Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019  (อ่าน 15682 ครั้ง)

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
หาเรื่องให้บรูคอีกแล้วยัยน้อง
ดื้อสุดๆไปเลย 
เจอความจริงแล้วจะเงิบนะ
แต่จะสังหรว่าคราวนี้จะไปเสียเที่ยวมากกว่า
แต่งตัวล่อเข้ แถมฮีทอีก อิตาบรูคแพ้เมียอี๊กก  ไม่เคยห้ามอะไรได้เล้ย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ดื้อมากค่ะน้อง :ling2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ

ออฟไลน์ แม่นาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
「 xiii 」Dangerously

(adv.) in a way that is likely to cause problems

or to have adverse consequences.



จังหวะเพลงบีทหนัก ๆ ที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศดังกระหึ่มจนปวดแก้วหู บรูคกับผมจูงมือกันผ่านผู้คนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด บางคนเริ่มมอมเมากับแอลกอฮอล์และการเบียดเสียดของฝูงคนมากมายที่มาเที่ยว เราเดินตามเจ้าของรักษาความปลอดภัยของโซนวีไอพีของไนต์คลับไปที่ชั้นสอง

“พวกเขามาพบโอลิเวอร์ บรอสซั่ม”

"คุณคือ.."

"บารอน แคปรินคอร์น และฉันไม่ต้องบอกหรอกนะว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่หน้าห้องนี้" ผมบอกกับการ์ดสองคนที่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมด้วยชุดสูทสีดำทึบ ๆ พวกเขาหันไปกระซิบกระซาบกันแปปหนึ่งก็หันมาพยักหน้าให้กับผม “เข้าเฉพาะคุณแคปรินคอร์นครับ ส่วนคุณผู้ชายห้ามเข้า”

“ว่าไงนะ?” บรูคถามเสียงขัน ก่อนจะสบถออกมาเสียงดัง “ทำไมผมจะเข้าไปไม่ได้ ผมเป็นผู้ติดตามของคุณหนูแคปรินคอร์น”

“แต่คุณบรอสซั่มอนุญาตให้แค่คุณแคปรินคอร์นเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น”

คำพูดนั้นทำให้บรูคดึงมือผมเอาไว้ และแน่นอนว่าคนที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผมเป็นหลักแบบหมอนี่ย่อมเกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว

"ผมไม่มีทางอยู่ห่างจากคุณ..."

"ใจเย็นน่า คนพวกนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"

"เหรอ? แต่ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น..." เขาทำเสียงเข้มก่อนจะหันไปบอกกับการ์ดตัวใหญ่ตรงหน้า “นี่ฟังนะ ไม่ว่าเจ้านายคุณจะสั่งยังไงผมไม่สนใจ และผมจะเข้าไป”

“กรุณาทำตามคำสั่งของเขาด้วยครับ ไม่อย่างงั้นผมคงต้องเชิญคุณออก”

“งั้นพวกเราจะกลับ ไปเถอะคุณหนู” เมื่อเห็นว่าบรูคเอาจริงผมจึงรีบดึงแขนเขาเอาไว้ ถ้าหุนหันตัดสินใจเท่ากับวันนี้มาเสียเที่ยวนะสิ ไม่ได้หรอก “บรูค!! ฉันกลับไม่ได้ อีกอย่างเรามาถึงนี่แล้วนะ ฉันว่านายรอตรงนี้แหละดีแล้ว..."

"ว่าไงนะ! คุณเสียสติไปแล้วเหรอไง ผมไม่มีทางโยนคุณเข้าไปในฝูงซอมบี้ที่กระหายจะกินสมองของใครสักคนที่โง่ไม่ต่างจากคุณ"

เขาเป็นอะไรกับซอมบี้นักหนานะ วันนี้ผมนับคำว่า 'ซอมบี้' ได้เลย!!

"เลิกพูดจาบ้าบอสักที อีกอย่างฉันจัดการได้ ฉันรู้จักศิลปะป้องกันตัวและสามารถใช้กำปั้น...”

"คุณไม่มีทางสู้แรงอัลฟ่าได้ และนั่นแหละสัญชาตญาณที่ทำให้เราเคยเป็นผู้เหนือกว่า" บรูคบอกเสียงจริงจังและสีหน้าของเขาในเวลานี้ไม่ตลกเลยแม้แต่นิด

“คุณเองก็รู้ใช่มั้ยว่าศิลปะป้องกันตัวพวกนั้นมันเป็นแค่กายกรรมตลก ๆ สำหรับพวกเขาเท่านั้น พวกเขาสามารถบีบคุณได้ด้วยมือเดียว”

“ไม่มีเรื่องแบบนี้ โอเคนะ และสัญญาว่าฉันจะรีบออกมา” ผมตอบและเลี่ยงที่จะต่อปากต่อคำกับเขา

“บารอน...”

"รอตรงนี้ นายเข้าใจคำสั่งแล้ว"

ผมทิ้งท้ายแค่คำนั้น และสุดท้ายบรูคก็ยอมที่จะตามใจผม เขาหลีกทางให้ผมเดินตามการ์ดตัวสูงเข้าไปยังห้องเฉพาะสำหรับคนที่มีนามสกุลบรอสซั่มพ่วงท้าย ภายในห้องเป็นโทนแดงโทนร้อน มีแสงไฟนีออนสลับวาววับไปมาจนทำให้เวียนหัวถ้าเผลอไปจ้องมองนาน ๆ ภายในห้องมืดสลัวจนแทบมองอะไรต่ออะไรไม่ชัด จากตรงนี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนผสมกับเพลง Bad boy ของ Billie Eilish ที่ดังไปทั่วบริเวณห้องขนาด 399 ตารางเมตร

ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวังตัว กลิ่นชื้น ๆ รอบข้างทำให้ผมตกยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้

“คุณบรอสซั่มครับ คุณแคปรินคอร์นมา”

“บารอน พระเจ้า คุณมาแล้ว...” ร่างสูงของโอลิเวอร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินอาด ๆ เข้ามาหาผม เขาตรงมาสวมกอดผมไว้ก่อนจะจูบแก้มผมเบา ๆ เป็นการทักทาย ผมแสร้งยิ้มกับดวงตาสีเขียวขี้เล่นที่มักจะละลายใครต่อใครเสมอ เชื่อเถอะว่าผู้ชายตรงหน้าผมมีเสน่ห์อย่าเหลือล้น แต่ผมจะชอบเขาหรอกนะ แม้ว่าเขาจะหล่อมากแค่ไหนก็ตาม

"มืดไปหน่อยสำหรับการนัดคุยกันของเรา"

"คุยเหรอ...ที่รักคุณไม่รู้หรอกว่าผมไม่ได้คิดแค่คุยแน่ ๆ" โอลิเวอร์เย้าและกอดเอวพาผมมายังที่นั่งด้านใน

"สิ่งที่คุณควรรู้ไว้คือบารอนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือความคาดหมายเสมอ"

“ก็ถูกของคุณ คุณต้องเดาไม่ออกแน่ ๆ ว่าผมตั้งตารอคุณอย่าใจจดใจจ่อแค่ไหน” โอลิเวอร์ทิ้งตัวลงที่โซฟาสีดำตัวใหญ่ แล้วยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างพร้อมทั้งเอามือพาดที่ไหล่ของผม

"ดื่มอะไรดีครับราชินี? "

"ขอเป็นเลม่อนวอดก้าแล้วกัน" ผมส่งยิ้มที่ทำให้คนทั้งโลกสั่นไหว และไม่เป็นข้อยกเว้นแม้กับโอลิเวอร์ก็ตาม

"ได้ที่รัก... เฮ้นาย ฉันเอาเลม่อนวอดก้าที่อร่อยที่สุดมาสิ"

โอลิเวอร์หันไปสั่งบริกรที่คอยดูแลพวกลูกค้าวีไอพีก่อนจะขยับมาใกล้ผม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเกือบทำให้ผมใจสั่น แต่ก็แค่เกือบเท่านั้นแหละ ผมไม่เคยพิศวาสผู้ชายคนนี้ ผมเชิดคางขึ้นและเริ่มแผนการของตัวเองในทันที

"แล้วแม็กทีสเป็นไงบ้าง ผมส่งข้อความหาเขา แต่กลับไม่ตอบกลับมาเลย"

"เราจะสนใจเขาทำไม คุณว่ามั้ย..." โอลิเวอร์ว่าแล้วขยับตัวเข้าใกล้ผมมากขึ้น จากนั้นก็ใช้ลิ้นตวัดเลียที่ใบหูจนผมสะดุ้งกับการกระทำน่ารังเกียจของเขา และเชื่อเถอะว่าเขาจะไม่มีทาแตะต้องผมไปมากกว่านี้

"คุณคาดหวังให้ผมเคลิ้มกับลิ้นร้อน ๆ ของคุณอย่างงั้นเหรอ? "

"แน่นอนว่าผมหวังมากกว่านั้น"

เขาขยิบตาให้ในจังหวะที่เลม่อนวอดก้าถูกวางลงที่โต๊ะกลมสีดำตรงหน้า ผมเอื้อมไปหยิบแก้ววอดก้าใส ๆ ขึ้นมาแนบแก้มของเขา นั่นทำเอาเขาชะงักและรีบผละออก ผมหัวเราะเบา ๆ เพื่อรักษาความตลกร้ายของตัวเอง

"คุณไม่ควรคาดหวังเรื่องแบบนี้กับใครที่ไม่ใช่แฟนนะโอลิเวอร์"

"คุณรู้ดีกว่าผมกับแม็กทีสไม่ได้ลึกซึ้งกันขนาดนั้น ธุรกิจของพ่อผมยังต้องอาศัยเขาอยู่"

"น่าเสียใจจังที่ได้ยินแบบนั้น แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเขาหายดีแล้ว คุณคงไม่พูดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ"

"ก็ไม่แน่..." โอลิเวอร์ยิ้มแพรวพราวและหวังให้ผมตกหลุมรักเขาแบบที่แม็กทีสหรือใครเป็น ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องยากในชีวิตพอ ๆ กับบอกให้เขาเลิกเสพยานั่นแหละ โอลิเวอร์เป็นผู้ชายตัวสูงหุ่นล่ำที่มีสักลายบนหน้าอกและกระดูกเชิงกรานเส้นคมเข้ม เขาสามารถใครหลายคนอยากจะกระโจนเข้าใส่ และเชื่อเถอะว่าความหล่อของเขามันเป็นแค่เปลือกจริง ๆ

“คุณไม่ติดต่อแฟนคุณไปเลยหรือไงนะ?”

"ผมโทรหาเขา แต่เขาไม่ค่อยรับสาย คุณก็รู้ว่าแม็กทีสยังโกรธเรื่องที่ผมแอบไปเชียร์คุณที่ข้างสนามวันแข่งโปโลการกุศลรอบนั้น"

"ฮ่า ๆ ช่างเป็นความเคียดแค้นที่ยาวนาน หวังว่าจมูกของเขาคงหายดีและพร้อมสำหรับการลงโต้วาที"

“อันที่จริงแล้วแม็กก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อวันก่อนผมไปเยี่ยมเขา และแม่ของเขาก็บอกว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว” โอลิเวอร์พูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ดวงตาสีเขียวของเขากำลังเลื่อนมองผมอย่างโลมเลีย "คุณดูสนใจเรื่องของแม็กทีสมากกว่าผมเสียอีกนะ ที่รัก"

“ไม่เชิงหรอก ก็แค่เป็นห่วงนะ อย่าลืมสิว่าผมชกจมูกเขาหัก เป็นใครก็ต้องคิดมากอยู่แล้ว”

"กับคนแบบคุณเนี่ยนะ ไม่น่าเชื่อสุด ๆ พวกคุณแทบจะไม่ใช่เพื่อนกันด้วยซ้ำ"

"เราเคยเป็น ใช้คำนี้ดีกว่านะ" ผมยกแก้วขึ้นมาชนกับเขา พยายามคุยเรื่องของแม็กทีสอย่างเป็นธรรมชาติ จะต้องค่อย ๆ เมาเหล้าเขาและทำให้เขาเคลิ้มกับเสน่ห์ของผม จากนั้นโอลิเวอร์จะต้องพูดหมดทุกอย่าง และผมใช้เวลาตรงนี้กับเขาไม่นานหรอก

“ชกเพื่อนเก่าจนจมูกหัก คุณนี่ร้ายไม่เบาเลยบารอน”

“จะว่าไงดี ผมคงเหมาะกับคำว่าปีศาจไปแล้วล่ะมั้ง” ผมยักไหล่ กระดกแก้วเลม่อนวอดก้าขึ้นดื่มจนหมดรวดเดียว ความร้อนของมันผ่านลำคอไปจนถึงท้อง รู้สึกถึงรสชาติเปรี้ยวผสมขมและนั่นทำให้ร่างกายของผมเริ่มตื่นตัวนิด ๆ

“ว่าแต่ พวกคุณทะเลาะกันเรื่องอะไร?”

“เพราะเขาเอาแต่พูดว่าได้ใกล้ชิดคุณมากกว่าผมน่ะสิ รู้มั้ยว่ามันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ และแม็กทีสยังบอกอีกว่าคุณชื่นชมเขามากกว่าผม” ผมแกล้งซบลงกับไหล่อีกฝ่ายและทำน้ำเสียงตัดพอที่ฟังดูดัดจริตสุด ๆ แต่เชื่อเถอะว่าคนฟังยังโอลิเวอร์น่ะชื่นชอบจะตายไป “ที่รัก ผมไม่เชื่อหรอกนะ...คุณก็รู้ว่าคุณหลอกผมไม่ได้บารอน”

“จะต้องเล่าแบบไหนคุณถึงจะเชื่อผม” ผมเกยคางแหลม ๆ ตัวเองกับอกของโอลิเวอร์ ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายจนเขาชะงักค้างราวกับถูกกระชากลมหายใจ

“เอาแบบไหนดีล่ะ แบบที่เราสองคนจะเล่าด้วยกันทั้งคืนดีมั้ย”

“เรื่องมันยาวนะ...คุณมีเวลาหรือเปล่า” ผมปรายตาและใช้ปลายลิ้นเลียรอบแก้ว พร้อมกับส่งยิ้มมุมปากไปให้ เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะขยับมือหยาบ ๆ มาลูบที่ท่อนแขนของผม และแม้ว่าโอลิเวอร์จะดูดี แต่ผมไม่นอนกับคนทุเรศแบบหมอนี่แน่!!

“ผมมีเวลากับคุณเท่าที่คุณต้องการราชินี...”

“ถ้าผมเล่าจนถึงเช้า เราก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกัน” ผมใช้นิ้วดันริมฝีปากของเขาออก และปรายตามอง “คุณต้องตอบคำถามผมแลกกับการที่ผมจะเล่าเรื่องของผมทั้งคืนกับคุณ”

"คุณนี่ร้ายกว่าที่คิดนะ”

เขายิ้มและเกือบจะฉวยโอกาสจูบผม ดีที่ผมผละออกได้ทัน เขายิ้มมุมปากและไม่ได้ตอแยที่จะเอาจูบผมเป็นการมัดจำ แบบนั้นขยะแขยงตาย!

“งั้นผมขอถามก่อนแล้วกัน ...แม็กทีสเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าให้คุณฟังบ้างใช่มั้ยล่ะ”

“เรื่องไหน? หมายถึงเคย์ตันน่ะเหรอ”

ผมไม่แสดงอาการอะไรออกไปนอกจากพยักหน้าช้า ๆ โอลิเวอร์เริ่มขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิดอย่างหนักกับชื่อนี้...



“เท่าที่ผมจำได้ มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีของแม็กทีสเท่าไหร่ เขาเอาแต่บอกว่าเคย์ตันเป็นพวกน่าขยะแขยงและหยาบคาย แม็กทีสพูดแบบนั้นเสมอ”

“นั่นสินะ คนดีที่ไหนจะไปนอนกับเพื่อนสนิทของแฟน พวกเขาควรไปลงนรกด้วยกันเพราะเหมาะสมกันดี” ผมหันไปยิ้มและจงใจพูดจาเหน็บแนมเขา และดูก็รู้ว่าโอลิเวอร์ไม่พอใจแต่อย่างงั้นก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมาได้เมื่ออยู่ต่อหน้าราชินีแบบผมได้

"ผมไม่คิดมากเรื่องความซับซ้อนของความสัมพันธ์พวกคุณหรอก แต่ที่แน่ ๆ คือผมไม่ได้อยากจะคบกับแม็กทีสมากไปกว่าคุณ คุณอย่าเข้าใจผิดนะ...”

เขาทำยังกับผมอยากจะคบเขามากหรือเกิน เหอะ! คนทุเรศเอ๊ย!

“แต่คุณก็ยังคบกับเขาต่อไป พ่อปากหวาน”

“ฮ่า ๆ ก็ต้องยอมรับว่าแม็กทีสกำลังสร้างค่านิยามแบบโอเมก้าสมัยใหม่ พวกมากีต้ากลายเป็นครอบครัวร่ำรวยที่ก้าวกระโดด และถ้าผมไม่ผูกสัมพันธ์ไว้ก็แย่น่ะสิ”

ผมสบตากับโอลิเวอร์ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน พนันได้ว่าคนเห็นแก่ตัวคนนี้ไม่ได้เห็นอะไรดีไปกว่าผลประโยชน์ ชื่อเสียง และเงินทอง

“ไม่เอาน่า โอลิเวอร์ คุณพูดยังกับว่าแม็กทีสเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าผมอย่างงั้นแหละ”

“ผมเนี่ยนะ ไม่จริงเลย คุณน่ะวิเศษที่สุดชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้เลยรู้มั้ย...”

ผมขนลุกทุกคำพูดของเขา แต่นั่นยังไม่มากเท่ากับการที่อีกฝ่ายใช้มือสาก ๆ ลูบไปตามเอวและสะโพกของผม แม็กทีสควรได้รู้นะว่าผู้ชายคนนี้เป็นพวกฉวยโอกาสและน่ารังเกียจแค่ไหน!

“ถ้าคุณเลือกผม ผมจะเลิกกับแม็กทันทีเลยแหละที่รัก”

“ซึ่งนั่นไม่มีวันเป็นไปได้”

"ต้องมีสิ...มีแน่นอน"

"ผมหมายถึงอย่ามั่นใจว่าผมจะเลือกคุณ โอลิเวอร์" ผมหันไปยิ้มและยืนยันความชัดเจนผ่านแววตา คนอย่างผมไม่มีวันคบกับเขาแน่ ๆ ถึงต่อให้เขาทิ้งแม็กทีสมาหาผม ผมก็จะไม่มีวันเลือกผู้ชายโอลิเวอร์เป็นคนรัก!

“ผมดีกว่าเคย์ตันเยอะ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นเอเย่นต์ค้ายาในผับหรือในโรงเรียนอย่างเขา ผมไม่ได้น่ารังเกียจพอที่จะใช้ชื่อคุณในการสั่งยาโคเคนเป็นตันมาลงในงานวันเกิดหรอกนะ”

"นั่นสิ..." ผมเก็บความตกใจเอาไว้ได้อย่างมิดชิด เรื่องที่ได้ยินมันเหลือเชื่อไปเลย “คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แม็กทีสพูดกับคุณงั้นสิ”

“แน่นอนที่สุด เมื่อก่อนแม็กทีสมักจะบอกเสมอว่าเคย์ตันน่ะเป็นพวกน่ารังเกียจ เขานอนกับคุณไม่ได้ก็เลยมานอนกับแม็กทีสแทน คุณเป็นราชินีโอเมก้าที่วิเศษที่สุดจริง ๆ ผมเชื่อเลย”

"เพราะความใจเด็ดของผมคือหนึ่งในสิ่งที่แคปรินคอร์นเป็น เพราะงั้นผมถึงได้ยืนอยู่เหนือทุกคนเสมอไงล่ะ"

“ผมชอบคนใจเด็ดนี้มาก มันทำให้ผมร้อนวูบวาบไปหมด" เขายิ้มและลูบเบา ๆที่ต้นแขนของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองใกล้ตอนที่ช่องท้องวูบวาบไปกับสัมผัสนั่น มันอี๋จะตายไป ทำไมผมถึงได้รู้สึกแบบนั้นเล่า! "ผมรู้มาว่าแม็กทีสเคยไปเยี่ยมเคย์ตันที่สถานบำบัดอยู่หลายครั้งด้วย อันนี้พ่อผมบอกว่ามันเป็นเพราะเขาเคยมีคดีชกต่อยเจ้าพนักงาน แต่พ่อคุณช่วยไม่ให้เขาติดคุก เพื่อแลกกับการที่เคย์ตันจะไม่ไปเป็นพยานในชั้นศาล”

"พยาน? พยานอะไร"

"พยานว่าคุณเสพยาไง...จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่คุณเคยสั่งให้เคย์ตันเอามาลงในงานปาร์ตี้ อันที่จริงมันคือเฮโรอีนสอดไส้ คุณเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ"

"มันเป็นแค่ขนมที่ทำให้สนุกมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ผมรู้!" ผมรีบบอกและส่ายหน้าปฏิเสธทันที มันไม่ใช่การแก้ตัวอะไร แต่ผมไม่เคยคิดว่านั่นคือยาเสพติด เคย์ตันบอกผมว่ามันเป็นแค่ความสนุกชั่วคราวและมันไม่ได้มีผลร้ายแรงอะไร ผมสาบานได้ว่าตัวเองไม่มีเข้าใกล้ในเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิด

"จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่คุณเข้าใจมันก็แบบนั้นแหละ แต่ในวงการแบบผมหรือเคย์ตัน นั่นคือเฮโรอีนยัดไส้นะ"

"ระ...เหรอ"

ผมตัวชาตอนที่ได้ยินแบบนั้น รู้สึกเหมือนมีค้อนหนัก ๆ ฟาดที่ศีรษะ หรือบางที่นี่อาจจะเป็นคำกล่าวหาของแม็กทีสที่เอาไปพูดให้ผมเสียหายโดยที่ผมไม่เคยรู้ว่าจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์นั่นน่ะมันคือยาสอดไส้ ผมไว้ใจแม็กทีสและเคย์ตัน แต่พระเจ้า...

พวกเขาไม่เคยเป็นอะไรไปมากกว่างูพิษเลย!

“คุณถามเลียม แฮริงค์ตันอาของคุณก็ได้ เขาเป็นคนที่ติดสินบนผู้พิพากษา พ่อของคุณวิ่งเต้นใช้เงินกับทนายหลายคนที่สามารถช่วยให้คดีจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์คืนนั้นปราศจากชื่อของคุณ”

“โกหกน่า...” ผมหน้าถอดสี การมาล้วงความลับครั้งนี้ได้ผลอีกแบบที่เกินความคาดหมาย... "พ่อเนี่ยนะ พ่อของผมไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้"

“เขารู้กันทั้งนั้นแหละ แคปรินคอร์นยิ่งใหญ่แค่ไหน ใครจะกล้าไปสงสัยเล่า แม้แต่ผมก็ยังเห็นว่าคุณเสพยากับเคย์ตันที่งานปาร์ตี้นั่น อีกอย่างนะคุณยังบังคับให้ยัยนั่นเสพยาจนหล่อนช็อกเข้าโรงพยาบาลเพราะหัวใจวายจากการเสพยาเกินขนาด”

“ไม่จริง!!!” ผมร้องเสียงดังอย่างลืมตัว "คุณหยุดพูดจามั่วซั่วได้แล้ว"

เรื่องของเจน พอตเตอร์อีกแล้ว ผมเกลียดที่เธอกลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตผม ในสมองของผม และยิ่งหาคำตอบกับเรื่องของเจนมากเท่าไหร่นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขุดหลุมหาศพตัวเองเท่านั้น

“ไม่เอาน่า ผมพูดตามที่เห็นและผมไม่รู้หรอกว่าจริงหรือไม่จริง” โอลิเวอร์ขยับเข้าใกล้และแววตาน่ารังเกียจของผมกำลังแสดงความบ้าคลั่งออกมาจนน่ากลัว “แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำ คงไม่มีใครเป็นอะไรคืนนั้นว่ามั้ยล่ะ?”

“...”

“อย่าไปคิดมากเลยน่า ผมเข้าใจว่าพ่อแม่คุณก็คงจะอยากปกป้องคุณจากเรื่องพวกนี้ แม้ว่าลูกจะทำแย่แค่ไหนแต่สำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้ว ยังไงลูกตัวเองก็ต้องถูกเสมอ”

“ผม...” ผมพูดไม่ออก การหาข้ออ้างหรือคำปฏิเสธเหมือนจะคอย ๆ หายไปพร้อมกับเสียงที่กลืนลงคอ ผมบีบมือกับแก้วเหล้า รับรู้ถึงความสับสนและเดือดดาลของตัวเอง

ผมไม่ต้องการให้ใครมาพูดให้ผมแบบนั้น เรื่องยาเสพติด หรือเรื่องที่ผมทำร้ายเจน เรื่องทั้งหมดผมกลับไม่แน่ใจอะไรเลย ผมไว้ใจใครได้บ้าง ทำไมพ่อไม่เคยบอกผมว่าผมทำอะไรในคืนนั้น ทำไมผมถึงจำไม่ได้เลยว่าตัวเองลงมืออะไรไปบ้าง นี่หรือเปล่าความจริง ความจริงที่พ่อพยายามปกปิดมาตลอด

“ยอมรับเถอะน่าว่าคุณก็เคยทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้น คุณจะไปคิดอะไรมาก เจน พอตเตอร์หายไปจากเมืองนี้สมใจคุณ คุณไม่เคยชอบเธอเลยนี่ แม็กทีสเองก็บอกผม”

โอลิเวอร์หยิบแท่งไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับพลุไฟออกมา ก่อนจะวางมันลงตรงโต๊ะด้านหน้าที่พวกเรานั่ง มันเป็นนาทีที่ผมเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย โอลิเวอร์หันมาส่งยิ้มราวกับผมรู้จักเจ้านี่เป็นอย่างดี “คุณจำไม่ได้จริง ๆ เหรอว่าคุณเจ๋งแค่ไหนคืนนั้น ผมหลงรักความร้ายกาจของคุณนะ”

ความทรงจำคืนนั้นไม่ได้เด่นชัดอะไร ผมคิดว่าดื่มหนักจนจำไม่ได้ และฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ตั้งแต่นั้นแม่กับพ่อไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้อีกเลย ไม่แม้แต่จะบอกว่าผมเหยียบเจนจมดินด้วยวิธีไหน ถึงผมจะเคยเกลียดเจน พอตเตอร์ แต่ผมไม่ได้หวังจะให้เธอตายจริง ๆ เสียหน่อย...

“จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่แท้จริงนะมันเป็นแบบนี้..." โอลิเวอร์เอื้อมมือไปหยิบแท่งยาวที่พันด้วยกระดาษสีขาวสลับแดง หน้าตาของมันเป็นเหมือนกับขนมที่ไม่น่ามีพิษภัยแบบที่อีกฝ่ายบอก “ลองสิ คุณอาจจะได้คำตอบก็ได้ว่าคืนนั้นคุณเมาอะไรกันแน่ ระหว่าง...เฮโรอีนหรือไอ้นี่”

"ไม่ดีกว่า...”

“คุณมาที่นี่เพื่อหาคำตอบ และผมก็มีคำตอบให้คุณ”

ข้อเสนอพวกนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องปฏิเสธ แต่ไม่รู้ทำไมผมกับเกิดความอยากรู้ ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะเมาแค่ไหน จะเป็นเหมือนกับคืนวันล้างบาปเมื่อสองปีก่อนมั้ย ผลข้างเคียงของการใช้จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์จะทำให้ผมมีจุดจบแบบเมื่อสองปีก่อนหรือเปล่า

ผมกลืนน้ำลายลงคอในขณะที่เลื่อนสายตามองไปยังแท่งจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้พร้อมทั้งคะยั้นคะยอให้ผมลองใช้มัน

ในเวลานี้บาดแผลจากอดีตอันเลวร้ายได้กลับมาเล่นงานผมหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“แล้วถ้าเกิดว่าผมควบคุมตัวเองไม่ได้ล่ะ”

“จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ของแท้มันไม่ได้รุนแรงอะไร ไม่มีฤทธิ์เท่ากับเฮโรอีนด้วยซ้ำ มันทำให้สนุกและหัวเราะได้” โอลิเวอร์ขยับเข้าใกล้ผมมากขึ้น “ถ้าคุณอยากรู้ก็ลองเลย เว้นแต่ว่าคุณขี้ขลาดจนกลัวที่จะค้นหาความจริง”

ขี้ขลาดเหรอ ใครก็รู้ว่าคนอย่างผมห่างไกลจากคำนั้นเยอะ และผมมาถึงที่นี่เพื่อหาความจริง เพราะงั้นถ้านี่คือปริศนาผมเจอกุญแจดอกแรกที่พาผมไปสู่ความจริงด้านหลังประตูบานนี้


(NEXT)

ออฟไลน์ แม่นาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
「 xiii 」Dangerously (2)
....

บรูค ปาร์คเกอร์ นั่งไม่ติดเก้าอี้มาชั่วโมงกว่าแล้ว เขาเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ เบียร์ขวดสีเขียวในมือถูกยกกระดกจนหมดเกลี้ยงไปหลายขวด และแม้แต่เสียงเพลง In my Feeling ของ Drake ก็ไม่ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายเลยแม้แต่นิด

เขาไม่มีวันใจเย็นอีกต่อไป ถ้าบารอนหายไปนานขนาดนี้ บรูคคิดว่าเขาไม่ควรละเลยที่จะตามหา

"ให้ฉันเข้าไปหาคุณหนูแคปรินคอร์น" บรูคตัดสินมาที่ห้องวีไอพีงี่เง่านี่อีกครั้ง และครั้งนี้เขาไม่มีวันยอมกลับไปโดยไม่ได้เอาบารอนออกมาด้วย

“เสียใจด้วย เขาไม่ได้สั่งให้คุณเข้าไป”

“หลีกไปน่า!”

“เฮ้...คุณเข้าไปไม่ได้”

“ฉันจะเข้าไปดูคุณหนู พวกนายหลบไปดีกว่า”

“ไม่ได้ คุณบรอสซั่มสั่งไว้”

“ไอ้เด็กนั่นจะพูดอะไรก็ช่างหัวมันสิ หลีกไป ฉันบอกหลีกไป!!” บรูคไม่สบอารมณ์สุด ๆ แอลกอฮอล์ทำให้เลือดเขาร้อน อัลฟ่าหนุ่มปัดป้องมือบอดี้การ์ดตัวโตออก “ฉันจะเข้าไปหาบารอน หลีกทางไป!!”

“อย่าหยาบคายสิพวก ฉันให้นายเขาไปไม่ได้”

“เงียบปากไปซะ!!” บรูคใช้ฝ่าเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องอีกฝ่ายก่อนจะปล่อยหมัดชกเข้าที่หน้าการ์ดอีกคน พวกเขาตกใจที่จู่ ๆ บรูคก็เสียสติขึ้นมาเสียอย่างนั้น บรูคผลักประตูเหล็กเข้าไปก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปข้างในห้องนั้น!

"คุณหนู...!!! โอ้พระเจ้า!! "

ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของบรูคหล่นไปกองกับพื้น เขาลืมวิธีหายใจไปชั่วขณะ ความโกรธปะทุขึ้นอย่างไม่สามารถกักเก็บไว้ได้อีก

“นายทำอะไรบารอน!!!”

ดวงตาที่เคยสุขุมคู่นี้ตอนนี้เต็มไปด้วยโทสะ กลางอกของเขาเต้นแรงรัวด้วยความโกรธ บรูคสัมผัสได้ถึงเส้นเลือดที่ไหลเวียนภายในร่างกาย “แกทำอะไรบารอน!!”

“ฉันเปล่านะ เขาเมายา เขาเสพมันเอง ฉันแค่...”

บรูคไม่รอให้ไอ้เด็กบ้ารวยนั่นพูดมากกว่านี้ เขากระชากคอเสื้อโอลิเวอร์และเขย่าจนศีรษะสั่นคลอน “แกทำอะไรเขา แกทำบ้าอะไรกับบารอน!!”

“ฉันเปล่า...โอ๊ย”

“ไอ้สาระเลวเอ๊ย!!” เขาสบถถามเสียงดัง สาว ๆ ที่อยู่ในห้องพากันกรีดร้องและวิ่งหนีออกมา ดูเหมือนในตอนนี้คนขับรถของคุณหนูแคปรินคอร์นสติแตกแล้ว และถ้ายังไม่ได้คำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นบารอน เชื่อว่าพวกเขาทุกคนในนี้เดือดร้อนแน่

“ไอ้พวกสวะ แกอยู่ให้ห่างเขาไว้นะ ฉันเตือนพวกแกแล้ว!”

“แล้วแกเป็นใครวะเนี่ย!”

 บรูคไม่พูดพร่ำมากความ เขาปล่อยหมัดใส่กรามโอลิเวอร์จนเจ้าคนทุเรศล้มลงไปกองกับพื้น โทสะที่เดือดพล่านของเขากำลังปะทุในเวลาอันรวดเร็ว

“ระยำ!! แกทำแบบนี้ได้ยังไงหะ!!!”

“เวรเอ๊ย...แกต่อยฉัน ไอ้สารเลว”

บรูคไม่สนใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะสบถด่าเขาคำไหน เขาเตะเข้ากลางลำตัวจนโอลิเวอร์ที่กำลังจะพยุงตัวจากพื้นฟุบลงไปอีกรอบ คนที่สติแตกรีบเดินเข้าไปหาคุณหนูของเขาที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ บรูครีบถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำเน่า ๆ คลุมทับลงบนร่างท่อนบนที่เกือบจะเปลือยเปล่าของบารอน กลิ่นกายของโอเมก้าในตอนฮีททำเอาบรูคเกือบสติหลุด แต่นั่นยังไม่เท่ากับภาพที่โอลิเวอร์พยายามโลมเลียราชินีของเขา!!

ไอ้เด็กทุเรศพวกนี้ต้องได้บทเรียน!!

บารอนพึมพำไม่เป็นภาษาและแววตาที่เลื่อนลอยของราชินีโอเมก้าทำให้บรูคกัดกรามแน่นขึ้น เขาไม่มีวันให้อภัยคนสารเลวพวกนี้แน่ ๆ อาการแบบนี้ดูก็รู้ว่าบารอนไม่ได้เมาเหล้า แต่มันเป็นอาการของคนที่เสพยาเกินขนาด

“อยู่นี่นะ..ผมขอจัดการมันก่อน”

บรูคกำมือจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนท่อนแขนและกำปั้น ก่อนจะคว้าเอาขวดบรั่นดีที่วางเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้นขึ้นมา แล้วพึ่งเข้าไปหาโอลิเวอร์จากนั้นก็กระหน่ำฟาดลงบนศีรษะโดยที่โอลิเวอร์ไม่ทันตั้งตัว บรูคบ้าระห่ำชนิดที่ไม่สนใจว่านามสกุลของเจ้าเด็กคนนี้จะทำอะไรกับอนาคตของเขาได้บ้าง!

“แกทำอะไรกับเขา!!”

“ไอ้บ้าเอ๊ย เลือด พระเจ้า...โอ๊ย!” โอลิเวอร์กุมมือตัวเองบนศีรษะที่เลือดไหลนองอาบครึ่งหน้าของเขา บรูคไม่มีแววตาปรานีแม้แต่นิด กลิ่นคาวเลือดของโอลิเวอร์ฟุ้งไปทั่ว และตอนนี้เขาไม่สามารถหยุดตัวเองได้เลย บรูคกระทืบโอลเวอร์จนอีกฝ่ายนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น

บรูคคว้าคอเสื้อโอลิเวอร์มาแล้วกระหน่ำหมัดใส่หน้าของอีกฝ่ายที่ไม่มีแรงจะตอบโต้ เสียงกระดูกกระทบกับใบหน้าของโอลิเวอร์ขี้ยาดังไปทั่วห้องเสพยาใต้ดินนี้ โอลิเวอร์แน่นิ่งไปพร้อมกับเลือดแดงสาดที่ไหลหนองพื้น บรูคปล่อยร่างคนหมดสติ แล้วจึงตรงเข้าไปช้อนร่างบารอนขึ้นจากโซฟาก่อนจะเดินหนีออกจากห้องนี้ไปทางออกประตูด้านหลัง

เขาสบถซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมทั้งแนบใบแก้มลงกับเส้นผมสีแดงที่ยุ่งเหยิง คนในวงแขนกำลังละเมอด้วยคำพูดที่ฟังไม่เป็นศัพท์  “ผมจะพาคุณไปจากที่บ้า ๆ นี่” ใบหน้าซีดเซียวของบารอนยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นตัวเอง

บรูคตกเป็นเป้าสายตาทั้งทีที่อุ้มราชินีโอเมก้าออกมา แต่เขาแทบไม่สนใจ บรูคเดินชนคนที่ขวางทางจนกระเด็นด้วยความรีบร้อน ใจหนึ่งเขาโกรธตัวเองจนแทบบ้า และอีกใจคือเขาโกรธที่เด็กคนนี้ดื้อรั้นจนได้เรื่อง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมากแค่ไหน แต่กับสถานการณ์แบบนี้เขากลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าครั้งไหน

บารอนเสพยาเกินขนาดและร่างกายของเด็กคนนี้คงรับไม่ไหว เขาจะต้องพาบารอนไปโรงพยาบาล บรูคพาบารอนมาที่รถก่อนจะรีบกดโทรหาตัวช่วยเดียวที่เขามี

...พ่อบ้านหยางเกา

[ครับ...]

“พ่อบ้านหยางครับ ผมเองบรูค ผมมีเรื่องต้องให้คุณช่วย ด่วนที่สุด” เขาพยายามจะไม่ตื่นตระหนก แต่ว่ากลับทำไม่ได้จริง ๆ

[ครับมิสเตอร์ปาร์เกอร์ เกิดอะไรขึ้น? คุณอยู่ที่ไหน...]

“ผมอยู่ที่ The Eve bar กับคุณหนู เราเกิดเรื่อง...” บรูคแค่อธิบายให้กระชับที่สุดกับสถานการณ์ที่ไม่มีเวลาสำหรับรายละเอียดมากนัก และเมื่อพ่อบ้านหยางฟังทุกอย่าง เขากลับดูมีสติที่สุดและรู้ว่าอะไรที่ควรทำก่อนและหลัง พ่อบ้านหยางสั่งให้บรูครอทีมรถพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่จะเข้าไปรับ ไม่ให้ขับรถเองเพราะมันอันตรายเกินไปสำหรับคนที่พึ่งขาดสติแบบบรูค

พ่อบ้านหยางทำงานกับตระกูลแคปรินคอร์นมานาน เขารู้กระบวนการจัดการปัญหาได้ดีกว่าเด็กแบบบรูคแน่ ๆ

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษบารอน” บรูคแนบหน้าลงกับใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย พร่ำบอกประโยคขอโทษที่บารอนไม่ได้ยินมันแล้ว เขาภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เขาภาวนาให้บารอนปลอดภัยมันเป็นสิ่งเดียวที่บรูคทำได้...

"ผมขอโทษ ได้โปรดอย่าเป็นอะไรไปนะ..."

บรูคไม่อยากเห็นบารอนต้องมีสภาพแบบนี้ บารอนควรอยู่ในพื้นที่สว่าง ๆ ในแบบน่าหมั่นไส้มากกว่าที่จะเข้าไปยุ่งกับพวกยานรกนี่!

 เขาจะไม่มีวันปล่อยให้บารอนต้องตกอยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว และขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยมือจากบารอนอีกเด็ดขาด!





Talk

น้องมาแล้วววววววววววววววว เอาเป็นว่าจะลงให้อาทิตย์ละสองตอนแล้วกันนะคะ

หรือเดือนละสองครั้งดี 555555555555555555 เอาที่สะดวกก็ประมาณเดือนละสามครั้งเนาะ ดีล!!

มีคำผิดคำสลับขออภัยน้าาาา ฝากน้องด้วยจ้า


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่โทษบรูคแน่ๆอ่ะงานนี้
เกินไปมากจริงๆบารอน ตั้งแต่ดันทุรังที่จะมา  :ling2: :ling2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เกิดเรื่องจนได้

ออฟไลน์ แม่นาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
「 xiv」

Soulmate

(N.) a person ideally suited to another as a close friend or romantic partner.





ผมไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาล และไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษนอกจากไม่ชอบ และสิ่งหนึ่งรองลงมาจากกลิ่นของมัน ก็คงเป็นเสียงของพยาบาลอย่างซีลีน ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องเข้ามา ผมก็รีบนอนตะแคงข้างใส่เธอทันที

“ดอกไม้ดอกที่พันของวันนี้ค่ะ” ซีลีนมีดวงตาโปน ๆ กับผมสีดำที่มัดไว้ด้านหลัง ริมฝีปากพร่ำบ่นเรื่องดอกไม้ที่คนทั้งหลายเอามาเยี่ยมผม และนั่นไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยที่จะเกิดมาเป็นที่รักของคนทั้งเมือง

หลังจากวันนั้นพ่อบอกว่าให้ทุกคนเข้าใจว่าผมเกิดประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล และไม่มีข่าวเกี่ยวกับการถูกล่วงละเมิดและยาเสพติด พ่อโกรธแทบคลั่งตอนที่รู้ว่าโอลิเวอร์จงใจใช้จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์กับผม ผมได้แต่ภาวนาให้เขาจัดการกับอีกฝ่ายอย่างออมมือที่สุด แม้ผมจะอยากฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ก็ตามที

“คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าดอกไม้พวกนี้มันแทบจะทับฉันตายได้เลยค่ะ มันเยอะมาก”

“งั้นเธอก็เอาไปจัดการสิ เอาไปทำอะไรก็ได้ ฉันยกให้” ผมบอกแบบนั้น และเธอก็ไม่วายจะกระแนะกระแหนผม “คุณน่าจะคิดถึงน้ำใจคนที่เข้าเอามาให้คุณบ้างก็ได้ค่ะ” ซีลีเดินเข้ามาเอาเครื่องวัดความดันสอดเข้าข้อพับของผม เธอยืนทำหน้าน่ารำคาญในระหว่างที่เครื่องเริ่มทำงาน

“ขอบคุณที่เธอย้ำกับฉันนะ อย่างงั้นเธอช่วยเอามันออกไปพร้อมเธอเลยละกัน ฉันชักไม่แน่ใจว่าเหม็นอะไรกันแน่ระหว่างเธอกับดอกกุหลาบ”

“เอาเถอะค่ะ ฉันจะจัดการกับพวกดอกไม้นี่แล้วกัน”

ดอกกุหลาบสีขาวเหล่านั้นถูกส่งมาเพื่อให้กำลังใจผม ตั้งแต่วันเกิดเรื่องผมยังไม่เจอหน้าบรูคเลย พ่อบ้านหยางไม่ได้บอกอะไรกับมารีน่า แม้ว่าเธอจะพยายามถามเกี่ยวกับเรื่องของบรูคก็ตาม

"ความดันปกติ อีกไม่กี่วันคุณคงได้กลับบ้านแล้ว และกองดอกไม้พวกนั้นคงไม่รบกวนคนอื่น”

หลังจากที่เธอดูแลความเรียบร้อยของผมแล้ว เธอก็เก็อช่อกุหลาบงี่เง่านั่นออกไปด้วย ผมรู้ว่าความจริงเธอคงจะเก็บเอาไว้ขายให้คนที่มาเขียนกำลังใจส่งให้ผมด้านล่าง



 ก๊อก ๆ

“ถ้าเธอยังไม่เลิกเปิดเข้าเปิดออกฉันจะสั่งย้ายเธอไปที่ชั้นล่าง...” ผมหันไปบอกเสียงหงุดหงิดเพราะคิดว่าซีลีนยังก่อกวนไม่เลิกแต่ทว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือ...บรูค

“บรูค!! พระเจ้านายจริง ๆ ด้วย!”

ผมดันตัวขึ้นจากเตียง “นายไม่มาเยี่ยมฉันเลย หายไปไหนมา”

“ผมมีธุระนิดหน่อยครับ แล้วคุณล่ะเป็นไงบ้างครับ อาการดีขึ้นบ้างมั้ย” บรูคยิ้มและวางดอกทิวลิปสองดอกลงบนหัวเตียง ผมคว่ำปากลงพร้อมทั้งชูสายน้ำเกลือขึ้นให้เขาดู “มันก็ไม่แย่เท่าไหร่ พ่อบอกพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

“นั่นก็ดีแล้วแหละ...”

“จริงสิ...ว่าแต่นายล่ะเป็นอะไรมั้ย ได้ยินมาว่าพ่อเรียกนายเข้าพบ เขาไม่ได้ว่าอะไรนายหรอกใช่มั้ย?” ผมถามแต่อีกฝ่ายกลับไม่ดีท่าทีที่ดีขึ้น ผมคิดว่าเขาคงจะโดนพ่อตำหนิไม่น้อย

“คุณอย่าใส่ใจเลย ผมว่าตอนนี้คุณควรจะพักผ่อนนะ”

“พ่อฉันคงไม่ได้ไล่นายออกหรอกใช่มั้ย?” ผมถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะยื่นมือไปแตะมืออีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้กลับมายิ่งทำให้ผมหน้าชา

บรูคขยับตัวหลบสัมผัสของผม เขาพยายามบังคับให้ตัวเองมีสีหน้าที่ดีขึ้นแต่มันยากเมื่อต้องทำต่อหน้าผม...

“ยังหรอกครับ ที่แน่ ๆ คือยังไม่ใช่ตอนนี้”

“หมายความว่าไง?”

“ก็หมายความว่า ผมยังอยู่รับใช้คุณได้ต่อไปไงล่ะ” แม้ว่าบรูคจะตอบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่นั่นมันไม่ได้มาจากความเต็มใจ “อย่าห่วงเลย คนแบบผมคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ และที่ดีที่สุดคือผมได้รับโอกาสอีกครั้ง”

“ฉันล่ะเจ็บใจชะมัด ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะหมอนั่นคนเดียว”

ผมทุบมือลงที่หน้าตัก “นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นโดนไล่ออกจากโรงเรียน ป่านนี้คงจะบินไปจากเมืองนี้เพื่อหลีกหนีความอับอายพวกนั้นแล้ว ไอ้ชั่วนั่นสมควรโดน!!”

“คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้เพราะใคร...”

“มันก็เป็นเพราะไอ้สวะนั่นอยู่แล้วที่บังคับให้ฉันใช้ยาเสพติดพวกนั้น เขาล่อลวงฉัน และถ้านายไม่เข้าไปช่วยเชื่อสิว่าฉันถงถูกมัน...โธ่เอ๊ย พูดแล้วขยะแขยงชะมัด”

“คุณคิดว่าทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะโอลิเวอร์จริง ๆ น่ะเหรอครับ” บรูคเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินทำให้เขาเกิดคำถามนั้น “คุณคิดว่าเขาสมควรได้รับความผิดนั้นเพียงคนเดียวเหรอครับ?”

“นายพูดอะไรของนาย...”

ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการอะไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันคือความผิดของโอลิเวอร์ แต่บรูคยังพยายามจะทำให้ผมผิดให้ได้!

“คุณเรียกใครว่าไอ้สวะอย่างหยาบคายแบบนั้นได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ”

“ก็พวกนั้นสมควรโดน! ”

“เหลือเชื่อเลยบารอน” ถอนหายใจใส่แบบนั้นหมายความว่าไง...ผมไม่ชอบใจที่ได้เห็นบรูคตอกกลับผมแบบนั้น เขาควรจะเข้าข้างผม ไม่ใช่มาห้ามไม่ให้ผมพูดหยาบคาย บ้าสิ้นดี!

“นี่นายเป็นอะไรกันแน่ นายโกรธฉันเพราะเรื่องที่ฉันเรียกคนพวกนั้นว่าไอ้สวะงั้นเหรอ” ผมฉุดรั้งข้อมือของเขาไว้ เขาตวัดตากลับมาทางผมแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายกันถึงขัดสะบัดมือแบบที่ผมกลัว ถ้าทำแบบนั้นผมรับไม่ได้แน่ ๆ “เปล่าหรอกครับ คนอย่างผมจะไปกล้าโกรธคุณหนูอย่างคุณได้ยังไง”

“เลิกพูดจาประชดกันสักที นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบที่นายทำแบบนี้”

“ผมว่า...เราอย่าพึ่งคุยกับผมตอนนี้เลย ผมไม่อยากจะรู้สึกแย่กับคุณไปมากกว่านี้”

น้ำเสียงเย็นชาที่เหมือนกับน้ำเย็นสาดเข้าหน้า เหลือเชื่อเลยว่าบรูคจะกล้าพูดคำนี้กับผม เขากล้าดียังไงมาบอกกับผมว่าตัวเองกำลังรู้สึกแย่

“รู้สึกแย่อย่างงั้นเหรอ นายคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้พูดคำนั้นกับฉัน รู้ไว้เลยนะว่าคนที่ผิดก็คือโอลิเวอร์คนทุเรศนั่น และไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม ฉันยืนยันว่าเขาสมควรโดน...เขาบังคับให้ฉันเสพยา!”

“คนอย่างคุณน่ะเหรอจะมีใครไปบังคับได้ คุณไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครบังคับ อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อหน่อยเลย” เขาแทรกขึ้นและยิ้มสมเพชใส่ตัวเอง หรือบางทีนั่นคงเป็นรอยยิ้มที่ผมควรได้รับ “ผมเตือนคุณแล้วว่าคุณไม่ควรไปที่นั่น แต่คุณไม่เคยฟังผม คุณเชื่อฟังแค่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น และผมนึกไม่ออกเลยว่าใครจะกล้าบังคับคนอย่างคุณได้คุณหนู”

“บรูค...”

“คุณไม่มีสิทธิ์จะโทษโอลิเวอร์ทั้งหมด นั่นเพราะคุณเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้เหมือนกัน”

“นายหยุดพูดสักที!!”

“คุณคิดว่าเขาจะให้เกียรติคุณ แต่ผมบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าตราบใดที่เขายังนอกใจแฟนที่คบหาและเอาเรื่องของอีกฝ่ายมาบอกกับคุณ เขาไม่มีทางให้เกียรติใครได้ทั้งสิ้น...” บรูคกำลังโกรธ ผมเห็นน้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น และมันกำลังไล่ระดับขึ้นตามอารมณ์ของเขา

“คนอย่างโอลิเวอร์ไม่มีวันมองคุณเป็นอะไรนอกจากของสะสมหายากที่อยากได้ใจแทบขาด แต่ไม่มีใครอยากจะครอบครองด้วยรัก!”

“นายอย่าหยาบคายกับฉันแบบนี้นะบรูค!!!”

พวกเราในเวลานี้กำลังลงแข่งทำร้ายกันและกันด้วยคำพูดและมีรางวัลเป็นความเสียใจจากอีกฝ่าย “คุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้ เพราะพ่อของคุณเขาจะจัดการให้ทุกอย่างให้”

ผมอยากจะตอบโต้เรื่องนี้ แต่เพราะมันคือความจริงและน่าจะมันเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเสียใจ...

“พ่อแม่ของคุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อปิดข่าวพวกนี้ ในขณะที่พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณ ส่วนคุณก็ทุกอย่างเพื่อตัวเอง”

“ฉันไปที่นั่นเพื่อหาความจริง ฉันต้องการแก้ไขเรื่องพวกนี้”

“แล้วคุณได้คำตอบหรือยังล่ะ...คุณแก้ไขอะไรได้บ้างล่ะบารอน?” บรูคลุกขึ้นยืนและเรากำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครบ้างจะต้องเดือดร้อนเพราะความอวดเก่งและดื้อรั้นของคุณ”

“นาย...”

“คุณเชื่อมั่นแค่ตัวเอง คิดว่าสิ่งที่คุณทำมันถูกต้องแล้ว คุณไม่เคยเห็นหัวใคร นั่นแหละนิสัยคุณและเชื่อมั้ยว่าผมเบื่อเหลือเกินที่จะต้องอดทนกับเด็กไม่รู้จักโตแบบคุณ”

เรื่องนั้นผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนจนกระทั่งบรูคพูด ซึ่งบางทีในความที่ผมไม่ยอมรับอะไรเลย มันอาจมีความจริงซ่อนอยู่

“สิ่งที่คุณทำ รู้มั้ยว่าใครต้องรับผิดชอบบ้าง พ่อบ้านหยางต้องถูกตัดโบนัสประจำปีทั้งที่เขาควรจะได้เงินนั้นไปมอบให้ลูกชายของเขาที่กำลังเข้าพักรักษาตัวเปลี่ยนหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล”

ผมทำร้ายพวกเขาแบบนั้นเลยเหรอ

“มารีน่าต้องถูกลงโทษโดยการอดขึ้นเงินเดือนตลอดสองปี เพราะเธอไม่สามารถดูแลคุณได้ ทั้งที่เธออยากจะเอาเงินไปเปิดร้านเสริมสวยให้กับพี่สาวแค่ไหนสุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้” สิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก... ดูเหมือนว่าทุกคำของบรูคกลืนกินผม

“คุณอาจจะไม่เข้าใจว่ามันสำคัญกับพวกเรายังไงบ้าง แต่ผมมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยง คุณอาจมองว่าเงินไม่เท่าไหร่จะไปคิดอะไรมาก แต่มันมีค่ากับคนอย่างพวกเรา...”

“บรูค...”

“คุณจะเข้าใจการสูญเสียได้ยังไงในเมื่อชีวิตคุณไม่เคยสัมผัสถึงมันเลย คุณเป็นแค่คนเห็นแก่ตัวที่คิดว่าทุกคนซื้อได้ด้วยเงิน คุณไม่มีวันเข้าใจคนที่ขาดโอกาส อดยาก หรือผิดหวัง เพราะคุณมีทุกอย่างไงล่ะบารอน...”

มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด เพราะผมไม่เคยรู้ถึงความลำบากของใคร ผมมองเห็นแค่เพียงตัวเองเท่านั้น และดูเหมือนผมกำลังได้บทเรียนหนึ่งในชีวิต...

“คุณไม่เคยต้องแก้ปัญหาอะไรด้วยตัวเอง เพราะพ่อของคุณจะคอยตามล้างตามเช็ดเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เมื่อไรก็ตามคุณทำผิดพลาด แค่ตื่นมามันจะเป็นเหมือนฝันและทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีจริงบนโลกใบนี้”

ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาพูด แต่มันกลับพูดอะไรไม่ออก...

“นายเองก็คิดแบบคนพวกนั้นเหรอ...นายตัดสินฉันแบบคนพวกนั้นด้วยงั้นสิ!”

“ใช่...เพราะคุณเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณไม่แตกต่างจากแม็กทีสเลยบารอน และผมว่าคุณเลวร้ายมากกว่าเขาด้วยซ้ำ”

ผมพยายามยื้ออีกฝ่ายไว้แต่เขายกมือขึ้นห้ามทำลายความตั้งใจของผมได้ทันที แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยถ้อยคำไม่พอ ท่าทางและแววตานั่นอีกด้วย

“รู้มั้ยว่าผมมองเห็นอะไรในเวลานี้ ผมได้มองเห็นสิ่งที่เป็นคุณอย่างแท้จริง คุณเก่งเรื่องที่จะโยนความผิดให้คนอื่น และผมเชื่อด้วยแม้กระทั่งตอนนี้คุณก็ยังโทษผมด้วยเหมือนกัน”

“นายฟังฉันพูดบ้างสิ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาไม่ฟังผมและเหมือนคำพูดของผมเป็นเพียงคำโกหกสำหรับเขาเท่านั้น

“ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ เพราะสำหรับผม มันเป็นแค่เรื่องที่ต้องยอมรับให้ได้เท่านั้นเอง”

สิ่งเดียวที่ทิ้งไว้คือสีหน้าผิดหวังอย่างที่สุดของบรูค ปาร์คเกอร์ และนั่นทำไมผมสัมผัสความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ภาพที่เขาเดินจากห้องพักของผมออกไปมันเหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน

ผมนึกไม่ออกเลยว่าระหว่างที่บรูคเดินหันหลังให้กับผมกับคำแก้ตัวของผม...อันไหนมันแย่มากกว่ากัน



...

ผมใช้เวลาว่างในวันอาทิตย์อยู่ห้างสรรพสินค้าหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมาได้สองวัน และตอนนี้กำลังนั่งรอฮาร์เปอร์ลองชุดนั้นชุดนี้ที่เจ้าของแบรนด์นัดเข้ามาเสื้อคอลเลคชั่นใหม่ที่พึ่งมาจากรันเวย์แฟชั่นเดินแบบเมื่ออาทิตย์ก่อน

ตั้งแต่ผมออกจากโรงพยาบาล บรูคก็หายไปโดยไม่ได้บอกอะไรผม และพ่อบ้านหยางเท่านั้นที่รู้ว่าเขาขอลากลับบ้านเพราะมีเรื่องด่วน ผมกดโทรหาเขาหลายสายแต่เขาไม่รับ บรูค ปาร์คเกอร์ชักจะกล้าดีเกินไปแล้ว เขาเป็นใครทำไมกล้าไม่รับสายผม

“ชุดนี้ไม่โอเคเลย ฉันว่าตัวเองดูซีดมากเวลาสวมชุดสีแดง”

“...”

ผมนั่งกดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความหาลูน่าที่ตอนนี่กำลังปาร์ตี้งานวันเกิดของเพื่อนเธออยู่ที่ลอนดอน เธอส่งข่าวมาบอกว่าพ่อของเธอ เลียม แก๊บบี้ แฮริงค์จะกลับมาที่โอเวิลซิตี้บ่ายวันนี้ ผมมีธุระจะต้องเข้าไปพบอาเลียม เพราะเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้ที่อยู่บรูค

“นี่บารอน นายว่าฉันดูอ้วนไปมั้ยสำหรับชุดนี้”

ม่านกั้นของชุดลองเสื้อถูกเปิดออกโดยฮาร์เปอร์ ผมยาวสีบรอนด์ของเธอถูกปล่อยลงกลางหลัง เธอสวยสมส่วนกับชุดเสื้อผ้าทุกชิ้น ผมนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟากำมะหยี่ภายในห้องชุดสำหรับรองเสื้อผ้า ผมสวมเสื้อกุชชี่สีแดงทรงฮาวายไม่ติดกระดุมบนและสวมกางเกงเข้ารูปหนังสือดำขลับ

“เลิกสนใจโทรศัพท์แล้วหันมามองดูฉันทีได้มั้ย”

“ฉันมองอยู่...”

“แต่ตานายเอาแต่มองจอโทรศัพท์มาหลายชั่วโมงแล้ว ฉันยืนอยู่นี่นะ..”

“เขายังไม่ติดต่อมาเลย...”

“ใคร? อาของเธอเหรอ”

“เปล่าหรอก...ไม่ใช่เขา...” ผมรีบตอบและก้มหน้าลงเล็กน้อย เลี่ยงที่จะสบตากับฮาร์เปอร์ “ฉันว่าชุดนี้ก็สวยนะ เธอเข้ากับสีแดง” ผิวสีงาช้างสว่างโดดเด่นผ่านชุดเดรสกระโปรงผ้าชีฟองสีแดงสดทำให้ฮาร์เปอร์สวยราวกับหลุดออกมาจากแม็กกาซีน

“ฉันก็ว่างั้นแหละ...ฉันผอมลงด้วยนะ สะโพกไม่พอดีกับชุดเลย”

“ไม่ยักรู้นะเนี่ย...แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายนะ”

“สาบานว่านายดูไม่ออก” ฮาร์เปอร์เลิกคิ้วและชื่นชมตัวเองผ่านกระจก แววตาเปล่งประกายของเธอทำให้ผมจำต้องเอ่ยถาม “นายว่าเขาจะชมฉันมั้ย ถ้าฉันใส่ชุดนี้ไปเดตกับเขา”

“แน่ใจเหรอว่าจะตกลงปลงใจกับผู้ชายแบบ...บ๊อบ และอีกอย่าง เขาคือคนที่มีพันธะอยู่นะ”

“นี่บารอน เดอเรอกูว แคปรินคอร์น ฉันขอบอกให้รู้นะว่าเขากำลังจะหย่าและอีกอย่างเขาจริงใจกับฉันมาก”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ คงเพราะว่ามันพูดไม่ออก เมื่อเธอยืนยันในตัวของอาจารย์วิชาชีวะที่พึ่งย้ายมาใหม่คนนั้น มันก็คงช่วยไม่ได้

“เธอเชื่อเหรอว่าเขาจะยอมหย่ากับภรรยาที่เขาคุกเข่าขอเธอแต่งงานมาจริงใจกับคุณหนูบ้านรวยอายุสิบเจ็ด”

“ไม่เอาน่า...ฉันไม่ได้ขอความเห็นนายสักหน่อย เราต่างรู้ว่านายมีความคิดที่ยุ่งยากเกินไป”

“ฟังดูเหมือนเธอกำลังว่าฉันอยู่เลย”

“ก็...ไม่เชิง” ผมกลอกตากับคำพูดของฮาร์เปอร์ เธอไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าชุด ผมตรงสลวยที่สุขภาพดีกับหุ่นทรงนาฬิกาทรายแบบเด็กอายุสิบเจ็ด

“คงงั้นแหละมั้ง เห็นกันชัด ๆ ว่าฉันคงไม่ช่ำชองเรื่องการนอนกับผู้ชายอายุเยอะแบบเธอ”

“อะไรนะ?”

“ก็จริงมั้ยล่ะ...” ผมปาโทรศัพท์ไปด้านข้างและถอนหายใจออกมายาว ๆ อันที่จริงผมเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากกว่า แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้สึกถึงมัน

เธอพุ่งเข้าหาผู้ชายที่อายุมากกว่าสิบห้าปีคนนั้นแบบไม่ลังเล และมันยากที่จะดึงเธอไว้!

“นายโกรธฉันเหรอ?”

“เธอคิดว่าฉันจะต้องรู้สึกยังไง เพื่อนสนิทของฉันนอนกับผู้ชายที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียน แถมเขายังมีพันธะที่ยังไม่หย่าขาด อายุห่างจากเราเกือบสิบห้าปี คิดว่าฉันจะต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้” ผมหันไปถามเธออีกครั้ง แววตาของเธอดูน่าเวทนาแต่ผมไม่ใจอ่อน

บางทีฮาร์เปอร์กลับเป็นฝ่ายที่แยกแยะระหว่างรักกับเซ็กซ์ไม่ออก

“ฉันชอบเขาบารอน เหมือนกับที่นายชอบบรูคไง”

“บ้าหรือไง!! เธอต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่พูดแบบนั้น” ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนและยกมือขึ้นปิดปากตัวเองก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น

“นายชอบเขา รู้มั้ยว่าท่าทางแปลก ๆ ของนายน่ะมันมาจากการที่เขาหายตัวไป”

“เฮ้อ...ยอมรับก็ได้” ผมว่าและทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้า "เขาไม่เคยเย็นชากับฉันแบบนี้ เขากล้าดียังไงมาทำให้ฉันนอนไม่หลับ พระเจ้า...ฉันอยากจะบ้าตาย"

“ที่นายมีอาการกระวนกระวายแบบนี้มันแสดงออกชัดเจนมาก ๆเลยว่านายกำลังชอบเขา”

“อย่างงั้นเหรอ?”

“ใช่...ฉันเคยเป็น ฉันรู้ว่ามันรับมือได้ยากแต่ถ้านายลองนึกดี ๆ มันอาจจะทำให้นายหาทางออกได้” ฮาร์เปอร์ว่าแล้วเดินมายืนตรงหน้าผม ผมไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น 

"ฉันแค่ไม่สบายใจที่เขาหายไป ไม่ชอบที่เขาเงียบไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้”

"เขาไม่โทรกลับมาบ้างเหรอ พอเห็น Miss call นายน่ะ”

“ไม่เลย เขาจะโกรธอะไรฉันนักหนานะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

“บางทีสำหรับบางคนเรื่องพวกนี้มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาน่ะนะ”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เขางี่เง่าไปเอง” ผมกัดริมฝีปากล่างคล้ายกำลังควบคุมอารมณ์เปราะบางจากภายใน ตั้งแต่วันนั้นบรูคก็มึนตึงกับผม และผมสาบานว่ามันเป็นความอึดอัดแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต

เธอเดินมาหยุดตรงหน้าผมก่อนจะเอามือเท้าสะเอวและหมุนตัวไปมา “ชุดนี้เป็นไง ใช้ได้ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้ายิ้มกับชุดที่เพื่อนสนิท ก่อนจะพูดต่อ “เขาจงใจหลบหน้าฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันเกิดเรื่องเขาไม่คุยกับฉันเลย”

“ฉันว่าบรูคคงอึดอัด หรือไม่ก็คงเสียใจกับสิ่งที่นายทำมาก ๆ ขอบอกเลยว่าถ้าเขาไม่แคร์มากแบบนั้น เขาคงไม่เสียความรู้สึกแบบนี้" ฮาร์เปอร์ยิ้มล้อผมก่อนจะทำท่าเหมือนสาวผู้รอบรู้ พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานจนผมต้องตั้งใจฟัง "ถ้านายไม่มีผลต่อเขา เขาคงไม่หลบหน้านายแบบนี้หรอก นายมีผลต่อความรู้สึกของบรูคนะ รู้ไว้ด้วย"

ผมอย่างงั้นเหรอ...

"ฉันว่าเขาแค่ต้องการเงินเท่านั้นแหละ เขาบอกว่าฉันทำให้เขาเดือดร้อนเรื่องนี้”

“นายไม่รู้เลยเหรอว่าที่เขาพูดแบบนั้น เพราะกำลังประชดเพื่อต้องการให้นายแสดงความเสียใจต่อเขาบ้าง และนายควรจะไปง้อเขาหน่อยนะ...” เธอหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าไปในห้องโรงชุด ปิดม่านกั้นและเลือกเสื้อผ้าตัวต่อไป

“คนอย่างฉันเนี่ยนะง้อเขา ฉันไม่อยากทำแบบนั้นนี่!!”

ผมโกหก และเชื่อเถอะว่าแม้แต่เด็กสามขวบยังรู้เลย

“ถ้าอย่างงั้นนายก็อย่ามานั่งคอตกแบบนี้สิ นายจะสนใจทำไม เขาก็แค่คนขับรถใช่มั้ยล่ะ”

เมื่อได้ยินฮาร์เปอร์พูดแนนั้น ผมก็ห่อไหล่ลงอย่างสิ้นหวัง รู้สึกเกลียดที่ตัวเองทำแบบนั้นลงไป ผมอยากจะบอกกับบรูคว่าผมไม่ได้ตั้งใจ แต่คนอย่างผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ ๆ “ฉันไม่น่าเผลอใจไปกับเขาเลย ไม่น่าไปทำแบบนั้น ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่รู้สึกจะเป็นบ้าตายเพราะเขา”

ฮาร์เปอร์รูดม่านออกและเดินมาหาผม เธอบิดซ้ายหมุนขวาเพื่อให้ผมช่วยดูว่าชุดนี้เข้ากับเธอหรือเปล่า เธอมักมีรสนิยมในการแต่งตัวที่ดี และเชื่อเถอะว่าแค่ใส่ชุดราคาไม่กี่เหรียญก็สามารถทำให้เพื่อนของผมดูโดดเด่นได้ไม่ยาก

“อย่าไปคิดแบบนั้นสิ บรูคก็ไม่ได้เลวร้าย จะถลำลึกกับเขาก็ไม่แปลกหรอก”

“เธอไปหัดพูดจาโรแมนติกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันพูดหรือเปล่าล่ะ” ฮาร์เปอร์รวบผมสีบลอนด์ธรรมชาติของเธอขึ้นเป็นหางม้า ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอคล้ายกับตุ๊กตาบาร์บี้ ผมนึกเสียดายที่เธอดันชอบผู้ชายอายุมากคนนั้นที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากวิชาการในหัวกับดวงตาสีอัลมอนต์!

“เธอพูดเหมือนกับว่าฉันดูออกง่ายมากกว่ากำลังคลั่งบรูคแบบสุด ๆ”

“นายเอาแต่บ่นเรื่องเขาไม่หยุด พนันได้ว่านายจะต้องคลั่งไคล้เขามาก ไม่อย่างนั้นนายคงไม่นั่งกัดปากคิดมากเรื่องที่เขาไม่คุยด้วยหรอก” เราสองคนเดินออกจากร้าน ในมือของฮาร์เปอร์หิ้วถุงสีขาวออกมาด้วย ผมกับเธอเลือกที่จะไปดูรองเท้าที่ร้านหนึ่งหลังจากที่ได้การ์ดเชิญให้เข้าไปดูคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ

“การชอบบรูคทำให้ฉันดูเหมือนคนเสียสติหรือเปล่า?"

