♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♡̷ ผ า เ พี ย ง ฟ้ า - 2 9 | a drunk man never tell a lie - P.7 (16/03/20)  (อ่าน 47400 ครั้ง)

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอให้ชนะนะเจ้าม่าน

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เชียร์ให้ม่านแพ้ พี่ผาสูงเทียมฟ้าจะได้โน้มลงมาด้วยตัวเองเสียที
แพ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
(ชูป้ายไฟ ตะโกนใส่โข่งเสียงดังงงงงงงงงงงงงงงงงง)
 :hao7:

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


14

p.s. tomorrow 10 am



_________


don't be late


_________







   ​​​​ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าเคยสัญญากับอีกฝ่าย จนในวันที่ไอ้เหนือมันพูดขึ้นมาอีกครั้ง

​​​​   ​​​​“พรุ่งนี้กูแข่ง พวกมึงจะไปดูป่ะ?”

​​​​   ​​​​ผมถึงจำได้ว่าม่านขออะไรไว้จากผลการตัดสินที่จะมาถึง

​​​​   ​​​​“กูไม่น่าว่าง พรุ่งนี้กลับบ้าน” นาวาปฏิเสธก่อน จากนั้นไอ้ตินก็ปฏิเสธตาม
​​​​   ​​​​“มีธุระเหมือนกัน โทษที”
​​​​   ​​​​“แมทช์สุดท้ายแล้วหรอ?”
​​​​   ​​​​“ถ้าชนะก็ไปรอบชิง แต่ถ้าแพ้ก็ไม่น่ามีแข่งแล้ว”
​​​​   ​​​​“งั้นกูรอไปรอบชิงดีกว่า”

​​​​   ​​​​เสียงหัวเราะของคนชวนดังขึ้น ไอ้ฮั่นตบไหล่มันเบาๆเป็นการปลอบใจ ดูเหมือนไอ้เหนือก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักเมื่อเราไม่สามารถไปดูมันได้ แต่ถึงยังไงผมก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราว่างจริงๆ

​​​​   ​​​​“มึงไม่ไปดูไอ้ม่านหรอ?” คราวนี้มันหันมาถามผมที่เงียบอยู่ตลอด แต่ก็ต้องได้รับการตอบปฏิเสธกลับไปตามเดิม

​​​​   ​​​​“อาจารย์นัดกูทำโปรเจคว่ะ”

​​​​   ​​​​เพราะผมมีธุระสำคัญกว่านั้นที่รออยู่

​​​​   ​​​​ดูเหมือนครั้งนี้ทุกคนจะบังเอิญพร้อมใจกันยุ่ง บ้างก็เรื่องงาน บ้างก็เรื่องครอบครัว ทำให้เราไม่สามารถรวมตัวกันได้แบบครั้งก่อน ถึงแม้อยากจะไปแค่ไหนแต่สุดท้ายก็มีเพียงไอ้ฮั่นและไอ้ปัทถ์ที่ว่างและพวกมันสองคนก็ตกลงรับคำกับการนัดในวันพรุ่งนี้

​​​​   ​​​​“ขอบ้างดิ” เจ้าของห้องหันไปขอขนมขบเคี้ยวจากเพื่อนคนหนึ่ง จากนั้นเราก็หันไปให้ความสนใจสิ่งที่อยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยม

​​​​   ​​​​เพราะการแข่งขันฟุตบอลทีมในดวงใจของใครหลายคนในกลุ่มพวกมันเลยเรียกรวมตัวกันอย่างกะทันหัน สถานที่คือที่ห้องเดิมของเพื่อนที่เรามักจะมาประจำและผมก็ตกลงรับคำเพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว ไอ้เหนือรับหน้าที่ซื้อเสบียงมาตุนไว้ มันมาถึงก่อนเป็นคนแรกต่อจากนั้นคนอื่นๆก็เริ่มทยอยตามมา

​​​​   ​​​​ผมเดินมายังห้องครัวเมื่อรู้สึกหิวน้ำ กำลังจะเปิดตู้เย็นก็ได้ยินเสียงคนที่เดินตามกันมาติดๆ มันรอให้ผมหาของที่ต้องการแล้วเข้าแทนที่เพื่อหาของของตัวเองบ้าง

​​​​   ​​​​“ฝากกำลังใจไปให้เด็กเปล่า?” ไอ้ปัทถ์หยอกล้อ ผมรีบดื่มน้ำแล้ววางแก้วลงบนเคาน์เตอร์

​​​​   ​​​​“ไม่อ่ะ”
​​​​   ​​​​“ก็ยังไร้เยื่อใยเหมือนเดิม”

​​​​   ​​​​เ​​​​​​จ้าตัวพูดแกมตลก ถึงแม้ผมอยากจะเถียงแค่ไหนก็ทำเป็นนิ่งเพราะรู้ว่าการเล่นกับคลื่นสูงโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาให้ดีผลลัพธ์มันจะจบลงแบบไหน

​​​​   ​​​​ไม่จมน้ำหายไป
​​​​   ​​​​ก็โดนคลื่นซัดจนเจ็บตัว

​​​​   ​​​​ผมมองเขาที่กำลังเปิดกระป๋องน้ำอัดลม มือเรียวดึงห่วงอะลูมิเนียมขึ้น ได้ยินเสียงดังป๊อก! ก่อนที่มันจะยกกระป๋องสีแดงจรดริมฝีปาก แถมยังมองมาคล้ายกับอยากได้ข้อแก้ตัว แต่ใครกันล่ะที่คิดว่าผมเป็นแบบนั้น เอาจริงๆแล้วถ้าผมไร้เยื่อใยเข้าสักวัน ม่านก็คงหายไปตั้งนานแล้ว

​​​​   ​​​​เขาคงไม่รอให้เสียเวลาหรอก

​​​​   ​​​​“แล้ววันนั้นมึงมานอนห้องกูได้ไง?” แทนที่จะได้คำตอบแต่กลับกลายเป็นว่าผมถามเขากลับ ลำคอแกร่งขยับยกตามจังหวะการกลืน ก่อนที่มันจะเท้าแขนไปด้านหลัง ถือกระป๋องน้ำอัดลมที่นังดื่มไม่หมดด้วยมือเพียงข้างเดียว

​​​​   ​​​​“เป็นห่วงมึงนั่นแหละ”
​​​​   ​​​​“ห่วงอะไรวะ?”
​​​​   ​​​​“กลัวว่าคืนแรกจะปวดตัวจนขยับไม่ได้”
​​​​   ​​​​ผลัก!
​​​​   ​​​​“เหี้ยผา”
​​​​   ​​​​“สมน้ำหน้า”

​​​​   ​​​​เ​​​​​​​​ป็นความจริงที่ว่าพวกมันวางแผนให้ม่านและผมอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แถมครั้งนี้ดูจะเล่นแรงกว่ารอบก่อนเพราะปล่อยให้เรานอนด้วยกันอีก คงใช้จังหวะที่ผมหายไปจากโต๊ะและม่านมาตามดำเนินแผนการที่วางเอาไว้ สองมือผมยกกอดอก พิงกำแพงแล้วมองจำเลยตรงหน้า

​​​​   ​​​​“เล่นแรงนะรอบนี้”
​​​​   ​​​​“กูกำชับมันแล้วว่าห้ามทำอะไร”
​​​​   ​​​​“ม่านรู้?”
​​​​   ​​​​“รู้ แต่ไม่คิดว่าพวกกูจะเอาจริง”

​​​​   ​​​​เสียงถอนหายใจดังตามมาและผมก็คิดว่าม่านน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะสีหน้าหงุดหงิดพร้อมกับการทำตัวไม่ถูกเมื่อตอนที่เห็นว่าเราต้องอยู่ด้วยกันปรากฏอยู่ตลอด

​​​​   ​​​​“สัส”

​​​​   ​​​​คราวนี้ผมด่า เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พวกเราจะแกล้งกันตามประสา แต่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผมแบบนี้

​​​​   ​​​​“ขอโทษคร้าบ” ไอ้ปัทถ์เข้าประชิดตัว มันอ้อมมาด้านหลังในตอนที่ผมเดินออกจากห้อง สองมือจับแขนเอาไว้มั่นก่อนจะเกยคางไว้บนไหล่

​​​​   ​​​​“แต่เข้าไปหาเพราะว่าห่วงจริงๆ”

​​​​   ​​​​คำอธิบายที่ส่งมาทำให้ผมพอจะหายเคืองไปได้บ้าง ถ้าพูดกันตามตรงไอ้ปัทถ์คงเป็นห่วงตามที่บอก เพราะไม่มีเหตุผลอื่นที่มันจะต้องลงมาทั้งๆ ที่ดูง่วงขนาดนั้น แถมยังไม่ตื่นดีอีกต่างหาก

​​​​   ​​​​“วันหลังจะทำอะไรก็ช่วยคิดดีๆด้วย”
​​​​   ​​​​“ครับไอ้สัส”

​​​​   ​​​​มันตกลงรับคำพร้อมการด่า โยกหัวผมไปมาแม้จะยังอยู่ในอ้อมกอด เราเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ก่อนจะแยกกันไปนั่งตามเดิม

​​​​   ​​​​รายการฟุตบอลจบลงตอนเกือบตีสอง โชคดีที่พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนเลยสามารถอยู่ดึกแค่ไหนก็ได้ เราบอกลากันหลังจากนั้นเพื่อกลับไปยังห้องพักของแต่ละคน ผมรีบขับรถกลับ รีบเข้านอนในทันทีเมื่อถึงห้องเพื่อเตรียมตัวรับวันใหม่

​​​​   ​​​​ทั้งวันผมยุ่งไปกับการคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา เนื่องจากมีรายละเอียดและหัวข้อหลายอย่างที่ต้องดำเนินการต่อจากนั้น อาจารย์ตำหนิงานที่ส่งให้นิดหน่อย แกบอกถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นและให้ผมไปหาข้อมูลเพิ่มเติม หลายชั่วโมงกว่าที่เราจะตกลงกันได้ว่าไม่สามารถทำให้มันคืบหน้าไปได้มากกว่าเก่าเขาจึงปล่อยให้ผมกลับ

​​​​   ​​​​ห้องสมุดของคณะเป็นที่ที่ผมเลือกจะมาหลังคุยกับอาจารย์แล้วเสร็จ ขลุกอยู่กับวิทยานิพนธ์เรื่องเก่าๆที่เคยมีคนค้นคว้ามาก่อน นั่งไล่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้เล่มที่พอใจและให้ข้อมูลมากพอกับงานของตัวเองแล้วยืมมันมาอ่านต่อ บรรณารักษ์จ้องมองผมอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ให้เซ็นเอกสารสองสามอย่างเพื่อบ่งบอกว่าการยืมรอบนี้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย

​​​​   ​​​​กว่าผมจะกลับถึงห้องก็ตอนที่ฟ้ามืด พระอาทิตย์คล้อยตกตามกาลเวลา มีเพียงพระจันทร์ครึ่งดวงที่ไม่ได้ให้แสงสว่างมากพอลอยอยู่บนฟ้า ผมจัดการอาบน้ำในเวลาต่อมาและทิ้งตัวลงบนเตียง

​​​​   ​​​​โทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้หลังจากแบตเตอรี่หมดสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ แจ้งเตือนดังขึ้นรัวๆเมื่อเปิดมันขึ้น ผมไล่ดูทีละอันอย่างตั้งใจก่อนจะกดเข้ากลุ่มเพื่อนสนิทก่อน

​​​​   ​​​​n° : โคตรเหนื่อยเลยไอ้เหี้ย
​​​​   ​​​​T13 : อยู่ไหนกันละ?
​​​​   ​​​​n° : กำลังออกจากยิม


​​​​   ​​​​ไอ้เหนือตอบเมื่อถูกถาม จากนั้นไอ้ฮั่นก็ส่งข้อความตามมา

​​​​   ​​​​HUNN : กูรอที่รถนะ
​​​​   ​​​​n° : มึงจอดไหน?
​​​​   ​​​​HUNN : ลานโพธิ์ มึงเดินมาทางร้านขายของ อยู่ด้านหลัง


​​​​   ​​​​เป็นบทสนทนาที่พูดคุยกันถึงการนัดเจอ ดูเหมือนไอ้เหนือจะเพิ่งแข่งจบและพวกมันคงกำลังหาทางกลับมายังหอเพื่อพักผ่อน ไม่มีใครพูดถึงการเฉลิมฉลองหรือการออกไปดื่มเหล้าข้างนอก ผมไม่รู้ว่าเพราะสมาชิกไม่ว่างการชักชวนเหล่านั้นเลยไม่เกิดขึ้น

​​​​   ​​​​หรือว่าเพราะผลของการแข่งขันเลยทำให้ไม่ได้พูดถึง

​​​​   ​​​​ถ้าเป็นแบบนั้น...จะหมายความว่าพวกมันแพ้
​​​​   ​​​​และผู้แพ้ไม่ดื่มให้กับการสูญเสีย

​​​​   ​​​​nw : เป็นไง ชนะป่ะวะ?

​​​​   ​​​​ไอ้คนที่กลับบ้านถามประโยคที่ผมเก็บเอาไว้ในใจ เพราะไม่อยากมีพิรุธเลยเงียบไปตั้งแต่แรก ถึงอยากจะรู้ผลแต่ก็รอคอยให้มีใครสักคนเป็นคนเริ่มเสียก่อน

​​​​   ​​​​แต่จนแล้วจนรอดที่ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีใครตอบ

​​​​   ​​​​เมื่อรอนานเกินกว่าเวลาที่คาดคิดผมจึงตัดสินใจล็อกหน้าจอแล้วลุกขึ้นเดินไปปิดไฟ แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวพ้นจากขอบเตียง เครื่องสีดำก็มีแจ้งเตือนเพิ่มอีกหนึ่ง

​​​​   ​​​​เป็นแจ้งเตือนที่บ่งบอกว่ามีคนโทรเข้า และมีชื่อเจ้าของปรากฏบนนั้น

​​​​   ​​​​ผมลังเลอยู่สักพักจึงกดรับ แต่เจ้าตัวก็ไม่ทักทายกลับ มีเพียงความเงียบที่ปล่อยผ่านเนิ่นนานจนกว่าเขาจะยอมเอื้อนเอ่ย

​​​​   ​​​​(เค้าขอคุยด้วยแปบนึงได้มั้ย?) เสียงม่านแหบพร่า ได้ยินเสียงขยับตัวดังตามมาติดๆ

​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​(...)
​​​​   ​​​​“ว่าไง”

​​​​   ​​​​พรึบ!

​​​​   ​​​​ภายในห้องมืดสนิทเมื่อสวิตช์สับเปลี่ยนไปเป็นคนละทาง ผมเปิดม่านชั้นในให้เหลือเพียงผ้าบางที่คั่นไว้ระหว่างวิวนอกหน้าต่างและห้องสี่เหลี่ยม เสียงแอร์คอนดิชั่นเริ่มทำงานตามการบังคับด้วยรีโมท ผมปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ 26 องศาและปัดใบพัดให้สูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินคลำทางจากเงาสลัวมาที่เตียง ล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมที่จะยกผ้าห่มขึ้นปิดจนถึงปลายคาง

​​​​   ​​​​(แค่อยากโทรมาหาเฉยๆ)

​​​​   ​​​​ผมเงียบ สายตาเหม่อมองไปยังแสงสีที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา

​​​​   ​​​​(เธอทำอะไรอยู่หรอ?)
​​​​   ​​​​“กำลังจะนอน”
​​​​   ​​​​(อ่อ)
​​​​   ​​​​“มึงล่ะ?”
​​​​   ​​​​(คุยกับเธออยู่นี่ไง)

​​​​   ​​​​เขาสวนกลับ น้ำเสียงสดใสขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังงัวเงียไม่เหมือนที่เคยได้ยิน

​​​​   ​​​​(เห็นพี่เหนือบอกว่าเธอไม่มาเพราะติดทำโปรเจค)
​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​(ยุ่งมากเลยหรอ?) อีกฝ่ายถามถึงงานที่ผมนั่งทำมาทั้งวัน ผมตอบกลับไปสั้นๆ พอได้ใจความตามที่อีกฝ่ายเข้าใจ
​​​​   ​​​​“ยุ่งดิ งานเยอะ”

​​​​   ​​​​คราวนี้ม่านเงียบไปอีก ผมได้ยินเสียงขยับตัวและอะไรบางอย่างที่ดังกุกกักแทรกเข้ามา

​​​​   ​​​​(สู้ๆนะครับ เธอเก่ง ทำได้อยู่แล้ว) เสียงหัวเราะติดมาในท้ายประโยค ผมมองเห็นดวงตาที่หยีลงพาดผ่านในความคิด ก่อนที่โทรศัพท์จะสั่นเพราะข้อความของเพื่อนที่ตอบโต้กันในแอปพลิเคชันชื่อดังอันหนึ่ง

​​​​   ​​​​ครืด!

​​​​   ​​​​(แหนะ แอบคุยกับใครอยู่เปล่าเนี่ย?)

​​​​   ​​​​มันคงจะดังไปถึงปลายสายเขาเลยทักด้วยน้ำเสียงหยอกล้อคล้ายกับว่าผมกำลังมีคนอื่น

​​​​   ​​​​แต่เชื่อเถอะ
​​​​   ​​​​ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าเขากำลังหึงอย่างออกนอกหน้า

​​​​   ​​​​ครืด!

​​​​   ​​​​(โทรศัพท์สั่นใหญ่เลย)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(มีคนอื่นไม่ยอมบอกเค้าหรอยังไงกัน?)
​​​​   ​​​​“เพื่อนกูม่าน”
​​​​   ​​​​(ไหนขอหลักฐานครับ)

​​​​   ​​​​ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด หรืออาจจะเชื่อแต่อยากได้หลักฐานยืนยันเพื่อป้องกันไม่ให้ใจตัวเองเจ็บช้ำมากเกินไปเจ้าตัวเลยตั้งเงื่อนไขต่อมา แต่มีหรือที่ผมจะยอมทำให้ เรื่องอะไรที่ต้องรายงานเขาทุกอย่าง

​​​​   ​​​​เราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ
​​​​   ​​​​มีสิทธิ์ขนาดนั้นเลยหรอ?

​​​​   ​​​​ผมไม่ได้กดเข้าไปอ่านเนื้อหาของเพื่อน เอาแต่รอคอยว่าเขาจะพูดอะไรต่อโดยการนอนตะแคงและหายใจรินรดผ้าห่มจนไออุ่นสะท้อนเข้าใบหน้า หน้าอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ มองเห็นแสงจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบครั้งหนึ่งแล้วดับไป

​​​​   ​​​​ม่านไม่ได้เซ้าซี้ ชวนผมคุยอีกครั้งแม้จะยังไม่ได้คำตอบ

​​​​   ​​​​(วันนี้เค้าเหนื่อยมากเลย กลับถึงห้องก็อาบน้ำแล้วมานอนเล่น ดีนะพรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่งั้นคงตื่นไปเรียนไม่ไหวแน่)
​​​​   ​​​​“ไปแข่งมาน่ะหรอ?”
​​​​   ​​​​(ครับ)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(ซ้อมเช้าเย็นหลายวันติดด้วย ร่างพังหมดแล้วมั้ง)

​​​​   ​​​​ผมตวัดหมอนข้างขึ้นกอดแก้เหงา ที่จริงอยากจะถามเขาไปให้รู้แล้วรู้รอดว่าชนะหรือเปล่า? แต่ก็เก็บมันเอาไว้ไม่ยอมพูดออกไปเสียที

​​​​   ​​​​ถ้ามีการแข่งขันแปลกประหลาดเกิดขึ้นบนโลก ผมคิดว่าตัวเองคงได้เหรียญทองด้านเก็บซ่อนความรู้สึก เพราะผมรู้ว่าตัวเองทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าใครอื่นที่เคยพบ

​​​​   ​​​​และผมเป็นอัจฉริยะตัวยงเรื่องหัวใจที่ด้านชา

​​​​   ​​​​(เธอยังจำได้มั้ย?)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(เราสัญญากันไว้อย่างหนึ่งวันกลับจากสัมมนา)

​​​​   ​​​​สุดท้ายม่านก็เป็นฝ่ายพูดมันขึ้น จากคำขอของเจ้าตัวที่ส่งผ่านตอนที่เรานั่งด้วยกันบนรถ มีหูฟังคนละข้าง และมีบทเพลงแสนหวานที่ถ่ายทอดความรู้สึกในใจของใครบางคน ถึงวันก่อนคำสัญญามันจะเลือนลางไปเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเล่นงานใจผมอย่างหนักหลังจากที่จำได้ว่าเคยตอบอีกฝ่ายไปว่ายังไง

​​​​   ​​​​แถมใจก็ลุ้นผลที่จะเป็นไปหลังจากนั้น

​​​​   ​​​​“อืม”
​​​​   ​​​​(ไม่ถามหรอว่าเค้าแพ้หรือว่าชนะ?) ผมเม้มริมฝีปากแน่น ม่านเงียบไปอีกจนหวั่นใจ

​​​​   ​​​​ครืด!
​​​​   ​​​​ครืด!
​​​​   ​​​​ครืด!

​​​​   ​​​​คราวนี้เครื่องสีดำที่แนบหูกลับสั่นรัวเป็นชุด บ่งบอกว่าเพื่อนในกลุ่มเริ่มส่งข้อความตอบโต้กันบ้างแล้ว ผมตั้งใจจะกดเข้าไปปิดแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้รำคาญมันมากกว่าเก่า แต่สิ่งที่โชว์อยู่บนหน้าจอสีขาวกลับทำให้ใจกระตุกผิดจังหวะ

​​​​   ​​​​n° : กูแพ้ว่ะ

​​​​   ​​​​เพราะคำว่าแพ้ของเพื่อนที่ส่งมาทำให้เมฆสีเทาก่อตัวขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

​​​​   ​​​​มันลอยคว้าง
​​​​   ​​​​ไม่มีทิศทางที่ใจหมาย
​​​​   ​​​​คล้ายกับความผิดหวังของปลายสายที่ส่งเสียงกลับมา

​​​​   ​​​​(แย่จัง)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(ทั้งๆที่คิดแผนเดทเอาไว้อย่างดีแล้วแท้ๆ)

​​​​   ​​​​ม่านหัวเราะกลบเกลื่อน มันคงจะเสียใจไม่น้อยที่ผิดหวังพร้อมกันถึงสองเรื่อง แต่การเดิมพันคือการเสี่ยง มันเป็นเรื่องธรรมดา

​​​​   ​​​​“จะโทรมาบอกเรื่องนี้สินะ”
​​​​   ​​​​(อืม)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(อย่างน้อยได้คุยด้วยก็ยังดี)

​​​​   ​​​​ผมพลิกเปลี่ยนท่า กดตั้งค่าให้โทรศัพท์ไม่ขึ้นแจ้งเตือนอะไรอีกระหว่างคุยกับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้เป็นการเสียมารยาท ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุยกัน แต่มันดูเหมือนจะเป็นการสนทนาทางโทรศัพท์ที่นานที่สุดของเราเลยก็ว่าได้

​​​​   ​​​​“แล้วมึงรู้สึกยังไง?” ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายถาม อีกคนเงียบไปนานตามเดิมก่อนจะตอบ
​​​​   ​​​​(ไม่รู้สิ)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(คงผิดหวังแหละมั้ง ก็พอรู้ตั้งแต่ในสนามแล้วว่าคงจะไม่ได้ไปกับเธอ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ ว่าจะเอายังไงต่อ จะหน้าด้านขออีกรอบก็กลัวจะโดนด่า) เขาหัวเราะเบาๆ
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(แข่งครั้งหน้าก็ไม่มีแล้วด้วย)

​​​​   ​​​​อีกฝ่ายเผยความรู้สึกข้างในออกมาจนหมด ไม่เขินอายแม้แต่น้อยยามพูดสิ่งที่อยู่ภายในใจ เขาซื่อตรง ถึงแม้จะแข็งกระด้างแต่ก็มองโลกในแง่ดีซึ่งต่างกับผมที่ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้เลย

​​​​   ​​​​ถ้าเขาเป็นฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น
​​​​   ​​​​ผมก็คงเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ทุกอย่างนั้นดูเหี่ยวเฉา

​​​​   ​​​​เราเหมือนอยู่คนละขั้วของสภาพอากาศ

​​​​   ​​​​“เหนื่อยแล้วทำไมไม่ไปนอน” ผมปราม ได้ยินเสียงงอแงตอบกลับมา
​​​​   ​​​​(นี่ไล่เค้าใช่ไหม?)
​​​​   ​​​​“เปล่า แค่ถามเฉยๆ”

​​​​   ​​​​เพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดเลยรีบแก้ตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้นแค่สงสัยว่าทำไมม่านต้องโทรมาทั้งที่ควรจะเอาเวลาไปพักผ่อนต่างหาก

​​​​   ​​​​“นี่”
​​​​   ​​​​(...)
​​​​   ​​​​“ไม่ได้ไล่จริงๆ”

​​​​   ​​​​ผมย้ำให้ปลายสายได้ยินอีกรอบ เจ้าตัวงึมงำอะไรสักอย่าง

​​​​   ​​​​(เหมือนเค้าไม่ได้คุยโทรศัพท์แบบนี้นานมาก ครั้งสุดท้ายตอนมัธยมได้แล้วมั้ง)

​​​​   ​​​​ตัวเลขบนเครื่องสี่เหลี่ยมโชว์เลขศูนย์สองตัวที่อยู่ด้านหน้า ตามหลังมาด้วยเลขสามและเลขสี่ที่อยู่ติดกัน บ่งบอกว่าผมและม่านนอนคุยแบบนั้นไปแล้วถึงครึ่งชั่วโมง

​​​​   ​​​​เป็นครึ่งชั่วโมงที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก
​​​​   ​​​​ทั้งมีความสุข ตื่นเต้น ผิดหวัง และอบอวลไปด้วยความสบายใจ

​​​​   ​​​​เป็นความสบายใจที่ม่านให้ผมได้
​​​​   ​​​​และเป็นเหตุผลที่ผมไม่วางสายไปตั้งแต่แรก

​​​​   ​​​​“คุยกับแฟนเก่าล่ะสิ”
​​​​   ​​​​(คืออ...) เจ้าตัวอ้ำอึ้งเมื่อโดนจี้จุด นั่นทำให้ผมอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

​​​​   ​​​​ก็บอกแล้วไงว่าเด็กมันว่าง่าย
​​​​   ​​​​ถึงลำบากใจแค่ไหนก็ไม่กล้าโกหก

​​​​   ​​​​“หึ” ผมสำทับเป็นเสียงในลำคอ ก่อนจะได้ยินเขาสบถจนต้องหัวเราะออกมา
​​​​   ​​​​(อย่ามาแกล้งเค้าได้ป่ะวะ)
​​​​   ​​​​“ฮ่าๆ”
​​​​   ​​​​(ได้ใจใหญ่)
​​​​   ​​​​“แฟนเก่าก็แฟนเก่าสิ ยืดอกรับหน่อย”

​​​​   ​​​​แปลกที่เขาไม่ยอมรับ และแปลกเหมือนกันที่ผมกำลังยิ้มร่าแบบนี้

​​​​   ​​​​(พอเลยเธอน่ะ เปลี่ยนเรื่องๆ)
​​​​   ​​​​“ทีมึงยังแกล้งกูเลย”
​​​​   ​​​​(ครับๆ ไม่แฟนเก่าแล้วไง)

​​​​   ​​​​ม่านใช้เสียงออดอ้อน รอยยิ้มบนใบหน้าของผมค่อยๆลดลงจนเป็นดังเก่า เราคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆอยู่สักพัก เขาชวนผมคุยเรื่องเพลงที่ฟัง ส่วนผมก็ตอบรับและถามเขากลับบ้างในบางครา

​​​​   ​​​​เราใช้เวลาจนล่วงเลยข้ามวัน กว่าที่ผมจะดูโทรศัพท์อีกครั้ง ตัวเลขของการสนทนาก็เกือบจะถึงหนึ่งชั่วโมงอยู่รอมร่อ

​​​​   ​​​​00:55:06

​​​​   ​​​​คงจะเป็นตัวเลขที่มากที่สุดของผมเหมือนกันในการที่ได้คุยกับใครสักคน ผมก็เป็นแบบเขา ไม่ได้ทำแบบนี้นานจนลืมความรู้สึกต่างๆไปหมดแล้ว

​​​​   ​​​​หมอนข้างที่กอดถูกกระชับแน่นขึ้นอีก อาการหาวเริ่มแปรผันตามความง่วงที่มากขึ้น เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยตัดสินใจบอกลา

​​​​   ​​​​“กูง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ”

​​​​   ​​​​และเขาเองก็ยอมเพราะน่าจะเหนื่อยจนแทบจะไม่ไหวเหมือนกัน

​​​​   ​​​​(ครับ)
​​​​   ​​​​“...”
​​​​   ​​​​(ฝันดีนะ)

​​​​   ​​​​ผมนิ่ง คราวนี้สมองคิดทบทวนว่าควรตอบรับไปดีไหม สุดท้ายแล้วมันก็คงไม่เสียหายเพราะยังไงผมก็เคยพูดกับเขาไปแล้ว

​​​​   ​​​​“ฝันดีครับ”

​​​​   ​​​​คำว่าฝันดี ที่ไม่ได้มีให้ฟังง่ายๆ

​​​​   ​​​​เสียงเขาสบถดังตามมา แต่ก่อนที่ม่านจะได้วางสาย ผมก็รีบรั้งเอาไว้

​​​​   ​​​​“เดี๋ยว”

​​​​   ​​​​พร้อมกับพูดในสิ่งที่ผมก็ไม่คิดว่าจะบอกออกไป

​​​​   ​​​​“พรุ่งนี้หลังสิบโมงนะ”
​​​​   ​​​​(...)


​​​​   ​​​​เป็นรางวัลปลอบใจ



​​​​   ​​​​“เดทแรกก็อย่ามาสายล่ะ เข้าใจไหม”


​​​​   ​​​​ของคนที่พยายาม
















#ผาเพียงฟ้า

ตอนแรกที่คิดไว้คือจะจบตอนหลังจากไปเดท
ไปๆมาๆกลายเป็นว่าแต่งเกินเฉยเลย5555555
ทั้งหมดทั้งมวลเลยยกฉากเดทไปไว้ในตอนหน้า
มีใครพอจะเดาได้บ้างไหมคะว่าไอ้หมาจะพาไปไหน

ปล.พี่ผาไม่ได้ใจร้ายหรอกเนาะ


24/9/19
before30october


ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
มันต้องงี้ครัช!
มันต้องเง้!
 :mew1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ๊ยๆ ดีใจแทนเจ้าม่าน
ถึงแพ้ก้ไม่เป็นไร  :o12:

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แงแง ม่านได้รางวัลปลอบใจและเป็นผลตอบแทนของความพยายามแล้ว ม่านเข้าใกล้ผาได้มากกว่าที่เคยตั้งเยอะ รอติดตามค่ะว่าม่านจะพาผาไปไหน อยากรู้แล้ววว ขอให้เป็นเดทแรกที่ดีของทั้งคู่ ส่งกำลังให้คุณนักเขียนนน

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ม่านจะนอนหลับมั้ยเนี่ยย ดีใจแทนม่านจริงๆ  :mc4:

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


15

and then autumn kill spring with his hug



_________


when someone wraps their arms around you so tight
and assures that everything will be okay



_________




   ทันทีที่เข็มสั้นของนาฬิกาเดินทางมาถึงเลขสิบ และเข็มยาวของมันตรงดิ่งไปยังเลขสิบสอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นคล้ายกับมันถูกตั้งเวลาเอาไว้จากเครื่องตอบรับอัตโนมัติ

   ​​​​เสียงของเขาฟังดูติดขัดเล็กน้อยแต่ก็ยังปนความประหม่าไว้อย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวแจ้งว่าเขาถึงสถานที่ที่เรานัดกันเป็นที่เรียบร้อย และดูเหมือนจะไม่สายแบบที่ผมเอ่ยเตือนเอาไว้เมื่อคืนก่อน

   ​​​​ผมกวาดสายตาไล่มองตัวเองในกระจกอีกรอบ ผู้ชายคนที่ดูโทรมเมื่อวันก่อนหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนที่แต่งตัวสะอาดสะอ้าน จัดผมให้อยู่ทรงเข้ากับใบหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำพลิ้วไหวไปตามการขยับและมีเครื่องประดับเป็นสร้อยคู่ใจ กางเกงยีนที่สวมใส่ช่วยให้ทุกอย่างดูลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม

   ​​​​ถึงแม้จะมองภาพนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่รอบแต่ถึงยังไงผมก็สำรวจต่อเพราะยังไม่มั่นใจที่จะออกไปเจออีกฝ่าย รู้สึกหงุดหงิดจนต้องบอกให้ตัวเองพอและตั้งสติ ผ่อนปรนจังหวะการหายใจให้เข้าออกลึกๆ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าตังค์เมื่อออกจากห้อง

   ​​​​ผมเสมองภาพที่สะท้อนผนังลิฟต์เป็นรอบสุดท้าย ถอนหายใจลากยาวแล้วก้าวออกไปยังประตูใหญ่ด้านหน้าของตึก มีรถเก๋งคันสีดำสนิทจอดรอเทียบท่า ผมรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมกับคาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย อีกฝ่ายยังละมือไว้กับพวงมาลัยหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างวางโทรศัพท์ที่ถือลงแล้วหันมามอง ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เลื่อนมือไปขยับเกียร์แล้วออกรถในทันที

   ​​​​ภาพวิวข้างทางเป็นที่ๆ ผมเลือกจะมองเพื่อลดความสนใจจากการอยู่ด้วยกันของเราทั้งสองในรถของอีกฝ่าย ม่านตั้งใจขับพร้อมกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเคล้าแผ่วเบา ดวงตาเขาจับจ้องไปยังถนนตรงหน้า มีมือขวาบังคับทิศทางเพียงข้างเดียว

   ​​​​คนขับไม่ได้บอกถึงจุดหมายปลายทาง คงอยากเก็บเอาไว้เป็นความลับแบบคนอื่นๆ ผมไม่ถามย้ำ ถึงแม้จะตื่นเต้นเพราะความอยากรู้แต่ก็ยอมให้เขานำพาไปโดยได้แต่นั่งเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศบนรถก็ไม่ได้ชวนอึดอัด คงเพราะเราเริ่มชินที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองล่ะมั้ง ผมและม่านเลยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเสียมากกว่า

   ​​​​ความเร็วของเครื่องยนต์เริ่มลดลงมากขึ้นจนรถหยุดแล่น เป็นอำนาจของสัญญาณไฟจราจรสีแดงที่ควบคุมกฎต่างๆเอาไว้ทำให้ต้องจอดนิ่งสนิท สี่แยกยามนี้ยังมีผู้คนไม่มาก ไม่ได้รู้สึกแออัดเหมือนยามเย็น มีแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านบานกระจกตกกระทบเข้ากับลำตัว

   ​​​​“ไม่สงสัยหรอว่าเค้าจะพาไปไหน?” เขาเอ่ยถามในตอนที่ผมขยับตัวนั่งอย่างสบาย
   ​​​​“สงสัยดิ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แต่ไม่รู้ว่าถามไปมึงจะตอบรึเปล่า”

   ​​​​ม่านหัวเราะเบาๆ เหยียบคันเร่งให้รถออกตัวอีกครั้งหลังจากสัญญาณเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว

   ​​​​“เหมือนรู้ว่าเค้าจะไม่บอก”
   ​​​​“รู้หรอกว่าอยากเซอร์ไพรส์”
   ​​​​“งั้นเธอก็ช่วยตื่นเต้นหน่อยดิ”
   ​​​​“ตื่นเต้นจัง”

   ​​​​เพราะผมพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบคล้ายกวนประสาทเขาเลยมองค้อนกลับมา คนตัวสูงกดเปลี่ยนเพลงที่ฟังจากปุ่มบนพวงมาลัย เพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

   ​​​​ผมแอบลอบสังเกตเส้นทางที่พ้นผ่านเพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะความอยากรู้ในใจมันเก็บเอาไว้ไม่ได้ ถึงแม้จะพยายามทำตัวไม่ใส่ใจแต่ข้างในกลับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย หลังจากที่เราพ้นจากสี่แยกไฟแดงถึงสามแห่งก็แยกออกมายังอีกเส้นทางหนึ่ง ป้ายด้านบนที่เขียนด้วยตัวหนังสือกำกับไว้ว่าเป็นทางด่วนพิเศษ ม่านลดกระจกจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่พนักงานตามจำนวนที่กำหนด ก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็ว

   ​​​​ใช้เวลาเนิ่นนานบนทางที่ทอดยาวและยกสูง ความสูงของมันเทียบเท่ากับตึกห้าชั้นเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างด้านข้าง,  ตึกระฟ้า อาคาร และบ้านเรือนต่างๆตั้งเป็นแนวไปสุดลูกหูลูกตา บ้างก็มีรูปทรงแปลกๆ บ้างก็มีป้ายโฆษณาขายสินค้าขนาดใหญ่ติดทับ มองเห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อทอดมองมันยังบริเวณนี้

   ​​​​ม่านขับผ่านใจกลางเมืองหลวงที่รถราเริ่มหนาแน่น ก่อนจะเบี่ยงออกไปทางด้านซ้ายในช่วงหนึ่ง ทางแปลกใหม่ทำเอาผมไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เพราะคำตอบในใจกลับถูกตัดออกไปแล้วหลายข้อ

   ​​​​ไม่ใช่ที่ห้างชื่อดัง
   ​​​​ไม่ใช่ย่านผู้คนหนาแน่น
   ​​​​ไม่ใช่เส้นทางที่ออกนอกต่างจังหวัดแต่อย่างใด

   ​​​​รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ก่อนที่ผมจะเห็นว่ามันเริ่มชะลอตัวและออกจากถนนเส้นหลักในจังหวะหนึ่ง ทางที่เข้ามายังเป็นถนนกว้าง แต่มีเพียงสองเลนส์ให้รถสวนกันได้อย่างสบาย ยิ่งเข้าไปไกลมากเท่าไหร่ก็เริ่มเห็นบ้านผู้คนที่ปลูกตั้งเรียงรายตามแนวไปเรื่อยๆ

   ​​​​และมันก็มีคำตอบใหม่ที่ผุดขึ้นในใจจนต้องหันไปมองคนด้านข้าง

   ​​​​ผมหวังว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น แบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งรับและมันคงจะผิดแผนของตัวเองไปเสียหน่อย แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะดีเกินคาดเมื่อม่านจอดรถยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง, เป็นบ้านหลังขนาดไม่ใหญ่มาก และเมื่อเจ้าตัวยกหูโทรศัพท์ ประตูไม้ขนาดกว้างกว่าห้าเมตรก็เลื่อนออกให้รถได้เคลื่อนเข้าไปยังด้านใน

   ​​​​ใจผมเริ่มเต้นแรง รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพาตัวเองมาที่ไหน แม้รถยนต์จะดับลงและจอดเทียบท่ายังโรงจอดรถเป็นเวลาสักพักผมก็ยังไม่ได้สติจนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยเรียก

   ​​​​“ผา”

   ​​​​กะพริบตาปริบเมื่อรู้ว่าตัวเองเหม่อไปนาน ผมหันไปมองเขาที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะอมยิ้มเมื่อพูดประโยคต่อมา

   ​​​​“ถึงบ้านเค้าแล้ว”

   ​​​​เป็นประโยคที่บอกชัดเจนถึงสถานที่เดทของเราในวันนี้

   ​​​​“เดี๋ยว” เอ่ยขัดพร้อมกับขมวดคิ้ว ดึงรั้งสายที่พาดผ่านลำตัวให้กลับเข้าที่ดังเดิม “มีใครอยู่ไหม?”

   ​​​​เขาหัวเราะให้กับคำถามที่ส่งไป ก่อนจะยีศีรษะผมสองสามรอบจนมันยุ่งเหยิง

   ​​​​“แม่เค้ารออยู่ครับ”

   ​​​​ริมฝีปากบางเม้มแน่น รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ ผมไม่รู้ว่าม่านคิดดีแล้วหรือยังที่พาผมมาพบกับครอบครัวของตัวเอง เพราะการที่เขาทำเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าตัวต้องมั่นใจในระดับหนึ่ง

   ​​​​มั่นใจในตัวผม
   ​​​​มั่นใจในผู้ใหญ่ที่เราต้องพบ
   ​​​​และมั่นใจในความสัมพันธ์ว่ามันจะยาวนานดังที่ใจหวัง

   ​​​​ทั้งๆที่ผมไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง
   ​​​​ไม่มั่นใจตัวเอง
   ​​​​ไม่มั่นใจความรู้สึกกับคนด้านข้าง
   ​​​​และไม่มั่นใจให้กับอนาคตที่ยังไม่มาถึง

   ​​​​มันดูเหมือนเรายังไม่สามารถหาจุดที่จะลงเอยกันได้เสียที

   ​​​​“ไม่ต้องคิดมากนะ เค้าบอกแม่แล้วว่าจะพาเธอมา เขาดีใจใหญ่เลยที่จะได้เจอเธอซะที เห็นบอกว่าทำกับข้าวไว้รอตั้งเยอะแหนะ”
   ​​​​“ม่าน”
   ​​​​“ไม่รู้ว่าวันนี้พ่อจะกลับมากี่โมง เอาไว้ถ้าไม่ได้เจอกันวันหลังเค้าจะพาเธอมาทำความรู้จั—”
   ​​​​“ม่าน”
   ​​​​“—อ่าา...ครับ”

   ​​​​ต้องขัดจังหวะเขาเป็นรอบที่สองเจ้าตัวถึงได้รู้ว่าผมต้องการจะพูดบางอย่าง ม่านเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงเล็กน้อยยามที่จ้องมอง

   ​​​​“เป็นอะไรรึเปล่า?”

   ​​​​ริมฝีปากผมถูกฟันขบเมื่อใช้ความคิด มีหลายสิ่งที่ตบตีกันไปมาในหัว สมองผมเริ่มทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความกังวลที่ก่อตัวขึ้นทำให้ต้องแอบเช็ดมือที่มีเหงื่อเข้ากับกางเกง

   ​​​​แต่สุดท้าย ผมก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดแบบที่เคยตัว

   ​​​​“เปล่า”
   ​​​​“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกร็ง”
   ​​​​“...” ผมยืนเงียบ เลือกที่จะสบสายตาเขาที่จ้องมาเพื่อเรียกความมั่นใจ ม่านกำชับมือของตัวเองเข้ากับมือผมหนึ่งจังหวะ ผละออกเพราะไม่อยากฉวยโอกาส

   ​​​​และคงเป็นเพราะแบบนั้นแหละมั้ง
   ​​​​เพราะความอบอุ่นที่ส่งผ่านน้ำเสียงและสายตามาดมั่นที่โอบล้อมเอาไว้อีกรอบ

   ​​​​“เชื่อใจเค้านะ”

   ​​​​ผมเลยยอมเดินตามเขาเข้าไปยังด้านใน

   ​​​​ลานหินกว้างดังสะท้อนเสียงรองเท้าของคนสองคนที่ก้าวไปตามทาง พื้นหินสีเทาทอดยาวตั้งแต่บริเวณหน้าบ้านไปจนถึงลานจอดรถ และมันก็ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ยกเว้นสวนขนาดย่อมที่อยู่ถัดไปอีกที

   ​​​​ประตูไม้ขนาดใหญ่สลักลวดลายสีทองถูกเปิดออกด้านหนึ่ง เจ้าของบ้านถือค้างให้ผมได้เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะปิดมันให้สนิทตามเดิม

   ​​​​ภาพวาดที่ประดับบนผนังเป็นสิ่งแรกที่มองเห็น มันน่าจะมาจากจิตรกรที่มีชื่อเสียงเพราะดูๆแล้วคงจะมีราคาไม่น้อย เมื่อเดินเข้ามาจะเห็นห้องรับแขกที่มีชุดโซฟาตั้งอยู่ ด้านใต้เป็นพรมขนสัตว์สีน้ำตาลเข้ากับสีของบ้านที่เป็นสีอ่อน ทุกอย่างตกแต่งคล้ายกับถูกออกแบบไว้อย่างดีตามฟังก์ชันการใช้งานของเจ้าของ

   ​​​​“อ่าวมากันแล้วหรอ?”

   ​​​​จู่ๆ หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็โผล่มาจากด้านหลัง ผมรีบหันตัวกลับไปตามเสียง เห็นม่านเดินเข้าไปกอดก่อนผมจะยกมือไหว้ตาม

   ​​​​“สวัสดีครับ”
   ​​​​“สวัสดีลูก”

   ​​​​อีกฝ่ายยิ้มกว้างพร้อมกับรับไหว้ทันท่วงที มือข้างหนึ่งถือดอกไม้ที่เพิ่งตัดเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ส่งมาลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน

   ​​​​“น้องผาใช่มั้ย?”
   ​​​​“ครับ”

   ​​​​เป็นความอ่อนโยนที่ผมไม่ได้สัมผัสมันมาเนิ่นนานจนจำแทบไม่ได้

   ​​​​แถมสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ก็ทำให้ชวนเก้อเขินจนแปลกประหลาด ดูเหมือนไม่มีคนเรียกผมแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน มันเลยไม่ชินจนต้องแลบเลียริมฝีปากในตอนเผลอ

   ​​​​“เรียกผาเฉยๆก็ได้ครับ”
   ​​​​“ฮ่าๆ นั่นสิ เราเป็นพี่เจ้าม่านเขานี่เนาะ”
   ​​​​“แก่แล้วไงแม่—โอ๊ย!
   ​​​​“ดูพูดกับพี่เขาเข้า ไอ้เจ้าคนนี้นี่”

   ​​​​ร่างสูงตัวงอเมื่อโดนมือเล็กบิดเข้าที่สะดือ สีหน้าเหยเกจนดูไม่ได้ก่อนมันจะจางหายไปเป็นปกติ มือเขาลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา ดูเหมือนอีกคนจะเข้าข้างผมมากกว่าลูกชายตัวเองเข้าแล้ว

   ​​​​“ยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากันใช่มั้ย?” สาวเจ้าพูดเมื่อเดินไปยังมุมหนึ่งข้างโทรทัศน์ ปักดอกไม้ไว้ยังแจกันทรงสูงแล้วจัดมันไปมา

   ​​​​“ยังเลยครับ”
   ​​​​“ก็แม่บอกให้มาทานที่บ้านไม่ใช่หรอ” ผมตอบ มีม่านเข้าสมทบอีกรอบตามหลัง

   ​​​​“งั้นพาพี่เขาไปทานก่อนสิ”

   ​​​​ลูกชายรับคำก่อนจะเดินนำผมไปยังด้านหลัง มีโต๊ะทานข้าวที่ตั้งไว้ยังห้องหนึ่งที่ไม่มีผนังกั้น อีกด้านเป็นเคาน์เตอร์ครัวที่โชว์เด่นหรา ผมนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย พบว่าอาหารมากหน้าถูกวางเอาไว้ต้อนรับ กลิ่นหอมของมันทำให้ท้องเริ่มทำงานตามความหิว แอบกลืนน้ำลายในตอนที่รับจานข้าวมาวางก่อนจะเริ่มรับประทานตามเจ้าบ้านที่จ้วงไม่หยุด

   ​​​​“เราพอจะทานได้มั้ย แม่ไม่รู้จะทำอะไรให้ มีแต่ของโปรดของม่านเขาทั้งนั้น”

   ​​​​เมื่อทานไปได้สักพักมารดาของม่านก็เดินเข้ามาใกล้ มือเล็กวางพาดเข้าที่ไหล่ มองดูเราสองคนที่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

   ​​​​“ทานได้ครับ อร่อยทั้งนั้นเลย” ผมไม่ได้คิดจะประจบ เพราะทั้งหมดนั้นอร่อยดังที่พูดเลยยิ้มตอบเป็นการขอบคุณ หญิงสาวหันไปหาลูกชาย ทางนั้นพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับตักข้าวขึ้นทานอีก

   ​​​​“อยากอยู่นี่ต่ออีกสักอาทิตย์ คิดถึงกับข้าวที่บ้านมาก”
   ​​​​“ใครบอกให้เราไม่กลับเองล่ะ?”
   ​​​​“โหแม่ งานเยอะดิ”

   ​​​​คนที่ยืนอยู่ส่ายหน้า ก่อนจะเลื่อนจานบางอย่างมาให้ผม

   ​​​​“หมูย่างเมืองตรังอร่อยนะลูก คุณพ่อเพิ่งกลับจากประชุมมาเมื่อวาน หอบข้าวหอบของมาฝากเต็มเลย”
   ​​​​“ขอบคุณครับ”

   ​​​​ผมก้มหัวลงอีกรอบอย่างนอบน้อมก่อนที่หญิงสาวจะปล่อยให้เราอยู่ตามลำพัง ผมรับประทานอาหารอย่างเต็มอิ่ม ไม่ต่างจากใครบางคนที่เพิ่มข้าวเป็นรอบที่สองแถมยังนั่งกินอย่างเพลินใจ

   ​​​​“แม่ทำเองหมดเลยหรอ?” คำถามถูกส่งให้ ก่อนม่านจะพยักหน้าแล้วชี้ไปยังจานหนึ่ง
   ​​​​“ถ้าไม่นับหมูย่างนี่ก็ทำเองหมดเลย”
   ​​​​“อ่ออ”

   ​​​​เขารินน้ำแล้ววางแก้วไว้ให้ด้านข้าง ยกน้ำของตัวเองขึ้นดื่มบ้างจนเกือบหมด

   ​​​​“แล้วมึงชอบอันไหนมากที่สุด?”

   ​​​​อีกฝ่ายดูจะแปลกใจที่ผมมีคำถาม เพราะไม่บ่อยนักที่จะเริ่มสนใจเกี่ยวกับเขาล่ะมั้ง ม่านเลยชะงักไปชั่วครู่และไม่ลังเลที่จะชี้นิ้วไปยังถ้วยใบหนึ่ง

   ​​​​“ชอบพะแนง”
   ​​​​“อืม อันนั้นอร่อยดี”
   ​​​​“แม่เค้าทำพะแนงอร่อยที่สุดในโลกแล้ว”

   ​​​​ผมส่ายหน้ากับการโอ้อวด วางช้อนส้อมในมือลงเมื่อไม่ทานต่อ

   ​​​​“อิ่มแล้วหรอ?”
   ​​​​“อืม”
   ​​​​“ถ้ายังไม่อิ่มบอกได้นะ กินเยอะๆเลยไม่ต้องเกรงใจ”

   ​​​​คล้ายกับว่าเขาอ่านใจผมออกเพราะอันที่จริงแล้วท้องก็ยังสามารถเติมเต็มได้อีก แต่ก็นั่นแหละ เวลาไปเป็นแขกบ้านอื่นก็ไม่อยากเรียกร้องให้เสียมารยาท ผมเลยทานแต่พอดีถึงแม้อาหารจะอร่อยเสียจนอยากทานเพิ่ม

   ​​​​การยื้อแย่งเกิดขึ้นเมื่อผมต้องการจะเป็นฝ่ายทำความสะอาดเสียเอง แต่ม่านก็แย่งทุกอย่างไปไว้ในมือและรีบเดินไปยังอ่างล้างจานด้วยความชำนาญเสียก่อน ผมเลยต้องยืนรอเขาอยู่ห่างๆ เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรต่อ

   ​​​​“หนุ่มๆทานน้ำผลไม้ไหม?”

   ​​​​แต่มารดาของเขาก็เข้ามาขัดจังหวะ อีกฝ่ายรื้อหาของในตู้เย็นอยู่สักพัก จากนั้นผลไม้หลากสีก็ถูกวางเอาไว้ยังเค้าน์เตอร์กลางห้องครัว

   ​​​​“มีน้ำมะพร้าวมั้ยแม่?”
   ​​​​“ไม่มีเลยน่ะสิ เอาเป็นน้ำส้มแทนได้ไหม?”
   ​​​​“ได้ครับ”
   ​​​​“เราล่ะ เอาอะไรดีเดี๋ยวแม่ทำให้?” อีกคนหันมาถามพร้อมรอยยิ้มแม้มือจะพัลวันกับการเตรียมของ
   ​​​​“อะไรก็ได้ครับ”
   ​​​​“งั้นแม่ทำน้ำส้มทั้งสองแก้วเลยนะ”
   ​​​​“ครับ”

   ​​​​เมื่อตกลงรับคำหญิงสาวก็เริ่มหยิบจับอุปกรณ์อย่างชำนาญ สักพักน้ำส้มคั้นสองแก้วก็ถูกวางไว้ตรงหน้า มันถูกเติมน้ำแข็งลงไปพร้อมกับปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย จากนั้นเชฟก็เริ่มเตรียมของว่างให้ไม่หยุด

   ​​​​“ไปนั่งดูทีวีกันไป เดี๋ยวแม่ปอกผลไม้ไปให้”
   ​​​​“ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่ทานข้าวก็อิ่มกันแล้ว” ผมรีบปฏิเสธ ดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบใจที่ได้ทำนู่นทำนี่ให้แขกที่เข้ามาเยี่ยม
   ​​​​“เอาน่า ทานกันเยอะๆ น่ะดีแล้ว”
 
   ​​​​ด้วยความรู้สึกเกรงใจตั้งแต่ก่อนเข้าบ้าน ผมเลยรีบประกบด้านข้างคนพูด ก่อนจะออกตัวเพื่อช่วยเพราะไม่อยากรู้สึกผิดมากจนเกินไป

   ​​​​“งั้นผาช่วยดีกว่าครับ”
   ​​​​“ไม่เป็นไรๆ ไปพักผ่อนเถอะ”
   ​​​​“ไม่เป็นไรครับ”

   ​​​​เพราะมือเล็กทำท่าเหมือนจะตีลงมาที่แขนมันเลยทำให้ผมหัวเราะออกมา หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนที่ลูกชายที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างจะเข้ามาช่วยอีกแรง

   ​​​​เราจัดการของว่างเสร็จหลังจากนั้นไม่นาน ม่านเดินนำของทุกอย่างไปวางไว้ยังห้องรับแขกก่อน ทำให้ห้องครัวเหลือเพียงแค่ผมกับเจ้าของบ้านอีกคนที่อยู่ข้างกัน

   ​​​​“เขาดื้อกับเราบ้างมั้ย?”

   ​​​​แววตาที่มองผ่านไปยังอีกห้องหนึ่งฉายแววขบขัน แต่ก็เต็มไปด้วยความรักและความหวงแหน ผมชะงักกับคำถามอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนสาวเจ้าจะรู้ความเป็นไปในความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนของเราทั้งสอง

   ​​​​แต่ก็ไม่ได้คิดจะห้าม

   ​​​​“ก็...มีบ้างครับ”

   ​​​​หญิงสาวหัวเราะ ทอดมองมายังผมยามที่พูดต่อ

   ​​​​“วันนั้นเขาเอารูปของเรามาให้แม่ดูพร้อมกับถามใหญ่เลยว่าเราน่ารักมั้ย พอแม่ตอบไปคำเดียวว่าหล่อก็เถียงซะจนแทบเป็นแทบตายแหนะ จะให้แม่บอกว่าน่ารักให้ได้ สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมแพ้เขาอยู่ดี”

   ​​​​อมยิ้มระบายไปทั่วใบหน้ากับสิ่งที่อีกคนเล่า ม่านยังมั่นคงกับคำว่าน่ารักเหมือนที่หญิงสาวกล่าวไม่ต่างจากที่พร่ำบอกกับผมอยู่เสมอ

   ​​​​ไอ้เด็กหน้าหมา
   ​​​​ผมน่ารักได้ซะที่ไหน

   ​​​​“ตอนนั้นเพราะแม่เห็นว่าเราหล่อมากกว่าจะใช้คำว่าน่ารัก เลยยอมๆพูดไปให้เขาสบายใจ แต่วันนี้พอเจอเราเข้าจริงๆ แม่คงต้องกลับไปบอกเขาอีกรอบแล้วล่ะมั้ง..”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ว่าเราน่ารักมากกว่าในรูปหลายเท่าเลย”

   ​​​​ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากมือเล็กมายังศีรษะทำให้ผมนิ่งค้าง คงเพราะรอยยิ้มหวานและคำพูดที่ทำให้หัวใจพองโตผมเลยเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่ได้

   ​​​​นานมาแล้ว
   ​​​​นานจริงๆ
   ​​​​ที่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้

   ​​​​“ม่านเขามีความสุขที่ได้อยู่กับเรานะ ถ้าเขาทำให้เรามีความสุขเหมือนกันแม่ก็ดีใจ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ไว้มาที่บ้านอีกบ่อยๆล่ะ พ่อกับแม่ยินดีต้อนรับเราเสมอ”

   ​​​​เวลาช่างเคลื่อนผ่านเชื่องช้าเมื่ออีกฝ่ายผละตัวออก มอบรอยยิ้มส่งท้ายเป็นการบอกลาแล้วเดินจากไปยังทางเดิมกับลูกชายเมื่อสักครู่ ปล่อยให้ผมยืนอยู่ตรงนี้เพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่าน
   ​​​​เพื่อดึงย้อนความทรงจำให้หวนกลับ
   ​​​​และเพื่อระลึกได้ว่าความอบอุ่นแบบนั้น...เป็นสิ่งที่ตัวเองเฝ้าใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต

   ​​​​ดวงตาหลับแน่นเพราะสิ่งที่เพิ่งถูกเติมเต็มภายในใจ ผมรีบจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ กลัวว่ามันจะสลายหายไปเพียงเสี้ยววินาที

   ​​​​เก็บมันไว้ยังกล่องที่ถูกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
   ​​​​ปิดผนึกด้วยโซ่แน่นหนา ลงกลอนตีตราว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถขโมยความทรงจำดีๆเหล่านั้นไปได้

   ​​​​ไม่มีใคร


   ​​​​ที่สามารถเข้ามาทำลายความสุขเหล่านั้นได้อีกแล้ว








,









   ​​​​หลังจากที่บอกลาบิดาและมารดาของอีกฝ่าย เราสองคนก็ขึ้นมายังด้านบนของตัวบ้าน ม่านพาผมสำรวจห้องนอนของตัวเอง ก่อนเราจะตัดขาดจากโลกภายนอกเมื่ออยู่ในห้องสี่เหลี่ยม

   ​​​​เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากการที่ได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งเทียบท่า ตามมาด้วยชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน เจ้าตัวพูดอะไรสักอย่างกับคนรักของตัวเองก่อนที่สองคนนั้นจะบอกเราว่าคงต้องออกไปทำธุระข้างนอก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านหลังใหญ่เงียบเชียบลงมากกว่าเดิม

   ​​​​ชายหนุ่มกล่าวทักทายผมพร้อมกับของฝากที่อยู่ในมือ เอ่ยทักด้วยประโยคง่ายๆและพูดด้วยความเสียดายว่าน่าจะมีโอกาสพูดคุยกันให้มากกว่านี้ ผมยิ้มรับและตอบกลับว่าไม่เป็นไร ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังขอโทษขอโพยยกใหญ่จนม่านหัวเราะออกมา

   ​​​​‘เราจะค้างที่นี่ก็ได้นะ เห็นม่านบอกอยากจะอยู่ต่อไม่ใช่หรอ?’ หัวหน้าครอบครัวเอ่ยชักชวน ก่อนที่ลูกชายจะเป็นฝ่ายปฏิเสธพร้อมกับบอกเหตุผลออกไป

   ​​​​‘เกรงใจผาเขาน่าพ่อ พรุ่งนี้ผมมีงานต่อด้วย เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน’
   ​​​​‘ไว้เจอกันนะลูก ขอโทษที่วันนี้ยุ่งไปหน่อย’
   ​​​​‘ไม่เป็นอะไรครับ’


   ​​​​ผมพอจะเข้าใจว่าเป็นธุระเร่งด่วนเมื่อหญิงสาวรีบเดินตามไปติดๆและไม่วายที่จะส่งท้ายก่อนลาจาก

   ​​​​‘พาพี่ไปนั่งเล่นบนห้องสิ อยู่ข้างล่างเดี๋ยวเบื่อเอา’

   ​​​​เป็นการบอกให้ลูกชายพาเขาขึ้นไปยังบนห้อง
   ​​​​แถมยังไม่ได้ถือสาว่ามันจะเป็นเรื่องน่าเกลียดแต่อย่างใด อีกฝ่ายแค่อยากให้ผมทำตัวตามสบายและไม่​​​​ต้องคิดอะไรมาก

   ​​​​เมื่อไม่มีกิจกรรมที่เราสามารถจะทำได้อีกม่านจึงพาผมมาที่ห้องของตัวเอง ถึงผมอยากจะปฏิเสธแต่ก็อยากรู้ความเป็นอยู่ของเขา เท้าเลยก้าวตามไปติดๆ ผ่านขั้นบันไดที่ยกสูง จนมันมาถึงหน้าห้องหนึ่งที่อยู่มุมด้านใน เขาเปิดประตูเข้าไปก่อน ทิ้งตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ หลังจากนั้นผมจึงเดินเข้าไปแล้วกวาดสายตามองรอบๆ

   ​​​​โปสเตอร์วง Fall Out Boy โชว์เด่นหราบนผนัง มีข้อความภาษาอังกฤษแปะไว้ข้างกัน จากนั้นก็เป็นชั้นวางที่มีอัลบั้มของศิลปินคนโปรดเรียงรายไปกับหนังสือ และผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นนักดนตรีเมื่อมีกีตาร์ตัวหนึ่งวางเอาไว้ ทุกอย่างถูกจัดวางเป็นระเบียบ มีกลิ่นอ่อนๆของน้ำหอมเจ้าตัวปะปนอยู่ในอากาศ ผ้าม่านที่ปิดหน้าต่างยอมให้แสงยามบ่ายลอดผ่านเข้ามา ทำให้ภายในห้องไม่ได้มืดมากนักแม้จะไม่ได้เปิดไฟ

   ​​​​“อันนี้อะไร?” ผมหยิบของบางอย่างที่ดูวางผิดที่ผิดทางบนชั้น หันไปถามเขาที่นั่งข้างเตียง
   ​​​​“แผ่นเสียงของหมอก คงลืมไว้ที่ห้องเค้ามั้ง”
   ​​​​“แล้วน้องมึงนอนห้องไหน?”
   ​​​​“ห้องตรงข้ามเนี่ยแหละ แต่มันไม่ค่อยกลับบ้านเหมือนกัน รายนั้นน่ะติดเพื่อน”

   ​​​​ผมพยักหน้ารับก่อนจะไล่มือตามไม้แผ่นหนาไปเรื่อยๆ

   ​​​​“มึงเล่นกีตาร์ด้วยหรอ?”
   ​​​​“ก็แก้เบื่อ”
   ​​​​“ไม่เคยเห็นเล่นเลย” หันไปมองเห็นเจ้าตัวที่กดโทรศัพท์คล้ายกำลังตอบกลับใครสักคนอยู่
   ​​​​“เล่นแค่ตอนเบื่อ ตอนปกติก็ไม่ค่อยได้จับหรอก”

   ​​​​คล้ายกับเจอของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจเพราะผมเอาแต่สำรวจไปทั่ว จนตอนนี้หยุดยืนที่หน้าโปสเตอร์สีซีด

   ​​​​“ชอบเพลงไหนของ Fall Out Boy หรอ?”

   ​​​​ม่านไม่ตอบ จนกว่าอึดใจที่มีเสียงเพลงคลอเคล้าภายในห้อง
   ​​​​เป็นเพลงที่อีกคนชอบ และผมก็คิดว่ามันเป็นเพลงที่ดีไม่หยอก

   ​​​​I’m Like a Lawyer With The Way I’m Always Trying to Get You Off (Me & You)

   ​​​​“เมื่อก่อนฟัง Fall Out Boy กับ John Mayer บ่อย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ฟังแล้ว โตขึ้นความชอบมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

   ​​​​ใช่
   ​​​​เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน
   ​​​​ไม่มีอะไรคงเดิมดังเช่นที่เป็นมาได้ตลอด

   ​​​​“ช่วงนี้เค้าฟังแต่เพลงไทย ไม่รู้ทำไม...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...แต่เพื่อนบอกว่าเพราะอินเลิฟ”

   ​​​​ผมไม่กล้าหันไปสบตากับเขา กลัวว่ารอยยิ้มกว้างจะเข้าเล่นงานตัวเองอีก เพราะผมรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวทำน้ำเสียงแบบนี้ ม่านต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

   ​​​​“Hertbreak Warfare มึงน่าจะเคยฟัง”
   ​​​​“ครับ?”
   ​​​​“กูชอบเพลงนั้นของ John Mayer”
   ​​​​“...Lightning strikes...Inside my chest to keep me up at night...ใช่ไหม?”

   ​​​​ทันทีที่ผมพูดจบเพลงเก่าก็ดับลงพร้อมกับการฮัมเพลงใหม่จากเจ้าของห้อง ผมหันไปมอง เห็นม่านอมยิ้มเมื่อเราสบตา

   ​​​​และนั่นแหละมั้ง
   ​​​​ที่ทำให้ผมยิ้มออกมาเหมือนกันก่อนจะก้มลงปกปิดความร้อนบนใบหน้า

   ​​​​น่าแปลกที่วันนี้หัวใจผมทำงานหนักทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความธรรมดาที่เติมเต็มจนรู้สึกอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ผมตัดสินใจวางอัลบั้มเก่าในมือ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใช้แผ่นหลังพิงไปกับเตียงแล้วนั่งลงข้างกันบนพื้นที่มีพรมปูไว้รองรับอีกที

   ​​​​“เล่นให้ฟังหน่อย” การร้องขอตามมา ม่านเบ้ปากก่อนจะส่ายหัว “ขี้หวงจังวะ”

   ​​​​เขาหัวเราะ ก่อนจะบอกเหตุผลที่ทำเอาใบหน้าผมร้อนขึ้นกว่าเดิม

   ​​​​“สัญญาว่าจะเล่นให้ฟังแน่นอน”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แต่ต้องตอนที่เราเป็นมากกว่านี้นะ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ไม่ใช่แบบพี่น้องที่เราเป็นอยู่ตอนนี้อ่ะ”

   ​​​​ความหมายที่เขาส่งให้- ผมเข้าใจดี แต่แปลกที่รอบนี้ผมไม่ได้ด่าเขากลับไป
   ​​​​ไม่รู้ทำไม
   ​​​​ไม่รู้เลยจริงๆ

   ​​​​เข่าของเราชันขึ้น ใช้สองแขนวางไว้บนนั้น ผมและม่านปล่อยให้เวลาเดินผ่านโดยที่เราไม่ได้พูดอะไร และในตอนที่เหลือบมองอีกฝ่าย ใบหน้าคมคายก็เลื่อนเข้าใกล้จนเป็นระยะที่ชวนใจหายมากทีเดียว

   ​​​​ม่านจ้องผมอยู่นาน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบริเวณแก้มที่ผมคิดว่าตอนนี้มันอาจจะขึ้นสีบ้างแล้ว ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะรู้ว่าปลายทางของเขาต้องการจบลงที่ไหนแต่ก็ยังนั่งนิ่ง จนตอนที่เขาเลื่อนปลายจมูกเข้ามาใกล้ห่างออกไปไม่กี่เซ็น ถึงได้ก้มลงนิดหน่อยเพื่อไม่ให้มันชนกับผิวเนื้อบริเวณแก้มของตัวเอง

   ​​​​ม่านผ่อนปรนลมหายใจ ส่วนผมก็บังคับหัวใจไม่ให้เต้นแรงมากกว่าเก่า
   ​​​​แต่ที่จริงผมไม่เก่งพอที่จะทำแบบนั้นหรอก

   ​​​​“...ยัง...”

   ​​​​เสียงที่ส่งไปเลยแหบพร่าไม่ต่าง

   ​​​​“...ยังไม่ใช่ตอนนี้...”

   ​​​​ม่านกลับไปนั่งตามเดิม เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย

   ​​​​“ฮ่าๆ โอเคครับ”

   ​​​​เขายังเป็นคนเดิมที่เคยเห็น ยิ้มรับให้กับสถานการณ์ทุกอย่างแม้มันจะไม่เป็นดังที่คิดไว้ตั้งแต่แรก เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิที่โอบล้อมผมเอาไว้ แค่เพียงอีกฝ่ายคว้ามือผมเข้าไปใกล้แล้วกระชับหลวมๆ

   ​​​​เพียงแค่นั้น
   ​​​​ฤดูใบไม้ร่วงก็ดูจะอุ่นขึ้นทันตาเห็น

   ​​​​ม่านไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่การกระทำทั้งหมดของเขาก็ยังชัดเจนว่ายังจะรอไม่ว่าผมจะเป็นยังไง

   ​​​​“นี่”

   ​​​​ผมเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับขอร้องด้วยคำของ่ายๆ ที่เขาสามารถให้ผมได้อยู่แล้ว

   ​​​​“พาไปที่นึงหน่อยสิ”







ต่อข้างล่างฮะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2019 21:42:06 โดย before30october »

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2
,











   ​​​​ดอกไม้ช่อหนึ่งถูกวางไว้บนแท่นหินเรียบ สายลมที่พัดผ่านทำเอากิ่งก้านและเกสรของมันปลิวไสวเล็กน้อย ผมลูบไล้หินเย็นเฉียบแผ่วเบา หลับตาลงภาวนาอะไรสักอย่างที่คนที่ยืนข้างกันไม่สามารถเดาความได้

   ​​​​ผมนำทางมายังที่แห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลจากตัวบ้าน โชคดีที่เราเผื่อเวลาการเดินทางพอสมควร ทำให้ตอนที่มาถึงยังไม่พลบค่ำ แสงพระอาทิตย์ยังลอยจางแปรเปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีส้มอ่อน

   ​​​​ผมแวะซื้อดอกไม้จากข้างทาง ม่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังจะไปที่ไหน จนกว่าที่รถยนต์จะถึงยังปลายทางที่สถานที่แห่งหนึ่ง

   ​​​​จนถึงตอนนั้นอีกฝ่ายถึงรู้ได้ว่าผมนำดอกไม้มาทำอะไร

   ​​​​ที่นี่เป็นสุสานที่เงียบสงบ ไม่มีผู้คนย่างกรายเข้ามาถ้าไม่ใช่วาระที่จำเป็น มีเพียงแท่นหินที่วางเรียงรายไปตามแนวอย่างเป็นระเบียบ มีเพียงแค่นั้น พร้อมกับเขาที่ยืนเงียบๆ เพื่อเฝ้ารอ

   ​​​​“ตกใจไหม?” ผมเอ่ยถาม ไม่ได้หันหลังกลับไปมองเพราะไม่ได้อยากจะฟังคำตอบสักเท่าไหร่
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”

   ​​​​อีกฝ่ายเคารพหลุมศพที่อยู่ตรงหน้าด้วยการหลับตาลง โค้งหัวเล็กน้อยในตอนท้าย เมื่อเห็นแบบนั้นผมเลยยอมบอกเหตุผลที่เก็บเอาไว้ว่าทำไมถึงพาเขามายังที่นี่

   ​​​​“ขอบคุณที่พาไปเจอแม่นะ เพราะแบบนั้นล่ะมั้งกูเลยอยากให้แม่รู้จักมึงบ้าง”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ถึงจะช้าไปนิดหน่อย”

   ​​​​สีหน้าผมยังนิ่งเรียบ ไม่ยอมเผยความรู้สึกที่อยู่ข้างในว่าแท้จริงแล้วผมแตกสลายแค่ไหนกว่าจะทำเป็นปกติได้แบบทุกวันนี้

   ​​​​เพราะผมด้านชาเกินกว่าจะรักใครสักคน
   ​​​​และเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่ใครสักคนจะมารัก

   ​​​​ผมเลยเก็บมันเอาไว้เสียนานจนแทบจะลืมว่าตัวเองผ่านเรื่องอะไรมา

   ​​​​“กลับกันเถอะ”
   ​​​​
   ​​​​ม่านยังเงียบ คงเพราะไม่อยากขัดจังหวะให้ผมได้ลาจาก จนกว่าที่เราจะเดินเคียงข้างเพื่อไปขึ้นรถ เจ้าตัวก็ดึงรั้งแขนผมเอาไว้แล้วมอบอ้อมกอดให้เสียแน่น

   ​​​​พร้อมกับคำพูดปลอบใจและมือใหญ่ที่ลูบไว้ยังศีรษะ

   ​​​​“ไม่เป็นไรนะครับ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เค้าอยู่ตรงนี้นะ”

   ​​​​ผมไม่ได้ร้องไห้ เพราะเม็ดฝนที่เริ่มสาดเทต่างหากเลยทำให้ใบหน้าเปียกปอน ถึงแม้มันจะเริ่มลงเม็ดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อีกคนก็ยังตระกองกอดเพื่อปลอบประโลม

   ​​​​ให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่สามารถเล่นงานผมได้อีก
   ​​​​ให้ความรู้สึกเหล่านั้นไม่สามารถย้อนกลับคืนมาหาผมอีก

   ​​​​และให้อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงนี้นั้น ย้ำเตือนผมอีกครั้ง

   ​​​​ว่าเขาคือคนที่ทำให้ผมมีความสุขมากจนลืมทุกอย่างจนหมด


   ​​​​ผมไม่ได้ตอบรับ ยืนนิ่งให้เขาได้ทำตามใจ
   ​​​​แต่สุดท้ายก็เอียงหน้าซบอกของอีกฝ่าย ตักตวงความอบอุ่นที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีก



   ​​​​ดูเหมือนม่านจะทำการบ้านรอบนี้มาดีจริงๆ
















#ผาเพียงฟ้า

:-)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2019 21:42:59 โดย before30october »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้ พี่ผา  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ม่านน่ารักมากพี่ผาใจอ่อนเร็วๆนะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ให้เวลาผาหน่อยนะ ม่านน่ารักมากก อบอุ่นมาก ครอบครัวม่านก็น่ารักมากเลย  :-[

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ IamLonelygirl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เป็นนิยายที่เทาหม่นๆ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
ขอบมากเลยค่า

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


16

rainstroms, earthquakes or blackouts



_________


But it's the way you smile that does it for me
It's so sweet,
knowing that you love me
Though we don't need to say it to each other,
Knowing that I love you,
and running my fingers through your hair


(sweet - cigarettes after sex)



_________




   ​​​​ดูเหมือนผมจะจำเสียงสัญญาณวิทยุที่ขาดๆหายๆนั้นได้
   ​​​​จำได้ว่าตอนนั้นท้องฟ้ามืดมิด มีเสียงลมที่กระทบกับรถยนต์คันใหญ่ในตอนที่มันวิ่งด้วยความเร็วสูง

   ​​​​ทุกอย่างบิดเบี้ยวและเลือนราง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตัดสลับกันไปมาเหมือนหนังสั้นสักเรื่อง

   ​​​​บางฉากเป็นตอนที่ตัวผมหมุนคว้างกลางอากาศ ทุกอย่างในรถลอยคว้างไม่ต่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนมาอยู่เบื้องล่าง และเศษกระจกต่างๆนั้นอยู่เบื้องบน

   ​​​​ภาพตัดไปอีกในตอนที่หัวหน้าครอบครัวพูดออกมาเสียงดัง มีภาพบ้านหลังใหญ่เข้าแทรกบางจังหวะ ผมจำบ้านหลังนั้นได้ดี มันเป็นบ้านที่เราเคยอยู่อาศัยด้วยกันและเป็นสถานที่ตั้งของครอบครัว แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้ภาพเหล่านั้นอยู่ได้นานเท่าที่ใจฝัน

   ​​​​เอี๊ยดดด!!

   ​​​​เพราะเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตร ผมก็เห็นรอยเลือดของผู้หญิงที่นั่งข้างคนขับเข้าแทรก


   ​​​​RRRR!!


   ​​​​เฮือก!

   ​​​​เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมตกใจตื่น รีบตั้งสติแล้วคว้าสิ่งที่อยู่บนหัวเตียงขึ้นแนบหู แทบไม่ได้สนใจว่าปลายสายจะเป็นใครเพราะตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองจากฝันร้ายนั้นได้เลย

   ​​​​ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองลืมทุกอย่างแล้วแท้ๆ

   ​​​​(มึงไม่มาเรียนหรอ?) เมื่อปลายสายเอ่ยทักผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นไอ้ปัทถ์ที่โทรมา นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะอ่านหนังสือถูกจับจ้องอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังมีบางอย่างที่ผิดปกติ

   ​​​​“เก้าโมงกว่าแล้วหรอ?”
   ​​​​(อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น?)
   ​​​​“อือ”
   ​​​​(มึงจะมาป่ะเนี่ย?)

   ​​​​อีกฝ่ายเอ่ยถาม คงสงสัยว่าทำไมผมที่ไม่เคยขาดเลยสักคาบถึงได้หายหัวไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวไว้ก่อน

   ​​​​“...กู...ไม่น่าไปว่ะ”

   ​​​​สุดท้ายแล้วก็ต้องปฏิเสธออกไปเพราะรู้ว่าถ้าฝืนเข้าให้ผมจะไม่ไหวกับอาการที่เป็นอยู่

   ​​​​(มึงไม่สบายหรอวะ?)

   ​​​​เขาถามกลับ คงตัดสินจากน้ำเสียงที่แปลกไปของผมเองล่ะมั้งถึงได้รู้ว่าแบบนี้มันไม่ใช่อย่างเคย

   ​​​​“...อืม...เหมือนจะเป็นไข้” ผมพลิกตัวนอนหงาย ศีรษะหนักอึ้งไปตามการขยับกายเพียงแค่เล็กน้อย
   ​​​​(เออๆ งั้นก็พักผ่อนเหอะ อย่าลืมกินข้าวกินยาด้วยนะ เดี๋ยวเลคเชอร์ให้ ถ้ามีอะไรกูโทรไปแล้วกัน)
   ​​​​“ขอบคุณมาก”
   ​​​​(ไหวใช่ป่ะวะ?)
   ​​​​“...ไหว”
   ​​​​(อย่าตายล่ะ)

   ​​​​มันหัวเราะในตอนที่ทิ้งท้าย คำพูดช่างดูเป็นห่วงเป็นใยผมจนแทบซึ้งใจ โทรศัพท์ดับลงพร้อมกับที่อีกคนวางสาย ผมใช้มือข้างซ้ายเกยหน้าผาก วัดอุณหภูมิคร่าวๆด้วยการสัมผัสมันแผ่วเบา ตัวผมไม่ได้ร้อนมาก แต่ดูเหมือนสมองจะประมวลผลต่ำกว่าที่ต้องการพอควร แถมมันยังปวดนิดหน่อยเมื่อต้องขยับไปมา ทุกอย่างดูช้าลงหนึ่งระดับ ทั้งการมองเห็น การเคลื่อนไหว และความคิดที่ไม่ได้ดั่งใจสักเท่าไหร่เมื่อร่างกายเป็นแบบนี้

   ​​​​ถึงตัวผมจะไม่ได้ร้อนมากแต่ต่างจากลมหายใจเข้าออก ผิวเนื้อบริเวณริมฝีปากด้านบนค่อนข้างไวต่อการสัมผัสทำให้เมื่อไหร่ที่ลมร้อนพ่นออกมา มันก็จะร้อนตามอย่างช่วยไม่ได้ นั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เพราะมันเป็นสัญญาณที่บอกได้อย่างดีว่าตัวเองกำลังป่วย นอกจากลมหายใจก็มีดวงตาที่อุ่นร้อนไม่แพ้กัน มันค่อนข้างอ่อนล้าเมื่อต้องมองอะไรนานๆจนผมรู้สึกอึดอัด อันที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกสบายนักเพราะอาการแต่ละอย่างเริ่มผสมปนเปจนไม่แน่ใจ

   ​​​​คงต้องโทษสายฝนชุ่มฉ่ำที่ทำให้ผมต้องนอนซมเพราะพิษไข้ ทั้งๆที่คิดว่าตากฝนแค่นั้นตัวเองจะไม่เป็นอะไรมาก แต่สุดท้ายมันกลับเล่นงานคนที่แข็งแรงดีซะจนหมดท่า

   ​​​​เป็นเวลากว่าบ่ายโมงที่ผมตื่นขึ้นมาอีกรอบ อาจเพราะท้องที่ยังว่างเริ่มโหยหาสิ่งเติมเต็มอย่างหนัก ข้าวมื้อแรกที่ถูกทานคืออาหารแช่แข็งที่มีอยู่ในตู้เย็น ช่วยให้คนที่ไม่พร้อมออกไปเจอโลกภายนอกได้ประทังชีวิตไปก่อนในมื้อนี้ ผมไม่ลืมที่จะกินยาตามหลัง เพราะหวังจะให้ตัวเองหายจากการป่วยแต่โดยไวเลยต้องทำอะไรที่ขัดใจไปเสียหน่อย จากนั้นก็พยายามลากสังขารตัวเองไปยังห้องน้ำ ชำระล้างร่างกายเผื่อจะได้สดชื่นขึ้นมาบ้างแต่จนแล้วจนรอดผมก็ต้องกลับมานอนบนเตียงเช่นเดิม

   ​​​​ไม่ไหว
   ​​​​แบบนี้มันหนักหน่วงเกินไปกว่าที่เคยเป็นเสียอีก

   ​​​​โดยปกติแล้วผมมักจะเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันในตัวเองสูง เรื่องเจ็บป่วยเลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวอยู่เสมอ ไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลหรือไปหาหมอเพื่อรักษา แค่ทานยาและรอให้ฤทธิ์ของมันทำงาน ไม่เกินสองสามวันอาการก็จะทุเลาลงจนหายเป็นปลิดทิ้ง

   ​​​​แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่ใช่คนเก่งอีกต่อไป

   ​​​​ทั้งร่างกายที่อ่อนปวกเปียก มีอาการมึนที่รู้สึกเหมือนต้องการการพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา และเมื่อไหร่ที่ผมหลับตาเพื่อหวังจะนอน ทุกอย่างก็ดับมืดลงภายในไม่กี่นาทีต่อจากนั้น

   ​​​​ผมตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะอากาศที่ร้อนจัดจนเหงื่อออก ดูเหมือนผ้าห่มจะกองกันไว้ยังมุมหนึ่งของเตียง ทั้งๆที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้ามันถูกใช้งานให้ความอบอุ่นแก่เจ้าของ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผ้าผืนหนาจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

   ​​​​เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ที่ดังอยู่ทำให้ผมยกมันขึ้นมา หวังจะดูเวลาที่ปรากฏแต่ว่าข้อความของใครคนหนึ่งก็ทำให้ต้องกดเข้าไปอ่าน

   ​​​​เป็นม่านที่ส่งข้อความเหล่านั้นมาตั้งแต่เช้า

   ​​​​12.13 น.
   ​​​​พี่ปัทถ์บอกว่าเธอไม่สบาย : AMAN
เป็นไข้หรอ? : AMAN

14.30 น.
กินข้าวกินยาแล้วใช่ไหมครับ? : AMAN

15:56 น.
เธอหลับอยู่แน่เลย : AMAN
ยังไงถ้าตื่นแล้วบอกเค้าได้ไหม? : AMAN
เป็นห่วงว่ะ : AMAN


   ​​​​ถึงแม้จะไม่ได้ตอบกลับแต่เขาก็ส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ ผมอ่านจนจบก็ตัดสินใจลุกขึ้น พิงตัวเข้ากับหัวเตียงพร้อมกับใช้หมอนรองหลังเพื่อความสบาย ก่อนจะรัวนิ้วลงไปเพื่อตอบเจ้าตัวถึงอาการที่เป็นอยู่

   ​​​​Pha : อืม
   ​​​​Pha : กินยาแล้ว
   ​​​​Pha : ไม่ต้องห่วง


   ​​​​มีคนเคยบอกว่าเวลาไม่สบาย คนเราจะหาที่พึ่งทางกายหรือไม่ก็ทางใจในรูปแบบหนึ่ง บางคนขี้อ้อน บางคนงอแง บางคนก็ต้องการใครสักคนให้อยู่ด้วย

   ​​​​ส่วนบางคน...ก็แค่ผ่านพ้นมันไปตามลำพัง

   ​​​​ผมคงเป็นประเภทหลัง ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้าใกล้เพราะกลัวว่าเขาจะติดเชื้อโรคจากตัวเองไปจนป่วยเข้า แถมยังกลัวว่าจะไปเป็นภาระของคนที่เฝ้า หรือคนที่ดูแล

   ​​​​ทั้งๆที่ปฏิเสธอีกฝ่ายไปแล้วแท้ๆ
   ​​​​แต่ม่านกลับยังดื้อรั้นที่จะทำตามใจตัวเอง

   ​​​​(เดี๋ยวเค้าแวะไป) ปลายสายโทรมาทันทีที่เห็นผมตอบ ประโยคแรกที่ทักทายคือการบอกว่าจะเข้ามาที่ห้องเพื่อดูอาการคนป่วย
   ​​​​“กูไหวจริงๆ”
   ​​​​(รู้แล้วครับว่าไหว แต่แค่อยากจะเข้าไปหาเฉยๆ) เขายังยืนยันคำเดิมจนผมต้องถอนหายใจ
   ​​​​“อืม”
   ​​​​(ผา)
   ​​​​“อยากมาก็มา”

   ​​​​คนอายุน้อยกว่าเงียบไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ที่เรียกชื่อเมื่อสักครู่ก็ไม่ได้มีน้ำเสียงขี้เล่นแบบเดิม

   ​​​​(ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะ)

   ​​​​เจ้าตัวทิ้งท้ายและวางสายไปก่อน เมื่อเป็นดังนั้นผมเลยรีบตรงดิ่งไปล้างหน้าและจัดการตัวเองอีกหนึ่งรอบ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เพราะชุดเดิมมันเป็นชุดนอนยับยู่ยี่ไม่พร้อมรับแขกที่จะมาถึง

   ​​​​ยี่สิบนาทีต่อมาประตูห้องก็ถูกเคาะจนเกิดเสียงดังสามครั้ง ผมไม่ได้ตะโกนตอบรับ ปล่อยให้เสียงเคาะชุดนั้นดังขึ้นอีกรอบก่อนจะเปิดประตูให้ผู้บุกรุกได้เดินเข้ามา

   ​​​​คนตัวสูงขมวดคิ้วเมื่อมองเห็นสภาพผมที่ดูไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร แต่จังหวะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับก็เข้าประชิดพร้อมกับอังหลังมือไว้บนหน้าผากอย่างรวดเร็ว

   ​​​​“ตัวร้อนจี๋เลยเนี่ย” เขาพูด แถมยังแอบดุส่งท้าย “ไหนบอกว่าไหวไง”
   ​​​​“ไหว...อืออ”

   ​​​​เพราะการขยับตัวที่มากเกินไปทำให้ผมต้องครางออกมา คล้ายกับว่ามีบางอย่างแล่นตรงขึ้นยังศีรษะ ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ที่มีอานุภาพทำลายล้างมากพอจนต้องเอนไหวเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมพยายามใช้มือปิดใบหน้าเมื่อหลับตาลงเรียกสติ แต่ม่านก็รีบเข้าประคองทันที ก่อนจะพาไปนั่งยังโซฟาแล้วลูบไหล่แผ่วเบา

   ​​​​“ไม่ไหวก็บอกไม่ไหวสิ” เขาพูดในจังหวะที่ผมถอนหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ลืมตาแล้วพบว่าเจ้าตัวนั่งอยู่ด้านข้างไม่ห่างจากตัวเอง

   ​​​​“...”
   ​​​​“ให้เค้าดูแลบ้างก็ได้ แค่นี้ไม่ลำบากอะไรซะหน่อย”

   ​​​​ผมจ้องมองคนที่ยังไม่ละไปไหน เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวถือถุงมากมายติดตัวมาด้วย ในนั้นคงจะเป็นมื้อเย็นที่เขาซื้อมาให้และดูเหมือนจะเลือกแต่เมนูง่ายๆที่คนป่วยพอจะทานได้ในเวลาแบบนี้

   ​​​​“ถ้าติดกูแล้วมาว่าจะต่อยให้”
   ​​​​“ยอมให้ติดเลย”
   ​​​​“อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”
   ​​​​“ดีออก ถ้าเค้าไม่สบายเธอต้องไปเฝ้าบ้าง จะให้เธอรับผิดชอบ”
   ​​​​“ปล่อยให้นอนหงอคนเดียวนั่นแหละ”

   ​​​​ม่านหัวเราะร่า กลับมานั่งตามเดิมเมื่อเห็นว่าผมเริ่มไม่เป็นอะไรมาก เจ้าตัวชูของในมือเด่นหราพร้อมกับถามความเห็นที่เหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆ

   ​​​​“ทานเลยไหม เธอจะได้กินยา”
   ​​​​“มีอะไรบ้างอ่ะ?” ผมถาม ชะโงกมองเล็กน้อย
   ​​​​“ข้าวต้ม ปลาทอด ผัดผัก ต้มจืด แล้วก็ยำอกไก่” เขาหมุนถุงไปมา ชี้แจงแต่ละอย่างช้าๆ พร้อมกับหันมาอีกรอบ
   ​​​​“มีแต่ของจืดๆนะ ไม่อยากให้คนป่วยทานรสจัด”
   ​​​​“อือ”
   ​​​​“ให้เค้าไปใส่จานเลยไหม?”
   ​​​​“เอาสิ”

   ​​​​ผมขอเห็นแก่ตัวจากการนั่งนิ่งเพราะตัวเองไม่น่าจะไหว คิดว่าม่านก็คงเข้าใจและก็ไม่อยากให้เข้าไปช่วย ยังไงเขาก็ชอบที่จะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว และยิ่งเป็นการจัดการที่ทำเพื่อผมม่านก็คงยอมทำโดยไม่เรียกร้องอะไรกลับ ดังนั้นผมเลยนั่งเงียบๆ แล้วพิงศีรษะไปด้านหลังเพื่อพักผ่อนเสียแทน

   ​​​​เสียงกุกกักดังตามมาตลอด มองเห็นเขาวุ่นหยิบจับของไปมาผ่านทางหน้าประตู เจ้าตัวยังอยู่ในชุดนักศึกษา แขนเสื้อจึงถูกพับขึ้นทั้งสองข้างแบบที่เห็นประจำ ชายเสื้อถูกปล่อยให้ตกหล่นตามแรงโน้มถ่วงจนหลุดลุ่ย คงเพราะสถานศึกษาไม่ได้บังคับการแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบอย่างเคร่งครัดเราเลยลดหย่อนกฎพวกนั้นเสียเอง

   ​​​​ไม่นานที่เขาหายลับไปในครัว ม่านก็กลับมาพร้อมกับนำจานมาวางไว้ยังโต๊ะกลางด้านหน้า ความสูงระดับเข่าของมันทำให้ต้องลงไปนั่งกับพื้นด้านล่างเพื่อให้ทานได้อย่างสะดวก คนตัวสูงเดินไปมาสองสามรอบ กับข้าวทั้งหมดก็พร้อมที่จะถูกรับประทาน

   ​​​​“ของมึงล่ะ?” ยังไม่ทันที่จะได้เริ่ม ผมก็ท้วงถึงมื้อเย็นของเขาบ้าง
   ​​​​“เค้าซื้อมาแล้ว แต่ยังไม่ค่อยหิว”

   ​​​​เพราะเจ้าตัวปฏิเสธเลยไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก หยิบช้อนส้อมขึ้นตักอาหารแล้วทานมันทันที ม่านขยับตัวออกไปเล็กน้อย คงไม่อยากจ้องมองกลัวว่าทำแบบนั้นแล้วผมจะอึดอัด เขาเลยหยิบโทรศัพท์แล้วหันหน้าไปทางอื่นแทนในตอนที่เฝ้ารอ แต่ก็ไม่วายที่จะแอบชำเลืองกลับมาบ้างบางคราว

   ​​​​ดูเหมือนกับข้าวพวกนี้จะเยอะเกินไปสำหรับผมแค่เพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าต้องชวนอีกคนมาทานด้วยไหม ถึงแม้จะรู้สึกเกรงใจแต่ก็กลัวว่าเขาจะติดไข้ผมด้วย สุดท้ายก็ได้แต่นั่งทานไปเงียบๆเพราะม่านก็ปฏิเสธและบอกเหตุผลว่ายังไม่หิว

   ​​​​เมื่อทานเสร็จยาก็ถูกยื่นให้พร้อมกับน้ำแก้วหนึ่ง ผมรับมันมาแล้วรีบกลืนลงท้อง ถึงจะยากลำบากสักนิดหน่อยด้วยปริมาณแต่สุดท้ายก็จัดการมันเรียบร้อยแต่โดยดี ม่านไล่ให้ผมไปพักผ่อน ส่วนเจ้าตัวก็เก็บกวาดของบนโต๊ะให้สะอาด

   ​​​​“แหนะๆ ไปเลย ไปนอนเลย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ผา เค้าทำเอง”
   ​​​​“เดี๋ยวกูช่วย”

   ​​​​เมื่อไม่อยากรบกวนเขามากเกินไปผมเลยตัดสินใจที่จะอยู่ช่วย ม่านพยายามแย่งจานในมือแต่ก็ยังไม่กล้าลงแรงกับผมมากนัก ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นดื้อดึงแล้วเดินไปยังห้องครัว

   ​​​​“จนได้นะเธออ่ะ”

   ​​​​เสียงเขาบ่นออดแอดตามมา เพราะรู้หรอกว่าเจ้าตัวไม่ได้เก่งเรื่องพรรค์นี้มากเท่าไหร่ ก็แค่ผู้ชายห้าวๆคนหนึ่งที่อยากทำให้แต่ก็ไม่ได้ถนัดนัก เศษขยะและความวุ่นวายขนาดย่อมจึงเผยให้เห็นอยู่เป็นบางจุด เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยยื่นมือเข้าช่วยและจัดการทุกอย่างจนมันสะอาดหมดจด

   ​​​​“นี่” ม่านเอ่ยเรียกในตอนที่ล้างมือ ยังไม่หันกลับแม้จะพูดต่อ “เค้าอยู่เฝ้าเธอคืนนี้ได้ไหม?”

   ​​​​ถ้าโอกาสที่ผมจะตอบรับเขากลับคือ 100 ม่านคงจะตั้งตัวเลขของความผิดหวังไว้ที่ 99

   ​​​​เพราะเขาไม่เคยได้รับจากผมน้อยกว่านั้น

   ​​​​การถามกลับไปว่าเฝ้าทำไมอาจจะดูใจร้ายไปเสียหน่อย แต่ผมแค่ต้องการเหตุผลรองรับการกระทำของอีกฝ่าย อยากจะรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำทุกอย่างเพราะคนเห็นแก่ตัวแบบผมนั้นไม่สามารถเข้าใจ

   ​​​​แต่ผมก็เก็บคำถามนั้นเอาไว้
   ​​​​และพิจารณาคำพูดเสียใหม่— เพื่อเป็นการไม่ทำร้ายม่านจนเกินไปแบบที่เคยทำ

   ​​​​“จะอยู่หรอ?”

   ​​​​เขานิ่ง ถอนหายใจก่อนตอบ

   ​​​​“อยากอยู่ครับ แต่ถ้าเธอไม่ให้อยู่ก็ไม่เป็นไร เค้าก็เกรงใจที่ขึ้นมาห้องเธอแบบนี้ด้วย”

   ​​​​ความรู้สึกผิดส่งผ่านทางน้ำเสียงและสีหน้า มองเห็นหูและหางตกลู่ของไอ้หมาที่กำลังหงอย

   ​​​​“แล้วจะอาบน้ำยังไง?”
   ​​​​“ว่าจะกลับไปอาบที่ห้องแล้วเดี๋ยวเค้าเข้ามาใหม่”
   ​​​​“...”
   ​​​​“งั้นรอแปบเดียว ไม่นานจริงๆ”

   ​​​​ยังไม่ทันได้ตอบตกลงเจ้าตัวก็รีบทึกทักไปเอง ม่านทำเหมือนจะปล่อยผ่านหัวข้อสนทนาไปเสียดื้อๆทั้งที่เรายังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ปล่อยไปเพราะยังไงคำตอบก็ไม่น่าจะต่าง

   ​​​​นั่นคือการที่ผมยอมให้ม่านอยู่เฝ้าในวันที่เขาอยากอยู่

   ​​​​“ม่าน” ผมรั้งเขาเอาไว้ ยื่นบางอย่างไปให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้อง “นี่กุญแจห้อง เปิดเข้ามาเองได้ใช่ป่ะ?”
   ​​​​“ครับ”
   ​​​​“เผื่อกูลุกไม่ไหว”

   ​​​​เหตุผลถูกเอ่ยออกไป ก่อนที่เขาจะลาจากด้วยรอยยิ้มเช่นเคย

   ​​​​“ไปนอนได้แล้ว”

   ​​​​ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องจัดการธุระตัวเองให้เสร็จ ผมเองก็เช่นกัน การอาบน้ำเลยเกิดขึ้นหลังจากนั่งพักอยู่ไม่กี่นาที ถึงแม้สายน้ำจะช่วยทำให้สดชื่นได้บ้างแต่ถึงอย่างนั้นอาการป่วยก็ยังคงอยู่ ผมเลยรีบเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนจะกลับไปนอนตามเดิม

   ​​​​ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ม่านออกไปจากห้อง ทุกอย่างกลับมาเงียบเชียบ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่ตัวเองต้องการสักเท่าไหร่

   ​​​​อาจเพราะการที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ มันทำให้โลกทั้งใบเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด

   ​​​​ผมรู้ตัวอีกทีตอนที่เกือบจะผล็อยหลับอยู่รอมร่อ จากเสียงเปิดประตูที่บอกว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา ม่านอยู่ในชุดลำลองดูใส่สบาย ชะโงกหน้าเข้ามาในห้องเพื่อสำรวจ ถึงจะตื่นเต็มตาแต่ผมก็แสร้งทำเป็นหลับ เจ้าตัวเลยเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อทานอาหารค่ำของตัวเอง

   ​​​​เสียงที่ดังลอดผ่านเข้ามายังมีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ผมนอนนิ่ง สายตาจ้องมองไปด้านหน้าเพื่อขบคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ถึงจะอยากนอนแต่ก็นอนไม่หลับ จนกว่าสักพักที่แขกเดินเข้ามาแล้วพบว่าผมตื่นเป็นที่เรียบร้อย

   ​​​​“ตื่นแล้วหรอ?”

   ​​​​เขาถาม มือซ้ายกำแน่นไว้กับโทรศัพท์ ส่วนมืออีกข้างถือหนังสือหนึ่งเล่ม

   ​​​​เป็นหนังสือเล่มสีน้ำเงินปนน้ำตาลค่อนไปทางสีหม่น มีชื่อเรื่องเด่นหราพร้อมกับชื่อคนแต่งที่อยู่ด้านใต้

   ​​​​“ไข้ลดบ้างรึยัง?”

   ​​​​คนอายุน้อยกว่าทิ้งตัวลงยังขอบเตียง ใช้หลังมือทาบทับหน้าผากผมอีกรอบ อังมือจนรับรู้ถึงไออุ่นก่อนจะอมยิ้มเมื่อละมันออก

   ​​​​“คนป่วยนอนซึมเลยเนี่ย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“จะนอนต่อใช่ไหม?”

   ​​​​ผมพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบ มองเห็นเขายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นสูงให้มันคลุมตัวผมได้มากกว่าเก่า

   ​​​​“โอเค”

   ​​​​แต่เมื่อพยายามหลับตาลงเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถหลับได้แบบที่ใจต้องการ ม่านเดินไปหรี่ไฟจนสลัว ไม่ได้ปิดมันจนห้องมืด ปล่อยให้แสงเพียงน้อยนิดนำทางผมเข้าสู่ราตรีที่ยาวนาน เขาทิ้งตัวลงแล้วใช้แผ่นหลังกว้างพิงเข้าข้างเตียง บริเวณที่ผมหันไปแล้วจะเจอเจ้าตัวอยู่พอดี

   ​​​​โคมไฟดวงเล็กถูกใช้งานให้ความสว่างแก่คนอ่านหนังสือ
   ​​​​เขาเสยผมขึ้น ตั้งใจอ่านหน้ากระดาษที่อยู่ในมือด้วยความเงียบเชียบ

   ​​​​“ม่าน” เสียงผมแหบพร่า ไออุ่นจากลมหายใจลอยกรุ่นสะท้อนกระทบใบหน้ายามที่พูด
   ​​​​“หืม ครับ?” คนโดนเรียกหันมาเล็กน้อย
   ​​​​“อ่านอะไรอยู่หรอ?”

   ​​​​คิ้วหนาเลิกขึ้น ก่อนที่เขาจะชูหนังสือที่อยู่ในมือแล้วเอ่ยตอบ

   ​​​​“หนังสือของมุราคามิ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เรื่องการปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก”

   ​​​​จากปฏิกิริยาของคนป่วยทำให้เขารู้ว่าผมไม่น่าจะเคยอ่าน เพราะนอกจากผมจะขยับเปลี่ยนท่าให้นอนได้สบายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

   ​​​​“เรื่องเป็นยังไง?”
   ​​​​“อืมม...จะพูดยังไงดี” ม่านหัวเราะเบาๆ “เหมือนเล่าชีวิตของชายคนหนึ่งที่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ยังโหยหาบางอย่างที่จะมาเติมเต็มตัวเองอยู่ตลอดแบบนี้ล่ะมั้ง...อันที่จริงเค้าก็อ่านจบไปรอบนึงแล้วแหละ แต่ไม่รู้ทำไมอยากอ่านอีก เลยหยิบมาก่อนออกจากห้อง”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แล้วเธอไม่นอนต่อหรอ? ไหนบอกง่วงไง?” คำถามส่งมา ผมสบตาเขาตอนที่บอกเหตุผล
   ​​​​“นอนไม่หลับ”

   ​​​​เหมือนเจ้าตัวใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงหันกลับมาแล้วบอกความต้องการให้ฟังและผมก็ไม่ได้ขัดอะไร

   ​​​​“งั้นจะอ่านให้ฟังกล่อมเธอนอน”

   ​​​​ม่านพูดอย่างอารมณ์ดี ขยับมาเล็กน้อยให้ตัวเขาอยู่ใกล้ผมอีกหน่อย

   ​​​​“เหมือนกล่อมเด็กเลยเนาะ”
   ​​​​ปัก!
   ​​​​“ฮ่าๆ”
   ​​​​“กูโตแล้ว”

   ​​​​แม้จะมีกำปั้นส่งตรงไปยังกลางกลุ่มผมเจ้าตัวก็ยังไม่หยุดหัวเราะ เขาลูบแผลตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเริ่มพลิกกระดาษไปยังหน้าที่คั่นเอาไว้

   ​​​​“...ผู้หญิงที่สวยตามแบบฉบับมักไม่ปลุกเร้าผม บางครั้งเวลาเดินไปตามถนน เพื่อนจะเอาศอกถองผมแล้วบอกว่า ‘โอ้โฮ ดูสาวนั้นสิ บึ้บบั้บเว้ย’ แต่แปลก ผมจำไม่ได้เลยว่าอะไรแบบนี้กระตุ้นผมได้ พวกนักแสดงหรือนางแบบสวยๆ ก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มัน...เป็น..อย่างนั้น...”

​​​​​​​​   ​​​​เสียงเขาตะกุกตะกักไปพักหนึ่ง ก่อนม่านจะเริ่มอ่านต่อ

   ​​​​“...สำหรับผม เส้นแบ่งโลกจริงกับโลกแห่งความฝันมักเลือนรางเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่เสน่หาอันทรงอำนาจดึงดูดผม แม้ในช่วงต้นวัยรุ่น แค่ใบหน้าสวยๆ ยังไม่พอจะทำให้...ผมเครื่อง...ติด...”

   ​​​​คราวนี้เขาหันมามอง อาจเพราะมือผมที่สัมผัสเข้ากับศีรษะเจ้าตัวอีกรอบ วนม้วนมันเล่นตามอำเภอใจและไม่คิดจะละออก

   ​​​​บวกกับรอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้า บ่งบอกว่าผมกำลังมีความสุขที่เขาอยู่ด้วยกันตอนนี้
   ​​​​ในเวลาแบบนี้
   ​​​​ที่เราสองคนได้อยู่เคียงข้างกันที่นี่

   ​​​​“อ่านต่อสิ”
   ​​​​“อืม”

   ​​​​ม่านเลยยิ้มกลับก่อนจะหันไปอีกทางอย่างอ้อยอิ่ง

   ​​​​“...ผมมักไม่สนใจความสวยงามภายนอกที่ผู้คนมากมายหลงใหล แต่เป็นสิ่งที่อยู่ลึกลงไป บางอย่างเท่านั้น...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...เหมือนคนที่แอบรักพายุฝน แผ่นดินไหว หรือความมืดมน ผมชอบบางสิ่งที่นิยามไม่ได้ ซึ่งมีอยู่ในเพศตรงข้ามเพียงบางคน...”

   ​​​​คราวนี้เขาหยุด แล้วสานมือผมเอาไว้ด้วยมือตัวเองแทน

   ​​​​มันไม่ได้แน่นเหมือนครั้งไหน เป็นสัมผัสหลวมๆที่มอบให้ กดจูบลงไปหนึ่งครั้ง  ก่อนจะวางมันไว้บนไหล่และยังกอบกุมเอาไว้อยู่ตลอด

   ​​​​“...สำหรับผู้ที่ต้องการคำอธิบายที่ดีกว่านี้…”

   ​​​​เรื่องราวยังคงถ่ายทอดผ่าน พร้อมกับรอยยิ้มของผมที่ยังคงอยู่

   ​​​​“...ขอให้เรียกมันว่า พลังดึงดูด...ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่…”



   ​​​​ชอบสิ



   ​​​​“...มันก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง...”




   ​​​ชอบมากๆแล้วมั้งเนี่ย






#ผาเพียงฟ้า

South Of The Border West Of The Sun (การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก)
ของคุณฮารุกิ มุราคามินะคะ

เราชอบพารากราฟนี้มากๆ เลย
ไม่ว่าจะกลับมาอ่านกี่รอบก็ยังชอบเหมือนเดิม
มันหม่นๆ และมีความหมายที่อธิบายผู้ชายคนนึงได้ดีมากๆ

ไม่รู้ว่าทุกคนเคยอ่านไหม แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้ย้อนกลับไปคิดอะไรหลายๆอย่างเลย

ปล.ตอนแรกตอนจบจะตัดเป็นอีกแบบ (อีกแล้ว5555)
แต่ว่ายังเดินทางไปไม่ถึงตอนนั้นดีกว่า

ให้พี่ผาใจเต้นไปเรื่อยๆก่อน ถือว่าไอ้หมาทำสำเร็จไปแล้วอีกหนึ่ง
ฮี่ฮี่ <3

ขอบคุณสำหรับการเข้ามาอ่าน ไลค์ คอมเม้นต์ และแท็กต่างๆ
อาจจะเป็นทอล์คที่ยาวที่สุดของเราแล้วมั้งคะ /เขิน5555

ยังไงก็ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
.จากหัวใจดวงน้อยๆ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2019 01:36:23 โดย before30october »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้โหพี่ผา หายป่วยไวไว  :o12: :o12:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เจอแบบม่าน ต่อให้ใจแข็งแค่ใหนก็อ่อนยวบได้เช่นกันน  :o8:

ออฟไลน์ IamLonelygirl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ผา ยอมน้องเค้ามากเลยนะ
ดีค่าาาชอบบบบบฮื่อจะไปหาอ่านบ้าง

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ขอให้ม่านได้สมหวังเถอะนะ น้องดีขนาดนี้

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


17

maybe I miss you



_________


but I'll never let you know


_________




   ​​​​“เดี๋ยวมึงมีคุยกับอาจารย์ต่อหรอ?”

   ​​​​หลังออกจากลิฟต์โดยสารขนาดเล็กที่มีคนอัดแน่น นาวาก็รีบเดินเข้ามาเคียงข้างพร้อมกับถามคำถามที่มันเก็บเอาไว้ด้วยสีหน้าสงสัย

   ​​​​“อืม นัดวันนี้อีกละ”

   ​​​​“คุยเรื่องไรอีกอ่ะ เห็นวันก่อนก็เพิ่งนัดไป?”

   ​​​​“เรื่องประเมินรอบแรกเนี่ยแหละ ต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง แกกลัวพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ”

   ​​​​ผมแจกแจงคร่าวๆ ให้เพื่อนเข้าใจโดยง่าย เห็นมันยังมีสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก จนเราเดินมาถึงโต๊ะไม้ที่เรียงรายกลางโถงกว้างของตึกเรียน วางกระเป๋าและสัมภาระอื่นๆไว้บนนั้น ไอ้ตินที่เดินตามมาติดๆก็เอ่ยถามผมบ้างหลังจากเงียบไปนานพอตัว

   ​​​​“มึงประเมินวันไหนหรอ?”

   ​​​​“จันทร์หน้า”

   ​​​​“ใครเป็นกรรมการบ้างวะ?”

   ​​​​นิ่งไปสักครู่เพื่อคิด ก่อนจะตอบเมื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้นึกผิดแต่อย่างใด “อาจารย์ปวี แล้วก็อาจารย์สุชาติ”

   ​​​​“โห เจอสุชาติ” คราวนี้เนิร์ดไม่จริงทำหน้าเหมือนสิ้นหวัง เหตุเพราะทราบว่าบุคคลที่กล่าวถึงนั้นมีสรรพนามเรื่องความโหดแค่ไหน

   ​​​​“นั่นดิ กูก็เสียวๆอยู่เหมือนกัน” ผมบอกออกไปตามตรง ไม่ใช่ว่าตัวเองจะไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านนี้มีฉายาเลื่องลือ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเห็นดีเห็นงามว่าเขาจะให้คำแนะนำและการติชมที่ดีที่สุดมันเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะอยากเลี่ยงแค่ไหนก็คงเลี่ยงไม่พ้น

   ​​​​เพราะสุดท้ายคนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับงานวิจัยของผมก็เป็นแกอยู่ดี

   ​​​​ช่วงนี้ผมเลยต้องเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ค่อยได้พักผ่อนเสียเท่าไหร่ แลกกับการไม่โดนตำหนิและไม่ต้องแก้งานตามมาก็ถือว่าคุ้มอยู่ไม่น้อย ถึงแม้บางครั้งจะกลับถึงห้องแล้วผล็อยหลับไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว น้ำก็ไม่ได้อาบ ข้าวเย็นก็ไม่ได้ทาน ตื่นมาอีกครั้งตีสองบ้างตีสามบ้าง บางครั้งยาวนานจนถึงเช้า ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ต้องอดทนให้มันผ่านพ้นไปให้ได้

   ​​​​เพื่อนทั้งสองคนแยกตัวออกไปซื้อขนมขบเคี้ยวเพื่อรอเพื่อนคนอื่นๆ หลังจากที่เราเรียนเสร็จ สมาชิกกลุ่มอีกสามคนก็ออกไปทำธุระของตัวเองเหมือนกัน บ้างก็ไปหารุ่นน้อง บ้างก็ไปเอาเอกสารยังห้องประจำภาควิชา เราเลยตกลงกันว่าจะมาเจอใต้คณะอย่างเคย

   ​​​​อาจเพราะคาบเรียนวิชาสุดท้ายอาจารย์ปล่อยช้านิดหน่อยโถงกว้างเลยมีคนบางตาไม่เหมือนเวลาอื่น มีนักศึกษาสองสามคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกล นอกจากนั้นก็แทบไม่มีใครที่อยู่บริเวณนี้

   ​​​​“กินป่ะ?” ไอ้ตินยื่นไส้กรอกที่ซื้อมาด้านหน้า เมื่อสบตาอ่านความคิดก็อ้าปากรับเพราะรู้ว่ามันคงจะป้อน ผมงับไปคำเล็กๆ ก่อนจะเคี้ยวของว่างอย่างเอร็ดอร่อย หันไปมองร้านค้าที่กำลังจะปิดก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปซื้อของตัวเองเสียแทน ทั้งๆที่ในตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะหิว

   ​​​​ไส้กรอก ลูกชิ้น และน้ำอัดลมถูกอุดหนุนจากนักศึกษาปีสี่ แอบเกรงใจคุณป้าเล็กน้อยที่ไปซื้อตอนจะปิดร้านแต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมเดินกลับไปยังที่เก่า มองเห็นเพื่อนเริ่มตามมาหลังจากเสร็จธุระกันบ้างแล้ว

   ​​​​“ขอคำดิ” เมื่อไอ้เหนือเห็นของในมือก็เอ่ยถาม อันที่จริงผมตั้งใจจะหยิบยื่นป้อนมันแล้วด้วยซ้ำแต่บังเอิญว่าเจ้าตัวขอร้องเสียก่อน

   ​​​​“สองคนนั้นล่ะ”
   ​​​​“ไอ้ฮั่นบอกให้กลับก่อน ส่วนปัทถ์เข้าห้องน้ำอยู่”
   ​​​​“มึงคุยนานป่ะ จะให้พวกกูอยู่รอหรือยังไง?” คราวนี้นาวาแทรกขึ้น เท้าแขนไปด้านหลังทั้งสองข้าง

   ​​​​“กลับก่อนเลย คงนานอ่ะ กูเดาอารมณ์อาจารย์ไม่ค่อยได้ด้วย วันไหนยิ้มแย้มมาก็คุยไวมาก วันไหนเครียดๆหน่อยก็หนักเหมือนกัน”
   ​​​​“มึงจะอยู่รอข้างล่างหรอ?”
   ​​​​“กูคงขึ้นไปรอห้องอาจารย์ เดี๋ยวแกเสร็จธุระแล้วจะมาหา”
   ​​​​“อ่อ”

   ​​​​เหนือพยักหน้า ก่อนจะบอกลาพร้อมกับนาวาและไอ้ตินที่ลุกขึ้นพร้อมจากไป

   ​​​​“กลับดีๆล่ะมึง”
   ​​​​“กูเอารถมา เดี๋ยวก็ขับกลับ”
   ​​​​“เจอน้องดาวฝากบอกว่าพี่นาวาคิดถึงมากกก” อีกฝ่ายพูดถึงนักศึกษาสาวที่เขามักจะเจอประจำ อาจเพราะเรามีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันเลยทำให้พบปะกันบ่อย
   ​​​​“อย่าหน้าม่อให้มากนาวา สงสารคนที่จีบมึงบ้าง” ผมเย้ยหยัน มันคงคิดไม่ถึงว่าผมจะรู้เรื่องสุดลึกลับที่มันพยายามปิดเอาไว้ เจ้าตัวเลยทำหน้าเหวอแล้วมองคนอื่นๆเพื่อดูปฏิกิริยา

   ​​​​ไอ้เหนือขมวดคิ้ว ไม่ต่างจากไอ้ปัทถ์ที่เพิ่งเดินมาถึงแล้วมีความสงสัยเหมือนกัน ส่วนอีกหนึ่งคนนั้น...มันยังมีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม

   ​​​​แต่ใครจะรู้ว่าไอ้ตินน่ะรู้ดีกว่าคนอื่นเสียอีก ไอ้นี่มันร้าย ทำเป็นเงียบเข้าไว้แต่ความจริงก็ใช่ว่าจะไม่สนใจอะไรรอบตัว

   ​​​​“ยังไงๆๆ”
   ​​​​“มันแอบอุบอิบนี่หว่า”
   ​​​​แก๊งสามเสือเริ่มระแคะระคายกันเองอย่างหนัก เมื่อเนิร์ดไม่จริงทำอะไรไม่ได้เจ้าตัวจึงหันมาโยกหัวผมไปมา ผมหัวเราะเมื่อสามารถเล่นงานมันได้อย่างที่ใจคิด ก่อนที่พวกมันทั้งสี่คนจะบอกลาแล้วเดินออกไปปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทน

   ​​​​เอกสารงานทั้งหมดถูกตรวจตราอีกหนึ่งรอบพร้อมกับอาการหาว ดูเหมือนกาแฟที่กินไปเมื่อตอนเช้าจะหมดฤทธิ์ลงไปก่อน ตอนนี้ผมเลยง่วงจนตาปรือ เมื่อเช็กความเรียบร้อยทั้งหมดเป็นที่แล้วเสร็จจึงหอบร่างตัวเองขึ้นมายังชั้นบนของอาคาร ยามรักษาความปลอดภัยยิ้มให้เมื่อเราสบตากันในจังหวะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดีเมื่อช่วงนี้เราเจอกันบ่อย ผมพยักหน้ารับหนึ่งครั้ง เดินเลี้ยวขวาตรงหัวมุมแล้วก้าวเข้าไปนั่งในห้องรับรองขนาดเล็ก

   ​​​​เพราะอุณหภูมิของแอร์ที่เย็นฉ่ำทำให้ผมเกือบหลับอยู่รอมร่อ ครั้นจะตัดสินใจฟุบลงไปกับโต๊ะก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนพร้อมกับชายวัยกลางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

   ​​​​“ไงคุณทิวา”
   ​​​​“ครับ”

   ​​​​อาจารย์ที่ปรึกษาหรือที่ผมเรียกเขาว่าอาจารย์กฤษกล่าวทักทาย วันนี้เจ้าตัวยิ้มแย้มแจ่มใสนั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยวันนี้ผมก็อาจจะไม่โดนหนักหน่วงแบบวันอื่นๆ

   ​​​​“Proposal เสร็จหมดแล้วรึยังล่ะ?”
   ​​​​“เสร็จแล้วครับ แต่สไลด์ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ คงจะให้อาจารย์ช่วยดูอีกรอบ”
   ​​​​“อ่ะ ว่ามาสิ”

   ​​​​อีกฝ่ายนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเมื่อผมเริ่มใช้งานโน้ตบุ้คที่ถือมาด้วย หมุนหน้าจอไปทางเจ้าตัวเล็กน้อยก่อนจะไล่เรียงแล้วอธิบายไปตามความเข้าใจ

   ​​​​“ย่อหน้านี้เพิ่มเนื้อหาเข้าไปหน่อยนะ— อ่า— ตรงนี้โอเคแล้ว ดีมาก กระชับอ่านแล้วเข้าใจ— ส่วนพาร์ทนี้ผมขอข้อมูลตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ไหม”
   ​​​​“ได้ครับ”
   ​​​​“หรือคุณจะทำเป็นกราฟให้พอเห็นภาพก็ได้ ใส่ลงไปในสไลด์ที่จะอธิบายเลยนะ”
   ​​​​“ครับ แทรกตรงนี้เลยใช่ไหมครับ”
   ​​​​“ใช่ๆ ด้านข้างเป็นรูปภาพสองสามรูปก็ดี”
   ​​​​“ครับอาจารย์”

   ​​​​ผมลอบมองใบหน้าของคนอายุมากกว่าที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นตา มีหลายครั้งที่อาจารย์นิ่งคิดไปนาน คล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบและเลื่อนข้อความบนหน้าจอเสียเอง

   ​​​​“อืมม ผมว่าไม่น่าจะมีอะไรแก้ไขเพิ่มเติมแล้วนะ”
   ​​​​“ขอบคุณครับ”

   ​​​​เมื่อเนื้อหาคร่าวๆถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกคนก็พูดออกมา ดึงแว่นตาที่สวมใส่ออกให้มันตกหล่นโดยที่ยังมีสายรั้งไว้ยังลำคอ

   ​​​​“แล้ววิจัยที่ผมสั่งให้ไปอ่านถึงไหนแล้วล่ะ อ่านจบหรือยัง?”
   ​​​​“ยังเลยครับ แต่อ่านไปได้เกินครึ่งเล่มแล้ว”
   ​​​​“พอจะเข้าใจไหม?”
   ​​​​“ก็เข้าใจครับ แต่บางจุดก็มีคำถามเหมือนกัน”
   ​​​​“ตรงไหนล่ะ?”

   ​​​​การคุยงานของเราล่วงเข้าชั่วโมงที่สามโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาจเพราะเนื้อหาที่ผ่านพ้นไม่สามารถล่วงเลยจุดไหนไปได้ รวมถึงการคุยโทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด กว่าผมจะได้กลับห้องก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแทบจะพอดี อาหารเย็นของผมเลยตกอยู่ที่ข้าวไข่เจียวง่ายๆ ซื้อมาจากร้านใต้หอที่ยังเปิดไฟสว่างจ้าและรับลูกค้าแทบจะทั้งคืน ผมรีบทานมันจนหมด ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยโดยไม่ได้อาบน้ำอีกเช่นเคยแบบวันก่อนๆ

   ​​​​โชคดีที่ในตอนเช้าไอ้ฮั่นมักจะโทรมาปลุกอยู่ตลอด ทำให้ผมที่ไม่ได้ตั้งนาฬิกาเอาไว้ตื่นไปเรียนได้โดยไม่ต้องกังวล

   ​​​​(จะนอนต่อป่ะ?) มันถาม เพราะรู้ว่าผมมักจะขอเวลาสักพักที่จะตื่นเต็มตัว
   ​​​​“ไม่ละ ตื่นแล้ว”
   ​​​​(เออเคๆ)
   ​​​​“มึง” ผมรีบเรียกเขาไว้ก่อนวางสาย
   ​​​​(ว่า?)
   ​​​​“วันนี้ไปด้วยดิ ขี้เกียจขับรถไป”
   ​​​​(รับหน้าหอนะ)
   ​​​​“ตามสะดวกเลย”
   ​​​​(เสร็จแล้วโทรมา)
   ​​​​“อืม คงอีกยี่สิบนาที”

   ​​​​เมื่อตกลงกันเรียบร้อยผมจึงรีบชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด ชะล้างความสกปรกที่สะสมแล้วเลือกสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ ฉีดน้ำหอมสองสามทีก่อนจะเหลือบมองเวลาที่เหมาะสม จากนั้นก็หยิบสัมภาระที่จำเป็นโดยที่ไม่ได้กดเข้าดูแจ้งเตือนจากในโทรศัพท์เพราะกำลังรีบ จนกว่าจะถึงชั้นล่างที่ผมรู้ว่าไอ้ฮั่นส่งข้อความมาบอกว่ามันพร้อมจะออกเหมือนกัน

   ​​​​Pha : โอเค กูมารอละ

   ​​​​ผมส่งกลับ แต่กลับกลายเป็นว่าข้อความตัวเองส่งไปไม่ถึง
   ​​​​
   ​​​​จากตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีแดงตัวเล็กที่ขึ้นยังมุมด้านหนึ่งบนหน้าจอ

   ​​​​failed.

   ​​​​อะไรกัน?
   ​​​​ทำไมมันส่งไปไม่ได้

   ​​​​ผมลองส่งซ้ำไปอีกรอบแต่ทุกอย่างก็เป็นแบบเดิม เพราะความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้ต้องรีบหาสาเหตุ จนกว่าจะสังเกตถึงขีดสัญญาณที่มันหายไปและนึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าจะลืมไปเสียสนิท

   ​​​​นั่นคือการจ่ายค่าโทรศัพท์ที่ยังค้างยอดเอาไว้เกือบสองเดือน

   ​​​​แถมยังได้รับแจ้งเตือนระงับสัญญาณมาก่อนล่วงหน้าเสียด้วย

   ​​​​และตอนนี้โทรศัพท์ผมก็ไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อีกแล้ว

   ​​​​(มึงเสร็จยังเนี่ย นานจังวะ) เสียงปลายสายดูหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อรอข่าวคราวจากผมเอง
   ​​​​“โทษทีๆ โทรศัพท์กูโดนตัดเน็ตเลยส่งไลน์ไปไม่ได้”
   ​​​​(สรุปอยู่ไหน?)
   ​​​​“ลงมารอที่เดิมนานแล้ว)
   ​​​​(อืมๆ ออกละ)

   ​​​​เสียงผมอ่อยลงรองรับอารมณ์ของไอ้ฮั่น รู้ว่ามันไม่ใช่ความตั้งใจของตัวเองแต่ก็อดรู้สึกผิดกับเพื่อนไม่ได้ เมื่อขึ้นรถเจ้าตัวไปก็ได้แต่เงียบ

   ​​​​ผมเงียบ มันก็เงียบ เป็นอีกครั้งที่บรรยากาศระหว่างเราเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

   ​​​​“กูขอโทษ” เหลือบมองมันเล็กน้อย ถึงแม้แอบกลัวว่าจะโดนอารมณ์คุกรุ่นเล่นงานเข้าอีกรอบ
   ​​​​“เออน่า”

   ​​​​ดูเหมือนมันจะรู้ว่าตัวเองก็หงุดหงิดเลยพยายามเลี่ยงการพูดคุยกันไปสักครู่ สักพักฮั่นก็ถามกลับพร้อมกับน้ำเสียงที่ปกติดังเดิม

   ​​​​“ไม่ไปจ่ายตังวะ”
   ​​​​“ตังหมดพอดีอ่ะดิ พ่อยังไม่โอนมาเลย” ผมตอบ ชะงักไปเล็กน้อยไม่ต่างจากมันเอง

   ​​​​คงเข้าใจแหละมั้งว่าทำไม

   ​​​​“ยืมกูก่อนมั้ยล่ะ?”
   ​​​​“ไม่เป็นไร เดี๋ยวโทรไปขออีกรอบก็ได้”
   ​​​​“ยืมได้ กูรวยไม่รู้หรอ?”
   ​​​​"เบ่งจังงง"

   ​​​​เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อผมมองค้อน มันย้ำชัดเจนอีกรอบว่าให้ยืมเงินไปจ่ายก่อน แต่ยังไงผมก็ปฏิเสธอยู่ดีเพราะไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป ถึงแม้จะสนิทแต่ก็ยังเกรงใจและคิดว่าตัวเองรอได้ไม่รีบร้อน

   ​​​​สุดท้าย ผมก็ต้องทนไม่ใช้โทรศัพท์อยู่ครึ่งค่อนวัน

   ​​​​หลังจากนั้นผมก็ได้รับยอดเงินจำนวนหนึ่งพร้อมกับสายโทรศัพท์ที่สอบถามสารทุกข์สุกดิบของตัวเอง เราคุยกันสัพเพเหระอยู่ชั่วครู่ ไม่ใช้เวลานานจนรู้สึกอึดอัดแบบทุกครั้ง พ่อก็วางสายไปและผมก็รีบใช้ส่วนหนึ่งในเงินก้อนนั้นจ่ายหนี้ที่ยังค้างไว้ในทันที

   ​​​​ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แจ้งเตือนต่างๆเด้งขึ้นก่อน มันรัวเสียจนผมเพิ่งสังเกตว่าอันที่จริงแล้วโทรศัพท์ตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเย็นวันก่อนแล้ว

   ​​​​สงสัยผมเอาแต่ยุ่งจนไม่ทันได้สังเกตอะไรเลยจริงๆ

   ​​​​ผมนั่งดูแจ้งเตือนเหล่านั้นอยู่สักพัก จนมาถึงข้อความของคนๆหนึ่งที่เรามักจะคุยกันตลอด แต่ดูเหมือนรอบนี้จะไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่หายไป

   ​​​​ม่านก็หายไปเหมือนกัน

   ​​​​จากข้อความสุดท้ายที่เจ้าตัวส่งมาเมื่อวาน เป็นสองประโยคสั้นๆ ในเวลาต่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง

16.35 น.
เค้าเลิกแล้ว กำลังจะกลับหอ : AMAN

18.15 น.
เธอกลับตอนไหน วันนี้ไปหาอาจารย์นี่ : AMAN

   ​​​​ม่านจำรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตผมได้ทุกอย่างแม้มันจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ผมบอกมันเพียงแค่ครั้งเดียว เจ้าตัวก็จำได้แม่นแถมยังใส่ใจอยู่เสมอ

   ​​​​แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป

   ​​​​เพราะปกติแล้วถ้าผมหายเขาก็จะตามหรือไม่ก็ต้องถามว่าเป็นอะไร

   ​​​​แต่คราวนี้เขาไม่

   ​​​​ม่านไม่ถาม
   ​​​​และไม่ตามแบบครั้งอื่นๆ

   ​​​​ไม่มีสายเรียกเข้า
   ​​​​ไม่มีข้อความใหม่
   ​​​​ไม่มีแม้แต่คำถามที่ฝากเพื่อนมาถามให้เหมือนเคย

   ​​​​หน้าจอถูกบังคับให้มืดสนิทเพื่อรองรับอารมณ์ของเจ้าของ ผมเลือกที่จะเดินรั้งท้ายกลุ่มเพื่อนเพื่อให้สมองสามารถครุ่นคิดไปถึงใครคนหนึ่งที่รู้สึกคิดถึงเป็นพิเศษ

   ​​​​ทำไมถึงไม่ตามล่ะ

   ​​​​หายไปไหนของเขากันนะ...










#ผาเพียงฟ้า










   ​​​​ผมไม่ใช่คนที่ชอบลองใจ
   ​​​​ไม่ใช่คนที่เลือกจะหายไปเพื่อทดสอบความสัมพันธ์

   ​​​​ผมไม่ใช่คนแบบนั้น

   ​​​​แต่ทำไมเมื่อกลายเป็นผา ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปจนหมด

   ​​​​โทรศัพท์ที่ใช้งานอยู่ถูกปิดลงเพราะรู้ว่ายังไงอีกคนก็ไม่ตอบรับผมกลับมาอยู่ดี ภาพสุดท้ายที่เห็นคือข้อความของตัวเองสองข้อความที่ส่งไป มันอยู่ชิดติดฝั่งซ้าย และเป็นสองข้อความที่ผมกดเข้าไปอ่านมันมานับสิบกว่ารอบ

   ​​​​เพื่อรอผาตอบ

   ​​​​และเพื่อรอดูผลว่าเขาจะรับรู้การหายไปของผมหรือไม่

   ​​​​เป็นการลองใจครั้งใหญ่ที่ผมเอาความสำคัญของตัวเองเป็นสิ่งเดิมพัน ไม่รู้ว่าผลของมันจะออกมาเป็นแบบไหน ถึงจะไม่ชอบใจที่ต้องทำแต่บางทีใจผมมันก็ยอมแพ้ให้กับความอยากรู้

   ​​​​ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่จุดไหนในความสัมพันธ์ครั้งนี้
   ​​​​มากพอที่จะเดินหน้าต่อไปหรือเปล่า
   ​​​​หรือเป็นเพียงแค่จุดหนึ่งในชีวิตเขาและไม่ได้มีค่าอะไรเลย

   ​​​​และคำตอบที่ผมต้องการมันก็ว่าไวกว่าที่ใจคิด

   ​​​​ถึงจะแอบเผื่อใจไว้บ้างว่ามันจะเป็นแบบนั้นแต่สุดท้ายแล้วผมก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้อยู่ดี

   ​​​​ผาหายไปตั้งแต่ตอนเย็น ผมพอจะเข้าใจได้ว่าเขาคงยุ่งกับงานเหมือนวันอื่นๆ พักหลังมานี้เห็นบอกว่าเหนื่อย และบางทีก็หายไปช่วงเย็นๆแบบนี้ทุกที กว่าจะตอบอีกรอบก็เป็นในตอนเช้าที่ผมมักจะทักไปหาเขาอีกรอบ แต่ครั้งนี้ผมลองเลือกที่จะเงียบ

   ​​​​แต่ผาก็เงียบ

   ​​​​ไม่มีข้อความตอบรับ ไม่มีแม้แต่การกดเข้ามาอ่าน
   ​​​​ไม่มีสัญญาณอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวจะสนใจ

   ​​​​ล่วงเลยจนผ่านมาครึ่งวัน เป็นครึ่งวันที่ผมไม่สามารถกักเก็บอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองได้จนแผ่รังสีไปรอบข้าง เพื่อนๆต่างสงสัยและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ มีเพียงไอ้เตที่เอ่ยถามพร้อมกับยกยิ้ม มันคงจะรู้ว่ามีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ได้และสุดท้ายมันก็เดาถูก

   ​​​​“พี่ผาทำอะไรให้อีกล่ะทีนี้”

   ​​​​เจ้าตัวดูชอบอกชอบใจนัก ผมไม่มีอะไรตอบกลับจึงเลือกที่จะเงียบ

   ​​​​ในเมื่อบังคับใครให้ทำตามใจไม่ได้ ผมก็ต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเองเสียแทน

   ​​​​พรึบ!

   ​​​​“จะไปไหน?”
   ​​​​“ดูดบุหรี่”
   ​​​​“แล้วไม่เรียนหรอวะ คาบสุดท้ายแล้วเนี่ย?”
   ​​​​“ฝากลาที”

   ​​​​ผมเดินออกมาแล้วปล่อยให้เพื่อนจัดการเรื่องเรียนเสียแทน ค่อยไปดูชีทที่มันจดเอาแล้วกัน เพราะตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรสักอย่าง

   ​​​​นอกจากปล่อยความคิดบางอย่างให้แล่นไปเงียบๆ

   ​​​​ระเบียงทางฝั่งตะวันตกของตึกเรียนเป็นที่ๆ ผมเลือกจะมา บ่อยครั้งที่พวกเพื่อนมักจะมาสูบบุหรี่กันที่นี่ เพราะไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรผ่านแถมยังเป็นที่ลับตาคน ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งกับคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ไม่ได้ถูกใช้งานแล้วยกก้านสีขาวจรดริมฝีปาก

   ​​​​หมุนฟันเฟืองของไฟแช็กให้ไฟสว่างวาบ

   ​​​​แชะ!

   ​​​​แล้วพ่นควันสีกรุ่นขึ้นบนฟ้า

   ​​​​พลันความทรงจำที่เกี่ยวกับผาก็รีรันจนไม่สามารถหยุดได้อีก

   ​​​​ครั้งแรกที่เราเจอกันคือดาดฟ้าบ้านพี่เหนือ เขาที่เบื่อการดื่มและชายอีกคนที่อยากจะรับลมตอนกลางคืน เราสองคนเลยบังเอิญได้ยืนเคียงข้าง

   ​​​​เขาเป็นคนเงียบๆ มักจะอยู่มุมหนึ่งในวงสนทนาและไม่ค่อยพูด แต่เมื่อไหร่ที่มองไป บางครั้งก็จะเจอรอยยิ้มสว่างไสวจนผมสะดุดตา หลายครั้งที่ผมจะแอบมองเขาอยู่ห่างๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน  ไม่ได้เป็นความรู้สึกชอบ ไม่ได้อยากจะลองเข้าไปทำความรู้จัก

   ​​​​แล้วในคืนนั้น เกิดความบังเอิญขึ้นอีกครั้งที่ผมทำให้รอยยิ้มแสนหวานปรากฏ

   ​​​​มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด คล้ายกับว่ามีผีเสื้อบินว่อนอยู่นานนับหลายนาที คล้ายกับว่าสาเหตุของรอยยิ้มที่มีมันเกิดจากตัวเอง และผมต้องเป็นเจ้าของมันแค่เพียงคนเดียว

   ​​​​ผมคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเข้าหา คอยสอบถามข้อมูลจากรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนผาทีละเล็กทีละน้อย ตอนแรกก็ถูกปฏิเสธมาตลอด แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าผมไม่ได้มีแววล้อเล่นก็มีท่าทีแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด จนกว่าเวลาจะผ่าน และความจริงใจของผมก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ

   ​​​​เพราะผมสนิทกับพวกพี่ฮั่นมานาน พวกเขาก็พอจะรู้แหละมั้งว่าผมเป็นคนยังไง ถึงจะไม่ได้เพอร์เฟคอย่างพระเอกในนิยายแต่ผมก็ไม่เคยทำให้ใครเสียใจจนร้องไห้น้ำตาตก

   ​​​​ผมไม่ใช่คนใจร้าย
   ​​​​แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ชายแสนดี

ผาหายไปไหนอ่ะพี่? : AMAN
ไม่ตอบผมเลย : AMAN
   ​​​​HUNN : เน็ตมันตัดมั้ง แต่ตอนนี้ก็เห็นเล่นได้แล้วนะ

   ​​​​เมื่อทนความคิดถึงไม่ไหวผมเลยสอบถามเพื่อนเจ้าตัวไปจนได้ คู่สนทนาตอบกลับมาทันทีคล้ายกับว่ากำลังเล่นโทรศัพท์ ผมอ่านทวนข้อความเหล่านั้น รับทราบสาเหตุแต่ก็ยังนั่งนิ่ง

   ​​​​เล่นได้แต่ก็ยังไม่ตอบเลยแฮะ

   ​​​​HUNN : ให้บอกมันมั้ยล่ะว่ามึงทักมา?
ไม่ต้องครับๆ : AMAN
   ​​​​HUNN : อ่าว อะไรของมึง5555555

   ​​​​อีกฝ่ายหัวเราะ สุดท้ายผมก็ต้องบอกความตั้งใจที่เก็บไว้ตั้งแต่แรก

ลองดูว่าผาจะทักผมมั้ย : AMAN
   ​​​​HUNN : ลองใจมันก็รู้อยู่ว่าจะเป็นไง

   ​​​​นิ้วเรียวชะงักนิ่ง คนอายุมากกว่าช่างจี้ใจดำซะถูกจุด

   ​​​​
5555555 : AMAN

   ​​​​ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะพิมพ์ต่อ

อย่าบอกเขาแล้วกัน : AMAN
ช่างมันเถอะ : AMAN
เดี๋ยวผมก็ทักไปเอง : AMAN

   ​​​​เครื่องสี่เหลี่ยมถูกปลดล็อกอีกครั้งเพื่อระงับความคุกรุ่นที่อยู่ในอก นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบเอาก้านสีขาวออกห่าง จ้องมองไปยังภาพวิวพระอาทิตย์ตกที่ถูกบดบังโดยควันบุหรี่

   ​​​​กับความจริงที่ว่าตัวเองแทบจะไม่ได้ก้าวเข้าไปในชีวิตอีกฝ่ายมากนัก
   ​​​​ทั้งที่พยายามมานาน

   ​​​​สุดท้ายผมก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจของเขาอยู่ดี

   ​​​​บุหรี่มวนที่สามถูกจุดขึ้นในทันทีหลังจากนั้น ผมยังปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านเชื่องช้า เพื่อปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งหมดเลยกลายเป็นความหงุดหงิดที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

   ​​​​หงุดหงิด

แดกเหล้าป่ะคืนนี้ : AMAN

   ​​​​จนควบคุมตัวเองไม่ได้












#ผาเพียงฟ้า



มีต่อด้านล่างค่ะ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2019 21:27:02 โดย before30october »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2







   ​​​​เสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนรายล้อมรอบข้าง แอลกอฮอลล์วางอยู่ตรงหน้า มันรินเติมแก้วใสแก้วแล้วแก้วเล่าเพราะเจ้าของเอาแต่ยกดื่มไม่ขาดสาย

   ​​​​ผมมองเพื่อนร่วมโต๊ะ เช็ดหยดน้ำบริเวณริมฝีปากให้แห้งก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นดูดอีกรอบ

   ​​​​“มึงจะตายก่อนมั้ยเนี่ย?” เป็นไอ้มาร์ทที่หรี่ตาลงแล้วถาม ผมเสมอง ก่อนจะยักไหล่แล้วตอบกลับ
   ​​​​“ไม่ได้กินเยอะ”
   ​​​​“ตั้งแต่มาก็ยกเอาๆ ไม่เยอะเหี้ยไร”
   ​​​​“เชื่อแล้วว่าอยากจริง” ไอ้แทนที่นั่งด้านข้างทับถมอีกรอบ ก่อนจะเลื่อนแก้วในมือชนแก้วผมเป็นสัญญาณบอกให้ดื่มตามธรรมเนียม “มาๆ พวกมึงด้วย”

   ​​​​เจ้าตัวเลื่อนไปยังแก้วคนอื่นๆหลังจากนั้น และพวกเราก็ยกแก้วใสขึ้นจรดริมฝีปากกันอีกหนึ่งรอบ เห็นไอ้ภีมที่นั่งหัวโต๊ะกอดอก ขมวดคิ้วแล้วมองอย่างไม่เข้าใจ

   ​​​​“สิงห์นักดื่มคืนชีพแล้วหรอ?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม ผมเลยใช้มือที่คีบบุหรี่ชี้ไปยังแก้วของมันเอง เพราะรู้ว่าหมายถึงอะไรเจ้าตัวก็ยกขึ้นจิบแต่ไม่ดื่มจนหมด

   ​​​​“กูยังไม่อยากตาย ไม่ต้องบังคับ”

   ​​​​ผมปล่อยให้บรรยากาศและฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ช่วยชะล้างความเสียใจ ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเวลาชั่วครู่ที่ทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องได้ แต่สุดท้ายผมก็ยังจะเลือกทางนี้อยู่ดี

   ​​​​อย่างน้อย ผมก็ไม่ต้องนั่งจับโทรศัพท์ทุกๆห้านาทีเพื่อดูว่าผาจะตอบกลับมาหรือเปล่า

   ​​​​และสุดท้ายผมก็เจอแต่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ

   ​​​​“มึง” มือใหญ่ของใครบางคนเข้าขัดจังหวะ เป็นไอ้แทนที่สะกิดยังต้นขาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับพยักพเยิดให้หันไปมองด้านหลัง

   ​​​​จนผมเจอกับหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าตัวยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มายังตรงหน้า

   ​​​​“พอดีว่าเพื่อนให้มาขอไลน์อ่ะค่ะ สะดวกจะให้ไหมคะ” ริมฝีปากที่ประดับด้วยลิปสีแดงสดขยับไปมา เจ้าของใบหน้าสวยยังยิ้มแม้ผมจะนิ่งคิดไปสักพัก “เป็นไอจีก็ได้ค่ะ” ก่อนจะขอร้องกลับมาอีกรอบ

   ​​​​“...อ่า..ครับ”

   ​​​​และไม่รู้ทำไม ผมถึงได้เลื่อนมือไปรับแล้วกดตัวอักษรลงไปอย่างเร็วไว หญิงสาวขอบคุณพร้อมกับบอกลาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย จนกว่าที่ผมจะรู้ตัวอีกครั้ง ไอ้เตก็ใช้แขนพาดเข้าที่ไหล่แล้วเอ่ยถาม

   ​​​​“มึงเมา มึงอกหัก หรือมึงเป็นอะไร?”

   ​​​​มันคงจะสงสัยกับการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่มันหรอก ผมเองก็ด้วย

   ​​​​ก็ทำไงได้ ผมทั้งเมา ทั้งอกหัก
   ​​​​และตอนนี้ผมเป็นเหี้ยอะไรไม่รู้เหมือนกัน

   ​​​​ทำไมถึงให้ไปง่ายๆโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ยินดียินร้ายสักเท่าไหร่นัก ผมพยายามหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ

   ​​​​“พี่ผารู้ทำไงเนี่ย” เป็นไอ้แทนที่เข้าแทรก ก่อนที่ผมจะถอนหายใจออกมา

   ​​​​นั่นสิ ถ้าผารู้จะเป็นยังไง?
   ​​​​จะหึงไหม จะโกรธหรือเปล่า หรือถ้าเรื่องมันจบไม่สวย ผมกับเขาอาจจะแตกหักกันไปเลยก็ได้

   ​​​​เรื่องของเราดูจบไวกว่าที่ผมคาดคิดเสียอีก

   ​​​​“ง่ายๆคืออกหัก กูสรุปให้” ไอ้ภีมเป็นคนตอบ และเพื่อนคนอื่นๆก็เห็นชอบตรงกัน

   ​​​​ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสติที่กลับมา ผมรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรลงไป และเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ผมกำลังประชดผา และเป็นการประชดที่โง่เง่าสิ้นดีในหลักความเป็นจริง

   ​​​​ถ้ามันจะพังก็ให้รู้ว่าเพราะผมเอง ไม่ใช่ผาเลยสักนิดนึง

   ​​​​ทุกอย่างที่หมุนรอบตัวเริ่มเชื่องช้า ผมทนความคิดถึงผาไม่ไหวจนต้องโทรไปหาเขาเมื่อกลับถึงห้อง รอคอยใจจดใจจ่อว่าเขาจะรับโทรศัพท์ผมหรือเปล่า

   ​​​​สุดท้ายแล้ว ผมก็เป็นลูซเซอร์ดีๆนี่เอง
   ​​​​
   ​​​​(มีอะไร?) ปลายสายเอื้อนเอ่ย ผมยังไม่สามารถลดทอนความน้อยใจที่ก่อตัวตั้งแต่ตอนเช้าได้เลย

   ​​​​ไม่ได้จริงๆ

   ​​​​“...”
   ​​​​(...)
   ​​​​“...”
   ​​​​(โทรมาแล้วทำไมเอาแต่เงียบ)
   ​​​​“รู้มั้ยว่าเค้าหายไปอ่ะ”

   ​​​​ประโยคที่ส่งไปบ่งบอกความรู้สึกตัวเองได้เป็นอย่างดี เสียงผมยานคาง ไม่ยากถ้าอีกฝ่ายจะรู้ว่าตัวเองกำลังเมามายจนไม่ได้สติ

   ​​​​แต่แล้วยังไงล่ะ เมาเพราะความรักมันผิดด้วยงั้นหรอ?

   ​​​​“ไม่คิดจะตามหน่อยหรอ?”

   ​​​​เสียงผมออดอ้อนในตอนท้าย ผาเงียบไปก่อนจะตอบกลับ

   ​​​​(มึงก็หาย)
   ​​​​“เค้าไม่ได้หาย”
   ​​​​(...)
   ​​​​“แค่ไม่ได้..อึก...ทักไปอีกรอบต่างหาก”

   ​​​​ผลข้างเคียงของการดื่มมากๆเริ่มผลิดอกออกผล ผมสะอึก รีบมองหาตัวช่วยเป็นน้ำขวดหนึ่งที่วางอยู่ไม่ไกล

   ​​​​(กูผิดใช่ป่ะที่ไม่ได้ตอบ)
   ​​​​“ช่ายยย ผิดที่เธอไม่ได้ตอบ และผิดที่เธอไม่ทักเค้ามาอีกรอบด้วย”
   ​​​​(...)
   ​​​​“ใจร้ายกับเค้าจังวะ”

   ​​​​รู้ดีว่าตัวเองกำลังเอาแต่ใจ เสียงที่ส่งไปเลยแผ่วลงเรื่อยๆ ผมเริ่มมีความหวังเป็นครั้งที่สอง แต่สุดท้ายผาก็ยอมรับให้กับประโยคที่ส่งไปก่อนหน้า

   ​​​​(จะโทรมาแค่นี้ใช่มั้ย?)

   ​​​​ว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย

   ​​​​(ไปนอนไป เมาอยู่ไม่ใช่หรอ?)

   ​​​​และไม่สนใจผมเลยสักนิด

   ​​​​“เค้าไม่สำคัญกับเธอจริงๆสินะ”
   ​​​​(...)
   ​​​​“นึกว่าโทรมาหาแล้วเธอจะง้อซะอีก”
   ​​​​(ม่าน)
   ​​​​“เธอก็นอนเหอะ ขอโทษที่โทรมากวนแล้วกัน”

   ​​​​โทรศัพท์ถูกโยนลงไปยังมุมหนึ่งของโซฟา มือเรียวเสยผมไปด้านหลัง ไม่รู้ว่าผมผิดหวังเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน เพราะถ้าให้นับ

   ​​​​ผมก็จะตอบว่าบ่อยครั้งจนด้านชา

   ​​​​น้ำในขวดถูกยกดื่มจนหมด เท้าใหญ่กำลังจะออกเดินไปเอาขวดที่สอง แต่สุดท้าย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน พร้อมกับเสียงของคนที่เพิ่งวางสาย

   ​​​​(นี่)
   ​​​​“...”
   ​​​​(อย่าขี้งอนให้มันมาก)
 
   ​​​​เขาปราม และประโยคต่อจากนั้นต่างหากที่ทำให้ใจเต้นแรง

   ​​​​(กูไม่ได้ตามไม่ใช่ว่าไม่คิดถึง)
   ​​​​“อือ”
   ​​​​(แล้วก็สะดวกลงมาคุยข้างล่างไหม?)
   ​​​​“...”
   ​​​​(กูกำลังไป)
   ​​​​“เธอจะมาทำไม?”


   ​​​​(...ก็อยากเจอ)






#ผาเพียงฟ้า

บอกเขาว่าอย่าขี้งอนแต่ตัวเองก็ยอมง้ออะเนอะๆๆ

ปล.ไอ้หมามันแอบไปทำอะไรมาแหละค่ะ
ฟ้องพี่ผาเลยดีไหมคะ
หึหึ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2019 21:31:42 โดย before30october »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไอ้หมาม่าน ถ้าพี่ผารู้จากรอข้างล่างก็จะไม่อยู่แล้ว
 :ling2: :ling2:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เจ้าม่านผู้พ่ายแพ้ต่อผาเสมอ ไม่สิเหมือนจะชนะใจผาแล้วนะ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยเนี่ย​ ใจเย็นๆนะทั้ง2คน

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


18

that kind of smile



_________


:-)


_________







   ​​​​นิ้วมือที่จับกันไว้ด้านหน้าถูกจับจ้องอยู่นานเมื่อผมไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหน ห้องโถงใต้ตึกยามค่ำคืนเงียบเชียบ มีเพียงเก้าอี้และโต๊ะกลางเข้าชุดที่วางเอาไว้ ผมเลือกที่จะนั่งยังด้านในสุดลับตาผู้คน กวาดมองไปยังรอบๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ถ้าไม่นับลุงยามในห้องกระจก

   ​​​​แสงสีส้มจากโคมไฟให้ความสว่างเพียงน้อยนิด พอจะปลอบประโลมคนที่รอว่าไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป เพราะยังไงผมก็ตัดสินใจที่จะมาคุยกับเขา

   ​​​​และไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยที่เรายังติดค้างกันอยู่

   ​​​​เสียงฝีเท้าของแขกผู้มาใหม่ทำให้ใบหน้าเรียวเงยขึ้น พบว่าเป็นคนที่ตัวเองกำลังรอพอดี ผมเม้มปากแน่น สูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติกลับมาหลังจากมันกระเจิดกระเจิงไปตั้งแต่เมื่อค่อนวัน

   ​​​​เพราะความสัมพันธ์ของเราที่มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง

   ​​​​ผมเลยต้องจัดการเพราะมันไม่ใช่แบบที่ต้องการเลยแม้แต่น้อย

   ​​​​พรึบ!

   ​​​​สุดท้ายแล้วเสียงฝีเท้าคู่นั้นก็หยุดลง ม่านนั่งยังเก้าอี้ด้านข้าง พร้อมกับจ้องมองมาอยู่ตลอด

   ​​​​กลิ่นน้ำหอมผสมปนเปกับกลิ่นแอลกอฮอลล์ลอยเข้าเตะจมูก หนึ่งในนั้นมีกลิ่นบุหรี่ฉุนแทรกซึมอยู่พอตัว เขาอยู่ในเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาดๆและมีเครื่องประดับแบบที่เคยเห็น

   ​​​​“รอนานไหม?” เป็นม่านที่พูดขึ้นก่อน ผมเหลือบมองแล้วส่ายหน้าเบาๆ
   ​​​​“ไม่นาน เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

   ​​​​อีกฝ่ายหายไปสักพักหลังจากที่ผมโทรไปหา คิดว่าคงจะจัดการให้สติกลับมาหลังจากดื่มอย่างหนัก

   ​​​​“ไปกินร้านไหนมา?” เพราะไม่อยากให้เงียบจนเกินไปผมเลยเอ่ยถามเสียบ้าง บรรยากาศระหว่างเราเลยดูแปลกๆไปเสียหน่อยที่เป็นแบบนี้

   ​​​​ก็ผมเริ่มต้นบทสนทนาไม่เก่ง
   ​​​​มันเลยดูฝืนจนไม่น่าให้อภัย

   ​​​​“99” เขาตอบสั้นๆ เป็นที่ๆ ผมพอจะรู้จักเพราะเคยไปมา

   ​​​​คนตัวสูงยกมือขึ้นกอดอก เหม่อมองไปด้านหน้าแทนเมื่อเรายังคงเงียบ โต๊ะกลางที่คั่นดูจะทำให้ระยะห่างไกลออกไปถึงพันไมล์ ไม่รู้ทำไม

   ​​​​ใจผมถึงได้รู้สึกแบบนั้น

   ​​​​“แล้ววันนี้ไม่ทำงานหรอ?” อีกฝ่ายชวนคุย ยังไม่แม้แต่จะหันมามอง
   ​​​​“ทำเสร็จไปนานแล้ว”
   ​​​​“...”
   ​​​​“วันนี้เลยว่างนิดหน่อย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“อืม”

   ​​​​การตอบรับยังสั้นเหมือนเคย สุดท้ายผมเลยกลั้นใจแล้วพูดประโยคที่เก็บเอาไว้ในใจมาตลอด

   ​​​​“ที่กูหายไปเพราะไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ตอบใครไม่ได้ทั้งวันไม่ใช่แค่มึง”

   ​​​​เป็นประโยคที่บอกถึงเหตุผลของการไม่ได้ตอบรับอีกฝ่าย

   ​​​​ม่านไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรหลังจากฟัง ยังนั่งนิ่ง สายตาจ้องมองไม่มีจุดหมาย คล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างในใจและผมไม่สามารถได้ยินเสียงนั้น

   ​​​​“เค้ารู้แล้ว”

   ​​​​คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อไม่ทราบว่าคนด้านข้างไปรู้มาได้ยังไง นึกไปถึงใบหน้าเพื่อนไล่เรียงไปทีละคน ก็คงจะมีแต่ไอ้ฮั่นที่มารับผมตอนเช้าเท่านั้นที่รู้

   ​​​​“...รู้หรอ?”
   ​​​​“อืม”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ถามพี่ฮั่นมาว่าทำไมเธอถึงไม่ตอบ พี่ฮั่นก็บอกว่าเน็ตเธอโดนตัด แต่ตอนที่ถามเธอก็ไปจ่ายตังแล้วนะ...”

   ​​​​อ่า…

   ​​​​“...เห็นบอกว่าแบบนั้น”

   ​​​​แบบนี้นี่เอง

   ​​​​ผมถึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความยุ่งเหยิงมันเกิดขึ้นตรงไหน

   ​​​​“...รอกูตอบ?” ถามพลางหันไปมอง อีกคนสบตาก่อนจะตอบอย่างแน่วแน่
   ​​​​“เค้าเคยบอกหรอว่าเค้าไม่รออ่ะ?”
   ​​​​“แล้วทำไมไม่ทักมาอีกรอบล่ะ?”
   ​​​​“ก็ลองดูว่าถ้าไม่ทักเธอไป เธอจะทักเค้ามาก่อนมั้ย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“สุดท้ายเป็นไงล่ะ...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ไม่น่าเลยเนาะ”

   ​​​​ใบหน้าคมคายก้มลง เท้าคางก่อนจะยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่ไม่ได้เจือความดีใจต่างจากยิ้มอื่น

   ​​​​“เธอไม่อยากตอบหรอ?” เขาถาม เสยผมไปด้านหลังและยังไม่ละสายตาไปไหน

   ​​​​เปล่า

   ​​​​“...”

   ​​​​อยากตอบจะตาย

   ​​​​“...”

   ​​​​แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงนี่หว่า

   ​​​​เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น เขาเอนกายไปนั่งตามเดิม ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกหลังจากนั้น กลายเป็นผมที่เอาแต่โทษตัวเองซ้ำๆไม่รู้จบ กับความปากแข็งและไม่กล้าเริ่มเดินหน้าความสัมพันธ์นี้สักที

   ​​​​ผมมันขี้ขลาด
   ​​​​และผมยังเป็นนักปราชญ์เรื่องเก็บความรู้สึก

   ​​​​“...ขอโทษครับ”

   ​​​​แต่บางทีนักปราชญ์ก็ใช่ว่าจะเก่งไปซะทุกอย่าง
   ​​​​โดยเฉพาะเรื่องความรัก
   ​​​​ผมช่างโง่เขลาเสียจนไม่น่าให้อภัย

   ​​​​เพราะความรู้สึกผิดที่สะสมเอาไว้ตั้งแต่ต้นทำให้ผมแทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ย้ำคำว่าขอโทษกับม่านไปอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะถอนหายใจแล้วทบทวนการกระทำตัวเองเงียบๆ ภายใต้ฝ่ามือที่ปิดบังใบหน้า

   ​​​​เพราะผมไม่เหมาะกับการมีความรัก
   ​​​​แต่เขาก็ทะลุกำแพงทุกอย่างจนทำให้ผมรู้จักมันเข้าจนได้

   ​​​​“ขอโทษจริงๆ”
   ​​​​“พอแล้ว”

   ​​​​เขาเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ว่ารู้สึกแบบไหน

   ​​​​เสียใจ ดีใจ หรือเบื่อเต็มทน

   ​​​​แต่สำหรับผม...สิ่งที่มันยังหนักอึ้งก็ยังคงอยู่ รู้ดีว่าตัวเองทำร้ายเขาไปแล้วกี่รอบ แต่ก็ยังทำแบบนั้นซ้ำๆจนคนที่รอนั้นผิดหวัง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากตอบ แต่ผมแค่ไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจนต้องรู้สึกแปลกๆ ดังนั้น ผมเลยรอให้เขาทักมาอีกรอบเพื่อให้เราได้ต่อบทสนทนา

   ​​​​แต่เมื่อรอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงผ่าน

   ​​​​ม่านก็ยังไม่ตอบกลับมาเสียที

   ​​​​ประโยคของผมที่ค้างไว้ยังอยู่ตรงนั้น ตรงช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มันบรรจุข้อความได้ยาวมากพอ มีเพียงแค่การย้ำนิ้วโป้งลงไปยังสัญลักษณ์สามเหลี่ยมเพื่อส่งไปให้อีกฝ่าย

   ​​​​เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย

   ​​​​แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที

   ​​​​“...รอมึงทักมาหา”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ก็เลยไม่ได้ส่งไป”
   ​​​​“แล้วถ้าเค้าไม่ส่งไปก็จะไม่ทักมาก่อนเลยหรอ?”
   ​​​​“...”

   ​​​​คราวนี้เขาจี้ใจดำ ผมเม้มปากอีกครั้งก่อนจะตอบรับด้วยใจเต้นรัว เพราะผมไม่เคยเปิดเผยความในใจให้ใครรู้เท่านี้มาก่อน นี่เลยเป็นครั้งแรกที่ผมต่อสู้กับความกล้าของตัวเอง

   ​​​​“...ก็”
   ​​​​“...”
   ​​​​“อืม...คงงั้น”

   ​​​​ม่านขมวดคิ้ว คนซื่อตรงอย่างเขาคงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความซับซ้อนและเกราะป้องกันตัวที่แข็งแกร่ง

   ​​​​“ทำไมล่ะ?”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เค้าไม่เข้าใจเลยว่ะ”

   ​​​​ผมหลับตาลงแน่น ถอนหายใจออกมา

   ​​​​“กูงี่เง่าเองแหละ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ให้เวลากูหน่อยนะ กูรู้ว่าตัวเองใจร้าย แต่กูก็ไม่ได้อยากทำให้มึงเสียใจ ไม่ได้รู้สึกดีที่เป็นแบบนี้ กูไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ไม่เคยมีคนเข้าหากูแบบมึงมาก่อน กูแค่....”

   ​​​​เขารอฟังคำตอบ

   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...ไม่อยากชอบมึงมากไปกว่านี้แค่นั้นเอง”

   ​​​​และผมก็ยอมบอกความในใจ

   ​​​​คล้ายกับโลกทั้งใบหยุดชะงัก รอบกายของเราเคลื่อนผ่านเชื่องช้า ความกดอากาศรอบข้างต่ำลงจนน่าใจหาย สมองผมหมุนคว้าง ใจเต้นแรงจนมันแทบจะหลุดออกจากอกมาให้ได้

   ​​​​จากคำสารภาพที่บอกไป
   ​​​​และจากปฏิกิริยาอีกฝ่าย ที่เริ่มหาคำพูดของตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

   ​​​​“...อยากจะค่อยๆชอบ...กลัวว่าวันหนึ่งถ้าผิดหวังจะได้ถอยออกมาทัน”
   ​​​​“...”
   ​​​​“กลัวว่าตัวเองจะเสียใจ”

   ​​​​ความเห็นแก่ตัวถูกแฝงอยู่ในประโยค ผมไม่โป้ปด ในเมื่อตั้งใจจะมาปรับความเข้าใจ

   ​​​​หรือพูดง่ายๆก็คือมาง้ออีกฝ่ายนั่นเอง

   ​​​​“กลัวว่าเค้าจะทำให้เธอเสียใจหรอ?”
   ​​​​“อืม...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“กลัวว่าวันหนึ่งมึงจะหายไปโดยไม่รู้ตัวด้วย”
   ​​​​“เค้าไม่ทำแบบนั้น”
   ​​​​“กูไม่รู้หรอกม่าน กูพยายามเชื่อใจมึงเหมือนกันนะ”

   ​​​​ความรู้สึกถูกถ่ายทอดออกมาเป็นประโยค เขายังตั้งใจรับฟังเหมือนเคย ไม่มีแววว่าจะโกรธแต่อย่างใด

   ​​​​“มึงอาจจะรู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้ใจดีสำหรับทุกคน หลายคนเข้ามาแล้วยังอยู่ แต่หลายคนเข้ามาแล้วเขาก็จากไป ไม่ทิ้งเหตุผล ไม่มีสัญญาณ ไม่มีการบอกลา  แค่อยากจะหายไปแค่นั้น เราไม่รู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แม้กระทั่งตอนที่รู้ว่าเขาไป เราก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำพวกนั้นได้เลยสักข้อ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“แค่อยากจะหายไป ก็หายไปเสียดื้อๆ”

   ​​​​ผมพูดต่อ

   ​​​​“ยิ่งมึงสำคัญกับกูมากเท่าไหร่กูก็ยิ่งไม่อยากให้มึงหายไปมากเท่านั้น”
   ​​​​“แล้วเค้าสำคัญกับเธอไหมล่ะ?”

   ​​​​เขาร้องขอคำตอบ สบตากับผมอีกครั้ง

   ​​​​“...ก็บอกว่าชอบแล้วไง”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ถ้าชอบแล้วไม่สำคัญได้ด้วยหรอ?”

   ​​​​คราวนี้มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก อาการขัดเขินอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างจากผมเช่นกันที่ความร้อนกำลังเล่นงานอย่างหนักบริเวณใบหน้า โชคดีที่ตรงนี้มืดมากพอที่ม่านจะไม่เห็น

   ​​​​ดังนั้นแก้มที่ขึ้นสีเลยถูกปกปิดเอาไว้

   ​​​​“ถามได้มั้ย?”
   ​​​​“ว่า?”
   ​​​​“ชอบมากแค่ไหนหรอ?”

   ​​​​รอบนี้ผมโดนเล่นงานเข้าอย่างจัง ไม่ได้เตรียมใจจะมารับคำถามอะไรแบบนี้

   ​​​​“...”
   ​​​​“ชอบเค้ามากแค่ไหนแล้วอ่ะ?”

   ​​​​แถมเจ้าตัวยังถามย้ำไม่เปิดช่องว่างให้ได้หลีกหนีเสียด้วย

   ​​​​ผมแอบเช็ดเหงื่อที่มือเข้ากับกางเกง บอกแล้วว่าตัวเองไม่เก่งที่จะพูดออกไปตรงๆ แต่ถ้าผมยังไม่ยอมบอกทุกอย่างม่านก็คงจะยังไม่เข้าใจ

   ​​​​“ไม่รู้”
   ​​​​“เธออย่ามาโกหก”

   ​​​​ไอ้เด็กนี่

   ​​​​“เธอรู้แต่เธอไม่ยอมบอกเค้าใช่ป่ะล่ะ”

   ​​​​รู้ดีเหมือนมานั่งในใจ

   ​​​​การเสมองไปทางอื่นกลบเกลื่อนเหมือนจะช่วยไม่ดีนัก เสียงเขายังยานคางพอรู้ว่ากำลังเมา แต่ก็มีสติพอที่จะต้อนผมจนมุมได้อย่างไม่ยากเลยแม้แต่นิด

   ​​​​เก่ง

   ​​​​เก่งเกินไปแล้ว


   ​​​​“...ก็ชอบ”
   ​​​​“อืม”
   ​​​​“แบบที่กำลังจะชอบมากขึ้นเรื่อยๆ”

   ​​​​คนด้านข้างเอื้อมมาคว้ามือผมไปจับ วางไว้ยังโต๊ะกลางที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักมันอีกที ผมมองเขาที่ก้มหน้าลง ปล่อยให้ความอบอุ่นส่งผ่านผิวเนื้อที่ยังเกาะกุมกันอยู่

   ​​​​เขายิ้ม และผมก็ยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้

   ​​​​“ขอโทษนะ” ผมเอื้อนเอ่ยอีกรอบ “รู้สึกผิดจริงๆ”
   ​​​​“ครับ เค้ารู้แล้ว”

   ​​​​ม่านพยักหน้า

   ​​​​“เค้ามีเรื่องอยากจะถามเธอแหละ”
   ​​​​“ว่ามาสิ”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”

   ​​​​เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามออกมา

   ​​​​“ตอนนี้เราเป็นอะไรกันงั้นหรอ?”

   ​​​​เหมือนอีกคนจะรู้ว่าผมเตรียมตัวจะมาพูดอะไรบ้าง เจ้าตัวเลยทวงเรื่องสำคัญไปได้ทุกอย่างจนหมด ผมรู้ว่าการมาหาเขาครั้งนี้สถานะของเราสองคนมันจะไม่เหมือนเดิม และอยากจะมาหาเขาเพื่อย้ำมันอีกครั้งเพื่อให้เราเข้าใจตรงกันซะที

   ​​​​“คนคุย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ใช่ไหม?”

   ​​​​ผมมองอีกคนเพื่อถาม ม่านพยักหน้าช้าๆก่อนจะตอบกลับมา

   ​​​​“อืม...ครับ”
   ​​​​“แล้วรู้ใช่ไหมว่าคนคุยสำหรับกูหมายถึงอะไร?”
   ​​​​“...”

   ​​​​เพราะเขาไม่รู้ ผมเลยต้องอธิบายให้ฟัง

   ​​​​“มันหมายความว่ากูไม่มีใครนอกจากคนที่กูคุยคนเดียว”
   ​​​​“...”
   ​​​​“และกูก็จริงจังกับความสัมพันธ์ระดับนึง”
   ​​​​“เค้าก็จริงจัง” ม่านแย้ง “พาไปเจอพ่อแม่ขนาดนั้นไม่จริงจังก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

   ​​​​ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เพิ่งนึกได้ว่าเราผ่านเรื่องอะไรกันมาบ้าง มือใหญ่กระชับมือผมในบางจังหวะ บ่งบอกและย้ำอีกครั้งว่าเจ้าตัวไม่ได้โกหก

   ​​​​“อืม ขอบคุณนะ”
   ​​​​“แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนล่ะ รอนานป่ะเนี่ย?—โอ๊ย ฮ่าๆ”

   ​​​​คนที่โดนหยิกมือร้องลั่น โดนลงโทษเพราะการหยอกล้อที่ผมไม่ชินมันเท่าไหร่ ม่านใช้สายตาแปลกๆมองมา เป็นสายตาที่ทำให้ใบหน้าผมแดงโดยไม่รู้ว่าทำไม

   ​​​​มันแสดงความเป็นเจ้าของ
   ​​​​มันบ่งบอกว่ามีความสุข
   ​​​​และมันหวานเสียจนแทบจะกลืนกินผมไปทั้งตัว
   ​​​​
   ​​​​“คนคุยม่าน”

   ​​​​ผมย้ำ อีกฝ่ายชอบใจนักจนโยกหัวไปมา มีคนเดินผ่านประตูหน้าแล้วหายลับไปยังโถงลิฟต์ เราเลยเลือกที่จะเงียบและเป็นเขาที่พูดต่อ

   ​​​​“ถ้าเธอมีอะไรอ่ะ บอกเค้าตรงๆได้มั้ย?”
   ​​​​“...”
   ​​​​“เค้ารู้ว่ามันยากแหละ ขอมากไปด้วย แต่อยากให้เธอบอกนะ เค้าคิดว่าแบบนั้นมันจะทำให้เราเข้าใจกันมากกว่า”
   ​​​​“อืม จะพยายาม”
   ​​​​“ถ้าเค้าเป็นอะไรเค้าก็จะบอกเหมือนกัน”
   ​​​​“ถ้างอนแบบวันนี้ก็จะบอกหรอ?”
   ​​​​“...” คราวนี้เจ้าตัวเงียบ ทำหน้าแหยก่อนยักไหล่ “บอกก็ได้”

   ​​​​คำว่าก็ได้ที่ต่อท้ายทำให้มันดูไม่จริงใจเท่าไหร่นัก รู้หรอกว่าเวลาแบบนั้นใครอยากจะมาบอก แต่ผมก็ต้องใช้แต้มต่อด้วยข้อตกลงเดียวกัน

   ​​​​“ดีมาก”

   ​​​​คราวนี้ผมชักมือกลับ เขาก็ไม่ได้รั้งเอาไว้

   ​​​​“ช่วงนี้กูงานยุ่งไปหน่อย คุยกันน้อยเลยเนาะ”
   ​​​​“อืม คิดถึงจะตาย”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“ม่าน” ผมเรียก พูดคำนั้นให้ได้ยินอีกครั้งเพื่อเป็นรางวัลให้คนรอ “รู้มั้ยว่านี่ก็คิดถึง”

   ​​​​ไม่รู้หรอกว่าชอบที่จะได้ฟังไหม
   ​​​​แต่ในเมื่อเขาบอกว่ามีอะไรแล้วให้ผมพูดออกไป ผมก็เลยทำตามใจที่เขาต้องการ

   ​​​​“เหงาเหมือนกันเวลาไม่มีคนคอยกวนตอนดึกๆ”

   ​​​​ติดตลกกลบเกลื่อนอาการเขิน แอบใช้มือแนบไปกับลำคอเมื่อไม่รู้จะวางมันไว้ตรงไหน ต่างจากม่านที่ยิ้มร่า ไม่พูดอะไรแต่ก็รับฟังทุกอย่าง

   ​​​​เราปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านสักพัก ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

   ​​​​ติ๊ง!

   ​​​​มันขัดจังหวะคนที่เหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง ผมมองหน้าจอที่สว่างวาบบนโต๊ะกลาง ก่อนจะมองเขาเพื่อรอดูว่าเจ้าตัวจะทำยังไง

   ​​​​“...อ่า” ม่านถอนหายใจหนัก คิ้วขมวดคล้ายกับลำบากใจที่ได้เห็นข้อความเหล่านั้นที่ฉายชัดบนหน้าจอตัวเอง

   ​​​​ไม่รู้ว่าสัญชาตญาณผมทำงานดีไปหน่อยหรือเพราะเจ้าตัวไม่สามารถเก็บพิรุธของตัวเองได้ ผมเลยรู้ว่ามันต้องมีบางอย่างแปลกไปจากข้อความเหล่านั้น

   ​​​​“ไม่ตอบหรอ?” ผมลองเชิง ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากจากน้ำเสียง

   ​​​​มือใหญ่ตัดสินใจยกมันขึ้นมา เขาอ่านทวนมันนิ่งงัน ก่อนที่จะสบตากับผมแล้ววางโทรศัพท์คว่ำไว้บนหน้าตักของตัวเอง

   ​​​​“เค้ามีเรื่องจะสารภาพ”

   ​​​​นั่นไง
   ​​​​เหมือนจะมีอะไรจริงๆด้วย   
​​​​

   ​​​​“สารภาพอะไร?” ผมถามกลับ ความอยากรู้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
   ​​​​“เอาเป็นว่า...”
   ​​​​“...อือ...”   ​​​​
   ​​​​“...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“คืองี้...”
   ​​​​“...”
   ​​​​“...มีคนขอไลน์เค้าในร้านเหล้า”
   ​​​​“แล้วมึงให้มั้ย” เขาชะงัก และนั่นทำให้ผมรู้คำตอบในทันที เจ้าตัวเม้มริมฝีปาก หน้าหงอยอัตโนมัติแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “โอเค แล้วไงต่อ”
   ​​​​“เค้าไม่ได้ตั้งใจจะให้ จะแก้ตัวว่าเมาก็ดูเหี้ยเกินไปหน่อย”
   ​​​​“อือฮึ แต่มึงก็ให้?”
   ​​​​“ครับ เค้าให้”

   ​​​​ผมกอดอก ถึงจะใจร้อนก็บอกตัวเองว่าให้ระงับอารมณ์ลงก่อน เพราะอย่างน้อยม่านก็ยอมสารภาพและเป็นฝ่ายพูดถึงเสียเอง

   ​​​​“ตอนนั้นมันอยากประชดเธอ ขอโทษนะ จะไม่ทำแล้วจริงๆ”

   ​​​​ความคิดในหัวเริ่มตีกันไปมาอีกรอบ คราวนี้เขายื่นเครื่องสีดำมาไว้ตรงหน้า

   ​​​​“งั้น...เธอเอาไปบล็อกให้หน่อยสิครับ”
   ​​​​“ทำไมไม่บล็อกเองล่ะ ไลน์มึงนี่”
   ​​​​“ให้เธอบล็อกให้ดีกว่า จะได้รู้ว่าเค้าบริสุทธิ์ใจ”

   ​​​​ผมครุ่นคิด สุดท้ายก็ยอมหยิบมันมาแต่โดยดี แอบเลื่อนสายตาผ่านข้อความนั้นหนึ่งรอบพร้อมกับความรู้สึกหลายอย่างที่ปะปนกันอยู่

   ​​​​mayy : นอนรึยังน้อ
   ​​​​mayy : ><


   ​​​​มันทั้งงุนงง สับสน และแอบดีใจอยู่ลึกๆ
   ​​​​ว่าสุดท้ายแล้วผมก็คือคนที่เขาเลือก

   ​​​​มือเลื่อนกดเข้าไปอ่าน เลื่อนนิ้วไปมาอยู่สักพักผู้ติดต่อรายนั้นก็ไม่สามารถส่งข้อความมาได้อีก

   ​​​​BLOCK

   ​​​​เพราะผมจัดการพวกหน้าสิ่วหน้าขวานไปหมดแล้วเรียบร้อย

   ​​​​โทรศัพท์เครื่องเล็กถูกส่งกลับไปให้เจ้าของ เขายิ้มรับพลางเก็บมันไว้ในกระเป๋ากางเกง

   ​​​​“จะโกรธก็ได้นะ”

   ​​​​เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปเจ้าตัวเลยพูดขึ้น ตั้งท่ารับมือเพื่อง้อเต็มที่ แต่ผมกลับส่ายหน้าเบาๆเพื่อปฏิเสธ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกรธเสียหน่อย เพราะทั้งผมและม่านต่างก็มีวิธีรับมือกับเรื่องที่เกิดแตกต่างกันออกไป

   ​​​​“กลับแล้วได้มั้ย?” คราวนี้ผมถามก่อน ไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่ตอนแรก
   ​​​​“ไม่อยากให้กลับ”

   ​​​​เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาว่าจะเป็นยังไง

   ​​​​ม่านยังรั้งเอาไว้เหมือนเดิม แต่คงรู้ว่าเวลามันล่วงเลยข้ามวันจึงยอมที่จะให้ผมทำตามใจ

   ​​​​“กลับไปจะนอนเลยไหม?”
   ​​​​“นอนเลย กูง่วงแล้ว”
   ​​​​“อ่อ”
   ​​​​“มึงล่ะ?”
   ​​​​“ถ้าเธอนอนก็นอนเหมือนกันครับ”

   ​​​​เขายังว่านอนสอนง่าย เป็นลูกหมาที่เชื่อฟังเจ้าของ ผมลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับ เจ้าตัวจึงอาสามาส่ง

   ​​​​เท้าสองคู่เดินเคียงกันไปในความมืด บริเวณนี้ร้างผู้คน มีเพียงแต่รถยนต์ที่จอดเรียงรายไปตามความยาวของฟุทปาธและบางคันก็ขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว

   ​​​​“ผา” แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็เรียกผมโดยไม่มีสาเหตุ หันไปมองก็เอาแต่ส่ายหน้าและพูดเบาๆว่าไม่มีอะไรๆ

   ​​​​จนกว่าจะถึงจุดหมายที่เราเดินมา

   ​​​​ม่านก็รีบมองซ้ายมองขวา แล้วประทับริมฝีปากตีตราความเป็นเจ้าของบริเวณแก้มในตอนที่เผลอ

   ​​​​จุ๊บ!

   ​​​​มันรวดเร็ว หนักแน่น และแฝงไปด้วยการหยอกล้อ

   ​​​​เขายกยิ้มร่า ใช้นิ้วชี้กดสัมผัสนั้นลงไปอีกรอบเพื่อบ่งบอกผมว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ

   ​​​​มันคงจะดีไม่น้อย
   ​​​​จริงๆนะ
   ​​​​คงจะดีไม่น้อยถ้าเขายอมพูดอะไรออกมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เงียบแล้วยิ้มอย่างมีความสุขมากๆแบบนี้

   ​​​​ผมนิ่งค้าง ใจไม่สามารถรับการจู่โจมเหล่านั้นได้ทันท่วงที ม่านหัวเราะตามหลัง คงเพราะเจ้าตัวเมาเลยได้กล้าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นออกมา ผมไม่ถือสาเพราะไม่รู้จะต้องทำตัวแบบไหน มือกลับสั่นในตอนที่ใช้กุญแจสตาร์ทรถ

   ​​​​แต่สติผมก็กระเจิดกระเจิงไปหมดจนม่านต้องเดินมาเคาะกระจกเพื่อเรียก

   ​​​​“เป็นอะไรรึเปล่า?”

   ​​​​มือเล็กรีบบิดกุญแจอีกรอบ แต่คราวนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เพราะอาการของตัวเองอีกแล้ว แต่เป็นเพราะเครื่องยนต์รถผมมันไม่ทำงาน ถึงแม้จะพยายามสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติดสักครั้งจนนึกหวั่นใจ

   ​​​​“ม่าน”

   ​​​​ผมยอมแพ้แล้วเรียกอีกฝ่าย

   ​​​​“ครับ”
   ​​​​“รถกูเสีย ทำไงดี?”

   ​​​​เพื่อขอความช่วยเหลือ

   ​​​​แต่ดูเหมือนมันจะเข้าทางเจ้าตัวยังไงก็ไม่รู้

   ​​​​“เค้าไม่ไปส่งนะ”

   ​​​​เจ้าเล่ห์

   ​​​​“หรือเธอจะนอนนี่ดีล่ะ?”


   ​​​​ไอ้ยิ้มมุมปากนั่นน่ะ


   ​​​​“เตียงเค้ากว้างนะขอบอก”


   ​​​​ช่วยเก็บให้มิดกว่านี้หน่อยเถอะ!















#ผาเพียงฟ้า

ขอบคุณสำหรับไลค์ คอมเม้นต์และการติดแท็กนะคะ
เห็นมีคนรักไอ้หมาก็ดีใจมากๆเลย ;-;


8/10/19
before30october


ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เมาแล้วงอแงแบบนี้ได้ผลชะงัด
สู้ต่อไปครัชน้อง พี่ผาโน้มลงมาไม่ต้องปีนแล้ว

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ารักไปหมดเลยยยยยยยย

ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

น่ารักมากๆๆๆๆ เลยค่ะ

ปล.คนเขียนลืม update หัวข้อว่ามีตอนใหม่นะคะ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ว้าว ดีใจกะม่านด้วยนะ ค้องรักษาสิทธิ์คนคุยดีๆอย่าทำให้ผาเสียใจนะ

ออฟไลน์ before30october

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-2


ผ า เ พี ย ง ฟ้ า


19

your laugh, your smile and your kiss



_________


:-)


_________







   ​​​​ผมคิดว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตอบตกลงออกไป คงเพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนใจร้าย ปลายเตียงของอีกฝ่ายเลยเป็นที่หมายของการตัดสินใจโดยไม่คิดให้ดี

   สายตาผมกวาดมองไปรอบๆ สำรวจสถานที่ที่ตัวเองไม่เคยย่างก้าวเข้ามาก่อน ห้องของม่านไม่ต่างจากห้องของผมมากนัก ภายในแบ่งเป็นสามส่วนการใช้งานเหมือนกัน มีส่วนของห้องครัว ห้องโถง และห้องนอนที่ผมกำลังนั่งอยู่

   ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ อาจเพราะไม่ได้มีสัมภาระเยอะแบบห้องอื่นๆ เลยทำให้ดูเหงานิดหน่อย มุมข้างโทรทัศน์ภายในห้องโถงมีชั้นวางที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ แต่ละเล่มวางเรียงรายระเกะระกะบ้างบางจุดตามประสาห้องผู้ชายที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว

   “อ่ะนี่ น้ำเปล่า”

   คนที่หายไปยื่นขวดพลาสติกมาให้ เมื่อผมรับมันมาถือไว้ม่านก็ยืนพิงกำแพงแล้วจ้องมอง  เขาเปิดฝาแล้วยกน้ำเย็นขึ้นดื่ม คงเพราะโดนฤทธิ์แอลกอฮอลล์เล่นงานอย่างหนักจึงหาวิธีช่วยเรียกสติให้กลับมา

   “ย้ายมาอยู่นี่นานรึยัง?” เมื่อเราต่างนิ่งด้วยกันทั้งคู่ผมเลยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

   “ก่อนสัมมนา” เขาตอบ “พี่ที่รู้จักเขาย้ายออกพอดีเลยจองห้องต่อจากเขาเลย”
   “แล้วเมทมึงล่ะ อยู่ห้องเดิมหรอ?”
   “อืม อยู่กับแฟน” ม่านดื่มน้ำอีกหลายอึก จนตอนนี้ของเหลวในขวดลดลงจนเกือบหมด

   “เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยู่กับแฟน” ผมพูดต่อ ยักไหล่แล้วเท้าแขนไปด้านหลัง
   “นั่นดิ กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วมั้ง”
   “...”
   “แล้วเธอ—”
   “รู้นะว่าจะพูดถึงอะไร” ผมรีบค้านเขาก่อนที่เจ้าตัวจะพูดออกมา ม่านหัวเราะร่า ส่ายหัวแล้วกอดอกแม้จะยังไม่ละสายตาไปไหน “ไม่ต้องมาถามกู”
   “โอเคครับ” เขายอมแพ้ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เธอจะนอนเลยมั้ยล่ะ?”
   “สักพัก” ตอบพร้อมกับสำรวจเตียงนอนอีกรอบ มันกว้างพอจะรองรับร่างของเราทั้งคู่แต่ผมก็ยังจะภาวนาให้เขาเลือกที่จะปล่อยผมไว้ตามลำพังแบบครั้งอื่น

   แบบที่เราต่างคนต่างแยกกันนอน
   แบบนั้น...น่าจะปลอดภัยต่อความรู้สึกมากกว่า

   “งั้นดูหนังรอมั้ย เค้าเปิดไว้ให้” เมื่ออีกฝ่ายยื่นข้อเสนอผมเลยยอมรับเอาไว้ โน้ตบุ๊กเครื่องเล็กเลยถูกใช้งานในเวลาต่อมา เขาจัดแจงของต่างๆให้ ก่อนจะถอยออกไปแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า

   “เค้าไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”
   “อืม”

   เป็นอีกครั้งที่ผมได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมไม่บอกเจ้าตัวไปว่าจะนอน ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยจนข้ามวันมาแล้วแต่ก็ยังเลือกที่จะเสียเวลาทำอย่างอื่นและไม่รู้ว่าตัวเองนั้นคิดดีหรือเปล่า คงได้แต่โทษสมองที่ยังไม่กลับไปประมวลผลได้อย่างสมบูรณ์แบบและโทษเจ้าของห้องที่ทำให้ใจผมเต้นแรงตั้งแต่ก้าวเข้ามา ทั้งหมดเลยทำให้ผมไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อีกหลังจากโดนจู่โจมเข้าที่ข้างแก้มเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว

   ความยากของการเลือกชมภาพยนตร์จากแอปพลิเคชันสีดำมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีแดงตรงกลางค่อนข้างจะเลื่องชื่อ ผมตกอยู่ในปัญหานี้ราวๆห้านาที เลื่อนหน้าจอขึ้นลงอยู่สักพักจนสุดท้ายก็ตัดสินใจรับชมหนึ่งในนั้น เป็นภาพยนตร์ประเภทสืบสวนสอบสวนและฆาตกรรมที่ไม่มีฉากรักแสนหวานแบบที่ชื่นชอบ

   ภาพเคลื่อนไหวเริ่มเคลื่อนที่ไปบนหน้าจอสี่เหลี่ยม แสง สี และเสียงอัดแน่นบนวิดีโอคุณภาพชั้นนำ ผมลดระดับความดังลงเล็กน้อย กลัวว่าในเวลาค่ำคืนแบบนี้จะไปรบกวนใครเข้าจนเขาต้องรำคาญ

   แอ๊ด

   ไม่นานเจ้าของห้องก็เสร็จธุระภายในห้องน้ำ เขาเดินออกมาหน้าตู้แล้วเลือกเสื้อผ้าเพื่อแต่งตัว และนั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมม่านถึงไม่หยิบเข้าไปตั้งแต่ทีแรก

   เพราะการทำแบบนั้นผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นร่างกายท่อนบนที่มีมัดกล้ามแถมยังเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำของเจ้าตัว

   ร่างสูงเสยผมไปด้านหลัง มันชุ่มฉ่ำไม่ต่างจากลำตัวของเขาเช่นกันที่มีน้ำหยดไหล พื้นห้องดูจะเปียกไปตามแนวที่เดิน เขาไม่ได้สนใจมันมากนักเมื่อหยิบเสื้อตัวหนึ่งพร้อมกับกางเกงวอร์มออกมาพร้อมที่จะสวมใส่ แต่พอจะทำแบบนั้นเข้าจริงๆ ก็เหลือบมองผมที่นั่งอยู่บนเตียงเพื่อดูว่าแผนการเจ้าตัวสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจริงๆ หรือเปล่า

   และมีหรือคนที่โดนจู่โจมจะไม่ทันระวัง ผมที่เอาแต่จ้องเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ กลับกลายเป็นว่าโดนหยอกล้อเข้าจนได้ ม่านหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วลูบหน้าท้องตัวเองไปมา

   ร้าย
   ผมก็ยังจะยืนยันว่าเขาน่ะร้าย


   “มองอะไร?” ผมสวนเมื่อทนไม่ไหวกับสายตาที่เอาแต่จับจ้องตัวเองอยู่อย่างนั้น
   “เธอนั่นแหละมองอะไร?”
   “...”
   “อย่ามองดิ เค้าแต่งตัวไม่ได้เลยเนี่ย” เขาสวนขึ้นมาอีกรอบ ก่อนที่ผมจะไม่ยอมจนต้องตอบโต้กลับไป
   “ไม่ได้อยากมองมึงหรอก”
   “อย่ามาพูดเถอะ เธอเอาแต่จ้องเค้าตาเป็นมัน”
   “กูไม่ได้มอง”
   “อิจฉาก็บอก หุ่นเค้าดีขนาดนี้ไม่มองได้ไงใช่ป่ะล่ะ”

   เพราะใบหน้ายียวนนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องถอนหายใจแล้วกำหมัดแน่นลงไปกับเตียง เบนสายตากลับมาอยู่ที่หน้าจอเมื่อรู้ว่าต่อล้อต่อเถียงยังไงก็คงไม่ชนะอยู่ดี ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเจ้าของห้องดังตามมา ถึงแม้จะทำเป็นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรแต่สุดท้ายเสียงที่ดังเข้าแทรกและภาพที่เคลื่อนไหวตรงหน้าก็ทำเอาต้องเม้มริมฝีปากแน่น

   คล้ายกับว่าเขาจงใจทำให้มันเกิดเสียงดัง
   และคล้ายกับว่าม่านตั้งใจจะแต่งตัวตรงนั้น —ตรงบริเวณหน้ากระจกที่มันอยู่ในสายตาผมอย่างพอดี

   อุณหภูมิบนแก้มของผมร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ น่าแปลก ทั้งๆที่สรีระร่างกายของเราก็มีเหมือนกันแทบทุกประการ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าจะมองม่านแม้สักวินาที

   ภาพที่เคลื่อนไหวบนเครื่องสี่เหลี่ยมเริ่มไม่เข้าสู่โสตประสาทการรับชมของคนที่นั่งบนเตียง ผมขยับตัวเปลี่ยนท่าให้สบาย เริ่มตั้งสติใหม่จนต้องกดย้อนกลับไปดูวิดีโอตั้งแต่ช่วงเวลาที่โดนเล่นงาน จนกว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ทั้งห้องก็ตกอยู่ภายใต้แสงสลัวและมีใครสักคนที่เข้ามานั่งด้านข้างพร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดจากสบู่

   ม่านพิงหลังไปกับหัวเตียง ใช้หมอนใบหนึ่งรองคั่นให้ความนุ่ม เจ้าตัวอยู่ในท่าเดียวกับผมที่นั่งอยู่ก่อน และตอนนี้ดูเหมือนระยะห่างระหว่างเราเริ่มลดลงมากขึ้นเรื่อยๆตามการขยับของอีกฝ่าย

   ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขาจ้องมองอะไรอยู่เพราะตัวเองไม่ได้เอนพิงไปอย่างเต็มน้ำหนัก เป็นเพียงการนั่งตัวตรงเพียงแค่นั้น ต่างจากม่านที่เอนไปด้านหลังเสียมากกว่า ถึงแม้จะรู้สึกได้ว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดแต่ก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เป็นเวลาชั่วครู่ที่แขนแกร่งพาดผ่านไปกับขอบเตียง ทิ้งความยาวให้ผ่านผมคล้ายกับโอบเอาไว้กลายๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้ใกล้ชิดกันจนดูน่าใจหาย แต่แบบนี้ก็ชวนทำให้รู้สึกวาบหวิวอย่างบอกไม่ถูก

   ทั้งการที่เราอยู่บนเตียงร่วมกันสองต่อสอง
   การที่เขามานั่งเคียงข้างท่ามกลางไฟสลัว
   การที่แขนเจ้าตัวพาดผ่านไปอย่างหมิ่นเหม่

   แถมในตอนนี้ ม่านก็เข้ากระซิบพร้อมกับชวนพูดคุยเนื้อหาที่พ้นผ่านอย่างอารมณ์ดี

   “ทำไมเลือกเรื่องนี้หรอ?”

   เสียงเขาดังใกล้บริเวณใบหู รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนตามจังหวะการพูดคุย ผมเอนตัวออกเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป ตอบกลับแม้จะยังไม่หันไปมอง

   “ไม่รู้จะดูเรื่องไหน”
   “อ่อออ”

   เขาลากเสียงคำว่าอ่อยาวเสียจนน่าแปลกใจ แต่ผมก็ยังทำเป็นตั้งใจดูต่อ แต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่ล่วงเลยข้ามวันก็เริ่มย้ำชัดว่าต้องได้รับการพักผ่อน ร่างกายผมเลยตอบสนองเป็นการหาวที่บ่งบอกว่าพร้อมจะเข้านอนเสียที ม่านคงสังเกตได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ทักท้วงอะไรต่อจากนั้นและปล่อยให้ผมนั่งดูหนังต่อไปเงียบๆ

   จนถึงจังหวะหนึ่ง
   ที่ผมรู้สึกว่าเขาเงียบเกินไปจึงได้หันกลับไปมองเพราะคิดว่าเจ้าตัวอาจจะหลับไปแล้ว แต่กลับพบว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิมพร้อมกับอมยิ้ม ไม่รู้ว่าจะชอบใจอะไรนักหนาแต่เมื่อผมหันกลับไปสนใจภาพยนตร์ตรงหน้า

   ผมถึงได้เข้าใจ

   ‘อึก อ่ะ อ๊าา’
   ‘อื้ออ’


   เมื่อฉากเร่าร้อนกำลังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดนานหลายนาที

   ผมรู้ว่าเขารู้ และผมคิดว่าเขาไม่แม้แต่จะห้ามไม่ให้ผมดูตั้งแต่ต้น อันที่จริงจะบอกว่าความผิดเขาทั้งหมดก็ไม่ใช่ ในเมื่อเป็นผมเองที่เลือกเข้ามาในห้องอีกฝ่าย เลือกภาพยนตร์ขึ้นฉายบนจอสี่เหลี่ยม และเลือกที่จะไม่ปฏิเสธเจ้าตัวในตอนที่โดนจู่โจมแต่ละอย่าง

   เมื่อเป็นดังนั้น

   ‘ซี้ดส์ อ๊าาา’

   พรึบ!


   ผมเลยรีบกดปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กเพื่อให้ทุกอย่างดับวูบลงพร้อมกับมัน

   หลากหลายความรู้สึกที่เริ่มสาดเทเข้ามาอย่างหนักทำให้ผมต้องพยายามตั้งสติอีกครั้ง ยื่นส่งเครื่องสี่เหลี่ยมคืนไปให้เจ้าของที่นั่งด้านข้างก่อนจะขยับตัวรักษาระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่ ม่านรับมันไว้ แต่ก็ยังถามกลับเมื่อรู้หนทางที่จะแกล้ง

   “อ่าว ไม่ดูต่อแล้วหรอ?”
   “ง่วง”
   “นึกว่าชอบซะอีก”

   ผมกัดฟันกรอด ใช้มือโยกหัวไอ้หมาไปหนึ่งรอบก่อนจะโต้ตอบฉับพลัน

   “มึงสิชอบ ดูบ่อยล่ะสิท่า”
   “ระดับเค้าไม่ดูอะไรแบบนี้หรอก”
   “...”
   “อยากดูก็เปิดเว็บดูเลยต— อย่าตี ฮ่าๆ”

   เมื่อเขาเห็นว่าผมง้างมือเตรียมจะลงไม้ลงมืออีกรอบเจ้าตัวก็รีบใช้มือใหญ่มาจับเอาไว้ทันท่วงที เรายื้อแย่งกันอยู่สักพักจนเขาหัวเราะร่า ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระแล้วเอ่ยถาม

   “จะนอนแล้วใช่มั้ยเค้าจะได้ปิดไฟให้เลย?”
   “อืม”
   “โอเคครับ”

   เขาเดินจากไปโดยไม่ทิ้งจังหวะให้ผมถามอะไรกลับ ฉับพลันทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาหายลับไปยังห้องโถง ผมคิดว่าม่านคงจะนอนที่เดิมคือบนโซฟาตัวเก่งแบบที่เรามักจะแยกกันอยู่ตลอด

   แต่คราวนี้ผมกลับคิดผิด

   เมื่อไม่กี่นาทีต่อจากนั้นผมรู้สึกได้ถึงการยุบลงไปของฟูกนุ่มที่รองรับน้ำหนักตัวเองเอาไว้ เป็นการบ่งบอกว่ามีผู้บุกรุกคนใหม่ที่ใช้งานเตียงหลังใหญ่เหมือนกัน

   โชคดีที่ผมนอนหันข้างไปอีกทาง เขาเลยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผมหลับไปหรือยังจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ผมใช้โอกาสนั้นทำเป็นแกล้งว่าตัวเองไม่ได้รับรู้ พยายามหายใจเข้าออกเป็นจังหวะคล้ายกับว่าเข้าสู่ห้วงนิทราแสนหวาน

   ทั้งที่ความเป็นจริงมันช่างยากยิ่งกว่าการดูหนังพวกนั้นเสียอีก

   ใจดวงเล็กเต้นรัวเมื่อควบคุมจังหวะมันไม่ได้ นานเข้ากว่าที่สายตาผมจะปรับเข้าหาความมืด มองเห็นแสงจากเมืองใหญ่ลอดผ่านปลายผ้าม่านที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกได้ถึงการขยับตัวไปมาของคนที่นอนข้างกัน และในตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่รอมร่อ

   แขนของม่านก็สอดเข้ามาแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดแผ่วเบา

   ไม่รู้มาก่อน
   ว่าคนเมาก็ขี้อ้อนไม่แพ้คนป่วย


   ใจเขาเต้นแรงไม่แพ้กัน เจ้าตัวเกยคางเอาไว้บนไหล่ ขยับใบหน้าซุกไซร้อย่างใจหมาย สูดดมกลิ่นที่อยู่บนร่างกายผมทีละนิด  ปล่อยให้แผงอกกว้างทำหน้าที่รองรับร่างผมเข้าไปให้ความอบอุ่น ทั้งๆ ที่ผมอยากจะปฏิเสธไปตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังทำเป็นนิ่งเพราะยอมแพ้ให้กับสัมผัสของเขา


   “อืออ” ผมดิ้นเมื่อรู้สึกนอนได้ไม่ถนัด อาจเพราะมีพันธนาการจากเขาที่กอดตัวเองเอาไว้อยู่ตลอด

   “ม่าน” จนสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวจึงเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว
   “ครับ” เขาตอบรับ น้ำเสียงอู้อี้ไม่ต่างจากเสียงผมเท่าไหร่ “นอนไม่หลับหรอ?”

   แอบแปลกใจเล็กน้อยที่เขารู้ว่าผมเองก็ยังไม่นอน แต่ก็ต้องยอมรับในเมื่อเขาทำแบบนี้แล้วผมยิ่งไม่สามารถหลับตาลงได้เลย

   “อือ”
   “เพราะเค้ารึเปล่า?” ลมหายใจเขากระทบแผ่นหลัง บ่งบอกได้อย่างดีว่าม่านแนบริมฝีปากไปบนบริเวณนั้น ที่เขาไม่เคยห่างเลยแม้สักวินาที

   “อืมม”

   เขายังไม่ยอมปล่อยจนผมต้องทักท้วงกลับ  คราวนี้ผมต้องขยับตัวไปมาเพื่อคลายอ้อมกอดนั้นเสียแทน

   “แน่น”
   “...”
   “...”
   “ขออยู่แบบนี้ก่อนนะ”

   คำร้องขอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เจ้าของห้องขยับตัวเล็กน้อย ปล่อยให้แขนแกร่งรวบตัวผมไว้อย่างหลวมๆ ต่างจากตอนแรก ผมยังนิ่ง ไม่สามารถหลับตาลงได้อีกจากการกระทำของม่าน

   เพราะมันเริ่มไม่ปลอดภัย
   ทั้งต่อใจและต่อความรู้สึก

   คนตัวสูงหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เชื่องช้าแสนรันจวนใจ นิ้วเรียววนไล้เข้าหานิ้วเขา เกาะเกี่ยวตวัดเอาสองมือเข้าหา ค่อยๆ ไล้นิ้วไปมาบนหลังมือนุ่ม ก่อนจะลากไปตามผิวเนื้อแต่ละจุดไม่เกินนั้น เกาะกุมมันไว้ยังบริเวณหน้าท้องของผมที่มีแขนแกร่งอีกข้างพาดทับอยู่

   “กลัวเค้ามั้ย?” เขาถาม เนิ่นนานที่ปล่อยความเงียบเข้าเล่นงานระหว่างเราทั้งคู่
   “...”

   เพราะไม่รู้จะตอบออกไปว่ายังไง ผมเลยเลือกที่จะนิ่งเหมือนเคย

   “เธอควรจะกลัวเค้านะ ถ้าเค้าจะทำอะไรเธอนี่เค้าทำได้ง่ายๆเลยเถอะ” ม่านถามย้ำอีกเป็นครั้งที่สอง สุดท้ายผมก็ต้องบอกเหตุผลพร้อมกับคำตอบที่เก็บเอาไว้
   “ถ้ามึงจะทำมึงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก”
   “...”
   “เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ถึงได้ไม่กลัวเท่าไหร่”

   เขาหัวเราะร่วน วนไล้นิ้วต่ออย่างเพลินใจ

   “ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเด็กดี”

   เป็นครั้งแรกที่ผมยอมให้เขาเข้าถึงร่างกายของตัวเองมากขนาดนี้ อาจเพราะม่านจู่โจมไม่ทันได้ตั้งตัวและผมไม่กล้าปฏิเสธ ทุกอย่างเลยลงเอยที่เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงหลังใหญ่พร้อมบรรยากาศที่แปลกไปจากปกติ

   อันที่จริง
   ต้องเปลี่ยนเป็นม่านนอนกอดผมเสียมากกว่า

   “ม่าน”
   “ครับ”
   “เล่าเรื่องแฟนเก่าให้ฟังหน่อยสิ”

   ไม่รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ จู่ๆถึงได้ขอร้องเขาออกไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าม่านจะยอมทำตามหรือเปล่าแต่ถ้าเขาปฏิเสธ ผมก็ไม่คิดจะถามซ้ำให้มากความ

   “คนล่าสุดหรอ?”   
   “...”
   “...”
   “อืม”

   มือใหญ่หยุดวนไล้แล้วเข้ากอบกุมมือผมแทน

   “มึงเคยมีแฟนมาแล้วกี่คนล่ะ?”

   คำถามยังมีต่อไปไม่หยุด คล้ายกับว่าสมองผมกำลังแล่นเพราะได้ขบคิดอะไรบางอย่าง

   “สอง”
   “...”
   “ตอนม.ห้าคนนึง แล้วก็ตอนปีหนึ่งคนนึง”
   “แสดงว่าคบกันไม่นานทั้งคู่อ่ะดิ?”
   “อืมม จะว่างั้นก็ได้นะ” เขาเว้นช่วงไปพักใหญ่ “คนแรกตอนม.ห้านี่คบสองปี  นี่ถือว่านานไหมอ่ะ สำหรับเค้าก็ไม่นานนะ พอเค้าเข้ามหาลัยก็เลิก จนมาเจอคนที่สอง คุยกันไม่นานก็คบเลย”
   “แล้วคนที่สองคบนานไหม?”
   “เจ็ดเดือน”
   “แปบเดียวเอง”
   “ใช่ครับ แต่อันนี้ต้องโทษเค้าที่เหี้ยเองอ่ะ ช่วยไม่ได้ที่จะแปบเดียว”

   ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เขายอมบอกออกมาจนหมด แม้กระทั่งความผิดของตัวเองที่มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

   “ยังไง?”
   “เหมือนยิ่งคุยไปมันยิ่งไม่ใช่ ตอนนั้นตัดสินใจเร็วด้วยแหละ เพราะตอนปีหนึ่งมันเหมือนเจอแต่อะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ ชีวิตใหม่ สังคมใหม่ มันก็หลงระเริงในระดับนึงอ่ะ นานไปถึงรู้ว่าเข้ากันไม่ได้ เค้าก็เริ่มไม่มีเวลาให้จนห่างกันไปเรื่อยๆงี้”
   “เสียใจมั้ย?”
   “พอย้อนกลับไปก็เสียใจนะ อยากจะกลับไปขอโทษเขาและทำให้เรื่องมันถูกที่ถูกทางมากกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ตอนนั้นเด็กก็คิดอะไรไม่ค่อยได้”

   ดูเหมือนม่านที่ผมเคยเจอและม่านในอดีตจะเติบโตขึ้นเยอะจากเรื่องดังกล่าว เมื่อรับรู้ในสิ่งที่เขาเล่า น้ำเสียงที่ส่งผ่านยังเจือไปด้วยความผิดหวังในตัวเองแบบที่เจ้าตัวพูด

   “แล้ว...เป็นผู้ชายทั้งคู่เลยหรอ?” คราวนี้ผมกลั้นใจถาม เป็นสิ่งที่สงสัยมานานและยังไม่ได้คำตอบ
   “เปล่าครับ คนแรกเป็นผู้ชาย แต่คนที่สองไม่ใช่”
   “...”
   “อันที่จริงเค้าก็ไม่ได้สนใจหรอกนะว่าเป็นเพศไหน แค่คุยกันรู้เรื่อง พูดแล้วเข้าใจแค่นั้นมันก็พอแล้ว เค้าว่าเธอก็คงเป็นเหมือนกัน”

   เพราะเข้าใจดีถึงเหตุผลของเจ้าตัวผมเลยเอาแต่ครุ่นคิดนานไปเสียหน่อย ม่านดึงผ้าห่มให้ขึ้นสูง มันช่วยบดบังความหนาวเย็นจากลมแอร์ได้ดีไม่น้อย

   “กูเคยมีแฟนคนนึง” เมื่ออีกคนเล่าเรื่องของเขาแล้วเสร็จ มันก็ถึงคราวที่ผมยอมเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง

   เป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครได้ฟังบ่อยนัก

   และเป็นเรื่องราวที่เก็บเอาไว้ในใจมาโดยตลอด

   “ชื่อมาร์ช อายุเท่ากัน เป็นลูกชายของคุณป้าบ้านข้างๆ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งกูและมันต่างคนก็ต่างไม่คิดด้วยซ้ำมั้งว่าจะมาลงเอยกันได้”

   ผมอมยิ้มเมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต อีกคนตั้งใจฟัง กุมมือผมไว้แน่นคล้ายกับจะบอกว่าเจ้าตัวจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

   “พี่มาร์ชหล่อมั้ย?”
   “ไม่รู้ดิ เห็นมันมาตลอดก็เฉยๆนะ”
   “หล่อกว่าเค้ามั้ย?”
   “อะไรของมึง?”
   “พี่มาร์ชกับเค้าใครหล่อกว่าหรอ?”

   ม่านเซ้าซี้ จนผมต้องแอบดันศอกไปโดนหน้าท้องทำให้คนด้านหลังดิ้นยุกยิก

   “ถามไม่เข้าเรื่อง”
   “ฮ่าๆ”

   อันที่จริงผมอยากจะหันหลังกลับไปซัดเขาซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อโดนรวบไว้แบบนี้ก็ยากจะทำตามสิ่งที่คิดได้ทุกอย่าง

   “แล้วพี่มาร์ชจีบเธอนานไหม?”
   “อืมมม…” ผมคิด รื้อฟื้นความทรงจำวันเก่าให้หวนย้อน “ต้องบอกว่าไม่ได้จีบเลยมากกว่า”
   “...”
   “มันเหมือนเราเริ่มจากเป็นเพื่อนสนิทกันก่อน จากนั้นก็มีเรื่องให้เราค่อยๆได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น จนสุดท้ายก็ตกลงที่จะอยู่ในฐานะแฟนแบบนี้ล่ะมั้ง”
   “ดีจัง”
   ผมไม่ได้แย้งแม้ภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาไม่รู้จบ เพราะทุกอย่างถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผมตั้งแต่ที่มีเขา

   “แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ เขาทำเธอเสียใจหรอ?”
   “เปล่า” ผมเว้นช่วง “มาร์ชมันเป็นแฟนที่ดีมากๆของกูเลยก็ว่าได้นะ เป็นคนดูแลคนอื่นเก่ง พึ่งพาได้ทุกอย่าง เป็นคนที่อยู่กับกูทุกครั้งเวลากูไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร แต่ก็นั่นแหละ พอยิ่งโตเราก็ยิ่งรู้ว่าที่อยู่ด้วยกันมันเพราะผูกพันมากกว่า ไม่ใช่ความรักแบบที่เข้าใจกันตั้งแต่แรก กูก็มีทางของกู เขาก็มีทางของเขา เราเลยตัดสินใจเลิกกันและเป็นเพื่อนสนิทเหมือนเดิมดีกว่า ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่เลือกเปลี่ยนสถานะที่จะรัก แค่ได้มองมันอยู่ตรงนี้ก็มีความสุขแล้ว”

   มันอาจเป็นอดีตที่ยาวนาน แต่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีสักเรื่องราวที่ไม่ว่าจะเล่ามันออกมากี่ครั้งก็จะยิ้มให้มันเสมอ

   เรื่องของมาร์ชสำหรับผมเป็นแบบนั้น

   ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเล่าเรื่องของเขา ริมฝีปากผมก็ยกขึ้นโดยอัตโนมัติคล้ายกับว่ามันถูกบังคับตามธรรมชาติ อาจเพราะเขาคือความทรงจำที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผู้ชายคนนี้ ทุกอย่างเลยพรั่งพรูออกมาจากใจและแทบไม่ต้องสรรหาคำพูดไหนเพื่อให้ดูสวยหรูและสมบูรณ์แบบ

   ด้วยเพราะเวลาที่ผ่าน ความทรงจำเหล่านั้นถึงได้ก่อร่างสร้างคุณค่าในตัวมันเองอยู่ภายในใจดวงเล็กตลอดมา

   “มีความสุขใช่ไหมล่ะครับ?” คราวนี้เขาถาม ไม่ได้มีความรู้สึกอิจฉาหรือน้อยใจในน้ำเสียง
   “...”
   “พี่มาร์ชทำให้เธอมีความสุขมากๆเลยล่ะสิ”

   มือใหญ่เลื่อนมาวางไว้บริเวณศีรษะ การกระทำทุกอย่างนุ่มนวลไม่ต่างจากคำพูดของเขาแต่ละประโยค

   “อืมม”
   “...”
   “มีความสุขมาก”

   ม่านไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ค่อยๆคลายอ้อมกอดแล้วพลิกตัวผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า อาจเพราะเราอยู่ในความมืดมาแสนนาน ดวงตาเลยปรับสภาพการมองเห็นให้คุ้นชินกับมันได้อย่างคงที่ ใบหน้าเขาอยู่ชิดใกล้ ดวงตาเป็นประกายต้องแสงเพียงน้อยนิด

   และเขากำลังยิ้ม

   เป็นยิ้มแสนจริงใจเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากใครบางคน

   “เค้าไม่รู้หรอกนะว่าเค้าจะทำให้เธอมีความสุขได้เท่าที่พี่มาร์ชทำหรือเปล่า แต่ตอนนี้เค้าก็พยายามนะ เพราะเค้าอยากให้เธอมีความสุขมากๆ อยากจะเห็นเธอยิ้มแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากให้เธอรู้ว่าเธอยังมีเค้าอีกคนที่จะคอยรับฟังเธอทุกอย่าง...” มือใหญ่เลื่อนมาปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผมออก “...เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นน้องก็ได้ ยังไม่ต้องลืมพี่มาร์ชก็ได้...”

   ผมชะงักเมื่อเขาพูดประโยคสุดท้าย ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายคิดว่ามาร์ชยังสำคัญสำหรับผมแน่ๆ

   “ทำไมถึงคิดแบบนั้น เพราะคำถามที่กูไม่ได้ตอบวันที่ไปบ้านไอ้เหนือหรอ?”
   “ก็ด้วยครับ”

   เขาอมยิ้ม ยอมเผยทุกอย่างที่อยู่ในใจ นิ้วโป้งเลื่อนมาวางไว้ชิดผิวเนื้อบริเวณแก้มแบบที่ชอบทำ ลูบไล้มันไปมาจนรันจวนใจ ผมนิ่งคิด ก่อนจะประคองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยมือซ้าย แล้วยอมบอกความลับของตัวเองกลับไปบ้าง

   “มาร์ชไม่ได้สำคัญสำหรับกูขนาดนั้น”
   “...”
   “รู้ใช่ไหม?”

   เราสบตา
   โลกทั้งสองใบดูเหมือนจะไร้กาลเวลาในยามดึก

   “...ไม่รู้ว่าตอนไหน...แต่มึงสำคัญมากกว่านั้นไปแล้ว”
   “...”
   “สำคัญ...จนถ้าวันนึงมึงหายไป กูก็คงจะเสียใจไม่น้อยเหมือนกัน”

   ทุกอย่างนิ่งงัน มีเพียงเสียงหัวใจของผมและเขาที่ยังเต้นแข่งกันด้วยจังหวะระรัว เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านเชื่องช้า คล้ายกับว่ามันเดินทางข้ามอวกาศที่ไร้สภาวะอย่างเช่นใจผมกำลังเป็นอยู่ ใบหน้าของเราเคลื่อนเข้าหากันจนไม่มีที่ว่างให้อากาศลอดผ่าน คราวนี้ไม่มีการเอ่ยคำร้องขอ มีแต่สายตาที่เปรยมองบ่งบอกการกระทำถัดไปของเจ้าตัว

   ม่านโอบล้อมผมเอาไว้
   จากอ้อมกอดที่ยังไม่ละไปไหน

   และจากจูบที่มอบให้ อ่อนหวาน เนิ่นนานและไม่ทันได้ตั้งตัว

   ผมค่อยๆตอบสัมผัสของเขาที่แทรกเข้ามา ริมฝีปากหยักค่อยๆ ลัดเลียดไปตามอำเภอใจ ส่งลิ้นร้อนเข้ามาตวัดไล้ลิ้นผมอย่างชำนาญ ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบกันอย่างหนัก ส่งผ่านแลกเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายให้เราทั้งคู่  ม่านส่งความหลงใหลและเฝ้าใฝ่หาผ่านรสจูบแสนหวาน มือเขาบังคับศีรษะผมให้ได้องศา ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบรับกลับมาอยู่เรื่อยๆ เขารุกล้ำ ผมตอบรับ ไม่มีแม้สักครั้งที่เราจะห่างกันเกินเสี้ยววินาที

   คนตัวสูงเริ่มบดเบียดร่างกายเข้าหา ขายาวแทรกเข้ากลางลำตัวเพื่อแยกขาผมออก และกว่าที่จะรู้ตัว เขาก็อาศัยจังหวะหนึ่งขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนเป็นที่เรียบร้อย

   สองมือผมถูกกดลงบนฟูกนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เชิดหน้าขึ้นพร้อมกับหอบหายใจหนัก เพราะก่อนหน้านั้นเขาไม่ปล่อยผมให้ห่างเลยแม้แต่นิด

   “เธอควรจะกลัวเค้านะ”
 
   ม่านยังยืนยำคำเดิม
   และเป็นคำที่ผมเริ่มจะเห็นด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวนั้นก้มลงมาอีกรอบ

   เพื่อมอบจูบให้ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า

   ร้าย

   ผมบอกแล้วว่าเขาน่ะร้าย



   “อืมม”


   พอเมาแล้วก็ออกลายกลายร่างเป็นเสือ















#ผาเพียงฟ้า

เกลาสำนวนตอนนี้อยู่นานมากก
เหมือนไม่พอใจกับมันสักที
จนกว่าจะออกมาได้แต่ละฉากแต่ละตอนแบบนี้ บิ้วอารมณ์กันหลายวันเลยค่ะ

ปล.ตอนนี้เป็นฉากที่เราอยากแต่งที่สุดเลย
และจะบอกว่าถนัดฉากพวกสกินชิพและซีนอารมณ์แบบนี้มากๆ /ปิดตา
หวังว่าจะชอบนะคะ :-)


12/10/19
before30october


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด