจ้าตัว

​​​​   “รู้แล้วน่า”

​​​​   ถึงแม้จะยังไม่เงยหน้าขึ้น

​​​​   มือผมเลื่อนขึ้นเลื่อนลงอยู่อย่างนั้น กดเข้าแอปพลิเคชันต่างๆอย่างเพลินใจเมื่อทำเป็นเมินอีกฝ่าย ไม่รับรู้ถึงลูกเล่นอะไรบนหน้าจอสักอย่าง ในหัวมีแต่คำพูดของม่านที่ลอยก้อง

​​​​   คำพูดบ่งบอกสาเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ

​​​​   และคำพูดที่ทำให้ผมแทบจะยิ้มออกมา

​​​​   “ไปกันเหอะ หนังจะเริ่มแล้ว”

​​​​   เพื่อนเอ่ยเรียกหลังจากเราเดินมาอีกทาง ยื่นตั๋วให้พนักงานสักพักก็เดินเข้ามาในโรง ที่นั่งถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกอยู่ด้านหน้า ส่วนอีกกลุ่มนั่งถัดมายังด้านหลัง

​​​​   “อ่ะ” ไอ้ปัทถ์ยื่นกระดาษสามใบให้ม่าน แล้วจากนั้นพวกมันทั้งสี่คนก็เดินนำไปก่อน

​​​​   คงเป็นตอนนั้นที่ผมรู้ได้ว่าตัวเองถูกวางแผนเอาไว้อย่างแนบเนียน

​​​​   ม่านทำตาใสซื่อ ยืนอึกอักอยู่สักพักโดยมีเพื่อนมันเดินนำไปก่อน

​​​​   “คือว่า...ต้องนั่งด้วยกันน่ะ”

​​​​   ผมเลิกมองมันก่อนจะเดินตามรุ่นน้องไปห่างๆ แต่ม่านก็รั้งเอาไว้แผ่วเบาบริเวณไหล่ให้ตัวเองเดินนำ แล้วให้ผมเดินตามมันอีกที

​​​​   เรานั่งลงเคียงข้างกัน มันคงจะนึกภาพการมาดูหนังสองคนสุดโรแมนติกเอาไว้แต่เสียดายที่รอบกายเรามีแต่คนห้อมล้อม

​​​​   “มึงติดสินบนอะไรพวกมันไว้?”

​​​​   ผมถาม ต้องใช้การกระซิบเล็กน้อยตามมารยาทที่ต้องทำ

​​​​   “บอกกูมา” เมื่อม่านไม่ยอมตอบ ผมเลยทำเสียงแข็งส่งให้อีกรอบอย่างเอาแต่ใจ

​​​​   “คือว่า...” มันพูดไม่เต็มปาก ในที่สุดก็ยอมบอกแต่โดยดี
​​​​   “...”
​​​​   “...แค่เหล้าสองกลม...แค่นั้นเอง”

​​​​   เจ้าตัวเสยผมไปด้านหลัง หลบตาที่เอาแต่จ้องเพื่อจับผิด

​​​​   “กูต้องได้แดกด้วย”
​​​​   “อะไรนะ?”
​​​​   “สองกลมนั้นน่ะ...ถ้ากูไม่ได้กินด้วยมึงตายแน่”

​​​​   เสียงมันหัวเราะเบาๆตามมา ก่อนที่จะส่งป๊อปคอร์นและน้ำอัดลมวางให้ ผมปฏิเสธขนมเพราะไม่หิวเท่าไหร่ ม่านเลยวางไว้ยังที่พักแขนระหว่างเรา

​​​​   ภาพยนตร์เริ่มดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ แสงไฟหรี่ลงจนมืด อุณหภูมิเย็นฉ่ำเริ่มทำให้ดวงตาคล้อยปิดตามกระบวนการของร่างกายหลังกินอิ่ม คงเพราะการนอนไม่พอหลายวันติด ผมเลยเผลอวูบไปหลายรอบ

​​​​   “ผา”

​​​​   คนด้านข้างเอ่ยเรียก ผมพยายามถอนหายใจเข้าออกเพื่อระงับความง่วง

​​​​   แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่

​​​​   ศีรษะเอนไปจนเกือบจะถึงคนด้านซ้าย ถ้าไม่ติดว่ามีมือใหญ่เอื้อมมารองรับพร้อมกับดันให้มันวางบนไหล่ตัวเองในท้ายที่สุด ม่านค่อยๆฉวยโอกาสลูบไล้มันไปมาสองสามรอบ แผ่วเบาเหมือนสัมผัสเข้าที่ข้างแก้มเมื่อวันวาน

​​​​   ผมรับรู้ทุกอย่าง อาจเพราะยังไม่ได้หลับสนิทแบบที่อีกคนคิดก็เท่านั้น


​​​​   ไหล่เรากระทบกันบางจังหวะ รวมถึงมือของเขาที่สัมผัสแขนผมอย่างไม่ตั้งใจ

​​​​   เสื้อคลุมของเพื่อนม่านถูกส่งให้ ก่อนที่ร่างกายผมจะรู้สึกอุ่นไปทั่วจากการดูแลของใครบางคน


​​​​   ไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอให้ความหวังอีกฝ่ายไหม
​​​​   แต่ตอนนี้...ผมแค่อยากเห็นแก่ตัวบ้างนิดหน่อย


​​​​   เพียงแค่นั้น



​​​​   เพราะไหล่ของม่านมันทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ




​​​​   “ขอบคุณนะ”













#ผาเพียงฟ้า

ม่านน่ารักเนาะ
น่ารักกับพี่ผาตลอดเลย แงงง ไอ้หมาเอ้ยยย


7/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 8 | you came into my heart, really fast? P.2 (7/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-09-2019 02:00:39
มีหงุดหงิดเขาน้ออออ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 8 | you came into my heart, really fast? P.2 (7/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 07-09-2019 05:36:14
น่ารักมากๆเลยค่ะ ฮือออ มันมีความหน่วง ความไม่แน่นอนนะคะ แต่ก็เป็นอะไรที่ทำให้ใจฟูได้เช่นกัน ชอบเวลาม่านเรียกผาว่าเธอและแทนตัวเองว่าเค้ามากๆค่ะ แสนจะน่ารัก รอดูว่าผาจะใจแข็งไปได้แค่ไหน รอติดตามตอนต่อไปนะคะ อยากอ่านนนน ส่งกำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 8 | you came into my heart, really fast? P.2 (7/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 08-09-2019 18:11:59


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


9

keep it secret!!!



_________


no answer is also an answer


_________







   สัปดาห์นรกของการสอบผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก เวลานอนของผมแปรปรวนอย่างหนัก จากที่นอนดึกอยู่แล้วตอนนี้กลายเป็นนอนเช้าอย่างช่วยไม่ได้

​​​​   ตุบ!

​​​​   กระเป๋าเรียนถูกทิ้งไว้ยังโต๊ะอ่านหนังสือ จากนั้นผมก็ทิ้งตัวนอนลงบนฟูกนุ่มทั้งๆ ที่อยู่ในชุดนักศึกษา ได้กลิ่นน้ำหอมของตัวเองลอยมาแตะจมูก มันเจือจางไปกับกลิ่นเหงื่อเล็กน้อย และนั่นทำให้ผมชอบมากกว่าตอนที่ฉีดใหม่ๆ เสียอีก

​​​​   แอปพลิเคชันไลน์ของผมแจ้งเตือนเป็นชุด เมื่อเปิดดูผ่านๆ ทางหน้าจอพบว่าผองเพื่อนนัดกันไปทานข้าวมื้อเย็นกันที่ประจำ ผมนึกว่ามันจะเป็นการนัดไปกินเหล้าแบบทุกครั้ง แต่ก็ผิดคาด เมื่อเจ้าตัวการอยากไม่ได้เอ่ยชวนแต่อย่างใด

​​​​   คงเป็นเพราะความเหนื่อยที่สะสมเหมือนกัน พวกเราเลยเปลี่ยนแผนเป็นพักผ่อนเสียแทนเมื่อร่างกายแทบจะไม่ไหวอยู่รอมร่อ

​​​​   Pha : กินกันเลย กูไม่ไปนะ

​​​​   เมื่อมีชื่อผมอยู่ในประโยคชักชวนประโยคใดประโยคหนึ่ง จึงรีบตอบปฏิเสธตามที่ตั้งใจเอาไว้ ผมไม่อยากลงไปเจอผู้คนตอนนี้ ยิ่งเป็นเวลามื้อเย็นที่คนอื่นๆต่างก็มารับประทานอาหาร ผมเลยเลี่ยงเพื่อทานบนห้องเสียแทน

​​​​   อาหารที่อยู่ในตู้เย็นถูกนำมาอุ่นด้วยไมโครเวฟที่วางอยู่บนเค้าน์เตอร์ โชคดีที่ผมชอบตุนอาหารสำรอง มันเลยมีตัวเลือกมากมายให้หยิบจับ มื้อเย็นของผมจบลงที่กับข้าวสองสามอย่างและจากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงตามเดิม

​​​​   
สอบเป็นไงบ้าง? : AMAN

​​​​   เมื่อกำลังเพลิดเพลินไปกับรายการโทรทัศน์อยู่ไม่นาน ใครบางคนก็ส่งข้อความมา

​​​​   เป็นไอ้เด็กหน้าหมาที่ช่วงนี้เริ่มมาวอแวผมบ่อยๆ

​​​​   Pha : ใครเขาให้ถามแบบนี้หลังสอบ
55555555555 : AMAN
เธอเก่งอยู่แล้ว : AMAN
​​​​   Pha : อย่ามาอวย
ไม่ได้อวย : AMAN
นี่พูดจริงๆ : AMAN

​​​​   คิ้วเริ่มขมวดเมื่อมีการโต้เถียงเกิดขึ้น และครั้งนี้ผมก็ไม่ยอมแต่อย่างใด

​​​​   Pha : กูโง่จะตายม่าน
เธอเก่ง : AMAN
​​​​   Pha : มึงก็เก่ง
ทำให้เค้าคิดถึงอ่ะเก่ง : AMAN

​​​​   ‘เถียงกูเก่ง’

​​​​   ข้อความที่มันส่งมาทำให้ผมชะงักการพิมพ์ของตัวเองชั่วขณะ เดี๋ยวนี้เขามักจะหยอดผมกลับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มาแบบช้าๆ เนิบๆ แต่ค่อนข้างมีอำนาจทำลายล้างสูง

ไม่ต้องมาเถียงเลย : AMAN

​​​​   มันบังคับ ครั้งนี้ผมเลยยอมทำตามใจเด็กมันหน่อย

แล้วสรุปเค้าเก่งอะไร? : AMAN

​​​​   เมื่อผมเงียบหายไปนานอีกฝ่ายจึงพยายามต่อบทสนทนา ม่านถามถึงเรื่องที่ผมค้างเอาไว้ เนื้อหาประโยคยังไม่มีใจความที่สมบูรณ์

ทำให้เธอคิดถึงเก่งเหมือนกันไหม? : AMAN
แบบนั้นดีใจตายเลยนะ : AMAN

​​​​   ผมลังเลเมื่อพิมพ์ตอบ ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกดส่งข้อความเดิมที่พิมพ์เอาไว้ก่อนหน้า

​​​​   Pha : เถียงกูเก่ง
ว้า : AMAN
แย่อ่ะ : AMAN
อะไรกัน : AMAN

​​​​   เมื่อไม่เป็นคำตอบที่ตัวเองต้องการอีกฝ่ายก็ออกอาการงอแงเล็กน้อย สติกเกอร์ลูกหมาทำปากคว่ำลงถูกส่งมาก่อนที่เจ้าตัวจะส่งสติกเกอร์ลูกหมาร้องไห้ต่อจากนั้น

​​​​   ม่านกำลังอ้อน แถมอ้อนได้น่ารักซะด้วย

​​​​   ผมไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่พิมพ์แล้วลบข้อความของตัวเองอยู่อย่างนั้น รู้สึกไม่ชอบเวลาที่กำลังคิดมากเพราะม่านมันเลยสักนิด เพราะถ้าผมสนใจมากไป ก็กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวัง แต่ถ้าผมเมินอีกครั้ง คราวนี้ม่านก็คงรู้สึกกับมันไม่มากก็น้อย

​​​​   Pha : แล้วมึงสอบเสร็จยัง?

​​​​   หัวข้อของการสนทนาถูกเปลี่ยนไปอย่างเร็วไว ผมพยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้ตัวเองอึดอัด และเปิดประเด็นใหม่โดยการชวนมันคุยเสียแทน

เสร็จวันนี้เหมือนกัน : AMAN

​​​​   แถมม่านก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ

​​​​   Pha : ไปกินเหล้าไหนล่ะทีนี้
อาจจะไม่ไป : AMAN
​​​​   Pha : แปลก
ก็คิดว่าถ้าไปอาจจะไม่ได้คุยกับเธอ : AMAN
เลยไม่ไปดีกว่า : AMAN
^^ : AMAN

​​​​   เอาล่ะ ผมว่าม่านมันเก่งเรื่องการเข้าหาใครสักคนจริงๆ

​​​​   Pha : หยอดกูตลอด
นี่พูดจริง ไม่ได้หยอดเธอครับ : AMAN
​​​​   Pha : อืม

​​​​   แต่พอมาคิดๆดูอีกที ผมก็รู้สึกเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปจากคำพูดของคู่สนทนา

​​​​   Pha : แล้วรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ไปไหน?

​​​​   ผมถาม และคาดเดาคำตอบไว้ก่อน

ก็ : AMAN
ถามพี่เหนือมา55555 : AMAN

​​​​   และคำตอบนั้นก็เป็นไปตามข้อสันนิษฐาน

​​​​   Pha : ว่าละ

​​​​   ดูเหมือนการพูดคุยของเราคราวนี้จะไหลลื่นมากกว่าปกติ หรืออาจเพราะผมกำลังอารมณ์ดีก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ที่ม่านส่งข้อความมาผมเลยตอบกลับแทบจะทันทีเลยก็ว่าได้

​​​​   เสียงโทรศัพท์ดังลั่นขัดจังหวะในตอนที่เผลอ เมื่อมองดูพบว่าเป็นชื่อของเพื่อนสนิทที่โชว์เด่นหรา ก่อนจะเลื่อนปุ่มสีเขียวเพื่อกดรับแล้ววางเครื่องสีดำแนบหู

​​​​   “ว่า?”
​​​​   (บ้านไอ้เหนือ)

​​​​   เราพูดคุยกันด้วยประโยคสั้นๆ ได้ใจความ แต่ผมและฮั่นก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร

​​​​   “ไม่ค่อยอยากเลยว่ะ”
​​​​   (พรุ่งนี้จารย์งด ไปนังๆนอนๆแก้เบื่อก็ดี) มันชักชวน และนั่นทำให้ใจผมเริ่มเขว

​​​​   เพราะตอนนี้ห้องสี่เหลี่ยมเริ่มน่าเบื่อแบบที่เพื่อนพูดจริงๆ

​​​​   “กูยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
​​​​   (กูก็ยังไม่ได้อาบ)
​​​​   “พวกมึงจะไปตอนกี่โมง?”
​​​​   (พวกไอ้นาวา ไอ้ปัทถ์ไปก่อนละ เห็นบอกจะไปเล่นเกมส์)
​​​​   “อ่อ”
​​​​   (เดี๋ยวไอ้ตินตามไป)

​​​​   ผมเหม่อมองรอบห้อง คิดคร่าวๆว่าต้องเตรียมของอะไรต่อจากนี้

​​​​   “ไปก็ไปวะ”
​​​​   (ดีๆ กูคงไปงีบที่นู่น)
​​​​   “เหมือนกัน”
​​​​   (เห็นบอกว่าจะไปกินกันด้วย)
​​​​   “มึงไปไง”
​​​​   (เอารถไป มึงจะไปกับกูป่ะ)

​​​​   ใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ผมก็ตอบรับเพื่อนกลับไป

​​​​   “ไม่ต้อง เดี๋ยวกูเอารถไปเอง ไม่อยากให้มึงมารอ”
​​​​   (ขับดีๆ เจอกันที่นู่น)
​​​​   “เค”

​​​​   ปลายสายถูกตัดออกไปจนได้ยินเสียงสัญญาณดังเป็นจังหวะ ผมใช้รีโมทปิดโทรทัศน์แล้ววางไว้ที่เดิม จังหวะที่กำลังจะเดินไปอีกทาง เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังสนั่นพร้อมกับข้อความของคู่สนทนา

​​​​   เป็นประโยคที่บอกว่า เราจะได้เจอกันอีกในไม่ช้าที่บ้านใครสักคน

​​​​   
เค้าว่าจะไปบ้านพี่เหนือ : AMAN
อาจจะตอบช้าหน่อยนะครับ : AMAN










#ผาเพียงฟ้า











​​​​   เสียงเอะอะโวยวายที่อยู่ด้านนอกทำเอาผมตื่นจากการนอน เวลาเพียงชั่วโมงกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วบนเตียงหลังใหญ่ สายตาค่อยๆปรับเข้ากับความมืดภายใน ก่อนที่จะเห็นแสงไฟรำไรลอดผ่านบานประตู

​​​​   บิดขี้เกียจสักพักก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ผ่านโถงทางเดินทอดยาวไปสู่ห้องรับแขกที่มีโซฟาสีน้ำตาลตั้งอยู่ บริเวณนั้นไม่มีผู้คนเหมือนภาพที่เห็นก่อนเข้าไปนอน ผมจึงมองหาคนอื่นๆผ่านทิศทางของเสียงที่ได้ยิน

​​​​   “อ่าว ตื่นแล้วหรอพี่ผา” เป็นรุ่นน้องคนสนิทอีกคนที่เอ่ยทัก เจ้าตัววางถาดไว้บนเคาน์เตอร์หินอ่อนในครัวก่อนจะวุ่นหาของบางอย่าง

​​​​   “อะไรน่ะ?”
​​​​   “เนื้อย่างครับพี่ ลองชิมมั้ย?” ภีมชักชวน ผมพยักหน้าตอบรับเมื่อรู้สึกว่าชิ้นเนื้อมันเริ่มยั่วยวนใจ

​​​​   “อ่ะ” เจ้าตัวใช้มีดหั่นมันเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนที่จะนำส้อมขึ้นตักแล้วยื่นให้เพื่อป้อน

​​​​   เพราะไม่อยากเสียมารยาท ผมเลยยอมให้เขาได้ทำตามใจ

​​​​   “เฮ้ยๆๆๆ!” แต่เสียงของใครบางคนก็ดังเข้าขัดจังหวะ “มึงนะสัสภีม”

​​​​   เจ้าตัวเดินเข้ามาก่อนจะใช้มือวางไว้ที่ไหล่ของเพื่อน บังคับให้ขยับห่างจากผมหนึ่งก้าว เป็นระยะที่พอเหมาะในความคิดของมันเพราะไม่อยากให้ภีมเข้าใกล้ผมจนเกินไป

​​​​   “กูไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย พี่ผาเขาเพิ่งตื่นเลยจะให้ชิมเฉยๆ”
​​​​   “พูดมากมึงอ่ะ”
​​​​   “อ่าว” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะ เสมองมาทางผมเพื่อหาตัวช่วย “พี่ดูมันดิ”

​​​​   “หาเรื่องน้องกูหรอ”

​​​​   และมีหรือที่คนคอยซ้ำจะไม่ร่วมทีม

​​​​   “เธออย่าใจร้ายได้มั้ย”

​​​​   คราวนี้ผมอมยิ้ม เห็นม่านชะงักนิ่งไปสักพักก่อนจะใช้มือลูบใบหน้า คงเพราะไม่ชินที่ได้เห็นมันบ่อยๆล่ะมั้ง

​​​​   “แล้วมึงเข้ามาทำไม?” ภีมยังไม่เงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อเอ่ยถาม ก้มหน้าก้มตาพยายามทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
​​​​   “พี่เหนือใช้ให้มาเอาลำโพง”
​​​​   “อ่อ”

​​​​   ผมยืนชิมเนื้อต่ออย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะมองคนชวนที่ยังยืนอยู่

​​​​   “เธอไปหลังบ้านสิ พวกพี่ๆกำลังกินกันเลย”
​​​​   “มีเหล้ามั้ย?”
​​​​   “ก็สองกลมของเค้าไง”

​​​​   พยักหน้าตอบรับเป็นการทำความเข้าใจ ก่อนที่จะเบี่ยงตัวไปอีกทาง

​​​​   “เจ้างานวันนี้ มาซะที” นาวาตบมือให้ผมนั่งลงข้างมันทั้งๆที่เบาะนั่งอยู่เกือบในสุด คนอื่นๆพากันแหวกทางให้เมื่อเห็นว่าหัวโต๊ะยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ผมเลยต้องเดินเข้าไปแต่โดยดี

​​​​   หลังบ้านของไอ้เหนือเป็นสวนตกแต่งอย่างสวยงาม มีบริเวณที่นั่งให้ได้พักผ่อนตามอัธยาศัย พื้นปูด้วยหินขนาดใหญ่เป็นบริเวณกว้างยาวไปเกือบจรดสระน้ำ มีแปลงดอกไม้และพุ่มไม้แซมบ้างประปราย ก็ตามประสาบ้านคนรวยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากพอจะทำอะไรก็ได้ตามใจเจ้าของ

​​​​   ซุ้มที่เรานั่งอยู่ถูกสร้างจากไม้ที่วางเป็นระแนง ทั้งรอบด้านและหลังคาที่มีเถาวัลย์เลี้ยวเกาะ ผ้าใบกันฝนถูกพับเอาไว้อีกทาง ป้องกันเวลาที่ฝนเทกระหน่ำจนเปียกชื้น โต๊ะที่วางตรงกลางสูงจากที่นั่งเพียงนิด มันรายล้อมด้วยเบาะนุ่มที่หุ่มหนังอย่างดี มีลวดลายเป็นสีเรียบที่เข้ากับสีพื้นอย่างเหมาะเจาะ

​​​​   “กินกันไปนานยังเนี่ย?” ผมถาม จิ้มของกินเข้าปากอยู่อย่างนั้นเมื่อความหิวเริ่มทำงานหลังจากตื่น
​​​​   “สักพัก” เจ้าของบ้านเป็นคนตอบ ยื่นขนมที่ใส่จานให้ผมอีกที
​​​​   “เนื้อนี่อร่อยว่ะ”
​​​​   “ฝีมือไอ้ม่าน”
​​​​   “จริงหรอ?” ตาผมโตขึ้นหนึ่งระดับ เคี้ยวไปพลางถามเพื่อนกลับ
​​​​   “ถามมันดิ” แต่มันก็ทิ้งระเบิดไว้ให้ผมจนได้

​​​​   เจ้าตัวการนั่งลงยังปลายโต๊ะอีกฝั่ง ผมเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนมันมากันถึงสามคน มีภีม เต แล้วก็มาร์ท ที่พอรู้จักหน้าคร่าตากันบ้าง ส่วนอีกคนนั้นไม่ค่อยเจอสักเท่าไหร่ จำได้ว่าชื่อแทนหรืออะไรสักอย่าง

​​​​   “เฮ้ย ม่าน!!” เสียงเรียกชื่อมันตะโกนก้อง เพราะผมรั้งไอ้เหนือไว้ไม่ทัน เลยทำให้ต้องสบตากับคนที่เป็นประเด็นอยู่ “ไอ้ผามีเรื่องจะถาม”

​​​​   ผมเหล่มองเพื่อนด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะส่ายหน้าให้คนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

​​​​   “อ่าว อยากถามก็ถามดิวะ”
​​​​   “อะไรของมึงเนี่ย” ผมสบถเมื่อคนอื่นๆก็เริ่มคะยั้นคะยอ
​​​​   “นี่ไง มันอุตส่าห์มานั่งแล้ว”
​​​​   “กูไม่ได้อยากถาม”
​​​​   “เธอมีอะไรรึเปล่า?”

​​​​   ประโยคสุดท้ายดังลอดผ่าน เจ้าตัวยกแก้วสีชาขึ้นดื่มพลางจ้องหาคำตอบ

​​​​   “เปล่า” ผมปฏิเสธอีกรอบ แต่ไอ้ปัทถ์ก็ปากโพล่งเข้าจนได้
​​​​   “ผามันสงสัยว่ามึงแอบไปคุยกับคนอื่นว่ะ”
​​​​   “ปัทถ์”

​​​​   คนถามขยับไปตามรัศมีวงกว้างจากมือผม ตัวมันเข้าซบน้องคนหนึ่งที่นั่งข้างกัน คนอื่นๆหัวเราะคิกคักตามประสา

​​​​   “ไม่มีอะไร อย่าไปสนใจ” ผมบอกม่าน แต่ดูเหมือนทางนั้นจะมีสีหน้าจริงจังเข้าแล้ว

​​​​   “เค้าไม่ได้คุยกับคนอื่นนะ” เจ้าตัวรีบตอบ ได้รับรอยยิ้มจากเพื่อนผมเพื่อหยอกล้อ
​​​​   “เออ กูรู้แล้ว”
​​​​   “แล้วเชื่อใช่มั้ย?”
​​​​   “ม่าน”
​​​​   “ครับ”
​​​​   “มันแกล้งกูอยู่ ดูหน้าแต่ละคนด้วย”
​​​​   “อ่อ” เมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดคนตัวสูงก็เกาหัวแก้เขิน

​​​​   “ก็กลัวเธอไม่เชื่อนี่หว่า”
​​​​   “...”

​​​​   ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคที่ทำเอาเสียงวิ้ดวิ้วดังตามมา

​​​​   “จะกล้ามีคนอื่นได้ไง เค้ารักเดียวใจเดียวจะตาย เผื่อเธอไม่รู้”

 ​​​​   นาวาตบเข้าที่หลังผมแผ่วเบาเมื่อมันยิ้มร่า โอบร่างผมเข้าหาแล้วกระซิบชิดใกล้

​​​​   “เด็กมันเอาเรื่องว่ะผา”

​​​​   เสียงพูดคุยดังสนั่นเมื่อมีผู้คนรายล้อม การชุมนุมของเรายังดำเนินต่อข้ามคืนอย่างไม่รู้จบ มีเสียงเพลงที่เปิดดังคลอเคล้า และมีแอลกอฮอลล์เป็นเครื่องกระตุ้นความสุข

​​​​   “เล่นเกมกันดีกว่าว่ะ” หนึ่งในรุ่นพี่เอ่ยชวน คนอื่นๆ ก็คงอยากสนุกตามเวลา
​​​​   “มึงจะเล่นเกมไร?”
​​​​   “ง่ายๆ truth or dare ทำไม่ได้ลงน้ำ”

​​​​   ไ​​​​อ้ฮั่นพยักหน้า ก่อนที่คนชวนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า มันพิมพ์รายชื่อคนที่ร่วมโต๊ะจนครบ แล้ววางไว้ตรงกลางเพื่อหาคนเริ่ม

​​​​   “ใครจะกดคนแรก?”

​​​​   ทุกคนต่างบ่ายเบี่ยงกัน ไอ้เหนือเลยอาสาเป็นฝ่ายกดก่อน

​​​​   คล้ายกับมีเสียงบางอย่างหมุนดังตามมา ก่อนที่เสียง ติ๊ง! จะดังขึ้นทีหลัง

​​​​   ‘ติน’

​​​​   บนหน้าจอปรากฏชื่อเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกล มันเสมองด้วยใบหน้านิ่งเรียบเช่นเคย

​​​​   “Truth or Dare?”
​​​​   “Truth” ตินตอบพลางยกแก้วขึ้นดื่ม

​​​​   “เมื่อกี้คุยกับแม่หรือเมีย?” คนถามรีบยกมือที่วางบนไหล่ผมชูสูง พูดเสียงดังฟังชัดจนได้ยินกันทั่วโต๊ะ
​​​​   “แม่”
​​​​   “ไหนขอดูหลักฐาน”

​​​​   ไอ้ตินนิ่งไปนาน คล้ายกับเจ้าตัวไม่อยากให้ใครค้นโทรศัพท์ แต่สุดท้ายก็ส่งให้โดยดี

​​​​   มันยื่นเครื่องสีดำเพื่อโชว์หน้าจอเด่นหรา สายสุดท้ายที่โทรมาบันทึกว่า ‘mom’

​​​​   ผมนึกว่ามันจะโกหกเสียอีก

​​​​   การเสี่ยงดวงดำเนินต่อไป และผู้โชคร้ายคนที่สองนั้น—
​​​​   ติ๊ง!
​​​​   —เป็นรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างม่าน


​​​​   ‘เต’

​​​​   “Truth”
​​​​   “ผมเองพี่” คนตัวสูงเป็นฝ่ายเสนอทันทีเพราะตัวเองน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับเพื่อน มันครุ่นคิดชั่วครู่พร้อมกับอมยิ้มอยู่ตลอด

​​​​   “คนเก่ากับคนใหม่มึงรักใครมากกว่ากัน?” ม่านเอ่ยถาม ได้เสียงโห่ตอบรับจากคนอื่นๆบนโต๊ะ

​​​​   “ใหม่” เตตอบสั้นๆ ก่อนจะยักคิ้วกวน เมื่อแกล้งไม่ได้ผล การวนรอบใหม่จึงเริ่มขึ้นทันที

​​​​   ผมไม่ได้สนใจกับเกมมากนักเพราะมันไม่โดนตัวเอง มีแต่คนรอบข้างที่ผลัดเปลี่ยนกันเล่น ไอ้ฮั่นกระโดดน้ำไปแล้วหนึ่งรอบ รวมถึงรุ่นน้องอีกคนที่ไม่กล้าตอบจนต้องยอมแพ้

​​​​   ติ๊ง!

​​​​   ‘ม่าน’

​​​​   “ผมขอนะพี่” เมื่อมีชื่อของคู่กรณีก็เหมือนได้ทีของไอ้เต เจ้าตัวยกยิ้มกวน ก่อนคำถามเดียวกันจะถูกส่งให้จนหลายคนชอบใจเป็นอย่างมาก

​​​​   “แล้วมึงล่ะ คนเก่ากับคนใหม่...มึงรักใครมากกว่างั้นหรอ?”

​​​​   ไอ้นาวาใช้มือโอบผมอีกครั้งเพื่อลุ้นคำตอบ ผมพยายามไม่สนใจแต่สุดท้ายก็สบสายตากับม่านเข้าจนได้ มันมีสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนที่จะค่อยๆอมยิ้มแล้วหันไปทางคนด้านข้าง

​​​​   “คนเก่า”

​​​​   พร้อมกับตอบคำถามที่ทำเอาเพื่อนผมเริ่มอยู่ไม่นิ่ง
​​​​   ก็แน่ล่ะ ใครมาแหยมกับคนของตัวเองพวกมันก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้เสมอ

​​​​   “ดีๆนะมึง”
​​​​   “ระวังไว้หน่อย” คนอื่นๆ เริ่มออกเสียงเตือน ผมเลยส่ายหัวอย่างเหลืออด

​​​​   เหตุเพราะคำตอบพวกนั้นล่ะมั้ง ที่มันไม่ได้เลือกผมอย่างที่คิดกันเอาไว้

​​​​   “ขอเหตุผลที” คราวนี้ไอ้ตินเป็นฝ่ายออกตัว บรรยากาศแตกต่างออกไปจนดูน่ากลัวเมื่อมันเป็นฝ่ายพูด

​​​​   “ก็ผมเคยรักเขาอ่ะพี่ กับคนนี้ผมยังไม่ได้มีโอกาสเลย ถ้าได้รักผมอาจจะรักมากกว่าเขาก็ได้ ใครจะไปรู้”

​​​​   บนโต๊ะเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงคุยกันจะดังตามมา ไอ้นาวามันกระซิบผมเข้าอีกรอบ

​​​​   “ไม่เสียใจนะเพื่อน”

​​​​   ผมสบถในลำคอ ใช้มือจับคางมันแล้วส่ายไปมาหลายรอบ ถ้าต้องบอกให้นาวาได้รู้จริงๆ ก็คงจะพูดออกไปตามตรง

​​​​   ว่าผมไม่ได้เสียใจเลย

​​​​   ถูกแล้วที่ม่านควรจะรักใครคนนั้นของมันมากกว่า ในเมื่อช่วงเวลาที่ทั้งคู่ใช้ด้วยกันคงจะมีแต่ความทรงจำที่แสนพิเศษ ผมสัมผัสได้ถึงความรักที่จริงใจของม่าน และมันก็ส่งความรู้สึกแบบนั้นมาให้ผมเหมือนกันในตอนปัจจุบันที่เราคุยกันอยู่

​​​​   อันที่จริงแล้วผมชอบคำตอบของมันนะ ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้เอาใจ เป็นความจริงใจและการบอกว่ามันไม่เคยโกหก

​​​​   อย่างน้อย ยกนี้มันก็ได้คะแนนในใจผมเพิ่มมากโขเลยล่ะ

​​​​   ผมยิ้ม รอยยิ้มนั้นถูกส่งให้ใครบางคนที่มีความกังวลบนใบหน้า เขาสบตากับผมอยู่นาน ก่อนที่ผมเองจะเป็นฝ่ายละสายตาจากแล้วสนใจอย่างอื่น

​​​​   พร้อมๆกับเกมที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

​​​​   ติ๊ง!

​​​​   ‘ม่าน’

​​​​   “ไหงโดนกูสองรอบเลยอ่ะพี่” คราวนี้จำเลยทักท้วง มันยีผมสีดำขลับของตัวเองไปมา

​​​​   “ซวยชิบหาย” คนอื่นๆหัวเราะ ก่อนที่เพื่อนผมที่นั่งด้านข้างจะเป็นฝ่ายดำเนินการเกมนี้เสียเอง

​​​​   “เอาล่ะ Truth or Dare น้องรัก?”
​​​​   “เลือก Dare ให้กูหน่อยได้ป่ะว้า” แถมผู้ร่วมทีมของมันก็สมรู้ร่วมคิดกันเป็นอย่างดี
​​​​   “ใจๆ ป่ะมึงอ่ะ”
​​​​   “อย่าแกล้งน้อง”

​​​​   ไอ้ปัทถ์หัวเราะ ก่อนที่จะพูดต่อจนรุ่นน้องทำตัวไม่ถูก

​​​​   “เรายังต้องพึ่งพากันอีกเยอะนะม่าน”

​​​​   คราวนี้เจ้าตัวเงียบไปนาน ก่อนจะพยักพเยิดทำตามที่รุ่นพี่พอใจ

​​​​   “สรุป Dare นะ?”
​​​​   “เออครับ”

​​​​   นาวาเป็นคนสรุป มองหน้าคนอื่นๆเมื่อเอ่ยท้า

​​​​   “กล้ากอดไอ้ผาเปล่า?—โอ๊ยย!!” มันร้องเสียงหลงท้ายประโยค จากมือผมที่หยิกเข้าต้นขา พร้อมกับทำตาถลึงใส่คนเล่นไม่รู้เรื่อง

​​​​   และดูเหมือนจำเลยจะรู้โทษตัวเองดี

​​​​   “เนี่ย รู้ว่าผมจะแพ้ก็แกล้งกันจังนะ” มันบ่นอิดออด ลุกขึ้นแล้วหยุดยืนเพื่อถาม

​​​​   “มีชุดให้กูเปลี่ยนมั้ยพี่เหนือ?”
​​​​   “มีเยอะแยะ”

​​​​   เมื่อได้คำตอบ คนตัวสูงก็จัดการถอดเสื้อยืดของตัวเองทันทีจนเหลือเพียงกางเกงยีนที่สวมใส่ ผมหันหน้าหนีเพราะไม่อยากมองรูปร่างสมส่วนนั่น แต่หางตาก็พบว่ากล้ามเป็นมัดบนร่างกายมันทำเอาต้องกลืนน้ำลาย

​​​​   เสียงกระโดดน้ำดังมาแต่ไกล เกมเริ่มต่อไปในทันที

​​​​   ติ๊ง!

​​​​   ‘ผา’

​​​​   และคราวนี้หวยออกที่ผม

​​​​   “กูรอวันนี้มานานละ” ไอ้ฮั่นถูมือเข้าหากัน ขยับตัวนั่งคล้ายกับเตรียมพร้อม

​​​​   “Truth” ผมตอบเสียงเรียบ ไม่อยากเลือกอีกทางเพราะรู้ว่าแบบนั้นคงต้องได้ลงสระแน่ๆ

​​​​   แต่แบบนี้ก็ใช่ว่าจะรอด

​​​​   ผมรู้ในตอนที่ฟังคำถามจากคนสนิท

​​​​   “มึงเริ่มชอบไอ้ม่านแล้วใช่มั้ย?”

​​​​   มันก็ทำให้ผมต้องนิ่งคิดเพราะไม่รู้จะตอบออกไปยังไง

​​​​   เพื่อนม่านหันมามองกันครบ ไม่ต่างจากเพื่อนผมที่รอลุ้น มือที่ถือส้อมอยู่ชะงักค้างกลางอากาศ จิ้มมันกับอาหารไปมาสองสามรอบจนรู้สึกอึดอัดกับสายตาคนบนโต๊ะ

​​​​   “เฮ้ย ยังไงเนี่ย” เสียงหัวเราะของนาวาอยู่ใกล้ๆ
​​​​   “โหผา หนักเลยว่ะมึง”

​​​​   ไอ้ฮั่นคาดคั้น ก่อนที่ประโยคต่อไปของมันจะทำให้ผมตัดสินใจลุกในทันที

​​​​   “คำถามง่ายๆเอง ทำไมไม่กล้าตอบ”

​​​​   คนอื่นๆอมยิ้ม ต่างจากผมที่เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ร้อนจัด ม่านเดินสวนกับผมระหว่างทาง มันเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

​​​​   “ทำไมเธอโดดอ่ะ?”

​​​​   ผมไม่ตอบ ได้ยินเสียงมันถามคนอื่นตามหลังจนต้องตะโกนกลับไป

​​​​   “อย่าบอกมัน!!”

​​​​   “แลกด้วยการถอดเสื้อนะสัส!!!”

​​​​   และได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนตอบกลับมา

​​​​   ผมยอมทำตามแต่โดยดี เพราะอยากเก็บความลับของตัวเองเอาไว้ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เสื้อแขนยาวตัวบางถูกถอดออกบริเวณศีรษะ มันถูกโยนทิ้งข้างทาง ผมส่งนิ้วกลางตามหลังเมื่อได้ยินเสียงวี้ดวิ้วให้กับร่างกายของตัวเอง

​​​​   เท้ารีบก้าวไปยังจุดหมาย ก่อนที่ผมจะมองเห็นสระว่ายน้ำอยู่ตรงหน้า สระขนาดใหญ่ประดับไฟไว้อย่างสวยงาม แต่ทั้งหมดมันไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมสักเท่าไหร่ เพราะในความคิดตอนนี้มันมีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

​​​​   เรื่องของใครสักคนที่เริ่มมีอิทธิพลต่อใจตัวเอง



​​​​   ให้ตาย

​​​​   ทำไมตอนนั้นผมตอบไม่ได้ก็ไม่รู้



​​​​   ตู้มม!!

















#ผาเพียงฟ้า

ห้ามบอกไอ้เด็กนะคะ
ไม่งั้นมีคนหัวใจวายแน่
อิอิ


8/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 08-09-2019 20:07:03
อร๊ายยยยยยยพี่ผาเริ่มมีใจให้น้องแย้วววววววววว :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-09-2019 22:05:48
ชอบเรื่องนี้มากกกกก ชอบความสัมพันธ์ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป   ผาหวั่นไหวแล้วนะเอออ  :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-09-2019 22:41:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 08-09-2019 23:52:19
เด็กมันทำตัวน่ารักขนาดนี้ คนพี่ต้องมีหวั่นไหวกันบ้างแหละน่า น่ารักมากกกกก ถึงแม้ผาจะยังไม่ได้พูดหรือยอมรับตรงๆ แต่มันก็ดีที่ผาไม่ปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป ถ้าม่านรู้ก็มีเสียอาการแน่นอนเลยค่ะ555555555 ทั้งนี้ทั้งนั้นสงสัยค่ะว่าทำไมเพื่อนๆต้องให้ม่านถอดเสื้อแลกกับการไม่บอกผา หรือว่าปกติม่านไม่ชอบถอดเสื้อ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจค่ะ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีนะคะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 09-09-2019 12:27:49
เด็กหล่อ กล้ามล่ำ สู้ต่อไปครัช
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 9 | keep it secret!!! P.2 (8/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 09-09-2019 15:15:50


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


10

I don't know how hurt I am until someone was kind to me



_________


bgm : รอไม่มีกำหนดการ - คณะขวัญใจ

' ...พอคอยนานๆ ใจมันเริ่มท้อ
จะทำอย่างไรให้เธอหันมอง
คนรอตรงนี้ใจมันร่ำร้อง
อ้อนวอน ต้องการแต่เธอ...'



_________







   เสียงเพลงเริ่มลดระดับไปตามทางเดิน บ่งบอกว่าผมออกห่างจากแหล่งกำเนิดมันทีละนิด ไม่ต่างจากเสียงเพื่อนที่คุยกันอยู่ มันค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็แผ่วจาง

​​​​   “ไง”

​​​​   ผมทักทายคนที่นั่งเงยหน้าบนโซฟา มันใช้ศีรษะพิงกับพนักแล้วแหงนขึ้น มือข้างหนึ่งกดโทรศัพท์ ส่วนมืออีกข้างถือผ้าประคบจมูกอยู่อย่างนั้นเพื่อไม่ให้เลือดกำเดามันไหล

​​​​   เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่ผมกระโดดลงสระด้วยร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า ผิวเนื้อมีหยดน้ำเกาะพราว และกางเกงแนบลู่ไปกับร่างกาย

​​​​   นั่นทำให้ใครบางคนเก็บอาการเอาไว้ไม่ได้

​​​​   และมันก็รีบเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับเสียงโห่ร้อง

​​​​   “ค่อยยังชั่วแล้ว” ม่านตอบเสียงอู้อี้ ลดมือลงวางเครื่องสีดำไว้ด้านข้าง
​​​​   “เลือดหยุดไหลยัง?” ผมเดินเข้าไปหวังจะดูอาการมันเสียหน่อย จากนั้นคนอายุน้อยกว่าก็ยอมนั่งนิ่ง ดูเหมือนมันจะโอเคขึ้นแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมลดผ้าที่แนบไว้ออกเพราะอยากให้อาการมันหายสนิท

​​​​   “สมน้ำหน้า”

​​​​   เจ้าตัวหัวเราะเมื่อโดนด่าเข้าให้ ก่อนจะเสมองเมื่อผมนั่งลงไม่ไกลจากที่เขานั่งอยู่

​​​​   “อย่าว่าเค้าดิ”
​​​​   “คิดอคติกับกูดีนัก”
​​​​   “ไม่ได้คิดเลย...” เสียงมันแผ่วลงในตอนท้าย คนอายุน้อยกว่าหันหน้าไปอีกทาง ก่อนเสียงแหบแห้งจะตอบกลับมาอีกครั้ง

​​​​   และครั้งนี้มันก็ทำผมไปไม่เป็นเสียด้วย

​​​​   “ขอโทษครับ ก็มันเป็นไปเองอ่ะ เค้าคุมได้ซะที่ไหน”

​​​​   นั่นแหละที่ผมบอกไป จากอาการที่มันเป็นอยู่แสดงให้เห็นว่าม่านคิดยังไงกับตัวเอง ผมเลยรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยแสดงออกบ่อยครั้ง เวลามีอะไรจะเก็บไว้คนเดียวมากกว่า แต่คราวนี้มันกลับแสดงออกมาผ่านทางร่างกาย

​​​​   “ไม่ห่วงเค้าเลยหรอไง?” เจ้าตัวเอียงหน้ายามที่อ้อน กะพริบตาปริบยามมองไม่ละไปไหน

​​​​   “เดินมาหาถึงนี่ไม่ห่วงมึงเลยมั้ง” และผมก็สวนกลับจนทำให้มันเงียบไปเสียนาน

​​​​   จากนั้นม่านค่อยๆ แบ่งปันรอยยิ้มกว้างมาให้แล้วนั่งนิ่งๆประคบต่อ

​​​​   “ไม่กินต่อแล้วหรอ?”
​​​​   “มาเปลี่ยนเสื้อ”
​​​​   “อ่อ รีบไปเปลี่ยนดิเดี๋ยวไม่สบาย”
​​​​   “ไล่กูหรอ?” ผมสวน มันส่ายหน้าพัลวันจนดูตลก
​​​​   “ไม่กล้าไล่คร้าบ ไม่กล้าไล่ไปไหนหรอกคร้าบ” พร้อมกับทำเสียงยานคางอย่างอารมณ์ดี

​​​​   “แล้วเมื่อกี้...พวกมันคุยอะไรกับมึงรึเปล่า?” คราวนี้ผมถามกลับ กลัวว่าสิ่งที่ค้างคาใจจะทำเอานอนไม่หลับเข้าจนได้

​​​​   สาเหตุจากคำตอบของตัวเองที่มันเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
​​​​   และม่านต้องไม่รับรู้

​​​​   “อืมㅡ”

​​​​   ผมอุทานเป็นคำหยาบในใจ
​​​​   ดังก้องให้ได้ยินแต่เพียงผู้เดียว

​​​​   “ㅡพี่เหนือบอกว่ามันถามเธอเรื่องแฟนเก่า”

​​​​   แต่เมื่อได้ยินคำตอบ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเพื่อนผมมันก็แถเก่งไม่แพ้ใคร

​​​​   “...”
​​​​   “...” ม่านเงียบไป และผมก็เงียบตาม

​​​​   “แต่ไม่เป็นไรนะ ถึงเธอจะยังลืมคนนั้นไม่ได้แต่เค้าก็ไม่สนใจอ่ะ” จู่ๆมันก็พูดพร้อมเสียงหัวเราะ ดวงตาหยีลงเป็นเส้นโค้งแบบที่เคยเห็น “อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันเธออยู่ตรงนี้กับเค้าต่างหาก”

​​​​   แต่ทำไมดูเหมือนว่าคำถามที่ไอ้เหนือบอกไปจะส่งผลต่ออีกคน

​​​​   ให้ผมเดาก็คงเป็นคำถามราวๆกับว่าตัวเองลืมคนเก่าได้หรือยัง หรือมีใจความไปในทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมไม่สามารถล่วงรู้ จึงบอกอีกฝ่ายไปคร่าวๆถึงจุดจบที่มี

​​​​   “กูไม่ได้ตอบ”
​​​​   “...”
​​​​   “เพ้อเจ้อเก่งนะมึง”

คราวนี้มันหัวเราะเสียงดัง สบตาผมอีกครั้งก่อนจะเลื่อนมือเข้ามาใกล้

​​​​   “ผา”
​​​​   “ว่าไง?”

​​​​   มือใหญ่หยุดไว้ด้านข้าง หงายมันขึ้นเพื่อรอรองรับบางอย่างที่จะส่งให้

​​​​   “ขอจับมือเธอได้มั้ย?”

​​​​   พร้อมกับเอื้อยเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

​​​​   ผมชะงักนิ่ง เข้าใจว่าบรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นม่านถึงได้กล้าขอ อีกฝ่ายแค่อยากจะทำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากจะยอมให้ทั้งหมด

​​​​   เ​​​​พราะผมเป็นคนมีกำแพงในใจ

​​​​   และม่านยังไม่ได้ฝ่ามันไปจนถึงตรงนั้น

​​​​   ตรงที่ผมจะยอมมันได้ทุกอย่าง

​​​​   มือผมค่อยๆเลื่อนเข้าใกล้ สัมผัสนิ้วของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ จากนั้นผมก็ออกแรงบังคับให้มันกำแน่น ละมือตัวเองออกแล้วเอ่ยเสียงแหบ

​​​​   “โทษทีนะ”
​​​​   “...”
​​​​   “กูคิดว่ามันไวไป”

​​​​   กำมือของเขาแบออกอย่างช่วยไม่ได้ ม่านตัดสินใจเลื่อนมันมายีเส้นผมสีดำขลับ และผมก็ยอมไม่ปัดมันทิ้ง

​​​​   “เธอก็ยังเป็นเธอตลอดเลย” เจ้าตัวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แววตาไม่บ่งบอกว่าดีใจหรือเสียใจ

​​​​   แต่มีบางอย่างที่แฝงอยู่ข้างในจนผมต้องหลบสายตา

​​​​   เป็นความเข้าใจ...ว่าผมเองไม่สามารถตอบรับความรู้สึกเขาได้ในตอนนี้

​​​​   “กูจะไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
​​​​   “ครับ”
​​​​   “นั่งนี่ล่ะ เดี๋ยวเอามาให้” ผมสั่ง ติดเป็นนิสัยแล้วล่ะมั้งเวลาอยู่กับมันแบบนี้
​​​​   “จะเอามาให้เค้าหรอ?”
​​​​   “เออ”
​​​​   “ขอบคุณครับ”

​​​​   ผมบอกลาก่อนจะเดินมายังห้องเดิมที่ใช้งีบเมื่อหัวค่ำ จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองวางไว้บนเตียง กระโจนเข้าอาบน้ำอย่างเร่งรีบโดยใช้เวลาไม่กี่นาที จากนั้นก็เลือกหยิบชุดใหม่ออกไปให้ม่านยังด้านนอก

​​​​   “มึงจะอาบน้ำมั้ย?” คำถามถูกส่งให้ คราวนี้คนที่นั่งอยู่ลดผ้าลงจนเห็นใบหน้าคมคายเด่นชัด

​​​​   “อาบก็ดี”
​​​​   “งั้นไปห้องด้านหลัง มันจะมีสองห้อง มึงเปิดเข้าไปใช้ห้องน้ำข้างในได้เลย” ผมอธิบายบริเวณบ้านไอ้เหนือให้ฟังอย่างละเอียด คงเพราะมา hang out ที่นี่บ่อย เลยรู้ว่าตรงไหนที่อนุญาตให้ใช้งานได้ตามสะดวก
​​​​   “โอเค”

​​​​   อีกฝ่ายรับของไปจากมือ ก่อนที่มันจะหันมาถามก่อนจากไป

​​​​   “เธอจะไปนั่งข้างนอกต่อหรอ?”

​​​​   ผมส่ายหน้า เดินตามมันไปติดๆ

​​​​   “ไม่ไปแล้ว”
​​​​   “...”
​​​​   “จะเอาฟูกมานอนดูหนังข้างในแทน”

​​​​   ม่านนิ่งคิด ก่อนคำขอร้องจะถูกส่งมาให้อีกโดยผ่านการประมวลผลมาอย่างดี

​​​​   “งั้นเค้านั่งดูหนังกับเธอแทนได้ไหมอ่ะ?”
​​​​   “...”
​​​​   “ไม่อยากออกไปแล้วเหมือนกัน”

​​​​   เพราะรู้ว่าเจ้าตัวก็คงเบื่อเหมือนกันผมเลยพยักหน้าตกลงแต่โดยดี เราเดินเลี่ยงกันไปคนละทาง ผมเดินไปห้องเก็บของที่อยู่ในสุดแล้วเอาของที่ต้องการออกมา

​​​​   แสงไฟในบ้านถูกหรี่ลงจนเกือบมืด ปล่อยให้แสงสว่างจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเข้าแทนที่ หน้าจอขนาดใหญ่แผ่กว้างออกจนเกือบจะเท่าความยาวของโซฟา อันที่จริงจะบอกได้ว่าห้องนี้เป็นเธียเตอร์ขนาดย่อมๆเวลาผองเพื่อนมารวมตัวกันก็ว่าได้

​​​​   ฟูกนุ่มและผ้าปูถูกวางไว้ทับพรมขนสัตว์ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าบ้านไอ้เหนือมันมีแต่เครื่องประดับราคาแพง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ของที่ดูมีค่าจนไม่สามารถตีราคาได้

​​​​   ครั้งแรกพวกผมก็เกร็งนิดหน่อยเวลาที่มาถึง แต่มันก็บอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อกับแม่ใช้พักร้อนและอนาคตมีแผนจะยกให้มันอยู่แล้ว พอมันพูดแบบนั้นพวกเราก็เริ่มทำตัวสบายมากขึ้น

​​​​   จนตอนนี้ที่นี่เหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองไปซะแล้ว

​​​​   ผมจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่ เปิดทีวีเพื่อเลือกรายการหนังที่อยากดู ไม่นานคนที่หายไปก็เข้ามา มันนั่งยังด้านล่างโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ก่อนจะหยิบยื่นน้ำอัดลมส่งให้

​​​​   “หยิบมาเผื่อ”

​​​​   ผมรับมาก่อนจะเห็นว่ามีขนมที่อีกฝ่ายนำมาด้วย เราตกลงเลือกหนังซีรีย์เรื่องหนึ่ง เนื้อหาที่รับชมสนุกมากกว่าที่ผมคาดไว้

​​​​   “ก็ว่าหายไปไหน” จนกว่าหนังจะผ่านไปครึ่งเรื่อง เสียงเพื่อนก็ดังขึ้นด้านหลัง “มาสวีทกันสองคนอยู่นี่นี่เอง”

​​​​   นาวามันหยุดยืนด้านหลัง เท้าแขนทั้งสองข้างพาดทับไหล่ผมก่อนจะเกยคางไว้บนศีรษะ

​​​​   “ดูมั้ย?”
​​​​   “ไม่อ่ะ กูจะไปนอนแล้ว”

​​​​   มันปฏิเสธ แต่ในความคิดผมมีอีกเหตุผลหนึ่ง

​​​​   “ไม่ใช่ไม่อยากเป็นกขคนะ แต่กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ลมหายใจของมันมีแต่กลิ่นแอลกอฮอลล์เต็มไปหมด คงจะกินกันหนักหน่วงพอสมควรหลังจากที่ผมจากมา

​​​​   “มาดูด้วยกันดิพี่” คราวนี้ม่านชวนบ้าง มันหยิบขนมขึ้นทานอย่างเพลินใจ
​​​​   “เอาเลยๆ” คนอายุมากกว่าเว้นช่วง “ขอบคุณสองกลมของมึงด้วย ไอ้ปัทถ์หัวจะทิ่มอยู่แล้วเนี่ย”

​​​​   ม่านหัวเราะตอบรับ ก่อนที่นาวามันจะทำบางอย่างจนผมต้องง้างหมัดเข้าให้

​​​​   จากริมฝีปากของมันที่ยู่ลงแล้วจะส่งมายังข้างแก้มผมอย่างจงใจ

​​​​   แต่โชคดีที่ผมหลบได้อย่างเฉียดฉิว

​​​​   “ไปตาย!”

​​​​   มันหัวเราะร่าโดยมีสายตาม่านมองเราสองคนสลับไปมาอยู่อย่างนั้น

​​​​   “อะไร?” ผมถามเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เลิกมอง
​​​​   “เพื่อนเธอเล่นแบบนี้กันหรอ?”
​​​​   “มันกวนตีน”
​​​​   “งั้นเป็นเพื่อนเธอบ้างได้ไหมอ่ะ?”
​​​​   “ม่าน”
​​​​   “ถ้าให้จุ๊บแบบนั้นจะยอมเป็นเพื่อนเลย”

​​​​   ตุบ!

​​​​   “อย่าเยอะ”

​​​​   มือที่ผลักหัวอีกฝ่ายเป็นการเตือนว่าให้หยุด ม่านมันตัวโยน คงเพราะหัวเราะแหละจึงเป็นแบบนั้น

​​​​   หลังจากเราดูจบตอนแรก ตอนที่สองก็ตามมาติดๆ คนอื่นๆทะยอยเข้ามาด้านในกันจนครบ บางคนก็ขอตัวไปนอน ส่วนบางคนก็ออกมานั่งกับเราสองคนเพื่อรับชมภาพยนตร์บนจอสี่เหลี่ยม

​​​​   จนตอนนี้สมาชิกของเรามีถึงห้า
ม่าน ผม ไอ้ฮั่น เต แล้วก็มาร์ท

​​​​   ดูเหมือนเพื่อนม่านจะคอแข็งไม่แพ้รุ่นพี่เลยสักนิด

​​​​   “ไอ้เหนือไปนอนแล้วหรอ?” ผมถาม คนที่นั่งข้างๆก็พยักหน้า
​​​​   “พาไอ้ปัทถ์ไปนอน แล้วมันก็บอกว่าจะนอนเหมือนกัน”
​​​​   “คงจะง่วงแหละ หนักหน่วงกันตั้งแต่เช้า”
​​​​   “ไม่ได้งีบเหมือนพวกเราด้วยไง”

​​​​   ไอ้ฮั่นกระดกน้ำเข้าปาก เป็นการกระทำของคนที่ดื่มเหล้ามากๆแล้วอยากสร่างในตอนท้าย

​​​​   เสียงม่านและเพื่อนมันคุยกันดังอยู่ไม่ไกล รุ่นน้องที่เห็นเลือกนั่งด้านล่างกันหมด ปล่อยให้ผมสองคนครอบครองพื้นที่ด้านบนเสียแทน

​​​​   “แล้วมึงจะนอนตอนไหน?”

​​​​   อีกฝ่ายถาม ผมเลยยักไหล่ตอบรับ

​​​​   “ไม่รู้ กูงีบนานเลยไม่ค่อยง่วง”
​​​​   “งั้นกูไปนอนก่อนนะ”

​​​​   มันบอกลา ก่อนที่ผมจะชี้ไปยังห้องที่เราเลือกเป็นรูมเมทกันในคืนนี้

​​​​   “ของกูอยู่ข้างในอ่ะ เข้าไปมึงก็เจอ”
​​​​   “อืม”

​​​​   ฮั่นไม่ได้ทิ้งท้ายอะไรมาก แต่ก็มองม่านเป็นการบอกว่าฝากผมด้วย

​​​​   สมาชิกที่เหลือดูหนังต่อไปอย่างเงียบๆ มีเสียงถกเถียงกันบ้างตามเนื้อหาที่รับชม ผมทานขนมบ้างพลางยกหมอนขึ้นกอด และในขณะที่กำลังเริ่มตอนใหม่ ผมก็สังเกตเห็นใครบางคนที่นอนราบไปกับพื้น

​​​​   เป็นเตกับมาร์ทที่สลบไสลพร้อมกับหายใจเป็นจังหวะ

​​​​   และไม่นาน ผมก็รู้สึกได้ว่าศีรษะของม่านกำลังพิงเข่าตัวเองอยู่

​​​​   มันค่อยๆกางแขนซ้ายออกมาวางไว้ยังโซฟาอย่างหมิ่นเหม่ ถามคำถามเดิมที่ผมปฏิเสธไปก่อนหน้า

​​​​   “จับมือเธอไม่ได้จริงๆหรอครับ?”

​​​​   และผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน

​​​​   ในใจเจ้าตัวคงจะหวังอยู่มาก เพราะผมเริ่มตามใจเขาหลายอย่างช่วงหลังมานี้

​​​​   “ม่าน”
​​​​   “อืม”
​​​​   “ยอมให้พิงเข่าก็ดีแค่ไหนแล้ว”

​​​​   เสียงหัวเราะของม่านดังขึ้นเหมือนเป็นเครื่องตอบรับอัตโนมัติ จากนั้นมันก็เลื่อนมือกลับ ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่ม

​​​​   “นี่”
​​​​   “...”
​​​​   “อาทิตย์หน้าเค้ามีแข่ง” เขาเว้นช่วง “ไปให้กำลังใจหน่อยได้มั้ย?”

​​​​   ผมยังเงียบ แต่ก็เลือกคำตอบที่จะทำให้มันไม่ผิดหวังไปมากกว่าเก่า

​​​​   “ถ้ากูว่างแล้วกัน”
​​​​   “แค่ไปดูก็ดีใจแล้วครับ”

​​​​   เขาพูดต่อ

​​​​   “แล้วก็...เค้ามีเรื่องจะขอด้วยแหละ”
​​​​   “...”

​​​​   ม่านนิ่งไปสักพัก ผมรู้ได้ทันทีต่อจากนั้นว่ามันกำลังรวบรวมความกล้า

​​​​   “ถ้าชนะไปเดทกับเค้าได้มั้ย?”
​​​​   “...”
​​​​   “จะตั้งใจแข่งเลยจริงๆ”









#ผาเพียงฟ้า











​​​​   ผมไม่ได้ตอบรับคำขอครั้งสุดท้าย แค่ปล่อยให้มันลอยผ่านไปแต่ก็ไม่ได้ละความสนใจอย่างที่อีกฝ่ายรับรู้
​​​​   
​​​​   เกมการแข่งมาไวกว่าที่คิด และตามที่ให้สัญญากับใครบางคนไว้ตั้งแต่แรก เมื่อมีเวลาว่างผมจึงมานั่งยังข้างสนาม พร้อมกับผองเพื่อนที่ต้องการมาเหมือนกันเพราะเป็นเรื่องที่เรามักจะทำกันอยู่แล้ว อาจเพราะคราวนี้มีสมาชิกในกลุ่มลงแข่งด้วย เราเลยตั้งใจมาเชียร์มันอย่างที่ทำกันอยู่ตลอด ไอ้เหนือในชุดเสื้อกล้ามสีแดงดูดีไม่หยอก ไม่ต่างจากคนๆ นั้นที่ผมเห็นเป็นคนแรกๆ ในสนาม ม่านใส่เสื้อสีแดงเหมือนกัน เจ้าตัวมัดผมจุกไว้ด้านบนศีรษะ ข้อมือข้างขวาใส่ปลอกแขนสีดำอันเล็ก ภาพมันที่เห็นดูแปลกตาไปจากเคย อาจเพราะใบหน้าที่เคร่งขรึม รวมกับคิ้วที่ขมวดไม่สมกับเป็นเจ้าตัวนั่นล่ะมั้งมันเลยทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้

​​​​   ม่านรับตำแหน่ง Point Guard สำหรับทีม มันยืนอยู่ข้างสนาม รอจังหวะที่จะส่งบอลทำแต้มและซัพพอร์ตคนอื่นๆ ส่วนเพื่อนของเขารับหน้าที่ Center อยู่ด้านหลัง พละกำลังของมันจะช่วยให้ทีมได้เปรียบมากกว่า

​​​​   เกมเริ่มจากเสียงนกหวีดที่ลากยาว ดูๆแล้วคงจะหนักหนาสาหัสพอสมควรเมื่อเราเล่นกับคณะที่ขึ้นชื่อว่ามีประชากรผู้ชายเยอะคณะหนึ่ง นั่นหมายความว่านักกีฬาก็จะมีความสามารถสูงเพราะมีให้เลือกสรรเยอะได้นั่นเอง

​​​​   บรรยากาศของสนามดุเดือดขึ้นเท่าตัวเมื่อเกิดการปะทะ มีการล้มและการสบถเกิดขึ้นดังสนั่น

​​​​   และดูเหมือนว่าคณะผมจะเป็นรองจากคะแนนที่โชว์เด่นหรา

​​​​   25 : 37

​​​​   ใบหน้าของทุกคนเริ่มเคร่งเครียดกว่าเดิม บริเวณที่นั่งเงียบกริบเมื่อต่างลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่อ

​​​​   จนกว่าจะมีการขอเวลานอก

​​​​   ทุกอย่างก็เหมือนจะดีมากขึ้นเรื่อยๆ

​​​​   คะแนนขยับเป็น 35:39 จากการชู้ตสามแต้มของ Point guard ลูกใต้แป้นของม่าน และคนในทีมที่ช่วยกันออกแรง

​​​​   เฮ!!!

​​​​   ที่นั่งฝั่งเขาเริ่มคึกคักเมื่อนักกีฬาทำแต้มได้อีก คล้ายกับว่าต้องการให้กำลังใจจนถึงที่สุด

​​​​   เกมมีการผลัดรับผลัดสู้ อีกฝ่ายเริ่มกระเตื้องจากการเริ่มเกมที่เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

​​​​   42 : 43

​​​​   และดูเหมือนควอเตอร์สุดท้ายของการแข่งขันใกล้จะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาที

​​​​   ไอ้เหนือส่งลูกกลมให้รุ่นน้อง เจ้าตัวเลี้ยงบอลอยู่สักพักก่อนจะส่งต่อมายังม่าน คนตัวสูงใช้เทคนิคหลบหลีกจนเกือบเข้าใกล้เป้าหมาย ขยับข้อมือเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนจังหวะ แต่ในตอนที่กำลังเผลอㅡ

​​​​   ปรี๊ดด!!

​​​​   มันก็โดนกระแทกจนล้มลงพร้อมกับเสียงนกหวีดที่ดังขึ้น
ไม่ต่างจากเสียงโห่ร้องที่ดังก้องไปทั่วสนาม

​​​​   ผมมองตาม สีหน้ามันบ่งบอกว่าเจ็บกับการกระแทกในครั้งนี้

​​​​   แต่สปิริตนักกีฬาของเจ้าตัวก็ยังดำเนินต่อ

​​​​   ม่านเป็นฝ่ายโยนลูกฟาวล์ จ่อเล็งลูกกลมไว้เหนือศีรษะ หลังจากได้ยินเสียงนกหวีด มันก็ลอยโค้งเข้าห่วงอย่างสวยงามเหมือนจับวางเอาไว้

​​​​   ปรี๊ดด!!

​​​​   พวกผมโห่ดีใจก่อนที่จะชูนิ้วตาม ม่านมองมาทางนี้หนึ่งครั้ง เราสบตากันภายในเสี้ยววิก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปสนใจเกมการแข่งในสนามทันที

​​​​   เวลาเริ่มนับถอยหลัง การส่งบอลกันไปมายังเกิดการปะทะอยู่ตลอด ตอนนี้ทางคณะผมได้ครองบอล ม่านเลือกตัดสินใจส่งไปให้ไอ้เหนือที่วิ่งมาสมทบด้านหลัง ผมคิดว่ามันจะชู้ตใต้แป้นแล้วด้วยซ้ำ แต่มันก็ส่งต่อไปทางม่านที่ยืนอยู่แสนไกล

​​​​   คนตัวสูงเหลือบมองเวลาที่ติดไว้บนผนัง รอคอยให้มันตรงตามที่คิดเอาไว้

​​​​   5

​​​​   4

​​​​   ก่อนจะโยนลูกกลมออกไปอย่างตั้งใจ

​​​​   3

​​​​   และมันก็ลงห่วงอย่างสวยงาม

​​​​   2

​​​​   1

​​​​   ปรี๊ดด!!


​​​​   คณะเขาเอาชนะด้วยคะแนน 45:43


​​​​   จากการชู้ตสามแต้มของม่านในตอนจบ




​​​​   เรารอคอยไอ้เหนืออยู่ไม่นานก็ออกไปทานข้าว มีเวลาแสดงความดีใจต่อคนอื่นๆอยู่สักพักก่อนจะกลับหอ ผมไม่ได้เจอม่าน ไม่รู้มันหายไปไหนเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปแบบที่ใจคิด เมื่อกลับมาถึงห้อง ถึงพบว่ามีสายเรียกเข้าที่ตัวเองไม่ได้รับอยู่ก่อนแล้วหนึ่งสาย

​​​​   เป็นเบอร์โทรที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ และตอนนี้เหมือนเจ้าของมันจะติดต่อมาอีกรอบ

​​​​   “สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงกลับไปตามมารยาท พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่หายไปนั่นเอง

​​​​   (เค้าม่านนะ)
​​​​   “อ่า”
​​​​   (เค้าโทรมาทวงสัญญา)

​​​​   เสียงอีกคนเริ่มอู้อี้ มีเสียงดนตรีและผู้คนแทรกด้านหลัง ผมเดาอีกครั้งว่าคงอยู่ในร้านเหล้าที่ไหนสักแห่ง

​​​​   (พรุ่งนี้เค้าไปร้บใต้หอนะ เอาไว้เจอกันครับ)

​​​​   อีกคนไม่ยอมให้ผมพูดต่อ กดตัดสายทันทีที่พูดเสร็จ ความงุนงงเลยเกิดขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบนานหลายนาที ผมยังไม่ได้ตอบรับมันอย่างจริงๆจังๆ แล้วอีกฝ่ายก็ทักท้วงมาบ่อยครั้งเรื่องที่เราต้องไปเดทกันสองต่อสอง

​​​​   ผมไม่ได้เตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิด...มันคงไม่ผิดหรอกมั้งที่ตอนเช้าของอีกวันผมจะตอบกลับไปเสียงแข็ง

​​​​   “ม่าน กูบอกแล้วไงว่าไม่ไป”
​​​​   (...)
​​​​   “กลับห้องไปได้แล้ว กูมีนัดกับไอ้ฮั่น”

​​​​   พร้อมกับบอกเหตุผลที่ทำให้เดทที่มันคิดไว้พังทลายจนหมด
​​​​   
​​​​   คงเป็นเพราะช่วงนี้ผมยอมทุกอย่าง ยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยไม่ปฏิเสธ

​​​​   ยอมทักไปตอนดึก
​​​​   ยอมไปทานข้าว
​​​​   ยอมให้เรานั่งข้างกันแม้จะรู้ว่าเป็นแผนที่วางเอาไว้

​​​​   ผมยอมมันจนได้ใจ และม่านก็คงจะดีใจไปกับสิ่งที่ผมทำ

​​​​   แต่ไม่ใช่ว่าผมจะยอมมันทุกอย่างเสียหน่อย

​​​​   ผมยังไม่พร้อมที่จะมีใคร ถึงแม้ผมจะเริ่มมีใจให้เขา แต่ก็ใช่ว่าจะให้มันจะง่ายไปซะหมด กำแพงของผมมันสูงจนน่ากลัว ผมรู้ดีว่าไม่มีใครคนไหนจะกล้าปีนขึ้นไปอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ยอมลดมันให้กับคนที่เริ่มเข้ามานั่งในใจ

​​​​   มันเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองง่ายๆ

​​​​   ของคนที่ไม่อยากเจ็บปวดให้กับเรื่องเดิมๆ

​​​​   ผมคิดมาดีแล้ว ไม่ใช่แค่จะตอบกลับไปแค่นั้น มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะออกไปกับม่าน

​​​​   ยังไม่ใช่เวลานั้นจริงๆ

​​​​   
ครับ : AMAN
​​​​   เค้ากลับแล้วนะ^^ : AMAN

​​​​   แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจคือการที่อีกฝ่ายตอบกลับมาอีกหลายชั่วโมง

​​​​   ม่านมารอผมตั้งแต่เช้า โดนปฏิเสธออกไปแทบจะทันทีที่เอ่ยขอ ทั้งวันผมก็เอาแต่ออกไปกับไอ้ฮั่นจนลืมมันไปจนหมด

​​​​   จนถึงตอนเย็นที่เพิ่งเข้าห้อง ข้อความของม่านก็ทำให้ใจผมกระตุกไม่เป็นจังหวะ

​​​​   คล้ายกับทั้งวันที่ผ่านมา มันรอให้ผมเปลี่ยนใจจนถึงวินาทีสุดท้ายเสียอย่างนั้น

​​​​   แอปพลิเคชันต่างๆ ถูกเปิดขึ้นเพื่อดูว่าม่านรู้สึกอะไรกับเรื่องราวที่ผ่าน แต่แอคเคาน์ต่างๆก็ไม่มีความเคลื่อนไหว แม้แต่อินสตาแกรมของมันยังนิ่งไม่มีการบ่งบอกว่าเจ้าตัวเข้าใช้งานในวันนี้มาก่อน

​​​​   ผมปล่อยให้ทุกอย่างเคลื่อนผ่านเชื่องช้า หงุดหงิดกับตัวเองไม่น้อยกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ถึงแม้จะเปิดดูมากแค่ไหน จนสุดท้ายม่านก็ไม่ได้อัพเดทอะไรให้ได้รับรู้

​​​​   เครื่องสีดำถูกทิ้งไว้ยังเตียงนุ่ม หลังจากผ่านเที่ยงคืนผมเลยตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ ปล่อยให้อุณหภูมิเย็นฉ่ำของมันช่วยชะโลมจิตใจ

​​​​   แต่ในตอนที่กลับมานอนบนเตียงหลังใหญ่

​​​​   เสียงแจ้งเตือนครั้งใหม่ก็ดังขึ้น
​​​​   เป็นแจ้งเตือนจากใครบางคนที่หายไปทั้งวัน

https://youtu.be/ze65bySlmUk : AMAN

​​​​   ม่านส่งเพลงมาให้

เค้ายังรอนะ : AMAN
ที่เคยบอกว่าจะรอก็ไม่ได้โกหกเธอเลย : AMAN
:-) : AMAN


​​​​   พร้อมกับข้อความใหม่อีกสองสามประโยค


​​​​   ผมหลับตาลงแน่น ค่อยๆเลื่อนมือไปกดฟังเพลงที่เขาให้มา


​​​​   จากนั้น เสียงไพเราะของท่วงทำนองแสนหวานและเนื้อหาของมันก็เข้าเล่นงานใจผมอย่างหนัก


​​​​   ม่านบอกว่าจะรอ

​​​​   และตอนนี้ผมก็เชื่อว่าเขาตั้งใจที่จะรอผมแล้วจริงๆ



​​​​   ดูเหมือนคราวนี้ผมจะใจร้ายกับเขามากเกินไปซะแล้ว
















#ผาเพียงฟ้า

ครั้งแรกที่ฟังเพลงก็คิดถึงเรื่องนี้ทันที
เลยคิดว่ายังไงก็ต้องหยิบมาแต่งให้ได้
สุดท้ายก็ได้นำมาใส่แล้วเราก็รู้สึกว่ามันอธิบายตัวม่านได้ดีมากๆ

ไม่รู้ว่ามีใครเคยฟังวงนี้ไหมนะคะ
ช่วงนี้เราฟังบ่อย เพลงดีหลายเพลงเลย :-)


9/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 0 | I don't know how hurt I am until... - P.2 (9/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 09-09-2019 16:27:11
อ้างถึง
...พอคอยนานๆ ใจมันเริ่มท้อ
เฮ้อ...
ตบบ่า ลูบหลังม่านเบาๆ พูดไม่ออกว่ะม่าน
ผาสูงชันเทียมฟ้าเหลือเกิน
ค่อดเฮิร์ต
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 0 | I don't know how hurt I am until... - P.2 (9/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 10-09-2019 00:04:07
ส่งกำลังใจให้ม่านค่ะ รอต่อไปก่อนนะเจ้าม่าน เรื่องความรู้สึกของผามันบังคับกันไม่ได้จริงๆ บางคนเค้าก็รู้สึกinsecureและไม่อยากจะมีใครเข้ามาในชีวิตในตอนนั้นๆ เท่าที่ม่านได้รับมันก็ถือว่าดีกว่าตอนเริ่มต้นมากๆแล้ว ให้มันค่อยเป็นค่อยไปในแบบที่ทั้งคู่จะไม่อึดอัด ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจให้คุณนักเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 0 | I don't know how hurt I am until... - P.2 (9/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-09-2019 00:10:28
น้ำตาจะไหล สงสารม่าน ม่านมั่นคงมากเลยทั้งๆที่ไม่มีหวังแต่ก็ยังรอ
กำแพงผาสูงมากจริงๆ เราว่าผาต้องมีเบื้องหลังที่ค่อนข้างหนักมากทีเดียว ถึงได้ไม่กล้าเปิดรับใครเข้ามา
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 0 | I don't know how hurt I am until... - P.2 (9/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-09-2019 01:10:37
พี่ผาใจอ่อนเร็วๆสิ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 0 | I don't know how hurt I am until... - P.2 (9/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-09-2019 02:11:22
ม่านดื้อจังเลย  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 0 | I don't know how hurt I am until... - P.2 (9/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 16-09-2019 16:30:59


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


11

an endless beach ft. you



_________


somewhere only we know


_________







   ​​​​ดูเหมือนหลังจากที่ผมปฏิเสธเขาในครั้งนั้น เราก็เจอกันน้อยลง

​​​​   ผมมัวแต่ยุ่งเพราะการทำโปรเจคใกล้จบ และได้ข่าวว่าอีกคนก็ยุ่งกับการฝึกซ้อมเพื่อแข่งในแมทช์ต่อไป

​​​​   ใ​​​​นช่วงเวลานั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับและม่านก็ไม่ได้ติดต่อมาเช่นกัน

​​​​   ความสัมพันธ์ของเราเหมือนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง...ที่ๆผมและเขาไม่เคยมีความหลังกันมาก่อน

​​​​   “พวกมึงเก็บของกันยัง?” ไอ้ฮั่นเอ่ยถามเป็นคนแรก คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตรงข้ามหันมามอง มันเท้าแขนไปด้านหลัง ส่ายหน้าเพื่อบ่งบอกคำตอบของตัวเอง

​​​​   “ยังมีเวลาอีกเยอะ”
​​​​   “มึงรีบหรอวะ?” ไอ้ปัทถ์ละสายตาจากโทรศัพท์เพื่อมอง แต่มือก็ยังรัวอยู่บนหน้าจอไม่หยุด

​​​​   “เปล่า เผื่อจะชวนกรึบๆก่อนคืนนี้”

​​​​   คนเปิดประเด็นยักคิ้วหลิ่วตา วางแผนสำหรับค่ำคืนที่ใกล้จะมาถึงด้วยความตื่นเต้น และผมก็เชื่อว่าคนอื่นๆก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกัน

​​​​   พวกเรารอคอยวันสัมมนาของภาควิชามาโดยตลอด อธิบายง่ายๆคือเป็นการรับน้องนอกสถานที่ที่ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษ เหมือนเป็นทริปพาเที่ยวหรือทริปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นตามประสาเด็กวัยรุ่น และตามประเพณีแล้วก็จะมีการดื่มเฉลิมฉลองกันนิดหน่อย

​​​​   “กูไม่ไปนะ รอเจอรถทีเดียว” ผมสวนขึ้นก่อน ส่วนไอ้ปัทถ์ก็พยักหน้าเห็นด้วยหลังจากที่พูดจบ
​​​​   “เหมือนกัน ขี้เกียจว่ะ”
​​​​   “โห อะไรกันวะ” ไอ้ฮั่นบ่นงึมงำ ก่อนที่คำตอบเราจะจบลงที่การเจอกันตอนขึ้นรถบัสเลยทีเดียว

​​​​   พอมานึกๆดูแล้วการที่พวกเราออกไปดื่มบ่อยครั้งน่าจะมีสาเหตุมาจากความอยากที่ไม่พร้อมกันนั่นเอง วันก่อนคนหนึ่งชวน อีกวันอีกคนชวน เลยทำให้พวกเพื่อนๆ ต้องคอยหาจุดลงตัวที่พอดีและไม่ทำให้เที่ยวกลางคืนมารบกวนการเรียนมากเกินไป

​​​​   ถึงแม้หลังๆมันจะทำไม่ค่อยได้ก็เถอะ

​​​​   ก็เพราะเพื่อนเขามันอยากบ่อยขนาดนี้ ไม่ว่ากี่ทีก็ตกลงไปกันจนได้

​​​​   “ไปกัน” เมื่อคนที่หายไปพบอาจารย์กลับมา เราก็เก็บของแล้วลุกออกจากม้านั่งใต้คณะในทันที

​​​​   ผมเดินนำ มีไอ้เหนือพาดแขนไปกับไหล่ในยามที่มันเดินเคียงข้าง ไอ้ปัทถ์ยังเอาแต่เล่นเกมอยู่ไม่ห่าง ส่วนคนอื่นๆก็จับกลุ่มคุยถึงเรื่องการไปสัมมนาที่จะมาถึง

​​​​   “หักอกน้องกูหรอมึงอ่ะ?”

​​​​   จู่ๆคนที่เดินข้างกันก็เอ่ยถาม นิ้วชี้จิ้มลงบนแผงอกแผ่วเบาเป็นการย้ำคนกระทำถึงเรื่องที่พูด

​​​​   “...” ผมเงียบ เปรยตามองเมื่อไม่รู้จะตอบอะไร

​​​​   “เห็นไอ้ม่านบอกว่าไม่ค่อยได้คุยกัน ก็นึกว่ามึงไปหักอกเด็กมันซะอีก”

​​​​   คราวนี้ผมเบือนสายตากลับไปด้านหน้า พยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่ฟังดูดี

​​​​   แต่มันกลับไม่มีให้พูดออกไป

​​​​   ทำไงได้ ก็ผมมันใจร้ายจริงๆ

​​​​   ทางเดินทอดยาวในยามเย็นร้างผู้คน มีเพียงพวกเขาและนักศึกษาอีกสองสามคนที่เดินสวน เราเดินผ่านโรงอาหารขนาดใหญ่ ก่อนจะก้าวไปทางลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกลต่อจากนั้น

​​​​   แต่จู่ๆ สายตาผมก็มองเห็นใครบางคนที่เราไม่ได้เจอกันเสียนานในตอนที่เดินเข้าลานกว้าง

​​​​   ใครคนนั้น...ที่กำลังยืนพิงกำแพงสูบหรี่ มีผองเพื่อนยืมล้อมรอบอีกทีเพื่อสูบบุหรี่เช่นกัน

​​​​   คงเป็นเพราะการสบตากับเขามันเลยทำให้จังหวะการก้าวของผมผิดแปลกไปนิดหน่อย เราไม่ได้เอ่ยทัก ดูเหมือนว่าเพื่อนผมจะมองไม่เห็นม่านด้วยซ้ำ ทั้งหมดเลยจบลงที่เราเดินผ่านโดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครยืนอยู่

​​​​   แต่กลับกลายเป็นว่ารอบนี้ผมเป็นฝ่ายมองเจ้าตัวเนิ่นนาน

​​​​   นานจนใครบางคนหลบสายตาก่อน แล้วรีบทิ้งก้านขาวลงพื้นเพื่อเดินขึ้นรถที่จอดรับ ก่อนม่านจะหายไปพร้อมกับผมที่มีความคิดหลายอย่างอยู่ในหัว

​​​​   เหตุการณ์ที่ผ่านคงเป็นการเจอกันของเราครั้งแรกหลังจากเรื่องที่เกิด

​​​​   และเป็นการเจอกันที่ผมรู้สึกแปลกๆในหัวใจ









,










​​​​   เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเมื่อฝูงชนต่างรวมตัวกันบริเวณจุดนัดพบ ผมหันไปมองเพื่อนคนสุดท้ายของกลุ่ม มันเจรจากับคนประสานงานชั่วครู่แล้วรีบเดินเข้ามา

​​​​   “เกือบตกรถแล้วไหมล่ะ” นาวาเอ่ยทัก ในมือถือนมกล่องขึ้นดูดอย่างเอร็ดอร่อย
​​​​   “ขาดกูไปก็ไม่สนุกสิคร้าบ” ไอ้เหนือสวนขึ้นทันควัน ก่อนมันจะหันไปตบหัวไอ้ฮั่นเบาๆ
​​​​   “ขาดมึงนี่แหละกำลังดี”

​​​​   เรารออยู่ไม่นาน รถบัสก็เดินทางมาจอดยังด้านหน้า ผู้ประสานงานกล่าวผ่านโทรโข่งเสียงดังเรื่องการจัดแจงที่นั่งบนรถทั้ง4 คันอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ปี1 ขึ้นรถไปก่อน และจากนั้นจึงเป็นปี 2 3 และ4 ตามลำดับ

​​​​   ผมนั่งลงยังเบาะฝั่งด้านหลัง รอคอยเพื่อนที่จะนั่งด้วยกันเดินตามมา โดยปกติแล้วจะเป็นไอ้ฮั่น และรอบนี้ก็เป็นมันอีกเช่นกันที่ทิ้งกระเป๋าลงด้านข้าง

​​​​   “ไอ้ปัทถ์มานี่มา” เป็นนาวาที่เรียกเพื่อน ส่วนไอ้เหนือและไอ้ตินคงนั่งด้วยกันตามระเบียบอีกเช่นเคย

​​​​   ที่นั่งของเพื่อนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างพอดี จะมีก็แต่เบาะไอ้ตินที่เยื้องกันไปทางด้านหลัง ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก เห็นไอ้ฮั่นกำลังช่วยพวกผู้หญิงวางกระเป๋าไว้ยังที่เก็บของด้านบนศีรษะ

​​​​   “ทำไมเด็กปีสามมาคันเราได้วะ?”

​​​​   ทันใดก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นจนทั่ว ไม่นานก็มีคนไม่คุ้นตาเดินหาที่นั่งรอบรถ ได้ยินเสียงประกาศว่าจะมีรุ่นน้องมานั่งด้วย เหตุผลเพราะรถปีอื่นเต็มจนต้องกระจายๆกันออกไป

​​​​   “ม่าน!!!” เสียงตะโกนดังสนั่น ก่อนที่ผมจะเห็นเจ้าของชื่อหันมาทางนี้ “ข้างหลังว่าง”

​​​​   เป็นไอ้เหนือที่เรียกคนสนิทเข้ามาหา กลุ่มเพื่อนมันเดินเข้ามาแล้วผ่านผมไป

​​​​   แต่คนสุดท้ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น

​​​​   ม่านเสมอง เจ้าตัวกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้ในมือแน่น มีเสื้อแขนยาวสีดำพาดผ่านบนไหล่ ผมก็ไม่คิดจะเบือนหน้าหนี เป็นอีกครั้งที่รุ่นน้องหลบตาก่อนแล้วนั่งลงยังเบาะด้านหลังถัดจากตัวเอง

​​​​   ใจผมเต้นแรง ไม่รู้ทำไมมันเหมือนว่ามีสายตาจ้องมองอยู่ตลอด ได้ยินเสียงหัวเราะพร้อมกับเสียงคุยอย่างออกรสดังขึ้น ก่อนที่ไอ้ฮั่นจะกลับมานั่งตามเดิม

​​​​   “ม่านนั่งคันนี้นี่”
​​​​   “รู้แล้ว”

​​​​   มันหัวเราะเบาๆเมื่อได้รับคำตอบห้วนจัด อีกฝ่ายเก็บของอยู่สักพักแล้วหันไปร่วมวงสนทนานั้นอีกคน

​​​​   รถเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทาง ผมเลยใช้หูฟังตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ท้องฟ้ายามตีสี่ยังมืดมิดไม่มีแสงอาทิตย์คอยสอดส่อง มีเพียงแสงจากโคมไฟข้างถนนที่ตั้งอยู่เป็นระยะ ผมกดเลือกเพลงโปรดให้บรรเลง เอนซบไปกับเบาะด้านหลังด้วยท่าสบาย

​​​​   แต่ในตอนที่ร่างกายเริ่มต้านทานความง่วงไว้ไม่ไหว

​​​​   ตุ๊กตาหมีก็ถูกวางไว้บนตักโดยไอ้ฮั่น

​​​​   “มีคนฝากมาให้”

​​​​   พร้อมกับเสื้อแขนยาวสีดำที่วางไว้ข้างกันอีกที

​​​​   ผมรู้ได้ในทันทีว่าเป็นของใคร ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งข้อความฝากเอาไว้

​​​​   พร้อมกับใจที่เริ่มเต้นแรง


เอาไว้กอดนะครับ : AMAN
:-) : AMAN









,










​​​​   เราเดินทางร่วมห้าชั่วโมงก็มาถึงชายหาดแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง มีการพักทานข้าวเช้าเกิดขึ้นก่อน จากนั้นรถก็แล่นเข้าสู่จุดหมายโดยไม่แวะพักที่ไหนอีก

​​​​   ทางรีสอร์ตเตรียมต้อนรับด้วยน้ำผลไม้พร้อมกับของว่างอีกหลากหลายชนิด ผมให้ไอ้ฮั่นไปสอบถามเรื่องห้องพักกับผู้ประสานงาน ไม่นานมันก็กลับมาพร้อมกับกุญแจหลายดอกพร้อมกับนำทางไปในทันที

​​​​   บริเวณที่พักอยู่ติดกับภูเขาลูกเล็กทางด้านหลัง ส่วนอีกฝั่งจรดกับหาดขาวและทอดยาวเป็นมหาสมุทรกว้าง ทางเดินด้านในเลยจะเป็นขั้นบันไดไปตามความลาดชัน มีบ้านเป็นหลังแบ่งตามโซนกันออกไป เราเดินผ่านสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มันสูงจากระดับน้ำทะเลพอประมาณ เมื่อมองลงไปจะเห็นหลังคาของสิ่งปลูกสร้างด้านล่างเรียงกันอย่างสวยสด

​​​​   บ้านพักของเราตั้งอยู่ทางด้านขวาของสระน้ำอีกที มีสวนดอกไม้แบ่งพื้นที่เอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว จากนั้นบ้านพักสองชั้นก็ปรากฏแก่สายตา

​​​​   “เราได้สามห้อง อีกสามห้องจะเป็นของคนอื่น” ฮั่นพูดเมื่อผองเพื่อนเริ่มสำรวจภายในบ้านคร่าวๆ มีห้องโถงใหญ่ที่รองรับสมาชิกได้หลายคน และมีห้องนอนแยกย่อยต่อจากนั้นอีกหลายห้อง

​​​​   “จะเอาสามห้องบนหรือสามห้องล่าง?”
​​​​   “บนดีกว่าป่ะ กูเห็นห้องใหญ่กว่า”
​​​​   “งั้นเอาบนนะ”
​​​​   “เออ”

​​​​   เราจัดแจงห้องกันอยู่สักพักก็เดินตามมาสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ กิจกรรมหลักๆ ส่วนมากจะจัดกันที่หาด จากนั้นผองเพื่อนก็ตกลงกันว่าจะไปรวมตัวกันที่สระว่ายน้ำเพื่อเริ่มต้นการดื่มอย่างที่เคยเป็น

​​​​   กิจกรรมดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน เราแบ่งกันเป็นฐานตามชั้นปีที่เรียน บริเวณชายหาดดูคึกคักเมื่อผู้คนต่างรายล้อมบริเวณนี้จนหมด

​​​​   “อะไรวะ?”
​​​​   “ดินสอพองไง” ไอ้นาวาตอบคำถามจากคนที่ยืนข้างผม ในมือมีขันพร้อมกับใช้นิ้ววนไล้ไปมา
​​​​   “เฮ้ยขอบ้างดิ จะไปปะน้องหมวยคนสวยของกู” ไอ้ปัทถ์ตามมาสมทบ มันระริกระรี้กันอยู่สองคนอย่างตื่นเต้น
​​​​   “จนได้นะพวกมึงอ่ะ” ผมพูดพร้อมกับส่ายหัว ก่อนที่ตัวการจะมองมาแล้วท้าทาย
​​​​   “อยากประเดิมคนแรกไหมล่ะครับน้องผา”
​​​​   “อย่ามาเล่นแบบนะ— เฮ้ยย!!

​​​​   ผมตกใจเมื่อจู่ๆคนที่ยื่นข้างกันก็ล็อกแขนตัวเองเอาไว้ เมื่อพยายามดิ้นก็มีมืออีกสองข้างเข้าช่วย คราวนี้คนที่โดนบ่นเมื่อครู่เดินเข้ามาใกล้ ผมจ้องของที่อยู่ในมือมันเอาไว้ด้วยสายตาคาดโทษ

​​​​   “ไอ้ฮั่นปล่อยกู!” เมื่อรู้ว่าปลายทางจะจบลงตรงไหนผมจึงรีบออกคำสั่ง

​​​​   แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่รับฟังอะไรเกี่ยวกับผมอีก

​​​​   “ปล่อยกู!!” คราวนี้คนอื่นๆต่างหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่ไอ้ตินที่กอดอกมองมา ผมรู้ว่าไม้แข็งใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป จึงพยายามอมยิ้มแล้วออดอ้อนกลับเผื่อมันจะเห็นใจกันบ้าง

​​​​   อย่างน้อยไม่ต้องเอาดินสอพองมาปาดหน้าผมก็ยังดี

​​​​   แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไป

​​​​   “อือ”

​​​​   เมื่อนาวาใช้มือซ้ายเข้าทาบทับข้างแก้มผมแผ่วเบา จากนั้น ไอ้ปัทถ์ก็เข้ามาลูบแก้มข้างขวาด้วยเช่นกัน ผมพยายามเอียงหลบสัมผัสแต่รู้ว่ายังไงก็ไม่พ้น

​​​​   สองคนนั้นหัวเราะร่าก่อนจะรีบวิ่งหนีไปเมื่อผมเป็นอิสระจากการเกาะกุม มือผมฟาดไปที่กลางหลังไอ้ฮั่นที่ช่วยพวกมันเอาไว้ เตรียมตัวจะหลบหนีไปล้างสิ่งแปลกปลอมนั้นออกเพราะรู้สึกอายเต็มที

​​​​   แต่ในตอนที่หันหลังกลับ ใครบางคนก็โผล่ขึ้นมาด้านหลังจนเกือบจะตกใจ

​​​​   ม่านยิ้มร่าพร้อมเลื่อนมือมาวางไว้บนศีรษะคล้ายกับว่าเจ้าตัวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ

​​​​   “น่าสงสารคนโดนแกล้งจังเนาะ”








,








​​​​   ผมกลับมาอาบน้ำหลังจากทานมื้อเย็นของทางรีสอร์ต ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นก่อนที่จะก้าวเข้าไป มองเห็นคนคุ้นหน้าสองสามคนเดินขวักไขว่กันภายในห้องโถง

​​​​   “สองห้าศูนย์ อยู่หลังหิน”
​​​​   “ตรงไหนวะ?”
​​​​   “ซ้ายมึงอ่ะม่าน เออๆ ตรงนั้น ยิงเลยๆ!!”

​​​​   คนที่นอนบนโซฟาตะโกนดังสนั่น ได้ยินเสียงยิงปืนดังตามหลังกันมาติดๆ อีกสองคนที่นั่งล้อมวงอยู่ยังจดจ้องยังหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับมีสีหน้าเคร่งเครียด ยกเว้นคนสุดท้ายที่มีผ้าเช็ดตัวพาดไว้บนบ่าที่หันมามอง

​​​​   ผมสบตากับรุ่นน้องก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้มให้เป็นการทักทาย ดูเหมือนว่าเกมภายในเครื่องสี่เหลี่ยมจะทำให้คนพวกนั้นไม่ได้สนใจรอบข้าง เอาแต่จดจ้องมันอยู่อย่างนั้นแม้เพื่อนผมจะเดินเข้ามาหาพวกมันเป็นครั้งคราว ผมเลี่ยงขึ้นชั้นบนยังห้องพักของตัวเอง พบไอ้ฮั่นที่อาบน้ำเสร็จก่อนแล้วมีผ้าเช็ดตัวคลุมอยู่

​​​​   “ริมหาดนะ ข้างลานต้นมะพร้าว” มันบอกถึงสถานที่ที่เราจะนั่งดื่มในคืนนี้ ผมรื้อกระเป๋าของตัวเอง พลางเอ่ยถามรูมเมทที่ยังเช็ดผม

​​​​   “มีคนไปจองละหรอ?”
​​​​   “ไอ้ปัทถ์กับไอ้ตินนั่งอยู่ เห็นมันคุยกับพวกไอ้ดอย”
​​​​   “พวกมันอาบน้ำกันยังอ่ะ?”
​​​​   “น่าจะยัง”

​​​​   ผมพยักหน้าเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนที่ฮั่นจะออกไปก่อนและให้ผมได้ทำธุระส่วนตัว ไม่นานหลังจากที่อาบน้ำเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ถูกเปลี่ยน เสียงที่ดังในตอนแรกดูเหมือนจะหายไปแล้ว ที่บ้านเหลือเพียงความเงียบจนผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่

​​​​   โต๊ะไม้ขนาดไม่ยาวมากมีผู้คนรายล้อมจนเต็ม บนโต๊ะมีแอลกอฮอลล์หลากหลายชนิดวางรวมกัน มีไฟแช็กและกล่องบุหรี่ที่มักจะเห็น ผมหย่อนตัวข้างไอ้ฮั่นที่มันขยับไปด้านข้างจนเหลือที่ว่างบนเก้าอี้ให้ตัวเองนั่งได้อย่างพอดี

​​​​   “เล่นยาดองเลยหรอวะ” เมื่อสังเกตเห็นของบนโต๊ะ ผมก็กระซิบกระซาบกับเพื่อนในทันที
​​​​   “พี่บอลอ่ะดิให้มา”
​​​​   “กูไม่เอานะ”
​​​​   “กูก็เหมือนกัน”

​​​​   มันพูดแล้วยกแก้วขึ้นชนกับแก้วผมเบาๆ จากนั้นเราก็ดื่มกันอย่างหนักโดยไม่หยุดพักเลยสักนิด ของเหลวในแก้วถูกเติมอยู่หลายรอบ จากนั้นก็หมดลงโดยที่ผมยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก เสียงเพลงที่ดังจากลำโพงอันเล็กช่วยคลอเคล้าบรรยากาศได้อย่างมาก และผมก็รู้สึกเคลิ้มไปกับฤทธิ์แอลกอฮอลล์เข้าจนได้

​​​​   สายลมเย็นพัดผ่าน ผมรับฟังเรื่องเล่าต่างๆที่เพื่อนมอบให้ เราปล่อยให้ความมัวเมาเข้าควบคุมร่างกายเอาไว้และปล่อยให้เสียงหัวเราะเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น

​​​​   จนในตอนที่ผมสบตากับใครบางคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มที่มีก็ค่อยๆน้อยลงจนมันจางหายไปจนหมด

​​​​   แต่ถึงอย่างนั้นม่านมันก็ยังยิ้ม ยกก้านบุหรี่ขึ้นชิดริมฝีปากแล้วพ่นควันออกมาช้าๆ ใบหน้าอีกฝ่ายหายไปเพียงชั่วครู่ก่อนที่เราจะสบตากันดังเก่า คราวนี้ผมตัดสินใจลุกขึ้น เดินออกไปยังชายหาดที่มืดมิดไกลจากผู้คน

​​​​   ก่อนจะส่งข้อความไปหาใครคนนั้นที่เฝ้ารอให้ตามมา

​​​​   Pha : ขอคุยด้วยหน่อยดิ

​​​​   ผมก้าวเดินอย่างช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบเมื่อรอให้เขาก้าวเข้ามาเดินข้างๆ

​​​​   ม่านก้าวเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนที่จะสอดสองมือไว้ในกระเป๋ากางเกงยามเอ่ยทัก

​​​​   “ตกใจนะเนี่ย— เรียกเค้ามาแบบนี้” เสียงเขายังดูอารมณ์ดีเหมือนเคย

​​​​   เราเงียบกันอยู่สักพัก ปล่อยให้เสียงน้ำทะเลที่เซาะเข้าฝั่งช่วยทำลายความอึดอัดเสียแทน

​​​​   “นั่นตุ๊กตามึงหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเสียก่อน ม่านพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ

​​​​   “ของเค้าเอง นอนกอดทุกคืนเลยเอามาด้วย”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “เด็กชิบ”

​​​​   เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายดังแผ่วเบาเมื่อโดนค่อนขอด พยายามบังคับฝีเท้าของเราให้เป็นจังหวะเดียวกัน

​​​​   “แล้วกอดอุ่นมั้ย?”

​​​​   ผมไม่ตอบ ก้มหน้าลงก่อนจะตั้งใจเดินต่อ

​​​​   “...มึงหายไปไหน?”

​​​​   แต่สุดท้ายก็เก็บคำถามนั้นไว้กับตัวไม่ได้ มันเลยถูกส่งออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้
​​​​   ว่าผมกำลังสับสนกับเรื่องของเราที่เป็นอยู่ในตอนนี้

​​​​   คราวนี้ม่านเงียบไปบ้าง เหม่อมองไปทางข้างหน้าที่มีแต่ความมืดมิด

​​​​   “...ถ้าบอกว่าหายไปทำใจ…?”
​​​​   “...”
​​​​   “...จะเชื่อรึเปล่า?”

​​​​   เท้าผมก้าวผิดจังหวะ แต่สุดท้ายก็บังคับให้มันเป็นดังเดิม

​​​​   “อืม...”
​​​​   “...”
​​​​   “...แล้ววันนั้นกลับตอนไหน?”
​​​​   “วันไหน?”
​​​​   “วันที่มารอกู”

​​​​   ผมภาวนาให้คำตอบของมันไม่เป็นอย่างที่คิด แต่สุดท้ายแล้วม่านก็ทำให้ผมเองต้องรู้สึกผิดเป็นรอบที่สอง

​​​​   จากการบอกเวลาของการรอคอยในวันที่ผมปฏิเสธมันออกไป

​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “ตอนที่ตอบเธอนั่นแหละ”​​​​

​​​​   รวมๆแล้วคงเกือบห้าชั่วโมงที่มันรอผมอยู่ตรงนั้น รอคอยให้ผมเปลี่ยนใจแล้วตกลงให้กับการขอร้องของมันที่ส่งมา

​​​​   “รอทำไม” เสียงผมแหบแห้ง หลับตาแน่นพร้อมกับถอนหายใจ “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ”
​​​​   “...”

​​​​   คราวนี้ม่านมันเงียบก่อนจะหยุดเดินจนผมต้องหันหลังกลับ เราสบตากันอีกครั้ง คราวนี้เขามีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างมากจนผมไม่รู้จะทำตัวยังไง

​​​​   “เธอเรียกเค้ามาคุยเรื่องอะไรอ่ะ?”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “...”
​​​​   “บอกเค้าก่อนได้ป่ะ?”
​​​​   “...”
​​​​   “ใจเค้ามันไม่พร้อมหรอกนะถ้าเธอจะบอกว่ารำคาญ...”

​​​​   ผมกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก รับรู้ความในใจของอีกฝ่ายที่มันอัดแน่น

​​​​   “เปล่า”

​​​​   ม่านเบือนหน้าไปทางท้องทะเล ปล่อยให้เส้มผมปลิวไปกับสายลมยามเหม่อมอง ผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะตัดสินใจเลือนมือไปกอบกุมใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้แผ่วเบา

​​​​   “...จะมาบอกว่าขอบคุณ”

​​​​   เขาหลับตาลงช้าๆ เอนศีรษะเข้าซบมือเล็กอย่างโหยหา

​​​​   “...ก็นึกว่าจะไล่เค้าซะอีก”
​​​​   “ใครจะไปกล้าไล่”
​​​​   “เธอไง”
​​​​   “ก็มาง้ออยู่นี่ไง”

​​​​   ม่านแลบลิ้นเลียริมฝีปากแก้เขิน ก่อนจะเบี่ยงตัวแล้วค่อยๆเดินออกไป ผมรู้ได้ในทันทีว่าเขารู้สึกอย่างไรเพราะอกด้านซ้ายของตัวเองก็เริ่มทำงานเข้าจนได้เมื่อพูดประโยคนั้น

​​​​   ประโยคที่สื่อความหมายบางอย่างจนทำให้เราต้องขัดเขิน

​​​​   ผมเดินตามไปไม่ห่างจนสุดท้ายก็กลับไปยืนเคียงข้างเขา เราเดินด้วยจังหวะเชื่องช้า ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีก

​​​​   จนในตอนที่ผมเลื่อนมือเข้าใกล้ ค่อยๆ กอบกุมมือเขาไว้จนมันแนบแน่น

​​​​   “หายงอนได้รึยัง?”

​​​​   พร้อมกับเอ่ยคำถามที่ทำเอาอีกคนกระตุกมือกลับ และใบหน้าของผมก็เริ่มร้อนจัดอย่างช่วยไม่ได้

​​​​   จากนั้นเราสองคนก็มองไปคนละทางพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

​​​​   “ไม่หายหรอก”

​​​​   “...”


​​​​   และดูเหมือนชายหาดที่เดินจะยาวไกลกว่าที่เคยเห็น


​​​​   “เค้าเคยงอนซะที่ไหน”
















#ผาเพียงฟ้า

เขาจับมือกันแล้วค่าาาา
/ปิดตา


9/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 1 | an endless beach ft. you - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 16-09-2019 19:17:57
ม่านไปใหนไม่ได้แล้วแหละ ผาก็เช่นกัน  :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 1 | an endless beach ft. you - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 16-09-2019 20:13:56


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


12

I will be a good guy, I promise



_________


:-)


_________







   ​​​​ผมไม่ได้บอกเพื่อนว่าตัวเองหายไปไหน แต่พวกมันคงรู้ได้จากการที่ผมและอีกฝ่ายกลับมาพร้อมกัน

​​​​   ​​​​แอลกอฮอลล์ในแก้วดูจะหวานกว่าเดิมเท่าตัว ผมสบตากับม่านบ่อยครั้ง ผมยิ้มให้เขาบ้างในบางที ดูเหมือนจะมีแค่เราที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เดินเล่นบนชายหาดกันสองต่อสอง

​​​​   ​​​​จนในตอนที่ล่วงเลยข้ามวัน คนอื่นๆเริ่มกลับไปพักผ่อนหลังจากสังสรรค์กันอย่างหนัก มีคนที่ยังนั่งประจำที่โต๊ะบ้าง บางคนก็กลับไปกินที่บ้านเมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว

​​​​   ​​​​ส่วนพวกผมเลือกที่จะนั่งที่เดิม โดยปกติแล้วถ้าไม่น็อคไปเสียก่อนก็จะได้เห็นพระอาทิตย์ยามเช้าสว่างไสว

​​​​   ​​​​“อ่ะ ทีมึงละ” ไอ้ฮั่นยื่นแก้วเล็กให้แต่ไกล ก่อนผมจะทำหน้าหยีแล้วรีบปฏิเสธออกไปในทันที
​​​​   ​​​​“กูไม่กินยาดอง”
​​​​   ​​​​“เอาหน่อย ไม่เมาหรอก”
​​​​   ​​​​“แต่มันจะอ้วก”
​​​​   ​​​​“ไอ้ผา มึงจะแดกไม่แดก” เพราะความดื้อรั้นของผมทำให้รุ่นพี่ที่สนิทกันออกโรงเสียแทน ผมชั่งใจอยู่สักพัก ด้วยความเคารพจึงไม่อยากขัดพี่แก

​​​​   ​​​​มือเล็กเอื้อมไปรับแก้วมา ก่อนจะค่อยๆเรียกความมั่นใจแล้วยกมันดื่มในรอบเดียว

​​​​   ​​​​อึก!

​​​​   ​​​​“เออ ให้มันได้แบบนี้” พี่บอลพูดเสียงดังฟังชัดก่อนที่ผมจะเอื้อมไปหยิบน้ำเปล่าดื่มตาม รสชาติขมของมันทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ยิ่งรู้ว่าเหล้าชนิดนี้จะส่งผลต่อตัวเองยังไงจึงทำได้แต่ภาวนาไม่ให้มันรุนแรงจนเกินไปเท่านั้น

​​​​   ​​​​ผมมองรุ่นพี่ที่จบไปแล้วอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน พวกเพื่อนคุยกับเขาอย่างออกรส อาจเพราะกลุ่มผมมันเป็นนักดื่ม แถมมิตรภาพลูกผู้ชายมักจะเกิดขึ้นในร้านเหล้า ไม่แปลกใจที่แต่ละคนจะรู้จักไปทั่วแบบที่เห็น

​​​​   ​​​​“นั่งด้วยได้ไหม?”

​​​​   ​​​​และในจังหวะที่กำลังเผลอใครบางคนก็วางแก้วลงด้านข้าง คล้ายกับว่าประโยคที่เจ้าตัวพูดนั้นไม่ได้ตั้งใจจะถามแค่ต้องการบอกเป็นกลายๆว่า ถึงจะตอบว่ายังไง เขาก็จะนั่งอยู่ดี

​​​​   ​​​​“เรียกไอ้เตมาให้หน่อยดิม่าน” เมื่อม่านนั่งลงเสียงสั่งของเพื่อนผมก็ตามมา มันเรียกเพื่อนให้มาหาแบบที่ไอ้ฮั่นว่า ก่อนที่สมาชิกบนโต๊ะเราจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

​​​​   ​​​​ผมเห็นไอ้ฮั่นเสวนาอะไรสักอย่างกับรุ่นน้อง ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่ถามไถ่เพื่อทำความรู้จัก ก็คงจะยกเว้นแต่ผมที่นั่งเงียบ และม่านที่ยังอมยิ้มรับการสนทนาที่เกิด

​​​​   ​​​​“ยาดองรสชาติเป็นไง?” อีกฝ่ายพูดก่อน มือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ส่วนมืออีกข้างกวนน้ำแข็งในแก้วตัวเองไปมา
 
​​​​   ​​​​“ห่วยแตก”

​​​​   ​​​​ม่านหัวเราะให้กับคำตอบของผม ก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อพูดต่อ

​​​​   ​​​​“อยากลองอยู่เหมือนกัน”
​​​​   ​​​​“มึงไม่ต้องลองหรอก”
​​​​   ​​​​“ไม่อร่อยหรอ?”
​​​​   ​​​​“มันแรง”

​​​​   ​​​​ผมดุ มองเห็นอีกคนยักคิ้วเมื่อรับรู้ข่าวใหม่

​​​​   ​​​​“แสดงว่าเธอกินแล้วเมาอ่ะดิ” มันยังไม่เลิกคาดคั้น ผมเลยยอมเล่าให้ฟังแต่โดยดี

​​​​   ​​​​“เละ”

​​​​   ​​​​คราวนี้ม่านมันหัวเราะอีก ยกแก้วขึ้นจิบรับรสชาติขมหวาน

​​​​   ​​​​“อยากรู้ว่าเธอเมาแล้วจะเป็นยังไง”
​​​​   ​​​​“ก็เมาบ่อยจะตาย”
​​​​   ​​​​“นั่นเมาแล้วหรอ?”
​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​“ดูไม่ออกเลยว่ะ”

​​​​   ​​​​ดวงตาเขาจับจ้องมาที่ผมเพื่อสำรวจ เมื่อไม่รู้จะรับมือแบบไหนผมเลยหยิบบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปากแล้วจุดไฟแช็ก

​​​​   ​​​​“แล้วมึงล่ะ”
​​​​   ​​​​แชะ!
​​​​   ​​​​“เมาแล้วเป็นยังไง?”

​​​​   ​​​​ผมถาม แต่รอไม่นานก็ได้คำตอบ

​​​​   ​​​​“เมาแล้วคิดถึงเธอ”
​​​​   ​​​​“โกหก” ผมเถียงทันควันเมื่อได้ยินประโยคที่ส่งมา
​​​​   ​​​​“อ่าว” มันหัวเราะอีก “นี่พูดจริงๆ”
​​​​   ​​​​“มึงน่ะชอบโกหก”
​​​​   ​​​​“โกหกตรงไหน?”
​​​​   ​​​​“ที่บอกว่าเมาแล้วคิดถึงไง”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ไม่เมาก็คิดถึงป่ะวะ มึงอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก”

​​​​   ​​​​แก้วของมันถูกยกดื่มจนหมดเมื่อเจ้าตัวไม่มีอะไรจะเถียง มือใหญ่รินเติมให้แก้วตัวเองอีก วางมันลงไว้ด้านหน้าก่อนจะวนไล้นิ้วมือไปมากับน้ำแข็ง

​​​​   ​​​​“แล้วตอนเธอเมาไม่คิดถึงเค้าบ้างหรอ?”

​​​​   ​​​​คำถามที่ส่งให้ทำเอาผมเงียบ ก่อนจะค่อยๆหันไปสบตา

​​​​   ​​​​“เมื่อก่อนก็ไม่”

​​​​   ​​​​ม่านเสยผมไปด้านหลังเมื่อได้ยินคำตอบ

​​​​   ​​​​“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
​​​​   ​​​​“ก็ไปคิดเอาเองสิ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ตอบแบบนี้ไม่ผิดใช่มั้ย?”
​​​​   ​​​​“เธอแม่ง...เอาอีกละ”
​​​​   ​​​​“ดูเหมือนกูจะเมาแบบที่มึงพูดจริงๆแล้วว่ะ”

​​​​   ​​​​ผมอมยิ้มเมื่อได้สวนกลับไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ม่านไม่ได้ถามต่อ คงยังคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ผมส่งให้ ผมเลยปล่อยให้เขาได้ใช้ความคิดต่อไปเงียบๆ

​​​​   ​​​​“ผา พี่ชนหน่อย” แต่ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองจะยิ้มมากเกินไป รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ยกแก้วเข้าหา

​​​​   ​​​​ผมก้มหัวลงยามยกแก้วตัวเองขึ้น มองเห็นสายตาอีกฝ่ายจ้องมองหลังจากซดมันจนหมด และไม่ว่าจะเป็นตอนไหนต่อจากนั้น สายตาคู่เดิมก็จับจ้องผมตลอดจนรู้ว่าคิดอย่างไร

​​​​   ​​​​“ไอ้ภพเบาๆ นั่นน้องกู” พี่บอลเป็นฝ่ายเตือน ดูเหมือนคนทั้งโต๊ะจะสังเกตถึงความผิดปกติจากบทสนทนาที่เกิด

​​​​   ​​​​เพื่อนม่านมองมา ไม่ต่างจากเพื่อนผมที่เริ่มจดจ้องมากกว่าปกติ แต่ปฏิกิริยาของพวกมันกลับต่างออกไปจากที่คิด บางคนหัวเราะ บางคนก็อมยิ้มเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ต่อจากนี้มันช่างเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

​​​​   ​​​​“น้องยังไม่มีแฟน”
​​​​   ​​​​“มึงรู้ได้ไง?”
​​​​   ​​​​“ไอ้ตินบอกเมื่อกี้”
​​​​   ​​​​“มึงเชื่อมันหรอ?”
​​​​   ​​​​“อ่ะงั้นกูถามให้เลย”

​​​​   ​​​​เพราะระยะห่างเพียงแค่โต๊ะคั่นทำให้ผมได้ยินบทสนทนานั้นทุกประโยค ก่อนที่ชื่อตัวเองจะถูกเรียกโดยรุ่นพี่คนเดิม เจ้าตัวเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

​​​​   ​​​​“เรายังไม่มีแฟนใช่ไหม?”

​​​​   ​​​​เสียงพูดคุยดังขึ้น เพื่อนพี่ภพตบหลังคล้ายกับหยอกล้อกันไปมา คนรอบข้างรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่รู้จะทำตัวแบบไหน

​​​​   ​​​​ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปเช่นไร เพราะรู้ดีว่าคำตอบของตัวเองจะกระทบกับใครหลายคนต่อจากนี้

​​​​   ​​​​ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าจนได้

​​​​   ​​​​“ยังไม่มีครับ”

​​​​   ​​​​ผมพูด ไม่ได้มองคนด้านข้างว่ามีสีหน้าแบบไหนตอนที่ตอบ

​​​​   ​​​​“เห็นมั้ยกูบอกแล้ว” พี่ภพยักคิ้วพร้อมกับมีสีหน้าดีใจ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็ยังมองอยู่ไม่ละไปไหนเสียที

​​​​   ​​​​“แย่จังเลยเนาะ” แต่จู่ๆม่านก็พูดขึ้น มองหน้าผมด้วยรอยยิ้มแบบที่เคยเห็น

​​​​   ​​​​ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จากสถานะที่ผมบอกรุ่นพี่ไปเลยทำให้เขารู้สึกแบบนั้น เราไม่ได้ผูกมัดกันด้วยซ้ำ ไม่มีการตกลงว่าจะเป็นอะไรกันในชีวิตของอีกฝ่าย

​​​​   ​​​​แม้แต่คนคุย...ยังไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า

​​​​   ​​​​ผมยกแก้วขึ้นดื่มแก้เบื่อ ใช้แขนเช็ดริมฝีปากเมื่อน้ำหยดไหล แต่ในตอนที่วางแก้วลงไปกับโต๊ะตรงหน้า เสียงไอ้ฮั่นก็ดังขึ้นมาเป็นการเรียกชื่อของม่านในระดับที่ดังกว่าปกติ

​​​​   ​​​​“ม่าน”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ปากไอ้ผา”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวชี้มือไปที่มุมปากของตัวเองเป็นการประกอบคำพูด ม่านเข้าใจในทันทีก่อนจะหันมาหาผมแล้วใช้มือตัวเองช่วยเช็ดอย่างแผ่วเบาท่ามกลางสายตาของคนทั้งโต๊ะ

​​​​   ​​​​มันไม่พูดอะไรในตอนที่ละออก แต่กลับใช้มือเอื้อมมาด้านหลัง โอบเอวผมเบาๆจนไหล่เราชิดกันคล้ายกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

​​​​   ​​​​คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอ้าปากค้าง พี่ภพสบถเบาๆพร้อมรอยยิ้มก่อนที่ผมจะค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย

​​​​   ​​​​ดูเหมือนแผนการของไอ้ฮั่นจะไปได้สวยกว่าที่คิด

​​​​   ​​​​“ก็ว่า”

​​​​   ​​​​พี่ภพพูดเมื่อจ้องมองมาพร้อมกับม่านที่กระซิบบอกการกระทำของตัวเอง

​​​​   ​​​​“แย่หน่อยเนาะ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ทำได้แค่นี้เอง”

​​​​   ​​​​คงเพราะขอบเขตที่จำกัดของความสัมพันธ์ทำให้เขาพูดแบบนั้นออกมา ม่านคงหมายถึงการที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆในตัวผม ไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเรานั้นเป็นอะไรกันอยู่ และผมก็เช่นกัน ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาที่จะบ่งบอกว่าเราผูกมัดกันด้วยความรู้สึกบางอย่าง

​​​​   ​​​​ความรู้สึกที่ผมเองเป็นฝ่ายกำหนดให้มันเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็น

​​​​   ​​​​ผมละความสนใจจากมันแล้วดูดบุหรี่ต่อ มีเพื่อนย้ายฝั่งมานั่งข้างกันหลังจากผลัดเปลี่ยนไปเข้าห้องน้ำ นานเข้าที่รู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ไหวกับของมึนเมาที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักจนอยากจะอาเจียนออกมา เมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัยเท้าผมจึงรีบก้าวไปทางห้องน้ำในทันที สติกระเจิดกระเจิงจนเริ่มเดินไม่ตรง มือผมระไปตามผนังเพื่อพยุงตัว ก่อนที่จะมองเห็นปลายทางอยู่ไม่ไกลแล้วกลั้นใจเดินต่อ

​​​​   ​​​​ออ—อ!!

​​​​   ​​​​ความรู้สึกพะอืดพะอมแล่นขึ้นจนถึงริมฝีปาก ผมขย้อนมันออกมาพร้อมกับมือที่จับโถชักโครกแน่น พยายามหอบหายใจเพื่อเรียกสติตัวเองแต่ก็ต้องตัวโยนเข้าอีกรอบ

​​​​   ​​​​อ่—กก!!

​​​​   ​​​​น้ำลายผมยืด พร้อมกับน้ำตาที่คลอตลอดพร้อมจะไหล รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ไหวจนเกือบจะหมดสติ แต่ในตอนที่กำมือแน่น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนใครบางคนจะเอ่ยเรียก

​​​​   ​​​​“เธออยู่ข้างในรึเปล่า?”

​​​​   ​​​​มือผมเอื้อมไปกดชักโครก ต่อจากนั้นก็ปลดล็อกกลอนประตูให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสภาพแบบไหน ม่านนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงด้านหลังพร้อมกับเสยผมที่ปรกตาของผมออก

​​​​   ​​​​“ไหวมั้ยครับ?”

​​​​   ​​​​มือเล็กยกขึ้นเป็นการบอกว่าห้ามถาม ผมทำมือตอบเขาว่าไม่สามารถพูดได้ เพราะถ้าพูดออกไปอาการมึนเมาจะกลับเข้ามาอีกรอบ

​​​​   ​​​​“หนักเลยแฮะรอบนี้”

​​​​   ​​​​เขาขยับออกห่างนิดหน่อย ไม่ยอมถอยไปไหนเพราะความเป็นห่วง ผมพยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับฤทธิ์แอลกอฮอลล์เข้าจนได้

​​​​   ​​​​ออ—อืออ!!

​​​​   ​​​​คราวนี้ม่านพุ่งตัวเข้ามาเร็วไว อีกฝ่ายใช้มือใหญ่ลูบหลังผมอย่างเชื่องช้า มันค่อยๆ ขยับเลื่อนขึ้นเป็นจังหวะตามการหายใจของผม สิ่งนั้นช่วยได้อย่างมากโขเมื่อรอบนี้มันมีแต่ของเหลวที่ขย้อนออกมา

​​​​   ​​​​“อืออ พ— พออ แล้ว..”

​​​​   ​​​​เสียงผมแหบพร่า ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมาโดยมีการช่วยเหลือจากเขาอีกที ม่านพามายังม้านั่งที่อยู่ไม่ไกล ผมเอนหลังเอาไว้พร้อมกับหลับตาลงแน่น

​​​​   ​​​​“เธอรอเค้าอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวจะไปเอาน้ำเปล่ากับผ้ามาให้”

​​​​   ​​​​อีกคนหายไปสักพัก ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่านานแค่ไหน แต่ก็นานพอให้ผมรู้สึกตาสว่างขึ้นมาอีกนิด จากนั้นน้ำขวดเล็กก็ถูกส่งให้ในมือ

​​​​   ​​​​“ผา..ผาครับ”

​​​​   ​​​​ม่านเอ่ยเรียก ลูบไหล่เพื่อเตือนสติ

​​​​   ​​​​“หืมม?”
​​​​   ​​​​“ล้างมือก่อนมา” ผมทำตามที่อีกคนสั่งอย่างว่าง่าย “คราวนี้บ้วนปากนะ— ค่อยๆ—อ่ะ อีกรอบครับ”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวประคองไหล่ผมเอาไว้ตลอด จนตอนที่ใบหน้าของผมชุ่มฉ่ำ สายน้ำก็ทำให้อาการเมาหายไปเกือบครึ่ง

​​​​   ​​​​“เนี่ย เมาจนดูไม่ได้เลย” อีกคนหัวเราะร่าแล้วใช้ผ้าสีขาวเช็ดใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา
​​​​   ​​​​“ก็ไม่ต้องดู”
​​​​   ​​​​“จะดู”
​​​​   ​​​​“ดื้อ”

​​​​   ​​​​ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงชอบใจกับคำเอ็ดของตัวเองนัก ผมจึงผลักหน้าอกอีกคนไปบ้าง แต่แรงน้อยนิดแค่นั้นก็ไม่ทำให้ม่านถอยห่างออกไปได้ไกลกว่าที่คิด

​​​​   ​​​​“มึงมันดื้อ”
​​​​   ​​​​“ไม่ชอบคนดื้อหรอ?” อีกฝ่ายถามกลับ ดวงตาหยีลงเป็นเส้นโค้ง
​​​​   ​​​​“ไม่ชอบ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ชอบเด็กดี” เสียงผมยานคาง ม่านค่อยๆกดซับบริเวณขมับที่ยังเปียกอยู่
​​​​   ​​​​“งั้นเค้าสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี”

​​​​   ​​​​คราวนี้ผมเงียบ สมองประมวลผลเชื่องช้าด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์

​​​​   ​​​​“จะรอดู”

​​​​   ​​​​ขวดน้ำเปล่าถูกเปิดออกก่อนผมจะค่อยๆดื่มมันเพื่อบรรเทาอาการเมาของตัวเอง เรานั่งอยู่ตรงนั้นเสียนาน เพราะผมด้วยล่ะมั้งที่เอาแต่ตั้งสติ จนกว่าในตอนที่เราจะกลับไปยังโต๊ะ ผองเพื่อนก็หนีหายกันไปหมดเหลือแต่รุ่นพี่ที่นั่งอยู่

​​​​   ​​​​“ไอ้ฮั่นกับไอ้ตินพาพวกนั้นไปเก็บละ ขืนนั่งต่อมีหวังเรื้อนกันแน่ๆ” พี่บอลเป็นคนบอก จากนั้นเราจึงลาคนอื่นๆแล้วกลับไปยังที่พักแต่โดยดี

​​​​   ​​​​ประตูห้องนอนแต่ละห้องปิดสนิท ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหายไปนานขนาดไหน แต่มันก็คงจะนานพอที่ทำให้ทุกคนคล้อยหลับและไม่สนว่าผมจะนอนห้องไหนเพราะตอนนี้ทุกห้องถูกล็อกกลอนเอาไว้ จากคนด้านในที่ไม่ว่าจะเคาะและเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิด

​​​​   ​​​​“เพื่อนเค้าก็ไม่ตื่นกันเลย” ม่านหัวเสีย มองผมที่เดินลงมาชั้นล่างเมื่อห้องเดียวที่ยังว่าง— คือห้องม่านที่เปิดประตูอยู่

​​​​   ​​​​“อืม กูรู้แล้ว”

​​​​   ​​​​ผมไม่ได้เอะใจ คิดว่าเพื่อนๆ คงวางแผนพิเรนๆ เอาไว้อีกแน่ๆ

​​​​   ​​​​“แล้ว...เธอจะนอนไหน?” อีกฝ่ายถาม ก่อนผมจะเดินนำทางไปยังด้านใน

​​​​   ​​​​พร้อมกับคำตอบที่เป็นทางออกของเราทั้งคู่

​​​​   ​​​​“ก็นอนด้วยกันไง”



​​​​   ​​​​“...”




​​​​   ​​​​“ไม่เห็นยาก”
















#ผาเพียงฟ้า

เล้าเปิดก็อัพสองตอนเลย
._.



16/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 16-09-2019 21:01:41
ดีใจได้อ่าน2ตอนติดเลย ขอบคุณค่ะ ผาพอได้ทีก็เอาใหญ่เลย ตัวร้ายยย ทำม่านเสียหลักไม่หยุด ม่านเสียอาการไปหมดแล้วว  :o8: ทั้งนี้ทั้งนั้นน่าร้ากกกกกมากค่ะ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจจจจจให้คุณนักเขียน 
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 16-09-2019 22:45:02
ม่านน่ารักจังงงงง :-[
ไม่รู้ว่าคุณนักเขียนจะลงสองตอน พอเข้าเล้าได้เห็นเรื่องนี้อัพเลยเข้ามาเลยค่ะ เม้นคั่นเลยแงงง :sad4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-09-2019 23:24:09
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-09-2019 23:47:05
เหมือนทดสอบความอดทน 55555555555555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 17-09-2019 13:15:02
สู้ต่อไปครัชม่าน
ส่วนคืนนี้ เอิ่ม..ลักหลับได้ คนเมาไม่รู้เรื่องหรอก
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 17-09-2019 20:28:33
โง้ยยยย เขินหน้าร้อนผ่าว  ผาน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 2 | I will be a good guy, I promise - P.2 (16/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 22-09-2019 02:19:21


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


13

4 minutes, 17 seconds



_________


bgm: ข้างกาย - safeplanet

' ฉันเองจะรับเธอเอาไว้
ให้เธอลองปล่อยให้มันเป็นไป
ไม่ต้องห่วง ฉันจะเข้าใจ'



_________







   ​​​​ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ใจแข็งอะไรหรอก รู้สึกแปลกๆด้วยซ้ำที่เราต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสอง อาจเพราะในห้องมันเงียบเกินไปล่ะมั้งเลยเป็นแบบนี้

​​​​   ​​​​“เธอจะอาบน้ำก่อนมั้ย?” ม่านเอ่ยถาม เหมือนเขาก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันเมื่อสถานการณ์บังคับให้เราต้องร่วมห้อง

​​​​   ​​​​“มึงอาบก่อนไป”
​​​​   ​​​​“เค้ารอได้”
​​​​   ​​​​“กูขอนั่งพักแปบนึง”

​​​​   ​​​​เมื่อฟังเหตุผลจบอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ หยิบของใช้ที่จำเป็นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำที่ตั้งไว้ยังมุมหนึ่ง ผมถอนหายใจออกมา รู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยเมื่ออยู่คนเดียว เพราะแบบนั้นสมองจึงโลดแล่นคิดอะไรเพลินๆมากไปหน่อย จนความคิดเดินทางมาถึงบทสนทนาของเราที่พึ่งพ้นผ่าน

​​​​   ​​​​บทสนทนาที่ดูเหมือนผมและม่านคือคู่รักที่ต้องค้างห้องเดียวกันเป็นครั้งแรก

​​​​   ​​​​ค้างในความหมายที่ไม่ใช่ค้าง
​​​​   ​​​​แต่หมายถึงมีกิจกรรมอื่นประกอบกันไปด้วย

​​​​   ​​​​ไม่เคยมีครั้งไหนที่การได้ยินเสียงคนอาบน้ำจะทำให้ใจเต้นแรงได้เท่านี้มาก่อน มันเหมือนจังหวะกลองตอนเพลงเริ่ม ค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นตามกาลเวลา

​​​​   ​​​​จากจังหวะเชื่องช้าเป็นระรัวจนตามแทบไม่ทัน
​​​​   ​​​​หัวใจผมเป็นแบบนั้น

​​​​   ​​​​ก่อนมันจะลงน้ำหนักครั้งสุดท้ายเป็นเสียงที่ดังที่สุดจนทำให้ตกใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้ตั้งตัวก็ไม่สามารถรับมือไหวเพราะสุดท้ายมันก็ได้พัดพาความรู้สึกบางอย่างลอยละลิ่วขึ้นบนฟ้า สูงส่งจนไม่สามารถคว้ามาได้ จากนั้นก็ปล่อยให้ตกลงมายังพื้นดินกว้างจนทุกอย่างแตกสลาย

​​​​   ​​​​กลับกลายเป็นความเงียบอีกครั้ง

​​​​   ​​​​อันที่จริงผมไม่ได้รังเกียจอีกฝ่ายที่ต้องร่วมเตียง ไม่ได้กลัวว่าจะดูแย่ถ้าเราต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

​​​​   ​​​​แต่มันเป็นแค่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องนอนกับคนที่แอบชอบ…โดยที่ตัวเองก็ㅡ

​​​​   ​​​​ㅡรู้สึกกับเขามากเกินกว่าจะใช้คำว่าปกติ

​​​​   ​​​​อืมㅡนั่นแหละ

​​​​   ​​​​เพราะแบบนั้นนั่นแหละเลยทำให้คิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ

​​​​   ​​​​ม่านอาบน้ำอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว อีกฝ่ายอยู่ในกางเกงวอร์มลากเท้า ใส่เสื้อแขนยาวสีเข้มและมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไหล่ มันคงจะเอาไว้ใช้เช็ดผมที่เปียกหมาดจนมีน้ำหยดลงพื้น

​​​​   ​​​​“เค้าเสร็จแล้ว” เจ้าตัวบอก “เธออาบต่อได้เลย”

​​​​   ​​​​คงเพราะเห็นผมนิ่งไปสักพักคนอายุน้อยกว่าจึงถามกลับมาตามที่สงสัย

​​​​   ​​​​“ไม่มีเสื้อผ้าใช่ไหม?”
​​​​   ​​​​“อืม กระเป๋าอยู่บนห้อง”
​​​​   ​​​​“งั้นเอาชุดเค้าไปก่อน”

​​​​   ​​​​มันหยิบเสื้อผ้าที่ดูใหม่เกินกว่าจะเป็นชุดนอนส่งให้ ผมเดาได้ว่าคงเป็นชุดลำลองของอีกฝ่ายที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้

​​​​   ​​​​“แล้วมึงจะใส่อะไรกลับ?”
​​​​   ​​​​“เดี๋ยวไปยืมของไอ้มาร์ท”
​​​​   ​​​​“เอาไปเหอะ กูใส่ชุดเดิมเนี่ยแหละ” ผมเถียง แต่ม่านก็ทำเสียงแข็งกลับมา
​​​​   ​​​​“ใส่ไปเลย มันเหลือชุดเดียวแล้ว เสื้อเธอเลอะขนาดนั้นยังจะไม่เปลี่ยนอีกหรอไง”

​​​​   ​​​​ชุดที่เปียกหมาดถูกสำรวจไปจนทั่ว ผมพิจารณามันเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้สึกว่าเห็นด้วยกับความคิดของเขา จากนั้นจึงรีบเอื้อมมือไปรับอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ เพราะของๆผมมันอยู่ห้องข้างบนที่ล็อกเอาไว้

​​​​   ​​​​สายน้ำเย็นกระทบผิวเนื้อเมื่อผมตัดสินใจไม่ใช้งานเครื่องทำความร้อน มันช่วยได้มากโขเพราะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันตาเห็น อาการเมาหายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกสบายตัวหลังจากอาบแล้วเสร็จและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ นั่นทำให้ผมขอบคุณที่ตัวเองไม่ได้ปฏิเสธม่านไปอีกรอบ

​​​​   ​​​​ภาพที่เห็นหลังออกมาจากห้องน้ำคือเขาที่นั่งอยู่ปลายเตียง ผ้าขนหนูยังคลุมไว้บนเส้นผมสีดำขลับ ผมมองไม่เห็นหยาดน้ำที่ไหลลงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเส้นผมของเขายังไม่แห้งสนิท

​​​​   ​​​​ม่านหันมามองชั่วครู่ คงอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เกมในมือถือก็ทำให้ต้องหันกลับไปดังเดิม

​​​​   ​​​​“เกมอะไรหรอ?” ใบหน้าผมชะโงกไปใกล้ ตัดสินใจนั่งลงด้านข้าง สองมือกุมไว้ยังผ้าขาวที่อยู่บนศีรษะ

​​​​   ​​​​“พับจี”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“เธอไม่เคยเล่นหรอ?”
​​​​   ​​​​“ไม่เคย”

​​​​   ​​​​ผมส่ายหน้า ได้ยินเสียงในเครื่องสีดำดังขึ้นเป็นระยะ บางครั้งมีเสียงคนเดินบ้าง บางครั้งก็เป็นเสียงปืนที่ยิงกันไปมา

​​​​   ​​​​“สนุกนะ ลองเล่นไหม?”

​​​​   ​​​​คงไม่มีครั้งไหนที่ผมรู้สึกสนอกสนใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้เท่าครั้งนี้แล้วมั้ง เพราะคำตอบคือการพยักหน้ากลับ ม่านเลยบอกให้ผมรออยู่สักพัก จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งมือถือมาให้แล้วเริ่มอธิบายไปทีละนิด

​​​​   ​​​​“ง่ายๆเลย เธอเจอใครก็ให้ยิง”
​​​​   ​​​​“ยิงหมดเลยหรอ?”
​​​​   ​​​​“ใช่”

​​​​   ​​​​เขากดปุ่มในมือถือสองสามรอบ

​​​​   ​​​​“ถ้าเธอเล่นคนเดียวเธอก็ยิงหมดเลย แต่ถ้าเธอเล่นกับเพื่อน ก็คือจะเล่นกันเป็นทีม”
​​​​   ​​​​“ช่วยกันยิงแบบนี้ป่ะ?”
​​​​   ​​​​“ครับ”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวยิ้มก่อนพยักหน้า ดูเหมือนจะมีเด็กชอบใจที่เห็นผมถามไม่หยุด

​​​​   ​​​​“แล้วต้องยิงยังไง?”
​​​​   ​​​​“ปุ่มนี้เอาไว้เดิน ถ้าเธอเลื่อนไปข้างหน้าแบบนี้ㅡ” เขาจับนิ้วมือผมแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆดันขึ้น “ㅡเห็นมั้ยว่ามันจะไปตามที่เธอบังคับ”
​​​​   ​​​​“อ่อ โอเค”
​​​​   ​​​​“ส่วนถ้าเธอจะหันซ้ายหันขวา ก็กดเลื่อนๆตรงนี้ ㅡบนหน้าจอได้เลย”
​​​​   ​​​​“อ่าฮะ”
​​​​   ​​​​“นี่ไง ได้แล้ว”
​​​​   ​​​​“ไม่ถนัดอ่ะ”
​​​​   ​​​​“เล่นไปเดี๋ยวก็ชิน”

​​​​   ​​​​เสียงหัวเราะดังตามมา ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้กันมากกว่าที่คิด

​​​​   ​​​​เขานั่งด้านข้าง เอียงตัวมาหาคล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างเราทั้งสอง

​​​​   ​​​​“อันนี้เค้าตั้งค่าให้ปุ่มยิงอยู่ทางด้านซ้าย เห็นไหม? ที่เป็นรูปลูกกระสุนㅡ ใช่ๆ นั่นแหละ เธอจะกดยิงตรงนั้นก็ได้ หรือถ้าไม่ถนัด ก็กดหน้าจอได้เลยเหมือนกัน แต่ต้องกดเน้นๆนะ มันถึงจะยิงให้”
​​​​   ​​​​“ยากว่ะ”
​​​​   ​​​
​​​​   ​​​​โทรศัพท์ถูกส่งคืนไปยังเจ้าของ ผมเตรียมจะลุกขึ้นอยู่รอมร่อแต่ก็ถูกรั้งข้อมือเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งตามเดิมเพราะผมสู้แรงเขาได้ที่ไหน อีกอย่างก็เพราะเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไรนั่นแหละเลยลองให้ม่านสอน

​​​​   ​​​​จะได้ไม่ต้องอึดอัดที่เราอยู่ด้วยกันในห้องสี่เหลี่ยม

​​​​   ​​​​“งั้นดูเค้าเล่นแมทช์นึงก่อนแล้วเธอลอง มาๆ สนุกนะจะบอก”

​​​​   ​​​​เขายิ้มร่าก่อนจะสาธิตการเล่นให้ผมตามที่โอ้อวด อีกคนดูชำนาญไม่น้อย นิ้วมือระวิงไปกับตรงนั้นตรงนี้จนตามแทบไม่ทัน

​​​​   ​​​​อะไรกัน
​​​​   ​​​​ไหนบอกเล่นไม่ค่อยเก่งไง

​​​​   ​​​​“อ่ะ ตาเธอละ”
​​​​   ​​​​“เล่นเลยหรอ?”
​​​​   ​​​​“ลองเลยๆ ครั้งแรกก็เล่นคนเดียวก่อน จะได้รู้”

​​​​   ​​​​ถึงอยากจะปฏิเสธแต่ผมก็รับเครื่องสี่เหลี่ยมมาถือไว้จนได้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเหมือนกัน ถึงจะเคยเล่นเกมแนวนี้มาบ้างแต่ครั้งแรกก็คงไม่ง่าย

​​​​   ​​​​มันต้องอาศัยการฝึกฝน

​​​​   ​​​​เสียงม่านอธิบายดังอยู่ข้างๆ ผมยังกล้าๆกลัวๆนิดหน่อยหลังจากเล่นไปได้สักพัก โชคดีที่มีเขาคอยปลอบและใจเย็นอยู่ตลอดแม้บางทีผมจะฟิวส์ขาดไปแล้ว

​​​​   ​​​​ปังปังปัง!!

​​​​   ​​​​“เฮ้ย นี่ไง kill 1” นิ้วเรียวชี้ไปยังตัวเลขบนหน้าจอ ผมมองตาม มันเป็นการบ่งบอกว่าการเล่นเกมในรอบนี้กำลังไปได้สวย

​​​​   ​​​​“เห็นมั้ย บอกแล้ว”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวอมยิ้ม ชี้นิ้วอธิบายเพื่อให้ข้อมูลเพิ่ม แต่ผมเริ่มสนใจกับไหล่ด้านซ้ายของเขาซะก่อน มันแนบชิดเข้ากับไหล่ผมจนเจ้าตัวไม่ทันได้สังเกต พอผละออกก็เท้าแขนไปด้านหลัง แต่ม่านกลับวางมือไว้ยังเบาะนุ่มที่เยื้องมาทางตัวเองเสียได้ มันเลยพาดผ่านหลังผมไปอย่างน่าใจหาย รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ก่อตัวขึ้นจากแขนที่ทาบทับ

​​​​   ​​​​และจากลมหายใจของเขา
​​​​   ​​​​ที่มันรินรดอยู่ยังข้างแก้ม

​​​​   ​​​​“ต้องไปทางไหน?”
​​​​   ​​​​“ตามทิศตรงนี้เลย”

​​​​   ​​​​เพราะเจ้าตัวดูตั้งใจสอนผมเลยยอมเป็นนักเรียนที่ดี แต่ก่อนที่จะได้กดเลื่อนไปไกลมากกว่านั้น หน้าจอก็แสดงผลว่าเกมครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว

​​​​   ​​​​และผมเป็นฝ่ายแพ้

​​​​   ​​​​“สงสัยเธอโดนคนอื่นยิงแน่เลย”

​​​​   ​​​​ข้อสันนิษฐานดังตามมา ผมส่งมือถือกลับไปให้ม่าน คนตัวสูงรับไปก่อนจะชะงักนิดหน่อยเมื่อมือผมยีเข้าที่ศีรษะ ก่อนจะส่งยิ้มเพื่อเป็นค่าสอนของคนใจดี

​​​​   ​​​​“เอาไว้เดี๋ยวกูโหลดมาเล่น”
​​​​   ​​​​“ครับ”

​​​​   ​​​​ร่างกายผมเริ่มตอบสนองต่อความง่วง ดวงตาหนักขึ้นหลังจากเจอแอร์ในห้องที่เย็นฉ่ำ ดังนั้นจึงรีบจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมเข้านอนในคืนนี้

​​​​   ​​​​เตียงคิงไซส์มีผ้าห่มผืนใหญ่เพียงหนึ่งผืน หมอนสองใบวางไว้บนนั้น และเท่าที่มองหา มันกลับไม่มีหมอนข้างแบบที่คิดไว้ตั้งแต่แรก

​​​​   ​​​​ถึงแม้มันจะผิดแผนไปเสียหน่อย แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือถามเขากลับ

​​​​   ​​​​“มึงจะนอนฝั่งไหน?”

​​​​   ​​​​เรายืนกันคนละฝั่ง ชั่งใจว่าจะทำยังไงกับการตกลงในครั้งนี้

​​​​   ​​​​“ม่าน?”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“...”

​​​​   ​​​​หมับ!

​​​​   ​​​​“เค้าว่า เค้าออกไปนอนข้างนอกดีกว่า”

​​​​   ​​​​หมอนอีกใบถูกคว้าเอาไปถือ เจ้าตัวอมยิ้ม ก่อนจะเดินไปทางประตูห้องโดยไม่ลืมที่จะหยิบบางอย่างออกไปด้วย

​​​​   ​​​​เป็นตุ๊กตาตัวเล็กสีน้ำตาล
​​​​   ​​​​ที่ซุกอยู่ในมือข้างซ้ายเจ้าของ

​​​​   ​​​​“นอนได้แน่หรอ?” ผมถามย้ำ เม้มริมฝีปากแน่นเพราะกลัวว่าจะเป็นตัวเองที่ทำให้เขาต้องลำบาก
​​​​   ​​​​“ได้สิ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ไม่เห็นเป็นไรเลย”
​​​​   ​​​​“นอนข้างในด้วยกันก็ไดㅡ”
​​​​   ​​​​“พอเลย”

​​​​   ​​​​จู่ๆ ม่านก็เอ่ยขัด ทำสายตาปรามไม่ให้ผมพูดต่อ

​​​​   ​​​​“ถ้าเธอพูดอีกรอบเค้าก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“เธอก็รู้ว่าเค้าไม่ใช่คนเก่ง และเค้าจะเสียใจมากถ้ามันเกิดอะไรขึ้น”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“เอาเป็นว่าแบบนี้เซฟสุดสำหรับเราทั้งคู่แล้วกัน”

​​​​   ​​​​ผมเคยอิจฉาที่เขามีรอยยิ้มสว่างไสวอยู่ตลอด รอยยิ้มที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องพยายาม มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วย

​​​​   ​​​​ผมอิจฉาเขาจริงๆ
​​​​   ​​​​เพราะสำหรับใครบางคนแล้วมันเหมือนเจอโจทย์คณิตศาสตร์ที่แก้ไม่ออก ไม่ว่าจะทำอย่างไรคำตอบก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง กว่าจะอดทนกับมันความพยายามก็ลดลงจนไม่อยากจะทำต่อ

​​​​   ​​​​สำหรับผมมันเป็นแบบนั้น
​​​​   ​​​​ยาก

​​​​   ​​​​“อืม”

​​​​   ​​​​และไม่มีใครเข้าใจ

​​​​   ​​​​แผ่นหลังกว้างเล็กลงตามระยะทางที่เราห่าง จากช่องประตูที่เปิดไว้ทำให้มองเห็นว่าม่านกำลังทิ้งตัวลงโซฟาอย่างช้าๆ สองมือยกโทรศัพท์ขึ้นกดเหนือหัวฆ่าเวลา และมันก็มองมาเมื่อผมหยุดยืนยังหน้าประตู

​​​​   ​​​​“ม่าน”
​​​​   ​​​​“หืม?”

​​​​   ​​​​ผมทิ้งช่วงเสียนาน
​​​​   ​​​​นานจนอีกคนลุกนั่ง

​​​​   ​​​​“ฝันดีนะ”

​​​​   ​​​​ก่อนจะพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มดังเดิม

​​​​   ​​​​เราสบตากันอยู่นานก่อนคนตัวสูงจะก้มลง ผมเห็นว่าเขากำลังยิ้ม คงเพราะทุกอย่างทำให้เรานึกไปถึงตอนที่อยู่บนชายหาด

​​​​   ​​​​ตอนที่เราจับมือกันพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่มันแล่นผ่านกลางใจ

​​​​   ​​​​เจ้าตัวไม่ได้ตอบรับ แต่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับตุ๊กตาตัวนั้นที่ถือไว้ดังเดิม

​​​​   ​​​​“ฝันดีเหมือนกัน”

​​​​   ​​​​เสียงเขาแผ่วเบา สายตาคู่นั้นจับจ้องผมอยู่นานจนนึกหวั่นใจ

​​​​   ​​​​ก่อนที่มือเจ้าตัวจะเลื่อนของในมือขึ้น จรดมันแนบยังใบหน้าของผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

​​​​   ​​​​“จุ๊บ”

​​​​   ​​​​เป็นการจูบอ้อมๆข้างแก้ม

​​​​   ​​​​“แก้มเธอน่ะ”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“จองเอาไว้แล้วนะ”


​​​​   ​​​​โดยตุ๊กตาหมีที่ถูกเจ้าของบังคับ


​​​​   ​​​​“เพราะฉะนั้นมันเป็นของเค้าแค่คนเดียว”












,











​​​​   ​​​​ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีบางอย่างเข้าทาบทับจนอึดอัด ทั้งๆที่เหนื่อยจนอยากจะนอนต่อแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมองสิ่งแปลกปลอมที่เริ่มเกาะแกะไปตามร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ

​​​​   ​​​​สิ่งแรกที่เห็นคือเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของมัน ก่อนที่จะลามไปยังแผ่นหลังกว้างที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด มัดกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายเด่นชัดในสายตา ไอ้ปัทถ์โถมตัวลงมา มือทั้งสองข้างกอดรัดผมเอาไว้ผ่านผ้าห่มผืนใหญ่อีกที

​​​​   ​​​​“อะไรของมึงเนี่ย” เสียงผมยังงัวเงีย พยายามถีบเพื่อนให้พ้นจากเตียงที่นอนอยู่

​​​​   ​​​​“นอนด้วย” ผมคิดว่าเสียงมันก็ไม่ต่าง เจ้าตัวขยับเล็กน้อยแต่ก็ยังรุ่มร่ามแบบเดิม

​​​​   ​​​​“ไปนอนดีๆ”
​​​​   ​​​​“อือ”
​​​​   ​​​​“ไอ้ปัทถ์”

​​​​   ​​​​ต้องโดนเอ็ดเข้าสักครั้งมันถึงจะยอมเบี่ยงตัวออกไปเล็กน้อยแต่แขนขาก็ยังเกาะผมเอาไว้ตามเดิม ขามันพาดเข้าที่ช่วงล่าง ก่อนที่แขนอีกข้างจะพาดผ่านโดยไม่สนใจว่าทำให้ผมรำคาญหรือเปล่า

​​​​   ​​​​ดูเหมือนมันจะยกตำแหน่งหมอนข้างให้ผมง่ายๆแบบนี้เลย

​​​​   ​​​​อีกฝ่ายขยับออกตามแรงผลัก โชคดีที่ครั้งนี้มันไม่ได้บ่นออดแอดเหมือนเมื่อสักครู่ ผมมองดูก็พบว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปอีกรอบ คงเพราะอาการเมาค้างล่ะมั้งมันเลยเป็นแบบนั้น เมื่อผมกลายเป็นอิสระจึงควานหาโทรศัพท์ของตัวเอง มันวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง บนหน้าจอปรากฏตัวเลขที่บ่งบอกเวลาว่าตอนนี้ผ่านมาจนเกือบจะเจ็ดโมงเช้าอยู่รอมร่อ ผมวางแผนว่าจะนอนต่อเพราะยังเหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกมาก

​​​​   ​​​​ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าไอ้ปัทถ์ไปทำท่าไหนถึงได้มานอนตรงนี้ทั้งๆที่มันควรจะนอนห้องด้านบนแบบที่เราวางแผนกันเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ผมก็เลิกขบคิดเรื่องนั้นแล้วพยายามหลับตาลง สักพักถึงได้ยินเสียงบางอย่างที่เข้ารบกวนจนต้องชำเลืองมอง

​​​​   ​​​​มีผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ปลายเตียง เจ้าตัวถือกระเป๋าในมือเอาไว้แล้วทำท่าเหมือนไม่คิดว่าจะมีใครตื่นขึ้นมาเจอ

​​​​   ​​​​“เค้าแค่จะมาเอาของไปอาบน้ำข้างนอกอ่ะ ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ เธอนอนต่อเลย”
​​​​   ​​​​“มึงตื่นไวจังวะ” มือปิดปากตอนหาว ยีศีรษะไปมาเพื่อให้ผมอยู่ทรง
​​​​   ​​​​“ไอ้เตเรียกไปกินข้าวอ่ะดิ หิวจะตายอยู่แล้ว”
​​​​   ​​​​“ตื่นกันหมดแล้วหรอ?”
​​​​   ​​​​“เพื่อนเค้าตื่นแล้ว เหลือเพื่อนเธอ”
​​​​   ​​​​“อืออ”

​​​​   ​​​​เจ้าตัวเก็บของพลางตอบคำถาม ผมตั้งสติโดยการลุกนั่งแล้วมองอีกฝ่ายที่เดินไปมาในห้องอย่างถือวิสาสะ

​​​​   ​​​​และเมื่อจ้องนานเข้า ผมก็เพิ่งรู้ว่าม่านมันเป็นคนที่มีแรงดึงดูดให้เข้าหาอยู่ไม่น้อย

​​​​   ​​​​เส้นผมที่เริ่มยาวจนปรกตา ต่างหูข้างซ้ายที่เจ้าตัวสวมใส่ แหวนอีกสองสามวงที่ประดับเอาไว้อยู่ตลอด แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าเรียบๆแค่ชุดผ้าฝ้าย แต่เมื่อทุกอย่างบนตัวเจ้าของรวมกันมันก็ขับทำให้ม่านดูมีเสน่ห์ขึ้นหลายเท่า

​​​​   ​​​​“ทำไมพี่ปัทถ์ถึงมานอนนี่ได้เนี่ย”
​​​​   ​​​​“ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นมาก็เห็นมันแล้ว”

​​​​   ​​​​คนตัวสูงส่ายหัวไปมาเพราะเอือมระอากับรุ่นพี่ที่อายุมากกว่า มันคงจะเห็นจนชินแล้วว่าพฤติกรรมหลังกินของพวกผมเป็นยังไง ก็คงมีอยู่ไม่กี่อย่าง

​​​​   ​​​​เละ
​​​​   ​​​​ดูไม่ได้
​​​​   ​​​​และเหมือนตายมาแล้วหลายปี

​​​​   ​​​​ผมลุกขึ้น หวังจะเก็บของแล้วกลับไปยังห้องตัวเองที่อยู่ชั้นบนเพื่อให้เจ้าของห้องที่แท้จริงได้ทำธุระตามสะดวก แต่เมื่อกำลังจะผ่านใครบางคนที่ยืนรออยู่หน้าประตู เสียงล้อของเขาก็ดังขัดจังหวะจนไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้

​​​​   ​​​​“ใส่ชุดใครมาหรอครับคุณครับ น่ารักเชียว”

​​​​   ​​​​ม่านอมยิ้ม กอดอกเมื่อพิงกับกำแพงด้านข้าง ผมใช้สายตาเหล่มอง ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงคิดจะเดินหนีไปและไม่สนใจเจ้าตัว แต่เขาก็ทำให้ผมต้องหยุดเท้าเอาไว้อีกรอบ

​​​​   ​​​​จากประโยคที่ตั้งใจให้มีความหมายกำกวมเพื่อเล่นงาน

​​​​   ​​​​“ชุดแฟนรึเปล่าน้าา”

​​​​   ​​​​เขายังยิ้มอยู่ตลอด จนเมื่อตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้เจ้าตัวถึงได้เดินถอยหลัง พร้อมกับเอนไปตามแรงผลักศีรษะจากมือของคนที่ยังโดนล้อไม่เลิก

​​​​   ​​​​ผลัก!

​​​​   ​​​​“อย่ามาเยอะ”
​​​​   ​​​​“ฮ่าๆ”
​​​​   ​​​​“มึงนี่มัน...”

​​​​   ​​​​ความอดทนที่อยู่ในใจมันเริ่มจะหมดลงไปทีละนิด ผมรู้สึกได้ถึงหน้าของตัวเองที่กำลังร้อนผ่าว มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนถึงแม้จะโดนหนักมากแค่ไหน

​​​​   ​​​​คงเพราะครั้งนี้ผมใส่เสื้อผ้าของเขา
​​​​   ​​​​และเมื่อคืนเราก็อยู่ด้วยกัน

​​​​   ​​​​แบบนั้นล่ะมั้ง

​​​​   ​​​​คำว่า ‘แฟน’ มันเลยตกกระทบอย่างแรงจนเกิดเสียงก้องภายในใจ

​​​​   ​​​​“ไม่เห็นตอบเลย”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“ชุดแฟนแน่ๆแบบนี้”

​​​​   ​​​​เขาตะโกนตามหลังเมื่อผมขึ้นบันไดมายังด้านบน และก่อนที่จะหายไปยังมุมหนึ่งจนลับสายตา ผมก็รีบตะโกนตอบกลับและได้ยินเสียงหัวเราะดังตามหลังมาอีก

​​​​   ​​​​“ชุดหมาแถวนี้เหอะ!!”

​​​​   ​​​​แต่ทำไมมันถึงชอบใจนักก็ไม่รู้!









,











​​​​   ​​​​เพราะการนอนน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้ผมง่วงอย่างหนัก หลังจากที่ได้สัญญาณให้ขึ้นรถก็รีบจัดของเพื่อเตรียมนอนระหว่างทางกลับในทันที เพื่อนคนอื่นๆ เดินขึ้นมาประจำที่บ้างแล้ว ส่วนบางคนก็ยังหาซื้อของฝากและจับกลุ่มยืนคุยกันเพื่อรอเวลาออกรถในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

​​​​   ​​​​อาการหาวที่เกิดขึ้นด้วยความถี่สามครั้งต่อหนึ่งนาทีเป็นเครื่องบ่งบอกอย่างดีว่าผมเริ่มไม่ไหว สุดท้ายเลยตัดสินใจเอนไปด้านหลัง หลับตาลงแน่นไม่สนว่าใครจะทำอะไรต่อจากนี้ ขอเพียงแค่ตัวเองได้นอนตามที่ร่างกายโหยหาก็พอ

​​​​   ​​​​ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้กว่าที่ผมจะรู้สึกตัว ภาพวิวด้านข้างเคลื่อนไหวไปตามความเร็วที่รถวิ่งผ่าน ไม่ใช่เพราะการเคลื่อนที่ของมันที่ทำให้ตื่นหรอก แต่เป็นน้ำหนักบางอย่างที่อยู่บนไหล่ผมต่างหาก

​​​​   ​​​​ศีรษะเขาเอียงมาทางนี้อย่างจงใจ มือสองข้างกอดตุ๊กตาหมีตัวเดิมเอาไว้แน่นคล้ายกับหวงแหนเป็นอย่างมาก ผมไล่สายตาไปตามใบหน้าคมคาย จากเส้นผมสีดำขลับลงไปยังปลายจมูก รวมถึงริมฝีปากที่เข้ากับโครงหน้าได้รูป และสุดท้ายหยุดอยู่ที่ขนตา

​​​​   ​​​​อันที่จริงผมไม่เคยมองเขาใกล้ขนาดนี้มาก่อน ใกล้สุดคงจะเป็นตอนที่เรานั่งเล่นเกมด้วยกันเมื่อสิบชั่วโมงที่ผ่านมา พอระยะที่ใกล้สายตาเลยเห็นไปถึงผิวเนื้อของเจ้าตัวแจ่มชัด  มันไม่ได้เรียบเนียนไปซะทุกส่วน ม่านมีรอยสิวนิดหน่อยตรงข้างแก้ม และเหมือนจะมีรอยแผลเป็นเล็กน้อยบริเวณปลายคิ้ว

​​​​   ​​​​ผมละจากการสำรวจเพราะเห็นสายตาของเพื่อนที่มองมา มันทำท่าทางคล้ายกับมีมีดปาดที่ลำคอ เป็นการบ่งบอกว่าแผนการนี้สำเร็จและเป็นไปตามเป้าหมาย

​​​​   ​​​​“ม่าน” การปลุกครั้งแรกไม่ได้ผล ครั้งที่สองเลยตามมาติดๆ “ม่าน”

​​​​   ​​​​ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้สึกตัวเพราะเสียงดังรอบข้าง ผมเลยตัดสินใจเลื่อนมือไปเขย่าแขนเจ้าตัวเบาๆ จากนั้นคนที่หลับพริ้มก็ตื่นแล้วกลับไปนั่งพิงเบาะตัวตรง

​​​​   ​​​​“อ่า...โทษทีครับ”

​​​​   ​​​​เขาพูดพร้อมกับใช้มือเสยผมไปด้านหลัง ผมเลยถามถึงที่มาที่ไปว่าทำไมไม่ใช่ไอ้ฮั่นที่อยู่ตรงนี้

​​​​   ​​​​“มึงมานั่งนี่ได้ไง?”
​​​​   ​​​​“ก็เพื่อนเธอบอกให้นั่ง”
​​​​   ​​​​“ฮั่นล่ะ?”
​​​​   ​​​​“อยู่ข้างหลัง”
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​“พี่ฮั่นนั่นแหละที่บอกให้เค้ามานั่งกับเธอ”

​​​​   ​​​​คำตอบที่ส่งมาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ รู้อยู่แล้วว่ายังไงพวกเพื่อนก็เชียร์ไอ้เด็กคนนี้สุดใจแบบที่เป็นมาตลอด ไม่รู้ว่าไปเห็นอะไรดีของมันเข้าหรือเปล่า ถึงได้เอาอกเอาใจและไม่ปิดกั้นแบบคนอื่นๆที่มักเข้ามา

​​​​   ​​​​คนนี้ถึงได้อยู่นานกว่า
​​​​   ​​​​และเป็นนักปีนผาที่เดินทางไกลจนไม่สามารถบันทึกสถิติได้อีกแล้ว

​​​​   ​​​​“เมื่อยมั้ย?” ม่านเอียงมอง คงรู้สึกผิดไม่น้อยที่พิงไหล่ผมโดยไม่รู้ตัว

​​​​   ​​​​คำตอบที่ส่งไปเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ ผมหันไปมองวิวข้างทาง แต่ก็ได้รับการสะกิดเรียกจากคนด้านข้างให้หันกลับไป แอร์พอร์ดหนึ่งข้างถูกแบ่งมาให้และเจ้าของมันก็ถือวิสาสะใส่ไว้แนบใบหู ม่านไม่รอช้าเมื่อเขาใช้มือกดเลื่อนหน้าจอเพื่อเลือกเพลง

​​​​   ​​​​และไม่นาน เสียงดนตรีก็เริ่มขึ้น
​​​​   ​​​​เป็นดนตรีที่บรรเลงบทเพลงที่ผมเคยฟังมาแล้วก่อนหน้า

​​​​   ​​​​เนื้อหาของมันทำให้ต้องหันไปมองทางอื่น แต่แล้วก็ต้องยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นเมื่อเห็นแจ้งเตือนที่ปรากฏบนหน้าจอ

​​​​   ​​​​มันมาจากคนด้านข้างเช่นกัน
​​​​   ​​​​ผมเห็นม่านกำลังพิมพ์อะไรส่งมาอีกต่อจากนั้น

​​​​
เค้ามีแข่งอีกแมทช์อาทิตย์หน้า : AMAN
ถ้าเค้าชนะ : AMAN


read

เค้าขอเธอไปเดทกันอีกรอบได้มั้ย? : AMAN


​​​​   ​​​​ผมอ่านข้อความเดิมอยู่หลายรอบ ปล่อยให้เวลาผ่านเนิ่นนานจนม่านต้องหันไปทางอื่น มันคงจะลุ้นอยู่เหมือนกันว่าผมจะตอบกลับไปว่ายังไง เพราะรอบนี้ถ้าผมตอบว่าไม่

​​​​   ​​​​เขาก็คงจะเสียใจอยู่ไม่น้อย

​​​​   ​​​​เพราะมันดูเหมือนให้ความหวังแล้วจากไปเหมือนรอบก่อนๆ


​​​​   ​​​​ประโยคของผมถูกพิมพ์แล้วลบอยู่อย่างนั้น อันที่จริงมันเป็นประโยคเดียวทุกรอบที่พิมพ์ด้วยซ้ำ แต่ผมกลับไม่กล้ากดส่งไปให้เจ้าตัวได้รับรู้

​​​​   ​​​​Pha : อืม

​​​​   ​​​​สุดท้ายผมก็ตัดสินใจก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง
​​​​   ​​​​แล้วบอกคำตอบที่เก็บไว้ให้อีกฝ่าย

​​​​   ​​​​Pha : ถ้าชนะนะ

​​​​   ​​​​แก้มของอีกคนยกขึ้น ผมมองเห็นจากทางด้านข้างแม้เขาจะยังไม่หันมามอง

ครับ : AMAN
อืม : AMAN
โว้ยย5555555 : AMAN


​​​​   ​​​​เพราะแบบนั้นแหละมั้ง ผมถึงได้กล้าอมยิ้มแล้วหันไปทางอื่นเหมือนกันเพราะรู้ว่ายังไงเขาก็ไม่เห็น





​​​​   ​​​​พร้อมกับภาพวิวที่ผ่าน
​​​​   ​​​​พร้อมกับคนนั่งด้านข้าง

​​​​   ​​​​และพร้อมกับเพลงเดิมที่วนซ้ำมันไปมา





​​​​   ​​​​ข้างกาย - safeplanet
















#ผาเพียงฟ้า

เรื่องนี้หยิบเพลงที่เราชอบมาแต่งเยอะมาก
หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนกันนะคะ :-)


22/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 3 | 4 minutes, 17 seconds - P.2 (22/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 22-09-2019 05:11:36
ชนะให้ได้นะเจ้าม่าน จะได้ไปเดทซักที ตอนนี้น่ารักดีค่ะ มันดีที่ผาก็เริ่มยอมรับใจตัวเองแล้วก็ไม่ได้ปิดกั้นม่าน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องชมชาวแก๊งและคนวางแผนทั้งหลายสินะคะ สร้างโอกาสเก่ง ชงเก่ง ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 3 | 4 minutes, 17 seconds - P.2 (22/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-09-2019 22:04:13
ม่านสู้ๆพิชิตหน้าผ้านี้มาให้ได้น้าา
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 3 | 4 minutes, 17 seconds - P.2 (22/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-09-2019 22:37:19
ขอให้ชนะนะเจ้าม่าน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 3 | 4 minutes, 17 seconds - P.2 (22/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 23-09-2019 17:56:40
เชียร์ให้ม่านแพ้ พี่ผาสูงเทียมฟ้าจะได้โน้มลงมาด้วยตัวเองเสียที
แพ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
(ชูป้ายไฟ ตะโกนใส่โข่งเสียงดังงงงงงงงงงงงงงงงงง)
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 3 | 4 minutes, 17 seconds - P.2 (22/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 24-09-2019 11:57:19


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


14

p.s. tomorrow 10 am



_________


don't be late


_________







   ​​​​ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าเคยสัญญากับอีกฝ่าย จนในวันที่ไอ้เหนือมันพูดขึ้นมาอีกครั้ง

​​​​   ​​​​“พรุ่งนี้กูแข่ง พวกมึงจะไปดูป่ะ?”

​​​​   ​​​​ผมถึงจำได้ว่าม่านขออะไรไว้จากผลการตัดสินที่จะมาถึง

​​​​   ​​​​“กูไม่น่าว่าง พรุ่งนี้กลับบ้าน” นาวาปฏิเสธก่อน จากนั้นไอ้ตินก็ปฏิเสธตาม
​​​​   ​​​​“มีธุระเหมือนกัน โทษที”
​​​​   ​​​​“แมทช์สุดท้ายแล้วหรอ?”
​​​​   ​​​​“ถ้าชนะก็ไปรอบชิง แต่ถ้าแพ้ก็ไม่น่ามีแข่งแล้ว”
​​​​   ​​​​“งั้นกูรอไปรอบชิงดีกว่า”

​​​​   ​​​​เสียงหัวเราะของคนชวนดังขึ้น ไอ้ฮั่นตบไหล่มันเบาๆเป็นการปลอบใจ ดูเหมือนไอ้เหนือก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักเมื่อเราไม่สามารถไปดูมันได้ แต่ถึงยังไงผมก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราว่างจริงๆ

​​​​   ​​​​“มึงไม่ไปดูไอ้ม่านหรอ?” คราวนี้มันหันมาถามผมที่เงียบอยู่ตลอด แต่ก็ต้องได้รับการตอบปฏิเสธกลับไปตามเดิม

​​​​   ​​​​“อาจารย์นัดกูทำโปรเจคว่ะ”

​​​​   ​​​​เพราะผมมีธุระสำคัญกว่านั้นที่รออยู่

​​​​   ​​​​ดูเหมือนครั้งนี้ทุกคนจะบังเอิญพร้อมใจกันยุ่ง บ้างก็เรื่องงาน บ้างก็เรื่องครอบครัว ทำให้เราไม่สามารถรวมตัวกันได้แบบครั้งก่อน ถึงแม้อยากจะไปแค่ไหนแต่สุดท้ายก็มีเพียงไอ้ฮั่นและไอ้ปัทถ์ที่ว่างและพวกมันสองคนก็ตกลงรับคำกับการนัดในวันพรุ่งนี้

​​​​   ​​​​“ขอบ้างดิ” เจ้าของห้องหันไปขอขนมขบเคี้ยวจากเพื่อนคนหนึ่ง จากนั้นเราก็หันไปให้ความสนใจสิ่งที่อยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยม

​​​​   ​​​​เพราะการแข่งขันฟุตบอลทีมในดวงใจของใครหลายคนในกลุ่มพวกมันเลยเรียกรวมตัวกันอย่างกะทันหัน สถานที่คือที่ห้องเดิมของเพื่อนที่เรามักจะมาประจำและผมก็ตกลงรับคำเพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว ไอ้เหนือรับหน้าที่ซื้อเสบียงมาตุนไว้ มันมาถึงก่อนเป็นคนแรกต่อจากนั้นคนอื่นๆก็เริ่มทยอยตามมา

​​​​   ​​​​ผมเดินมายังห้องครัวเมื่อรู้สึกหิวน้ำ กำลังจะเปิดตู้เย็นก็ได้ยินเสียงคนที่เดินตามกันมาติดๆ มันรอให้ผมหาของที่ต้องการแล้วเข้าแทนที่เพื่อหาของของตัวเองบ้าง

​​​​   ​​​​“ฝากกำลังใจไปให้เด็กเปล่า?” ไอ้ปัทถ์หยอกล้อ ผมรีบดื่มน้ำแล้ววางแก้วลงบนเคาน์เตอร์

​​​​   ​​​​“ไม่อ่ะ”
​​​​   ​​​​“ก็ยังไร้เยื่อใยเหมือนเดิม”

​​​​   ​​​​เ​​​​​​จ้าตัวพูดแกมตลก ถึงแม้ผมอยากจะเถียงแค่ไหนก็ทำเป็นนิ่งเพราะรู้ว่าการเล่นกับคลื่นสูงโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาให้ดีผลลัพธ์มันจะจบลงแบบไหน

​​​​   ​​​​ไม่จมน้ำหายไป
​​​​   ​​​​ก็โดนคลื่นซัดจนเจ็บตัว

​​​​   ​​​​ผมมองเขาที่กำลังเปิดกระป๋องน้ำอัดลม มือเรียวดึงห่วงอะลูมิเนียมขึ้น ได้ยินเสียงดังป๊อก! ก่อนที่มันจะยกกระป๋องสีแดงจรดริมฝีปาก แถมยังมองมาคล้ายกับอยากได้ข้อแก้ตัว แต่ใครกันล่ะที่คิดว่าผมเป็นแบบนั้น เอาจริงๆแล้วถ้าผมไร้เยื่อใยเข้าสักวัน ม่านก็คงหายไปตั้งนานแล้ว

​​​​   ​​​​เขาคงไม่รอให้เสียเวลาหรอก

​​​​   ​​​​“แล้ววันนั้นมึงมานอนห้องกูได้ไง?” แทนที่จะได้คำตอบแต่กลับกลายเป็นว่าผมถามเขากลับ ลำคอแกร่งขยับยกตามจังหวะการกลืน ก่อนที่มันจะเท้าแขนไปด้านหลัง ถือกระป๋องน้ำอัดลมที่นังดื่มไม่หมดด้วยมือเพียงข้างเดียว

​​​​   ​​​​“เป็นห่วงมึงนั่นแหละ”
​​​​   ​​​​“ห่วงอะไรวะ?”
​​​​   ​​​​“กลัวว่าคืนแรกจะปวดตัวจนขยับไม่ได้”
​​​​   ​​​​ผลัก!
​​​​   ​​​​“เหี้ยผา”
​​​​   ​​​​“สมน้ำหน้า”

​​​​   ​​​​เ​​​​​​​​ป็นความจริงที่ว่าพวกมันวางแผนให้ม่านและผมอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แถมครั้งนี้ดูจะเล่นแรงกว่ารอบก่อนเพราะปล่อยให้เรานอนด้วยกันอีก คงใช้จังหวะที่ผมหายไปจากโต๊ะและม่านมาตามดำเนินแผนการที่วางเอาไว้ สองมือผมยกกอดอก พิงกำแพงแล้วมองจำเลยตรงหน้า

​​​​   ​​​​“เล่นแรงนะรอบนี้”
​​​​   ​​​​“กูกำชับมันแล้วว่าห้ามทำอะไร”
​​​​   ​​​​“ม่านรู้?”
​​​​   ​​​​“รู้ แต่ไม่คิดว่าพวกกูจะเอาจริง”

​​​​   ​​​​เสียงถอนหายใจดังตามมาและผมก็คิดว่าม่านน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะสีหน้าหงุดหงิดพร้อมกับการทำตัวไม่ถูกเมื่อตอนที่เห็นว่าเราต้องอยู่ด้วยกันปรากฏอยู่ตลอด

​​​​   ​​​​“สัส”

​​​​   ​​​​คราวนี้ผมด่า เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พวกเราจะแกล้งกันตามประสา แต่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผมแบบนี้

​​​​   ​​​​“ขอโทษคร้าบ” ไอ้ปัทถ์เข้าประชิดตัว มันอ้อมมาด้านหลังในตอนที่ผมเดินออกจากห้อง สองมือจับแขนเอาไว้มั่นก่อนจะเกยคางไว้บนไหล่

​​​​   ​​​​“แต่เข้าไปหาเพราะว่าห่วงจริงๆ”

​​​​   ​​​​คำอธิบายที่ส่งมาทำให้ผมพอจะหายเคืองไปได้บ้าง ถ้าพูดกันตามตรงไอ้ปัทถ์คงเป็นห่วงตามที่บอก เพราะไม่มีเหตุผลอื่นที่มันจะต้องลงมาทั้งๆ ที่ดูง่วงขนาดนั้น แถมยังไม่ตื่นดีอีกต่างหาก

​​​​   ​​​​“วันหลังจะทำอะไรก็ช่วยคิดดีๆด้วย”
​​​​   ​​​​“ครับไอ้สัส”

​​​​   ​​​​มันตกลงรับคำพร้อมการด่า โยกหัวผมไปมาแม้จะยังอยู่ในอ้อมกอด เราเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ก่อนจะแยกกันไปนั่งตามเดิม

​​​​   ​​​​รายการฟุตบอลจบลงตอนเกือบตีสอง โชคดีที่พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนเลยสามารถอยู่ดึกแค่ไหนก็ได้ เราบอกลากันหลังจากนั้นเพื่อกลับไปยังห้องพักของแต่ละคน ผมรีบขับรถกลับ รีบเข้านอนในทันทีเมื่อถึงห้องเพื่อเตรียมตัวรับวันใหม่

​​​​   ​​​​ทั้งวันผมยุ่งไปกับการคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา เนื่องจากมีรายละเอียดและหัวข้อหลายอย่างที่ต้องดำเนินการต่อจากนั้น อาจารย์ตำหนิงานที่ส่งให้นิดหน่อย แกบอกถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นและให้ผมไปหาข้อมูลเพิ่มเติม หลายชั่วโมงกว่าที่เราจะตกลงกันได้ว่าไม่สามารถทำให้มันคืบหน้าไปได้มากกว่าเก่าเขาจึงปล่อยให้ผมกลับ

​​​​   ​​​​ห้องสมุดของคณะเป็นที่ที่ผมเลือกจะมาหลังคุยกับอาจารย์แล้วเสร็จ ขลุกอยู่กับวิทยานิพนธ์เรื่องเก่าๆที่เคยมีคนค้นคว้ามาก่อน นั่งไล่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้เล่มที่พอใจและให้ข้อมูลมากพอกับงานของตัวเองแล้วยืมมันมาอ่านต่อ บรรณารักษ์จ้องมองผมอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ให้เซ็นเอกสารสองสามอย่างเพื่อบ่งบอกว่าการยืมรอบนี้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย

​​​​   ​​​​กว่าผมจะกลับถึงห้องก็ตอนที่ฟ้ามืด พระอาทิตย์คล้อยตกตามกาลเวลา มีเพียงพระจันทร์ครึ่งดวงที่ไม่ได้ให้แสงสว่างมากพอลอยอยู่บนฟ้า ผมจัดการอาบน้ำในเวลาต่อมาและทิ้งตัวลงบนเตียง

​​​​   ​​​​โทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้หลังจากแบตเตอรี่หมดสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ แจ้งเตือนดังขึ้นรัวๆเมื่อเปิดมันขึ้น ผมไล่ดูทีละอันอย่างตั้งใจก่อนจะกดเข้ากลุ่มเพื่อนสนิทก่อน

​​​​   ​​​​n° : โคตรเหนื่อยเลยไอ้เหี้ย
​​​​   ​​​​T13 : อยู่ไหนกันละ?
​​​​   ​​​​n° : กำลังออกจากยิม


​​​​   ​​​​ไอ้เหนือตอบเมื่อถูกถาม จากนั้นไอ้ฮั่นก็ส่งข้อความตามมา

​​​​   ​​​​HUNN : กูรอที่รถนะ
​​​​   ​​​​n° : มึงจอดไหน?
​​​​   ​​​​HUNN : ลานโพธิ์ มึงเดินมาทางร้านขายของ อยู่ด้านหลัง


​​​​   ​​​​เป็นบทสนทนาที่พูดคุยกันถึงการนัดเจอ ดูเหมือนไอ้เหนือจะเพิ่งแข่งจบและพวกมันคงกำลังหาทางกลับมายังหอเพื่อพักผ่อน ไม่มีใครพูดถึงการเฉลิมฉลองหรือการออกไปดื่มเหล้าข้างนอก ผมไม่รู้ว่าเพราะสมาชิกไม่ว่างการชักชวนเหล่านั้นเลยไม่เกิดขึ้น

​​​​   ​​​​หรือว่าเพราะผลของการแข่งขันเลยทำให้ไม่ได้พูดถึง

​​​​   ​​​​ถ้าเป็นแบบนั้น...จะหมายความว่าพวกมันแพ้
​​​​   ​​​​และผู้แพ้ไม่ดื่มให้กับการสูญเสีย

​​​​   ​​​​nw : เป็นไง ชนะป่ะวะ?

​​​​   ​​​​ไอ้คนที่กลับบ้านถามประโยคที่ผมเก็บเอาไว้ในใจ เพราะไม่อยากมีพิรุธเลยเงียบไปตั้งแต่แรก ถึงอยากจะรู้ผลแต่ก็รอคอยให้มีใครสักคนเป็นคนเริ่มเสียก่อน

​​​​   ​​​​แต่จนแล้วจนรอดที่ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีใครตอบ

​​​​   ​​​​เมื่อรอนานเกินกว่าเวลาที่คาดคิดผมจึงตัดสินใจล็อกหน้าจอแล้วลุกขึ้นเดินไปปิดไฟ แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวพ้นจากขอบเตียง เครื่องสีดำก็มีแจ้งเตือนเพิ่มอีกหนึ่ง

​​​​   ​​​​เป็นแจ้งเตือนที่บ่งบอกว่ามีคนโทรเข้า และมีชื่อเจ้าของปรากฏบนนั้น

​​​​   ​​​​ผมลังเลอยู่สักพักจึงกดรับ แต่เจ้าตัวก็ไม่ทักทายกลับ มีเพียงความเงียบที่ปล่อยผ่านเนิ่นนานจนกว่าเขาจะยอมเอื้อนเอ่ย

​​​​   ​​​​(เค้าขอคุยด้วยแปบนึงได้มั้ย?) เสียงม่านแหบพร่า ได้ยินเสียงขยับตัวดังตามมาติดๆ

​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​(...)
​​​​   ​​​​“ว่าไง”

​​​​   ​​​​พรึบ!

​​​​   ​​​​ภายในห้องมืดสนิทเมื่อสวิตช์สับเปลี่ยนไปเป็นคนละทาง ผมเปิดม่านชั้นในให้เหลือเพียงผ้าบางที่คั่นไว้ระหว่างวิวนอกหน้าต่างและห้องสี่เหลี่ยม เสียงแอร์คอนดิชั่นเริ่มทำงานตามการบังคับด้วยรีโมท ผมปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ 26 องศาและปัดใบพัดให้สูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินคลำทางจากเงาสลัวมาที่เตียง ล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมที่จะยกผ้าห่มขึ้นปิดจนถึงปลายคาง

​​​​   ​​​​(แค่อยากโทรมาหาเฉยๆ)

​​​​   ​​​​ผมเงียบ สายตาเหม่อมองไปยังแสงสีที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา

​​​​   ​​​​(เธอทำอะไรอยู่หรอ?)
​​​​   ​​​​“กำลังจะนอน”
​​​​   ​​​​(อ่อ)
​​​​   ​​​​“มึงล่ะ?”
​​​​   ​​​​(คุยกับเธออยู่นี่ไง)

​​​​   ​​​​เขาสวนกลับ น้ำเสียงสดใสขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังงัวเงียไม่เหมือนที่เคยได้ยิน

​​​​   ​​​​(เห็นพี่เหนือบอกว่าเธอไม่มาเพราะติดทำโปรเจค)
​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​(ยุ่งมากเลยหรอ?) อีกฝ่ายถามถึงงานที่ผมนั่งทำมาทั้งวัน ผมตอบกลับไปสั้นๆ พอได้ใจความตามที่อีกฝ่ายเข้าใจ
​​​​   ​​​​“ยุ่งดิ งานเยอะ”

​​​​   ​​​​คราวนี้ม่านเงียบไปอีก ผมได้ยินเสียงขยับตัวและอะไรบางอย่างที่ดังกุกกักแทรกเข้ามา

​​​​   ​​​​(สู้ๆนะครับ เธอเก่ง ทำได้อยู่แล้ว) เสียงหัวเราะติดมาในท้ายประโยค ผมมองเห็นดวงตาที่หยีลงพาดผ่านในความคิด ก่อนที่โทรศัพท์จะสั่นเพราะข้อความของเพื่อนที่ตอบโต้กันในแอปพลิเคชันชื่อดังอันหนึ่ง

​​​​   ​​​​ครืด!

​​​​   ​​​​(แหนะ แอบคุยกับใครอยู่เปล่าเนี่ย?)

​​​​   ​​​​มันคงจะดังไปถึงปลายสายเขาเลยทักด้วยน้ำเสียงหยอกล้อคล้ายกับว่าผมกำลังมีคนอื่น

​​​​   ​​​​แต่เชื่อเถอะ
​​​​   ​​​​ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าเขากำลังหึงอย่างออกนอกหน้า

​​​​   ​​​​ครืด!

​​​​   ​​​​(โทรศัพท์สั่นใหญ่เลย)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(มีคนอื่นไม่ยอมบอกเค้าหรอยังไงกัน?)
​​​​   ​​​​“เพื่อนกูม่าน”
​​​​   ​​​​(ไหนขอหลักฐานครับ)

​​​​   ​​​​ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด หรืออาจจะเชื่อแต่อยากได้หลักฐานยืนยันเพื่อป้องกันไม่ให้ใจตัวเองเจ็บช้ำมากเกินไปเจ้าตัวเลยตั้งเงื่อนไขต่อมา แต่มีหรือที่ผมจะยอมทำให้ เรื่องอะไรที่ต้องรายงานเขาทุกอย่าง

​​​​   ​​​​เราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ
​​​​   ​​​​มีสิทธิ์ขนาดนั้นเลยหรอ?

​​​​   ​​​​ผมไม่ได้กดเข้าไปอ่านเนื้อหาของเพื่อน เอาแต่รอคอยว่าเขาจะพูดอะไรต่อโดยการนอนตะแคงและหายใจรินรดผ้าห่มจนไออุ่นสะท้อนเข้าใบหน้า หน้าอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ มองเห็นแสงจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบครั้งหนึ่งแล้วดับไป

​​​​   ​​​​ม่านไม่ได้เซ้าซี้ ชวนผมคุยอีกครั้งแม้จะยังไม่ได้คำตอบ

​​​​   ​​​​(วันนี้เค้าเหนื่อยมากเลย กลับถึงห้องก็อาบน้ำแล้วมานอนเล่น ดีนะพรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่งั้นคงตื่นไปเรียนไม่ไหวแน่)
​​​​   ​​​​“ไปแข่งมาน่ะหรอ?”
​​​​   ​​​​(ครับ)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(ซ้อมเช้าเย็นหลายวันติดด้วย ร่างพังหมดแล้วมั้ง)

​​​​   ​​​​ผมตวัดหมอนข้างขึ้นกอดแก้เหงา ที่จริงอยากจะถามเขาไปให้รู้แล้วรู้รอดว่าชนะหรือเปล่า? แต่ก็เก็บมันเอาไว้ไม่ยอมพูดออกไปเสียที

​​​​   ​​​​ถ้ามีการแข่งขันแปลกประหลาดเกิดขึ้นบนโลก ผมคิดว่าตัวเองคงได้เหรียญทองด้านเก็บซ่อนความรู้สึก เพราะผมรู้ว่าตัวเองทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าใครอื่นที่เคยพบ

​​​​   ​​​​และผมเป็นอัจฉริยะตัวยงเรื่องหัวใจที่ด้านชา

​​​​   ​​​​(เธอยังจำได้มั้ย?)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(เราสัญญากันไว้อย่างหนึ่งวันกลับจากสัมมนา)

​​​​   ​​​​สุดท้ายม่านก็เป็นฝ่ายพูดมันขึ้น จากคำขอของเจ้าตัวที่ส่งผ่านตอนที่เรานั่งด้วยกันบนรถ มีหูฟังคนละข้าง และมีบทเพลงแสนหวานที่ถ่ายทอดความรู้สึกในใจของใครบางคน ถึงวันก่อนคำสัญญามันจะเลือนลางไปเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเล่นงานใจผมอย่างหนักหลังจากที่จำได้ว่าเคยตอบอีกฝ่ายไปว่ายังไง

​​​​   ​​​​แถมใจก็ลุ้นผลที่จะเป็นไปหลังจากนั้น

​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​(ไม่ถามหรอว่าเค้าแพ้หรือว่าชนะ?) ผมเม้มริมฝีปากแน่น ม่านเงียบไปอีกจนหวั่นใจ

​​​​   ​​​​ครืด!
​​​​   ​​​​ครืด!
​​​​   ​​​​ครืด!

​​​​   ​​​​คราวนี้เครื่องสีดำที่แนบหูกลับสั่นรัวเป็นชุด บ่งบอกว่าเพื่อนในกลุ่มเริ่มส่งข้อความตอบโต้กันบ้างแล้ว ผมตั้งใจจะกดเข้าไปปิดแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้รำคาญมันมากกว่าเก่า แต่สิ่งที่โชว์อยู่บนหน้าจอสีขาวกลับทำให้ใจกระตุกผิดจังหวะ

​​​​   ​​​​n° : กูแพ้ว่ะ

​​​​   ​​​​เพราะคำว่าแพ้ของเพื่อนที่ส่งมาทำให้เมฆสีเทาก่อตัวขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

​​​​   ​​​​มันลอยคว้าง
​​​​   ​​​​ไม่มีทิศทางที่ใจหมาย
​​​​   ​​​​คล้ายกับความผิดหวังของปลายสายที่ส่งเสียงกลับมา

​​​​   ​​​​(แย่จัง)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(ทั้งๆที่คิดแผนเดทเอาไว้อย่างดีแล้วแท้ๆ)

​​​​   ​​​​ม่านหัวเราะกลบเกลื่อน มันคงจะเสียใจไม่น้อยที่ผิดหวังพร้อมกันถึงสองเรื่อง แต่การเดิมพันคือการเสี่ยง มันเป็นเรื่องธรรมดา

​​​​   ​​​​“จะโทรมาบอกเรื่องนี้สินะ”
​​​​   ​​​​(อืม)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(อย่างน้อยได้คุยด้วยก็ยังดี)

​​​​   ​​​​ผมพลิกเปลี่ยนท่า กดตั้งค่าให้โทรศัพท์ไม่ขึ้นแจ้งเตือนอะไรอีกระหว่างคุยกับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้เป็นการเสียมารยาท ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุยกัน แต่มันดูเหมือนจะเป็นการสนทนาทางโทรศัพท์ที่นานที่สุดของเราเลยก็ว่าได้

​​​​   ​​​​“แล้วมึงรู้สึกยังไง?” ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายถาม อีกคนเงียบไปนานตามเดิมก่อนจะตอบ
​​​​   ​​​​(ไม่รู้สิ)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(คงผิดหวังแหละมั้ง ก็พอรู้ตั้งแต่ในสนามแล้วว่าคงจะไม่ได้ไปกับเธอ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ ว่าจะเอายังไงต่อ จะหน้าด้านขออีกรอบก็กลัวจะโดนด่า) เขาหัวเราะเบาๆ
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(แข่งครั้งหน้าก็ไม่มีแล้วด้วย)

​​​​   ​​​​อีกฝ่ายเผยความรู้สึกข้างในออกมาจนหมด ไม่เขินอายแม้แต่น้อยยามพูดสิ่งที่อยู่ภายในใจ เขาซื่อตรง ถึงแม้จะแข็งกระด้างแต่ก็มองโลกในแง่ดีซึ่งต่างกับผมที่ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้เลย

​​​​   ​​​​ถ้าเขาเป็นฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น
​​​​   ​​​​ผมก็คงเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ทุกอย่างนั้นดูเหี่ยวเฉา

​​​​   ​​​​เราเหมือนอยู่คนละขั้วของสภาพอากาศ

​​​​   ​​​​“เหนื่อยแล้วทำไมไม่ไปนอน” ผมปราม ได้ยินเสียงงอแงตอบกลับมา
​​​​   ​​​​(นี่ไล่เค้าใช่ไหม?)
​​​​   ​​​​“เปล่า แค่ถามเฉยๆ”

​​​​   ​​​​เพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดเลยรีบแก้ตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้นแค่สงสัยว่าทำไมม่านต้องโทรมาทั้งที่ควรจะเอาเวลาไปพักผ่อนต่างหาก

​​​​   ​​​​“นี่”
​​​​   ​​​​(...)
​​​​   ​​​​“ไม่ได้ไล่จริงๆ”

​​​​   ​​​​ผมย้ำให้ปลายสายได้ยินอีกรอบ เจ้าตัวงึมงำอะไรสักอย่าง

​​​​   ​​​​(เหมือนเค้าไม่ได้คุยโทรศัพท์แบบนี้นานมาก ครั้งสุดท้ายตอนมัธยมได้แล้วมั้ง)

​​​​   ​​​​ตัวเลขบนเครื่องสี่เหลี่ยมโชว์เลขศูนย์สองตัวที่อยู่ด้านหน้า ตามหลังมาด้วยเลขสามและเลขสี่ที่อยู่ติดกัน บ่งบอกว่าผมและม่านนอนคุยแบบนั้นไปแล้วถึงครึ่งชั่วโมง

​​​​   ​​​​เป็นครึ่งชั่วโมงที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก
​​​​   ​​​​ทั้งมีความสุข ตื่นเต้น ผิดหวัง และอบอวลไปด้วยความสบายใจ

​​​​   ​​​​เป็นความสบายใจที่ม่านให้ผมได้
​​​​   ​​​​และเป็นเหตุผลที่ผมไม่วางสายไปตั้งแต่แรก

​​​​   ​​​​“คุยกับแฟนเก่าล่ะสิ”
​​​​   ​​​​(คืออ...) เจ้าตัวอ้ำอึ้งเมื่อโดนจี้จุด นั่นทำให้ผมอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

​​​​   ​​​​ก็บอกแล้วไงว่าเด็กมันว่าง่าย
​​​​   ​​​​ถึงลำบากใจแค่ไหนก็ไม่กล้าโกหก

​​​​   ​​​​“หึ” ผมสำทับเป็นเสียงในลำคอ ก่อนจะได้ยินเขาสบถจนต้องหัวเราะออกมา
​​​​   ​​​​(อย่ามาแกล้งเค้าได้ป่ะวะ)
​​​​   ​​​​“ฮ่าๆ”
​​​​   ​​​​(ได้ใจใหญ่)
​​​​   ​​​​“แฟนเก่าก็แฟนเก่าสิ ยืดอกรับหน่อย”

​​​​   ​​​​แปลกที่เขาไม่ยอมรับ และแปลกเหมือนกันที่ผมกำลังยิ้มร่าแบบนี้

​​​​   ​​​​(พอเลยเธอน่ะ เปลี่ยนเรื่องๆ)
​​​​   ​​​​“ทีมึงยังแกล้งกูเลย”
​​​​   ​​​​(ครับๆ ไม่แฟนเก่าแล้วไง)

​​​​   ​​​​ม่านใช้เสียงออดอ้อน รอยยิ้มบนใบหน้าของผมค่อยๆลดลงจนเป็นดังเก่า เราคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆอยู่สักพัก เขาชวนผมคุยเรื่องเพลงที่ฟัง ส่วนผมก็ตอบรับและถามเขากลับบ้างในบางครา

​​​​   ​​​​เราใช้เวลาจนล่วงเลยข้ามวัน กว่าที่ผมจะดูโทรศัพท์อีกครั้ง ตัวเลขของการสนทนาก็เกือบจะถึงหนึ่งชั่วโมงอยู่รอมร่อ

​​​​   ​​​​00:55:06

​​​​   ​​​​คงจะเป็นตัวเลขที่มากที่สุดของผมเหมือนกันในการที่ได้คุยกับใครสักคน ผมก็เป็นแบบเขา ไม่ได้ทำแบบนี้นานจนลืมความรู้สึกต่างๆไปหมดแล้ว

​​​​   ​​​​หมอนข้างที่กอดถูกกระชับแน่นขึ้นอีก อาการหาวเริ่มแปรผันตามความง่วงที่มากขึ้น เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยตัดสินใจบอกลา

​​​​   ​​​​“กูง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ”

​​​​   ​​​​และเขาเองก็ยอมเพราะน่าจะเหนื่อยจนแทบจะไม่ไหวเหมือนกัน

​​​​   ​​​​(ครับ)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(ฝันดีนะ)

​​​​   ​​​​ผมนิ่ง คราวนี้สมองคิดทบทวนว่าควรตอบรับไปดีไหม สุดท้ายแล้วมันก็คงไม่เสียหายเพราะยังไงผมก็เคยพูดกับเขาไปแล้ว

​​​​   ​​​​“ฝันดีครับ”

​​​​   ​​​​คำว่าฝันดี ที่ไม่ได้มีให้ฟังง่ายๆ

​​​​   ​​​​เสียงเขาสบถดังตามมา แต่ก่อนที่ม่านจะได้วางสาย ผมก็รีบรั้งเอาไว้

​​​​   ​​​​“เดี๋ยว”

​​​​   ​​​​พร้อมกับพูดในสิ่งที่ผมก็ไม่คิดว่าจะบอกออกไป

​​​​   ​​​​“พรุ่งนี้หลังสิบโมงนะ”
​​​​   ​​​​(...)


​​​​   ​​​​เป็นรางวัลปลอบใจ



​​​​   ​​​​“เดทแรกก็อย่ามาสายล่ะ เข้าใจไหม”


​​​​   ​​​​ของคนที่พยายาม
















#ผาเพียงฟ้า

ตอนแรกที่คิดไว้คือจะจบตอนหลังจากไปเดท
ไปๆมาๆกลายเป็นว่าแต่งเกินเฉยเลย5555555
ทั้งหมดทั้งมวลเลยยกฉากเดทไปไว้ในตอนหน้า
มีใครพอจะเดาได้บ้างไหมคะว่าไอ้หมาจะพาไปไหน

ปล.พี่ผาไม่ได้ใจร้ายหรอกเนาะ


24/9/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 4 | p.s. tomorrow 10 am - P.3 (24/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 24-09-2019 16:51:37
มันต้องงี้ครัช!
มันต้องเง้!
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 4 | p.s. tomorrow 10 am - P.3 (24/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-09-2019 22:40:03
โอ๊ยๆ ดีใจแทนเจ้าม่าน
ถึงแพ้ก้ไม่เป็นไร  :o12:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 4 | p.s. tomorrow 10 am - P.3 (24/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 24-09-2019 23:09:17
แงแง ม่านได้รางวัลปลอบใจและเป็นผลตอบแทนของความพยายามแล้ว ม่านเข้าใกล้ผาได้มากกว่าที่เคยตั้งเยอะ รอติดตามค่ะว่าม่านจะพาผาไปไหน อยากรู้แล้ววว ขอให้เป็นเดทแรกที่ดีของทั้งคู่ ส่งกำลังให้คุณนักเขียนนน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 4 | p.s. tomorrow 10 am - P.3 (24/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-09-2019 23:19:05
ม่านจะนอนหลับมั้ยเนี่ยย ดีใจแทนม่านจริงๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 4 | p.s. tomorrow 10 am - P.3 (24/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 25-09-2019 19:25:40


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


15

and then autumn kill spring with his hug



_________


when someone wraps their arms around you so tight
and assures that everything will be okay



_________




   ทันทีที่เข็มสั้นของนาฬิกาเดินทางมาถึงเลขสิบ และเข็มยาวของมันตรงดิ่งไปยังเลขสิบสอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นคล้ายกับมันถูกตั้งเวลาเอาไว้จากเครื่องตอบรับอัตโนมัติ

   ​​​​เสียงของเขาฟังดูติดขัดเล็กน้อยแต่ก็ยังปนความประหม่าไว้อย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวแจ้งว่าเขาถึงสถานที่ที่เรานัดกันเป็นที่เรียบร้อย และดูเหมือนจะไม่สายแบบที่ผมเอ่ยเตือนเอาไว้เมื่อคืนก่อน

   ​​​​ผมกวาดสายตาไล่มองตัวเองในกระจกอีกรอบ ผู้ชายคนที่ดูโทรมเมื่อวันก่อนหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนที่แต่งตัวสะอาดสะอ้าน จัดผมให้อยู่ทรงเข้ากับใบหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำพลิ้วไหวไปตามการขยับและมีเครื่องประดับเป็นสร้อยคู่ใจ กางเกงยีนที่สวมใส่ช่วยให้ทุกอย่างดูลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม

   ​​​​ถึงแม้จะมองภาพนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่รอบแต่ถึงยังไงผมก็สำรวจต่อเพราะยังไม่มั่นใจที่จะออกไปเจออีกฝ่าย รู้สึกหงุดหงิดจนต้องบอกให้ตัวเองพอและตั้งสติ ผ่อนปรนจังหวะการหายใจให้เข้าออกลึกๆ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าตังค์เมื่อออกจากห้อง

   ​​​​ผมเสมองภาพที่สะท้อนผนังลิฟต์เป็นรอบสุดท้าย ถอนหายใจลากยาวแล้วก้าวออกไปยังประตูใหญ่ด้านหน้าของตึก มีรถเก๋งคันสีดำสนิทจอดรอเทียบท่า ผมรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมกับคาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย อีกฝ่ายยังละมือไว้กับพวงมาลัยหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างวางโทรศัพท์ที่ถือลงแล้วหันมามอง ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เลื่อนมือไปขยับเกียร์แล้วออกรถในทันที

   ​​​​ภาพวิวข้างทางเป็นที่ๆ ผมเลือกจะมองเพื่อลดความสนใจจากการอยู่ด้วยกันของเราทั้งสองในรถของอีกฝ่าย ม่านตั้งใจขับพร้อมกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเคล้าแผ่วเบา ดวงตาเขาจับจ้องไปยังถนนตรงหน้า มีมือขวาบังคับทิศทางเพียงข้างเดียว

   ​​​​คนขับไม่ได้บอกถึงจุดหมายปลายทาง คงอยากเก็บเอาไว้เป็นความลับแบบคนอื่นๆ ผมไม่ถามย้ำ ถึงแม้จะตื่นเต้นเพราะความอยากรู้แต่ก็ยอมให้เขานำพาไปโดยได้แต่นั่งเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศบนรถก็ไม่ได้ชวนอึดอัด คงเพราะเราเริ่มชินที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองล่ะมั้ง ผมและม่านเลยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเสียมากกว่า

   ​​​​ความเร็วของเครื่องยนต์เริ่มลดลงมากขึ้นจนรถหยุดแล่น เป็นอำนาจของสัญญาณไฟจราจรสีแดงที่ควบคุมกฎต่างๆเอาไว้ทำให้ต้องจอดนิ่งสนิท สี่แยกยามนี้ยังมีผู้คนไม่มาก ไม่ได้รู้สึกแออัดเหมือนยามเย็น มีแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านบานกระจกตกกระทบเข้ากับลำตัว

   ​​​​“ไม่สงสัยหรอว่าเค้าจะพาไปไหน?” เขาเอ่ยถามในตอนที่ผมขยับตัวนั่งอย่างสบาย
   ​​​​“สงสัยดิ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แต่ไม่รู้ว่าถามไปมึงจะตอบรึเปล่า”

   ​​​​ม่านหัวเราะเบาๆ เหยียบคันเร่งให้รถออกตัวอีกครั้งหลังจากสัญญาณเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว

   ​​​​“เหมือนรู้ว่าเค้าจะไม่บอก”
   ​​​​“รู้หรอกว่าอยากเซอร์ไพรส์”
   ​​​​“งั้นเธอก็ช่วยตื่นเต้นหน่อยดิ”
   ​​​​“ตื่นเต้นจัง”

   ​​​​เพราะผมพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบคล้ายกวนประสาทเขาเลยมองค้อนกลับมา คนตัวสูงกดเปลี่ยนเพลงที่ฟังจากปุ่มบนพวงมาลัย เพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

   ​​​​ผมแอบลอบสังเกตเส้นทางที่พ้นผ่านเพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะความอยากรู้ในใจมันเก็บเอาไว้ไม่ได้ ถึงแม้จะพยายามทำตัวไม่ใส่ใจแต่ข้างในกลับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย หลังจากที่เราพ้นจากสี่แยกไฟแดงถึงสามแห่งก็แยกออกมายังอีกเส้นทางหนึ่ง ป้ายด้านบนที่เขียนด้วยตัวหนังสือกำกับไว้ว่าเป็นทางด่วนพิเศษ ม่านลดกระจกจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่พนักงานตามจำนวนที่กำหนด ก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็ว

   ​​​​ใช้เวลาเนิ่นนานบนทางที่ทอดยาวและยกสูง ความสูงของมันเทียบเท่ากับตึกห้าชั้นเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างด้านข้าง,  ตึกระฟ้า อาคาร และบ้านเรือนต่างๆตั้งเป็นแนวไปสุดลูกหูลูกตา บ้างก็มีรูปทรงแปลกๆ บ้างก็มีป้ายโฆษณาขายสินค้าขนาดใหญ่ติดทับ มองเห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อทอดมองมันยังบริเวณนี้

   ​​​​ม่านขับผ่านใจกลางเมืองหลวงที่รถราเริ่มหนาแน่น ก่อนจะเบี่ยงออกไปทางด้านซ้ายในช่วงหนึ่ง ทางแปลกใหม่ทำเอาผมไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เพราะคำตอบในใจกลับถูกตัดออกไปแล้วหลายข้อ

   ​​​​ไม่ใช่ที่ห้างชื่อดัง
   ​​​​ไม่ใช่ย่านผู้คนหนาแน่น
   ​​​​ไม่ใช่เส้นทางที่ออกนอกต่างจังหวัดแต่อย่างใด

   ​​​​รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ก่อนที่ผมจะเห็นว่ามันเริ่มชะลอตัวและออกจากถนนเส้นหลักในจังหวะหนึ่ง ทางที่เข้ามายังเป็นถนนกว้าง แต่มีเพียงสองเลนส์ให้รถสวนกันได้อย่างสบาย ยิ่งเข้าไปไกลมากเท่าไหร่ก็เริ่มเห็นบ้านผู้คนที่ปลูกตั้งเรียงรายตามแนวไปเรื่อยๆ

   ​​​​และมันก็มีคำตอบใหม่ที่ผุดขึ้นในใจจนต้องหันไปมองคนด้านข้าง

   ​​​​ผมหวังว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น แบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งรับและมันคงจะผิดแผนของตัวเองไปเสียหน่อย แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะดีเกินคาดเมื่อม่านจอดรถยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง, เป็นบ้านหลังขนาดไม่ใหญ่มาก และเมื่อเจ้าตัวยกหูโทรศัพท์ ประตูไม้ขนาดกว้างกว่าห้าเมตรก็เลื่อนออกให้รถได้เคลื่อนเข้าไปยังด้านใน

   ​​​​ใจผมเริ่มเต้นแรง รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพาตัวเองมาที่ไหน แม้รถยนต์จะดับลงและจอดเทียบท่ายังโรงจอดรถเป็นเวลาสักพักผมก็ยังไม่ได้สติจนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยเรียก

   ​​​​“ผา”

   ​​​​กะพริบตาปริบเมื่อรู้ว่าตัวเองเหม่อไปนาน ผมหันไปมองเขาที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะอมยิ้มเมื่อพูดประโยคต่อมา

   ​​​​“ถึงบ้านเค้าแล้ว”

   ​​​​เป็นประโยคที่บอกชัดเจนถึงสถานที่เดทของเราในวันนี้

   ​​​​“เดี๋ยว” เอ่ยขัดพร้อมกับขมวดคิ้ว ดึงรั้งสายที่พาดผ่านลำตัวให้กลับเข้าที่ดังเดิม “มีใครอยู่ไหม?”

   ​​​​เขาหัวเราะให้กับคำถามที่ส่งไป ก่อนจะยีศีรษะผมสองสามรอบจนมันยุ่งเหยิง

   ​​​​“แม่เค้ารออยู่ครับ”

   ​​​​ริมฝีปากบางเม้มแน่น รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ ผมไม่รู้ว่าม่านคิดดีแล้วหรือยังที่พาผมมาพบกับครอบครัวของตัวเอง เพราะการที่เขาทำเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าตัวต้องมั่นใจในระดับหนึ่ง

   ​​​​มั่นใจในตัวผม
   ​​​​มั่นใจในผู้ใหญ่ที่เราต้องพบ
   ​​​​และมั่นใจในความสัมพันธ์ว่ามันจะยาวนานดังที่ใจหวัง

   ​​​​ทั้งๆที่ผมไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง
   ​​​​ไม่มั่นใจตัวเอง
   ​​​​ไม่มั่นใจความรู้สึกกับคนด้านข้าง
   ​​​​และไม่มั่นใจให้กับอนาคตที่ยังไม่มาถึง

   ​​​​มันดูเหมือนเรายังไม่สามารถหาจุดที่จะลงเอยกันได้เสียที

   ​​​​“ไม่ต้องคิดมากนะ เค้าบอกแม่แล้วว่าจะพาเธอมา เขาดีใจใหญ่เลยที่จะได้เจอเธอซะที เห็นบอกว่าทำกับข้าวไว้รอตั้งเยอะแหนะ”
   ​​​​“ม่าน”
   ​​​​“ไม่รู้ว่าวันนี้พ่อจะกลับมากี่โมง เอาไว้ถ้าไม่ได้เจอกันวันหลังเค้าจะพาเธอมาทำความรู้จั—”
   ​​​​“ม่าน”
   ​​​​“—อ่าา...ครับ”

   ​​​​ต้องขัดจังหวะเขาเป็นรอบที่สองเจ้าตัวถึงได้รู้ว่าผมต้องการจะพูดบางอย่าง ม่านเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงเล็กน้อยยามที่จ้องมอง

   ​​​​“เป็นอะไรรึเปล่า?”

   ​​​​ริมฝีปากผมถูกฟันขบเมื่อใช้ความคิด มีหลายสิ่งที่ตบตีกันไปมาในหัว สมองผมเริ่มทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความกังวลที่ก่อตัวขึ้นทำให้ต้องแอบเช็ดมือที่มีเหงื่อเข้ากับกางเกง

   ​​​​แต่สุดท้าย ผมก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดแบบที่เคยตัว

   ​​​​“เปล่า”
   ​​​​“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกร็ง”
   ​​​​“...” ผมยืนเงียบ เลือกที่จะสบสายตาเขาที่จ้องมาเพื่อเรียกความมั่นใจ ม่านกำชับมือของตัวเองเข้ากับมือผมหนึ่งจังหวะ ผละออกเพราะไม่อยากฉวยโอกาส

   ​​​​และคงเป็นเพราะแบบนั้นแหละมั้ง
   ​​​​เพราะความอบอุ่นที่ส่งผ่านน้ำเสียงและสายตามาดมั่นที่โอบล้อมเอาไว้อีกรอบ

   ​​​​“เชื่อใจเค้านะ”

   ​​​​ผมเลยยอมเดินตามเขาเข้าไปยังด้านใน

   ​​​​ลานหินกว้างดังสะท้อนเสียงรองเท้าของคนสองคนที่ก้าวไปตามทาง พื้นหินสีเทาทอดยาวตั้งแต่บริเวณหน้าบ้านไปจนถึงลานจอดรถ และมันก็ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ยกเว้นสวนขนาดย่อมที่อยู่ถัดไปอีกที

   ​​​​ประตูไม้ขนาดใหญ่สลักลวดลายสีทองถูกเปิดออกด้านหนึ่ง เจ้าของบ้านถือค้างให้ผมได้เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะปิดมันให้สนิทตามเดิม

   ​​​​ภาพวาดที่ประดับบนผนังเป็นสิ่งแรกที่มองเห็น มันน่าจะมาจากจิตรกรที่มีชื่อเสียงเพราะดูๆแล้วคงจะมีราคาไม่น้อย เมื่อเดินเข้ามาจะเห็นห้องรับแขกที่มีชุดโซฟาตั้งอยู่ ด้านใต้เป็นพรมขนสัตว์สีน้ำตาลเข้ากับสีของบ้านที่เป็นสีอ่อน ทุกอย่างตกแต่งคล้ายกับถูกออกแบบไว้อย่างดีตามฟังก์ชันการใช้งานของเจ้าของ

   ​​​​“อ่าวมากันแล้วหรอ?”

   ​​​​จู่ๆ หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็โผล่มาจากด้านหลัง ผมรีบหันตัวกลับไปตามเสียง เห็นม่านเดินเข้าไปกอดก่อนผมจะยกมือไหว้ตาม

   ​​​​“สวัสดีครับ”
   ​​​​“สวัสดีลูก”

   ​​​​อีกฝ่ายยิ้มกว้างพร้อมกับรับไหว้ทันท่วงที มือข้างหนึ่งถือดอกไม้ที่เพิ่งตัดเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ส่งมาลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน

   ​​​​“น้องผาใช่มั้ย?”
   ​​​​“ครับ”

   ​​​​เป็นความอ่อนโยนที่ผมไม่ได้สัมผัสมันมาเนิ่นนานจนจำแทบไม่ได้

   ​​​​แถมสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ก็ทำให้ชวนเก้อเขินจนแปลกประหลาด ดูเหมือนไม่มีคนเรียกผมแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน มันเลยไม่ชินจนต้องแลบเลียริมฝีปากในตอนเผลอ

   ​​​​“เรียกผาเฉยๆก็ได้ครับ”
   ​​​​“ฮ่าๆ นั่นสิ เราเป็นพี่เจ้าม่านเขานี่เนาะ”
   ​​​​“แก่แล้วไงแม่—โอ๊ย!
   ​​​​“ดูพูดกับพี่เขาเข้า ไอ้เจ้าคนนี้นี่”

   ​​​​ร่างสูงตัวงอเมื่อโดนมือเล็กบิดเข้าที่สะดือ สีหน้าเหยเกจนดูไม่ได้ก่อนมันจะจางหายไปเป็นปกติ มือเขาลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา ดูเหมือนอีกคนจะเข้าข้างผมมากกว่าลูกชายตัวเองเข้าแล้ว

   ​​​​“ยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากันใช่มั้ย?” สาวเจ้าพูดเมื่อเดินไปยังมุมหนึ่งข้างโทรทัศน์ ปักดอกไม้ไว้ยังแจกันทรงสูงแล้วจัดมันไปมา

   ​​​​“ยังเลยครับ”
   ​​​​“ก็แม่บอกให้มาทานที่บ้านไม่ใช่หรอ” ผมตอบ มีม่านเข้าสมทบอีกรอบตามหลัง

   ​​​​“งั้นพาพี่เขาไปทานก่อนสิ”

   ​​​​ลูกชายรับคำก่อนจะเดินนำผมไปยังด้านหลัง มีโต๊ะทานข้าวที่ตั้งไว้ยังห้องหนึ่งที่ไม่มีผนังกั้น อีกด้านเป็นเคาน์เตอร์ครัวที่โชว์เด่นหรา ผมนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย พบว่าอาหารมากหน้าถูกวางเอาไว้ต้อนรับ กลิ่นหอมของมันทำให้ท้องเริ่มทำงานตามความหิว แอบกลืนน้ำลายในตอนที่รับจานข้าวมาวางก่อนจะเริ่มรับประทานตามเจ้าบ้านที่จ้วงไม่หยุด

   ​​​​“เราพอจะทานได้มั้ย แม่ไม่รู้จะทำอะไรให้ มีแต่ของโปรดของม่านเขาทั้งนั้น”

   ​​​​เมื่อทานไปได้สักพักมารดาของม่านก็เดินเข้ามาใกล้ มือเล็กวางพาดเข้าที่ไหล่ มองดูเราสองคนที่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

   ​​​​“ทานได้ครับ อร่อยทั้งนั้นเลย” ผมไม่ได้คิดจะประจบ เพราะทั้งหมดนั้นอร่อยดังที่พูดเลยยิ้มตอบเป็นการขอบคุณ หญิงสาวหันไปหาลูกชาย ทางนั้นพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับตักข้าวขึ้นทานอีก

   ​​​​“อยากอยู่นี่ต่ออีกสักอาทิตย์ คิดถึงกับข้าวที่บ้านมาก”
   ​​​​“ใครบอกให้เราไม่กลับเองล่ะ?”
   ​​​​“โหแม่ งานเยอะดิ”

   ​​​​คนที่ยืนอยู่ส่ายหน้า ก่อนจะเลื่อนจานบางอย่างมาให้ผม

   ​​​​“หมูย่างเมืองตรังอร่อยนะลูก คุณพ่อเพิ่งกลับจากประชุมมาเมื่อวาน หอบข้าวหอบของมาฝากเต็มเลย”
   ​​​​“ขอบคุณครับ”

   ​​​​ผมก้มหัวลงอีกรอบอย่างนอบน้อมก่อนที่หญิงสาวจะปล่อยให้เราอยู่ตามลำพัง ผมรับประทานอาหารอย่างเต็มอิ่ม ไม่ต่างจากใครบางคนที่เพิ่มข้าวเป็นรอบที่สองแถมยังนั่งกินอย่างเพลินใจ

   ​​​​“แม่ทำเองหมดเลยหรอ?” คำถามถูกส่งให้ ก่อนม่านจะพยักหน้าแล้วชี้ไปยังจานหนึ่ง
   ​​​​“ถ้าไม่นับหมูย่างนี่ก็ทำเองหมดเลย”
   ​​​​“อ่ออ”

   ​​​​เขารินน้ำแล้ววางแก้วไว้ให้ด้านข้าง ยกน้ำของตัวเองขึ้นดื่มบ้างจนเกือบหมด

   ​​​​“แล้วมึงชอบอันไหนมากที่สุด?”

   ​​​​อีกฝ่ายดูจะแปลกใจที่ผมมีคำถาม เพราะไม่บ่อยนักที่จะเริ่มสนใจเกี่ยวกับเขาล่ะมั้ง ม่านเลยชะงักไปชั่วครู่และไม่ลังเลที่จะชี้นิ้วไปยังถ้วยใบหนึ่ง

   ​​​​“ชอบพะแนง”
   ​​​​“อืม อันนั้นอร่อยดี”
   ​​​​“แม่เค้าทำพะแนงอร่อยที่สุดในโลกแล้ว”

   ​​​​ผมส่ายหน้ากับการโอ้อวด วางช้อนส้อมในมือลงเมื่อไม่ทานต่อ

   ​​​​“อิ่มแล้วหรอ?”
   ​​​​“อืม”
   ​​​​“ถ้ายังไม่อิ่มบอกได้นะ กินเยอะๆเลยไม่ต้องเกรงใจ”

   ​​​​คล้ายกับว่าเขาอ่านใจผมออกเพราะอันที่จริงแล้วท้องก็ยังสามารถเติมเต็มได้อีก แต่ก็นั่นแหละ เวลาไปเป็นแขกบ้านอื่นก็ไม่อยากเรียกร้องให้เสียมารยาท ผมเลยทานแต่พอดีถึงแม้อาหารจะอร่อยเสียจนอยากทานเพิ่ม

   ​​​​การยื้อแย่งเกิดขึ้นเมื่อผมต้องการจะเป็นฝ่ายทำความสะอาดเสียเอง แต่ม่านก็แย่งทุกอย่างไปไว้ในมือและรีบเดินไปยังอ่างล้างจานด้วยความชำนาญเสียก่อน ผมเลยต้องยืนรอเขาอยู่ห่างๆ เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรต่อ

   ​​​​“หนุ่มๆทานน้ำผลไม้ไหม?”

   ​​​​แต่มารดาของเขาก็เข้ามาขัดจังหวะ อีกฝ่ายรื้อหาของในตู้เย็นอยู่สักพัก จากนั้นผลไม้หลากสีก็ถูกวางเอาไว้ยังเค้าน์เตอร์กลางห้องครัว

   ​​​​“มีน้ำมะพร้าวมั้ยแม่?”
   ​​​​“ไม่มีเลยน่ะสิ เอาเป็นน้ำส้มแทนได้ไหม?”
   ​​​​“ได้ครับ”
   ​​​​“เราล่ะ เอาอะไรดีเดี๋ยวแม่ทำให้?” อีกคนหันมาถามพร้อมรอยยิ้มแม้มือจะพัลวันกับการเตรียมของ
   ​​​​“อะไรก็ได้ครับ”
   ​​​​“งั้นแม่ทำน้ำส้มทั้งสองแก้วเลยนะ”
   ​​​​“ครับ”

   ​​​​เมื่อตกลงรับคำหญิงสาวก็เริ่มหยิบจับอุปกรณ์อย่างชำนาญ สักพักน้ำส้มคั้นสองแก้วก็ถูกวางไว้ตรงหน้า มันถูกเติมน้ำแข็งลงไปพร้อมกับปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย จากนั้นเชฟก็เริ่มเตรียมของว่างให้ไม่หยุด

   ​​​​“ไปนั่งดูทีวีกันไป เดี๋ยวแม่ปอกผลไม้ไปให้”
   ​​​​“ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่ทานข้าวก็อิ่มกันแล้ว” ผมรีบปฏิเสธ ดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบใจที่ได้ทำนู่นทำนี่ให้แขกที่เข้ามาเยี่ยม
   ​​​​“เอาน่า ทานกันเยอะๆ น่ะดีแล้ว”
 
   ​​​​ด้วยความรู้สึกเกรงใจตั้งแต่ก่อนเข้าบ้าน ผมเลยรีบประกบด้านข้างคนพูด ก่อนจะออกตัวเพื่อช่วยเพราะไม่อยากรู้สึกผิดมากจนเกินไป

   ​​​​“งั้นผาช่วยดีกว่าครับ”
   ​​​​“ไม่เป็นไรๆ ไปพักผ่อนเถอะ”
   ​​​​“ไม่เป็นไรครับ”

   ​​​​เพราะมือเล็กทำท่าเหมือนจะตีลงมาที่แขนมันเลยทำให้ผมหัวเราะออกมา หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนที่ลูกชายที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างจะเข้ามาช่วยอีกแรง

   ​​​​เราจัดการของว่างเสร็จหลังจากนั้นไม่นาน ม่านเดินนำของทุกอย่างไปวางไว้ยังห้องรับแขกก่อน ทำให้ห้องครัวเหลือเพียงแค่ผมกับเจ้าของบ้านอีกคนที่อยู่ข้างกัน

   ​​​​“เขาดื้อกับเราบ้างมั้ย?”

   ​​​​แววตาที่มองผ่านไปยังอีกห้องหนึ่งฉายแววขบขัน แต่ก็เต็มไปด้วยความรักและความหวงแหน ผมชะงักกับคำถามอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนสาวเจ้าจะรู้ความเป็นไปในความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนของเราทั้งสอง

   ​​​​แต่ก็ไม่ได้คิดจะห้าม

   ​​​​“ก็...มีบ้างครับ”

   ​​​​หญิงสาวหัวเราะ ทอดมองมายังผมยามที่พูดต่อ

   ​​​​“วันนั้นเขาเอารูปของเรามาให้แม่ดูพร้อมกับถามใหญ่เลยว่าเราน่ารักมั้ย พอแม่ตอบไปคำเดียวว่าหล่อก็เถียงซะจนแทบเป็นแทบตายแหนะ จะให้แม่บอกว่าน่ารักให้ได้ สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมแพ้เขาอยู่ดี”

   ​​​​อมยิ้มระบายไปทั่วใบหน้ากับสิ่งที่อีกคนเล่า ม่านยังมั่นคงกับคำว่าน่ารักเหมือนที่หญิงสาวกล่าวไม่ต่างจากที่พร่ำบอกกับผมอยู่เสมอ

   ​​​​ไอ้เด็กหน้าหมา
   ​​​​ผมน่ารักได้ซะที่ไหน

   ​​​​“ตอนนั้นเพราะแม่เห็นว่าเราหล่อมากกว่าจะใช้คำว่าน่ารัก เลยยอมๆพูดไปให้เขาสบายใจ แต่วันนี้พอเจอเราเข้าจริงๆ แม่คงต้องกลับไปบอกเขาอีกรอบแล้วล่ะมั้ง..”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ว่าเราน่ารักมากกว่าในรูปหลายเท่าเลย”

   ​​​​ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากมือเล็กมายังศีรษะทำให้ผมนิ่งค้าง คงเพราะรอยยิ้มหวานและคำพูดที่ทำให้หัวใจพองโตผมเลยเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่ได้

   ​​​​นานมาแล้ว
   ​​​​นานจริงๆ
   ​​​​ที่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้

   ​​​​“ม่านเขามีความสุขที่ได้อยู่กับเรานะ ถ้าเขาทำให้เรามีความสุขเหมือนกันแม่ก็ดีใจ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ไว้มาที่บ้านอีกบ่อยๆล่ะ พ่อกับแม่ยินดีต้อนรับเราเสมอ”

   ​​​​เวลาช่างเคลื่อนผ่านเชื่องช้าเมื่ออีกฝ่ายผละตัวออก มอบรอยยิ้มส่งท้ายเป็นการบอกลาแล้วเดินจากไปยังทางเดิมกับลูกชายเมื่อสักครู่ ปล่อยให้ผมยืนอยู่ตรงนี้เพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่าน
   ​​​​เพื่อดึงย้อนความทรงจำให้หวนกลับ
   ​​​​และเพื่อระลึกได้ว่าความอบอุ่นแบบนั้น...เป็นสิ่งที่ตัวเองเฝ้าใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต

   ​​​​ดวงตาหลับแน่นเพราะสิ่งที่เพิ่งถูกเติมเต็มภายในใจ ผมรีบจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ กลัวว่ามันจะสลายหายไปเพียงเสี้ยววินาที

   ​​​​เก็บมันไว้ยังกล่องที่ถูกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
   ​​​​ปิดผนึกด้วยโซ่แน่นหนา ลงกลอนตีตราว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถขโมยความทรงจำดีๆเหล่านั้นไปได้

   ​​​​ไม่มีใคร


   ​​​​ที่สามารถเข้ามาทำลายความสุขเหล่านั้นได้อีกแล้ว








,









   ​​​​หลังจากที่บอกลาบิดาและมารดาของอีกฝ่าย เราสองคนก็ขึ้นมายังด้านบนของตัวบ้าน ม่านพาผมสำรวจห้องนอนของตัวเอง ก่อนเราจะตัดขาดจากโลกภายนอกเมื่ออยู่ในห้องสี่เหลี่ยม

   ​​​​เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากการที่ได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งเทียบท่า ตามมาด้วยชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน เจ้าตัวพูดอะไรสักอย่างกับคนรักของตัวเองก่อนที่สองคนนั้นจะบอกเราว่าคงต้องออกไปทำธุระข้างนอก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านหลังใหญ่เงียบเชียบลงมากกว่าเดิม

   ​​​​ชายหนุ่มกล่าวทักทายผมพร้อมกับของฝากที่อยู่ในมือ เอ่ยทักด้วยประโยคง่ายๆและพูดด้วยความเสียดายว่าน่าจะมีโอกาสพูดคุยกันให้มากกว่านี้ ผมยิ้มรับและตอบกลับว่าไม่เป็นไร ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังขอโทษขอโพยยกใหญ่จนม่านหัวเราะออกมา

   ​​​​‘เราจะค้างที่นี่ก็ได้นะ เห็นม่านบอกอยากจะอยู่ต่อไม่ใช่หรอ?’ หัวหน้าครอบครัวเอ่ยชักชวน ก่อนที่ลูกชายจะเป็นฝ่ายปฏิเสธพร้อมกับบอกเหตุผลออกไป

   ​​​​‘เกรงใจผาเขาน่าพ่อ พรุ่งนี้ผมมีงานต่อด้วย เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน’
   ​​​​‘ไว้เจอกันนะลูก ขอโทษที่วันนี้ยุ่งไปหน่อย’
   ​​​​‘ไม่เป็นอะไรครับ’


   ​​​​ผมพอจะเข้าใจว่าเป็นธุระเร่งด่วนเมื่อหญิงสาวรีบเดินตามไปติดๆและไม่วายที่จะส่งท้ายก่อนลาจาก

   ​​​​‘พาพี่ไปนั่งเล่นบนห้องสิ อยู่ข้างล่างเดี๋ยวเบื่อเอา’

   ​​​​เป็นการบอกให้ลูกชายพาเขาขึ้นไปยังบนห้อง
   ​​​​แถมยังไม่ได้ถือสาว่ามันจะเป็นเรื่องน่าเกลียดแต่อย่างใด อีกฝ่ายแค่อยากให้ผมทำตัวตามสบายและไม่​​​​ต้องคิดอะไรมาก

   ​​​​เมื่อไม่มีกิจกรรมที่เราสามารถจะทำได้อีกม่านจึงพาผมมาที่ห้องของตัวเอง ถึงผมอยากจะปฏิเสธแต่ก็อยากรู้ความเป็นอยู่ของเขา เท้าเลยก้าวตามไปติดๆ ผ่านขั้นบันไดที่ยกสูง จนมันมาถึงหน้าห้องหนึ่งที่อยู่มุมด้านใน เขาเปิดประตูเข้าไปก่อน ทิ้งตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ หลังจากนั้นผมจึงเดินเข้าไปแล้วกวาดสายตามองรอบๆ

   ​​​​โปสเตอร์วง Fall Out Boy โชว์เด่นหราบนผนัง มีข้อความภาษาอังกฤษแปะไว้ข้างกัน จากนั้นก็เป็นชั้นวางที่มีอัลบั้มของศิลปินคนโปรดเรียงรายไปกับหนังสือ และผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นนักดนตรีเมื่อมีกีตาร์ตัวหนึ่งวางเอาไว้ ทุกอย่างถูกจัดวางเป็นระเบียบ มีกลิ่นอ่อนๆของน้ำหอมเจ้าตัวปะปนอยู่ในอากาศ ผ้าม่านที่ปิดหน้าต่างยอมให้แสงยามบ่ายลอดผ่านเข้ามา ทำให้ภายในห้องไม่ได้มืดมากนักแม้จะไม่ได้เปิดไฟ

   ​​​​“อันนี้อะไร?” ผมหยิบของบางอย่างที่ดูวางผิดที่ผิดทางบนชั้น หันไปถามเขาที่นั่งข้างเตียง
   ​​​​“แผ่นเสียงของหมอก คงลืมไว้ที่ห้องเค้ามั้ง”
   ​​​​“แล้วน้องมึงนอนห้องไหน?”
   ​​​​“ห้องตรงข้ามเนี่ยแหละ แต่มันไม่ค่อยกลับบ้านเหมือนกัน รายนั้นน่ะติดเพื่อน”

   ​​​​ผมพยักหน้ารับก่อนจะไล่มือตามไม้แผ่นหนาไปเรื่อยๆ

   ​​​​“มึงเล่นกีตาร์ด้วยหรอ?”
   ​​​​“ก็แก้เบื่อ”
   ​​​​“ไม่เคยเห็นเล่นเลย” หันไปมองเห็นเจ้าตัวที่กดโทรศัพท์คล้ายกำลังตอบกลับใครสักคนอยู่
   ​​​​“เล่นแค่ตอนเบื่อ ตอนปกติก็ไม่ค่อยได้จับหรอก”

   ​​​​คล้ายกับเจอของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจเพราะผมเอาแต่สำรวจไปทั่ว จนตอนนี้หยุดยืนที่หน้าโปสเตอร์สีซีด

   ​​​​“ชอบเพลงไหนของ Fall Out Boy หรอ?”

   ​​​​ม่านไม่ตอบ จนกว่าอึดใจที่มีเสียงเพลงคลอเคล้าภายในห้อง
   ​​​​เป็นเพลงที่อีกคนชอบ และผมก็คิดว่ามันเป็นเพลงที่ดีไม่หยอก

   ​​​​I’m Like a Lawyer With The Way I’m Always Trying to Get You Off (Me & You)

   ​​​​“เมื่อก่อนฟัง Fall Out Boy กับ John Mayer บ่อย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ฟังแล้ว โตขึ้นความชอบมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

   ​​​​ใช่
   ​​​​เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน
   ​​​​ไม่มีอะไรคงเดิมดังเช่นที่เป็นมาได้ตลอด

   ​​​​“ช่วงนี้เค้าฟังแต่เพลงไทย ไม่รู้ทำไม...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...แต่เพื่อนบอกว่าเพราะอินเลิฟ”

   ​​​​ผมไม่กล้าหันไปสบตากับเขา กลัวว่ารอยยิ้มกว้างจะเข้าเล่นงานตัวเองอีก เพราะผมรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวทำน้ำเสียงแบบนี้ ม่านต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

   ​​​​“Hertbreak Warfare มึงน่าจะเคยฟัง”
   ​​​​“ครับ?”
   ​​​​“กูชอบเพลงนั้นของ John Mayer”
   ​​​​“...Lightning strikes...Inside my chest to keep me up at night...ใช่ไหม?”

   ​​​​ทันทีที่ผมพูดจบเพลงเก่าก็ดับลงพร้อมกับการฮัมเพลงใหม่จากเจ้าของห้อง ผมหันไปมอง เห็นม่านอมยิ้มเมื่อเราสบตา

   ​​​​และนั่นแหละมั้ง
   ​​​​ที่ทำให้ผมยิ้มออกมาเหมือนกันก่อนจะก้มลงปกปิดความร้อนบนใบหน้า

   ​​​​น่าแปลกที่วันนี้หัวใจผมทำงานหนักทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความธรรมดาที่เติมเต็มจนรู้สึกอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ผมตัดสินใจวางอัลบั้มเก่าในมือ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใช้แผ่นหลังพิงไปกับเตียงแล้วนั่งลงข้างกันบนพื้นที่มีพรมปูไว้รองรับอีกที

   ​​​​“เล่นให้ฟังหน่อย” การร้องขอตามมา ม่านเบ้ปากก่อนจะส่ายหัว “ขี้หวงจังวะ”

   ​​​​เขาหัวเราะ ก่อนจะบอกเหตุผลที่ทำเอาใบหน้าผมร้อนขึ้นกว่าเดิม

   ​​​​“สัญญาว่าจะเล่นให้ฟังแน่นอน”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แต่ต้องตอนที่เราเป็นมากกว่านี้นะ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ไม่ใช่แบบพี่น้องที่เราเป็นอยู่ตอนนี้อ่ะ”

   ​​​​ความหมายที่เขาส่งให้- ผมเข้าใจดี แต่แปลกที่รอบนี้ผมไม่ได้ด่าเขากลับไป
   ​​​​ไม่รู้ทำไม
   ​​​​ไม่รู้เลยจริงๆ

   ​​​​เข่าของเราชันขึ้น ใช้สองแขนวางไว้บนนั้น ผมและม่านปล่อยให้เวลาเดินผ่านโดยที่เราไม่ได้พูดอะไร และในตอนที่เหลือบมองอีกฝ่าย ใบหน้าคมคายก็เลื่อนเข้าใกล้จนเป็นระยะที่ชวนใจหายมากทีเดียว

   ​​​​ม่านจ้องผมอยู่นาน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบริเวณแก้มที่ผมคิดว่าตอนนี้มันอาจจะขึ้นสีบ้างแล้ว ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะรู้ว่าปลายทางของเขาต้องการจบลงที่ไหนแต่ก็ยังนั่งนิ่ง จนตอนที่เขาเลื่อนปลายจมูกเข้ามาใกล้ห่างออกไปไม่กี่เซ็น ถึงได้ก้มลงนิดหน่อยเพื่อไม่ให้มันชนกับผิวเนื้อบริเวณแก้มของตัวเอง

   ​​​​ม่านผ่อนปรนลมหายใจ ส่วนผมก็บังคับหัวใจไม่ให้เต้นแรงมากกว่าเก่า
   ​​​​แต่ที่จริงผมไม่เก่งพอที่จะทำแบบนั้นหรอก

   ​​​​“...ยัง...”

   ​​​​เสียงที่ส่งไปเลยแหบพร่าไม่ต่าง

   ​​​​“...ยังไม่ใช่ตอนนี้...”

   ​​​​ม่านกลับไปนั่งตามเดิม เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย

   ​​​​“ฮ่าๆ โอเคครับ”

   ​​​​เขายังเป็นคนเดิมที่เคยเห็น ยิ้มรับให้กับสถานการณ์ทุกอย่างแม้มันจะไม่เป็นดังที่คิดไว้ตั้งแต่แรก เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิที่โอบล้อมผมเอาไว้ แค่เพียงอีกฝ่ายคว้ามือผมเข้าไปใกล้แล้วกระชับหลวมๆ

   ​​​​เพียงแค่นั้น
   ​​​​ฤดูใบไม้ร่วงก็ดูจะอุ่นขึ้นทันตาเห็น

   ​​​​ม่านไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่การกระทำทั้งหมดของเขาก็ยังชัดเจนว่ายังจะรอไม่ว่าผมจะเป็นยังไง

   ​​​​“นี่”

   ​​​​ผมเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับขอร้องด้วยคำของ่ายๆ ที่เขาสามารถให้ผมได้อยู่แล้ว

   ​​​​“พาไปที่นึงหน่อยสิ”







ต่อข้างล่างฮะ

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 4 | p.s. tomorrow 10 am - P.3 (24/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 25-09-2019 19:26:13
,











   ​​​​ดอกไม้ช่อหนึ่งถูกวางไว้บนแท่นหินเรียบ สายลมที่พัดผ่านทำเอากิ่งก้านและเกสรของมันปลิวไสวเล็กน้อย ผมลูบไล้หินเย็นเฉียบแผ่วเบา หลับตาลงภาวนาอะไรสักอย่างที่คนที่ยืนข้างกันไม่สามารถเดาความได้

   ​​​​ผมนำทางมายังที่แห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลจากตัวบ้าน โชคดีที่เราเผื่อเวลาการเดินทางพอสมควร ทำให้ตอนที่มาถึงยังไม่พลบค่ำ แสงพระอาทิตย์ยังลอยจางแปรเปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีส้มอ่อน

   ​​​​ผมแวะซื้อดอกไม้จากข้างทาง ม่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังจะไปที่ไหน จนกว่าที่รถยนต์จะถึงยังปลายทางที่สถานที่แห่งหนึ่ง

   ​​​​จนถึงตอนนั้นอีกฝ่ายถึงรู้ได้ว่าผมนำดอกไม้มาทำอะไร

   ​​​​ที่นี่เป็นสุสานที่เงียบสงบ ไม่มีผู้คนย่างกรายเข้ามาถ้าไม่ใช่วาระที่จำเป็น มีเพียงแท่นหินที่วางเรียงรายไปตามแนวอย่างเป็นระเบียบ มีเพียงแค่นั้น พร้อมกับเขาที่ยืนเงียบๆ เพื่อเฝ้ารอ

   ​​​​“ตกใจไหม?” ผมเอ่ยถาม ไม่ได้หันหลังกลับไปมองเพราะไม่ได้อยากจะฟังคำตอบสักเท่าไหร่
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”

   ​​​​อีกฝ่ายเคารพหลุมศพที่อยู่ตรงหน้าด้วยการหลับตาลง โค้งหัวเล็กน้อยในตอนท้าย เมื่อเห็นแบบนั้นผมเลยยอมบอกเหตุผลที่เก็บเอาไว้ว่าทำไมถึงพาเขามายังที่นี่

   ​​​​“ขอบคุณที่พาไปเจอแม่นะ เพราะแบบนั้นล่ะมั้งกูเลยอยากให้แม่รู้จักมึงบ้าง”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ถึงจะช้าไปนิดหน่อย”

   ​​​​สีหน้าผมยังนิ่งเรียบ ไม่ยอมเผยความรู้สึกที่อยู่ข้างในว่าแท้จริงแล้วผมแตกสลายแค่ไหนกว่าจะทำเป็นปกติได้แบบทุกวันนี้

   ​​​​เพราะผมด้านชาเกินกว่าจะรักใครสักคน
   ​​​​และเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่ใครสักคนจะมารัก

   ​​​​ผมเลยเก็บมันเอาไว้เสียนานจนแทบจะลืมว่าตัวเองผ่านเรื่องอะไรมา

   ​​​​“กลับกันเถอะ”
   ​​​​
   ​​​​ม่านยังเงียบ คงเพราะไม่อยากขัดจังหวะให้ผมได้ลาจาก จนกว่าที่เราจะเดินเคียงข้างเพื่อไปขึ้นรถ เจ้าตัวก็ดึงรั้งแขนผมเอาไว้แล้วมอบอ้อมกอดให้เสียแน่น

   ​​​​พร้อมกับคำพูดปลอบใจและมือใหญ่ที่ลูบไว้ยังศีรษะ

   ​​​​“ไม่เป็นไรนะครับ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เค้าอยู่ตรงนี้นะ”

   ​​​​ผมไม่ได้ร้องไห้ เพราะเม็ดฝนที่เริ่มสาดเทต่างหากเลยทำให้ใบหน้าเปียกปอน ถึงแม้มันจะเริ่มลงเม็ดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกคนก็ยังตระกองกอดเพื่อปลอบประโลม

   ​​​​ให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่สามารถเล่นงานผมได้อีก
   ​​​​ให้ความรู้สึกเหล่านั้นไม่สามารถย้อนกลับคืนมาหาผมอีก

   ​​​​และให้อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงนี้นั้น ย้ำเตือนผมอีกครั้ง

   ​​​​ว่าเขาคือคนที่ทำให้ผมมีความสุขมากจนลืมทุกอย่างจนหมด


   ​​​​ผมไม่ได้ตอบรับ ยืนนิ่งให้เขาได้ทำตามใจ
   ​​​​แต่สุดท้ายก็เอียงหน้าซบอกของอีกฝ่าย ตักตวงความอบอุ่นที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีก



   ​​​​ดูเหมือนม่านจะทำการบ้านรอบนี้มาดีจริงๆ
















#ผาเพียงฟ้า

:-)



หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 5 | and then autumn kill spring with... - P.3 (25/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-09-2019 23:11:00
โอ้ พี่ผา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 5 | and then autumn kill spring with... - P.3 (25/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 27-09-2019 23:24:34
ม่านน่ารักมากพี่ผาใจอ่อนเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 5 | and then autumn kill spring with... - P.3 (25/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-09-2019 23:50:46
ให้เวลาผาหน่อยนะ ม่านน่ารักมากก อบอุ่นมาก ครอบครัวม่านก็น่ารักมากเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 5 | and then autumn kill spring with... - P.3 (25/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-09-2019 08:01:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 5 | and then autumn kill spring with... - P.3 (25/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 28-09-2019 20:55:49
เป็นนิยายที่เทาหม่นๆ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
ขอบมากเลยค่า
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 5 | and then autumn kill spring with... - P.3 (25/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 29-09-2019 23:33:39


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


16

rainstroms, earthquakes or blackouts



_________


But it's the way you smile that does it for me
It's so sweet,
knowing that you love me
Though we don't need to say it to each other,
Knowing that I love you,
and running my fingers through your hair


(sweet - cigarettes after sex)



_________




   ​​​​ดูเหมือนผมจะจำเสียงสัญญาณวิทยุที่ขาดๆหายๆนั้นได้
   ​​​​จำได้ว่าตอนนั้นท้องฟ้ามืดมิด มีเสียงลมที่กระทบกับรถยนต์คันใหญ่ในตอนที่มันวิ่งด้วยความเร็วสูง

   ​​​​ทุกอย่างบิดเบี้ยวและเลือนราง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตัดสลับกันไปมาเหมือนหนังสั้นสักเรื่อง

   ​​​​บางฉากเป็นตอนที่ตัวผมหมุนคว้างกลางอากาศ ทุกอย่างในรถลอยคว้างไม่ต่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนมาอยู่เบื้องล่าง และเศษกระจกต่างๆนั้นอยู่เบื้องบน

   ​​​​ภาพตัดไปอีกในตอนที่หัวหน้าครอบครัวพูดออกมาเสียงดัง มีภาพบ้านหลังใหญ่เข้าแทรกบางจังหวะ ผมจำบ้านหลังนั้นได้ดี มันเป็นบ้านที่เราเคยอยู่อาศัยด้วยกันและเป็นสถานที่ตั้งของครอบครัว แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้ภาพเหล่านั้นอยู่ได้นานเท่าที่ใจฝัน

   ​​​​เอี๊ยดดด!!

   ​​​​เพราะเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตร ผมก็เห็นรอยเลือดของผู้หญิงที่นั่งข้างคนขับเข้าแทรก


   ​​​​RRRR!!


   ​​​​เฮือก!

   ​​​​เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมตกใจตื่น รีบตั้งสติแล้วคว้าสิ่งที่อยู่บนหัวเตียงขึ้นแนบหู แทบไม่ได้สนใจว่าปลายสายจะเป็นใครเพราะตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองจากฝันร้ายนั้นได้เลย

   ​​​​ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองลืมทุกอย่างแล้วแท้ๆ

   ​​​​(มึงไม่มาเรียนหรอ?) เมื่อปลายสายเอ่ยทักผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นไอ้ปัทถ์ที่โทรมา นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะอ่านหนังสือถูกจับจ้องอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังมีบางอย่างที่ผิดปกติ

   ​​​​“เก้าโมงกว่าแล้วหรอ?”
   ​​​​(อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น?)
   ​​​​“อือ”
   ​​​​(มึงจะมาป่ะเนี่ย?)

   ​​​​อีกฝ่ายเอ่ยถาม คงสงสัยว่าทำไมผมที่ไม่เคยขาดเลยสักคาบถึงได้หายหัวไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวไว้ก่อน

   ​​​​“...กู...ไม่น่าไปว่ะ”

   ​​​​สุดท้ายแล้วก็ต้องปฏิเสธออกไปเพราะรู้ว่าถ้าฝืนเข้าให้ผมจะไม่ไหวกับอาการที่เป็นอยู่

   ​​​​(มึงไม่สบายหรอวะ?)

   ​​​​เขาถามกลับ คงตัดสินจากน้ำเสียงที่แปลกไปของผมเองล่ะมั้งถึงได้รู้ว่าแบบนี้มันไม่ใช่อย่างเคย

   ​​​​“...อืม...เหมือนจะเป็นไข้” ผมพลิกตัวนอนหงาย ศีรษะหนักอึ้งไปตามการขยับกายเพียงแค่เล็กน้อย
   ​​​​(เออๆ งั้นก็พักผ่อนเหอะ อย่าลืมกินข้าวกินยาด้วยนะ เดี๋ยวเลคเชอร์ให้ ถ้ามีอะไรกูโทรไปแล้วกัน)
   ​​​​“ขอบคุณมาก”
   ​​​​(ไหวใช่ป่ะวะ?)
   ​​​​“...ไหว”
   ​​​​(อย่าตายล่ะ)

   ​​​​มันหัวเราะในตอนที่ทิ้งท้าย คำพูดช่างดูเป็นห่วงเป็นใยผมจนแทบซึ้งใจ โทรศัพท์ดับลงพร้อมกับที่อีกคนวางสาย ผมใช้มือข้างซ้ายเกยหน้าผาก วัดอุณหภูมิคร่าวๆด้วยการสัมผัสมันแผ่วเบา ตัวผมไม่ได้ร้อนมาก แต่ดูเหมือนสมองจะประมวลผลต่ำกว่าที่ต้องการพอควร แถมมันยังปวดนิดหน่อยเมื่อต้องขยับไปมา ทุกอย่างดูช้าลงหนึ่งระดับ ทั้งการมองเห็น การเคลื่อนไหว และความคิดที่ไม่ได้ดั่งใจสักเท่าไหร่เมื่อร่างกายเป็นแบบนี้

   ​​​​ถึงตัวผมจะไม่ได้ร้อนมากแต่ต่างจากลมหายใจเข้าออก ผิวเนื้อบริเวณริมฝีปากด้านบนค่อนข้างไวต่อการสัมผัสทำให้เมื่อไหร่ที่ลมร้อนพ่นออกมา มันก็จะร้อนตามอย่างช่วยไม่ได้ นั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เพราะมันเป็นสัญญาณที่บอกได้อย่างดีว่าตัวเองกำลังป่วย นอกจากลมหายใจก็มีดวงตาที่อุ่นร้อนไม่แพ้กัน มันค่อนข้างอ่อนล้าเมื่อต้องมองอะไรนานๆจนผมรู้สึกอึดอัด อันที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกสบายนักเพราะอาการแต่ละอย่างเริ่มผสมปนเปจนไม่แน่ใจ

   ​​​​คงต้องโทษสายฝนชุ่มฉ่ำที่ทำให้ผมต้องนอนซมเพราะพิษไข้ ทั้งๆที่คิดว่าตากฝนแค่นั้นตัวเองจะไม่เป็นอะไรมาก แต่สุดท้ายมันกลับเล่นงานคนที่แข็งแรงดีซะจนหมดท่า

   ​​​​เป็นเวลากว่าบ่ายโมงที่ผมตื่นขึ้นมาอีกรอบ อาจเพราะท้องที่ยังว่างเริ่มโหยหาสิ่งเติมเต็มอย่างหนัก ข้าวมื้อแรกที่ถูกทานคืออาหารแช่แข็งที่มีอยู่ในตู้เย็น ช่วยให้คนที่ไม่พร้อมออกไปเจอโลกภายนอกได้ประทังชีวิตไปก่อนในมื้อนี้ ผมไม่ลืมที่จะกินยาตามหลัง เพราะหวังจะให้ตัวเองหายจากการป่วยแต่โดยไวเลยต้องทำอะไรที่ขัดใจไปเสียหน่อย จากนั้นก็พยายามลากสังขารตัวเองไปยังห้องน้ำ ชำระล้างร่างกายเผื่อจะได้สดชื่นขึ้นมาบ้างแต่จนแล้วจนรอดผมก็ต้องกลับมานอนบนเตียงเช่นเดิม

   ​​​​ไม่ไหว
   ​​​​แบบนี้มันหนักหน่วงเกินไปกว่าที่เคยเป็นเสียอีก

   ​​​​โดยปกติแล้วผมมักจะเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันในตัวเองสูง เรื่องเจ็บป่วยเลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวอยู่เสมอ ไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลหรือไปหาหมอเพื่อรักษา แค่ทานยาและรอให้ฤทธิ์ของมันทำงาน ไม่เกินสองสามวันอาการก็จะทุเลาลงจนหายเป็นปลิดทิ้ง

   ​​​​แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่ใช่คนเก่งอีกต่อไป

   ​​​​ทั้งร่างกายที่อ่อนปวกเปียก มีอาการมึนที่รู้สึกเหมือนต้องการการพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา และเมื่อไหร่ที่ผมหลับตาเพื่อหวังจะนอน ทุกอย่างก็ดับมืดลงภายในไม่กี่นาทีต่อจากนั้น

   ​​​​ผมตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะอากาศที่ร้อนจัดจนเหงื่อออก ดูเหมือนผ้าห่มจะกองกันไว้ยังมุมหนึ่งของเตียง ทั้งๆที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้ามันถูกใช้งานให้ความอบอุ่นแก่เจ้าของ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผ้าผืนหนาจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

   ​​​​เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ที่ดังอยู่ทำให้ผมยกมันขึ้นมา หวังจะดูเวลาที่ปรากฏแต่ว่าข้อความของใครคนหนึ่งก็ทำให้ต้องกดเข้าไปอ่าน

   ​​​​เป็นม่านที่ส่งข้อความเหล่านั้นมาตั้งแต่เช้า

   ​​​​12.13 น.
   ​​​​พี่ปัทถ์บอกว่าเธอไม่สบาย : AMAN
เป็นไข้หรอ? : AMAN

14.30 น.
กินข้าวกินยาแล้วใช่ไหมครับ? : AMAN

15:56 น.
เธอหลับอยู่แน่เลย : AMAN
ยังไงถ้าตื่นแล้วบอกเค้าได้ไหม? : AMAN
เป็นห่วงว่ะ : AMAN


   ​​​​ถึงแม้จะไม่ได้ตอบกลับแต่เขาก็ส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ ผมอ่านจนจบก็ตัดสินใจลุกขึ้น พิงตัวเข้ากับหัวเตียงพร้อมกับใช้หมอนรองหลังเพื่อความสบาย ก่อนจะรัวนิ้วลงไปเพื่อตอบเจ้าตัวถึงอาการที่เป็นอยู่

   ​​​​Pha : อืม
   ​​​​Pha : กินยาแล้ว
   ​​​​Pha : ไม่ต้องห่วง


   ​​​​มีคนเคยบอกว่าเวลาไม่สบาย คนเราจะหาที่พึ่งทางกายหรือไม่ก็ทางใจในรูปแบบหนึ่ง บางคนขี้อ้อน บางคนงอแง บางคนก็ต้องการใครสักคนให้อยู่ด้วย

   ​​​​ส่วนบางคน...ก็แค่ผ่านพ้นมันไปตามลำพัง

   ​​​​ผมคงเป็นประเภทหลัง ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้าใกล้เพราะกลัวว่าเขาจะติดเชื้อโรคจากตัวเองไปจนป่วยเข้า แถมยังกลัวว่าจะไปเป็นภาระของคนที่เฝ้า หรือคนที่ดูแล

   ​​​​ทั้งๆที่ปฏิเสธอีกฝ่ายไปแล้วแท้ๆ
   ​​​​แต่ม่านกลับยังดื้อรั้นที่จะทำตามใจตัวเอง

   ​​​​(เดี๋ยวเค้าแวะไป) ปลายสายโทรมาทันทีที่เห็นผมตอบ ประโยคแรกที่ทักทายคือการบอกว่าจะเข้ามาที่ห้องเพื่อดูอาการคนป่วย
   ​​​​“กูไหวจริงๆ”
   ​​​​(รู้แล้วครับว่าไหว แต่แค่อยากจะเข้าไปหาเฉยๆ) เขายังยืนยันคำเดิมจนผมต้องถอนหายใจ
   ​​​​“อืม”
   ​​​​(ผา)
   ​​​​“อยากมาก็มา”

   ​​​​คนอายุน้อยกว่าเงียบไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ที่เรียกชื่อเมื่อสักครู่ก็ไม่ได้มีน้ำเสียงขี้เล่นแบบเดิม

   ​​​​(ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะ)

   ​​​​เจ้าตัวทิ้งท้ายและวางสายไปก่อน เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยรีบตรงดิ่งไปล้างหน้าและจัดการตัวเองอีกหนึ่งรอบ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เพราะชุดเดิมมันเป็นชุดนอนยับยู่ยี่ไม่พร้อมรับแขกที่จะมาถึง

   ​​​​ยี่สิบนาทีต่อมาประตูห้องก็ถูกเคาะจนเกิดเสียงดังสามครั้ง ผมไม่ได้ตะโกนตอบรับ ปล่อยให้เสียงเคาะชุดนั้นดังขึ้นอีกรอบก่อนจะเปิดประตูให้ผู้บุกรุกได้เดินเข้ามา

   ​​​​คนตัวสูงขมวดคิ้วเมื่อมองเห็นสภาพผมที่ดูไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร แต่จังหวะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับก็เข้าประชิดพร้อมกับอังหลังมือไว้บนหน้าผากอย่างรวดเร็ว

   ​​​​“ตัวร้อนจี๋เลยเนี่ย” เขาพูด แถมยังแอบดุส่งท้าย “ไหนบอกว่าไหวไง”
   ​​​​“ไหว...อืออ”

   ​​​​เพราะการขยับตัวที่มากเกินไปทำให้ผมต้องครางออกมา คล้ายกับว่ามีบางอย่างแล่นตรงขึ้นยังศีรษะ ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ที่มีอานุภาพทำลายล้างมากพอจนต้องเอนไหวเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมพยายามใช้มือปิดใบหน้าเมื่อหลับตาลงเรียกสติ แต่ม่านก็รีบเข้าประคองทันที ก่อนจะพาไปนั่งยังโซฟาแล้วลูบไหล่แผ่วเบา

   ​​​​“ไม่ไหวก็บอกไม่ไหวสิ” เขาพูดในจังหวะที่ผมถอนหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ลืมตาแล้วพบว่าเจ้าตัวนั่งอยู่ด้านข้างไม่ห่างจากตัวเอง

   ​​​​“...”
   ​​​​“ให้เค้าดูแลบ้างก็ได้ แค่นี้ไม่ลำบากอะไรซะหน่อย”

   ​​​​ผมจ้องมองคนที่ยังไม่ละไปไหน เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวถือถุงมากมายติดตัวมาด้วย ในนั้นคงจะเป็นมื้อเย็นที่เขาซื้อมาให้และดูเหมือนจะเลือกแต่เมนูง่ายๆที่คนป่วยพอจะทานได้ในเวลาแบบนี้

   ​​​​“ถ้าติดกูแล้วมาว่าจะต่อยให้”
   ​​​​“ยอมให้ติดเลย”
   ​​​​“อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”
   ​​​​“ดีออก ถ้าเค้าไม่สบายเธอต้องไปเฝ้าบ้าง จะให้เธอรับผิดชอบ”
   ​​​​“ปล่อยให้นอนหงอคนเดียวนั่นแหละ”

   ​​​​ม่านหัวเราะร่า กลับมานั่งตามเดิมเมื่อเห็นว่าผมเริ่มไม่เป็นอะไรมาก เจ้าตัวชูของในมือเด่นหราพร้อมกับถามความเห็นที่เหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆ

   ​​​​“ทานเลยไหม เธอจะได้กินยา”
   ​​​​“มีอะไรบ้างอ่ะ?” ผมถาม ชะโงกมองเล็กน้อย
   ​​​​“ข้าวต้ม ปลาทอด ผัดผัก ต้มจืด แล้วก็ยำอกไก่” เขาหมุนถุงไปมา ชี้แจงแต่ละอย่างช้าๆ พร้อมกับหันมาอีกรอบ
   ​​​​“มีแต่ของจืดๆนะ ไม่อยากให้คนป่วยทานรสจัด”
   ​​​​“อือ”
   ​​​​“ให้เค้าไปใส่จานเลยไหม?”
   ​​​​“เอาสิ”

   ​​​​ผมขอเห็นแก่ตัวจากการนั่งนิ่งเพราะตัวเองไม่น่าจะไหว คิดว่าม่านก็คงเข้าใจและก็ไม่อยากให้เข้าไปช่วย ยังไงเขาก็ชอบที่จะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว และยิ่งเป็นการจัดการที่ทำเพื่อผมม่านก็คงยอมทำโดยไม่เรียกร้องอะไรกลับ ดังนั้นผมเลยนั่งเงียบๆ แล้วพิงศีรษะไปด้านหลังเพื่อพักผ่อนเสียแทน

   ​​​​เสียงกุกกักดังตามมาตลอด มองเห็นเขาวุ่นหยิบจับของไปมาผ่านทางหน้าประตู เจ้าตัวยังอยู่ในชุดนักศึกษา แขนเสื้อจึงถูกพับขึ้นทั้งสองข้างแบบที่เห็นประจำ ชายเสื้อถูกปล่อยให้ตกหล่นตามแรงโน้มถ่วงจนหลุดลุ่ย คงเพราะสถานศึกษาไม่ได้บังคับการแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบอย่างเคร่งครัดเราเลยลดหย่อนกฎพวกนั้นเสียเอง

   ​​​​ไม่นานที่เขาหายลับไปในครัว ม่านก็กลับมาพร้อมกับนำจานมาวางไว้ยังโต๊ะกลางด้านหน้า ความสูงระดับเข่าของมันทำให้ต้องลงไปนั่งกับพื้นด้านล่างเพื่อให้ทานได้อย่างสะดวก คนตัวสูงเดินไปมาสองสามรอบ กับข้าวทั้งหมดก็พร้อมที่จะถูกรับประทาน

   ​​​​“ของมึงล่ะ?” ยังไม่ทันที่จะได้เริ่ม ผมก็ท้วงถึงมื้อเย็นของเขาบ้าง
   ​​​​“เค้าซื้อมาแล้ว แต่ยังไม่ค่อยหิว”

   ​​​​เพราะเจ้าตัวปฏิเสธเลยไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก หยิบช้อนส้อมขึ้นตักอาหารแล้วทานมันทันที ม่านขยับตัวออกไปเล็กน้อย คงไม่อยากจ้องมองกลัวว่าทำแบบนั้นแล้วผมจะอึดอัด เขาเลยหยิบโทรศัพท์แล้วหันหน้าไปทางอื่นแทนในตอนที่เฝ้ารอ แต่ก็ไม่วายที่จะแอบชำเลืองกลับมาบ้างบางคราว

   ​​​​ดูเหมือนกับข้าวพวกนี้จะเยอะเกินไปสำหรับผมแค่เพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าต้องชวนอีกคนมาทานด้วยไหม ถึงแม้จะรู้สึกเกรงใจแต่ก็กลัวว่าเขาจะติดไข้ผมด้วย สุดท้ายก็ได้แต่นั่งทานไปเงียบๆเพราะม่านก็ปฏิเสธและบอกเหตุผลว่ายังไม่หิว

   ​​​​เมื่อทานเสร็จยาก็ถูกยื่นให้พร้อมกับน้ำแก้วหนึ่ง ผมรับมันมาแล้วรีบกลืนลงท้อง ถึงจะยากลำบากสักนิดหน่อยด้วยปริมาณแต่สุดท้ายก็จัดการมันเรียบร้อยแต่โดยดี ม่านไล่ให้ผมไปพักผ่อน ส่วนเจ้าตัวก็เก็บกวาดของบนโต๊ะให้สะอาด

   ​​​​“แหนะๆ ไปเลย ไปนอนเลย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ผา เค้าทำเอง”
   ​​​​“เดี๋ยวกูช่วย”

   ​​​​เมื่อไม่อยากรบกวนเขามากเกินไปผมเลยตัดสินใจที่จะอยู่ช่วย ม่านพยายามแย่งจานในมือแต่ก็ยังไม่กล้าลงแรงกับผมมากนัก ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นดื้อดึงแล้วเดินไปยังห้องครัว

   ​​​​“จนได้นะเธออ่ะ”

   ​​​​เสียงเขาบ่นออดแอดตามมา เพราะรู้หรอกว่าเจ้าตัวไม่ได้เก่งเรื่องพรรค์นี้มากเท่าไหร่ ก็แค่ผู้ชายห้าวๆคนหนึ่งที่อยากทำให้แต่ก็ไม่ได้ถนัดนัก เศษขยะและความวุ่นวายขนาดย่อมจึงเผยให้เห็นอยู่เป็นบางจุด เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยยื่นมือเข้าช่วยและจัดการทุกอย่างจนมันสะอาดหมดจด

   ​​​​“นี่” ม่านเอ่ยเรียกในตอนที่ล้างมือ ยังไม่หันกลับแม้จะพูดต่อ “เค้าอยู่เฝ้าเธอคืนนี้ได้ไหม?”

   ​​​​ถ้าโอกาสที่ผมจะตอบรับเขากลับคือ 100 ม่านคงจะตั้งตัวเลขของความผิดหวังไว้ที่ 99

   ​​​​เพราะเขาไม่เคยได้รับจากผมน้อยกว่านั้น

   ​​​​การถามกลับไปว่าเฝ้าทำไมอาจจะดูใจร้ายไปเสียหน่อย แต่ผมแค่ต้องการเหตุผลรองรับการกระทำของอีกฝ่าย อยากจะรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำทุกอย่างเพราะคนเห็นแก่ตัวแบบผมนั้นไม่สามารถเข้าใจ

   ​​​​แต่ผมก็เก็บคำถามนั้นเอาไว้
   ​​​​และพิจารณาคำพูดเสียใหม่— เพื่อเป็นการไม่ทำร้ายม่านจนเกินไปแบบที่เคยทำ

   ​​​​“จะอยู่หรอ?”

   ​​​​เขานิ่ง ถอนหายใจก่อนตอบ

   ​​​​“อยากอยู่ครับ แต่ถ้าเธอไม่ให้อยู่ก็ไม่เป็นไร เค้าก็เกรงใจที่ขึ้นมาห้องเธอแบบนี้ด้วย”

   ​​​​ความรู้สึกผิดส่งผ่านทางน้ำเสียงและสีหน้า มองเห็นหูและหางตกลู่ของไอ้หมาที่กำลังหงอย

   ​​​​“แล้วจะอาบน้ำยังไง?”
   ​​​​“ว่าจะกลับไปอาบที่ห้องแล้วเดี๋ยวเค้าเข้ามาใหม่”
   ​​​​“...”
   ​​​​“งั้นรอแปบเดียว ไม่นานจริงๆ”

   ​​​​ยังไม่ทันได้ตอบตกลงเจ้าตัวก็รีบทึกทักไปเอง ม่านทำเหมือนจะปล่อยผ่านหัวข้อสนทนาไปเสียดื้อๆทั้งที่เรายังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ปล่อยไปเพราะยังไงคำตอบก็ไม่น่าจะต่าง

   ​​​​นั่นคือการที่ผมยอมให้ม่านอยู่เฝ้าในวันที่เขาอยากอยู่

   ​​​​“ม่าน” ผมรั้งเขาเอาไว้ ยื่นบางอย่างไปให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้อง “นี่กุญแจห้อง เปิดเข้ามาเองได้ใช่ป่ะ?”
   ​​​​“ครับ”
   ​​​​“เผื่อกูลุกไม่ไหว”

   ​​​​เหตุผลถูกเอ่ยออกไป ก่อนที่เขาจะลาจากด้วยรอยยิ้มเช่นเคย

   ​​​​“ไปนอนได้แล้ว”

   ​​​​ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องจัดการธุระตัวเองให้เสร็จ ผมเองก็เช่นกัน การอาบน้ำเลยเกิดขึ้นหลังจากนั่งพักอยู่ไม่กี่นาที ถึงแม้สายน้ำจะช่วยทำให้สดชื่นได้บ้างแต่ถึงอย่างนั้นอาการป่วยก็ยังคงอยู่ ผมเลยรีบเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนจะกลับไปนอนตามเดิม

   ​​​​ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ม่านออกไปจากห้อง ทุกอย่างกลับมาเงียบเชียบ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่ตัวเองต้องการสักเท่าไหร่

   ​​​​อาจเพราะการที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ มันทำให้โลกทั้งใบเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด

   ​​​​ผมรู้ตัวอีกทีตอนที่เกือบจะผล็อยหลับอยู่รอมร่อ จากเสียงเปิดประตูที่บอกว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา ม่านอยู่ในชุดลำลองดูใส่สบาย ชะโงกหน้าเข้ามาในห้องเพื่อสำรวจ ถึงจะตื่นเต็มตาแต่ผมก็แสร้งทำเป็นหลับ เจ้าตัวเลยเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อทานอาหารค่ำของตัวเอง

   ​​​​เสียงที่ดังลอดผ่านเข้ามายังมีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ผมนอนนิ่ง สายตาจ้องมองไปด้านหน้าเพื่อขบคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ถึงจะอยากนอนแต่ก็นอนไม่หลับ จนกว่าสักพักที่แขกเดินเข้ามาแล้วพบว่าผมตื่นเป็นที่เรียบร้อย

   ​​​​“ตื่นแล้วหรอ?”

   ​​​​เขาถาม มือซ้ายกำแน่นไว้กับโทรศัพท์ ส่วนมืออีกข้างถือหนังสือหนึ่งเล่ม

   ​​​​เป็นหนังสือเล่มสีน้ำเงินปนน้ำตาลค่อนไปทางสีหม่น มีชื่อเรื่องเด่นหราพร้อมกับชื่อคนแต่งที่อยู่ด้านใต้

   ​​​​“ไข้ลดบ้างรึยัง?”

   ​​​​คนอายุน้อยกว่าทิ้งตัวลงยังขอบเตียง ใช้หลังมือทาบทับหน้าผากผมอีกรอบ อังมือจนรับรู้ถึงไออุ่นก่อนจะอมยิ้มเมื่อละมันออก

   ​​​​“คนป่วยนอนซึมเลยเนี่ย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“จะนอนต่อใช่ไหม?”

   ​​​​ผมพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบ มองเห็นเขายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นสูงให้มันคลุมตัวผมได้มากกว่าเก่า

   ​​​​“โอเค”

   ​​​​แต่เมื่อพยายามหลับตาลงเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถหลับได้แบบที่ใจต้องการ ม่านเดินไปหรี่ไฟจนสลัว ไม่ได้ปิดมันจนห้องมืด ปล่อยให้แสงเพียงน้อยนิดนำทางผมเข้าสู่ราตรีที่ยาวนาน เขาทิ้งตัวลงแล้วใช้แผ่นหลังกว้างพิงเข้าข้างเตียง บริเวณที่ผมหันไปแล้วจะเจอเจ้าตัวอยู่พอดี

   ​​​​โคมไฟดวงเล็กถูกใช้งานให้ความสว่างแก่คนอ่านหนังสือ
   ​​​​เขาเสยผมขึ้น ตั้งใจอ่านหน้ากระดาษที่อยู่ในมือด้วยความเงียบเชียบ

   ​​​​“ม่าน” เสียงผมแหบพร่า ไออุ่นจากลมหายใจลอยกรุ่นสะท้อนกระทบใบหน้ายามที่พูด
   ​​​​“หืม ครับ?” คนโดนเรียกหันมาเล็กน้อย
   ​​​​“อ่านอะไรอยู่หรอ?”

   ​​​​คิ้วหนาเลิกขึ้น ก่อนที่เขาจะชูหนังสือที่อยู่ในมือแล้วเอ่ยตอบ

   ​​​​“หนังสือของมุราคามิ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เรื่องการปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก”

   ​​​​จากปฏิกิริยาของคนป่วยทำให้เขารู้ว่าผมไม่น่าจะเคยอ่าน เพราะนอกจากผมจะขยับเปลี่ยนท่าให้นอนได้สบายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

   ​​​​“เรื่องเป็นยังไง?”
   ​​​​“อืมม...จะพูดยังไงดี” ม่านหัวเราะเบาๆ “เหมือนเล่าชีวิตของชายคนหนึ่งที่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ยังโหยหาบางอย่างที่จะมาเติมเต็มตัวเองอยู่ตลอดแบบนี้ล่ะมั้ง...อันที่จริงเค้าก็อ่านจบไปรอบนึงแล้วแหละ แต่ไม่รู้ทำไมอยากอ่านอีก เลยหยิบมาก่อนออกจากห้อง”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แล้วเธอไม่นอนต่อหรอ? ไหนบอกง่วงไง?” คำถามส่งมา ผมสบตาเขาตอนที่บอกเหตุผล
   ​​​​“นอนไม่หลับ”

   ​​​​เหมือนเจ้าตัวใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงหันกลับมาแล้วบอกความต้องการให้ฟังและผมก็ไม่ได้ขัดอะไร

   ​​​​“งั้นจะอ่านให้ฟังกล่อมเธอนอน”

   ​​​​ม่านพูดอย่างอารมณ์ดี ขยับมาเล็กน้อยให้ตัวเขาอยู่ใกล้ผมอีกหน่อย

   ​​​​“เหมือนกล่อมเด็กเลยเนาะ”
   ​​​​ปัก!
   ​​​​“ฮ่าๆ”
   ​​​​“กูโตแล้ว”

   ​​​​แม้จะมีกำปั้นส่งตรงไปยังกลางกลุ่มผมเจ้าตัวก็ยังไม่หยุดหัวเราะ เขาลูบแผลตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเริ่มพลิกกระดาษไปยังหน้าที่คั่นเอาไว้

   ​​​​“...ผู้หญิงที่สวยตามแบบฉบับมักไม่ปลุกเร้าผม บางครั้งเวลาเดินไปตามถนน เพื่อนจะเอาศอกถองผมแล้วบอกว่า ‘โอ้โฮ ดูสาวนั้นสิ บึ้บบั้บเว้ย’ แต่แปลก ผมจำไม่ได้เลยว่าอะไรแบบนี้กระตุ้นผมได้ พวกนักแสดงหรือนางแบบสวยๆ ก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มัน...เป็น..อย่างนั้น...”

​​​​​​​​   ​​​​เสียงเขาตะกุกตะกักไปพักหนึ่ง ก่อนม่านจะเริ่มอ่านต่อ

   ​​​​“...สำหรับผม เส้นแบ่งโลกจริงกับโลกแห่งความฝันมักเลือนรางเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่เสน่หาอันทรงอำนาจดึงดูดผม แม้ในช่วงต้นวัยรุ่น แค่ใบหน้าสวยๆ ยังไม่พอจะทำให้...ผมเครื่อง...ติด...”

   ​​​​คราวนี้เขาหันมามอง อาจเพราะมือผมที่สัมผัสเข้ากับศีรษะเจ้าตัวอีกรอบ วนม้วนมันเล่นตามอำเภอใจและไม่คิดจะละออก

   ​​​​บวกกับรอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้า บ่งบอกว่าผมกำลังมีความสุขที่เขาอยู่ด้วยกันตอนนี้
   ​​​​ในเวลาแบบนี้
   ​​​​ที่เราสองคนได้อยู่เคียงข้างกันที่นี่

   ​​​​“อ่านต่อสิ”
   ​​​​“อืม”

   ​​​​ม่านเลยยิ้มกลับก่อนจะหันไปอีกทางอย่างอ้อยอิ่ง

   ​​​​“...ผมมักไม่สนใจความสวยงามภายนอกที่ผู้คนมากมายหลงใหล แต่เป็นสิ่งที่อยู่ลึกลงไป บางอย่างเท่านั้น...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...เหมือนคนที่แอบรักพายุฝน แผ่นดินไหว หรือความมืดมน ผมชอบบางสิ่งที่นิยามไม่ได้ ซึ่งมีอยู่ในเพศตรงข้ามเพียงบางคน...”

   ​​​​คราวนี้เขาหยุด แล้วสานมือผมเอาไว้ด้วยมือตัวเองแทน

   ​​​​มันไม่ได้แน่นเหมือนครั้งไหน เป็นสัมผัสหลวมๆที่มอบให้ กดจูบลงไปหนึ่งครั้ง  ก่อนจะวางมันไว้บนไหล่และยังกอบกุมเอาไว้อยู่ตลอด

   ​​​​“...สำหรับผู้ที่ต้องการคำอธิบายที่ดีกว่านี้…”

   ​​​​เรื่องราวยังคงถ่ายทอดผ่าน พร้อมกับรอยยิ้มของผมที่ยังคงอยู่

   ​​​​“...ขอให้เรียกมันว่า พลังดึงดูด...ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่…”



   ​​​​ชอบสิ



   ​​​​“...มันก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง...”




   ​​​ชอบมากๆแล้วมั้งเนี่ย






#ผาเพียงฟ้า

South Of The Border West Of The Sun (การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก)
ของคุณฮารุกิ มุราคามินะคะ

เราชอบพารากราฟนี้มากๆ เลย
ไม่ว่าจะกลับมาอ่านกี่รอบก็ยังชอบเหมือนเดิม
มันหม่นๆ และมีความหมายที่อธิบายผู้ชายคนนึงได้ดีมากๆ

ไม่รู้ว่าทุกคนเคยอ่านไหม แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้ย้อนกลับไปคิดอะไรหลายๆอย่างเลย

ปล.ตอนแรกตอนจบจะตัดเป็นอีกแบบ (อีกแล้ว5555)
แต่ว่ายังเดินทางไปไม่ถึงตอนนั้นดีกว่า

ให้พี่ผาใจเต้นไปเรื่อยๆก่อน ถือว่าไอ้หมาทำสำเร็จไปแล้วอีกหนึ่ง
ฮี่ฮี่ <3

ขอบคุณสำหรับการเข้ามาอ่าน ไลค์ คอมเม้นต์ และแท็กต่างๆ
อาจจะเป็นทอล์คที่ยาวที่สุดของเราแล้วมั้งคะ /เขิน5555

ยังไงก็ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
.จากหัวใจดวงน้อยๆ



หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 6 | rainstroms, earthquakes or blackouts - P.3 (29/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-09-2019 00:08:07
โอ้โหพี่ผา หายป่วยไวไว  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 6 | rainstroms, earthquakes or blackouts - P.3 (29/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-09-2019 14:57:35
เจอแบบม่าน ต่อให้ใจแข็งแค่ใหนก็อ่อนยวบได้เช่นกันน  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 6 | rainstroms, earthquakes or blackouts - P.3 (29/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 30-09-2019 17:23:56
ผา ยอมน้องเค้ามากเลยนะ
ดีค่าาาชอบบบบบฮื่อจะไปหาอ่านบ้าง
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 6 | rainstroms, earthquakes or blackouts - P.3 (29/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 30-09-2019 20:32:19
ขอให้ม่านได้สมหวังเถอะนะ น้องดีขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 6 | rainstroms, earthquakes or blackouts - P.3 (29/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 07-10-2019 20:11:29


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


17

maybe I miss you



_________


but I'll never let you know


_________




   ​​​​“เดี๋ยวมึงมีคุยกับอาจารย์ต่อหรอ?”

   ​​​​หลังออกจากลิฟต์โดยสารขนาดเล็กที่มีคนอัดแน่น นาวาก็รีบเดินเข้ามาเคียงข้างพร้อมกับถามคำถามที่มันเก็บเอาไว้ด้วยสีหน้าสงสัย

   ​​​​“อืม นัดวันนี้อีกละ”

   ​​​​“คุยเรื่องไรอีกอ่ะ เห็นวันก่อนก็เพิ่งนัดไป?”

   ​​​​“เรื่องประเมินรอบแรกเนี่ยแหละ ต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง แกกลัวพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ”

   ​​​​ผมแจกแจงคร่าวๆ ให้เพื่อนเข้าใจโดยง่าย เห็นมันยังมีสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก จนเราเดินมาถึงโต๊ะไม้ที่เรียงรายกลางโถงกว้างของตึกเรียน วางกระเป๋าและสัมภาระอื่นๆไว้บนนั้น ไอ้ตินที่เดินตามมาติดๆก็เอ่ยถามผมบ้างหลังจากเงียบไปนานพอตัว

   ​​​​“มึงประเมินวันไหนหรอ?”

   ​​​​“จันทร์หน้า”

   ​​​​“ใครเป็นกรรมการบ้างวะ?”

   ​​​​นิ่งไปสักครู่เพื่อคิด ก่อนจะตอบเมื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้นึกผิดแต่อย่างใด “อาจารย์ปวี แล้วก็อาจารย์สุชาติ”

   ​​​​“โห เจอสุชาติ” คราวนี้เนิร์ดไม่จริงทำหน้าเหมือนสิ้นหวัง เหตุเพราะทราบว่าบุคคลที่กล่าวถึงนั้นมีสรรพนามเรื่องความโหดแค่ไหน

   ​​​​“นั่นดิ กูก็เสียวๆอยู่เหมือนกัน” ผมบอกออกไปตามตรง ไม่ใช่ว่าตัวเองจะไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านนี้มีฉายาเลื่องลือ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเห็นดีเห็นงามว่าเขาจะให้คำแนะนำและการติชมที่ดีที่สุดมันเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะอยากเลี่ยงแค่ไหนก็คงเลี่ยงไม่พ้น

   ​​​​เพราะสุดท้ายคนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับงานวิจัยของผมก็เป็นแกอยู่ดี

   ​​​​ช่วงนี้ผมเลยต้องเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ค่อยได้พักผ่อนเสียเท่าไหร่ แลกกับการไม่โดนตำหนิและไม่ต้องแก้งานตามมาก็ถือว่าคุ้มอยู่ไม่น้อย ถึงแม้บางครั้งจะกลับถึงห้องแล้วผล็อยหลับไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว น้ำก็ไม่ได้อาบ ข้าวเย็นก็ไม่ได้ทาน ตื่นมาอีกครั้งตีสองบ้างตีสามบ้าง บางครั้งยาวนานจนถึงเช้า ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ต้องอดทนให้มันผ่านพ้นไปให้ได้

   ​​​​เพื่อนทั้งสองคนแยกตัวออกไปซื้อขนมขบเคี้ยวเพื่อรอเพื่อนคนอื่นๆ หลังจากที่เราเรียนเสร็จ สมาชิกกลุ่มอีกสามคนก็ออกไปทำธุระของตัวเองเหมือนกัน บ้างก็ไปหารุ่นน้อง บ้างก็ไปเอาเอกสารยังห้องประจำภาควิชา เราเลยตกลงกันว่าจะมาเจอใต้คณะอย่างเคย

   ​​​​อาจเพราะคาบเรียนวิชาสุดท้ายอาจารย์ปล่อยช้านิดหน่อยโถงกว้างเลยมีคนบางตาไม่เหมือนเวลาอื่น มีนักศึกษาสองสามคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกล นอกจากนั้นก็แทบไม่มีใครที่อยู่บริเวณนี้

   ​​​​“กินป่ะ?” ไอ้ตินยื่นไส้กรอกที่ซื้อมาด้านหน้า เมื่อสบตาอ่านความคิดก็อ้าปากรับเพราะรู้ว่ามันคงจะป้อน ผมงับไปคำเล็กๆ ก่อนจะเคี้ยวของว่างอย่างเอร็ดอร่อย หันไปมองร้านค้าที่กำลังจะปิดก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปซื้อของตัวเองเสียแทน ทั้งๆที่ในตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะหิว

   ​​​​ไส้กรอก ลูกชิ้น และน้ำอัดลมถูกอุดหนุนจากนักศึกษาปีสี่ แอบเกรงใจคุณป้าเล็กน้อยที่ไปซื้อตอนจะปิดร้านแต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมเดินกลับไปยังที่เก่า มองเห็นเพื่อนเริ่มตามมาหลังจากเสร็จธุระกันบ้างแล้ว

   ​​​​“ขอคำดิ” เมื่อไอ้เหนือเห็นของในมือก็เอ่ยถาม อันที่จริงผมตั้งใจจะหยิบยื่นป้อนมันแล้วด้วยซ้ำแต่บังเอิญว่าเจ้าตัวขอร้องเสียก่อน

   ​​​​“สองคนนั้นล่ะ”
   ​​​​“ไอ้ฮั่นบอกให้กลับก่อน ส่วนปัทถ์เข้าห้องน้ำอยู่”
   ​​​​“มึงคุยนานป่ะ จะให้พวกกูอยู่รอหรือยังไง?” คราวนี้นาวาแทรกขึ้น เท้าแขนไปด้านหลังทั้งสองข้าง

   ​​​​“กลับก่อนเลย คงนานอ่ะ กูเดาอารมณ์อาจารย์ไม่ค่อยได้ด้วย วันไหนยิ้มแย้มมาก็คุยไวมาก วันไหนเครียดๆหน่อยก็หนักเหมือนกัน”
   ​​​​“มึงจะอยู่รอข้างล่างหรอ?”
   ​​​​“กูคงขึ้นไปรอห้องอาจารย์ เดี๋ยวแกเสร็จธุระแล้วจะมาหา”
   ​​​​“อ่อ”

   ​​​​เหนือพยักหน้า ก่อนจะบอกลาพร้อมกับนาวาและไอ้ตินที่ลุกขึ้นพร้อมจากไป

   ​​​​“กลับดีๆล่ะมึง”
   ​​​​“กูเอารถมา เดี๋ยวก็ขับกลับ”
   ​​​​“เจอน้องดาวฝากบอกว่าพี่นาวาคิดถึงมากกก” อีกฝ่ายพูดถึงนักศึกษาสาวที่เขามักจะเจอประจำ อาจเพราะเรามีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันเลยทำให้พบปะกันบ่อย
   ​​​​“อย่าหน้าม่อให้มากนาวา สงสารคนที่จีบมึงบ้าง” ผมเย้ยหยัน มันคงคิดไม่ถึงว่าผมจะรู้เรื่องสุดลึกลับที่มันพยายามปิดเอาไว้ เจ้าตัวเลยทำหน้าเหวอแล้วมองคนอื่นๆเพื่อดูปฏิกิริยา

   ​​​​ไอ้เหนือขมวดคิ้ว ไม่ต่างจากไอ้ปัทถ์ที่เพิ่งเดินมาถึงแล้วมีความสงสัยเหมือนกัน ส่วนอีกหนึ่งคนนั้น...มันยังมีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม

   ​​​​แต่ใครจะรู้ว่าไอ้ตินน่ะรู้ดีกว่าคนอื่นเสียอีก ไอ้นี่มันร้าย ทำเป็นเงียบเข้าไว้แต่ความจริงก็ใช่ว่าจะไม่สนใจอะไรรอบตัว

   ​​​​“ยังไงๆๆ”
   ​​​​“มันแอบอุบอิบนี่หว่า”
   ​​​​แก๊งสามเสือเริ่มระแคะระคายกันเองอย่างหนัก เมื่อเนิร์ดไม่จริงทำอะไรไม่ได้เจ้าตัวจึงหันมาโยกหัวผมไปมา ผมหัวเราะเมื่อสามารถเล่นงานมันได้อย่างที่ใจคิด ก่อนที่พวกมันทั้งสี่คนจะบอกลาแล้วเดินออกไปปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทน

   ​​​​เอกสารงานทั้งหมดถูกตรวจตราอีกหนึ่งรอบพร้อมกับอาการหาว ดูเหมือนกาแฟที่กินไปเมื่อตอนเช้าจะหมดฤทธิ์ลงไปก่อน ตอนนี้ผมเลยง่วงจนตาปรือ เมื่อเช็กความเรียบร้อยทั้งหมดเป็นที่แล้วเสร็จจึงหอบร่างตัวเองขึ้นมายังชั้นบนของอาคาร ยามรักษาความปลอดภัยยิ้มให้เมื่อเราสบตากันในจังหวะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดีเมื่อช่วงนี้เราเจอกันบ่อย ผมพยักหน้ารับหนึ่งครั้ง เดินเลี้ยวขวาตรงหัวมุมแล้วก้าวเข้าไปนั่งในห้องรับรองขนาดเล็ก

   ​​​​เพราะอุณหภูมิของแอร์ที่เย็นฉ่ำทำให้ผมเกือบหลับอยู่รอมร่อ ครั้นจะตัดสินใจฟุบลงไปกับโต๊ะก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนพร้อมกับชายวัยกลางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

   ​​​​“ไงคุณทิวา”
   ​​​​“ครับ”

   ​​​​อาจารย์ที่ปรึกษาหรือที่ผมเรียกเขาว่าอาจารย์กฤษกล่าวทักทาย วันนี้เจ้าตัวยิ้มแย้มแจ่มใสนั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยวันนี้ผมก็อาจจะไม่โดนหนักหน่วงแบบวันอื่นๆ

   ​​​​“Proposal เสร็จหมดแล้วรึยังล่ะ?”
   ​​​​“เสร็จแล้วครับ แต่สไลด์ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ คงจะให้อาจารย์ช่วยดูอีกรอบ”
   ​​​​“อ่ะ ว่ามาสิ”

   ​​​​อีกฝ่ายนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเมื่อผมเริ่มใช้งานโน้ตบุ้คที่ถือมาด้วย หมุนหน้าจอไปทางเจ้าตัวเล็กน้อยก่อนจะไล่เรียงแล้วอธิบายไปตามความเข้าใจ

   ​​​​“ย่อหน้านี้เพิ่มเนื้อหาเข้าไปหน่อยนะ— อ่า— ตรงนี้โอเคแล้ว ดีมาก กระชับอ่านแล้วเข้าใจ— ส่วนพาร์ทนี้ผมขอข้อมูลตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ไหม”
   ​​​​“ได้ครับ”
   ​​​​“หรือคุณจะทำเป็นกราฟให้พอเห็นภาพก็ได้ ใส่ลงไปในสไลด์ที่จะอธิบายเลยนะ”
   ​​​​“ครับ แทรกตรงนี้เลยใช่ไหมครับ”
   ​​​​“ใช่ๆ ด้านข้างเป็นรูปภาพสองสามรูปก็ดี”
   ​​​​“ครับอาจารย์”

   ​​​​ผมลอบมองใบหน้าของคนอายุมากกว่าที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นตา มีหลายครั้งที่อาจารย์นิ่งคิดไปนาน คล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบและเลื่อนข้อความบนหน้าจอเสียเอง

   ​​​​“อืมม ผมว่าไม่น่าจะมีอะไรแก้ไขเพิ่มเติมแล้วนะ”
   ​​​​“ขอบคุณครับ”

   ​​​​เมื่อเนื้อหาคร่าวๆถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกคนก็พูดออกมา ดึงแว่นตาที่สวมใส่ออกให้มันตกหล่นโดยที่ยังมีสายรั้งไว้ยังลำคอ

   ​​​​“แล้ววิจัยที่ผมสั่งให้ไปอ่านถึงไหนแล้วล่ะ อ่านจบหรือยัง?”
   ​​​​“ยังเลยครับ แต่อ่านไปได้เกินครึ่งเล่มแล้ว”
   ​​​​“พอจะเข้าใจไหม?”
   ​​​​“ก็เข้าใจครับ แต่บางจุดก็มีคำถามเหมือนกัน”
   ​​​​“ตรงไหนล่ะ?”

   ​​​​การคุยงานของเราล่วงเข้าชั่วโมงที่สามโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาจเพราะเนื้อหาที่ผ่านพ้นไม่สามารถล่วงเลยจุดไหนไปได้ รวมถึงการคุยโทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด กว่าผมจะได้กลับห้องก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแทบจะพอดี อาหารเย็นของผมเลยตกอยู่ที่ข้าวไข่เจียวง่ายๆ ซื้อมาจากร้านใต้หอที่ยังเปิดไฟสว่างจ้าและรับลูกค้าแทบจะทั้งคืน ผมรีบทานมันจนหมด ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยโดยไม่ได้อาบน้ำอีกเช่นเคยแบบวันก่อนๆ

   ​​​​โชคดีที่ในตอนเช้าไอ้ฮั่นมักจะโทรมาปลุกอยู่ตลอด ทำให้ผมที่ไม่ได้ตั้งนาฬิกาเอาไว้ตื่นไปเรียนได้โดยไม่ต้องกังวล

   ​​​​(จะนอนต่อป่ะ?) มันถาม เพราะรู้ว่าผมมักจะขอเวลาสักพักที่จะตื่นเต็มตัว
   ​​​​“ไม่ละ ตื่นแล้ว”
   ​​​​(เออเคๆ)
   ​​​​“มึง” ผมรีบเรียกเขาไว้ก่อนวางสาย
   ​​​​(ว่า?)
   ​​​​“วันนี้ไปด้วยดิ ขี้เกียจขับรถไป”
   ​​​​(รับหน้าหอนะ)
   ​​​​“ตามสะดวกเลย”
   ​​​​(เสร็จแล้วโทรมา)
   ​​​​“อืม คงอีกยี่สิบนาที”

   ​​​​เมื่อตกลงกันเรียบร้อยผมจึงรีบชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด ชะล้างความสกปรกที่สะสมแล้วเลือกสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ ฉีดน้ำหอมสองสามทีก่อนจะเหลือบมองเวลาที่เหมาะสม จากนั้นก็หยิบสัมภาระที่จำเป็นโดยที่ไม่ได้กดเข้าดูแจ้งเตือนจากในโทรศัพท์เพราะกำลังรีบ จนกว่าจะถึงชั้นล่างที่ผมรู้ว่าไอ้ฮั่นส่งข้อความมาบอกว่ามันพร้อมจะออกเหมือนกัน

   ​​​​Pha : โอเค กูมารอละ

   ​​​​ผมส่งกลับ แต่กลับกลายเป็นว่าข้อความตัวเองส่งไปไม่ถึง
   ​​​​
   ​​​​จากตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีแดงตัวเล็กที่ขึ้นยังมุมด้านหนึ่งบนหน้าจอ

   ​​​​failed.

   ​​​​อะไรกัน?
   ​​​​ทำไมมันส่งไปไม่ได้

   ​​​​ผมลองส่งซ้ำไปอีกรอบแต่ทุกอย่างก็เป็นแบบเดิม เพราะความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้ต้องรีบหาสาเหตุ จนกว่าจะสังเกตถึงขีดสัญญาณที่มันหายไปและนึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าจะลืมไปเสียสนิท

   ​​​​นั่นคือการจ่ายค่าโทรศัพท์ที่ยังค้างยอดเอาไว้เกือบสองเดือน

   ​​​​แถมยังได้รับแจ้งเตือนระงับสัญญาณมาก่อนล่วงหน้าเสียด้วย

   ​​​​และตอนนี้โทรศัพท์ผมก็ไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อีกแล้ว

   ​​​​(มึงเสร็จยังเนี่ย นานจังวะ) เสียงปลายสายดูหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อรอข่าวคราวจากผมเอง
   ​​​​“โทษทีๆ โทรศัพท์กูโดนตัดเน็ตเลยส่งไลน์ไปไม่ได้”
   ​​​​(สรุปอยู่ไหน?)
   ​​​​“ลงมารอที่เดิมนานแล้ว)
   ​​​​(อืมๆ ออกละ)

   ​​​​เสียงผมอ่อยลงรองรับอารมณ์ของไอ้ฮั่น รู้ว่ามันไม่ใช่ความตั้งใจของตัวเองแต่ก็อดรู้สึกผิดกับเพื่อนไม่ได้ เมื่อขึ้นรถเจ้าตัวไปก็ได้แต่เงียบ

   ​​​​ผมเงียบ มันก็เงียบ เป็นอีกครั้งที่บรรยากาศระหว่างเราเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

   ​​​​“กูขอโทษ” เหลือบมองมันเล็กน้อย ถึงแม้แอบกลัวว่าจะโดนอารมณ์คุกรุ่นเล่นงานเข้าอีกรอบ
   ​​​​“เออน่า”

   ​​​​ดูเหมือนมันจะรู้ว่าตัวเองก็หงุดหงิดเลยพยายามเลี่ยงการพูดคุยกันไปสักครู่ สักพักฮั่นก็ถามกลับพร้อมกับน้ำเสียงที่ปกติดังเดิม

   ​​​​“ไม่ไปจ่ายตังวะ”
   ​​​​“ตังหมดพอดีอ่ะดิ พ่อยังไม่โอนมาเลย” ผมตอบ ชะงักไปเล็กน้อยไม่ต่างจากมันเอง

   ​​​​คงเข้าใจแหละมั้งว่าทำไม

   ​​​​“ยืมกูก่อนมั้ยล่ะ?”
   ​​​​“ไม่เป็นไร เดี๋ยวโทรไปขออีกรอบก็ได้”
   ​​​​“ยืมได้ กูรวยไม่รู้หรอ?”
   ​​​​"เบ่งจังงง"

   ​​​​เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อผมมองค้อน มันย้ำชัดเจนอีกรอบว่าให้ยืมเงินไปจ่ายก่อน แต่ยังไงผมก็ปฏิเสธอยู่ดีเพราะไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป ถึงแม้จะสนิทแต่ก็ยังเกรงใจและคิดว่าตัวเองรอได้ไม่รีบร้อน

   ​​​​สุดท้าย ผมก็ต้องทนไม่ใช้โทรศัพท์อยู่ครึ่งค่อนวัน

   ​​​​หลังจากนั้นผมก็ได้รับยอดเงินจำนวนหนึ่งพร้อมกับสายโทรศัพท์ที่สอบถามสารทุกข์สุกดิบของตัวเอง เราคุยกันสัพเพเหระอยู่ชั่วครู่ ไม่ใช้เวลานานจนรู้สึกอึดอัดแบบทุกครั้ง พ่อก็วางสายไปและผมก็รีบใช้ส่วนหนึ่งในเงินก้อนนั้นจ่ายหนี้ที่ยังค้างไว้ในทันที

   ​​​​ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แจ้งเตือนต่างๆเด้งขึ้นก่อน มันรัวเสียจนผมเพิ่งสังเกตว่าอันที่จริงแล้วโทรศัพท์ตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเย็นวันก่อนแล้ว

   ​​​​สงสัยผมเอาแต่ยุ่งจนไม่ทันได้สังเกตอะไรเลยจริงๆ

   ​​​​ผมนั่งดูแจ้งเตือนเหล่านั้นอยู่สักพัก จนมาถึงข้อความของคนๆหนึ่งที่เรามักจะคุยกันตลอด แต่ดูเหมือนรอบนี้จะไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่หายไป

   ​​​​ม่านก็หายไปเหมือนกัน

   ​​​​จากข้อความสุดท้ายที่เจ้าตัวส่งมาเมื่อวาน เป็นสองประโยคสั้นๆ ในเวลาต่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง

16.35 น.
เค้าเลิกแล้ว กำลังจะกลับหอ : AMAN

18.15 น.
เธอกลับตอนไหน วันนี้ไปหาอาจารย์นี่ : AMAN

   ​​​​ม่านจำรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตผมได้ทุกอย่างแม้มันจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ผมบอกมันเพียงแค่ครั้งเดียว เจ้าตัวก็จำได้แม่นแถมยังใส่ใจอยู่เสมอ

   ​​​​แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป

   ​​​​เพราะปกติแล้วถ้าผมหายเขาก็จะตามหรือไม่ก็ต้องถามว่าเป็นอะไร

   ​​​​แต่คราวนี้เขาไม่

   ​​​​ม่านไม่ถาม
   ​​​​และไม่ตามแบบครั้งอื่นๆ

   ​​​​ไม่มีสายเรียกเข้า
   ​​​​ไม่มีข้อความใหม่
   ​​​​ไม่มีแม้แต่คำถามที่ฝากเพื่อนมาถามให้เหมือนเคย

   ​​​​หน้าจอถูกบังคับให้มืดสนิทเพื่อรองรับอารมณ์ของเจ้าของ ผมเลือกที่จะเดินรั้งท้ายกลุ่มเพื่อนเพื่อให้สมองสามารถครุ่นคิดไปถึงใครคนหนึ่งที่รู้สึกคิดถึงเป็นพิเศษ

   ​​​​ทำไมถึงไม่ตามล่ะ

   ​​​​หายไปไหนของเขากันนะ...










#ผาเพียงฟ้า










   ​​​​ผมไม่ใช่คนที่ชอบลองใจ
   ​​​​ไม่ใช่คนที่เลือกจะหายไปเพื่อทดสอบความสัมพันธ์

   ​​​​ผมไม่ใช่คนแบบนั้น

   ​​​​แต่ทำไมเมื่อกลายเป็นผา ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปจนหมด

   ​​​​โทรศัพท์ที่ใช้งานอยู่ถูกปิดลงเพราะรู้ว่ายังไงอีกคนก็ไม่ตอบรับผมกลับมาอยู่ดี ภาพสุดท้ายที่เห็นคือข้อความของตัวเองสองข้อความที่ส่งไป มันอยู่ชิดติดฝั่งซ้าย และเป็นสองข้อความที่ผมกดเข้าไปอ่านมันมานับสิบกว่ารอบ

   ​​​​เพื่อรอผาตอบ

   ​​​​และเพื่อรอดูผลว่าเขาจะรับรู้การหายไปของผมหรือไม่

   ​​​​เป็นการลองใจครั้งใหญ่ที่ผมเอาความสำคัญของตัวเองเป็นสิ่งเดิมพัน ไม่รู้ว่าผลของมันจะออกมาเป็นแบบไหน ถึงจะไม่ชอบใจที่ต้องทำแต่บางทีใจผมมันก็ยอมแพ้ให้กับความอยากรู้

   ​​​​ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่จุดไหนในความสัมพันธ์ครั้งนี้
   ​​​​มากพอที่จะเดินหน้าต่อไปหรือเปล่า
   ​​​​หรือเป็นเพียงแค่จุดหนึ่งในชีวิตเขาและไม่ได้มีค่าอะไรเลย

   ​​​​และคำตอบที่ผมต้องการมันก็ว่าไวกว่าที่ใจคิด

   ​​​​ถึงจะแอบเผื่อใจไว้บ้างว่ามันจะเป็นแบบนั้นแต่สุดท้ายแล้วผมก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้อยู่ดี

   ​​​​ผาหายไปตั้งแต่ตอนเย็น ผมพอจะเข้าใจได้ว่าเขาคงยุ่งกับงานเหมือนวันอื่นๆ พักหลังมานี้เห็นบอกว่าเหนื่อย และบางทีก็หายไปช่วงเย็นๆแบบนี้ทุกที กว่าจะตอบอีกรอบก็เป็นในตอนเช้าที่ผมมักจะทักไปหาเขาอีกรอบ แต่ครั้งนี้ผมลองเลือกที่จะเงียบ

   ​​​​แต่ผาก็เงียบ

   ​​​​ไม่มีข้อความตอบรับ ไม่มีแม้แต่การกดเข้ามาอ่าน
   ​​​​ไม่มีสัญญาณอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวจะสนใจ

   ​​​​ล่วงเลยจนผ่านมาครึ่งวัน เป็นครึ่งวันที่ผมไม่สามารถกักเก็บอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองได้จนแผ่รังสีไปรอบข้าง เพื่อนๆต่างสงสัยและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ มีเพียงไอ้เตที่เอ่ยถามพร้อมกับยกยิ้ม มันคงจะรู้ว่ามีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ได้และสุดท้ายมันก็เดาถูก

   ​​​​“พี่ผาทำอะไรให้อีกล่ะทีนี้”

   ​​​​เจ้าตัวดูชอบอกชอบใจนัก ผมไม่มีอะไรตอบกลับจึงเลือกที่จะเงียบ

   ​​​​ในเมื่อบังคับใครให้ทำตามใจไม่ได้ ผมก็ต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเองเสียแทน

   ​​​​พรึบ!

   ​​​​“จะไปไหน?”
   ​​​​“ดูดบุหรี่”
   ​​​​“แล้วไม่เรียนหรอวะ คาบสุดท้ายแล้วเนี่ย?”
   ​​​​“ฝากลาที”

   ​​​​ผมเดินออกมาแล้วปล่อยให้เพื่อนจัดการเรื่องเรียนเสียแทน ค่อยไปดูชีทที่มันจดเอาแล้วกัน เพราะตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรสักอย่าง

   ​​​​นอกจากปล่อยความคิดบางอย่างให้แล่นไปเงียบๆ

   ​​​​ระเบียงทางฝั่งตะวันตกของตึกเรียนเป็นที่ๆ ผมเลือกจะมา บ่อยครั้งที่พวกเพื่อนมักจะมาสูบบุหรี่กันที่นี่ เพราะไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรผ่านแถมยังเป็นที่ลับตาคน ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งกับคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ไม่ได้ถูกใช้งานแล้วยกก้านสีขาวจรดริมฝีปาก

   ​​​​หมุนฟันเฟืองของไฟแช็กให้ไฟสว่างวาบ

   ​​​​แชะ!

   ​​​​แล้วพ่นควันสีกรุ่นขึ้นบนฟ้า

   ​​​​พลันความทรงจำที่เกี่ยวกับผาก็รีรันจนไม่สามารถหยุดได้อีก

   ​​​​ครั้งแรกที่เราเจอกันคือดาดฟ้าบ้านพี่เหนือ เขาที่เบื่อการดื่มและชายอีกคนที่อยากจะรับลมตอนกลางคืน เราสองคนเลยบังเอิญได้ยืนเคียงข้าง

   ​​​​เขาเป็นคนเงียบๆ มักจะอยู่มุมหนึ่งในวงสนทนาและไม่ค่อยพูด แต่เมื่อไหร่ที่มองไป บางครั้งก็จะเจอรอยยิ้มสว่างไสวจนผมสะดุดตา หลายครั้งที่ผมจะแอบมองเขาอยู่ห่างๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน  ไม่ได้เป็นความรู้สึกชอบ ไม่ได้อยากจะลองเข้าไปทำความรู้จัก

   ​​​​แล้วในคืนนั้น เกิดความบังเอิญขึ้นอีกครั้งที่ผมทำให้รอยยิ้มแสนหวานปรากฏ

   ​​​​มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด คล้ายกับว่ามีผีเสื้อบินว่อนอยู่นานนับหลายนาที คล้ายกับว่าสาเหตุของรอยยิ้มที่มีมันเกิดจากตัวเอง และผมต้องเป็นเจ้าของมันแค่เพียงคนเดียว

   ​​​​ผมคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเข้าหา คอยสอบถามข้อมูลจากรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนผาทีละเล็กทีละน้อย ตอนแรกก็ถูกปฏิเสธมาตลอด แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าผมไม่ได้มีแววล้อเล่นก็มีท่าทีแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด จนกว่าเวลาจะผ่าน และความจริงใจของผมก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ

   ​​​​เพราะผมสนิทกับพวกพี่ฮั่นมานาน พวกเขาก็พอจะรู้แหละมั้งว่าผมเป็นคนยังไง ถึงจะไม่ได้เพอร์เฟคอย่างพระเอกในนิยายแต่ผมก็ไม่เคยทำให้ใครเสียใจจนร้องไห้น้ำตาตก

   ​​​​ผมไม่ใช่คนใจร้าย
   ​​​​แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ชายแสนดี

ผาหายไปไหนอ่ะพี่? : AMAN
ไม่ตอบผมเลย : AMAN
   ​​​​HUNN : เน็ตมันตัดมั้ง แต่ตอนนี้ก็เห็นเล่นได้แล้วนะ

   ​​​​เมื่อทนความคิดถึงไม่ไหวผมเลยสอบถามเพื่อนเจ้าตัวไปจนได้ คู่สนทนาตอบกลับมาทันทีคล้ายกับว่ากำลังเล่นโทรศัพท์ ผมอ่านทวนข้อความเหล่านั้น รับทราบสาเหตุแต่ก็ยังนั่งนิ่ง

   ​​​​เล่นได้แต่ก็ยังไม่ตอบเลยแฮะ

   ​​​​HUNN : ให้บอกมันมั้ยล่ะว่ามึงทักมา?
ไม่ต้องครับๆ : AMAN
   ​​​​HUNN : อ่าว อะไรของมึง5555555

   ​​​​อีกฝ่ายหัวเราะ สุดท้ายผมก็ต้องบอกความตั้งใจที่เก็บไว้ตั้งแต่แรก

ลองดูว่าผาจะทักผมมั้ย : AMAN
   ​​​​HUNN : ลองใจมันก็รู้อยู่ว่าจะเป็นไง

   ​​​​นิ้วเรียวชะงักนิ่ง คนอายุมากกว่าช่างจี้ใจดำซะถูกจุด

   ​​​​
5555555 : AMAN

   ​​​​ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะพิมพ์ต่อ

อย่าบอกเขาแล้วกัน : AMAN
ช่างมันเถอะ : AMAN
เดี๋ยวผมก็ทักไปเอง : AMAN

   ​​​​เครื่องสี่เหลี่ยมถูกปลดล็อกอีกครั้งเพื่อระงับความคุกรุ่นที่อยู่ในอก นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบเอาก้านสีขาวออกห่าง จ้องมองไปยังภาพวิวพระอาทิตย์ตกที่ถูกบดบังโดยควันบุหรี่

   ​​​​กับความจริงที่ว่าตัวเองแทบจะไม่ได้ก้าวเข้าไปในชีวิตอีกฝ่ายมากนัก
   ​​​​ทั้งที่พยายามมานาน

   ​​​​สุดท้ายผมก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจของเขาอยู่ดี

   ​​​​บุหรี่มวนที่สามถูกจุดขึ้นในทันทีหลังจากนั้น ผมยังปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านเชื่องช้า เพื่อปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งหมดเลยกลายเป็นความหงุดหงิดที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

   ​​​​หงุดหงิด

แดกเหล้าป่ะคืนนี้ : AMAN

   ​​​​จนควบคุมตัวเองไม่ได้












#ผาเพียงฟ้า



มีต่อด้านล่างค่ะ





หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 6 | rainstroms, earthquakes or blackouts - P.3 (29/9/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 07-10-2019 20:11:55







   ​​​​เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนรายล้อมรอบข้าง แอลกอฮอลล์วางอยู่ตรงหน้า มันรินเติมแก้วใสแก้วแล้วแก้วเล่าเพราะเจ้าของเอาแต่ยกดื่มไม่ขาดสาย

   ​​​​ผมมองเพื่อนร่วมโต๊ะ เช็ดหยดน้ำบริเวณริมฝีปากให้แห้งก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นดูดอีกรอบ

   ​​​​“มึงจะตายก่อนมั้ยเนี่ย?” เป็นไอ้มาร์ทที่หรี่ตาลงแล้วถาม ผมเสมอง ก่อนจะยักไหล่แล้วตอบกลับ
   ​​​​“ไม่ได้กินเยอะ”
   ​​​​“ตั้งแต่มาก็ยกเอาๆ ไม่เยอะเหี้ยไร”
   ​​​​“เชื่อแล้วว่าอยากจริง” ไอ้แทนที่นั่งด้านข้างทับถมอีกรอบ ก่อนจะเลื่อนแก้วในมือชนแก้วผมเป็นสัญญาณบอกให้ดื่มตามธรรมเนียม “มาๆ พวกมึงด้วย”

   ​​​​เจ้าตัวเลื่อนไปยังแก้วคนอื่นๆหลังจากนั้น และพวกเราก็ยกแก้วใสขึ้นจรดริมฝีปากกันอีกหนึ่งรอบ เห็นไอ้ภีมที่นั่งหัวโต๊ะกอดอก ขมวดคิ้วแล้วมองอย่างไม่เข้าใจ

   ​​​​“สิงห์นักดื่มคืนชีพแล้วหรอ?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม ผมเลยใช้มือที่คีบบุหรี่ชี้ไปยังแก้วของมันเอง เพราะรู้ว่าหมายถึงอะไรเจ้าตัวก็ยกขึ้นจิบแต่ไม่ดื่มจนหมด

   ​​​​“กูยังไม่อยากตาย ไม่ต้องบังคับ”

   ​​​​ผมปล่อยให้บรรยากาศและฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ช่วยชะล้างความเสียใจ ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเวลาชั่วครู่ที่ทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องได้ แต่สุดท้ายผมก็ยังจะเลือกทางนี้อยู่ดี

   ​​​​อย่างน้อย ผมก็ไม่ต้องนั่งจับโทรศัพท์ทุกๆห้านาทีเพื่อดูว่าผาจะตอบกลับมาหรือเปล่า

   ​​​​และสุดท้ายผมก็เจอแต่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ

   ​​​​“มึง” มือใหญ่ของใครบางคนเข้าขัดจังหวะ เป็นไอ้แทนที่สะกิดยังต้นขาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับพยักพเยิดให้หันไปมองด้านหลัง

   ​​​​จนผมเจอกับหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าตัวยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มายังตรงหน้า

   ​​​​“พอดีว่าเพื่อนให้มาขอไลน์อ่ะค่ะ สะดวกจะให้ไหมคะ” ริมฝีปากที่ประดับด้วยลิปสีแดงสดขยับไปมา เจ้าของใบหน้าสวยยังยิ้มแม้ผมจะนิ่งคิดไปสักพัก “เป็นไอจีก็ได้ค่ะ” ก่อนจะขอร้องกลับมาอีกรอบ

   ​​​​“...อ่า..ครับ”

   ​​​​และไม่รู้ทำไม ผมถึงได้เลื่อนมือไปรับแล้วกดตัวอักษรลงไปอย่างเร็วไว หญิงสาวขอบคุณพร้อมกับบอกลาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย จนกว่าที่ผมจะรู้ตัวอีกครั้ง ไอ้เตก็ใช้แขนพาดเข้าที่ไหล่แล้วเอ่ยถาม

   ​​​​“มึงเมา มึงอกหัก หรือมึงเป็นอะไร?”

   ​​​​มันคงจะสงสัยกับการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่มันหรอก ผมเองก็ด้วย

   ​​​​ก็ทำไงได้ ผมทั้งเมา ทั้งอกหัก
   ​​​​และตอนนี้ผมเป็นเหี้ยอะไรไม่รู้เหมือนกัน

   ​​​​ทำไมถึงให้ไปง่ายๆโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ยินดียินร้ายสักเท่าไหร่นัก ผมพยายามหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ

   ​​​​“พี่ผารู้ทำไงเนี่ย” เป็นไอ้แทนที่เข้าแทรก ก่อนที่ผมจะถอนหายใจออกมา

   ​​​​นั่นสิ ถ้าผารู้จะเป็นยังไง?
   ​​​​จะหึงไหม จะโกรธหรือเปล่า หรือถ้าเรื่องมันจบไม่สวย ผมกับเขาอาจจะแตกหักกันไปเลยก็ได้

   ​​​​เรื่องของเราดูจบไวกว่าที่ผมคาดคิดเสียอีก

   ​​​​“ง่ายๆคืออกหัก กูสรุปให้” ไอ้ภีมเป็นคนตอบ และเพื่อนคนอื่นๆก็เห็นชอบตรงกัน

   ​​​​ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสติที่กลับมา ผมรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรลงไป และเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ผมกำลังประชดผา และเป็นการประชดที่โง่เง่าสิ้นดีในหลักความเป็นจริง

   ​​​​ถ้ามันจะพังก็ให้รู้ว่าเพราะผมเอง ไม่ใช่ผาเลยสักนิดนึง

   ​​​​ทุกอย่างที่หมุนรอบตัวเริ่มเชื่องช้า ผมทนความคิดถึงผาไม่ไหวจนต้องโทรไปหาเขาเมื่อกลับถึงห้อง รอคอยใจจดใจจ่อว่าเขาจะรับโทรศัพท์ผมหรือเปล่า

   ​​​​สุดท้ายแล้ว ผมก็เป็นลูซเซอร์ดีๆนี่เอง
   ​​​​
   ​​​​(มีอะไร?) ปลายสายเอื้อนเอ่ย ผมยังไม่สามารถลดทอนความน้อยใจที่ก่อตัวตั้งแต่ตอนเช้าได้เลย

   ​​​​ไม่ได้จริงๆ

   ​​​​“...”
   ​​​​(...)
   ​​​​“...”
   ​​​​(โทรมาแล้วทำไมเอาแต่เงียบ)
   ​​​​“รู้มั้ยว่าเค้าหายไปอ่ะ”

   ​​​​ประโยคที่ส่งไปบ่งบอกความรู้สึกตัวเองได้เป็นอย่างดี เสียงผมยานคาง ไม่ยากถ้าอีกฝ่ายจะรู้ว่าตัวเองกำลังเมามายจนไม่ได้สติ

   ​​​​แต่แล้วยังไงล่ะ เมาเพราะความรักมันผิดด้วยงั้นหรอ?

   ​​​​“ไม่คิดจะตามหน่อยหรอ?”

   ​​​​เสียงผมออดอ้อนในตอนท้าย ผาเงียบไปก่อนจะตอบกลับ

   ​​​​(มึงก็หาย)
   ​​​​“เค้าไม่ได้หาย”
   ​​​​(...)
   ​​​​“แค่ไม่ได้..อึก...ทักไปอีกรอบต่างหาก”

   ​​​​ผลข้างเคียงของการดื่มมากๆเริ่มผลิดอกออกผล ผมสะอึก รีบมองหาตัวช่วยเป็นน้ำขวดหนึ่งที่วางอยู่ไม่ไกล

   ​​​​(กูผิดใช่ป่ะที่ไม่ได้ตอบ)
   ​​​​“ช่ายยย ผิดที่เธอไม่ได้ตอบ และผิดที่เธอไม่ทักเค้ามาอีกรอบด้วย”
   ​​​​(...)
   ​​​​“ใจร้ายกับเค้าจังวะ”

   ​​​​รู้ดีว่าตัวเองกำลังเอาแต่ใจ เสียงที่ส่งไปเลยแผ่วลงเรื่อยๆ ผมเริ่มมีความหวังเป็นครั้งที่สอง แต่สุดท้ายผาก็ยอมรับให้กับประโยคที่ส่งไปก่อนหน้า

   ​​​​(จะโทรมาแค่นี้ใช่มั้ย?)

   ​​​​ว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย

   ​​​​(ไปนอนไป เมาอยู่ไม่ใช่หรอ?)

   ​​​​และไม่สนใจผมเลยสักนิด

   ​​​​“เค้าไม่สำคัญกับเธอจริงๆสินะ”
   ​​​​(...)
   ​​​​“นึกว่าโทรมาหาแล้วเธอจะง้อซะอีก”
   ​​​​(ม่าน)
   ​​​​“เธอก็นอนเหอะ ขอโทษที่โทรมากวนแล้วกัน”

   ​​​​โทรศัพท์ถูกโยนลงไปยังมุมหนึ่งของโซฟา มือเรียวเสยผมไปด้านหลัง ไม่รู้ว่าผมผิดหวังเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน เพราะถ้าให้นับ

   ​​​​ผมก็จะตอบว่าบ่อยครั้งจนด้านชา

   ​​​​น้ำในขวดถูกยกดื่มจนหมด เท้าใหญ่กำลังจะออกเดินไปเอาขวดที่สอง แต่สุดท้าย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน พร้อมกับเสียงของคนที่เพิ่งวางสาย

   ​​​​(นี่)
   ​​​​“...”
   ​​​​(อย่าขี้งอนให้มันมาก)
 
   ​​​​เขาปราม และประโยคต่อจากนั้นต่างหากที่ทำให้ใจเต้นแรง

   ​​​​(กูไม่ได้ตามไม่ใช่ว่าไม่คิดถึง)
   ​​​​“อือ”
   ​​​​(แล้วก็สะดวกลงมาคุยข้างล่างไหม?)
   ​​​​“...”
   ​​​​(กูกำลังไป)
   ​​​​“เธอจะมาทำไม?”


   ​​​​(...ก็อยากเจอ)






#ผาเพียงฟ้า

บอกเขาว่าอย่าขี้งอนแต่ตัวเองก็ยอมง้ออะเนอะๆๆ

ปล.ไอ้หมามันแอบไปทำอะไรมาแหละค่ะ
ฟ้องพี่ผาเลยดีไหมคะ
หึหึ

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-10-2019 23:06:47
ไอ้หมาม่าน ถ้าพี่ผารู้จากรอข้างล่างก็จะไม่อยู่แล้ว
 :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-10-2019 00:50:36
เจ้าม่านผู้พ่ายแพ้ต่อผาเสมอ ไม่สิเหมือนจะชนะใจผาแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 08-10-2019 05:21:10
จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยเนี่ย​ ใจเย็นๆนะทั้ง2คน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 08-10-2019 20:32:27


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


18

that kind of smile



_________


:-)


_________







   ​​​​นิ้วมือที่จับกันไว้ด้านหน้าถูกจับจ้องอยู่นานเมื่อผมไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหน ห้องโถงใต้ตึกยามค่ำคืนเงียบเชียบ มีเพียงเก้าอี้และโต๊ะกลางเข้าชุดที่วางเอาไว้ ผมเลือกที่จะนั่งยังด้านในสุดลับตาผู้คน กวาดมองไปยังรอบๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ถ้าไม่นับลุงยามในห้องกระจก

   ​​​​แสงสีส้มจากโคมไฟให้ความสว่างเพียงน้อยนิด พอจะปลอบประโลมคนที่รอว่าไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป เพราะยังไงผมก็ตัดสินใจที่จะมาคุยกับเขา

   ​​​​และไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยที่เรายังติดค้างกันอยู่

   ​​​​เสียงฝีเท้าของแขกผู้มาใหม่ทำให้ใบหน้าเรียวเงยขึ้น พบว่าเป็นคนที่ตัวเองกำลังรอพอดี ผมเม้มปากแน่น สูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติกลับมาหลังจากมันกระเจิดกระเจิงไปตั้งแต่เมื่อค่อนวัน

   ​​​​เพราะความสัมพันธ์ของเราที่มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง

   ​​​​ผมเลยต้องจัดการเพราะมันไม่ใช่แบบที่ต้องการเลยแม้แต่น้อย

   ​​​​พรึบ!

   ​​​​สุดท้ายแล้วเสียงฝีเท้าคู่นั้นก็หยุดลง ม่านนั่งยังเก้าอี้ด้านข้าง พร้อมกับจ้องมองมาอยู่ตลอด

   ​​​​กลิ่นน้ำหอมผสมปนเปกับกลิ่นแอลกอฮอลล์ลอยเข้าเตะจมูก หนึ่งในนั้นมีกลิ่นบุหรี่ฉุนแทรกซึมอยู่พอตัว เขาอยู่ในเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาดๆและมีเครื่องประดับแบบที่เคยเห็น

   ​​​​“รอนานไหม?” เป็นม่านที่พูดขึ้นก่อน ผมเหลือบมองแล้วส่ายหน้าเบาๆ
   ​​​​“ไม่นาน เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

   ​​​​อีกฝ่ายหายไปสักพักหลังจากที่ผมโทรไปหา คิดว่าคงจะจัดการให้สติกลับมาหลังจากดื่มอย่างหนัก

   ​​​​“ไปกินร้านไหนมา?” เพราะไม่อยากให้เงียบจนเกินไปผมเลยเอ่ยถามเสียบ้าง บรรยากาศระหว่างเราเลยดูแปลกๆไปเสียหน่อยที่เป็นแบบนี้

   ​​​​ก็ผมเริ่มต้นบทสนทนาไม่เก่ง
   ​​​​มันเลยดูฝืนจนไม่น่าให้อภัย

   ​​​​“99” เขาตอบสั้นๆ เป็นที่ๆ ผมพอจะรู้จักเพราะเคยไปมา

   ​​​​คนตัวสูงยกมือขึ้นกอดอก เหม่อมองไปด้านหน้าแทนเมื่อเรายังคงเงียบ โต๊ะกลางที่คั่นดูจะทำให้ระยะห่างไกลออกไปถึงพันไมล์ ไม่รู้ทำไม

   ​​​​ใจผมถึงได้รู้สึกแบบนั้น

   ​​​​“แล้ววันนี้ไม่ทำงานหรอ?” อีกฝ่ายชวนคุย ยังไม่แม้แต่จะหันมามอง
   ​​​​“ทำเสร็จไปนานแล้ว”
   ​​​​“...”
   ​​​​“วันนี้เลยว่างนิดหน่อย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“อืม”

   ​​​​การตอบรับยังสั้นเหมือนเคย สุดท้ายผมเลยกลั้นใจแล้วพูดประโยคที่เก็บเอาไว้ในใจมาตลอด

   ​​​​“ที่กูหายไปเพราะไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ตอบใครไม่ได้ทั้งวันไม่ใช่แค่มึง”

   ​​​​เป็นประโยคที่บอกถึงเหตุผลของการไม่ได้ตอบรับอีกฝ่าย

   ​​​​ม่านไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรหลังจากฟัง ยังนั่งนิ่ง สายตาจ้องมองไม่มีจุดหมาย คล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างในใจและผมไม่สามารถได้ยินเสียงนั้น

   ​​​​“เค้ารู้แล้ว”

   ​​​​คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อไม่ทราบว่าคนด้านข้างไปรู้มาได้ยังไง นึกไปถึงใบหน้าเพื่อนไล่เรียงไปทีละคน ก็คงจะมีแต่ไอ้ฮั่นที่มารับผมตอนเช้าเท่านั้นที่รู้

   ​​​​“...รู้หรอ?”
   ​​​​“อืม”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ถามพี่ฮั่นมาว่าทำไมเธอถึงไม่ตอบ พี่ฮั่นก็บอกว่าเน็ตเธอโดนตัด แต่ตอนที่ถามเธอก็ไปจ่ายตังแล้วนะ...”

   ​​​​อ่า…

   ​​​​“...เห็นบอกว่าแบบนั้น”

   ​​​​แบบนี้นี่เอง

   ​​​​ผมถึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความยุ่งเหยิงมันเกิดขึ้นตรงไหน

   ​​​​“...รอกูตอบ?” ถามพลางหันไปมอง อีกคนสบตาก่อนจะตอบอย่างแน่วแน่
   ​​​​“เค้าเคยบอกหรอว่าเค้าไม่รออ่ะ?”
   ​​​​“แล้วทำไมไม่ทักมาอีกรอบล่ะ?”
   ​​​​“ก็ลองดูว่าถ้าไม่ทักเธอไป เธอจะทักเค้ามาก่อนมั้ย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“สุดท้ายเป็นไงล่ะ...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ไม่น่าเลยเนาะ”

   ​​​​ใบหน้าคมคายก้มลง เท้าคางก่อนจะยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่ไม่ได้เจือความดีใจต่างจากยิ้มอื่น

   ​​​​“เธอไม่อยากตอบหรอ?” เขาถาม เสยผมไปด้านหลังและยังไม่ละสายตาไปไหน

   ​​​​เปล่า

   ​​​​“...”

   ​​​​อยากตอบจะตาย

   ​​​​“...”

   ​​​​แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงนี่หว่า

   ​​​​เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น เขาเอนกายไปนั่งตามเดิม ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกหลังจากนั้น กลายเป็นผมที่เอาแต่โทษตัวเองซ้ำๆไม่รู้จบ กับความปากแข็งและไม่กล้าเริ่มเดินหน้าความสัมพันธ์นี้สักที

   ​​​​ผมมันขี้ขลาด
   ​​​​และผมยังเป็นนักปราชญ์เรื่องเก็บความรู้สึก

   ​​​​“...ขอโทษครับ”

   ​​​​แต่บางทีนักปราชญ์ก็ใช่ว่าจะเก่งไปซะทุกอย่าง
   ​​​​โดยเฉพาะเรื่องความรัก
   ​​​​ผมช่างโง่เขลาเสียจนไม่น่าให้อภัย

   ​​​​เพราะความรู้สึกผิดที่สะสมเอาไว้ตั้งแต่ต้นทำให้ผมแทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ย้ำคำว่าขอโทษกับม่านไปอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะถอนหายใจแล้วทบทวนการกระทำตัวเองเงียบๆ ภายใต้ฝ่ามือที่ปิดบังใบหน้า

   ​​​​เพราะผมไม่เหมาะกับการมีความรัก
   ​​​​แต่เขาก็ทะลุกำแพงทุกอย่างจนทำให้ผมรู้จักมันเข้าจนได้

   ​​​​“ขอโทษจริงๆ”
   ​​​​“พอแล้ว”

   ​​​​เขาเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ว่ารู้สึกแบบไหน

   ​​​​เสียใจ ดีใจ หรือเบื่อเต็มทน

   ​​​​แต่สำหรับผม...สิ่งที่มันยังหนักอึ้งก็ยังคงอยู่ รู้ดีว่าตัวเองทำร้ายเขาไปแล้วกี่รอบ แต่ก็ยังทำแบบนั้นซ้ำๆจนคนที่รอนั้นผิดหวัง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากตอบ แต่ผมแค่ไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจนต้องรู้สึกแปลกๆ ดังนั้น ผมเลยรอให้เขาทักมาอีกรอบเพื่อให้เราได้ต่อบทสนทนา

   ​​​​แต่เมื่อรอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงผ่าน

   ​​​​ม่านก็ยังไม่ตอบกลับมาเสียที

   ​​​​ประโยคของผมที่ค้างไว้ยังอยู่ตรงนั้น ตรงช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มันบรรจุข้อความได้ยาวมากพอ มีเพียงแค่การย้ำนิ้วโป้งลงไปยังสัญลักษณ์สามเหลี่ยมเพื่อส่งไปให้อีกฝ่าย

   ​​​​เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย

   ​​​​แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที

   ​​​​“...รอมึงทักมาหา”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ก็เลยไม่ได้ส่งไป”
   ​​​​“แล้วถ้าเค้าไม่ส่งไปก็จะไม่ทักมาก่อนเลยหรอ?”
   ​​​​“...”

   ​​​​คราวนี้เขาจี้ใจดำ ผมเม้มปากอีกครั้งก่อนจะตอบรับด้วยใจเต้นรัว เพราะผมไม่เคยเปิดเผยความในใจให้ใครรู้เท่านี้มาก่อน นี่เลยเป็นครั้งแรกที่ผมต่อสู้กับความกล้าของตัวเอง

   ​​​​“...ก็”
   ​​​​“...”
   ​​​​“อืม...คงงั้น”

   ​​​​ม่านขมวดคิ้ว คนซื่อตรงอย่างเขาคงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความซับซ้อนและเกราะป้องกันตัวที่แข็งแกร่ง

   ​​​​“ทำไมล่ะ?”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เค้าไม่เข้าใจเลยว่ะ”

   ​​​​ผมหลับตาลงแน่น ถอนหายใจออกมา

   ​​​​“กูงี่เง่าเองแหละ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ให้เวลากูหน่อยนะ กูรู้ว่าตัวเองใจร้าย แต่กูก็ไม่ได้อยากทำให้มึงเสียใจ ไม่ได้รู้สึกดีที่เป็นแบบนี้ กูไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ไม่เคยมีคนเข้าหากูแบบมึงมาก่อน กูแค่....”

   ​​​​เขารอฟังคำตอบ

   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...ไม่อยากชอบมึงมากไปกว่านี้แค่นั้นเอง”

   ​​​​และผมก็ยอมบอกความในใจ

   ​​​​คล้ายกับโลกทั้งใบหยุดชะงัก รอบกายของเราเคลื่อนผ่านเชื่องช้า ความกดอากาศรอบข้างต่ำลงจนน่าใจหาย สมองผมหมุนคว้าง ใจเต้นแรงจนมันแทบจะหลุดออกจากอกมาให้ได้

   ​​​​จากคำสารภาพที่บอกไป
   ​​​​และจากปฏิกิริยาอีกฝ่าย ที่เริ่มหาคำพูดของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

   ​​​​“...อยากจะค่อยๆชอบ...กลัวว่าวันหนึ่งถ้าผิดหวังจะได้ถอยออกมาทัน”
   ​​​​“...”
   ​​​​“กลัวว่าตัวเองจะเสียใจ”

   ​​​​ความเห็นแก่ตัวถูกแฝงอยู่ในประโยค ผมไม่โป้ปด ในเมื่อตั้งใจจะมาปรับความเข้าใจ

   ​​​​หรือพูดง่ายๆก็คือมาง้ออีกฝ่ายนั่นเอง

   ​​​​“กลัวว่าเค้าจะทำให้เธอเสียใจหรอ?”
   ​​​​“อืม...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“กลัวว่าวันหนึ่งมึงจะหายไปโดยไม่รู้ตัวด้วย”
   ​​​​“เค้าไม่ทำแบบนั้น”
   ​​​​“กูไม่รู้หรอกม่าน กูพยายามเชื่อใจมึงเหมือนกันนะ”

   ​​​​ความรู้สึกถูกถ่ายทอดออกมาเป็นประโยค เขายังตั้งใจรับฟังเหมือนเคย ไม่มีแววว่าจะโกรธแต่อย่างใด

   ​​​​“มึงอาจจะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้ใจดีสำหรับทุกคน หลายคนเข้ามาแล้วยังอยู่ แต่หลายคนเข้ามาแล้วเขาก็จากไป ไม่ทิ้งเหตุผล ไม่มีสัญญาณ ไม่มีการบอกลา  แค่อยากจะหายไปแค่นั้น เราไม่รู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แม้กระทั่งตอนที่รู้ว่าเขาไป เราก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำพวกนั้นได้เลยสักข้อ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แค่อยากจะหายไป ก็หายไปเสียดื้อๆ”

   ​​​​ผมพูดต่อ

   ​​​​“ยิ่งมึงสำคัญกับกูมากเท่าไหร่กูก็ยิ่งไม่อยากให้มึงหายไปมากเท่านั้น”
   ​​​​“แล้วเค้าสำคัญกับเธอไหมล่ะ?”

   ​​​​เขาร้องขอคำตอบ สบตากับผมอีกครั้ง

   ​​​​“...ก็บอกว่าชอบแล้วไง”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ถ้าชอบแล้วไม่สำคัญได้ด้วยหรอ?”

   ​​​​คราวนี้มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก อาการขัดเขินอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างจากผมเช่นกันที่ความร้อนกำลังเล่นงานอย่างหนักบริเวณใบหน้า โชคดีที่ตรงนี้มืดมากพอที่ม่านจะไม่เห็น

   ​​​​ดังนั้นแก้มที่ขึ้นสีเลยถูกปกปิดเอาไว้

   ​​​​“ถามได้มั้ย?”
   ​​​​“ว่า?”
   ​​​​“ชอบมากแค่ไหนหรอ?”

   ​​​​รอบนี้ผมโดนเล่นงานเข้าอย่างจัง ไม่ได้เตรียมใจจะมารับคำถามอะไรแบบนี้

   ​​​​“...”
   ​​​​“ชอบเค้ามากแค่ไหนแล้วอ่ะ?”

   ​​​​แถมเจ้าตัวยังถามย้ำไม่เปิดช่องว่างให้ได้หลีกหนีเสียด้วย

   ​​​​ผมแอบเช็ดเหงื่อที่มือเข้ากับกางเกง บอกแล้วว่าตัวเองไม่เก่งที่จะพูดออกไปตรงๆ แต่ถ้าผมยังไม่ยอมบอกทุกอย่างม่านก็คงจะยังไม่เข้าใจ

   ​​​​“ไม่รู้”
   ​​​​“เธออย่ามาโกหก”

   ​​​​ไอ้เด็กนี่

   ​​​​“เธอรู้แต่เธอไม่ยอมบอกเค้าใช่ป่ะล่ะ”

   ​​​​รู้ดีเหมือนมานั่งในใจ

   ​​​​การเสมองไปทางอื่นกลบเกลื่อนเหมือนจะช่วยไม่ดีนัก เสียงเขายังยานคางพอรู้ว่ากำลังเมา แต่ก็มีสติพอที่จะต้อนผมจนมุมได้อย่างไม่ยากเลยแม้แต่นิด

   ​​​​เก่ง

   ​​​​เก่งเกินไปแล้ว


   ​​​​“...ก็ชอบ”
   ​​​​“อืม”
   ​​​​“แบบที่กำลังจะชอบมากขึ้นเรื่อยๆ”

   ​​​​คนด้านข้างเอื้อมมาคว้ามือผมไปจับ วางไว้ยังโต๊ะกลางที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักมันอีกที ผมมองเขาที่ก้มหน้าลง ปล่อยให้ความอบอุ่นส่งผ่านผิวเนื้อที่ยังเกาะกุมกันอยู่

   ​​​​เขายิ้ม และผมก็ยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้

   ​​​​“ขอโทษนะ” ผมเอื้อนเอ่ยอีกรอบ “รู้สึกผิดจริงๆ”
   ​​​​“ครับ เค้ารู้แล้ว”

   ​​​​ม่านพยักหน้า

   ​​​​“เค้ามีเรื่องอยากจะถามเธอแหละ”
   ​​​​“ว่ามาสิ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”

   ​​​​เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามออกมา

   ​​​​“ตอนนี้เราเป็นอะไรกันงั้นหรอ?”

   ​​​​เหมือนอีกคนจะรู้ว่าผมเตรียมตัวจะมาพูดอะไรบ้าง เจ้าตัวเลยทวงเรื่องสำคัญไปได้ทุกอย่างจนหมด ผมรู้ว่าการมาหาเขาครั้งนี้สถานะของเราสองคนมันจะไม่เหมือนเดิม และอยากจะมาหาเขาเพื่อย้ำมันอีกครั้งเพื่อให้เราเข้าใจตรงกันซะที

   ​​​​“คนคุย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ใช่ไหม?”

   ​​​​ผมมองอีกคนเพื่อถาม ม่านพยักหน้าช้าๆก่อนจะตอบกลับมา

   ​​​​“อืม...ครับ”
   ​​​​“แล้วรู้ใช่ไหมว่าคนคุยสำหรับกูหมายถึงอะไร?”
   ​​​​“...”

   ​​​​เพราะเขาไม่รู้ ผมเลยต้องอธิบายให้ฟัง

   ​​​​“มันหมายความว่ากูไม่มีใครนอกจากคนที่กูคุยคนเดียว”
   ​​​​“...”
   ​​​​“และกูก็จริงจังกับความสัมพันธ์ระดับนึง”
   ​​​​“เค้าก็จริงจัง” ม่านแย้ง “พาไปเจอพ่อแม่ขนาดนั้นไม่จริงจังก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

   ​​​​ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เพิ่งนึกได้ว่าเราผ่านเรื่องอะไรกันมาบ้าง มือใหญ่กระชับมือผมในบางจังหวะ บ่งบอกและย้ำอีกครั้งว่าเจ้าตัวไม่ได้โกหก

   ​​​​“อืม ขอบคุณนะ”
   ​​​​“แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนล่ะ รอนานป่ะเนี่ย?—โอ๊ย ฮ่าๆ”

   ​​​​คนที่โดนหยิกมือร้องลั่น โดนลงโทษเพราะการหยอกล้อที่ผมไม่ชินมันเท่าไหร่ ม่านใช้สายตาแปลกๆมองมา เป็นสายตาที่ทำให้ใบหน้าผมแดงโดยไม่รู้ว่าทำไม

   ​​​​มันแสดงความเป็นเจ้าของ
   ​​​​มันบ่งบอกว่ามีความสุข
   ​​​​และมันหวานเสียจนแทบจะกลืนกินผมไปทั้งตัว
   ​​​​
   ​​​​“คนคุยม่าน”

   ​​​​ผมย้ำ อีกฝ่ายชอบใจนักจนโยกหัวไปมา มีคนเดินผ่านประตูหน้าแล้วหายลับไปยังโถงลิฟต์ เราเลยเลือกที่จะเงียบและเป็นเขาที่พูดต่อ

   ​​​​“ถ้าเธอมีอะไรอ่ะ บอกเค้าตรงๆได้มั้ย?”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เค้ารู้ว่ามันยากแหละ ขอมากไปด้วย แต่อยากให้เธอบอกนะ เค้าคิดว่าแบบนั้นมันจะทำให้เราเข้าใจกันมากกว่า”
   ​​​​“อืม จะพยายาม”
   ​​​​“ถ้าเค้าเป็นอะไรเค้าก็จะบอกเหมือนกัน”
   ​​​​“ถ้างอนแบบวันนี้ก็จะบอกหรอ?”
   ​​​​“...” คราวนี้เจ้าตัวเงียบ ทำหน้าแหยก่อนยักไหล่ “บอกก็ได้”

   ​​​​คำว่าก็ได้ที่ต่อท้ายทำให้มันดูไม่จริงใจเท่าไหร่นัก รู้หรอกว่าเวลาแบบนั้นใครอยากจะมาบอก แต่ผมก็ต้องใช้แต้มต่อด้วยข้อตกลงเดียวกัน

   ​​​​“ดีมาก”

   ​​​​คราวนี้ผมชักมือกลับ เขาก็ไม่ได้รั้งเอาไว้

   ​​​​“ช่วงนี้กูงานยุ่งไปหน่อย คุยกันน้อยเลยเนาะ”
   ​​​​“อืม คิดถึงจะตาย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ม่าน” ผมเรียก พูดคำนั้นให้ได้ยินอีกครั้งเพื่อเป็นรางวัลให้คนรอ “รู้มั้ยว่านี่ก็คิดถึง”

   ​​​​ไม่รู้หรอกว่าชอบที่จะได้ฟังไหม
   ​​​​แต่ในเมื่อเขาบอกว่ามีอะไรแล้วให้ผมพูดออกไป ผมก็เลยทำตามใจที่เขาต้องการ

   ​​​​“เหงาเหมือนกันเวลาไม่มีคนคอยกวนตอนดึกๆ”

   ​​​​ติดตลกกลบเกลื่อนอาการเขิน แอบใช้มือแนบไปกับลำคอเมื่อไม่รู้จะวางมันไว้ตรงไหน ต่างจากม่านที่ยิ้มร่า ไม่พูดอะไรแต่ก็รับฟังทุกอย่าง

   ​​​​เราปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านสักพัก ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

   ​​​​ติ๊ง!

   ​​​​มันขัดจังหวะคนที่เหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง ผมมองหน้าจอที่สว่างวาบบนโต๊ะกลาง ก่อนจะมองเขาเพื่อรอดูว่าเจ้าตัวจะทำยังไง

   ​​​​“...อ่า” ม่านถอนหายใจหนัก คิ้วขมวดคล้ายกับลำบากใจที่ได้เห็นข้อความเหล่านั้นที่ฉายชัดบนหน้าจอตัวเอง

   ​​​​ไม่รู้ว่าสัญชาตญาณผมทำงานดีไปหน่อยหรือเพราะเจ้าตัวไม่สามารถเก็บพิรุธของตัวเองได้ ผมเลยรู้ว่ามันต้องมีบางอย่างแปลกไปจากข้อความเหล่านั้น

   ​​​​“ไม่ตอบหรอ?” ผมลองเชิง ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากจากน้ำเสียง

   ​​​​มือใหญ่ตัดสินใจยกมันขึ้นมา เขาอ่านทวนมันนิ่งงัน ก่อนที่จะสบตากับผมแล้ววางโทรศัพท์คว่ำไว้บนหน้าตักของตัวเอง

   ​​​​“เค้ามีเรื่องจะสารภาพ”

   ​​​​นั่นไง
   ​​​​เหมือนจะมีอะไรจริงๆด้วย   
​​​​

   ​​​​“สารภาพอะไร?” ผมถามกลับ ความอยากรู้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
   ​​​​“เอาเป็นว่า...”
   ​​​​“...อือ...”   ​​​​
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“คืองี้...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...มีคนขอไลน์เค้าในร้านเหล้า”
   ​​​​“แล้วมึงให้มั้ย” เขาชะงัก และนั่นทำให้ผมรู้คำตอบในทันที เจ้าตัวเม้มริมฝีปาก หน้าหงอยอัตโนมัติแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “โอเค แล้วไงต่อ”
   ​​​​“เค้าไม่ได้ตั้งใจจะให้ จะแก้ตัวว่าเมาก็ดูเหี้ยเกินไปหน่อย”
   ​​​​“อือฮึ แต่มึงก็ให้?”
   ​​​​“ครับ เค้าให้”

   ​​​​ผมกอดอก ถึงจะใจร้อนก็บอกตัวเองว่าให้ระงับอารมณ์ลงก่อน เพราะอย่างน้อยม่านก็ยอมสารภาพและเป็นฝ่ายพูดถึงเสียเอง

   ​​​​“ตอนนั้นมันอยากประชดเธอ ขอโทษนะ จะไม่ทำแล้วจริงๆ”

   ​​​​ความคิดในหัวเริ่มตีกันไปมาอีกรอบ คราวนี้เขายื่นเครื่องสีดำมาไว้ตรงหน้า

   ​​​​“งั้น...เธอเอาไปบล็อกให้หน่อยสิครับ”
   ​​​​“ทำไมไม่บล็อกเองล่ะ ไลน์มึงนี่”
   ​​​​“ให้เธอบล็อกให้ดีกว่า จะได้รู้ว่าเค้าบริสุทธิ์ใจ”

   ​​​​ผมครุ่นคิด สุดท้ายก็ยอมหยิบมันมาแต่โดยดี แอบเลื่อนสายตาผ่านข้อความนั้นหนึ่งรอบพร้อมกับความรู้สึกหลายอย่างที่ปะปนกันอยู่

   ​​​​mayy : นอนรึยังน้อ
   ​​​​mayy : ><


   ​​​​มันทั้งงุนงง สับสน และแอบดีใจอยู่ลึกๆ
   ​​​​ว่าสุดท้ายแล้วผมก็คือคนที่เขาเลือก

   ​​​​มือเลื่อนกดเข้าไปอ่าน เลื่อนนิ้วไปมาอยู่สักพักผู้ติดต่อรายนั้นก็ไม่สามารถส่งข้อความมาได้อีก

   ​​​​BLOCK

   ​​​​เพราะผมจัดการพวกหน้าสิ่วหน้าขวานไปหมดแล้วเรียบร้อย

   ​​​​โทรศัพท์เครื่องเล็กถูกส่งกลับไปให้เจ้าของ เขายิ้มรับพลางเก็บมันไว้ในกระเป๋ากางเกง

   ​​​​“จะโกรธก็ได้นะ”

   ​​​​เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปเจ้าตัวเลยพูดขึ้น ตั้งท่ารับมือเพื่อง้อเต็มที่ แต่ผมกลับส่ายหน้าเบาๆเพื่อปฏิเสธ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกรธเสียหน่อย เพราะทั้งผมและม่านต่างก็มีวิธีรับมือกับเรื่องที่เกิดแตกต่างกันออกไป

   ​​​​“กลับแล้วได้มั้ย?” คราวนี้ผมถามก่อน ไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่ตอนแรก
   ​​​​“ไม่อยากให้กลับ”

   ​​​​เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาว่าจะเป็นยังไง

   ​​​​ม่านยังรั้งเอาไว้เหมือนเดิม แต่คงรู้ว่าเวลามันล่วงเลยข้ามวันจึงยอมที่จะให้ผมทำตามใจ

   ​​​​“กลับไปจะนอนเลยไหม?”
   ​​​​“นอนเลย กูง่วงแล้ว”
   ​​​​“อ่อ”
   ​​​​“มึงล่ะ?”
   ​​​​“ถ้าเธอนอนก็นอนเหมือนกันครับ”

   ​​​​เขายังว่านอนสอนง่าย เป็นลูกหมาที่เชื่อฟังเจ้าของ ผมลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับ เจ้าตัวจึงอาสามาส่ง

   ​​​​เท้าสองคู่เดินเคียงกันไปในความมืด บริเวณนี้ร้างผู้คน มีเพียงแต่รถยนต์ที่จอดเรียงรายไปตามความยาวของฟุทปาธและบางคันก็ขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว

   ​​​​“ผา” แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็เรียกผมโดยไม่มีสาเหตุ หันไปมองก็เอาแต่ส่ายหน้าและพูดเบาๆว่าไม่มีอะไรๆ

   ​​​​จนกว่าจะถึงจุดหมายที่เราเดินมา

   ​​​​ม่านก็รีบมองซ้ายมองขวา แล้วประทับริมฝีปากตีตราความเป็นเจ้าของบริเวณแก้มในตอนที่เผลอ

   ​​​​จุ๊บ!

   ​​​​มันรวดเร็ว หนักแน่น และแฝงไปด้วยการหยอกล้อ

   ​​​​เขายกยิ้มร่า ใช้นิ้วชี้กดสัมผัสนั้นลงไปอีกรอบเพื่อบ่งบอกผมว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ

   ​​​​มันคงจะดีไม่น้อย
   ​​​​จริงๆนะ
   ​​​​คงจะดีไม่น้อยถ้าเขายอมพูดอะไรออกมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เงียบแล้วยิ้มอย่างมีความสุขมากๆแบบนี้

   ​​​​ผมนิ่งค้าง ใจไม่สามารถรับการจู่โจมเหล่านั้นได้ทันท่วงที ม่านหัวเราะตามหลัง คงเพราะเจ้าตัวเมาเลยได้กล้าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นออกมา ผมไม่ถือสาเพราะไม่รู้จะต้องทำตัวแบบไหน มือกลับสั่นในตอนที่ใช้กุญแจสตาร์ทรถ

   ​​​​แต่สติผมก็กระเจิดกระเจิงไปหมดจนม่านต้องเดินมาเคาะกระจกเพื่อเรียก

   ​​​​“เป็นอะไรรึเปล่า?”

   ​​​​มือเล็กรีบบิดกุญแจอีกรอบ แต่คราวนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เพราะอาการของตัวเองอีกแล้ว แต่เป็นเพราะเครื่องยนต์รถผมมันไม่ทำงาน ถึงแม้จะพยายามสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติดสักครั้งจนนึกหวั่นใจ

   ​​​​“ม่าน”

   ​​​​ผมยอมแพ้แล้วเรียกอีกฝ่าย

   ​​​​“ครับ”
   ​​​​“รถกูเสีย ทำไงดี?”

   ​​​​เพื่อขอความช่วยเหลือ

   ​​​​แต่ดูเหมือนมันจะเข้าทางเจ้าตัวยังไงก็ไม่รู้

   ​​​​“เค้าไม่ไปส่งนะ”

   ​​​​เจ้าเล่ห์

   ​​​​“หรือเธอจะนอนนี่ดีล่ะ?”


   ​​​​ไอ้ยิ้มมุมปากนั่นน่ะ


   ​​​​“เตียงเค้ากว้างนะขอบอก”


   ​​​​ช่วยเก็บให้มิดกว่านี้หน่อยเถอะ!















#ผาเพียงฟ้า

ขอบคุณสำหรับไลค์ คอมเม้นต์และการติดแท็กนะคะ
เห็นมีคนรักไอ้หมาก็ดีใจมากๆเลย ;-;


8/10/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 09-10-2019 09:36:36
เมาแล้วงอแงแบบนี้ได้ผลชะงัด
สู้ต่อไปครัชน้อง พี่ผาโน้มลงมาไม่ต้องปีนแล้ว
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 09-10-2019 15:31:14
น่ารักไปหมดเลยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 7 | maybe I miss you - P.3 (7/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 09-10-2019 15:58:00

น่ารักมากๆๆๆๆ เลยค่ะ

ปล.คนเขียนลืม update หัวข้อว่ามีตอนใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 8 | that kind of smile - P.3 (8/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 09-10-2019 21:26:12
ว้าว ดีใจกะม่านด้วยนะ ค้องรักษาสิทธิ์คนคุยดีๆอย่าทำให้ผาเสียใจนะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 8 | that kind of smile - P.3 (8/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 12-10-2019 21:47:34


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


19

your laugh, your smile and your kiss



_________


:-)


_________







   ​​​​ผมคิดว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตอบตกลงออกไป คงเพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนใจร้าย ปลายเตียงของอีกฝ่ายเลยเป็นที่หมายของการตัดสินใจโดยไม่คิดให้ดี

   สายตาผมกวาดมองไปรอบๆ สำรวจสถานที่ที่ตัวเองไม่เคยย่างก้าวเข้ามาก่อน ห้องของม่านไม่ต่างจากห้องของผมมากนัก ภายในแบ่งเป็นสามส่วนการใช้งานเหมือนกัน มีส่วนของห้องครัว ห้องโถง และห้องนอนที่ผมกำลังนั่งอยู่

   ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ อาจเพราะไม่ได้มีสัมภาระเยอะแบบห้องอื่นๆ เลยทำให้ดูเหงานิดหน่อย มุมข้างโทรทัศน์ภายในห้องโถงมีชั้นวางที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ แต่ละเล่มวางเรียงรายระเกะระกะบ้างบางจุดตามประสาห้องผู้ชายที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว

   “อ่ะนี่ น้ำเปล่า”

   คนที่หายไปยื่นขวดพลาสติกมาให้ เมื่อผมรับมันมาถือไว้ม่านก็ยืนพิงกำแพงแล้วจ้องมอง  เขาเปิดฝาแล้วยกน้ำเย็นขึ้นดื่ม คงเพราะโดนฤทธิ์แอลกอฮอลล์เล่นงานอย่างหนักจึงหาวิธีช่วยเรียกสติให้กลับมา

   “ย้ายมาอยู่นี่นานรึยัง?” เมื่อเราต่างนิ่งด้วยกันทั้งคู่ผมเลยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

   “ก่อนสัมมนา” เขาตอบ “พี่ที่รู้จักเขาย้ายออกพอดีเลยจองห้องต่อจากเขาเลย”
   “แล้วเมทมึงล่ะ อยู่ห้องเดิมหรอ?”
   “อืม อยู่กับแฟน” ม่านดื่มน้ำอีกหลายอึก จนตอนนี้ของเหลวในขวดลดลงจนเกือบหมด

   “เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยู่กับแฟน” ผมพูดต่อ ยักไหล่แล้วเท้าแขนไปด้านหลัง
   “นั่นดิ กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วมั้ง”
   “...”
   “แล้วเธอ—”
   “รู้นะว่าจะพูดถึงอะไร” ผมรีบค้านเขาก่อนที่เจ้าตัวจะพูดออกมา ม่านหัวเราะร่า ส่ายหัวแล้วกอดอกแม้จะยังไม่ละสายตาไปไหน “ไม่ต้องมาถามกู”
   “โอเคครับ” เขายอมแพ้ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เธอจะนอนเลยมั้ยล่ะ?”
   “สักพัก” ตอบพร้อมกับสำรวจเตียงนอนอีกรอบ มันกว้างพอจะรองรับร่างของเราทั้งคู่แต่ผมก็ยังจะภาวนาให้เขาเลือกที่จะปล่อยผมไว้ตามลำพังแบบครั้งอื่น

   แบบที่เราต่างคนต่างแยกกันนอน
   แบบนั้น...น่าจะปลอดภัยต่อความรู้สึกมากกว่า

   “งั้นดูหนังรอมั้ย เค้าเปิดไว้ให้” เมื่ออีกฝ่ายยื่นข้อเสนอผมเลยยอมรับเอาไว้ โน้ตบุ๊กเครื่องเล็กเลยถูกใช้งานในเวลาต่อมา เขาจัดแจงของต่างๆให้ ก่อนจะถอยออกไปแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า

   “เค้าไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”
   “อืม”

   เป็นอีกครั้งที่ผมได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมไม่บอกเจ้าตัวไปว่าจะนอน ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยจนข้ามวันมาแล้วแต่ก็ยังเลือกที่จะเสียเวลาทำอย่างอื่นและไม่รู้ว่าตัวเองนั้นคิดดีหรือเปล่า คงได้แต่โทษสมองที่ยังไม่กลับไปประมวลผลได้อย่างสมบูรณ์แบบและโทษเจ้าของห้องที่ทำให้ใจผมเต้นแรงตั้งแต่ก้าวเข้ามา ทั้งหมดเลยทำให้ผมไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อีกหลังจากโดนจู่โจมเข้าที่ข้างแก้มเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

   ความยากของการเลือกชมภาพยนตร์จากแอปพลิเคชันสีดำมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีแดงตรงกลางค่อนข้างจะเลื่องชื่อ ผมตกอยู่ในปัญหานี้ราวๆห้านาที เลื่อนหน้าจอขึ้นลงอยู่สักพักจนสุดท้ายก็ตัดสินใจรับชมหนึ่งในนั้น เป็นภาพยนตร์ประเภทสืบสวนสอบสวนและฆาตกรรมที่ไม่มีฉากรักแสนหวานแบบที่ชื่นชอบ

   ภาพเคลื่อนไหวเริ่มเคลื่อนที่ไปบนหน้าจอสี่เหลี่ยม แสง สี และเสียงอัดแน่นบนวิดีโอคุณภาพชั้นนำ ผมลดระดับความดังลงเล็กน้อย กลัวว่าในเวลาค่ำคืนแบบนี้จะไปรบกวนใครเข้าจนเขาต้องรำคาญ

   แอ๊ด

   ไม่นานเจ้าของห้องก็เสร็จธุระภายในห้องน้ำ เขาเดินออกมาหน้าตู้แล้วเลือกเสื้อผ้าเพื่อแต่งตัว และนั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมม่านถึงไม่หยิบเข้าไปตั้งแต่ทีแรก

   เพราะการทำแบบนั้นผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นร่างกายท่อนบนที่มีมัดกล้ามแถมยังเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำของเจ้าตัว

   ร่างสูงเสยผมไปด้านหลัง มันชุ่มฉ่ำไม่ต่างจากลำตัวของเขาเช่นกันที่มีน้ำหยดไหล พื้นห้องดูจะเปียกไปตามแนวที่เดิน เขาไม่ได้สนใจมันมากนักเมื่อหยิบเสื้อตัวหนึ่งพร้อมกับกางเกงวอร์มออกมาพร้อมที่จะสวมใส่ แต่พอจะทำแบบนั้นเข้าจริงๆ ก็เหลือบมองผมที่นั่งอยู่บนเตียงเพื่อดูว่าแผนการเจ้าตัวสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจริงๆ หรือเปล่า

   และมีหรือคนที่โดนจู่โจมจะไม่ทันระวัง ผมที่เอาแต่จ้องเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ กลับกลายเป็นว่าโดนหยอกล้อเข้าจนได้ ม่านหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วลูบหน้าท้องตัวเองไปมา

   ร้าย
   ผมก็ยังจะยืนยันว่าเขาน่ะร้าย


   “มองอะไร?” ผมสวนเมื่อทนไม่ไหวกับสายตาที่เอาแต่จับจ้องตัวเองอยู่อย่างนั้น
   “เธอนั่นแหละมองอะไร?”
   “...”
   “อย่ามองดิ เค้าแต่งตัวไม่ได้เลยเนี่ย” เขาสวนขึ้นมาอีกรอบ ก่อนที่ผมจะไม่ยอมจนต้องตอบโต้กลับไป
   “ไม่ได้อยากมองมึงหรอก”
   “อย่ามาพูดเถอะ เธอเอาแต่จ้องเค้าตาเป็นมัน”
   “กูไม่ได้มอง”
   “อิจฉาก็บอก หุ่นเค้าดีขนาดนี้ไม่มองได้ไงใช่ป่ะล่ะ”

   เพราะใบหน้ายียวนนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องถอนหายใจแล้วกำหมัดแน่นลงไปกับเตียง เบนสายตากลับมาอยู่ที่หน้าจอเมื่อรู้ว่าต่อล้อต่อเถียงยังไงก็คงไม่ชนะอยู่ดี ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเจ้าของห้องดังตามมา ถึงแม้จะทำเป็นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรแต่สุดท้ายเสียงที่ดังเข้าแทรกและภาพที่เคลื่อนไหวตรงหน้าก็ทำเอาต้องเม้มริมฝีปากแน่น

   คล้ายกับว่าเขาจงใจทำให้มันเกิดเสียงดัง
   และคล้ายกับว่าม่านตั้งใจจะแต่งตัวตรงนั้น —ตรงบริเวณหน้ากระจกที่มันอยู่ในสายตาผมอย่างพอดี

   อุณหภูมิบนแก้มของผมร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ น่าแปลก ทั้งๆที่สรีระร่างกายของเราก็มีเหมือนกันแทบทุกประการ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าจะมองม่านแม้สักวินาที

   ภาพที่เคลื่อนไหวบนเครื่องสี่เหลี่ยมเริ่มไม่เข้าสู่โสตประสาทการรับชมของคนที่นั่งบนเตียง ผมขยับตัวเปลี่ยนท่าให้สบาย เริ่มตั้งสติใหม่จนต้องกดย้อนกลับไปดูวิดีโอตั้งแต่ช่วงเวลาที่โดนเล่นงาน จนกว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ทั้งห้องก็ตกอยู่ภายใต้แสงสลัวและมีใครสักคนที่เข้ามานั่งด้านข้างพร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดจากสบู่

   ม่านพิงหลังไปกับหัวเตียง ใช้หมอนใบหนึ่งรองคั่นให้ความนุ่ม เจ้าตัวอยู่ในท่าเดียวกับผมที่นั่งอยู่ก่อน และตอนนี้ดูเหมือนระยะห่างระหว่างเราเริ่มลดลงมากขึ้นเรื่อยๆตามการขยับของอีกฝ่าย

   ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขาจ้องมองอะไรอยู่เพราะตัวเองไม่ได้เอนพิงไปอย่างเต็มน้ำหนัก เป็นเพียงการนั่งตัวตรงเพียงแค่นั้น ต่างจากม่านที่เอนไปด้านหลังเสียมากกว่า ถึงแม้จะรู้สึกได้ว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดแต่ก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เป็นเวลาชั่วครู่ที่แขนแกร่งพาดผ่านไปกับขอบเตียง ทิ้งความยาวให้ผ่านผมคล้ายกับโอบเอาไว้กลายๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้ใกล้ชิดกันจนดูน่าใจหาย แต่แบบนี้ก็ชวนทำให้รู้สึกวาบหวิวอย่างบอกไม่ถูก

   ทั้งการที่เราอยู่บนเตียงร่วมกันสองต่อสอง
   การที่เขามานั่งเคียงข้างท่ามกลางไฟสลัว
   การที่แขนเจ้าตัวพาดผ่านไปอย่างหมิ่นเหม่

   แถมในตอนนี้ ม่านก็เข้ากระซิบพร้อมกับชวนพูดคุยเนื้อหาที่พ้นผ่านอย่างอารมณ์ดี

   “ทำไมเลือกเรื่องนี้หรอ?”

   เสียงเขาดังใกล้บริเวณใบหู รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนตามจังหวะการพูดคุย ผมเอนตัวออกเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป ตอบกลับแม้จะยังไม่หันไปมอง

   “ไม่รู้จะดูเรื่องไหน”
   “อ่อออ”

   เขาลากเสียงคำว่าอ่อยาวเสียจนน่าแปลกใจ แต่ผมก็ยังทำเป็นตั้งใจดูต่อ แต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่ล่วงเลยข้ามวันก็เริ่มย้ำชัดว่าต้องได้รับการพักผ่อน ร่างกายผมเลยตอบสนองเป็นการหาวที่บ่งบอกว่าพร้อมจะเข้านอนเสียที ม่านคงสังเกตได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ทักท้วงอะไรต่อจากนั้นและปล่อยให้ผมนั่งดูหนังต่อไปเงียบๆ

   จนถึงจังหวะหนึ่ง
   ที่ผมรู้สึกว่าเขาเงียบเกินไปจึงได้หันกลับไปมองเพราะคิดว่าเจ้าตัวอาจจะหลับไปแล้ว แต่กลับพบว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิมพร้อมกับอมยิ้ม ไม่รู้ว่าจะชอบใจอะไรนักหนาแต่เมื่อผมหันกลับไปสนใจภาพยนตร์ตรงหน้า

   ผมถึงได้เข้าใจ

   ‘อึก อ่ะ อ๊าา’
   ‘อื้ออ’


   เมื่อฉากเร่าร้อนกำลังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดนานหลายนาที

   ผมรู้ว่าเขารู้ และผมคิดว่าเขาไม่แม้แต่จะห้ามไม่ให้ผมดูตั้งแต่ต้น อันที่จริงจะบอกว่าความผิดเขาทั้งหมดก็ไม่ใช่ ในเมื่อเป็นผมเองที่เลือกเข้ามาในห้องอีกฝ่าย เลือกภาพยนตร์ขึ้นฉายบนจอสี่เหลี่ยม และเลือกที่จะไม่ปฏิเสธเจ้าตัวในตอนที่โดนจู่โจมแต่ละอย่าง

   เมื่อเป็นดังนั้น

   ‘ซี้ดส์ อ๊าาา’

   พรึบ!


   ผมเลยรีบกดปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กเพื่อให้ทุกอย่างดับวูบลงพร้อมกับมัน

   หลากหลายความรู้สึกที่เริ่มสาดเทเข้ามาอย่างหนักทำให้ผมต้องพยายามตั้งสติอีกครั้ง ยื่นส่งเครื่องสี่เหลี่ยมคืนไปให้เจ้าของที่นั่งด้านข้างก่อนจะขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่ ม่านรับมันไว้ แต่ก็ยังถามกลับเมื่อรู้หนทางที่จะแกล้ง

   “อ่าว ไม่ดูต่อแล้วหรอ?”
   “ง่วง”
   “นึกว่าชอบซะอีก”

   ผมกัดฟันกรอด ใช้มือโยกหัวไอ้หมาไปหนึ่งรอบก่อนจะโต้ตอบฉับพลัน

   “มึงสิชอบ ดูบ่อยล่ะสิท่า”
   “ระดับเค้าไม่ดูอะไรแบบนี้หรอก”
   “...”
   “อยากดูก็เปิดเว็บดูเลยต— อย่าตี ฮ่าๆ”

   เมื่อเขาเห็นว่าผมง้างมือเตรียมจะลงไม้ลงมืออีกรอบเจ้าตัวก็รีบใช้มือใหญ่มาจับเอาไว้ทันท่วงที เรายื้อแย่งกันอยู่สักพักจนเขาหัวเราะร่า ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระแล้วเอ่ยถาม

   “จะนอนแล้วใช่มั้ยเค้าจะได้ปิดไฟให้เลย?”
   “อืม”
   “โอเคครับ”

   เขาเดินจากไปโดยไม่ทิ้งจังหวะให้ผมถามอะไรกลับ ฉับพลันทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาหายลับไปยังห้องโถง ผมคิดว่าม่านคงจะนอนที่เดิมคือบนโซฟาตัวเก่งแบบที่เรามักจะแยกกันอยู่ตลอด

   แต่คราวนี้ผมกลับคิดผิด

   เมื่อไม่กี่นาทีต่อจากนั้นผมรู้สึกได้ถึงการยุบลงไปของฟูกนุ่มที่รองรับน้ำหนักตัวเองเอาไว้ เป็นการบ่งบอกว่ามีผู้บุกรุกคนใหม่ที่ใช้งานเตียงหลังใหญ่เหมือนกัน

   โชคดีที่ผมนอนหันข้างไปอีกทาง เขาเลยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผมหลับไปหรือยังจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ผมใช้โอกาสนั้นทำเป็นแกล้งว่าตัวเองไม่ได้รับรู้ พยายามหายใจเข้าออกเป็นจังหวะคล้ายกับว่าเข้าสู่ห้วงนิทราแสนหวาน

   ทั้งที่ความเป็นจริงมันช่างยากยิ่งกว่าการดูหนังพวกนั้นเสียอีก

   ใจดวงเล็กเต้นรัวเมื่อควบคุมจังหวะมันไม่ได้ นานเข้ากว่าที่สายตาผมจะปรับเข้าหาความมืด มองเห็นแสงจากเมืองใหญ่ลอดผ่านปลายผ้าม่านที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกได้ถึงการขยับตัวไปมาของคนที่นอนข้างกัน และในตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่รอมร่อ

   แขนของม่านก็สอดเข้ามาแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดแผ่วเบา

   ไม่รู้มาก่อน
   ว่าคนเมาก็ขี้อ้อนไม่แพ้คนป่วย


   ใจเขาเต้นแรงไม่แพ้กัน เจ้าตัวเกยคางเอาไว้บนไหล่ ขยับใบหน้าซุกไซร้อย่างใจหมาย สูดดมกลิ่นที่อยู่บนร่างกายผมทีละนิด  ปล่อยให้แผงอกกว้างทำหน้าที่รองรับร่างผมเข้าไปให้ความอบอุ่น ทั้งๆ ที่ผมอยากจะปฏิเสธไปตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังทำเป็นนิ่งเพราะยอมแพ้ให้กับสัมผัสของเขา


   “อืออ” ผมดิ้นเมื่อรู้สึกนอนได้ไม่ถนัด อาจเพราะมีพันธนาการจากเขาที่กอดตัวเองเอาไว้อยู่ตลอด

   “ม่าน” จนสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวจึงเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว
   “ครับ” เขาตอบรับ น้ำเสียงอู้อี้ไม่ต่างจากเสียงผมเท่าไหร่ “นอนไม่หลับหรอ?”

   แอบแปลกใจเล็กน้อยที่เขารู้ว่าผมเองก็ยังไม่นอน แต่ก็ต้องยอมรับในเมื่อเขาทำแบบนี้แล้วผมยิ่งไม่สามารถหลับตาลงได้เลย

   “อือ”
   “เพราะเค้ารึเปล่า?” ลมหายใจเขากระทบแผ่นหลัง บ่งบอกได้อย่างดีว่าม่านแนบริมฝีปากไปบนบริเวณนั้น ที่เขาไม่เคยห่างเลยแม้สักวินาที

   “อืมม”

   เขายังไม่ยอมปล่อยจนผมต้องทักท้วงกลับ  คราวนี้ผมต้องขยับตัวไปมาเพื่อคลายอ้อมกอดนั้นเสียแทน

   “แน่น”
   “...”
   “...”
   “ขออยู่แบบนี้ก่อนนะ”

   คำร้องขอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เจ้าของห้องขยับตัวเล็กน้อย ปล่อยให้แขนแกร่งรวบตัวผมไว้อย่างหลวมๆ ต่างจากตอนแรก ผมยังนิ่ง ไม่สามารถหลับตาลงได้อีกจากการกระทำของม่าน

   เพราะมันเริ่มไม่ปลอดภัย
   ทั้งต่อใจและต่อความรู้สึก

   คนตัวสูงหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เชื่องช้าแสนรันจวนใจ นิ้วเรียววนไล้เข้าหานิ้วเขา เกาะเกี่ยวตวัดเอาสองมือเข้าหา ค่อยๆ ไล้นิ้วไปมาบนหลังมือนุ่ม ก่อนจะลากไปตามผิวเนื้อแต่ละจุดไม่เกินนั้น เกาะกุมมันไว้ยังบริเวณหน้าท้องของผมที่มีแขนแกร่งอีกข้างพาดทับอยู่

   “กลัวเค้ามั้ย?” เขาถาม เนิ่นนานที่ปล่อยความเงียบเข้าเล่นงานระหว่างเราทั้งคู่
   “...”

   เพราะไม่รู้จะตอบออกไปว่ายังไง ผมเลยเลือกที่จะนิ่งเหมือนเคย

   “เธอควรจะกลัวเค้านะ ถ้าเค้าจะทำอะไรเธอนี่เค้าทำได้ง่ายๆเลยเถอะ” ม่านถามย้ำอีกเป็นครั้งที่สอง สุดท้ายผมก็ต้องบอกเหตุผลพร้อมกับคำตอบที่เก็บเอาไว้
   “ถ้ามึงจะทำมึงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก”
   “...”
   “เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ถึงได้ไม่กลัวเท่าไหร่”

   เขาหัวเราะร่วน วนไล้นิ้วต่ออย่างเพลินใจ

   “ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเด็กดี”

   เป็นครั้งแรกที่ผมยอมให้เขาเข้าถึงร่างกายของตัวเองมากขนาดนี้ อาจเพราะม่านจู่โจมไม่ทันได้ตั้งตัวและผมไม่กล้าปฏิเสธ ทุกอย่างเลยลงเอยที่เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงหลังใหญ่พร้อมบรรยากาศที่แปลกไปจากปกติ

   อันที่จริง
   ต้องเปลี่ยนเป็นม่านนอนกอดผมเสียมากกว่า

   “ม่าน”
   “ครับ”
   “เล่าเรื่องแฟนเก่าให้ฟังหน่อยสิ”

   ไม่รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ จู่ๆถึงได้ขอร้องเขาออกไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าม่านจะยอมทำตามหรือเปล่าแต่ถ้าเขาปฏิเสธ ผมก็ไม่คิดจะถามซ้ำให้มากความ

   “คนล่าสุดหรอ?”   
   “...”
   “...”
   “อืม”

   มือใหญ่หยุดวนไล้แล้วเข้ากอบกุมมือผมแทน

   “มึงเคยมีแฟนมาแล้วกี่คนล่ะ?”

   คำถามยังมีต่อไปไม่หยุด คล้ายกับว่าสมองผมกำลังแล่นเพราะได้ขบคิดอะไรบางอย่าง

   “สอง”
   “...”
   “ตอนม.ห้าคนนึง แล้วก็ตอนปีหนึ่งคนนึง”
   “แสดงว่าคบกันไม่นานทั้งคู่อ่ะดิ?”
   “อืมม จะว่างั้นก็ได้นะ” เขาเว้นช่วงไปพักใหญ่ “คนแรกตอนม.ห้านี่คบสองปี  นี่ถือว่านานไหมอ่ะ สำหรับเค้าก็ไม่นานนะ พอเค้าเข้ามหาลัยก็เลิก จนมาเจอคนที่สอง คุยกันไม่นานก็คบเลย”
   “แล้วคนที่สองคบนานไหม?”
   “เจ็ดเดือน”
   “แปบเดียวเอง”
   “ใช่ครับ แต่อันนี้ต้องโทษเค้าที่เหี้ยเองอ่ะ ช่วยไม่ได้ที่จะแปบเดียว”

   ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เขายอมบอกออกมาจนหมด แม้กระทั่งความผิดของตัวเองที่มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

   “ยังไง?”
   “เหมือนยิ่งคุยไปมันยิ่งไม่ใช่ ตอนนั้นตัดสินใจเร็วด้วยแหละ เพราะตอนปีหนึ่งมันเหมือนเจอแต่อะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ ชีวิตใหม่ สังคมใหม่ มันก็หลงระเริงในระดับนึงอ่ะ นานไปถึงรู้ว่าเข้ากันไม่ได้ เค้าก็เริ่มไม่มีเวลาให้จนห่างกันไปเรื่อยๆงี้”
   “เสียใจมั้ย?”
   “พอย้อนกลับไปก็เสียใจนะ อยากจะกลับไปขอโทษเขาและทำให้เรื่องมันถูกที่ถูกทางมากกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ตอนนั้นเด็กก็คิดอะไรไม่ค่อยได้”

   ดูเหมือนม่านที่ผมเคยเจอและม่านในอดีตจะเติบโตขึ้นเยอะจากเรื่องดังกล่าว เมื่อรับรู้ในสิ่งที่เขาเล่า น้ำเสียงที่ส่งผ่านยังเจือไปด้วยความผิดหวังในตัวเองแบบที่เจ้าตัวพูด

   “แล้ว...เป็นผู้ชายทั้งคู่เลยหรอ?” คราวนี้ผมกลั้นใจถาม เป็นสิ่งที่สงสัยมานานและยังไม่ได้คำตอบ
   “เปล่าครับ คนแรกเป็นผู้ชาย แต่คนที่สองไม่ใช่”
   “...”
   “อันที่จริงเค้าก็ไม่ได้สนใจหรอกนะว่าเป็นเพศไหน แค่คุยกันรู้เรื่อง พูดแล้วเข้าใจแค่นั้นมันก็พอแล้ว เค้าว่าเธอก็คงเป็นเหมือนกัน”

   เพราะเข้าใจดีถึงเหตุผลของเจ้าตัวผมเลยเอาแต่ครุ่นคิดนานไปเสียหน่อย ม่านดึงผ้าห่มให้ขึ้นสูง มันช่วยบดบังความหนาวเย็นจากลมแอร์ได้ดีไม่น้อย

   “กูเคยมีแฟนคนนึง” เมื่ออีกคนเล่าเรื่องของเขาแล้วเสร็จ มันก็ถึงคราวที่ผมยอมเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง

   เป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครได้ฟังบ่อยนัก

   และเป็นเรื่องราวที่เก็บเอาไว้ในใจมาโดยตลอด

   “ชื่อมาร์ช อายุเท่ากัน เป็นลูกชายของคุณป้าบ้านข้างๆ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งกูและมันต่างคนก็ต่างไม่คิดด้วยซ้ำมั้งว่าจะมาลงเอยกันได้”

   ผมอมยิ้มเมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต อีกคนตั้งใจฟัง กุมมือผมไว้แน่นคล้ายกับจะบอกว่าเจ้าตัวจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

   “พี่มาร์ชหล่อมั้ย?”
   “ไม่รู้ดิ เห็นมันมาตลอดก็เฉยๆนะ”
   “หล่อกว่าเค้ามั้ย?”
   “อะไรของมึง?”
   “พี่มาร์ชกับเค้าใครหล่อกว่าหรอ?”

   ม่านเซ้าซี้ จนผมต้องแอบดันศอกไปโดนหน้าท้องทำให้คนด้านหลังดิ้นยุกยิก

   “ถามไม่เข้าเรื่อง”
   “ฮ่าๆ”

   อันที่จริงผมอยากจะหันหลังกลับไปซัดเขาซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อโดนรวบไว้แบบนี้ก็ยากจะทำตามสิ่งที่คิดได้ทุกอย่าง

   “แล้วพี่มาร์ชจีบเธอนานไหม?”
   “อืมมม…” ผมคิด รื้อฟื้นความทรงจำวันเก่าให้หวนย้อน “ต้องบอกว่าไม่ได้จีบเลยมากกว่า”
   “...”
   “มันเหมือนเราเริ่มจากเป็นเพื่อนสนิทกันก่อน จากนั้นก็มีเรื่องให้เราค่อยๆได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น จนสุดท้ายก็ตกลงที่จะอยู่ในฐานะแฟนแบบนี้ล่ะมั้ง”
   “ดีจัง”
   ผมไม่ได้แย้งแม้ภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาไม่รู้จบ เพราะทุกอย่างถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผมตั้งแต่ที่มีเขา

   “แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ เขาทำเธอเสียใจหรอ?”
   “เปล่า” ผมเว้นช่วง “มาร์ชมันเป็นแฟนที่ดีมากๆของกูเลยก็ว่าได้นะ เป็นคนดูแลคนอื่นเก่ง พึ่งพาได้ทุกอย่าง เป็นคนที่อยู่กับกูทุกครั้งเวลากูไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร แต่ก็นั่นแหละ พอยิ่งโตเราก็ยิ่งรู้ว่าที่อยู่ด้วยกันมันเพราะผูกพันมากกว่า ไม่ใช่ความรักแบบที่เข้าใจกันตั้งแต่แรก กูก็มีทางของกู เขาก็มีทางของเขา เราเลยตัดสินใจเลิกกันและเป็นเพื่อนสนิทเหมือนเดิมดีกว่า ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่เลือกเปลี่ยนสถานะที่จะรัก แค่ได้มองมันอยู่ตรงนี้ก็มีความสุขแล้ว”

   มันอาจเป็นอดีตที่ยาวนาน แต่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีสักเรื่องราวที่ไม่ว่าจะเล่ามันออกมากี่ครั้งก็จะยิ้มให้มันเสมอ

   เรื่องของมาร์ชสำหรับผมเป็นแบบนั้น

   ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเล่าเรื่องของเขา ริมฝีปากผมก็ยกขึ้นโดยอัตโนมัติคล้ายกับว่ามันถูกบังคับตามธรรมชาติ อาจเพราะเขาคือความทรงจำที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผู้ชายคนนี้ ทุกอย่างเลยพรั่งพรูออกมาจากใจและแทบไม่ต้องสรรหาคำพูดไหนเพื่อให้ดูสวยหรูและสมบูรณ์แบบ

   ด้วยเพราะเวลาที่ผ่าน ความทรงจำเหล่านั้นถึงได้ก่อร่างสร้างคุณค่าในตัวมันเองอยู่ภายในใจดวงเล็กตลอดมา

   “มีความสุขใช่ไหมล่ะครับ?” คราวนี้เขาถาม ไม่ได้มีความรู้สึกอิจฉาหรือน้อยใจในน้ำเสียง
   “...”
   “พี่มาร์ชทำให้เธอมีความสุขมากๆเลยล่ะสิ”

   มือใหญ่เลื่อนมาวางไว้บริเวณศีรษะ การกระทำทุกอย่างนุ่มนวลไม่ต่างจากคำพูดของเขาแต่ละประโยค

   “อืมม”
   “...”
   “มีความสุขมาก”

   ม่านไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ค่อยๆคลายอ้อมกอดแล้วพลิกตัวผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า อาจเพราะเราอยู่ในความมืดมาแสนนาน ดวงตาเลยปรับสภาพการมองเห็นให้คุ้นชินกับมันได้อย่างคงที่ ใบหน้าเขาอยู่ชิดใกล้ ดวงตาเป็นประกายต้องแสงเพียงน้อยนิด

   และเขากำลังยิ้ม

   เป็นยิ้มแสนจริงใจเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากใครบางคน

   “เค้าไม่รู้หรอกนะว่าเค้าจะทำให้เธอมีความสุขได้เท่าที่พี่มาร์ชทำหรือเปล่า แต่ตอนนี้เค้าก็พยายามนะ เพราะเค้าอยากให้เธอมีความสุขมากๆ อยากจะเห็นเธอยิ้มแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากให้เธอรู้ว่าเธอยังมีเค้าอีกคนที่จะคอยรับฟังเธอทุกอย่าง...” มือใหญ่เลื่อนมาปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผมออก “...เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นน้องก็ได้ ยังไม่ต้องลืมพี่มาร์ชก็ได้...”

   ผมชะงักเมื่อเขาพูดประโยคสุดท้าย ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายคิดว่ามาร์ชยังสำคัญสำหรับผมแน่ๆ

   “ทำไมถึงคิดแบบนั้น เพราะคำถามที่กูไม่ได้ตอบวันที่ไปบ้านไอ้เหนือหรอ?”
   “ก็ด้วยครับ”

   เขาอมยิ้ม ยอมเผยทุกอย่างที่อยู่ในใจ นิ้วโป้งเลื่อนมาวางไว้ชิดผิวเนื้อบริเวณแก้มแบบที่ชอบทำ ลูบไล้มันไปมาจนรันจวนใจ ผมนิ่งคิด ก่อนจะประคองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยมือซ้าย แล้วยอมบอกความลับของตัวเองกลับไปบ้าง

   “มาร์ชไม่ได้สำคัญสำหรับกูขนาดนั้น”
   “...”
   “รู้ใช่ไหม?”

   เราสบตา
   โลกทั้งสองใบดูเหมือนจะไร้กาลเวลาในยามดึก

   “...ไม่รู้ว่าตอนไหน...แต่มึงสำคัญมากกว่านั้นไปแล้ว”
   “...”
   “สำคัญ...จนถ้าวันนึงมึงหายไป กูก็คงจะเสียใจไม่น้อยเหมือนกัน”

   ทุกอย่างนิ่งงัน มีเพียงเสียงหัวใจของผมและเขาที่ยังเต้นแข่งกันด้วยจังหวะระรัว เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านเชื่องช้า คล้ายกับว่ามันเดินทางข้ามอวกาศที่ไร้สภาวะอย่างเช่นใจผมกำลังเป็นอยู่ ใบหน้าของเราเคลื่อนเข้าหากันจนไม่มีที่ว่างให้อากาศลอดผ่าน คราวนี้ไม่มีการเอ่ยคำร้องขอ มีแต่สายตาที่เปรยมองบ่งบอกการกระทำถัดไปของเจ้าตัว

   ม่านโอบล้อมผมเอาไว้
   จากอ้อมกอดที่ยังไม่ละไปไหน

   และจากจูบที่มอบให้ อ่อนหวาน เนิ่นนานและไม่ทันได้ตั้งตัว

   ผมค่อยๆตอบสัมผัสของเขาที่แทรกเข้ามา ริมฝีปากหยักค่อยๆ ลัดเลียดไปตามอำเภอใจ ส่งลิ้นร้อนเข้ามาตวัดไล้ลิ้นผมอย่างชำนาญ ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบกันอย่างหนัก ส่งผ่านแลกเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายให้เราทั้งคู่  ม่านส่งความหลงใหลและเฝ้าใฝ่หาผ่านรสจูบแสนหวาน มือเขาบังคับศีรษะผมให้ได้องศา ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบรับกลับมาอยู่เรื่อยๆ เขารุกล้ำ ผมตอบรับ ไม่มีแม้สักครั้งที่เราจะห่างกันเกินเสี้ยววินาที

   คนตัวสูงเริ่มบดเบียดร่างกายเข้าหา ขายาวแทรกเข้ากลางลำตัวเพื่อแยกขาผมออก และกว่าที่จะรู้ตัว เขาก็อาศัยจังหวะหนึ่งขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนเป็นที่เรียบร้อย

   สองมือผมถูกกดลงบนฟูกนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เชิดหน้าขึ้นพร้อมกับหอบหายใจหนัก เพราะก่อนหน้านั้นเขาไม่ปล่อยผมให้ห่างเลยแม้แต่นิด

   “เธอควรจะกลัวเค้านะ”
 
   ม่านยังยืนยำคำเดิม
   และเป็นคำที่ผมเริ่มจะเห็นด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวนั้นก้มลงมาอีกรอบ

   เพื่อมอบจูบให้ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า

   ร้าย

   ผมบอกแล้วว่าเขาน่ะร้าย



   “อืมม”


   พอเมาแล้วก็ออกลายกลายร่างเป็นเสือ















#ผาเพียงฟ้า

เกลาสำนวนตอนนี้อยู่นานมากก
เหมือนไม่พอใจกับมันสักที
จนกว่าจะออกมาได้แต่ละฉากแต่ละตอนแบบนี้ บิ้วอารมณ์กันหลายวันเลยค่ะ

ปล.ตอนนี้เป็นฉากที่เราอยากแต่งที่สุดเลย
และจะบอกว่าถนัดฉากพวกสกินชิพและซีนอารมณ์แบบนี้มากๆ /ปิดตา
หวังว่าจะชอบนะคะ :-)


12/10/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-10-2019 23:43:07
โอ๊ยยยยยย สัมผัสได้ถึงความเอ็นดูของพี่เขา 555555555555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 13-10-2019 01:17:14
ร้ายก็รักนะ เจ้าม่านนน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 13-10-2019 03:14:01
จ้าวม่านกลายร่างเป็นเสือร้ายไปแล้วววว ชอบความที่ผาไว้ใจให้ม่านแตะเนื้อต้องตัวได้ คลอเคลียได้ เพราะที่ผ่านมาผาถ้าไม่ก็คือไม่จริงๆ น่ารักค่ะ  ยังไงรอติดตามต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจจจ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 13-10-2019 08:37:51
ร้ายพอกันน่ะแหละ อีกคนอ่อยอีกคนอ้อน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 13-10-2019 11:27:44
ฮืออออ เขินนนนนน จากไอ่หมากลายเป็นเสือแล้วน้องม่าน
รู้สึกว่าผามีเสน่ห์มากๆ ไม่แปลกใจไมน้องม่านหลงขนาดนั้น 55555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-10-2019 13:08:54
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 1 9 | your laugh, your smile and your kiss - P.3 (12/10/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 04-11-2019 00:12:59


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


20

and my words are as timed as the beating in my chest



_________


bgm : ร (w8) -  GENE KASIDIT


_________







   ​​​​เราสองคนไม่เคยพูดถึงเรื่องของคืนนั้นอีกเลย ผมทำเป็นลืมว่ามันได้เคยเกิดขึ้น ส่วนม่านก็ไม่ได้ตอกย้ำถึงสิ่งที่เราผ่านหลังจากที่เขาจู่โจมผมอย่างหนักเพราะอาการเมา

   ​​​​แต่ถึงอย่างนั้นเราต่างก็รู้ดีว่าจูบนั้นมันเป็นเรื่องจริง
   ​​​​และรู้ดีว่าเรายอมให้มันเกิดไม่ใช่แค่สถานการณ์ทุกอย่างนำพาไป

   ​​​​ผมยังจำอ้อมกอดของเขาได้ จำความรู้สึกภายใต้แขนแกร่งที่โอบร่างกายตัวเองเอาไว้ตลอดทั้งคืน ม่านซบหน้าลงกับแผ่นหลัง หายใจรินรดมันจนเกิดไออุ่นขึ้นเป็นวงกว้าง จังหวะสม่ำเสมอคล้ายกับเข็มนาฬิกาที่จะเคลื่อนผ่านด้วยเสี้ยววินาทีเดิมซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนไหน

   ​​​​นอกจากอ้อมกอดของเขา สิ่งที่ยังเด่นชัดในความทรงจำคือใจที่เต้นรัวแรงของเรา ในยามที่เขาโน้มตัวเข้าหา ปรนเปรอจูบจนกว่าจะพอใจแล้วยกตัวผมขึ้นด้านบนพร้อมกับให้ร่างตัวเองรองรับน้ำหนักเอาไว้อีกที เพราะเป็นแบบนั้น ร่างกายเราจึงแนบชิดแทบจะทุกสัดส่วนจากการช่วยเหลือของมือเจ้าตัวที่เป็นพันธนาการสานไว้บนแผ่นหลังบาง เพื่อไม่ให้มีระยะห่างระหว่างเราเพิ่มมากขึ้น

   ​​​​เพราะเป็นแบบนั้น
   ​​​​ผมจึงรับรู้จังหวะที่อยู่ภายในของใจอีกดวง

   ​​​​ใจเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ไม่ต่างกับใจผมที่มันแทบจะหลุดออกจากอก ม่านอมยิ้มเล็กน้อย แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะพูดออกมาแผ่วเบาท่ามกลางความมืด

   ​​​​“ใจเธอเต้นแรงมาก”

   ​​​​รู้
   ​​​​ไม่ต้องผมบอกก็รู้ความจริงข้อนั้นดีอยู่แล้ว


   ​​​​“ใจเค้าก็เหมือนกันเลยว่ะ”

   ​​​​เขาหัวเราะ เผยไต๋ออกมาจนหมดว่าตัวเองไม่สามารถเก็บอาการได้เลย แน่สิ เป็นผมผมก็ทำไม่ได้หรอก และคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็ทำไม่ได้เหมือนกันโดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนที่ตัวเองชอบ

   ​​​​เพราะเวลาแบบนั้นทุกอย่างมันก็ดูเหมือนจะอยู่เหนือการควบคุมไปเสียหมด

   ​​​​พรึบ!
   ​​​​หมับ!


   ​​​​“ปล่อย” ผมบอกเสียงเรียบ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะม่านยังเอาแต่ยิ้มแถมยังยุกยิกกับร่างกายผมมากขึ้นกว่าเดิม

   ​​​​ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ผมขู่เขาไม่ได้
   ​​​​ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาได้ใจจนไม่กลัวว่าผมจะรำคาญ

   ​​​​และตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ..ที่ผมเองก็เริ่มหวั่นไหวไปกับการแข็งข้อมากขึ้นเรื่อยๆของเจ้าตัว

   ​​​​“ไม่เอา”
   ​​​​“ม่าน”
   ​​​​“ครับ” ตาคู่นั้นหยีลง อีกคนยิ้มกริ่มอย่างชอบใจ

   ​​​​ผมเกือบจะพูดออกไปว่าท่านี้มันไม่ค่อยปลอดภัยต่อเราทั้งคู่ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงอ้าปากค้างพร้อมกับค่อยๆเม้มมันเข้าหากันในที่สุด ไม่อยากให้เขารับรู้ว่าตัวเองกำลังประหม่าแค่ไหนที่ทาบทับร่างกายแกร่งแทบทุกส่วนอยู่แบบนี้ นับตั้งแต่หน้าอกกว้าง ไล่จนไปถึงส่วนอ่อนไหวที่มันหมิ่นเหม่กันเสียจนต้องพยายามไม่คิดเลยเถิดไปไกล

   ​​​​เพราะถ้าทำแบบนั้น ม่านต้องรู้แน่ๆว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกกับเขาแบบเดิม

   ​​​​แต่สุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยให้ตัวผมนอนลงข้างๆ กกกอดเอาไว้เหมือนเดิมโดยที่เราสองหันหน้าเข้าหา จนกว่าที่ผมจะพลิกตัวไปอีกทางถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่เขาทำแบบนั้นมันเพราะอะไร

   ​​​​ก็คงมีแค่บางอย่างที่มันดุนดันอยู่ด้านหลังในตอนที่ม่านกอดผมเอาไว้
   ​​​​คงเพราะแบบนั้น...เขาถึงได้ยอมปล่อยให้ผมนอนลงตามเดิม

   ​​​​เป็นเวลานานกว่าที่ม่านจะขยับท่าให้ตัวเองซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างพอดี เจ้าตัวคงกลัวว่าอารมณ์คุกรุ่นจะกลับมาอีกจึงปล่อยให้บางอย่างสงบลงก่อนถึงได้เข้าใกล้ตัวผมอีกครั้ง พอทำแบบนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงไปถนัดตา ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้สูงน้อยไปกว่าเขา แต่ไม่รู้ทำไมเจ้าตัวถึงได้ดูตัวใหญ่กว่าเมื่อเราเทียบกันในแนวราบ

   ​​​​ม่านไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ใช่แค่คืนนั้น แต่รวมถึงครั้งอื่นๆที่เราเจอกันด้วยความบังเอิญ เขายังคุยเล่นกับผมตามปกติ ไม่ได้เข้ามาทำให้รำคาญ เว้นระยะห่างที่พอดีจนน่าใจหาย ทั้งที่ความสัมพันธ์ของเราสองคนกำลังจะออกเดินไปอีกไกลแต่เขาก็กลับทำเหมือนว่าไม่มีอะไรต่างจากที่มันเคยเป็นอยู่

   ​​​​แปลก
   ​​​​หรือผมคิดว่ามันแปลกอยู่คนเดียวก็ไม่รู้




   ​​​​“น้องอินกินเหล้าหรือเบียร์อ่ะ?” นักชงมือวางอันดับหนึ่งของกลุ่มหันไปทางสมาชิกใหม่ของโต๊ะเราในวันนี้ เจ้าตัวเบิกตาขึ้นก่อนจะบอกถึงสิ่งที่ต้องการ

   ​​​​“เหล้าก็ได้ครับ”
   ​​​​“กับโค้กหรือโซดาน้ำเปล่า?” นาวาถามซ้ำ ในมือทั้งสองข้างจับขวดพร้อมจะเทตามแอลกอฮออล์ที่กวาดลงไปเกือบหนึ่งส่วนสามของแก้ว

   ​​​​“โค้ก” เป็นไอ้เหนือที่ตอบแทน มันหรี่ตามองคนที่นั่งด้านข้าง อีกคนก็ไม่ต่าง ยักคิ้วหลิ่วตาเป็นการบอกว่าขอบคุณที่ตอบให้

   ​​​​“นึกว่าอินเป็นน้องสายไอ้ทัพซะอีก” ไอ้ฮั่นที่นั่งข้างผมเอ่ยทักรุ่นน้อง อินรับแก้วในมือนาวามาวางไว้ด้านหน้าพร้อมกับหัวเราะให้กับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   ​​​​“อินเป็นสายรหัสพี่เหนือครับ ส่วนพี่ทัพเป็นสายเทค”
   ​​​​“อ่อ ก็ว่า”

   ​​​​ใบหน้าหวานดูน่ารักขึ้นหลายเท่าเมื่อคนตัวเล็กอมยิ้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนช่วยขับให้เจ้าตัวดูดีไม่หยอก ไม่ว่าจะมองยังไงผู้ชายคนนี้ก็ดูน่ารักในสายตาผม และคงไม่ต่างจากคนอื่นๆที่ร่วมโต๊ะ เพราะสรรพนามที่เรียกใช้แทบไม่มีคำหยาบให้ได้ยิน

   ​​​​ยกเว้นก็แต่พี่เจ้าตัวนั่นแหละมั้ง

   ​​​​“ทำไมวันนี้พาน้องมาด้วยล่ะวะ?” ไอ้ปัทถ์ถาม จับจ้องไปที่เพื่อนไม่วางตา
   ​​​​“อินอยากกินเฉยๆนี่แหละครับพี่ปัทถ์ พอดีพี่เหนือบอกว่าจะมากับเพื่อนพอดีเลยขอตามมาด้วย”
   ​​​​“มันอกหัก”
   ​​​​“เฮ้ย จะบอกทำไม”

   ​​​​ประโยคสุดท้ายแทบจะกลายเป็นการกระซิบกระซาบกันของคนสองคนที่นั่งเคียงข้าง รุ่นน้องฟาดมือไปที่ร่างแกร่งหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ส่วนไอ้เหนือก็อมยิ้มแล้วยักไหล่คล้ายชอบใจที่ได้แกล้ง ส่วนอินทำได้เพียงยิ้มจาง ก่อนที่จะคุยอะไรสักอย่างกับสายรหัสของตัวเองต่อ

   ​​​​“มึง” ไอ้ฮั่นที่นั่งด้านข้างกระซิบผมที่นั่งมองเหตุการณ์มาโดยตลอด
   ​​​​“อะไร?”
   ​​​​“มึงว่ามันซัมติงมะ?”

   ​​​​ผมไม่ตอบ แต่เหลือบมองเพื่อนตัวเองอีกหนึ่งครั้งเป็นการสอบถามว่าใช่เรื่องที่ตัวเองคิดไว้หรือเปล่า

   ​​​​“เออ นั่นแหละ เพื่อนมึงกับน้องอ่ะ”
   ​​​​“ไม่รู้สิ” อันที่จริงผมก็พอรู้สึกถึงบางอย่างที่มันต่างออกไปของไอ้เหนือ เป็นบางอย่างของมันที่ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าอะไร อาจจะรอยยิ้มชอบใจ การเอาใจใส่แบบแปลกๆ หรือแม้กระทั่งสายตาที่มองคนที่นั่งข้างกัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่อยากพยายามสรุปอะไรจากความคิดที่มีอยู่

   ​​​​เพราะไอ้เหนือก็ทำแบบนี้เป็นปกติกับทุกคนที่มันควงอยู่แล้ว

   ​​​​“มึงรู้สึกงั้นหรอ?” ผมถามกลับหลังจากยกแก้วขึ้นจิบ เหลือบตามองสองคนนั้นอีกรอบ และคราวนี้ก็พบว่าสัญชาตญาณผมไม่ได้คิดผิดว่าไอ้เหนือมันแปลกไปจริงๆจากที่เคยรู้จัก

   ​​​​จากแขนแกร่งที่พาดไปวางไว้ยังเก้าอี้ของอีกฝ่าย ผ่านเก้าอี้ของอินไปคล้ายกับโอบไว้กลายๆเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

   ​​​​ผมก็รู้ได้ทันทีเมื่อสบตากับไอ้ฮั่นอีกรอบ แล้วอมยิ้มคล้ายกับรู้กันว่าคิดอะไรอยู่ข้างใน

   ​​​​คนอื่นๆคงไม่ได้สังเกตจากมุมที่นั่งอยู่ เพราะผมและฮั่นนั่งตรงข้ามพวกเขาพอดีเลยทำให้ภาพที่เห็นชัดเจนยิ่งกว่า ไม่รู้ว่าไอ้เตที่นั่งข้างกันจะพอเอะใจไหม เพราะมันเอาแต่นั่งสูบบุหรี่เงียบๆไม่ได้สนใจใครแบบที่ชอบทำ

กลับไง? : AMAN

   ​​​​เพราะมัวแต่ฟังเพลงและคุยกับเพื่อนผมจึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนทักมาเมื่อชั่วโมงก่อน เขาไม่ได้ถามย้ำ คงเพราะรู้ว่าผมกำลังดื่มด่ำบรรยากาศช่วงค่ำคืนอย่างเพลิดเพลิน

   ​​​​Pha : จะไปส่ง?
ถ้าไปส่งต้องมีรางวัลนะ : AMAN
   ​​​​Pha : อะไรล่ะ?
พูดงี้แสดงว่าอยากให้ไป : AMAN

   ​​​​ม่านทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะรู้วิธีรับมือไม่ว่าผมจะมาไม้ไหน สุดท้ายก็ต้องจนมุมและยอมรับว่าเขาก็ทำให้ผมไปไหนไม่รอดเหมือนกัน

   ​​​​Pha : กูได้บอกแบบนั้นหรอไง?

   ​​​​เขาหายไปสักพัก ราวจะสิบห้านาทีกว่าจะตอบกลับมา

รางวัลไม่ใหญ่หรอก เค้าไม่ขออะไรที่มันเกินตัว : AMAN

   ​​​​ผมเงียบ ชั่งใจว่าจะเอาไงต่อ

อย่างน้อยก็ไม่ขอจูบเธอรอบสองแน่นอน : AMAN
ใครจะไปกล้าขอ : AMAN

   ​​​​ลิ้นร้อนถูกแลบเลียริมฝีปากบางเมื่ออ่านข้อความของเขาจนจบ คงเป็นครั้งแรกที่ม่านพูดถึงเรื่องคืนนั้น ตอกย้ำผมให้ชี้ชัดว่าเขาไม่ได้ลืมแถมยังเลือกเวลาเล่นงานผมได้ถูกเวลาเสียด้วย

   ​​​​‘วันนั้นมึงไม่ได้ขอ’

   ​​​​ข้อความหนึ่งประโยคยังค้างไว้ในช่องสี่เหลี่ยมสีเทา ผมอ่านทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่กล้ากดส่งเพราะถ้าทำแบบนั้นเขาก็คงจะรู้ได้ว่าผมไม่ได้ลืมเหมือนกัน ทั้งๆที่เราไม่เคยพูดถึงด้วยซ้ำ แต่ภาพทุกอย่างยังฉายชัดคล้ายกับว่ามันเพิ่งเกิด

   ​​​​ผมอ่านข้อความเดิมอีกหนึ่งรอบ ตัดสินใจลบมันทิ้งพร้อมกับที่มีข้อความใหม่ส่งมา

เค้านั่งอยู่โซนด้านนอกนะ : AMAN

   ​​​​เป็นการบอกว่าเขายืนยันที่จะรอและจะไปส่งผมที่หอให้ได้

   ​​​​Pha : อืม
   ​​​​Pha : ไม่เกินครึ่งชั่วโมง


   ​​​​แอลกอฮอลล์ที่อยู่ในแก้วถูกดื่มจนหมดเมื่อผมยกมันขึ้นเพื่อระงับอาการใจเต้นแรงของตัวที่ยังคงอยู่ สาเหตุมาจากการที่ผมยอมให้ม่านเข้ามาในโลกใบสีเทาอีกหลายก้าว จนตอนนี้เขาตั้งรกรากปักฐานไว้อย่างมั่นคงจนผมเองก็ยังแปลกใจ เขาเข้ามาอย่างเรียบง่าย มีพลังทำลายล้างทุกอย่างรวมถึงสิ่งสำคัญที่เคยอยู่ในใจผมมาตลอด

   ​​​​เสียงดนตรีขับกล่อมยังไม่หยุดลงในตอนที่ผมโน้มตัวไปหาไอ้ฮั่น บอกกล่าวว่าคืนนี้มีสารถีอาสาจะไปส่งโดยที่มันเองก็ไม่แปลกใจ เรานั่งกินกันอยู่สักพัก ไม่ได้ดื่มหนักเพื่อเฉลิมฉลอง แค่มาเติมเต็มสีสันในช่วงวัยรุ่นที่มันเริ่มขาดหายไปเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นผมจึงบอกลาโดยไม่ลืมยิ้มให้กับสายรหัสของใครบางคนที่เริ่มเอนเอียงไปทางเพื่อนตัวเองจนมันต้องเอามือรองรับไว้ ส่งสายตากลั่นแกล้งไอ้เหนือแม้เจ้าตัวมันจะอยากเอาคืนแต่ก็ทำได้เพียงดูแลร่างเล็กที่นั่งข้างๆ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมไอ้ฮั่นที่มันขอไปทักทายรุ่นน้องคนอื่นๆด้วย

   ​​​​กลุ่มของม่านสังเกตได้ไม่ยากเมื่อเดินออกมา อาจเพราะมีบางอย่างที่ดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างจึงทำให้ผมมองเห็นได้ทันที เขานั่งอยู่หัวโต๊ะ พิงราวกันตกที่มีไม้พุ่มประดับไว้อีกฟาก ในมือคีบบุหรี่ขึ้นสูบแล้วปล่อยควันออกมาช้าๆ เราสบตากันทันทีหลังจากที่ผมเดินเข้าไปหาจนอยู่ในรัศมีไม่ไกล

   ​​​​“พี่ฮั่น พี่ผา สวัสดีครับ” บางคนยกมือไว้ บางคนก็ผงกหัวให้เป็นการทักทายอย่างเคารพ ผมก็ก้มหน้าลงพลางนั่งยังเก้าอี้ที่รุ่นน้องหามาให้ ถึงแม้จะเตรียมตัวกลับ แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธจนดูเสียมารยาท

   ​​​​ฮั่นยกแก้วของตัวเองที่ถือมาชนกับแก้วคนอื่นๆ ปัทถ์รินแก้วให้ผมหนึ่งใบเพราะผมไม่ได้ถืออะไรติดมือมาด้วย สุดท้ายก็ต้องทำใจรับมันมาแล้วชนกับเขาบ้างตามธรรมเนียมการเจอกันในวงเหล้า เราดื่มมันจนหมดในรวดเดียว ก่อนที่ผมจะสังเกตเห็นว่าสายตาคู่หนึ่งมองมาจากคนที่นั่งตรงข้ามกันอย่างพอดี

   ​​​​เขานั่งหัวโต๊ะอีกฟาก ส่วนผมก็นั่งยังหัวโต๊ะอีกฟาก
   ​​​​จะมีก็เพียงแต่โต๊ะยาวที่คั่นกลางและควันบุหรี่ที่เจ้าตัวปล่อยออกมา

   ​​​​เสียงผู้คนรอบข้างดูจะแผ่วเบาลงไปถนัดตาเมื่อม่านเอาแต่จ้องจนเหมือนมีแค่เราสองคนที่นั่งอยู่ เสื้อเชิ้ตสีดำพลิ้วไหวไปกับการขยับตัว ต่างหูเขาสะท้อนแสงอยู่ชั่วครู่เมื่อมือข้างนั้นยกก้านสีขาวจรดริมฝีปาก สูดเอานิโคตินเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งแล้วพ่นควันลอยกรุ่นออกมาช้าๆ

   ​​​​มันคงจะดีกว่าถ้าเขาทำเพียงแค่นั้น ไม่มีรอยยิ้มประดับยามที่มองหน้าผมอยู่ตลอด และไม่มีแววตาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความสุขมากจนเก็บมันเอาไว้ไม่ได้

   ​​​​เขาเอาแต่ยิ้มและยิ้ม
   ​​​​เป็นเพียงสองอย่างที่ทำให้จังหวะการหายใจของผมผิดปกติไปจากเดิม

   ​​​​ไม่เข้าใจจริงๆ
   ​​​​ทำไมถึงเอาแต่ยิ้มแบบนั้นอยู่ได้


   ​​​​ผมเก็บคำถามนั้นไว้กับตัวจนกว่าเราจะเดินแยกออกมา มีสายตาคู่อื่นที่จับจ้อง แม้จะไม่ได้สนใจกับการมองแต่สีหน้าของม่านก็คงเป็นคำตอบให้กับเพื่อนเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ว่าความสัมพันธ์ของเขากับผมในวันนี้มันไม่เหมือนเดิมดังวันวาน

   ​​​​เขานั่งยังเบาะคนขับ รัดสายเข็มขัดนิรภัยก่อนจะสตาร์ทรถให้พร้อมใช้งานเมื่อเห็นว่าผมก็ทำตามทุกขั้นตอน เสียงเพลงจากวิทยุดังแทรกแผ่วเบาบนรถยนต์ที่มีผู้โดยสารเพียงสองคนเดินทาง เครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานจนทำให้ได้อุณหภูมิที่พอดี และก่อนที่เราจะได้ออกตัว ม่านก็หันหน้ามาทวงรางวัลที่เคยบอกเอาไว้

   ​​​​“เธอ”

   ​​​​เขาเอ่ยเรียกพร้อมกับชี้ไปยังแก้มตัวเอง เพียงแค่นั้น ผมก็รู้ทันทีว่าคนอายุน้อยกว่าต้องการอะไร

   ​​​​“ไหนบอกขอไม่เยอะไง?”
   ​​​​“นี่ไม่เห็นเยอะเลย”

   ​​​​อีกฝ่ายปฏิเสธ เอียงหน้ามองผมที่ถอนหายใจออกมายกใหญ่

   ​​​​ก็ใช่สิ
   ​​​​ให้ตาย
   ​​​​ใครจะไปกล้าทำ

   ​​​​“จะไม่ทำหรอ?”

   ​​​​เสียงที่เคยแหบแห้งกลับอ่อนลงกล้าเดิมหลายเท่า ผมกลอกตาขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย ปัดรางวัลข้อนี้ไปอย่างง่ายดายโดยไม่ให้เสียเวลา

   ​​​​“ขอเปลี่ยน”
   ​​​​“ข้อนี้ง่ายสุดที่ทำได้แล้วนะ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“มากกว่านั้นเธอเปลืองตัวมากกว่านี้อีกขอบอก”

   ​​​​ผมกัดฟันกรอด ไม่อยากจินตนาการคำว่าเปลืองตัวของเขาว่าจะมาในรูปแบบไหน เพราะเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทิ่มแทงด้านหลังตัวเองคืนนั้น ผมก็ไม่สามารถระงับอาการร้อนที่ขึ้นใบหน้าของตัวเองได้เลย

   ​​​​“เอาไง จะเปลี่ยนไม่เปลี่ยนครับ?”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”

   ​​​​ถึงแม้จะมีแต่ความเงียบแต่ม่านก็ยังนิ่งเพื่อรอคอย แต่เมื่อตอนที่รู้ว่าผมจะไม่ยอมทำตามใจ เจ้าตัวก็ลดมือลงพร้อมกับค่อยๆถอยออกไปทีละนิด และจังหวะนั้น

   ​​​​หมับ!
   ​​​​จุ๊บ!


   ​​​​“อ่า...”

   ​​​​ผมก็รีบโน้มตัวเข้าหาพร้อมกับแนบริมฝีปากบางให้สัมผัสกับแก้มเขาจนได้กลิ่นน้ำหอมลอยจาง

   ​​​​บนรถดูจะเงียบไปอีกครั้งเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นไม่ทันได้ตั้งตัว เขาอุทานในลำคอแผ่วเบา กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากคล้ายกับยังไม่ได้สติ ส่วนผมเองก็เช่นกัน ที่ต้องเลือกเบือนหน้าไปอีกทางเพราะแก้มของตัวเองน่าจะขึ้นสีจนแทบจะดูไม่ได้ วิวค่ำคืนค่อยๆเลื่อนผ่านไปเมื่อรถออกตัวด้วยความเร็ว

   ​​​​ผมเม้มปาก
   ​​​​ไม่กล้าหันไปมองม่านเมื่อมือตัวเองถูกคว้าไปจับเอาไว้จนรู้สึกอุ่น

   ​​​​ดูเหมือนวันนี้จะมีใครบางคนเล่นเกมโกงจนได้รางวัลเกินกว่าที่กำหนดไว้เสียอีก




50%















#ผาเพียงฟ้า

มาแล้วค่า หลังจากหายไปนานมากๆ เลยก็ว่าได้เนาะ ;-;
อันที่จริงแล้วเข้ามาแต่งทุกวันเลยค่ะ แต่ได้วันละนิดวันละหน่อย
ช่วงนี้ยุ่งจนไม่ได้ทำอะไรเลย ขอโทษด้วยน้าา ;_;
มาอัพให้ก่อน50% แล้วกันเนาะ อีก50%หลังจะตามมาไวๆเลย
สัญญาาาาา T___T

ตอนนี้เราชอบฉากที่คนน้องมันมองพี่มากๆ
มองแบบมองแล้วยิ้ม มองแบบมีอะไรในใจ
มองจนได้แต่คิดว่ามองอะไรวะ
ฮื่อ ชอบบ ถ้ามีคนมองแบบนี้คือตายได้เลยนะ ;____;

แล้วก็เพลงในตอนนี้ตั้งใจใส่มาเลยแหละค่ะ
บังเอิญว่าได้ฟังวงนึงเล่นเพลงนี้แล้วมันยังรันในหัวตลอดทั้งคืน
และมันเข้ากับตอนนี้ในครึ่งหลังด้วย
ไม่ได้ใส่ๆ ไปเฉยๆหรอกน้าา แหะ

อีกอย่างเลยก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ
พูดมาตลอดว่าไม่คิดว่าจะมีคนอ่าน555555
แค่นี้คือเกินคาดมากกๆๆ ขอบคุณครับบ <3

อ้ออ เกือบลืมมม
เรื่องของคุณคนนั้นถ้ามีโอกาสได้แต่ง
ก็น่าจะเจอกันที่ #พี่เหนือเป็นชู้ ค่ะ ><


4/11/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 04-11-2019 05:10:33
เอาใจช่วยม่าน​ อยากเห็นม่านได้รางวัลใหญ่
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 04-11-2019 07:13:29

เราก็ชอบฉากเดียวกันค่ะ น่ารักมากๆ ถ้ามีคำไหนบรรยายความรู้สึกได้มากกว่าคำว่า น่ารักมากๆ ก็คำนั้นแหละ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-11-2019 00:32:10
ละมุนมากกกกกก
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-11-2019 00:56:49
โอ้ยยย ผาใจอ่อนยิ่งน่ารักเข้าไปอีกกกก  :pighaun:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 05-11-2019 01:09:21
มาต่อแล้ววว ดีใจที่มาอัพต่อนะคะ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผากับม่านมันพัฒนาไปมากๆจากตอนที่เริ่มต้น มันป็นไปแบบๆ ไม่ได้หวือหวา แต่ก็ไม่ได้เรียบสงบ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ส่งกำลังใจให้คุณนักเขียนสู้ๆกับงานที่ล้นมือนะคะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-11-2019 07:11:23
เอาใจช่วยทั้งสองคนเลย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as the... - P.4 (4/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 06-11-2019 01:14:49



50%







   ​​​​ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านข้ามวันแต่ผมก็ตัดสินใจที่จะยังไม่เข้านอน เมื่อกลับถึงห้องก็รีบจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวก่อนจะมานั่งเล่นโทรศัพท์บนเตียงหลังใหญ่ เลื่อนเข้าแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อลดความเหงาในยามดึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวในค่ำคืนที่แสนเงียบสงบ

   ​​​​ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างนั้นมืดมิด ไม่มีแสงดาวหรือแสงจันทร์เป็นเพื่อนร่วมทางก้อนเมฆที่ลอยสูง มีเพียงแสงจากหลอดไฟในใจกลางเมืองที่ชูขึ้นจนส่องสะท้อนให้เห็นภาพที่อยู่ด้านบน ทุกอย่างเงียบเชียบ ยกเว้นแต่เพียงท้องถนนที่มีรถราแล่นผ่านไม่ขาดสาย นอกจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวของสิ่งใดเมื่อจดจ้องผ่านกระจกใสที่คั่นกลาง ผมเหม่อมองมันอยู่สักพัก ปล่อยให้ตัวเองได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ ซึมซับเอาบรรยากาศของวันใหม่และค่อยๆบันทึกมันไว้ในความทรงจำ

   ​​​​ว่าผมใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกแบบไหนในวันที่อายุครบ 22 ปีบริบูรณ์

   ​​​​เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงวันคืนเหล่านั้นทุกอย่างก็ดูจะผันผ่านรวดเร็วกว่าปีอื่นๆ ผมยังรู้สึกเหมือนว่าวันเกิดปีที่แล้วเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อวาน มันช่างเรียบง่ายและไม่มีอะไรสลักสำคัญมากนักสำหรับตัวผมเอง ไม่มีดอกไม้ ไม่มีของขวัญ ไม่มีการเฉลิมฉลอง ไม่มีคำอวยพรเพราะผมคิดว่ามันไม่ใช่วันที่แสนพิเศษ  แค่วันธรรมดาวันหนึ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าทุกลมหายใจที่อนุญาตให้ผมได้มีชีวิตอยู่เพื่อเก็บเกี่ยวความสุขบนโลกใบนี้

   ​​​​ผมมักจะใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า จดจำสิ่งต่างๆรอบตัวเผื่อวันหนึ่งต้องมองย้อนกลับมาจะได้รู้ว่าตัวเองเติบโตจากเดิมเยอะขึ้นมากแค่ไหน ส่วนมากผมมักจะออกไปสูดอากาศที่สวนสาธารณะหรือริมแม่น้ำ ไปใช้ชีวิตในโลกกว้างเพื่อมองผู้คนเสียมากกว่า และนอกจากนั้นผมก็มักจะจบลงด้วยการอยู่กับเพื่อน ไม่มีการดื่ม เป็นเพียงการพูดคุยเล็กๆน้อยๆโดยที่พวกมันก็ไม่ทราบว่านั่นเป็นวันสำคัญของผม ทั้งหมดก็เพื่อที่จะให้ตัวเองเรียนรู้ที่จะขอบคุณพวกเขา

   ​​​​ขอบคุณคนเหล่านั้นที่ทำให้ชีวิตผมขับเคลื่อนไปด้วยความสุข

   ​​​​ผมผ่านมันมาแบบนั้นเสมอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ตัวเองเฉยชากับเรื่องพรรค์นี้ เท่าที่พอจะจำความได้ก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เป่าเค้กเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ผมไม่ได้อิจฉาหรอก เพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเฉลิมฉลองในวันนี้เสียมากกว่า

   ​​​​แอปพลิเคชันต่างๆถูกเลื่อนผ่านแล้วกดเข้าไปใหม่ ผมตัดสินใจกดเข้าดูอินสตาแกรมเมื่อเห็นว่าไอ้เหนือเพิ่งอัปโหลดรูปภาพไปได้ไม่นาน เป็นภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกถ่ายจากมุมหนึ่งบนตึกสูง วิวที่เห็นไม่ต่างจากดาดฟ้าห้องผมมากนัก มันไม่ได้ใส่คำอธิบายไว้ใต้นั้น มีเพียงแค่อีโมจิเป็นรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ไม่สอดคล้องกับภาพที่ลงเท่าไหร่ ผมกดถูกใจ ก่อนจะเปลี่ยนมาดูสตอรี่ของเพื่อนคนอื่นแทน

   ​​​​แอคเคานท์ของไอ้ฮั่นขึ้นมาคนแรก เป็นวิดีโอที่ถ่ายภาพบรรยากาศในร้านที่เราเพิ่งไปมา เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่แต่ถึงอย่างนั้นเสียงดนตรีภายในร้านก็กลบจนหมด แอคเคานท์ต่างๆถูกเลื่อนไปเรื่อยๆ ให้รับชม มีของไอ้ปัทถ์ที่ถ่ายไอ้ตินกำลังดื่มแล้วเจ้าตัวก็หันมองกล้อง ต่อจากนั้นเป็นภาพนิ่งที่มันถ่ายอย่างเบลอๆซึ่งผมไม่สามารถทราบได้ว่าคืออะไร

   ​​​​จนมาหยุดอยู่ที่แอคเคานท์ของคนคนหนึ่ง คนที่อาสามาส่งผมที่หอและขอรางวัลใหญ่ เจ้าตัวถ่ายรูปกาแฟที่ดื่มไปเมื่อตอนบ่าย อัปโหลดมันให้เห็นพร้อมกับบอกสถานที่ร้านที่ตั้งอยู่ จากนั้นเป็นวิดีโอที่ถ่ายเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมวงเข้าหากันโดยน่าจะเป็นร้านเดิม มีสองคนกำลังสูบบุหรี่ อีกหนึ่งคนเล่นกีตาร์คลอเบาๆ มีหนึ่งคนที่ดึงดูดสายตาผมเพราะรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์มากเพียงแค่ขยับตัว สุดท้ายก่อนวิดีโอนั้นจะตัดไป กล้องก็เลื่อนเปลี่ยนมุมให้เห็นบนโต๊ะตรงกลางที่มีแต่ซองบุหรี่และไฟแช็ก รวมกับแก้วกาแฟที่ตั้งระเกะระกะ

   ​​​​ดูเหมือนว่าม่านจะสูบบุหรี่จัดในช่วงหลังๆ
   ​​​​เกเรเหมือนกันนี่หว่า


   ​​​​และสตอรี่สุดท้ายที่เขาอัปโหลดเป็นภาพนิ่งเช่นเดียวกับอันแรก แต่คราวนี้เป็นภาพที่เจ้าตัวถูกถ่ายจากมุมเดียวที่ผมนั่งมองเขาบริเวณหัวโต๊ะ และเป็นภาพเดียวกับที่ผมเห็นเขาทำแบบนั้น ม่านในรูปกำลังพ่นควันกรุ่นลอยสูง ในมือถือก้านขาวที่มีไฟจุดติดบริเวณปลาย คีบมันไว้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วนางข้างซ้าย ใบหน้าแหงนขึ้นจนเห็นสันกรามเด่นชัด ภาพเบลอเล็กน้อยเพราะความสั่นและควันที่มันลอยกลบ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าและสายตาของเขาทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากได้เลย

   ​​​​ดวงตาเรียวเหล่มอง มีความดุดันอยู่ในแววตาแบบที่หาไม่ได้บ่อยๆ เสื้อเชิ้ตที่สวมใส่ก็ปลดกระดุมจนเห็นแผงอก แหวกต่ำลงมาเพื่อให้สร้อยคอได้ทำหน้าที่ส่องประกายวาววับ เป็นสร้อยสีเงินที่มีแม่กุญแจดอกเล็กห้อยกลาง คล้องต่ำผ่านกระดูกไหปลาร้าที่เด่นชัด ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูเซ็กซี่มากเสียจนต้องมองอยู่อย่างนั้น

   ​​​​ผมกดนิ้วค้างให้รูปม่านยังอยู่บนหน้าจอ ไม่รู้ทำไมตอนที่ตัวเองนั่งอยู่ตรงข้ามเขาถึงไม่ได้รู้สึกเหมือนในรูป อาจเป็นเพราะผมไม่กล้ามองเขาอย่างตรงไปตรงมา กลัวว่าสายตาคู่นั้นจะเล่นงานตัวเองอย่างง่ายดายอีก

   ​​​​ใช่แหละ
   ​​​​ก็หลังๆมานี้ชอบทำให้ผมหวั่นไหวอยู่เรื่อย


   ​​​​การสั่นของโทรศัพท์จากแจ้งเตือนที่บ่งบอกว่ามีคนส่งข้อความมาทำให้ผมปล่อยนิ้วมือที่กดค้างบนหน้าจอออก พบว่าเป็นเจ้าของรูปที่ทำให้ตัวเองนั่งมองอยู่นานนั่นแหละที่ส่งมา ไม่มีใครที่กวนผมในเวลาแบบนี้นอกจากเจ้าตัว

   ​​​​เจ้าเก่าและเจ้าเดิม

   ​​​​
นอนยังหรอ? : AMAN

   ​​​​ม่านสอบถาม ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว

   ​​​​Pha : ยัง
   ​​​​Pha : กำลังจะไปปิดไฟ

เค้านอนไม่หลับ  : AMAN

   ​​​​เขาบอกถึงสาเหตุของการทักมาในทันทีหลังจากนั้น จนผมจัดการให้ทั้งห้องมืดสนิทถึงจะส่งข้อความกลับไป

   ​​​​Pha : ไปทำอะไรมาล่ะ?
ไม่รู้ว่ะ : AMAN
   ​​​​Pha : แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่?
นอนพลิกไปมา : AMAN
เลยคิดว่าทักเธอมาดีกว่า : AMAN
ถ้ายังไม่นอนเหมือนกันก็คงจะดี : AMAN

   ​​​​สัญญาณเสียงบ่งบอกว่าเครื่องปรับอากาศถูกเปิดใช้งานขึ้นตามด้วยสัญญาณไฟที่ติดบนตัวเครื่อง ผมวางรีโมตไว้ข้างหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นสูงจรดปลายคาง

   ​​​​Pha : กวนน่ะสิไม่ว่า

   ​​​​การตอบโต้กับเขายังมีต่อไปเรื่อยๆ คล้ายกับว่าม่านจะคว้าทุกโอกาสที่เราสามารถพูดคุยกันแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตามที

เค้าไม่กวนเหอะ : AMAN
   ​​​​Pha : กวน
ไม่กวน : AMAN
   ​​​​Pha : จะเอายังไง?
เธอนั่นแหละจะเอายังไง? : AMAN
:-) : AMAN

   ​​​​ดูเหมือนเขาจะได้ใจไม่น้อยที่ได้แกล้งผม ทุกครั้งมันเลยเป็นการต่อความยาวสาวความยืดระหว่างเราสอง

จะเป็นแฟนกันไหม? : AMAN
นี่ของ่ายๆแบบนี้เลยนะ : AMAN

   ​​​​ผมชะงักกึก ไม่คิดว่าม่านจะมาไม้นี้ ใจที่สงบเริ่มไม่เป็นดังเก่าเมื่ออ่านข้อความเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น

   ​​​​‘จะเป็นแฟนไหม?’ งั้นหรอ?

   ​​​​...งั้นหรอ?

   ​​​​ให้ตาย


   ​​​​ทำไมแค่ประโยคเดียวง่ายๆถึงทำให้ใจเต้นแรงได้ขนาดนั้น



   ​​​​Pha : อย่ามาล้อเล่นนะไอ้หมา

   ​​​​ผมทำเป็นเฉไฉไม่รับความ แต่สุดท้ายม่านก็ย้ำเจตนาตัวเองแน่ชัดจนไม่กล้าถามต่อ

เรื่องเธอเค้าเคยล้อเล่นด้วยหรอไง? : AMAN
:-) : AMAN

   ​​​​เป็นเรื่องจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมเขาไม่เคยจะล้อเล่นและทำให้มันคลุมเครือ ม่านชัดเจนและซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมาโดยตลอด เมื่อชอบก็บอกว่าชอบ เมื่อรักก็บอกว่ารัก และเมื่อไหร่ที่เขาน้อยใจก็ไม่สามารถเก็บมันไว้ได้แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม

ไม่ต้องคิดมากนะผา : AMAN
เค้ารู้ว่าเธอไม่ตอบตกลงหรอก : AMAN
แค่อยากจะขอก็เลยขอ : AMAN
มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น : AMAN

   ​​​​เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนานเจ้าตัวเลยอธิบายเหตุผลจนหมด ผมเข้าใจดี เขาคงมีความสุขกับคืนนี้และผมเองก็เช่นกัน

   ​​​​Pha : อืม
   ​​​​Pha : เข้าใจน่า
น่ารักมาก : AMAN

   ​​​​จากนั้นม่านก็ส่งสติกเกอร์มาให้ เป็นรูปหมาสองตัวแนบแก้มชนกันแล้วมีรูปหัวใจอยู่ตรงกลางเยื้องไปทางด้านบน และเพราะสติกเกอร์ของเขานั่นแหละ ที่ทำให้ผมไม่สามารถหยุดรอยยิ้มของตัวเองได้

   ​​​​ใครกันบอกว่าผมน่ารัก
   ​​​​ผมไม่น่ารักหรอก
   ​​​​เขาต่างหาก
   ​​​​:-)


   ​​​​Pha : ขอเผื่อฟลุ๊คอ่ะดิมึงอ่ะ
เฮ้ย : AMAN
55555555 : AMAN
ไม่ใช่แบบนั้น : AMAN
   ​​​​Pha : ชัว
ไม่ใช่555555555 : AMAN
เข้าใจผิดกันไปใหญ่ละ555 : AMAN

   ​​​​รอบนี้ผมส่งสติกเกอร์สีหน้าครุ่นคิดกลับไป บทสนทนาของเราดูจะลื่นไหลมากขึ้นเรื่อยๆ

   ​​​​Pha : ยังไม่ง่วงอีกหรอ?
ยัง : AMAN
คุยกับเธอไม่ง่วงหรอก : AMAN
   ​​​​Pha : ให้ตอบอีกที
ก็… : AMAN
ก็เริ่มง่วงนิดนึงแล้วแหละ555 : AMAN
ทำไมเธอเก่งจังวะ : AMAN
หมดกัน : AMAN
ไม่คูลเลยกู : AMAN
5555555555555 : AMAN
   ​​​​Pha : 555555

   ​​​​เขาบ่นออกมาเป็นชุด ประชดและตัดพ้อตัวเองยกใหญ่

พูดแบบนี้คือเธอจะไปนอนแล้วหรอ? : AMAN
   ​​​​Pha : ไม่รู้ดิ
   ​​​​Pha : ก็ง่วงแล้วเหมือนกันแต่ไม่อยากนอน
อ่าว : AMAN
เป็นไรป่ะเนี่ย? : AMAN
หรือเค้ากวนจริงๆ? : AMAN

   ​​​​ผมนิ่งคิด ไม่รู้ว่าควรบอกเขาดีไหม เพราะปกติแล้วผมก็ไม่ได้บอกใครแต่ครั้งนี้มันเริ่มห้ามใจตัวเองไม่ได้

   ​​​​ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

   ​​​​Pha : ไม่ได้กวน

   ​​​​ผมตอบกลับ รีบพิมพ์ข้อความต่อไปและชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะกดส่ง

   ​​​​Pha : วันนี้วันเกิดกู

   ​​​​สุดท้ายผมก็บอกเขาถึงวันสำคัญของตัวเอง ถึงแม้จะหาเหตุผลมาสนับสนุนที่ต้องทำเช่นนั้นแต่ผมก็พบว่ามันช่างไร้สาระสิ้นดี

   ​​​​แค่เพียงกลัวว่าเขาจะน้อยใจ
   ​​​​เพราะเคยสัญญากับม่านเอาไว้ว่าจะพยายามเหมือนกัน

   ​​​​ครั้งนี้เขาหายไปนาน นานมากจนเริ่มไม่ปกติ จนกว่าที่ผมจะพลิกตัวไปอีกด้าน เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อของม่านเด่นหรา

   ​​​​“ว่าไง?” เสียงผมแปร่งไม่น่าฟัง รู้สึกได้ว่ากำลังประหม่าไม่ต่างกันกับปลายสาย
   ​​​​(รอเค้าแปบนึงได้มั้ย?) เขาพูดรัว ได้ยินเสียงกอกแกกดังอยู่ตลอด
   ​​​​“ให้กูรอหรอ?”
   ​​​​(ครับ รอแปบเดียว ไม่เกินสิบห้านาที)
   ​​​​“...”
   ​​​​(รอนะ สัญญาก่อน)
   ​​​​“อืม เดี๋ยวรอ”

   ​​​​เขาตอบรับพร้อมกับตัดสายไปในทันที ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร เพียงแค่ยอมตกลงตามที่เจ้าตัวต้องการ ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ เวลาที่ม่านหายไปเลยกลับไปเล่นโซเชียลมีเดียต่ออีกสักพัก ราวๆเกือบยี่สิบนาทีได้ ก็มีเสียงเรียกเข้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ

   ​​​​เพราะเป็นการวิดีโอคอลแบบที่เราต้องเปิดกล้องกันทั้งสอง

   ​​​​คงต้องโทษมือผมที่มันเคลื่อนไหวไวกว่าความคิด การกดรับสายนั้นจึงเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่โชคดีที่ห้องผมมืดสนิท หน้าจอที่เห็นเลยเป็นแค่สีดำต่างจากของม่านที่เห็นเจ้าตัวนั่งอยู่บนพื้นข้างเตียง

   ​​​​พร้อมกับกีตาร์หนึ่งตัวที่ถืออยู่ในมือ

   ​​​​เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กล้อง พร้อมกับจัดทรงผมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง มือข้างซ้ายยังจับคอกีตาร์ไว้ไม่ห่าง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าหน้าจอผมเป็นอย่างไร

   ​​​​[เธอไม่เปิดกล้องหรอ?]
   ​​​​“เปิดแล้ว แต่กูปิดไฟมันเลยมืด”
   ​​​​[งั้นเปิดไฟให้หน่อย] หน้าเจ้าตัวบูดเบี้ยว ดูไม่พอใจอย่างหนักที่เป็นแบบนี้
   ​​​​“ขี้เกียจลุก”
   ​​​​[เธออ่า]
   ​​​​“งอแงเก่งจังวะ”
   ​​​​[ก็อยากเห็นหน้า] เสียงแหบแห้งลากยาว ม่านยังไม่ยอมแพ้ให้กับการตื๊อ
   ​​​​“พอๆ แล้วคอลมาทำไม ให้กูรอตั้งนานอีก”

   ​​​​คราวนี้เขายอมกลับไปนั่งตามเดิม ไล่เสียงกีตาร์สองสามครั้งและยังไม่ตอบคำถาม เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางถึงได้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กล้องอีกครั้ง

   ​​​​[ก็เธอบอกว่าวันนี้วันเกิดเธอ เลยไม่อยากให้มันผ่านไปเฉยๆ]
   ​​​​“อืม”

   ​​​​ผมยิ้ม กลอกตามองสรรพสิ่งรอบห้องเพื่อไม่ให้ยิ้มไปมากกว่านี้

   ​​​​[ไหนๆ เธอก็ยังไม่นอน เลยอยากทำอะไรให้นิดๆหน่อยๆ]
   ​​​​“...”
   ​​​​[เป็นการตอบแทนแล้วกัน]
   ​​​​“ตอบแทนอะไร?”
   ​​​​[ตอบแทนที่พ่อกับแม่เธอมีเธอจนถึงทุกวันนี้ไง]
   ​​​​“...”
   ​​​​[ขอบคุณนะครับ]

   ​​​​คราวนี้รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า คงเพราะเห็นคนในหน้าจอกำลังยิ้มกว้างเหมือนกัน ผมเลยต้องยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้

   ​​​​“มาบอกกูทำไม ต้องบอกพ่อกับแม่กูแทนไหม?”
   ​​​​[งั้นก็พาไปเจอสิ]
   ​​​​“ก็พาไปเจอแม่แล้วไง”
   ​​​​[ก็ยังไม่ได้เจอพ่อเลยไง]
   ​​​​“เนียนเก่งตลอดเลยนะมึงเนี่ย”
   ​​​​[ฮ่าๆ]

   ​​​​คนตัวสูงเสยผม แลบลิ้นเลียริมฝีปากลดอาการประหม่า

   ​​​​[เอาเป็นว่า...เป็นของขวัญให้เธอนั่นแหละ]
   ​​​​“...”
   ​​​​[โอเคนะ]

   ​​​​เมื่อพูดจบเขาก็กดโทรศัพท์สองสามครั้ง มองมันสลับกับเริ่มจับคอร์ดไปทีละนิด จนกว่าที่เขาจะสบตาผมผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ม่านก็เริ่มบรรเลงเพลงหนึ่งด้วยกีตาร์ที่อยู่ในมือ

   ​​​​เป็นเพลงที่ผมรู้จัก
   ​​​​และเป็นเพลงที่ผมบอกเขาไปว่าผมชอบเพลงนี้ของ John Mayer

   ​​​​‘Heartbreak Warfare’

   ​​​​อีกฝ่ายมองคอร์ดบ้างหลังจากเล่นไปได้สักพัก จังหวะที่คุ้นหูทำเอาผมแทบจะไม่ละสายตา รู้สึกเหมือนเขาดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ตัวเองสร้างขึ้น มีความสุข และอยู่ในโลกที่มีแต่เสียงดนตรี

   ​​​​[...Lightning strike
   ​​​​Inside, my chest to keep me up at night
   ​​​​Dream of ways
   ​​​​To make you understand my pain…]


   ​​​​เสียงที่ร้องคลอตามแผ่วเบา เขาไม่ใช่นักดนตรีมืออาชีพหรือนักร้องที่เสียงไพเราะเสนาะหู เป็นเพียงแค่คนที่บรรเลงไปตามใจตัวเองและในรูปแบบที่ถนัด ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบจนเพอร์เฟค แต่ก็เป็นท่วงทำนองและการร้องที่เพราะสำหรับผม

   ​​​​เป็นทุกอย่างที่ลงตัวพอดีในผู้ชายคนนี้
   ​​​​คนที่กำลังตั้งใจบรรเลงเพลงโปรดของใครบางคนในวันเกิดของเขา

   ​​​​น่ารักเป็นบ้า

   ​​​​บทเพลงนั้นจบลงอย่างเชื่องช้า ผมยังไม่หยุดยิ้มแม้จะมีแต่ความเงียบที่พ้นผ่าน เขามองหน้าจออีกครั้ง พยายามเดาความรู้สึกผมว่ามันจะไปในทิศทางไหน

   ​​​​[หลับไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย?]
   ​​​​“เปล่า”
   ​​​​[...]
   ​​​​“ฟังอยู่”

   ​​​​เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะถามกลับมาอีก

   ​​​​[เล่นให้ฟังแล้วนะ ตามที่สัญญากับเธอไว้]
   ​​​​“อืม”
   ​​​​[...]

   ​​​​“ขอบคุณเหมือนกันครับ”

   ​​​​เจ้าของใบหน้าคมคายอมยิ้ม เอนออกไปนิดหน่อยแล้วจ้องโทรศัพท์ยามพูด

   ​​​​[พรุ่งนี้เธอไปไหน?]
   ​​​​“หืม ไปไหน?”
   ​​​​[ก็วันเกิดไม่ใช่หรอ ไม่ไปไหนหรอไง?]
   ​​​​“ไม่อ่ะ ปกติไม่ได้ไป”
   ​​​​[จริงป่ะเนี่ย?]
   ​​​​“อืม ไม่ค่อยอยากไป”
   ​​​​[ไม่ดื่มหรอ?]
   ​​​​“ไม่ดื่ม ไม่ได้บอกเพื่อน กว่ามันจะรู้ก็เลยวันไปแล้วตลอด”
   ​​​​[อ่า] ม่านดูแปลกใจเล็กน้อยที่กิจกรรมของผมต่างไปจากคนอื่นๆ
   ​​​​“แต่พรุ่งนี้อาจจะออกไปเดินเล่น ได้สูดอากาศนอกห้องบ้างก็คงดี”
   ​​​​[...]
   ​​​​“...”

   ​​​​คราวนี้เราเงียบกันทั้งคู่ ไม่รู้ว่าผมเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

   ​​​​[ขอให้เธอมีความสุขกับวันของเธอมากๆนะ] ในที่สุดม่านก็อวยพร คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีอีกเหมือนกันที่ผมได้รับมันมาจากใครสักคน
   ​​​​“อืม”
   ​​​​[...]
   ​​​​“...”
   ​​​​[...]
   ​​​​“มึงก็เหมือนกัน”

   ​​​​ม่านยังยิ้ม ตามแบบฉบับที่เคยเห็น

   ​​​​[เธอคงอยากไปนอนแล้ว เห็นเมื่อกี้ก็บอกง่วงละนี่?]
   ​​​​“อ่า วางสายไปก็คงนอนเลย”
   ​​​​[โอเคครับ]

   ​​​​เขาทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ผมใช้จังหวะนั้นพูดข้อความที่อยู่ในใจอีกรอบ

   ​​​​“ขอบคุณมากจริงๆนะ”
   ​​​​[ขอบคุณอะไร?]
   ​​​​“ที่มาเล่นให้ฟังไง”
   ​​​​[ฮ่าๆ ครับ]

   ​​​​ผมพลิกตัวกลับมาอีกฝั่ง มองหน้าจอที่มีใครบางคนจับกีตาร์ขึ้นอีกรอบ

   ​​​​[ผา]
   ​​​​“ครับ”
   ​​​​[มีอีกเพลงที่อยากเล่นให้ฟัง ได้ไหม?]

   ​​​​คล้ายกับเขาลังเลที่จะทำแบบนั้น ผมเลยต้องอนุญาตเพราะไม่อยากขัดความปรารถนาดีจากคนที่จะมอบให้

   ​​​​“เล่นสิ รอฟังอยู่”

   ​​​​เมื่อได้รับการตกลงม่านก็จับกีตาร์ไว้มั่น ดูหน้าจอโทรศัพท์สักพักแล้วจึงบรรเลงเพลงที่ต้องการจะเล่นให้ผม

   ​​​​เป็นเพลงที่หลายๆ คนมักจะเคยได้ยินมาก่อน
   ​​​​และเป็นเพลงที่ทำให้ผมได้ย้อนไปยังวัยมัธยมที่แสนหวาน

   ​​​​เขายิ้ม
   ​​​​เป็นยิ้มเดิมที่มักจะยิ้มเวลามองผมไปด้วย


   ​​​​[...รอนานๆก็อาจจะบั่นทอนหัวใจ อย่าให้นานเกินไป
   ​​​​ก่อนอะไรมันอาจจะสาย
   ​​​​รอนานๆก็อาจทำให้ใจวุ่นวาย รู้ดีแต่ยังน้อยใจ
   ​​​​เพราะฉันเป็นคนเดียวที่รอ…]



   ​​​​เพลงใหม่จบไปโดยที่ผมก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับเสียงม่าน ทุกอย่างมันเลยลอยฟุ้งในใจจนอยากจะเก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างดีที่สุด

   ​​​​สุดท้ายก็ถึงเวลาที่เราต้องบอกลาในค่ำคืนที่มีความหมาย

   ​​​​[ไปนอนได้แล้ว]

   ​​​​ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ผมตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปยังทางที่คิดเอาไว้แน่วแน่

   ​​​​พรึบ!
   ​​​​[...]
   ​​​​“...”

   ​​​​เขาเงียบ ผมก็เงียบ
   ​​​​มีเพียงแค่รอยยิ้มที่ส่งให้กันผ่านกล้องเท่านั้นที่ดูจะทำให้เราสองคนรู้ว่าอะไรที่ส่งเสียงดังที่สุดเมื่อเราสบตา

   ​​​​คงเป็นเสียงของความรู้สึกที่ส่งผ่าน จากสีหน้าและท่าทางของเราทั้งคู่

   ​​​​และดูเหมือนว่าคนทางนั้นจะได้รางวัลกลับไปอีกสองรางวัลใหญ่

   ​​​​หนึ่งคือรอยยิ้มของผมที่มอบให้หลังจากเดินไปเปิดไฟ

   ​​​​และสอง


   ​​​​“งั้นพรุ่งนี้มึงว่างไหมล่ะ?”


   ​​​​การพาเขาไปพบกับคนสำคัญในชีวิตของผมเอง


   ​​​​“ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหน่อย จะได้พาไปเจอแม่อีกรอบด้วย”







#ผาเพียงฟ้า

Talk2
เห็นคอมเมนท์ที่บอกว่าสลับชื่อตัวละครแล้วก็เขินหน่อยๆ
ตอนนี้เราแก้ให้แล้วนะคะ
งุนงงกันไปเลย555555


6/11/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 06-11-2019 05:02:22
เป็นวันเกิดที่โรแมนติคมาก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-11-2019 22:28:51
 :กอด1: :กอด1: :L2: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 06-11-2019 23:05:32
น่ารักมากมากมากมากกกกกก
คิดถึงเรื่องนี้มากเลยยยย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-11-2019 00:07:41
เจ้าม่านน่ารักมาก
แต่พี่ผาไม่พูดถึงพ่อเลยเนาะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-11-2019 23:15:57
ม่านน่ารักสม่ำเสมอมากๆ ก็เด็กมันเป็นซะแบบนี้ใครมันจะไม่ใจอ่อน  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-11-2019 22:23:04
เรื่องมันหม่นๆนะแต่อ่านด้วยความเขินตลอดเวลาอ่ะ ผาใจอ่อนยอมเป็นแฟนเถอะ หาคนน่ารักเท่าม่านได้อีกที่ไหน  :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 13-11-2019 11:32:29
ละมุน โรแมนติกม๊ากกกกกกก  :-[ :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Nefrit ที่ 15-11-2019 23:33:19
น่ารักจังเด็กๆ พวกนี้ อยากมีม่านเป็นของตัวเองงง :ling1:

ขอบคุณนักเขียนมากนะคะ อ่านแล้วรู้สึกเนิบๆ เหมือนครีมข้นๆ ชอบค่ะ
ความรู้สึกค่อยๆ ไต่ทำให้เรารู้ขั้นบันไดที่เค้าก้าวมาด้วยกัน ละมุนมากค่ะ ชอบจัง
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 0 | and my words are as timed as... 100% - P.4 (6/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 16-11-2019 21:33:15


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


21

I feel so safe when I'm with you



_________


:-)


_________





เมื่อผมบอกเขาไปว่ากีตาร์ที่ใช้เล่นเมื่อคืนนั้นวิ่งไปยืมไอ้เตมา ผาก็ผลักหัวผมเข้าหนึ่งที บ่นงึมงeว่าชอบทำตัวให้ยุ่งยากแถมยังให้เจ้าตัวต้องรอเสียนาน ถึงปฏิกิริยาเขาจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ยังยิ้มรับอยู่ตลอด

เพราะอีกฝ่ายก็คงขัดเขินไม่น้อยจากการที่ไม่กล้าสบตาแถมยังเบี่ยงหน้าหลบอยู่บ่อยๆ ผมเลยรู้ว่ามีบางอย่างที่ทำให้เขาเผลอใจลอยกับการคุยกันของเราเมื่อคืนวาน

เขาเอ่ยปากชวนไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งเคยพาผมไปมาแล้วในเวลาไม่นาน ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทำแบบนั้นแต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้อยู่ในวันที่แสนพิเศษของเขา ถึงแม้ว่าผาจะบอกว่ามันไม่ได้พิเศษอะไร แต่สำหรับผมแล้วทุกอย่างที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายคือเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ นั่นเพราะเขาคือคนสำคัญ และคือคนที่ผมอยากจะให้เราอยู่เคียงข้างกันไปนานๆแบบนี้

วันเกิดของเจ้าตัวไม่ได้มีอะไรพิเศษดั่งที่เขาบอก เป็นเหมือนวันหนึ่งที่เราเจอกันตามปกติ เขาแต่งตัวสบาย มารับผมที่หอแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ๆเรานัดหมายกันไว้เมื่อยามดึก ครั้งนี้อีกฝ่ายอาสาเป็นคนขับรถและผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ อยากตามใจเจ้าของวันเกิดเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เขารู้สึกอึดอัดจนเกินไป

สารถีในวันนี้ขับไปตามทางโดยที่มีผมนั่งเคียงข้างพร้อมกับมีเพลงที่เปิดจากวิทยุคลื่นหนึ่งดังคลอเคล้า จังหวะเชื่องช้าทำเอาผมฮัมตามเพลงที่ตัวเองรู้จัก เล่นโทรศัพท์บ้างหรือพูดคุยกับเขาบ้างเพื่อให้ดูไม่เงียบจนเกินไป และมันก็มักจะจบลงด้วยการที่มือเล็กเอื้อมมาตีอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะผมกวนประสาทเขามากมันเลยจบลงแบบนั้นเป็นประจำพร้อมกับเสียงหัวเราะของคนที่ได้แกล้ง

“จะพาไปหาแม่ก่อนหรอ?” ผมถามขึ้นเมื่อพอจะจำสองข้างทางได้ หันไปมองเขาที่ยังตั้งใจขับรถ
“อืม เดี๋ยวไปหาแม่ก่อนค่อยแวะเข้าไปที่บ้าน”
“บ้านเธอ?”
“ครับ”

รอยยิ้มผมระบายจางบนใบหน้าเมื่อไม่สามารถกักเก็บมันเอาไว้ได้ แค่คำตอบรับสั้นๆคำเดียวแต่มันกลับทำให้ใจผมฟูขึ้นอย่างน่าประหลาด เพียงแค่ผาพูดว่า ‘ครับ’ ผมเลยเอื้อมมือไปทางเป้าหมายแล้วจัดการทำตามใจในทันที

หมับ!

“อื้ออ” เขาเอนศีรษะไปอีกทางเมื่อโดนจู่โจมที่ข้างแก้ม นิ้วโป้งและนิ้วชี้จิ้มลงไปบนผิวเนื้อแล้วบีบมันเล็กน้อย ส่งผลให้เลือดที่ฝาดเปล่งสีออกมาบ้างนิดหน่อย ผมยังไม่ยอมหยุดแม้ผาจะส่งสายตาคาดโทษและใช้มือปัดมันออกอย่างทุลักทุเล

“ม่าน กูขับรถอยู่ อย่ากวนได้มั้ย”

เสียงหัวเราะดังเป็นคำตอบของการขอร้อง สุดท้ายผาก็ยอมไม่ตุกติกเพราะเกรงกลัวว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนจะเกิดขึ้น

“ขอโทษครับ ไม่แกล้งแล้วก็ได้”
“อื้อออ”

เสียงเดิมดังลากยาวอีกครั้งเมื่อผมละมือออกจากแก้มใส แต่ก็ไม่วายที่จะเลื่อนมือไปยังปลายคางเขาแล้วส่ายมันไปมาคล้ายกับเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรด ผาทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างหนัก แต่ทั้งหมดนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกอยากจะแกล้งไม่หยุด

สุดท้ายผมก็ต้องละมือจากเพราะไม่อยากกวนสมาธิคนขับ ความปลอดภัยในการเดินทางต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ดังนั้นผมเลยกลับมานั่งเล่นโทรศัพท์ตามเดิม เสียงเพลงดังขึ้นและจบลงเป็นวัฏจักรวนซ้ำๆอยู่อย่างนั้นในตอนสาย  ไม่นานเราก็จอดแวะซื้อดอกไม้ช่อใหญ่ ผมเลือกดอกไม้ที่ผู้ขายแนะนำให้ ส่วนของผาเป็นดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนแกมขาวที่ดูอ่อนหวานแตกต่างจากสีเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ถนัดตา

เราออกเดินทางกันอีกครั้งเมื่อแสงแดดจ้าส่องกระทบลงมาจนรู้สึกอุ่น คราวนี้ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว ผาลงจากรถก่อน เดินนำทางไปยังแท่นหินอย่างเงียบเชียบโดยไม่ลืมที่จะรอผมให้ตามมา

บรรยากาศที่นี่ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทุกอย่างเงียบสงบ ร้างผู้คนจนรู้สึกอ้างว้าง มีเพียงแสงแดดจ้าคอยชโลมจิตใจให้รู้สึกอบอุ่นตามอุณหภูมิร่างกายเพียงแค่นั้น

ดอกไม้ช่อแรกถูกวางไว้ก่อนโดยลูกชาย จากนั้นช่อที่สองก็ตามไปโดยคนติดตาม เห็นผาหลับตาลงอยู่นานก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปยังแท่นสีเทาตรงหน้า เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับความทรงจำของตัวเองอยู่สักพักโดยไม่พูดอะไร

“คุยอะไรกับแม่กูรึเปล่า?” อีกฝ่ายมักจะถามแม้จะยังไม่หันมามองตามเดิม สายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังมือของตัวเองที่วางไว้บนแท่นสี่เหลี่ยม

“ก็นิดหน่อย”
“ห้ามฟ้องเชียวนะ” เจ้าตัวเอ็ด คำพูดนั้นทำผมยิ้มจางด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ
“ได้โอกาสทั้งทีจะพลาดได้ไง” ผมหยอกล้อแต่คราวนี้ผาไม่ได้ตอบกลับ อีกฝ่ายละมือแล้วเดินถอยหลังออกมายืนเคียงข้างผม

“อย่าบอกแม่ดิว่ากูเป็นคนใจร้าย” คนอายุมากกว่าเว้นช่วง “แบบนั้นแม่คงอยากจะกลับมาแล้วบอกกูว่าควรทำยังไงถึงจะเลิกเป็นแบบนี้สักที”
เขามีรอยยิ้มจางเหมือนกัน ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นเวลาที่เราอยู่เคียงข้าง ผาอมยิ้ม หันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปยังที่เก่า

“เค้าไม่ได้ฟ้องว่าเธอเป็นคนใจร้าย”
“...”
“แค่บอกแม่ว่าตอนนี้เราสองคนเป็นอะไร...แล้วก็อัปเดทสักหน่อยว่าเธอไปค้างห้องเค้าแล้วเฉยๆ”

เป็นดังที่คาด ผาหันกลับมาแล้วหยิกเข้าที่แผ่นหลังจนรู้สึกเจ็บ ผมบิดตัวออก ยีหัวเขาไปมาก่อนจะส่งรอยยิ้มไปให้ เขาคงรู้ได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่จะมีให้เสมอถ้าผมยังอยู่ตรงนี้

ตรงข้างกายเขาตรงนี้
ที่ๆ พร้อมจะทำให้เขารู้สึกสบายใจเสมอเมื่อหันกลับมา

เราบอกลาคนที่จากไปบนฟ้าอยู่สักพัก เมื่อเป็นดังนั้นก็เดินกลับออกไปทางเก่า
แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าจนพ้นขอบเขตของลานกว้าง ก็มีใครสักคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้เหมือนกันจนทำให้ผาชะงัก แต่เพียงเสี้ยววิเขาก็เดินต่อโดยไม่มีความลังเลในการตัดสินใจ ผมเกือบจะคิดว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติด้วยซ้ำจนกว่าที่ผู้ชายคนนั้นจะเอ่ยทักเจ้าตัวในตอนที่เราเดินสวนกัน

“ผา”

และจนกว่าผาจะค่อยๆหันมาแล้วโค้งหัวลงให้กับอีกคนเป็นการทักทาย

ทุกอย่างดูน่าอึดอัดไปเสียหมด ทั้งการที่มีคนแปลกหน้ามาใหม่ การที่ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงกับการบังเอิญเจอกันของคนทั้งสอง และการที่ผายังเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมา

“มาหาแม่เหมือนกันหรอ?” อีกฝ่ายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหม่า เป็นคำถามที่พอจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก แต่ก็ยังเลือกที่จะใช้คำถามนี้ขึ้นมาเพราะเหตุผลบางอย่าง

เหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะเจอใครสักคนที่นี่

“ครับ”

สายตาผมเลื่อนไปมองอีกคนอย่างถี่ถ้วน เป็นชายวัยกลางคนที่ยังดูกระฉับกระเฉง เจ้าตัวสวมชุดสูทสีดำ เนกไทสีเดียวกันกับเสื้อ สวมนาฬิกาเหล็กท่าทางมีราคาไม่น้อย ใบหน้ามีร่องรอยตามอายุ ผมคาดเดาว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณพ่อของตัวเอง หรือไม่ก็อายุมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่ก็ยังดูภูมิฐานและดูดีจนไม่สามารถละสายตาจาก

และสุดท้าย สิ่งที่ทำให้ผมสามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ฉันใดกับคนที่อยู่ข้างกาย ก็ตอนที่ได้สบตาคมคายที่มองมายังตัวเอง

ดวงตาคู่นั้น ที่ฉายแววบางอย่างลึกสุดในหัวใจ

“สุขสันต์วันเกิดนะลูก”

เลยทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาคือ ‘บิดา’ ของผานั่นเอง

“ขอบคุณครับ”

ร่างโปร่งตอบรับด้วยคำสั้นๆตามเดิม ไม่มีการถามกลับ ไม่มีการบ่งบอกอะไรต่อจากนั้นอีก และเขาก็ทำให้ผมต้องรู้สึกสับสนอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวหันหลังกลับพร้อมจะไปที่รถโดยไม่สนว่าคนที่เพิ่งเจอกันจะมีปฏิกิริยาเช่นไร

และผมเริ่มสัมผัสได้
ว่ากำแพงในใจของเขากำลังก่อตัวขึ้นทีละนิด

“ผา” ชายหนุ่มยังเรียกลูกชายของตัวเองเอาไว้ และผาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะตอบรับโดยการหันกลับไป มีเพียงความเงียบที่มอบให้ พร้อมกับความว่างเปล่าที่มันอบอวลอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

“...”
“...”

แต่ครั้งนี้กลับมีเพียงความเงียบที่ทิ้งไว้ผ่านไปกับเวลา เนิ่นนานจนทำให้ผมต้องเดินเข้าไปประชิดผา จับแขนแผ่วเบาเพื่อเรียกสติให้กลับมา เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น เขาก็ยังคงจะยืนนิ่งเพื่อรอคอยให้บิดาพูดออกมาก่อน

“ครับ” ดวงตาเรียวกะพริบปริบก่อนจะมีเสียงตอบรับ มันแหบแห้งคล้ายกับเจ้าของหาเสียงหัวเองอยู่นานกว่าจะพูดมันออกมาได้

“...”
“...”
“กลับดีๆล่ะ”

เกมทายใจครั้งนี้จบลงเมื่ออีกคนยอมบอกลา คล้ายกับว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรสักอย่างก่อนหน้า แต่สุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนเป็นประโยคสั้นๆเสียแทน ผาโค้งหัวลงตามมารยาท ใบหน้าอีกฝ่ายที่ยืนตรงนั้นดูปะปนไปด้วยหลายความรู้สึกยามมองลูกชาย

ทั้งห่วงใย คิดถึง และมีแต่ความรู้สึกผิด

ผมสบตากับบิดาของเจ้าตัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโค้งหัวให้ไม่ต่าง ถึงแม้จะมีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นแต่ก็พยายามเก็บมันเอาไว้ยังส่วนลึกที่สุดในใจ เพราะผมรู้ดีว่าผาเองก็ทำเช่นนั้น และดูเหมือนเขาจะเก็บมันเอาไว้ลึกกว่าที่ผมสามารถคาดเดาระยะทางมันได้อีก

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกสีเทาจะจมลึกเท่าที่ตัวเองคิดไหม
หรืออาจจะไกลกว่านั้นจนผมไม่อาจดำดิ่งลงไปพบเจอ

ผมคาดเดาอะไรไม่ได้
มันยากเกินไปเพราะผาขีดเส้นไว้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่หวงแหน

กึก!
หมับ!

จู่ๆ ผาก็พิงหลังเข้ากับด้านข้างของตัวรถ ใช้สองมือปิดใบหน้าเอาไว้ ค่อยๆลูบมันไปมาช้าๆคล้ายกับตั้งสติให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น

“เป็นอะไรไหม?” ผมเดินเข้าไปใกล้ จนกว่าที่จะเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด

ผมก็เพิ่งรู้ว่าผาซ่อนอะไรเอาไว้มากมายโดยที่ไม่มีใครรู้

คิ้วเขายังขมวดเข้าหากัน คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังปวดหัวอย่างหนักจากอาการที่แสดงออกมา ผาเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด เขากำลังจมอยู่กับความหลังบางอย่างของตัวเองจนผมไม่สามารถแค่ทนมองได้อีก

“เค้าอยู่ตรงนี้นะ มองเค้าสิ” มือใหญ่ปลอบประโลมโดยการลูบไหล่เชื่องช้า ผมพยายามให้เขารับรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้า แต่ผมคิดว่าผาตอนนี้กำลังต้องการใครสักคนข้างกายจริงๆ

“ผาครับ ไม่เป็นไรนะ เค้าอยู่กับเธอ”

ใช้เวลาอยู่นานจนกว่าที่อีกคนจะยอมโอนอ่อนให้ เขาค่อยๆลดมือลงจนผมสามารถกอดเจ้าตัวไว้ได้ สองแขนโอบร่างอีกฝ่ายเข้าหาแล้วมอบความอบอุ่นผ่านอ้อมแขนแกร่ง ผมเพิ่งสังเกตว่าผาตัวสั่นเล็กน้อย ไม่ต่างจากมือที่มีอาการอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่นั้นหลับลงแน่นและยอมพิงเข้ากับอกผมโดยที่ยังไม่พูดอะไรเช่นเดิม

“อืออ”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว”

เขากำลังกลัว เจ็บปวด และกำลังรักษาตัวเองไปพร้อมๆกัน ถึงแม้จะหวาดหวั่นและไม่มั่นคง แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ยอมที่จะเผยความอ่อนแอให้ใครเห็น

เขาไม่มีคำพูด ไม่มีน้ำตา มีเพียงความหนาวเหน็บที่พยายามแผ่ออกมาเพื่อกลบความรู้สึกของตัวเอง

เขายังเป็นผาที่สูงเพียงฟ้า
ที่ผมอยากจะฝ่าทุกอย่างเพื่อขึ้นไปอยู่เคียงข้างบนนั้น

เพื่อจะกอดเขา เพื่อจะจูบเขา เพื่อที่จะทำให้เขารับรู้ว่าคนๆนี้จะไม่ไปไหน
และเพื่อมอบความรักให้...แม้ผาแห่งนี้จะทำให้หนาวสักเท่าไหร่ก็ตาม
















50%















#ผาเพียงฟ้า




16/11/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 50% - P.4 (16/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-11-2019 00:39:42
เกิดอะไรขึ้นนะครอบครัวของผา
 :hao5:
น้องม่าน ละมุนมาก อบอุ่นชะมัด :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 50% - P.4 (16/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-11-2019 02:56:27
มีเรื่องอะไรกันนะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 50% - P.4 (16/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 17-11-2019 04:06:25
อยากรู้เลยว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 50% - P.4 (16/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 17-11-2019 23:10:03
น้องม่านดีมากเลยลูกกก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 50% - P.4 (16/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-11-2019 20:20:14
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 50% - P.4 (16/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 24-11-2019 12:01:22


50%







     ถึงแม้ผมจะอาสาเพื่อเปลี่ยนผาจากการขับรถ แต่สุดท้ายเขาก็ยังยืนยันว่าตัวเองสามารถทำหน้าที่เดิมได้โดยไม่มีปัญหา ด้วยเหตุผลว่าเขาชำนาญทางมากกว่าเพราะสถานที่ต่อไปคือบ้านของเจ้าตัว ดังนั้นคนนำทางรอบนี้เลยกลับกลายเป็นเขาเช่นเดิมโดยมีผมนั่งเคียงข้างพร้อมกับการหันไปมองคนขับเป็นระยะๆ


     อาการของผากลับมาเป็นปกติในเวลาไม่นาน จะมีก็เพียงแต่แววตาที่จดจ้องไปยังถนนตรงหน้าที่มันเปลี่ยนไปจากเดิม อาจเพราะผมคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ความเฉยชาที่เจือปนอยู่ในนั้นมันเลยทำให้รู้ว่าเขาแค่แสดงออกให้ผมหายห่วง


     ทั้งๆที่ความคิดของเจ้าตัวยังวุ่นวายกับเรื่องที่เกิด


     คราวนี้ผมไม่สนว่าผาจะว่าอะไรไหมเมื่อตัดสินใจจับมือเขามากุมแล้ววางไว้บนตัก หลังจากประเมินสถานการณ์ตรงหน้าว่าเป็นถนนที่ขับไม่ยาก ผมเลยไม่อยากปล่อยให้เจ้าตัวผ่านเรื่องราวต่างๆเพียงแค่คนเดียว


     ผมย้ำกับเขาเสมอ…ว่าผมยังอยู่ตรงนี้

     และเขาก็รับรู้มาเสมอ...ว่าผมไม่เคยไปไหน


     เพราะแบบนั้นผาเลยยิ้มจางส่งมาให้แล้วกระชับมือผมเข้าอีกที แค่นั้นมันก็ทำให้ใจผมฟูขึ้นมาเกือบเท่าตัว นิ้วที่เบียดกันส่งผ่านอุณหภูมิอุ่นร้อนจนผมไม่อยากปล่อยมือเขาเลยสักนิด เลื่อนมองมือเล็กที่เข้ากับมือตัวเองได้อย่างเหมาะเจาะ ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ผิวเนื้ออ่อนนุ่มเบาๆ พิจารณามือเขาอย่างถี่ถ้วนคล้ายกับไม่เคยทำมาก่อน


     มันอาจจะดูประหลาดกับอาการที่ผมเป็นอยู่ แต่ไม่รู้สิ ผมแค่อยากเก็บทุกช่วงเวลากับเขาไว้ล่ะมั้ง


     เหมือนที่ผาก็กำลังเก็บช่วงเวลาของตัวเองเอาไว้เหมือนกัน


     ผมเริ่มเก็บความทรงจำว่ามือเขารูปร่างแบบไหน นิ้วของเขาเรียวยาวสมส่วนเท่าไหร่ มีไฝหนึ่งเม็ดทางด้านซ้าย และมีรอยแผลเป็นเล็กๆพาดอยู่ไม่ไกลกันนัก


     นอกจากนั้นผมก็เริ่มสังเกตไปทีละส่วน ตั้งแต่ต้นแขน ลำคอ หัวไหล่ จบลงที่ใบหน้าของคนที่ยังตั้งใจกับการขับขี่


     ผามีผมสีดำ สีเดียวกันกับนัยตาเจ้าตัว เป็นสีดำที่นุ่มลึกดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีแสงจันทร์คอยเคียงข้างจนมืดสนิท แต่เป็นความมืดที่น่าหลงใหล เป็นความมืดที่มีแรงดึงดูดให้เข้าไปใกล้ จนกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเพราะลุ่มหลงเกินกว่าที่ใจคิดเสียแล้ว


     อีกฝ่ายมีจมูกที่รับกับใบหน้า ไม่เชิดรั้น พอดีกับริมฝีปากบางและปลายคางที่ได้ทรงสวย มองเผินๆแล้วเขาไม่ได้อ่อนหวาน แต่ทุกอย่างลงตัวพอดีในแบบของมัน ไม่ได้อยู่ในนิยามของคำว่าหล่อเหลา แต่กลับมีเสน่ห์แบบที่หลายคนไม่มีและนั่นทำให้สายตาหลายคู่จับจ้องเวลาเดินผ่าน ผาคงไม่รู้ว่าโดนคนอื่นมองบ่อยครั้งเพราะปกติแล้วก็แทบจะไม่สนใจใครนอกจากเพื่อนที่เขามี


     “ปล่อยก่อนได้มั้ย ใกล้จะถึงแล้ว” เขาเอ่ยขอ น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมยอมทำตามและสังเกตว่ารอบข้างเริ่มเป็นถนนที่แยกออกจากถนนหลักมาอีกที


     “แล้วใครอยู่ที่บ้านบ้าง?” เพราะสงสัยมาตลอดตั้งแต่เจอบุคคลที่สามเมื่อยามเช้า ผมเลยถามเขาจนได้ ทั้งๆที่คิดไว้ว่าเขาจะพามาเจอบิดาที่บ้านหลังใหญ่แต่เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะเข้าเค้ากับสิ่งที่คิดไว้เท่าไหร่นัก


     “น้ากับแฟนน้า...น้องของแม่น่ะ”

     “อ่อ” ผมเงียบ ก่อนจะถามต่อ “แล้วเคยพาใครมาที่บ้านรึเปล่านอกจากเค้า?”

     
     และมันก็เป็นคำถามที่วางเดิมพันด้วยราคาสูงลิบลิ่วเสียด้วย


     มีคนบอกผมว่าเมื่อไหร่ที่ผู้คนกล้าพนัน นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นมั่นใจว่าผลลัพธ์จะออกมาตามที่ตัวเองต้องการอย่างน้อย 50%


     แต่ผมคิดว่าสำหรับตัวเองแล้ว


     “ไม่เคย”


     รอบนี้ผมมั่นใจเกินกว่า 100% เสียอีก


     “ถ้าไม่นับมาร์ช...มึงก็คนแรก”


     ผมอมยิ้ม ดุนลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้มด้วยความเหนือกว่า รู้สึกเป็นผู้ชนะแม้จะไม่มีคู่แข่งเพียงสักคน


     “บอกน้าไว้แล้วว่าจะกลับแต่ไม่ได้บอกว่ามึงมาด้วย เมื่อคืนมันกะทันหันไปหน่อย ขอโทษที”


     ผมพยักหน้าเพราะพอจะเข้าใจที่ผาพูด เจ้าตัวก็คงไม่ได้คาดการณ์ว่าจะชวนผมออกมาด้วยล่ะมั้งเลยทำให้แผนการเปลี่ยนไปนิดหน่อย


     “น้าเธอใจดีมั้ย?”

     “ก็ใจดีนะ”

     “ใจดีกับเธอแต่ดุใส่เค้าแบบนี้ไม่เอานะ”

     “โดนแน่มึงอ่ะ กวนดีนัก” เขายิ้มเยาะ ก้มหัวลงให้คุณลุงยามหน้าหมู่บ้านและทักทายกันอย่างสนิทสนม

     “เธอก็บอกน้าเธอใจดีๆกับเค้าหน่อยดิ ไม่ช่วยกันเลย” ผมพูดต่อหลังจากรถเคลื่อนตัวเข้าด้านใน สองข้างทางตกแต่งด้วยสวนที่มีต้นไม้สวยงาม

     “จะบอกให้ดุเยอะๆเลยดีมั้ย?”

     “ดุอะไรอีก อนาคตแฟนเธอทั้งที ดุเยอะเดี๋ยวทิ้งเลยนะ”

     “...”

     “ทิ้งแล้วอย่ามาง้อนะ พูดจริงๆเลยเนี่ย”


     หลังจากพูดจบผาก็อึ้งไปนานจนผมอมยิ้ม มองเห็นเขาพยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ ก่อนแก้มจะขึ้นสีและนั่นทำให้ผมไม่เซ้าซี้อะไรต่อ


     น่ารักว่ะ


     “มึงนี่มัน…”


     น่ารักฉิบหายเลยผาอ่ะ


     สาบานจากใจลูกผู้ชายคนนี้นะ

     ได้เป็นแฟนแบบที่พูดเมื่อไหร่จะทำให้เขาอ้อนผมให้ได้เลยคอยดู


     คนขับมองซ้ายมองขวาก่อนจะหักเลี้ยวหนึ่งครั้งเมื่อเราเข้ามาถึงสระน้ำขนาดใหญ่ใจกลางพื้นที่ บ้านของผาตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง มีพื้นที่ของบ้านแต่ละหลังคาเรือนค่อนข้างกว้างพอควร ตั้งเรียงรายกันเป็นระเบียบแยกไปตามตรอกซอกซอยที่ออกแบบมาไว้อย่างดี มีพื้นที่ส่วนกลาง มีสนามเด็กเล่น และมีร้านค้าที่เปิดบริการอำนวยความสะดวกให้กับคนที่อาศัย


     สุดท้ายเขาก็จอดรถยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้นสีขาวและมีต้นไม้ต้นใหญ่ด้านหน้า ยังไม่ทันที่เครื่องยนต์จะได้ดับลง ประตูหน้าบ้านก็เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติพร้อมกับมองเห็นหญิงสาววัยกลางคนเดินออกมา


     “ขอบคุณครับน้าหลิว” ผาเลื่อนกระจกลงเพื่อกล่าวขอบคุณกับอีกฝ่าย ก่อนจะเคลื่อนรถยนต์ให้เข้าจอดด้านในทันที เจ้าบ้านก้าวลงจากรถก่อน ตามด้วยผมที่ก้าวลงทีหลัง มองเห็นสองคนที่ยืนเคียงข้างกำลังมีบทสนทนากันเล็กน้อย


     “ม่านนี่น้าหลิว ส่วนน้าหลิวครับ นี่ม่าน เพื่อนผาเอง”

     “สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้อีกฝ่าย คนอายุมากกว่าตอบรับพร้อมกับยิ้มหวาน

     “เข้ามาข้างในกันก่อนสิ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน อายุทเพิ่งออกไปแก้งานเมื่อกี้ ยังไงก็ตามสบายเลยนะ”

     “ครับ”


     เมื่อไม่รู้จะทำยังไงผมเลยเดิมตามไปห่างๆ แอบรู้สึกเก้ๆกังๆนิดหน่อยเพราะอาการประหม่าเวลาเจอผู้ใหญ่ ตอนนี้เลยเริ่มเข้าใจผาแล้วว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้คิดมากตอนที่ผมพาเขาไปเดทที่บ้าน


     ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการเอาคืนผมตามฉบับผาหรือเปล่า


     ผาพาผมเข้ามาด้านในยังห้องรับแขก ส่วนหญิงสาวก็รีบหาน้ำหาท่ามาให้แม้ผมจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจไปหลายรอบ น้าและหลานหายไปนานสองนาน ก่อนที่ผาจะกลับมานั่งด้านข้างพร้อมกับจ้องมองผมที่นั่งนิ่งเมื่อไม่รู้จะทำอะไร


     “ตอนแรกว่าจะแวะมาแปบเดียว แต่น้าหลิวไม่ยอม บอกให้ทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนค่อยกลับ”

     “เอาสิ อยู่นานเท่าที่เธอต้องการเลยก็ได้นี่”

 

     ผาเงียบ หันกลับไปพร้อมกับยกหมอนอิงขึ้นกอดแนบอก


     “ปกติแล้วกูมาไม่นานหรอก ไม่ค่อยอยากอยู่นานเท่าไหร่”

     “...” ผมนั่งนิ่ง พอจะเดาออกว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น


     และดูเหมือนการสันนิษฐานของผมจะถูกต้องทุกอย่าง


     “กลัวว่าจะคิดถึงแม่”


     สายตาคู่นั้นกวาดมองไปรอบๆ หยุดอยู่ที่แจกันดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนมุมหนึ่งของห้อง เป็นแจกันดอกไม้ปลอมที่ดูเก่ากว่าชิ้นอื่นที่ประดับไว้


     “อันนี้บ้านเธอใช่ไหม?” ผมถาม ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับผา

     “อืม บ้านกูเอง”

     “...”

     “ย้ายมาตอนประถม แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กจนโต พอแม่เสียน้าก็ช่วยมาดูแลกูที่อยู่คนเดียว”


     ทุกเหตุการณ์ในช่วงชีวิตผามักจะมีเรื่องราวของมารดาอยู่เสมอ เหมือนกันกับสิ่งที่มันขาดหายไปคือการเอ่ยถึงหัวหน้าครอบครัวคล้ายกับพยายามเลี่ยง


     ผาไม่เคยพูดถึงพ่อ และผมก็พอปะติดปะต่อได้ว่าคงไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสำหรับเขาเท่าไหร่นัก จากสายตาและท่าทางเย็นชาที่ผาแสดงออก


     มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเบื้องลึกในใจของเขายังคงมีเรื่องราวของคุณพ่อซ่อนอยู่


     “พ่อเป็นคนซื้อบ้านหลังนี้เพราะแม่ชอบ เมื่อก่อนสวนหน้าบ้านจะปลูกดอกไม้ ถ้ามึงเห็นดอกกุหลาบที่แม่ปลูกไว้มึงจะชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันกับกูแน่ๆ” เขาเว้นช่วง “ยิ่งตอนที่แม่อยู่นะ มองไปทางไหนของบ้านก็จะมีแต่ดอกไม้ ทางขึ้นบันได ห้องรับแขก ห้องครัว เข้าบ้านมาทีไรก็มีแต่กลิ่นหอมๆ”


      ผมยังตั้งใจฟังเรื่องราวที่ไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังบ่อยนักจากปากเขา


     “อยากให้มึงได้มาเห็นจริงๆ” หลังจบประโยคเขาก็หันมาทางผม ยิ้มจางแบบที่ดูอบอุ่นไม่สมกับเป็นเจ้าตัวส่งมาให้ รับรู้ความรู้สึกของเขาได้ผ่านแววตาที่อ่อนลงอย่างมาก


     “เสียดายเลย” ผมตอบรับ ส่งยิ้มกลับไปเหมือนกันในยามที่เราสบตา

     “นั่นสิ”

     “แต่ไม่เป็นไรหรอก ตัวเธอก็หอมเหมือนกัน”

     “คนละเรื่องแล้ว”

     “มาให้ดมๆหน่อย” ผมใช้นิ้วสะกิดไปยังต้นแขน เจ้าตัวเบี่ยงออกไปอีกทางคล้ายรังเกียจแต่ก็หัวเราะออกมา


     “แล้วนี่คุณน้าหายไปไหน?”

     “ออกไปตลาด ไปซื้อของมาทำกับข้าวเนี่ยแหละ”

     “อ่อ”


     ผมพยักหน้า เราสองคนเลยตัดสินใจฆ่าเวลาด้วยการที่เขาพาผมเดินเล่นรอบๆบ้าน สำรวจสวนที่ยังคงเหลือไว้แค่ดอกไม้บางชนิดที่คุณน้าเป็นคนปลูกเสียแทน


     “มาร์ช!!”


     แต่ในจังหวะหนึ่งที่เขาเหลือบเห็นคนที่เดินผ่าน ผาก็รีบตะโกนเสียงดังให้เจ้าของชื่อนั้นได้ยิน เจ้าตัวงุนงงในคราแรก ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้จนสามารถเห็นเค้าโครงหน้าได้อย่างแจ่มชัด


     “กลับมาตั้งแต่วันไหนเนี่ย?”

     “เพิ่งมาถึง แล้วนี่จะไปไหน?”

     “ซื้อขนมให้หลาน หลานมาบ้านก็โดนใช้งานหนักเลย”


     ผายิ้มเยาะให้กับคนหลังกำแพง ก่อนที่คนแปลกหน้าจะเห็นว่ามีผมยืนอยู่ด้วยกัน


     “อ่า นี่ม่าน” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูแปลกๆ เขาเลยรีบแนะนำผมให้อีกฝ่ายได้รู้จัก ผมก้มหัวลงทักทาย อีกฝ่ายก็เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วคนทางนั้นก็หันไปทางผาอีกรอบ


     “มากับเธอหรอ?” คนชื่อมาร์ชเอ่ยถามเสียงนุ่ม สรรพนามที่พูดออกมาทำให้ผมจ้องมองตามสัญชาตญาณอย่างช่วยไม่ได้


     เธองั้นหรอ?

     ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเรียกผาแบบนั้นมาก่อน


     “มาด้วยกัน”

     “อ่อ” อีกคนพยักหน้าแล้วหันมาหาผมอีกรอบ ความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านทำให้ผมอยากจะโทษตัวเองที่คิดร้ายกับเขาในเวลาก่อนหน้า


     คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง


     “ไม่เคยรู้จักเพื่อนเธอคนนี้เลย”


     คราวนี้ผาเงียบ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะของเราทั้งคู่


     “ไม่ใช่เพื่อน เป็นรุ่นน้อง”

     “อ่อ” ชายหนุ่มลากเสียงยาว ไม่เกินเสี้ยววินาทีที่ดวงตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นการหยอกล้อแล้วกดเสียงต่ำเพื่อย้ำคำถามที่ส่งให้ “รุ่นน้อง...หรอ?”


     ในใจผมเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกับคราวนี้ผมกำลังเริ่มต้นการพนันครั้งใหม่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว


     และมันเป็นการพนันที่ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะได้เกิน 50% ด้วยซ้ำ


     ถึงจะคิดไปแบบนั้น แต่ผากลับทำให้ทุกอย่างตาลปัตรไปจนหมด


     “เปล่า”

     “...”

     “ไม่ใช่น้อง”


     จากการปฏิเสธคำถามของคนอายุมากกว่า และย้ำความหมายที่ชัดเจนมากพอให้คนตรงหน้าเข้าใจ ผมพอจะรับรู้ได้จากสีหน้าและแววตาของเขาที่มองผมและผาสลับกันไปมาอีกหนึ่งรอบ เจ้าตัวค่อยๆส่งยิ้มมาให้ มีแววของความขี้เล่นที่แฝงไว้ด้านในอย่างเต็มเปี่ยม


     “มองอะไร?”

     “เปล่า”

     “มึงสองคนนี่มันกวนตีนเหมือนกันชิบ”


     ผาบ่นออกมาก่อนจะผลักหัวเจ้าตัวไปหนึ่งที อีกฝ่ายหัวเราะร่า ก่อนจะถามต่ออย่างอารมณ์ดี


     “ไปหาแม่มาแล้วอ่ะดิ?”

     “อืม ไปมาแล้ว ไปหาแม่ก่อนจะมาบ้านนี่แหละ”

     “อ่า ดีแล้ว”

     “กูเจอพ่อด้วย”


     ทันทีที่ผาพูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็จางหายไปจนหมด เขามองผาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ความห่วงใยที่ส่งผ่านมาทางแววตาทำให้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูเหมือนมาร์ชจะรับรู้เรื่องราวต่างๆในชีวิตของผาได้ดีกว่าผมเสียอีก


     “โอเคแน่นะ?”

     “อืม”

     “...”

     “...”

     “เธอก็รู้ว่าเธอโกหกคนอื่นได้แต่เธอโกหกเค้าไม่ได้นะผา”


     โทนเสียงทุ้มต่ำแสดงออกชัดเจนว่ากำลังดุ คนที่จนมุมทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่โดนรู้ทัน ผาเงียบไปสักพักก่อนจะตอบรับด้วยคำเดิม


     “โอเคน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจริงๆ”


     สายตาเย็นเยียบจ้องมองอยู่นานก่อนที่เจ้าบ้านจะเปลี่ยนเรื่องโดยการเชื้อเชิญแขก


     “วันนี้มาทานข้าวด้วยกันสิ น้าหลิวจะเข้าครัว ไหนๆก็เจอกันแล้ว”


     อีกคนพยักหน้ารับหลังจากตัดสินใจ “เอาดิ คิดถึงแกเหมือนกัน แต่เดี๋ยวไปซื้อขนมให้หลานก่อน”

     “รอในบ้านนะ”

     “คร้าบบ”


     เขาทั้งคู่บอกลากันอย่างเรียบง่ายก่อนที่เราจะตัดสินใจเดินเข้าบ้าน ไม่นานอีกฝ่ายก็ตามมาด้วยเสียงบ่นออดแอดตลอดทางเรื่องสภาพอากาศที่ร้อนจัดยามเที่ยง ผาเข้าครัวช่วยน้าของเขา เหลือเพียงผมกับแฟนเก่าใครบางคนที่รอคอยในห้องรับแขกสองต่อสอง


     บรรยากาศระหว่างเราดูจะแปลกไปเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเพราะเป็นการเจอกันครั้งแรกหรือเพราะสถานะความสัมพันธ์ที่มันยุ่งเหยิงของเราทั้งสามคนเลยทำให้ผมทำได้แค่เงียบ ส่วนเขาเองก็เงียบ ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ดูเป็นธรรมชาติและคุ้นเคยกับทุกๆอย่างรอบตัวเป็นอย่างดี


     เราคุยกันบ้างเล็กน้อยเพื่อไม่ได้ดูเป็นการเสียมารยาทมากเกินไป เขาถามมา ผมตอบรับ ผมถามกลับ เขาก็ตอบสั้นๆเหมือนกันคล้ายกับไม่รู้ว่าต้องไปต่อที่ตรงไหน โชคดีที่ผาเข้ามาทำลายความอึดอัดที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยเลยทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี


     มื้อเที่ยงที่แสนเอร็ดอร่อยหมดเกลี้ยงลงในพริบตา คนทั้งสามที่ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมากพูดคุยอย่างออกรส คงเพราะคุณน้าของผาเองที่ชวนผมคุยเหมือนกันเลยทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นคนนอกในการสนทนาครั้งนี้ หลายครั้งที่ผมแอบมองไปยังสองคนที่นั่งตรงหน้า รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ที่มันพิเศษแม้จะไม่ได้อธิบายออกมาให้เข้าใจ


     เป็นความสัมพันธ์ที่ผาเคยบอกผมไว้

     ว่าเมื่อไหร่ที่เขาย้อนไป เจ้าตัวจะมีรอยยิ้มให้กับมันเสมอ


     ถ้าจะให้พูดว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นเพราะผมคาดหวัง และคนที่คาดหวังก็คงไม่อยากจะผิดหวังเป็นแน่ ผมเป็นแบบนั้น เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นมันก็ส่งผลต่อความรู้สึกผมเป็นอย่างมาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ความรู้สึกที่บอกว่าผมยังเป็นที่สองรองจากมาร์ชมันยังกวนใจผมอยู่ตลอด จนกว่าเราจะนั่งบนรถ คงเพราะอาการของผมเองที่เงียบมาสักพักเลยทำให้ผาหันมาถามด้วยความสงสัย


     “เป็นอะไรรึเปล่า?”


     ผมทวนคำถามเขาในใจซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้ว่าต้องตอบไปแบบไหนถึงจะทำให้มันไม่แย่ลงกว่าเดิม


     ถ้าตอบว่าเป็นแล้วบอกเหตุผล...เขาจะยอมง้อไหม?


     แล้วผมสำคัญมากพอที่เขาจะให้เขาง้อหรือเปล่า?


     “วันนี้มึงได้เจอหลายคนเลยนะ” ผาไม่เซ้าซี้ นิสัยเขาอีกเหมือนเคยเมื่อผมเอาแต่เงียบ “ทั้งแม่ ทั้งพ่อ มาร์ช แล้วก็น้า”


     รถยนต์เคลื่อนตัวออกช้าๆ สายตาเขายังจดจ้องไปนอกกระจก


     “รู้สึกยังไงบ้างล่ะ ชีวิตกูเป็นแบบที่มึงคิดไหม?”


     ผมมองออกไปอย่างไม่มีจุดหมายเช่นกัน อาจเพราะอะไรหลายอย่างที่เริ่มตีกันอย่างหนักในหัว


     “บอกไปแล้วใช่ไหมว่ามึงคนแรกที่กูพามาที่นี่” เขาเว้นช่วง “ไม่เคยมีใครที่กูยอมขนาดนี้นะ...ไม่มีจริงๆ”


     แต่สุดท้ายแล้วผมก็แพ้ให้กับเขาอีกจนได้ จากคำพูดของผาที่ย้ำชัดให้ผมเข้าใจ


     ว่าที่จริงแล้วเขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังตั้งใจเรียนรู้ผมไปพร้อมกัน


     “เลิกคิดได้แล้วว่ากูไม่จริงจัง กูก็จริงจังเหมือนกัน แต่กูไม่เก่งในความสัมพันธ์พวกนี้ ถ้ามีอะไรที่กูพลาดไปก็ขอโทษด้วยจริงๆ”

     “...”

     “...บางทีกูไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทำให้มึงเสียใจไปแล้ว ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นก็รู้ไว้ด้วยว่าไม่ได้ชอบ”

     “...”

     “...ชอบเห็นมึงยิ้มมากกว่า...”


     มือเล็กส่งมายีที่ศีรษะจนเส้นผมของผมยุ่งเหยิง เขาไม่ได้ส่งยิ้มให้ แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจจนทิ้งความคิดบ้าๆพวกนั้นออก ไม่รู้เพราะผมเอาแต่เงียบหรือเพราะเขาอยากจะบอก ประโยคต่อไปเลยทำให้รอยยิ้มของผมปรากฏอย่างง่ายดาย


     และทำให้ผมมั่นใจว่าตัวเองยังยืนอยู่ในใจเขาลำดับแรกดังเดิม


     “แล้วก็ที่เคยถามไว้...จะตอบให้ก็ได้”


     ด้วยประโยคสุดท้ายก่อนที่มือเล็กจะคว้ามือผมไว้ บังคับให้จับมือเจ้าตัวไม่ห่างไปไหนเหมือนเคย


     “ที่จริงกูมีคำตอบนานแล้วนะ ถ้าถามว่าใครหล่อกว่าน่ะ...”

     “...”

     “แต่กลัวว่าพูดไปเดี๋ยวจะทำให้เด็กแถวนี้ได้ใจซะเปล่าๆ”



     ผมยกยิ้ม อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ


     แต่ว่ามองไปมองมา...ผมก็หล่อกว่าพี่มาร์ชแบบที่ผาว่าจริงๆนั่นแหละ


      ไม่เถียงเลย
     :’)










#ผาเพียงฟ้า

Talk2
มีเด็กได้ใจใหญ่แล้วค่ะพี่ผา


24/11/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 100% - P.4 (24/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-11-2019 13:20:03
 :pig4:
 :3123:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 100% - P.4 (24/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-11-2019 13:24:58
ถ้าเราเป็นม่านเราก็แอบกังวลนะเนี่ย กับสรรพนามที่มาร์ชใช้กับผา แต่แหมม พี่ผาพูดขนาดนี้ม่านก็ไปใหนไม่รอดแล้วว ผาดูชัดเจนขึ้นนะ :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 100% - P.4 (24/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 24-11-2019 16:35:06
จริงๆแล้วผาก็สนใจความรู้สึกม่านเหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 100% - P.4 (24/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-11-2019 19:39:48
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 100% - P.4 (24/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-11-2019 22:53:36
เขามีวิธีง้อของเขาอ่ะ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 1 | I feel so safe when I'm with you 100% - P.4 (24/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 26-11-2019 01:42:21


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


22

Falling Slowly



_________


bgm : falling slowly - Marketa Irglova & Glen Hansard




...Moods that take me and erase me
And I’m painted black...



_________











     ถึงแม้จะงุนงงที่มีคนแย่งขับและยึดกุญแจรถไว้กับตัวในเวลาก่อนหน้าแต่ตอนนี้ผมก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้น ม่านจอดรถยนต์คันสีดำเทียบท่ายังหอพักของเจ้าตัวแล้วหันมามองคล้ายกับเชื้อเชิญให้ลงจากรถ ทั้งหมดดูเหมือนเป็นการบังคับกลายๆให้เราใช้เวลาต่อจากนั้นสองต่อสอง



     และดูเหมือนเจ้าตัวจะวางแผนมันมาอย่างดี



     “เอากุญแจมาได้แล้ว” ผมอาศัยตอนที่เขาเผลอโน้มตัวไปแย่งของในมือใหญ่ แต่สุดท้ายก็โดนใครบางคนหลบได้อย่างรู้ทัน ม่านเบี่ยงตัวไปอีกทาง พยายามกันผมไม่ให้แย่งมันไปได้

     “ไม่เอา อยากให้เธออยู่กับเค้าก่อน”

     “อย่าให้กูต้องใช้กำลังนะม่าน”



     เขารีบเข้าประคองเมื่อเห็นผมสะดุดในจังหวะหนึ่งจนเกือบจะคะมำ เสียงหัวเราะดังแผ่วจนทำให้คิ้วขมวด



     “อยู่กับเค้าน้า”



     เจ้าตัวเสียงอ่อย เอียงหน้าลงเล็กน้อยแล้วจ้องมอง



     เอาเข้าไป

     เดี๋ยวนี้ล่ะอ้อนเก่ง



     “อยู่ด้วยทั้งวันแล้วยังไม่เบื่ออีกหรอไง?” ผมถาม หรี่ตามองเพื่อรอคำตอบ แต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะเดินเกมส์พลาดไปซะงั้น



     เพราะคำตอบของม่าน...



     “ให้อยู่ด้วยทั้งชีวิตก็ไม่เบื่อหรอกครับผม”



     ...มันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเปิดทางให้เขาได้หยอดเข้าเสียแล้ว



     รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าคมคายในทันทีที่พูดจบ เมื่อก่อนม่านจะไม่ค่อยกล้าสบตาผมเวลาพูดอะไรแบบนี้มากเท่าไหร่ แต่พอนานเข้าดูเหมือนอาการเขินอายจะหายไปจนหมด เหลือแต่เพียงไอ้เด็กตัวโตที่ได้ใจไปเสียทุกอย่าง



     “เลี่ยนมาก”

     “อ่าวไม่ชอบหรอ?”

     “...” ผมไม่ตอบ หันกลับไปเก็บของเพราะรู้ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมให้กลับแต่โดยดี

     “ไม่ชอบจริงๆหรอครับ?” แต่ดูเหมือนเจ้าตัวก็ยังจะไม่พอใจ รอบนี้ม่านถามย้ำ เอนตัวมายังเบาะที่นั่งจนระยะระหว่างเรามันน่าใจหาย



     “เออ ไม่ชอบ” มือผมรีบเลื่อนมากั้นใบหน้าเขาไว้ไม่ให้มันเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ เอนตัวออกมาอีกหน่อยเพราะรู้สึกถึงความอันตรายต่อการจู่โจม



     “ม่าน อะไรอีกเนี่ย” เมื่อทนไม่ไหวจึงเอ็ดเขาไปหนึ่งที สุดท้ายเมื่อโดนดุม่านจึงถอยออกไปที่เดิมแล้วพูดต่อแม้จะยังไม่เลิกจ้อง แถมข้อความในประโยคก็ดูคลุมเครือเสียจนไม่กล้าคิดไปว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน



     “โกหกนี่นา...ที่จริงก็ชอบนิดนึงแล้วใช่ไหมล่ะ?”



     ระหว่างประโยคแสนหวานน้ำตาลขึ้น

     หรือคนที่พูดมันออกมา



     ผมหลบหน้าคนที่กำลังยิ้มด้วยการเปิดประตูลงจากรถ เดินนำหน้าเขาที่รีบตามมาไม่ห่างพร้อมกับเสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวกลับมาเดินนำเมื่อใกล้จะถึงห้อง เมื่อปลดล็อกประตูก็ปล่อยให้ผมเดินเข้ามาด้านในก่อนแล้วค่อยเข้ามาทีหลัง



     ห้องของม่านยังเหมือนเดิมทุกประการหลังจากครั้งสุดท้ายที่เคยมา จะมีก็แต่กลิ่นหอมที่ดูแตะจมูกมากกว่าปกติ เป็นกลิ่นที่เหมือนกันกับกลิ่นเจ้าตัวที่มักจะโชยจางอยู่ตลอดในตอนที่อยู่ใกล้ๆ ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองชอบกลิ่นนั้นเพราะมันหอมเสียจนสามารถทำเสียอาการได้ในบางที มันเป็นกลิ่นหอมที่นุ่มลึก อบอวลอำพันด้วยความรู้สึกชวนหลงใหลและปลายกลิ่นจะมีความเย้ายวนของผู้ชายแฝงไว้จนแทบไม่รู้สึก และบ่อยครั้งที่เขาอยู่ด้านข้าง ผมก็มักจะเผลอเอนเข้าไปหาโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว



     เจ้าของห้องทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางสบาย ปล่อยให้แขกอย่างผมยืนอย่างเก้ๆกังๆกลางห้องด้วยความไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ สุดท้ายเมื่อทนสายตาเขาไม่ไหวจึงนั่งลงยังโซฟาตัวเล็กที่อยู่ข้างกัน ปล่อยให้เวลาเดินผ่านพร้อมความเงียบแม้จะยังสงสัยว่าควรทำอะไรต่อ



     “ดูหนังกันมั้ย?” เขาถามขึ้นพร้อมกับเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองไปพลาง รัวนิ้วอยู่สองสามครั้งและปิดมันลง

     “ไม่ดูแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ?”

     “เดี๋ยวดิ” เสียงม่านดูตกใจ ก่อนที่เขาจะทำให้ผมต้องปวดหัวอีกหลายรอบกับคำพูดที่ส่งให้ต่อจากนั้น “อย่าบอกนะว่าจะชวนเล่นจ้ำจี้ ไม่เอานะคนบ้าา”



     อีกฝ่ายบิดตัวไปมาเล็กน้อยเมื่อพูด ท่าทางที่แสร้งทำทำเอาผมต้องถอนหายใจให้กับภาพที่เห็น



     เฮ้ออ

     เหนื่อยใจกับไอ้เด็กหน้าหมานี่จริงๆ



     “ฮ่าๆ เธออย่าทำหน้างั้นดิวะ” เขาเสยผมไปด้านหลัง ก่อนจะใช้มือสองข้างรอบไว้ระหว่างศีรษะและพนักพิง



     “จะดูก็ดู เปิดดิ” ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยการออกคำสั่ง จากนั้นม่านก็ส่งโน้ตบุ้คเครื่องเล็กที่วางยังโต๊ะกลางส่งให้ เขาตามใจโดยการปล่อยให้ผมเป็นคนเลือกเรื่องก่อนจะหายตัวไปยังห้องครัวเพื่อทำอะไรสักอย่างที่ผมได้ยินเสียงกุกกักตามมา



     แทบไม่ต้องใช้เวลานานเลยด้วยซ้ำสำหรับการตัดสินใจในเมื่อผมมีเรื่องโปรด เป็นเรื่องที่มักจะเปิดดูซ้ำๆและอยู่ในใจผมตลอดกาลไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ผมหยุดรอให้คนที่หายไปกลับมา จนกว่าที่ม่านจะวางของทานเล่นไว้ใกล้ๆ แล้วหยิบทุกอย่างไปจัดการ เสียงเพลงที่คุ้นหูจึงได้แล่นผ่าน จากนั้นเราจึงได้เริ่มต้นดูเรื่องราวต่างๆไปพร้อมกัน



     “มานั่งกับเค้ามา นั่งตรงนั้นมันดูไม่สะดวกหรอก” คำเชื้อเชิญถูกส่งมาด้วยความเป็นห่วงถึงแม้ผมจะรู้สึกถึงความเจ้าเล่ห์ที่แฝงอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่สามารถเถียงเขาได้เลยว่านั่งตรงนี้แล้วมันค่อนข้างมองหน้าจอสี่เหลี่ยมลำบากจริงๆ ผมนั่งคิดสักพัก ก่อนม่านจะพูดขึ้นอีกครั้งเพื่อโน้มน้าวใจ



     “มาเถอะน่า เค้าไม่ทำอะไรเธอหรอกครับ”



     สุดท้ายผมก็แพ้ให้กับการหลอกล่อในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่าแต่ก็เพราะอยากดูหนังให้สบายมากกว่าเก่าเลยเลื่อนตัวไปนั่งข้างๆ เว้นระยะห่างของเราไว้ป้องกันใครบางคนที่มักจะได้ใจมากไปในบางที แต่ม่านก็ไม่ได้กวนใจผมตามที่บอกเอาไว้ เขาตั้งใจรับชมเนื้อหาที่ผ่านพ้นพร้อมกับหยิบขนมติดมือ เจ้าตัวส่งมาให้ผมบ่อยครั้ง หลังจากนั้นก็หยิบผ้าห่มผืนบางส่งให้เพราะกลัวว่าจะรู้สึกหนาว



     ผมไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน แต่ตอนที่ตื่นก็พบว่ามีใครบางคนนอนที่ตักพร้อมกับหลับตาพริ้มเป็นที่เรียบร้อย เขามีลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ หันหน้าเข้าหาพร้อมกับใช้มือรวบเอวเอาไว้ทั้งสองข้าง จมูกของม่านสัมผัสเข้ากับเนื้อผ้าของเสื้อผมแผ่วเบา ส่งผ่านความร้อนจนทำให้หน้าท้องรู้สึกอุ่น



     “นี่” ผมเรียกเขาแผ่วเบา แต่เพียงแค่นั้นก็ไม่สามารถทำให้คนขี้เซาตื่นได้



     “ม่าน”

     “อืออ”



     เขาครางรับ ขยับตัวด้วยการกอดร่างกายผมแน่นเข้าไปอีก



     “ตื่นได้แล้ว”

     “กี่โมงแล้วอ่ะ” เสียงเจ้าตัวยังอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ซุกใบหน้าเข้ากับหน้าท้องผมอีกครั้งไม่ยอมละไปไหน สายตาผมเลื่อนไปทางนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งไว้ไม่ไกลกับโทรทัศน์ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยยามที่ตอบคำถามของเขากลับไป



     “สี่ทุ่มกว่า”

     “อือฮึ”

     “กูนอนไปนานขนาดนั้นเลยหรอ?”

     “...ไม่รู้...เหมือนกัน”



     ผมนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นสักพักโดยไม่ขยับเขยื้อน กลัวว่าเขาจะกอบโกยกำไรจากร่างกายตัวเองมากกว่านี้ถ้าขัดขืน แต่เมื่อมันนานเกินไปจนทนไม่ไหว ผมก็ใช้มือปลุกเขาอีกรอบเพื่อบอกความต้องการของตัวเอง



     “ลุกได้มั้ย กูอยากกลับแล้ว” เสียงผมอ่อนลงเกือบเท่าตัว และมันก็ดูได้ผลเมื่อม่านลืมตาขึ้นแล้วเงยมอง



     “จะกลับแล้วหรอ?”

     “อือ จะไปทำงานต่อ”



     คนตัวสูงนิ่งเงียบ มองไปรอบๆห้องแล้วหันกลับมา



     “อยู่ด้วยทั้งวันแล้วไง ไม่พอใจอีกหรอ?” เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ไม้อ่อนจึงต้องตามมาติดๆ ผมใช้มือดันคางเขาเพื่อหยอกล้อ เรียกรอยยิ้มจากคนที่นอนอยู่ได้เป็นอย่างดี



     “พอแล้วก็ได้”

     “อืม”

     “อยู่นานก็กลัวว่าเธอจะเบื่อเค้าเหมือนกันน่ะแหละ”

     “หรอออ?”



     ผมลากเสียงยาวพร้อมกับทำตาโตจนม่านหัวเราะ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมือใหญ่เลื่อนขึ้นมาทาบข้างแก้ม เพราะแบบนั้นเลยทำให้ผมต้องก้มลงเพื่อมองว่าเขาทำแบบนั้นทำไม แต่ก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดหลังจากที่เราได้สบตาพร้อมกับความสุขที่ส่งผ่านมาจากเจ้าตัว



     “แต่มันดึกแล้วนะ”

     “ไม่เห็นเป็นไรนี่ กูเอารถมา”

     “เป็นห่วง”

     “กูยี่สิบสองแล้วม่าน ไม่ใช่เด็กๆ”



     เมื่อเอาแต่ใจไม่ได้ผล เขาก็เริ่มฮึมฮัมเนื้อร้องของเพลงเบาๆ แม้จะยังไม่ละสายตา



     “...ดึกแล้วอย่าเพิ่งกลับไป...”



     เสียงเขาหวาน



     “...ดึกแล้วไม่ให้ไปไหน...”



     ไม่ต่างจากรอยยิ้มที่ส่งมา



     “...ตอนนี้เอาจริงๆ แค่อยากอยู่กับเธอตรงนี้”



     และดูเหมือนว่าม่านจะทำให้ผมต้องใจอ่อนเพราะการออดอ้อนของเจ้าตัว



     เขาหัวเราะในตอนท้าย แลบลิ้นเลียริมฝีปากพร้อมกับใช้นิ้วซ้ายลูบไล้แก้มผมไปมา มันอ่อนหวานเสียจนผมเคลิ้มไปกับสัมผัสแสนนุ่ม กว่าจะรู้ตัวก็ในตอนที่เขาลุกขึ้น



     และระยะห่างระหว่างเราร่นลงอีกแล้ว



     “จูบได้ไหม?”



     ผมไม่ทราบว่าตัวเองมีสีหน้าแบบไหนในตอนที่เขาถาม

     ไม่ทราบว่านานหรือเปล่าที่ม่านรอคอยคำตอบ



     ถึงเข็มนาฬิกาจะเคลื่อนผ่านไปมาหลายรอบ เขาก็ยังจ้องมองและไม่จากไปไหน



     เปลือกตาของผมค่อยๆปิดลงในตอนที่ใบหน้าเราเคลื่อนเข้าใกล้จนไม่มีที่ว่างให้อากาศลอดผ่าน รู้สึกถึงริมฝีปากที่สัมผัสกันแผ่วเบา เขาไม่ได้รุกล้ำ มอบจุมพิตเนิ่นนานก่อนจะส่งนิ้วเรียวขยุ้มท้ายทอยผมอีกที ม่านผละออก ลมหายใจอุ่นร้อนแลกกันไปมา เขาไม่ได้ห่างหาย แต่ผละออกไปเพื่อเริ่มต้นการจู่โจมครั้งใหม่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว



     คราวนี้มือใหญ่บังคับศีรษะผมให้ได้องศา เอียงหน้าเล็กน้อยยามลิ้นร้อนแทรกตัวเข้าเล่นงานช้าๆอย่างรันจวนใจ เขาไม่ได้เร่งจังหวะ ปล่อยให้เราสองตอบรับกันไปมาแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมให้ผมเป็นผู้นำทางเลยสักเสี้ยววิ เขาอ่อนหวาน มอบความเสน่ห์หาปนลึกในจูบนั้นอย่างเปิดเผย คล้ายกับย้ำร่องรอยที่เกิดขึ้นภายในใจให้กับคำถามของเจ้าตัว



     ว่าผมชอบเขาเข้าแล้วจริงๆ



     ไม่ได้ชอบนิดนึงตามที่เข้าใจหรอก



     ถ้าชอบนิดนึงจะยอมให้จูบทำไมตั้งสองรอบ




     ยังไม่รู้ตัวอีก






   ​​​​




50%















#ผาเพียงฟ้า

ช่วงนี้มา 50% บ่อย
อย่าเพิ่งเบื่อกันเลยนะคะ TT

ปล. หนังที่พี่ผาเลือกดูคือเรื่อง ONCE ค่ะ
มีใครเคยดูไหมคะ เป็นอีกเรื่องที่เราชอบเหมือนกัน
และเรื่องนี้ก็ทำให้เราตกหลุมรักเพลง Falling SLowly ไปโดยถอนตัวไม่ขึ้นอีกเลย :-)


26/11/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 50% - P.5 (26/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-11-2019 09:41:16
อยากมีม่านเป็นของตัวเองงง :ling1:
เด็กมันได้ใจแล้วนะคะพี่ผา  :laugh:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 50% - P.5 (26/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-11-2019 00:37:04
โอ๊ย พี่ผาาาาาาาาาาาาาา
ถ้าเจ้าเด็กมันได้ยินความคิดพี่จะต้องอยากฟัดแน่ๆ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 50% - P.5 (26/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: mildmildss ที่ 27-11-2019 11:28:46
อยากได้น้องม่านนนน :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 50% - P.5 (26/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 27-11-2019 18:43:47
50%







     “กลับดีๆนะ”

     “อืม”

     “ถึงแล้วบอกเค้าด้วย โอเคไหม?”


     คนพูดชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ มือข้างซ้ายเท้าไปกับรถที่ยังไม่ออกตัว เขามองผมผ่านช่องว่างของกระจกที่ลดลงเกือบหมด ส่งยิ้มเป็นการบอกลาให้กับคนที่พร้อมจะจากไป


     “เดี๋ยวนี้ต้องรายงานด้วยหรอ ไม่รู้มาก่อนว่าต้องทำ” ผมตอบกลับ มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้กลัวมันเลยแม้แต่น้อย


     “ต้องรายงานครับ”

     “เดี๋ยวมึงก็ทักมาอยู่ดี”

     “ก็ถ้าเธอทักมาก่อนมันจะดีใจอีกร้อยเท่าอ่ะ ไม่เหมือนกัน”


     เสียงถอนหายใจผมลากยาวอีกครั้งในตอนที่พยักหน้าเบาๆ ตอบรับเพื่อตัดจบปัญหา ใช้สายตามองเขาให้ถอยห่างเพื่อจะได้สตาร์ทรถ ม่านยอมก้าวถอยหลัง มองตามทุกจังหวะการเคลื่อนตัวแม้ผมจะเลื่อนปิดกระจกขึ้นเป็นที่เรียบร้อย


     ความเงียบและท้องฟ้าอันมืดมิดคอยเป็นเพื่อนแก้เหงาในตอนที่ผมต้องเดินทางเพียงแค่คนเดียว ปล่อยให้ความคิดหลายอย่างล่องลอยผ่านโดยไม่ใส่ใจมากนัก สายตาจ้องมองไปยังถนนด้านหน้า ก่อนจะรีบชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นว่าเป็นสัญญาณไฟแดงที่ฉายอยู่


     ผมแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง อาจเพราะมีใครบางคนเข้ามาจนลืมเสียว่าปกติแล้วเคยทำตัวยังไง ผมไม่ได้สนใจความรู้สึกของตัวเองมากเท่าไหร่ เพราะมัวแต่สังเกตอาการของม่านในสถานการณ์ต่างๆที่เราพบเจอ


     ตั้งแต่การพาไปหาแม่ การที่วันนี้บังเอิญได้เจอพ่อ และการที่เขาพบกับแฟนเก่าของผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

     
     คงเพราะชีวิตส่วนตัวผมไม่ได้สวยหรู ไม่มีด้านไหนที่จะน้อมรับเขามาได้แล้วมอบความสุขให้แบบที่ม่านทำกับตัวเอง ผมเลยรู้สึกกังวลอยู่บ่อยๆแต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้ ผมไม่กล้าให้เขาก้าวเข้ามามากเกินไป กลัวว่าบาดแผลในใจที่มีจะเผลอทำร้ายเขาไปด้วยคน


     แต่ดูเหมือนมันจะเริ่มควบคุมไว้ไม่ได้


     เพราะอีกฝ่ายนั้นเก่งเกินกว่าที่คาดคิด เขาก้าวเข้ามาในชีวิตผมโดยแทบไม่สนว่ามันเคยเกิดอะไร เขาทำลายกำแพงทุกอย่าง มาพร้อมกับอานุภาพทำลายล้างที่ทำให้ใครบางคนต้องยอมแพ้


     และแน่นอนว่าเขาทำสำเร็จ

     จากการที่ผมแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากมีเจ้าตัว


     ปริ้น!


     เสียงแตรรถคันด้านหลังทำให้ผมออกจากพะวงความคิด รีบเหยียบคันเร่งเพื่อไปต่อเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นทำความผิดอะไร สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพราะมีแต่คนมัวเหม่อเลยทำให้จอดแช่อยู่นาน ผมตั้งสติแล้วพยายามทิ้งสิ่งเหล่านั้นตามทางที่พ้นผ่าน ก่อนจะหันมองนาฬิกาแล้วพบว่าเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะผ่านพ้นหนึ่งวันนี้ไป


     ถึงแม้ผมจะเลิกคิดเรื่องของเขาแล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่กวนใจผมอยู่ตลอด ทั้งเรื่องงาน เรื่องของที่บ้าน และสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่ผมยังไม่ได้สะสางให้เข้าที่เข้าทางเสียที ในตอนที่รีบเดินเข้าตึกจึงเอาแต่เรียบเรียงความคิดของตัวเองไปมา จัดลำดับความสำคัญว่าหลังจากกลับไปถึงห้องแล้วจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก


     ผมล้วงกระเป๋าตังค์ใบสีดำจากหลังกางเกง ทาบเข้ากับแป้นอัตโนมัติบนประตูหน้าห้องเพื่อเปิดออก รอคอยสัญญาณเสียงดังอีกหนึ่งรอบแต่มันก็ไม่เกิดขึ้นเสียที ผมตัดสินใจทาบมันเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากที่รู้สึกว่ามีไอเย็นแผ่ออกมาจากภายใน แปลกใจตรงที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะก่อนออกจากห้องผมก็น่าจะปิดเครื่องปรับอากาศเป็นที่เรียบร้อย


     เสียงดังลากยาวมาพร้อมกับประตูห้องที่แง้มออกโดยทันที ผมผลักมันเข้าไปด้านใน ถอดรองเท้าวางไว้ยังชั้นวางก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวแสงไฟภายในห้องก็สว่างจ้าพร้อมกับเสียงดังสนั่นของคนที่แอบเข้ามาอยู่ก่อน


     และพวกมันก็ทำเอาผมต้องตกใจให้กับสภาพห้องในตอนนี้


     “เซอร์ไพรส์!!!” ไอ้ฮั่นผายมือออกพร้อมกับที่ไอ้เหนือลากผมมานั่งยังหน้าโซฟา ผมใช้มือลูบใบหน้าตัวเองสองสามครั้ง พยายามข่มความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นให้มันดับลง


     อย่างที่บอก ผมไม่ชอบการเฉลิมฉลอง

และพวกมันก็ทำให้ผมต้องทำตัวไม่ถูกเข้าจนได้


     “ทำไมทำหน้างั้นวะ ยิ้มหน่อยย” ไอ้ปัทถ์พุ่งตรงมาล็อกตัวอย่างรวดเร็ว มันใช้มือยีหัวผมจนยุ่ง หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นว่าหน้าผมหงิกงอไม่สบอารมณ์เท่าไหร่


     “เซอร์ไพรส์อะไรของพวกมึง”

     “ก็วันเกิดมึงไม่ใช่หรอวะ?”


     ผมปัดมือไอ้นาวาที่พุ่งตรงมาจะแกล้งอีก ก้าวถอยหลังโดยมีไอ้ปัทถ์คนเดิมที่รองรับร่างกายตัวเองไว้


     “รู้ได้ไง?”

     “ไม่ยากเกินไปหรอกน่าผา...สายพวกกูดีซะอย่าง” เสียงแผ่วจางลงไปในประโยคหลัง พวกมันบังคับให้ผมนั่งหน้าเค้กที่วางไว้ก่อนจะเตรียมปักเทียนและจุดไฟในลำดับถัดไปหลังจากนั้น


     “เฮ้ย!! ไม่เอา” ผมเอ่ยห้าม ส่ายหน้าพัลวันเพื่อปฏิเสธ

     “อ่าวก็เป่าเค้กจะได้แดกซะที พวกกูรอมึงมาตั้งนาน”

     “นาวา กูไหว้เลย ยังไงก็ได้แต่ไม่ร้องเพลง” คงเพราะผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พวกมันเลยนิ่งค้างไปสักพัก ครั้นจะไม่ยอมทำตามผมก็กีดกันไม่ให้มันเข้าใกล้ จนสุดท้ายการยื้อแย่งจบลงเมื่อไอ้ตินเอ่ยพูด


     “งั้นรีบอธิษฐาน กูหิวแล้ว”

     “เออ”


     พรของผมแค่สั้นๆ ไม่ใช้เวลานานเหมือนคนอื่นๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความเงียบจากการรอคอยของเพื่อนๆรอบข้าง หลังจากที่ผมส่งสัญญาณว่าทุกอย่างแล้วเสร็จ พวกมันก็รีบจัดแจงอาหารวางไว้บนโต๊ะโดยไม่พลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่ซื้อกันมา


     “ปีแรกเลยป่ะวะที่ได้ฉลองวันเกิดมึงอ่ะ?” คนถามยกถาดพิซซ่าวางไว้ รินเครื่องดื่มใส่ในแก้วส่งให้ก่อนจะเงยมอง

     “ก็มันไม่เคยบอกสักที” ไม่ทันได้ตอบไอ้นาวาก็พูดขึ้นเสียก่อน ผมเลยยักไหล่แล้วทานของว่างเสียบ้าง

     “ก็มีแต่เลยวันบ้าง ไม่ตรงวันบ้าง กูก็งงๆ”

     “เออน่า วันเกิดพวกมึงก็ได้กินกันอยู่แล้ว”


     พอผมพูดจบก็ถูกไอ้ตินพลักศีรษะจนโงนเงน มันหันกลับไปแม้จะด่าผมอย่างเจ็บแสบตามประสาคนไม่ค่อยพูด


     “เล่นตัว”


     อาจเพราะความหิวเลยทำให้ผมหยิบนู่นทานนี่โดยไม่วางมือ คิดไปคิดมาแล้วก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเพราะเผลอหลับไปเสียก่อน


     “รู้จากม่านหรอ?” ผมถาม ไอ้ฮั่นพยักหน้าตอบรับ

     “จะมีใครอีก”

     “แล้วพวกมึงมารอกันตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?”

     มันนิ่งคิด ก่อนจะตอบพร้อมกับมองผมไปด้วย “น่าจะราวๆสามทุ่ม”

     “อ่อ”

     “ม่านมันบอกสามทุ่มมึงก็คงกลับ แต่รอแล้วรออีกก็ยังไม่มา”


     ผมเงียบ ไม่สนใจว่าพวกนั้นจะพูดอะไรต่อ


     “ไม่รู้ว่าทำอะไรกันสองคน นานจนพวกกูสงสัยฉิบหายเลยว่ะ”

     “แหน่”

     “จ้ำจี้มะเขือเปาะแปะป่ะ” พลั่ก! “โอ๊ยย”


     แต่ดูเหมือนผมจะไม่ได้เก่งแบบเคย เพราะเมื่อไอ้นาวามันทำหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมกับหยอกล้อด้วยเสียงยานคางผมเลยใช้ข้อศอกถางหน้าท้องของคนที่นั่งด้านข้างตอนนี้


     “ไปจ้ำจี้กับพ่อมึงนู่น”

     “พี่เขาโหดตลอด”     

     “...”


     พวกมันล้อตลอดเรื่องที่ผมหายไปเสียนาน ถึงแม้จะแก้ตัวว่าแค่เผลอหลับไปสักพักแต่ก็ยังไม่วายจะได้สายตาแวววับจับผิด ผมไม่รู้ว่าตัวเองมีอาการแบบไหน แต่คนที่ไม่ได้ทำแค่เผลอหลับก็กลัวเหมือนกันว่าจะมีพิรุธจนพวกมันนั้นจับได้


     “เดี๋ยว กูขอถาม” ไอ้ปัทถ์ที่กำลังดื่มวางแก้วลงก่อนจะยกมือขึ้น เมื่อมันหันมาทางผมจึงรู้ได้ว่าต้องเป็นเรื่องของตัวเอง


     “สรุปแล้วมึงกับม่านนี่เป็นอะไรกันหรอ?”


     สายตาของทุกคู่หันมามองอย่างพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่คนที่เงียบที่สุดในกลุ่ม ไอ้ตินเท้าแขนไปด้านหลัง รอคอยว่าคำตอบจะใช่แบบที่มันคิดหรือเปล่า


     “กูขอแบบใจๆเลยนะ เพื่อนมันต้องไม่มีความลับกับเพื่อนนะเว้ย”


     ดูเหมือนแต่ละคนจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เมื่อหนึ่งคนหยอด อีกคนก็สุมไฟให้จนเกิดอารมณ์ร่วมตามกันไป


     “พวกกูก็แค่อยากรู้แหละ เห็นช่วงนี้มึงกับมันอยู่ด้วยกันบ่อย เลยถามเพื่อความแน่ใจ”

     “เผื่อว่าเปลี่ยนสถานะแล้วจะได้เข้าใจกันถูก”


     มือซ้ายวางแก้วไว้บนโต๊ะ ผมมองหน้าไอ้ฮั่น รับรู้ได้ว่าพวกมันจริงจังไม่ได้ล้อเล่นแบบครั้งก่อน


     “ก็เหมือนเดิม”

     “เหมือนเดิม?”

     “อืม เหมือนเดิมนั่นแหละ”


     ไอ้เหนือยักไหล่ ก่อนจะถามต่อ


     “แต่ก็ชอบไอ้ม่านแล้วใช่ป่ะล่ะ?”

     “...”

     “ไม่งั้นมึงคงไม่ยอมมันมากขนาดนี้”


     และคำถามของมันก็ทำเอาผมจนมุมในที่สุด ผมไม่มีทางปฏิเสธได้เลย เพราะหลักฐานมีให้เห็นทนโท่จนไม่สามารถหลีกหนี


     ให้ตายสิ

     ผมเก็บอาการไม่ได้อีกแล้วสินะ


     “อย่าล้อ”


     แค่คำพูดเดียวสั้นๆของผมก็พอจะทำให้พวกมันก็รู้คำตอบ รอยยิ้มปรากฏในวงสนทนา ไอ้ฮั่นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปตามเคย


     “เชียร์มันมากจังพวกมึงอ่ะ”

     “ก็เห็นว่าเด็กมันจริงใจ”

     “รู้แล้วน่า”

     “แถมนานๆทีจะมีคนตาถั่วมาจีบมึง กูเลยกลัวว่าเพื่อนจะขึ้นคานไปซะก่อน”


     ไอ้นาวาหัวเราะคิกคักกับแก๊งสามเสือ ผมใช้เท้าถีบมันไปหนึ่งรอบแต่พวกนั้นก็ยังไม่หยุด


     “มันโอเคใช่มั้ย? กับมึง”

     “อืม”

     “...”

     “ก็น่ารักดี”


     เสียงวิ้ดวิ้วดังตามมา ก่อนผมจะพูดเสียงแผ่วแล้วดื่มเครื่องดื่มมึนเมาแก้เขิน


     “อย่าบอกม่านนะ”


     ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำตามสัญญาที่พูดเอาไว้ไหม แต่ถึงยังไงก็ไม่มีหลักฐานว่าผมได้พูดแบบนั้นออกไปอยู่แล้ว เรานั่งคุยจนล่วงเลยข้ามวัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอเมื่อมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะคละเคล้า หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติตามเดิมแบบที่ผมอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมด้วยความเงียบ


     ผมนั่งพักยังโซฟาหลังจากเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย เหลือบมองดูนาฬิกาพบว่าเข็มสั้นของมันเลื่อนต่ำจากเลขหนึ่งมาเสียหน่อย และในตอนนั้นเองที่คิดได้ว่าลืมทักใครบางคนกลับไปตามที่เขาต้องการให้เป็น แต่อันที่จริงแล้วม่านก็คงรู้จากการที่วางแผนไว้กับเพื่อนผม ก็เจ้าตัวนั่นแหละที่เป็นคนยื้อเวลาให้แผนการทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี


     เท้าผมก้าวเข้าไปในห้อง แต่แล้วของที่วางไว้บนเตียงก็ทำให้แปลกใจอีกหนึ่งรอบ เพราะไม่คิดว่าใครบางคนจะมีของขวัญมาให้แม้เราจะใช้เวลาทั้งวันด้วยกันมาแล้วก็ตาม


     ผ้าปูสีขาวสะอาดมีกล่องที่ห่อไว้อย่างดี ข้างบนมีดอกกุหลาบช่อใหญ่วางไว้ สีแดงของมันดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปเพื่อสำรวจ การ์ดใบเล็กถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะอ่านมัน




‘Your lips?

I kiss that.


Your body?

I hug that.


My smile?

You cause that.


And my heart?

You always take that.


In this Infinite universe

I will stay here and dry your tears na krub



M

:-)





     และพบว่าทั้งหมดเป็นข้อความสั้นๆจากเจ้าของที่ส่งมา


     รอยยิ้มผมระบายบนใบหน้า วางกระดาษขาวลงก่อนจะแกะกล่องที่มีคนมอบให้ ในใจคาดเดาไปต่างๆนานาว่าเป็นของแบบไหนที่อยู่ด้านใน นานมาแล้วที่ไม่ได้ตื่นเต้นให้กับอะไรแบบนี้


     ฝากล่องเปิดออกพร้อมกับเจ้าตุ๊กตาตัวสีน้ำตาลที่นอนเด่นหรา ผมค่อยๆหยิบมันขึ้นมาสำรวจ นึกขึ้นได้ว่าม่านมีตุ๊กตาแบบนี้เหมือนกันในตอนที่เขานำไปด้วยเมื่อสัมมนา เจ้าขนนุ่มมีขนาดไม่ใหญ่มาก พอดีมือจับและเหมาะกับการใช้งานเพื่อกอด ผมจ้องมองมันอยู่สักพัก วางของขวัญหนึ่งเดียวไว้ยังหัวเตียงที่มีเพียงหมอน


     Pha : ไม่บอกมาก่อนว่าจะมีของขวัญ

แล้วเธอชอบไหม? : AMAN


     ผมตัดสินใจทักไปในทันทีหลังจากนั้น และเขาก็ตอบรับในทันทีเหมือนกันคล้ายกับรอข้อความอย่างที่พูดไว้


     Pha : ไม่ชอบได้ด้วยหรอไง?

ไม่ได้ครับ : AMAN

     Pha : เออ รู้อยู่

55555555555 : AMAN


     นิ้วเรียวระรัวกับแป้น ส่งคำขอบคุณสำหรับความสุขที่อีกคนมอบให้


     Pha : ขอบคุณนะม่าน

ไม่เป็นไร : AMAN

แค่เธอชอบก็ดีใจมากๆแล้ว : AMAN


     ผมยิ้ม หยอกล้อเขากลับเพราะอยากเห็นหางตกลู่


     Pha : โดนบังคับให้ชอบมากกว่า

ง่า : AMAN

อย่ามา : AMAN

เธอชอบมันเหอะ : AMAN

555555555 : AMAN

     Pha : อ่อ

     Pha : หรอออ?

ทางนี้ใจแป้วแล้วนะผา : AMAN

55555555555 : AMAN


     และก็ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล ม่านดูผิดหวังนิดหน่อยเมื่อผมไม่ได้ตื่นเต้นกับของที่ได้รับ ปฏิกิริยาแตกต่างจากที่เจ้าตัวคาดหวังไปจนหมด


     Pha : ให้ตุ๊กตากับกูเนี่ยนะ?

     Pha : คิดได้ไง?

55555555555555 : AMAN


     ม่านหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียให้เห็น


ก็อยากให้ : AMAN

เราจะได้มีไว้คู่กันไง : AMAN

     Pha : ทำเพื่อตัวเองชัดๆ

อันนี้ก็เถียงไม่ได้อีก5555 : AMAN


     ผมอมยิ้ม เขายังใสซื่อไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ


     Pha : ล้อเล่นหรอก

     Pha : กูชอบอยู่แล้ว

55555 : AMAN

ครับ : AMAN

Sent a sticker : AMAN


     เขาปิดท้ายด้วยสติกเกอร์หมา ท่าทางหน้าตาที่มีความสุขมาก ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ตัดสินใจบอกลาอีกฝ่ายเมื่อเหนื่อยล้าเต็มทน


     Pha : ไปนอนแล้วนะ

อ่า โอเค : AMAN

เดี๋ยวเค้าเล่นเกมกับเพื่อนสักพักก็จะไปแล้วเหมือนกัน : AMAN

     Pha : นอนดึกอ่ะดิ?

อาจจะยันเช้า : AMAN

     Pha : อ่อ


     เราบอกลากันอยู่สักพัก แต่อะไรสักอย่างก็ดลใจให้ผมทักเขาไปอีกรอบ


     Pha : ม่าน

ครับ : AMAN

     Pha : ขอบคุณจริงๆนะ

เค้ารู้แล้วน่า : AMAN

^^ : AMAN


     อาจเพราะผมรู้ว่าเขากำลังมีความสุขและผมเองก็มีความสุขไม่ต่าง ข้อความที่เก็บไว้ในใจเลยถูกส่งผ่านไปให้อีกคนได้รับรู้


     Pha : แล้วที่บอกว่าชอบน่ะ

     Pha : กูไม่ได้หมายถึงตุ๊กตา





     ...แต่ก็ไม่ทั้งหมดอยู่ดี     


     Pha : กูไม่ได้ชอบตุ๊กตา

     .

     .

     ‘กูชอบมึง’





     เขาคงเดาไม่ยากหรอกมั้งในเมื่อผมชัดเจนขนาดนี้

     อืม


     นั่นแหละ










#ผาเพียงฟ้า

Talk2
ก็ตามประสาคนซึนอ่ะเนาะ
ไม่ยอมบอกตรงๆหรอก
อ้อมมมมมแล้วอ้อมอีกกก5555555


27/11/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 100% - P.5 (27/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-11-2019 21:19:05
ม่านหลังอ่านข้อความพี่ผาคงกรี๊ดลั่นบ้านไปแล้วแน่ๆ5555555 พี่ผาเนี่ยซึนเดเระจริงๆเลยน้าา
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 100% - P.5 (27/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-11-2019 00:23:50
น้องงงงงงง ค้างไปยัง 555555555555555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 100% - P.5 (27/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2019 22:23:15
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 2 | Falling Slowly 100% - P.5 (27/11/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 16-12-2019 00:09:56


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


23

Said "I'm fine", but it wasn't true



_________


:-)


_________











    (มึงเลิกแล้วหรอ?)
     “ครับ”
     (แล้วตอนนี้อยู่ไหน?)
     “ใต้คณะ เดี๋ยวหาที่นั่งรอแถวนี้”
     (เค)
     “...”
     (อีกครึ่งชั่วโมง)
     “อือฮึ”
     (รอได้ใช่มั้ย?)
     “ได้ดิ สบายมาก”

     เป็นครั้งแรกที่ผาเงียบไป ไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับ

     (งั้นรอก่อนนะ)
     “ครับ”
     (ขอโทษที)
     “ไม่เป็นไร เธอไปเรียนเถอะ”
     (อืม เจอกัน)

     ผมรอจนกว่าเจ้าตัวจะวางสายถึงได้เดินไปสมทบเพื่อนคนอื่นๆ มันนั่งลงยังม้านั่งของบริเวณพื้นที่สูบบุหรี่ วางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบเอาซองที่สอดไว้ยังกระเป๋าหลังกางเกงยีนออกมา

     “เอาป่ะ?” ไอ้เตยื่นให้ก่อนที่ผมจะรับมันมาถือไว้ในมือ

     “วันนี้มึงมีนัดกับพี่ผาหรอ?”

     คนที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถามในตอนที่กำลังคาบก้านสีขาวไว้ในปาก ครั้นจะตอบรับก็พูดไม่ได้จึงต้องพยักหน้าให้มันไปที ป้องมือไว้ในเสี้ยววิก่อนจะจุดไฟให้ติดบริเวณปลาย

     “เดทตลอด ความรักสุขงอมจนพวกกูอิจฉา”

     มือใหญ่เอื้อมไปผลักหัวมันที ก่อนที่ผมจะพ่นควันกรุ่นไปอีกทางแล้วบอกความจริงให้ได้รับรู้

     “เดทเหี้ยไร ไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ”
     “มันมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งจังวะ”
     “เออ ให้เขาได้ยอมไปไหนมาไหนด้วยหน่อย เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้ว จะไม่ได้เจอกันอีกนาน”
     “สองอาทิตย์เองสัสม่าน พูดเป็นปี”

     ผมหัวเราะให้กับคำพูดของไอ้มาร์ท ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าลงกับโทรศัพท์เพื่อตอบข้อความใครสักคน

     “สองวันก็คิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
     “เป็นเอาหนัก”
     “ลางเกลียมัวแรงมากเพื่อนกู”

     พูดจบไอ้ภีมมันก็เอาแขนพาดบ่าผมทันที สายตาล้อเลียนนั่นทำให้อยากจะซัดเข้าสักหมัดจริงๆ

     “อย่าพูดแบบนั้น ลัทธิเมียมันต้องยืนหนึ่ง ไม่เชื่อไม่เป็นไรแต่อย่าลบหลู่”

     คนที่มีพันธะเหมือนกันพูดขึ้น นั่นเรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งโต๊ะ ผมคีบบุหรี่ขึ้นชิดปาก สูดดมความหอมหวานอีกครั้งก่อนจะยักคิ้วให้ไอ้เตเป็นการเห็นด้วย

     “ปีสี่ปิดเทอมตอนไหนอ่ะ?”

     คราวนี้ไอ้มาร์ทเป็นคนสงสัย ผมรู้ว่ามันต้องการคำตอบจากใครเพราะทั้งโต๊ะคงไม่สามารถให้คำตอบมันได้

     นอกจากตัวเอง

     “เห็นผาบอกวันศุกร์”
     “สอบเสร็จไวจังวะ”
     “มีสอบแค่ไม่กี่ตัวเอง นอกนั้นก็พรีโปรเจค”
     “อ่อ”

     ผมมองออกไปรอบด้าน พบนักศึกษาประปรายตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังแต่ละตึก

     “ปิดเทอมเขาไปไหน? กลับบ้านหรอ? เห็นมึงบอกจะไม่ได้เจอกันอีกนาน”
     “กลับๆ คงไม่ค่อยมีใครอยู่มอหรอกมั้งนอกจากพวกเรา”
     “นั่นดิ จารย์แม่งเล่นกูชัดๆ”

     ได้ยินเสียงไอ้แทนถอนหายใจตามมา มันขยับมือเขี่ยเถ้าถ่านที่เผาไหม้ให้ตกลงสู่พื้นก่อนจะยกก้านนั้นจรดริมฝีปากตามเดิม คงเพราะหงุดหงิดไม่น้อยที่เราต้องอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอดช่วงปิดเทอมเล็ก จากการช่วยงานภาควิชาที่เป็นหน้าที่ของเด็กปีสาม และนั่นทำให้แผนการเที่ยวของเราเกือบทั้งหมดถูกยกเลิกไปโดยปริยาย

     “เอาน่า แค่สองอาทิตย์เอง”
     “กะจะไปเชียงใหม่ซะหน่อย”
     “เอะอะเชียงใหม่อีกละได้นี่”
     “กูก็คิดถึงบ้านบ้างดิวะ”

     ผมฟังพวกมันถกเถียงกันเงียบๆ หยิบเอาบุหรี่มวนที่สองขึ้นดูดจนหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะลืมว่ากำลังรอคอยใครบางคน จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ในตอนที่มองเห็นผากำลังเดินตรงมาทางนี้

     “กูไปก่อนนะ” ผมบอกลา เพื่อนในกลุ่มยักคิ้วหลิ่วตาส่งท้าย
     “วี้ดวิ้ว” ไม่วายส่งเสียงตามมาเบาๆ ผมรีบหันกลับไปชูนิ้วกลางให้ ไม่สนใจว่าพวกนั้นจะหัวเราะยังไงแล้วรีบตรงไปหาเป้าหมายที่ยืนอยู่

     “นานเลยดิ”
     “ไม่นี่ นั่งคุยกับเพื่อนอยู่”
     “อ่อ” เขาพยักหน้า มีหนังสือเล่มนึงถือไว้ในมือ
     “แล้วพี่คนอื่นๆล่ะ”
     “เพิ่งแยกกันเมื่อกี้”

     ผมหันหลังกลับแล้วเดินนำเขาเสียเอง ผาใช้จังหวะเดียวกันในตอนที่เคียงข้าง เหลือบมองผมเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถามกลับไป

     “เธอเลือกร้านไว้แล้วรึยัง?”
     “ยัง มึงล่ะ?”
     “ยังเหมือนกัน”
     “อ่าว”

     เสียงหัวเราะผมดังขึ้น ก่อนที่เราจะเลี้ยวเข้าสู่ลานกว้างที่มีรถจอดอยู่เต็ม

     “อยากกินอะไรมั้ยล่ะ?”

     เมื่อรู้ว่าผมจะตามใจผาเลยนิ่งคิดไปเสียนาน เจ้าตัวจมอยู่กับความคิดของตัวเองสักพักก่อนจะถามความสมัครใจ

     “กินซูชิมั้ยล่ะ?”
     “ไงก็ได้”
     “เอาไง?”
     “ไปดิ อยากกินพอดี”

     ไม่รู้เพราะการตกลงครั้งนี้ผ่านไปอย่างง่ายดายหรือเปล่าเขาเลยส่งยิ้มกลับมาให้ นั่นคงทำให้จังหวะของเท้าใหญ่ชะงักไปในเสี้ยววิ รอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกสดใสขึ้นถนัดตา เพราะรู้ว่าผาก็มีความสุขที่เราเป็นอยู่แบบนี้

     แบบที่ผมเองก็มีความสุขมากๆแบบนี้

     “เร็วหน่อยโชเฟอร์ หิวแล้วเนี่ย”
     “ทำมาเร่ง”
     “ฮ่าๆ”
     “ใครกันแน่ที่ทำให้ต้องรอตั้งนาน”
     “พูดมากน่าหมา”

     ทั้งหมดเลยเป็นเหตุผลให้รอยยิ้มของเราคงอยู่นานมากกว่าแต่ก่อน









/









     เคยมีคนบอกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ

     คงเพราะเราไปทานข้าวด้วยกันเกือบทุกวัน คุยโทรศัพท์ด้วยกันบ่อยครั้งในตอนที่ว่าง เขาให้กำลังใจผมกลับ และผมก็คอยอยู่ข้างๆเวลาที่เขารู้สึกไม่สบายใจ ทุกวันผ่านไปอย่างมีความหมายสำหรับเราทั้งคู่

     จนถึงตอนที่เราต้องห่างกันด้วยความจำเป็น

    ‘ค้างได้ไหม?’ ผมถามเขาในค่ำคืนสุดท้ายที่เราอยู่กันสองต่อสอง จากการอ้อนวอนให้อีกฝ่ายมาหาเพื่อที่เราจะได้ใช้เวลาด้วยกันเป็นวันสุดท้ายก่อนที่ผาจะกลับบ้าน และทิ้งช่วงระยะเวลายาวนานที่จะไม่ได้เจอ

    ‘แค่สองอาทิตย์เองป่ะวะ?’

     คำพูดของเพื่อนย้ำเตือนในใจตลอดว่ามันไม่ได้ยาวนานเกินไปจนทนไม่ได้ แต่มันจะไปรู้อะไรว่าเวลาที่เรารอคอยใครสักคนมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า คงเพราะผมมีความรัก และการที่เขาหายไปโดยที่ตัวเองไม่สามารถพบเจอได้นั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะทนไม่ไหว

     ผมต้องคิดถึงผาจนทนไม่ไหวแน่ๆ

     แน่นอนว่าคำตอบเขาก็ยังเป็นการปฏิเสธเช่นเดิม แต่เพราะผมก็ได้กำไรไปเยอะแล้วเหมือนกัน เมื่อเป็นแบบนั้นเลยไม่อยากอ้อนวอนเขามากจนดูน่ารำคาญ ถึงแม้อยากจะนอนกอดและอยากจะทำอะไรด้วยกันมากกว่านั้นแต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มให้คนที่บอกลากันในยามดึก

     เช้าวันรุ่งขึ้นผาก็กลับบ้านแต่เช้าตรู่ ผมที่กำลังรีบไปสอบวิชาสุดท้ายได้รับข้อความตอบกลับของเจ้าตัว เป็นข้อความสั้นๆบอกว่าอีกฝ่ายนั้นถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับบทสนทนาเล็กๆน้อยๆก่อนที่ผมจะเตรียมตัวขึ้นเขียงในห้องสี่เหลี่ยมพร้อมกับคนอื่นๆ

    RRRR!!

     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ต้องควานมือหา พบว่าเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นอยู่ไม่ไกลหมอน ผมรีบกดรับเพราะมันเริ่มน่ารำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ

     “อือออ” เสียงผมอู้อี้ ปลายสายคงรู้ได้ทันทีว่าเพิ่งตื่นจากฝันหวาน
     (หืม เพิ่งตื่นหรอลูก? ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น) ผมรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครที่โทรมาโดยไม่ต้องมองหน้าจอ ตอบกลับไปทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา

     (อืมครับ เพิ่งสอบเสร็จวันนี้)
     “เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
     (ก็โอเค...แหละมั้ง)
     “จริงๆเลย”

     ผมหัวเราะกลับไป พลิกตัวนอนหงายแล้วพยายามปรับสายตาให้ชินชากับความมืดยามเย็น

     (เราจะกลับบ้านรึเปล่า? ไม่ส่งข่าวคราวบอกแม่เลย) ความน้อยใจปะปนผ่านทางน้ำเสียง ดูเหมือนงานนี้ต้องได้ง้อสักหน่อย
     “คงไม่ได้กลับครับแม่ ไว้จะหาเวลาไปหาแล้วกัน”
     (ลืมแม่แล้วมั้งเนี่ย)
     “จะลืมได้ไง เดี๋ยวไม่ได้กินข้าวฟรี”
     (ทำเป็นพูด)

     แม่ถามสารทุกข์สุกดิบอีกหลายประโยคก่อนจะวางสาย เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยลุกไปเปิดไฟให้สว่างเพราะโดนปลุกให้ตื่นเต็มตา มองนาฬิกาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาสองทุ่มกว่าและท้องเริ่มเรียกร้องหาอาหารอย่างหนัก

    RRRR!!!

     คราวนี้เป็นสายจากไอ้มาร์ท และผมก็พอจะเดาได้ว่ามันโทรมาทำไมในเวลานี้

     คงไม่ยาก
     กับผู้ชายที่ชอบเที่ยวแบบพวกมัน

     (ออกมั้ย?)
     “กูว่าละ”

     ปลายสายหัวเราะเสียงดัง ผมมองตัวเองหน้ากระจกอีกครั้งหลังจากคิดอยู่ชั่วครู่

     (เอาไง อย่าลีลานาน พวกนั้นก็ตอบตกลงกันหมดแล้ว)
     “เหลือกูคนเดียวว่างั้น?”
     (ถูกต้องครับผม)

     ผมถอนหายใจ รู้หรอกว่ายังไงก็ต้องไปอยู่ดี

     “เออๆ เดี๋ยวตามไป”
     (ไวๆล่ะ)
     “แดกข้าวก่อน ยังไม่มีไรรองท้องเลยเนี่ย”
     (เคๆ)
     “สรุปที่ไหนนะ”
     (99)

     เมื่อตกลงเรียบร้อยผมก็วางสาย หยิบมีดโกนหนวดที่วางไว้ขึ้นมาทาบบนใบหน้า รู้สึกเหมือนว่ามันเริ่มยาวจนขึ้นตอสีดำ สมองคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกว่าจะโกนเสร็จ และก่อนที่จะได้อาบน้ำแต่งตัวออกจากห้อง ผมก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปหาใครบางคนที่ไม่ได้คุยกันสักพักหลังจากผมนอนหลับเสียนาน

เค้าออกไปกินเหล้ากับเพื่อนนะครับ : AMAN
สัญญาว่าจะไม่เกเร : AMAN
:-) : AMAN










/











     ขวดสีชาที่วางบนโต๊ะทำให้ผมรู้ว่าเราเดินทางมาไกลกันเท่าไหร่ พูดได้ว่าเพื่อนมันต่างก็ไม่มีใครยอมใครกันเลยสักคน ผมรู้ได้ว่าสติตัวเองไม่ครบถ้วนเหมือนตอนที่มา แต่ก็ถือว่าไม่ได้มึนเมาเสียจนไม่รู้เรื่อง ผมรู้ลิมิตตัวเองดี เลยพยายามไม่ดื่มมากเพราะกลัวว่าผาจะเป็นห่วง

     แค่คิดว่าเขาจะเป็นห่วง
     ...บ้าง
     สักเล็กน้อยก็ยังดี

     Pha : จะกลับตอนไหน?
ยังไม่รู้เลย คงรอร้านไล่ : AMAN
     Pha : หนักกันอีกแล้วสินะ
55555555 : AMAN
นิดหน่อยน่าเธอ : AMAN

     ผมเงียบไปสักพัก จากนั้นจึงลองใจเขากลับเพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับว่าจะเป็นแบบที่ตัวเองหวังหรือเปล่า

     ในเมื่อผาไม่ยอมพูด ผมก็ต้องเค้นมันออกมาเสียหน่อย

เป็นห่วงเค้าไหม? : AMAN

     มันเป็นแค่ประโยคง่ายๆ และครั้งนี้ผมก็วางเดิมพันไว้เกินร้อยเสียด้วย

     Pha : อืม
     Pha : เป็นห่วงดิ

     ผมยิ้ม ทำไมเพียงแค่ข้อความสั้นๆของอีกฝ่ายมันถึงทำให้ใจเต้นแรงได้ขนาดนี้

     Pha : ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ

     แก้วที่วางตรงหน้าถูกยกขึ้นดื่มจนหมด ผมคงถูกฤทธิ์แอลกอฮอลล์เล่นงานเข้าจริงๆในตอนที่ถามเขากลับอีกรอบ และมันก็เป็นการลองใจแบบเดิมๆ

     แบบที่ผมอยากรู้ว่าตัวเองเข้าใกล้หัวใจเขามากเท่าไหร่

     มากพอที่จะครอบครองมันไว้ทั้งดวงหรือยัง…

งั้นเธอบอกเค้าหน่อย : AMAN
ว่าถ้ามีคนสวยๆเดินผ่าน : AMAN
เค้ามองได้รึเปล่า? : AMAN

     ผาเงียบไปนาน อ่านข้อความแล้วหายไปเกือบสิบนาที

     Pha : นี่จริงจังไหม?
อืม : AMAN

     ไม่ใช่แค่เขาที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ผมก็ไม่ต่าง ถึงแม้บรรยากาศรอบข้างจะครึกครื้นแต่ผมก็เอาแต่สนใจหน้าจอโทรศัพท์จนเพื่อนเริ่มจะส่งเสียงดังเข้าในจังหวะหนึ่ง

     สุดท้ายก็ต้องยกดื่มอีกแก้วเพื่อตามใจพวกมัน

     ผายังไม่ตอบ และผมก็ตื่นเต้นจนต้องหาบุหรี่สักตัวดับความคุกรุ่นในใจ

ว่าไง : AMAN
เค้ามองได้ไหมครับ? : AMAN

     Pha : ตามใจดิ

ไม่หึงเลยหรอ? : AMAN

     คงเพราะอยากได้คำตอบที่ตัวเองต้องการจากปากเขาผมเลยย้ำมันซ้ำๆ และดูเหมือนผาจะไม่ทำให้ผมผิดหวังเข้าจริงๆ

     Pha : หึง

     เขาตอบกลับ
     ประโยคสั้นๆ ตามแบบฉบับเจ้าตัว

หึงเค้า? : AMAN
     Pha : อืม
     Pha : ก็มีให้หึงอยู่คนเดียว

     ผมไม่ได้ตอบรับเขากลับเพราะเอาแต่ยิ้มจนห้ามไว้ไม่ได้ ดูเหมือนค่ำคืนนี้จะมีความสุขมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก ผมดื่มด่ำกับเสียงดนตรีที่คลอเคล้า เสียงหัวเราะที่มอบให้ และมุกตลกของใครบางคนบนโต๊ะ เสพสุขเท่าที่ต้องการกับมิตรภาพของผองเพื่อน ยกแก้วขึ้นดื่ม จุดบุหรี่ขึ้นสูบ นานแค่ไหนก็จำไม่ได้จนกว่าจะมองหน้าจออีกรอบ

     และผมก็พบว่าความสุขเหล่านั้นมันช่างแสนสั้นเสียจริงๆ

     กับการอ่านข้อความของผาที่ส่งมาหลังจากนั้น


     Pha : คืนนี้กูนอนบ้านมาร์ชนะ



     มันทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแล้วลุกออกมาจากโต๊ะในทันที

















50%















#ผาเพียงฟ้า

/หนี/
;-;


16/12/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 3 | Said "I'm fine", but it wasn't.. 50% - P.5 (16/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 16-12-2019 05:17:56
ผาอย่าแกล้งม่าน​ สงสารลูกหมา
เดาว่าม่านต้องร้อนรนจนออกไปโทรหาผาแน่เลย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 3 | Said "I'm fine", but it wasn't.. 50% - P.5 (16/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-12-2019 00:21:59
พี่ผาร้ายไม่เบานะเราเนี่ยยย  :z1: ตอนนี้อ่านแล้วเขินพี่ผาแทนม่านแล้วว  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 3 | Said "I'm fine", but it wasn't.. 50% - P.5 (16/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Thefox ที่ 20-12-2019 19:38:35
อยากจะบอกว่าแอบติดตามเรื่องนี้แบบเงียบๆมาตลอด
อดใจไม่ไหว ชอบคาแรกเตอร์ของม่านและผามาก
เข้าเล้ามาทีไรจะแวะมาอ่านเรื่องนี้ซ้ำๆ ตลอด อ่านทีไรอมยิ้มไปด้วยทุกที
ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 3 | Said "I'm fine", but it wasn't.. 50% - P.5 (16/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 23-12-2019 22:38:30
50%







     เสียงดังเป็นจังหวะในสายยิ่งทำให้ใจผมเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม พยายามระงับอาการของตัวเองด้วยการพิงเบาะไปด้านหลัง แต่มันก็ช่วยได้ไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเป็นดังนั้นเลยพยายามมองไปรอบๆแทนเพื่อฆ่าเวลา

     (ว่าไง)

     ผากดรับหลังจากผ่านไปสักพัก น้ำเสียงอ่อนลงจนผมรู้สึกแปลกใจ

     (โทรมามีอะไรรึเปล่า?) เขาไม่รอให้ตอบ แต่ถามย้ำคล้ายกับรู้เหตุผลว่าทำไม

     “ทำอะไรอยู่หรอ?” เมื่อยังไม่กล้าถามไปตรงๆผมเลยทำเป็นอ้อมค้อม ไม่อยากให้ผาหาว่าเอาแต่ใจมากเกินไปกับเรื่องของเจ้าตัว

     ก็ผมยังไม่มีสิทธิ์
     ยังไม่ใช่สถานะที่สามารถทำได้ทุกอย่างขนาดนั้น

     (กำลังเก็บของ) เราเงียบกันสักพัก ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาอีก (รู้แล้วใช่มั้ยว่าจะไปนอนบ้านมาร์ช)

     “...” ผมเงียบ เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย

     (ม่าน ฟังอยู่มั้ย?)

     “...อืม”

     ผาเป็นคนเก่ง เขารู้เสมอว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

     (เป็นอะไร?)
     “...”
     (คิดมากหรอ?) คำถามที่ส่งให้ทำเอาผมต้องหัวเราะในลำคอแผ่วเบา เป็นแบบที่เขาถาม ผมกำลังคิดมากเพราะผากำลังจะไปนอนบ้านพี่มาร์ชนั่นแหละ

     (หมู่บ้านกูไฟดับ, แม่มาร์ชก็เลยชวนให้ไปนอนด้วยกัน พอดีว่าอากูไปต่างจังหวัดแล้วยังไม่กลับ เขาเลยเป็นห่วง กูก็ไม่อยากปฏิเสธผู้ใหญ่ด้วยในเมื่อเขาชวนด้วยความหวังดี)

     พอได้ยินเหตุผลผมก็รู้สึกผิดในทันที แทนที่ตัวเองจะถามไถ่สักเล็กน้อยถึงที่มาของเรื่องดังกล่าวแต่กลับมัวสนใจเรื่องอื่น พอได้ยินแบบนั้นแล้วผมกลับเปลี่ยนเป็นเห็นด้วยที่เขาจะไปนอนบ้านพี่มาร์ชตั้งแต่แรก

     ไม่น่าเลยสักนิด

     “ดีแล้ว เธอจะได้ไม่อยู่คนเดียว”
     (...)
     “...”

     เสียงกุกกักดังจากปลายสาย หลังจากนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังตามมา

     (กูเข้าใจนะ) เขาพูดต่อ (ถ้ามึงจะคิดมากเรื่องมาร์ช)
     “...”
     (แต่ทุกอย่างมันก็แค่อดีต อะไรที่ผ่านไปแล้วกูไม่ได้คิดจะเก็บเอามาใส่ใจ ถ้ากูจะกลับไปหามาร์ชกูก็กลับไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงตอนนี้ก็ได้ ...ไม่รอให้มึงเข้ามาในชีวิตก็ได้ แต่นี่กูไม่ไป มึงก็รู้ว่ากูยังอยู่ตรงนี้...)
     “...”
     (กูไม่รู้ว่ามึงจะคิดมากเพราะส่วนตัวกูแล้วมันไม่ได้สำคัญอะไร กูไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น ก็แค่เพื่อนคนนึงเท่านั้นเอง มึงก็รู้ว่ามีไม่กี่คนหรอกที่กูยอมให้เข้ามาในชีวิต มาร์ชมันก็ด้วย ไม่รู้ว่าจะมากเกินไปไหมแต่ก็อยากให้ช่วยเข้าใจ...กูไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เท่าที่กูทำได้ก็มีเพียงเท่านี้)

     ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะปล่อยให้ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองมากกว่าที่จะมาอธิบายอะไร ผาไม่ใช่คนพูดมาก และไม่ชอบพูดอะไรที่คิดว่ามันไร้สาระ แต่ครั้งนี้เขากลับพยายามทำให้มันดีขึ้นทั้งๆ ที่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ความคิดมากของผมเอง

     (...ขอโทษนะ...)

     เสียงเขาแผ่วเบา คำขอโทษที่เอ่ยจากปากเขาทำให้ผมแพ้อย่างราบคาบ

     สุดท้ายก็ยอมให้ผาจนได้
     ไม่เก่งเลยว่ะกู

     “จะขอโทษทำไม?”
     (ก็ทำให้มึงรู้สึกแย่)

     เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกผิด ดูเหมือนเขาใส่ใจผมมากกว่าที่คิดเสียอีก

     แต่แค่ไม่พูดมันออกมา

     “ก็เข้าใจแล้วไง”

     ผาเงียบ ถอนหายใจเบาๆ (เหนื่อยมั้ย?)

     นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำถามนี้ ต้องบอกว่าได้ยินมันบ่อยจนชินชาแล้วมากกว่า ทั้งเพื่อนของผม และเพื่อนของผาที่ต่างก็รู้กันว่าระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

     แต่ผมก็ตอบออกไปทุกครั้ง

     “ไม่หรอก”

     ด้วยคำตอบเดิมซ้ำๆ ที่ออกมาจากใจ

     (โกหก)
     “เคยบอกว่าเหนื่อยด้วยหรอ?”
     (ไม่เคยบอก...แต่รู้ว่าเหนื่อย)

     เขาจี้ใจดำจนต้องแค่นยิ้มออกมา

     “เป็นเค้าหรอไง?”

     ผาเงียบไปอีก ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ครั้นผมจะเอ่ยเรียกสอบถามว่าหายไปไหนแต่สุดท้ายปลายสายก็ส่งเสียงตอบรับออกมาเสียก่อน

     (กูนี่เหี้ยเนาะ)
     “พูดอะไรออกมาแบบนั้น”
     (ไม่รู้ดิ ทำได้แค่ขอโทษมึงไปวันๆ ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย)
     “ก็บอกว่าไม่ไง”

     อารมณ์คุกรุ่นเริ่มกลับมาอีกรอบ สาเหตุจากประโยคของเจ้าตัวที่พูดให้ได้ยิน ผมไม่ชอบที่เขาเอาแต่โทษตัวเอง ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่ความผิดเจ้าตัวเสียทีเดียว ทุกครั้งที่เขาพูดออกมามันก็ความผิดผมด้วยทั้งนั้น

     ทั้งในตอนที่ผมไม่ทักไป
     และในตอนที่คิดมากเรื่องแฟนเก่า

     ก็เพราะผมตัดสินใจที่จะเข้าไปในชีวิตเขาทั้งๆที่รู้ว่านิสัยเขาเป็นอย่างไรไม่ใช่หรอ?

     “อย่าโทษตัวเองอีกได้ป่ะวะ”
     (ทำไม?)
     “ไม่ชอบ”

     ผมรู้ดีว่าผาแตกต่างจากคนอื่น แต่บางครั้งมันก็เกินจะห้ามอารมณ์ตัวเองไหว อาการใจร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยๆเลยพาลทำให้อะไรๆแย่ลงไปหมด ครั้งนี้ผมควรจะคุยกับเขาให้ดีแทนที่จะมานั่งคิดกับตัวเอง ทุกอย่างมันเลยกลายเป็นว่าเราสองคนต้องปรับความเข้าใจกันเสียยาว

     ไม่น่าเลยจริงๆ

     (งั้นคืนนี้กูนอนบ้านแล้วกันนะ) เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
     “นอนบ้านทำไม ก็ไปนอนบ้านพี่มาร์ชสิ”
     (ก็เดี๋ยวมึงจะคิดมากอีก)
     “ผา”
     (ตามนั้นแหละ อย่าเถียง—)

     ผมไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะตัดสายเอาดื้อๆ มือเลยกดโทรไปอีกครั้งแต่ไม่ว่าครั้งไหนเจ้าตัวก็ปล่อยให้เสียงรอสายดังอยู่อย่างเดิม ผมแทบจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อถ้าไม่เห็นว่ามีสายหนึ่งเรียกเข้าในตอนที่กำลังจะสตาร์ทรถหลังจากผ่านไปเกือบสิบนาที

     ชื่อเจ้าตัวโชว์บนจอเด่นหรา

     “ทำไมวางสายแล้วไม่บอก” ผมต่อว่า ใส่อารมณ์ลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว
     (ก็จะโทรมาอีกรอบไง)

     เขาอธิบาย น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่ไม่เคยได้ยิน

     และนั่นมันก็ทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า


     (จะได้ให้เธอคุยเป็นเพื่อนก่อน)

     โห

     ทำไมทะเลาะแล้วเอาใจเก่งขนาดนี้วะ


     (มารับผิดชอบที่เค้าต้องนอนคนเดียวเลย)


     รู้งี้ทะเลาะอีกสิบทีก็ยังคุ้ม










#ผาเพียงฟ้า




23/12/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 3 | Said "I'm fine", but it wasn't.. 50% - P.5 (16/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 24-12-2019 19:45:01


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


24

And then I said "yes"



_________


bgm : just say yes - snow patrol

'It's not a test, nor a trick of the mind
only love'


_________









     ผ่านมาหลายวันสถานการณ์ของผมกับผาก็กลับมาเป็นเป็นปกติดังเดิม ถึงแม้จะห่างแต่เขากับผมก็คุยกันทุกวันเหมือนเคย อาจจะตอบช้าไปบ้าง หรือนานทีตอบบ้าง แต่ก่อนนอนเราก็ไม่ลืมที่จะโทรหากันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวให้ได้รับรู้

     ผมช่วยงานอาจารย์ ส่วนเขาก็ไปเที่ยวบ้างตามประสา

     ผมกับเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าก่อนจะวางสาย แปลกที่เราสามารถหาเรื่องมาคุยกันได้เรื่อยๆ ผมไม่เคยเบื่อ ไม่รู้ว่าเขาคิดแบบเดียวกันไหม แต่เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากปลายสายมันก็ให้ผมเริ่มเป็นคนโลภมากขึ้นเรื่อยๆ

     อยากให้ผาหัวเราะแบบนี้ไปนานๆ
     แบบที่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุความสุขทั้งหมดนั้นของเขา

     (มาแล้ว) หน้าจอเขาสว่างจ้าพร้อมกับรูปใบหน้าเจ้าตัวเด่นหรา ผาทำหน้างัวเงีย ด้านหลังกล้องเปลี่ยนเป็นห้องนอนที่ผมไม่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นัก

     เพราะผาบอกว่าวันนี้ไปเล่นเกมส์กับมาร์ช และคงนอนที่นู่นเลย

     “อาบน้ำไวจัง”
     (แล้วทำไมต้องอาบนาน) เขาแย้งพร้อมกับที่ผมนอนลงกับเตียงแล้วยกกล้องขึ้น ใช้แขนอีกข้างรองศีรษะเอาไว้ด้วยท่าสบาย
     “อยากลองอาบนานๆดูป่ะล่ะ?”

     เหมือนเขาจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ อีกฝ่ายถึงได้ทำหน้านิ่งพร้อมกับเบ้ปากหนึ่งครั้ง เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ไม่หยุดที่จะหยอกล้อเขาด้วยเรื่องใต้สะดือแบบที่เราๆมักจะรู้กัน

     “เค้าอาบนานๆได้นะ เป็นชั่วโมงก็ยังได้”
     (...)
     “เผื่อไม่เชื่อก็มาลองดูได้”
     (ม่าน)
     “จะได้รู้ว่าถึงชั่วโมงจริงรึเปล่า”
     (สัส)

     เสียงหัวเราะทำให้เขาพาลปิดกล้องจนหน้าจอผมดำสนิท แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มผมมันลดลงเลยสักนิด ออดอ้อนเขากลับไปอีกทีเพราะยังอยากแกล้งให้สมใจ

     “เปิดหน่อยย~” เสียงผมยานคางง อมยิ้มให้อีกฝ่ายเห็นอยู่อย่างนั้นไม่คิดจะเก็บ

     (กวนตีน)
     “ไม่กวนแล้วเนี่ย”
     (สัญญาดิ)
     “...” เพราะสัจจะที่ไม่จริงทำให้ใครบางคนไม่กล้าตอบรับ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นแบบที่ตัวเองคิดผาจึงส่งเสียงกลับมา
     (งั้นก็มองหน้าจอมืดๆ ไปทั้งคืนแล้วกันนะ)

     มีไม่กี่คนหรอกที่เอาผมซะอยู่หมัด
     และผาก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ไม่ว่าจะดิ้นไปทางไหนผมก็ต้องยอมเจ้าตัวแต่โดยดี

     “งอน”
     (งอนอะไร?)
     “ก็เธอไม่เปิดกล้องนี่หว่า”
     (เชือดไก่ให้ลิงดูก่อน มันจะได้รู้จักเข็ด)

     คำพูดเขาทำผมหัวเราะออกมาอีกรอบ เพราะแบบนั้นละมั้งผาเลยยอมเปิดกล้องเพราะรู้ว่าต่อล้อต่อเถียงไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา คราวนี้เขาหันหน้าไปทางอื่น คล้ายกับว่ากำลังสนใจบางอย่างพร้อมกับหยิบขนมขึ้นทานไปด้วย

     (ทำไร?)

     เสียงที่ดังแทรกผ่านทำให้ผมรู้ว่ามาร์ชเพิ่งเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงปิดประตูตามหลังก่อนที่ผาจะทำเป็นไม่สนใจแล้วนั่งกินขนมต่อ คราวนี้เจ้าของห้องตัวจริงเดินอ้อมมาหลังโซฟา ที่ๆผาใช้หลังพิงแล้วนั่งกับพื้น เขาสบตากับผมผ่านหน้าจอแล้วมองเราสลับกันไปมา

     (อ่ออ) อีกฝ่ายเว้นช่วง (มันพัฒนานะเนี่ย)

     ไม่รู้ว่าเขาพูดประโยคนั้นกับใครแต่เจ้าตัวก็มีรอยยิ้มมุมปากให้เห็น จากนั้นก็เดินจากไปเหลือเพียงผาที่โผล่เข้ามาแค่เพียงครึ่งตัว

     “จะวางตอนไหน?” ผมจำใจถามถึงแม้จะไม่อยากวางเลยสักนิด
     (แล้วแต่) เขาตอบ ดูไม่ได้สนใจแต่สักพักก็ยอมหันกลับมามองกล้อง (จะคอลไว้ไหมล่ะ?)
     “แล้วแต่เธอ”

     เมื่อไม่มีคำตอบส่งให้ผมเลยพูดออกไปแบบนั้น ไม่กล้าบอกความจริงออกไปเพราะรู้ดีว่าเขาก็ต้องมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ขลุกอยู่กับตัวผมเองตลอดแบบนี้

     (งั้นคอลไว้ก็ได้)
     “อืม”
     (อาจจะไม่ได้คุยเยอะแต่จะพยายามแล้วกัน)

     เพราะคำพูดของเขาเลยทำให้ผมยิ้มออกมา บอกแล้วว่าผาน่ะใส่ใจ ถ้าเป็นคนที่สำคัญกับอีกฝ่าย เขาก็เรียนรู้ที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ดี

     “อืม เค้าก็คงฟังเพลง อ่านหนังสือไปเรื่อยๆน่ะแหละ”
     (นอนตอนไหนล่ะ?)
     “รอนอนพร้อมเธอ...แต่ถ้าง่วงก่อนก็ไม่รู้เหมือนกันนะ”

     คราวนี้เราหัวเราะพร้อมกัน ก่อนที่ผาจะพยักหน้าเยาะเย้ยที่เหมือนผมจะทำเป็นเก่งแต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว

     ทำไงได้

     ก็ผมมันไม่ใช่เจ้าชายในนิยายนี่หว่า

     หลังจากที่ผาก็ยุ่งกับเรื่องของเขา, ผมก็ไปอาบน้ำพร้อมกับทานอาหารว่างยามดึก กลับมาอีกทีก็เห็นว่ามาร์ชนั่งลงข้างเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย มีระยะห่างเล็กน้อยคั่นกลาง ไม่มากจนเกินไปจนทำให้ใครบางคนคิดมาก ในมือทั้งสองมีจอยถือกันไว้คนละอันพร้อมกับสายตาที่ดูตื่นเต้น

     เสียงที่ดังผ่านๆทำให้ผมรู้ว่าพวกเขากำลังเริ่มเล่น ผาแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด ผมหันกลับมาเพื่ออ่านหนังสือต่อเมื่อพบว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแต่ก็แอบเหลือบมองเป็นพักๆ เมื่อเกิดเสียงโวยวายดังขึ้น เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งว่าเกมการแข่งขันระหว่างทั้งคู่นั้นดูท่าจะดุเดือด

     เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมแทบไม่รู้ตัว ตอบรับผากลับบ้างหลังจากทางนั้นหยุดพัก และดูเหมือนว่าทั้งสองจะใช้เวลาร่วมกันเสียนานเพราะตอนนี้กลับไปนั่งท่าเดิมเป็นที่เรียบร้อย แต่คราวนี้ต่างไปที่สีหน้ามาร์ชไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ เจ้าตัวสบถเสียงดังก่อนที่จะผลักหัวคนที่กำลังหัวเราะเสียแรง

     อื้มม
     ให้มันได้แบบนี้

     ยกที่หนึ่งผมจะยอมให้ก่อน ถือว่าเป็นอาการตอบสนองอัตโนมัติที่อีกคนพ่ายแพ้

     (สัสมึงอย่าเบียดดิ้)
     (มึงอ่ะ— เดี๋ยวๆๆ อย่าปาด!!)
     (เฮ้ยแม่ง!!)
     (อย่าาาาาา!)

     รอบนี้เสียงตะโกนแข่งกันดังลั่นจนผมไม่มีสมาธิ สุดท้ายเลยพับหนังสือลงแล้ววางไว้หัวเตียง หันกลับมาก็เจอสงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นจากการที่ทั้งสองเอาหมอนฟาดกันคนละหนึ่งที

     ปับ! (ขี้โกงมึงอ่ะ!)
     ปับ! (มึงก็โกงกูเหอะ!)

     อื้มม
     ยกที่สองมาไวกว่าที่คิด

     ผาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม หันมาทางหน้าจอก่อนที่จะฟ้องผมยกใหญ่

     (ม่าน)
     “หืม?”
     (มันโกงกู)
     (ก็มึงโกงกูก่อน)
     (ดูเชี่ยมาร์ชพูดดิ)

     เขาดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก ไม่แปลกที่ผาจะบอกว่ามาร์ชเป็นอีกคนสำคัญในชีวิต เพราะการที่คนๆหนึ่งจะเปิดใจและเป็นตัวของตัวเองได้มากขนาดนี้ก็คงใช้เวลาด้วยกันมานานพอสมควร

     ถามว่าผมอิจฉาไหม มันก็มีบ้าง

     แต่ถึงอย่างนั้นผาก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญเลยในตอนนี้

     (เนี่ย โกงจนแพ้มันแล้วตั้งสองร— อื้ออ!)
     (พูดมาก จะเริ่มเกมส์แล้ว)

     เสียงผาหายไปพร้อมกับที่มือใครบางคนตวัดรอบ ปัดใบหน้าเจ้าตัวให้หันกลับแล้วหยุดการสนทนากับผมไว้ที่ตรงนั้น และนั่นก็ทำให้ผมสบถแล้วหันหน้าไปทางอื่นในทันที

     ยกแรกผมยอมได้
     ยกที่สองผมยอมให้

     แต่ยกที่สามมันไม่ใช่…


     ...แบบนี้แถวบ้านเรียกหยามกันชัดๆ


     เป็นที่รู้กันว่าเมื่อไหร่ที่โดนท้าทายแล้วสัญชาตญาณของลูกผู้ชายมันจะพลุกพล่าน ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอนั้นมันช่างยิ่งใหญ่กว่าสิ่งไหน และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครหยามกันออกหน้าออกตาชัดเจนแบบนี้เสียด้วย

     อย่าคิดว่าเด็กแบบเขาจะยอมทุกอย่าง ถ้าเกิดวันไหนเอาจริงขึ้นมาล่ะก็…

     ...จะตามไปถึงบ้านเลยคอยดู









/









     “มาได้ไง?”

     ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อเห็นเขายืนอยู่หน้าบ้าน เจ้าตัวไม่ตอบคำถาม ทำเพียงยักไหล่แล้วมองผมที่กำลังเปิดประตูด้วยสีหน้าสงสัย

     จะมาก็ไม่บอกไม่กล่าวๆ จู่ๆก็โผล่มาเอาซะตกใจ

     “ก็มาหาไง”
     “ไม่บอกก่อน”
     “เซอร์ไพรส์”

     เสียงยียวนกวนประสาทนั่นทำให้ผมต้องสำรวจร่างสูงอีกรอบ เขาสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ก้าวเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะบุกรุก ทุกอย่างดูน่าหมั่นไส้ขึ้นเท่าตัวเมื่อม่านหันกลับมาพร้อมกับส่งยิ้มที่ดูไม่จริงใจเลยสักนิด

     “คุณอาไปไหน?”
     “ยังไม่กลับ เหมือนจะต้องอยู่ต่างจังหวัดยาว”
     “งี้ก็ทางสะดวก”

     ดูมันพูด

     ไม่ทันขาดคำม่านก็เข้าประชิดพร้อมกับโอบมือไปด้านหลัง วางมันไว้ที่เอวแล้วดันผมให้เดินข้างๆ ท่าทางไม่ปลอดภัยทำให้ผมปัดมือเจ้าตัวออก แต่สุดท้ายเขาก็รวบตัวผมไว้อีกรอบไม่ปล่อยให้ห่างตัว

     “ทางสะดวกอะไร”
     “ก็...จะได้อยู่กับเธอไง”

     ผมเอาแต่เงียบเมื่อเราเดินเข้ามาถึงด้านใน พอประตูปิดลงม่านก็สวมกอดผมไว้จากทางด้านหลังทันที

     “คิดถึงเธอ” เสียงเขากระซิบแผ่วเบา เจ้าตัวเกยคางไว้กับไหล่ โยกตัวผมเล็กน้อยแล้วออกแรงกอดให้มากขึ้น

     “ติดกูแล้วนะเดี๋ยวนี้” ผมตอบ ไม่กล้าหันไปมองเพราะเขาอยู่ใกล้มากเกินไป

     ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ข้างลำคอ

     “อืออ ขาดไม่ได้แล้ว”

     เราทั้งสองต่างเงียบ ก่อนที่จมูกโด่งจะเริ่มซุกซนไปตามร่างกายผมมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลังคอมาจนถึงข้างแก้มอย่างช้าๆ

     “คิดถึงเค้าบ้างป่ะ?” ผมเอียงคอหลบสัมผัสที่จงใจมอบให้จนเขาหัวเราะออกมาเบาๆ สุดท้ายก็ยอมเกยคางไว้นิ่งๆ แล้วรอคอยผมตอบด้วยการจ้องมองอยู่อย่างนั้น

     ให้ตาย
     หยุดทำตัวน่ารักทีได้ไหม

     “...อืมม”

     เพราะรู้ว่ายังไงโกหกออกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาผมเลยยอมรับแต่โดยดี ม่านอมยิ้มอยู่อย่างนั้นจนผมต้องเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่อยากมองเห็นว่าเจ้าตัวมีความสุขมากแค่ไหนเพราะนั่นมันจะทำให้หน้าตัวเองขึ้นสีมากกว่าเก่า

     แค่นี้มันก็แดงจนรู้แล้วว่าผมกำลังเขิน

     ใบหน้าเขาเลื่อนเข้ามาใกล้ มือใหญ่เชยคางให้หันไปรับริมฝีปากที่โน้มลงมา เขาหวังจะมอบจูบแสนหวานให้ดังเก่า แต่กลายเป็นว่าเสียงออดที่ดังขึ้นหน้าบ้านกลับขัดจังหวะเจ้าตัวเสียก่อน

     กริ๊งงงง!!!

     ผมสะดุ้งสุดตัว ใช้จังหวะนั้นผละออกจากอ้อมกอดของคนเจ้าเล่ห์ รีบเปิดประตูไปดูว่าใครที่มาหาในเวลาแบบนี้

     “ไปกินเตี๋ยวป่ะ?” เป็นมาร์ชที่แต่งตัวด้วยชุดสบาย หน้าตาและทรงผมเหมือนเพิ่งกำลังตื่นนอนไม่นาน เขาดูชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่ามีแขกเดินตามหลังผมออกมาด้วย

     “อ่าว โทษที นึกว่าอยู่คนเดียว” อีกฝ่ายกล่าวขอโทษพร้อมกับยักไหล่

     ผมหันไปมองม่าน ก่อนจะสอบถามกลับไป

     “กินไรมายัง?”
     “ยัง”
     “งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวมั้ย มาร์ชชวนพอดี”

     คนอายุน้อยกว่าเลิกคิ้วขึ้น ถึงจะดูไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ม่านก็ยอมตกลงพร้อมกับเดินอ้อมมายืนด้านหลังจนชิด เอื้อมมือพาดไหล่ผมคล้ายกับแสดงความเป็นเจ้าของ

     “ไปดิ หิวพอดี”

     ผมมองผู้ชายสองคนสลับกัน คนหนึ่งมีสีหน้านิ่งเรียบแต่คนที่อยู่กับมันมานานก็พอจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากนั้นเจ้าตัวกำลังยิ้มขำให้ผมอยู่

     ส่วนผู้ชายอีกคน...สีหน้ากวนตีนก็คงบอกอะไรหลายอย่างได้เป็นอย่างดี

     เอาเหอะ
     ตามใจเด็กมันหน่อย
     หึงบ้างเล็กๆน้อยๆ...ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกมั้ง








/







     บรรยากาศระหว่างมาร์ชและม่านเป็นอะไรที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น อาจเพราะไม่ง่ายที่แฟนเก่าของเราจะมานั่งทานข้าวกับคนคุยใหม่ เพราะเป็นแบบนั้นผมเองเลยไม่รู้ต้องทำตัวยังไง เราทั้งสามเลยทำได้เพียงนั่งเงียบและพูดคุยกันนับครั้งได้ สุดท้ายก็แยกย้ายกันกลับหลังจากมื้อกลางวันที่แสนจะพิลึก

     พอม่านรู้ว่าผมต้องอยู่บ้านคนเดียวตลอดทั้งอาทิตย์เขาเลยอาสาว่าจะนอนเป็นเพื่อน ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเข้าทางอีกฝ่ายไปซะทุกเรื่อง เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยหมั่นไส้เขานิดหน่อย

     ทั้งวันที่ผ่านเราต่างหมดเวลาไปกับการซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ฆ่าเวลาด้วยการออกไปทานข้าวแล้วกลับเข้าบ้านในเวลาตอนเย็น เขาตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำก่อน เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาทำให้ต้องใส่เสื้อผ้าของผมที่ไซส์พอดีกับเจ้าตัว จากร่างกายของเขาที่ไม่ได้ต่างจากร่างกายของผมมากนักมันเลยไม่เป็นปัญหา

     เมื่อผมทำธุระแล้วเสร็จก็เห็นว่าม่านนั่งอยู่บนเตียงแล้วเรียบร้อย บนตักมีโน้ตบุ้คของผมเองวางอยู่ หน้าตาดูจริงจังต่างจากปกติ พอแอบดูก็รู้ว่ากำลังทำงานที่ค้าง คงเพราะเจ้าตัวหนีมาหาผมเลยทำให้ไม่ได้จัดการมันสักที เมื่อเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองเลยทิ้งไปไม่ได้

     ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ข้างๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้ตกลงกันว่าจะร่วมเตียงแต่สถานการณ์มันก็บังคับให้ทำแบบนั้นอยู่ดี ม่านใช้แขนข้างหนึ่งพาดผ่านไหล่ โอบเอาไว้แล้วไล้มันไปมา ส่วนมืออีกข้างก็ยังใช้กดคีย์บอร์ดอยู่เรื่อยๆ

     ไม่รู้ว่าเมื่อยไหม แต่ดูแล้วลำบากอยู่พอตัว

     พรึบ!

     “เฮ้ออ กว่าจะเสร็จ”

     เขาปิดเครื่องก่อนจะพับหน้าจอแล้ววางมันไว้ยังโต๊ะข้างเตียง หันมาหาผมพร้อมกับทิ้งตัวลงบนหน้าตัก ทุกอย่างเกินขึ้นรวดเร็วจนปฏิเสธไม่ทัน

     “เธอทำไรอยู่อ่ะ?”
     “คุยกับพวกไอ้ฮั่น เรื่องลงทะเบียนเรียนเทอมหน้า”
     “อ่อ”

     เขาออกแรงแขนให้กอดผมแน่นอีกรอบ ดูเหมือนครั้งนี้จะออดอ้อนมากกว่าเก่า

     และผมเองก็ยอมเขามากไม่ต่างกัน

     ผมคุยกับเพื่อนอยู่สักพักถึงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ความหนาวเย็นที่มาจากมือใหญ่ทำให้ต้องหดตัวแล้วละสายตาจากโทรศัพท์ไปมอง พบว่าม่านกำลังเลิกชายเสื้อของตัวเองขึ้นแล้วสัมผัสมันเบาๆ ไม่ทันจะได้ขยับตัวหนีริมฝีปากร้อนก็ตามมาติดๆ เขากดจูบนานจนรู้สึกวาบหวิว จากนั้นตัวผมก็เคลื่อนลงต่ำด้วยแรงของเจ้าตัว

     พื้นที่บริเวณหน้าท้องบางถูกตีตรามากขึ้นเรื่อยๆ แปลกที่ผมไม่ได้ผลักเขาออก แต่กลับรู้สึกเต็มใจและพร้อมที่จะน้อมรับเอาไว้ทุกอย่าง เสียงลมหายใจเราทั้งสองขาดห้วงไปพร้อมกัน ก่อนที่ม่านจะสบตาผมอีกครั้ง เนิ่นนานเสียจนหวั่นใจ

     “เค้ารักเธอนะ” เสียงเขาแผ่วเบา ไม่ต่างจากการกระทำที่มอบให้เลยแม้แต่นิด
     “...”

     มือใหญ่ส่งมาลูบไล้ข้างใบหน้า อ่อนโยนยิ่งกว่าสิ่งไหน

     “เค้ามั่นใจและเค้าก็รอเธอมาตลอด แต่วันนี้เค้าไม่อยากรอแล้ว...”
     “...”
     “เป็นแฟนกับเค้าได้มั้ย?”

     เขาขอร้องเรียบง่าย ไม่ต่างจากบทประพันธ์ของอ็องเดร กอร์ซที่เล่าถึงสาวสวยอย่างดอรีนเมื่อตกลงรับคำเชื้อเชิญไปงานเต้นรำจากเฌราร์ด์ —  นั่นทำให้เขาทั้งคู่ได้ตกหลุมรักกันในเวลาต่อมา

     ผมคงเป็นเช่นเดียวกับหญิงสาว

     ที่ไม่มีเหตุผลจะต้องกล่าวปฏิเสธ

     “อืม”


     เพราะผมรักเขา...และอยากให้เรื่องของเรากลายเป็นเรื่องราวที่แสนพิเศษ



     — Then one evening, as luck would have it, I looked down a side street caught sigh of you in the distance. I turn and ran to catch up. You were walking fast. It had snowed and the drizzle had made your hair curly. Without thinking I’d get anywhere. I suggested we go dancing. You just said, Oui, why not. That was October 23, 1947.

     (ในเย็นวันหนึ่งผมบังเอิญเห็นคุณแต่ไกลกำลังเดินอยู่ในถนนหลังเลิกงาน ผมวิ่งเพื่อตามคุณ คุณเดินเร็วมาก หิมะก็ตก ปรอยหิมะทำให้ผมคุณขดม้วน ผมชวนคุณไปเต้นรำโดยไม่หวังอะไรมาก คุณตอบกลับมาอย่างธรรมดาว่า ค่ะ why not วันนั้นเป็นวันที่ 23 ตุลาคม 1947)—

     Letter to D: A Love Story by André Gorz (จดหมายถึง D. - อ็องเดร กอร์ซ)






#ผาเพียงฟ้า



24/12/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 4 | And then I said "yes" - P.5 (24/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 24-12-2019 20:24:09
ในที่สุดฝันของม่านก็เป็นจริง
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 4 | And then I said "yes" - P.5 (24/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 25-12-2019 01:06:10
เขินมากกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 4 | And then I said "yes" - P.5 (24/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 25-12-2019 21:12:11
เขินมากกกก หน้าร้อนผ่าวเลย ฮือออออออ
ทำไมผาน่ารักแบบนี้หละ แงงงงงง
จากตอนแรกๆเหมือนจะเย็นชาแต่พอเปิดใจแล้วความน่ารักทะลักทะลวงมาก
เฮ้อ อยากจุ๊บเหม่งอะลูกกก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 4 | And then I said "yes" - P.5 (24/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 25-12-2019 23:12:23
เป็นแฟนกันแล้ว :mc4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 4 | And then I said "yes" - P.5 (24/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-12-2019 01:04:09
ในที่สุดดดดดดดด แต่ว่าขอตอนแบบว่านะ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 4 | And then I said "yes" - P.5 (24/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 28-12-2019 00:55:53


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


25

something only we know



_________


bgm : stand by me - oasis

'stand by me
nobody know'


_________




     นานมาแล้วที่ผมเพิ่งจะเข้าใจว่าความรู้สึกนี้มันเป็นยังไง กับการที่โลกยังคงหมุนไปเหมือนเดิมแต่มีแค่เราสองคนที่รู้ว่ามันพิเศษกว่าวันอื่นๆ ม่านทำตัวปกติไม่ต่างจากผม แต่เมื่อไหร่ที่เราบังเอิญสบตากันในจังหวะหนึ่งผมก็มักจะรู้สึกว่ามันไม่ปกติเข้าแล้วจริงๆ

     ไม่รู้เพราะเห็นว่าเขาแอบอมยิ้ม หรือเป็นเพราะว่าใจตัวเองเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้

     บางครั้งมันเลยต้องหันกลับมาแล้วทำเป็นไม่มีอะไรดังเก่า ผมไม่ได้บอกเพื่อนเรื่องของเราและคิดว่าม่านก็คงยังเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นทุกคนน่าจะรู้เรื่องราวกันไปแล้ว

     หลังจากพักผ่อนอยู่บ้านเป็นเวลานานเกือบสองอาทิตย์ก็ถึงช่วงเปิดเทอม ม่านแวะมาหาอีกครั้งหลังจากคืนนั้นและได้มีโอกาสเจอครอบครัวของผมอย่างพร้อมหน้า ทั้งคุณน้าและคุณอาต่างก็ต้อนรับอย่างดีเหมือนเคย ดูเหมือนคราวนี้ทั้งสองจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีสถานะเป็นแค่เพื่อนอย่างที่ผมแนะนำ ถึงเราจะไม่ได้ทำอะไรที่ดูเกินหน้าเกินตา แต่แค่การที่เขามาหาบ่อยๆก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

     พักหลังมานี้ม่านค่อนข้างจะงอแงเก่งกว่าเดิม เขามักจะบ่นว่าคิดถึงผมทุกวันเวลาที่เราไม่เจอหน้า โทรมาหาบ่อยกว่าปกติจนผมแทบไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นนอกจากคุยกับเขา แรกๆผมก็มีความรู้สึกว่ามันมากไปบ้างแต่พอเขาหายไปทีไรกลับเป็นตัวเองทุกครั้งที่รู้สึกเหงา

     ไม่ใช่แค่เขาต้องการผม ผมเองก็ต้องการเขาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

     คิดถึงเหมือนกันนั่นแหละ

     ‘เฮ้อ ติดเธอเกินไปอีกละเนี่ย’

     ประโยคนี้ผมมักจะได้บินมันบ่อยๆจากอีกฝ่าย เขาชอบถอนหายใจก่อนจะพูดอย่างหงุดหงิด แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่วางสายผมอยู่ดี ไม่รู้จะบ่นไปทำไม บ่นเสร็จก็ชวนผมคุยต่อแล้วอ้อนไม่ให้วางตลอด แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากฟังเขาพูดไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยตลอด

     คงเพราะชอบล่ะมั้งที่เห็นม่านมันยิ้ม แบบนั้นเลยไม่กล้าขัดเพราะรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นเท่าตัว และเพราะรู้ว่าเขาก็มีความสุขมากเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นผมก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อรักษารอยยิ้มเขาให้มันยังคงอยู่

อย่างเมื่อย : AMAN

     ม่านส่งข้อความมาในตอนที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ้ค เขาบอกผมว่าออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าอย่างหนึ่งใจกลางเมืองแห่งหนึ่งตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงตอนเย็นก็ยังไม่ได้กลับ

     Pha : ยังไม่เสร็จหรอ?
ยัง : AMAN
อีกนานเลยมั้ง : AMAN
เดินจนปวดเท้าไปหมดละเนี่ย : AMAN

     เขางอแง ปกติแล้วก็ไม่ค่อยบ่นเรื่องงานมากเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะทนไม่ไหวจนต้องระบายออกมากับผม

     Pha : ไปหาที่นั่งก่อนไป
นั่งอยู่ : AMAN
ปล่อยให้เพื่อนมันเดินกันเองละ : AMAN
     Pha : เมื่อยมากเลยดิ?
เดินไม่ไหวอ่ะ : AMAN
     Pha : โอเคป่ะเนี่ย?
อืออ : AMAN
ได้นั่งพักก็ดีขึ้นบ้างแล้ว : AMAN

     ถึงจะแอบเป็นห่วงอยู่นิดหน่อยแต่พอเห็นเขาตอบแบบนั้นผมก็โล่งใจ พยายามหาข้อมูลต่างๆพร้อมกับตอบเจ้าตัวไปด้วยพร้อมๆกัน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ทักมาหาอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าจะไปทำงานของตัวเองต่อ

Pha : ไปไหนนะ?
จะไปช่วยเพื่อนต่อละ : AMAN
รู้สึกผิดที่มานั่งพักคนเดียว : AMAN

     ผมขมวดคิ้วเพราะคิดว่าเดี๋ยวอาการเจ้าตัวคงกำเริบเข้าจนได้ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะไปเดินซื้อของต่อ เมื่อเป็นดังนั้นจึงถอนหายใจแล้วมองไปรอบๆห้อง ดูเหมือนว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเข้าแล้วจริงๆ

     Pha : งั้นกลับมาแล้วมาห้องกูนะ
จะให้ไปหาหรอ? : AMAN
     Pha : อืม
ไหนบอกว่าจะทำงาน? : AMAN
กลัวเค้าไปแล้วจะกวนเธอเปล่าๆ : AMAN
     Pha : เออน่า     
     Pha : มาแล้วกัน
อ่อ : AMAN
โอเคครับ : AMAN
     Pha : อย่าฝืนตัวเองมากล่ะ

     เขาตอบรับสั้นๆหลังจากนั้น และผมก็รีบเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมตัวลงไปซื้อของด้านล่างหอ

     สุดท้ายก็ต้องดูแลเขาอยู่ดี จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็รู้สึกหงุดหงิด








/










     ผมกลับมาถึงห้องราวๆเกือบสามทุ่ม เมื่อทักผาไปเขายังยืนยันว่าจะให้ไปหาตามเดิม ทั้งๆที่เราคุยกันตั้งแต่ตอนเช้าแล้วว่าวันนี้เขาคงไม่ว่างเพราะยุ่งกับงานนิดหน่อย แต่สุดท้ายผาก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมไปจนต้องทำตามใจ

     ประตูห้องเขาเปิดออกพร้อมกับเจ้าของที่อยู่ในชุดนอนสีเรียบ ทรงผมยุ่งเหยิงนิดหน่อย ผาเบี่ยงตัวหลบให้ผมได้เดินเข้าไปก่อนจะปิดประตูแล้วเดินรั้งท้าย

     “จะให้เค้านอนนี่หรอ หรือยังไง?” ผมถามออกไป ไม่แน่ใจกับคำตอบมากนักเพราะเขาไม่เคยร้องขอแบบนั้นเลยสักครั้งแม้แต่ตอนที่เราคบกันแล้ว
     “แล้วแต่มึง ถ้าขี้เกียจกลับก็นอนได้”

     รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ผมทิ้งตัวลงยังโซฟาห้องนั่งเล่นก่อนจะเอนกายอย่างนวยนาด

     “งั้นเค้านอนนี่เลยละกัน”
     “อาบน้ำมาแล้วใช่มั้ย?”
     “อาบแล้ว”

     เขาหันมามองแล้วชะงัก แค่เพียงเสี้ยววิก็เรียกผมให้เข้าไปยังห้องนอนของเจ้าตัว

     “หืม? มีอะไรหรอ?” ผมงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องเอาแต่เรียกอยู่ซ้ำๆ
     “เออมาเหอะน่า”

     เมื่อไม่อยากขัดใจเลยต้องเดินตามไปติดๆ มองเห็นผานั่งขัดสมาธิบนเตียง เว้นที่ว่างเป็นการบอกกลายๆว่าให้ผมนั่งตรงไหน ดังนั้นเลยต้องขยับไปแล้วนั่งไม่ไกลเจ้าตัว จากนั้นผาก็จัดแจงให้เหยียดขาออกมาข้างหน้า ก่อนที่เขาจะเริ่มเคลื่อนตัวออกแล้วนั่งลงยังบริเวณปลายเท้า

     “เฮ้ย จะทำอะไร?” ผมตกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็นำมือมาจับเท้าของตัวเองแล้วขยับไปมา อันที่จริงก็รู้ว่าผาคงอยากจะช่วยแต่ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องลำบาก

     “ก็จะนวดให้ไง” ผาตอบ มองมาก่อนจะก้มลงแต่ก็โดนผมปฏิเสธเข้าอีกรอบ
     “ไม่ต้องเลย เท้าเค้ามันสกปรก”
     “งั้นไปล้าง”
     “ผา”

     คราวนี้เขาไม่ฟังเมื่อผมทำเสียงดุ เหมือนจะรู้ว่าผมไม่กล้าขัดเมื่อเขาตั้งใจจะทำอะไร มือเล็กเลยถือวิสาสะเข้าสัมผัสปลายเท้าอีกครั้ง วนไล้มันไปมาสองสามรอบ ก่อนจะหันกลับไปด้านข้าง เปิดขวดยาอะไรสักอย่างแล้วบีบมันลงบนฝ่ามือ ผมได้แต่นั่งเงียบแล้วมองคนที่กำลังตั้งใจนวด ผาเองก็เงียบ บางครั้งก็มองผมกลับบ้างเป็นพักๆเพื่อดูว่าอาการเป็นยังไง สัมผัสที่เขามอบให้แผ่วเบาเสียจนรู้สึกผ่อนคลาย อีกฝ่ายค่อยๆไล้มือไปอย่างเชื่องช้าและนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันจุกอยู่ที่อก

     ผาไม่เคยบอกรักหรือพูดคำหวานแม้เราจะเปลี่ยนสถานะ เขายังทำตัวเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเราคบกันจริงๆ มีเพียงแค่ความทรงจำคืนเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่าง จนบางครั้งผมยังแอบคิดคนเดียวว่าเขาแค่ตอบรับมันผ่านๆไปหรือเปล่า

     แต่คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในทุกๆการกระทำของเขาเอง

     ผาทำให้รู้ว่าเขาใส่ใจผมมาก มากเกินกว่าที่ผมคิดว่าไว้เสียอีก ทั้งๆที่เขาจะปล่อยผ่านไปก็ได้ด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวก็ยังเรียกผมให้มาหา ทั้งสายตาของเขาที่เฝ้ามองว่าอาการมันจะทุเลาลงหรือเปล่า หรือการที่มือเขาค่อยๆสัมผัสแผ่วเบาจนผมแทบจะหวั่นใจ

     ทั้งหมดเลยทำให้ผมรู้ว่าเขาก็รักผมเหมือนกัน และเขาก็รักมากเสียจนผมต้องดึงตัวเขาเข้าหาในนาทีหนึ่งแล้วกอดเอาไว้แนบแน่น ผาไม่ได้ดิ้นให้หลุด ยอมให้ผมกอดอยู่อย่างนั้นจนพอใจ

     “ขอบคุณนะ”
     “...” เขาไม่ตอบ แต่รู้สึกถึงใจที่เต้นแรงบริเวณหน้าอก
     “...”
     “ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
     “อืมม ก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย”

     ผมปล่อยเจ้าตัวออกก่อนที่ผาจะนวดให้อีกรอบ คราวนี้ผมเลยเหยียดขาให้เขานั่งได้อย่างสบาย นวดไปได้ไม่นานจนผมต้องรั้งเอาไว้บอกให้พอเขาถึงได้หยุด หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เรียกให้ไปทานข้าวที่ซื้อเอาไว้ก่อน

     เขาคงรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ผมเหนื่อยมามากถึงได้ตามใจแทบจะทุกอย่าง ไล่ให้ผมไปพักไม่ยอมให้ช่วยทำความสะอาด แถมยังไม่ขัดเมื่อแอบฉวยโอกาสบ้างนิดหน่อย

     อย่างน้อยๆเหนื่อยมาก็ได้กำไร

     พลั่ก! —“ยิ้มอยู่ได้”

     เขาเดินมาผลักหัว ไม่ได้ใช้แรงมากไปจนทำให้เจ็บ ผมไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มแบบที่เขาว่าพร้อมกับมองเจ้าตัวไปเรื่อยๆ ก็คนมันมีความสุขนี่หว่า จะให้เก็บยังไงไหว

     “เธอทำงานต่อหรอ?”
     “อือ”
     “มานอนกับพี่ดีกว่ามะหนู มามะๆๆ”

     มือใหญ่ตบลงบนฟูกเสียงดัง เสียงผมยียวนกวนประสาท คราวนี้ผาหันมามองก่อนทำหน้าหยี นั่นทำให้ผมหัวเราะร่ากลับไป

     “เดี๋ยวจะโดนไล่กลับห้อง”
     “หนูใจร้ายจังเลย”
     “ยังอีก”
     “หนู~”
     “ยังไม่เลิกอีก”

     ฟุบ!
     ปับ!

     สมุดเล่มหนึ่งลอยมากับอากาศ มันหล่นลงข้างๆผมที่หลบได้ทัน คนใจร้ายหันกลับไปแล้วไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยแสร้งทำเป็นงอนแล้วดูว่าเขาจะง้อหรือเปล่า

     “ให้กูปิดไฟมั้ย?”
     “...”
     “ม่าน”
     “...”

     พอไม่ตอบผาก็ไม่เซ้าซี้ต่อ นั่นทำให้ผมสบถในลำคอแผ่วเบาแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ไปเงียบๆ

     เออ ก็แฟนไม่ง้อ
     แค่นั้นเองป่ะวะ

     “ม่าน”
     “...”
     “นอนแล้วหรอ?”
     “เปล่า”
     “แล้วทำไมไม่ตอบ”
     “...”

     ผมใช้ใบหน้าใสซื่อมองเขาก่อนจะยักไหล่ มองจากดาวอังคารยังรู้ได้ว่ามันไม่ปกติ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ทุกอย่างเงียบไปอีกครั้งก่อนที่ผาจะหยุดยืนด้านข้าง หยิบโทรศัพท์จากมือในทันทีก่อนจะทำบางอย่างที่ใจผมแทบหลุดออกจากอก

     จากการที่เขาขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก แล้วใช้สองมือคล้องคอผมไว้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

     ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปกติแล้วผมมักจะเป็นฝ่ายรุกเขาก่อน แต่พอเขารุกกลับแบบนี้ก็ทำเอาไปไม่เป็น มือไม้สะเปะสะปะจนต้องตั้งสติและกว่าจะรู้ตัว ผาก็กดจูบลงข้างลำคอแล้วไล่ขึ้นมาจนถึงใบหู

     เวร

     แบบนี้ผมมัน —

     “...อืมมม...”

      —จะกลั้นเสียงครางยังไงไหว

     “ชอบป่ะ?”

     ผมอยากจะผลักเขาออก แต่ทำไมมือมันกลับไม่ทำตามที่สมองสั่ง เพราะผมเอาแต่จับเอวเขาไว้พร้อมจะทุ่มลงไปกับเตียงในทุกวินาทีที่เสียงแหบพร่าพูดข้างหู

     “...ทำไมไม่ตอบล่ะครับ?” คราวนี้ลิ้นร้อนลากเลียยังจุดชีพจร ผมแทบจะตวัดเขาลงแต่ผาก็สู้แรงโดยการล็อกมือผมไว้แน่น ถึงแม้จะสู้ไหวแต่ผมก็ต้องหักห้ามใจตัวเองไว้ด้วย

     ยัง

     ยังไม่ใช่ตอนนี้

     “ถ้าชอบหนูจะทำให้อีก...ดีไหม?”

     สรรพนามที่ใช้ทำเอาผมกัดฟันกรอด หายใจแรงผ่อนปรนอารมณ์อ่อนไหว รีบพยักหน้ากลับไปเพื่อตอบรับคำถามที่ส่งให้ก่อนหน้า

     เป๊าะ! “ —แต่อย่ากวนตีนบ่อยเกินไป งานกูมันจะไม่เสร็จ เข้าใจรึเปล่า?”

     นิ้วเล็กดีดไปยังหน้าผาก อารมณ์ที่มันพุ่งขึ้นสูงถูกดับลงต่อหน้าต่อหน้า เขาหัวเราะร่า ก่อนจะรีบผละออกไปเมื่อจัดการกับใครบางคนได้อยู่หมัด


     อืม

     ผมน่ะเหมือนลูกไก่ในกำมือเขาชัดๆ

     ทำเป็นเก่งแค่ไหนผาก็รู้วิธีจัดการมันตลอด


     อันที่จริงเพราะผมยังไม่อยากทำอะไรเขาหรอก ไม่งั้นผาก็โดนรวบหัวรวบหางไปตั้งนานแล้ว ก็บอกแล้วว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ผมมีเวลาของตัวเอง และผมก็ไม่อยากรวบรัดเขาเกินไปเพราะเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา

     ถึงแม้ตัวเองจะต้องการมันมากก็เถอะ








/







     “ไงๆ กว่าจะมาได้นะมึง” เสียงไอ้ปัทถ์ลอยมาแต่ไกลพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ มันมองผมกับคนที่เดินมาด้วยกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
     “ทำไมนาน?” เมื่อนั่งลงไอ้ฮั่นก็เอียงตัวมาถาม ผมเลยหันกลับไปตอบ
     “ม่านลืมกระเป๋าตัง เลยวกกลับไปเอาที่หอมันอีกรอบ”

     พวกเราตกลงว่าจะรวมตัวกันที่บ้านไอ้เหนือวันนี้เพื่อเฉลิมฉลองก่อนที่จะเปิดเทอมอย่างเต็มตัว มีทั้งกลุ่มเพื่อนผมและกลุ่มเพื่อนม่านตามเดิม ดูเหมือนว่าผมจะเลทนิดหน่อยเพราะเมื่อมาถึงก็มีสมาชิกนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้า แถมยังมีแขกพิเศษอีกคนที่ผมต้องหันไปยิ้มกับไอ้ปัทถ์อย่างรู้กัน

     จากคนที่นั่งข้างเจ้าของบ้าน สายรหัสของใครบางคนที่เราเคยเจอกันมาก่อน

     “เธอกินไร เหล้าหรือเบียร์?”
     “เหล้า”
     “ครับ”
     “ไม่ต้องใส่โค้กนะ ขอโซดาน้ำเปล่าพอ”

     ผมหันไปกำชับอีกรอบ ก่อนที่ม่านจะรับคำแล้วชงเครื่องดื่มส่งมา ผมรับแก้วใสแล้ววางไว้ตรงหน้า ไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อก็ดูเหมือนจะโดนเล่นงานเข้าตั้งแต่เริ่ม

     “ผา”
     “ฮะ?” เงยหน้าเมื่อเพื่อนเรียก เป็นไอ้นาวานั่นเอง ผมรู้ว่ามันจะถามอะไรต่อเพราะเพื่อนทุกคนหันมองมาทางนี้
     “มีอะไรจะบอกพวกกูเปล่า?”

     เป็นคำถามวัดใจที่ทำเอาผมต้องชะงักไปสักพัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่ว่าคนพูดไม่เก่งอย่างผมไม่รู้จะเริ่มต้นแบบไหน จู่ๆจะให้ไปบอกว่าตัวเองกับม่านคบกันแล้วมันก็ดูจะแปลกไปเสียหน่อย เมื่อเป็นดังนั้นเลยต้องทำเป็นยกบุหรี่ขึ้นชิดริมฝีปากแล้วตอบกลับไปพร้อมกัน

     “ก็อย่างที่เห็น”

     เสียงซุบซิบดังขึ้นเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่เลิกรามือ

     “อย่างที่เห็นยังไง”
     “เออ ให้มันชัดเจนหน่อยดิวะเพื่อนกู”

     พวกมันแท็กทีมกันแกล้ง ผมทำเป็นไม่สนใจแต่สุดท้ายก็ตายเพราะไอ้ติน

     “ขอชัดๆแค่ว่าเป็นน้องหรือเป็นแฟน...แค่นั้นเอง”

     ไม่ใช่แค่เพื่อนผมที่ฟังอยู่ เพื่อนม่านเองก็เหมือนกัน เหมือนเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในประเด็นสนทนาจึงได้ทำหน้าสงสัย ผมยังไม่ตอบ พ่นควันบุหรี่ขึ้นด้านบนก่อนจะเคาะเถ้าถ่านลงบนถาดรอง

     “สรุปคือน้อง?” ไอ้ปัทถ์พูดเบาๆ จ้องมองไม่ละไปไหน

     และผมก็คิดว่าตัวเองใช้ความเงียบเป็นคำตอบได้ดีจากการที่ทุกคนยิ้ม พร้อมกับมือไอ้ฮั่นที่กอดคอแล้วเข้ากระซิบอีกรอบ

     “ร้ายนะเนี่ยเพื่อนกู”

     ผมใช้ศอกดันท้องมันไปหนึ่งรอบ แทบไม่กล้ามองคนอื่นเพราะกลัวว่าใบหน้าตัวเองจะขึ้นสี หันไปมองคนที่นั่งข้างกันเจ้าตัวก็เอาแต่ยิ้มไม่ต่าง เขาก็ไม่พูด รอให้ผมย้ำชัดกับทุกคนเสียเอง

     “น้องน่านยิ้มอะไร?” เมื่อเห็นว่าเด็กมันกำลังได้ใจผมเลยแกล้ง คนที่ยิ่งประหม่าเลยส่ายหน้าเบาๆแต่ก็ยังยิ้มอยู่
     “น่านก็ยิ้มเหมือนที่คนอื่นๆยิ้มนั่นแหละครับ”
     “แซวพี่หรอ?”
     “เฮ้ย เปล่านะพี่ผา”

     ผมหัวเราะ ก่อนจะยกแก้วตามคนอื่นๆไปติดๆ

     เพราะไม่ได้เจอกันนานบทสนทนาที่พ้นผ่านเลยเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย มีเสียงหัวเราะและบรรยากาศเก่าๆคลอเคล้า ผมดื่มไปหลายแก้ว จนไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สติยังดีอยู่ไหม ม่านเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ห้ามผมแต่ก็คอยดูแลอยู่ห่างๆ แบบนั้นยิ่งทำให้เพื่อนยิ่งเล่นงานผมอยู่เรื่อยๆ

     “หายไปนานเชียวน้าา”
     “ไหนบอกไปแปบเดียวไงน้า”
     “แบบนี้มันยังไงๆๆอยู่น้าา”
     ผมต้องขอบคุณไอ้เหนือที่หายไปเสียนานประเด็นต่างๆเลยตกอยู่ที่มันเสียแทน

     “ไอ้สัส พอเลย” มันถลึงตาใส่ นั่งลงยังเก้าอี้ที่คนด้านข้างหายไปแล้วเรียบร้อย

     “ไปส่งถึงห้องขนาดนั้นน้องนอนหลับสนิทไหมครับคุณเหนือ?” ไอ้ปัทถ์กับนาวาหัวเราะคิกคักกันสองคน แท็กมือเข้าทันทีเมื่อเห็นว่าเล่นงานเจ้าของบ้านมันได้

     “จะไปรู้กับเขาหรอไง”
     “มีไม่รู้ด้วยว่ะ”
     “ก็ต้องหลับสนิทเปล่าว้าา ไปส่งถึง...โอ้ย” ไอ้ปัทถ์เว้นช่วงไว้จนผมต้องเอื้อมมือไปผลักหัว สาเหตุเพราะพูดจาไม่ได้เรื่อง

     “ใจเย็น แค่ไปส่งจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องอย่างว่า” คราวนี้เจ้าตัวแก้ข่าว แต่คนอื่นๆก็ยังไม่หยุด
     “ไม่มีเรื่องอย่างว่าแต่น้อยกว่าอย่างว่ามีใช่ไหมล่ะพี่” คราวนี้เป็นรุ่นน้องที่แทรกขึ้น ไอ้เหนือหันไปมอง มันไม่ตอบแต่ก็หัวเราะก่อนจะสูบบุหรี่ แค่นั้นก็เพียงพอเหมือนกันที่ทำให้พวกผมรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     พวกผู้ชายอะนะ

     อยู่ด้วยกันจนรู้นิสัยใจมันดี

     “อ่าวไอ้ผาว่าไง อย่างว่ามีไหม อย่าน้อยหน้าเขานะเว้ย”

     ผมแทบจะขว้างแก้วใส่ไอ้ปัทถ์เมื่อสุดท้ายมันก็หันกลับมาหาผมอีกแล้ว โชคดีที่คราวนี้ม่านมันรีบปฏฺเสธเข้าก่อน ไม่งั้นผมคงลุกหนีเพราะไม่รู้จะตอบพวกนั้นยังไง

     “ฮ่าๆ ใจเย็นพี่ปัทถ์”
     “อย่าร้อนตัวดิวะม่าน”
     “ผมไม่ได้ร้อนตัวพี่” คนอายุน้อยกว่ายังหัวเราะ ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำนัก แต่ผมก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะที่พูดให้ไม่งั้นก็คงจะทนฟังเพื่อนมันแกล้งต่อไป

     “เอาไว้ก่อนๆ ผมไม่รีบๆ”

     เมื่อดื่มไปสักพักสติแต่ละคนก็เริ่มจะหดหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนผมเริ่มหายไปทีละคน เริ่มที่ไอ้เหนือก่อน ไม่รู้มันรีบอะไรนัก หรือเพราะใจมันยังอยู่กับคนที่ไปส่งเข้านอนเลยทำให้ลุกไปคนแรกโดยไม่สนเพื่อน จนในที่สุดผมก็ต้องขอตัวลาไปกับไอ้ฮั่น เหลือเพียงม่านและเพื่อนเขาที่ยังนั่งกินกันต่อ

     ผมจำได้รางๆว่าพอหัวถึงหมอนตัวเองก็นอนหลับทันที คงเพราะความง่วงที่สั่งสมบวกฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย กว่าจะรู้ตัวก็ในตอนที่มีบางอย่างยุ่มย่ามอยู่บริเวณหน้าอก รบกวนจนทำให้ผมต้องลืมตาอยู่ในความมืด ตั้งสติอยู่สักพักถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโดนจู่โจมอย่างหนักจากคนด้านบน

     ผมกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ไม่กล้าส่งเสียงครางออกไปแม้จะรู้สึกรันจวนใจเป็นอย่างมาก หน้าอกบางลอยขึ้นตามการเคลื่อนไหว มือใหญ่ยังใช้เกลี่ยเม็ดสีอยู่อย่างนั้น แถมอีกข้างยังมีลิ้นร้อนตวัดไล้จนผมต้องดึงเส้นผมของเขาเพื่อให้หนีห่าง

     ไม่ไหว

     ยิ่งเขาเล้าโลมแบบนี้ผมยิ่งจะไม่รอด

     ม่านยังไม่ยอมถอย แต่กลับใช้แรงจากเท้าแยกขาผมออกโดยที่ไม่ต้องใช้มือช่วย แทรกตัวเข้ามาแล้วกดส่วนล่างให้ถูไถกันมา กางเกงยีนของเราเบียดเสียดกันจนผมรู้ได้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร

     “เค้าเมา” เขากระซิบที่ใบหู เสียงแหบพร่าบ่งบอกความต้องการเด่นชัด “...ให้เค้าไปซื้อถุงยางได้ไหมครับ?”

     คำขอของเขาทำให้ผมกัดฟันแน่น เพราะเจ้าตัวใช้มือตัวเองมาจับข้อมือผม ส่งมันเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อของส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนตอบรับ ลูบไล้เบาๆจนผมสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นส่วนไหน มันกระตุกตอบรับบางจังหวะ ความอุ่นร้อนที่คงอยู่ยังฝ่ามือทำให้ต้องเบือนหน้าหนี

     “หรือจะไปขอเพื่อนดี?”

     ม่านยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ดูเหมือนเขาก็แทบจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน น่าแปลกที่ผมไม่มีความคิดที่จะห้าม คงเพราะตัวเองก็ต้องการเรื่องอย่างว่าหลังจากห่างหายไปนานเอามากๆ

     ริมฝีปากหยักลากไล้ตั้งแต่หัวไหล่จนถึงลำคอ ดูเหมือนเขาจะทำรอยไว้บางช่วงจนผมต้องรีบผลักเจ้าตัวออก กลัวว่ารอยเหล่านั้นจะโผล่พ้นเนื้อผ้า เสียงเขาหัวเราะเบาๆตามมา ก่อนที่จะดึงมือผมออกแล้วทาบมันไว้ผ่านกางเกงยีนเสียแทน

     “ก็ไม่ได้ดิเนาะ”
     “...”
     “งี้เพื่อนก็รู้หมดพอดี”
 
     เสียงเขายังยานคางเช่นเดิม ก่อนที่จะล้มตัวลงแล้วกอดผมแน่น ความคิดในหัวเริ่มตีกันไปมา คงเพราะผมเองก็เริ่มอยากให้เขาสานต่อและเดินทางไปสู่ฝั่งฝันด้วยกัน นั่นเลยรู้สึกผิดหวังที่จู่ๆม่านก็หยุดเอาเสียดื้อๆ

     ไม่พอแค่นั้น เสียงกรนจากเจ้าตัวยังตามมาจนผมแทบจะกดความโกรธเอาไว้ไม่อยู่



     ไอ้เด็กหน้าหมา!
     วันหลังถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องเล้าได้ป่ะวะ คนที่ค้างมันไม่ตลก!!



#ผาเพียงฟ้า



24/12/19
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-12-2019 01:25:09
พี่ผาาาาา ร้ายกว่าที่คิดนะเนี่ยย  :pighaun:
แอบอยากรู้เรื่องเหนือด้วย 55555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-12-2019 03:02:34
พี่ผาไม่ให้แกแล้ว 555555555555555555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Thefox ที่ 29-12-2019 13:01:57
นังม่านนนนนนน  :ling1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-12-2019 21:31:25
จะอยู่ข้างพี่ผารึม่านดีล่ะเนี่ยะ โว๊ยยย ทำค้างแล้วหลับคือ :angry2:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 30-12-2019 00:11:25
นังน้องม่าน 5555555555555 เด็กเอ้ย
น้องผาน่ารักมากๆเลยครับ แง จริงๆน้องไม่เคยไม่ใส่ใจม่านเลย
ตอนที่ทายาให้ม่านอย่างน่ารักละมุนไปหมด คนดีของพี่
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-12-2019 18:45:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 5 | something only we know - P.5 (28/12/19)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 21-01-2020 02:37:08


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


26

"I LOVE YOU"



_________


:-)


_________




เสียงพูดคุยกันบริเวณโถงทางเดินดังกระหึ่ม อาจเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียนผู้คนเลยจับกลุ่มอยู่โดยทั่ว  ผมรีบทิ้งบุหรี่ในมือแล้วเดินตามเพื่อนคนอื่นๆ มุ่งหน้ายังปลายทางหรือห้องเรียนที่กำลังจะเริ่มในไม่ช้า เพราะที่นี่เป็นตึกเรียนรวมของมหาวิทยาลัยดังนั้นเลยมีนักศึกษาหลากหลายคณะที่เข้าใช้งาน สายตาพวกเราเลยมักจะสอดส่องมองไปโดยรอบอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะไอ้มาร์ทมันน่ะนะ ของแบบนี้มันเคยพลาดซะที่ไหน

ผมเบี่ยงตัวหลบพวกผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่บนทางเดินแคบ ได้กลิ่นบุหรี่ของตัวเองลอยปะปนกับคนอื่นๆจนฉุนจมูก ทั้งๆที่คิดว่าก็ไม่ได้สูบเยอะ แต่สงสัยเพราะเพื่อนๆมันก็สูบเหมือนกันเลยอบอวลควันจากพวกมันมาด้วย

ห้องขนาดกว้างมีผู้คนเข้ามาบ้างแล้วตอนที่เรามาถึง ไอ้ตินเลือกนั่งบริเวณกลางห้องค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นผมและคนอื่นๆก็ตามไปติดๆ ไม่นานอาจารย์ผู้สอนก็เดินเข้ามาพร้อมกับที่นั่งที่ถูกจับจองจนแน่นเอี๊ยด

เสียงบรรยายจากผู้หญิงวัยกลางคนทำเอาเสียงพูดคุยเงียบลงไปถนัดตา ผมตั้งใจอ่านเนื้อหาบนกระดาษแผ่นเล็กสลับกับมองกระดานที่เต็มไปด้วยเนื้อหาที่อัดแน่น มองเห็นคนอื่นๆในห้องก็ตั้งใจไม่ต่างกันเท่าไหร่ อาจเพราะวิชานี้ต้องเรียนรวมกับเด็กคณะอื่นที่ขึ้นชื่อเรื่องหัวกะทิ ดังนั้นเราเลยกลัวว่าคะแนนที่ได้จากการสอบจะน้อยจนส่งผลกระทบถึงเกรดในตอนท้ายเทอม

“เอาล่ะ อาจารย์อยากให้แบ่งกลุ่ม6 คน เพื่อทำงานมาส่งในครั้งหน้า”

ก่อนที่จะหมดเวลาเรียนจู่ๆ หญิงสาวก็ประกาศขึ้น เสียงพูดคุยเริ่มกลับมาตามเดิม พวกผมมองหน้ากันก่อนจะพบว่าคงต้องหาสมาชิกเพิ่ม

“5 คนหรือ 6 คนก็ได้นะ ช่วยกรอกรายชื่อจากลิ้งก์ที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ในไลน์ภายในสิบนาที ใครไม่มีกลุ่มแจ้งอาจารย์ได้ จะได้จัดหาให้ทีหลัง”

เมื่อจบคำสั่งไอ้มาร์ทก็พูดต่อทันที

“ภีมมึงกรอกให้ที”

เพราะขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดคนโดนร้องขอเลยหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแล้วกรอกรายละเอียดต่างๆลงไป ไม่ต้องบอกอะไรมันมากเพื่อนผมก็สามารถจัดการทุกอย่างได้จนหมด แต่ก่อนที่จะได้กดส่ง จู่ๆก็มีคนแปลกหน้าที่เข้ามาจนทำให้พวกเราต้องหันไปมองกันทั้งกลุ่ม

“ขอโทษนะคะ” คนแปลกหน้ายิ้มให้ ท่าทางประหม่าเล็กน้อยยามที่พูด “พอดีเรากับเพื่อนยังไม่มีกลุ่ม เลยอยากถามว่าพอจะรับคนเพิ่มได้ไหม”

เจ้าตัวชี้ไปยังคนด้านข้าง หญิงสาวสองคนหน้าตาน่ารักทำเอาสายตาวิบวับปกปิดเอาไว้ไม่มิด

เฮ้อ
ไอ้พวกหน้าม่อ

“ได้สิ พวกเรามี5 คนเอง” ไอ้แทนตอบ ยิ้มหวานกลับไปจนผมต้องส่ายหน้าในใจเพียงคนเดียว

“งั้นตาลอยู่นี่ เดี๋ยวเราไปหากลุ่มใหม่แล้วกันนะ” หญิงสาวที่มาด้วยกันผละออกไปอีกทาง แต่โชคดีที่ได้เตรั้งไว้ได้ทันและเสนอทางออกใหม่

“เดี๋ยวเราไปถามอาจารย์ก่อนว่ากลุ่ม7 คนได้ไหม อาจารย์ไม่น่าจะว่านะ จะได้ไม่ต้องไปหาคนอื่น”
“นั่นสิ อยู่นี่แหละ ไม่เป็นไรหรอก”

เจ้าตัวทำสีหน้าลำบากใจแต่สุดท้ายก็ยอมรับข้อตกลง คนเสนอจึงเดินไปหน้าห้องเพื่อสอบถามก่อนจะได้รับข่าวดีว่าสามารถทำงานร่วมกันได้ เมื่อเป็นดังนั้นเราจึงมีสมาชิกใหม่อีกสองคนที่แสนจะถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนๆผมเอง

ครับ
ไม่แปลกใจเลยสักนิด

“งั้นตั้งกลุ่มไลน์ดีไหม จะได้คุยกันสะดวก” ไอ้ภีมเป็นคนเสนอ ตาลและนุ่นที่ตามไม่ทันแผนการพวกมันก็พยักหน้ารับเบาๆ เป็นการตอบรับ รอยยิ้มจากเสือซ่อนเล็บไม่ทันเผยให้เห็นจนผมต้องผลักหัวมันไปที

“น้ำลายเยิ้มแล้วมึงน่ะ” เสียงกระซิบผมเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“เฮ้ย โอกาสมาทั้งที ต้องรีบคว้าไว้หน่อยแล้ว”

ผมส่ายหัว คงมีเพียงแต่ไอ้แทนที่ยังนั่งนิ่งแต่ก็ต้อนรับแขกใหม่โดยไม่ให้เสียมารยาท เพราะมันมีแฟนแล้วเหมือนกัน อาการของผมกับมันเลยต่างจากอีกสามคนที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา

เมื่อเราจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจึงมานั่งยังโรงอาหาร ได้ยินแว่วๆจากไอ้มาร์ทว่ามันแอดไลน์ส่วนตัวนุ่นกับตาลเป็นที่เรียบร้อย เรื่องแบบนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก พวกมันรู้งานเหมือนช่ำชองมาเป็นอย่างดี ผมรีบรับประทานมื้อเที่ยงเพื่อเตรียมเรียนต่อในตอนบ่าย เมื่อทานเสร็จก็ได้รับข้อความจากใครบางคนที่ส่งเข้ามา

บ่งบอกว่าตอนเย็นวันนี้เขาอยากให้ผมรอที่ใต้คณะ และเราจะกลับด้วยกัน

เค้าเลิกสี่โมง : AMAN
เธอล่ะ? : AMAN
Pha : สี่โมงเหมือนกัน
กลัวเธอเลิกก่อนแล้วต้องมารอเค้าไง : AMAN
Pha : จำตารางเรียนมึงได้น่า

ประโยคสั้นๆของผาทำให้ผมเก็บรอยยิ้มของตัวเองไว้ไม่ได้ ถึงเจ้าตัวจะไม่ค่อยแสดงออกมากเท่าไหร่แต่การกระทำกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ผาพูดไม่เก่ง แต่ก็ชัดเจนกับความสัมพันธ์ของเราเสมอผ่านการกระทำ

งั้นเจอกันหน้าร้านถ่ายเอกสารนะ : AMAN
เค้าลงบันไดฝั่งนั้น : AMAN
Pha : เค

เขาตอบสั้นๆ และผมก็อดไม่ได้ที่จะส่งกลับไปอีก

คิดถึงเธอครับ : AMAN

ก็แค่อยากบอก ผาไม่ต้องตอบรับมันก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เล่นงานผมจนหนีไปไหนไม่รอดอยู่ดี

Pha : คิดถึงมากกว่าครับ

จากประโยคสุดท้ายที่ถูกส่งมา บ่งบอกว่าเจ้าตัวก็คิดถึงผมไม่ต่างหลังจากที่เราไม่ได้เจอกันนานเป็นเวลาเกือบอาทิตย์

คราวนี้รอยยิ้มผมกว้างกว่าเดิม เก็บโทรศัพท์ไว้ยังกระเป๋าหลังก่อนยกบุหรี่ขึ้นสูบเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน พร้อมกับความคิดหลายอย่างที่ปะปนกันอยู่ในหัว

ส่วนมากก็เป็นความคิดเกี่ยวกับเขา
และเป็นความคิดเกี่ยวกับเรื่องของเรา

ที่ทำให้ผมมีความสุขเสียจนรู้สึกว่าตัวเองโคตรโชคดี

ความรักมันก็เป็นแบบนี้
แบบที่ทำให้เราลุ่มหลงเสียจนโงหัวไม่ขึ้น









/









ผมมองเห็นแต่ไกลว่ามีใครที่นั่งรออยู่บนม้านั่ง เรียกชื่อเขาครั้งเดียวเจ้าตัวก็หันมาพร้อมกับลุกขึ้น

“หิว ไปกินข้าวกัน” ผาเอ่ยชวน เมื่อผมพยักหน้ารับจึงเดินนำไปยังลานจอดรถ
“ทำไมวันนี้หิวไว?”
“ตอนเที่ยงกินแค่แซนด์วิชเอง”
“ไม่เห็นบอก”
“รีบไง จารย์ปล่อยช้าไม่มีเวลาไปกิน”

ผมยีหัวเขาเบาๆ ผาไม่ได้ปัดออกเหมือนเคย

“กินเยอะๆดิ ผอมลงตั้งเยอะเธอน่ะ”
“หรอ?” เขาถาม ก้มลงมองหุ่นตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ผอมจะตายเนี่ย”
“เปล่านี่” อีกฝ่ายเถียง คิ้วยังขมวดเมื่อผมยังยืนยันคำเดิม
“กอดอยู่ทุกวันยังจะมาเถียง”

คราวนี้เขาเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่ยอมหันกลับคงเพราะกลัวว่าผมจะเห็นแก้มแดงๆนั่นเข้า

แม่ง
น่ารักอีกแล้ว

ผมหันซ้ายหันขวา เมื่อพบว่าไม่มีใครมากนักระหว่างทางเดินจึงเข้าไปชิดอีกคน ใช้จังหวะที่มือเรากระทบกันแผ่วเบารวบมือเขาเข้าหา สานมือของตัวเองแน่นจนความอุ่นส่งผ่าน ชำเลืองมองปฏิกิริยาของผาว่าจะทำอย่างไรกับการจับมือกันในที่สาธารณะเพราะเราไม่เคยทำมันมาก่อน

แต่ผาก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกเช่นเคย นั่นทำให้ผมยืดตัวขึ้นอย่างลำพองใจ มากกว่านั้นเจ้าตัวยังกระชับมือผมให้แน่นขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับก้มหน้าลงแล้วเดินไปตามทางเงียบๆ

ก็ตามนิสัยเขาล่ะนะ

แต่ทำไมมันช่างน่ารักเป็นบ้าเลยวะ

ผมหลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว









/









เราเลือกย่านร้านค้าที่นึงเพื่อรับประทาน พอมาถึงเขาก็เลือกซื้อน้ำปั่นก่อน สงสัยเพราะกระหายน้ำระหว่างทาง ส่วนผมก็ทำได้แค่ยืนรออยู่ข้างๆ และตัดสินใจว่าจะทานอะไร

“ม่าน”

เสียงเรียกชื่อผมดังเบาๆ แต่ก็พอให้ได้ยินจนต้องหันไปมอง พบว่าหญิงสาวที่เราเพิ่งรู้จักกันในคาบวิชาเมื่อตอนเช้านั่นเองที่เป็นคนทัก

“มากินข้าวแถวนี้หรอ?” ตาลเอ่ยถาม ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ใช่ๆ ตาลล่ะ?”
“มากินข้าวเหมือนกัน...กับพวกเพื่อนๆน่ะ” เจ้าตัวเว้นช่วงไปพักนึง ก่อนที่จะชี้นิ้วไปด้านหลังจนพบกับคนอื่นๆ ผมส่งยิ้มเป็นการทักทายเหมือนกัน

“ใครอ่ะ? รู้จักกันหรอ?” เหมือนผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างสงสัยในความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง สายตาเจ้าเล่ห์บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“นี่ม่านเพื่อนเรา เรียนเสรีด้วยกันเมื่อเช้า”
“อ่ออ” เสียงลากยาวพร้อมกับทำตาโต หญิงสาวหันมาทางผม ก่อนจะพูดต่ออย่างอารมณ์ดี “ไม่รู้ว่ามีเพื่อนหล่อขนาดนี้ ไม่งั้นลงเรียนไปด้วยแล้ว”

เพราะผมไม่รู้จะตอบยังไงเลยหัวเราะตามไป การหยอกล้อยังดำเนินต่อไปโดยที่ผมเอาแต่รับฟัง

“ม่านไปทานข้าวด้วยกันสิ ไปไหม นุ่นก็มานะ”

ยังไม่ทันที่อีกคนจะได้พูดจบ ผาก็เดินเข้ามาชิดพร้อมกับทำหน้าสงสัยให้กับเหตุการณ์ที่เกิด และดูเหมือนสองสาวจะแปลกใจที่เห็นว่าผมมีคนมาด้วยเช่นกัน

“อะไรหรอ?” เขาถาม ยกแก้วน้ำปั่นขึ้นดูดพลางมองคนที่อยู่ตรงหน้า
“เพื่อนเค้าชวนไปกินข้าวน่ะ”

สองสาวยิ้มรับ ผมแทบจะหาคำพูดไม่ได้เมื่อผาจ้องหน้าเพื่อนของตาลอย่างรู้ทันว่าคิดอะไรแม้จะทำได้เพียงสบตา

“ไปด้วยกันไหมคะ ตาลเขาอยากชวนม่านไปด้วย” อีกคนออกโรงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเจ้าของชื่อก็ใช้ศอกสะกิดเพื่อนแล้วซุบซิบบางอย่างที่เราไม่ได้ยิน

ผาเหลือบมอง ใบหน้านิ่งๆนั่นทำให้ผมขนลุกโดยไม่มีสาเหตุ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ทำเอาเราทั้งสามคนรู้ว่ามันไม่ปกติเข้าแล้วจริงๆ

น่ากลัวฉิบ

“มึงอยากไปไหมล่ะ?” เขาถาม ความอึดอัดที่ส่งผ่านทำเอาผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ด้วยเพราะไม่รู้จะตอบแบบไหนถึงจะต้องรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย ดังนั้นผมเลยต้องคิดเกี่ยวกับผลที่จะตามมาให้รอบคอบ

คนนึงก็แฟน
ส่วนอีกคนก็ต้องทำงานร่วมกันอีกนาน

มันไม่ใช่เรื่องง่ายในการหาเหตุผลมารองรับแม้ผมจะมีคำตอบอยู่แล้วก็ตามที

“ขอโทษทีนะตาล พอดีวันนี้เรากะจะรีบไปเคลียร์งาน เกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก” นานกว่าความเงียบจะจบลง สุดท้ายผมก็เลือกคำตอบแรกที่อยู่ในใจ
“ไม่เป็นไร เอาไว้ครั้งหน้าก็ได้”
ผมยิ้มรับ ก่อนจะพูดต่อ “ได้สิ จะได้ชวนพวกไอ้ภีม ไอ้ตินมาด้วย”
“ดีเลย”

หญิงสาวยิ้มกว้าง คราวนี้มองผมกับผาสลับกันไปมา คงเพราะระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่มันเริ่มลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ

จากการขยับของผา และนั่นทำให้ผมรู้ว่าเขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยไปเสียทีเดียว

“หิวแล้ว ไปกันได้ยัง” เขาพูดเบาๆ จากนั้นผมเลยรีบบอกวาเพราะกลัวว่าคนข้างกายจะหงุดหงิดเข้าเสียก่อน

“เราไปก่อนนะ”
อีกสองคนพยักหน้า ส่วนผาก็หันหลังกลับโดยไม่ได้บอกลาอะไร ผมแทบจะถอนหายใจออกมา แต่เพราะสัมผัสแผ่วเบาที่เอวฝั่งขวาทำให้ลืมทุกอย่างไปจนหมด

ผาเอื้อมมือมากอด โอบไว้คลายๆแสดงความเป็นเจ้าของเพียงเสี้ยววินาที คงอยากให้ใครบางคนรับรู้ชัดเจนว่าเราเป็นอะไรกันและไม่ใช่ความสัมพันธ์เพียงชั่วคราว

ผมอมยิ้ม ก่อนจะดึงมือเขาให้กลับมาอยู่ที่เดิมแล้วจับเอาไว้

เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของไม่ต่าง

แม้จำนวนผู้คนจะมาก แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เขินอายอะไรอีก









/









“ทำอะไรอยู่หรอ?” เจ้าของห้องหยุดยืนด้านข้าง ชำเลืองมองเล็กน้อยก่อนจะวางของต่างๆไว้บนโต๊ะ

“พรีเซนต์”
“พรีวันไหน?”
“วันศุกร์ครับ”

ผมตอบก่อนจะใช้นิ้วลงน้ำหนักบนแป้นพิมพ์ มองเขาที่อยู่ในชุดพร้อมนอน

“อีกนานเลยอ่ะดิ?” ผาถามแล้วใช้มือยีศีรษะผมเบาๆ คล้ายกับว่าเจ้าตัวเห็นอกเห็นใจคนที่นั่งทำงานมานานแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
“อืม เธอนอนก่อนเลย”
“เอางั้นหรอ?”

เจ้าตัวถามย้ำ ถ้าเป็นปกติคงจะตอบรับสั้นๆแล้วเดินจากไป แต่ดูเหมือนการที่เราค้างด้วยกันบ่อยๆจะทำให้เขาเริ่มชินกับการที่มีผมนอนข้างๆ ผาไม่เคยบอกอีกเช่นกัน แต่การกระทำเขามันเด่นชัดเสียจนผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้

“ช่วยไม่ได้ ก็งานเค้าเหลืออีกเยอะ”
“งั้นก็อย่าดึกมากล่ะ พรุ่งนี้มึงมีเรียน”
“ครับ ถ้าเธอจะนอนก็หรี่ไฟเลยนะ เดี๋ยวเค้าเปิดโคมไฟเอาก็ได้”

แม้จะอยากนอนพร้อมกันแต่ผมก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองที่รับมา ผาพยักหน้าสองสามครั้งแล้วเดินจากไป จากนั้นในห้องก็เหลือเพียงแสงสลัวจนผมต้องเปิดโคมไฟให้ความสว่างเสียแทน คิดว่าอีกฝ่ายคงจะนอนไปแล้วแต่ก็ผิดคาดเมื่อเห็นว่ามีเครื่องดื่มร้อนพร้อมกับขนมปังที่ถูกวางไว้ให้

“เผื่อหิว” เขาพูดแค่นั้น สำรวจสภาพของผมที่นั่งตรงนี้นานเกือบห้าชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อเจ้าตัวยังไม่ละไปไหนสุดท้ายจึงโดนรั้งข้อมือเอาไว้พร้อมกับแรงดึงให้นั่งลงบนตัก

“ไม่เอา” ผางอแง แต่มีหรือที่คนแบบผมจะหยุด
“แปบเดียว”

ไม่รู้ว่าเขาแพ้ลูกอ้อนหรืออยากจะตามใจเพราะหลังจากนั้นผาเองก็ไม่ขัดขืน เขานั่งลงด้านหน้า ระหว่างขาของผมอีกที โชคดีที่เก้าอี้ตัวใหญ่เจ้าตัวเลยสามารถนั่งได้อย่างสบายและไม่เบียด มือข้างหนึ่งของผมเลื่อนขึ้นมาโอบเอว ส่วนอีกข้างยังจับไว้ยังเมาส์เพื่อทำงานต่อ

“ตัวเธออุ่นจัง” เสียงกระซิบชิดใบหู คงเพราะผมเอาคางเกยไว้ที่ไหล่เขาอีกที บางครั้งก็แอบจรดปลายจมูกลงบนผิวที่มีเนื้อผ้าคั่น สูดดมกลิ่นหอมของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ

ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพอเลื่อนสถานะแล้วยอมเก่ง

“อืออ มันจั๊กจี้” ไม่รู้เพราะเล่นมากไปหรือเปล่าเขาเลยต้องจับแขนที่ลูบหน้าท้องบางเอาไว้เพื่อหยุด เพราะตอนนี้มันเริ่มจะสอดเข้าไปด้านในเสื้อและสัมผัสร่างกายของเขาอย่างจาบจ้วง ผาดิ้นเล็กน้อยแต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยอยู่ดี

ก็ใช่สิ กำไรแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ

“พอก่อนม่าน”

คราวนี้เขาทำเสียงจริงจังจนผมหัวเราะออกมา สุดท้ายก็ทำได้แค่เกบคางไว้ที่ไหล่เหมือนเดิม เอื้อมมือไปบิดแก้มเจ้าตัวเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม

“เธอหึงเขาหรอ?”
“...”

ผายังไม่ตอบ แต่ผมคิดว่าเขาเข้าใจว่าผมกำลังสื่อถึงเรื่องไหน

“ก็บอกแล้วไง”
“...”
“ว่ามีให้หึงอยู่คนเดียว”

คราวนี้ผมกดจูบลงกับแผ่นหลัง เวลาอยู่กับผาทีไรหุบยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง กลัวว่าเขาจะมองผมเป็นคนบ้าเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

“แล้วใคร?”
“ครับ?”
“คนนั้นน่ะใคร”

ผมเคยคิดว่าอาการหึงหวงน่ะมันน่ารำคาญไม่น้อย แต่ทำไมพอมันเกิดกับผามันถึงดูน่ารักและผมก็ชอบที่เขาหึงผมเอาซะมากๆแบบนี้

“เพื่อนที่รู้จักกันตอนเรียนเสรี ห้องเค้าเรียนกับบัญชีแล้วพอดีอาจารย์ให้ทำงานกลุ่มเลยได้รู้จักกัน”
“...”
“...”
“อืม”

เจ้าตัวตอบรับสั้นๆ คงเพราะเห็นผมนิ่งไปนานละมั้งเลยถามต่อ

“ไม่ทำแล้วหรองานน่ะ?”
“ทำสิ”
“อือออ ม่าน”
“...ทำอยู่”

ผมไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศเป็นใจหรือผมแค่อยากสัมผัสเขามากกว่านี้ มือไม่รักดีมันเลยเลื่อนลงต่ำจนทาบทับเข้ากับส่วนอ่อนไหว ผมอาศัยช่วงที่ผาอ่อนแรงมอบจูบเชื่องช้าส่งให้ เขาใช้ลิ้นตอบรับในไม่ช้าก่อนที่จะมันจะถูกเร่งจังหวะจากคนที่นั่งด้านหลัง

มือเล็กเลื่อนมาประคองใบหน้าผมทางด้านหลัง เพื่อให้จูบเราสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่เสียจังหวะ มือเขาอีกข้างวางไว้ยังขาแกร่ง บีบมันเข้าหากันเพื่อผ่อนปรนอารมณ์ ตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากให้จูบนั้นยาวนานมากนัก แต่พอได้ลองลิ้มรสแล้วผมก็ไม่อยากละจากแม้แต่เสี้ยววิ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลุกขึ้นพร้อมกับออกแรงให้ผาลุกตาม เสื้อผ้าของเราทั้งคู่เริ่มยับยู่ยี่ดูไม่ได้จากการที่คลอเคลียกันอย่างหนักจนแทบไม่มีอากาศลอดผ่านระหว่างเราทั้งคู่

ผมใช้มือข้างขวาปลดกระดุมชุดนอนตัวเก่งของอีกฝ่าย ส่วนมือข้างซ้ายก็งุ่นง่านอยู่หลังศีรษะ ขยุ้มเส้นผมสีดำขลับตอบรับจังหวะการจูบที่ยังไม่ละไปไหน ผมรีบเร่ง เขาตอบรับ ผมลงสัมผัสหนัก เขาก็ยังโอบกอดเอาไว้ไม่ห่างบ่งบอกว่าต้องการมันมากเหมือนกัน

ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่

กระเป๋าตังใบเล็กถูกหยิบขึ้นจังหวะหนึ่งก่อนมันจะถูกโยนลงไปบนเตียงอย่างไม่ไยดี คล้ายกับรู้ว่าทุกอย่างจะจบลงตรงไหน เพราะไม่นานร่างของผาก็ตามลงไปพร้อมกับผมที่ขยับชิดจนคร่อมอีกฝ่ายไว้ด้านบน

เม็ดสีหน้าอกขาวโผล่พ้นสาบเสื้อเมื่อกระดุมทุกเม็ดหลุดลุ่ย ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก บางส่วนด้านล่างแข็งขืนจนผาก็รับรู้มันได้ ไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัวมากเท่าไหร่ ผมก็ก้มลงไปพร้อมกับใช้ลิ้นร้อนปรนเปรอจนเสียงครางหวานดังลั่นทั่วห้อง

“อ๊าาา” ผาเชิดหน้า สองมือขยุ้มศีรษะผมเอาไว้ คงเพราะจุดอ่อนไหวอีกข้างก็โดนผมเล่นงานเช่นกัน ไม่เช่นนั้นตัวเขาก็คงไม่บิดเร่าจนแทบรันจวนใจแบบนี้

“อืออ อื้ออ ม่านน”
“ครับ”

เสียงกระซิบตอบรับ กดร่างกายส่วนล่างให้บดเบียดกันอีกครั้ง ขยับไปมาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ขาดห้วงของเราสอง

ผมมีความต้องการ
และผมอยากจะทำมันตอนนี้ร่วมกันกับเขา

ผมใช้ขาของตัวเองแหวกขาเขาออก แทรกตัวให้พอดีกับร่างบางที่นอนอยู่ กดจูบลงไปอีกครั้งแล้วจัดการถอดชิ้นส่วนเบื้องล่างของเราทั้งคู่จนเปลือยเปล่า

“อืมมม” อดส่งเสียงร้องออกไปไม่ได้เมื่อผิวเนื้อเรากระทบกันจนวาบหวิว ผมผละตัวออก ถอดเสื้อยืดให้พ้นทางศีรษะ เห็นผาเหลือบมองร่างกายของตัวเองแล้วหยุดที่บางอย่างด้านล่าง เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยรวบแท่งร้อนทั้งสองเข้าหากันแล้วขยับขึ้นลงเป็นจังหวะที่พอใจ

“อ่าส์”
“อืออ อ๊ะ”

เรานอนตะแคงหน้าเข้าหากัน ผมบังคับให้ผาซบเข้ายังอกแกร่ง คงเพราะเห็นว่าแก้มทั้งสองข้างกำลังขึ้นสี เกรงว่าจะมีคนเขินอายแต่สุดท้ายผาก็เงยหน้าขึ้นสบตา ซรุกไซร้บริเวณลำคอคล้ายกับอยากปรนเปรอผมบ้าง มันจะไม่แย่เท่าไหร่ถ้าเขาไม่ใช้ลิ้นแลบเลียจุดอ่อนไหวข้างใบหูจนผมกระตุกเกร็ง มันน่าอายนิดหน่อยตรงที่เขาทำให้ผมเสร็จได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที

“...เธอ” เสียงผมกระเส่า ผายังกอดผมเอาไว้แน่น
“...เสร็จแล้วหรอ?”

ผมไม่ตอบ แต่กลับเลื่อนมือไปขยับให้ส่วนของเขาต่อ

“...เพราะเธอน่ะแหละ”
“กู —อื้ออ—ผิดงั้นหรอ?”
“ผิด”

มือผมยังขยับต่อไปเรื่อยๆ

“ยั่วเค้าแบบนั้นทำไมวะ”

ไม่นานผาก็กอดผมแน่นอีกครั้ง คงเพราะทนแรงต้านทานไม่ไหวเจ้าตัวเลยปลดปล่อยออกมา ผมควานหากระเป๋าตัง หยิบถุงยางที่ซ่อนเอาไว้แล้วใส่มันอย่างรวดเร็ว ผาเบือนหน้าไปอีกทาง อาการแบบนั้นผมรู้ได้ว่ากำลังเขิน

“มองเค้า” มือใหญ่หันกลับไปเชยคางเขากลับมา มอบจูบให้อีกครั้งเพื่อปลอบประโลมกลัวอีกฝ่าย ผมรีบเอื้อมไปหยิบเจลตรงหัวเตียงแล้วบีบมันใส่ในมือ ค่อยๆสอดใส่ไปยังช่องทางอุ่นร้อนเพื่อเตรียมพร้อมให้กับบทรักที่จะเกิด

ผาครางในลำคอ รู้ได้ว่าคงเจ็บให้กับการขยับของผมไม่น้อย เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยเบาจังหวะ แล้วค่อยๆจูบไปตามร่างกายสมส่วนโดยไม่ลืมที่จะทิ้งรอยเอาไว้เป็นที่ระลึก ไล่ไปตั้งแต่หน้าท้องขาว ข้างเอวคอด ไล่ไปจนถึงไหปลาร้าที่โชว์เด่นชัด

ช่องทางด้านหลังเขาตอดรัดนิ้วผมจนแทบบ้า ผมบังคับให้เขาหันกลับมามองตัวเองบ้างบางจังหวะ แต่ก็พบว่าเมื่อไหร่ที่หันกลับมา สีหน้ายั่วเย้านั้นก็ปลุกอารมณ์ตัวเองได้เป็นอย่างดี

เมื่อถึงจังหวะหนึ่งผมจึงเริ่มขยับตัวเข้าชิดเขาอีกครั้ง ผาใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบลำคอ คงเพราะรู้จากการที่ส่วนแข็งขืนจ่อยังส่วนอ่อนไหว เขาบีบแขนผมแน่นในตอนที่ค่อยๆสอดใส่ ผมรอจนกว่าปฏิกิริยาอีกฝ่ายจะไม่น่าเป็นห่วง จากนั้นขึงขยับเบาๆกลัวว่าเขาจะเจ็บขึ้นมาอีก

“ช—...ช้าๆ” เขาร้องขอ เชิดหน้าขึ้นแล้วกัดฟันแน่น
“...ครับ” ผมดึงมือเขาขึ้นมากดจูบ กอดจะพาดมันผ่านลำคอดังเดิม ความนุ่มที่โอบรัดพร้อมกับอุณหภูมิอุ่นร้อนทำให้ผมกัดฟันกรอด รู้สึกดีจนเผลอลืมตัวกระแทกเขาไปหนึ่งรอบจนผาส่งเสียง

“อ๊ะ”
“อืมมม”
“ช้าๆ — ก่อน”

ผมใช้มือลูบศีรษะเขาเพื่อเป็นการขอโทษ พอได้ที่ก็เริ่มเร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้ผาไม่รั้ง แต่กลับตอบรับการขยับของผมด้วยเสียงหวานตามมา ผมยกขาเขาขึ้นหนึ่งข้าง ปรนเปรอทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้เจ้าตัวมีความสุขไปด้วยกันกับเรื่องบนเตียง

“ทำไมของเธออุ่นจัง”

สาบานว่าไม่ใช่ความผิดผมที่ทำให้เขาตอบไม่ได้ ผาหายใจหนัก มือข้างหนึ่งดันหน้าท้องผมไว้คงเพราะอยากให้ช้าลงอีกหน่อย แต่มันคงยากเกินกว่าความสามารถผมแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้เขาทำให้ผมแทบบ้ากับจังหวะที่รันจวนใจ

“ซี๊ดด” ผมเงยหน้าขึ้น จับเขาเปลี่ยนท่าโดยให้นอนคว่ำ ใช้แขนทั้งสองข้างกับเข่ายันไว้บนฟูกนุ่ม

“เธ—เธออ”
“อืออ ครับ”
“อ๊ะะ อ้ะ อ๊าาา”

ตัวผาสั่นเทา เขาแทบจะทำให้ผมไปถึงจุดนั้นอีกครั้งถ้าไม่หยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อน พอได้ทำกับผาแล้วผมแทบจะไปก่อนตลอด อาจเพราะเขาเป็นคนที่ผมชอบมากๆ ทุกอย่างเลยดูอ่อนไหวไปเสียหมด

ผมโน้มตัวลงไปหาอีกคนอย่างจงใจ นั่นทำให้ส่วนอ่อนไหวเข้าไปลึกกว่าเดิม

“ชอบไหม?” ผมกระซิบชิดใกล้ ผากำมือแน่นไว้กับผ้าห่มเพื่อผ่อนปรน

“...” เสียงลมหายใจเขาขาดห้วง ก่อนที่ผมจะแกล้งโดยการที่ขยับช้าๆแต่รู้ว่าท่านั้นมันไม่ปลอดภัยเอาซะมากๆ

ไม่ใช่แค่กับผา
แต่กับตัวเองด้วยเช่นกัน

“ชอบเค้าไหมครับ?”

คราวนี้ผมใช้มือดันเจ้าตัวให้ลุกขึ้น โอบร่างกายส่วนบนให้ทาบทับเข้าหากัน โดยที่เข่าทั้งสองข้างยังรับน้ำหนักบนเตียง

“อ๊ะ อ๊าาา ม่านน อ้ะ พอ”
“อืมม ของเธอแม่งอุ่นสัส”

ฟันคมกัดเข้าที่ไหล่คนด้านหน้า ออกแรงไม่มากแต่ก็ทิ้งรอยไว้พอสมควร ผาครางกระเส่า ไม่ต่างจากผมที่เริ่มระรัวเอวเข้าหาอย่างไม่หยุด

“ม—ม่าน อื้ออ”

อีกคนเรียก มือเล็กโน้มลำคอผมเข้าหาเพื่อจูบ ก่อนที่ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดจะส่งให้ผมถึงปลายทางอย่างรวดเร็ว

“เค้ารัก—เธอนะ”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำว่ารักจากเขา ยาวนานเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ แต่อย่างน้อยมันก็ถูกส่งให้และเขาช่างรู้เวลาว่าตอนไหนที่จะทำให้มันพิเศษ

“เค้าก็รักเธอครับ”

มันไม่ใช่ครั้งแรกของผา และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกของผมอีกเช่นกัน
แต่ครั้งแรกของเรามันกลับมีความสุขเสียจนผมแทบไม่ปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดอีกเลย

“อ๊ะ อ๊าา”




#ผาเพียงฟ้า

เหมือนส่งลูกเข้าเรือนหออีกแล้ว
ทำไมกันนะ
;-;



21/01/20
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 21-01-2020 05:04:20
เค้าหึงกันได้น่ารักมาก​ มีแต่ความนุ่มนวลเต็มไปหมด
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: Krajeeqx ที่ 21-01-2020 11:06:37
แอแง ในที่สุด สมใจเจ้าเด็กม่านแล้ว
คนอ่านก็เขินม้วนต้วนมากค่า  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-01-2020 22:36:20
น่ารักจังเลย ผาเวอชั่นอ่อนโยนนี่แบบใจละลาย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-01-2020 00:19:11
พอคบกันแล้วพี่ผาโคตรน่ารักกก เขินพี่ผาแน้วว  :-[
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-01-2020 03:01:59
ในที่สุดดดด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nefrit ที่ 26-01-2020 12:54:11
ละมุนมากกกกก
ดีใจที่ความพยายามของม่านสำเร็จ
และผาก็น่ารักมาาาากกกกกก :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-01-2020 14:43:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 6 | "I LOVE YOU" - P.6 (21/01/20)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 02-02-2020 18:58:36


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


27

you feel like home and everywhere i've never been



_________


bgm :: goodbye sun - อิสญา


_________






     ในตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำม่านก็ตื่นเป็นที่เรียบร้อย เขางัวเงียนิดหน่อย ลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่แผงอกเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มบนเตียงที่ปกปิดร่างกายส่วนล่างเอาไว้ให้พ้นสายตา

     “เธอตื่นไวจัง” เจ้าตัวใช้มือยีผมตัวเองไปมาสองสามรอบ หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลขึ้นเพื่อดูเวลา

     “มีเรียน” ผมตอบสั้นๆ รีบก้าวเท้าไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดนักศึกษาออกมาสวมใส่ แต่ไม่ทันที่จะได้ทำดั่งใจก็มีคนที่เข้ามาใกล้พร้อมกับหมุนร่างกายของตัวเองให้หันไปด้านหลัง

     พร้อมกับบังคับผมให้ตอบรับจูบที่ประทับลงมา

     จากนั้นม่านก็ผละออกในทันที

     เขาใช้มือโอบรอบเอวผมเอาไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ไม่วายไล่ไปตามผิวเนื้อบริเวณหน้าอก เพราะผมยังไม่ได้ติดกระดุมเขาถึงได้เคลื่อนที่นิ้วเรียวไปเรื่อยๆ คล้ายกับสำรวจว่ามีบริเวณไหนที่เจ้าตัวยังไม่ได้ตีตรา

     “...”

     มือใหญ่หยุดตรงรอยหนึ่งบริเวณหัวไหล่ นิ้วโป้งกดมันลงไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้ใช้แรงที่ทำให้รู้สึกเจ็บ เหมือนเจ้าตัวกำลังภาคภูมิใจกับผลงานชิ้นเอกที่ตัวเองได้สร้างมันขึ้น

     ชอบนัก
     การแสดงความเป็นเจ้าของผมเนี่ย

     “อืออ”

     ผมเบี่ยงตัวหลบเมื่อเขาก้มลงหวังจะจูบทับรอยนั้นอีกรอบ แต่ดูเหมือนจะสู้ความเอาแต่ใจนั้นไม่ไหวเพราะอีกฝ่ายรั้งแขนผมไว้เสียแน่น สุดท้ายริมฝีปากหยักก็ประทับตามลงมา มันอุ่นร้อนเสียจนลามขึ้นไปถึงใบหน้า ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงครางออกไป

     “เดี๋ยวกูไปเรียนไม่ทัน”

     ใบหน้าคมคายถูกมือผมผลักออกอย่างทันท่วงที ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ จากนั้นเขาก็เลื่อนมือข้างนั้นมากอบกุมมือผมเอาไว้ ก้มลงมาจนเกือบชิดแล้วพูดเสียงแผ่ว

     “อีกรอบก็ทันนะ ถุงยางยังเหลืออี— เดี๋ยว ฮ่าๆ”

     เพราะโดนผมสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดเขาเลยรีบคว้าเอาไว้

     “ปล่อยได้แล้ว”
     “จุ๊บก่อน”

     เจ้าตัวเอียงหน้ามาขอรางวัล และผมก็ไม่อยากจะเล่นเกมนี้นานให้เสียเวลา

     จุ๊บ!

     “อีกข้างด้วย”
     เขาหันไปอีกทาง

     จุ๊บ!

     “ตรงนี้ด้วย”
     เขาหมายถึงริมฝีปาก

     “เฮ้ออ” ผมถอนหายใจ ทั้งๆที่ยอมทำตามแต่ม่านก็อ้อนไม่ยอมหยุด
     “เธออย่าทำหน้าแบบนั้นดิ” อีกคนพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษกับการได้แกล้ง
     “รอบนี้มึงต้องปล่อย”
     “...” เขาเงียบ
     “ไม่ปล่อยจะไม่ให้ค้างด้วยอีก”

     ไม่รู้ว่าเพราะกลัวคำขู่ไหมเขาจึงตอบรับเบาๆ แม้สีหน้าจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก

     จุ๊บ!

     ริมฝีปากเราสัมผัสกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะเคลื่อนออก เขายอมปล่อยผมแต่โดยดี ใช้มือยีศีรษะเบาๆ แล้วเดินไปทางห้องน้ำ แต่คราวนี้ผมกลับรั้งเขาเอาไว้แทนพร้อมกับจรดริมฝีปากไปยังต้นแขนเจ้าตัว, เชื่องช้าจนใครบางคนชะงัก

     เพราะคิดว่าถ้ามีคนมาทำแบบนี้กับผมมันคงจะน่ารักเอาซะมากๆ
นั่นเลยทำให้ผมตัดสินใจทำกับเขาเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะชอบมันเหมือนกัน

     รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายกลับมาอีกครั้ง เขาเดินจากไปพร้อมกับข้อความสั้นๆ แต่ไม่ใช่ข้อความนั้นหรอกที่ทำให้ผมรีบหันกลับ

     ภาพด้านหลังของใครบางคนต่างหาก

     “เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปเรียนจริงหรอก”

     ไอ้เด็กหน้าหมา!
     วันหลังก็ไม่ต้องเดินล่อนจ้อนในห้องเขาก็ได้ป่ะวะ

     ผ้าเช็ดตัวก็มี!










/











     ภาพสองข้างทางที่พ้นผ่านเรียกความสนใจผมให้ละสายตาจากคนขับไปมอง อันที่จริงผมจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่นักว่าเคยผ่านทางนี้มาก่อน มีเพียงบางครั้งที่นึกออก นั่นทำให้ผมพยายามเก็บรายละเอียดให้มากขึ้นในการเดินทางครั้งนี้

     รถยนต์ตัดผ่านใจกลางเมืองด้วยทางยกระดับ ต่อจากนั้นไม่นานก็เป็นเส้นเลี่ยงเมืองที่ผมพอจะจำได้คร่าวๆ

     เราแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่งข้างทาง ได้ยินม่านคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยเสียงเริงร่า เขายังมีรอยยิ้มอยู่ตลอดในยามที่หันกลับมาหาพร้อมกับดึงแก้มผมด้วยนิ้วเรียวยาวอย่างเพลิดเพลิน

     ของชอบของมันแหละ
     ร่างกายผมเนี่ย

     หลังจากหยุดพักอยู่ชั่วครู่เราก็ออกเดินทางต่อ เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกเกร็งมากเท่าครั้งแรกที่เคยมาแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจเท่าไหร่นัก คงเพราะกังวลกับอีกสองสมาชิกที่ต้องทำความรู้จัก ทั้งเลยทำให้ผมเก็บอาการประหม่าเอาไว้ไม่ได้

     “คิดเยอะอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?” คนด้านข้างถามพร้อมกับแย่งสัมภาระไปถือ เพราะผมมัวแต่เหม่อเลยทำให้ในมือตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า

     “ไม่เอาน่า บอกแล้วไงว่าพ่อกับแม่เค้าดีใจจริงๆนะที่เธอมา” เขาทำให้ผมมั่นใจได้ทุกครั้งแม้เราจะเพียงสบตา ม่านยิ้มจาง เอื้อมมือมาหวังจะจับเพื่อเพิ่มความมั่นใจแต่สุดท้ายผมก็พยักหน้าพร้อมกับแตะแผ่นหลังเขาเบาๆเป็นการปฏิเสธ

     เพราะไม่อยากให้มันดูเกินเลยในสายตาผู้ใหญ่

     “อืม ไปกัน”

     หญิงสาววัยกลางคนเป็นฝ่ายเปิดประตูให้พร้อมกับมอบกอดแสนอุ่น ผมไม่ลืมที่จะไหว้ทักทายเป็นอันดับแรก จากนั้นเราก็เดินเข้ามาด้านในและพบกับบิดาของอีกฝ่ายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องรับแขก

     “มาแล้วหรอ?”
     “ครับพ่อ”
     “สวัสดีครับ”
     “อ่า สวัสดีลูก”

     เจ้าตัวขยับแว่นนิดหน่อยพร้อมกับจ้องมอง ม่านขยับเข้ามาชิด ก่อนจะเป็นฝ่ายถามคำถามเมื่อผมไม่รู้ต้องทำตัวยังไง

     “ห้องเล็กทำเสร็จรึยังอ่ะพ่อ ผมจะได้เอาของไปเก็บ?”
     “ยังเลย ให้พี่เขาไปนอนห้องเจ้าหมอกก่อนสิ แล้วเดี๋ยวให้หมอกไปนอนกับเราแทน”
     “ครับ”
     “ตามสบายเลยนะลูก”
     “ครับ”

     ผมตอบรับพร้อมกับโค้งหัวให้ เห็นอีกฝ่ายก็ยิ้มจางส่งมา จากนั้นม่านจึงนำทางไปยังชั้นบนเพื่อวางของทั้งหมดที่เราติดตัวมาด้วย

     เพราะผมต้องค้าง นั่นเลยทำให้ความประหม่ามันเพิ่มมากกว่าเดิมถึงร้อยเท่า

     ห้องที่เป็นที่หมายอยู่ตรงข้ามกับห้องของม่าน เพราะพี่ชายไม่ได้คิดจะเคาะประตูเลยทำให้ภาพที่เห็นหลังจากเปิดเข้าไปคือภาพของน้องชายใส่ชุดนอนกำลังแปรงฟัน

     “เอ้ย!” อีกคนอุทาน ส่วนม่านก็ขมวดคิ้วพร้อมกับเดินเข้าไปอย่างไม่ขออนุญาต

     “สายป่านนี้แล้วยังไม่อาบน้ำอีก” เขาผลักหัวอีกฝ่ายจนเซ ส่วนคนตัวเล็กกว่าก็ผลักผู้บุกรุกออกเบาๆ

     “อ็เอื่ออืนออนอึกก!” เสียงอู้อี้รัวออกมาไม่หยุด พี่น้องทั้งสองทะเลาะกันไปมา ส่วนมากจะเป็นการแกล้งจากพี่ชายมากกว่า

     นิสัยมันแหละ

     “รีบไปแต่งตัวได้แล้ว ผาจะได้อยู่ห้องแก”

     เมื่อม่านเอ่ยชื่อแขกที่มาใหม่ทำให้เจ้าตัวต้องหันมามอง คนอายุน้อยกว่าก้มหัวลงแล้วรีบยิ้มจนตาหยี หันไปตีพี่ชายหนึ่งทีแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำ

     “เธอนอนห้องนี้แล้วกันนะ” ม่านหันกลับมาหา ผมพยักหน้าตอบรับ
     “อืม ได้สิ”
     “นอนได้ใช่มั้ย?”
     “สบายมาก” พูดจบก็สังเกตทั้งห้องอีกหนึ่งรอบ ทุกอย่างถูกวางไว้เป็นระเบียบ ข้าวของเครื่องใช้เหมือนกันกับห้องของม่าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

     เขาวางของลงมุมหนึ่งข้างโต๊ะทำงาน จากนั้นจึงเดินมาหาผมที่ยังสำรวจไปรอบๆ

     “ตอนแรกจะบอกพ่อว่านอนด้วยกันก็ได้ แต่เธอคงลำบากใจ กลัวพ่อกับแม่จะมองเธอไม่ดีด้วย”

     ผมเงียบ เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ

     “อืม”
     “ทั้งที่อยากกอดเธอจะตาย”
     “ห่างบ้างก็ได้มั้ง” ผมเหลือบมอง เห็นอีกฝ่ายกอดอกแล้วพิงตัวเข้ากับโต๊ะด้านหลัง จากนั้นรอยยิ้มมุมปากจึงผุดขึ้นคล้ายชอบใจ

     “ก็อยู่กับเธอทุกคืนจะให้ห่างได้ไง”

     คงเพราะความหมายที่มันจะสื่อน่ะแหละ ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้า

     “ถึงจะได้นอนบ้าง…”
     “...”
     “...ไม่ได้นอนบ้าง—” เขาเว้นระยะห่างอย่างน่าใจหาย

     “แต่ก็ไ—อืออ”
     “พูดมาก”

     และผมก็ทนไม่ได้จนต้องผลักไหล่เขาให้เงียบ

     เสียงหัวเราะดังตามหลัง หวังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่สายตาเจ้าของห้องที่ไม่รู้ว่าออกมาจากห้องน้ำตอนไหนก็ทำให้ต้องชะงักจนหาวิธีเดินไปไม่ถูก

     ก็สายตาคู่นั้นน่ะ

     ที่มองพี่ชายตัวเองสลับกับมองเขาน่ะ

     บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวได้ยินสิ่งที่ม่านพูดทั้งหมด ตั้งแต่ต้น...จนจบที่เรื่องบนเตียง











/











     “พี่ผาชอบกินซูชิไหม?” คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเงยหน้าขึ้นมาถาม ด้วยเพราะความสูงเราค่อนข้างต่างกัน เพราะเป็นแบบนั้นเมื่อยืนข้างๆอีกฝ่ายจึงดูตัวเล็กลงไปถนัดตา

     “ชอบนะ ทำไมหรอ?” ผมตอบขณะล้างผักในอ่างล้างจาน ส่วนเจ้าตัวก็กำลังหั่นเจ้าสิ่งที่ผมล้างเสร็จแล้วอีกที

     “เขาจะหาเรื่องไปซื้อที่ตลาดน่ะสิ ขอพ่อแล้วพ่อไม่ให้ไป ของกินก็เยอะแยะ ยังจะออกบ้านไปซื้ออย่างอื่นอีก” มารดาเป็นคนชิงตอบก่อนที่แผนการจะสำเร็จลุล่วง เจ้าหมอกยู่ปากลงเล็กน้อย ป้องปากกระซิบเบาๆไม่ให้หญิงสาวได้ยิน

     “พ่อกับแม่ขี้บ่นก็ทนหน่อยนะพี่ผา”

     ผมมองเด็กงอแงด้วยสายตาเอ็นดู ถึงจะดูเรียบร้อยแต่ก็แสบใช่เล่น

     “แกค่อยไปกินวันหลังน่า จะอยากกินอะไรวันนี้” ดูเหมือนว่าพี่ชายคนเดียวจะไม่ได้เข้าข้าง คราวนี้เลยทำให้ใบหน้าหวานเลยงอเง้ามากกว่าเก่าเสียอีก

     “พี่ผา”
     “หืม?”
     “พี่ผาเลือกมาเลยว่าจะอยู่ทีมใคร”

     เจ้าตัวชี้คำขาด ทำเอาผมคิดมากนิดหน่อย ฝ่ายนึงก็ผู้ใหญ่ อีกฝ่ายก็เด็กเอาแต่ใจที่อ้อนไม่หยุด

     “พี่ผาทั้งวัน งอแงกับพี่มากๆเดี๋ยวพี่ก็หนีกลับหอหรอก”
     “จะแย่งผาจากผมแล้วแม่”

     คนที่ยืนกินผลไม้ออกทัพเสริม ทำให้อายุน้อยสุดในบ้านยิ่งใช้สายตาอ้อนวอนยิ่งกว่าเดิม ดวงตากลมโตมองมาด้วยความใสซื่อ ผมที่ทำตัวไม่ถูกจึงก้มหน้าลงไปเอ่ยถามเสียแทน

     “งั้นกลับมอแล้วพี่ค่อยพาไปกินดีไหม? วันนี้กับข้าวแม่เราเยอะแยะเลยนะ น่าทานทั้งนั้นเลย” เจ้าตัวนิ่งเงียบ คงเพราะไม่กล้าขัดผมเลยพยักหน้าเบาๆและยอมเชื่อฟัง
     “ก็ได้”
     “สรุปใครเป็นพี่แท้ๆกันแน่เนี่ย” ม่านเอ่ยถาม ทำเอามารดาหัวเราะเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของเราทั้งสามที่ช่วยงานอยู่ในครัว

     “แกอ่ะไม่ต้องมาพูด ไม่เคยพาเราไปกินหรอก”
     “เปลืองตัง” ม่านปัด
     “แม่ดูดิ ดูม่าน ไม่เห็นจะเหมือนพี่ผา”
     “คำก็พี่ผาสองคำก็พี่ผา อย่ามาแย่งนะเว้ย”

     ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ใช่เพราะความอึดอัด แต่เพราะสองพี่น้องที่ทะเลาะกันทำให้ไม่กล้าเลือกข้างไปฝั่งไหน สุดท้ายจึงเดินออกมาแล้วไปหยุดยืนข้างมารดาอีกฝ่ายแทน

     “ให้ผาช่วยอะไรอีกไหมครับ?”
     “ไม่มีอะไรแล้วลูก ไปนั่งดูหนังกับม่านเถอะ เหลือไม่เยอะแล้ว” ผู้ใหญ่ตอบรับทั้งๆที่มือก็พัลวันกับการเตรียมอาหารมื้อเย็น ผมยืนมองอยู่ห่างๆ เมื่อไม่มีอะไรทำอย่างที่อีกฝ่ายว่าจึงไปยืนข้างม่านแล้วรับประทานผลไม้แทน

     ม่านและผมตอบตกลงหลังจากที่บิดาของอีกฝ่ายชวนให้มาทานข้าวที่บ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน ดูเหมือนจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ รวมถึงเพราะเป็นคำชวนของผู้ใหญ่ดังนั้นผมเลยไม่กล้าปฏิเสธ

     การมาบ้านเขาในครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากคราวที่แล้วมากเท่าไหร่ การต้อนรับจากครอบครัวอีกฝ่ายยังอบอุ่นเหมือนเดิม แถมดูเหมือนผมจะได้น้องชายเพิ่มมาอีกหนึ่ง คนที่ขี้อ้อนและตัวติดกับผมทั้งวันจนม่านและมารดาของเจ้าตัวหยอกล้ออยู่ตลอด แต่ผมก็ไม่ได้รำคาญเลยแม้แต่นิด ค่อนข้างจะชอบเสียด้วยซ้ำ คงเพราะผมเป็นลูกคนเดียวล่ะมั้ง การที่ได้รู้จักหมอกจึงเหมือนเป็นการเติมเต็มความสดใสในชีวิตที่ผมไม่ค่อยรู้จักมันมากเท่าไหร่


     แขกของปาร์ตี้วันนี้ไม่ได้มีแค่ผมและม่านเพียงเท่านั้น แต่ยังมีคุณอาของเขาและน้าสะใภ้ที่มาถึงตอนพลบค่ำด้วย ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้แต่ทุกคนก็ต้อนรับเป็นอย่างดีจนผมไม่ได้รู้สึกแปลกแยก คุณแม่ตักอาหารให้ คุณพ่อชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนคุณอาเขาก็เล่นมุกจนทำให้หัวเราะตามได้ไม่ยาก ผมไม่แปลกใจเลยว่าม่านเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนเขาถึงได้เป็นแบบนี้

     “อันนี้คุณอาเอามา ลองทานดูสิ” คนที่นั่งด้านข้างหยิบจานสลัดมาวางไว้ใกล้ ผมพยักหน้ารับแล้วมองหน้าเขาแน่นิ่ง

     “มีอะไรหรอ?”
     “เปล่า”

     ผมปฏิเสธ แต่ม่านคงรู้เพราะเขารู้จักผมดีกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเสียอีก ดังนั้นเจ้าตัวเลยยิ้มและใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนผ่านหลังผมไป ทิ้งน้ำหนักไว้จนกลายเป็นเหมือนการกอดกลายๆโดยไม่น่าเกลียด อุณหภูมิจากแขนเขาส่งตรงถึงแผ่นหลังผมในทันที เพราะความอบอุ่นนั้นจึงทำให้ต้องก้มหน้าลงแล้วเม้มริมฝีปาก

     ไม่ใช่เพราะมุกตลกของคุณอาเขาหรอกที่ทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้
     แต่เพราะความสบายใจจากคนข้างกายต่างหาก
     
     “เค้าไปช่วยแม่ก่อนนะ” เพราะไม่รู้จะบังคับสีหน้าตัวเองยังไงเลยต้องลุกออกมาจากโต๊ะ ม่านมองตามหลังจนผมเดินมาถึงเตาย่างข้างๆ  มีมารดาของเขาที่กำลังตั้งใจพลิกเนื้อบนตะแกรงไปมา

     “ผาเฝ้าให้ก็ได้นะครับ คุณน้าไปทานข้าวเถอะ” ผมหยิบที่คีบอีกอันขึ้นมาช่วย หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆเพื่อปฏิเสธ
     “มาทำไมเนี่ยเรา รมควันแบบนี้เสื้อจะเหม็นเอานะ”
     “ไม่เป็นไรครับ”

     ดวงตาสีอ่อนหรี่มอง ก่อนอีกฝ่ายจะยื่นจานในมือให้เขาช่วยถือ

     “ถือให้แม่หน่อยสิ แม่ว่าจะเติมถ่านอีกสักหน่อย ไฟไม่แรงเท่าไหร่เลย”

     ผมวางจานในมือลงบนโต๊ะใกล้ๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบถ่านในกระสอบโดยไม่รอให้อีกคนได้ทำเอง หญิงสาวถอยออกไปสองก้าวเพื่อให้ผมได้ทำทุกอย่างโดยถนัด คงเพราะรู้ว่าผมอยากช่วยเลยไม่ขัดอะไรอีก

     “เอาอีกมั้ยครับ?”
     “อีกสามสี่ก้อนก็น่าจะได้แล้วลูก”
     “ครับ”

     เมื่อเสร็จเรียบร้อยตะแกรงใหญ่ก็ถูกวางไว้ที่เดิม ฝาเตาถูกแง้มออกอย่างเก้กังๆ ดังนั้นผมเลยเข้าช่วยอีกรอบเพราะแรงจากหญิงสาวไม่ได้มากพอเท่าไหร่

     “อ๊ะ!”
     “นั่นไง เป็นอะไรไหม?”

     เพราะความร้อนจากฝาเหล็กทำผมต้องชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมองเห็นรอยแดงที่อยู่บนผิวเนื้อแต่ก็ส่ายหน้าเบาๆ กลัวว่าอีกคนจะเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็โดนหญิงสาวพาเข้ามาในห้องครัวแล้วปฐมพยาบาลง่ายๆด้วยการนำไปล้างน้ำให้บริเวณแผลเย็นลงกว่าเดิม

     “พองเห็นไหม” เสียงหวานพูดพร้อมกับสีหน้าเป็นห่วง เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกผิดจับใจ
     “เดี๋ยวก็หายครับ ไม่ได้เจ็บเท่าไหร่”
     “แขนก็เปื้อนถ่านหมดเลยลูก” พูดจบก็ผละตัวออกแล้วหันไปหาผ้าสะอาด ชุบน้ำเล็กน้อยแล้วบรรจงเช็ดที่แขนผมอย่างแผ่วเบา ภาพที่เห็นทำเอาผมชะงักค้างไปเสียนาน กว่าจะรู้ตัวก็ในตอนที่อีกฝ่ายลูบแผลเบาๆจนรู้สึกปวด

     “แม่ว่าไปหาหมอไหม?”
     “ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมว่าเดี๋ยวก็คงหาย”
     “งั้นแม่เอาเจลว่านหางจระเข้มาให้ทาแล้วกันนะ เหมือนที่บ้านจะมีแต่แม่ต้องขอหาก่อน”
     “ได้ครับ”

     มือเล็กยังจับไว้ที่แขนผมไม่ห่าง สัมผัสเบาๆเหล่านั้นทำเอาใจผมเริ่มทำงานไม่ปกติ

     “ขอบคุณนะครับ” เสียงผมแหบพร่า อีกฝ่ายยิ้มส่งมาก่อนจะทำให้ผมต้องนิ่งค้างอีกรอบด้วยประโยคคำถามสั้นๆ

     พร้อมกับมือข้างนั้นที่วางไว้บนศีรษะ

     “พี่ผาเรียกแม่ก็ได้”
     “...”
     “รู้ใช่ไหม?”
     “...”
     “...”
     “ครับ”

     แค่เท่านั้น...ผมก็ไม่สามารถตอบรับอะไรได้อีกเลย

     คนอายุมากกว่าขอตัวออกไปก่อน ย้ำกับผมอีกรอบให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนตามไปด้วย ผมทำได้แค่พยักหน้ารับก่อนจะเดินขึ้นมาด้านบนด้วยความคิดหลายอย่างที่ตีกันไปมา

     เนิ่นนานกว่าที่จะรู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ในความมืด บนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ใช้เวลาทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะมีแสงไฟจากหน้าประตูถึงได้รู้ว่ามีคนเข้ามาตาม

     “เธอมานั่งทำอะไรคนเด—” เสียงเขาหายไปในตอนท้าย จากการที่เราสบตากันและม่านก็รู้ได้ว่าทำไมจากอาการของผมเอง

     ถึงภาพของเขาจะพร่าเบลอ แต่มันก็ชัดเจนมากพอว่าเจ้าตัวมานั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้า

     “...เธอครับ เธอร้องไห้ทำไม”

     เขากอบกุมมือผมไว้ สีหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด

     “เธอไม่สบายใจหรอ? เค้าทำอะไรให้เธอเสียใจรึเปล่า? บอกเค้าได้มั้ย?”

     ผมส่ายหัว กุมมือเขาแน่นขึ้นอีก

     “...ผา—”

     ผมไม่เคยร้องไห้ จะเสียใจแค่ไหนผมก็ไม่เคยร้อง มันไม่มีน้ำตาสักหยดที่หลั่งไหลออกมาให้กับความเศร้าโศกเลยสักครั้ง ล่าสุดที่เป็นแบบนั้นคือตอนที่เจอแม่ครั้งสุดท้าย และมันก็เนิ่นนานเสียจนผมจำไม่ได้ว่าการร้องไห้มันเป็นยังไง

     ผมด้านช้าเกินไป

     เกินกว่าที่จะมานั่งร้องไห้ให้กับสิ่งที่ผ่านพ้นไปแต่ละวัน

     “...อยู่กับกูนานๆเลยได้มั้ย”

     แต่เขาก็ทำให้ผมต้องร้องไห้เข้าจนได้

     “ได้สิ”
     “...ไม่เลิกแล้วนะ จะยังไงกูก็ไม่เลิกนะ...”
     “ไม่มีทาง”


     จากทุกอย่างที่อีกฝ่ายมอบให้ มากมายเสียจนผมไม่คิดว่าสมควรจะได้รับมันมาจากใครสักคน

     ทุกอย่างที่รวมเป็นตัวของม่าน



     คนที่ทำให้ผมกล้าที่จะอ่อนแอ กล้าที่จะเสียใจ และกล้าที่จะเดินออกจากกำแพงในใจของตัวเอง







     เขาที่เป็นเหมือนบ้าน


     และพร้อมจะโอบกอดผมไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามา










#ผาเพียงฟ้า


'เพื่อเป็นรอยยิ้มหวานให้แก่กัน
เพื่อเป็นเธอและฉันวันต่อไป'

:-)


02/02/20
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 7 | you feel like home and everywhere... - P.6 (02/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-02-2020 19:17:55
รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวนี้จริงๆ :กอด1:
ป.ล.น้องหมอกน่าร้ากกก  :o8:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 7 | you feel like home and everywhere... - P.6 (02/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-02-2020 20:31:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

ครอบครัวม่านอบอุ่นจัง
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 7 | you feel like home and everywhere... - P.6 (02/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 03-02-2020 05:16:08
ครอบครัวม่านน่ารักจัง​
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 7 | you feel like home and everywhere... - P.6 (02/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-02-2020 22:23:48
พี่ผา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 7 | you feel like home and everywhere... - P.6 (02/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 08-02-2020 01:03:32


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


28

you've got daddy issues and i love it too



_________


bgm :: daddy issue - the neighbourhood


_________






     ผมกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิมเมื่อมื้อค่ำของเรายังดำเนินต่อ เพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเลยรีบจัดการตัวเองให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ คงเพราะมีม่านคอยช่วยเช็ดน้ำตาให้ผมเลยทำตัวปกติได้โดยไม่มีใครผิดสังเกต

     เจ้าหมอกยังคงเจื้อยแจ้วไม่หยุดกับผู้ใหญ่ทั้งสามที่ร่วมโต๊ะ ส่วนผมก็เอาแต่นั่งเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร การที่เป็นคนคุยไม่เก่งบางทีก็ทำให้รู้สึกแย่นิดหน่อย ถึงแม้อยากจะชวนคุยบ้างแต่ก็ได้แต่เก็บความคิดเหล่านั้นไว้แล้วกลายเป็นผู้ฟังเสียแทน

     โชคดีที่มีม่านคอยนั่งอยู่ข้างๆ แอบจับมือผมใต้โต๊ะแล้วนำไปวางไว้บนตักของเจ้าตัว สัมผัสแน่นหนาบ่งบอกว่าไม่อยากให้ห่างไปไหน เขาไม่ได้หันกลับมาบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่แรงจากมือใหญ่บีบเข้ากับมือเขาทีไรมันก็ทำให้อุ่นใจได้ดีทีเดียว

     “เอาแก้วเรามา เดี๋ยวอาเติมให้” คุณอาที่นั่งฝั่งตรงข้ามยื่นมือมารับแก้วของม่าน อีกฝ่ายส่งให้ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณที่แอลกอฮอลล์ถูกรินจนเต็ม
     “เราเอาด้วยมั้ย?”

     เมื่อแล้วเสร็จจึงหันมาทางผมต่อ เพราะไม่กล้าปฏิเสธอีกเช่นกันจึงน้อมรับคำเชิญชวนของผู้ใหญ่แต่โดยดี

     “ขอบคุณครับ”

     ผมไม่กล้าดื่มเยอะเกินไปเกรงว่าจะทำให้เสียบรรยากาศ เพราะการดื่มกับครอบครัวม่านค่อนข้างจะแตกต่างจากการดื่มกับเพื่อนอย่างสิ้นเชิง เลยทำได้เพียงจิบของเหลวในแก้วไปพลางพร้อมกับรับประทานอาหารต่างๆที่วางบนโต๊ะ

     “เห็นพ่อบอกว่าเราต้องฝึกงานเทอมหน้าแล้วนี่”
     “ใช่ครับ อายุท”
     “ได้ที่ฝึกหรือยังล่ะ ถ้ายังอาติดต่อให้ได้นะ เพื่อนอาเยอะแยะ”
     “ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ บริษัทเพิ่งตอบรับผมมาเมื่อวันก่อน”
     “อ้อหรอ? แล้วได้ที่ไหน”

     ม่านบอกชื่อบริษัทไปก่อนที่คุณอาจะพูดต่อ

     “ไม่สนใจพวก BIG4 หรอ?”
     “ถ้าได้ลองฝึกที่ BIG4 ก็ดีนะครับ แต่ผมคิดว่าที่นี่ตรงกับสายงานที่จะทำมากกว่า แถมเพื่อนผาก็บอกมาว่าบริษัทนี้ดีและได้ประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ เลยตัดสินใจเอาที่นี่เลย”
     “เพื่อนพี่เขาใช่ไหม?”
     “ใช่ครับ”

     ประโยคสุดท้ายผมเป็นคนตอบ ก่อนจะให้ข้อมูลเพิ่มเติม

     “พวกผมฝึกไปปีที่แล้วน่ะครับ พอม่านมาถามเพื่อนก็เลยให้คำแนะนำไป”
     “อ่อ ดีนะ ดีๆ ได้ที่ๆชอบคงจะสนุก”
     “ครับ” ม่านอมยิ้ม ยกแก้วตรงหน้าขึ้นเพื่อดื่มเล็กน้อย

     “เจ้าม่านน่ะไม่ค่อยห่วงหรอก ยังไงมันก็เอาตัวรอดได้ แต่คนแถวนี้นี่สิ”
     “อะไรอ่ะพ่อออ นี่จะว่าหมอกหรอ”

     การโวยวายเกิดขึ้นเมื่อโดนเล่นงานโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เราหัวเราะให้กับท่าทางของคนอายุน้อยสุดในที่นี้ ก่อนหมอกจะเอื้อมไปหยิกแขนบิดาหนึ่งทีแล้วเถียงต่อ

     “นี่ก็เอาตัวรอดเถอะ อย่ามาบ่นเลย”
     “พี่เขาก็เป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ไหนเอาแฟนมาอวดพ่อสักคนหน่อยสิ”
     “พ่อออออออ!!”

     คำว่าเป็นฝั่งเป็นฝาที่พูดออกมาทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า ถึงจะรู้ดีว่าเป็นการหยอกล้อแต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้ขัดเขินไม่ไหว คนข้างกายหัวเราะตอบรับ จากนั้นสายตาอาฆาตจึงส่งมาจากน้องชายที่ผมนั่งคั่นกลางระหว่างพวกเขาอีกที

     “ขึ้นคานแน่ๆ” ม่านสำทับ
     “นั่นสิ ลูกพ่อยิ่งขี้เหร่ๆอยู่ด้วย ไม่มีใครตาถั่วเข้าล่ะมั้ง” คราวนี้ทุกคนบนโต๊ะต่างหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่คนโดนแกล้ง
     “อย่าให้มีแล้วกัน บอกเลยว่าจะหาน่ารักกว่าพี่ผาเลยคอยดู”
     “ไม่มีหรอกย่ะ” ผลั่ก

     คนรักของเขาเอื้อมมือไปผลักศีรษะน้องชายเมื่อโดนท้าทาย ทำเอาเรียกเสียงหัวเราะให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม หมอกตั้งท่าจะตีกลับแต่เพราะม่านเอาตัวผมเข้าบัง เจ้าตัวเลยกลับไปนั่งตามเดิม

     แม้สายตาคาดโทษจะยังคงอยู่

     “วันหลังชวนคุณพ่อกับคุณแม่มาทานข้าวกับเราด้วยสิ” บิดาของอีกฝ่ายพูดขณะมีรอยยิ้มจางประดับ ผมชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็รีบทำตัวให้ปกติโดยไม่ผิดสังเกต

     “ครับ”

     เพราะไม่กล้าบอกความจริงออกไปเลยทำได้แค่เพียงรับคำสั้นๆ ม่านหันมามอง ก่อนที่จะจับมือผมไว้ใต้โต๊ะอีกครั้ง

     เรื่องถนัดเขาล่ะที่จะทำให้ผมรู้สึกสบายใจ

     “คุณแม่ผาทำงานอะไรหรอลูก?” คราวนี้เป็นมารดาที่เอ่ยปากถาม ทำเอาผมต้องเม้มริมฝีปากแล้วตอบไปตามตรง

     “คุณแม่เสียแล้วครับ”

     และคงเป็นเพราะคำตอบของผมที่ทำเอาคนทั้งโต๊ะนิ่งเงียบ

     “ตอนนี้ผมอยู่กับน้า”

     ม่านบีบมือผมเบาๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเขาอยู่เคียงข้างผมเสมอ ผมยิ้มจางคล้ายกับต้องการจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากจากเรื่องที่เกิดขึ้น มองเห็นหญิงวัยกลางคนยิ้มตอบแล้วเอื้อนเอ่ยอย่างเอ็นดู

     “เสียใจด้วยนะลูก ถ้าได้เจอจริงๆ แม่คิดว่าแม่ผาต้องน่ารักแบบเราแน่ๆ”

     ผมหัวเราะตอบ ดูเหมือนประโยคนั้นจะเล่นงานเข้าอีกรอบจนต้องยกมือเกาลำคอ

     “นั่นสิเนาะ” บิดาของอีกฝ่ายเว้นช่วง “คุณแม่คงเก่งน่าดูที่เลี้ยงลูกมาดีขนาดนี้”

     “งั้นชวนคุณน้ามาแทนก็ได้น้า คนเยอะๆบ้านเราจะได้ไม่เหงา”
     “ครับ” ผมยิ้มตอบ “น้าต้องดีใจแน่ๆถ้าได้มา”

     จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นประเด็นอื่นเสียแทน ไม่รู้ว่าเพราะเกรงว่าผมจะเสียใจไหมถึงได้ทำแบบนั้น แต่ทุกคนก็ไม่ทำให้มันดูเศร้าโศกมากเกินไป หมอกหันมาหาผมบ้างในบางครั้ง ใช้มือลูบแขนผมไปมาคล้ายอยากจะปลอบประโลม ตอนนี้ผมเลยดูเหมือนของเล่นที่วางอยู่ตรงกลางสองพี่น้องไม่มีผิด

     อีกคนก็จับแขน อีกคนก็จับมือ

     นิสัยเหมือนกันอย่างกับอะไรดี










/











     เด็กทั้งสามคนขอตัวลาก่อนเพื่อปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้นั่งพูดคุยกันต่อ มีม่านที่กอดคอน้องชายเดินนำหน้า ส่วนผมก็ตามมาโดยมีระยะห่างไม่มากนักหลังเจ้าตัว

     “ไปนอนห้องกูก็อย่าดิ้น โอเคนะ”
     “ใครบอกจะไปนอนห้องแกวะ เราจะนอนกับพี่ผาเถอะ—โอ๊ยย ม่านน!!” เสียงตะโกนดังลั่น เหตุเพราะแขนที่รัดคอคนตัวเล็กดูจะแน่นเกินไปจนทำให้หายใจไม่ออก

     “หวง อย่ายุ่งกับผา”
     “ก็นี่ตกลงกับพี่ผาแล้ว พี่ผาบอกว่านอนได้” พูดจบใครบางคนก็หันมาส่งซิกด้วยการขยิบตาให้เบาๆ ม่านหันมาหาด้วยสีหน้ามีคำถาม ส่วนผมเองก็ปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าสองสามครั้งกลับไป

     เพราะการได้เห็นใครบางคนงอแงจากการโดนแกล้งมันดูน่ารักไม่หยอก

     “เฮ้ยยย พี่ผาอ่าาา— อื้ออออ”
     “เดี๋ยวนี้โกหกเก่งนักน้าา มานี่เลยไอ้ตัวดี”

     หมอกโดนพี่ชายลากขึ้นไปด้านบน ทะเลาะกันอยู่สองสามทีเราก็เดินมาถึงห้องของเจ้าตัว

     ห้องที่ผมต้องนอนในคืนนี้

     “รีบเก็บของแล้วไปอาบน้ำห้องนู้น”
     “ง่า”
     “อะไร?”
     “อาบห้องเค้าไม่ได้หรอ?”
     “...”
     “นะๆๆๆ” อีกคนทำตาแป๋ว และดูเหมือนจะได้ผลกับพี่ชายเสียด้วย
     “เออๆ ให้ไว”

     เจ้าตัวกำมือแล้วชูนิ้วโป้งขึ้นตรงหน้า เปิดประตูแล้ววิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ผมมองตาม เห็นม่านที่ยืนอยู่ข้างๆส่ายหน้าแล้วหัวเราะ

     เอาจริงก็แพ้ลูกอ้อนเหมือนกันนี่นา

     “เข้าไปรอข้างในดีกว่าไป”

     ผมเชื่อฟังแล้วเดินนำไปก่อน นั่งลงยังเตียงหลังใหญ่ที่ตั้งไว้ยังมุมหนึ่ง เมื่อสังเกตดีๆจึงพบว่าห้องนี้แตกต่างจากห้องของม่านตรงที่มีแต่ผนังกระจกรอบด้านและมีผ้าม่านประดับไปจนสุด

     “เธอเหนื่อยมั้ย?” เขาหยุดยืนด้านหน้า เชยคางผมให้เงยขึ้นจนสบเข้ากับดวงตาเจ้าตัว
     “ไม่เหนื่อย” ผมตอบ ก่อนที่นิ้วเรียวจะวาดมาบริเวณใต้ตาที่มันยังบวมอยู่เล็กน้อย

     เขาอมยิ้ม รู้แหละว่ากำลังมีความสุข

     “ขี้แยเหมือนกันนี่หว่า”

     ผมเบ้ปาก ใช้มือเอื้อมไปวางไว้ยังขอบกางเกงด้านหลังของม่านแม้จะยังนั่งอยู่ตามเดิม

     “ร้องไห้ครั้งเดียวใครเขาเรียกขี้แยกันวะ?”

     อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะประคองใบหน้าผมเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

     “พ่อกับแม่เค้ารักเธอนะ หมอกก็รักเธอ”
     “...”
     “...เค้าก็ด้วย”

     พยักหน้าตอบรับก่อนจะกดจูบลงบนแขนเขาที่มันอยู่ไม่ไกล

     “ครับ”
     “ไว้พาคุณอามากัน”
     “ได้สิ ไว้จะลองชวนดู”

     เสียงก็อกแก็กที่ดังขึ้นทำเอาเขาละตัวออก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะยังไม่ออกมา

     “เดี๋ยวก็อาบน้ำนอนได้แล้วนะ วันนี้ทำนู่นทำนี่ทั้งวันเลยเธออ่ะ”
     “สนุกดี”
     “ถ้าสนุกแบบนี้คงต้องมาบ่อยๆแล้วล่ะ”
     “หรอ?”
     “มาทั้งชีวิตยังได้เลย”

     ปึก!

     กำปั้นผมส่งตรงเข้าหน้าท้องแกร่งพร้อมกับรอยยิ้ม ม่านลูบผิวเนื้อบริเวณนั้นแผ่วเบา เขาละออกอย่างเชื่องช้าเพราะน้องชายเดินออกมาจากมุมหนึ่ง จากนั้นสองพี่น้องก็บอกลาในตอนที่นาฬิกาบ่งบอกว่าได้เริ่มวันใหม่ เราจากกันด้วยความอ้อยอิ่ง ก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบเชียบหลังจากเสียงปิดประตูดังขึ้น

     ผมสำรวจไปโดยรอบอีกครั้ง มองกระเป๋าของตัวเองอยู่นานก่อนจะตัดสินใจลุกไปเปิดมันเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำพร้อมกับความคิดหลายอย่างในหัว

     ดูเหมือนวันนี้ผมจะใช้พลังงานไปมากจนเกินตัวจริงๆ










/










     คนที่อยู่หน้าประตูชะงักมือค้างกลางอากาศ สับสนเป็นอย่างมากว่าควรลงน้ำหนักมันไปอีกรอบดีหรือเปล่า มือที่กำแน่นค่อยๆออกห่างจากประตูบานเก่าทีละนิด จนสุดท้ายมันทิ้งดิ่งข้างลำตัว แต่ความคิดที่จะเคาะใหม่ก็กลับมาอีกครั้ง คงเพราะความมืดที่อยู่รอบด้านเริ่มส่งเสียงเชียร์อย่างหนักว่าผมควรจะปลุกคนที่อยู่ด้านใน

     ก๊อก ก๊อก!
     
     สุดท้ายเพราะทนต่อเสียงเรียกร้องในหัวไม่ไหวจึงลงน้ำหนักไปอีกหนึ่งที บอกกับตัวเองว่ารอบนี้จะไม่รอนานแบบรอบที่แล้ว แต่ก็ต้องตกใจเมื่อประตูถูกเปิดออก พร้อมกับใบหน้าของม่านที่ดูงุนงงและงัวเงียไปพร้อมกัน

     “คือว่า...กูนอนไม่หลับน่ะ”

     ผมอธิบาย ค่อนข้างหนักใจที่ต้องปลุกเขาในเวลานี้

     แต่การที่ต้องพลิกตัวไปมาในห้องแคบก็รู้สึกเบื่อเต็มทน

     “เข้ามาก่อนสิ”

     เขาไม่ต้องรอให้ผมร้องขออีกหนึ่งรอบ ม่านก็เบี่ยงตัวให้ผมเข้าไปด้านใน รีบเปิดโคมไฟหัวเตียงเพื่อให้เกิดแสงสว่างก่อนที่จะยีเส้นผมสีดำขลับไปมา

     “เธอจะเอาไง”

     เพราะผมไม่ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะทำอะไรต่อ การมาถึงห้องเขาพร้อมกับเห็นน้องชายใครบางคนหลับไปแล้วจึงดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย

     ผมเม้มปาก ครั้นจะกลับไปนอนห้องเดิมก็เหมือนจะช้าเกินไป

     “งั้นเธอไปนอนบนเตียงกับหมอกไหมล่ะ? เค้านอนข้างล่างนี่ได้” เขาชี้ไปที่พื้น
     “แล้วหมอนกับผ้าห่มล่ะ?” แย้งขึ้นเพราะไม่เห็นว่าที่พื้นจะมีอะไรไปมากกว่าพรมขนสัตว์ที่คงไม่เพียงพอต่อการนอนอย่างสบาย

     “เดี๋ยวไปเอามาจากห้องนู้น”
     “...”
     “รอแปบแล้วกันนะ”
     “เดี๋ยวกูไปช่วย”
     “ไม่เป็นไรครับ เค้าไหว”

     พอจบการปฏิเสธเจ้าตัวก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หอบสัมภาระมาตามที่บอกอย่างครบครัน มีทั้งฟูกนอนที่ปูไว้ด้านล่าง พร้อมกับหมอนและผ้าห่มที่ไม่นานผมเพิ่งจากพวกมันมา

     พอเจ้าตัวปูเสร็จก็นอนลงไปอย่างทันท่วงที ไม่ลืมที่จะหันกลับพร้อมกับเอ่ยคำเชิญชวน

     “มานอนด้วยกันเปล่า?” เขาตบที่นอนปุๆ สีหน้าดูสดใสมากกว่าตอนแรกที่ผมมาถึง
     “นอนคนเดียวให้พอก่อนเถอะค่อยมาชวน”
     “ฮ่าๆ”

     เจ้าตัวหัวเราะ ก่อนจะเท้าแขนแล้วหันมาทางผมที่ค่อยๆนอนลงบนเตียงใหญ่แทนที่ใครบางคน

     “อกพี่อุ่นน้า ลองแล้วจะติดใจ”

     ผมเบ้ปาก พลิกท่าเป็นนอนตะแคงเพื่อให้มองเขาได้อย่างถนัด ม่านยังไม่ละสายตาจาก แถมยังคว้ามือผมไปสานมือเขาเอาไว้หลวมๆ กลายเป็นว่าตอนนี้นอกจากจะมีแสงสลัวจากโคมไฟที่อยู่ด้านข้าง ก็ยังมีแขนผมที่ตกหล่นตามแรงโน้มถ่วงจากการเอาแต่ใจของม่าน

     และรอยยิ้มของเราสองคน


     “นอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอกู”

     เขาส่ายหน้า พร้อมกับส่ายมือผมไปมาอย่างเพลิดเพลิน

     “ไม่เป็นไร ก็เธอบอกเธอนอนไม่หลับนี่”
     “อืม”

     เราเงียบกันอยู่สักพัก ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเล่าเรื่องบางอย่างให้เขาได้รับรู้

     เป็นเรื่องที่อยู่ในใจผมมาตลอด

     และเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยจะบอกใคร

     “เล่าเรื่องพ่อให้ฟังเอาไหม”

     ครั้งนี้ผมไม่ได้ร้องไห้ เพราะรู้ดีว่าบาดแผลทำอะไรผมไม่ได้เมื่อมีคนที่อยู่ข้างกายตอนนี้

     “เค้าก็อยากฟังทุกเรื่องของเธอนั่นแหละ”
     “...”
     “แต่ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ เค้าเข้าใจ”

     เขาใช้นิ้วชี้กวัดไกว่นิ้วผมไปมา จากนั้นผมจึงขยับเข้าไปใกล้ม่านอีกนิดหน่อย จนตอนนี้ร่างกายตัวเองหมิ่นเหม่อยู่บริเวณขอบเตียง

     “อยากเล่าสิ”
     “...”
     “อยากเล่าให้มึงฟังทุกเรื่องเลย”

     เขาอมยิ้ม ดึงผ้าห่มให้ขึ้นสูงแล้วตั้งใจมองผมที่กำลังเล่า

     “อย่างที่มึงรู้ว่าแม่กูเสียเมื่อห้าปีก่อน จากอุบัติเหตุรถยนต์ที่มีกูกับพ่อนั่งด้วย แต่เสียดายที่แม่เป็นคนเดียวที่ไป” เสียงผมแหบพร่า ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองโอเคแล้วแท้ๆ “วันนั้นพ่อเป็นคนขับ เราตัดสินใจจะไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกัน ฉลองวันเกิดโง่ๆของลูกชายที่ผ่านมาแล้วหนึ่งวันและไม่มีใครจำได้เลย”
     “...”
     “วันนั้นก่อนที่รถจะคว่ำ เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้า  อันที่จริงเขาก็ทะเลาะกันบ่อยนะ ทะเลาะกันแทบตลอดตั้งแต่ที่พ่อเปลี่ยนงานมา แต่เขาแค่ไม่อยากให้กูเห็น”
     “...”
     “...พ่อ...” ผมเงียบไป เม้มริมฝีปากก่อนจะพูดต่อ “...พ่อมีคนอื่น เป็นผู้หญิงอีกคนในที่ทำงาน ถึงกูจะยังเด็กก็พอรู้ว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นยังไง...”
     “...”
     “แม่มักจะแอบร้องไห้ ส่วนพ่อก็แอบออกไปกับผู้หญิงคนนั้นบ่อยๆ”

     ม่านยังตั้งใจฟัง เขานิ่งเงียบจนผมเองต้องหันไปสบตา

     “เกือบสองปีเลยมั้งที่เราอยู่กันแบบนั้น พ่อกับแม่ทะเลาะกันทุกวัน เราแทบจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าครอบครัวด้วยซ้ำ แทบไม่ได้ทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า แทบไม่ได้ยิ้มแบบที่เราเคยยิ้มให้กันมาตลอด ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่ได้กอดกันแบบที่พ่อกับแม่คนอื่นเขาทำ ไม่ได้มีความสุขจากการที่อยู่ด้วยกันแล้วด้วยซ้ำ”
     “...”
     “วันนั้นก็เสียใจนะที่ไม่มีใครจำวันเกิดกูได้ ทั้งๆที่บอกว่าไม่อยากไปแต่ก็ดีใจมากที่พ่อกับแม่ยืนกรานจะไปทานข้าวนอกบ้านเพื่อฉลองวันเกิดกูย้อนหลัง ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้...”
     “...”
     “...ถ้ากูรู้นะ...กูก็อยากให้ทุกคนลืมวันเกิดกูไปเลยดีกว่า...ไม่ต้องจำได้หรอก ไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่ต้องมีดอกไม้หรือของขวัญที่พ่อเตรียมไว้ให้”
     “...”
     “เพราะสุดท้าย...”

     ผมเงียบไปเพราะไม่สามารถพูดสิ่งที่คิดต่อได้ ค่อยๆหลับตาลงแล้วสานมือเขาให้แน่น

     “ไม่หรอก” เป็นครั้งแรกที่ม่านพูด “อย่างน้อยมันก็แสดงว่าคุณพ่อรักเธอนะ”
     “...”
     “เขารักเธอ”

     คราวนี้ผมยิ้ม เหตุการณ์วันเก่าหวนกลับดั่งสายน้ำที่ไหลวนย้อนคืน

     “ครับ เค้ารู้”
     “...”
     “รู้แหละว่าพ่อก็รักแม่มากเหมือนกัน ไม่งั้นไม่ร้องไห้หนักขนาดนั้นหรอกตอนที่หมอบอกว่าแม่ไม่กลับมา”

     นิ้วเรียวใช้ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมหัวเราะเบาๆให้ม่าน ทั้งๆที่ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้ให้กับมันอีกครั้งแต่จนแล้วจนรอดผมก็แพ้ให้กับเรื่องเดิมๆ

     คงเพราะผมคิดถึงแม่

     และมันจะเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน

     “เค้าถามได้ไหม?”
     “ว่ามาสิ”
     “ทำไมเธอถึงไม่คุยกับพ่อล่ะ?”

     สายตาผมวางไว้ยังมุมหนึ่งในห้อง ไม่ได้จดจ้องอะไรเป็นพิเศษเมื่อตอบคำถาม

     “กูรู้นะว่าชีวิตคนเรามันต้องเคยผิดพลาด แต่กูไม่สามารถลืมทุกอย่างที่พ่อทำได้เลย กูพยายามแล้วเหมือนกันที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม พยายามที่จะไม่คิดถึงแม่เวลามองหน้าเขา พยายามที่จะเริ่มต้นใหม่แล้วบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง...แต่กูทำไม่ได้เลย”
     “...”
     “...กูพยายามแล้วจริงๆ”

     เขาส่งมือมาลูบศีรษะแผ่วเบา เพราะความอบอุ่นนั้นทำให้ผมสงบลงมากกว่าเก่าจากตอนแรก

     “คนเราเคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้นแบบที่เธอพูด แต่หลังจากนั้นมันอยู่ที่ว่าเราเรียนรู้จากความผิดของตัวเองมากน้อยแค่ไหนและพอรู้แล้วเรายังจะทำมันอีกหรือเปล่า เค้าเข้าใจว่าเธอยังผ่านมันไปไม่ได้ และเค้าก็เข้าใจเหมือนกันที่เธอไม่อยากจะผ่านมันไป”
     “...”
     “แต่ถ้าเธอพร้อม เค้าก็มั่นใจว่าเธอจะผ่านมันไปได้เหมือนกันนะ”

     คำปลอบใจของม่านทำเอาผมหัวเราะ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับให้เจ้าตัว

     “อยากร้องก็ร้องออกมาก็ได้ ร้องกับเค้าก็ได้ อย่าเก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว ใจเธอมีแค่นั้นไม่ต้องแบกรับเอาไว้ทุกอย่างหรอก”
     “ไม่ร้องแล้ว”
     “ก็ร้องอยู่เนี่ย”

     เขาคงจะอยากจะบ่นผมว่าขี้แยแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผมกลอกตาขึ้นแล้วเช็ดน้ำใสที่เปื้อนใบหน้าออกจนหมด

     “เค้าดีใจนะที่เธอเล่าให้เค้าฟัง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรของเธอเค้าก็อยากฟังมันจริงๆ”

     ไอ้ลูกหมามีสีหน้าดีใจ เขาล้มตัวลงนอนไปกับหมอน ท่าทางพร้อมจะเข้านอนได้ทุกเมื่อ

     “เล่าเรื่องมึงให้ฟังบ้างสิ กูก็อยากรู้เหมือนกัน”

     ม่านยักไหล่ ส่ายหน้าบอกปัด

     “ชีวิตเค้ามันไม่มีอะไรน่าสนุกนี่หว่า ถ้าได้เล่าก็อยากเล่าแต่เรื่องดีๆ”
     “เรื่องเหี้ยๆก็เล่าได้”
     “บ้าหรอ ใครจะไปเล่าให้เธอฟัง”

     ผมหัวเราะ จนเขาทำสีหน้าหมั่นไส้

     “งั้นเอาไว้เล่าเรื่องของหมอก วีรกรรมเยอะ เล่าสนุกแน่นอน”
     “ไม่ต้องเล่า!!”

     เมื่อพูดจบ เสียงของคนที่โดนนินทาก็ดังสนั่น ผมตกใจไม่แพ้กับม่าน ก่อนที่สองพี่น้องจะเปิดฉากเถียงกันอีกรอบ

     “เฮ้ย ตื่นตอนไหน?”
     “ใครจะบอก!!””
     “แอบฟังตลอดเลยใช่ไหมเนี่ย?”
     “ก็มันได้ยินเอง!!”
     “ไปนอนห้องตัวเองเลยไป!”
     “ใครจะยอม ได้กอดพี่ผาทั้งที”

     อืม

     “อย่านะหมอก!”
     “ไม่สน”
     “คนนี้ไม่ได้จริงๆโว้ยยย”



     ดูเหมือนค่ำคืนนี้เราจะไม่ได้นอนกันจริงๆซะแล้ว










#ผาเพียงฟ้า


ชอบที่ม่านบอกว่าเข้าใจเหมือนกันถ้าผาไม่อยากจะผ่านมันไป
เธอเป็นทุกอย่างให้เค้าขนาดนี้อ่ะ ไอ้พี่ไม่หลงเธอก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
ไอ้เด็กกกก!


08/02/20
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 8 | you've got daddy issues and i love... - P.6 (08/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-02-2020 03:11:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

ครอบครัวม่านน่ารักมากมาย
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 8 | you've got daddy issues and i love... - P.6 (08/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: Pakeleiei ที่ 09-02-2020 00:53:47
ม่านน่ารักเสมอเลยยยยยยย :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 8 | you've got daddy issues and i love... - P.6 (08/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 02:18:48
แย่งพี่ผากันเลยทีนี้ 5555555555555
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 8 | you've got daddy issues and i love... - P.6 (08/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-02-2020 20:04:23
ครอบครัวม่านน่ารักอบอุ่น ผาต้องมีความสุขแน่ๆ ม่านคนดีที่หนึ่งอ่ะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 8 | you've got daddy issues and i love... - P.6 (08/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: nippy ที่ 19-02-2020 15:13:50
เพิ่งเจอเรื่องนี้ เข้ามาอ่านแล้วชอบภาษาที่ใช้มากเลยค่ะ ใช้ภาษาสวยงาม เป็นนิยายแบบที่ชอบและตามหา ยังอ่านไม่ถึงตอนล่าสุด แต่อยากเข้ามาเม้นให้กำลังใจนักเขียนก่อน จะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 8 | you've got daddy issues and i love... - P.6 (08/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 19-02-2020 21:59:31


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


29

here, there and everywhere




_________


I'm with you


_________






     “ห้ามทำอะไรพี่ผา!!”

     คนที่นั่งเบาะหลังพูดขึ้นก่อนจะชี้หน้าพี่ชายพร้อมคำสั่ง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันบ่งบอกว่าทั้งหมดนั้นเป็นการขู่ให้กลัว

     ทั้งๆที่มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด

     “หมายถึงทำอะไรอ่ะะ?” ม่านถามกลับ ยักคิ้วกวนประสาทจนโดนผลักเข้าอีกรอบ เจ้าตัวหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มไปไม่เป็น

     “...ก็...ก็ทำแบบนั้นอ่ะ”
     “แบบไหนอ่ะะ?”

     หมอกหันมาทางผมเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางเดิม อ้ำๆอึ้งๆอยู่นานจนคนขับเล่นงานเข้าอีกรอบ

     “งงมากเลยอ่ะว่าห้ามทำแบบไหน อย่างแบบถอดเสื้อถอดก—อื้ออ”

     คงเพราะทนฟังต่อไม่ไหวน้องชายเลยรีบใช้มือเอื้อมไปปิดปาก สะเปะสะปะมันบนใบหน้าคมคายจนเกิดสงครามขึ้นอีกหนึ่งรอบ ผมมองตาม ส่ายหน้าให้กับการทะเลาะกันที่เกิดขึ้นซ้ำๆจนเริ่มชินชา

     “ก็บอกว่าห้ามไง!”

     คราวนี้ม่านกลอกตาขึ้นด้านบน ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้จนโดนหมอกตะปบเข้าที่ศีรษะ จังหวะนั้นเองที่ผมกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว

     สมน้ำหน้า
     โดนเข้าจนได้
     เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง

     “พี่ผา ถ้ามันทำอะไรต้องบอกเรานะ”
     “อือ” ผมพยักหน้ารับไปที อมยิ้มเมื่อเห็นว่ามีสายตาขุ่นเคืองมองมาที่ตัวเอง
     “เดี๋ยวไปฟ้องแม่ให้”
     “ถ้าโดนถอดก็ต้องฟ้องใช่ไหม?”
     “พี่ผาาาาา!”

     คราวนี้ผมยิ้มขำ แท็กทีมกับม่านไปอีกหนึ่งเพราะเห็นว่าสีหน้าท่าทางเจ้าตัวดูช่างมันเขี้ยว หมอกตีเข้าที่เข่าผมหนึ่งครั้งเมื่อโดนแกล้ง พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดทั้งๆที่ต้องถึงเวลาลงจากรถ

     “ไปแล้วนะ”
     “ชิ่วๆๆ”
     “บอกพี่ผาเหอะ”
     “เอาไว้เจอกัน”
     “อย่าลืมเลี้ยงซูชิเราด้วย สัญญาแล้วห้ามโกหก”
     “ครับ”
     หมับ!
     “เฮ้ยๆๆๆ”

     เสียงอุทานดังขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างเล็กโผเข้ากอดผมด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวทำหน้าทำตาเหมือนพี่ชายก่อนหน้านี้ก่อนจะรีบคว้าของลงจากรถ ปล่อยให้สายตาอีกสองคู่มองตามหลังพร้อมกับความเงียบที่เดินทางเข้ามา

     พอไม่มีอีกฝ่ายบนรถมันก็เงียบมากเกินกว่าปกติ


     “เธออยากไปซื้อของก่อนไหม?” เขาหันมาถามความเห็นหลังจากนั้น ผมนิ่งคิดอยู่ไม่นานก็พยักหน้ารับเป็นการบอกว่าตกลง

     เพราะของใช้ที่ห้องเริ่มจะหมดไปหลายอย่าง ผมเลยอยากจะแวะซื้อมันก่อนจะกลับ เราเลือกมายังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก เป็นที่ๆรวบรวมของไว้หลายอย่างแถมยังคนไม่เยอะเกินไปอีกด้วย

     ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้เขามาอยู่ด้วยกันที่ห้องบ่อยหรือเปล่า ของใช้ของผมมันเลยหมดเร็วมากกว่าปกติ ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็แทบไม่ต้องซื้อบ่อยขนาดนี้ ผ่านไปหลายเดือนกว่าผมจะมาซื้อทีและมันทำให้รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย

     ทั้งการที่เขาใช้แชมพูกลิ่นเดียวกัน
     การที่มีเสื้อผ้าของม่านแทรกเข้ามาในตู้
     รวมถึงการที่มีของๆ เจ้าตัววางแทรกอยู่ทั่วทุกมุม

     ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะเปลี่ยนชีวิตผมจนมันแทบไม่เหมือนเดิม

     “อันนี้มันหนึ่งแถมหนึ่งอ่ะ แต่ไม่ใช่กลิ่นที่เธอใช้ เอาอันไหนดี?” เขาหยิบขวดครีมอาบน้ำขึ้นดู ยื่นให้ผมอ่านรายละเอียดก่อนจะหันมามอง
     “ผา?”
     “หืม?”
     “เธอว่าไง?”

     เพราะมัวแต่เหม่อผมเลยไม่ทันได้ฟังประโยคก่อนหน้า รีบหยิบของในมือเขามาก่อนจะถามกลับ

     “แล้วมึงชอบอันไหน?”
     “เค้าชอบกลิ่นเดิมมากกว่า แต่อันนี้ก็หอมดีนะ แถมประหยัดด้วย” เขาหันไปดูสินค้าตัวอื่นเป็นทางเลือก ก่อนที่ผมจะให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจ
     “เอาที่มึงชอบเลยก็ได้”
     “งั้นเค้าเอาอันนี้เลยนะ” มันยกของเดิมให้ดูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะตัดสินใจพยักหน้า

     เราเดินดูของใช้อื่นๆเพิ่มเติมตั้งแต่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหารสด รวมถึงของใช้ทั่วไป เมื่อไม่มีอะไรเพิ่มเติมก็นำทุกอย่างไปคิดเงินโดยที่รอบนี้เขาอาสาเป็นคนจ่ายเอง

     ผมได้แต่เดินตามเจ้าตัวที่จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ ช่วยถือของบ้างเมื่อมันเยอะเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว เมื่อมาถึงห้องม่านก็เอาทุกอย่างไปเก็บไว้ที่ห้องครัว ส่วนผมก็กลับมาเปลี่ยนเป็นชุดที่ใส่สบายแล้วเดินตามเข้าไปทีหลัง

     ผมปล่อยให้เขายุ่งอยู่ตรงนั้นสักพักโดยยืนเงียบๆบริเวณกรอบประตู แผ่นหลังกว้างขยับไปตามการเคลื่อนไหว เขาหยิบจับนู่นนี่ให้เข้าที่ไปโดยไม่ได้สังเกตว่าใครบางคนแอบมอง จนในจังหวะหนึ่งที่ผมเดินเข้าไปยืนเคียงข้าง ไม่ห่างจากที่เจ้าตัวยืนอยู่

     “เอ่อ อันนี้เธอวางไว้ไหนนะ?” เขาชูถุงตะเกียบที่ซื้อมา ผมบอกเสียงเรียบก่อนจะเงียบตามเดิม
     “ในลิ้นชักข้างอ่างล้างจาน”

     ดูเหมือนม่านจะมีสมาธิกับการจัดของจนไม่ค่อยได้สนใจผมมากนัก ดังนั้นผมเลยสามารถแอบมองเขาได้นานมากกว่าปกติ ใบหน้าด้านข้างของเจ้าตัวยังดูดีไม่เปลี่ยน แถมในเวลาแบบนี้เขาดูตั้งใจจนผมแอบยิ้มในใจเพียงคนเดียว

     “หืม? อะไรครับ?”

     เขาพูดกึ่งหัวเราะ คงเพราะผมซบเข้าที่ไหล่แผ่วเบา

     ไม่บ่อยหรอกที่จะทำแบบนี้
     ที่จะอ้อนเขาแบบนี้

     มือข้างซ้ายเขาเอื้อมมาลูบศีรษะ เล่นกลุ่มผมของผมจนเพลินใจ ส่วนมืออีกข้างเขาก็ยังพัลวันกับของใช้ไม่เลิก

     ผมยืนอยู่ตรงนั้น ใช้มือโอบเอวเขาไว้มั่นพร้อมกับแนบแก้มไปบริเวณไหล่จนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ส่งผ่านและได้กลิ่นน้ำหอมใครบางคนลอยจางอยู่ตลอด

     ผมชอบกลิ่นเขา
     ชอบแขนเขา
     และชอบทุกอย่างที่เป็นเขา

     ชอบมากๆเลยด้วย

     “อะไรเนี่ย ทำไมอยู่ๆก็มาอ้อน”

     ดูเหมือนจะมีคนแปลกใจให้กับการกระทำที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เขาหรอก ผมเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ทั้งซบเขาแถมยังใช้แขนทั้งสองข้างเลื่อนไปคล้องคอแกร่งเอาไว้ คราวนี้ม่านละจากสิ่งที่ทำอยู่ โอบกอดผมหลวมจากแขนของเจ้าตัว

     “...”
     “...”

     ผมเงียบ เขาก็เงียบ
     แต่เสียงในใจเรากลับดังก้อง

     บ่งบอกผมว่า ‘ความรัก’ มันเป็นแบบนี้

     แบบที่มันไม่ได้มีอะไรหวือหวา ทุกอย่างช่างแสนธรรมดาและเรียบง่าย

     และไม่ต้องพูดอะไรออกไปเราก็เข้าใจมันได้ดี


     ผมเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ในตอนที่ใช้มือกอบกุมใบหน้าคมคายไว้ทั้งสองข้าง ริมฝีปากหยักตอบรับสัมผัสทั้งหมดเป็นอย่างดี เขายอมให้ผมเอาแต่ใจและปรนเปรอให้อย่างเชื่องช้า ลิ้นร้อนที่ขยับแลกเปลี่ยนไปมาทำให้รู้สึกวาบหวิว ม่านกอดผมไว้มั่น ไม่ยอมให้ห่างจากตัวเลยสักครั้งจนเป็นผมเองที่ผละออกมา

     “ปากหวาน” ผมกระซิบ ไม่รู้ว่าหน้าแดงหรือเปล่าในตอนที่พูดออกไป เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนระยะห่างมันค่อนข้างจะหวาดเสียว
     “หวานจริงหรอ?”
     “...”
     “หืม?”
     “อืม หวาน”
     “แล้วชอบไหม?” อีกฝ่ายได้ใจใหญ่ กดจูบที่แก้มแล้วหวังจะจบตรงปากผมอีกรอบ
     “...” ผมไม่ตอบ แต่แอบเบี่ยงตัวหลบจนพ้นจากการจู่โจม
     “หวานทั้งตัวอ่ะ ไม่เชื่อลองชิมได้”

     ผมหัวเราะให้กับคำที่เขาหยอกล้อ ก่อนจะยักคิ้วกวนกลับไป

     “เอาป่ะล่ะ...อยากชิมอยู่เหมือนกัน”

     ก็ผมยอมซะที่ไหน
     ถ้าให้สู้ก็ไม่ถอยหรอกนะเอาจริง

     “พูดจาว่ะ”
     “แล้วทำไม?”
     “เนี่ย”
     “นี่อ่อยอยู่ ยังไม่รู้ตัวอีกหรอ?”

     ผมหายใจผิดจังหวะเมื่อพูดจบ ไม่ต่างจากม่านที่ชะงักค้างก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ

     “พอเลย เห็นว่าเหนื่อยอยู่หรอกนะเลยไม่ทำ”
     “อ่าาา”
     “...”
     “โอเคค”

     ผมไม่เล่นต่อ รู้ดีว่าขีดจำกัดเขาอยู่ตรงไหน แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ตอนที่เชยตามอง พร้อมกับแอบซุกไซร้ไปยังลำคอของอีกฝ่าย

     บริเวณที่เป็นจุดอ่อนไหวของเจ้าตัว

     “อืมม ผา”

     เขาผลักตัวผมออก หายใจติดขัดจนรู้ได้ว่าไม่ปกติ

     “ครับ?” ผมยิ้มร่า ก่อนจะเปลี่ยนท่ายืนให้เหมาะสม “ฮ่าๆ โอเคไม่เล่นแล้ว”
     “...”
     “...”
     “...”
     “งั้นจะกินอะไร เดี๋ยวไปทำให้?”
     “เปลี่ยนใจเป็นกินเธอแล้วได้มั้ย?” ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนเจ้าตัวถึงได้พูดพร้อมกับรั้งแขนผมเอาไว้ คราวนี้ไม่มีแววล้อเล่นแบบที่เคย

     “ไหนบอกไม่ทำไง?”
     “ก็...อยากแล้วอ่ะ”
     “ลูกผู้ชายป่ะวะ?”
     “ผาา”
     “สัญญาก็เป็นสัญญาสิ”

     ดูเหมือนคนโดนเล่นงานจะลังเลให้กับการตัดสินใจ เขาไม่ได้ปล่อยมือผม แต่ก็ยังไม่ได้ยอมแพ้แม้จะโดนปฏิเสธ

     เหมือนลูกหมาที่หางตกอย่างไรอย่างนั้น


     ภาพที่เห็นทำเอาผมอมยิ้ม ก่อนจะรีบขยับเข้าไปหอมแก้มแล้วเดินจากมาพร้อมกับข้อตกลงใหม่ที่ดูเหมือนใครบางคนจะน้อมรับมันไว้แต่โดยดี


     “เดี๋ยววันนี้อาบน้ำด้วยแล้วกัน”





50%






#ผาเพียงฟ้า




19/02/20
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere - P.6 (19/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-02-2020 22:33:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่ผาชอบอ่อยแกล้งน้องมันนักนะ

เล่นทำให้อยากแล้วจากไปเนี่ย

ระวังเหอะ
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere - P.6 (19/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: Pakeleiei ที่ 19-02-2020 22:49:33
แงงงงงงง ผาน่ารักไม่ไหวแล้ว :katai1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere - P.6 (19/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: nippy ที่ 20-02-2020 15:08:11
เป็นนิยายที่ไล่เรียงความสัมพันธ์ไปตามความเป็นจริงมากเลยนะคะ ไม่ได้รักกันรวดเร็วปรู๊ดปร๊าดจบที่เตียงนอน
ทุกอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆรู้สึกค่อยๆพัฒนา ทำให้คนอ่านเข้าใจว่าเนื้ออท้ของผาเป็นยังไง ถึงแสดงออกแบบนั้น และทำให้คนอ่านหลงรักม่านมากมายได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere - P.6 (19/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-02-2020 03:11:37
พี่ผาอ้อนแบบนี้ใครจะทนได้!!  :heaven
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere - P.6 (19/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 29-02-2020 12:22:45


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


29

here, there and everywhere

part 2




_________


I'm with you


_________





     หลังจากรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา ผมก็รีบเข้านอนเพราะต้องเก็บแรงไปเข้าเรียนพรุ่งนี้ ม่านตามมาหลังจากนั้นไม่นานพร้อมกับแขนที่รวบผมเข้าไปกอดอย่างเช่นทุกครั้ง รินรดลมหายใจกระทบแผ่นหลังแล้วเอ่ยถามคล้ายกับรู้ว่าผมนั้นหลับไม่สนิท

     “พรุ่งนี้เข้ามอพร้อมกันไหม?”

     เสียงเขาอู้อี้ คงเพราะริมฝีปากเจ้าตัวจรดกับไหล่ผมอยู่

     “มึงเรียนเก้าครึ่งไม่ใช่หรอ?”
     “ครับ”
     “กูออกเช้า คงไปก่อน”
     “อือ”

     ม่านออกแรงให้ร่างกายผมเคลื่อนไปใกล้จนแผ่นหลังกระทบกับแผงอกกว้าง ผมขยับให้ได้ท่าสบายแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่พ้นพันธนาการของเขาอยู่ดี

     “แล้วเธอไปทำไมแต่เช้า?”
     “ไปยื่นใบโปรเจคให้ห้องคณะ แล้วก็ให้หัวหน้าภาควิชาเซ็นรับรองด้วย”
     “ใกล้จบแล้วดิงี้”
     “อืม”
     “...”
     “เหลือพรีอีกรอบก็จะจบแล้ว”

     คราวนี้ผมหันกลับไปหาเจ้าตัว ดึงผ้าห่มขึ้นสูงจนชิดปลายคาง มองเห็นใบหน้าของเขาที่ห่างออกไปไม่กี่เซ็นจากความช่วยเหลือของแสงสลัวภายนอกหน้าต่างที่มีม่านผืนบางกั้น

     พร้อมกับสายตาที่เริ่มคุ้นชินกับมันเข้าแล้ว

     “ไวเหมือนกันนะ” ผมพูดในตอนที่เราสบตา มีแขนของใครบางคนโอบเอวเอาไว้ไม่ให้ไปไหน “แปบๆก็ผ่านไปปีนึงแล้ว”

     “อืมนั่นสิ”
     “...”
     “จีบเธอเป็นปีเลยเนี่ย” เขาหัวเราะ น้ำเสียงผ่อนคลายกว่าที่เคยได้ยิน

     “จริงดิ?”
     “จริง” ม่านเว้นช่วง “มาคุยกับเธอจริงๆจังๆก็ช่วงขึ้นปีสามเนี่ยแหละ ก่อนหน้านั้นปอดแหก ไม่ค่อยกล้ายุ่งกับเธอเท่าไหร่”
     “ก็ว่า หลังๆนี่ยุ่งจัง”
     “คนมันอยากได้อ่ะ ก็ต้องเร่งทำคะแนน”
     หมับ!
     “อยากได้เลยนะไอ้หมา”

     ผมกัดหัวไหล่เขาไปทีเมื่อได้ยินคำที่ไม่เข้าหู ทำเอาใครบางคนรีบผลักออกแต่ก็ไม่ได้ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดแต่อย่างใด

     “ก็...อยากได้จริงๆ ฮ่าๆ”
     “...”
     “อยากได้มาเป็นแฟนไงคร้าบบ โถถ”

     เมื่อเห็นว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ลงกว่าเดิมเขาก็รีบแก้ตัวพัลวัน ใช้น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับบีบแก้มผมไปมา

     ช่างรู้วิธีเอาใจนัก

     “ไม่กลัวกูหรอ?” ผมถามต่อเมื่อมีหลายอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็อยากให้เจ้าตัวแบ่งปันมันมาให้บ้าง เพราะบ่อยครั้งที่เรื่องของม่านมันทำให้ผมมีความสุข

     “ก็...คิดว่าเธอจะใจดี”
     “แล้วเป็นไง”
     “ไม่เอา ไม่พูดดีกั่ว”
     พลั่ก
     “ทำมาตลก”

     เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เขาจะพูดต่อโดยที่ผมไม่ต้องถามย้ำอีกรอบ

     “ถ้าถามว่ากลัวมั้ยก็ไม่ได้กลัวนะ เตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เรื่องใจร้ายนี่ยกให้ที่หนึ่งเลย”
     “กูใจร้ายอ่ะดิ”
     “มาก ใจร้ายมาก” ผมอมยิ้ม ใช้นิ้ววนไล้แขนเขาไปมา “เคยท้อจนแบบคิดจะเลิกคุยไปเลยก็มี แต่พอเห็นหน้าเธอมันก็ลืมหมดเลย บอกแล้วว่าไม่เก่งหรอกกับเธออ่ะ แพ้ตลอด”
     “ตอนไหน?”
     “ครับ?”
     “ที่บอกว่าอยากเลิกคุย? หมายถึงตอนไหน?”
     “อืม..” เขาไม่ตอบ ดังนั้นผมเลยลองคาดเดาดูบ้าง
     “ขอไปเดทหรอ?”
     “เนี่ย ไม่ทันขาดคำ”

     การสันนิษฐานของผมถูกต้องทุกอย่าง เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปวันนั้นผมค่อนข้างจะใจร้ายกับเขามากจริงๆ

     “มันหลายๆอย่างมั้ง เหมือนมันไปต่อไม่ได้แล้วอ่ะ จะไปทางไหนเธอก็ปิดเค้าหมดเลย เค้าก็ไม่รู้ต้องทำยังไง เพื่อนก็แหย่ๆว่าพักก่อนมั้ย เค้าก็เริ่มลังเล”
     “อือฮึ”
     “แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้เธอก็ชอบมาง้อตลอด”
     “...”
     “ง้อจนได้ใจไปเลยบางที”
     “รู้”
     “...”
     “รู้ไงว่าเสียใจ รู้อีกว่าใจร้าย ไม่ได้อยากให้ความหวังแต่ก็เลวไม่ลงเหมือนกัน”
     “...”
     “เลยกลายเป็นว่าก้ำๆกึ่งๆมันอยู่แบบนี้”

     เสียงผมผะแผ่ว ถึงจะเป็นการแก้ตัวแต่ดูเหมือนม่านจะไม่ได้ใส่ใจมันนักเพราะตอนนี้เขากับผมก็มีสถานะชัดเจนกันดีอยู่แล้ว

     “อืม ถามทำไมเนี่ย” ม่านบ่นอุบอิบ ลูบหัวผมไปมาก่อนจะวางมือไว้ที่เดิม
     “ก็แค่อยากรู้”
     “...”
     “ม่าน”
     “ครับ”
     “วันพุธกูไปกินเหล้าวันเกิดไอ้ตินนะ”

     ผมเรียกเขาจังหวะหนึ่ง กลัวว่าเจ้าตัวจะนอนไปก่อนถึงได้รีบขัด รีบบอกสาเหตุว่าทำไมตัวเองถึงจะไม่อยู่ห้องในอีกสองวันถัดไป อันที่จริงไม่ต้องขอม่านด้วยซ้ำแต่ผมก็ไม่อยากทำอะไรที่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย อย่างน้อยการบอกเขาไว้ก่อนมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะทำ

     “กลับกี่โมง?”
     “คงประมาณตีสอง ไม่เกินตีสอง”
     “ตีสองแน่นะ”

     รอบนี้ม่านถามย้ำ ผมเลยสัญญาออกไปโดยไม่คิดให้ดี

     “ครับ ตีสอง”









/








     บรรยากาศร้านเหล้ายังเป็นเหมือนเดิมที่เราเคยมา ผู้คนรายล้อม กลิ่นบุหรี่ฉุนจัด ขวดแอลกอฮอลล์วางระเนระนาดบนโต๊ะโดยไม่มีใครคิดจะสนใจเก็บ ผมยกก้านขาวขึ้นชิดริมฝีปาก พ่นควันขาวขึ้นด้านบนช้าๆแล้วเปรยตามองเจ้าของวันเกิดที่นั่งอยู่ไม่ไกล

     ไอ้ตินยังเงียบเหมือนเดิมถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสำคัญของมัน  ได้แต่ยกแก้วขึ้นชนผองเพื่อนรอบข้าง ความถี่ของการดื่มเพิ่มสูงขึ้นจากปกติถึงเท่าตัว ถึงแม้จะมีแค่เพื่อนในกลุ่มที่นั่งอยู่แต่พวกมันก็ดูเหมือนจะไม่ออมมือให้กันแม้แต่น้อย

     “ชนครับ ชน!”

     ผมยกแก้วขึ้นบ้าง ถึงแม้จะรู้ว่าเกินปริมาณที่ตัวเองจะรับไหวแต่ก็ยังกินต่อเพราะคำว่าป๊อดมันค้ำคอไม่ให้เสียชื่อ

     ก็อย่างว่า
     พวกผมมันเคยธรรมดาซะที่ไหน

     “วันนี้ม่านไม่มาหรอ?” เป็นไอ้เหนือที่กอดคอแม้จะยังไม่ละแก้วในมือ ถามคำถามที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกริ่มตามประสาเจ้าตัว

     “ทำงาน”
     “ไม่มีผัวมาคุมแฮะ”
     “ปากมึงนะ” ผมค้อน ไม่ค่อยชอบสรรพนามที่มันใช้เท่าไหร่ ดูเหมือนไอ้เหนือมันก็รู้ได้จากท่าทางที่ผมส่งให้ก่อนที่จะยักไหล่เป็นการขอโทษ

     “แล้วมึงล่ะ?”
     “อะไร?”
     “คนคุมหายไปไหน?”
     “คนคุมอะไรคร้าบ ผมคนจริง ไม่มีพันธะอะไรทั้งน้านนน”

     อีกฝ่ายลากเสียงยาวเพื่อกวน ท่าดีทีเหลวของมันทำให้ผมคาดเดาอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ทำเพียงขู่แต่ดูเหมือนไอ้เหนือมันจะสะอึกอยู่ไม่น้อย

     “เห็นน้องอินกับคนใหม่ก็ไม่ต้องลากพวกกูมาแดกเหล้านะ”

     พลั่ก!

     เพราะคำพูดพวกนั้นแหละมั้งที่ทำเอาผมโดนผลักหัวไปอีกทาง ตั้งท่าจะวางมวยกับมันแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าโดนสะกิดให้ดูบางอย่างเข้าซะก่อน

     เป็นภาพเจ้าของวันเกิดที่ยืนอยู่กับใครบางคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี ผมแทบจะลุกไปหามันอยู่รอมร่อถ้าไอ้เหนือไม่รั้งแขนเอาไว้ก่อน แบบนั้นเลยต้องทนมองเหตุการณ์ต่อแม้ในใจจะไม่นิ่งตาม ไม่ใช่ว่าอยากจะกีดกัน แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กที่ผมเอ็นดูเป็นอย่างมาก ผมเลยค่อนข้างที่จะหวงมากกว่าปกติ

     “เอาน่า ปล่อยมันไปเถอะผา”
     “แต่ว่า—”
     “มันไม่ใช่คนเหี้ยแบบพวกกู”

          เพราะไอ้เหนือย้ำมาอีกรอบผมเลยถอนหายใจก่อนจะมองภาพนั้นต่อ เห็นดวงตาใสซื่อพร้อมกับรอยยิ้มจางที่คนอายุน้อยกว่ามอบให้แล้วก็ใจกระตุกเล็กน้อย

     เสือก็ยังเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ
     ไอ้ตินร้ายเงียบยังไงมันก็ร้ายเงียบอยู่อย่างนั้น
     หลานรหัสผมก็ยังไม่เว้น

     ไม่นานทั้งสองคนก็แยกจากกัน อีกฝ่ายไปทาง ส่วนไอ้ตินก็กลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับถุงบางอย่างในมือ
     
     “เห็นนะเว้ยๆๆๆ”

     เพื่อนๆต่างแซวกันไม่ขาดเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่ามันกำลังคุยกับใครอยู่ ตินหันมามอง ก่อนจะจุดบุหรี่สูบและไม่มีคำอธิบายตามประสาเจ้าตัว ผมใช้เท้าสะกิด ขู่ด้วยสายตาเล็กน้อยเพื่อให้มันยอมบอกเรื่องราวทั้งหมด

     “ไม่มีไร” คนตัวสูงยักไหล่ พ่นควันขึ้นช้าๆก่อนจะมองผมกลับ เราสบตากันอยู่นานก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายพูดเสียแทน

     “นั่นน้องกู”
     “รู้”
     “แล้วรู้มั้ยว่ากูหวงมาก”
     “...” คราวนี้มันไม่ตอบ ใช้จังหวะที่ผมคาดคั้นเคาะก้านบุหรี่ให้เถ้าถ่านตกลงบนถาดใส
     “ขอร้องล่ะ ถ้าไม่จริงจังก็อย่ายุ่งกับน่านเลยนะ” ไม่บ่อยที่ผมจะร้องขอ มันคงรู้ได้จากน้ำเสียงและแววตาที่ส่งไป ถึงแม้จะจริงจังมากเท่าไหร่การตอบกลับก็มีเพียงสีหน้านิ่งเรียบและการยกบุหรี่ขึ้นเทียบที่เดิมพร้อมกับย้ำประโยคสั้นๆ

     “อืม”

     เท่านั้นที่มันทำ

     และผมก็ไม่อยากจะคาดคั้นอะไรต่อ

     ไอ้ตินมันเป็นแบบนี้ พูดน้อยต่อยหนัก และถ้าวันไหนถ้ามันผิดสัญญาผมก็จะเอาคืนให้สาสมเหมือนกัน ลองดูว่าครั้งนี้มันจะทำตามที่พูดได้ไหม

     เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นทำเอาเพื่อนแซวมันอย่างหนัก เพราะเป็นวันเกิดเจ้าตัวด้วยมั้งเลยไม่ปล่อยผ่านแบบวันอื่นๆ ผมร่วมโรงด้วยหลังจากนั้น ก่อนเราจะกินอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่คิดจะยั้ง รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปนานจนเกือบเช้า

     ไอ้ฮั่นเป็นคนมาส่งผมที่หอในสภาพที่ต่างคนต่างเมาไม่ต่างกันเท่าไหร่ โชคดีที่ไม่มีด่านในเวลานี้มันเลยขับกลับได้สบายโดยไม่ต้องกังวลมาก* ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการพยุงตัวเองขึ้นห้อง ต้องบอกว่าแทบจะคลานเลยก็ว่าได้ รีบหยิบคีย์การ์ดวางไว้บนเครื่องอัตโนมัติก่อนที่ประตูบานใหญ่จะเปิดออก

     “ไหนบอกว่าจะกลับตีสอง?”

     พร้อมกับเสียงเข้มของคนที่ยืนกอดอกมองมาโดยที่ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าเคยสัญญาอะไรกับเขาเอาไว้
     

     ให้ตาย


     ทำไมผมถึงลืมมันไปได้เสียสนิท








**คำเตือน การดื่มสุราทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างนะคะ





100%






#ผาเพียงฟ้า




29/02/20
before30october

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere 50%หลัง - P.6 (29/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-02-2020 18:23:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

ผาต้องโดนทำโทษแน่ ๆ เลยอ่ะ  ข้อหาไม่รักษาสัญญา
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere 50%หลัง - P.6 (29/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 01-03-2020 00:11:18
ตามอ่่านถึงตอนปัจจุบันแล้ววว*จุดพลุ*

เรื่องนี้เหมือนจะเรื่อยๆแต่ไม่ได้เรื่อยอย่างที่คิด เราชอบการพัฒนาความสัมพันธ์ของม่านกับผานะ มันเรียลดี เหมือนเราได้ทำความรู้จักม่านไปพร้อมๆกับผา ได้รู้จักผาไปพร้อมๆกับม่าน แล้วพอรู้จักแล้วอะนะ... อยากมีม่านเป็นของตัวเองจ้าาา 55555

ปล.ตอนล่าสุดผาต้องโดนไอหมาเล่นงานซะหน่อย หมาตัวนี้นอกจากจะดุแล้ว ยังหวงเจ้าของอีกเนี่ย อย่างนี้ต้องโดนนน
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere 50%หลัง - P.6 (29/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2020 03:25:30
น่าน พี่ผา  :ling2:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere 50%หลัง - P.6 (29/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 01-03-2020 10:46:22
พี่ผาโดนน้องทำโทษแน่ๆ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere 50%หลัง - P.6 (29/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nefrit ที่ 07-03-2020 14:15:24
น้องหมาผู้แสนจะแพ้ แสนจะน่ารักจะคุมเกมส์ได้หรือไม่ หรือพี่ผาเค้าจะมีอะไรมาให้น้องม่านเราแพ้อีก
  :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | here, there and everywhere 50%หลัง - P.6 (29/02/20)
เริ่มหัวข้อโดย: before30october ที่ 16-03-2020 22:59:24


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


30

a drunk man never tell a lie







     “กูหูฝาดไปป่ะวะ?”
     “นั่นดิ”
     “ขออีกทีได้ป่ะผา กูว่ากูไม่ยินไม่ชัดเท่าไหร่เลย”

     ผมถอนหายใจลากยาว หลับตาลงแน่นก่อนจะกลั้นใจถามไปอีกรอบแม้จะไม่อยากทำแบบนั้นก็ตาม

     เพราะกลัวว่าหน้าตัวเองจะแดงจนกู่ไม่กลับและพวกมันจะล้อเข้าอีก

     “กูถามว่ากูต้องง้อม่านยังไงดี?”

     แต่สุดท้ายผมก็ต้องทำ เพราะตอนนี้ผมจนตรอกหาจนหาทางออกไม่ได้แล้ว

     “ชัดเจน”
     “แจ่มแจ๋วเลย”
     “ไอ้เหนือ”
     “ว่า”
     “ตบหน้ากูทีดิ นี่ความจริงหรือโกหกวะ”
     “มึง กูก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าตัวเองจะมีวันนี้”

     ผมอยากจะฟาดหมอนที่กอดอยู่เข้ากับไอ้สามตัวที่มันรับส่งมุกกันอย่างหน้าตาย ทั้งๆที่คิดว่าอยากจะได้คำแนะนำดีๆจากเพื่อนสักหน่อย แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดไปเล็กน้อยที่เอามาถามพวกมัน เพราะสุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้ก็คือการล้อ...

     “จับปล้ำ! กูรับรองว่าหายงอนชัว!”

     ...และไม่พ้นเรื่องใต้สะดือ

     ผมหลับตาลงอีกรอบพร้อมกับกำหมัดแน่น ได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้ฮั่นดังตามมาติดๆ ไม่เว้นแม้แต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถึงแม้มันจะไม่ได้ออกความคิดเห็นแต่ก็อมยิ้มไม่ต่าง บ่งบอกว่าชอบใจนักกับคำแนะนำของไอ้เหนือ

     แม่ง
     พวกมึงนี่มัน

     “แน่ใจหร้ออ?”
     “ชัวป้าบ”
     “พูดงี้แสดงว่าเด็กมึงหาย?” คนที่นั่งข้างกันสวนกลับ ด้วยความปากไวบวกกับความขี้โอ้อวดของมันก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว
     “ระดับผ้มมม”
     “แสดงว่าคนนี้ได้แล้ว”

     แต่ก็ดูเหมือนไอ้เหนือจะพลาดท่าให้กับการเล่นงานของเพื่อนเข้าจนได้ มันนิ่งไปนานเมื่อรู้ตัวว่าโดนล้วงความลับ จากนั้นจึงใช้เท้าถีบไอ้ปัทถ์จนเกือบเซ ไอ้นาวาแท็กมือกับคนฉลาดไปทีก่อนที่เจ้าของห้องจะขัดขึ้น

     “มึงมาให้คำตอบไอ้ผาก่อน”

     เพื่อเป็นการบอกไม่ให้พวกมันหลงประเด็น

     “โทษๆ”
     “เออ วนมากูได้ไง”

     พวกมันเริ่มทะเลาะกันอีกรอบก่อนจะยอมสงบศึกเมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรสนุกเท่าการล้อผมต่อ

     ให้มันได้แบบนี้

     “สรุปมึงจะเอาไง?” เป็นไอ้ตินที่เงียบมานานถามก่อน ตามด้วยไอ้เหนือที่ยังย้ำคำตอบเดิมของมันด้วยหน้าตาจริงจังเป็นที่สุด
     “ไม่ปล้ำจริงดิ?”

     ผมขมวดคิ้ว บ่งบอกชัดเจนว่าไม่เอาด้วยอย่างเด็ดขาด

     “กูจริงจัง”
     “แล้วกูไม่จริงจังตรงไหน?”
     “ฮ่าๆ”

     เป็นไอ้ฮั่นที่ยังหัวเราะไม่เลิกเข้ามาตบไหล่ผมให้กำลังใจ

     “อย่าถามพวกกูเลย มันก็จะมีแต่เรื่องเหี้ยๆแบบนี้แหละ”

     คงเป็นความผิดของผมเองที่คิดจะหวังพึ่งพวกมันถึงแม้จะเป็นทางออกสุดท้ายที่ตัวเองมีแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าไอ้พวกด้านชากับความรู้สึกพวกนี้จะไม่ได้เข้าใจเท่าไหร่นัก

     ก็เคยรักใครเป็นซะที่ไหน

     “แล้วไปไงมาไงถึงทำมันโกรธได้?”

     ดูเหมือนคนที่จะพึ่งพาได้มากที่สุดคือไอ้ติน ถึงจะไม่ได้คำตอบที่ดีจากเจ้าตัวแต่อย่างน้อยมันก็รู้จักใส่ใจเรื่องราวมากกว่าไอ้พวกสามตัวที่คิดได้แต่เรื่องหน้าม่อ

     ไม่น่าคบตั้งแต่แรกเลยจริงๆ

     “ไม่รู้เหมือนกัน”
     “...”
     “ไม่คิดว่าจะโกรธด้วย”
     “หนักเลยหรอวะ?”
     “รอบนี้หนัก ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้”

     ไม่ใช่แค่มันที่แปลกใจ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ถึงแม้ปกติม่านจะน้อยใจผมบ้างแต่เราก็สามารถคุยกันได้และมีทางที่ผมสามารถเข้าหาเพื่อง้อได้ตลอด แต่ครั้งนี้มันดูต่างออกไปมาก

     ทั้งสายตาของเขา
     การพูดคุยของเรา
     และการกระทำของเจ้าตัว

     จริงที่ว่าม่านทำตัวปกติ ไม่ได้หนีหายหรือหลบหน้า ไม่ได้ไม่พูดไม่จาหรือทำอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกลำบากใจ เรานอนกอดกันเหมือนเดิม ไปกินข้าวด้วยกันอย่างเช่นทุกครั้ง มีผมอยู่ไหนมีเขาอยู่นั่น ไปรับไปส่งและทำหน้าที่แฟนไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักนิด ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมเหมือนปกติ

     แต่มันกลับเป็นความปกติที่น่ากลัวและอธิบายไม่ได้ว่าทำไม

     เขานิ่ง
     นิ่งมาก

     จากปกติที่อารมณ์ดีทั้งวันแต่คราวนี้มันกลับไม่มีรอยยิ้มเช่นเคย

     ผมไม่รู้จะรับมือยังไงกับความเปลี่ยนไปของเขาแบบนี้ ยิ่งคนที่แสดงออกไม่เก่งแบบตัวเองก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ไม่ใช่ว่าผมไม่ง้อ ผมทำเท่าที่จะทำได้ไปหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรดีขึ้นจนได้แต่สงสัยว่าทำไมและเพราะอะไรเขาถึงได้เป็นแบบนั้น

     ผมผิดสัญญา

     อันนี้ผมรู้ดีแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ วันนั้นพอกลับถึงห้องก็รีบเข้าไปกอดอีกฝ่ายพร้อมกับคำขอโทษ คิดว่ามันจะได้ผลแต่เขาก็ยังไม่ยอมหายโกรธสักที

     ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน เพราะไม่รู้จริงๆถึงเหตุผล ครั้นจะไปถามก็ไม่กล้ากลัวว่าจะโดนโกรธหนักเข้าไปอีก

     หรือว่าผมเมา? แต่ปกติผมก็เมาเป็นหมาแบบนี้ทุกรอบเวลาดื่ม ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยซ้ำ แถมเขาก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง เคยเจอกับตัวมาแล้วตั้งหลายรอบ จะบอกว่าเมาก็คงไม่น่าเข้าข่าย จะมีคนอื่นก็ไม่ใช่ หรือจะไม่สนใจเจ้าตัวก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่ดี

     ยิ่งคิดมันก็ยิ่งหงุดหงิดจริงๆ

     “กูหาชุดยั่วๆให้ได้” ไอ้นาวาเสนอในจังหวะหนึ่ง ความคิดมันไม่ต่างจากไอ้เหนือเท่าไหร่เลยทำให้ผมได้แต่กำหมัดแน่นขึ้นแล้วผ่อนปรนลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า

     “ของเล่นห้องกูเพียบ ถ้าเพื่อนจะยืมกูไม่คิดตังก็ได้อ่ะ”
     “มึงทำดี”

     แต่ก็ดูเหมือนว่าฟางเส้นสุดท้ายของความอดทนผมมันจะขาดลงง่ายซะเหลือเกิน

     จากคำพูดของพวกมัน

     “เดี๋ยวกูไปคิดท่าให้ว่าแบบไหนเซ็กซี่สุด”

     ที่ยังแนะนำเรื่องต่ำตมได้ไม่เลิก

     “แบบที่มันเห็นแล้วรีบตะครุบมึงแน่นอ-อักก อ่อยยยอูว! อึกก!”


     ผมว่าตอนนี้แฟนไม่หายโกรธไม่เป็นไร
     แต่เลือดหัวเพื่อนไม่กระเด็นมันไม่ได้ มันต้องเชือดไก่ให้ลิงดูกันสักแมทช์!









/











     นาฬิกาบนผนังเป็นที่ๆผมนำสายตาไปวางไว้มากที่สุดในรอบสามชั่วโมงที่ผ่านมา เฝ้าคอยว่าตอนนี้เวลาจะล่วงเลยไปแล้วเท่าไหร่ กับการรอคอยให้ใครสักคนกลับมาถึงห้องและผมก็ตัดสินใจเอาไว้ว่าวันนี้ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

     เพราะตัวเองไม่สามารถทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

     แต่แผนของผมก็พังลงไม่เป็นท่าจากการบอกกล่าวของม่านเมื่อไม่นานมานี้

     ‘วันนี้เค้าไปกินเหล้า’

     เขาทิ้งข้อความไว้สั้นๆ และผมก็ไม่กล้าถามกลับถึงแม้จะอยากทำแบบนั้นมากแค่ไหน ผลสุดท้ายข้อความเดิมก็ถูกพิมพ์ทิ้งไว้ในช่องสี่เหลี่ยมและไม่ถูกส่งออกไปถึงอีกฝ่าย ปล่อยให้คนร้อนใจเอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองไปมา

     ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาไปกับใคร
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะกลับตอนไหน
และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้ผมรอนอนพร้อมกันอย่างที่เราทำเป็นประจำหรือเปล่า

     ผมไม่ได้ถาม และม่านก็ไม่ได้บอกเอาไว้อย่างที่เขามักจะทำไว้ตามปกติ

     ถึงแม้จะน้อยใจแต่สิ่งที่ผมพอจะทำได้คือบอกตัวเองให้ใจเย็นและเฝ้ารอคอยอีกฝ่าย ในเมื่อผมอยากให้ความสัมพันธ์ของเรานั้นเดินต่อ ทุกวินาทีที่เป็นเรื่องของเขาผมจึงต้องค่อยๆคิดและประคองมันเอาไว้เท่าที่ตัวเองจะรับมือไหวมากที่สุด

     เพราะเขาเป็นคนพิเศษ และเป็นคนเดียวที่ผมไม่อยากให้หายไปจากชีวิตอีกแล้ว

     ผมแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลองีบไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีนาฬิกาเรือนสีดำก็บอกว่าเป็นเวลาห้าทุ่มนิดๆ คาดเดาคร่าวๆว่าคงประมาณสี่สิบกว่านาทีที่หลับไปทั้งๆที่มีโทรศัพท์กำไว้แน่นอยู่ในมือ แต่เมื่อเปิดดูผมก็ไม่พบว่ามีแจ้งเตือนอะไรจากคนที่รอคอยดังเดิม แบบนั้นจึงถอนหายใจลากยาว มองไปรอบๆห้องที่ตอนนี้เงียบเหงามากกว่าเคย

     ผมชินกับชีวิตที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ชินชากับรอยยิ้มสว่างไสวที่เจ้าตัวมอบให้มาตลอด พอได้อยู่คนเดียวแบบนี้มันเลยไม่ชอบใจเท่าไหร่

     ม่านมันต้องเล่นมนตร์เสน่ห์อะไรใส่ผมแน่ๆ
     ผมถึงได้หลงเขาถึงขนาดนี้

     แอ๊ดด!     

     เพราะเอาแต่คิดอะไรเพลินๆ ในตอนที่มีเสียงเปิดประตูหน้าห้องมันเลยทำให้ผมตกใจนิดหน่อย และผมก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นคนที่หายไปกลับมา เพราะตอนนี้มันเพิ่งจะห้าทุ่มกว่า ตามนิสัยของพวกเราแล้วไม่มีทางที่จะถึงห้องไวแบบนี้อย่างแน่นอน ไม่ล่วงเลยข้ามวันก็จะยันเช้าตลอด

     ผมรู้ความจริงข้อนั้นดี

     สายตาที่มองมาทำให้ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก มองเขาที่ถอดรองเท้าแล้วทิ้งมันอย่างไม่สนใจไยดีในมุมหนึ่ง ลุกขึ้นหวังจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ชะงักและหาทางไปต่อไม่ได้

     คงเพราะเห็นเขากำลังนิ่ง
     เป็นการนิ่งที่นานทีจะมีให้เห็น

     ม่านมองผมอยู่ตลอดในตอนที่เดินเข้ามาใกล้ ร่นระยะห่างระหว่างเราสองคนไปพร้อมกับการค่อยๆถอดเสื้อเชิ้ตสีดำจนมันตกหล่นไปกองอยู่ที่พื้น ปล่อยให้ร่างกายกำยำและหน้าท้องที่ขึ้นลอนนั่นปรากฏแก่สายตา ไม่ต่างจากขอบกางเกงในและสร้อยสีเงินที่เขาสวมใส่ มันกระทบแสงไฟวาววับก่อนที่จะหายลับไปจากมือใหญ่ที่เชยคางผมขึ้น บังคับสายตาให้ไปวางไว้บนใบหน้าเขาอีกครั้ง

     และจากนั้นเจ้าตัวจึงมอบจูบแสนหวานก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรันจวนใจ

     ริมฝีปากผมโดนฟันซี่คมกัดเข้าเล็กน้อยในตอนที่เจ้าตัวเริ่มเปลี่ยนจังหวะ ทำให้ลิ้นของเราแลกกันไปมาอย่างร้อนแรง เขาดันผมเข้าที่กำแพง แยกขาเล็กแล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลิ่นแอลกอฮอลล์และกลิ่นบุหรี่ที่คละเคล้าทำให้ผมแทบเสียสติ สมองไม่ประมวลผลเมื่อโดนรุกรานอย่างหนัก

     “อื้ออ ธะ เธอ”

     ผมพยายามห้าม เพราะหายใจไม่ทันและอยากจะตกลงกับเขาให้จบก่อน

     แต่ดูเหมือนม่านจะไม่ยอมฟังเลยสักนิด

     เขามอบจูบครั้งที่สองในตอนที่ดึงผมเข้าชิด ใช้มือสะเปะสะปะไปบนร่างกายจนทั่วและมันมักจะหยุดที่จุดอ่อนไหว เพราะเป็นแบบนั้นผมเลยรั้งเอาไว้ก่อนที่อะไรๆมันจะเลยเถิด

     “เค้าขอ คุ— คุยก่อน”

     ถ้าเสียงที่มันส่งไปแหบพร่าก็ต้องโทษเขาที่เอาแต่รุกรานไม่หยุด ม่านปรนเปรอจูบให้อย่างหนัก มือบีบเค้นไปตามเอวคอดและผิวเนื้อทั่วร่างกาย

     ตรงไหนที่ทำผมร้องเขาก็จะย้ำ
     ตรงไหนที่ทำผมอ่อนแรงเขาก็ไม่คิดจะยั้งมือ

     ชุดนอนผ้าเนื้อดีถูกร่นไปตามลาดไหล่ เขาไม่แม้แต่จะสนใจเมื่อปลดกระดุมมันด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว รสชาติขมปนหวานที่ส่งผ่านทำเอาความรู้สึกผมเดินทางแล่นสู่ห้วงอวกาศอันไกลแสนไกล มันข้ามไปถึงจักรวาลเวิ้งว้าง เพื่อย้ำเตือนจิตใจผมอีกครั้งว่าไม่มีอะไรมาหยุดเราได้

     ไม่มีอะไร

     มาหยุดเขาที่กำลังลุกเป็นไฟได้เลย


     ผมหอบหายใจหนักในตอนที่เห็นม่านแลบลิ้นเลียริมฝีปากช้าๆ ทิ้งช่วงตรงมุมหนึ่งเนิ่นนานพร้อมกับมองผมไม่ละสายตา จากนั้นผมถึงได้เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงแปลกไปจากปกติ

     เขาดื่ม


     และเมื่อไหร่ที่ไอ้หมามันดื่ม

     “เอาไว้คุยกันทีหลัง”



     เขี้ยวเล็บที่ซ่อนไว้ก็จะเผยออกมาให้เห็น


     ถึงจะไม่เคยต่อกรเวลาเขาเมา แต่ผมรู้ดีว่านิสัยผู้ชายเวลาโดนเร่งเครื่องให้ติดมันเป็นยังไง

     ก็คงเป็นแบบเขา
     ที่ดื้อด้าน เอาแต่ใจ และไม่ฟังใครทั้งนั้น


     เป้าหมายต่อไปของมือใหญ่อยู่ที่อาภรณ์ส่วนล่าง ผมยื้อเอาไว้ไม่ไหวเพราะแรงเขามากเกินไปเกินกว่าจะต้านทาน ม่านดันตัวเข้ามาอีกครั้ง ให้แท่งร้อนที่กำลังแข็งขืนของเราเสียดสีกันอย่างหนักบ่งบอกความต้องการของเจ้าตัว

     และไม่ใช่แค่ของเขา
     ของผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่


     ผมกำลังไม่ไหว จากสัมผัสตามร่างกายที่เขาสำรวจไปโดยทั่ว อีกฝ่ายดึงรั้งกางเกงผมลง ใช้เท้าช่วยแค่พริบตาเดียวมันก็ไปกองอยู่ที่พื้น ทั้งหมดเพียงเพราะไม่อยากละจูบที่เรายังแลกเปลี่ยนลิ้นร้อนกันไปมา

     ไอ้เด็กหน้าหมา
     ทำไมมันชำนาญจังวะ

     ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มีอะไรกันบ่อยเลยด้วยซ้ำ


     “อืออ”



     เสียงครางฮือดังตอบรับเมื่อม่านกำลังรูดแก่นกายผมขึ้นลง มือเล็กนำมันไปคล้องคอแกร่ง กลัวว่าตัวเองจะอ่อนแรงเกินกว่าจะยืนไหว เอวผมขยับไปตามจังหวะที่เขามอบให้ บางครั้งมันแอบอิงเข้าหาอีกฝ่ายเมื่อโดนแกล้งจนตัวโยน

     ผมกัดเข้าที่ไหล่กว้างเมื่อต้องการระบายอารมณ์ เหตุเพราะนิ้วยาวที่สอดเข้ามายังช่องทางด้านหลังมันทำให้วาบหวามอย่างหนัก ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังชิดเมื่อผมแทบจะขาดสติอยู่รอมร่อ และก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว ม่านก็ชักมืออ่อนแล้วสอดใส่ส่วนอ่อนไหวเข้ามาแทน

     รีบร้อน ดุดัน และไม่มีการป้องกันแต่อย่างใด


     เสียงคำรามดังขึ้นในตอนแรก ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นครางแผ่วเบาแค่ในลำคอ ตัวผมถูกดันเข้าชิดกำแพงอีกครั้ง คราวนี้แผ่นหลังกระทบกับผนังเป็นจังหวะ แทบไม่มีตอนไหนที่คนอายุน้อยกว่าผ่อนปรนให้แบบที่เรามักจะทำเป็นปกติ

     ผมบอกแล้วว่าตอนนี้เขาดื่ม

     และเมื่อไหร่ที่เขาดื่ม


     “อื้อ อ๊ะ บ—เบา”

     สมรรถภาพทางเพศก็จะเพิ่มขึ้นสูงตามลำดับ

     ก็นั่นแหละ
     อึดอย่างกับอะไร


     เอวหนาขยับระรัวอย่างพึงใจจนผมทำได้แค่ระบายมือไปกับแผ่นหลัง ทิ้งอารยธรรมของรอยเล็บไว้เป็นทางยาว เขาแทบไม่ปล่อยให้ผมได้หายใจเมื่อใช้มือช้อนขาข้างนึงพาดไว้กับแขนตัวเอง ถือเอาไว้แล้วดันตัวเข้ามาอีก

     “ม่าน”
     “ครับ”

     ยังจะมีหน้ามาพูดเพราะ

     “บอกให้ เบา อื้ออ”

     มีหรือที่เขาจะทำตาม เมื่อแรงที่ส่งผ่านกลับมากขึ้นจนผมตัวกระตุก บางครั้งก็เน้นส่วนแข็งขืนให้มันครูดกับช่องทางอุ่นร้อน

     และยิ่งเราไม่ได้ใส่ถุงยางแล้วด้วย
     มันก็ยิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมหลายเท่า

     “เบา ฮึก  หน่อย”
     “แล้วไง?”

     ผมแทบจะฟาดมือใบกับใบหน้ากวนๆนั่นเมื่อมันมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก แต่แผนการนั่นก็พังลงไม่เป็นท่าเพราะต้องใช้มือทั้งสองข้างจับเขาให้แน่น

     ก็เพราะเขาน่ะ
     เขาน่ะนะ

     “อ๊ะ อ้ะ อือออ”
     “ซีดส์”

     ตั้งใจแกล้งยกขาผมทั้งสองข้างจนตัวลอย


     และมันจะดีไม่น้อย


     ถ้าม่านไม่โยกพร้อมกับเดินไปด้วย
     โดยมีจุดหมายอยู่ที่เตียงนอน


     เขาวางผมลงก่อนแล้วตามมาติดๆ โดยไม่ปล่อยให้ส่วนนั้นของเราห่างกันแม้แต่น้อย ยิ่งบทรักดำเนินไปมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนเขาจะยิ่งชอบใจมากขึ้นเท่านั้น ผมเดินทางไปถึงฝั่งฝันก่อนเมื่อทนไม่ไหว สัมผัสเขาเกินห้ามใจจนผมกักเก็บเอาไว้ต่อไปไม่ได้

     ม่านก้มลงมาจูบข้างใบหู ก่อนจะลากลิ้นไปตามลำคอและเริ่มละเลงไปยังส่วนอื่นๆ โดยที่ยังลงแรงต่อไปไม่หยุด และผมก็ทำได้แค่เพียงตอบรับเขา

     ด้วยการส่งเสียงหวานกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า
     
     “อ้ะ อ่าา”















/










     ผ้าห่มที่อยู่ด้านข้างถูกคนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งตวัดมันขึ้นเพื่อปกคลุมเราสองคนที่เปลือยเปล่า เขาใช้หมอนดันหลังตัวเองไว้กับหัวเตียง เหงื่อที่ผุดขึ้นจากกิจกรรมยามดึกยังประปรายอยู่บนตัว ใช้มือลูบศีรษะผมไปมาคล้ายกับปลอบประโลมเอาไว้

     ก็แน่สิไอ้หมามันหอบหนักแค่หนึ่งรอบใหญ่ ต่างจากผมที่มากกว่าอีกฝ่ายไปถึงสอง แถมมันยังดำเนินต่อไปนานร่วมชั่วโมง

     แบบนั้นเลยหมดแรงจนต้องมาซบอกเจ้าตัวอยู่แบบนี้


     สาบานได้ว่าผมจะไม่ร่วมรักกับเขาตอนเมาอีก


     “นี่” ผมพูดขึ้นก่อน เห็นม่านหันมามองช้าๆ “คุยได้ยัง”

     เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการอนุญาต ดังนั้นผมเลยเอ่ยข้อความที่อยู่ในใจ

     “หายงอนเค้าได้มั้ย?”

     โดยใช้การอ้อนผสมลงไปนิดหน่อย

     เอาดิ
     ดูว่าจะโกรธไปได้อีกกี่น้ำ

     ปล้ำก็ให้ปล้ำแล้ว


     “ไม่ได้อยากงอน”
     “...”
     “...”
     “แต่เธองอน”
     “อืม”

     เขายักไหล่ ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ส่งไปแต่อย่างใด ยอมรับง่ายๆและรอให้ผมพูดต่อ

     “ไม่ชอบหรอกเวลาเห็นเธอไม่สบายใจอ่ะ เคยบอกไปแล้วไง แค่เธอช่วยบอกเค้าสักนิดได้มั้ยว่าเค้าผิดตรงไหน ยังไงเค้าก็ยอมขอโทษ แต่นี่เค้าไม่รู้อะไรเลย...”
     “เฮ้ออ ช่างมันเถอะ”

     เขาใช้มือซ้ายเสยผมหนึ่งรอบ ส่วนมือขวาก็วนไล้มันไปมาอยู่อย่างนั้น กดจูบบริเวณขมับแล้วกลับไปนั่งดังเก่า

     “ขอโทษเหมือนกันที่ทำให้ไม่สบายใจ”

     ผมเม้มริมฝีปาก ก่อนถามออกไปในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก

     “เพราะเค้ากลับห้องช้าหรอ?”
     “...”
     “หรือเพราะเค้าไม่ได้รับสายเธอ?”
     “...”
     “ม่าน?”

     “ทั้งคู่”

     ในที่สุดคนงอนก็ยอมบอก ขยับให้ผมนั่งท่าสบายโดยที่มีผิวเนื้อเรายังแลกเปลี่ยนอุณหภูมิกันไปมา

     “ขอโทษครับ”
     “รู้แล้ว”
     “ไม่ได้ตั้งใจ”
     “อืม รู้แล้วไง”
     “วันนั้นอ่ะ ลืมจริงๆ”

     ผมสารภาพ คิดว่าโทษมันคงลดลงกึ่งหนึ่งถ้ายอมทำตัวดี

     “ก็คิดว่ามึงจะไม่ว่าอะไร เพราะปกติก็กลับแบบนี้ตลอด”
     “ถ้าไม่ยันเช้าเค้าก็ไม่ห่วงหรอก”
     “อืม”
     “วันนั้นกลับกี่โมงล่ะ?”

     คนทำความผิดกลืนน้ำลายลงคอ ตอบเสียงแผ่วเพราะเริ่มตระหนักรู้ถึงความผิดของตัวเอง

     “เอ่อ ตีสี่”
     “เกือบตีห้า”
     “โอเค ตีห้าก็ตีห้า”
     “แล้วบอกเค้าว่าจะกลับกี่โมง?”
     “...”
     “ตีสอง”
     “...”
     “โทรไปก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่อ่าน ไม่บอกสักคำว่าหายไปไหน เธอคิดว่าเค้าจะเป็นห่วงเธอมั้ย?”

     คราวนี้ผมกอดเขาแน่น สบตาคนพูดที่ดูจะอารมณ์เย็นลงแล้วแต่ก็ไม่ทั้งหมด

     มันยังคุกรุ่น
     อยู่ในคำพูดและน้ำเสียงของเขา     

     “เธอก็รู้อ่ะว่าเธอสำคัญกับเค้า ถ้าเธอเป็นอะไรไปหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเค้าจะอยู่ยังไงวะ ก็อยากให้คิดถึงใจเค้าบ้างอ่ะ บางทีมันก็ไม่ได้อยากที่จะคิดแบบนั้นหรอก”
     “...”
     “แค่ทิ้งข้อความไว้ก็ได้ว่าเธอจะกลับช้า แค่นั้นเค้าก็จะไม่ยุ่งกับเวลาเธอเลย”

     เพราะเหตุผลที่ส่งมาทำเอาผมชะงักนิ่ง คำว่าเป็นห่วงที่เขาพูดมันส่งผ่านแววตาที่กำลังสับสน และทั้งหมดนั้นทำให้ผมเริ่มเรียนรู้บางอย่าง

     บางอย่างในความสัมพันธ์ที่ผมอาจละเลยมันมาตลอด



     “เค้าขอโทษ”

     เนิ่นนานกว่าที่ผมจะหาเสียงของตัวเองเจอ มันเลยฟังดูแปร่งๆไปหน่อยเมื่อพูดออกไป ไม่รู้ว่าเขาจะยอมฟังมันไหม

     แต่ผมก็มีเท่านี้จะให้จริงๆ


     “พอแล้ว ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ” นิ้วโป้งเลื่อนมาลูบไล้ข้างแก้ม และนั่นทำให้ผมอยากจะขอบคุณเจ้าตัวอีกครั้ง

     ขอบคุณที่ยังรักคนที่ไม่พร้อมสักอย่าง
     ขอบคุณที่ยังเคียงข้างคนที่ไม่เอาไหนคนนี้

     ขอบคุณมากๆ

     “หายแล้วใช่มั้ย?”
     “อือ”
     “แน่นะ?”
     “ไม่รู้เหมือนกัน”
     “อ่าว”
     “งั้นปล้ำอีกทีดีไหม?”

     พรึบ!

     ร่างผมถูกตวัดลงล่างอย่างรวดเร็ว เขาพันธนาการเอาไว้จากการกดสองมือผมไว้จมลงกับฟูกนุ่ม ม่านยักคิ้วเป็นการถาม สีหน้ายียวนกวนประสาทบ่งบอกว่ากำลังแกล้ง

     “ไม่เอา เหนื่อยแล้วอ่ะ”


     ผมอ้อนวอน เข็ดแล้วกับการยุ่งกับเขาในเวลาเมาแบบนี้


     “น้าา”

     แต่ดูเหมือนยิ่งอ้อนม่านก็ยิ่งรุกไล้ไปเรื่อยๆ

     “รู้มั้ยว่าพูดแบบนี้มันไม่ได้”
     “เดี๋ยว—อื้ออ”
     “อ้อนมากๆ ระวังเค้าจะทนไม่ไหวจริงๆล่ะ”


     นั่นแหละ
     อ้อนไม่มากมันก็ทนไม่ไหวอยู่ดี คืนนี้เลยไม่รู้จะจบที่ตรงไหน

     แต่ที่แน่ๆคือผมพิสูจน์แล้วว่าปล้ำมันได้ผล ไม่ใช่ผมที่ปล้ำเขาหรอก แต่เป็นเขาที่ปล้ำผมต่างหาก


     ไม่คิดว่าแผนไอ้เหนือมันจะได้ผล
     เออ


     เชื่อแล้วจริงๆ







#ผาเพียงฟ้า




29/02/20
before30october

พี่ผาไม่ปล้ำตอนนี้เพราะพี่ผาจาไปปล้ำในเล่ม
อิอิ
ใครสปอยย
มะได้สปอยเลยครับบบบ

หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-03-2020 02:35:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-03-2020 22:07:18
ไม่งอนกันนานค่อยยังชั่วหน่อย ปล้ำกันนี่ได้ผลจริงๆเนอะ :z1:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-03-2020 01:51:44
เป็นไงล่ะพี่ผา  :hao6:
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
เริ่มหัวข้อโดย: Nefrit ที่ 29-05-2020 20:06:21
ม่าน hot มากก
หัวข้อ: Re: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 30-05-2020 03:17:34
แผนพี่เหนือๆ