“ไม่เลยสักนิด นายดูน่ารักขึ้นเยอะนะรู้มั้ย แค่ต้องเปิดใจให้กว้างเท่านั้นเอง” รอยยิ้มของเพื่อนสนิททำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาด “ถ้าให้แนะนำฉันว่านายก็แค่หาแผนเจ๋ง ๆ ไปง้อเขา เชื่อสิใครที่ไหนก็ต้องอยากให้อภัยราชินีผู้น่ารักแบบนายแน่ ๆ”

“ฉันยอมทำอะไรเพื่อใครขนาดนั้นได้จริงเหดรอ...” ผมพึมพำกับตัวเองอีกด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจ “ถ้าเขาเป็นใครสักคนที่ไม่ได้ต่ำต้อยแบบนี้ บางทีฉันอาจจะยอมรับมันง่ายขึ้นก็ได้”

ผมไม่ใช่คนโง่เขลาและไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เพียงแต่กับบรูค ปาร์คเกอร์ มันกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าครั้งไหน เพราะฐานะทางบ้านของเขาเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้

“โฉมงามยังตกหลุมรักอสูรเลย และบางทีคนเราไม่มีคำว่าสเปคหรอก เพราะถ้านายชอบใครสักคนจริง ๆ สิ่งเหล่านั้นไม่เคยอยู่ในการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบที่เราคิดไว้หรือไม่ก็ตาม” ฮาร์เปอร์หันมาขยิบตาให้และทิ้งท้ายประโยคชวนคิดเหล่านั้น

ผมนั่งตึกตรอกกับสิ่งที่ฮาร์เปอร์พูด และในความเงียบระหว่างที่รอให้เธอชื่นชมรองเท้าคู่สวยอยู่หน้ากระจอก ผมก็เริ่มวางความรู้สึกหลายอย่างตัวเองลงจากนั้นก็ลองนึกถึงแค่บรูค ปาร์คเกอร์ในแบบผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น

ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะยัดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าแล้วขยับแว่นชาแนลเก้ามุกขึ้นทัดอยู่บนศีรษะ “นี่ฮาร์เปอร์ หลังจากที่เราไปดื่มชากันเสร็จ ฉันคงจะต้องขอตัวไปทำอะไรที่สำคัญกับชีวิตหน่อยนะ”



- - - - - - -
NEXT

ออฟไลน์ แม่นาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
「 xiv」Soulmate (2)

บรูค ปาร์คเกอร์เป็นคนติดบ้าน เขาเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวเสมอไม่ว่าจะด้วยเรื่องไหน หลายอย่างพิสูจน์แล้วว่าผู้ชายคนนี้เลือกครอบครัวของเขามาเป็นอันดับหนึ่ง แม้ว่าใครจะบอกว่านั่นเป็นทางเลือกที่ไม่เข้าท่า แต่สำหรับเขาแล้ว ครอบครัวคือแหล่งพลังงาน เป็นหมอนนุ่ม ๆ ไว้นอนหนุนและจุดพักเหนื่อยของชีวิต

การได้กลับมาเจอพ่อกับแม่ทำให้เขามีแรงที่จะวิ่งต่อไปได้กับหนทางแห่งชีวิต

บทบาทหน้าที่อย่างหนึ่งของบรูคนอกจากจะเป็นหัวหน้าครอบครัว พี่ชายและลูกที่ดีแล้ว เขายังเป็นที่ปรึกษาสำหรับน้อง ๆ อีกด้วย บรูคกลับมาพักที่บ้านเพราะเขาถูกพักงาน ดีที่คุณแคปรินคอร์นไม่ไล่เขาออก เพราะอย่างน้อยการที่เขากระทืบโอลิเวอร์จนกระดูกหักทำให้บาโธโรมิวคิดว่าบรูคยังมีประโยชน์อยู่บ้าง จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าบรคเข้าไปไม่ทันเวลาอะไรจะเกิดขึ้นกับบารอน สำหรับบรูคแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดถึงตัวเองเท่าไหร่ นิสัยชอบคิดถึงคนรอบข้างก่อนเป็นอันดับแรกแตกต่างจากบารอนอย่างสิ้นเชิง

“หลังจากที่ผมสอบได้ทุน ผมจะแบ่งเบาภาระพี่ได้เยอะ นี่ผมก็เริ่มงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ ได้หลายวันแล้ว เจ้าของร้านใจดีมาก” บาซิเรียสน้องชายคนกลางกำลังเล่าเรื่องของเขา คล้ายกับว่าจะเป็นการปรึกษาพี่ชายก็ไม่เชิง น่าจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตระหว่างครอบครัวมากกว่า

น้องชายของเขาอายุสิบแปดและต้องการคำชี้แนะ เพราะงั้นในมื้ออาหารเช้าวันนี้ของครอบครัวปาร์คเกอร์ จึงมีการพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ

“เยี่ยมเลย ถ้านายขยันทำงานจะได้มีเงินเก็บไว้สำหรับใช้จ่ายซื้อของที่อยากได้”

“ผมไม่อยากเป็นภาระของพี่ ถ้าช่วยได้ก็ถือว่าดีแล้วใช่มั้ยล่ะ”

“ฉันไม่เหนื่อยขนาดนั้นหรอกบาซร์ อันที่จริงถ้านายขยันเรียนให้คุ้มค่าเทอมนั่นจะเป็นการตอบแทนฉันอย่างดีเยี่ยม”

"ลูกต้องตั้งใจเรียนแบบพี่นะบาซร์" แม่เทน้ำส้มใส่แล้วและส่งให้ลูกชายทั้งสอง จากนั้นก็หั่นสเต๊กในจานและป้อนสามีที่เคลื่อนไหวเองไม่ได้คล่องแคล่วอย่างเช่นแต่ก่อน

“ว่าแต่ผมยังไม่เห็นซูซานเลย น้องไปไหนเหรอครับ” บรูคเอ่ยถามพร้อมกับชะเง้อคอหา บลูอายส์แม่ของบรูคใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเกตก่อนจะป้อนเข้าปากสามีแล้วถึงหันมาตอบลูกชาย “น้องไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียนตั้งแต่เช้า ได้เลือกเป็นตัวแทนแสดงบนเวที ถ้าลูกว่างก็กลับมาดูน้องนะ”

“งั้นเหรอครับ เยี่ยมเลย ถ้าผมลางานมาได้ผมจะมานะครับ ไม่พลาดแน่”

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกลูก เอาเป็นว่าถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เอาที่ลูกสะดวกดีกว่านะ งานผู้จัดการคงรับภาระเยอะเลยล่ะซิ” บลูอายส์ยิ้มกับลูกชายคนโตก่อนจะป้อนผักสามีต่อ

"ครับ...คงงั้น”

"ว่าแต่งานเป็นไงบ้างบรูค"

“ก็ดีครับพ่อ มันไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย ผมคงต้องพยายามกว่านี้อีกหน่อย งานใข้ความอดทนพอตัว” บรูคส่งยิ้มยืนยันกับพ่อของเขา รู้สึกผิดที่ต้องปิดบังบางอย่างกับพ่อ “แต่พ่อไม่ต้องห่วงกับผมนะ ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี”

“การเป็นผู้จัดการมันก็ต้องรู้จักรับผิดชอบ เป็นหัวหน้าที่ดีและเข้าใจลูกน้อง ลูกของแม่เก่งอีกหน่อยต้องได้เป็นผู้จัดการระดับสูงแน่” บลูอายส์ให้กำลังใจลูก

“ครับแม่...ผมก็คิดแบบนั้น"

บรูคไม่ใช่คนชอบโกหก แต่เขาไม่อยากจะพูดความจริงที่อาจจะทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ทีแรกเขาคิดว่าจะทำงานเป็นคนขับรถแค่ช่วงหนึ่งเพื่อรองานใหม่ แต่ว่า...สัญญาค่าจ้างที่ครอบครัวแคปรินคอร์นจ่ายให้มันเยอะยิ่งกว่าตำแหน่งผู้จัดการเสียอีก เขาจึงได้ทนทำต่อไป ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมีแต่เงินเท่านั้น เงินที่จะรักษาพ่อให้อยู่กับครอบครัวไปนาน ๆ

“ลูกอยู่ที่นั่นไม่ลำบากอะไรใช่มั้ย อย่าใช้จ่ายอย่างประหยัดจนลืมซื้อของดี ๆ ให้ตัวเองนะ" พ่อว่า

"ครับพ่อ เรื่องนั้นพ่ออย่าห่วงเลย"

"นั่นเพราะพี่เอาเงินไปลงขวดหมดแล้ว เพราะแฟนคนสวยทิ้งไป"

"บาซร์! ลูกไม่ควรพูดแบบนั้น" แม่เป็นฝ่ายปรามลูกคนกลางแทน เขาหันไปมองลูกชายคนโตที่ทำแค่ระบายยิ้มก่อนจะยกจานขึ้นไปเก็บที่ครัว



"มาแม่ช่วย..." บลูอายส์ตามบรูคเข้ามาที่ครัว จากนั้นก็วางจานลงไปในซิงค์ล้างเหลือบมองลูกชายที่กำลังถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า

“ลูก...เป็นอะไรหรือเปล่า”

"เปล่านี่ครับ"

"อย่าถือสาบาซร์เลยนะบรูค น้องแค่พูดเล่นไปอย่างงั้นเอง" บลูอายส์หันไปส่งยิ้มให้กำลังใจลูกชาย เขารู้ว่าบรูคของเขาจะเป็นคนใจดีและมักจะไม่ถือสาหาความใครเสมอ

“ดูลูกเหนื่อย ๆ มีเรื่องอะไรบอกแม่ได้นะ”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่เป็นอะไรเลย”

แต่บลูอายส์รู้ว่าบรูคมี...เพราะความเป็นแม่ที่สบตาลูกตั้งแต่ลืมตา และลูกไม่มีทางปิดบังคนเป็นพ่อแม่ได้ แต่ว่าบลูอายส์ก็ไม่เคยคาดคั้นบรูค เขารู้ว่าสุดท้ายถ้าลูกสบายใจที่จะเล่า คงจะเล่าออกมาเอง

“แล้วเป็นไงบ้าง เริ่มต้นชีวิตใหม่กับงานใหม่และเมืองใหม่ ชีวิตเข้าที่เข้าทางดีมั้ย”

“ครับ ทุกอย่างไม่มีอะไรที่น่าห่วง ผมเข้ากับที่ใหม่ ๆ และปรับตัวได้ไวแม่ก็รู้”

“เราไม่ได้คุยกับลูกเลย แม่ห่วงว่าหลังจากที่ลงหลักปักฐานที่เซนเตอร์โอเวิลแล้วลูกอาจจะเกิดปัญหา ไม่มีอีฟลินแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่าลูกจะยังไงบ้าง” บลูอายส์ล้างจานด้วยน้ำยาล้างและส่งให้บรูคล้างน้ำเปล่า

ที่โอเวิลแบ่งออกเป็นหลายฝั่ง มีนอร์ท นอร์ดิก อีสเทิร์นและเซนเตอร์ ที่เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ของโอเวิลซิทตี้

“จะว่าปรับตัวครั้งใหญ่ในชีวิตผมก็คงใช่ ที่นู่นเต็มไปด้วยคนหรูหรา มนุษย์ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มีอำนาจ มีบารมีและคำพูดจาที่ไม่เข้าหู แม่ต้องไม่เชื่อแน่ว่าแต่ละวันผมเจอแต่คนประหลาด ๆ”

“พนันได้ว่าไม่ดีเท่าไหร่”

“ก็นั่นแหละครับ เซนเตอร์โอเวิล...แปลกที่สังคมพวกเขาเหมือนอยู่คนละโลกกับผม โลกที่เต็มไปด้วยคนชอบโกหกหลอกลวงซึ่งหน้า คนที่พยายามเหยียบหัวกันขึ้นไปเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนั้นอยู่ด้วยกันไปได้ยังไง มันจอมปลอมจะตายไป” คำพูดของบรูคทำให้บลูอายส์ขมวดคิ้วเข้าหากัน

"แม่คิดว่าลูกกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว บางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา"

"นั่นสิครับ ช่วงนี้ผม...ผมมีปัญหากับเจ้านายนิดหน่อย เขาเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจ" บรูคเริ่มพูด แต่ไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรมากนัก เขาหนีมาไกลขนาดนี้แต่ก็ยังคิดถึงเด็กคนนั้น บ้าชะมัด "ผมว่ามันตลกดีเหมือนกันที่เราจะทำผิดซ้ำซากแบบไม่สำนึก"

"เพราะเขาอาจจะไม่รู้ว่านั่นคือความผิด"

"นอกจากจะไม่มองว่าตัวเองผิดแล้ว ยังโทษคนอื่นด้วย และถ้าเป็นพวกเราต้องไม่ทำแน่ ๆ ครับแม่"

"เราเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกใครไม่ได้บรูค คนแต่ละคนถูกหล่อหลอมมาจากคนละสังคม คนละคำสอน คนละมาตรฐานชีวิต สิ่งที่ลูกทำได้ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงพวกเขา เพราะมันยากเกินไป" บลูอายส์เกือบจะเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกที่มองโลกในแง่ดีเสมอ บรูคชื่นชมแม่ของเขาแต่เขาจะเป็นแบบแม่ไม่ได้หรอก

“ผมก็แค่คิดว่าสักวันมันคงจะกลืนกินผม ผมจะมองเรื่องพวกนี้จนชินตาและทำตามอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี นั่นแหละที่ผมกลัว”

“แม่มั่นใจว่าลูกจะไม่เป็นแบบนั้น ลูกไม่มีวันถูกอะไรกลืนกินถ้าลูกมีคำถามเกี่ยวกับการกระทำที่ผิดของพวกเขาอยู่”

บรูคยิ้มติดตลกกับแม่ ในขณะที่ทั้งสองกำลังล้างจานในห้องครัว เสียงวิทยุคลื่นโปรดดังเข้าถึงในครัว เพลงเบา ๆ ในวันหยุดกับชีวิตเรียบง่ายเหมือนห่างไกลจากเขาไปทุกที เขานึกภาพตัวเองในเวลานี้ไม่ค่อยออก จนกระทั่งได้กลับมาสู่โลกของตัวเองอีกครั้ง

บางทีการละทิ้งชีวิตวุ่นวายก็คือการหันหลังให้มันชั่วคราว...

“มีสาวที่ไหนมาติดพันมั้ยเนี่ย ลูกชายแม่หล่อขนาดนี้”

“แม่!! ไม่มีหรอกครับ”

“แม่แค่ถามดูน่ะ ถ้ามีใครสักคนมาดูแลลูก แม่คงหายห่วง” ผู้เป็นแม่ยิ้มล้อจนอีกฝ่ายหน้าแดง เดาได้ไม่ยากว่าบรูคคงจะกำลังเขินอายที่จะพูดเรื่องนี้ ยิ่งอีกฝ่ายพยายามซ่อนรอยยิ้มไม่ให้เห็น ก็ยิ่งอยากจะรู้

“ไม่มีหรอกครับของแบบนั้น ตอนนี้ทำงานอย่างเดียวดีกว่า”

“ทำไมล่ะ?”

"ผมคือคนที่ผ่านความล้มเหลวในความรักแบบผม ความสัมพันธ์พวกนั้นมันเป็นแค่ขยะเท่านั้นแหละครับ"

"ไม่เอาน่าบรูค ลูกมีโอกาสเริ่มใหม่กับใครก็ได้ ไม่ว่าชีวิตลูกจะเคยล้มเหลวกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมากี่ครั้งก็ตาม"

"ถูกของแม่ เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมตั้งใจทำงานหาเงินให้ที่บ้านก่อนดีกว่าครับ มีเวลาให้พ่อกับแม่แบบเต็มที” บรูคพยายามยืนยันแบบนั้น แม้เขารู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มความสัมพันธ์ที่ดูเป็นไปไม่ได้ระหว่างคุณหนูบ้านรวยกับคนขับรถแบบเขา

“ลูกก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้อยู่กับลูกได้ไปตลอดชีวิต คู่โชคชะตาของลูกต่างหากล่ะ”

“ผมอาจจะไม่โชคดีแบบพ่อกับแม่...” บรูคยอมรับแบบไม่อะไรมาก เขาคิดว่าเรื่องของความสัมพันธ์คนบางคนไม่ได้เกิดมาโชคดีมีคนรักที่ดีล่ะมั้ง

บลูอายส์ไม่อยากให้บรูคพยายามทำเหมือนกับรับมือได้ทุกอย่าง ทั้งที่บางทีเขาคงแตกสลายอยู่ภายในไม่ให้ใครเห็น

“ถ้าลูกยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ไว้เจอคนที่ถูกใจก็มาบอกแม่แล้วกัน”

พอนึกถึงเด็กคนนั้นแล้วใจของเขาก็เหี่ยวเฉา คิดว่าหนีมาไกลถึงบ้านที่แสนอบอุ่นจะทำให้ใจสงบสุข ที่ไหนได้ เสียงและแววตาของบารอนในวันนั้นลอยเข้ามาไม่ยอมหยุด...

ไม่มีวันหยุดพักเลยจริง ๆ


- - - - - - -

Talk

น้องมาแล้ววววววววววววววว อัพรัวมากเพราะกลัวว่าคนจะไม่ชอบน้อง น้องน่ารักแหละแต่แบบติดความเป็นวายร้ายไปหน่อย น่าจะมีช่วงปรับแต่มันไม่ได้เป็นการปรับแบบตรงไปตรงมา ปรับทันทีเลย เพราะงั้นคาแลคเตอร์มันขัดกันแน่นอน

ป.ล. หากมีคำผิดขออภัยนะคะ



ขอเล่า

จริง ๆ แล้วต้นแบบคาแลคเตอร์ของบารอนน่าจะมาจาก เดรโก้ มัลฟอยค่ะ เราชอบความหย่อหยิ่ง ความยะโสอวดดี อีโก้เยอะขี้แกล้งและดูถูกคนของเดรโก้มาก เราว่ามันมีความเป็นอัตราลักษณ์ที่โดดเด่น เราจะเห็นความเป็นแคปรินคอร์นสูงมาก ทำแบบนี้ก็ยังคิดว่าตัวเองถูกเสมอ การเข้าข้างกันของพ่อลูกก็คือมีความเป็นเดรโก้สูง แต่เราพยายามตีความในความเป็นควีนของบารอนโดยนิสัยของเขา ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาเป็น แต่มันคือความเป็นของที่หล่อหลอมมา ส่วนบรูคก็คือคนธรรมดา ชนชั้นล่าง ครอบครัวที่บอกสอนและคุยกันตรง ๆ ส่วนบารอนมันไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเขาไม่สอนอะไรเลย แต่พวกเขาก็ไมไ่ด้มองว่าสิ่งที่ลูกทำมันเลวร้ายสำหรับเขา เขาจัดการได้ เขาดูแลได้ เหมือนกับว่าถ้าอะไรที่อยู่ในคอนโทรของพวกเขาก็คือมันไม่เลวร้าย

อย่างไรฝากน้องด้วยนะคะ T^T


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แต่ละประโยคของบรูคคือแทนใจไปหมดแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตามจ้า   :mew1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ แม่นาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
「 xv」

change (v.)

make or become different.



ผมดันประตูไม้โอ๊คบานใหญ่สีน้ำตาลเข้าไปก่อนจะส่งเสียงเรียกพ่อที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับเอกสารกองโตตรงหน้า เบื้องหลังโต๊ะทำงานพ่อเป็นภาพเขียนสีน้ำมันของผม ที่พ่อจ้างช่างศิลป์ฝีมือดีมาทำการวาดให้ รูปวาดนี้แสดงให้เห็นว่าสำหรับพ่อแล้ว ผมมีความหมายต่อเขาแค่ไหน

“พ่อครับ ผมว่าจะมาขออนุญาตพ่อไป...นอกเมือง”

“ว่าไงนะ...ลูกจะขอออกไปนอกเมืองเหรอ”

“ใช่ครับ พ่อว่างมั้ยครับ ผมมีอีกเรื่องจะคุยด้วย”

"สำหรับลูกพ่อว่าเสมอแหละบารอน” พ่อส่งยิ้มให้กับผม

พ่อเป็นผู้ชายคนเดียวที่มักจะทิ้งสิ่งที่ตั้งใจอยู่ตรงหน้าและให้ความสนใจกับผมเป็นอันดับแรก พ่อของผมเป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิตชิ้นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมคอมพิวเเตอร์ พ่อใช้เวลาทุ่มเทสร้างอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อปูทางให้กับผม พ่อคือผู้ชายที่ยอดเยี่ยม และในสายตาของผม เขาไร้ที่ติ

“นี่ก็ดึกแล้ว ทำไมพ่อยังไม่เลิกงานอีกครั้ง หอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วยงั้นสิ”

“ไม่เยอะหรอก พ่อต้องจัดการงานนิดหน่อย เมื่อกี้ลูกบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพ่อใช่มั้ย?” พ่อถามอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน ก่อนจะผายมือให้ผมนั่งลงที่โซฟาฝังตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา ภายในห้องทำงานของพ่อไม่มีอะไรเยอะแยะ มันเป็นห้องโล่ง ๆ ที่มีเพียงโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องปูด้วยพรมสีขาว ถัดจากโต๊ะทำงานเป็นเตาผิงขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นโซฟาหนังขัดเงาไว้สำหรับนั่งจิบกาแฟ

“เรื่องเมื่อวันไนต์คลับนะครับ” ผมห่อไหล่เล็กลง “ผมแค่อยากจะมาอธิบายให้พ่อเข้าใจ หมายถึงเขาใจบรู๊คไม่ใช่ผมนะครับ”

“ทำไมล่ะ ลูกสนใจบรู๊คด้วยหรือไง”

“ก็...เขาเป็นคนของผม ผมก็แค่อยากแสดงน้ำใจกับเขาแค่นั้นเอง” ผมรวบมือไว้ที่หน้าตัก ทุกครั้งที่ผมสบตากับเขา เขาจะสบตามองผมด้วยความตั้งใจเสมอ

พ่อเป็นคนที่มักจะให้ความสำคัญกับผมในทุกเรื่อง ถ้ามีอะไรที่จะเทียบกับความพิเศษในชีวิต ผมยกให้เป็นพ่อเท่านั้น

“พ่อไม่ได้ไล่เขาออกหรอกนะ อย่าห่วงเลย”

“ผมรู้ว่าพ่อไม่ใจร้ายกับเขา ผมรู้ว่าพ่อเป็นคนใจดี” ผมยิ้มและรู้ว่าพ่อจะไม่มีวันทำลายอนาคตของใครแค่เพราะผม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการเข้ามาที่ห้องทำงานของพ่อในวันนี้

“อันที่จริงแล้วเรื่องวันไนต์คลับ เป็นผมเองที่บังคับให้บรู๊คพาไปที่นั่น ผมอยากจะรู้ความจริงจากโอลิเวอร์ ผมเลยทำแบบนั้น”

“ทำไมล่ะลูก?”

“ผมอยากพิสูจน์ว่าครอบครัวเราไม่ใช่คนร้าย ผมอยากจะหาคำไปยืนยันกับแม็กทีสว่ามันไม่ใช่ความจริง และโอลิเวอร์น่าจะพอเรื่องนี้ว่ามันจริงแท้แค่ไหน ถ้าเกิดว่าเขาคบกับแม็กทีส ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องรู้เรื่องของ...เคย์ตัน” ผมจะไม่หลบตาในเวลาที่กำลังสารภาพทุกอย่างกับพ่อ ผมจะรับผิดความผิดของตัวเองด้วยความเต็มใจ

พ่อควรจะได้รู้ว่าผมทำอะไรไปบ้าง และผมไม่อยากให้เขาเข้าข้างผมเหมือนอย่างที่ผ่านมา

“ที่พ่อลงโทษบรู๊คไม่ใช่เพราะเขาพาลูกไปที่นั่น แต่เป็นเพราะเขาทำให้ลูกตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย พ่อจ้างเขาเป็นทั้งคนขับรถและบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกไปด้วย พ่อคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาเข้าไปช้าอีกนิด หรือขาดเซนในการทำงานอีกนิด ลูกจะต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น พ่ออาจจะติดคุกเพราะฆ่าโอลิเวอร์ตายพร้อมกับเผาไนต์คลับทุเรศนั่นสิ" พ่ออธิบายอย่างใจเย็น เขาไม่ได้มีความขึงขังในน้ำเสียง ผมสัมผัสได้ว่าพ่อไม่ได้มีเจตนารุนแรงกับอีกฝ่าย "เพราะงั้น...พ่อจึงจำเป็นต้องลงโทษเขา”

“ผมรู้ว่าบรู๊คมีส่วนผิดที่เขาไม่สามารถทำงานได้อย่างที่พ่อคาดหวัง แต่ถ้าผมไม่ขอให้เขาพาไปที่นั่นเรื่องมันก็คงไม่เกิดขึ้น”

“พ่อรู้ว่าลูกเองก็ผิด และลูกเองก็รู้ว่าเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก”

พ่อยกมือขึ้นลูบที่ปลายคางตัวเอง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันคล้ายกำลังค้นหาอะไรสักอย่างจากผม แต่ผมไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกผิดที่มันทำงานอยู่ในขณะนี้

มันคงจะดีกว่าถ้าเองก็จะได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้เหมือนกัน

“ผมผิดเองทั้งหมดเลยครับพ่อ ผมยอมรับมันแล้วและจะไม่กล่าวโทษใคร มันเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ผมคิดว่าผมเอาอยู่ ผมคิดว่าผมจะสามารถสยบทุกคนได้ เพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นราชินีโอเมก้า ผมควบคุมพวกอัลฟ่าได้ง่าย ๆ ” ผมเริ่มพูด ไม่มีความเสียใจสักนิด มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด “แต่ผมคิดผิดถนัด ถ้าบรู๊คไม่อยู่ตรงนั้น ผมก็อาจจะ...อาจจะไม่เป็นบารอนเหมือนอย่างตอนนี้"

“ลูกร้องไห้?”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้ร้อง แต่ผมเสียใจจริง ๆ ครับพ่อ” ผมสบตากับพ่อ ผมพยายามบอกให้ตัวเองไม่ร้องไห้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมาเจอกับความรู้สึกอันเปราะบางในยามนี้ แต่ส่วนลึกของผมมันบอกกับผมว่า

มันจริงที่บรู๊คบอก ผมรักและสนใจแค่ตัวเองเท่านั้น ผมทำทุกอย่างที่ต้องการโดยไม่สนใจเลยว่าใครบ้างที่ต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่ผมทำ

"ไม่เอาน่า ไม่ร้องสิลูกรัก..."

“ผมแค่...แค่เสียใจจริง ๆ ครับพ่อ”

ผมสบตากับดวงตาสุขุมของพ่อ ผมรับรู้ว่าเขาจะให้อภัยผมเสมอ ทุกครั้งที่ผมผิดพลาด ทุกครั้งที่ผมทำร้ายใครต่อใคร พ่อมักจะให้โอกาสผมในทุกครั้งในการเริ่มต้นใหม่ แต่ผมไม่เคยเห็นคุณค่าของมันเท่ากับครั้งนี้เลย...

“บรู๊คต้องมาเดือดร้อนเพราะผม ทั้งที่เขาพยายามที่จะห้ามผมและช่วยผมทุกวิถีทาง แต่กลับเป็นผมต่างหากที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สุดท้ายก็จบด้วยการสร้างปัญหาให้พ่อต้องตามล้างตามเช็ด...”

คำพูดของผมหายไป และพ่อก็เอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปกอด “มาหาพ่อมา...”

ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา พังทลายความเข้มแข็งของตัวเองจากสัมผัสที่อ่อนโยนของพ่อ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลอาบสองแก้ม และยิ่งคิดถึงคำพูดของบรู๊คผมก็ยิ่งรู้สึกบอบช้ำ เขาทำให้ผมรับรู้ว่าจริง ๆ ผมก็เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองมาตลอด

ทั้งเรื่องเจน เรื่องเคย์ตัน ผมไม่ได้รู้สึกผิดและที่ผมพยายามอยู่คือการแก้ต่างให้ตัวเอง ผมมันงี่เง่า

“ฮึก...เขาเกลียดผมแล้ว”

“โธ่ลูกรัก ไม่มีใครเกลียดลูกหรอกนะ”

“พวกเขาทุกคน และบรู๊คด้วย เขาทุกคนเกลียดผม” ผมร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กที่หัวใจสลายเพราะของเล่นชิ้นสำคัญหายไป ผมซบหน้าลงกับอกของพ่อ ฟูมฟายไม่เป็นภาษาและนี่คือครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลายคล้ายกับคนอกหัก

“ผมทำให้พ่อผิดหวัง ผมขอโทษครับ...”

“นั่นไม่จริงเลยลูกรัก...พ่อดีใจมากกว่าครั้งไหนด้วยซ้ำที่ลูกกล้าที่จะยอมรับความผิดของลูก และเมื่อเรารู้ว่าตัวเองผิด เราก็แค่ขอโทษด้วยใจจริง ไม่มีใครเกลียดลูกแน่นอนบารอน”

“ฮึก...”

“พ่อรู้ว่าเราเอาใจลูกมากเกินไป และมันเป็นเพราะเรารักลูก รักมากที่สุดเท่าที่ชีวิตของเราจะทำได้” พ่อจูบที่กลุ่มผมของผมจากนั้นก็ลูบฝ่ามือเบา ๆ ที่แผ่นหลัง

“ผมรู้ครับ ผมรู้ว่าพ่อรักผมมาก...”

“บารอน...เรื่องของเจน ลูกทำแบบนั้นจริงบารอน ลูกเกลียดเธอ พ่อรู้และลูกคึกคะนองเมื่อถูกจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์มอมเมา แต่เธอไม่ได้ตาย เธอหัวใจวายเพราะลูกผลักเธอตกบันได มันว่าจะตั้งใจหรือไม่ลูกทำแบบนั้นกับเธอ" พ่อว่าและนั่นทำให้ผมผละออก ผมสบตากับพ่ออีกครั้ง ดวงตาที่อบอุ่นและสุขุมทำให้ผมสงบลงช้า ๆ

“พ่อ...จะบอกว่าผมเกือบที่จะฆ่าเจน...”

“เคย์ตันไม่ใช่คนดีแบบที่ลูกบอกพ่อกับแม่ ครอบครัวของเขาลักลอบผลิตยาเสพติดไว้ที่โรงน้ำเชื่อมนั่น และนี่คือเหตุผลที่พ่ออยากให้ลูกเลิกคบกับเขา"

"อะไรนะครับ!! ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย"

"ก็ไม่แปลกหรอก เราไม่อยากให้ลูกผิดหวังกับความรักที่ลูกทุ่มเท แม้เราจะพยายามเตือนลูกแต่ลูกไม่เชื่อพวกเรา ลูกพยายามสนับสนุนเขาทุกอย่าง จนกระทั่งวันที่ลูกเป็นเจ้าภาพจัดงานปาร์ตี้ล้างบางอะไรนั่น พ่อถึงได้ทนไม่ได้ต้องเห็นลูกถูกคนพวกนั้นดึงลงไปในโลกที่สกปรก” พ่อจูบที่หน้าผากของผมซ้ำอีกครั้ง "พ่อเป็นคนแจ้งตำรวจเข้าไปจับเคย์ตัน และที่เขาไม่ได้ถูกตัดสินให้จำคุกเยาวชนนั่นเพราะเราอัปเปหิเขา โดยมีข้อเสนอว่าเคย์ตันจะไม่ให้ปากคำเป็นพยานที่ว่าลูกเป็นคนเซ็นต์ใบสั่งซื้อจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์เข้าไปในงาน และเขาจะเป็นฝ่ายรับมันไว้คนเดียว"

“พระเจ้า...หมายความว่า ผม...ผมกลายเป็นคนปล่อยยานั่นโดยไม่รู้ตัว"

“พ่อรู้ว่าลูกจะไม่มีทางรับมันได้ถ้าลูกรู้ความจริง สิ่งที่ลูกได้ยินจากใครมามันมีการผสมเติมแต่งทั้งนั้น พ่อคิดว่ามันถึงเวลาที่ลูกจะต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป”

ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมถึงได้โง่ขนาดนี้

"ครั้งสุดท้ายในชีวิตที่พ่อเห็นเขาน่าจะที่กรีก สุดท้ายเขาก็กลายเป็นเอเยนต์ค้ายาเสรีที่นั่น ชีวิตเขาสุขสบายและพ่อไม่อยากจะให้ลูกติดต่อเขาแม้แต่นิด พ่อจึงให้ทุกคนเก็บข่าวของเขาไว้ รู้หรือยังล่ะว่าเราต้องทำอะไรหลายอย่างเพื่อทำให้ลูกเติบโตโดยปราศจากสิ่งเลวร้าย"

เขาลุกขึ้นหลังจากที่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของผม หัวใจของผมที่เคยโหวงเหวงและหวาดกลัวในเรื่องของเจน ตอนนี้กลับได้รับการเยียวยา บางทีเรื่องของเจนไม่ใช่ความทรงจำเลวร้าย มันอาจจะเป็นความสงสัยและบาดแผลวัยเยาว์ที่ต้องการยารักษา

"ผมขอโทษที่ทำเป็นคนที่สร้างแต่ปัญหาให้ทุกคน ผมขอโทษที่ไม่เคยเชื่อพ่อกับแม่เลย"

"ไม่เป็นไรลูก ขอให้รู้ไว้ว่าเราเป็นครอบครัว เราจะไม่ทอดทิ้งกัน"

ผมปล่อยให้ตัวเองหลงลืมตัวตนของตัวเองในนาทีนั้นไม่ได้จริง ๆ ความจริงแล้วผมอาจจะมีปีศาจซ่อนอยู่ในตัวก็เป็นได้



...

มันน่าโกรธเหมือนกันนะที่บรู๊ค ปาร์คเกอร์ จัดงานวันเกิดโดยไม่บอกผมสักคำ เขากล้าดียังไงไม่รับสายผม!

ผมต้องเสียเวลาแวะซื้อเค้กพร้อมสั่งให้พ่อบ้านหยางโทรไปถามบรู๊คว่าพวกเขามีโปรแกรมอะไรกันในวันเกิด และแน่นอนว่าผมจะต้องทำทุกอย่างแบบแนบเนียน!

ครอบครัวปาร์คเกอร์จิตใจดีกว่าที่คิด พวกเขามาเลี้ยงอาหารกลางวันในวันเกิดของลูกชายที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแถวนอร์ทโอเวิล ซึ่งติดกับโบสถ์ที่มีชื่อว่ามารีอาร์

ผมถอดแว่นตากันแดดชาแนลสีชาคาดไว้บนศีรษะและถือถุงที่บรรจุกล่องคัพเค้กไปด้วยถึงสองถุง สวมชุดสีขาวลูกไม้ที่ดูน่าเอ็นดู หวังว่าชุดแบบนี้จะช่วยให้บรู๊คใจอ่อนน่ะนะ

ผมกับมารีน่าเดินเข้าไปยังสถานที่จัดงาน ซึ่งอยู่ในโรงยิมเล็ก ๆ ผมส่งเสียงทักทายบรู๊คไม่ว่าเขาจะตกใจหรืออยู่ในสีหน้าแบบไหนก็ตาม “ไฮ!! แหมนายนี่ร้ายนะ จัดวันเกิดไม่บอกฉันเลย”

“คุณหนู!!”

“ทำอะไรกันอยู่ กำลังสนุกกันเลยสินะ” ผมยิ้มทักทายกับทุกคนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะส่งถุงเค้กให้กับเด็กสาวคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายบรู๊ค แต่ก็ไม่ถึงกับเหมือนมาก

“นี่ฝากด้วยนะ ฉันเอามาให้”

“คะ?”

“คุณหนูคุณมาได้ไง” บรู๊ครีบเดินมาแย่งถุงเค้กจากมือของเด็กสาว เส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าขุ่นของเธอทำให้ผมพอจะเดาออกว่านี่คงเป็นน้องสาวของบรู๊ค ปาร์คเกอร์

“นั่นน้องสาวนายเหรอ สวยเหมือนกันนะเนี่ย"

"นั่นไม่ใช่ประเด็นนะ คุณมาทำอะไรที่นี่? "

"ถามได้ ฉันก็มางานวันเกิดนายไง นี่ฉันต้องลงทุนถามทางมาจากอาเลียมนะ นายนี่นิสัยแย่จริง ๆ นะ ทำไมไม่รับสายฉัน”

“ผมว่าคุณกลับไปดีกว่า!”

“ว่าไงนะ!! นี่ฉันเองนะ นายลืมหน้าฉันแล้วหรือไงบรู๊ค ปาร์คเกอร์!!" ผมฉีกยิ้มหน้าซื่อใส่เขา "มีมารยาทหน่อยสิ ฉันซื้อเค้กมาแจกในวันเกิดของนาย จะไล่ฉันกลับไปแบบนี้มันใจร้ายไปหน่อยนะ”

"ผมไม่ได้เชิญคุณมา..."

เหลือเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะพูดประโยคนี้กับผม ผมอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ แทนที่จะมีน้ำใจกับผมสักหน่อย นี่อะไร ไล่ผมแทบจะทันทีที่เห็นหน้า

“นี่บรู๊ค! ฉันไม่ได้อยากจะทำให้เสียบรรยากาศหรอกนะ แต่นายควรทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ฉันเป็นแขกของนายนะ”

“ผมต้องการความเป็นส่วนตัว...คุณควรจะเคารพสิทธิ์กันบ้าง”

“น้อย ๆ หน่อย นี่เป็นคำพูดที่ควรพูดหลังจากที่นายทิ้งฉันไปน่ะ!"

ผมชำเลืองไปทางด้านหลังของบรู๊ค มีคนสามสี่คนที่ยืนจ้องมองเราอยู่ และถ้าผมเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นสมาชิกในครอบครัวปาร์คเกอร์ เริ่มจากผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่บนวิลแชร์กับใบหน้าที่ยังดูหล่อเหลาแม้ร่างกายของเขาจะสั่น ผมเดาว่านี่คือพ่อของบรู๊ค ถัดมาคือผู้ชายที่ตัวสูง เส้นผมสีเทาแต่ดวงตาสีเข้ม ผมเชื่อเลยว่าพวกเขามีดวงตาที่สวยเหมือนกับผู้ชายคนนั้น ที่ผมเดาว่าคือแม่

ผมรีบเดินผ่านบรู๊คไปหาครอบครัวปาร์คเกอร์โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตจากเจ้าบ้าน และแสดงท่าทางเป็นมิตรด้วยการยื่นมือไปทักทายพวกเขาก่อน “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมบารอน แคปรินคอร์นครับ”

"เอ่อ...ครับ ผมบลูอายส์ ปาร์คเกอร์"

“เอ่อ...แม่ครับ พ่อครับนี่คือ...”

“ลูกเจ้านายของบรู๊คครับ” ผมรีบแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกของเจ้านายบรู๊คเพื่อทำให้พ่อแม่ของเขาไม่ต้องตกใจอะไรมาก

“ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณแคปรินคอร์น”

“ดีใจที่คุณจัดงานดี ๆ แบบนี้นะครับ ผมขอร่วมด้วยคนได้มั้ย?”

"ได้สิครับ ยินดีเลย"

"แม่!!! "

"เสียมารยาทน่าบรู๊ค..."แม่ของบรู๊คหันไปตำหนิลูกชายของตัวเอง ก่อนจะทักทายผมด้วยท่าทางอึกอักเล็กน้อย คุณบลูอายส์ส่งยิ้มทักทายผมก่อนจะหันไปทางผู้ชายตัวสูงผมสีเทาแบบเดียวกับบรู๊คที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ผมโน้มตัวลงไปเพื่อจับมือทักทายกับพ่อของเขา "ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณปาร์คเกอร์"

“ครับ...” และคุณปาร์คเกอร์ก็ยกมือกลับมาทักทาย

“ต้องขอบคุณที่คุณมา เราได้ยินมาว่าคุณแคปรินคอร์นดูแลลูกชายของพวกเราดีมาก” ผู้เป็นแม่ของบรู๊คกล่าวขอบคุณผม และสีหน้าของเขาก็ดูเป็นมิตรสุด ๆ คุณบลูอายส์เป็นโอเมก้าเพศชาย รูปร่างเล็กกว่าผมและหน้าตาไม่ได้ดูเลวร้าย เรียกว่าเป็นคนที่ดูดีแบบเรียบ ๆ มากกว่า

"ลูกชายของคุณเป็นคนดีมาก ไม่นึกแปลกใจเลยว่าเขาเป็นแบบนี้ได้เพราะใคร"

“ขอบคุณครับ เราภูมิใจในตัวเขามาก...ใช่มั้ยคุณผู้จัดการ”

ว่าไงนะ...



“ผู้...ผู้จัดการ?” ผมเลิกคิ้วกับคำนั้น แต่ดูเหมือนพ่อกับแม่บรู๊คจะไม่รู้สึกแปลกเลย เหมือนกับพวกเขารับรู้มาว่าลูกของพวกเขาดำรงตำแหน่งนั้น

“เอ่อคือ แม่ครับ ผม...”

“อ้อใช่! เขาเป็นหัวหน้าที่เก่งมากครับ ลูกชายของคุณเขาเป็นคนหัวไวและฉลาด” ผมยิ้มกลบเกลื่อนและพูดแทรกอีกฝ่าย บรู๊คหันมาสบตากับผมด้วยความละอายใจ

ไว้ฉันจะคิดบัญชีนายทีหลัง!

“เพราะอย่างงี้แหละครับ พวกเราถึงได้ภูมิใจในตัวเขามาก” คุณบลูอายส์หันไปยิ้มและลูบแขนของลูกชาย “เราพึ่งแจกอาหารให้เด็ก ๆ ไป คุณอยู่ทานด้วยกันก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวเราจะตั้งโต๊ะทานอาหารกันที่นี่เลย”

“เยี่ยมเลย ผมพลาดโอกาสนี้ไม่ได้แน่”

“แม่ครับ ผมขอเวลาส่วนตัวสักครู่...” บรู๊คเดินเข้ามาแทรกตรงกลางและยกมือขึ้นขอเวลาส่วนตัวกับแม่ของเขา จากนั้นก็รีบเขาดันไหล่ผมให้เดินออกห่างจากพวกเขามาเล็กน้อย

หมอนี่ทำอย่างกับผมเป็นเชื้อไวรัสอะไรสักอย่าง เดี๋ยวเจอดีแน่!!

“คุณไม่ควรอยู่ที่นี่...มารีน่าด้วย”

"งั้นฉันจะให้มารีน่ากลับ ไม่ต้องห่วงหรอก เธอไม่ถือถ้านายไม่ได้เชิญ"

"ผมหมายถึงคุณต่างหากล่ะ! " บรู๊คแสดงสีหน้าเครียดจัด ทำราวกับโลกจะระเบิดลงตรงนี้ ไม่สิ...เขาทำเหมือนผมคือระเบิดที่พร้อมฆ่าทุกคน แต่ขอโทษเถอะนะ ผมน่ะคือความสุขของทุกสรรพสิ่ง!

“หยุดไล่ฉันกลับบ้านสักทีนายโอเค๊! นายเนี่ยนิสัยไม่ดีจริง ๆ เลยนะ”

“ขอโทษนะ คำนั้นไว้บอกตัวเองครับคุณหนู”

“ฉันรู้ว่านายโกรธฉันนะบรู๊ค แต่ฉันก็มาหานายถึงนี่แล้วไง แถมยังซื้อเค้กมาแจกด้วย เห็นมั้ย?”

“คุณคือสิ่งสุดท้ายบนโลกที่ผมอยากเห็นในเวลานี้”

“ดี!” ผมสะบัดมือออกจากเขา รู้สึกเจ็บใจยังไงไม่รู้ ทำไมเขาถึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจผมนักนะ ผมมาถึงนี่แทนที่เขาจะดีใจ แต่เขากลับทำหน้ายังกับผมเป็นเจสัน วอร์ฮีส์ในหนังเรื่องศุกร์สิบสามที่จะเอาเลื่อยไฟฟ้ามาไล่ฆ่าเขาอย่างงั้นแหละ

“ถ้านายไม่พอใจที่จะให้ฉันอยู่ ฉันจะกลับ”

“ดีเลย ขอบคุณที่เข้าใจ”

“บรู๊ค! นายควรจะรั้งฉันแบบฉากหนังรักโง่ ๆ สิ นี่คือตอนที่นางเอกมาง้อพระเอก” ดูเขาทำกับผมสิ ไม่รั้งผมไว้ไม่พอแต่เขายังแสดงท่าทางเหมือนกับว่าเขาไม่แคร์ผมเลยสักนิด

"เสียใจด้วยที่พล็อตของเราไม่ใช่หนังรักผมไม่ใช่พระเอกและคุณก็ไม่มีทางได้บทนั้น สำหรับผมคุณคือหนังสยองขวัญ แบบผมต้องเอาชีวิตรอดอะไรประมาณนั้นน่ะ"

“ไม่ตลกเลยนะ นายจะโกรธอะไรฉันนักหนา... ฉันมาหานายเพื่อที่จะมาขอ...ขอโทษนาย”

“ผมไม่ได้อยากได้ และยิ่งกับวันของครอบครัวแล้วด้วย นี่รู้ตัวมั้ยว่าคุณทำให้ชีวิตผมยุ่งยากไปอีก!”

ผมพูดไม่ออก ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินในชีวิตใครขนาดนี้มาก่อน

“ผมรู้ว่าคุณต้องการอะไรและผมรู้ว่าคุณมาที่นี่ทำไม แต่วันนี้คือวันของครอบครัว การที่คุณมาไม่บอกผมทำแบบนั้นมันเกินไปหน่อย คุณควรจะรู้จักพื้นที่ส่วนตัวกันบ้าง” เขาเสยผมสีเทาและพ่นลมหายใจหงุดหงิด แต่ที่น่าหงุดหงิดคือผมรู้สึกใจเต้นแรงที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้เห็นมาสามวันเต็ม ๆ

“นี่บรู๊ค ฉันไม่ใช่ตัวปัญหานะ อีกอย่างฉันไม่ได้จะมาก่อเรื่องให้นายหรอกน่า"

"ที่ผ่านมาคุณพิสูจน์คำพูดนั้นจนผมเชื่อแล้ว"

"ไม่สร้างปัญหาใช่มั้ยล่ะ"

"ไม่! คุณคือผู้ก่อสงคราม ชนิดที่ว่าฮิตเลอร์คงแพ้ถ้าเขารบกับคุณ! "

คำพูดของเขามันฟังดูแย่จริง ๆ ทั้งที่ผมพยายามจะอธิบายทุกอย่างด้วยความใจเย็น แต่ดูเขาสิ เอาแต่เถียงผมทุกคำไม่ยอมหยุด และเชื่อเถอะว่าแม้แต่ภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกาก็คงเย็นไม่เท่าผมในตอนนี้

“ฉันรู้ว่าตัวเองทำให้ใครต่อใครเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้บทเรียนอะไรเลยนะจากเรื่องนั้นนะบรู๊ค”

“แล้วคุณได้อะไรล่ะ?”

“อย่างน้อยฉันก็ได้ความเย็นชาจากนายไง”

“คุณคิดได้แค่นั้นจริง ๆ งั้นสิ...” สิ่งที่เขาพูดทำให้ผมหายใจไม่ออก รู้สึกตัวเล็กลงและเหมือนกับแววตาเย็นชาของเขายิ่งทำให้ผมกระอักกระอ่วน

“อย่าน้อยฉันก็เลือกที่จะช่วยนายโกหกเรื่องงานของนาย ถ้าฉันไม่ช่วยพูดแล้วบอกความจริงไป ฉันอาจจะเป็นบารอนคนนั้นที่นายเคยบอก คนเห็นแต่ตัวที่พร้อมจะทำลายคนอื่น” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะเอานิ้วก้อยเกลี่ยที่นิ้วของเขาเบา ๆ “เห็นมั้ยว่าฉันไม่ได้เห็นแค่ตัวเอง ฉันเห็นใจนายนะ”

“อย่างคุณเนี่ยนะ...”

“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องวุ่นวาย ฉันจะมาแค่แจกขนมเค้กให้เด็กกำพร้าจากนั้นก็จะกลับเลย ทันทีเลยด้วย!”

“บารอน...” บรู๊คเม้มริมฝีปากและหันมาสบตาผมอีกครั้ง “ผมมากับครอบครัว และผมต้องการใช้เวลากับพวกเขาอย่างเต็มที่ ผมไม่มีเวลาดูแลคุณแน่ ๆ”

“ฉันดูแลตัวเองได้ สบายมาก” ผมพยายามยิ้ม แต่ข้างในรู้สึกแย่ชะมัดเลย

“บรู๊ค...รู้ว่านายยังไม่ไว้ใจฉันและคิดว่าฉันก็คือบารอนที่ร้ายกราจ ฉันไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่สำหรับวันนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่วุ่นวาย ฉันสัญญาจริง ๆ”

“ขอแค่อย่าสร้างปัญหาก็พอ พ่อกับแม่ผมไม่รู้ว่าผมเป็นแค่คนขับรถ และพวกเขาจะสบายใจกว่าถ้ารู้ว่าผมอย่างที่บอก”

“ฉันจะรูดซิปปาก สัญญา” ผมทำท่ารูดซิปที่มุมปากและโยนมันทิ้งไปข้างหลังเหมือนกับเป็นการสัญญาว่าเรื่องนี้จะถูกทิ้งเป็นความลับตลอดกาล


บรู๊คกับผมเดินกลับเข้าไปในงาน เขายอมให้ผมมาแจกอาหารที่ซุ้มของเขา แม้ว่าจะไม่พูดคุยกับผมและยังทำท่าไม่สนใจผมก็ตาม แต่ว่าอย่างน้อยแม่ของเขาก็ใจดีกับผมมาก เขาคอยดูแลและพูดคุยกับผมตลอดช่วงเช้าที่เราทำกิจกรรมกัน



- - - NEXT - - -

ออฟไลน์ แม่นาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
「 xv」change (1-2)

หลังจากที่เราแจกจ่ายอาหารกันเสร็จแล้ว ก็น่าจะเป็นคิวของผู้ดูแลมูลนิธิที่จะขึ้นมากล่าวคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ กับครอบครัวปาร์คเกอร์ในวันนี้ ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้านแล้วแม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันเลยทั้งวันเพราะมัวแต่ยุ่งกับการทำกิจกรรมหลายอย่างในวันนี้ แต่ผมสังเกตว่าเขามองผมอยู่ตลอด และนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่ดี

“คุณเอาลิปให้อาร์เธอสิ เขาไม่กล้าหอมใคร”

“ได้สิ มาเลย”

เสียงเด็ก ๆ หัวเราะดังออกมาจากบริเวณสนามเด็กเล่น ผมเห็นบรู๊คนั่งคุยกับเด็กอยู่ตรงนั้นมาสักพัก ผมยืนมองอยู่นานและลังเลว่าตัวเองควรจะเข้าไปดีมั้ย แต่แล้วก็คิดว่าอย่างน้อยผมก็ควรเข้าไปบอกเขาว่าผมจะกลับแล้ว

“เอาหอมอีก นี่ไง หอมได้แล้ว”

“คิคิ ขอบคุณค่ะ”

พวกเขานั่งล้อมวงเป็นวงกลม บรู๊คอยู่ตรงกลางมีเด็ก ๆ สามสี่คนรุมล้อมเขา ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยลิปสติกจากปากของเด็ก ๆ ที่น่าจะเล่นเกม One kiss กันอยู่ ผมหยุดยืนอยู่ไม่ไกลและไม่คิดที่จะรบกวนอีกฝ่ายมากไปกว่าส่งยิ้มให้กับพวกเขา

บรู๊คดูอบอุ่นและขี้เล่นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาในเวลานี้เหมือนพ่อผู้ใจดีเลย...

“คุณครับ มาเล่นด้วยกันสิครับ”

“ไม่...ไม่ดีกว่า พวกเธอเล่นไปเถอะ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นกวักมือเรียกผม

“ไปจับเขามาเลย คุณครับมาเล่นด้วยกันเถอะ”

"ไม่...ไม่ดีกว่า"

"มาเถอะครับ มานะ! "เด็ก ๆ วิ่งเข้ามารุมผม ผมทำหน้าไม่ถูกตอนที่พวกเขาเขย่ามือและคะยั้นคะยอให้ผมเข้าไปเล่นเกมกับพวกเขาด้วย บรู๊คอมยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขานั่งมองผมที่ถูกกลุ่มเด็ก ๆ วันแสบรากไปอยู่ที่ตรงกลางระหว่างเขา

“เล่นอะไรกันน่ะ...”

“จูบเจ้าชาย คนที่อยู่ตรงกล้าเป็นเจ้าชาย เขาจะให้เราจูบคนละหนึ่งที จนกว่าพื้นที่บนใบหน้าของเขาจะหมด”

“งั้นเหรอ” ผมยิ้มมองเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างผม เขาส่งลิปให้กับผมแล้วพยักหน้าเหมือนกับเชิญชวนให้ทำ

“คุณต้องทาปากก่อนนะ แล้วค่อยจูบเจ้าชายให้หน้าเขาเต็มไปด้วยลิป”

“ฉ...ฉันว่ามันไม่ดีเท่าไหร่มั้ง"

จะบ้าหรือไง ให้ผมจูบบรู๊คต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ

“จูบเลย เขาเป็นเจ้าชาย ถ้าเข้ามาเล่นด้วยกันแล้วคุณต้องจูบนะ”

“จูบสิคะ คิคิ”

เสียงเด็ก ๆ ร้องเชียร์พร้อมกับบอกให้ผมจูบแก้มเขา ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ในขณะที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลืออีกฝ่าย ทว่าเขากลับส่งยิ้มกลับมาไม่คิดที่จะช่วยพูดกับเด็กพวกนี้ให้เลย

“มาครับ ผมทาลิปสติกให้”

“หยุดนะ ไม่เอา! "

พอเห็นผมขึ้นเสียงดุ ทุกคนก็ขยับออกห่าง บางคนวิ่งไปหลบหลักบรู๊คและทิ้งให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ผมทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้สึกว่าตัวเองพึ่งจะทำร้ายจิตใจเด็ก ราวกับเหยียบตุ๊กตาหมีที่พวกเขาได้มาจากซานต้าทิ้ง

ให้ตายเถอะ ทำไมจะต้องมองผมแบบนั้นด้วย

“แค่จูบใช่มั้ย...จูบเดียวนะ งั้นทาก็ได้”

“เย้!!” เด็กสาวที่วิ่งไปหลบด้านหลังรีบวิ่งมาหาผมเมื่อได้ยินคำอนุญาตนั้น เธอทาลิปสติกสีชมพูลงบนริมฝีปากของผม และเดาว่ามันเลอะออกไปนอกขอบปากแล้วล่ะตอนนี้

“จูบเจ้าชายได้เลยค่ะ”

“...”

จูบเหรอ... ปกติเราก็จูบกันออกจะบ่อย ทำไมครั้งนี้ผมใจเต้นแรงกว่าทุกคนนะ...

บรู๊คนั่งหลังตรงมองผมด้วยแววตานิ่ง ๆ ที่ไม่แสดงออกไปทางด้านไหน ตกใจ รังเกียจ ดีใจ หรือตื่นเต้น ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ ผมถูกเด็ก ๆ ดันหลังให้เข้าไปใกล้กับบรู๊ค ผมประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ปกติผมไม่ใช่คนที่จะเสียความมั่นใจกับอะไรง่าย ๆ

ทำไมกัน...

“จูบแก้มเลย จูบเลยเจ้าชายจะโดนจูบแล้วเย้!!”

“จูบให้ไม่เหลือที่ว่างเลย พวกเราชนะเจ้าชาย!”

ผมค่อย ๆ ประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจูบที่ดูดดื่มหรือหอมหวานอะไร ทว่าหัวใจผมเต้นแรงเหมือนกำลังเสียการควบคุม แม้มันจะเป็นสัมผัสจาง ๆ แต่ผมกลับรู้สึกประหม่าเหมือนเด็กที่พึ่งจะเสียจูบแรกให้กับรุ่นพี่หรือใครสักคนที่แอบชอบมาตลอดหลายปี

นี่มันเกิดอะไรกับผม ...ความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันนะ

ทันทีที่ผมผละออกจากเขาอย่างอ้อยอิ่ง ร่างกายของผมชาไปหมด มันเหมือนมีกระแสไฟแล่นผ่านร่างกาย บรู๊คหันมาในเวลานั้นพร้อมกับใช้ริมฝีปากของเขาจูบกลับที่กลีบปากของผมเบา ๆ และนั่นแหละที่จู่โจมหัวใจผมอย่างจัง

“เย้...”

“เราชนะแล้ว ไม่มีพื้นที่บนหน้าของพี่เขาแล้ว”

เสียงเด็ก ๆ พูดคุยกันไม่ได้เข้าหัวผมสักประโยค แม้แต่เสียงปรบมือร้องเชียร์พวกนั้นก็ด้วย ผมจดจ้องมองดวงตาสีฟ้าขุ่นที่ไม่ได้มองมานานเกือบสามวัน มันทำให้ผมรู้โดยทันทีว่าผมโหยหาบรู๊ค ปาร์คเกอร์แค่ไหน



“เฮ้...อยู่นี่เอง นึกว่าหายไปไหน”

“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งตอนที่บรู๊คเอากระป๋องโคคาโคล่ามาทาบที่แก้วของผม เขานั่งลงด้านข้างและเท้าแขนไปด้านหลัง หลังจากที่ผมจูบบรู๊ค ผมก็รีบวิ่งหนีมาล้างลิปสติกออกจากปาก ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียการควบคุมได้ขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองใจเต้นจนแทบคลั่งเพราะเสียงร้องเชียร์จากเด็ก ๆ หรือเพราะริมฝีปากที่ไม่ได้สัมผัสกันมาหลายวันกันแน่!

“เหนื่อยใช่มั้ยล่ะครับ ผมเห็นว่าคุณวุ่นวายอยู่กับการแจกเค้ก”

“นิดหน่อยน่ะ”

“แม่ผมชมด้วยว่าอร่อยมากและฝากชมว่าคุณน่ารักมากด้วย”

“งั้นเหรอ แม่นายก็น่ารักเหมือนกัน...” ผมว่า “วันนี้เป็นวันเกิดแล้วทำไมไม่เห็นบอกกันเลยล่ะ”

“ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะอยากรู้”

มันน่าน้อยใจนะที่เขาไม่บอกผมเกี่ยวกับวันสำคัญของเขา ทั้งที่ผมคิดว่าเขาจะให้ผมเป็นคนพิเศษสุด ๆ ของเขาแล้วเสียอีก!

“ที่บ้านฉันเวลามีวันเกิดเราก็จะจัดปาร์ตี้กันเสียใหญ่โต คนทั้งเมืองจะร่วมแสดงความยินดีกับฉัน พ่อจะแจกการ์ด ออกไปเกือบร้อยใบ ฉันจะต้องไปยืนยิ้มให้กับแขกมากมายของพ่อและแม่ที่ฉันไม่รู้จัก” ผมจินตนาการถึงงานวันเกิดสุดยิ่งใหญ่ของตัวเองทุกปี “คนทั้งเมืองมาพร้อมของขวัญ และคำอวยพรแบบขอไปที การได้มาบริจาคข้าวของและจัดมื้ออาหารให้กับเด็กยากไร้ก็ไม่เลว ไม่สิ มันดีมากเลยแหละ”

“นี่เป็นธรรมเนียมของที่บ้านผมน่ะครับ พ่อเป็นคนเริ่มและมันก็สนุกดีนะที่จะทำแบบนี้ทุกปี”

“พ่อนายใช่คนที่...เอ่อ...นั่งวิลแชร์ใช่มั้ย” มันเป็นคำถามที่ดูอ่อนไหว ผมจึงระวังเป็นพิเศษ

“ใช่ครับ นั่นแหละพ่อผม เขาป่วยเป็นพาร์กินสันน่ะ แบบที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

“แต่เขายังดูดีอยู่เลย เผลอ ๆ สมัยหนุ่มเขาคงหล่อกว่านายแน่” ผมยิ้มล้อเลียนใส่อีกฝ่าย

“ไม่มีใครหล่อกว่าผมแล้วแหละ”

“หลงตัวเอง!” ผมหันย่นจมูกใส่คนด้านข้างกับคำพูดของน่าหมั่นไส้ของเขา แม้ว่าจะรู้สึกถึงความหลงตัวเองไปหน่อย แต่ผมก็รู้ว่านั่นก็เป็นเรื่องจริง

บรู๊ค (คนขับรถ) ของผม หล่อกว่าเห็น ๆ

“ผมเอาน้ำโคคาโคล่ามาให้ ดื่มสิชื่นใจนะ” บรู๊คยื่นกระป๋องน้ำอัดลมในมือมาให้ผม

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ดื่มน้ำอัดลม”

ผมกล่าวปฏิเสธเพราะน้ำอัดลมเป็นพิษต่อร่างกาย ดูไม่ออกเหรอว่าผมเป็นคนที่รักสุขภาพมากแค่ไหน ผมดูแลรูปร่างตัวเองเป็นอย่างดี

“แต่...ก็...ขอบใจนะ”

“สำหรับ?”

“น้ำอัดลมนี่ไงเล่า” ผมแกล้งพูดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ บรู๊คอมยิ้มล้อเลียนผมและนั่นทำให้ผมนึกถึงตอนที่ตัวเองเล่นเกม One Kiss กับเขา

“เดี๋ยวนี้คุณหัดขอบคุณในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้แล้วเหรอเนี่ย”

“ทำไมต้องตกใจแบบนั้นด้วย ฉันพูดแล้วมันแปลกตรงไหน” ผมอดที่จะหันไปประท้วงคนชอบแกล้งไม่ได้ บรู๊คกลั้นหัวเราะตอนที่ผมหยิกแขนเขาจนช้ำ หมอนี่ซาดิสท์หรือไงนะชอบให้ผมลงไม้ลงมืออยู่เรื่อย

“ผมไม่ได้ตกใจนะ โอ๊ย ผมแค่ภูมิใจต่างหาก!”

“ไม่ต้องมาพูดมากเลย!!” หยิกให้เขียวเลยบังอาจมาทำหน้าล้อเลียนผมได้ไง!!

“อะไรกัน โอ๊ย...ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่...โอ๊ย!! เจ็บนะครับ”

บรู๊ครวบข้อมือผมไว้ก่อนจะออกแรงดึงผมที่ทรงตัวไม่อยู่เซไปชนกับแผงอกของอีกฝ่าย เราสบตาสายตากันในระยะใกล้ชิดและบรู๊คกำลังส่งยิ้มที่ไม่ใช่การล้อเลียนแบบครั้งที่แล้วให้กับผม

“ปล่อยฉันได้แล้ว ไม่งั้นนายเจอดีแน่!”

“ผมแค่จะบอกว่า...ขอบคุณที่มาหานะครับคุณหนู”

“...”

“ขอบคุณสำหรับเค้กและก็เรื่องที่คุณช่วยปิดบังเรื่องนั้นด้วย ขอบคุณที่คุณไม่รังเกียจเด็ก ๆ พวกนั้น รวมทั้งขอบคุณที่คุณทำให้วันนี้ของผมวิเศษกว่าที่คิด”

“นายคงคิดว่าฉันจะเอาแต่สร้างเรื่องให้นายปวดหัวใช่มั้ยล่ะ”

“ถ้าจะให้ตอบแบบตรง ๆ ก็คงใช่”

“นายมันคือคนที่น่ารำคาญที่สุดในโลกเลยรู้มั้ย” ผมพูดออกไปอย่างงั้นและเขาก็รู้ว่านั่นไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิด บรู๊คจ้องตาผมเงียบ ๆ เขาเข้าใกล้ผมเลื่อน ๆ จนปลายจมูกแทบจะติดกัน ดีที่ผมหันหน้าหนีได้ทันไม่อย่างงั้นคงเผลอแสดงหน้าตาน่าเกลียดออกมา

ฟอด!!

จู่ ๆ เขาก็พุ่งเข้ามาหอมแก้มผม เราอยู่กันในที่สาธารณะนะ ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าผมจะสามารถระเริงรักกับคนขับรถได้ทุกที่หรือไง!

ฟอด

“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!”

ฟอด

“บรู๊ค!!”

ให้ตายสิพระเจ้า! เขาฉวยโอกาสนั้นหอมแก้มผมอีกเป็นครั้งที่สอง

“หยุดทำแบบนี้นะ เดี๋ยวคนมาเห็น”

“ผมหายโกรธคุณก็ได้ครับ ถ้าคุณจะน่ารักขนาดนี้”

“อ๋อเหรอ นี่คิดว่าฉันมาถึงนี่เพื่อมาทำให้นายหายโกรธงั้นเหรอ?” ยิ่งผมพยายามหันหน้าหนีเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ยิ่งไล่ต้อนจะหอมผมมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายผมก็หมดหนทางที่จะสู้ เขาจูบแก้มผมสลับกันสองข้าง หอมจนผมรู้สึกอ่อนแรงคล้ายกลับโดนดูดวิญญาณไปเลย

บ้าจริง ขนาดตัวเองโดนฉวยโอกาสผมยังมีหน้ามายิ้ม ปัญญาอ่อนที่สุด

“พอแล้ว นายออกไปให้ไกล ๆ เลยนะ ขอบอกให้รู้ว่าฉันไม่ได้มาเพื่อที่--”

ฟอด

เขาหอมผมอีกแล้ว!!

“หยุดได้แล้ว!!” ผมเอามือดันหน้าอีกฝ่ายออก มีอย่างที่ไหนมาหอมผมแบบนี้แล้วฉีกยิ้มไม่สะทกสะท้าน คนหน้าไม่อาย เขากล้าทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ “นายมันไอ้อัลฟ่าลามก”

“ส่วนคุณก็คือคุณหนูโอเมก้ากลิ่นบานาน่ามิลค์ที่น่ากินที่สุด”

เขารู้ได้ไง เจ็บใจชะมัด!

“อย่ามาพูดมั่วนะ ฉันไม่ใช่บานาน่าอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไม่จริงหรอก คุณจงใจใช้โลชั่นกลิ่นที่ผมเคยบอกว่าหอมมาวันนี้เพราะอยากถูกผมนัวเนียใช่มั้ยล่ะ”

“หยุดพูดจาหลงตัวเองสักที!” แม้ว่าตอนนี้ผมจะกำลังต่อว่าอีกฝ่าย แต่เขาคงเห็นว่าผมเผลอหลุดยิ้มออกมา เพราะงั้นเขาถึงได้จูบลงที่แก้มผมซ้ำ ๆ เหมือนกับว่าผมเป็นเจ้าตัวขนนุ่มนิ่มที่เขาอยากจะซุกหน้าใส่

มันบ้ามั้ยล่ะที่ผมยิ้มเพราะถูกขโมยจูบ!



“บรู๊ค พ่อกับแม่จะกลับแล้วนะ”

!!!

“ครับแม่!”

พระเจ้าเกือบไปแล้ว เผลอ ๆ คุณบลูอายส์อาจจะเห็นว่าผมกับบรู๊คกำลังอี๋อ๋อกันอยู่

“คุณบารอนอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันมั้ยครับ”

“อ๊ะ...คะ...ครับ” ผมรีบผละลุกขึ้นด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน และคนฉวยโอกาสก็หมดหนทางที่จะเอาเปรียบผม แม่ของบรู๊คส่งยิ้มสุภาพให้ผมอีกครั้งก่อนจะถามย้ำ “อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันสิครับคุณแคปรินคอร์น ผมอยากจะตอบแทนที่มาช่วยพวกเราในวันนี้”

“แต่แม่ครับ...ผมว่าจะกลับแล้วแหละ อยู่ทานข้าวเย็นด้วยไม่ได้หรอก”

“อ้าว...นึกว่าจำกลับค่ำ ๆ”

“นั่นสิ นายไม่อยากอยู่ทานข้าวกับที่บ้านก่อนเหรอ” ผมใช้ศอกกระทุ้งเอวเขา บรู๊คทำท่าอึกอักในขณะที่เหลือบมองผมด้วยแววตาประหลาดใจสุด ๆ

“ก็คุณ...อาจจะต้องรีบกลับ”

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย..." บรู๊คมากกว่ามั้งที่อยากจะกลับ ผมไม่พลาดที่จะได้รู้จักกับครอบครัวของบรู๊คแน่ และยิ่งคุณบลูอายส์บอกว่าจะทำให้อาหารให้ทาน ผมคิดว่ามันจะเสียมารยาทมากถ้าจะปฏิเสธ!

"คุณบลูอายส์ครับ ผมอยู่ฝากท้องด้วยสักมื้อได้มั้ยครับ”

“ด้วยความยินดีเลยครับคุณแคปรินคอร์น”

“แต่คุณหนูจะทานได้เหรอ อาหารที่บ้านผม...”

“เฮ! เสียมารยาทน่ะลูก” คุณบลูอายส์รีบพูดตอนที่เห็นว่าลูกชายของผมพยายามขัดขวางผมไม่ให้อยู่ทานมื้อเย็นกับครอบครัวปาร์คเกอร์

“ฝีมือผมอร่อยนะครับ ถ้าคุณอยู่ทานมื้อค่ำด้วยจะดีมากเลย เราจะได้ถามคุยเกี่ยวกับบรู๊ค อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างกับชีวิตที่นั่น”

“แม่อะไรเนี่ย?”

“ดีเลยครับ ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย” ผมตอบรับแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย ก็นี่เป็นวันเกิดของบรู๊คนี่นา เขาควรจะได้อยู่กับครอบครัวและไม่ต้องรีบกลับไปใช้ชีวิตในโลกที่วุ่นวายกับผม...

อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเขา เพราะงั้นผมจะยอมตามใจยรู๊ควันหนึ่งแล้วกัน



- - - - - -

Talk

ราชินีตัวน้อย ๆ มาแล้วจ้าาาาาาาาาาาาาาาาา บารอนมาแล้วววววววววว ฝากด้วยนะคะ ช่วงนี้กำลังใจหดหาย น่าจะเหนื้่อย ๆ ด้วย แต่จะพยายามเขียนงานออกมาให้ได้ เดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไปเย้ ^^

ป.ล มีคำผิดคำสลับขออภัยนะคะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ 5577

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆแล้ว

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
รออ่านอยู่อีกนะคะ

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
รออ่านอยู่อีกนะคะ

ไปค้นมา  เหมือนผู้แต่งจะออก ebook ไปแล้วคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด