พิมพ์หน้านี้ - Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: แม่นาย ที่ 12-06-2019 16:06:36

หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 12-06-2019 16:06:36
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


Ω You're my Omega  เป็น(ของ)คุณคนเดียว

Intro ; ในวัยยี่สิบหก สถาปนิกหนุ่มอย่าง บรูค อินเดีย ปาร์คเกอร์ ต้องมาตกงาน หนำซ้ำยังถูกแฟนทิ้งไปไม่ใยดี
พ่อของเขาป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน และภาระค่าใช้จ่ายในบ้านก็เยอะ เพราะฉะนั้นงานเดียวที่จะทำให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว...
คือการเป็นคนขับรถให้กับ บารอน แคปรินคอร์น ผู้ที่ได้รับเลือกจากชะตาให้เป็นราชินีโอเมก้า ลูกชายของตระกูลใหญ่ (ราชวงศ์) แห่งโอเวิล 



- - - - - - - - - - -

*
'ฉันต้องการเจ้าชาย... ไม่ใช่คนขับรถตกงานแบบนาย'
'ถ้ายังว่าผมอีกที ผมจะกระแทกให้แรงกว่าเดิม! '
'อื้อ...บะ...เบาหน่อย! '
'ผมเป็นอัลฟ่านะเผื่อคุณลืม'


- - - - - - - - - - -


- C O N T A C T -
Fanpage  - [https://www.facebook.com/themom9 (https://www.facebook.com/themom9)]
Twitter - @9_themom
Tag - [#ยูอาร์มายโอเมก้า]

in line Alpha Services  Read it before => [https://bit.ly/2KK33eE (https://bit.ly/2KK33eE)]


INDEX
[/b]

Intro (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3982381#msg3982381)
[/glow]
  Frantic (1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3983418#msg3983418)
[/glow]
  [ii] Mischievous  (1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3983629#msg3983629)
[/glow]
  [iii]Antagonist(1) (https://thaiboyslove.comhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3984570#msg3984570)
[/glow]
  [IV] Furious  (1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3985180#msg3985180)
[/glow]
  [IV] Furious  (2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3985182#msg3985182)
[/glow]
  [ⅴ ] satisfy (1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3986427#msg3986427)
[/glow]
「 ⅵ 」 Wicked  (1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3986882#msg3986882)
[/glow]
「 ⅵ 」 Wicked  (2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3986883#msg3986883)
[/glow]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3987906#msg3987906
「 ⅷ 」Lust (1-2)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3986883#msg3986883)
[/glow]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3989071#msg3989071
「ix 」 Plan(1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3986883#msg3986883)
[/glow]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3989926#msg3989926
「 ⅹ 」 love (1-2)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3990483#msg3990483)
[/glow]
「 ⅺ 」(1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3990662#msg3990662)
[/glow]

「 ⅻ 」Attractive (1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3992517#msg3992517)
[/glow]
「 xiii 」Dangerously (1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3992896#msg3992896)
[/glow]

「 xiv」Soulmate (1-2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70516.msg3993100#msg3993100)
[/glow]
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) You're my Omega เป็น(ของ)คุณคนเดียว
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 12-06-2019 16:51:21
หืม...พ่อเป็นพาร์คินสัน
วงวาร~~~ เกิดอะไรขึ้นหนอ

ปล.คนดุเจอคนแซ่บ...ท่าทางจะไม่ธรรมดา~~~ อิอิ
หัวข้อ: (Omegaverse) You're my Omega เป็น(ของ)คุณคนเดียว ; Intro (13.6.19)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 13-06-2019 23:21:12
Intro
[/b][/size]
Mr. Brook india Parker  and...

Mr.Baron Delacour Crapikron
[/i]

(http://image.free.in.th/v/2013/tp/190613042013.jpg)




“ว่ากันตามตรงนะ ชุดที่นายใส่มาทำงานมันดูไม่ได้”

เสียงของคุณหนูแห่งบ้านแคปรินคอร์นเอ่ยขึ้น หลังจากที่บรูคกำลังยืนเช็ดรถเสร็จแล้ว เขากำลังเตรียมขับออกไปส่งบารอน เดอลากู แคปรินคอร์น ลูกชายคนเดียวของเจ้านายเขา

บรูค อัลฟ่าหนุ่มผู้ที่ตอนนี้มีอาชีพเป็นคนขับรถและดูแลคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนจากตระกูลเก่าแก่แสนสูงส่ง แห่งโอเวิลซิทตี้

ชายหนุ่มวัยยี่สิบหก หันมามองหน้าเจ้านายของตนเองโดยไม่สื่อสารสิ่งใด ไร้คำพูด ไร้การเจรจา เขาทำแค่มองเด็กน้อยวัยสิบหกที่ยืนกอดอกอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเอกชน ชุดที่มีราคาแพงเกือบเท่ากับเงินเดือนของเขาทั้งเดือน!

เหอะ...พวกมีเงินก็เป็นอย่างงี้แหละ

“อะไร! มองหน้าฉันทำไม?”

เจ้าของเรือนผมสีแดงเอ่ยถาม บรูคพยายามส่งยิ้มไปให้คุณหนูจอมเหวี่ยง แต่อีกฝ่ายไม่มีทางเป็นมิตรกับคนขับรถแบบเขาอย่างแน่นอน

สิ่งหนึ่งที่ บรูค ปาร์คเกอร์ ผู้มีชื่อกลางเป็นเหมือนกับยายทวดของเขา บอกกับตัวเองเสมอคือเขาจะต้องไม่ยอมแพ้และต้องมีความอดทนต่อคำพูดจาของบารอน เพราะอีกฝ่ายแสดงออกว่าชัดว่าไม่ชอบเขา...ไม่เคยชอบ

และแม้เขาจะขับรถรับส่ง ทำตามคำสั่งอีกฝ่ายแค่ไหน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผล

“จะไปโรงเรียนได้ยังหรือยังครับ เดี๋ยวจะสาย” ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำ ขืนพูดมากก็คงตัดอนาคตตัวเองทางด้านการเงิน... อย่างน้อยพ่อของบารอนก็จ่ายค่าจ้างรายเดือนให้เขาค่อนข้างสูง

ดูเหมือนงานคนขับรถจะเป็นงานเดียวที่สร้างรายได้ให้กับเขา ผู้ที่เป็นความหวังของครอบครัว พ่อของเขาป่วยและอย่างน้อยเขาก็ยังมีเงินและงาน เพราะตอนนี้ไม่มีตัวเลือกเลยสักทางกับชีวิตที่จมมุม เขาตกอับและกลายเป็นผู้ชายว่างงานอยู่สองเดือนเต็ม ๆ

“นี่! อย่าคิดว่าพ่อฉันไว้ใจนายแล้วจะมาทำหน้าแบบนี้ใส่ฉันนะ” บารอนปิดประตูรถแล้วจ้องหน้าคนขับรถของตัวเองด้วยสายตาดูแคลนแบบที่ชอบทำ

รอยยิ้มเย้ยหยันกลายเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าสง่างามนี้ไปเสียแล้ว “ทำไม...มองหน้าฉันทำไม”

“ก็คุณเคยบอกว่าเวลาคุณพูดให้สบตาคุณนี่...ผมทำอะไรผิด”

บรูคว่าไปตามตรง...

“อย่ามายอกย้อนนะ!! ”

“ผมเหรอจะไปกล้าทำแบบนั้นกับคุณหนู”

“นายกวนประสาทฉันเหรอ!! ” บารอนกล่าวแล้วชกเข้าที่อกของบรูคเต็มแรง

“ฉันไม่ชอบให้นายมาต่อปากต่อคำกับฉัน นายเป็นแค่คนขับรถ”

และบรูคเองก็ไม่ชอบที่ถูกเด็กวัยสิบหกคอยแต่จะดูแคลนเขา ราวกับเขาเป็นพวกเศษดินติดรองเท้า ซึ่งต่อให้พูดไปอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจ หลายครั้งที่ชายหนุ่มไม่พูดอะไรและจำใจที่จะต้องอยู่ในสถานะโง่ ๆ นี่เพื่อทำงานแลกเงินต่อไป

ตอนนี้เศรษฐกิจของเมืองย่ำแย่ เขาตกงานเกือบสองเดือนกว่าจะได้งานนี้ด้วยการขอความช่วยเหลือจากเลียม แก๊บบี้ แฮริงค์ตัน เจ้านายเก่าของพ่อเขา

“ผมรู้ครับ หน้าที่ของผมน่ะขับรถ ทีนี้จะขึ้นรถได้หรือยัง”

“กล้าออกคำสั่งเหรอ?” ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็น 'ราชินีโอเมก้า' ตวาดเสียงดัง ก่อนจะถามว่า... “เอาล่ะ เอาของฉันขึ้นรถได้แล้ว”

“ผมเอาขึ้นเรียบร้อยแล้วครับ”

“กล้าดียังไงมาเอาขึ้นก่อนฉันสั่ง” และบารอนก็ตวาดด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ อีกครั้ง “ฉันสั่งเท่านั้นถึงทำ!! ”

เด็กวายร้ายนี้มันน่าบีบคอเสียจริง ๆ

“คุณจะไปสายเพราะมัวแต่มาเจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่องนะครับ”

“ขอบอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาเร่ง ฉันรู้จักหน้าที่ของตัวเองดีเพราะงั้นช่วยอยู่แค่ในขอบเขตที่ฉันวางไว้ด้วย”

ดูเหมือนว่าบารอนไม่ชอบให้โอกาสใครรอบสอง เขาเป็นคนขี้หงุดหงิดและชอบโวยวาย ติดจะเอาแต่ใจไปหน่อย และมักจะทำตัวไม่น่ารักสมกับหน้าตาเอาเสียเลย แต่ว่าอย่างหนึ่งที่บรูคปฏิเสธไม่ได้เลยคือเขาเองก็ไม่เคยเห็นใครดูดีเท่ากับบารอนมาก่อน อีกฝ่ายงดงามและล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ

ใบหน้าเล็กรับกับเครื่องหน้าที่พอดิบพอดีจนมันลงตัวไปหมดทุกอย่าง เรือนผมสีแดงเข้มยิ่งทำให้ผิวน้ำนมดูโดดเด่น ริมฝีปากอิ่ม ๆ ที่ดูเซ็กซี่เข้าไปอีก...

หลายครั้งที่เขาเผลอจินตนาการไปว่าถ้าริมฝีปากนี่ถูกประทับด้วยจูบจะเป็นอย่างไร ที่แน่ ๆ มันคงดีกว่าการที่บารอนพร่ำบ่นถ้อยคำไม่น่าฟังพวกนี้...

“ครับ...คุณบารอน ผมก็อยู่ในขอบเขตของผม มีแต่คุณนั่นแหละที่ล้ำเส้นผมเหลือเกิน”

“วะ...ว่าไงนะ”

“ผมเป็นลูกจ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะกดหัวผมลงกับพื้นแล้วพูดจาดูถูกกันอย่างไรก็ได้นะ” บรูคเดินเข้าไปใกล้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะถอยเท้าหนี แต่สีหน้าไม่แสดงความหวาดหวั่น

บารอนก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นเด็กวัยสิบหกที่โตเกินอายุ!

“อย่าให้ผมต้องสั่งสอนคุณเลยคุณหนู คุณอยู่เป็นราชินีโอเมก้าที่น่ารักน่ะมันดีแล้ว”

คนขับรถหนุ่มส่งยิ้มให้ และนั่นก็เป็นเหมือนกับการเตือนด้วยวาจาเสียมากกว่า

“อย่ามาใช้คำว่าน่ารักกับฉันนะ!! ” บารอนเม้มริมฝีปากและใช้นิ้วจิ้มไหล่อีกฝ่าย “อีกอย่าง ขอสั่งให้ถอนออกไป”

“กลัวผมเหรอ?” เขายิ้มยิงฟันถาม

“ถ้านายกล้าเข้ามาใกล้ฉัน ฉันจะต่อยที่เป้าของนาย”

“ว้าว...กลัวว่าจะเปลี่ยนจากต่อย เป็น...กำน่ะสิ”

ที่จริงบรูคไม่ใช่คนกวนประสาท แต่เพราะราชินีตัวน้อยตรงหน้าเขามันน่าหมั่นไส้ที่หนึ่ง มีอย่างที่ไหนมายืนด่าเขาฉอด ๆ แล้วยังเชิดหน้าเชิดตาอยู่แบบนี้

“หยะ...หยาบคาย!!! ”

 “คุณนะน่ารักนะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นบารอนก็เบ้ปากและเหมือนกำลังตั้งใจฟังคำชมของบรูค

อันนี้เขาชมจริง ๆ ไม่ใช่ประชด แต่ดูท่าว่าบารอนจะไม่คิดแบบนั้น อีกฝ่ายกัดกรามเสียงดังเพื่อพยายามข่มอารมณ์ตัวเอง “แต่ว่าคุณน่ะ...ไม่น่าเข้าใกล้เลย ยังกับพายุร้าย ๆ ที่คนพาลแต่จะวิ่งหนี”

“ไม่จริงหรอก มีแต่คนอยากอยู่กับฉัน อยากเป็นส่วนหนึ่งของฉัน ให้ความสำคัญกับฉัน” บารอนเชิดหน้าขึ้น หลงคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นราชวงศ์แห่งโอเวิลจริง ๆ ทั้งที่นั่นแค่การยกย่องและเปรียบเปรยตระกูลเก่าแก่ของเขาเท่านั้น

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณคือคนจากแคปริคอร์น...” และบรูคก็อดที่จะปรามอีกฝ่ายไม่ได้

เนื่องเพราะความคิดของเด็กน้อยมันช่างพิลึก บางทีอาจะเป็นเพราะโลกของพวกเราแตกต่างกันราวกับคู่ขนานก็ไม่รู้เหมือนกัน... “พนันได้ว่าพวกนั้นหาทางล้มคุณลงกับกองกับพื้นเหมือนกับทรายดูดลงไปก้นบึ้งของพื้นพิภพแน่ ๆ”

“นี่มันจะมากเกินไปแล้วมั้ง!”

ราชินีน้อยร้องโวยวาย สีหน้าบ่งบอกถึงความอยากจะบ้ากับคำพูดของบรูค!!

“แต่คุณก็ยังดูน่าเอ็นดูนะ เหมือนพวกลูกแมวขนฟูสีขาว ทำท่าสง่างามแต่ความจริงน่าเบื่อ”

“วะ...ว่าฉันเป็นสัตว์เหรอ” ราชินีน้อยถึงกับเอามือทาบอกด้วยความตกใจ เขาไม่ใช่พวกชอบใช้ถ้อยคำต่อว่าใคร แต่บางทีกับบางคน บรูคคิดว่าสมควรโดนบ้าง

“คุณหนู คุณไม่รู้หรอกว่าสัตว์พวกนั้นนะมันน่ารักกว่าคุณเยอะ”

"!!!"

เขารู้ว่าเด็กคนนี้แสบและพร้อมที่จะแสดงอำนาจ เพราะบารอนเป็นพวกคลั่งไคล้ตัวเองแบบฝังหัว เพราะเชื่อว่าตัวเองวิเศษกว่าทุกคน และบรูคก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดผิดสักนิด ถึงจะชอบหรือไม่ อย่างไรเสียบารอน เดอลากู แคปรินคอร์น ก็กลายเป็นเจ้านายใหม่ของบรูค อินเดีย ปาร์คเกอร์ไปแล้ว และไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่เขามี

สุดท้ายชีวิตของคนตกงานแบบเขาก็เลือกอะไรมากไม่ได้หรอก และความอดทนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบรูค ปาร์คเกอร์ไปเสียแล้ว



 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

Talk

ฝากนะคะฝากเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย น้องบารอนตอนเริ่มต้นมาแล้ว แต่รับประกันความแซ่บและแสบของน้องมาก ๆ ใครชอบสายเคะหยิ่ง ๆ ตัวบางร่างน้อยเชิญจ้าาาาาาาาาาา ทางนี้สาย Fem ^^





หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [Intro] - Jun 13,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-06-2019 00:13:04
 :pig4:
 :L1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [i] Frantic (1-2) - Jun 13,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 17-06-2019 21:48:36
「 ⅰ 」(1)

  .... Frantic

frantic (adj.) Distraught with fear, anxiety,

or other emotion.
[/i][/b]
(http://upload.sodazaa.com/images/2019/06/18/IMG-6605.md.jpg) (http://upload.sodazaa.com/image/iVDgl)



4 เดือนก่อน


ชีวิตคนเรามันเลือกไม่ได้มาก มันไม่อะไรยุติธรรมอยู่แล้วบนโลกใบนี้ แม้เราจะเกิดมาในยุคที่ไร้ซึ่งการเป็นทาส แบ่งชนชั้นหรือประชากรที่ลดน้อยถอยลงแบบสมัยก่อน แต่ว่า...ทุกยุคสมัยก็ยังขับเคลื่อนด้วยเงินที่ใช้เลี้ยงปากท้อง

บรูค คือชื่อของเขา เขาเป็นลูกชายคนโตและครอบครัวมีกันอยู่ห้าคน น้องอีกสองคนอายุห่างจากเขาสี่และหกปี

เขาอยู่ในยุคที่เหล่า อัลฟ่า เบต้าและโอเมก้ามีความเท่าเทียมกันและอัลฟ่าอยู่ในช่วงที่ประชากรน้อยลงกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า สวนทางกับความทันสมัยที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้น ยุคนี้เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่จะก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ ลองนึกภาพที่อะไรต่ออะไรก็สะดวกสบายแค่เพียงปลายนิ้ว ผู้คนเริ่มใช้เครื่องมือที่เรียกว่าอิเล็กทรอนิกส์กันเยอะขึ้น ต่างพากันหันหน้าไปพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่าจักรกลราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

อะไร ๆ คนก็อาศัยความสะดวกจากปลายนิ้วสัมผัสหรือที่หน้าคอมฯ จองตั๋วท่องเที่ยว จ่ายบิลค่าน้ำค่าไฟ ค่าที่พัก ทำธุรกรรมโอนเงิน จ่ายเงินก็ใช่ผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือ

ยอมรับความทันสมัยมันดี แต่มันคือดาบสองคม ซึ่งในยามนี้มันหันปลายแหลมเข้าทิ่มแทงเขาอย่างเห็นได้ชัด

เขาเป็นสถาปนิกที่รับจ้างออกแบบห้องและตกแต่งห้องกับบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เขารับหน้าที่ดูแลลูกค้าและให้คำแนะนำในการตกแต่งภายในของห้องและตัวบ้าน ส่วนใหญ่หน้าที่ของบรูคก็คือให้คำปรึกษาและเขียนแบบโครงสร้างส่งให้กับลูกค้า ...แต่แล้ววันหนึ่ง ไอ้ความทันสมัยนั่นก็หลอกล่อให้มนุษยชาติเข้าไปติดกับ

ทุกคนพึ่งพาการออกแบบโดยจอสัมผัส ทั้งโครงสร้าง การตกแต่งแบบสำเร็จรูป รวมถึงงบประมาณต่าง ๆ โปรแกมสำหรับออกแบบบ้านอัตโนมัติ ที่บริษัทนำมาใช้ทำให้ประหยัดต้นทุนในการจ้างสถาปนิกในองค์กรอย่างมาก เมื่อเงินทุนของนายจ้างมีจำกัด ทรัพยากรจึงถูกกำจัด...

และในฐานะที่บรูคคือลูกชายครอบครัวปาร์คเกอร์ เขาจึงเปรียบเสมือนกับหัวหน้าครอบครัวอีกคน มีหน้าที่หาเงินเข้าบ้าน และนับว่าบรูคเนี่ยแหละเป็นแหล่งรายได้หลัก แต่จู่ ๆ ก็เกิดกลายเป็นว่าเขาตกงาน... นายจ้างลดจำนวนสถาปนิกในองค์กรไปเกือบครึ่ง ลงทุนใช้ปัญญาจักรกล หรือ AI เข้ามาทำหน้าที่แทน ผู้คนออกแบบบ้านโดยปลายนิ้วสัมผัสดีกว่าเสียเงินจ้างคนมาออกแบบแล้วก็ได้ในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ

ก็อย่างว่า พวกเครื่องจักรมันไม่เรียกร้อง ไม่มีปากเสียง ไม่ต้องจ่ายโบนัสหรือสวัสดิการอื่น ๆ พวกมันทำตามคำสั่งแบบไม่ขัดใจ

เมื่อสองเดือนก่อนเขาตกงาน ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทออกแบบต้องการลดพนักงานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นสถาปนิกที่กินเงินเดือนเยอะแบบเขาเพราะมากไปด้วยประสบการณ์จึงกลายเป็นเป้าหมายหลัก แทนที่บริษัทจะเห็นถึงประโยชน์ของเขา แต่กลับเพ่งเล็งเขาเป็นคนแรกเสียอย่างนั้น

นั่นทำให้บรูคในวัยยี่สิบหกต้องออกมาพร้อมกับซองขาว ซึ่งเป็นเงินชดเชยในการจ้างออก เงินในนั้นก็เป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะใช้ไปได้ตลอดไปเสียที่ไหน...

หากเขามีภาระมากมายที่จะต้องใช้จ่าย เงินจำนวนอยู่ไม่ถึงสองเดือนก็คงหมดแล้ว



บรูคไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปบอกกับที่บ้าน เขาคิดว่าตัวเองหาทางแก้ปัญหาพวกนี้โดยไม่เอามันไปทำให้คนที่บ้านคิดมาก เขามักจะห่วงใยพ่อกับแม่มากกว่าใครเสมอ

หลายเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ตกงาน เขาไม่มีแต่จะเปิดปาก ใช้เงินเก็บอันน้อยนิดสำหรับดูแลตัวเองและครอบครัว เพราะไม่อยากจะสร้างภาระให้กับแม่ เขารู้ว่าถ้าแม่รู้เรื่อง แม่คงจะต้องเอาแต่คิดมาก ในแต่ละวันบรูคแต่งตัวออกจากบ้านแทบทุกวัน เขาทำราวกับว่าออกมาทำงานตามปกติ ทั้งที่งานตอนนี้หายากยิ่งกว่าอะไรดี...

มันกลายเป็นว่าสองเดือนมานี้เขาใช้เงินเก็บที่ไว้สำหรับสำรองจ่ายค่ารักษาไปแล้วเกือบ50%

ถ้านี่คือพล็อตหนังสู้ชีวิต...ตอนนี้เขาควรจะทำอย่างไรดีนะ ก้าวขาออกจากบ้านทุกวัน ตระเวนหางานที่พอจะรับเขา ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขที่ว่าเงินเดือนจะต้องไม่ต่ำไปกว่า 2000$ เพราะถ้าต่ำกว่านี้ คงจะไม่พอใช้จ่ายทั้งค่าเทอมของน้องและค่ารักษาของพ่อ

“พอจะมีงานให้ทำบ้างมั้ย ฉันหางานมาตลอดสองเดือนแล้ว..”

บรูคพยายามโทรไปหาคนที่รู้จัก ขอร้องให้เขาช่วยคุยกับใครสักคนที่พอจะมีอำนาจตัดสินใจรับสถาปนิกคนนี้เข้าไปทำงาน จะงานเซลล์ งานเสนอขายหรืองานออกแบบอะไรก็รับทั้งนั้น ขอแค่มีงานทำเท่านั้น แต่ทุกคนก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจแบบนี้บริษัทแต่ละที่ก็เลย์ออฟออกกันทั้งนั้น เพื่อนของเขาบางคนก็ยังต้องกลับไปทำไร่ที่บ้านด้วยซ้ำ

“งั้นเหรอ...”

เพื่อนฝูงทั้งหลายตอนนี้ก็เรียกว่าแทบจะเอาตัวไม่รอด นายจ้างหลายต่อหลายคนก็ประสบปัญหาทางด้านต้นทุนและการใช้จ่ายคล้าย ๆ กัน พยายามที่จะลดต้นทุนการผลิตเท่าที่จะทำได้

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครตอนนี้ก็ต้องเอาตัวรอดด้วยกันทั้งนั้น

“เข้าใจแล้ว ขอโทษทีทางนายคงจะลำบากเหมือนกันสินะ” บรูคพยักหน้าพร้อมกับกล่าวคำปลอบโยนปลายสาย

ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะท้อแท้จนแทบไม่เหลือกำลังใจ แต่มนุษย์น่ะเข้มแข็งกว่าที่คิด เพราะสิ่งที่เรียกว่าหัวใจนั้นทำลายได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่ยักจะตาย มันคงเต้นต่อไปแม้ว่าวันพรุ่งนี้จะไม่เหมือนเดิม

เขากดวางสายก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ ถ้านี่คือสิ่งที่เลือกไม่ได้ ก็คงจะต้องก้มหน้าก้มตาทำใจยอมรับมัน เขาให้โอกาสตัวเองได้ลองหางานใหม่แต่หลายครั้งก็ไม่เคยได้รับโอกาส

เขาเรียนจบสถาปัตย์ฯ งานที่เขาทำแต่ละอย่างก็คงจะไม่พ้นเรื่องของการออกแบบ ดูแลแบบการก่อสร้าง ในตลาดแรงงานอาชีพของเขาเรียกว่ามีค่าจ้างที่สูง ไม่มีนายจ้างที่ไหนอยากจะลงทุนกับทรัพยากรบุคคลในช่วงเวลานี้...

ช่วงนี้บรูคต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายทางบ้านที่ค่อนข้างสูงมาตลอดหลายปี เพราะพ่อของเขาป่วยเป็นพาร์กินสัน กอยล์ ปาร์คเกอร์ เริ่มมีอาการดีขึ้นช่วงหลัง แต่นั่นก็ไม่มีการรักษาที่หายขาด



เมื่อก่อนพ่อของบรูคเคยเป็นนักมวย เขาขึ้นชกล้มมวยในคลับผิดกฎหมายให้กับอดีตเทศมนตรีคนหนึ่ง ก่อนที่จะแขวนนวมไม่ขึ้นชก หลังจากนั้นมันก็ส่งผลกับร่างกายของกอยล์ของเขา โรคพาร์กินสัน คือความผิดปกติที่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหว เป็นผลจากการตายของเซลล์สมองส่วนก้านสมองส่วนกลาง ในส่วนสับสแตนเชียไนกราซึ่งมีผลทำให้สารสื่อประสาทโดพามีนซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องของร่างกายลดลง

พ่อของบรูคต้องพบแพทย์และใช้ยาช่วยรักษาอาการให้ดีขึ้นไปในแต่ละวัน ดูเหมือนว่าเงินเท่านั้นแหละที่ทำให้พ่อของยังรอดได้ แม่ของบรูคเป็นโอเมก้าเพศชาย มีอาชีพเป็นเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ก็ไม่ได้ขายดีเท่าไหร่ โชคดีที่ยังมีลูกค้าประจำยังแวะเวียนมาไม่ขาด เพราะรสชาติฝีมือที่หาไม่ได้แล้วในนอร์ทโอเวิล และนั่นแหละที่ทำให้ยังมีรายได้จากร้านอยู่บ้าง

บรูคใช้เวลานั่งอยู่ที่ร้านอาหารกึ่งบาร์แถวตัวเมืองมาเกือบสองชั่วโมงโดยไม่พูดอะไรนอกจากกระดกเหล้าในขวดจนมันหมดไปแล้วสองขวด เขาในตอนนี้เรียกได้ว่าตกอับสุด ๆ ภายนอกดูสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่อ่อนล้าของเขากับใบหน้าตึงเครียดเป็นสิ่งเดียวที่บอกได้ว่าบรูคสิ้นหวังลงทุกที...

“เฮ้อ...” บรูคถอนหายใจรอบที่สิบ เชื่อเถอะว่าเซลล์สมองของเขาตายไปเยอะเพราะการถอนหายใจนี่แหละ

บรูคเอาแต่คิดว่าถ้าแม่รู้เรื่องของเขาเข้า อีกฝ่ายจะต้องคิดมากไม่หยุดและนั่นทำให้แม่ต้องรับจ้างทำงานเพิ่มเป็นสองเท่า มันเป็นสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น

บรูค ปาร์คเกอร์ ถูกเลี้ยงดูมาให้เติบโตมากกว่าอายุ เขามีความมุ่งมั่นและเป้าหมายตั้งแต่ยังเด็ก สักวันจะพาพ่อแม่ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ กว่าบ้านหลังเล็กในหมู่บ้านคับแคบที่เสียงดังเป็นประจำ หากว่าแม่มารู้ว่าชีวิตของเขากำลังเจอกับปัญหาขนาดใหญ่ คงจะพลอยนอนไม่หลับ ไม่ต้องนึกถึงพ่อเลย

กอยล์ ปาร์คเกอร์จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ เพราะงั้นบรูคไม่มีทางเอาเรื่องพวกนี้กลับไปบอกที่บ้านด้วยสีหน้าผิดหวังเป็นอันขาด

บรูคกระแทกขวดเหล้าลง ตอนนี้ทั้งหน้าและหูของเขาแดงไปหมด หูก็เริ่มอื้อ ความกล้าในใจก็ดูจะฮึกเหิมเสียจริง...

ดวงตาสีฟ้าขุ่นแบบเดียวกับแม่ของเขา จ้องมองไปยังป้ายโฆษณาที่มีรถขนาดใหญ่วิ่งผ่าน เป็นการประกาศถึงวันเกิดของลูกชายใครสักคนที่สำคัญของเมืองนี้ เหอะ...คนรวยมีเงินก็หากินได้สบาย ๆ งั้นสินะไม่ต้องปวดหัวเวลาที่ต้องตกงาน แถมยังมีเงินจ้างโฆษณาขึ้นโชว์อวยพรวันเกิดตัวเองและเพื่อนพ้องน้องพี่ บรรดาคนรวยเหล่านั้นไม่ต้องคิดมากเรื่องหางาน เพราะเอาเงินไปลงทุนต่างประเทศ ได้ผลกำไรกลับมาเป็นกอบเป็นกำ ส่วนคนหาเช้ากินค่ำอย่างเขา คงมีชีวิตที่เป็นอย่างที่เห็น นอนตื่นสายไม่ได้เพราะจะต้องโดยหักเงินปลายเดือน มีวันหยุดแค่เสาร์อาทิตย์ ได้เงินเก็บจากโบนัสประจำปี ซื้อบ้านก็ต้องผ่อนกับธนาคาร ในขณะที่พวกคนรวยสิ่งเหล่านั้นดูเหมือนกับเป็นแค่เรื่องง่าย ๆ ที่จะไม่มีวันเข้าใจ พวกเขาไม่ได้ผิดที่รวย แต่อาจจะผิดที่โลกไม่บอกแต่แรกว่ามันมีสองฝั่งเสมอ เช่นข้าวกับดำ บนกับล่าง

“บ้าเอ๊ย...” และมันเป็นอีกครั้งที่บรูคเอาแต่สบถหยาบคายออกมา เขานั่งกุมขมับและถอนหายใจอยู่กับชีวิตห่วยแตก เศษซากของศิลปะที่ถูกทอดทิ้งคงไม่ได้ต่างจากเขาในนาทีนี้เท่าไหร่

ขวดแล้วขวดเล่าที่ถูกยกกระดกเข้าปากจนดื่มด่ำกับน้ำขมปร่าและร้อนทั่วลำคอไปถึงท้องให้พอใจ นั่งดื่มเพื่อทำให้โลกบิดเบี้ยวนี่ดีขึ้นมาบ้างในเวลาที่ชีวิตล้มเหลวเช่นนี้...

บรูค ปาร์คเกอร์ คงเหมือนกับคนขี้เมาที่เคยเห็นกันตามท้องถนน...แต่จะว่าแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะเมาแล้วก็คิดว่าชีวิตมันสนุกดีเหมือนกัน อยากจะร้องตะโกนใส่หน้าใครก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรอีกเลยซึ่งนั่นแหละข้อดีของการเมา

ทำมันให้สุดโดยไม่ต้องนึกถึงอะไรที่อยู่ข้างหลัง...

บรูคเข้าใจแล้วว่าบางทีสุรามันก็ช่วยได้ในยามที่เจอปัญหา... นึกถึงคนคนหนึ่งที่เวลาเจอปัญหาทีไรก็จะหอบเหล้ามาที่บ้านของเขาและชวนพ่อดื่ม พอนึกถึงผู้ชายบ้าอำนาจคนนั้น เขาก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าบางที... เลียม แก๊บบี้ แฮริงตัน คนนั้นอาจจะพอช่วยได้ และแน่นอนว่าจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากอยล์จะต้องไม่รู้ว่าชีวิตของลูกชายกำลังเปลี่ยนไป เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นความลับได้อย่างไร

บรูคยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองด้วยท่าทางตึงเครียด เขารู้สึกหนักเหมือนกับแบกความหวังที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาไว้บนบ่า เรี่ยวแรงน้อยลงทุกที ๆ เข้าใจแล้วว่าคนที่เสียกำลังใจมันเป็นแบบไหน ถ้านี่เป็นเรื่องที่พึ่งพาที่บ้านได้ป่านนี้คงจะกลับไปร้องไห้กับแม่แล้ว แต่ว่านี่เขายังส่งข้อความไปโกหกแม่อยู่เลยว่าทำโอที ทั้งที่ความจริงกำลังเมาจนแทบเดินไม่ตรงทาง...

“คุณเลียมครับ” ทันทีที่ปลายสายกดรับ บรูคก็รีบพูดลิ้นพันกัน “ผะ...ผมเองนะ...บรูค ปาร์คเกอร์ครับ”

‘เออ ฉันเมมเบอร์ไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านาย’

“ว่างมั้ยครับ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษา คือ...จริง ๆ แล้วคือผมจะ...จะขอความช่วยเหลือ”

มันคงแปลกที่จะมาปรึกษาเลียม เพราะปกติบรูคก็แทบไม่ได้คุยอะไรกับผู้ชายคนนี้เป็นการส่วนตัว “ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณช่วย”

‘เรื่องไหน เรื่องที่บริษัทนายลดพนักงานน่ะเหรอ อย่าห่วงเลย สถาปนิกหนุ่มฝีมือดีแบบนายไม่โดยด้วยหรอก อีกอย่างนะนาย--’

“ผมถูกเลิกจ้างแล้วครับ มีผลมาสองเดือนแล้วน่ะครับ”

นั่นแหละที่อยากจะบอก...อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น ชีวิตคนเรามันคล้ายกับแขวนอยู่บนสายป่านที่จะขาดตอนไหนก็ยังไม่รู้

“ผมถึงได้โทรหาคุณยังไงล่ะครับ”

‘เรื่องจริงเหรอ?’

“พอจะออกมาพบผมตอนนี้ได้มั้ย ผมมีเรื่องจะขอร้องให้ช่วย”

เมื่อบรูคทำน้ำเสียงจริงจัง นั่นทำให้คนที่ทีเล่นทีจริงรีบปรับเปลี่ยนน้ำเสียงตัวเองทันที ‘จะออกไปตอนนี้แหละ อยู่ที่ไหนส่งแผนที่มาให้ด้วย’

บรูคกล่าวขอบคุณปลายสายอยู่หลายรอบก่อนจะวาง พอวางสายแล้วก็รีบส่งแมพไปให้เลียมทางข้อความ นั่งรอสักพักรถรีมูซีนคันสีขาวของอดีตเทศมนตรีก็มาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้าน ร่างสูงของผู้ชายที่ดูดีแม้จะอายุมากแล้วโดดเด่นสะดุดตาคนทั้งร้าน แต่จะมีใครกล้าพูดมากกับคนของแฮริงตันล่ะ เลียมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของเมืองโอเวิลเลยทีเดียว



“ไงไอ้หัวเทา นั่งทำหน้าเครียดเชียว เป็นไงบ้าง”

“คุณเลียม...เอ่อ ครับ...สวัสดีครับ”

“เฮ้ อย่ามาทำเป็นทางการนักเลย เคยขี่คอฉันสมัยยังเด็ก แถมยังตดใส่ มีหน้ามาคงมาครับ” เลียมเย้าหยอกแต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำเหมือนเคย สีหน้าดูตึงเครียดจนคนที่อายุมากกว่าจำต้องถาม

“หน้าแดงเชียว ดื่มมาตั้งแต่กี่โมงแล้วเนี่ย”

“ก็ช่วงเย็นน่ะครับ คุณจะเอาด้วยมั้ย”

“สักหน่อยก็ดี” เลียมพยักหน้าและพาดแขนไว้ที่พนักพิง เอนตัวแล้วจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าที่ตอนนี้เติบโตขึ้นเสียจนแทบจำไม่ได้ หล่อเหมือนกับกอยล์สมัยหนุ่ม ๆ ไม่มีผิด

“พ่อนายเป็นไง สบายดีนะ ยังไปหาหมออยู่ใช่มั้ย”

“ครับ ยังไปอยู่ พ่อถามถึงคุณบ่อย ๆ”

“ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเหมือนแต่ก่อน ฉันต้องบินไปมาระหว่างที่นี่กับอังกฤษ ลูกสาวฉันเข้ามหาลัยแล้วน่ะนะ” เลียมยิ้มและรับแก้วเหล้าจากอีกฝ่าย เขายินยอมที่จะบินไปมาข้ามประเทศเพื่อดูแลครอบครัวอันเป็นที่รัก และอีกอย่างเขาอยู่ห่างจากคู่ของเขาไม่ได้นานหรอก “เอาล่ะ ว่ามาซิ ว่ามีเรื่องอะไร เรียกฉันมานี่ต้องมีเรื่องใหญ่แน่”

“ครับ เรื่องใหญ่...”

“ไอ้ที่ว่าใหญ่น่ะสักแค่ไหน” เลียมซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงข้ามกอดอกเอนหลังนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสง่างามเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย “ที่ว่าใหญ่น่ะ ใช่เรื่องที่นายตกงานน่ะเหรอ มันเรื่องเล็กจะตายไปนะ แค่หางานใหม่ไม่กี่เดือนก็ได้แล้ว”

“ไม่ครับ...มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น”

บรูครู้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าให้ความสำคัญกับเขาแค่ไหน เพราะเขาเติบโตมากับผู้ชายคนนี้ คนที่เป็นเพื่อนของพ่อมากกว่าจะเป็นเจ้านายเก่า

“ผมหางานมาหลายเดือนแล้ว แต่หลายบริษัทก็ไม่เรียกตัวผมไปทำงาน เขาก็บอกว่าช่วงนี้ไม่มีบริษัทไหนรับพนักงานใหม่หรอก และค่าจ้างของผมก็สูงเกินกระบอกเงินเดือนของเขา”

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้น นายมีความสามารถนะ นึกถึงมันไว้”

“ครับ ผมพยายามอยู่”

“ถ้างั้น ลองรับเป็นงานฟรีแลนซ์ดีมั้ย”

“คงอดตายแน่ ๆ” ประโยคนั้นทำเอาเลียมขมวดคิ้วเลยทีเดียว “ที่จริง ผมมีเรื่องที่จะขอร้องให้คุณเลียมช่วย อยากจะรบกวนแค่เรื่องนี้แหละครับ”

“อีกแล้วนะ พูดจาเป็นทางการกับฉัน ให้ตายเหอะทั้งพ่อทั้งลูกเลยสินะ...”

“ขอโทษครับ ผมชิน...”

ตั้งแต่โตขึ้นก็ไม่ค่อยได้เจอเลียมเท่าไหร่ ได้ยินว่าช่วงนี้เขาบินไปมาระหว่างอังกฤษกับโอเวิลเพราะต้องส่งลูกสาวฝาแฝดอย่างกาเซียกับลูน่าไปเรียนที่นู่น ภรรยาของเขา เดเมี่ยน แฮริงตันโอเมก้าเพศชายก็เหมือนจะไปอยู่ที่นั่นเกือบถาวร นั่นคงเพราะต้องดูแลลูกสาวคนสวยทั้งสอง

“เอาล่ะว่ามาสิ ว่าจะให้ฉันช่วยอะไร”

“ผมอยากทำงานกับที่บ้านของคุณ มันจะรบกวนคุณเกินไปหรือเปล่า แต่ผมจะตอบแทนคืนทุกอย่าง” บรูคสบตากับคนที่อายุมากกว่าอย่างจริงจัง เลียมอายุมากกว่าพ่อของเขาเกือบสี่ปี น่าจะเป็นลุงเสียด้วยซ้ำ

“นายนี่มันก็เหมือนพ่อนายจริง ๆ กอยล์เวลามีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็มันจะแสดงท่าทางแบบนี้ อยากจะตอบแทนบุญคุณกันเสียเหลือเกิน”

“ช่วยผมได้มั้ยครับ ผมขอร้อง...” บรูคไม่ขออ้อมค้อม ตอนนี้เขาเมาและกำลังคิดมาก ทางเดียวที่จะช่วยได้ก็คือถามออกไปเลย ถ้าไม่ช่วยจะได้หาทางในวันพรุ่งนี้...

ดูเหมือนเลียมจะเป็นคนเดียวที่บรูคสามารถขอความช่วยเหลือได้ และเขามั่นใจว่าตัวเองจะได้รับการช่วยเหลือ

“ฉันก็อยากช่วย แต่ก็อย่างที่รู้ รัฐบาลไม่รับคนนอกเข้าทำงาน ถ้านายไม่ได้สอบเข้าก่อน และตอนนี้การสอบก็ยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้”

“นั่นสิ...”

“นายจะเข้าไปทำงานในกระทรวงโยธามั้ยล่ะ ฉันพอจะฝากฝังให้ได้ แต่เงินเดือนก็เริ่มใหม่นะ เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริง ๆ ฉันเองก็ไม่อยากจะล้ำเส้นการทำงานของพวกเขา”

“งั้น...ผมก็ต้องเริ่มใหม่หมดเลยงั้นสิครับ...”

แบบนั้นคงไม่พอยาไส้แน่ ๆ แต่จะมาเลือกมากมันก็ยังไงอยู่นะ...

“แล้วจะได้เงินเดือนสักเท่าไหร่หรือครับสำหรับเริ่มต้นใหม่ในตำแหน่งนั้น”

“น้อยกว่าที่นายได้แน่นอน งานเริ่มต้นของสถาปนิกในกระทรวงก็แค่ราว ๆ ห้าร้อยเหรียญเองมั้ย”

“ไม่พอหรอก...”

นั่นสิ เริ่มต้นงานใหม่มันก็ต้องเริ่มตั้งแต่เงินเดือนพื้นฐานเลยน่ะสิ ถึงจะทำงานกับหน่วยงานรัฐบาล อย่างไรก็คงจะก้าวกระโดดไม่ได้ บรูคคิดในใจ...

“ฉันบอกแล้วว่ามันไม่พอยาไส้ อีกอย่างนะ จะให้นายมาทำงานที่พรรคของฉัน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีด้วยสิ ถึงมีก็ไม่รู้ว่านายจะทำได้มั้ย นายเป็นสถาปนิกนี่นะ มันก็ต้องมีศักดิ์ศรีของความรู้ค้ำคอ” เลียมไม่ได้ไม่อยากช่วย ถ้ามีอะไรที่พอจะทำได้ล่ะก็เขาไม่ติดขัดแน่

เมื่อได้ยินแบบนั้น บรูคก็เริ่มไม่สบายใจ หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาเครียดที่สุดคือการที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพของคนตกงาน ไปจนหางานไม่ได้เลย มันเป็นภาพในอนาคตที่เลวร้าย

“ผมทำได้หมดเลยนะครับ ขอร้อง...งานอะไรก็ได้ตอนนี้ ขอค่าแรงน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนเก่าก็ยังดี อย่างน้อยจะยังมีค่ารักษาพ่อในแต่ละเดือนบ้าง”

“เงินจากรายได้ของที่ร้านล่ะไม่พอเหรอ”

“ไม่ครับ ช่วงนี้เขาจะต้องพบแพทย์บ่อย ค่ายาของพ่อก็แพงขึ้น น้องอีกคนก็จะเข้าเรียนมหาลัยแล้วปีหน้า”

“ลูกดกก็เงี้ย...” เลียมพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าไม่ห่วงศักดิ์ศรีมันก็พอจะมีช่องทางการทำมาหากินอยู่น่ะนะ”

ตอนนี้ศักดิ์ศรีบ้าบออะไรนั่นทิ้งไปเถอะ ขอแค่มีช่องทางทำมาหากินก็พอ ทั้งค่าใช้จ่ายของที่บ้าน ทั้งเรื่องค่าเทอมของน้อง เขาอยากจะแบกรับไว้ทั้งหมด อยากจะเป็นพี่ชายและลูกคนโตที่ทำหน้าที่เหล่านั้นได้อย่างภาคภูมิใจ

นี่แหละ บรูค ปาร์คเกอร์ เขาไร้ซึ่งศักดิ์ศรีหากมันคือสิ่งที่จะช่วยครอบครัวได้

“งานอะไรผมทำได้หมด ขอแค่ค่าจ้างไม่น้อยไป...ผมจะขยันทำงานครับ”

“ให้ตายสิ งานอะไรนะที่จะหาให้ทำได้...” เลียมเท้าคางวางมือประสานไว้ใต้คาง เขากำลังนึกถึงงานที่บ้านที่อาจจะพอมีให้ทำบ้าง แต่จะให้มาเป็นคนสวนในบ้านและจ่ายค่าจ้างโดดจากคนอื่นแบบนั้นก็คงจะไม่ยุติธรรมกับคนอื่นที่ทำงานมาก่อน

“บิงโก!!” เลียมดีดนิ้วและยิ้มมุมปากอยู่คนเดียว “มีงานหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทำงานกับฉันหรอก เป็นของลูกพี่ลูกน้องอีกทีน่ะ”

“งาน? งานอะไรหรือครับ?” บรูคตาวาวเป็นประกาย คล้ายกับเจอแสงสว่างที่เหมือนกับความหวัง “งาน...งานที่ว่า มันคืองานอะไรเหรอครับ”

“ตอนนี้ญาติของฉัน เขากำลังหาคนขับรถรวมถึงคนที่สามารถดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาไปเป็นอย่างดี ฉันว่านายคงรู้จักพวกตระกูลแคปริคอร์นใช่มั้ย เคยได้ยินชื่อพวกเขาบ้างหรือเปล่า?”

“...ตระกูลราชวงศ์ของABO น่ะเหรอครับ” บรูคถาม

“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”

เลียมถึงกับเบ้ปากและหัวเราะเสียงดัง “ไปให้ค่าพวกเขาทำไมกัน คนพวกนั้นสถาปนาตัวเองขึ้นมา หรือจริง ๆ เราทุกคนแหละมั้งต่างพากันมอบเกียรติเหล่านั้นให้พวกเขาเอง” เลียมยิ้มขำ ๆ

“แต่อย่างไรคนในเมืองก็ให้เกียรติพวกเขาแบบนั้น”

“ถ้านายจะหมายถึงอาร์เธอ แคปริคอร์นผู้ก่อตั้งเมืองที่เป็นญาติกับฉันล่ะก็ มันก็น่าจะเป็นการให้เกียรติสำหรับคนก่อตั้งเมือง และพวกเขาถึงได้มีอภิสิทธิ์แบบนั้น”

เลียมเองก็เป็นญาติกับแคปรินคอร์น เหล่าตระกูลของผู้ก่อตั้งโอเวิล ก่อนที่จะถูกแบ่งออกเป็น อัลเวิลและเบตเวิล และตระกูลแฮริงค์ตันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพวกเขาอีกด้วย

“ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทนะครับ แต่ผมอยากรู้รายละเอียดงาน ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง”

ไอ้เด็กนี่ไม่ยอมฟังที่พูดเลยนะ จะถามเอางานอย่างเดียว

เลียมคิดในใจก่อนจะยิ้มมุมปากและกระดกเหล้าที่นาน ๆ จะได้กินขึ้น ลิ้มรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มรสบ่อย ๆ ตั้งแต่มีลูกภรรยาก็ไม่เคยให้แตะของมึนเมาเลย “ก็แค่ดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา พวกเขามีลูกชายเป็นพวกควีนโอเมก้า”

“ควีน?”

“แบบพวกที่ถูกเลือกโดยสายเลือด เพื่อให้เป็นราชินีโอเมก้าไง จะว่าไปนะ เจ้าเด็กนี่น่ะร้ายจะตาย ญาติของฉันเขาติดเอาใจลูกมากไปหน่อย แต่ก็อย่างว่าลูกคนเดียวคงจะรักมากน่ะนะ”

“ถ้าอย่างนั้น หน้าที่ของผมก็แค่ขับรถกับดูแลลูกชายของเขา ทำแค่นั้นจริงเหรอครับ”

เป็นควีนโอเมก้าก็คล้ายกับเป็นคำสาป ถ้าใช้เสน่ห์และกลิ่นในทางผิดก็ยิ่งจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่ตนเอง

“ไม่เชิงดูแลใกล้ชิดหรอก แค่เป็นคนรับใช้คอยตามเฝ้า อำนวยความสะดวก เช็คตารางเรียน ขับรถไปรับไปส่ง ไม่ให้ใครมาเกะกะ อีกอย่างคือเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยน่ะนะ”

“แล้ว...มันจะได้เงินคุ้มค่าเหรอครับ” บรูคห่วงเรื่องตัวเงินที่สุดในนาทีแบบนี้...

“อย่าคิดว่ามันเป็นงานที่ง่ายและจะได้ค่าตอบแทนน้อยนะ พี่ชายฉันจ่ายสูงเท่าที่นายจะจินตนาการออก คนโดนไล่ออกหรือไม่ก็ลาออกบ่อยมากเพราะทนเด็กคนนั้นไม่ไหว หลานชายคนนี้ของฉันน่ะมันร้าย แถมยังแสบมากเลยนะ”

“...”

“ได้ยินแบบนี้แล้วนายยังจะอยากทำอยู่มั้ย มันอาจจะเป็นงานที่ดูไร้ศักดิ์ศรีไปเลยก็ได้นะ ขับรถและเป็นพี่เลี้ยงเด็กอายุสิบหก” เลียมถามเหมือนกำลังทดสอบจิตใจคนตรงหน้า บรูคเม้มริมฝีปากขณะที่ดวงตาสบมองกับอีกฝ่าย “นายจะกล้ารับงานพวกนี้เหรอ ถ้านายยึดติดศักดิ์ศรีของการเป็นผู้จัดที่วุฒิการศึกษาสูงค้ำคอ”

“ไม่ครับ สำหรับผมแค่งานที่ว่าได้ผลตอบแทนเยอะกว่าที่ผมได้รับ ในนาทีนี้ผมไม่เลือกสักงานครับคุณเลียม”

ตอนนี้บรูคสนใจแค่ตัวเงินเท่านั้น ถ้ามันได้เยอะจะงานรูปแบบไหน ขอแค่ไม่ผิดกฎหมายเขายอมทำทั้งนั้นแหละ ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ต้องมานั่งเลือกงาน

“นี่สิค่อยสมกับเป็นลูกชายกอยล์ ปาร์คเกอร์!”

เลียมตบเข่าฉาดก่อนจะพยักหน้าชอบอกชอบใจ บรูคกับกอยล์ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ดูเหมือนจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ในแววตาของบรูค เลียมมักจะเห็นเลือดนักสูงของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากบิดาของอีกฝ่ายเท่าไหร่

“ฟังให้ดีนะ ถ้านายไม่เลือกงานก็ไม่ยากจน อีกอย่างนะพี่ฉันให้ผลตอบแทนคุ้มค่า เพราะไม่มีใครอยากทำหรอก เขาเลยประกาศจ่ายค่าจ้างเยอะเกือบหกหลัก เพื่อดึงดูดคนที่อยากจะทำงานนี้จริง ๆ ให้เข้ามา”

“อย่างนี้นี่เอง...” บรูคถามอย่างกระตือรือร้น... “แล้วตกลงเขาจะรับผมทำงานเลยหรือว่าจะต้องทดสอบอะไรก่อนมั้ย?”

ถ้าขึ้นชื่อว่าเงินเยอะจะงานอะไรก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้นแหละ



“ก็แค่มีใบขับขี่และมีใบอนุญาตการทำงานอย่างถูกต้อง แต่ฉันว่านายคงมีทั้งหมดที่ว่ามาแล้วแหละ ใช่มั้ย?”

“ครับ...”

“ได้ยินมาว่ามีที่พักให้ มีค่ารักษาพยาบาลให้ด้วยนะ”

ค่ารักษาพยาบาล ที่พักงั้นเหรอ?

“ผมขับรถไปกลับก็ได้นี่ครับ”

“ไม่ได้หรอก บารอนน่ะไม่ชอบให้คนรับใช้อยู่ไกลตัว เพราะงั้นพวกเขาจะมีที่พักไว้ให้กับคนงานทุกคน ไม่เว้นสักคน มีวันหยุดให้กลับบ้าน คล้ายโรงเรียนประจำเลยนะว่ามั้ย”

“งั้นเหรอครับ” บรูคเม้มริมฝีปากและพยักหน้า โดยไม่พูดอะไร เอาแต่ตั้งใจฟังสิ่งที่เลียมพูด

“ขอเตือนไว้เลยนะว่างานนี้นายจะเจ็บตัวหน่อย เพราะบารอนน่ะไม่เหมือนใคร บางทีก็ปั่นหัวนายได้ และบางครั้งร้ายยิ่งกว่าปีศาจ เอาใจไม่ถูกก็ปาข้าวของใส่ ที่สำคัญนายทำร้ายลูกชายของเขาไม่ได้นะ พวกเขาจะโกรธมาก และฉันไม่อยากซวย ขอเตือนเลยว่าต้องมีความอดทนสูงมาก”

บรูคกลืนน้ำลายอึดใหญ่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเด็กคนนี้อยู่เหมือนกันว่าร้ายกาจและทรงพลัง เป็นควีนโอเมก้าด้วยสายเลือดของราชินีโอเมก้าเป็นต้นตระกูล ถ้าเปรียบแฮริงตันเป็นผู้มีอำนาจแล้ว แคปริคอร์นก็คือราชวงศ์แห่ง ABO

“จะทำได้มั้ย ถ้าทำได้ ฉันจะพาไปหาพวกเขาพรุ่งนี้เลย”

“...” จะมาลังเลหรือขี้ขลาดก็ไม่ใช่เวลาแล้วแหละ ถ้าเกิดว่าไม่รับก็ไม่รู้จะไปหางานที่มีรายได้เท่าเดิมได้ที่ไหน อีกอย่างได้เยอะกว่าเก่าตั้งสองเท่าน่ะ

“ว่าไงบรูค นายจะรับมั้ย”

“รับ...รับครับ”

อย่างที่บอก ทำงานอะไรก็ตามถ้าได้เงินก็ต้องทำหมด อย่าเลือกงานเลยไม่อย่างนั้นอดตาย!



_____________________

 NEXT (2)
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [Intro] - Jun 13,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 17-06-2019 21:53:35
(2)
[/b]



ไม่มีอะไรถูกใจผมสักอย่างบนโลกใบนี้ ผมไม่ชอบถูกขัดใจ การเกิดมาเป็นผมที่มีตราสัญญาลักษณ์ว่าจะต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการไว้บนหน้า ทำให้ผมมีความฝันอย่างแรงกล้าคือว่าจะต้องโอเมก้าที่ทรงอำนาจ ถ้าครองโลกได้ผมก็จะทำ

ความฝันของผมไม่ใช่เรื่องกระจอกงอกง่อย มันมีค่ามากกว่าขุมทรัพย์เสียด้วยซ้ำไป

สิ่งหนึ่งที่ผมเกลียดที่สุดคืออะไรที่เรียบง่าย ไม่ฉูดฉาดและไร้พิธีรีตอง คนส่วนใหญ่บอกว่าผมเรื่องมาก แต่แล้วมันผิดอะไรกับการเป็นคนที่เต็มไปด้วยรายละเอียด

ถ้าชีวิตจะต้องอยู่แบบคนธรรมดาจะมาเกิดในตระกูลแคปรินคอร์นไปทำไม...

“ผมได้ของขวัญแค่สองร้อยเจ็ดอัน มันน้อยกว่าปีที่แล้วถึงสองกล่อง” ผมเท้าสะเอวโวยวายเสียงดังในเช้าวันศุกร์หลังจากที่ได้เวลานับของขวัญวันเกิดที่ผ่านมาเมื่ออาทิตย์ก่อน

ผมพึ่งจะมีเวลาว่างพอที่จะได้แกะของขวัญ และนับมันอย่างจริงจัง ผมให้คนเช็กราคาของขวัญทุกชิ้น ถ้าใครให้ของที่มูลค่าต่ำกว่าที่ผมกำหนด ของสิ่งนั้นจะถูกส่งคืนไป และปีหน้าพวกเขาจะไม่ได้มาเหยียบที่งานปาร์ตี้สุดเจ๋งของผมอีก คนแบบผมมีใครบ้างจะกล้าปฏิเสธ!

งานวันเกิดของผมเราทำแบบนี้กันทุกปี และผมไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะรู้สึกอย่างไร ก็พวกเขาทำสิ่งที่ไม่เข้าท่าเองทำไมล่ะ

“ปีนี้ได้น้อยลงกว่าปีก่อน อ๋ออีกอย่าง ผมส่งของขวัญคืนไปที่บ้านของฮิลสันและวอลดอฟนะครับ”

“ลูกรัก...”

“แม่ไม่ต้องพูด!” ผมทำยิ้มมุมปากก่อนจะใช้นิ้วชี้จ่อที่ริมฝีปากตัวเอง “ผมเป็นเจ้าของของขวัญ และผมมีสิทธิ์ส่งของที่ไร้ราคาคืนเจ้าของไปเสียถ้าพวกเขาไม่ให้เกียรติหน้าตาของผม”

“แต่เขาจะเสียใจเอานะลูกรัก”

“นั่นคือการเตือนครับ ผมสิที่ขายหน้า ทำอะไรไม่ไว้หน้าผมเอง” ผมพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะทำหน้าบึ้งและถามกลับอย่างเอาเรื่อง “แล้วสรุปทำไมของขวัญถึงน้อยลงครับแม่”

“ก็เพราะว่าปีนี้ ครอบครัวอาบิเกลไม่ได้ส่งมา” แม่ว่า

“แล้วทำไมพวกเขาไม่ส่งมา?”

“ลูกลืมแล้วหรือไงที่รัก เพราะว่าลูกตัดผมลูกสาวของเขา พวกเขาโกรธมากนะ แม่จะต้องยกเลิกสัญญาสนามกอล์ฟกับพวกอาบิเกลทั้งที่ได้ราคาดีและห้องวีไอพีของพวกเขาคือระดับดีที่สุดแล้วในเมืองนี้”

“แม่จะไปรู้อะไรล่ะครับ เพราะยัยนั่น...ชื่ออะไรนะ..." ผมหันไปถามสาวรับใช้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านล่างตรงโซฟาสีครีมภายในห้องโถงใหญ่ "มารีน่าหล่อนชื่อว่าอะไรนะ”

“บาเซียก้าค่ะ คุณหนู...”

“อ๋อใช่! ยัยบาเซียก้า อาบิเกล ชื่อตลกชะมัดเลยว่ามั้ย และแม่ควรรู้ไว้ว่าหล่อนปากมากจนสมควรโดนแบบนั้น”

ผมเชิดหน้าขึ้น และไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดสักนิด ดีใจมากกว่าที่ยัยนั่นกลัวหัวหดไม่กล้ามางาน แต่ที่เลวร้ายคือการไม่ส่งของขวัญมาอวยพรราชินีโอเมก้าแบบผม

แค่โกนหัวน่ะยังน้อยไป เทียบกับสิ่งที่บาเซียก้าทำให้ผมอับอายแล้วล่ะก็ เทียบกันไม่ติดสักนิด!

“ลูกรัก แม้ว่าลูกจะโกรธพวกเขาแค่ไหน แต่ลูกไม่ควรไปโกนหัวใครเขาแบบนั้น”

“แม่อย่าพูดเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้ไหม เช้าวันนี้ของผมคือ ทำไมของขวัญเราถึงมีน้อยกว่าปีก่อน” ผมยกนิ้วขึ้นสองนิ้ว “เมื่อตัดบาเซียก้าไปแล้ว ก็ยังเหลืออยู่คนหนึ่งที่ยังไม่ส่งมา สรุปว่าคือใครครับ? ผมจะได้เล่นงานถูก”

“อย่าไปเรียกจิกหัวใครเขาแบบนั้นบารอน ราชินีต้องไม่ทำตัวร้ายกาจนะจ๊ะ” แม่ยกแก้วชาขึ้นจิบ พร้อมกับหลุบตาลงมองนิตยสารในมือ

“แม่เจอหล่อนแล้วจะหนาว หรือบางทีแม่อาจจะอยากราดน้ำส้มสายชูใส่หล่อน เพราะคำคุยโวโอ้อวดดี ชอบนินทาคนนั้นคนนี้ ยี๋!!” ผมย่นจมูกใส่แม่ “และเอาล่ะ เรื่องพวกนั้นพอก่อน แม่บอกมาเลยว่าใครที่ยังไม่ส่งของขวัญมาให้ผม”

“เลียม...อาของลูก”

แม่เงยหน้าขึ้นพูดในขณะที่ผมกำลังจะไล่รายชื่ออ่านว่าใครกันที่ไม่ส่งมา แต่กลับกลายเป็นญาติฝ่ายพ่อนี่เอง ถึงผมจะไม่ค่อยชอบอาเลียม แต่ปกติเขาจะส่งของขวัญมาทุกปี เช่นบัตรกำนัลเรือยอชต์ท่องมหาสมุทรแปซิฟิก หรือเปิดเกาะส่วนตัวที่มีมูลค่าหลายพันล้านให้ผมไปพัก

ทำไมปีนี้เขาไม่ส่งมา!!

“แม่! พระเจ้าไม่อยากเชื่อเลย แม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไง”

“ใจเย็นก่อนบารอนลูกรัก...”

“ผมอยากจะสับผู้ชายคนนั้นเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้ฉลามกิน ทำไมถึงกล้าหยามหน้าผมแบบนี้” ผมจินตนาการถึงสีหน้าขึงขังและความเลือดร้อนของญาติฝ่ายพ่อออก แต่แน่นอนว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แต่ถึงจะไม่สนิทเขาก็ส่งของขวัญมาทุกปียกเว้นปีนี้

“เขาบอกว่าเขาจะเอามาให้ลูกเอง รู้สึกว่าแม่จะให้คนไปบอกลูกแล้วนะ แม่เองก็ลืมเหมือนกันเรื่องจำนวนของขวัญ” แม่ทำสีหน้าลังเลเล็กน้อยราวกับไม่แน่ใจ “แต่แม่สาบานเลยว่าเขาจะมอบมันให้ลูกด้วยตัวเอง”

“บ้าบอที่สุด! นี่พูดแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ ทั้งกาเซียกับลูน่าก็ไม่ได้มาวันเกิดของผม!!”

“ลูกรัก เบาเสียงลงหน่อย” แม่ปรามแต่เธอรู้ว่าสุดท้ายผมจะเมินคำตำหนินั่น

“แม่ไปบอกครอบครัวนั้นเลยนะว่าไม่ต้องมาบ้านเราอีก แค่วันเกิดยังไม่โผล่หัวมา นี่เป็นทั้งพ่อทั้งลูก เหอะ!”

“ได้ยินว่ามีคนอารมณ์ร้อนงั้นเหรอ!?”  เสียงของพ่อทักทายพร้อมกับสาวรับใช้ที่นำน้ำหวานมาเสิร์ฟให้

ผมรีบวิ่งไปสวมกอดพ่อก่อนจะฟ้องเขาเรื่องของจำนวนของขวัญที่ลดลงกว่าปีก่อน แถมยังไม่ได้ของขวัญจากญาติของตัวเองอีก

“ปีนี้อาเลียมไม่ส่งของมาครับพ่อ!” ผมบอก สีหน้าของพ่อยังอบอุ่นเสมอเวลาเจอผม เขาชอบบอกว่าผมคือความรักเดียวในชีวิตของเขา“พ่อจะต้องจัดการเขานะครับ!”

“ใจเย็นลูกรัก...” พ่อว่าและจูบที่หน้าผากของผม ผมส่งยิ้มให้พ่ออีกครั้ง รู้สึกตัวเองเป็นเจ้าชายน้อยที่ถูกเทิดทูน "ของขวัญของลูกปีนี้พิเศษมาก อาเลียมเอามาส่งให้ที่บ้านเลยนะ"

“บ้าน...หมายความว่าไงครับ”

“นั่นไงลูกรัก...” พ่อยิ้มก่อนจะผายมือไปยังด้านหลัง และร่างสูงของเลียม แก๊บบี้ แฮริงตันก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มฝืน ๆ แบบที่ผมเคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก

ทำอย่างกับเจอหน้าผมแล้วเจอผีงั้นแหละ

“ไหนของขวัญผม!!”

“นี่...ช่วยทักทายฉันแบบมีมารยาทหน่อยสิบารอน นี่ฉันเป็นอาของเธอนะ”

“ไม่ ทำไมผมต้องทำในเมื่อคุณไม่ให้เกียรติผมก่อน ว่าแต่ปีนี้อาจะให้อะไรกับผม?” ผมกอดอกและเดินผ่านพ่อไปยืนประชันหน้ากับอีกฝ่าย “ถ้าอามาตัวเปล่าคงรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร...”

“ไม่มีเงินซื้อเองหรือไง? เอาแต่ทวงของจากคนอื่นอยู่ได้”

ให้ตายเถอะ ได้ยินที่อาเลียมตอบผมมั้ย

“...พ่อครับ อาว่าผม!!!”

“เฮ้อจริง ๆ เลยนะเด็กแบบเธอเนี่ย ...เอาล่ะหลีกไป ฉันจะแนะนำคนให้พ่อเธอรู้จัก”

เขามันเป็นคนที่ไร้อายธรรมและปากมักจะพ่นคำพูดที่ไม่น่าฟัง ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่สนใจผมสักนิด หรือว่าที่จริงแล้วอาเลียมไม่ได้มามอบของขวัญให้กับผม แต่พ่อพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาเอง!!

“ไหนพ่อบอกว่าเขาจะเอาของขวัญมาให้ผมไง!!!”

“ใจเย็นน่าลูกรัก อาเลียมแค่...”

“จะบอกอะไรให้นะบารอน ออกจากโลกยูนิคอร์นได้แล้ว ไม่มีของขวัญสำหรับเด็กก้าวร้าววัยสิบหก เข้าใจนะ” อาเลียมพูดแทรกและยิ้มมุมปากใส่ผม หน้าตาของเขาเหมือนกำลังสะใจสุด ๆ ผมขอสาบานว่าจะเจาะยางรถเขาเอาให้แตกทั้งสี่ข้างเลย

เลียม แก๊บบี้ แฮริงตัน ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา!!

“เอาล่ะบาโรห์ ผมหาคนให้พี่ได้แล้ว เพราะงั้นผมฝากเขาด้วย อย่าทำอะไรเขาล่ะ เขาเป็นลูกชายของเพื่อนผมเอง”

“คนคนอะไรครับพ่อ?”

ผมแทรกและเดินไปขวางระหว่างพ่อกับอาเลียม แต่จู่ ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายดันศีรษะให้ออกห่าง ไม่มีของขวัญแต่เหมือนอาเลียมกำลังฝากฝังอะไรสักอย่าง...

“เฮ้...เลียม”

“พี่ควรสอนมารยาทเขาบ้างนะ การตามใจลูกจนเสียนิสัยมันไม่ดีหรอก นี่จะบอกให้เลยนะถ้าเป็นลูกฉัน เธอโดนตีตูดแตกแล้ว” อาเลียมหันมายิ้มเยาะใส่ผมอีกครั้ง

เอาล่ะครั้งนี้ผมจะไม่ให้อภัยใครทั้งนั้น!!!

“สวัสดีครับ...”

“!!!”

ในขณะที่ผมกำลังจะแหกปากร้องโวยวายเสียงดัง คำทักทายของคนที่เดินตามมาด้านหลังก็ดังขึ้น น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั่นทำให้ผมงับปากลงก่อนจะหันไปทางเขา

ผู้ชายตรงหน้ามีผมสีเทา ดวงตาสีฟ้าท้องทะเลที่ดู...ประหลาด เขาสวมเสื้อผ้าโนเนมและตั้งแต่หัวจรดเท้าก็พอจะเดาออกว่ามันไร้ราคาเสียยิ่งกว่าอะไร

ใครกัน....

“นี่คือบรูค อินเดีย ปาร์คเกอร์ คนนี้แหละบาโรห์ผมฝากเขาด้วยนะพี่” เลียมตบที่บ่าของอีกฝ่ายและแนะนำเขาให้กับพวกเรา

“นี่อะไรกันครับ เขาเป็นใครครับพ่อ” ผมหันไปถามพ่อเสียงสูง “เข้ามาได้ไง?”

“เอ่อ...คืออย่างงี้นะบารอน คือพ่อรับเขามาเป็นคนขับรถคนใหม่ของลูกน่ะ”

"พระเจ้า รอบนี้คุณหาคนได้ไวมากเลยค่ะที่รัก”

“เดี๋ยว ๆ ทำไมทุกคนไม่สนใจผมเลย! ทั้งพ่อกับแม่...และอาเลียม...นี่มันอะไรกัน”

“แล้วมันเรื่องอะไรที่เธอจะต้องมายุ่งล่ะ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”

“ผมมีสิทธิ์จะต้องรู้นะ!!” ผมเบ้ปากใส่เลียมแบบจงใจ ขอบอกให้รู้ว่าผมจะไม่ฟังเขาอีกต่อไปและขอไม่ให้การเคารพเขานับแต่บัดนี้

“บารอนใจเย็นก่อนนะลูก คือพ่อเป็นคนขอให้อาเลียมหาคนขับรถมาให้ลูกเอง...”

ในที่สุดพ่อก็สารภาพ ผมกำมือแน่นด้วยความคับแค้นใจ ทำไมพ่อไม่บอกผม ทำไมทุกคนมีความลับกับผมเล่า

“พ่อ!!!”

“เขาเริ่มงานวันนี้ได้เลยนะพี่ ถ้ามีอะไรบอกผมแล้วกัน”

ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังผมเลย ไม่มีสักคน ผมจ้องมองผู้ชายผมสีเทาที่ท่าทางเรียบร้อยจนขัดหูขัดตา เหอะแบบนี้น่ะเหรอจะมาขับรถให้ผม คนแบบนี้น่ะเหรอ โนเนม ไร้ราคาที่สุด!!

“ผมไม่เอาเขา--”

“บรูคน่ะเป็นคนขยันนะพี่ เขามีความอดทนเป็นเลิศ แถมยังสอนง่ายด้วย ไม่ธรรมดา พี่ไว้ใจเขาได้เลย” อาเลียมยิ้มกับพ่อและตวัดตามามองผม "เชื่อสิว่าเด็กก้าวร้าวนิสัยเสียแบบเธอน่ะอยู่กับเขาแล้วจะดีขึ้น”

“พ่อ!! อาเลียมด่าผม” ผมหันไปหาพ่อพร้อมกับถลึงตาใส่ เสียงหัวเราะเอ็นดูออกมาจากปากของแม่และตามด้วยพ่อและคนรอบข้าง แม้แต่เจ้าหัวเทาที่ทักทายว่าตัวเอง...ชื่ออะไรสักอย่างยังยิ้มตาม

ผมไม่ใช่ตัวตลกนะ นั่นแหละที่ทุกคนควรรู้

“อย่าหัวเราะผมสิ ไม่มีอะไรตลกนะบอกไว้เลย!!”

“เอาล่ะบารอนลูกรัก มาทักทายบรูคเขาหน่อยสิ และลูกจะต้องให้เขาดูแลลูกนะ”

“หมอนี่เป็นแค่คนขับรถเท่านั้น ผมไม่ต้องไปจับไม้จับมือเพื่อทักทายเขาหรอก!” ผมประท้วง แต่พ่อกลับหันมาทำหน้าดุใส่ “อย่าทำตัวหยาบคายน่าบารอน... โทษทีนะบรูค ลูกชายฉันเขายังเด็กน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับคุณท่าน ผมไม่คิดมากหรอกครับ”

“นายมีสิทธิ์ที่จะคิดหรือไม่คิดได้ด้วยรึไง?”

"บารอนสุภาพกับเขาหน่อย! "

"พ่อ!! " ผมกัดริมฝีปากล่างอย่างเหลืออด พ่นลมหายใจฟึดฟัดด้วยความหงุดหงิด เมื่อกี้พ่อดุผมอย่างงั้นเหรอ

"เอาล่ะบรูค เดี๋ยวเราเข้าไปห้องทำงานฉันกัน เซ็นสัญญาแล้วก็ฉันจะให้คนพาไปแนะนำภายในบ้านนะ"

"ครับ"

"พ่อ!! ผมไม่เอาเขา ผมบอกว่า--"

"เป็นเด็กดีและม้าจากฟิลแลนด์ที่ลูกบอกผมจะยอมซื้อให้"

ผมทำอะไรไม่ได้ ต่อรองอะไรกับพ่อก็ไม่ได้เลย ทั้งพ่อและอาเลียมต่างพากันเดินไปยังห้องทำงานชั้นสอง ส่วนผู้ชายคนนั้นก็เดิมตามไปด้วย และผมไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้เลย รู้สึกขัดใจสุด ๆ ที่พ่อบีบบังคับผมทางอ้อมแบบนี้

ถ้าเลือกระหว่างหาคนขับรถใหม่ กับอดได้ม้าวิ่งไวตัวงามตัวนั้น... ผมก็จำเป็นต้องเลือกม้าน่ะถูกแล้ว และส่วนเรื่องของคนขับรถ ไว้ผมจะหาทางจัดการเขาทีหลัง และผมจะเล่นงานเขาให้ถึงที่สุด ผู้ชายคนนั้นต้องทนผมไม่ได้ ผมจะทำให้อาเลียมรู้ว่า อย่าได้มาแหยมกับคนแบบ บารอน!!

คนอย่างผมอยากได้อะไร ย่อมต้องได้ และหากไม่ต้องการอะไร ก็จะไม่ยอมให้มันรกหูรกตา เพราะผมเกิดมาเพื่อเป็นคนแรกของโลกที่ได้ทุกอย่างที่ต้องการ

คอยดูแล้วกัน บรูค ปาร์คเกอร์!

________________________

Talk

><  มาแล้วบารอนมาแล้ววววววววววววววววววว ฝากน้องด้วย น้องไม่ได้มาเล่น ๆ แน่นอนจ้าาาาาา

มีคำผิดคำสลับขออภัยหลาย ๆ จ้า
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「ⅱ」Mischievous (1-2) - Jun 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 18-06-2019 16:43:39
「ⅱ」Mischievous


mischievous

(adj.) a mischievous campaign by the press


(http://upload.sodazaa.com/images/2019/06/18/IMG-6196.md.jpg) (http://upload.sodazaa.com/image/iVt71)


ผมกำลังนั่งทานอาหารเช้าไปพร้อมกับฟังเรื่องที่พ่อคุยกับแม่ มันเป็นเรื่องของการที่ผู้ลงทุนคนหนึ่งจะขอมีสิทธิ์ในสัมปทานของภาครัฐที่ทางบริษัทได้รับสิทธิ์ และมันเป็นการตกลงกันที่ไม่ลงตัว พ่อเป็นคนเก่ง เขามักจะหาวิธีการครอบครองทุกอย่างที่เขาต้องการ ผมเรียนรู้ว่าการเป็นแคปรินคอร์นคือไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เราอยากจะเป็นเจ้าของ ไม่มีทางที่จะไม่มีชื่อของเราในสิทธิ์ขาดของการครอบครองมัน

มันเป็นหนึ่งวิธีการคิดแบบคนแคปรินคอร์นเท่านั้น

“สามสิบเจ็บเปอร์เซ็นต์ผมก็ไม่มีวันแบ่งให้เขา ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของแบรนด์หรือผู้ก่อตั้ง ไม่ว่าอย่างไรสองพี่น้องนั่นไม่มีได้แม้เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์" พ่อวางช้อนซุปแครอทลง และรวบมือประสานไว้ที่ใต้คาง "ผมก็จะไม่ให้เขา"

ผมนั่งอยู่ตรงกลางยิ้มมองพ่อในเรื่องการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ผมเทิดทูนเขาและอยากเป็นแบบเขา พ่อของผมเป็นคนเก่ง มันเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมภาคภูมิใจเป็นที่สุด เช้าวันนี้พวกเราทานอาหารเช้ารวมกันที่โต๊ะกลม ห้องรับประทานอาหารถูกล้อมไปด้วยผ้าม่านสีขาวลายลูกไม้ปักสลับสีทองและแดงแบบที่แม่ชอบ ข้าวของทุกชิ้นจะต้องเป็นสีทอง มันแสดงถึงความเป็นต้นตระกูลของผู้ก่อตั้งเมืองนี้ เรียกอีกแบบก็คือสีประจำตระกูลแคปรินคอร์นนั่นแหละ

“ปู่ทวดผมพูดเสมอว่าถ้าเราคิดเมตตาใครสักคนแบบนั้นเราไม่มีทางได้ก้าวมาเป็นผู้นำ ทีแรกผมว่านี่เลือดเย็นมาก แต่หลังจากได้ทบทวนดูดี ๆ แล้ว...ผมว่ามันจริง”

“แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อคะ?” แม่ถามในขณะที่เธอใช้นิ้วก้อยเกี่ยวแก้วชาขึ้นจิบ

ผมเหลือบมองแม่และจิบชาหอมกรุ่นกลิ่นจัสมินตามเธอ แม่และผมหลงรักรสชาติของชาในยามเช้า ผมอยู่ในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนของโรงเรียนชื่อดัง แน่นอนว่ามันเป็นโรงเรียนที่พ่อของผมเสียเงินบริจาคไปไม่น้อย เพราะแบบนั้นผมถึงได้เรียนอยู่ที่นั่นได้ในฐานะของราชินี ผมสามารถครอบครองทุกอย่างของโรงเรียนได้ นี่คือชีวิตที่แสนยอดเยี่ยมของผม

“เอาเป็นว่าผมจะยังไม่ทำสัญญาการค้ากับพวกเขา ขูดเลือดกันชัด ๆ ”

“ถูกของคุณค่ะ” แม่ยิ้ม เธอมักจะเป็นหน่วยสนับสนุนและกำลังใจที่ดีที่สุดของพ่อเสมอ

“พ่อครับ ผมว่าจะบอกให้ผมรู้ว่าอาทิตย์หน้าม้าที่ผมสั่งซื้อจะมาส่งที่คฤหาสน์ของเรา เพราะแบบนั้น ผมจึงอยากให้พ่อทำคอกม้าสำหรับแม็กซิมัส เอาแบบหรูหราและใหญ่พอที่ม้าสายพันธุ์ดีที่สุดจากฟิลแลนด์สมควรได้อยู่” ผมใช้ผ้าเช็ดที่มุมปากและกล่าวขออนุญาตพ่อ

“แน่นอนลูกรัก เราจะทำให้ลูก”

“ผมขอให้เสร็จก่อนที่แม็กซิมัสจะมาถึง”

“ลูกอยากจะให้เราจัดงานต้อนรับม้าตัวใหม่ของลูกมั้ยจ้ะ”

ผมเหลือบตาขึ้นข้างบน ทีแรกก็คิดว่ามันอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่พอมาคิดดูแล้ว ม้าตัวใหม่สายพันธุ์หายากที่สั่งซื้อมาจากเมืองต้นกำเนิดของม้า จะน้อยหน้าใครได้อย่างไร ม้าทุกตัวที่มาถึงได้รับการต้อนรับหมดและม้าตัวโปรดที่ชื่อว่าแม็กซิมัสก็ควรจะได้รับการต้อนรับเหมือนกับทุกตัว

“ผมคิดว่าเราทำแบบที่ผ่านมาก็ได้ครับบ เชิญแขกมาร่วมแสดงความยินดีกับผม จัดงานเล็ก ๆ น้อย ๆ และเชิญนิตยสารของพ่อเข้ามาสัมภาษณ์ผม ผมอยากจะมีภาพภ่ายสวย ๆ ลงปก คนเมืองจะได้ชื่นชมแม็กซิมัสด้วย” ผมเท้าคางกับโต๊ะและพ่อก็พยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นพ่อจะให้เลขาของพ่อจัดการเรื่องนี้ให้...แบบทุกปีเอางั้นมั้ย”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมให้หยางลีกับมารีน่าจัดการก็แล้วกัน งานเล็ก ๆ ไม่ต้องพึ่งพาเธอหรอก” ผมเสนอชื่อพ่อบ้านประจำตระกูลและคนรับใช้ส่วนตัว และพยายามเลี่ยงที่จะอธิบายถึงความคิดเห็นส่วนตัวที่ผมมีต่อคริสตัล เลขาหน้าอกบึ้มของพ่อ...

ผมไม่ชอบคริสตัล มัว เธอเหมือนกับผู้หญิงรสนิยมดีแต่ทำตัวแย่ เหมือนพวกเพชรที่ขัดอย่างไรก็ไม่ขึ้นเงา และที่พ่อรับเธอมาทำงานเพราะเธอทำงานให้ได้ทุกอย่าง เรียกว่าพ่อใช้เธอคุ้มค่าจ้างเลยแหละ

“อีกอย่างนะ ผมมีคนขับรถคนใหม่ เขาคงจะพอช่วยงานได้บ้าง”

ผมว่าอย่างไม่สบอารมณ์นั้น เอาจริง ๆ ผมขัดใจอะไรไม่ได้ แม้ว่าอยากจะทำก็ตามที ผมเลือกแล้วระหว่างไม่รับบรูค ปาร์คเกอร์ เข้ามาทำงานกับไม่เอาม้าตัวใหม่ที่ส่งข้ามมหาสมุทธ

อย่างไรก็จะฉวดม้าตัวนั้นไม่ได้เด็ดขาด กว่าจะสั่งจองและติดต่อซื้อขายได้ไม่ใช่ง่าย ๆ ผมน่าจะเป็นคนแรกของเมืองเลยมั้ง ที่ได้ขี่ม้าพันธุ์ดีขนาดนี้

“เริ่มชอบบรูคมาบ้างหรือยัง เขาดูแลลูกอย่างดีใช่มั้ยล่ะ” พ่อถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไม่ครับ เขาก็ยังเป็นแค่คนขับรถนอกคอกในสายตาของผม”

“ไม่เอาน่าลูกรัก บรูคไม่ธรรมดาลูกก็รู้ นาน ๆ ที่เราจะได้คนขับรถที่จบสูงและเอาค่าแรงแต่จำนวนไม่กี่บาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”

“พ่อก็จ้างเขามาขับรถของพ่อแทนผมสิครับ” ผมตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก การที่พ่อรับเขามาและเอาแต่ยกย่องอีกฝ่ายว่าดีอย่างงั้นอย่างงี้ ที่จริงพ่อก็แค่เกรงใจอาเลียมเท่านั้นแหละ

บรูค ปาร์คเกอร์ ยังคงลอยหน้าลอยตาทำงานในตำแหน่งคนขับรถและหน่วยสอดแนมของพ่อ คงเพราะเขารู้จักกับอาเลียม พ่อเลยคิดว่าเขาน่าจะไว้ใจได้และบรูคมักจะแสดงออกแบบนั้น แต่ว่าผมไม่มีทางยอมหรอกนะ ผมไม่ละความพยายามและยังคงค้นหาวิธีที่จะขับไล่เขาออกอยู่ทุกวัน แม้ว่าจะเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นอยู่บ้างก็เถอะ...

“พ่อมีคนขับรถของพ่อลูกแล้วนี่ลูกรัก”

“แม่ก็รับเขาไปแทนสิครับ เขาน่าจะเอาใจคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี” ผมกอดอกและถอนหายใจ “ยกเว้นผม! ”

“แม่ว่าถ้าเราเปิดใจยอมรับ บรูคก็ไม่ได้เลวร้ายนะบารอน ดีกว่าคนเก่า ๆ ของลูกด้วย”

“เพราะแม่รู้ว่าเขาจะตามจู้จี้ผมแบบที่ไม่มีใครกล้าทำใช่มั้ยล่ะสิครับ!” ผมว่าและมันก็จริงอย่างที่คิด พ่อกับแม่ไว้ใจกับเขาเพราะเขารู้ว่าบรูคจะไม่ตามใจผม คนที่บรูคจะเชื่อฟังคือพ่อและแม่ของผมเท่านั้น

บรูคไม่ยอมแม้กระทั่งจะขับพาผมไปงานปาร์ตี้ ถ้าหากเขาไม่มีคำอนุญาตจากพ่อ และในบางทีถ้าหากว่าผมออกมาเกินเวลาที่กำหนด เขาก็สามารถบังคับผมกลับมาคฤหาสน์ได้ทันเวลาเสมอ... คนอย่างเขาน่ะมันบ้าที่สุดเลย

เพราะบรูคตามใจพ่อและทุกคน ยกเว้นผม คนที่เขารับใช้อยู่!

“ผมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใครนะ”

“บารอนหยาบคายเกินไปแล้ว” พ่อหันมาเอ็ดผมเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด แม้ว่าผมกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้กับชีวิตตัวเองแค่ไหนแต่พวกเขาก็ไม่สนใจ “ห้ามพูดแบบนั้นอีกนะราชินีตัวน้อย ลูกควบคุมอาารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกแล้วรึเปล่า....”

“ไม่ครับ มันไม่เกี่ยวกันเลย และที่ผมพูดน่ะมันคือเรื่องจริง พ่อกับแม่ทรมานผมแบบนั้นจริง ๆ ผมเจ็บปวดมากนะ!”

ผมทำท่าบีบน้ำตา และมันมักจะได้ผลทุกครั้ง...

“พ่อกับแม่ทำกับผมอย่างไรกับผมเป็น..." เป็นอะไรดี อะไรที่มันจะดูน่าสงสารสุด ๆ ในเวลานี้ “เป็นยูนิคอร์นตัวน้อยที่ไม่สามารถบินได้...โดนหักปีกและขังไว้ในคุก” ถ้าเปรียบเทียบตัวเองเป็นสัตว์ ผมจะต้องเป็นแค่ยูนิคอร์นเท่านั้น!!

“ผมอยากจะไปไหนก็ได้ไป แต่ว่าพ่อกับแม่กับส่งเข้ามาขัดขวางผม ห้ามผม แล้วยังส่งตารางเวลาของผมให้กับคนขับรถรู้ พ่อให้เขามามีสิทธิ์มาจัดแจงชีวิตของผม นี่มันเกินไปหน่อยนะครับ! ”

“ใจเย็นสิลูกรัก พวกเราก็แค่เป็นห่วง ลูกสามารถไปได้ แต่มันต้องไม่อันตราย”

“แล้วการไปปาร์ตี้บ้านของครอบครัวทอมสันมันอันตรายตรงไหน ล่าสุดก็คือไม่มีใครอนุญาตให้ผมไป ผมซื้อชุดมาแล้วด้วย!” ผมหันไปย้อนถามแม่ แล้วพ่อก็เป็นฝ่ายหันมาพูดเสียงเข้มใส่ผม “ขอทำความเข้าใจกันก่อนนะพ่อยูนิคอร์นตัวน้อยของพ่อ!”

“...”

“การที่ลูกออกไปปาร์ตี้บ้านของคนที่ทำธุรกิจเป็นคู่แข่งกับพ่อ และยังเป็นอัลฟ่านิสัยแย่แบบนั้นมันไม่อันตรายตรงไหน ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูก รู้ใช่มั้ยว่าฟ้าจะถล่มและแผ่นดินจะพังทลายด้วยน้ำมือของใคร! ”

พ่อเสียงดังขึ้นท่ามกลางโต๊ะอาหารที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บรรยากาศรอบข้างเริ่มน่ากลัวขึ้นทันที

“ลูกอาจจะห่วงเรื่องความสนุกสนานในชีวิตของลูก แต่กับพ่อมันมีแต่ความปลอดภัยของลูกเท่านั้น พ่อกลัวว่ามันจะทำให้ลูกต้องเจอกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ และพ่อไม่มีทางยอมให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น”

“ถ้าอย่างนั้น พ่อก็เอาโซ่มาล่ามผมไว้เลยนะ วันหลังผมจะได้อยู่ในแต่ในบ้านแบบเบลคกับชาร์ด สุนัขตัวน้อยของพ่อ”

“บารอน!! ” แม่ทำตาโตตอนที่พูดขึ้นเสียง แต่ผมไม่สนใจหรอก พวกเขาต่างหากที่ไม่เข้าใจผม พวกเขาทุกคนเลย ทำไมคนอย่างบารอนจะต้องกลัวอะไรด้วย จะมีใครกล้าแตะต้องผม ผมรู้ว่าไม่มีใครกล้าทำอันตรายผมได้เพราะไม่ใช่ว่าผมคือคนของแคปรินคอร์น แต่ผมคือบารอน เด็กผู้ชายที่เป็นราชินีโอเมก้า!

“พ่อไม่ไว้ใจผม แต่กลับไปไว้ใจคนขับรถงี่เง่านั่น สาบานไว้ตรงนี้ว่าผมจะทำให้เขาลาออกให้ได้ คอยดูสิ”

“นั่งลงเดี๋ยวนี้นะราชินีตัวน้อย!” พ่อว่าและชี้นิ้วสั่งผม แต่เขาจะต้องพบกับความเสียใจ

“อย่าเรียกผมว่าราชินีตัวน้อยนะ ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมคือราชินีก็จริง แต่ผมจะไม่มีวันเป็นลิตเติ้ลควีนของพ่ออีกต่อไป” พอกันทีกับการเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไร้อิสรภาพ ผมรีบสะบัดก้นเดินหนีทุกคนออกมาด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดที่สุด

ทำให้พ่อรู้สะบ้างว่าถ้าทำให้ผมเสียใจจะต้องเจอกับอะไร


-------------------
์NEXT (2)
[/b]
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [i] Frantic (1-2) - Jun 17,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 18-06-2019 16:45:02
(2)

...


ผมเดินออกมาจากคฤหาสน์ รีบตรงมาที่โรงจอดรถ และเมื่อมองจากที่ไกล ๆ ก็เห็นเรือนร่างของคนขับรถที่ทำเอาผมหัวเสียเป็นสองเท่า


การที่ผมทะเลาะกับพ่อว่าแย่แล้ว มาเจออัลฟ่าหน้านิ่งผมสีเทานี่แย่กว่าอีก


“ไงปาร์คเกอร์" ผมทักและกอดอกเชิดหน้าแบบทุกครั้ง "เช้านี้หลับสบายมากมั้ย ได้อยู่ในที่ที่ทั้งชีวิตนายก็ไม่มีวันได้อยู่มันดีขนาดไหนนะ บอกหน่อยสิ”


“ก็ดีครับ ผมหลับสบายดี” บรูค ปาร์คเกอร์ยันตัวขึ้น เขาโยนผ้าเช็ดรถลงที่ถังด้านข้าง


“มาแต่เช้าจังครับ ปกติเราจะออกกันช่วงแปดโมงนี่ครับ”


“พูดมากจังนะ รู้มั้ยว่าเสียงของนายทำให้ฉันรำคาญ”


“ครับ”


“เงียบได้แล้ว! แล้วก็อย่าได้มาต่อปากต่อคำกับฉัน” ผมกระทืบเท้าแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย คนขับรถสวมชุดประจำตำแหน่ง ด้วยเสื้อสีดำและสูทสีกรม กางเกงขายาวกับรองเท้าที่ดูไม่เข้ากัน


"ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย คุณเองต่างหากที่มาถึงก็พูดไม่หยุดปาก"


"นี่" ผมร้องเสียงดังเพราะหมดความอดทน เส้นความอดทนของผมบางยิ่งกว่ากระดาษ “ถ้าอยากทำงานกับฉัน ต้องรู้จักจำใส่สมองสามเรื่อง”


ผมยกนิ้วกลางนางและก้อย พร้อมทั้งหยียดยิ้มมุมปากมองคนตรงหน้า “อย่ายุ่งเรื่องของฉัน อย่ามาสั่งสอนฉัน และอย่าประจบประแจงพ่อของฉันจนออกนอกหน้า”


“สามอย่างที่คุณพูดมา ผมไม่เห็นมีอันไหนที่ผมทำเลยสักอัน”


“สาบานมาสิว่านายไม่รู้ ให้ตายเถอะ นายกล้าพูดได้ยังไงนะ”


ผมเอามือทาบอกตัวเองและหัวเราะเยาะกับสิ่งที่ได้ยิน บรูค ปาร์คเกอร์ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเขาทำเรื่องพวกนี้กับผม ทั้งเรื่องที่เอาแต่ยุ่งไม่เข้าท่า จัดแจงชีวิตของผมและบังอาจมาขัดใจผมเพื่อหวังเอาใจพ่อ


คิดว่าไม่รู้หรือไง


“ไม่ว่านายจะหวังอะไรอยู่นะปาร์คเกอร์ มันไม่เป็นผล! ”


“ผมไม่เคยคาดหวังอะไรพวกนั้น ยิ่งกับเด็กเอาแต่ใจแบบคุณหนู ผมยิ่งไม่เคยคิดเลยในหัว” บรูคเท้ามือลงกับหลังรถ “ว่ากันตามตรงแล้ว คุณควรจะขอบคุณผมด้วยซ้ำ ที่อย่างน้อยผมยังอดทนอยู่กับคนแบบคุณได้”


“ทำไมฉันจะต้องขอบใจนายด้วย”


“เพราะว่า ถ้าไม่มีผม คงไม่มีใครแล้วที่จะอยู่กับคุณได้หรอกนะครับบารอน” เขาว่าและทำเหมือนกับตัวเองอยู่เหนือกว่า ไอ้คนทุเรศเลย!!  บรูค ปาร์คเกอร์กลอกตาใส่ผมแบบจงใจก่อนจะหันไปนั่งยอง ๆ เช็ดรถต่อแบบไม่สะทกสะท้าน


เชื่อเขาเลย เจ้าคนหน้าด้าน!


“ลุกขึ้นมา ฉันจะไปเรียนแล้ว”


“เหลืออีกสามสิบนาที คุณเข้าไปนอนเพ้อฝันในบ้านก่อนเถอะครับ”


“วะ...ว่าไงนะ!!” ผมอ้าปากพะงาบ ๆ เพราะสมองคิดคำด่าไม่ทัน เขาเป็นผู้ชายที่ปากจัดและนิสัยแย่ที่สุดเท่าที่ผมรู้จักเลย! 


“ตรงนี้แดดมันร้อน ไปข้างในดีกว่า”


เขาหันมาบอกเสียงรำคาญ ก่อนจะนั่งเช็ดล้อรถด้วยชุดยูนิฟอร์มราคาแพงที่บ้านของผมสั่งตัดให้เขาอย่างดี  “อย่าคิดว่าพ่อฉันสั่งตัดชุดราคาแพงให้นาย มันจะทำให้เขาโปรดปรานนายนะ ฉันคือลูกชายของเขาแล้วฉันก็จะไม่ยอมให้นายอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วย”

บรูคทำงานเป็นคนขับรถและคนจุ้นจ้านมาเกือบเดือนแล้ว ผมไม่มีทางกำจัดเขาออกไปได้ง่าย ๆ ถ้าพ่อยังไว้เนื้อเชื่อใจเขา บวกกับเขาเป็นคนของอาเลียม

คิดดูแล้วผู้ชายคนนั้นก็หาเรื่องให้ผมชะมัดเลย!

“คุณต้องการอะไร?”

“เปล่านี่...แค่จะสั่งสอนนายเฉย ๆ” ผมว่าและเตะถังน้ำของเขาจนมันล้ม น้ำกระจายลงกับพื้น สะใจชะมัดเลย บรูค ปาร์คเกอร์นายได้เจอฤทธิ์ฉันแน่!

“คุณทำอะไร?”

“ขาไปโดนเอง ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่” ผมยิ้มและกอดอกเหลือบมองคนด้านล่าง เวลาที่เราได้อยู่สูงกว่าทุกคนและมองภาพของคนอื่นในมุมนี้มันดีจริง ๆ “อะไร? ฉันบอกว่าไม่ดะ--”

“คุณเกเรกับทุกคนได้ยกเว้นผมคุณหนู”

จู่ ๆ ไอ้มนุษย์อัลฟ่าบ้าพลังก็จับผมกดลงกับรถและใช้มือรวบข้อมือของผมไพล่ไว้ด้านหลัง ผมตกใจจนไม่ทันได้ระวังตัวเอง มัวแต่ตะลึงกับความบ้าเลือดของเขา บรูคกล้าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง!

“ปะ...ปล่อยนะ นายทำบ้าอะไร!!”

“เกเรนักใช้มั้ยไหนดูสิว่าขาไหนที่เตะถังน้ำผม”

เพี้ยะ!!

“!!! นะ...นาย” ผมตกใจจนรู้สึกเหมือนหัวใจร่วงหล่นจากอกไปกองอยู่ที่พื้น บรูคเอามือตีที่ขาผมสองทีก่อนจะแนบใบหน้ากระซิบที่ข้างหูของผม “ขานี้ใช่มั้ยที่เตะถังน้ำผมจนล้มน่ะ?”

“นะ...นายทำบ้าอะไร ปล่อยนะ ปาร์คเกอร์ ฉันบอกให้ปล่อย!!”

“ไม่ จนกว่าคุณจะขอโทษผม”

“ฝันอยู่หรือไง อะ— โอ๊ย!!!” ผมร้องลั่นตอนที่เขาดันผมแนบกับรถจนใบหน้าผมแนบกับกระจกรถที่สกปรกพวกนี้ ทำไมเขาถึงได้กล้าทำกับผมแบบนี้ ทั้งที่เป็นคนขับรถกระจอก ๆ เท่านั้น ทำไมถึงได้กล้าหยามหน้าผม คนจากแคปรินคอร์นที่ทุกคนต่างพากันหวาดกลัวและก้มหัวให้

“ฉันจะ...ฆ่านาย”

“สิ่งที่คุณทำได้แค่ตอนนี้คือการพูดคำขอโทษก่อนจะทำให้เสื้อกนักเรียนราคาแพงของคุณเลอะหมดสภาพ”

“นายมันบ้า”

“ยังดีกว่าเด็กนิสัยเสียแบบคุณ รู้มั้ยว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่น่ารักสักนิด คุณมักทำอะไรสวนทางกับใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มของคุณเสมอ” เขากล้าพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึกผิดแบบนั้นได้ไง ทั้งที่เขากำลังทำร้ายร่างกายของเจ้านายอยู่

ราชินีโอเมก้าอย่างผม ไม่ควรจะมาถูกใครจับอัดลงกับรถแบบนี้!!

“ปล่อยฉันนะปาร์คเกอร์ นายได้เจอดีแน่”

เพี๊ยะ!!

“นายตีตูดฉัน ไอ้บ้า!!” ผมร้องโวยวายเสียงดังและพยายามดิ้น แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีทางสู้พลังของอัลฟ่าป่าเถื่อนสมองนิ่มที่ตัวใหญ่กว่าผมสามเท่าได้!

“ผมบอกคุณแล้วไงว่าให้หัดทำตัวน่ารักหน่อย ช่วยพูดจาให้สมกับเด็กอายุสิบหกก็ยังดี”

“ฉันรู้ว่าฉันน่ารัก แต่ฉันจะไม่ทำแบบนั้นกับคนขับรถแบบนายหรอก” ผมประท้วงไม่ยอมง่าย ๆ บรูคมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้กับผม คอยดูนะผมจะฟ้องพ่อเรื่องที่นายทำแบบนี้ เชื่อสิว่าเขาจะต้องถูกไล่ออก และเขาจะทำให้นายหางานทำไม่ได้อีกเลย เขาจะต้องเจอกับความพังพินาศที่ไม่อาจจะจินตนาการถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

สาบานด้วยเลือดของราชินีโอเมก้า!

“หึ คุณนี่มันเหลือเกินจริง ๆ อยากรู้จักมาคุณมาจากดาวไหน ดาวหลงตัวเองเหรอ”

“ส่วนนายก็มาจากดาวห่วย โลกสิ้นหวังใกล้ตายที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ทุเรศแบบนาย ปล่อยฉันนะปาร์คเกอร์”

“ขอโทษผมก่อนสิครับคุณหนู” บรูคยอกย้อนไม่ยอมปล่อย เขาดันผมติดกับรถจนใบหน้าผมสัมผัสได้ถึงความเย็นชืดและกลิ่นเหล็ก “ถ้าคุณพูดคำว่าขอโทษ ผมจะยอมปล่อยคุณ”

“เรื่องอะไร ฉันทำไมต้องขอโทษคนแบบนายด้วย”

“เพราะคุณใช้ขานี้...” เขาใช้หัวเข่ากดขาของผมจากด้านหลัง “เตะถังน้ำผมจนล้ม มันไม่สมควรว่ามั้ย?”

“เพราะนายกวนประสาทฉัน”

“งั้นผมก็จะไม่ปล่อย” บรูคคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามายื่นข้อเสนอกับบารอน แคปรินคอร์น  ถ้าเกิดว่าผมยอมบรูคแบบนี้ ถ้ามีครั้งต่อไป ผมก็จะต้องยอมให้เขาเสนอเงื่อนไขกับผมได้อีกในหลายเรื่อง ซึ่งผมยอมไม่ได้เด็ดขาด!

ผมไม่ชอบให้ใครเอาอะไรมาต่อรองกับผม และคนแบบผมเท่านั้นแหละที่จะสามารถมีอำนาจต่อรองกับทุกคนได้ แค่ผมคนเดียวเท่านั้น

“อยากโดนตีอีกหรือเปล่า คราวนี้ผมเล็งที่ก้นนุ่มนิ่มของคุณด้วยนะ” ขยะแขยงคำพูดของเขาจริง ๆ “หรือจะให้ผมตีก้นคุณ สัมผัสเนื้อหนังที่คุณหวงแหนแทนคำขอโทษง่าย ๆ แค่สองพยางค์ดีล่ะครับ”

“อย่า...อย่ายุ่งกับฉันนะ”

“พูดหรือว่าไม่พูด”

ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกเกลียดเวลาที่ต้องมาจนมุม ทำแบบนี้ ผมกลายเป็นคนที่ต้องยอมแพ้ง่าย ๆ งั้นสิ ดูเหมือนว่าหนึ่งแต้มของผมจะเสียให้กับบรูค ปาร์คเกอร์ ผู้ชายผมสีเทางี่เง่าแล้วจริง ๆ

“โอเค คุณคงไม่อยากพูด ถ้างั้น....”

“ฉันพูดแล้ว!!” ผมหลับตาและร้องขึ้น “ฉัน...ยะ...ยอมพูดแล้ว”

“ว่าไงนะคุณหนู”

หมอนี่มันกวนประสาทที่สุด คอยดูเถอะอย่าให้ถึงตาผมบ้างนะ ผมจะเล่นงานเขาสุด ๆ เอาให้ไม่กล้าทำแบบนี้กับผมอีกเลย ครั้งหน้าเขาจะต้องระลึกไว้เสมอว่าคนแบบ บารอนที่มีชื่อกลางว่าเดอเรอกู ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถต่อรองหรือต้อนให้จนมุมอย่างผู้แพ้ได้

“ฉันขอ...” ผมกัดริมฝีปากและหลับตาลง ต้องใช้ความกล้าเพื่อปลอบโยนตัวเองให้พูดคำพูดที่อาจจะทำให้ผมเสียใจไปทั้งชีวิต คำขอโทษที่ผมไม่เคยพูดกับใครมาก่อนเลยในชีวิต

ไม่เคยต้องพูดมันเลยไม่ว่ากับใคร!

“ฉันขอ...ขะ...ขอ”

“เร็วสิ แค่สองพยางค์เองนะคุณหนู”

“ขอ...ขะ”  ผมถึงกับพูดติดอ่าง เมื่อเจอกับสองพยางค์ที่ไม่เคยพูดมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ผมพยายามสะกดจิตตัวเอง ขณะที่ร่างกายสั่นเทาไปหมด มันอับอายจนอยากจะร้องไห้ออกมา รู้สึกสิ้นหวังเมื่อพบว่าตัวเองต้องถูกคนขับรถงี่เง่าบังคับให้พูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดอย่างงั้นหรือ “ขอ...ขอโทษ”

“คุณพูดเบาไป ผมไม่ได้ยิน”

“นาย...นายมัน...”

“เร็วสิ พูดให้ชัด ๆ พูดดัง ๆ ลองทำให้มันชัดเจน แบบเวลาที่คุณเตะถังน้ำของผมหรือกล้าพูดจาไม่ดีใส่ผมหรือใคร ๆ ลองทำสิ...”

“ขอ...ขอโทษ!! พอใจหรือยัง!” ผมหลับตาและร้องออกมาเสียงดัง อยากจะหันไปชกหน้าบรูคแต่ผมไร้เรี่ยวแรง คำพูดพวกนั้นทำลายความมั่นใจและศักดิ์ศรีของผมไปจนสิ้น

ผมจะไม่มีทางยอมให้ผู้ชายคนนี้ได้ใจ ถ้าผมเจ็บใจเขาก็จะต้องเจ็บด้วย ถ้าใครทำให้ผมขายหน้ามันก็จะต้องขายหน้ากว่าผมหลายล้านเท่า

จำไว้!






--------------------------
Talk

เริ่มเรื่องน้องอาจจะดูน่าเบื่อไปหน่อย เดี๋ยวสักตอนที่สามที่สี่ก็คืออุก ๆ มากกกกกกจ้า งงมากว่าทำไมเขียนCUT ขนาดนี้ได้ไง ไว้เจอกันนะคะ อิอิ

น้องบารอนก็จะเอาแต่ใจ นิสัยไม่ดี พูดไม่เพราะ ไม่สนใจใคร แต่เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้คนเห็นพัฒนาการของนางนะ

จากคนที่เป็นแบบนี้พอมีความรักเขาจะเปลี่ยนไปแบบไหน มาดูกัน
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「ⅱ」Mischievous (1-2) - Jun 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 19-06-2019 19:43:14
จะรอดูบารอนตอนโดนปราบ
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅲ 」Antagonist (1-2) : Jun 22,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 22-06-2019 13:28:35
「 ⅲ 」Antagonist

(n.) A person who actively opposes or is hostile to someone

or something; an adversary.

(https://uppic.cc/d/KLRe) (https://uppic.cc/v/KLRe)




ผมนั่งคิดแผนไล่บรูคออกเป็นวัน ๆ คิดแล้วคิดอีกก็ไม่มีทางสำเร็จ ผู้ชายคนนี้ปรสิตที่ชั่วร้ายซึ่งจะไม่มีทางสลัดออกไปง่าย ๆ ผมทำเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่มันก็พังไม่เป็นท่าทุกที ทำไมจะต้องมาเจอเรื่องปวดหัวแบบนี้ด้วย ทั้งที่คนอย่างบารอนน่ะไม่เคยต้องคิดมากกับเรื่องไหนเลย ผมไม่เคยต้องมาคิดมากเรื่องของใคร คนไหนที่ผมไม่ชอบหน้าผมก็จะหาทางจำกัดให้พ้นหูพ้นตา แต่ดูเหมือนบรูคจะไม่สามารถกำจัดได้ง่าย ๆ

“เลิกทำแผนฆ่าคนขับรถของนายได้แล้ว” ฮาเปอร์เพื่อนของผมยับมาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบบอก

เรานั่งข้างกันในวิชาเคมี ผมเท้าคางเหม่อมองไปยังด้านนอกประตู ก่อนจะเห็นมนุษย์อัลฟ่าตัวสูงที่เดินผ่านไปมาสองสามรอบ หน้าที่ของเขาอย่างที่สองนอกจากรับรถแล้ว คือการเฝ้าดูแลผมในระยะห่าง ๆ ผมรู็สึกเหมือนกับสูญเสียอิสระภาะ และเขาให้อารมณ์เหมือนผู้คลุมวิญญาณ...

“เธอจะต้องไม่เชื่อแน่ว่าเขาทำอะไรกับฉันบ้าง ผู้ชายบ้านั่นน่ะมันโรคจิต”

“ใช่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาหล่อชะมัดเลยว่ามั้ย? นายมีคนขับที่โคตรดูดี”

ได้ยินฮาเปอร์พูดแบบนั้นแล้วผมอยากจะอาเจียน ผมเบ้ปากและดึงเธอมาเขย่าเพื่อเรียกสติ

“เขาไม่มีวันดูดี เขาทุเรศจะตายไป”

“ไม่เอาน่า เขาดูหล่อมาก ไม่เฉียดใกล้คำว่าทุเรศแม้แต่นิด และฉันชอบนะ”

“อย่าทำตาเยิ้มใส่หมอนั่นแบบนั้นนะ!” ผมขู่

“ทำไม นายหวงเหรอ?”

“ฮาเปอร์!! ให้พระเจ้าเมตตาเถอะ ดูเธอพูดเข้าสิ อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ ฉันขนลุกไปหมดแล้ว” ผมว่าและลูบแขนตัวเองด้วยท่าทางรังเกียจ แม้ว่าฮาเปอร์จะชมว่าบรูคหล่อ (และเขาหล่อจริง ๆ ) แต่สำหรับผม...เขาก็แค่คนที่ต้องกำจัด และผมจะต้องเอาเท้าบีบให้แหลกคล้ายกับพวกแมลงสาบ!

คอยดูแล้วกัน บรูค ปาร์คเกอร์!

“ได้ยินเรื่องของแม็กทีสยังบารอน”

“หมอนั่นทำอะไรอีกล่ะ?” ชื่อนี้ทำให้ผมหัวเสียนิดหน่อย 'แม็กทีส' เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญที่สุดบนจักรวาลนี้ และเขาคือศัตรูของผมตลอดกาล ประมาณคู่ปรับที่ไม่เคยชนะผมสักครั้ง

“ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนที่ฉันประกาศตัวจะลาออกจากชมรมการแสดงแล้วแม็กทีสจะขึ้นมาแทนที่ประธานหรอกนะ”

เมื่อสองวันก่อนผมประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะลาออกจากตำแหน่งของประธานชมรมเหตุผลเพราะ เบื่อ...ผมหมดความตั้งใจกับชมรมการแสดง และกำลังจะหาชมรมใหม่ที่สามารถสร้างผลงานเพื่อให้ผมก้าวหน้าสู่มหาลัยชั้นนำอย่าง 'เยลโอเวิลซิทตี้' ได้เหมือนกับพ่อ

บางทีตำแหน่งของตัวแทนนักเรียนที่ขึ้นไปผู้เอ่ยรายชื่อของรุ่นพี่ในงานประกาศนียบัตรวันสำเร็จการศึกษา ก็เป็นเรื่องที่เข้าท่าเหมือนกัน ในงานวันนั้นบรรดาแขกคนสำคัญมากมายคงจะเข้ามารวมงานด้วย และผมอาจมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับผู้อำนวยการของมหาลัย'เยลโอเวิล

การได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับพ่อ ถือว่าเป็นเป้าหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต ผมถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล มันเหมือนกับการสืบทอดที่ผมจะต้องทำตามเจตนารมณ์พวกนี้ให้ได้

“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกน่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าหมอนั่นน่าจะรู้เรื่องที่โอลิเวอร์มาส่งสายตาให้นายแล้ว และเชื่อสิว่าแม็กทีสจมูกดีจนสืบรู้ด้วยว่านายไปนั่งดูแฟนหุ่นล่ำของหมอนั่นซ้อมรักบี้ที่ข้างสนามทุกเย็น”

“ฉันไม่ได้เฝ้านะ ให้ตายเถอะ โอลิเวอร์มาขอร้องให้ฉันไปดูเขาซ้อมรักบี้ต่างหาก และมันไม่ได้เสียหายนี่ถ้าฉันจะไป” ผมยักไหล่อย่างไม่แยแส โอลิเวอร์ที่ว่าเป็นแฟนหนุ่มรักกีฬาของแม็กทีส ผู้ที่เป็นอดีตเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของผมเอง

ให้เล่าเรื่องของแม็กทีสละก็...เล่าทั้งชีวิตก็คงไม่หมด เอาเป็นว่าผมกับหมอนั่นเป็นคู่แข่งกัน อันที่จริงแล้วมีแต่แม็กทีสที่คิดว่าผมคือคู่แข่ง เพราะสำหรับผมหมอนั่นไม่เฉียดใกล้คำนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าผมไม่เคยแพ้ ไม่ว่าจะกับเรื่องไหนก็ตาม!

“ทุกคน...”

ฝาแฝดมาเคย์ล่าและเควินเดินเอ่ยทักพวกเรา พร้อมกับทิ้งสะโพกลงกับเก้าอี้ด้วยท่าทางหงุดหงิด พวกเขาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับผม แต่เพราะวันนี้แบ่งกลุ่มกันผสมสารเคมีในหลอด มาเคย์ล่าและเควินก็เลยเลือกที่จะจับคู่กันเอง พวกเขาเหมือนไม่ซี้กันแต่พวกเขาตัวติดกันตลอด...

“พนันได้ว่าเธอการหยดเลือดลงไปในไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ของเธอคงไม่แสดงปฎิกิริยาอีกแน่นอน" ฮาเปอร์สะบัดผมหางม้าของเธอไปด้านหลัง

สองพี่น้องฝาแฝดพ่นลมหายใจพร้อมกัน และเควินเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน "ไม่ใช่ แน่นอน เรื่องไร้สาระพวกนั้นไม่อยู่ในหัวของเราหรอกนะ" มาเคย์ล่าพูด

"เรามีเรื่องที่มีสาระกับราชินีกว่านั้นอีก"

"เรื่องไหน?" ผมถาม

“ไม่แน่ใจว่านายรู้เรื่องรึยังนะบารอน แต่นั่นแหละ ฉันพึ่งเจอข่าวเมื่อเช้าในกระทู้...” เควินเป็นฝ่ายว่าพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ผม

หน้าจอสีฟ้าปรากฏรูปภาพของแม็สทีสกับการทำกิจกรรมที่ทำให้ผมตาโต เราต่างรู้ดีว่าแม็กทีสเดินตามหลังผมทุกก้าวเสมอ แต่ว่ากับเรื่องนี้เนี่ยนะ...

จะลงโต้วาทีเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนนักเรียนจากผมงั้นเหรอ?

“พระเจ้า...หมอนี่รู้ได้ไง ฉันจะลงโต้วาทีเพื่อเอาตำแหน่งนี้" ผมโวยวายเสียงดัง "นี่มันตัดหน้ากันชัด ๆ ฉันต่างหากที่ควรเป็นข่าวไม่ใช่แม็กทีส พระเจ้า!!”

ถามว่ามันมีความหมายอย่างไรกับผมงั้นเหรอ กับชมรมโต้วาที สำหรับนักเรียนที่มีผลงานในแต่ละปี นักเรียนผู้นั้นจะได้รับหน้าที่สำคัญของโรงเรียน และต้องพิสูจน์ความสามารถตัวเองด้วยการลงโต้วาที อาจารย์จะคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมกับหน้าที่อันทรงเกียรติในวันงาน ไปร่วมกิจกรรมด้วย และผมจะไม่พลาดในการเป็นตัวแทนของนักเรียนที่ขึ้นประกาศรายชื่อของเหล่านักเรียนที่จบการศึกษาในวันงานเกียรติยศอย่างแน่นอน

ตอนนี้แม็กทีสต้องการเปิดศึกกับผมงั้นสิ!

“นั่นแหละที่อยากจะบอก แม็กทีสน่ะรู้หมดเลยว่านายต้องการอะไร ตำแหน่งตัวแทนนักเรียนบนเวทีอันทรงเกียรติในวันเกียรติยศไงล่ะบารอน แม็กทีสบอกว่าจะลงสมัครโต้วาทีด้วย” มาเคย์ล่าเสริม

“ไหนขอดูบ้างสิ! ”

ผมยื่นโทรศัพท์ให้กับฮาเปอร์พร้อมกับรู้สึกถึงความโกรธที่แผ่ไปทั่วร่างกาย หมอนั่นอยากจะได้ดีกว่าผมทุกชนิด ทุกอย่างและใช่แน่ ๆ ว่าเขาจะต้องไปรู้ความลับนี่มาจากโอลิเวอร์ ผู้ชายปากสว่างที่ไว้ใจไม่ได้

“นายคงไม่ได้หลุดปากบอกใครเรื่องที่จะ...”

“ฉันคุยกับโอลิเวอร์” ผมว่า... “แต่ว่า...ไม่คิดว่าเขาจะไปบอกแม็กทีส”

“พวกเขาคบกันนะ”

“นั่นสิ นายไม่ควรไว้ใจคนพวกนี้” สองฝาแฝดสลับกันพูด ในขณะที่ฮาเปอร์ยังคงใจเย็น เธอเป็นคนเดียวที่ทรงสติปัญญาคล้ายกับเทพีอาธีน่า และหลายครั้งที่ผมต้องพึ่งพาเพื่อนสาวผมทองตาสีเขียวคนนี้

“เอาเป็นว่าวันนี้ตอนเที่ยง พวกเราจะต้องไปที่ชมรมและอย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเราจะสู้ไม่ถอยกับแม็กทีส!”

“เขายังไม่เลือกใครลงเป็นตัวแทนนี่” มาเคย์ล่าว่า “อีกอย่างนะ นายไปที่นั่น อย่างไรพวกเขาก็ต้องรับราชินีแบบนายอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย”

“ฉันไม่ได้กลัว แต่รู้สึกเหมือนถูกแย่งกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่เหลืออยู่แค่ใบเดียว และดูเหมือนว่าแม็กทีสจะได้สัมผัสมันก่อน!”

“โอลิเวอร์ไว้ใจไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบทำเหมือนชอบนายแต่ก็ไม่เคยเลือกนายเลย”

“เลิกพูดสักที!” ผมหันไปกลอกตาใส่ฮาเปอร์

ผมรู้ว่าโอลิเวอร์เป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพวกที่เล่นด้วยยากขนาดนี้ อีกอย่างผมไม่ได้หลงเสน่ห์ของหนุ่มนักกีฬาคนนั้นจนยอมให้ใครมาปั่นหัวได้

“โอเคพวกเราไม่พูดแล้ว...งั้นวันนี้เราก็ไปที่ชมรมกัน ประกาศให้คนรู้ไปเลยว่าพวกเราจะทำอะไร”

“เยี่ยม...” ผมเชิดหน้าขึ้น “ฉันจะทำให้แม็กทีสรู้สึกถึงรสชาติของการถูกเขี่ยลงจากที่สูงน่ะมันเป็นยังไง!”



....

การเป็นราชินีไม่ใช่เรื่องง่าย และใครก็เป็นกันไม่ได้ ผมถูกเลือกให้เป็นราชินี ทุกคนรู้กฎดีกว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรกับราชินี ในโรงเรียนทุกคนมักจะให้เกียรติผม เทิดทูนผม ยกย่องและชื่นชมผม ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนทุกคนก็จะให้ความสำคัญ การเป็นที่แสงสว่างเดียวบนฟ้าทำให้ผมไม่อยากจะแบ่งพื้นที่เหล่านั้นให้กับใคร เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีวันยอมให้บนท้องฟ้ามีดาวดวงไหนเปล่งประกายแสดงแข่งกับดวงอาทิตย์แบบผม และแม้แต่ดวงจันทร์น้อยแสงอย่างแม็กทีสก็จะต้องตกกระป๋อง!

เพราะผมกับเขาต่างกันสิ้นเชิง ถ้าฉลามคือราชาในมหาสมุทร ผมก็จะเป็นสิ่งนั้น และแม็กทีสก็จะเป็นแค่ปลาตัวน้อยที่ถูกผมกิน

“ขอร้องล่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจบอกแม็กทีส เขาบังคับฉันให้พูด ฉันเลยต้องพูด!”

“ก่อนอื่นเลยนะ เธอช่วยขยับออกห่างจากฉัน และอย่างที่สองกลิ่นตัวเธอมัน โอ้พระเจ้า...” ผมเอามือปิดจมูกและหันไปมองเพื่อน ๆ ด้านหลังที่ทำแบบเดียวกัน “ไม่ว่ากันนะ แต่ว่ากลิ่นเครื่องเทศในตัวเธอมัน ชวนอาเจียนน่ะ”

“บารอนได้โปรด อย่าไล่ฉันออกจากกลุ่มเลย”

“เธอไม่ได้อยู่กลุ่มฉันแต่แรก อีกอย่างนะ ฉันไม่รับคนใหม่เพิ่ม และยิ่งกับเธอแล้วด้วย” ผมไม่ขอเสียเวลากับเด็กกลิ่นตัวขึ้นจมูกคนนี้ “เอาล่ะ ได้ยินชัดแล้วนะ หลีกทางไปให้พ้น”

“บารอนได้โปรด...”

“ฉันคิดว่าฉันพูดไปแล้วนะ และเธอน่าจะรู้ว่าฉันไม่ชอบพูดซ้ำ” ผมว่าและโบกมือไล่เด็กสาวผมดำ ตาสีฟ้าที่ทำหน้าที่เป็นลูกกระจ๊อกให้กับผม เธอพยายามที่จะขอมานั่งรวมกลุ่มกับพวกเราเหมือนกับมันคือความฝันสูงสุดของเธอ

เห็นได้ชัดว่าเธอทำให้ผมหงุดหงิดแค่ไหน ตั้งแต่ปากโป้งบอกเรื่องที่ผมจะลงตำแหน่งตัวแทนนักเรียนไปจนถึงเรื่องที่ผมไปส่งสายตาให้แฟนของแม็กทีส!

“ได้โปรด ให้อภัยฉันเถอะนะบารอน”

“อย่าให้ฉันต้องพูดอีกครั้งนะ ไปให้พ้นหน้าฉัน! ” ผมพยายามที่สุดที่จะไม่สนใจกับคำอ้อนวอนที่น่ารำคาญของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอคล้ายกับแมลงสาบที่ชอบทำตัวน่ารำคาญ “เธอช่วยเข้าใจด้วยว่าฉันไม่เคยบอกว่าจะให้เธอนั่งร่วมโต๊ะกลางวันกับเรา ถึงแม้เธอจะใส่เสื้อมาถูกสีก็เถอะ”

“แต่คุณบอกฉันแล้ว อีกอย่างนะฉันส่งจดหมายลับให้กับโอลิเวอร์สำเร็จ คุณบอกว่าถ้าฉันทำได้ฉันจะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับราชินี! ”

“นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครงั้นเหรอ?” ผมหมดความอดทนเพราะยัยนี่พยายามข่มขู่ผม หาข้อมูลพวกนี้มาแบล็คเมล์ผมก็เท่ากับเอาเชือกมาแขวนคอตัวเอง “ฟังให้ดีนะ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรเพื่อฉันมากแค่ไหน แต่คำสั่งของฉันคือคำขาด ต้องเสียใจด้วยที่จะบอกว่าเธอถูกไล่ให้ไปให้พ้นสายตาราชินี”

“พระเจ้า...” เธอกำลังจะร้องไห้ และผมไม่แยแส ผมจะเขี่ยเธอทิ้งเหมือนกับเศษผงที่ติดเสื้อ “ชิ้ว ๆ ไปให้พ้นไป”

“ฮึก...คุณไม่รักษาสัญญา”

“อะไรที่เรียกว่าไม่รักษาสัญญา”

“คุณจะให้ฉันเข้ากลุ่ม คุณบอกฉันแล้ว และอีกอย่าง--”

“โทษทีนะแม่สาวน้อย...” ผมหัวเราะพร้อมกับขยับเข้าใกล้ยัยปฏิบัติสีฟ้าน่าเกลียดที่ผมจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อ “ฉันเนี่ยน่ะเหรอจะยอมรับเธอเข้ากลุ่ม? ฝันกลางวันงั้นสิ”

“คุณบอกเอง คุณพูดว่าถ้าฉันทำได้ คุณจะต้องรับฉัน ให้ฉันมาเป็นส่วนหนึ่งของคุณ”

เด็กสาวที่ไหนก็อยากได้รับการยอมรับจากราชินีทั้งนั้น

“ยัยนี่พูดจริงเหรอบารอน” เควินอ้าปากค้างและชี้ไปทางยัยผมดำ “จะให้เธอเข้ากลุ่มเราจริงเหรอ”

“ให้ตายเถอะ ไม่มีวันหรอกน่า! ”

ผมหันไปบอกกับเควินและยิ้มให้กับสมาชิกที่เหลือซึ่งยืนมองผมอย่างไม่ไว้ใจอยู่ด้านหลัง เอาล่ะต้องเรียกความมั่นใจกับมา อย่าทำให้ใครสมเพชราชินีเป็นอันขาด

“เอาล่ะ มาทำความเข้าใจกันนะ...มาแชล”

“โนร่าต่างหาก”

“จะอะไรก็ช่างยัยตาสีฟ้าน่าเกลียด เอาหูข้างที่ดีของเธอขยับเข้ามาฟังฉันให้ฉัน ๆ แล้วเงียบปากเวลาที่ฉันพูด”

“...”

ผมว่าก่อนจะก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ทุกคนที่อยู่ในโรงอาหารใหญ่ชั้นวีไอพีหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว อย่างหนึ่งที่ผมเข้าใจคือยัยนี่น่าจะเป็นลูกคนมีเงินที่เต็มไปด้วยความคิดเพ้อฝัน

“กลุ่มฉันเต็มแล้ว ไม่ว่าอะไรที่ฉันพูดกับเธอละก็มันไม่มีวันเกิดขึ้นจริง โลกก็แบบเนี่ย เต็มไปด้วยการทรยศหักหลัง”

“คุณ...”

“ระหว่างเรามันคือความเหมาะสม ถ้าตรงนี้ฉันบอกว่าไม่ เธอก็ไสหัวไปได้แล้ว” ผมยิ้มก่อนจะหันหลังเกินกลับมาแต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปไหน ยัยบ้านั่นก็ปาผลไม้ใส่หัวผม มันแรงพอที่จะทำให้ผมเซไปเลย

บ้าจริง

“นายมันคนทุเรศ!! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้การมาพูดแบบนี้กับฉัน!! ”

“!!! ”

“พระเจ้า...”

“หล่อนปาผลไม้ใส่ราชินี”

“นรกแล้วแน่ ๆ”

ผมหลับตาลงและนับหนึ่งถึงสามแค่ในใจเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาเธอ พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มอาบยาพิษ

“ฉันคงจะทำให้เธอโกรธนะ...ว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ พอดีว่าชื่อเธอมันไม่เคยเข้ามาในหูฉันเลย”

“นะ...โนร่า”

“โนร่า! ” ผมพยักหน้าพร้อมกับพึมพำชื่อนี้อย่างเลือดเย็น โนร่านี่แหละมั้งที่การเกิดมาเป็นแมลงน่ารำคาญ หรือสัตว์ตัวเล็กที่มักจะพยายามใช้ความกล้าหาญที่มีแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น!

“ฉันเริ่มจำเธอได้แล้วสิ เธอคือโนร่าคนที่แม่เปิดบาร์โชว์โป๊และทำกาสิโนใต้ดินต้อนรับแขกเกรดสามหลังจากที่คาสิโนของอาฉันถูกสั่งปิดใช่มั้ย?” ผมกอดอกยิ้มกับการตั้งคำถาม และอีกฝ่ายไม่ตอบ

ดูเหมือนสีหน้าของเธอจะแสดงสีหน้าหวาดกลัวได้อย่างเดียวในเวลานี้

“จะบอกให้เธอรู้ไว้นะ ว่าโลกน่ะมันมีหลายระดับ เธอคาดหวังจะเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน เพราะเธอก็เป็นโอเมก้า คิดฝันว่ามันคือความเท่าเทียม แต่ไม่มีหรอกนะที่รัก เพราะโลกนี้สิ่งที่คุ้มครองเธอตั้งแต่อ้าปากร้อง 'อุแว้' ก็คือนามสกุลที่ต่อท้ายชื่อของเธอ ยอมรับเถอะว่ามันมีอิทธิพลแค่ไหน...”

“...”

“และเสียใจด้วยที่ฉันเกิดมาเป็นลูกของ บาโธโรมิวซ์ แคปรินคอร์น เห็นหรือยังว่าเราต่างกันตรงไหน ฉันทำอะไรได้และเธอทำอะไรหลายอย่างไม่ได้ ในขณะที่เธอครอบครองได้แค่บางอย่าง ฉันกลับครอบครองได้ทุกอย่าง!” ผมยกจานมักกะโรนีอบชีสขึ้นและเทมันใส่รองเท้าตัวเอง "เช่น...ถ้ารองเท้าฉันเปื้อน คนที่จะก้มลงไปเช็ดไม่ใช่ฉันหรอก..”

ผมยิ้มและกำต้นแขนเธอไว้แน่น ส่งสายตาที่บอกกับเธอว่า ‘หล่อนเล่นผิดคนแล้วที่รัก’

“แต่มันคือเธอต่างหาก..." ผมใช้นิ้วจิ้มที่อกอีกฝ่าย "ถอดเสื้อออก! ”

“วะ...ว่าไงนะบารอน”

“ได้ยินชัดแล้วนี่ ถอดเสื้อออกแล้วเอามันมาเช็ดที่รองเท้าฉันเดี๋ยวนี้”

“ฮึก...ขอร้องล่ะ”

“จะให้เป็นแค่เสื้อหรือว่าเส้นผมเธอดี”

ผมไม่สนใจหรอกว่าสายตาคนอื่นจะมองอย่างไร ก็โลกมันเป็นแบบนี้ มาตรฐานของพวกเราไม่เท่ากัน รับรู้ไว้ด้วยว่าถ้าคุณรวยแต่ไร้ซึ่งอิทธิพลมันก็เหมือนกับการมีเงินแต่อยู่กลางทะเลทราย สุดท้ายก็ต้องตายเพราะไร้ค่าไม่มีความหมาย แต่การที่ผมมีทั้งเงินและอำนาจมันหอมหวานอย่างเห็นได้ชัด

“เร็วสิ เธอคงไม่อยากให้ฉันเลือกใช่มั้ย ระหว่างเอาเสื้อเธอเช็ดกับผมของเธอเช็ดคราบมักกะโรนีที่รองเท้าของฉันน่ะ”

“ว้าว...หล่อนโดนแล้ว”

“เอากล้องขึ้นมาเลย”

“ราชินีกำลังจะเชือดคนไม่เจียมตัว” เสียงตะโกนดังไปทั่วทั้งเสียงเชียร์และเสียงหัวเราะ ผมขบขันกับความไร้ค่าของเธอและนั่นแหละที่ผมชอบ

การอยู่อย่างไม่ยุติธรรม มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากแต่เข้าใจได้ง่าย ๆ เหมือนกัน...

“เร็วสิ!! ”

ผมยื่นเท้าไปข้างหน้าและสั่งให้เธอทำตามที่ผมบอก โนร่าค่อย ๆ ย่อตัวลง เธอร้องไห้ออกมาแต่ไม่มีใครสนใจ ไม่แม้แต่จะมีใครยื่นมือเข้ามาช่วย พวกเราทุกคนรู้ระบบดี ผมอยู่เหนือทุกอย่าง สิ่งที่ทำให้ผมเกิดมาเป็นแบบนี้คือการที่โชคดีไม่ใช่เพราะใครทำให้มันเกิดขึ้น

“เอาสิ เช็ดเลย”

“ฮึก...” โนร่าถอดเสื้อตัวเองออก เสียงร้องแซ็วดังไปทั่ว ผมกอดอกและเหยียดยิ้มมองแมลงที่อยู่ปลายเท้าก่อนจะหันไปยิ้มกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ด้านหลัง

พวกเธอคงรู้แล้วว่าราชินีแบบผมทำได้ทุกอย่าง และยัยโนร่าอะไรนี่คงจะจำชื่อของผมได้ไปทั้งชีวิต

“ฮือ...”

“ว้าว ๆ ดูเธอสิ”

“บราสีดำด้วยแฮะ”

“เอาเลยคนสวยถอดเลย”

“เร็ว ๆ เข้า!!” ผมย้ำอีกครั้ง และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมเหมือนกับมีพลังงานไหลเวียนอยู่รอบตัวแต่แล้วก่อนที่โนร่าจะทันได้ถอดเสื้อออก จู่ ๆ ก็มีเสื้อคลุมตัวใหญ่หล่นทับเธอ พร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายที่โง่งี่เง่าที่สุดในชีวิต

“พวกคุณสนุกกันพอแล้ว...”

“บรูค?”

“ไม่มีอะไรน่าสนใจตรงนี้ แยกย้ายกันไปกินข้าวได้แล้ว!”

เขามายุ่งกับเรื่องระบบการปกครองในโรงเรียนของผมงั้นเหรอ ให้ตายเถอะพระเจ้า!! ผมอยากจะฉีดเขาเป็นชิ้น ๆ เขาทำให้ขายหน้าคนทั้งหลาย มากกว่านั้นคือทุกคนกำลังแสดงท่าทางไร้ศรัทธาต่อผม

“หยุดนะ อย่าช่วยเธอ!!”

“คุณยังเป็นคนอยู่มั้ยบารอน? เธอทำอะไรผิดงั้นเหรอ”

“ฉันบอกว่าอย่ายุ่ง!” ผมร้องบอก แต่บรูคไม่ยอมหยุด เขาประคองโนร่าขึ้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็หันมาทางผม “หมดเวลาเล่นบทราชินีใจร้ายแล้ว ไปได้แล้วทุกคนเลย!”

“เขาเป็นใครน่ะ ผู้ชายคนนั้น”

“คนของบารอนเหรอ?”

“พระเจ้า ดูจะไม่ใช่นะ เขากล้าพูดกับราชินีแบบนี้ได้เหรอ?”

เสียงซุบซิบทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนเพราะความอับอาย ทำไมเขาจะต้องมาหักหน้าผมแบบนี้ ทำไมกัน ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนขับรถคนนี้จะสร้างเรื่องให้ผมขนาดนี้

“ปาร์คเกอร์ นายกำลังทำให้ฉันขายหน้า!”

“นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร กำลังวางระบบการปกครองโรงเรียนภายใต้อำนาจของคุณงั้นเหรอ คิดจะตั้งตัวเองเป็นเผด็จการขนาดย่อมงั้นสิคุณหนู ผมว่ามันเกินไปแล้วมั้ง เด็กสาวคนนี้ทำอะไรผิดขนาดที่คุณจะต้องให้เธอถอดเสื้อเพื่อเอาเสื้อมาเช็ดรองเท้าของคุณ”

“หุบปากและออกไปให้พ้น!” ผมย้ำกับคนงี่เง่าครั้งที่สอง

“คุณนี่มันนิสัยเสียกว่าที่คิดไว้นะบารอน”

บรูคพูดประโยคที่ทำให้ผมพูดไม่ออก ผมมองไปรอบ ๆ ข้าง และทุกคนต่างพากันชี้มาทางผม สายตาพวกนั้นที่มองผมทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะถูกหนังยาดีดเข้าที่หน้า มันเป็นแววตาที่ดูแคลนราชินีอย่างที่สุด!!

และที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เป็นเพราะบรูคคนเดียว!!

“ฉัน...จะไม่ให้อภัยนายเลยบรูค สาบานตรงนี้!! ”

“เป็นเกียรติจังเลยนะที่ถูกคุณอาฆาตแบบนั้น”

“ฉันพูดจริงนะ ฉันจะทำให้นายลำบากไปทั้งชีวิตและนายจะไม่มีความสุขนับแต่นี้ไป แล้วนายจะรู้สึก!!”

ผมร้องบอกเสียงดัง รู้สึกโกรธจนอยากจะทำลายข้าวของแล้วกรีดร้องออกมา ผมจะโทรบอกพ่อให้เขาไล่หมอนี่ออกพร้อมกับทำลายชีวิตของเขาให้พังย่อยยับเลยคอยดูเถอะ

"กลัวตายล่ะ คุณคาดหวังว่าผมทำหน้าแบบไหน?”

“นาย...”

“ทำหน้าแบบนี้งั้นสิ...” บรูคทำหน้าทำตาเสแสร้งว่าเขากลัวสุด ๆ ก่อนจะชี้นิ้วใส่ผม “คุณคิดผิดแล้วบารอน เด็กแบบคุณน่ะมันก็แค่ผู้ก่ออาชญากรรมในร่างเด็ก”

“เขาว่าราชินีด้วยคำพูดนั้น พระเจ้า...”

“พระเจ้า...คนขับรถของบารอนนี่น่า”

“บรูคฉันเตือนนายแล้วนะ อย่าทำให้ฉันขายหน้า รีบออกไปจากที่นี่!”

ผมพยายามให้โอกาสเขาแล้ว แต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจเสียงของผมสักนิด บรูคหันไปส่งเด็กสาวด้านหลังพร้อมกับกระซิบบอกเธอว่า “ออกไปได้แล้ว ไปห้องพยาบาลแล้วแจ้งอาจารย์เรื่องที่เกิดขึ้น”

“หยุดนะโนร่า ถ้าเธอก้าว--”

“พอสักที ทุกแยกย้ายก่อนที่ฉันจะบอกอาจารย์ให้ลงโทษพวกเธอทุกคนที่อยู่ตรงนี้!” บรูคพูดแทรกและกระแทกเสียงใส่ทุกคน “นี่ชอบเห็นคนอื่นถูกรังแกหรือไง สนุกนักสินะ ฉันจะส่งเรื่องนี้ถึงพ่อแม่พวกเธอแย่แค่ไหน!”

“ปาร์คเกอร์ นายคิดว่านายเป็นใคร?”

ให้ตายเถอะ เขารู้ตัวมั้ยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไอ้คนทุเรศเอ๊ย!!

“นายกล้าที่จะเข้ามายุ่งเรื่องของเจ้านายงั้นเหรอ...พ่อแม่นายไม่สั่งสอนหรือไง?”

“มันมากไปหน่อยมั้ยบารอน!!” เขาเดินเข้ามาแล้วคว้าแขนผมไว้ “คุณเลิกทำตัวเป็นราชินีวายร้ายแบบในหนังวัยรุ่นที่ดูงั้นเหรอ มานี่มากับผม!!”

“นะ...นาย หยุดนะ !! เดี๋ยว!!! ”

จู่ ๆ บรูคก็อุ้มผมพาดบ่าและเอามือฟาดที่ก้มผมแรง ๆ ถึงสามที !!“หลีกไปให้พ้น ราชินีของพวกคุณโดนจับกุมแล้ว ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูอาจารย์ปกครองล่ะก็ หลีกทางด้วย!!”

“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน!!! ”

เพี้ยะ!!!

“โอ๊ย บรูคนายปล่อยฉันนะ นายไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉัน--”

เพี้ยะ!!!

บรูคเอามือฟาดก้มผมครั้งที่สอง ผมพยายามดิ้นและทุบหลังของเขาแต่มันไม่เป็นผล ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไปและอีกอย่าง ผมไม่มีทางดิ้นหลุดจากการอุ้มพาดบ่าของเขาได้หรอก

“อย่าดิ้นนะไม่งั้นผมฟาดอีกแน่”

“โอ๊ย...ฉันเจ็บนะ!!”

“นั่นแหละที่ผมต้องการให้คุณรู้สึก” เขาว่าและก็อุ้มผมออกจากโรงอาหารท่ามกลางสายตาคนนับร้อย ผมเกลียดเขา ผมเกลียดผู้ชายคนนี้

บรูคนายมันไอ้คนสมองกลวง ไอ้ทุเรศ ผมเกลียดเขา!!!

นับแต่นี้ขอสาบานด้วยเกียรติของบารอน แคปริคอร์นเลยว่าจะเอาคืนบรูค ปาร์คเกอร์อย่างสาสม


--------------------------------
(NEXT 2)
[/b]
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅲ 」Antagonist (1-2) : Jun 22,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 22-06-2019 13:32:36
「 ⅲ 」Antagonist  (2)


ผมถูกคนขับรถทุเรศทุรังโยนลงที่พื้นสนามหญ้าด้านหลังอาคารเรียน ขอใช้คำว่า ‘ทุ่ม’ เพราะเขาทำแบบนั้นจริง ๆ และเชื่อเถอะว่าตั้งแต่ผมเกิดมายังไม่เคยมีใครหยาบคายกับผมได้เท่าเขามาก่อน

ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ทุเรศและน่าขยะแขยงที่สุดเลย!

“ทำบ้าอะไรของนาย!! ” ผมตะโกนสุดเสียง รู้สึกคอแหบแห้งแต่ผมไม่สนใจ คอยดูไว้เลยนะว่าผมจะเอาคืนผู้ชายคนนี้โทษฐานที่สร้างความอับอายให้กับผม ทุกคนในโรงอาหารป่านนี้คงหัวเราะผมกันหมดแล้ว

“นายทำบ้าอะไรของนาย โยนฉันลงทำไม นายมันคืออัลฟ่าโรคจิต! ”

“คนที่โรคจิตน่ะคือคุณต่างหาก” เขาว่าและชี้มาทางผม “คุณนั่นแหละที่โรคจิต รู้ตัวมั้ยว่าคุณทำอะไรลงไป”

“นายจะมายุ่งอะไรด้วย อีกอย่างนายไม่มีสิทธิ์จะมายุ่งเรื่องของฉัน มันเป็นเรื่องของราชินีที่กำลังจะสั่งสอนบริวารของตัวเอง”

“คุณคงอ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไป”

“เงียบนะ!! ” ผมลุกขึ้นและเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขาสองทีด้วยความโมโห บรูคร้องเสียงดังก่อนจะนิ่วหน้างอตัวด้วยความเจ็บ

“คุณ...เตะผมเลยเหรอ? ! ”

“ใช่ และนายจำไว้นะว่าถ้ายังทำให้ฉันขายขี้หน้าอีก ฉันจะไล่นายออก”

“คุณมัน...เด็กวายร้าย...โอ๊ย!! ”

“นั่นแหละฉัน โอเม้ก้าตัวแสบ! ” ผมบอกเสียงดังและเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขาแต่ยังไม่ทันที่ขาจะฟาดเข้ากับหน้าขาของอีกฝ่าย บรูคก็เอามือรับไว้ได้ทันก่อนจะผลักผมล้มลงนอนหงายกับสนามหญ้าอีกรอบที่สอง

เหลือเชื่อเลย!!

“โอ๊ย...นายไอ้คนทุเรศ ฉันจะฟ้องพ่อฉัน! ”

“ไปฟ้องเลย เชิญคุณไปตอนนี้เลยนะคุณหนู เพราะผมจะบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำ เรื่องที่คุณพาคนมาจูบบนรถ หนีเที่ยวตอนกลางคืน และเรื่องที่คุณเกเรรังแกเพื่อนในโรงเรียน พยายามทำตัวเป็นหัวโจกของทุกคนที่นี่”

“ฟังไว้นะปาร์คเกอร์ ฉันไม่ต้องพยายามเป็นหัวโจกใคร เพราะฉันคือราชินี มันคือสิ่งที่พิเศษกว่าใคร นายไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะนายมันแค่อัลฟ่าสมองกลวงที่พยายามทำตัวมีอุดมการณ์” ผมร้องบอกและปัดดินออกจากข้อศอกตัวเอง

“ฉันเป็นแผลด้วย นายโดนแน่”

“คุณสำนึก อะไรได้บ้างมั้ย”

เขาถามผมงั้นเหรอ? กล้าดีแค่ไหนมาถามผมแบบนี้

“สำนึก? เหอะ” ผมเบ้ปากและแสยะยิ้มมองเขา “คราวนี้จะพล่ามอุดมการณ์อะไรใส่หัวฉันอีกล่ะ”

“มันไม่ใช่อุดมการณ์อะไรทั้งสิ้น แต่ผมจะพูดในสิ่งที่มนุษย์เขาไม่ปฏิบัติกันแบบนี้”

“นายโง่กว่าที่ฉันคิดอีกนะปาร์คเกอร์!” ผมว่าและยิ้มเยาะอีกฝ่ายที่ยืนกอดอกมองผมด้วยสายตาเหลือเชื่อ “นายคิดว่าคนพวกนั้นจะคิดแบบนายงั้นเหรอ เหลือเชื่อชะมัดเลย ออกมาจากฟองสบู่ศีลธรรมได้แล้ว โลกใบนี้มันมีพื้นที่ให้คนอ่อนแอที่ไหนล่ะ ใครอ่อนแอก็เป็นเหยื่อทั้งนั้น”

"คุณคิดจะทำแบบนั้นกับใครต่อใครไม่ได้ เราทุกคนควรได้รับเกียรติเท่า ๆ กัน และเห็นได้ชัดว่าคุณจงใจแกล้งเธอ อีกทั้งคุณยังบังคับให้เพื่อนผู้หญิงถอดเสื้อกลางทีสาธารณะเพื่อเช็ดรองเท้าคุณ มันมากเกินไปนะ!” บรูคพูดเสียงดังขึ้นทุกที ผมเกลียดเวลาที่เขาไม่เจียมตัว

เขามันก็แค่คนขับรถสมองน้อยที่พยายามทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม

มองดูความจริงสิ โลกใบนี้ไม่มีของแบบนั้น มันเป็นแค่นิทานก่อนนอนและความเพ้อฝันของพวกขี้ขลาด

“นายมองโลกจากมุมไหนของนายนะ จากฟองสบู่สีใสงั้นสิ ขอบอกไว้เลยนะว่ายัยนั่นควรคิดให้ดีก่อนที่จะทำอะไรกับฉัน คนอย่างฉันไม่ยอมให้ใครมาปาอะไรใส่หัวแล้วจะเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ได้อย่างสบายใจหรอก”

“แต่คุณไปว่าพ่อแม่ของเธอก่อน ผมได้ยินนะ คุณไม่ควรจะไปกล่าวตำหนิพ่อแม่ของใครแบบนั้นคุณหนู...”

“นายไม่ฉลาดบ้างเลยเหรอไง?” ผมถาม และลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากกางเกงและเช็ดหน้า “ที่ฉันสั่งสอนเธอก็เพราะเธอมาหยามเกียรติฉันก่อน ยัยนั่นกล้าที่จะปาผลไม้ใส่หัวฉัน ก็แปลว่าเตรียมใจรับจุดจบมาแล้ว เพราะงั้นมีแต่นายนั่นแหละที่โง่และทำเรื่องไม่เข้าท่า ”

“คุณมันเป็นปีศาจในร่างเด็กวัยสิบหก ความคิดของคุณมันเกินเยียวยา”

“บอกตัวเองเถอะปาร์คเกอร์ เพราะนายไม่ได้ดูวิเศษพอที่จะมาพูดคำนั้นกับฉันสักนิด” ผมกอดอกและเบ้ปากไล่สายตามองเข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า “เอาไว้นายเลิกทำงานเป็นคนขับรถเมื่อไหร่ ฉันอาจจะเก็บคำพูดของนายไว้พิจารณา”

“คุณเก่งจังเลยนะเรื่องดูถูกคนอื่นน่ะ...นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร”

“I’ m was I’ m” ผมพูดและเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ ผมก็คือผม เป็นราชินีโอเมก้า เป็นบารอน แคปรินคอร์นที่ไม่มีใครสามารถเป็นได้ ผมมีคนเดียวในโลกและนั่นคือเรื่องที่ผมแสนจะภูมิใจและชื่นชม

ผมคือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้...นี่แหละที่ผมอยากจะบอก J

“คุณคือคุณใช่มั้ย…ได้เลย”

บรูคพยักหน้าและเดินเข้ามาใกล้ผม เขากระชากข้อมือผมก่อนจะดึงผมจนร่างผมเซไปชนกับอกของอีกฝ่าย “คุณคือคุณงั้นสิ คุณที่สามารถจะทำอะไรใครก็ได้เพราะแค่พวกเขาทำให้คุณไม่พอใจใช่มั้ย?”

“จะ...จะทำอะไรน่ะ? ปล่อยนะ!! “

“งั้นมาดูกันว่าหลังจากที่โดนผมถอดเสื้อกลางที่สาธารณะ คุณจะยังเชื่อมั่นในตัวเองแบบผิด ๆ อยู่มั้ย? ! ”

ว่าแล้วบรูค ปาร์คเกอร์กดไหล่ผมลงกับพื้น หลังของผมสัมผัสกับหญ้าเขียวเหม็นเน่านั่นอีกครั้ง อยากจะอ้วก ทั้งที่ผมพยายามดิ้นและส่งเสียงร้องดัง ๆ ให้คนช่วยแต่กลับไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลย...นอกจากคนตัดหญ้าแก่ ๆ ที่ใส่หูฟังไปด้วยขณะที่ทำงาน

ใส่หูฟังในขณะทำงานเนี่ยนะ?

ผมจะส่งจดหมายร้องเรียนไปกับทางโรงเรียนที่พวกเขากล้าจ้างคนไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นมาทำงาน ให้ใส่อุปกรณ์อย่างอื่นขณะตัดหญ้าได้ยังไง!!

“ปล่อยนะปาร์คเกอร์ ปล่อยฉัน!!! ”

“ผมอยากรู้ว่าคุณยังจะลอยหน้าลอยตาได้อยู่มั้ย หลังจากที่ถูกฉีกเสื้อผ้าราคาแพงของคุณเป็นชิ้นๆ”

“ปะ...ปล่อยนะ พระเจ้านายทำบ้าอะไรเนี่ย!! ” ผมพยายามดิ้นและข่วนไปที่อกของอีกฝ่าย แต่ไอ้ผู้ชายแบบบรูคกลับไม่สะทกสะท้าน เขารวบมือข้อมือทั้งสองข้างของผมไว้ด้วยมือเดียวแล้วตรึงมันไว้เหนือศีรษะของผม

ผมได้แต่นอนหงายและพยายามดีดดิ้นไปมาอยู่บนพื้นหญ้าเหม็นเขียว

แหวะ...กินหญ้าทำให้ผมอยากจะร้องไห้ เหม็นและสกปรกชะมัด!!

“ปล่อยนะปาร์คเกอร์!" ผมดิ้นและแหกปากสุดเสียง "ถ...ถ้านายกล้าทำฉันมากกว่านี้ สาบานว่านายจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”

“ผมรอคอยคุณอย่างตั้งใจเลยแหละบารอน” บรูคยิ้มก่อนจะดึงทึ้งเสื้อยูนิฟอร์มนักเรียนที่ผมสวมใส่จนมันขาด แต่โชคยังดีที่ผมมีเสื้อซับด้านใน ไม่อย่างนั้น ผมคงจะโป๊ไปแล้ว

ไอ้บ้าเอ๊ย!!

“ฉันจะเอาคืนนายอย่างสาสม ปล่อยนะเว้ย ปล่อยฉัน ปล่อย!!! ” ผมร้องโวยวายเสียงดังและประกาศคำพูดที่ไม่ใช่แค่คำข่มขู่ ถ้าผมหลุดจากเขาไปได้ สาบานว่าบรูค ปาร์คเกอร์ไม่มีวันได้กลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านในวันศุกร์นี้

“อย่าทำแบบนี้นะ นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!! ”

“คุณรู้สึกยังไง...ตอนที่ผมทำแบบนี้กับคุณน่ะ คุณรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

“รู้สึกอะไรเล่า นอกจากว่านายมันโรคจิต ไอ้คนวิปริต ฉันจะฆ่านาย สาบานด้วยชื่อของบารอน--”

แควก!!!

“พระเจ้า...” ผมตาโตตอนที่เสื้อผ้าถูกฉีกจนมันขาดเป็นเศษผ้า ก่อนที่เสื้อกล้ามตัวในจะถูกดึงจนแขนขาด ผมมองเห็นรอยยิ้มโรคจิตของคนขับรถประจำตัวที่ทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้กับผม

เขาทำให้ผมอับอายไม่พอ ยังมีหน้ามาทำให้ผมรู้สึกไร้ทางที่จะสู้

บรูค ปาร์คเกอร์คือคนที่นิสัยไม่ดี เขาทำให้ผมเกลียดที่ตัวเองกำลังอ่อนแอ และผมเกลียดที่สุดเวลาที่มีคนมาทำให้กลายเป็นคนไร้หนทาง ทั้งที่คนอย่างผมไม่เคยเฉียดใกล้อะไรแบบนั้น

บรูคทำให้ผมรู้สึกกลายเป็นคนไร้ทางสู้ และผมเกลียดเขาที่สุด!!

“นายมันเป็นคนสารเลว นายคือไอ้โรคจิต ฉันจะบอกพ่อฉันและสาบานว่าฉันจะไม่ยอมให้นายทำแบบนี้กับฉัน ปล่อยนะ!! ”

“คุณฟังผมนะบารอน”

ผมเกลียดที่หมอนี่เรียกชื่อผม พอ ๆ กับเกลียดตัวเองที่ยอมสงบลงหลังจากที่เราสบตากัน ดวงตาสีฟ้าขุ่นของเขาผมอยากจะควักมันออกจากเบ้าถ้าผมทำได้ และมีโอกาส...พระเจ้า ผมไม่ชอบดวงตาคู่นี้

“สิ่งที่คุณทำกับเธอ มันก็คล้ายกับที่ผมทำกับคุณในตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะมองว่าเธอเป็นอย่างไร คุณไม่สมควรทำร้ายเธอแบบนั้น และผมจะทำให้คุณรู้สึกว่าเวลาที่โดนคนอื่นรังแกจนไร้หนทางในการต่อสู้น่ะ มันเป็นยังไง”

“นายมันบ้า คนบ้า นายมาจากดาวพิทักษ์เรื่องปัญญาอ่อนเหรอไง?”

“ส่วนคุณก็มาจากดาวหลงตัวเอง ต้องการให้ทุกคนมองคุณ ชื่นชมคุณงั้นสิ?” เขาโน้มหน้าลงจนปลายจมูกเราแตะกัน “แต่ดาวของคุณคงจะไม่บอกล่ะสิว่ามนุษย์น่ะ เขาจะต้องเคารพสิทธิ์ในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน”

“ฟังนะปาร์คเกอร์ เลิกบ้าน้ำลายสักที นี่มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะมาเรียกร้องแทนยัยนั่นนะ!! ”

“เปล่า ผมไม่ได้เรียกร้องอะไรแทนเธอเลยคุณหนู” บรูคโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ผมเม้มริมฝีปากอย่างประหม่า แต่พนันได้เลยว่าผมจะไม่ผละใบหน้าหนีไปจากตรงนี้ เพราะนั่นอาจจะแสดงถึงความกลัว ซึ่งคนแบบผมไม่มี...

“ผมกำลังสั่งสอนให้คุณรู้สึกถึงความกลัวต่างหาก คุณชอบคิดว่าอยู่เหนือทุกคน แต่คุณลืมว่าคุณก็เป็นแค่โอเมก้า”

“ราชินีต่างหาก!! ”

ผมเถียงเสียงดัง ชนิดไร้ซึ่งความหวาดกลัวแบบที่อีกฝ่ายคาดหวัง เพราะผมไม่ใช่คนที่จะกลัวใครง่าย ๆ และนั่นแหละที่ผมชื่นชมตัวเองทุกวัน

“คุณมั่นใจกับการเป็นสิ่งนี้มากเลยงั้นสิ...”

“อย่านะ...ถ้านายเข้าใกล้ฉันหรือทำอะไรมากกว่านั้น ฉันจะบอกให้พ่อฉีกร่างนายเป็นชิ้น ๆ” ผมไม่ได้ขู่นะ พ่อผมหวงผมมาก และอะไรที่ผมต้องการเขาจะต้องทำให้ทุกอย่าง

“ทำไมคุณกลัวขนาดขู่ผมแบบนี้เลยเหรอบารอน...”

“พูด...พูดบ้าอะไร ฉันไม่มีวันกลัวคนอย่างนายหรอก” ผมมั่นใจว่าไม่มีใครสามารถทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้ ความกลัวเป็นเรื่องที่ทำให้ผมเสียความมั่นใจ เพราะแบบนั้นผมจึงรับมือกับมันในทุกรูปแบบที่แตกต่างกันไป

“แน่ใจเหรอ แล้วทำไมคุณตัวสั่นจัง”

“ฉันไม่ได้เป็นแบบที่นายพูด และขอเตือนครั้งสุดท้ายว่าอย่าเข้ามาใกล้ฉัน!! ”

“ถ้าคุณยอมที่จะไปขอโทษเธอ ผมอาจจะให้อภัยและไม่ปล่อยให้คุณโป๊กลับบ้าน ว่าไง”

“นาย...”

เขายื่นข้อเสนอกับผมเหรอ คนที่ทำแบบนั้นได้มีคนเดียว ซึ่งนั่นคือผม...ไม่ใช่เขา!

ผมเม้มริมฝีปาก ใช้สายตาที่ถนัดในการโน้มน้าวจ้องมองตรงไปยังดวงตาสีฟ้าขุ่น ผมไม่ได้ต่อต้านและดื้อรั้นกับบรูคเหมือนกับในตอนแรก ผมจ้องเข้าไปในแววตาที่วูบวาบ เขาชะงักเมื่อเห็นผมปรับเปลี่ยนสายตาที่มองเขา

จำไว้อย่างหนึ่งว่าผมไม่ได้อ่อนหัดกับการใช้มารยาของโอเมก้า ราชินีคือคนที่คุมเกมได้ดีที่สุด มันคือแบบนั้น และถึงผู้ชายคนนี้จะเป็นอัลฟ่าที่แข็งแกร่งแค่ไหน แต่พวกอัลฟ่าล้วนมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น...

จุดอ่อนที่ว่าก็คงไม่พ้นเรื่องนี้...

ผมยกมือขึ้นคล้องคออีกฝ่าย โอบรัดรอบต้นคอแกร่ง “นายอยากรู้มั้ยว่าฉันแตกต่างจากทุกคนตรงไหน?”

ผมส่งยิ้มหวานราวกับน้ำผึ้งไปให้ ผมไม่ได้กำลังยิ้มเย้ยหยันแบบทุกครั้ง ซึ่งมันแฝงไปด้วยการยั่วยวนคล้ายเชิญชวน ผมมักจะมีวิธีการควบคุมพวกอัลฟ่าได้ด้วยการปล่อยฟีโรโมนซ์ออกมา แต่ทำบ่อย ๆ มันจะทำให้ผมเสียการควบคุม สำหรับกฎแรกของการเป็นราชินี คือ คุณก็แค่ต้องรู้ว่าทุกอย่างอยู่ใต้ฝ่าเท้าคุณ เพียงแค่คุณควบคุมมันเป็น...

“เพราะฉันคือฉันที่มีเพียงคนเดียวบนโลก...ราชินีที่ถูกรับเลือกจากสายเลือดมาตั้งแต่กำเนิด”

“...คุณกำลังจะทำอะไร...” เขาเลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ ผมยิ้มมุมปากและลูบมือลงกับหน้าอกแกร่งของเขา ค่อย ๆ สัมผัสแค่ปลายนิ้ว ซึ่งเพียงเท่านั้นก็ได้ผลมหาศาล ในทางกลับกันคงจะไม่มีใครที่สามารถควบคุมอัลฟ่าได้แค่ปลายนิ้ว

อย่างที่ผมบอก มันไม่ใช่พลังวิเศษ การได้เป็นบารอน Queen of Omega ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

สายเลือดของผมทำให้ผมกลายเป็นแบบนั้น... ของขวัญล้ำค่า

“เขาพูดกันบ่อยจะตายเรื่องของโอเมก้าที่ถูกยกย่องให้อยู่ข้างบน ฉันมักจะถูกปฏิบัติแบบนั้นเพราะฉันควรได้รับสิ่งนั้นมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งนั่นแหละความแตกต่างแรก” ผมยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ ยกศีรษะตัวเองขึ้น แล้วจุมพิตลงที่ปลายคางของบรูค

เขาพริ้มตาลงอย่างเชื่องช้า...หึ! นี่แหละอัลฟ่าโง่ ๆ แค่เพียงถูกสัมผัสเย้ายวนเกินจะห้ามใจ พวกเขาอ่อนแอลงไม่เหมือนกับที่เคยได้รับคำว่า ‘เข้มแข็ง’ เลยสักนิด

และในเวลานี้ ผมไม่จำเป็นต้องแสดงอาการใดมากไปกว่าสัมผัสเขา แค่เพียงเท่านั้นแหละที่คนเป็นราชินีทำ...เท่านั้นจริง ๆ

“และอย่างที่สองคืออะไรรู้มั้ยปาร์คเกอร์...”

“...”

ผมเลื่อนมือลงไปที่หน้าท้อง และใต้สะดือของเขา ค่อย ๆ ลูบตรงหน้าขาหลอกล่อให้อัลฟ่าตรงหน้าที่กำลังเคลิบเคลิ้ม ผมยังคงรอจังหวะและเวลาเหมาะสมที่เอาคืนอย่างเหมาะสม

“ฉันมักจะเดินนำหน้าคนหนึ่งก้าวเสมอ และฉันไม่ใช่คนที่นาย...หรือใคร...จะสบประมาทได้ง่าย ๆ ” ผมพูดจบก็กำมือกับตรงเป้าของเขาและบีบเจ้าหนูนั่นเต็มแรง

มันไม่ใช่การบีบธรรมดา แต่เป็นการขยำให้มันแหลกคามือถ้าผมทำได้!!!

“โอ๊ย!!!! ”

“เป็นเรื่องที่โลกพิสูจน์แล้วว่าอะไรที่ฉันทำอะไรได้บ้างและคนแบบพวกนายทำอะไรไม่ได้บ้าง ปาร์คเกอร์”

บรูคเล่นสนุกมามากพอแล้ว เขากล้าดียังไงถึงมาท้าทายอำนาจของราชินีโอเมก้า บรูคกล้าเหยียบย่ำผมด้วยเท้าเน่า ๆ นั่น แต่ว่าผมว่าระหว่างเรา ยังห่างชั้นกันอีกเยอะ เห็นได้ชัดว่าผมไม่มีจุดอ่อน ส่วนเขามี! :)

ผมขึ้นมาอยู่จุดที่คนยกย่องให้เป็นราชินีได้นั้นไม่ใช่เพราะนามสกุลแค่เท่านั้นหรอกนะ ผมได้มันมาด้วยความสามารถ

“จำใส่หัวนายไว้เลยนะว่าอย่ามาลองดีกับฉันปาร์คเกอร์!! ”

“โอ๊ย...ผมเจ็บนะ!!”

“นายสมควรโดนปาร์คเกอร์!!”

ผมถีบเข้าที่ท้องของอีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปชกที่จมูกของไอ้คนโรคจิตจนเขาล้มลงไปนอนหงาย และขอบอกเลยว่าผมสะใจมาก

“โอ๊ย...นี่คุณหนู!! ”

“ดูไว้เป็นตัวอย่างนะ คนที่เก่งกาจที่สุด คือคนที่ควบคุมอารมณ์คนอื่นได้ และนายมันไม่ใช่ นายใช้กำลังกับฉันแบบโง่เง่า ฝันไปเถอะว่าจะทำให้ฉันสำนึก” ผมว่าและชกเข้าที่หัวไหล่อีกฝ่าย เม้มริมฝีปากไว้เพราะหมั่นไส้เขาเต็มทน

“นี่คุณชกผมสองครั้งแล้วนะ...เจ็บชะมัด!”

“นั่นแหละที่ฉันต้องการ รู้ไว้ด้วยว่าฉันไม่ใช่คนที่นายจะมาจับกดแล้วฉีกเสื้อผ้า พระเจ้า...ตัวนี้ราคามากกว่าเงินเดือนนายอีกนะ”

ผมกระทืบเท้าอย่างเหลืออด จ้องมองเข้าที่เงยหน้ามองผมด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ ขอโทษเถอะ ผมต่างหากที่ควรจะไม่สบอารมณ์

“นายเจอดีแน่ปาร์คเกอร์ ฉันจะให้พ่อเล่นงานนาย นายเตรียมตัวเก็บข้าวของแล้วไสหัวไปได้แล้ว คนขับรถงี่เง่า! ”


----------------------------------

Talk

ฝากด้วยจ้า น้องก็จะออกแนวสาวหน่อย จริง ๆ น้องเป็นFEB หน่อย ๆ สายสาวเลยแหละ มีการแย่งตำแหน่ง มีการชิงตำแหน่ง
เราชอบเขียนแนวนี้ ถ้าไม่ชอบไม่เป็นไรน้า
ตรวจคำผิดรอบเดียว ขอบคุณนะคะ ที่ติดตามกัน จะมาลงบ่อย ๆ
ฝากแท็กจ้า #ยูอาร์มายโอเมก้า
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ ⅲ ]Antagonist (1-2) : Jun 22,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-06-2019 07:37:39
 :katai1: :hao7:อืมมมมมมมมมมมนิสัยยย
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [IV] Furious (1-2) : Jun 24,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 24-06-2019 21:23:56
[IV]

Furious
(adj.)

full of anger or energy; violent or intense.

(https://uppic.cc/d/KL7w) (https://uppic.cc/v/KL7w)



พ่อต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่ชื่นชมเขาและเชื่อสิ่งที่บรูคบอก หมอนั่นบอกกับพ่อว่าผมมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนในโรงเรียนจนเสื้อฉีกขาด และกลายเป็นผมถูกพ่อต่อว่าอยู่หลายชั่วโมง ถึงแม้ว่าผมจะร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง แต่ทว่าพ่อกลับไม่หลงกล!

นี่ถ้าเป็นปกติพ่อจะต้องน้ำตาไหลตามกับการแสดงเสแสร้งว่าเสียใจของผม แต่นี่กลับไม่ พ่อรู้แม้กระทั่งว่าผมพยายามบีบน้ำตาหลอกเขา

“เลิกร้องไห้ได้แล้วบารอน พ่อได้รับโทรศัพท์จากผู้อำนวยการเรื่องที่ลูกทำร้ายเพื่อนร่วมชั้น ลูกบังคับให้เธอเลียรองเท้าลูก!”

“ไม่ได้เลีย! พ่ออย่าพูดแบบนั้นสิครับ ขนลุก เธอจะเอาลิ้นที่--”

“ไม่ว่าลูกจะพูดอะไรมันไม่เป็นผลหรอกราชินีน้อย!” เขาว่าและยิ้มเยาะใส่ผม "ลูกเกเรและกดขี่คนอื่นไม่ได้บารอน พ่อจะเป็นประธานสมาคมผู้ปกครองได้ยังไงถ้ามีลูกที่ตั้งตัวเป็นหัวโจกรังแกเพื่อนในโรงเรียน"

“อย่าน้อยพ่อก็ควรจะเชื่อว่ามันไม่ได้เลวร้ายแบบที่พ่อได้คิด”

“ลูกรัก เรารักลูก แต่เมทื่อลูกทำผิด เราย่อมไม่เห็นดีเห็นงามด้วย และเราไม่ควรปฎิบัติกับเพื่อน ๆ แบบนั้น เข้าใจมั้ยบารอน?”

“ผมขอยืนยันอีกครั้ง ว่าผมไม่ได้ทำร้ายเธอขนาดนั้น อีกอย่างเธอปาผลไม้ใส่หัวผมก่อน!! ” ผมเริ่มขึ้นเสียงดัง เพื่อเป็นการโต้เถียงกับพ่อ

ปกติผมพูดอะไรพ่อก็จะเชื่อ แต่นี่พ่อเชื่อคำพูดของรนขับรถโรคจิตนั่นมากกว่าผม...

“พ่อไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ในเมื่อบรูคมายืนยันกับพ่อว่าลูกทำจริง ๆ และพ่อ--”

“พ่อเชื่อเขามากกว่าผม! ทั้งที่นั่นมันคนขับรถและจะบอกความลับให้นะครับ เขาเป็นไอ้โรคจิต เขาฉีกเสื้อผ้าของผม พ่อเชื่อเขามากกว่าลูกของตัวเองงั้นเหรอ!!” ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า และตอนนี้น้ำตาก็คลอหน่วยจนแทบจะไหลอาบแก้มอยู่แล้ว

“บารอน ไม่มีใครกล้าทำแบบนั้นกับลูก บรูคไม่มีทางฉีกเสื้อผ้าลูก” พ่อว่าและเท้าคางกับโต๊ะทำงาน

ผมอยู่ในห้องทำงานของพ่อแค่สองคน เสียงร้องโวยวายของผมลั่นบ้าน เพราะแบบนั้นพ่อจึงได้พาผมเข้ามายังในห้องทำงานที่มีรูปวาดของผมอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่

แม่ออกตัวว่าไม่ขอมีส่วนร่วม นั่นทำจึงมีแค่ผมกับพ่อในเวลานี้...

“อีกอย่างพ่อรู้ว่าลูกน่ะเป็นราชินีตัวแสบ เพราะแบบนั้นพ่อถึงได้อยากจะให้เราคุยกันไงล่ะลูกรัก...”

“พ่อเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่เชื่อว่าผมยอมลงทุนไปตบตีกับคนอื่นจนเสื้อขาด คนที่ทำให้ผมมีสภาพเหมือน homeless คือบรูคต่างหาก! ”

“ก็บรูคบอกพ่อแบบนั้น เขาบอกว่าลูกทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในโรงเรียน”

“เขาโกหกไงครับ เขามันเป็นจอมหลอกลวง และอีกคำก็คือ คนตอแหล”

“พระเจ้า...ลูกพูดคำพูดนั้นออกมาจากปากได้ยังไงบารอน คำว่าตอ-แหล” พ่อเอามือป้องปากและกระซิบกระซาบเบา ๆ อยากจะร้องไห้กับเรื่องเสียสติที่เกิดขึ้น

“พ่อจะไม่เชื่อผมก็ได้ แต่ต้องสืบหาความจริงด้วยตัวเอง ไม่ใช่เชื่อใครก็ได้ ยิ่งกับคนขับรถยาจกนั่น”

“บารอนสุภาพหน่อย และอีกอย่างที่ลูกควรจะสำนึกไว้คือไม่มีใครรับมือกับลูกได้ เว้นแต่...บรูค ปาร์คเกอร์ และอย่างที่สองคือเขามีความจริงใจที่จะบอกกับพ่อ ในขณะที่ลูกมันจะปิดบังเรื่องแอบหนีเที่ยว!” พ่อพูดเสียงดังแต่ริมฝีปากฉีกยิ้ม “ทีนี้ลูกเข้าใจแล้วหรือยังล่ะว่าใครที่น่าเชื่อถือกว่ากัน”

“พ่อ!!! ” ผมเอามือทาบอกด้วยความตกใจ น้ำตาคลอหน่วยพร้อมที่จะออกจากเบ้า

“ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไร พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้ร้องจริง ๆ”

“ฮึก...พ่อ”

“เอาล่ะบารอน เราต้องคุยกันอย่างจริงจัง ต่อไปนี้ถ้าลูกยังทำตัวไม่น่ารักในโรงเรียน เราคงจะสั่งกักบริเวณลูก คุมเข้มลูกยิ่งกว่าครั้งไหน หายครั้งที่เราตามใจลูก แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้อีกแล้ว”

“ไม่มีทาง นี่มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเคยได้ยิน” ผมร้องบอกและเอามือตบลงที่โต๊ะทำงานของพ่อ “เขาเป็นคนฉีกเสื้อผม บรูคเป็นคนที่ทำให้ผมอับอายคนทั้งโรงเรียน เขาอุ้มผมออกมาจากโรงอาหารต่อหน้าทุกคนและทุ่มผมลงกับสนามหญ้า”

“เขาไม่ทำร้ายลูกแบบนั้นหรอกลูกรัก”

“เขาทำ หมอนั่นสร้างความอับอายให้ผม ได้ยินมั้ยครับ”

“งั้นก็...” พ่อพยักหน้าและพยายามกล่อมตัวเองให้เห็นด้วยกับวิธีนี้! "พ่อว่าเขาทำถูกแล้ว"

“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ พ่อเป็นอะไรไปงั้นเหรอ!”

“ลูกรัก ก็เพราะสิ่งที่ลูกทำมันไม่น่ารักเลย ตอนนี้พ่อเป็นห่วงเรื่องพฤติกรรมของลูกที่จะส่งผลถึงการยื่นจดหมายเข้ามหา'ลับ พ่ออยากให้ลูกต้องเลิกห่วงตำแหน่งในโรงเรียน แทนที่จะมัวแต่เล่นเป็นเด็ก ๆ พ่อว่าคงถึงเวลาสู่การเป็นผู้ใหญ่ ลูกรักสละมงกุฎของลูกซะ”

พ่อทำให้ผมสิ้นหวังที่สุด ในเวลาแบบนี้เขาควรจะเข้าข้างผม บอกกับผมว่าเขาจะไล่บรูคออก ไล่คนโรคจิตนั่นออกจากตำแหน่งคนขับรถส่วนตัวของผม แต่ว่าพ่อกลับเลือกที่จะเข้าข้างเขาด้วยการถือหางอีกฝ่ายและนับถือในสิ่งที่บรูคทำ

จำไว้ว่าราชินีไม่มีวันทิ้งมงกุฎของตัวเอง!

“ถ้าพ่อยืนยันว่าจะไม่ไล่เขาออก งั้นผมจะทำเอง ผมจะไล่เขาออก!!”

“อย่าแม้แต่จะออกคำสั่งเลยนะราชินีน้อย บอกแล้วไงว่าห้ามออกคำสั่งแทนพ่อ ท่อนสิ! ”

“พ่อ...”

“ห้ามออกคำสั่ง ห้ามออกคำสั่งและห้ามออกคำสั่ง พูดตามพ่อเร็ว” พ่อพูดประโยคเดิมสามครั้ง จนผมจำต้องขยับปากพูดตามเขาถึงจะเลิกพูด

“วันนี้...พ่อจะต้องไปงานการกุศลต่อ หลังจากนี้ลูกช่วยเป็นเด็กดี และนอนสำนึกควนึกความผิดของลูกซะ ห้ามโวยวาย แล้วก็เข้านอนเมื่อ--”

“ผมเกลียดพ่อ!! ” ผมลุกขึ้นและตะโกนมันสุดเสียง “พ่อใจร้ายกับผมเกินไปแล้ว!! ”

“ลูกรักอย่าก้าวร้าวกับพ่อแบบนั้น...”

“ผมเกลียดพ่อได้ยินมั้ย!!!”

ผมไม่อยู่ฟังจนพ่อพูดจบ ผมวิ่งออกจากห้องเขาและตรงไปยังบ้านพักของไอ้มนุษย์อัลฟ่างี่เง่าที่ทำให้ผมต้องมาเจอกับเรื่องบ้า ๆ พวกนี้



ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของอีกฝ่าย ไม่ใช่การบุกรุก เพราะที่นี่คือบ้านของผม ผมสามารถเดินไปไหนก็ได้ในบ้านหลังนี้

“ปาร์คเกอร์!!!”

“พระเจ้า!! คุณเข้ามาได้ไง...” เขาสะดุ้งตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ท่อนบนเปลือยเปล่าในขณะที่มืออีกข้างเช็ดเส้นผมสีเทาที่เปียกหมาด

“ไม่ต้องมาทำหน้าตกใจ นายมันไอ้คนตอแหล สับปลับ ชอบพูดโกหก คนทุเรศ!! ”

“คุณเข้าใจคำว่าพื้นที่ส่วนตัวมั้ยบารอน?” บรูคขมวดคิ้วมองผม ราวกับผมบุกรุกพื้นที่เขา พระเจ้านี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน บรูค ปาร์คเกอร์ ผู้ชายน่าสมเพช!! “คราวหลังห้ามบุกเข้ามาในห้องผมอีกนะ”

“ช่างหัวนาย ต่อไปนี้ไม่มีคำว่าพื้นที่ส่วนตัวกับคนแบบกระจอก เพราะนี่คือบ้านของฉัน ถ้านายอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็กลับไปอยู่บ้านนายเลยไป!! ”

“เฮ้อ แล้วนี่คุณเข้ามาทำไม ต้องการอะไร?”

“อย่าพูดเหมือนตัวเองมีอะไรที่ฉันต้องการหน่อยเลย” ผมกอดอกมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ยอมรับแหละว่าหุ่นของบรูคมันเร่าใจสำหรับเด็กวัยสิบหก

แต่เดี๋ยวก่อน ...ผมไม่มีทางเสพสมกับคนขับรถกระจอก ๆ แบบนางเอกเรื่อง Dynasty แน่ ๆ และถึงคนขับรถคนนั้นจะหุ่นดีน่ากัดกล้ามแค่ไหนก็เถอะ!

“ฟังนะ ฉันมาที่นี่เพื่อมายื่นข้อเสนอ”

“ข้อเสนอ?”

“ฉันต้องการให้นายลาออก ไปไหนก็ไป นายจะเอาเงินสักเท่าไหร่ว่ามาเลย”

“นี่คือวิธีของคุณงั้นสิ?” ร่างสูงตรงหน้ายิ้มและโยนผ้าเช็ดหัวลงที่เตียง “คุณใช้เงินฟาดหัวทุกคน ใช้มันแก้ปัญหาทุกอย่าง มันคืองานถนัดของคุณเลยถูกมั้ย?”

“ใช่ เพราะฉันมีเงินมากพอที่จะทำแบบนั้น และคนแบบนายก็คงไม่เข้าใจหรอก เพราะนายไม่มี!”

ผมพูดในสิ่งที่มันเป็นความจริง และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำที่ไม่ควรใช้กดหัวใครผมก็ไม่สน ผมมีเงินมากพอที่จะซื้อความสุขให้กับตัวเอง ถ้าต้องใช้เงินไล่ให้บรูคไปจากบ้านผมด้วยจำนวนมหาศาล ผมก็ยอมจ่าย!!

มันเพื่อความสุขของผมเท่านั้น

“นั่นสินะ...ผมไม่มีเงินแบบคุณ พวกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่เคยลิ้มรสความลำบาก ไม่รู้จักคำว่าหิว มันคือโชคดีที่คุณมีพ่อแม่ที่รวย...”

“อย่ามาพูดมากความ มาตกลงกันดีกว่า นายอยากได้อะไรล่ะ ว่ามาเลย รถคันใหม่มั้ย จะเอาบ้าน หรือว่าเรือยอชต์ อยากได้อะไรก็ว่ามาเลย ฉันพร้อมจ่าย”

“ไม่เอา...”

“วะ...ว่าไงนะ นี่เสียสติไปแล้วเหรอ!” ผมถามและขมวดคิ้วมองร่างกายกำยำตรงหน้าที่กำลังทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นอย่างประหลาด

บ้าชะมัด!

“ผมไม่ได้ต้องการของแบบนั้นซะหน่อย...บารอน”

“นายคือคนจนที่โง่ที่สุดเลยรู้ตัวมั้ย” ผมกอดอก และดูเหมือนคำพูดนั้นจะทำให้เขาไม่พอใจ “ฉันพูดจริงนี่ ทำหน้าแบบนั้นทำไม?”

“ถึงผมจะจน แต่ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันกับคุณนะ”

“ของแบบนั้นไม่มีในโลก มันคือคำพูดกลวง ๆ ที่เอาไว้หลอกตัวเองของพวกสมองไร้รอยหยักแบบนาย...”

“คุณมีปมในชีวิตงั้นเหรอ?”

“วะ...ว่าไงนะ นายกำลังถาม บารอน แคปรินคอร์น ว่ามีปมในชีวิตงั้นเหรอ” ผมตาโตและร้องถามเขาอย่างเหลือเชื่อ “จะบอกให้รู้ไว้นะ คนที่มีปมในชีวิตคือนายมากกว่า นายโกหกพ่อฉัน บอกว่าฉันทะเลาะกับเพื่อนจนเสื้อขาด นายโกหกทุกอย่าง คนดี ๆ ที่ไหนจะพูดโกหกหน้าตาย”

“คิดว่าคุณจะชินกับคำโกหกเสียอีก”

เขาหัวเราะโชว์รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ ถึงลักยิ้มสองข้างจะชวนให้ใจเต้น แต่มันไม่ได้ผลกับผมหรอก บรูค ปาร์คเกอร์ ก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

ผมไม่ต้องการคนธรรมดา นั่นแหละที่ผมอยากจะบอก

“ไม่ต้องมายอกย้อนใส่ฉันเลยนะ นายทำให้ฉันดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของพ่อ!”

“อย่าห่วงเลยคุณหนู แม้ว่าคนทั้งโลกจะมองคุณเป็นแบบนั้น แต่สำหรับพ่อคุณ เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มองคุณแบบที่คุณพูด” เขาพูดพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ และผมไม่มีวันถอยหนี เพราะความหวาดหวั่นหรืออะไรก็ช่างที่เขาต้องการให้ผมรู้สึกแบบนั้น

คนอย่างบารอนน่ะนะ ไม่มีทางที่จะหวั่นไหวกับท่าทางพวกนี้หรอก...

“คุณอยากเล่นเกมกับผม ผมก็ให้คุณเล่น คุณบอกเองว่าคนฉลาดจะควบคุมทุกอย่างได้ด้วยไอ้นี่...” บรูคชี้เข้าตรงขมับ และเหยียดยิ้มสะใจส่งมาให้ผม

“อยู่ให้ห่างฉันไว้นะฉันขอเตือน! ”

“เตือน? ตลกชะมัด คุณจะทำอะไรผม จะบีบเจ้าโลก...” บรูคลากสายตาลงที่เป้าของเขา ในขณะที่ร่างสูงไร้การปกคลุมที่ท่อนบนไล่ต้อนผมเข้ามาทุกทีทุกที “...ของผมอีกรอบเหรอไงครับ?”

“พูดออกมาได้ยังไง นายมันคนทุเรศ! ฟังให้ดีนะปาร์คเกอร์อยู่ให้ห่างฉันไว้ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“คุณคิดว่าผมกลัวงั้นสิ ก็ถ้าคุณทำอะไรผมล่ะก็ ผมไม่รับประกันความปลอดภัยของคุณนะ คุณหนู”

“อย่ามาขู่ฉัน นายไม่รู้หรอกว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” ผมร้องบอก และไม่มีทางที่บารอนจะแพ้พ่ายให้กับคำพูดสมองนิ่มที่มีไว้หลอกเด็กเจ็ดขวบหรอกนะ

บรูคสาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะดันผมชนกับประตูห้อง เขาเอื้อมมือไปปิดมันและในที่สุดผมก็จนมุมเขาจนได้ เจ็บใจชะมัดเลย เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร ทำอะไรแบบนี้กับผมก็ได้งั้นสิ...

“อย่านะ...ถ้านายมาใกล้ฉันอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ ฉันเป็นยูโดสายดำนะ เข้ามานายอาจจะแขนหักได้”

“ผมล่ะชอบจังเลยเวลาที่คุณข่มขู่ผม...คุณหนู” เขาลากปลายนิ้วลงกึ่งกลางลำคอของผม ก่อนจะลากมันช้า ๆ ลงไปที่กลางอก จากนั้นดวงตาสีฟ้าขุ่นก็ทำให้ผมสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

อัลฟ่าคนนี้อันตรายมาก

“คุณควรรู้ไว้อย่างว่าผมโตมากับผู้ชายที่ควบคุมความสัญชาตญาณของอัลฟ่าได้เป็นอย่างดี และเมื่อต้องอยู่กับโอเมก้าแบบคุณ มันไม่ได้ทำให้ผมอ่อนแอเหมือนกับคนอื่น ไม่เลยสักนิด...”

“จะทำอะไร...อย่านะ...”

“ที่จริงแล้วผมสนใจข้อเสนอของคุณอยู่ไม่น้อย...” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เรื่อย ๆ กลิ่นกายของเขาทำให้ผมสติแตก มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะยอมรับ และใช่ผมยอมรับแบบหน้าไม่อาย ว่าผมกำลังสติแตกเพราะเขา...

บรูค ปาร์คเกอร์ คนขับรถงี่เง่าของผมเอง

“แต่ผมมองการณ์ไกลกว่านั้นครับราชินีโอเมก้าตัวน้อย...” บรูคยิ้มและรอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง “คุณอยากรู้มั้ยว่ามันคืออะไร”

“เอามือออกไปนะ ...อย่าแม้แต่จะแตะต้องฉัน! ”

บรูคจับมือของผมขึ้นมาวางลงที่หน้าอกแกร่งของเขา กล้ามเนื้อของเขาทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มัน...ทุเรศจริง ๆ เลย ทำไมผมต้องแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาด้วย

น่าขายหน้าชะมัด!

“ผมว่าการได้เงินจากคุณก็จริงอยู่ เพราะมันอาจจะคุ้มค่า แต่นั่นก็แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ผมมองว่าการรวบหัวรวบหางลูกชายแคปรินคอร์นผู้เป็นกิจการมากมายมันคุ้มค่ากว่าเยอะ...”

ผมผ่อนลมหายใจออกทางปากตอนที่ถูกชักจูงฝ่ามือให้ลูบไล้ไปตามมัดกล้ามละเอียดของบรูค ผมถึงกับต้องกัดริมฝีปากล่างเอาไว้เพื่อพยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง ร่างกายของเขาเบียดเสียดจนผมสัมผัสอุณหภูมิบนผิวสีแทนธรรมชาติได้อย่างแนบสนิท

ผมใช้มืออีกข้างซ่อนไว้ด้านหลังเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นตอนที่ผมกำมือแน่นเพื่อเตือนสติตัวเอง ผมอาจจะต้องโดนล้อให้อับอายถ้าหากเผลอทำอะไรโง่ ๆ ลงไป...

“คุณคิดว่าผมจะยอมจากไปที่นี่เพราะเงินไม่กี่บาทของคุณเหรอ...”

“อย่า...ออกไปให้ห่างฉันนะ! ”

“คุณคิดจริง ๆ เหรอว่ามันคุ้มค่ากับผม คนจนที่กระหายเงินและความสุขสบาย” บรูคจงใจเป่าลมหายใจรดที่ใบหูของผม ริมฝีปากที่ผมจินตนาการอยู่เมื่อครู่ว่ามันจะร้อนแค่ไหนทาบทับลงที่ติ่งหูของผม เขาขบเม้มไล่โลมเลียมันราวกับไอศกรีม

พระเจ้า...เขาฮ็อตมาก...แค่สัมผัสเบา ๆ ยังทำให้ผมสั่นสะท้านไปถึงไหนต่อไหน

“อะ--ออกไปนะ!!”

ผมไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลยตอนที่เขาไล่ริมฝีปากซุกไซ้กับซอกคอของผม แขนของผมถูกทิ้งลงด้านข้างเพราะหมดแรง ผมถูกดันจนแผ่นหลังติดกับประตู มันมีกลิ่นไม้ชื้น ๆ ที่ผมไม่ชอบแต่กลับไม่ได้แยแส

สิ่งเดียวที่ผมให้ความสนใจ คือริมฝีปากที่กำลังไล่เลียอยู่ที่ข้างซอกคอของผม

กลิ่นของบรูค สัมผัสจากเขามีพลังงานบางอย่างเพราะมันทำให้ผมไร้เรี่ยวแรง เกิดเรื่องบ้าอะไรกัน...ทั้งที่ผมคือราชินีโอเมก้า แต่รู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในอาณัติของอัลฟ่ากระจอก ๆ นี่!!

“อื้อ—อย่านะ...”

คำปฏิเสธของผมแผ่วเบาและไม่หนักแน่นเอาเสียเลย...

บรูคจูบไปตามกรอบหน้าของผม ในนาทีนั้นผมรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอก เขาจูบเก่งแม้ว่าริมฝีปากเราจะยังไม่ทันจะได้สัมผัสกันผมก็รู้ว่าเขาจะต้องชำนาญเรื่องเล้าโลม

และให้ตายเถอะ...ผมใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

“อื้อ—ห้ามดูด! ” ผมว่าและมันเป็นคำทักท้วงที่ไร้น้ำหนัก “เดี๋ยวมันเป็นรอย...”

ริมฝีปากร้อน ๆ ของเขาดูดและวนจูบไปยังซอกคอของผม เขาสลับไปซ้ายทีขวาที... ผมเข่าอ่อนจนแทบจะทรุดลงกับพื้น ดีที่บรูคยังประคองรอบเอวผมไว้

เหมือนกับวินาทีนี้ทุกอย่างถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผมกำลังปล่อยตัวและปล่อยใจไปกับ...

“คุณหลงผมแน่ ๆ ถ้าผมทำมากกว่านี้ ...ซึ่งนี่แหละที่ผมต้องการ”

“!!! ” ผมดันอีกฝ่ายออกก่อนจะสบตากับดวงตาสีฟ้าขุ่น แววตาซุกซนของเขาทำให้ผมตระหนักได้ว่าเขากำลังพยายามที่จะล่อลวงผม คนบัดซบ ผมควรจะเข้มแข็งกว่านี้!!

“นาย...นายคิสมาร์กฉันงั้นเหรอ?” ผมยกมือขึ้นทาบลงที่คอ “นาย...นายกำลัง...พระเจ้า! คนทุเรศ คนสารเลว!!!”

“เห็นหรือยังล่ะว่าผมมีแผนการที่ดีกว่านั้น และคุณคงพอจะมองออก เพราะงั้นถ้าคุณไม่อยากจะถูกผม...” บรูคเว้นคำ พร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เดาะลิ้นเสียงดัง ป๊อก แล้วขยับออกห่างเล็กน้อย “...วันหลังก็อย่าบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของผมอีกแล้วกัน เกิดผมอดใจไม่ไหว คุณอาจจะได้...คนขับรถเป็นผัว”

"อี๋ นายไอ้คนทุเรศ!!”

“เกลียดผมมาก ๆ ระวังจะหลงผมจะเป็นบ้า”

“นาย...ปาร์คเกอร์ นายมันคนเฮงซวยและทุเรศที่สุดในชีวิตของฉันเลย!!! ”

ไม่ไหวแล้ว ผมจะต้องหนีไปตั้งหลัก หนีไปหาเครื่องดื่มเย็น ๆ กินเพื่อนดับร้อน เชื่อเถอะว่าไฟในนรกยังร้อนไม่เท่ากับอารมณ์ผมในเวลานี้

บรูค ปาร์คเกอร์ นายจะต้องชดใช้!

----------------------------
(NEXT 2.)


 
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [IV] Furious (1-2) : Jun 24,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 24-06-2019 21:27:34
[IV] Furious  (2)
...
[/b]

“ฉันเกลียดหมอนั่นมาก เชื่อเถอะว่าเขาคือหนึ่งในคนที่ฉันอยากจะกำจัด” ผมนอนคุยโทรศัพท์กับฮาร์เปอร์อยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ภายในห้องนอน

โดยปกติแล้วผมจะเข้านอนก่อนเวลาสี่ทุ่มเพื่อสุขภาพที่ดี การนอนครบแปดชั่วโมงทำให้สุขภาพผิวของเราดี และผมมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เสมอ ผมเลือกจะที่มาส์กหน้าด้วยโคลนภูเขาไฟที่สั่งมาจากเคาน์เตอร์แบรนด์ดังที่ผมสนิทกับเจ้าของแบรนด์ สินค้าของเขาทุกชิ้นขอบอกเลยว่าผมไม่ได้ขอเขามาฟรี ๆ หรอกนะ ภายในห้องนอนมีแสงที่สว่างจากไฟดวงน้อยจากโคมไฟบนหัวเตียง ผมเลือกที่จะเปิดซาวด์ดนตรีธรรมชาติ พวกน้ำตก เสียงนกในป่า และสายลมพัดในช่วงฤดูใบไม้ล่วง ม่านกั้นสีขาวลายลูกไม้ถูกดึงลงเพื่อให้เตียงนอนของผมมีความเป็นส่วนตัวขึ้น

ในช่วงเวลามิดไนท์ดนตรีจะถูกตั้งเวลาให้ปิดลง เพื่อการพักผ่อนเต็มรูปแบบ และหลังจากที่คนใช้เอาน้ำอุ่นขึ้นมาให้ ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่เข้านอนตอนนี้และเลือกที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านโทรศัพท์กับฮาร์เปอร์แทน

“คนแบบนั้นฉันไม่มีทางให้อภัย เธอต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าเขาโกหกหน้าตายขนาดไหน คิดแล้วก็แค้น! ”

[ไม่เอาน่า อย่าใจร้ายกับเขานักเลยบารอน อย่างน้อยเขาเป็นคนขับรถที่ดูดีไร้ที่ติ]

“สาบานสิว่าเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ ” ผมถอนหายใจในขณะที่เอนตัวนอนหงาย ทอดสายมองยังเพดานห้องโทนสีขาวอย่างเปล่าเปลือย

ภายในห้องนอนของผมทั้งห้องเป็นสีขาว ผมชอบสีนี้เพราะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสรวงสวรรค์ และนี่แหละวิธีบำบัดผมจากเรื่องหงุดหงิด

แค่คิดว่าตัวเองคือสิ่งที่วิเศษที่สุดบนโลกก็พอแล้ว...

“ฉันไม่มีวันหลงชื่นชมหน้าตาของคนแบบนั้นหรอก หมอนั่นทำให้ฉันอับอาย ต่อให้เขาหล่อแค่ไหนฉันก็มองว่าเขาไม่หล่อ! ”

ผมย่นจมูก พร้อมกับจินตนาการถึงผู้ชายตาสีฟ้าขุ่นกับผมสีเทา ...

[ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่าเขาหล่อเหมือนพระเอกหนังที่เราเคยดู ฉันมองรูปเขาจากเว็บในกระทู้ของโรงเรียน ยังอดที่จะชื่นชมมัดกล้ามของเขาไม่ได้เลย]

“รูป...รูปอะไรนะ?” ผมหยัดกายขึ้นจากเตียงนอน ก่อนจะร้องถามอีกฝ่ายจนปลายสายตวาดกลับมาเพราะเสียงของผมคงดังถึงขนาดทะลุออกนอกลำโพง “นี่อย่าบอกนะว่ามีรูปฉันตอนที่...”

[เบาเสียงหน่อยสิ ไม่เห็นต้องตกใจเลย มันก็แค่รูปตอนนายถูกอุ้มออกไปจากโรงอาหาร]

“เธอใช้คำว่าแค่งั้นเหรอ!! ”

ผมไม่มีทางมองข้ามเรื่องพวกนี้ และหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานหรือมีอารมณ์ขบขันไปกับฮาร์เปอร์ นี่มันเรื่องน่าอาย มันเป็นเรื่องที่ทำให้คนมองผมในทางเสียหาย

คิดดูสิ ภาพของบารอน แคปรินคอร์น ที่ถูกคนขับรถอุ้มพร้อมกับเอามือฟาดก้นเหมือนเด็กเจ็ดขวบ!

“ไหนดูสิ...พระเจ้าทำไมเธอไม่รีบบอกฉัน”

[ก็นายมัวแต่บ่นเรื่องของคนขับรถคนไหนรัว ๆ ฉันไม่มีช่องว่างจะพูดนี่...]

“บอกมานะว่าใครถ่ายไว้ แล้วใครเอาไปลง” ผมถามอย่างลุกลี้ลุกลน นี่มันเป็นสิ่งที่ผมยอมไม่ได้ การที่ผมถูกคนขับรถกระจอก ๆ หักหน้าในขณะที่กำลังสั่งสอนบริวาร มันเป็นเรื่องที่สร้างความสั่นคลอนในเรื่องความมั่นคงทางชื่อเสียงของผมอย่างร้ายแรง

เขาคือคนที่ทำให้ผมเสียหาย! บรูค อินเดีย ปาร์คเกอร์

สาว ๆ ที่โรงเรียนจะต้องเสียความมั่นใจในผม พวกเธอจะรู้สึกอย่างไรถ้าเห็นว่าคนที่เทิดทูนและยกย่องกลายเป็นกระสอบทรายให้ใครอุ้มพาดบ่า และเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ

“ฉัน...ไม่อยากจะเชื่อเลย! ”

ผมโวยวายเสียงดังก่อนจะกดซูมเข้าดูรูปที่ผมถูกอุ้มไว้บนบ่าและกำลังร้องโวยวายด้วยสีหน้าที่ทุเรศสุด ๆ นี่มันอะไรกัน ผมคือบารอนคนสำคัญของโรงเรียน ผมมีรูปแบบนี้จะให้ไปโรงเรียนอย่างสง่าเช่นราชินีได้ไงกัน!!

“นี่มันทุเรศที่สุด ฉันรับไม่ได้หรอกนะฮาร์เปอร์”

[ ฉันเข้าใจ...แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนะ มีคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงให้กำลังใจทั้งนั้น]

“คนอย่างฉันไม่ต้องการรางวัลปลอบใจหรอกนะ...” ผมร้องบอก “ฉันคือราชินีโอเมก้านะ ฉันควรจะเป็นฝ่ายที่ให้กำลังใจใครต่อใคร และหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ก็คือไอ้รูปบ้านี่"

ผมบอกกับฮาร์เปอร์อย่างหัวเสีย ไม่มีทางที่คนอย่างบารอนจะดูอ่อนแอและสิ้นหวัง ภาพลักษณ์ของผมไม่ใกล้เคียงกับสิ่งนั้นแม้แต่นิด

ผมเขย่าจอแท็บเล็ตและกดคลิกเมาท์ไล่ดูรูปพวกนี้ในกระทู้โรงเรียนอย่างบ้าคลั่ง หัวข้อที่พวกเขาใช้สร้างความสั่นคลอนความมั่นคงของราชินีโอเมก้าชนิดที่อยู่ในระดับอันตราย

‘ราชินีของเรา ถูกคนขับรถจัดการเสียแล้ว ใครจะเทิดทูนเขาล่ะทีนี้’



“มีใครมากมายแสดงความคิดเห็นเช่น อย่าได้หวั่นกลัว เราเป็นกำลังใจให้ บ้าหรือไง ฉันคือบารอนนะ ฉันไม่จำเป็นต้องการกำลังใจจากใครทั้งสิ้น”

[ไม่เอาน่า นายโวยวายก่อนนอนมันจะทำให้ฝันร้ายนะ]

“นั่นสิจริงด้วย” ผมยืดตัวและพยายามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด “ฉันต้องใจเย็น ฉันต้องเรียกขวัญและกำลังใจตัวเองกลับมา”

[ทำถูกแล้ว อย่าทำตัวตื่นตูมอีกนะ มันทำให้นายเสียสติและรวมถึงฉันด้วย ฉันไม่ชอบ]

“ตกลง” ผมสูดหายใจพร้อมกับเอื้อมมือปิดจอแท็บเล็ตลง เห็นรูปนั้นแล้วพาลแต่จะทำให้ขนลุก!

ตอนนี้สิ่งที่ผมจะต้องทำ คือการรู้จักวิธีควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองให้ได้มากที่สุด พ่อเคยสอนว่าถ้าเราเป็นคนที่ขาดสติ มันจะทำให้เราดูโง่ ผมไม่ชอบเป็นแบบนั้น เพราะงั้นผมจึงไม่ทำ!

เอาล่ะคนแบบผมไม่มีทางที่จะยอมตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบนี้ ผมมีทางเลือก มีตัวเลือกและผู้ช่วยมากมาย แค่เรื่องพวกนี้คงไม่ทำให้ผมหลุดจากการเป็นราชินีของโรงเรียนได้หรอก

ตอนนี้แม็กทีสคงกำลังหัวเราะเยาะผมแน่ ๆ ...

“ฉันอับอายและขายขี้หน้ามากกับเรื่องพวกนี้ แค่คิดถึงเสียงหัวเราะเยาะเย้ยหยันของแม็กทีสฉันก็อยากจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว บ้าจริง!”

[แต่หมอนั่นไม่มีทางทำให้นายเสียหายได้หรอก ก็แค่ความสะใจชั่วครั้งชั่วคราว]

“ฉันจะต้องไม่พาล ทุกย่างก้าวของฉันเริ่มอันตรายแล้ว” ผมดึงมือที่กัดเล็บออกพร้อมกับบอกกับฮาร์เปอร์ด้วยความเป็นกังวล

[นี่บารอน ฉันได้ยินมาว่าอีกไม่กี่เดือนจะมีการเปิดรับสมัครโตวาทีกันแล้ว...นายคิดว่าไง แม็กทีสไม่พลาดที่จะลงชิงตำแหน่งกับนายแน่]

“ฉันไม่มีทางยามให้แม็กทีสได้รับหน้าที่ตัวแทนนักเรียนหรอก ตำแหน่งนั้นมันคือใบเบิกทางสู่เยลโอเวิล มหา'ลัยที่ฉันใฝ่ฝันไว้”

ผมมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ มันคือการได้ครอบครองตำแหน่งราชินีในมหา'ลัยด้วย!

“เราจะเอายังไงกันดี...”

[คงต้องเรียกความมั่นคงกลับมาก่อน อย่างแรกคือลืมเรื่องพวกนี้ไปและให้ความสนใจกับงานที่สำคัญกว่า] ฮาร์เปอร์พูด เธอมันจะเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ชาญฉลาด

“นั่นแหละที่ยาก ตอนนี้ทุกคนจะต้องต่างพากันมองว่าฉันเป็นพวกไร้พิษสง เป็นเหมือนกับกุหลาบไร้หนาม แบบฉลามที่อยู่บนบก หรือพวกเสือไร้เล็บและ...”

[สงบสติอารมณ์ก่อนน่าบารอน นายกู้มันกลับมาได้อยู่แล้ว ด้วยความเป็นบารอนของนาย นายคือคนฉลาดและเป็นผู้สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง ซึ่งนั่นแหละข้อดีของการเป็นบารอน]

ก็จริงของฮาร์เปอร์

“เธอก็พูดถูก...แต่ว่า...ฉันรู้สึกแย่มากที่ตัวเองมีรูปพวกนี้ ฉันจะเข้าเยลโอเวิลได้ยังไงถ้าเกิดว่ายังมีรูปพวกนี้อื้อฉาวในโรงเรียน”

[อีกอย่างนะ นี่มันก็แค่รูปที่นายถูกอุ้มจากการแกล้งเด็กคนหนึ่งเท่านั้น]

“ฉันไม่ได้แกล้งหล่อนนะฮาร์เปอร์” ผมว่าและดื่มน้ำในแก้วจนหมดก่อนจะวางแก้วลง จากนั้นขยับไปยืนใกล้กับริมหน้าต่าง แอบเปิดม่านลงเล็กน้อยเพื่อหรี่ตามองลงไปยังชั้นล่างซึ่งตรงไปยังห้องนอนของคนขับรถผู้ที่สร้างเรื่องราวอื้อฉาวให้ผม

ดูเหมือนป่านนี้เขาคงจะนอนหลับอย่างสบายแบบไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรกับผมไว้ ไอ้คนเฮงซวย!!

“ก่อนที่ฉันจะกู้ชื่อเสียงที่เสียไป ฉันจะต้องหาทางกำจัดบรูคออกไปจากบ้านฉัน” ผมสาบานด้วยคำพูดที่เอ่ยบอกกับเพื่อนสนิท

[วันนี้นายทำใจให้สบายและไปพักผ่อนดีกว่า ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น มันทำอะไรราชินีไม่ได้หรอก พรุ่งนี้นายจะเดินเฉิดฉายใส่พวกนั้น และทำให้รู้ว่าบารอนน่ะสง่างามแค่ไหน]

ผมพยักหน้าตาม และคิดว่าฮาร์เปอร์ผู้มีเหตุผล ผมคือคนที่เป็นผู้กระทำไม่ใช่เหยื่อ ผมจะมาทำตัวอ่อนแอและหวาดกลัวหดหัวอยู่ในกระดองแบบใครหลายคน ผมคือคนที่กล้าหาญและจัดการกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างสง่างาม

“มันจริงอย่างที่เธอบอกฮาร์เปอร์ ฉันไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกแย่ราวกับจะรับมือกับมันไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง! ”

[ใช่ อย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นราชินีตัวร้าย]

“ฉันไม่ได้เป็นราชินีตัวร้ายนะ ฉันคือ...ราชินีผู้มีเมตตา” ผมเหยียดยิ้มก่อนจะนึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ พรุ่งนี้เช้าผมจะทำให้บรูคต้องทนไม่ได้และไสหัวออกไปจากบ้านของผม "แต่ฉันจะไม่เมตตาตัวปัญหานั่น! ตราบใดที่ไม่ได้กำจัดบรูค ฉันคงนอนไม่หลับอีกหลายเดือน!"

[นี่นายเอาจริงเหรอ เว้นเขาไว้คนหนึ่งไม่ได้หรือไง อย่างน้อยก็อาหารตาชั้นเลิศนะ...]

“เธอจะบ้าหรือไง บรูค ปาร์คเกอร์ ไม่มีทางเป็นอาหารตาชั้นเลิศได้หรอก!” ผมว่าพร้อมจัดหมอนให้เข้าที่เตรียมจะเอนกายนอน “ฉันจะทำให้เขารับรู้ว่าเวลาที่คนอย่างบารอนอยากจะได้อะไร มันก็ต้องได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว ฉันก็จะไม่ทนเห็นของสิ่งนั้นให้รกหูรกตา”

[แต่ฉันก็เสียดายหุ่นน่าขบกับใบหน้าหล่อของเขานะ เขาไม่ได้รกสายตาเลยสักนิด]

“เหอะ! อย่าคิดว่าหน้าตาดีแล้วเธอจะใจอ่อนและเข้าข้างเขานะฮาร์เปอร์”

 ผมถอนหายใจและยกมือขึ้นลูบที่ต้นคอของตัวเองที่มีรอยแดงจาง ๆ มองให้เห็นอยู่ ผมรู้สึกหน้าร้อนเพราะความโกรธและผสมกับความพึงพอใจไว้ด้วยกันอย่างไม่น่าเชื่อ ผมไม่ทางเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังแน่ว่าเขาทำอะไรกับผมบ้าง

[พูดอะไรอย่างนั้น ฉันมีเมตตาต่ออัลฟ่าหล่อ ๆ ที่เหลือน้อยเต็มที]

“ซึ่งหนึ่งในนั้นจะไม่ใช่บรูค ปาร์คเกอร์” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น

[เอาล่ะ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนนะราชินี]

“โอเค Goodnight...”

[Goodnight queen]

ผมวางโทรศัพท์ลงก่อนจะสวมผ้าปิดตา ชีวิตที่วุ่นวายจะถูกทิ้งไว้ก่อน เพราะยามนี้ถึงเวลาเข้านอนของผมแล้ว ไว้พรุ่งนี้ผมจะเตือนมาหาวิธีจัดการบรูคคนโรคจิตนิสัยเสียคนนั้น

คอยดูแล้วกัน...ถ้าเขายังอยู่ อย่ามาเรียกผมว่าราชินีเลย!


--------------------------

Talk

น้องเอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย ต่อไปน้องจะคลานเข่าไปหาบรูค ปาร์คเกอร์ที่น้องเกลียดหนักหนา
ฝากด้วยจ้า #ยูอาร์มายโอเมก้า
หากมีคำผิดขออภัยหลาย ๆ เด้ออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [IV] Furious (1-2) : Jun 24,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-06-2019 22:09:05
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [IV] Furious (1-2) : Jun 24,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-06-2019 16:48:20
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [IV] Furious (1-2) : Jun 24,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 27-06-2019 04:41:26
รุ่นลูกแล้วสินะ น้องบรูคแซ่บมากเลยค่า แซ่บกว่าคนพ่อซะอีก
สงสารบรูคต้องมาเจอยัยโอเมก้าตัวแสบ
จะรอดูว่าบรูคจะจัดการราชินิตัวร้ายยังไง จับตีก้นอีกหลายๆทีดีมั้ย
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ⅴ ] satisfy (1-2) : Jun 30,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 30-06-2019 15:54:47
「 ⅴ 」

satisfy

(V.) meet the expectations, needs,

or desires of (someone)
(https://uppic.cc/d/K8tT) (https://uppic.cc/v/K8tT)




ผมนั่งอยู่ที่หน้าชั้นเรียนพร้อมกับสิ่งยิ้มมองแม็กทีส มากีต้า ที่กำลังยืนรายงานอยู่หน้าชั้นเรียน และหัวข้อรายงานในวันนื้คือ ‘บุคคลที่น่ายกย่องของฉัน’

“ผมว่าสก็อตช์ทำประโยชน์มากมายเพื่อสังคมของเราตั้งแต่เขายังไม่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ผมยกย่องในความกล้าหาญของเรากับการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันของพวกเรา ABO”

แม็กทีสเป็นคนโอเวิลโดยสมบูรณ์ ท่าทางของเขามักจะสง่างามเหมือนตั้งใจให้เป็น ผมค่อนข้างเกลียดผมสีแพทตินั่มเงาธรรมชาติของอีกฝ่าย เหมือนกับดวงตาสีอความารีนที่ใครต่อใครมักชื่นชอบและเอ่ยชมว่ามันสวย .

..แต่ผมมองว่าทุเรศ สีแบบนั้นเหมือนกับสีของตาปลาที่ตาย และยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกขนลุกเหมือนกับดูหนังสยองขวัญอย่างไงอย่างงั้น

“ผมในฐานะของชนรุ่นหลัง รู้สึกยินดีที่จะได้บอกเล่าเรื่องราวของสก็อตช์ ผู้นำเผ่าของอัลฟ่าทางตอนเหนือ”

ผมเบ้ปากพยักหน้าเหมือนกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่ปริ๊นซ์แห่งโอเมก้ากำลังกล่าวอย่างตั้งใจ แม็กทีสเป็นพวกที่ได้รับสถาปนาจากคนรวบข้างว่าเขามีสติปัญญาที่ดูจะฉลาดล้ำ และคุณสมบัติที่บุกคคลทั้งหลายบอกว่าเหมาะกับการเป็นเจ้าชายแห่งโอเมก้า ถึงแม้ว่าผมไม่ชอบใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าแม็กทีสเป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลในโรงเรียนและสังคมโอเวิล...ซึ่งก็ยังน้อยกว่าผมอยู่ดี :)

“เขารวบรวมฝูงชนเข้าร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอัลฟ่าที่สูงส่ง ไม่มีโอเมก้าที่ต่ำต้อย และไม่มีเบต้าที่ไร้ค่า สก็อตช์ทำสิ่งนั้นก่อนที่ผู้ก่อตั้งเมืองบางคนจะทันได้สร้างมันขึ้นมา” แม็กทีสหันมามองทางผม เขาจงใจพูดถึงผู้ก่อตั้งโอเวิลอย่างปู่ทวดของปู่ทวดผมอีกที

คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสนักสินะ ถึงได้เชิดหน้าพร้อมทั้งพูดจาเยาะเย้ยผมแบบนั้น!

ระหว่างผมกับแม็กทีส เรากลายเป็นคู่แข่งกันไปในทุก ๆ ด้าน โดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่กีฬา วิชาการ งานสังคม ไปจนถึงเรื่องของ...แฟน เราทั้งคู่มักจะพยายามชิงดีชิงเด่นกันเหมือนมันเป็นธรรมเนียม เมื่อก่อนผมยังจำได้ว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ผมเคยไว้ใจเขา และนั่นคือความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของผม

ผมยังจำมิตรภาพหลอก ๆ ระหว่างเราได้อย่างดี เขาเป็นเพื่อนสนิทของผมอยู่หลายปีแต่สุดท้าย ทุกอย่างมันก็พังลง...เพราะความโสมมของเขา

ตอนนี้เราสองคนก็คงเป็นได้แค่คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้ออย่างเช่น แบทแมนกับโจ๊กเกอร์ พวกไม้เบื่อไม้เมาที่ไม่มีวันจัดการกันได้อย่างเด็ดขาด!

แม็กทีสเป็นคนที่ทำให้มันพังโดยการไปมีอะไรกับแฟนคนแรกของผม ผู้ชายสวะ ๆ คนนั้นที่ผมไม่ขอเอ่ยชื่อและไม่อยากนึกถึง เขาเหมือนกับฝันร้ายในคืนวันฮัลโลวีน ชีวิตของผมต้องเจอกับรอยด่างเพราะผู้ชายคนนั้น ความฝันที่วาดหวังไว้พังทลาย มันเป็นความผิดหวังอย่างแรกของชีวิตที่ผมรู้จัก ซึ่งก็ไม่นานนักหรอกที่ผมบีบให้อดีตแฟน (สารเลว) ต้องออกจากโรงเรียนและโอเวิลไปอย่างไม่มีทางได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก

ตอนนี้แม็กทีสกำลังเดตอยู่กับลูกชายเจ้าของกิจการบริษัทอุตสาหกรรมการเดินเรือที่ใหญ่อันดับสองของเบตเวิลอย่าง โอลิเวอร์ บรอสซั่ม



“เห็นได้ชัดว่าผู้ก่อตั้งโอเวิลต้องการเชิดชูให้โอเม้ก้านั้นเท่าเทียมกัน เขาจึงได้เป็นบุคคลที่ผมยกย่อง สก็อตช์ มากีต้า”

เห็นได้ชัดว่าแม็กทีสพยายามเชิดชูบรรพบุรุษของเขาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีข้อมูลบันทึกว่ามันจริงแท้แค่ไหน และถ้าจริงเขาคงมีเชื้อสายของหมาป่าในตัวตามที่บันทึกเล่าขานกันมา

จะเป็นไปได้ไง มนุษย์ครึ่งหมาป่าเนี่ยนะ

“เยี่ยมมากคุณมากีต้า บทความนี้ควรส่งไปเพื่อรับการตีพิมพ์ในนิตยสารของเมือง”

“แน่นอนครับมาสเตอร์ ผมคิดแบบนั้น มันเป็นความภาคภูมิใจของผมที่จะทำให้บทความถูกตีพิมพ์ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง” แม็กทีสกล่าวคำพูดทิ้งท้ายด้วยการลงน้ำหนักเสียงและมองตรงมาทางผม

เห็นได้ชัดว่าหมอนี่จงใจพูดประชดประชันผม!

แม็กทีสพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้ามหน้าข้ามตาผมอย่างจงใจ แม้ว่าทุกคนจะยำเกรงต่อผม ในฐานะคนในตระกูลแคปรินคอร์น แต่ยกเว้นแม็กทีส ผู้ชายคนนี้ไม่เคยมีแววตาเทิดทูนหรือศรัทธาผม ขาดความเกรงอกเกรงใจ ง่าย ๆ คือเขาไม่เคยลังเลที่จะแสดงออกว่าเกลียดผม แม็กทีสมักจะคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างเทียบเท่ากับผม ถ้าผมได้รับอะไรเขาก็จะอยากได้แบบนั้นด้วย เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เพราะงั้นแม็กทีสถึงได้พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ผมกลายเป็นเศษผงติดรองเท้าของเขา ซึ่งนั่นยากมาก เพราะคนอย่างบารอนไม่มีทางเป็นเศษดินติดรองเท้าของใครทั้งสิ้น!

ผมเป็นคนจากตระกูลผู้ดีเก่าแก่ ต้นตระกูลที่มีอิทธิพลกับเมืองนี้ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ถ้าเทียบกันแล้วแม็กทีสยังคงเป็นเพียงพวกเศรษฐีใหม่ของโอเวิล มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด!

ปู่เคยบอกผมว่า 'นามสกุลเป็นสิ่งที่ทำให้คนก้มหัวให้เรา' และในเมื่อคุณไม่มีบัตรทองที่อยู่ท้ายชื่อ นั่นก็แปลงว่าคุณไม่มีวันทำให้ใครก้มหัวให้คุณได้ด้วยความเคารพยำเกรง

และผมจำคำนี้จากปู่ได้ขึ้นใจ!

“เยี่ยมมาก เอาล่ะ...ใครจะออกมารายงานต่อ”

“ผมครับมาสเตอร์!! ” ผมยกมือพร้อมกับยืดหลังตรง เหยียดยิ้มด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็นอย่างที่อบรมมาอย่างดี “ผมขอพูดต่อจากแม็กทีสเองครับ”

“โอเค งั้นเชิญคุณแคปรินคอร์นเลยครับ”

ผมลุกขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือชื่นชมที่ดังไปทั่วห้อง ผมส่งยิ้มให้กับทุกคนที่มองมาด้วยความปลาบปลื้ม นี่คือเป็นสิ่งราชินีอย่างบารอนเท่านั้นที่จะได้รับ

คุณคงไม่มีทางจินตนาการออกหรอกว่าการได้ครอบครองทุกความสนใจจากทุกคนนั้นมันเป็นอย่างไร...และคุณก็คงจะจินตนาการถึงชีวิตที่แสนสมบูรณ์แบบนี้ไม่ออกเหมือนกัน



“บุคคลที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้ คือบุคคลที่น่าเคารพนับถือ...บาโธโรมิว แคปรินคอร์น พ่อของผมเอง เขาเป็นนักดาราศาสตร์ในวัยยี่สิบสี่และเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นลูกชายของลูกชายและลูกชายของผู้ก่อตั้งเมืองนี้ แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าพ่อของผมนั้นทำรายได้สูงสุดในเมืองจนเป็นหนึ่งในนักธุรกิจใหญ่ เขาได้เป็นเจ้าภาพงานการกุศลมากมาย และมูลนิธิช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้และไร้การศึกษา”

ผมยิ้มและกวาดตามองไปรอบห้อง ทุกสายตามองมาที่ผม ทุกให้ความสำคัญกับผมเพราะผมคือปลายทางไม่ใช่ระหว่างทางให้พวกเขาพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะกลับเรื่องไหนผมคือจุดหมายของทุกคนเสมอ

“แต่พ่อของผม ไม่มีวันหยุดพยายามเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ขาดแคลนโอกาสด้านทุนทรัพย์ เขาฝึกอาชีพให้กับสตรีที่ตั้งครรภ์แม้ว่าจะติดคุก หางานไว้สำหรับรองรับพวกเขาเหล่านั้น พ่อของผมพยายามอย่างหนักตลอดหลายปี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหามากมาย และไม่ใช่แค่ยื่นเงินไปเพื่อแก้ปัญหา แต่เขายังสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อพวกเขา เช่นสอนคนให้ว่ายน้ำให้เป็นมากกว่าจะโยนห่วงยางให้เขาลอยคอยอยู่ในน้ำ” ผมยืดตัวขึ้นและประกาศเสียงดังกึกก้อง

“เห็นได้อย่างงานเปิดตัวประมูลหุ่นประดิษฐ์จากกระป๋องด้วยฝีมือของผู้ยากไร้ เพื่อจะนำเงินไปสมทบทุนกับหน่วยงานภาครัฐและโรงเรียนที่ยังขาดแคลนปัจจัยในการช่วยเหลือ และสิ่งนี้ยังไม่รวมถึงการออกเงินส่วนตัวเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยโรงพยาบาล นี่ไงล่ะ...วีรบุรุษของโอเวิล คนที่น่ายกย่องคือพ่อของผมเอง เขาเป็นบุคคลที่ผมเคารพรักและเป็นพ่อที่วิเศษที่สุดด้วย” ผมเชิดหน้ารับกับชัยชนะในครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือนกับว่าจะมีใครบางคนอิจฉาจนตาร้อน!

“พ่อของผมคือคนที่มีตัวตนอยู่จริง ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยตำนานเล่าขานให้เสียเวลา เขาเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ ในขณะที่บางคน...ปรากฏแค่เพียงชื่อที่ไม่ได้รับการยืนยัน”

“เยี่ยมยอด!!! ”

มาเคย์ล่าปรบมือและตามด้วยเควิน ก่อนที่ฮาร์เปอร์จะลุกขึ้นและยืนปรบมือเสียงดังให้กับผม คนทุกคนในห้องทำตามพวกเขา และอาจจะยกเว้นแค่แม็กวอลเลย์บอลสเท่านั้น

นี่แหละที่รัก...ความหอมหวานของการเป็นผู้ชนะ ผมมักจะเสพติดรสชาติแห่งชัยชนะจนกลายเป็นนิสัย และไม่มีวันที่จะละทิ้งหรือหาทางเลิกขาดจากความกระหายเหล่านี้

เรามักจะหลงรักความเคียดแค้นของผู้แพ้เสมอ :)



“ตอนที่นายพูดว่าพ่อของผมคือคนที่มีตัวตนจริง ๆ และไม่ต้องอาศัยตำนานเล่าขานความยิ่งใหญ่ ตอนนั้นฉันชอบมาก เห็นสายตาแม็กทีสที่มองนายมั้ย เหมือนกำลังจะสาดน้ำร้อนใส่หน้านายถ้าทำได้! ” ฮาร์เปอร์พูดไม่หยุดตอนที่เราเปลี่ยนคาบเรียน

ช่วงบ่ายจะเป็นวิชาพลศึกษา ผมลงเรียนวิชาวอลเลย์บอลไว้และแม็กทีสก็ด้วย บอกแล้วว่าเราคือคู่ปรับกัน และแปลว่าเราจะเห็นหน้ากันจนเหม็นเบื่อและนั่นดีแล้ว ผมชอบที่จะเห็นรอยยิ้มเฝื่อน ๆ ของอีกฝ่ายเวลาที่ใครต่อใครเอ่ยชมผม

เขาไม่มีทางได้ลิ้มรสการเป็นที่ชื่นชมของคนทุกคนหรอก ถึงแม้ว่าจะพยายามทั้งชีวิตก็ตาม!

“หมอนั่นเดินหนีจากห้องทันทีที่มาสเตอร์บอกหมดเวลา พนันได้ว่าตอนนี้คงเดินไปชกลมชกอากาศอยู่แน่ ๆ ก็แหม นายเล่นหักหน้าเขากลางชั้นเรียนแบบนั้น คิดแล้วตลกชะมัด” เควินหัวเราะและกอดคอผมเดิน

พวกเราเปลี่ยนชุดพร้อมจะลงเล่นกีฬา มันเป็นเสื้อโปโลสีขาวคอปกกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ผมสวมถุงเท้าของแบรนด์ดังที่ส่งมาให้ และเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะต้องมีบรรดาสาว ๆ ไปหาซื้อถุงเท้ายี่ห้อนี่จากช็อปจนขายดิบขายดี

ผมเช็กกระทู้แล้วเมื่อเช้า เรื่องถุงเท้าคู่ใหม่สีขาวของผมเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจในเวลานี้ ยอดเยี่ยมไปเลย นี่คือวิธีการกลบข่าวน่าอายนั่น!

สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ เราก็แค่ต้องทำตัวให้เด่นกว่าปกติซึ่งคงต้องเด่นแบบไม่พยายามเกินไป ผมไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่...

“อันที่จริงนะ ฉันไม่รู้สึกสะใจหรอกที่หักหน้าหมอนั่นเท่าไหร่หรอก แต่ฉันแค่อยากทำให้รู้ว่าระหว่างพ่ของฉันกับสก็อตช์ตำนานหมาป่า ใครควรได้รับความสนใจกว่ากัน” ผมกอดอกเชิดหน้าขึ้น ในขณะที่พวกเราเดินเข้าไปในโรงยิม

“ราชินีมา...”

“บะ...บารอน ไฮ” ทุกคนยกมือทักทายผม บางคนก็ยิ้มหวานตอนที่ผมหันไปชายตาให้และเดินผ่าน พวกเขายกย่องผมเสมอมันทำให้ผมรู้สึกดีเวลาที่ใครต่อใครชื่นชมผมและมองผมด้วยความสนใจแบบนั้น

“ผม...ผมว่าจะชวนคุณ...”

“ไว้วันหลังนะ ฉันไม่ว่าง” ผมยิ้มให้กับนักเรียนเนิร์ด ๆ ใส่แว่นคนหนึ่งที่พยายามชวนผมไปทานมื้อค่ำด้วยคูปองราคาถูก

“โอเคราชินี...ไว้เจอกันนะ”

ผมเดินผ่านผู้คนไปยังโรงยิม คาบบ่ายเป็นคาบที่สนุก หลังจากที่ได้หักหน้าแม็กทีส ผมรู้สึกว่าชีวิตวันนี้มันเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ผมเดินผิวปากผ่านทุกสายตาที่จ้องมองผมเข้าไปด้านใน

“ว้าว...ถุงเท้านั่น”

“ราชินี...บารอน!! ”

“บารอนมา!! ”

“ขาสวยมากเลย ฉันชอบขาราชินีชมัด! ”

“อย่าเข้ามาใกล้น่า ออกไปถอยไปเลย” เควินร้องบอก

“เราดีใจมากที่ได้เจอคุณ และขอบอกว่าตื่นเต้นมากที่คุณลงเรียนวิชาพละวันศุกร์...”

“ขอบใจ” ผมส่งยิ้มไม่จริงจังไปให้ ตอนที่พวกสาว ๆ วิ่งเข้ามาต้อนรับผม

“หลีไปอย่ามาขวางทาง” ก่อนที่มาเคย์ล่าจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากไล่ และผลักไหลเด็กสาวสองคนที่กระดี๊กระด๊าตอนผมเดินผ่านพวกเธอไปนั่งข้างสนามวอลเลย์บอล



“ว้าว...ดูสิใครมา ราชินีของพวกเรานี่เอง”

ผมนั่งยืนขาอยู่กับเพื่อน ๆ ในขณะที่ปากก็ร้องทักแม็กทีสที่มากับกลุ่มเพื่อนกระจอก ๆ สองสามคน

“เราไปนั่งที่อื่นกันเถอะ”

“ไม่เอาสิ นั่งด้วยกันนี่แหละ จะหนีหน้าฉันทำไม” ผมเอียงคอยิ้มถาม “อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหรือไง เกิดขี้ขลาดไม่อยากสู้หน้าฉันขึ้นมางั้นสิ”

“ฝันไปเถอะบารอน”

และแม็กทีสผู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ก็กระแทกก้นนั่งลงข้างผม พวกเราเว้นช่องว่างให้กันและกันด้วยความรังเกียจ!

แม็กทีสหันไปคุยกับโมนิกาและเจฟ คาร์เตอร์ ที่มานั่งรวมกันอยู่ด้านข้างผม พวกเขาเป็นกลุ่มเพื่อนหรือหนึ่งในลูกกระจ๊อกของแม็กทีส

“ให้ตายเถอะ เปลี่ยนที่ไม่ได้เหรอ เห็นหน้าแล้วฉันเหม็นเบื่อชะมัดเลย”

“คนมีกลิ่นตัวรสชาติอาหารลิงแบบนายมีสิทธิ์พูดแบบนี้หรือไง” ผมหันไปเบ้ปากเมื่อได้ยินเจฟพูดใส่ผมแบบนั้น เจฟไม่ตอบอะไรและนิ่วหน้าใส่โมนีก้าแทน

“ไม่นึกว่าราชินีจะเมตตาให้พวกเรานั่งด้วย”

“ฉันเป็นมิตรกับสัตว์โลกน่ะ”

“เป็นเกียรติจังนะ”

“ไม่เป็นไร ฉันชอบกล่าวทักทายพวกกระต่ายน้อยในป่าสนอยู่แล้ว” ผมหันไปหัวเราะกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม โดยไม่สนใจว่าพวกเขากำลังรู้สึกแย่กับคำพูดพวกนั้น ผมไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกว่าใครจะรู้สึกยังไงกับมัน ถ้าผมต้องมานั่งสนใจคำพูดที่พูดต่อคนอื่นงั้นแม็กทีสก็คงจะไม่รู้สึกเวลาที่เขาเอาแต่พูดเรื่องแย่ ๆ ใส่ผม!



เมื่อพวกเราวอร์มร่างกายด้วยการยืดเส้นยืดสาย มาสเตอร์ก็เรียกพวกเราไปรวมกันที่กลางสนาม ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินขนาบข้างแม็กทีสไป จงใจกวนประสาทอีกฝ่ายเพราะผมชอบเห็นสีหน้าซังกะตายของเขาเสียเหลือเกิน

“ได้ข่าวว่านายจะลงโต้วาทีงั้นเหรอ” ผมเอามือไพล่หลังและเดินไปพร้อมกับแม็กทีส "ระวังจะเสียใจกลับมานะ ถ้าไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลยในงานสำคัญของโรงเรียน"

“มันไม่ใช่เรื่องของนาย นายห่วงตัวเองเถอะว่าจะทำยังไงให้เด่นกว่าฉัน”

“อย่าหาว่าฉันยุ่งเลยนะ แต่ฉันว่านายถอนตัวตอนนี้ยังทัน ขอเตือนไว้ฉันไม่อยากให้นายแพ้เพราะฉันรอบที่สอง” ผมส่งยิ้มน้ำผึ้งอาบยาพิษไปให้อีกฝ่าย

“ขอบคุณที่เตือนนะบารอน แต่ฉันว่า...” แม็กทีสเหลือบมองกางเกงกีฬาขาสั้นของผม “นายควรไปเปลี่ยนกางเกงดีกว่า ไม่คิดว่ากางเกงจะสั้นไปไหนเหรอ?”

“ไม่เห็นจะสั้นสักนิด คิดมากไปได้”

“นี่วิชาพละนะ ไม่ใช่วิชารูดเสาโชว์ในบาร์หรู ๆ ของพวกเศรษฐีที่พ่อนายลงทุนเปิดซะหน่อย...”

“คนมีมรดกแบบฉันไม่จำเป็นต้องไปเต้นรูดเสาหากินเหมือนอาชีพเก่าแม่นาย” ผมยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและเหลือบตามองที่ถุงเท้าสีขาวซึ่งเป็นลายเดียวกันกับผม

สาบานว่าผมใส่ก่อน!

“ถุงเท้านี่...ซื้อตามฉันงั้นสิ”

“รุ่นนี้ใครก็มี ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องใส่แบบนาย” เชื่อตายล่ะ...

“นายก็ยังเหมือนเดิมสินะ เป็นนักก๊อปเกรดตองเอ! ”

“ว้าว...มั่นใจขนาดไหนที่จะกล้ามาบอกว่าฉันก๊อปนาย” เราเริ่มถกเถียงกันอีกครั้ง “แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันใส่ออกแล้วยังดูดีกว่านาย สวยนายก็ให้อารมณ์เหมือนกับนักระบบเปลื้องผ้าที่มีไว้โชว์ทุกวันพุธ”

“มากไปแล้วนะแม็กทีส!! ” คนอารมณ์ร้อนแบบมาเคย์ล่าเตรียมถลกแขนเสื้อขึ้นจะตรงเข้าไปใส่อีกฝ่าย ผมดึงเสื้อเธอไว้ก่อนจะส่งสายตาว่าไม่ต้องลงมืออะไรทั้งนั้น

คนที่ฉลาดคือคนที่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองและคนอื่นได้

“จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะแม็กทีส เพราะความจริงสิ่งที่ฉันเป็นอะไร นายก็เห็นกันอยู่”

“อ๋อใช่...นายเป็นอะไรงั้นเหรอ นายมันก็เป็นแค่ราชินีเน่าเฟะภายใต้รูปโฉมงดงามยังไงล่ะ”

“ส่วนนายก็ไม่มีวันได้เป็นอะไรนอกจากคนที่แฟนพร้อมจะนอกใจมาหาราชินีเน่า ๆ ตลอดเวลาอย่างฉัน” ผมยิ้มและเชิดหน้าขึ้น แม็กทีสกำลังโกรธจนตัวสั่น อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชันหน้ากับผม

ริมฝีปากอิ่มเริ่มขยับคำพูดชั่วร้ายที่คาดหวังให้ผมเจ็บปวด

“นายมันเป็นคนที่ทุเรศที่สุดที่ฉันเคยเจอ อยู่ให้ห่างเขาไว้”

ทุกครั้งที่ผมพูดถึงโอลิเวอร์ แม็กทีสจะเดือดเหมือนกับลาวาในปล่องภูเขาไฟ ซึ่งนั่นแหละความสนุกของผม!

“อะไรกัน สั่งห้ามฉันแบบนี้เลยเหรอ คนที่นายควรพูดคำนี้ไม่ใช่ฉันแต่เป็นคนของนายต่างหาก”

“อย่ายุ่งกับเขาบารอน ไม่งั้นเราได้เห็นดีกันแน่! ”

“นายยิ่งพูดแบบนั้น มันยิ่งทำให้ฉันอยากสัมผัสเขาแบบแนบแน่นเลยแหละ” ผมโน้มเข้าไปกระซิบ เราปะทะสายตากัน ดวงตาสีอความารีนประกายไปด้วยโทสะที่คดเกลียวอยู่ภายใน

ผมรู้ว่าแม็กทีสโกรธจนแทบคลั่ง แต่อีกฝ่ายเรียนรู้ที่จะไม่ให้มันมาครอบงำตัวเองให้เหมือนกับคนโง่ นั่นแหละที่ผมรู้ว่าเขาฉลาดขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราอาจจะชกจมูกกันไปแล้ว!

“ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ นายคิดว่าเขาจะจริงจังกับคนแบบนายงั้นเหรอ” แม็กทีสไม่ยิ้ม แววตาของเขาก็ด้วย “บอกให้รู้ไว้นะว่าตัวจริงของโอลิเวอร์ยืนอยู่นี่ ถ้าเขาอยากจะไปหานายจริง เขาไปนานแล้วบารอน นายเป็นแค่ของเล่นที่มีสีสันเย้ายวนใจเท่านั้นแหละ”

“ที่นายยังพูดเรื่องไร้สาระว่าตัวเองเป็นตัวจริงได้นั่นก็เพราะฉันเองต่างหากที่ไม่ได้ต้องการโอลิเวอร์แบบจริงจังแม็กทีส” ผมกอดอกและใช้มือจิ้มที่อกของอีกฝ่ายก่อนจะผลักให้พ้นทาง “ฉันไม่ใช่ตัวเลือกระหว่างทางของใคร แต่ฉันคือเป้าหมาย และจุดหมายปลายทาง ถ้านายคือเส้นกั้นระหว่างเขากับฉัน โปรดรู้ไว้ว่าเขาพร้อมจะข้ามสิ่งกรีดขวางทุกชนิดเพื่อมาหาฉัน ฉันคนที่เป็นเป้าหมายที่น่าภาคภูมิใจ”



[NEXT 2]
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ⅴ ] satisfy (1-2) : Jun 30,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 30-06-2019 15:56:36
  satisfy (2)
[/b]


ปี๊ดด

เสียงนกหวีดขัดจังหวะสงครามเย็นระหว่างผมกับแม็กทีส เราเดินไปนั่งต่อแถวหน้ากระดานตรงหน้ามาสเตอร์ที่สวมชุดวอร์มสีเข้ม ผมหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อน ๆ เหมือนกับอิ่มเอมกับชัยชนะในแต่ละครั้ง

ผมรู้ว่าแม็กทีสน่ะเกลียดผมแค่ไหน แต่ใช่ว่าเขาจะเกลียดผมได้ฝ่ายเดียว!

“วันนี้เราจะแบ่งทีมกันเล่น เราจะลงสนามจริงและเล่นจริง ขอคนเป็นกรรมการสี่คน ผมจะแบ่งทั้งหมดสี่ทีมเพื่อการแข่งสองสนาม”

เสียงมาสเตอร์อธิบายรายละเอียดของกิจกรรมภาคบ่ายของวันนี้ ผมนั่งเอนหลังพิงกับฮาร์เปอร์ก่อนจะกระซิบถามเธอ

“เขาจะแบ่งทีมชายหญิงหรือเปล่า ถ้าเราได้แยกกันล่ะ” ผมถาม

“นายก็อยู่กับเควินไง”

“ฉันขออยู่กับใครก็ได้ ที่ไม่ต้องมีแม็กทีส”

“แต่ว่า ถ้าพวกนายอยู่ทีมเดียวกัน...” ฮาร์เปอร์และผมมองไปทางแม็กทีสและกลุ่มเพื่อนของหมอนั่น “นายอาจจะแกล้งตบลูกบอลใส่หัวเขาได้นะ”

“หลักแหลมมาก! ”

ผมยิ้มและแท็กมือกันกับฮาร์เปอร์ ก่อนที่พวกเราจะหันส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายที่แม้จะได้รับการเมินเฉยกลับมาก็ตาม

“เอาล่ะเราจะแบ่งทีมชายหญิงนะ ทีมผู้ชายไปสนามสาม ทีมผู้หญิงไปรวมกันที่สนามสอง เอาล่ะลุกขึ้นแยกย้าย และนับหนึ่งสองสลับกันไปจนกว่าจะคบ” มาสเตอร์เป่านกหวีดและพวกเราก็ทยอยกันไปรวมกลุ่มชายหญิง

“อย่าลืมนะ อยู่ทีมเดียวกันกับเขา จะได้สามัคคีกับแม็กทีสไว้” ฮาเปอร์กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน

จากนั้นผมก็แยกไปรวมกลุ่มตามที่มาสเตอร์บอก แม็กทีสยืนกอดอกคุยอยู่กับเจฟ ในขณะที่ผมลากเควินที่ไม่ค่อยบอารมณ์กับแผนการนี้มาด้วย

“อยู่ด้วยคนสิ”

“ว่าไงนะ?” เจฟถามและมองมาทางพวกเรา “นายมาขออยู่กลุ่มกับพวกเรางั้นเหรอ...”

“ใช่...ไม่ได้หรือไง?”

“ก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว ใครจะอยากอยู่ทีมเดียวกับราชินีโอเมก้าผู้สูงส่งแบบนาย! ”

“ทหารกระจอกรับใช้เจ้าชายอย่างนายน่ะไม่ต้องทำถ่อมตัวหรอกนะ ฉันไม่ถือสา” ผมยิ้มอย่างเป็นมิตรและโบกมือไล่เจฟแบบส่ง ๆ มันเป็นการกระทำที่ไร้ความจริงใจและพวกเขาเองก็คงรู้ดี

“ฉันจะอยู่ทีมเดียวกับนายแม็กทีส”

“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายต้องการอะไร บารอน?”

แม้ว่าแม็กทีสจะทำเป็นถาม แต่ผมกลับไม่สนใจ ผมยิ้มหวานใส่อีกฝ่ายก่อนอจะหันไปเรียกมาสเตอร์ “มาสเตอร์ครับ ผมขออยู่กับแม็กทีสนะครับ”

“นายนี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ บารอน” แม็กทีสคลายมือที่กอดอกและดึงหัวไหล่ผมให้หันกลับไปทางเขาหลังจากที่ผมยกมือขอร้องให้มาสเตอร์อนุญาตให้ผมกับเขาอยู่ทีมเดียวกัน

“ฉันคือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เอาล่ะเรามาเล่นกีฬาอย่างสามัคคีดีกว่านะ...”

“นายคิดว่าจะโง่เชื่อคนอย่างนายงั้นเหรอ คนที่เกิดมาพร้อมกับคำเสแสร้งแบบนายเนี่ยนะ” ดวงตาสีอ่อนโสโครกมองผมอย่างดูแคลน แต่ผมจะไม่แสดงเจตนาของตัวเองออกไปในยามนี้ และแม้ว่าเควินจะสบถหยาบคายใส่อีกฝ่ายก็ตาม

“อย่ามองกันในแง่ร้ายนักสิ มาคิดดูแล้วมันก็แค่กีฬาน่ะนะ”

“หึ...คนอย่างนายเนี่ยนะคิดได้แบบนั้น”

“ไม่เอาน่า แยกแยะหน่อยสิแม็กทีส นี่มันกีฬานะที่บ้านนายไม่สอนหรือไงว่าเรื่องส่วนรวมต้องมาก่อน”

“ได้...ถ้านายอยากจะอยู่ทีมเดียวกับฉันนะก็อยู่ไปเลย” เขายิ้มและเดินไปตรงกลางสนาม “เพราะฉันจะเป็นคนเสิร์ฟลูกบอลฯ มันคือหน้าที่ฉัน”

“ว่าไงนะ!! ”

“ทำไมล่ะบารอน นายอยากจะแย่งตำแหน่งนี้เหรอ โทษทีนะส่วนสูงนายไม่ถึง ขืนนายเสิร์ฟลูกไม่ข้ามเน็ตมีหวังเสียแต้มแน่” แม็กทีสรับลูกวอลเลย์ฯ มาก่อนจะตบมันกระเด้งลงกับพื้นหนึ่งที “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิราชินี หัดทำเพื่อส่วนรวมบ้างสิ”

สุดท้ายผมก็ไม่ได้แตะลูกบอลและดูท่าว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน แต่ไม่ต้องห่วง...ผมจะหาวิธีโค่นล้มแม็กทีสในสนามให้ได้



“หนึ่ง สอง สาม ปี๊ด”

พลั่ก!!

“!!! ”

“โทษที...ฉันน่าจะตบพลาดนะ ขอโทษนะทุกคน”

ผมรู้ว่าลูกแรก ไม่ใช่การเสิร์ฟพลาดแบบที่แม็กทีสตะโกนบอก หมอนี่จงใจตบลูกวอลเลย์ฯ อัดใส่หัวผม!

ใจเย็นไว้ก่อนบารอน!

ผมสูดลมหายใจและยังคงส่งยิ้มให้กับทุกคนในสนาม พยายามทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ว่าข้างในผมร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟในโลกันตร์ ผมอยากจะเดินเข้าไปปาบอลใส่จมูกพลาสติกของเขาให้มันหักไหลขึ้นสมองไปเลย!

แต่สิ่งที่ผมทำได้...

“ราชินีไหวมั้ย...คุณอยากไปพักมั้ยคะ”

“ราชินีโอเคนะครับ” ทำแค่ยิ้มและพูดว่าตัวเองโอเค แสร้งมีน้ำใจนักกีฬาทั้งที่ผมโกรธจนเนื้อเต้น!

และผมต้องพยายามทำเหมือนกับมันโอเคทั้งที่ไม่...ไม่มีของแบบนั้นในเวลานี้

“เอาล่ะทุกคนเริ่มใหม่นะ!!”

เสียงสัญญาณดังครั้งที่สอง ผมรู้ว่าแม็กทีสจะต้องเสิร์ฟให้ข้ามเน็ตตาข่าย เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม ทั้งผมและเพื่อนในทีมต่างเอาจริงเอาจังกับเกมการแข่งขันที่แสนดุเดือด

“พลั่ก!! ”

“โอ๊ย...อะไรกันเนี่ย!! ”

“โทษที...แม็กทีสน่าจะตบผิดจังหวะ” เจฟยิ้มบอก

ผมกับเควินหันไปมองหน้ากัน และคราวนี้ผมไม่มีท่าทางใจดีอีกต่อไป เขาจงใจตบบอลอัดหัวผม พยายามยิ้มเหมือนกับขอโทษ แต่ผมรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมันซุกซ่อนความสะใจไว้อยู่ สองนาทีแรกมันเต็มไปด้วยการแข่งขัน แต่สองนาทีต่อมามันคือการเอาคืน

ผมจะไม่ยอมถูกลูกบอลอัดหัวฝ่ายเดียว

“คุณแคปรินคอร์น คุณไหวนะ”

“ไหวครับ ไม่เป็นไร” ผมหันไปบอกมาสเตอร์และเพื่อนในทีม ทุกคนมองมาทางผมและส่งสายตาถามอย่างห่วงใย ยกเว้นแต่จะมีคนเดียวที่มองด้วยความสะใจ

ผมต้องสงบสติอารมณ์ไว้ นับจากนี้ผมจะนับ1-100ภายในใจ ไม่ว่าเรื่องเหล่านี้จะงี่เง่าแค่ไหนก็เถอะ!



ทุกคนกำลังหันมาสนใจเกมในสนาม ในขณะที่ผมวิ่งไปทางฝั่งที่แม็กทีสยืนอยู่ และอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต ตอนที่กระโดดรับลูก และผมก็ใช้จังหวะนั้นกระโดดถีบเข้าที่ข้อพับของอีกฝ่ายจนล้มลงไปนอนคว่ำกับพื้น ...สะใจชะมัด!!

“โอ๊ย!! ”

“เฮ้ย!! ”

“ตายแล้ว...แย่จัง โทษทีนะ พอดีกว่าสนุกกับกีฬามากไปหน่อย” ผมหันไปบอกสีหน้าตื่นเหมือนกับว่ามันเป็นอุบัติเหตุ และใช่มันก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้น :)

“เขาจงใจถีบขาแม็กทีส!! ”

“อย่าใส่ร้ายกันแบบนั้นสิเจฟ มันก็แค่กีฬาเท่านั้นเอง”

“แต่นายตั้งใจทำแบบนั้น!!”

“เฮ้...ไม่เอาน่า คนเรามันก็ต้องมีชนมีกระแทกอยู่แล้ว นี่มันในสนามแข่งขันนะ”

“ใช่ ๆ ทีนายยังตบลูกวอลเลย์โดนหัวราชินีเลย”

ผมยิ้มในขณะที่ลูกกระจอกสองสามคนออกโรงปกป้องผม ตอนนี้แม็กทีสเดือดดาลด้วยโทสะ ผมว่าอีกไม่นานแม็กทีสคงพุ่งเข้ามากระชากหมัดใส่หน้าผมแน่ถ้าทำได้

“ฉันไม่ได้โกหกนะ ตอนที่ฉันกำลังจะกระโดด บารอนจงใจทำแบบนั้นกับฉัน เขาแกล้งฉันชัด ๆ”

“อย่าพาลน่า” เควินว่าและพวกเขาก็เริ่มเถียงกันจนอาจารย์ต้องมาห้าม ผมกอดอกระบายยิ้มมองแม็กทีสที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาโมโหเพราะตัวเองกำลังท็อปฟอร์มในสนามแต่กลับถูกผมสกัดดาวรุ่งจนหน้าหงาย!

“เด็ก ๆ เงียบได้แล้ว” มาสเตอร์ปรามพวกเราพร้อมกับปล่อยนกหวีดจากปาก “เอาล่ะพักได้ครึ่งแรกได้ ทุกคนพักได้!! ”

และเมื่อเสียงของมาสเตอร์บอกพร้อมกับสัญญาณหมดเวลาแมทแรก... แม็กทีสเป็นฝ่ายบุกเข้ามาผลักไหล่ของผมจนเกือบจะล้ม!

“นายอย่าคิดว่าตัวเองมีคนเข้าข้างแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ อย่าทำตัวเป็นหมาลอบกัด”

“แล้วนายดีกว่าตรงไหน อย่าคิดว่าคนอื่นจะโง่แบบนายสิ นายจงใจตบลูกวอลเลย์ใส่หัวฉันก่อนนะ” ผมสะบัดไหล่ให้หลุดจากการเกาะกุมอันรุนแรงของอีกฝ่าย

“นายจงใจจะพลักฉันล้ม นายมันขี้โกง!”

“นายก็ขี้โกงเหมือนกันนั่นแหละ! ” ผมเท้าสะเอวจ้องหน้าอีกฝ่ายแบบไม่หลบสายตา ผมไม่เคยผละสายตาหนี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาด้วยอารมณ์แบบไหน ผมสามารถรับมือได้ทุกรูปแบบ “และอย่าคิดว่าฉันจะปล่อยให้นายทำฝ่ายเดียวนะ”

“นายมันเป็นคนที่ทุเรศที่สุดเลย นายมันเห็นแก่ความสะใจของตัวเอง” แม็กทีสค่อย ๆ เสียงดังขึ้น และผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรมากไปกว่าเก็บลูกบอลขึ้นมาอุ้ม

“นายจะว่าอย่างงั้นก็ได้แม็กทีส แต่ฉันไม่เจ็บปวดกับคำด่าทอของนายหรอกนะ” ผมเดินผ่านเขาไป แต่แล้วเขาก็พูดเรื่องที่ทำให้ผมต้องชะงัก

“เคย์ตันพูดเสมอว่านายมันน่ารังเกียจ”

“...”

“เขาพูดเสมอว่านายมันเป็นพวกที่บูชาตัวเอง และฉันเชื่อว่าจริง”

ผมเกลียดชื่อนี้ ผมเกลียดทุกครั้งที่เคย์ตันยังส่งผลกับผมอยู่ ข้างในลึก ๆ ผมรู้ว่ามันคืออะไร ผมเกลียดชังความผิดพลาดทั้งหลายพอ ๆ กับการที่ตัวเองยกหัวใจให้คนเห็นแก่ตัวคนนั้น ผู้ชายสวะที่เป็นจุดด่างในชีวิตของผม

“เพราะงั้นเขาถึงได้อยากจะเลิกกับคนเห็นแก่ตัวแบบนายไง”

!!!









Talk

น้องมันดื้ออออออออออออออออออออออออออออออ นิสัยไม่ดี เดี๋ยวจะโดน ฝากน้องหน่อยจ้าาาาาาาา

#ยูอาร์มายโอเมก้า :)

หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ⅴ ] satisfy (1-2) : Jun 30,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-06-2019 16:28:05
 :pig2:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ⅴ ] satisfy (1-2) : Jun 30,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 30-06-2019 23:38:39
เป็นเด็กสปอยล์ โลกหมุนรอบตัวเอง แล้วยังมีปมด้วย
เฝ้ารอจุดเปลี่ยนของน้องเลย
นิสัยขนาดนี้ พระเอกเราจะรับมือยังไง
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ⅴ ] satisfy (1-2) : Jun 30,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-07-2019 16:00:50
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว [ⅴ ] satisfy (1-2) : Jun 30,2019
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 01-07-2019 22:31:41
อ่านทีเดียวรวด สนุกมากเลย แต่รู้สึกว่าพระเอกทำเกินไปในหลายๆเรื่องอยู่นา
ถึงนายเอกจะร้ายใส่ก็เถอะ :ruready
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 02-07-2019 16:07:52
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/07/02/1vvWRN.th.jpg) (https://www.picz.in.th/image/1vvWRN)

「 ⅵ 」Wicked (1)

(adj.) Evil or morally wrong.



"รู้มั้ยว่าเขารู้สึกยังไงที่ต้องทนอยู่กับคนแบบนาย" แม็กทีสยังคงพูดประโยคพวกนั้นด้วยท่าทีฉะฉาน "เขาเองก็แสนเบื่อหน่ายที่ต้องมาคอยเอาใจคนอย่างนาย"

ผมนิ่งเงียบ ทุกถ้อยคำชัดเจนกว่าครั้งไหน คำพูดเหล่านั้นเหมือนกับขวานที่ผ่าลงกลางกลางอกของผม มันรุนแรงแบบนั้นหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป...

"ฉันรู้นะว่านายยอมรับความจริงไม่ได้ เรื่องที่เคย์ตันไม่เคยรักนายแบบที่เขารักฉัน เขาบอกรักฉันแต่ไม่เคยบอกรักนาย!"

"ถ้านายต้องการที่จะประจานถึงความสำส่อนของตัวเองก็เอาเลย ทุกคนรู้ทั้งนั้นว่านายนอนกับแฟนเพื่อนของตัวเอง เอาเลย พูดให้หมดนะว่านายมันน่าสมเพชแค่ไหน!" ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด และบอกให้ตัวเองก้าวเดินต่อไปพร้อมทั้งละทิ้งถ้อยคำที่ไม่ควรมีผลกับผมไม่ว่าจะมุมใดก็ตาม...

ผมเกลียดความสัมพันธ์แสนทุเรศทุรังนี้ที่สุด และเกลียดที่ตัวเองกำลังกลายเป็นขยะหรือสิ่งของที่ผู้ชายคนนั้นไม่ต้องการ

"ใช่ฉันน่าสมเพช และนายก็ด้วยบารอน แค่เพราะนายไม่มีความสุข คนอื่นก็ต้องไม่มีความสุข นายเลยทำให้เคย์ตันต้องกระเด็นออกจากที่นี่ ทำให้ต้องไปจากโอเวิลชนิดหายสาบสูญ ทุกอย่างระหว่างฉันกับเขาต้องพังลงเพราะว่าอิทธิพลของครอบครัวนายที่บีบบังคับและทำร้ายคนอื่น!"

"ฉันไม่ได้ทำ!!" ผมภาวนาให้อีกฝ่ายหยุดพูด หรือลึกลงไปผมภาวนาให้ตัวเองควบคุมความโกรธที่พลุ่งพล่านในเวลานี้

"ถ้านายไม่ทำแล้วใครจะทำ"

"ฉันรู้หรอก! และถึงจะจริงแบบที่นายพูดฉันก็แคร์สักนิด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พวกนายต้องเผชิญจากการหักหลังฉัน นั่นคือสิ่งที่พวกนายสมควรโดน” ผมเอ่ยเสียงหนักในขณะที่ดวงตาอันเต็มไปด้วยโทสะจ้องมองอีกฝ่าย มันไม่ใช่การข่มขู่ แต่แม็กทีสอาจจะรู้ว่าถ้าตัวเองยังเอาแต่จุดไฟเผาผมและคิดว่าผมจะมอดไหม้เพราะความโกรธแค้นและก็เขาคิดผิด...

เพราะผมจะโยนระเบิดใส่เขามากกว่าที่จะยอมให้เขาเผาผมแบบนี้

"นายคิดแบบนั้นจริง ๆ สินะ เพราะว่านายคิดว่าพวกเราหักหลังนาย นายก็เลยต้องการจะเอาคืนทุกคน ทั้งฉันและเคย์ตัน"

"เพราะฉันเคยไว้ใจนายครั้งหนึ่งแล้ว"

แต่มันจะไม่มีเรื่องงี่เง่านั่นอีก

"และแม้ว่านายจะไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง แต่ก็ไม่ควรที่จะมาใส่ร้ายฉันแบบนั้น!" ผมร้องบอกเสียงแข็ง เราประสานสายตากันในระหว่างที่ทุกคนหลีกหากจากสงครามเย็นนี่!

"หึ...ตอนแรกฉันก็ว่าจะไม่พูด แต่เพราะนายทำให้ฉันเหลืออด!" แม็กมีสแสร้งยิ้มเหมือนนางฟ้าที่มีเมตตากับทุกคน ผมอยากจะอาเจียนกับท่าทางพวกนั้นเสียเหลือเกิน "นายรู้ไว้ด้วยว่าเคย์ตันและครอบครัวกลับมาที่นี่ไม่ได้มันเป็นเพราะว่าพ่อของนายนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น"

"พูดดี ๆ นะพ่อฉันไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย..."

"พ่อนายเกี่ยวข้องด้วยทุกเรื่องเลยแหละจะบอกให้รู้ไว้ เขานั่นแหละคนบงการ!!"

"หยุดกล่าวหาพ่อของฉัน ไม่งั้นนายเจอดีแน่แม็ก!!!"

ผมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายพูดตรอกหน้าด้วยการกล่าวร้ายพ่อของผม คำพูดพวกนั้นมันสิ้นคิด การปลักปลำว่าพ่อคือคนทำเรื่องพวกนั้นทั้งที่ไม่มีหลักฐานมันมากเกินไปซึ่งผมไม่ยอมแน่ ๆ

พ่อของผมเป็นคนดี และเขาไม่มีวันทำเรื่องพวกนี้!

"ถามจริง ๆ เถอะว่าถ้าพ่อนายไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งนั้น คนอย่างเลียม แก๊บบี้ แฮริงค์ตันจะทำขนาดนั้นเพื่อนายจริงเหรอ"

"..."

ผมพูดไม่ออก บางครั้งมันก็กลายเป็นเรื่องที่ผมสงสัยเหมือนกัน

"เขาจะทำเพื่อนายไปทำไมถ้าพ่อของนายไม่ได้สั่งให้เขาทำ...นายคิดงั้นมั้ย?"

บางครั้งความจริงพวกนั้นมันสั่นคลอนความมั่นใจของผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าผมจะยังคงประคองมันไว้และพยายามเชิดหน้าขึ้นเหมือนราวกับไม่สะทกสะท้าน แต่แววตาของผมคงปั่นป่วนจนแม็กทีสมองออก

"พ่อนายเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าที่นายคิด แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเป็นพ่อที่แสนดี แต่จริง ๆ เขาเป็นปีศาจร้ายที่คนทั้งเมืองหวาดกลัว!"

"ไม่จริง นายกำลังใส่ร้ายพ่อของฉัน!!" ใบหน้าของผมแดงก่ำด้วยความโกรธ โทสะข้างในพลุ่งพล่านจนแทบจะกระอักออกมา ผมเกือบจะเก็บซ่อนความตื่นตระหนกและหวาดกลัวไม่ได้อีกแล้ว "อย่ามาพูดในสิ่งที่นายไม่รู้ นายมันไม่รู้อะไรเลย!"

"ผิดแล้วบารอน เพราะฉันคือคนที่รู้ทุกซอกทุกมุมของชีวิตนาย นายมันก็แค่คนน่าสมเพชที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อความสุขใจของตัวเอง คอยแต่จะกดหัวคนนั้นคนนี้ เหยียบย้ำผู้คนไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เพื่อที่จะปีนขึ้นไปบนจุดหมายของตัวเอง มีพ่อที่พร้อมจะส่งเสริมและหนุนหลัง คอยตามล้างตามเช็ดเรื่องที่ลูกชายสุดที่รักทำไว้ทุกเรื่องชนิดที่ว่าไร้เศษซากและร่องรอย"

แม็กทีสยังคงพูดต่อไปในขณะที่ผมยืนนิ่งพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะสู้คำพูดพวกนั้นไม่ได้ แต่เพราะผมรู้ว่ามันก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด...

ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวเพราะนั่นไม่ใช่นิสัยของผม...

"ตอนนี้นายคงสงสัยแล้วสิว่าพ่อที่นายรักและเทิดทูน เขาไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในศีลธรรมขาวสะอาดแบบที่นายเคยคิด" แม็กทีสย่างเข้าใกล้ผม และทุกถ้อยคำของเขาช่างหนักแน่น "นายบูชาและยกย่องพ่อของนายว่าเขาเป็นคนดี เป็นต้นแบบในชีวิตของนาย ทั้งที่ความจริงเขาสร้างภาพว่าเป็นผู้ชายอบอุ่นราวเทพบุตรเพื่อนายคนเดียว!"

"ถ้านายยังไม่หยุดพูดให้พ่อของฉัน รับรองว่าฉันจะทำให้นายพูดไม่ออก"

ผมไม่เคยสังเกตท่าทางและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของตัวเองว่ามันดังแค่ไหน ผมกำมือตัวเองแน่น ตอนที่คำพูดของแม็กทีสเริ่มมีผลกับผม สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นของผมถูกสั่นคลอนราวกับตึกสูงที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินอันสั่นสะเทือน

"บารอน...นายรู้มั้ยว่าทำไมถึงยังกำจัดฉันไปไม่ได้...ทั้งที่ฉันคือเป้าหมายสำคัญที่จะโค่นล้มราชินีแบบนาย"

"..."

นั่นคือสิ่งที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน




"เพราะว่าฉันเป็นคนเดียวที่รู้ว่าคืนนั้นนายทำอะไรกับเจน พอตเตอร์ บ้าง"

เจน พอตเตอร์... ชื่อนี้ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าครั้งใด ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้ผมตัวสั่นหน้าซีดได้ ยกเว้นชื่อของเธอ ผมกำมือแน่นและตะโกนสุดเสียงด้วยโทสะ "อย่าพูดชื่อนี้ให้ฉันได้ยิน!!"

ทุกครั้งที่เรื่องของเจน พอตเตอร์กลับเข้ามาในชีวิต มันคล้ายกับฝันร้ายของผมที่มากกว่าเคย์ตันเป็นหลายล้านเท่า ผมรู้สึกหวาดกลัว เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่ผมจะลืมเรื่องราวเลวร้ายที่ผมทำกับเธอได้ลง

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ซึ่งผมรู้ว่าตัวเองทำไม่ได้... แต่ถ้ามีสักครั้งที่ได้แก้ไขตัวเอง คืนนั้นผมจะไม่ทำร้ายเธอแบบนั้น ผมสาบานเลยว่าจะไม่มีวันนั้น!

"อะไรกัน บารอนราชินีผู้ยิ่งใหญ่ แค่ชื่อของเจนมีผลกับนายขนาดนี้เลยเหรอ? น่าประหลาดใจจัง ฉันนึกว่านายจะลืมยัยบาร์บี้นั่นไปแล้ว"

แม็กทีสสิ่งยิ้มมาให้ผมด้วยความสะใจ รอยยิ้มของเขาทำอะไรผมไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้มีแต่เจน พอตเตอร์เท่านั้น "น่าปลื้มใจจังนะ อย่างน้อยนายก็ยังจำเธอได้ แม้ว่าคนทั้งโรงเรียนจะลืมเธอไปแล้ว..."

"ฉัน...บอกให้หุบปากไง..."

"นายยังจำคืนล้างบาปได้มั้ย คืนที่เราออกมาเล่นเกมส์จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์กันวันนั้น..." แม็กทีสค่อย ๆ รื้อฟื้นความทรงจำวันนั้นให้หวนคืนกลับมา เขาชายตามาทางผม ก่อนจะเหยียดยิ้มร้ายกาจ "ฉันรู้ว่านายเองก็คงจะไม่มีทางลืม ว่าตัวเองทำอะไรเจนไว้บ้าง"

"ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ..."

ผมอึกอัก เหงื่อไหลอาบหน้าใจเต้นแรง ข้างในสูบฉีดเหมือนกำลังถูกดึงให้จมลงไปในอดีตอันเลวร้ายเหล่านั้น...

"สำหรับคนแบบนาย มันง่ายที่จะพูดว่าไม่ได้ตั้งใจ ข้ออ้างพวกนี้พ่อนายสอนให้พูดเวลาที่จมมุมงั้นสิ บอกแล้วไงว่าเขาตามล้างตามเช็ดเรื่องของนายจนไม่มีใครกล้าสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา และที่ฉันไม่ถูกกำจัดมันเป็นเพราะว่า..." แม็กทีสขยับเข้าใกล้และโน้มมากระซิบกับผม "ฉันคือพยานปากสำคัญที่รู้ว่านายบงการอะไรในคืนนั้น!!"

"ฉัน..."

ผมกลืนก้อนเหนียว ๆ ลงคอด้วยความยากลำบาก เรื่องราวพวกนั้นสะท้อนกลับเข้ามาในสมองหลั่งไหลเข้ามาจนจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์วันนั้นอะไรคือเรื่องจริงและอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลของยาเสพติดนั่น ... ผมจำเรื่องราวคืนนั้นได้เพียงบางส่วนและมันแสนจะเลือนราง มันเต็มไปด้วยความคึกคะนอง สารเสพติด ปาร์ตี้ เกมGG และเสียงหัวเราะด้วยความสะใจตอนที่เสียงกรีดร้องของเจน พอตเตอร์ดังลั่น

สาบานว่าทุกอย่างพร่ามัว และผมรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล จากนั้นพ่อก็ไม่เคยพูดเรื่องของเจนอีกเลย อันที่จริงคนทั้งเมืองไม่เคยพูดถึงเรื่องของเธออีก จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมค่อย ๆ ลืมเรื่องของเธอและเชื่อว่าเธอหายตัวไปตั้งแต่คืนนั้น...

จนกระทั่งแม็กทีสบอกว่าเขารู้เรื่องทั้งหมด รู้และยังคงเก็บมันไว้เพราะพ่อของผมเป็นคนอยู่เบื้องหลัง พ่อที่ผมรักและไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนทำเรื่องพวกนี้

เรื่องน่ากลัวที่ใจหนึ่งผมรู้ว่าเขามีอำนาจขนาดไหนที่จะทำได้...

"ราชินีของพวกคุณ..." แม็กทีสผละออกและชี้มาทางผม ประกาศเสียงดังฟังชัดและกวาดตามองไปรอบ ๆ ผมเหลือบมองไปยังสายตาของผู้คนรอบข้างที่ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก "เขาทำร้ายเด็กสาวคนนั้นจนเข้าโรงพยาบาล และเธอก็ไม่กลับมาอีกเลย ฉันรู้ว่าพ่อผู้แสนดีของบารอนต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ เพราะเขาคงจะกลัวว่าลูกชายแสนรักที่มีชีวิตในฟองสบู่ศีลธรรมแสนบอบบางจะแตกสลายถ้ารู้ว่าความจริงตัวเองเป็นเพียงปีศาจร้ายที่ทำร้ายชีวิตคนบริสุทธิ์คนหนึ่ง!!"

"ฉันไม่ได้ทำอะไรเจน และพ่อฉันก็ด้วย!!!" ผมตะโกนใส่แม็กทีสอีกครั้งและพยายามบอกทุกคนว่านี้มันบ้าสิ้นดี

พ่อไม่มีทางทำเรื่องพวกนี้ พ่อไม่มีทางใจร้ายกำจัดใครเพื่อผม ถ้าเขารู้ว่าผมทำผิดเขาจะไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้น พ่อเป็นแบบนั้นเสมอ

ผมไม่เชื่อว่าแม็กทีสจะพูดความจริง หมอนั่นแค่ต้องการยุแยงให้คนเข้าใจผมผิด

"นายกำลังใส่ร้ายพ่อฉัน นายกำลังกล่าวหาฉันทั้งที่ไม่มีหลักฐาน"

"งั้นเหรอ?" แม็กทีสหันมาแสยะยิ้มใส่ผมอย่างใจเย็น รอยยิ้มเคลือบยาพิษทำให้ผมอยากจะชกหน้าอีกฝ่ายด้วยโทสะ "นายเคยถามเขามั้ยล่ะว่าเขาทำอะไรกับเจน? ทำไมเจนถึงหายตัวไป ทำไมเธอไม่มาโรงเรียนอีกเลย และทำไมทุกคนต่างพากันเงียบสนิทเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น?"

"..."

"นายได้ยินได้เห็นกับตามั้ยว่าพ่อนายไม่เคยมีส่วนรู้เห็นกับการหายตัวไปของเคย์ตันและเจน?"

"ฉัน..."

"ในขณะที่ลูกชายยังคงใช้ชีวิตเป็นราชินีอย่างสุขสบาย พ่อของนายก็ยัดเงินกับนักข่าวและพวกตำรวจทั้งหลายด้วยจำนวนมหาศาลเพื่อปิดปากพวกเขา ใช้เงินก้อนหนึ่งฟาดหน้าครอบครัวของพอตเตอร์และครอบครัวฉันเพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่รู้เรื่องได้เอ่ยปากพูดเรื่องนี้ให้นายได้ยิน"

"ไม่จริง..." ผมเม้มปากพยายมจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่มันเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางทำได้  เรื่องพวกนี้กำลังทำผมสับสนและสั่นคลอน ผมเคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมพ่อถึงไม่พูดเรื่องของเจน มันมีแต่ปริศนาและผมไม่เคยตั้งใจจะตามหาเธอจริงจังเลย...

ผมปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำวัยเยาว์จนสุดท้ายมันก็หันกลับมาทำร้ายผม...

"นายเคยบอกว่าภูมิใจที่มีพ่อเป็นเขา ฉันชักสงสัยว่าการที่มีพ่อแบบบาโธโรมิวยังน่ายกย่องอยู่หรือเปล่า และถ้านายรู้ว่าเขามือสกปรกแค่ไหน นายจะยังเทิดทูนเขามั้ยบารอน?" แม็กทีสกอดอกเลิกคิ้วถามแบบไม่สะทกสะท้าน และผมก็ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นเช่นเดียวกัน

"เลิกพูดเรื่องงี่เง่านั่นได้แล้ว ฉันไม่มีทางยกโทษให้นาย ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้แม็ก!!"

"แล้วถ้าฉันไม่ทำนายจะทำอะไรฉันเหรอ? จะต่อยหน้าฉันแล้วให้พ่อจ่ายเงินปิดปากฉันเหมือนที่เป็นมาตลอดงั้นสิ"

แม็กทีสยังคงใช้ประโยคเดิมแต่น้ำเสียงของเขาเป็นทางการมากขึ้น เขายกมือขึ้นเสยผมด้วยท่าทางหัวเสียปนขบขันไปพร้อมกัน

"นายทำแบบนี้จนเคยชินใช่มั้ยล่ะ? งั้นก็เข้าเลย มาต่อยหน้าฉันแล้วเรียกพ่อนายมาเก็บกวาดเรื่องแย่ ๆ ที่นายทำไว้ ฉันเชื่อว่าบาโธโรมิวจะหาทางจัดการทุกเรื่องที่ลูกน้อยของเขาทำ เพราะเขามักจะใช้เงินทำให้คนหายตัวไปจากเมืองนี้ แบบเดียวกับเคย์ตัน กับเจนพอตเตอร์!!"

"พอสักที!!"

"ฉันจะหยุดก็ต่อเมื่อฉันต้องการที่จะหยุด" แม็กทีสเดินเข้ามาใกล้พวกเราและประกาศเสียงดังลั่นโรงยิมท่ามกลางสายตาคนนับสิบ

"แม็กทีส...หยุดได้แล้ว" ฮาร์เปอร์เดินเข้ามาขวางระหว่างผมกับแม็กทีส "นายเลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว พ่อของบารอนไม่เกี่ยว แค่เพราะว่านายโกรธที่ถูกถีบจนล้มไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพูดอีกหรอกนะ"

"เธอทำตัวแม่เขาทำไมล่ะฮาร์เปอร์ หรือเพราะที่จริงการที่เธอชื่นชมบารอนแบบนั้นเพราะลึก ๆ เธอเองกลัวว่าบารอนจะทำร้ายเธอเหมือนกัน?"

"ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น"

"ฉันรู้ว่าเธอคิดฮาร์เปอร์ เธออยู่กับบารอนก็เพราะว่ากลัวว่าเขาจะจัดการเธอ ไม่เคยมีใครอยู่กับนายด้วยความจริงใจ พวกเขากลัวนายก็เลยยอมทนคบนายเป็นเพื่อน ถามเธอดูสิ"

"หยุดได้แล้วแม็กทีส..."

"เธอจะปฏิเสธทำไมเล่าฮาร์เปอร์ เธอมีสิทธิ์ที่จะพูดนะ!!"

"ฉันบอกว่าเงียบได้แล้ว!!!" ผมเป็นฝ่ายตะโกนขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับแม็กทีส ด้วยตัวเอง "นายหยุดกล่าวโทษฉันและก็หยุดพูดเรื่องบ้าบอนั่นสักที!!"

"ไม่บารอน ไม่ว่าฉันทำอะไรกับนายมันจะไม่มีวันแย่เท่ากับที่นายทำกับฉัน กับเคย์ตัน รวมถึงเจน พอตเตอร์ด้วย!!" แม็กทีสหัวเราะประชดประชัน “น่าเสียดายที่เคย์ตันไม่อยู่ที่นี่ ไม่งั้นเขาคงบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และมันก็เป็นเพราะพ่อของนายที่ทำให้เขากระเด็นจากโอเวิล ”

"เงียบนะ!!"

"ฉันจะบอกไว้เลยนะ ว่าคนแบบนายจะไม่มีใครรักจริงบารอน นายมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่รักได้แค่ตัวเอง"

สิ้นคำพูดนั้นผมก็ปาบอลเข้าไปที่หน้าอีกฝ่ายก่อนกระหน่ำอัดหน้าแม็กทีสไม่ยั้ง!!

“พลั่ก!! ”

“ว้าย!!! ”

“พระเจ้า ช่วยห้ามเขาที”

“กรี๊ด!! ”

พลั่ก!!!

“ฉันบอกให้นายหุบปาก!!! ”

"มาสเตอร์คะ!!"  เสียงโวยวายและความชุลมุนวุ่นวายรอบข้างไม่เป็นผล ผมไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน ผมปล่อยหมัดลงไปบนหน้าคนแบบแม็กทีส มันมีเต็มไปด้วยความสะใจและผมคิดแค่ว่าเขาสมควรโดน!!

"หยุดนะพวกคุณหยุด!!"

“ช่วยกันดึงพวกเขาออกมา!!” เสียเจฟหรือใครก็ไม่มีความหมาย แม้แต่มาสเตอร์เองก็ยังห้ามผมไม่ได้ ผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หมัดแล้วหมัดเล่าที่กระทบบนใบหน้าของ แม็กทีส มารีก้าจนอีกฝ่ายเลือดออก และมือของผมก็ถลอก...

กลิ่นคาวเลือดฟุ้งไปทั่ว ผมสงบเมื่อถูกใครบางคนกระชากผมออกจากร่างของอีกฝ่ายที่สลบไปแล้ว

พลั่ก

ตุ้บ!!

"นายมันคนทุเศ บัดซบ ฉันจะฆ่านาย" ผมกระหน่ำปล่อยหมัดชกหน้าแม็กทีสซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความโกรธที่ไม่อาจจะควบคุมได้อีก ผมรู้สึกสะใจและตกใจไปพร้อมกัน หลังจากที่กระหน่ำต่อยหน้าอีกฝ่ายจนกำปั้นถลอกเป็นแผล...

"ต่อยฉันแบบที่นายทำกับเจนไง เอาสิ"

"เงียบนะ ฉันไม่ได้ทำ!! เงียบเดี๋ยวนี้!!"

ก่อนที่ผมจะทันได้ต่อยหน้าอีกฝ่ายให้ยับเยินจนไม่มีหน้ามาพูดเรื่องใครได้อีก จู่ ๆ ก็มีใครสักคนล็อกจากด้านหลังและถูกผมอุ้มออกจากการคร่อมบนร่างแม็กทีส ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือใบหน้าแม็กทีสเต็มไปด้วยเลือด และผมได้ยินเสียงกระซิบแนบหูว่า “มากับผม” ซึ่งนั่นคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมได้ยิน...


(Next 2)
[/b]
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 02-07-2019 16:11:51
Wicked (2)

....

ผมถูกใครบางคนอุ้มออกมาจากโรงยิม เสียงโวยวายนั่นห่างไกลออกไปจนสุดท้ายผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ผมนิ่งเงียบตลอดทางจนในที่สุดก็รู้ตัวว่าตกอยู่ในวงแขนแข็งแกร่งของบรูค ...คนขับรถจอมยุ่งของผม

"จะไปไหน"

"พาคุณไปสงบสติอารมณ์" เขาตอบแบบหน้าตาย

"วางฉันลง ได้ยินมั้ย?"  ผมเงยหน้าขึ้นสั่งคนที่อุ้มผมเดินออกมาด้านนอก เสียงแห่งความวุ่นวายเงียบลงเมื่อเราห่างไกลจากบริเวณนั้น บรูคอุ้มผมมายังโรงจอดรถส่วนตัวชั้นสองของครอบครัวแคปรินคอร์นที่พ่อผมจ่ายเงินบริจาคสร้างโรงจอดรถให้กับโรงเรียน

"ปาร์คเกอร์!!"

“คุณสงบสติอารมณ์ได้แล้วหรือยัง ถ้ายัง ผมก็ไม่ปล่อย"

"นายเป็นใคร ว่าฉันลง ฉันสั่ง!!"

"บอกผมสิว่าคุณใจเย็นลงแล้ว..." เขาเหลือบตาลงมองผม ดวงตาสีฟ้าขุ่นทำให้ผมหงุดหงิด เพราะแม้ในยามที่เขาดูสุขุมเยือกเย็นกว่าปกติ เขาก็ยังดูดีแบบไร้ที่ติด

ผมเป็นบ้าหรือไงที่ไปชมคนขับรถแบบนี้!!

"เอาล่ะ ผมจะวางคุณลง แล้วคุณก็ช่วยยืนอยู่เฉย ๆ ด้วยนะ” บรูคว่าพร้อมกับวางผมลงด้วยท่าทางสุภาพกว่าทุกครั้ง ความอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้ดูสวนทางกับลักษณะของเขาที่มีต่อผม

"นายทำให้ฉันขายหน้ารอบสอง!!" ผมสะบัดหน้าหันไปตะคอกใส่เขา

"ผมช่วยคุณจากเหตุการณ์ทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นเรียนต่างหาก และมันเป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมช่วยคุณไว้ ก่อนอื่นสิ่งที่คุณต้องทำคือการกล่าวคำว่า ขอบคุณ"

"ละเมอหรือไง?" ผมขมวดคิ้วถาม "ฉันจะไปขอบคุณคนแบบนายทำไม?"

"เพราะผมช่วยคุณไว้ ไม่งั้นคุณคงจะโดนข้อหาพยายามฆ่าหรือจงใจทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดนเจตนา"

"เหอะ..." ผมสะบัดหน้าหนีจากอีกฝ่าย ดูท่าว่าบรูคเป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านประจำเมืองงั้นสิ เขาไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือผมเพราะผมไม่ต้องการ

สิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คือการเอาคืนแม็กทีสอย่างสาสม เขาสมควรรู้ไว้ว่าคนอย่างบารอนจะไม่ยอมให้ใครจุดไฟเผาอยู่ฝ่ายเดียว!

“มือคุณแตก มานี่ส่งมือมาผม ผมขอดูแผลหน่อย”

"นายเกิดมาเพื่อสาระแนทุกเรื่องงั้นเหรอ?" ผมถามอย่างหงุดหงิดตอนที่บรูคพยายามเอื้อมมือมาจับมือของผมไว้

"ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ขอผมดูแผลหน่อย"

"ฉันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น พอใจหรือยัง อยู่ให้ห่างฉันจะได้มั้ย?” ผมตวาดอย่างเหลืออด ผมเกลียดที่เขาคอยแต่จะทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ “นายไม่น่ามาขวางฉันเลย ฉันกำลังจะอัดหน้าคนทุเรศนั่นให้ยับ และมันเป็นเพราะนายฉันถึงไม่ได้เอาคืนแม็กทีส”

"คุณต่อยหน้าเขาใช้ความรุนแรงในการจัดการคน มันไม่เข้าท่า"

บรูคกอดอกและยักคิ้วยียวนใส่ สีหน้าแววตาของเขายิ่งทำให้ผมอยากจะชกหมัดใส่หน้าของเขาถ้าไม่ติดว่ามือของผมเจ็บอยู่ล่ะก็ เขาเจอดีแน่!

"ปาร์คเกอร์ คนอย่างนายเนี่ยนะ มาสั่งสอนฉัน..."

“ผมไม่ได้กำลังสอนคุณ ผมแค่มาดูแลคุณ มันคืองานของผมนั่นแหละคำตอบที่ว่าทำไมผมต้องยุ่งเรื่องของคุณนัก ถ้ามันไม่ใช่งาน ไม่ใช่เพราะหน้าที่ของผม เชื่อได้เลยว่าผมไม่มีทางเสียเวลากับเด็กอายุสิบหกที่นิสัยแย่แบบคุณ”

“!!! ”

‘ฉันจะบอกไว้เลยนะ ว่าคนแบบนายจะไม่มีใครรักจริงบารอน นายมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่รักได้แค่ตัวเอง’




ผมเม้มริมฝีปากและเบือนหน้าหนี พระเจ้า...ผมเกลียดน้ำตาของตัวเอง ผมเกลียดมันเหมือนกับรากผักชีที่อยู่ในอาหาร ผมไม่ชอบให้ตัวเองร้องไห้ ไม่ชอบให้ขอบตาร้อนผ่าวแบบนี้

“เฮ้อ...เอามือมา ส่งมือคุณมาให้ผม”

“อย่ามายุ่งกับฉัน ถ้าฉันนิสัยไม่ดีก็อย่ามายุ่งกับฉัน!!”

"ส่งมือมานี่...คุณหนู" แม้ว่าน้ำเสียงของบรูคจะทำให้ผมใจอ่อน แต่มันไม่มีทางทำให้ผมเปราะบางมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมยังคงเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายและพยายามทำเหมือนตัวเองเข้มแข็งอย่างที่เป็นมา

ผมพยายามที่จะเป็นสิ่งนั้น... แต่มันยากที่จะคงความเป็น แคปรินคอร์นอยู่ตลอดเวลา

"บารอนอย่าดื้อ..."

"ฉันไม่..." และถึงผมจะอยากตอบโต้ แต่เหมือนกับบรูคจะไม่ฟัง อีกฝ่ายดึงดันที่จะให้ผมนั่งลงตรงนั้น นั่งลงที่ตักของเขาในขณะที่เขานั่งบนหลังกระโปรงรถยนต์ของผม

แม้ว่าผมพยายามดิ้น แต่บรูคกอดเอวไว้และล็อกตัวของผมให้นั่งเกยทับอยู่บนตักของเขา “คุณไม่ต้องอวดเก่งเกินวัยก็ได้ มานี่...ผมจะล้างแผลที่หลังมือให้”

“ไม่ต้องยุ่ง...”

“คุณก็อย่าดื้อสิครับ...” บรูคว่าพร้อมกับโอบกอดผมจากด้านหลังไว้แน่น สุดท้ายผมก็ตกอยู่ในวงล้อมของอีกฝ่าย บรูคเอี้ยวตัวไปหยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลที่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน เขายกขวดน้ำเกลือขึ้นก่อนใช้สำลีชุบและเช็ดเลือดจากหลังมือของผมเบา ๆ 

มันเป็นแผล...แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเจ็บเท่ากับการถูกเหยียบย่ำด้วยคำพูดพวกนั้นจากแม็กทีส

“อะ...” ผมกัดริมฝีปากตอนที่บรูคกำลังเช็ดล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ ก่อนจะใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลป้ายลงบนแผลสด เขาโน้มเข้ามาเป่ามาเบา ๆ จนผมรู้สึกเย็นหลังมือ

ในระหว่างที่ทุกความเงียบงันเกิดขึ้น สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความสุภาพจากอีกฝ่ายที่ผิดไปจากปกติ ...

“มันแสบ...”

“เดี๋ยวก็หาย แผลแค่นี้เอง”

“ฉันไม่ชอบ...” ผมพูดน้อยคำอย่างประหลาด ปกติแล้วผมไม่ใช่คนแบบนี้ และนั่นคงเพราะว่าผมกำลังอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมจะเปราะบางได้เท่ากับในเวลานี้

มันเหมือนกับเกาะทุกอย่างที่สวมถูกถอดจนร่างกายเปลือยเปล่า สุดท้ายคนเราก็ไม่ได้เข้มแข็งได้ตลอดเวลา...

"เจ็บนิดหน่อยนะ อดทนได้ใช่มั้ย?"

"ฉัน...ไม่...ไม่ใช่เด็กนะปาร์คเกอร์" ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย "อีกอย่างแผลแค่นี้ฉันไม่ตายหรอก"

"เมื่อกี้คุณยังบอกว่ามันแสบอยู่เลย"

"แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันเจ็บจนทนไม่ได้นี่" ผมเหลือบมองไปยังแผลที่หลังมือในขณะที่บรูคเริ่มล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์อีกครั้ง แม้ว่ามันจะแสบมาก แต่ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวแบบที่เขาคิดหรอกนะ...

“คุณชกหน้าเขาทำไม?"

"..."

ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบคำถามใคร จึงได้เงียบและแม้ว่าบรูคจะยังถามไม่เลิกผมก็ไม่คิดที่จะบอกเขาหรอก เราไม่ได้สนิทกัน ผมอาจจะสนิทใจกับเขาในเวลานี้ แต่ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น

"คุณโกรธขนาดนั้นเลยเหรอคุณหนู?”

"ไม่รู้เหมือนกัน..."

เมื่อพูดจบก็เกิดความเงียบขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างเราทั้งคู่ ผมและบรูคไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ผมเป็นฝ่ายเหม่อลอยอย่างไม่มีจุดหมาย ในขณะที่ถูกทำแผลโดยผู้ชายที่มักจะยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าบรูคทำให้ผมอบอุ่นในนาทีที่น่าอึดอัด

"นายได้ยินที่พวกเขาพูดใช่มั้ย"

"หืม?"

"ก็เรื่องที่แม็กทีสพูดถึงพ่อของฉัน...เรื่องพวกนั้น นายได้ยินหรือเปล่า?"

"ผมไม่รู้หรอกว่าเขาพูดเรื่องอะไร" ผมว่าบรูคคงแค่ทำไขสือ มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะไม่รู้ อย่างเขาเหรอจะไม่ตามมาเฝ้าผมทุกฝีก้าว ถ้าบรูคอยู่ห่างจากผม เขาก็คงไม่เข้ามาช่วยผมจากเรื่องชกต่อยเมื่อครู่ได้ทันเวลาหรอก!

"ฉันรู้ว่านายรู้ นายคงจะได้ยินทั้งหมด..."

บรูคไม่ตอบและยังคงทำเพียงใส่ใจกับแผลของผม แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นแค่เพียงวิธีการหลบเลี่ยงที่จะตอบคำถามเท่านั้นเอง

"นายเชื่อว่ามันจริงมั้ยปาร์คเกอร์?"

"เรื่องไหนละครับ?"

"ที่บอกว่าพ่อฉันคือคนที่ร้ายกาจ บงการทุกอย่าง เป็นเทพบุตรแค่กับลูกชายของเขา มันจริงใช่มั้ยล่ะ?"

"ถึงมันจะจริงหรือไม่จริง คุณแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วบารอน..." บรูคกล่าว และน้ำเสียงนี้ก็ฟังดูอ่อนโยนซึ่งแตกต่างจากเขาในเวลาปกติที่ผมเคยเจอ

"มันเป็นเรื่องที่คุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน"

"ฉันสมควรที่จะต่อยหน้าหมอนั่น...คิดว่างั้นมั้ย?" ผมยิ้มคนเดียวตอนที่บรูคเป่าปากเบา ๆ ระหว่างที่เขาใส่ยาลงบนแผลที่หลังมือให้แก่ผม

"การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ปัญหายุติหรอกนะ และผมคิดว่าปกติคุณไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลัง แม้ว่าจะถนัดใช้คำพูดให้เจ็บปวด แต่คุณไม่เคยทำร้ายใครขนาดนั้น”

“หมายความว่าไง...นายอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย นายไม่มีวันเข้าใจหรอก”

"ใช่ผมไม่เข้าใจคุณหรอก แต่ผมเชื่อว่าเด็กคนนั้นก็มีส่วนพูดถูก คุณยกย่องตัวเองได้ แต่นั่นต้องไม่เบียดเบียนหรือเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของใคร" เขาพูดออกมาได้ยังไงนะ มีสิทธิ์วิจารณ์ผมงั้นเหรอ?

"ฉันทำตอนไหนกัน"

“เยอะแยะไป เช่นกับผม กับเด็กสาวคนนั้น กับเพื่อนร่วมห้อง กับใครสักคน ทั้งที่พวกเขาไม่สมควรได้รับการดูถูก แม็กทีสเองก็โดนคุณเหยียดหยามหลายต่อหลายครั้งเหมือนกัน"

"ฉัน..."

"คุณคงไม่รู้ตัวสินะ" บรูคไม่ได้มีถ้อยคำหรือน้ำเสียงตำหนิ ประชดประชัน มันมีความเอ็นดูในนั้น ผมสัมผัสได้

"ความรุนแรงของคำพูดและการใช้กำลังมันมีผลเท่า ๆ กัน คุณเจ็บปวดทางใจ แต่แม็กทีสก็เจ็บปวดทางร่างกายเหมือนกัน พวกคุณต่างเจ็บปวดคนละแบบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะชกหน้าคนทั้งโลกที่พูดจาแย่ ๆ ใส่คุณ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ ตราบใดที่คุณเองก็มีสิทธิ์ที่จะพูดจาแบบนั้นกับพวกเขาเหมือนกัน”

เขาว่าและชูกำปั้นของผมขึ้น ก่อนจะเป่ามันเบา ๆ ผมสบตากับดวงตาสีฟ้าขุ่น ในเวลานี้ผมสัมผัสได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นผิดปกติ

อัลฟ่าสมองกลวงแบบเขาส่งผลกับผมแบบนี้...

“แต่ว่า...แม็กทีสเริ่มก่อน เขาถึงได้มีจุดจบแบบนั้น!”

“คุณเองก็เริ่มทำร้ายเขาเหมือนกันนะ แต่คุณแค่ไม่รู้ว่าตัวเองใช้คำพูดทิ่มแทงเขา ...เอามือมาอีกข้างสิ” บรูคว่าและเอื้อมมือมาจับมือผมอีกข้างโดยพลการ ผมไม่ได้มีท่าทางขัดขืนสักนิด แถมยังนั่งอยู่บนตักและปล่อยให้บรูคจัดการทำแผลให้ต่อไปแบบนั้น

บอกไว้เลยว่าที่ผมยอมให้มันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่านาทีนี้ไม่มีใครปลอบโยนผมได้ดีเท่าบรูค ปาร์คเกอร์อีกแล้ว ซึ่งผมรู้ว่าเขาทำไปด้วยความหวังดี...

"สงสัยฉันอาจจะเป็นคนแบบที่พวกเขาบอกล่ะมั้ง..."

"คนแบบไหน?" บรูคพึมพำและขยับตัวตอนที่พวกเรานั่งเกยตักกันอยู่หลังกระโปรงรถ

"คนเลว...พวกเขานิยามฉันแบบนั้น คนชั่วร้าย คนร้ายกาจ คนเห็นแก่ตัว"

"ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นคนเลวหรือเปล่า แต่พ่อผมสอนไม่ให้ตัดสินใครจากอดีตที่เขาผ่านมา..."

"และถ้าฉันเป็นคนแบบนั้นทั้งอดีตและปัจจุบันล่ะ" ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกตัดสินไปหรือยัง แม้ว่าบรูคจะพูดประโยคปลอบใจแบบนั้นแต่ผมไม่ปักใจเชื่อ อย่างไรเสียในสายตาของเขาหรือใคร ผมก็คือคนนิสัยไม่ดีคนหนึ่งเท่านั้นแหละ...

"พ่อผมเคยพูดไว้ว่าถ้าเราทำผิด เราแค่ต้องเปลี่ยนความผิดพลาดเหล่านั้นให้เป็นบทเรียน และความจริงแล้วว่าบนโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด?"

"เขาพูดแบบนั้นจริงเหรอ?"

"ใช่...คนบอกว่าที่น่านับถือคือคนที่พยายามแก้ไขตัวเองและเลือกที่จะโยนอดีตไว้ข้างหลัง บางอย่างเราทำอะไรกับมันไม่ได้ นั่นแหละมั้งที่ว่าบางทีเราอาจจะมองไม่เห็นตัวเองเท่ากับที่คนอื่นมองเรา"

"แบบที่ฉันมองไม่เห็นในสิ่งที่พ่อทำ" ผมกำลังตัดพ้อบางอย่างแบบน่าละอาย...

"ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณได้ยินมามันทำให้คุณสับสน แต่ผมก็เชื่อว่าพ่อคุณเองก็ไม่ได้เป็นผู้วิเศษที่จะไม่เคยทำผิดพลาดเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นรวมถึงตัวคุณเองก็ด้วยบารอน..."

ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง ตอนนี้รู้สึกเหมือนอ้อมกอดที่อยู่รอบเอวของผมจะแน่นขึ้น ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างกกหูของผม ทั้งกลิ่นกายอัลฟ่าอันเป็นเอกลักษณ์จากเขาก็กำลังผ่อนคลายผมอย่างไม่น่าเชื่อ...

"เราทุกคนล้วนเคยทำเรื่องเลวร้ายกันทั้งนั้น แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณไปทำร้ายใคร เวลาที่พวกเขาพูดถึงสิ่งที่คุณทำไม่ดี...คุณต้องยอมรับว่ามันคือสิ่งที่คุณเคยทำ นับจากนี้การแก้ไขตัวเองมากกว่า คือข้อพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้เลวร้ายแบบที่พวกเขาพูดกัน"

"ถึงจะอย่างงั้น แต่ว่าฉันไม่เชื่อว่าพ่อจะทำแบบนั้น..." หลังจากที่นิ่งไปนาน ผมก็ยืนยันเรื่องพวกนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดังและหนักแน่นเหมือนกำลังปลุกใจตัวเอง 

"นั่นคือเรื่องของคุณบารอน"

"แสดงว่านายเชื่อว่าพ่อของฉันทำแบบที่แม็กทีสบอกงั้นสิ?"

ผมเอี้ยวตัวไปมองอีกฝ่ายที่กอดผมเอาไว้ ผู้ชายคนนี้ซับซ้อนจนผมคาดเดาอะไรไม่ได้ โดยปกติแล้วผมจะมองทะลุปรุโปร่งความคิดของผู้ชายทุกคน แต่ดูเหมือนจะต้องยกเว้นเขา...

บรูค ปาร์คเกอร์ ลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ




"งั้นผมขอถามหน่อย ถ้าผมเชื่อแบบนั้น แล้วคุณจะทำอะไรได้"

ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้ รู้แค่ว่าถ้าเขาเลือกที่จะไม่เชื่อแบบนั้นก็คงฝืนใจอะไรใครไม่ได้

"คุณจะบังคับให้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อหรือไงล่ะ แล้วถ้าผมยืนยันที่จะเชื่อว่าพ่อคุณไม่ใช่คนดี คุณจะทำยังไงคุณหนู"

"..."

"สักวันคุณจะเข้าใจว่าเราไม่สามารถบังคับความคิดของใครได้ ในโลกของผู้ใหญ่ ความจริงบางอย่างทำได้แค่ปล่อยวาง"

ในทีแรกผมเชื่อว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่นที่มีต่อผมได้ แต่ว่าตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเปลี่ยนใจใครไม่ได้ ถึงแม้จะอยากทำได้ก็ตาม

"ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมองและคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ยังไง คุณเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาไม่ได้แน่ ๆ"

"แล้ว..ถ้าเกิดว่าพ่อเป็นแบบที่ใครบอกล่ะ ฉันจะรู้สึกยังไงดี?" ผมชักไม่แน่ใจว่าความจริงคืออะไร และผมจะยังเผชิญหน้ากับมันได้มั้ย?

"ต่อให้เรื่องที่คุณบอกเป็นความจริง แต่เขาก็ยังจะเป็นพ่อของคุณเสมอบารอน"

"..."

"คุณอาจจะรับความจริงไม่ได้ ...แต่โปรดรู้ไว้ว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณ"

ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเปราะบางแค่ไหน ดูเหมือนผมจะอ่อนแอจนถึงขั้นต้องนั่งให้คนขับรถกอดปลอบด้วยประโยคดีเหล่านั้น

"แม้ว่าวิธีการของเขาจะแตกต่างออกไป แต่นั่นคือการแสดงความรักอีกอย่าง สำหรับผมมันไม่มีผิดถูก ถ้าขึ้นชื่อว่ารักไม่ว่ารูปแบบไหน มันก็คือความรักและมันยิ่งใหญ่เสมอ"

"ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่สมบูรณ์มาตลอด"

"บารอน... คุณว่านิ้วมือคนเราเท่ากันมั้ย" บรูคถามเสียงอ่อน หลังจากที่พ่นลมหายใจออกมา ผมเหลือบขึ้นมองเขาที่ใช้คางเกยอยู่ที่หัวไหล่ของผม "ดูมือคุณสิ นิ้วมือของคุณยังไม่เท่ากันเลย"

"มันเกี่ยวกันตรงไหน?"

"คุณว่ามีส่วนไหนในร่างกายเท่ากันบ้าง ดวงตา ติ่งหู เส้นผม มีอะไรที่ดูเท่ากันมั้ย?"

"นายถามอะไรงี่เง่าของนาย" ผมเหมือนกำลังรำคาญ แต่น้ำเสียงอ่อนลงสวนทางกับคำพูด

"ทุกอย่างถูกสร้างมาให้มีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น และสิ่งที่คุณคิดว่าสมบูรณ์มันอาจจะเป็นเพียงนิยามสำหรับของบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง" บรูคเอียงหน้าซบลงกับไหล่ของผม และผมไม่พยายามต่อต้านเหมือนอย่างที่ควรเป็น

อะไรกัน...ทั้งที่ผมไม่ชอบบรูค และคิดเสมอว่าเขาเป็นคนน่ารังเกียจ...

"ชีวิตของเราจะมีรสชาติ เมื่อมันมีหลากหลายอารมณ์ หลากหลายประสบการณ์ ตอนนี้คุณกำลังเผชิญหน้ากับความผิดหวังที่เกิดจากพ่อของคุณ สำหรับผมนั่นถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ"

"นายจะบอกว่าพ่อนายก็ทำไม่ดีงั้นเหรอ?"

"สำหรับผม นั่นไม่ได้สำคัญ และต่อให้ใครบอกว่าเขาเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมรู้สึกต่อพ่อจะไม่ถูกสั่นคลอน ผมเชื่อว่าเขาจะเป็นพ่อที่เก่งและดีที่สุดในสายตาของผม ต่อให้ตอนนี้เขาจะแข้งขาสั่นดูไร้ประสิทธิภาพ และป่วยเป็นโรคร้าย แต่ผมก็เชื่อว่าเขายังเป็นฮีโร่แบบที่ผมเคยเห็นมาตลอดหลายปี" น้ำเสียงที่บรูคที่กล่าวถึงพ่อของเขา ช่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและชื่นชม

แม้ว่าผมจะไม่รู้จักพ่อของเขา แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชายที่วิเศษสำหรับบรูค มาก ๆ

"พ่อของคุณเป็นแบบไหนในใจของคุณ ก็ขอให้เขาเป็นแบบนั้นต่อ และแม้ว่าให้ความจริงพวกนั้นจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของคุณที่มีต่อเขา แต่อย่าทำให้มันมีอิทธิพลกับคุณเลย รู้ไว้แค่ว่าพ่อคุณรักคุณมากที่สุด เท่าที่ชีวิตของเขาจะรักใครได้ก็พอแล้ว"

ทุกอย่างมันอบอุ่นไปหมด ความเชื่องช้าและสุขุมจากการเป็นบรูค ปาร์คเกอร์กำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับเรื่องราววุ่นวายที่รบกวนจิตใจไม่สามารถแตะต้องผมได้อีก ...

สิ่งเหล่านั้นไม่มีผลกับผมอีกเลย ผมพยายามเข้มแข็งแต่สุดท้ายผมกลับทรุดตัวลงในอ้อมกอดของบรูค และมันเป็นครั้งแรกที่ผมยอมให้เขากอดเพราะเชื่อว่าเขาช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้... เขาช่วยได้จริง ๆ

"ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เรื่องอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณผิดหวัง โปรดบอกตัวเองไว้ว่าพ่อของคุณจะยังรักคุณที่สุด และนั่นแหละที่คุณควรจะรับรู้ไว้... มันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"

“นายมีบุหรี่มั้ย?” ผมถามหลังจากที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับข้อคิดดี ๆ ของเขา... "ก็แหม...ฉันแค่อยากจะลองดู เวลาที่เครียด ๆ หาทางออกไม่ได้"

“เกเรขนาดไหนนะถึงได้มาถามหาบุหรี่กับผม?”

“ปาร์คเกอร์อย่ามากวนประสาทนะ ฉันต้องการมัน!!”

“คนแบบคุณไม่เหมาะกับนิโคตินเลยนะครับคุณหนู” เขาเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงขบขันที่ข้างใบหู ในขณะที่ผมถูกโอบเอวไว้หลวม ๆ และตอนนี้กลับไม่ได้ปฏิเสธว่าท่วงท่าที่เกิดขึ้น เรานั่งซ้อนกันอยู่นี้มันล่อแหลม ซึ่งถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมกลับรู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองเกิดความสบายใจ...

กับคนขับรถตกงานเนี่ยนะ?

“คุณรู้มั้ยว่าบุหรี่น่ะมันทำให้ริมฝีปากของเราคล้ำและกลิ่นของมันก็เหม็น”

“อย่ามาสอนเหมือนฉันไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่าปาร์คเกอร์”

“ฮ่า ๆ คุณต้องไม่รู้แน่ว่าเด็กวัยสิบหกที่ดูน่าทะนุถนอมแบบคุณน่ะไม่ควรทำตัวแบบนี้”

เป็นอีกครั้งที่คำพูดของบรูคเล่นงานผมอย่างจัง เขาประคบประหงมและใส่ใจกับการทำแผลที่มือทั้งสองข้างให้แก่ผมจนผมไม่กล้าทัดทานอะไรอีกฝ่าย

มันก็ดีอยู่เหมือนกันแหละที่มีคนมาใส่ใจแบบที่ผมเคยได้รับมาตลอด และกับช่วงเวลาที่แสนเปราะบางแบบนี้ด้วย

“สรุปว่านายมีหรือไม่มีกันแน่ หรือว่านายไม่อยากให้ฉันสูบ”

“ถ้าคำตอบของผมคืออย่างที่สอง มันจะทำให้คุณหนูเปลี่ยนใจหรือเปล่า” ผมหันไปสบตากันกับเขาในระยะใกล้ชิด ลมหายใจเราแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผมรับรู้ว่าหัวใจผมเต้นแรงพอ ๆ กับลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างถี่รัว

สัญชาตญาณงั้นเหรอ หรือว่าเพราะอะไร...

“อย่าสูบเลย ริมฝีปากนุ่ม ๆ ของคุณเหมาะที่จะคาบอย่างอื่นมากกว่า”

“นี่ปาร์คเกอร์--” ผมหันหน้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับเขา แต่แล้วปลายจมูกโด่งนั้นกับประทับลงที่แก้มเนียนของผม หัวใจผมเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ผมอยู่ในท่าที่ดูประหลาดกำลังถูกกอดไว้บนตักแกร่ง แก้มข้างซ้ายถูกปลายจมูกโด่งของบรูคคลอเคลียไม่ห่าง

“...”

ไม่มีคำพูดใดเข้าแทรกกลางระหว่างเรา ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเงียบงัน...

“ขยับออกไป...แล้วก็ส่งบุหรี่มาให้ฉัน” ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ทั้งที่มันทำได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ให้ผมกระโดดสิบครั้งแล้ววิ่งไปหน้าโรงเรียนยังดูเป็นไปได้มากกว่าเลย

“ถ้าคุณได้กลิ่น คุณจะรู้ว่าริมฝีปากของผม มีบุหรี่กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่อยู่...”

ผมเผยอริมฝีปากเมื่อเขาจูบลงที่หัวไหล่ ฝ่ามือของเขาวางลงที่หน้าขาของผม วินาทีนั้นผมรู้สึกโลดโผนราวกับอยู่บนรถไฟเหาะ ผมไม่กล้าคิดเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอยากจะทำอะไรต่อไป

ทำตามคำท้าทายหรือคำเชิญชวนนั่น...

“นายกำลังจะท้าทายฉันอยู่งั้นสิ” ผมถามและเผลอกัดริมฝีปากตอนที่เขาเคลื่อนมือไปตามหน้าขาของผม มืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในเสื้อพละของผม

พระเจ้า...ผมกำลังทำตัวเป็นเฟลลอน แคร์ริงตัน จากเรื่อง dynasty อยู่งั้นสิ ไอ้ความสัมพันธ์ของคุณหนูไฮโซกับคนขับรถที่ผมคิดว่ามีแค่ในละครเท่านั้น!!

“ฉันไม่ชอบรสสตรอว์เบอร์รี่”

“บางทีตอนนี้คุณอาจจะชอบขึ้นมาก็ได้....ซึ่งหมายถึง ริมฝีปากของผม”

และทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมถูกดึงเข้าไปคร่อมทับบนตัวของเขาและริมฝีปากของเราก็ประทับกัน มันเป็นจูบที่โจ่งแจ้งแต่ผมไม่สนใจ เราทั้งคู่แทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวินาทีนี้จะมีใครผ่านมาเห็นมั้ย

แน่นอนล่ะว่านี่คือที่จอดรถวีไอพีของคนตระกูลแคปรินคอร์น จะมีใครกล้าเหยียบเท้าเข้ามา...

ผมบดขยี้ริมฝีปากกับบรูค ปาร์คเกอร์ และเขาจูบเก่งกว่าที่คิด พวกเราดูดเรียวลิ้นสลับกันไปมา ผมได้กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่จากริมฝีปากของเขา รู้สึกได้ว่าช่องท้องปั่นป่วนไปหมด เขายกผมคาบที่เอวแกร่งกำยำ และดันตัวผมนอนลงกับฝากระโปรงรถ

ผมเผยอปากและอ้ามันกว้างขึ้นเหมือนกับคนที่หิวกระหาย ตอนที่เขาสอดปลายลิ้นเขาไปมันทำให้ผมละลายลงกับฝากระโปรง...สายตาที่เขามองผมช่างทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปลือยกายล่อนจ้อน ฝ่ามือของผมจิกข่วนที่แผ่นหลังของเขา ริมฝีปากของเราไม่ห่างกันเลย

ไม่เลย!!

ท่ามกลางความเงียบในโรงจอดรถส่วนตัวที่มีแค่รถของผมคนเดียว และมีเพียงเสียงแลกน้ำลายของเราสองคนดังไปทั่ว ผมกัดริมฝีปากล่างจนรู้สึกบวมช้ำ ตอนที่บรูคเริ่มซุกไซ้ซอกคอของผม ผมเขินอายยามที่ได้ยินกันเพียงสองคนในพื้นที่แห่งนี้

ผมบดริมฝีปาก แลกลิ้น และกระชับกอดแน่นขึ้นแม้ว่าภายในใจจะมีสัญญาณเตือนว่าเราไม่ควรทำแบบนี้ ผมไม่ควรเกลือกกลั้วกับคนขับรถ

“อา...” ผมพริ้มตาพร้อมทั้งเชิดหน้าขึ้นรับสัมผัสจากบรูคที่กำลังซุกไซ้ซอกคอของผมอย่างหลงใหล ผมเป็นราชินีโอเมก้า และการทำให้อัลฟ่าสูญเสียสัญชาตญาณของตัวเองมันเป็นสิ่งที่ราชินีไม่ได้ตั้งใจ

หรือบางทีผมอาจจะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นก็ได้...

“อ๊ะ...ปาร์ค--เกอร์” ผมขย้ำกลุ่มผมสีเทาและแอ่นหน้าอกขึ้นจนแผ่นหลังลอยจากกระโปรงรถ และเมื่อมือแกร่งลูบลงไปที่หน้าขาจนทำให้ผมขนลุกไปทั่วทั้งตัว

“คุณรู้ว่าผมหยุดไม่ได้ คุณหยุดมันสิบารอน...”

เขางี่เง่าหรือไงนะ

“เพราะมันได้กลิ่นของคุณจนเสียตัวตนตัวเองไปหมดแล้ว...”  บรูคยอมรับออกมา ผมไม่คิดที่จะหยุดและเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ ไหนบอกว่าตัวเองควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีไง...

เหอะ พอได้กลิ่นโอเมก้า พวกอัลฟ่าก็เข่าอ่อนกันทุกคน!

“ฉันอยากได้กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่จากปากของนายอีก...อื้อ”

“ชอบเหรอ?” บรูคเอ่ยขึ้นหลังจากผละริมฝีปากร้อน ๆ ออกห่างเล็กน้อย

ผมไม่ตอบคำถามนั้น และทำแค่กำคอเสื้อของเขาแล้วดึงลงมาบดขยี้ริมฝีปากช่างพูดที่กระตุ้นให้ผมมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น เขาลูบไปตามผิวเนียนของผม ก่อนจะสอดมือเข้าไปภายใต้กางเกงกีฬาขาสั้น ก้านนิ้วยาวสอดไปในกางเกงชั้นในสีขาว

เขาช่างปลุกปั่นอารมณ์ของผมได้ดี แม้เพียงแค่ปลายนิ้ว!!

“ถ้าคุณไม่ต้องการก็หยุดผมสิ แต่ถ้าคุณไม่หยุด ผมก็จะไม่หยุดเหมือนกัน...” เขากระซิบบอกและจูบไปตามกรอบหน้าของผม ผมยิ้มพลางหอบหายใจแม้ว่าเขาจะสั่งแต่ผมยังไม่อยากหยุด เขาสามารถทำให้ผมใจเต้นแรงแบบไม่เคยมีใครทำได้ เพราะแบบนั้นผมยังอยากจะลิ้มรสของเขาอีกสักหน่อย...

ไม่มีใครอยากจะหยุดและเมื่อริมฝีปากของเรานั้นสัมผัสกันอย่างเปลือยเปล่าอีกครั้ง ผมค้นพบแต่ความวิเศษที่ไม่อยากจะหยุด ลิ้นของเขามันเกี่ยวพันลิ้นของผมเอาไว้

พระเจ้า...จูบของเขานั้นช่างดีอย่างที่สุด มันดีมากกว่าที่เคยลิ้มรสจากใครต่อใครมากมาย และผมมีประโยคสั้น ๆ ว่า 'ได้โปรด อย่าหยุดเลยนะ'





Talk

นังตัวดี นังตัวดี เธออยากจะทำให้เขาแจ้งความข้อหาพรากผุ้เยาว์ถูกมั้ย? 55555555555  ฝากน้องจ้าาาาาาาาาาาาา ควีน ๆ แซ่บ ๆ ปมชีวิตไม่ซับซ้อนไม่ต้องกลัวดราม่า เพราะมันมี !!

ป.ล. หากมีคำผิดขออภัยเป็นอย่างสูงนะคะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-07-2019 19:13:48
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-07-2019 22:09:38
สงสารนายเอก ขี้วีนแต่ยังต่อกรไม่เก่ง ปล่อยให้แม็กทีสว่าเอาๆ พอน็อตหลุดก็ต่อยเลย ดูไม่ดีในสายตาคนอื่นไปแล้ว :hao5:
พระเอกก็นะ ทำไมไม่เข้าไปช่วยก่อนหน้าน้านนนนน :m31:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 05-07-2019 09:05:22
ติดตามจ้า~
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: namzagirl ที่ 05-07-2019 19:21:58
สงสารน้อง ต่อไปคนที่โรงเรียนจะมองน้องยังไงเนี่ย  :o12:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 06-07-2019 12:58:24
เราร้องไห้ตาม สงสารน้อง มันะมีปมมีอะไรอีกเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅵ 」 Wicked (1-2) : Jul 2,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 06-07-2019 22:12:29
อิตาคนพี่เริ่มออกลาย ปากว่ามือถึง ล่อลวงเด็กด้วยจูบ strawberry and cigarettes ไปอีกกก
แกหยุดเองได้ แต่ไม่ทำ ดูออกว่าอยากกินเด็ก คุกๆๆ
โรงจอดรถในโรงเรียน แกต้องใจเย็นๆบรู๊ค ให้ถึงบ้านก๊อนนนน

หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅶ 」 Sexuality : Jul 6,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 06-07-2019 22:40:11
(https://uppic.cc/d/KBCJ) (https://uppic.cc/v/KBCJ)

「 ⅶ 」 Sexuality

(N.) a person's sexual orientation or preference.


ผมนอนแหงนหน้ามองแชนเดอร์เรียภายในห้องนอน ทุกความเงียบสงบช่างเป็นเพื่อนที่น่ากลัว ตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียน ผมก็แทบไม่ได้คุยกับใคร และอีกอย่างคือผมไม่ต้องการที่จะอธิบายเรื่องนี้กับพ่อและแม่ อย่างน้อยก็คงในเวลานี้ คงเพราะมันเป็นการเผชิญหน้าที่ยากที่สุด

ผมไม่รู้จะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน ถูกความสับสนและไม่เข้าใจก่อกวนราวกับคลื่นพายุกลางมหาสมุทร...ผมรู้ว่าเรื่องที่แม็กทีสพูดได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นที่ผมมีกับครอบครัวมาโดยตลอดแบบได้ผลอย่างที่ไม่ควรเป็น และหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นแคปรินคอร์น คงเป็นการการรักษาหน้าตาของตระกูลเอาไว้ ผมมีชีวิตแบบนี้ได้เพราะสายเลือด พ่อมักพูดกับผมเสมอ...

พวกเขาสอนให้ผมเคารพตัวเองและเทิดทูนความเป็นแคปรินคอร์น...

“ลูกจ๋า แม่เอาผลไม้มาให้” แม่เปิดประตูเข้ามาก่อนจะทำท่าเคาะที่ผนักกำแพงสีขาวเบา ๆ เธอแนบหน้าลงกับกรอบประตู มืออีกข้างถือจานผลไม้ที่ปอกแล้วอย่างดี พร้อมทั้งส่งยิ้มอ่อนหวานให้กับผม "ทานผลไม้หน่อยนะ"

“ผมยังไม่อยากทานผลไม้ตอนนี้ครับ”

“ลูกรักการทานผลไม้เป็นมื้อค่ำจะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ถือเป็นการไดเอทไปด้วย” แม่อ้างสรรพคุณก่อนจะเดินมาถึงข้างเตียงของผมโดยที่ผมไม่ได้ตอบประโยคใดของเธอไป

“อย่าคิดมาเลยบารอน พ่อเขาไม่เคยโกรธลูกหรอกนะลูกรัก”

นั่นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่แม่เลือกใช้กับผม เวลาที่พ่อสีหน้าของพ่อเต็มไปด้วยโทสะ เขามักจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้นานที่สุด หรือนานพอที่ความโกรธของเขาจะสงบลงได้ พ่อไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ อย่างหนึ่งที่ผมรู้คือเขาควบคุมแม้กระทั่งสิ่งที่ผมทำไม่ได้...

“ผมได้ยินพ่อเอาแต่ตำหนิบรูค มารีน่าบอกว่าพ่อด่าเขารุนแรงมาก” ผมเลื่อนสายตาไปที่พื้นแทนที่จะเป็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจของแม่

“โธ่ลูก...ก็เขาสมควรโดนตำหนิ”

แม้แม่จะพยายามปลอบโยนผมโดยการโยนความผิดให้บรูค แต่จิตสำนึกของผมกำลังต่อต้าน... มันประท้วงเสียงดังว่าผมนั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิด ผมต่างหากที่ควรจะถูกตำหนิไม่ใช่เขา

“พ่อจะไล่บรูค ปาร์คเกอร์ออกมั้ยครับแม่?”

“แน่นอนว่าพ่อเป็นคนให้โอกาสคน” แม่ขยับตัวนั่งลงบนผืนเตียงข้างผม เธอวางมือลูบที่หลังมือของผมที่รวบไว้บนหน้าตัก “เขาทำให้ลูกตกอยู่ในอันตราย เขาทำหน้าที่บกพร่อง และไม่มีอะไรที่ต้องเห็นใจเวลาที่เขาทำผิดพลาด”

“แต่ว่า...เขาไม่ได้ทำแบบนั้น”

ผมติดเสียงลงท้ายคำปฏิเสธนั้นด้วยความไม่พอใจ แม่ยิ้มด้วยสีหน้าไม่รับรู้อะไร ทั้งที่ผมรู้ว่าแม่เองก็คงจะเข้าใจดีว่าผมต่างหากที่เป็นคนก่อเรื่อง เป็นฝ่ายชกหน้าเพื่อนและวิวาทกับคนในโรงเรียน

ตั้งแต่กลับมาที่บ้านผมยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร พ่อก็ขอตัวเข้าห้องทำงานก่อนจะเรียกบรูค ปาร์คเกอร์เข้าไปคุยเป็นการส่วนตัว พอไม่ใช่คนเสียงดังและชอบใช้อารมณ์ และต่อให้ผมยืนแนบหูที่หน้าประตูก็ไม่มีทางได้ยินเสียงพ่อแน่ ๆ

“แม่ว่าลูกคงอยากจะนอนพักแล้วแหละ งั้นแม่ให้แม่บ้านชงนมอุ่น ๆ มาให้นะ” แม่ตัดบทและขยับตัวเหมือนจะลุกขึ้น “วันนี้ลูกเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เข้านอนเถอะจ้ะ”

“แม่ครับ ผมต้องบอกแม่...”

เราสบตากันและครั้งนี้ผมเว้าวอนให้แม่ฟังผม ปกติแล้วผมไม่เคยสนใจว่าใครจะเดือดร้อนจากเรื่องของผม ถ้าเป็นปกติผมอาจจะดีใจที่บรูคถูกตำหนิจนเกือบจะโดนไล่ออก แต่ครั้งนี้...มันกลับมีความรู้สึกผิดจนอึดอัดไปหมด...

“เรื่องที่ศาสตราจารย์โทรบอกพ่อ...เรื่องนั้นไม่เป็นความจริงเลย”

ผมทราบเรื่องมาว่าพ่อได้รับโทรศัพท์จากผู้อำนวยการและศาสตราจารย์ใหญ่ของโรงเรียน เขาบอกพ่อแค่ว่าผมโดนทำร้ายร่างกายจากลูกชายตระกูลมากีต้า เพราะเรื่องการแข่งขันในสนามวอลเลย์บอล ทั้งที่พยานปากมีมากมายที่จะยืนยันว่าแม็กทีสไม่ได้ผิดอะไร เขาไม่ได้ลงมือก่อนและผมนี่แหละที่เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายของเขา

ซึ่งมาถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมทุกคนต้องพยายามเอาใจผม เอาใจพ่อของผม การโยนความผิดให้คนอื่นแบบหน้าด้าน ๆ เริ่มทำให้ผมเกิดความกระดากอาย... ผมไม่ใช่คนขี้ขลาดเพราะฉะนั้นกับสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด ผมพร้อมจะยืดอกยอมรับมันแบบไม่ปิดบัง

“ที่จริงแล้วผมไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกาย แต่เป็นผมต่างหากที่เป็นฝ่ายหาเรื่องแม็กทีสก่อน”

“ลูกจะบอกว่าลูกเริ่มทำร้ายเขาก่อนอย่างงั้นเหรอ?” แม่ถามอย่างไม่เชื่อ หรือที่จริงเธอรู้แต่เธอแค่พยายามจะโกหกแม้กระทั่งตัวเอง...

“ใช่ครับ ผมทำ”

“พระเจ้า...” แม่เอามือทาบอกและอุทานออกมา ท่าทางของเธอทำให้ผมกัดริมฝีปากอย่างอึดอัด ผมเบนสายตากลับที่ที่พื้นห้องก่อจะพูดต่อ “มันเป็นเพราะตอนนั้นผมรู้สึกโกรธมากจริง ๆ ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องของเคย์ตัน”

ผมเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตวัดดวงตากลับไปสบมองกับแม่ “และเรื่องของเจน พอตเตอร์”

ยอมรับแบบไม่ต้องบ่ายเบี่ยงใด ๆ คือผมสติแตกอย่างมากตอนที่ชื่อของเจนดังจากปากของแม็กทีส...คำถามที่เคยหายไปกำลังถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำทั้งหลายกลับมาเล่นซ้ำเหมือนหนังเก่าเรื่องหนึ่งที่ไม่ชัดเจน...

“โธ่...บารอน”

“แม่ทั้งหมดเป็นความผิดของผมครับ”

“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่รู้ได้ยินมา ลูกบอกกับตัวเองซะว่ามันจบลงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วอีกลูกรัก” แม่ลูบศีรษะของผมเบา ๆ ก่อนจะขยับเข้าใกล้ “ลืมมันไปซะ สิ่งที่ลูกเห็นที่ลูกได้ยิน...”

“ผมทำไม่ได้ แม่ครับ ผมจำเป็นต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเคย์ตันและครอบครัวของเจน...”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น และสิ่งที่ลูกควรทำหลังจากนี้คือลืมเรื่องพวกนั้นแล้วเข้านอนซะบารอน” เสียงของแม่เริ่มแข็งขึ้นเล็กน้อย เธอดูโกรธที่ผมเอาแต่ถาม โดยปกติผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร นั่นก็คงเพราะผมลืมเจน พอตเตอร์ไปแบบที่คนอื่นลืม

คำพูดแย่ ๆ ที่เคยพูดกับเจน การกระทำต่าง ๆ ที่เคยทำกับเธอ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น ...ผมลืมมันไปจนหมดสิ้น

“เราจะไม่หนีความจริงกันสักครั้งได้มั้ยครับ” ผมจับมือแม่ที่บีบบนไหล่ของผม “เมื่อไหร่ที่แม่จะบอกความจริงกับผม เมื่อไหร่ที่แม่กับพ่อจะเลิกปิดบังผมเรื่องนี้สักที...”

ผมขอสักครั้ง ที่แม่จะพูดมันออกมา และเมื่อมันถึงเวลาผมก็พร้อมที่จะรับฟัง เราสองคนสบตากัน ความเงียบยังเป็นเพียงสิ่งเดียวที่โอบกอดพวกเรา และผมไม่กล้าปริปากทำลายบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยระหว่างผมกับแม่

“เรื่องบางเรื่อง ลูกควรปล่อยให้เป็นอดีตและทิ้งมันไว้ข้างหลังแบบที่ผ่านมาน่ะดีที่สุดแล้ว”

“แต่แม็กทีสรู้...เขารู้ทุกเรื่องของผม” ผมขึ้นเสียงและมันเป็นเพราะแม่ที่พยายามจะปิดบังผมทุกทาง ผมจำเป็นต้องรู้ ไม่ว่าเรื่องไหนที่ผมทำลงไป ผมจำเป็นต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่ไม่เคยพูดเรื่องเคย์ตัน เขาบอกว่าคนพวกนั้นสมควรออกจากเมืองไป พ่อบอกว่าอาเลียมจัดการเรื่องพวกนี้เอง ...แต่ผมไม่เชื่อ

แค่อาเลียมคนเดียวไม่สามารถบีบใครให้กระเด็นออกไปจากที่นี่... บางทีแม็กทีสอาจพูดถูก ทั้งพ่อและแม่ของผมต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้!

“แม็กทีสบอกลูกแบบนั้นใช่มั้ย เขาเล่าให้ลูกฟังแบบนั้นเหรอ?”



“นั่นมันไม่ประเด็นสำคัญเลยครับ!!!”

ผมตวาดกลับเสียงดัง จ้องมองดวงตากลมโตของแม่ที่เบนไปทางอื่น เธอจงใจโกหกผม!

“ไม่ว่าใครจะบอกมันไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า...สุดท้ายแล้วเรื่องที่ผมทำร้ายพวกเขามันคือความจริง” ผมบีบมือตัวเองจนรู้สึกเจ็บแผลไปหมด “ผมอยากจะรู้ว่าพ่อกับแม่ทำอะไรพวกเขา และคืนนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้าง”

ทำไมเจนถึงหายตัวไป... ผมตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง

เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ทำไมผมถึงไปฟื้นที่โรงพยาบาล ทำไมเหตุการณ์ในวันนั้นถึงไม่เป็นข่าว...ผมรู้ว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่าที่พ่อกับแม่บอก

ทำไมเรื่องคืนนั้นถึงหายสาบสูญไป และไม่มีใครขุดคุ้ยมันขึ้นมาพูดอีกเลย ทั้งที่มันคงเป็นเรื่องสนุกปากสำหรับข่าวอื้อฮาวของคนดังในเมืองโอเวิลซิตี้ คนทั้งหลายสนุกที่จะวิจารณ์การกระทำของคนอื่น พวกเขาชอบตอกย้ำในความผิดดพลาดและสมน้ำหน้ากันด้วยความสะใจ...

ซึ่งผมก็คือหนึ่งในนั้น...กลายเป็นคนโอเวิลซิตี้โดยสมบูรณ์!

“และมันดีแล้วไม่ใช่เหรอบารอน...มันดีแล้วที่ทุกอย่างหายไปอย่างกับไม่เคยได้เกิดขึ้นมาก่อน มันดีกับลูกแล้ว”

แม่...

“พวกเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกเดินไปข้างหน้าและไม่หันหลังกลับไปมองสิ่งที่ลูกเคยทำ ทุกคนเคยทำ หรือใครเคยทำ เข้าใจที่แม่จะพูดใช่มั้ย แทนที่ลูกจะมาหาคำตอบกับเรื่องที่ผ่านมาจนไม่มีใครจำได้ แล้วตอนนี้ลูกยังต้องการอะไรอีก”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาแม่อีกครั้ง คราวนี้ผมกับแม่ไม่มีใครหลบตาใคร “ผมต้องการความจริงไงครับ”

“ไม่มีความจริงอะไรจะดีไปกว่าการที่ลูกอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข และรู้ไว้ว่าพวกเราทำทุกอย่างเพื่อลูก” แม่ส่ายหน้าและตัดบทด้วยประโยคที่ฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ทำไมเราจะต้องอยู่อย่างมีความสุขโดยที่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นทุกข์ร้อนอย่างไรบ้าง

ไม่ใช่เรื่องของเคย์ตัน แต่ผมอาจจะยึดติดกับเรื่องของเจนมากเกินไป...ตอนนี้เรื่องของเธอทำผมฝันร้ายจนนอนไม่หลับ

“แต่ผมไม่เคยขอ...” ผมเงียบอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น “ผมไม่เคยขอให้แม่กับพ่อทำร้ายใครเพื่อผม”



“ลูกกำลังบอกว่าพ่อกับแม่ยุ่งเรื่องของลูกงั้นเหรอ”

“ผมไม่ได้พูด แม่เป็นคนพูดเองต่างหาก” ผมกอดอกและเบือนหน้าหนี รู้ว่าอีกไม่นานแม่จะต้องระเบิดอารมณ์ตัวเองออกมา เธอหน้าแดงหูแดงซึ่งนั่นเป็นเพราะโทสะกำลังไต่ระดับขึ้นสูงพอ ๆ กับน้ำเสียง “ใช่สิ พวกเราทำทุกอย่าง เป็นพ่อแม่จอมยุ่งในสายตาของลูก” แม่ลุกขึ้นและกอดอก ท่าทางหัวเสียของเธอมันผสมกับความเสียใจที่ส่องประกายออกมาจากแววตาคู่สวยนั่น “ถ้าการที่ลูกมีพ่อแม่ที่พยายามปกป้องลูก แต่ลูกกลับต่อว่าที่พวกเราจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องละก็...ช่วยทบทวนคำพูดตัวเองดี ๆ แล้วกันบารอน”

แม่ขยับคอเสื้อตัวเองเล็กน้อยในขณะที่เธอเดินออกไปจากห้องโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งท้ายประโยคด้วยคำพูดน่าตกใจนั่น “แม่ไม่มีคำตอบอะไรให้กับลูก ไม่ว่าลูกจะตำหนิพวกเราแค่ไหนก็ตาม”

“แม่...”

เธอยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องชั่วครู่ และเหลียวเสี้ยวใบหน้ามาหาผม ดวงตาคู่อ่อนของแม่กลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ถึงแม่จะทำเรื่องพวกนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็ไม่ควรพูดกับแม่รุนแรงแบบนั้น

"ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น มันมีเหตุผลของมันบารอน และไม่ว่าสิ่งที่แม็กทีสพูดมันจะเป็นแบบไหนนั้น ลูกลืมมันไปซะ..."

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ บารอน” แม่ยื่นคำขาด น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำของเธอทำให้ผมพูดไม่ออก แต่ไหนแต่ไรมาแม่ไม่เคยดุดันและรุนแรงกับผม วันนี้เหมือนกับแม่ระเบิดความโกรธออกมาให้ได้เห็นเป็นครั้งแรก

เธอทิ้งคำพูดพวกนั้นและตามด้วยเสียงปิดประตูอย่างเบามือ ผมเอนหลังกับหัวเตียง ทิ้งความวุ่นวายที่เคยมีไว้ภายในห้อง ในความเงียบงันนั้น ผมไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับได้

ฝันร้ายกำลังจะเคลือบคลานเข้ามา...


(Next 2)
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅶ 」Sexuality (1-2) : Jul 6,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 06-07-2019 22:42:37
Sexuality (2)
...
[/b]

บรูค ปาร์คเกอร์ ขับรถเก่า ๆ ของตัวเองออกจากคฤหาสน์ของแคปรินคอร์น ด้วยความเร็ว 120 ขับตรงมายังถนนที่ 44 ตัดผ่านตัวเมืองไปยังเขตนอกการปกครองของโอเวิลซิตี้ และบางทีการได้ขับรถออกมาสงบสติอารมณ์ก็นับว่าเป็นวิธีที่ดี การได้นั่งดื่มเบียร์เย็น ๆ กับเพื่อนและได้คุยเรื่องไร้สาระกันถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีคลายเครียดอันยอดเยี่ยม

อัลฟ่าหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดพึ่งเคยได้ขับรถชมวิวย่านชานเมืองของโอเวิลซิตี้เป็นครั้งแรก สมัยที่เขาเรียนมหา’ลัย เขาก็เคยเที่ยวบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อพอให้มีสังคม พอให้ได้รู้จักว่าแสงสีในยามราตรีนั้นเป็นอย่างไร ที่จริงบรูคก็ไม่ใช่คนชอบดื่มอะไรนัก เขาไม่ใช่เพย์บอยผมเทาดูดสูบบุหรี่ไว้ที่ปากและมีผู้หญิงมานั่งบนตัก กอดจูบนัวเนียกันในทั้งคืนอะไรประมาณนั้น...

บรูคเป็นคนที่มีวินัยในตัวเอง เขารู้จุดประสงค์และเป้าหมาย ซึ่งเขาไม่เคยว่อกแว่กหรือลังเลหากมีการตัดสินใจไปแล้วไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม

วันนี้เขาถูกตำหนิ และความโกรธเป็นสิ่งเดียวที่บรูคต้องกำจัดให้หมดไป ซึ่งในบางครั้ง อารมณ์ที่ยึดติดเหล่านั้นก็มีแต่จะบั่นทอนความรู้สึกตัวเองเปล่า ๆ บรูคเรียนรู้ว่าการทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้ข้างหลังถือนับว่าเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ได้!

เมื่อจอดรถที่ลานจอดด้านหลังบาร์เน่า ๆ แห่งหนึ่งที่เป็นสถานที่นัดหมาย เขาก็หยิบเสื้อแจ็คเก็ตสียีนกับหมวกทรงปานามาสีกำ เส้นผมสีเทาของเขายาวกว่าทุกครั้ง

“หล่อเชียวนะ ผมยาวขึ้นด้วย ปกตินายไม่ไว้ผมยาวถึงต้นคอขนาดนี้”

“รู้ดีจริง ๆ นะ” บรูคยิ้มตอบเพื่อนสนิทของเขา ก่อนจะนั่งลงตรงเคาท์เตอร์และหันไปหาบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มของตัวเองทันที เขาคีบบุหรี่กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่รสโปรดไว้ในมือ ส่วนมืออีกข้างควานหาซิปโป้ในกระเป๋ากางเกง “มานานรึยัง?”

“สักพักเอง...ฉันพึ่งจะสั่งไปแก้วเดียวเท่านั้น” เพื่อนสนิทยิ้มและเท้าคางกับบาร์

บรูคเริ่มกวาดตาไปรอบ ๆ ร้านที่ดูดีกว่าภายนอกเล็กน้อย มันเป็นชั้นล่างของอาคารพาณิชย์ มีแค่สามคูหา ตรงกลางมีเวทีขนาดเล็กที่มีเครื่องดนตรีไม่เกินสามชิ้น กีตาร์ กลองคาฮองและเก้าอี้สองตัว เป็นร้านที่ไม่ยึดติดกับสไตล์เพลงสนุกสนานแนววัยรุ่น เห็นได้ชัดจากลูกค้าที่มานั่ง ทุกคนมีอายุและต้องการนั่งระบายกับเพื่อนสนิทพร้อมกับฟังดนตรีเบา ๆ สำหรับคลายเหงา...

“เกิดอะไรกับนายเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะชวนออกมาดื่ม วันนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา” ผู้ชายตัวสูงที่เท้าคางมองเพื่อนดื่มไม่พูดไม่จาจำเป็นต้องทักขึ้น

ไม่ใช่ว่าบรูคจะเรียกเขามานั่งดูตัวเองนั่งดื่มเงียบ ๆ จนเมาหรอกนะ...

“แค่เซ็งนิดหน่อย...”

“เรื่องไหนล่ะ” เพื่อนของบรูคเลิกคิ้วถาม ก่อนจะวางแก้วบลัดดี้แมรี่ลงหลังจากที่กระดกมันรวดเดียว “เรื่องที่อีฟลินกำลังจะแต่งงานกับอาจารย์หนุ่มบ้านรวยนั่นน่ะเหรอ”

“บลัดดี้แมรี่เนี่ยนะ  เอาจริงเหรอ ไม่คิดว่านายจะคออ่อนขนาดนี้นะ” บรูคแกล้งแซ็วเรื่องเครื่องดื่มของเพื่อน

“เออไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ฉันจะสั่งใหม่ล่ะกัน...เฮ้คุณ ผมขอเนโกรนีแก้วหนึ่ง”

บรูคระบายยิ้มเล็กน้อยตอนที่เห็นเพื่อนรีบหันสั่งค็อกเทลนั่นด้วยท่าทางจริงจัง เขาก็แค่อยากจะแซ็วเล่นเท่านั้นแหละ แต่อีกฝ่ายดันเส้นตื้นจริงจังกับรสนิยมการดื่มของตัวเองเสียอย่างงั้น

 อีฟลินจะแต่งงานเหรอ?

พอพูดชื่อแฟนเก่า บรูคก็พึ่งจะนึกถึงเธอ ซึ่งอันที่จริงแล้วเรื่องอีฟลินแทยจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว จะให้มานั่งร้องไห้กับความรักมันคงดูเด็กไปหน่อยเขาหมดเวลาสำหรับการอาลัยอาวรณ์ในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ พวกนี้ เรื่องพวกนี้มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความต้องการของคนสองคนที่จะต้องสอดคล้องกัน เมื่อมาถึงเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความต้องการไม่เหมือนกัน การรั้งกันและกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี

เพียงแต่บรูคไม่ชอบวิธีที่แฟนเก่าของเขาทำ ทิ้งเขาไว้พร้อมกับเอาทรัพย์สินบางอย่างของเขาไป ไม่แจ้งความจับก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“เรื่องนั้นไม่ได้คิดแล้วแหละ จะเอาเวลาไหนไปคิด” อัลฟ่าหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “เธอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองก็ถูกแล้ว”

“หมายความว่านายยอมรับงั้นสิ”

“ฉันเลือกอะไรไม่ได้ มันก็แค่ต้องยอมรับใช้ชีวิตต่อไป” บรูคยิ้มรับกับทุกเรื่องด้วยความเข้าใจ เขามองทุกอย่างจากความจริง เพราะพ่อของเขาสอนเสมอว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับความเสียใจ การยึดหลักความจริงในชีวิตจะทำให้เราอยู่รอด

ตอนนี้คงไม่คิดเสียดายอะไรอีกแล้ว ถ้ามันจบลงก็คือจบ สำหรับเขาทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว ณ เวลาหนึ่ง...

“นายนี่สมกับเป็นบรูค ปาร์คเกอร์จริง ๆ” เพื่อนสนิทวางมือลงบนบ่าของบรูค  "ไม่เห็นนายออกมาสังสรรค์หรืออัปเดตชีวิตผ่านโซเชียล ฉันก็เป็นห่วงขึ้นมาว่านายจะเป็นอะไรรึเปล่า”

“ฉันสบายดี อันที่จริงแล้วมันก็ดีมาก ๆ เลยแหละ”

บรูคไม่ได้โกหก แม้ว่างานที่เขาทำจะดูต่ำต้อยในสายตาของใคร ไม่สมกับที่เรียนจบสูง ๆ เป็นถึงสถาปนิก...แต่คนเราเมื่อทิ้งศักดิ์ศรีลงพื้นสักครั้งก็ทำให้สบายใจดีเหมือนกัน เป็นคนขับรถและพี่เลี้ยงของคุณหนูบ้านรวยคนนั้นก็ใช่ว่าจะแย่ มองในทางที่ดีมันก็มีเรื่องดีอีกเยอะ

อย่างน้อยเงินเดือนของเขาก็สามารถทำให้แม่มีเงินซ่อมแซมร้าน น้องได้มีแท็บเล็ตไว้ใช้ในมหา’ลัย ที่บ้านได้รับการซ่อมแซม และครอบครัวมีเงินซื้ออาหารดี ๆ กินอิ่มท้อง สำหรับคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแบบบรูค แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับอดทนทั้งหมด

“แล้วทำงานกับพวกคนรวยเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่านายได้ดิบได้ดีเลยนี่”

“ข่าวไวชะมัด” บรูคพูดแบบไม่จริงจังนัก “มีเงินซื้อซ่อมร้านให้แม่เลยแหละ”

“ร่ำรวยไปใหญ่โตแล้วนะเนี่ย”

“จะว่าร่ำรวยเพราะงานนี้ก็ไม่ผิดหรอก ฉันเป็นแบบที่พูดจริง ๆ” บรูคหันไปยักคิ้วซึ่งไม่ได้เป็นการอวดเบ่งอะไร เขาแค่ยอมรับกับสิ่งที่เป็นจริงต่างหาก

“แล้วมันคืองานอะไรกันล่ะ เงินดีขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่านายเป็นหัวหน้าฝ่ายไปแล้ว”

“เปล่าหรอก...ฉันเป็นแค่คนขับรถเท่านั้น” บรูคว่าแก้วเบียร์ลงหลังจากที่ยกดื่มอึกใหญ่ สบสายตากับบาร์เทนเดอร์ว่าขอเพิ่มอีกแก้วก่อนจะหันไปทางเพื่อนสนิทที่อ้าปากค้าง ดวงตากลมโตที่แสดงถึงความตกอกตกใจทำเอาบรูคหัวเราะเสียงดัง

“ดูทำหน้าเข้าสิ ขอทีเถอะดีแลน”

“นายเนี่ยนะ...” ดีแลนชี้ไปที่เพื่อนสนิทอีกครั้งด้วยท่าทางเหลือเชื่อ “เป็นคนขับรถ? ”

“ใช่...และเป็นคนรับใช้ด้วย”

บรูคเสริมจากนั้นก็ยกแก้วเบียร์ที่พึ่งได้จากบาร์เทนเดอร์ขึ้นมาซดอีกครั้ง ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดฟองเบียร์สีขาวที่เกาะบนริมฝีปากออกอย่างลวก ๆ “ฉันน่ะเป็นทั้งคนขับรถ คนรับใช้และคนรองรับอารมณ์”

“พูดอะไรของนาย ตกลงหน้าที่ของนายมันอะไรกันแน่? ”

“ก็เป็นมันทุกอย่างที่พูดมานั่นแหละ” เขาไม่ได้ยิ้มสมเพชอะไรตัวเอง แค่บางครั้งที่นึกย้อนดูก็ขำตัวเองดีเหมือนกัน

“งานแบบนั้นจะทำรายได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ”

“นายจะไปรู้อะไร เงินเดือนฉันยังน้อยกว่าพ่อบ้านตระกูลแคปรินคอร์นอีกนะ”

บรูคว่าไปตามตรง เงินเดือนของเขาและสวัสดิการคงน้อยที่สุดแล้วถ้าเทียบกับพ่อบ้านหยางเกา และมารีน่า เด็กสาวเชื้อสายเบตเวิลที่พูดน้อยและทำงานกับครอบครัวนี้มาตั้งแต่รุ่นแม่

ตระกูลแคปรินคอร์นไม่รับใครเข้ามาทำงานบ้านให้วุ่นวาย มีแค่พนักงานที่จ้างมาจากบริษัททำความสะอาด โดยมีหยางเกาดูแลความเรียบร้อยอีกที ส่วนมารีน่าก็จะเป็นคนดูแลใกล้ชิดบารอน เช่นการดูแลความเรียบร้อยของมื้ออาหาร ตารางเล่นกีฬาและกิจกรรมต่าง ๆ เป็นคนดูแลที่ใกล้ชิดกว่าบรูค

“ได้ยินนายพูดเรื่องคนตระกูลนั่นมันก็แทบช็อกเลยนะ นายเนี่ยนะทำงานกับแคปรินคอร์น ราชวงศ์โอเวิลเชียวนะ” ดีแลนอดที่จะอิจฉาไม่ได้ เพื่อนของเขาได้ดิบได้ดีเสียแล้ว

“ต้องแปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พวกเขาไม่ใช่คนรวยธรรมดา พวกผู้ดีเก่าของเมืองบรรพบุรุษของเขาเป็นผู้ก่อตั้งโอเวิล มีอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้เลยแหละ นายได้ทำงานใกล้ชิดขนาดนั้นใครจะไม่ตกใจเล่า น่าอิจฉามากด้วย” ดีแลนยิ้มกริ่ม ดูท่าจะจริงจังกับเรื่องพวกนี้จนบรูคนึกขำ

ที่จริงคนพวกนั้นก็ไม่ได้ดูดีแบบที่เห็นตามข่าว อีกทั้งยังเรื่องราวเบื้องหลังอีกมากที่พวกเรายังไม่รู้ อย่างเช่นบารอน เดอเลอกู แคปรินคอร์น ผู้ที่อารมณ์ร้ายกับนิสัยแย่ ๆ

ที่จริงบารอนก็ไม่ใช่เด็กที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก แค่เป็นคนที่ยกตัวเองไว้เหนือทุกคน เทิดทูนตัวเอง ชอบเป็นจุดเด่นของคนรอบข้าง บารอนไม่เหมือนเด็กทั่วไปเพราะมีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูง เด็กคนนี้ไม่นอนตื่นสาย ไม่เคยหยุดที่จะพยายามไปให้ถึงเป้าหมายที่แท้จริง เด็กคนนี้พูดจาเป็นผู้ใหญ่ และติดจะแก่แดดหน่อย ๆ คำพูดคำจาก็ไม่สมกับเป็นเด็กอายุสิบหกสักนิด

บารอนรู้เป้าหมายตัวเองและเป็นคนที่ชัดในเรื่องความต้องการ หากเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายอยากได้ ไม่ว่าอะไรก็ไม่มีผลทำให้เด็กคนนั้นไขว้เขว อย่างหนึ่งที่บรูคยกย่องเด็กคนนั้น ก็คงเป็นแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว และนอกนั้นก็เห็นกันอยู่...บารอนเป็นลูกชายคนเดียวที่ถูกรักและตามใจอย่างที่สุด ซึ่งก็ไม่ใช่แค่คนในครอบครัว แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างด้วยที่มักจะพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจกันสุดฤทธิ์

“ฉันล่ะอิจฉาคนรวยพวกนั้นจริง ๆ พวกเขามีชีวิตเหมือนกับเจ้าชายในเทพนิยาย เป็นชีวิตหรูหราที่ฉันจินตนาการไม่ออกเลย” ดีแลนยิ้มคล้ายเพ้อฝัน บรูคส่ายหน้ากับท่าทางของเพื่อนและยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มเงียบ ๆ “ว่าแต่เป็นไง นายขับรถให้พวกเขาทุกคนเลยเหรอ”

“เปล่า แค่ลูกชายของเขาคนเดียว”

“บารอน! ” ดีแลนเอ่ยชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “บารอน เดอเลอกูว แคปรินคอร์นเนี่ยนะ”

“อืม...” มันน่าตกใจขนาดนั้นเชียว?

“พระเจ้า...ราชินีโอเมก้า นายเนี่ยดวงดีสุดยอดไปเลย ไม่ยักจะรู้ว่านายได้ทำงานใกล้ชิดคนรวยระดับนั้น” รอยยิ้มของดีแลนชวนขนลุก เพราะมันเต็มไปด้วยความหลงใหลและเพ้อฝัน อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะก้าวก่ายความชอบของใคร แต่เพราะรู้จักเด็กคนนั้นดีเกินกว่าที่ใครจะนึกออก

บารอนน่ะไม่ได้น่ารักน่าเอ็นดูหลอก ภายนอกก็เต็มไปด้วยความสง่างาม เย่อหยิ่งและยโส...

พูดแบบไม่อคติเลยก็คือเด็กคนนั้นไม่เหมาะกับคำว่าน่าเอ็นดู เพราะบารอนถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ห่างไกลความไร้เดียงสาแบบเด็กน้อยที่คนเห็นกันในหน้าสื่อ

“งานไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรแต่กลับได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า นายไม่ต้องเหนื่อยใช้สมองเถียงกับลูกค้าและหัวหน้าเหมือนกับฉัน คิดแล้วก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะเนี่ย”

“นายทำงานของนายน่ะดีแล้ว”

“ดีอะไรกัน...งานที่ต้องจัดการทุกอย่าง แถมพอไม่ถูกใจก็ด่า มันดีตรงไหนหัน” ดีแลนถอนหายใจและกระดกวิสกี้ร้อน ๆ อีกครั้ง “นายน่ะได้เงินเยอะกว่าผู้จัดการบางคนเสียอีก ฉันล่ะนับถือนายจริง ๆ สุดยอดเลยบรูค”

“จะว่าดีมันก็ดีนั่นแหละ ฉันก็พยายามมองในมุมนั้นอยู่...” ไม่ใช่การพูดจาให้ดูถ่อมตัวหรอก เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ จะมองในมุมที่ว่าดีมันก็ยังมีอยู่บ้าง แม้ว่ามุมไม่ดีจะเยอะกว่าก็ตาม

ใครที่ไหนจะทนกับอารมณ์ฉุนเฉียวและคำพูดดูแคลนกันตลอดเวลา บรูคไม่คิดว่ามันจะดีตรงไหนหรอก ไม่มีใครอยากได้ยินคำพูดแย่ ๆ พวกนั้น แต่ถ้าลองมองข้ามไปและไม่ใส่ใจ เขาก็พบว่าตัวเองก็พอที่จะอยู่ได้ ในบางทีที่อดใจไม่ไว้ ก็ต้องสั่งสอนราชินีตัวน้อยคืนไปบ้างเหมือนกัน

“แต่ถ้านายได้มาสัมผัส ฉันนายคงไม่คิดวาดฝันความสวยหรูจากคนพวกนั้นเลย”

“พอได้ยินมาบ้าง...” ดีแลนว่า ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนี้จะมีแต่แง่มุมดี ๆ ด้านเดียว ข่าวของพวกแคปรินคอร์นน่ะเป็นที่สนใจของคนทั้งเมืองไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม “ฉันรู้แหละน่าว่าเรื่องของแคปรินคอร์นใช่จะมีแต่เรื่องดีเสียเมื่อไหร่”

บรูคเลิกคิ้วสูง หันไปทางเพื่อนสนิทที่ขยับเข้าใกล้ก่อนจะหันซ้ายหันขวาด้วยความระแวดระวัง “ได้ยินเรื่องนี้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ”

“เรื่องไหน? ” บรูคขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ได้ยินมาว่าเมื่อสองปีก่อน ลูกชายของบาโธโรมิวเคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดในงานปาร์ตี้เกมGG ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โตว่ามีเด็กสาวเกิดหัวใจวายตาย...แต่ว่า...ข่าวก็เงียบไป คนไม่ได้สนใจแต่ยังเป็นที่ซุบซิบกันอยู่”

เกม ยาเสพติด เด็กสาวหัวใจวายตาย?

“ตอนนั้นตำรวจเจอเฮโรอีนเป็นตันในงานปาร์ตี้ของพวกลูกคนรวยนั่น เขาพบบารอนและอดีตลูกนายกกระทรวงการคลังคนก่อนอยู่ด้วยกัน แต่พอวันที่ตรวจสารเสพติด บารอนดันไปอยู่ที่โรงพยาบาล และมีข่าวว่าคนที่หัวใจเกือบวายเพราะโดนเพื่อนบังคับเสพยากลายเป็นบารอนเสียอย่างงั้น”

“ก็อาจจะเป็นจริงก็ได้”

“ตลกหรือไงล่ะ คนที่อยู่ในงานบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่ คนที่ควรจะถูกจำกุมข้อหาเสพยาน่ะคือบารอนแต่กลับไม่มีใครสืบสาวราวเรื่อง และวันหนึ่งลูกชายของนายกกระทรวงการคลังก็โดนเด้งหายไปจากเมืองพร้อมกับครอบครัว”

เรื่องนี้บรูคก็ได้ยินมาบ้าง ที่ว่านายกกระทรวงการคลังของโอเวิลขอลาออก ได้ยินพ่อคุยกับเลียม แฮริงค์ตัน เรื่องนี้อยู่แต่เขาไม่ได้สนใจ อีกทั้งยังไม่เคยให้ความสำคัญกับคนพวกนี้มาก่อน

จนกระทั่งในเวลานี้...

“ครอบครัวของพวกเขาหายไปจากเมืองนี้ และไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้ คงเพราะไม่มีใครกล้ายุ่ง”

ดีแลนเขยิบเข้าใกล้ โน้มตัวลงต่ำ ๆ เพื่อที่จะได้พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดในที่โจ่งแจ้งให้เพื่อนฟัง

“มีคนเล่ากันว่าที่เกิดขึ้นแบบนั้นเพราะบารอนต้องการจะกำจัดคนคนนี้ออกไปจากเมือง ถ้าลูกของนายกกระทรวงการคลังคนนี้ยังอยู่ ป่านนี้คงรั่วไหลไปถึงไหนแล้ว”

“เรื่องมันผ่านมาสองปีแล้วนี่...คดีความหมดอายุแล้วมั้ง” บรูคบอกไม่ใส่ใจนัก เขาหวนนึกถึงสีหน้าและแววตาหวาดกลัวของบารอน มันทำให้ใจหนึ่งเขาอยากจะค้นหาความจริงเรื่องนี้ แต่อีกใจเขาคิดว่าตัวเองไม่ควรยุ่งกับเรื่องของเจ้านาย

“ก็แหงอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าสืบสาวราวเรื่องหรอกถ้ารู้ว่าใครเป็นคนสั่งการ...ซึ่งพวกเราต่างรู้ แม้ว่าเลียมผู้มีอิทธิพลทางการเมืองจะออกหน้ารับเรื่องบารอน และกล่าวถึงการคอร์รัปชันของนายกกระทรวงการคลังคนนั้น แต่คนก็ไม่ปักใจเชื่อ”

“นายมีข้อมูลแบบนี้ได้ยังไง ไปรู้มาจากไหน” บรูคกอดอกถาม สีหน้าของเขายังเมินเฉย แต่ข้างในกำลังกระตุ้นต่อมความอยากรู้ยังไงชอบกล...

“ฉันเองก็ได้ยินมาอีกที ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหนน่ะนะ”

คนเรามักจะได้ยินต่อ ๆ กันมาโดยที่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ได้ยินมันจะเป็นความจริงแค่ไหน บรูคยังไม่ได้ปักใจเชื่อแม้ว่าเขาจะเห็นความร้ายกาจของบาโธโรมิวในวันนี้ ถ้าไม่ได้เห็นมันกับตา หรือไม่มีข้อมูลยืนยันที่มากพอ...

“ฉันว่ามันก็แค่ข่าวมั่ว ๆ ไม่ได้มีอะไรยืนยันได้”

“ไม่หรอกน่า ของแบบนี้ต่อให้ปิดก็ยังส่งกลิ่นอยู่ดีว่ามั้ยล่ะ”

“แต่คุณหนูโอเมก้านั่นไม่ได้ดูคล้ายกับคนติดยาเลยสักนิด” บรูคจินตนาการไปถึงสีหน้าและแววตาสดใสของเด็กคนนั้น ดูยังไงก็ห่างไกลจากพวกขี้ยาที่เขารู้จัก หรือบางทีมันอาจจะมีตื้นลึกหนาบางที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย...

“เด็กวัยรุ่นบ้านรวยพวกนี้ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าหาความสุขให้กับตัวเอง ปาร์ตี้ ช็อปปิ้ง รูดบัตรเครดิตที่พ่อแม่เป็นเจ้าของ มั่วซุ่มกันในงานสังสรรค์ และลูกชายนายกกระทรวงการคลังนั่นแหละที่เขาว่าเป็นแฟนเก่าของบารอน”

“งั้นเหรอ”

“เรื่องนี้ญาติของฉันพูดมาอีกที พวกเขาเล่ากันในหมู่คนในน่ะ” ดีแลนกล่าว และอ้างถึงน้องสะใภ้ของเขาที่ทำงานในห้องเสื้อของตระกูลมากีต้าเล่าให้ฟัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้ไปได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากคนที่ไม่น่าเชื่อถือ

“แต่ก็อย่างที่นายพูด จะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่เราก็เห็นกันอยู่ว่าพวกแคปรินคอร์นไม่ใช่คนที่ใครจะกล้าไปยุ่ง พวกเขามีอำนาจ มีอิทธิพล มีเรื่องมืด ๆ ข้างหลังอีกเยอะ”

บรูคถอนหายใจและนั่งฟังเพื่อนของเขาเล่านั่นเล่านี้จนเวลาล่วงเลยมาสักระยะ เขาลุกขึ้นหลังจากที่สั่งเช็ดบิลและจ่ายค่าทิปให้กับบาร์เทนเดอร์ที่ขยันทำงาน “ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวเมามากกว่านี้จะขับรถไม่ได้”

“ขับรถดี ๆ เพื่อน”

“ไว้ฉันจะโทรหานะ”


------------------------



Talk

o'^'o ยัยน้องตัวน้อยกำลังเจอกับปัญหาแล้ววววววววววววว

ฝากน้องด้วยนะคะ ไว้จะมาอัพอีกทีเดือนหน้า หากมีคำผิด คำสลับ ใด ๆ เราขออภัยน้าาาาาาาาาา

ฝากแท็ก ฝากกดหัวใจให้แม่นายด้วย #ยูอาร์มายโอเมก้า

หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅶ 」 Sexuality (1-2) : Jul 6,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-07-2019 00:48:49
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅶ 」 Sexuality (1-2) : Jul 6,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-07-2019 08:31:56
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅶ 」 Sexuality (1-2) : Jul 6,2019
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 07-07-2019 21:07:30
โห มาอีกทีเดือนหน้าเลยเหรอ?! :hao5:
กำลังสนุกเลย
เอาจริงไม่สงสารเมททิสเลย จากตอนที่แล้วพูดเหมือนตัวเองไม่ผิด ชิชะ
แต่ว่าอยากรู้จริงเรื่อวของเจน ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น :katai5:
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅷ 」 Lust (1-2) : Jul 11,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 11-07-2019 11:57:10
「 ⅷ 」Lust


(V.) have a very strong sexual desire for someone.




ผมชะเง้อคออยู่ที่ระเบียงภายในห้อง นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ฝาผนังบอกเวลาตีสองกว่าแล้ว ผมสังเกตเห็นว่าห้องนอนของบรูคปิดไฟมืดสนิท แม้แต่แสงไฟจากทางเดินก็ไม่มี

วันนี้มารีน่าเล่าให้ฟังว่าบรูคถูกพ่อเรียกเขาตำหนิรุนแรง น่าจะเรื่องที่ดูแลผมได้ไม่ดีพอ มารีน่าได้ยินมาว่าพ่อผมสั่งหักเงินเดือนของเขาเพื่อเป็นการลงโทษ และเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ผมถึงนอนไม่หลับ...

เพราะผมรู้ว่าตัวเองมีส่วนทำให้เขาเดือดร้อน

มันน่าจะเป็นแค่ความประทับใจที่ไม่ได้มั่นคงอะไรนัก ในช่วงเวลาที่เขาเข้ามาปกป้องผม แต่นั่นก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มคิดถึงเรื่องของเขาอย่างช่วยไม่ได้

“คุณหนูคะ คุณบรูคกลับมาแล้ว...” มารีน่าเข้ากระซิบอยู่ด้านหลังของผม ผมผละสายตาจากวิวด้านนอกหน้าต่างก่อนจะเดินวนเข้าไปในห้อง

“มาแล้วเหรอ? แน่ใจนะ”

“ค่ะ ดิฉันไปดูมาแล้วและคุณบรูคก็เอารถเข้าไปเก็บแล้ว”

“ขอบใจมาก” ผมกระแอมกระไอให้เหมือนกับตัวเองไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารอคนขับรถคนนั้น “เธอไปนอนได้แล้วมารีน่า แล้วก็...พรุ่งนี้เช้าเข้ามาปลุกฉันด้วยนะ”

“ค่ะคุณหนู”

ผมมองตามมารีน่าไปจนแน่ใจว่าเธอเข้าไปในห้องของเธอเรียบร้อยแล้ว จึงเดินกลับเข้าไปหยิบเสื้อคลุมตัวบาง ก่อนจะรีบวิ่งลงจากชั้นสองของบ้านเพื่อย่องออกไปโรงจอดรถที่อยู่ฝั่งด้านหลังคฤหาสน์

ไฟที่สว่างจากเสาตามทางเดินทำให้ผมมองเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของตัวเองที่ค่อนข้างเร่งรีบ

ผมไม่เคยร้อนใจเท่านี้มาก่อน...บ้าชะมัด

“ปาร์คเกอร์!!”

“คุณหนู?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วและขยับเดินมาหาผมที่หยุดยืนที่ต้นทาง “คุณมาทำอะไรที่นี่ ทำไมคุณยังไม่เข้านอนอีก”

“เรื่องของฉัน...ว่าแต่นายออกไปไหนมา กลับมาเอาป่านนี้เนี่ยนะ”

ผมไม่ตอบคำถามของเขาและถามอีกฝ่ายกลับด้วยความอยากรู้ ดูเหมือนว่าตัวเองกำลังรอฟังคำตอบจากเขาอย่างเห็นได้ชัด และพออีกฝ่ายแสดงท่าทางนิ่งเงียบใส่ ผมก็ยิ่งอึดอัด ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

บรูคที่อยู่ตรงหน้าด้วยแต่งตัวสบาย ๆ และมีท่าทางสงบนิ่ง นัยน์ตาสีฟ้าขุ่นนั่นยังเต็มไปด้วยความสุขุม เช่นเคย ร่างสูงตรงหน้าถอดหมวกปานามาออกจากศีรษะ แล้วเสยผมสีเทาแสนโดดเด่นขึ้น

“อย่าลงมารอผมดึกดื่นแบบนี้อีกนะครับ...” เขาก้าวมาด้านหน้าและเว้นระยะห่างระหว่างเราเอาไว้ "คุณเข้านอนได้แล้ว"

“ใครบอกว่าฉันมาหานาย คนหลงตัวเอง!” ผมเบ้ปากและกอดอกพูดต่อ “แล้วตกลงว่านายกลับมาดึกเพราะไปดื่มมางั้นสิ กลิ่นตัวเหม็นเหล้าไปหมด...”

“นิดหน่อยครับ สรุปว่าคุณไม่ได้มารอผมและไม่ได้มีธุระอะไรกับผมใช่มั้ย?”

“ฉันไม่มีทางมายืนรอคนขับรถแบบนายแน่ ๆ  และไม่พูดจาอะไรชวนขนลุกแบบนั้นอีกนะ” ผมแสดงสีหน้าสมเพชไปทางอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้ดูเสียความมั่นใจเลยสักนิด

อาจเพราะคำพูดของผมไม่เคยทำอะไรเขาได้ ...




“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่...แต่ถ้าคุณมารอผมจริง ๆ ผมก็ขอบคุณนะ” เขาโน้มหน้าที่แดงไปจนถึงใบหูเข้ามาใกล้ บรูคตัวสูงกว่าผมมาก ผมสูงแค่หัวไหล่ของเขาเองมั้ง

“เชิญนายจินตนาการถึงเรื่องนั้นต่อไปเถอะปาร์คเกอร์ เพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง!”

“จริงไม่จริงไม่รู้นะ แต่คุณก็ยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว” บรูคยักคิ้วใส่ผมและมุมปากก็แย้มยิ้มยียวน

ผมพนันได้ว่าเขาจะต้องเมาเล็กน้อยไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ส่งยิ้มแพรวพราวที่เห็นไม่บ่อยนักมาให้ผม

“หยุดเลยนะ ยิ้มบ้าอะไรของนาย”

“ก็เปล่านี่ครับ...” บรูคยืดตัวตรงและชี้นิ้วไปที่มือของผม “แล้วมือคุณหายเจ็บหรือยัง อย่าลืมกินยาแก้ปวดด้วยก่อนนอนด้วยนะครับ”

“รู้แล้วน่า...” ผมเม้มริมฝีปากและพยายามทำให้ความดีใจของตัวเองสงบลง

งี่เง่าชะมัดเลย แค่หมอนั่นบอกให้ผมกินยาแก้ปวดก่อนนอน...ผมจำเป็นต้องใจเต้นแรงขนาดนี้เลยเหรอ บ้าจริง!!

“คุณเข้าบ้านเถอะครับคุณหนู เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่คุณตื่นมาไม่เจอคุณ พวกเขาจะเป็นห่วง”

บรูคว่าและกำลังจะเดินผ่านผมไป ท่าทางเย็นชาของเขาก็เป็นแบบทุกทีแต่ตอนนี้ผมเกิดทนไม่ได้เสียอย่างงั้น ผมรู้สึกเหมือนกับไม่เคยได้รับความสนใจ ทั้งที่ปกติทุกคนจะต้องสนใจผม แต่ยกเว้นเขา... อะไรขอเขาเนี่ย ทั้งที่เราจูบกันแล้วเนี่ยนะ!!

“บะ...บรูค...”

ผมรีบคว้าชายเสื้อของเขาไว้ บรูคหยุดแต่ก็ไม่ได้หันหน้ากลับมาหาผม ท่าทางของพวกเราอย่างกับฉากหนังรักน้ำเน่าที่ผมไม่ค่อยชอบ เพราะงั้นผมจึงวิ่งไปยืนตรงหน้าเขาแทนท่าทางเมื่อกี้ที่ดูคล้ายกลับกำลังเรียกร้องความเห็นใจจากพระเอกในเรื่อง (และเขาไม่ใช่พระเอก) และถ้านี่คือบทหนังรัก บรูคต้องเป็นฝ่ายง้อผม ไม่ใช่ผมง้อเขา!

“ฉัน...ฉันแค่จะมาบอกว่า...”

“อะไรครับ? ...คุณจะบอกว่าอะไร”

"เอ่อ...คือ..."

พูดยากจัง ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะว่าเวลาที่ใครทำดีด้วยต้องกล่าวคำว่าอะไร แต่สำหรับคนอย่างผมกับบรูคเนี่ยมันเป็นอะไรที่ดูไม่เข้าท่าเลยว่ามั้ย?

"คุณจะบอกอะไรครับ..."

“ขอบ...ขอบใจนะ”

ผมอ้อมแอ้มพูด ทั้งที่ตั้งใจจะขึ้นเสียงแต่กลับทำไม่ได้ ยิ่งมองดวงตาสีฟ้าขุ่นคู่นั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกประหลาดกับตัวเอง

“ขอบใจ? สำหรับเรื่องอะไร...”

“ล้อกันเล่นรึไง!"

"ผมไม่รู้นี่ครับว่าเรื่องไหน?" เขาแกล้งชัด ๆ !!

"ก็เรื่องที่นายเข้าข้างฉัน ที่ว่าแม็กทีสเองก็มีส่วนยั่วยุฉันเหมือนกัน ฉันได้ยินมารีน่าบอกมาว่านายบอกกับพ่อฉันเรื่องนั้น”

“ผมแค่พูดไปตามที่เห็น ไม่ได้เข้าข้างอะไรคุณ” เขาบอกน้ำเสียงของเขาไม่ได้ประชดประชัน ดูท่าว่าบรูคจะคิดอย่างที่พูดจริง ๆ

“นั่นแหละ ถึงอย่างงั้นก็เถอะ”

“นี่...” เขารวบมือผมที่จับชายเสื้อของเขาออก ก่อนจะบีบมันและขยับหันหน้ามาหาผม “เวลาที่คุณพูดคำว่าขอบคุณน่ะ...คุณน่ารักมากเลยนะครับ” ผมชอบ

“นะ...น่ารักบ้าอะไรของนาย!” ผมชักมือกลับและประท้วงเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนสีหน้าไม่เข้าท่าของตัวเอง ผมไม่ควรขลาดอายเพราะเขา ไม่ควร!!

“ฉันไม่จำเป็นต้องทำให้นายชอบหรือไม่ชอบสักหน่อย!”

“ผมแค่อยากจะบอกว่า เวลาที่คุณพูดคำพูดน่ารักพวกนี้มันทำให้คุณดูน่าเอ็นดูขึ้นหลายเท่าเลยนะ”

“ฉันไม่ต้องการเป็นอะไรทั้งนั้น!”

“แก้มแดงขนาดนี้ยังไม่ยอมรับอีก...” บรูคใช้ปลายนิ้วลูบเบา ๆ ที่ข้างแก้มของผม ผมสะบัดหน้าหนีและมองค้อนอีกฝ่ายอย่างอาฆาต

ใช่ว่าการที่ผมใจดีด้วยแล้วเขาจะได้ใจไปเสียทุกอย่างนะ!

“ฉัน...เหม็นเหล้านายชะมัด”

“อะไรกัน ผมคิดว่าคุณชอบดื่มเสียอีก” บรูคหัวเราะจนเห็นลักยิ้มสองข้าง เอาจริง ๆ ผมว่าเขามีเสน่ห์ที่รอยยิ้มมากกว่าใบหน้าคมเข้มนั่นอีกนะ

“มองฉันเป็นคนแบบไหนกัน”

“ก็เป็นราชินีเอาแต่ใจ รักปาร์ตี้และชอบบุหรี่รสสตรอว์เบอร์รี่”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ!” ผมร้องบอก และบรูคก็ขยับเข้าหาผม ร่างสูงภายใต้เสื้อยืดงี่เง่าของเขาเล่นเอาผมแทบจะทรุดลงตรงนี้ ไหนจะกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ที่ผสมกับแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งนั่นอีก!

ยอมรับแบบหน้าไม่อายคือผมคลั่งกลิ่นกายของเขาอย่างยิ่ง...

“แล้วที่ผมพูดมันไม่จริงตรงไหน...ถ้าคุณไม่ชอบรสสตรอว์เบอร์รี่งั้นก็ปฏิเสธมาสิ...” เขาไล่ต้อนจนผมต้องถอยหนี แต่สุดท้ายก็ผมถูกผู้ชายตรงหน้าไล่ให้จนมุมเข้ากับผนังของโรงจอดรถได้สำเร็จ แผ่นหลังของผมสัมผัสได้ถึงความเย็นของผนังซีเมนต์

“นะ...นายเมาใช่มั้ย!”

ผมเกลียดที่ตัวเองพูดจาไม่เต็มเสียงเหมือนคนที่ความมั่นใจ และลักษณะพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมบ่อยนัก

“ผมไม่ได้เมาขนาดนั้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เมาจนตื่นมาจำไม่ได้ว่ากลิ่นตัวของคุณหอมแค่ไหน”

"ละ...ลามก หยุดคิดเกี่ยวกับกลิ่นตัวของฉันเลยนะ"

"ก็มันได้กลิ่นนี่ครับ อีกอย่างมันหอมมากจริง ๆ นะ..."

บรูคโน้มหน้าลงมาในขณะที่แขนสองข้างยกตั้งฉากกับกำแพง ผมอยู่ใต้อาณัติของอัลฟ่าผมสีเทา ดวงตาสีฟ้าของเขาสะกดผมให้หยุดนิ่ง ริมฝีปากหยักเย็นชื้นได้สัมผัสลงกับแก้มของผม และจรดริมฝีปากอยู่เนิ่นนานก่อนจะผละออกอย่างเชื่องช้า...

“ผม...ขอโทษที่ทำแบบนั้น ผมว่าคุณเข้านอนดีกว่า ตอนนี้อากาศเย็นลงแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้...”

พูดจบเขาก็ขยับตัวออกห่างหลังจากที่ทิ้งสัมผัสเหล่านั้นไว้กับผม ทุกอย่างเกี่ยวกับเราเกิดเป็นคำถาม ทำไมเขาไม่หลงใหลผมแบบที่ใครเป็น และยิ่งเขาหนีผมก็ยิ่งอยากได้คำตอบ

เวลานี้ผมสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังหมกมุ่นกับคนขับรถมากจนเกินไป

“ปาร์คเกอร์...ฉันจะมาบอกว่า" ผมอึดอัดทุกครั้งที่ต้องสบตากับดวงตาสีฟ้าขุ่นคู่นี้  "ฉันอยากให้นายช่วยฉันหาความจริงเรื่องของเคย์ตัน กับเจน...”

"ความจริง...ความจริงอะไร" บรูคเลิกคิ้วสูง และผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย อันที่จริงเพราะไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองดูเป็นอย่างไรตอนที่เอ่ยประโยคกึ่งขอร้องแบบนั้น... ผมก็เลยทำทีเป็นว่านี่คือคำสั่ง ทั้งที่ความจริงมันเต็มไปด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว

"ก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ฉันแค่อยากรู้ว่ามันเป็นแบบที่แม็กทีสพูดหรือเปล่า ฉันจะเริ่มจากการไปหาอาเลียมและค่อย ๆ สืบไปทีละคนว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง..."

“ผมถามอะไรบางอย่างได้มั้ยคุณหนู?”

"ว่ามาสิ...” ผมพยักหน้าอย่างยอมจำนน ถ้าเป็นปกติผมคงจะไม่ยอมเขา อาจเพราะว่าเรากำลังสื่อสารกันอย่างจริงใจมากกว่าทุกที

“คุณต้องการหาความจริงไปเพื่ออะไร เคุณต้องการที่จะแก้ตัวกับทุกคน และเพื่อล้างคำครหาเหล่านั้น หรือที่จริงแล้วก็แค่...”

“เพราะว่าฉันรู้สึกผิด!” ผมพูดแทรกบรูคเพราะไม่อยากให้เขามาคาดเดาเรื่องพวกนี้ มันเป็นบาดแผลที่ผมไม่อยากจะให้ใครสะกิดมันขึ้นมา

“รู้สึกผิด? คุณเนี่ยนะ...”

“ให้ตายเถอะ ฉันจะรู้สึกแบบนั้นไม่ได้หรือไง แค่เพราะต่อมสำนึกผิดของฉันทำงานช้ากว่าปกติแล้วมันผิดตรงไหนกัน”

“...”

“ฉันก็เป็นคนไม่ต่างจากพวกนายนะ ฉันมีความรู้สึกแบบที่พวกนายรู้สึกนั่นแหละ” ผมกัดริมฝีปาก ท่าทางกระฟัดกระเฟียดของผมไม่ได้ส่งผลด้านใดกับบรูค ปาร์คเกอร์แม้แต่นิด!

“ถึงแม้ว่าฉันจะวิเศษวิโสกว่าพวกนาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะไร้ความรู้สึกหรอกนะ...”

บรูคส่งยิ้มจาง ๆ มาให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้ผมเสียววาบไปถึงสันหลัง “ยิ้มทำไม?”

“ผมไม่ได้บอกว่าคุณรู้สึกไม่ได้ และผมไม่ได้กำลังดูถูกคุณแบบที่คุณคิด” บรูคยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคุณทำเพราะรู้สึกผิดจริง ๆ และอยากจะแก้ไขมัน ผมยินดีที่จะช่วยอยู่แล้วคุณหนู”

“กะ...ก็ดี”

“ผมว่าคุณเปลี่ยนจากคำว่าก็ดีเป็นคำขอบคุณดีมั้ย...” บรูคยิ้มท้าทายผมอีกครั้ง “หรือคุณจะลองเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นดูก็ได้”

“ยะ...อย่างไหน...”

ให้ตายเถอะ เสียงของผมสั่นจนน่าสมเพช ถ้านี่คือเรื่องจริงผมคงจะเสียสมดุลในร่างกาย คิดแล้วก็อดโมโหไม่ได้ ผมจะเป็นราชินีที่สูงส่งไปทำไม ถ้าแค่รอยยิ้มและแววตาของคนขับรถผมยังหวั่นไหวขนาดนี้!

“ผมพูดเล่นน่ะ...มาเถอะครับ ผมจะเดินไปส่งคุณกลับบ้าน”

บรูคพูดจบก็เดินเข้ามาฉวยจับก่อนจะเป็นฝ่ายเดินจูงมือผมเดินท่ามกลางบรรยากาศที่ดูจะเป็นใจเสียเหลือเกิน และผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ออกไป

จะคิดมากทำไม ในเมื่อมันแค่จับมือกันเท่านั้นเอง... มันไม่อะไรทั้งนั้น ไม่มี!! แม้ว่าสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือนั่นเล่นเอาเลือดในร่างกายสูบฉีด แต่ผมไม่ได้เสียสติพอที่จะอมยิ้มระหว่างเดินไปด้วย

แต่พอมานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าระหว่างเรายังมีอะไรที่ติดค้างกันอยู่...

“บ...บรูค”

จูบนั่นไง...

"ครับ?"

“จะ...จูบ” เสียงของเบาหวิวราวกับสายลมพัดผ่าน

“หืม? เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะคุณหนู"

“จะ...จูบ...จูบเมื่อตอนเย็น...” ผมกล่าวและหยุดฝีเท้าพร้อมกับรั้งมือไว้เพื่อไม่ให้เขาเดินไปถึงจุดหมายปลายทาง อยู่ตรงนี้คงไม่มีใครเห็นเรา ถ้าอยู่ที่หน้าบ้านผมคงไม่กล้าพูดประโยคน่าขายหน้านี่...

“คุณพูดว่าจูบเหรอ...”

ให้ตายเถอะ ผมพูดเรื่องบ้าอะไร เมื่อกี้ผมหลุดปากถามเรื่องน่าอายออกไปได้ยังไงกัน

“จูบฉัน...” ผมกัดริมฝีปากล่างตัวเองจนรู้สึกได้ว่ามันเจ็บ... “ฉันสั่งให้นายจูบฉัน!”

น้ำเสียงของผมดูแข็งกระด้างแบบทุกครั้ง เพราะผมพยายามทำเหมือนกับนี่คือคำสั่งทั่วไป แต่มันตลกสิ้นดีว่ามั้ย ใครที่ไหนจะมาสั่งให้คนจูบตัวเอง ผมต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ หรือบางทีเขาอาจจะเป็น...คู่แห่งโชคชะตาของผม แต่นั่นฟังดูไร้สาระชะมัดเลย!




ผมส่ายหน้าตัวเองและสะบัดมือออก เตรียมจะเดินหนีเขาแต่แล้วอีกฝ่ายก็สวมกอดเข้าที่เอวของผมไว้ทันทีก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้เดินหนีไป

“ผมว่าคุณลองขอด้วยวิธีที่เข้าท่ากว่านี้ดีมั้ย” เสียงกระซิบของเขาใกล้ชิดอยู่ที่ใบหู ผมตระหนักได้ว่าหลายวันมานี้ ผมอนุญาตให้เราใกล้ชิดกันกว่าที่เคยเป็น

ผมไม่รู้สึกแย่กับเขาแบบที่เคยรู้สึก...

“คุณลองคิดดูว่าจะทำยังไงให้ผมยอมจูบคุณ...” เขาพูดเสียงขบขัน

“นั่นก็แล้วแต่นายแล้วกัน!!!”

ผมทนไม่ได้ที่ตัวเองกลายเป็นคนที่น่าสมเพช เสียงหัวเราะชอบใจของเขาทำให้ผมรู้สึกอับอาย คนอย่างบารอนเนี่ยนะเหรอที่ไปขอให้บรูค ปาร์คเกอร์จูบ มันเป็นเพราะความงี่เง่าของเราเมื่อช่วงเย็น มันเป็นเพราะผมอาจจะเมารสจูบกลิ่นสตอรว์เบอร์รี่บ้าบออะไรนั่น จึงคิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดนี่!

“เฮ้... คุณก็แค่พูดขอร้องดี ๆ เช่นเปลี่ยนจากการใช้คำสั่งหรือประโยคบีบบังคับที่ฟังไม่เข้าหู เป็นคำขอร้องหรือคำพูดหวาน ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”

เขาพยายามหว่านล้อมผมหรือไง...

“แล้วทำไมฉันจะต้องทำแบบนั้นด้วย” ผมเอ่ยถามและพยายามแกะมือปลาหมึกที่เกาะเอวผมแน่น

“เพราะมันจะทำให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการโดยที่ผมไม่รู้สึกแย่เวลาที่จะต้องทำตามที่คำสั่งของคุณไง”

“ถ้านายรู้สึกมากขนาดนั้นก็อย่าทำ เพราะฉันจะไม่มีวันขอร้องใคร”

มันเป็นเรื่องจริง ถ้าแค่จูบผมต้องร้องขอ ผมไม่ทำดีกว่า...

“ลองดูไม่เสียหาย แค่เริ่มจากการขอร้องง่าย ๆ อย่างเช่น จูบฉันหน่อยได้มั้ย หรือ ช่วยจูบฉันหน่อยนะ ดีกว่าการบอกว่า  ฉันสั่งให้นายจูบฉัน หรือนายต้องจูบฉันนะเจ้าโง่...” เขาอธิบายและขบริมฝีปากลงกับใบหูของผม ผมไม่ได้วูบไหวกับสัมผัสนั้น แต่เป็นรูปประโยคที่เขาพยายามบอกผมต่างหาก

อันที่จริง...ผมแทบไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับใครนอกเสียจากพ่อกับแม่ เวลาที่ผมอยากจะได้อะไรคนรอบข้างก็จะประเคนให้ พวกเขารู้ว่าผมต้องการอะไรก่อนที่ผมจะรู้สึกต้องการมันเสียอีก ผมไม่เคยต้องใช้คำพูดในรูปแบบกึ่งขอร้อง อ้อนวอนหรือร้องขอ ไม่ว่าสิ่งใดถ้าผมบอกพวกเขาเหล่านั้นจะเต็มใจทำให้...

สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าผู้ชายคนนี้กลับเป็นคนแรกที่กล้าจะสอนผมอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะทำให้ผมรำคาญก็ตาม... แต่ความจริงใจของเขาเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจจะมองข้ามได้

“ถ้าผมบอกคุณว่า รีบไปเข้านอนไป๊กับคุณเข้านอนเถอะนะ คุณอยากได้ยินประโยคไหนมากกว่ากัน”

"นายไม่มีวันพูดกับฉันแบบนั้นได้แน่ ๆ"

"ผมแค่เปรียบเทียบไง"

 "งั้นเหรอ..." ผมเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะเออออไปกับอีกฝ่าย

“ถ้าคุณขอดี ๆ พูดดี ๆ พวกเราเต็มใจทำให้คุณทุกอย่าง เพราะมันมาจากคำขอที่สุภาพและอ่อนโยนยังไงล่ะ”

“แล้วถ้าฉันขอให้นายจูบ นายจะจูบเหรอ...” ผมยืดตัวแนบชิดกับหน้าท้องของเขาและอยากปล่อยให้ตัวเองเป็นธรรมชาติดูสักครั้ง

ผมเริ่มค้นพบว่าจริง ๆ แล้วตัวเองเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เหมือนกัน... ข้างในลึก ๆ ผมหวั่นไหวกับบรูคจนรู้สึกรำคาญตัวเอง

“ถ้าพูดด้วยประโยคที่สุภาพ นายก็จะทำให้อย่างงั้นเหรอ...”

“ถูกต้อง” เขากล่าวตอบ

“ตะ...แต่เมื่อกี้นายบอกอยู่เลยว่ารู้สึกแย่ที่ฉันบอกให้นายจูบฉัน”

“มันไม่ใช่ว่าผมรู้สึกแย่ที่ต้องจูบคุณ แต่แค่ไม่ชอบคำพูดที่คุณพูดกับผม และเชื่อผมเถอะว่าทุกคนก็ต่างต้องการคำพูดไพเราะกันทั้งนั้นแหละคุณหนู”

ไม่มีความตื่นตระหนกอีกต่อไป ผมเลือกที่จะลองทำตามที่เขาบอก เพราะไม่คิดว่ามันจะสร้างความเสียหายหรืออับอาย บางทีบรูคอาจจะพูดถูก

มันก็จริงอย่างที่เขาบอก ทุกคนอยากได้ยินประโยคที่ไพเราะรื่นหู และถ้าผมลองปรับใช้ดูก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ผมคิดว่างั้นนะ...

“งั้น...ฉัน...ขอให้นายจูบฉันหน่อยได้มั้ย”

ผมเงยหน้าสบตากับเขาอีกครั้งท่ามกลางความรู้สึกสับสนปนงุนงง ผมเม้มริมฝีปากในขณะที่บรูคแนบริมฝีปากกับใบหูของผม ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดตรงบริเวณนั้น

"คุณห้ามไปขอใครจูบแบบนี้เด็ดขาดนะครับ และยิ่งตอนที่ทำสีหน้าแบบนี้ ขอร้องว่าให้เก็บไว้ทำกับผมคนเดียวได้หรือเปล่า"

"ฉัน...!!!"

ผมยังไม่ทันพูดอะไรบรูคก็จูบลงที่แก้มของผม สัมผัสเย็น ๆ จากเขาทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว บรูคผละริมฝีปากออกแต่ยังทิ้งสัมผัสหนัก ๆ ไว้ที่ข้างแก้มของผม ทุกความนุ่มนวลเหล่านั้นช่องน่าประทับใจ

“ราตรีสวัสดิ์...”

บรูคกล่าวคำนั้นผ่านริมฝีปากที่ผมอยากลิ้มรสอย่างไม่น่าเชื่อ เขายืดตัวสูงขึ้นหลังจากที่จูบลงที่หน้าผากของผมอย่างหน้าตาเฉย และทันใดนั้นเองผมกลับเป็นฝ่ายขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำ

"อ๊ะ!!"

ผมพุ่งเข้าไปดึงรั้งท้ายทอยของร่างสูงและเขย่งปลายเท้าส่งตัวเองให้สูงขึ้นเพื่อที่จะบดขยี้ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยรสชาติสตรอว์เบอร์รี่งี่เง่าที่ผมไม่เคยชอบ

ไม่ชอบเลยจริง ๆ นะ

“อื้ม!!”

ตอนแรกบรูคตกใจ แต่พอเขาตั้งรับได้กลับกลายเป็นฝ่ายนำเสียอย่างงั้น เขาบดขยี้ริมฝีปากหนักขึ้น รุนแรงขึ้น เสียงครางต่ำภายในลำคอของเขาทำให้ผมหน้าร้อนผ่าว

บางทีไม่ใช่แค่ผมที่ต้องการ... มันยังรวมถึงอัลฟ่าคนนี้ด้วย

บรูคผละริมฝีปากและเริ่มซุกไซร้ไปยังซอกคอของผม ผมผ่อนลมหายใจและเอียงคอเปิดทางให้อีกฝ่ายแต่โดยดี ไม่มีความจำเป็นต้องสงวนท่าทีอะไรอีกแล้ว

เขาต้องการผม ผมรู้ได้โดยทันทีเพราะว่า...ผมเองก็ต้องการทุกสัมพัสจากอัลฟ่าคนนี้เหมือนกัน!

เราแค่ต้องการกันและกัน เท่านั้นเอง

(Next 2)
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅷ 」 Lust (1-2) : Jul 11,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 11-07-2019 11:58:41
(Lust 2)


“เธอต้องเดาไม่ออกแน่ว่าฉันเป็นบ้าแค่ไหน” ผมกรีดร้องในห้องน้ำของเย็นวันต่อมา ถ้าฮาร์เปอร์รับสายผมตั้งแต่เช้า ผมคงไม่ต้องรู้สึกเหมือนคนใกล้บ้าขนาดนี้

“ฉันจูบกับเขาผู้ชายที่เป็นคนขับรถของตัวเอง มันเป็นจูบแบบดูดดื่มชนิดที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน ฉันทำราวกับว่าคนสำส่อนที่หิวกระหายอยากเสียเหลือเกิน”

ผมร้องเสียงดังด้วยความหงุดหงิดปนอึดอัด ขณะที่เดินวนไปมา ส่งเสียงประท้วงผ่านโทรศัพท์มือถือกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมไว้ใจ

[นายก็พูดเกินไป มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ขนาดเจ้าหญิงยังจูบกับกบได้เลย]

“นั่นเป็นแค่การ์ตูนนะฮาร์เปอร์ เธอจะเอาฉันไปเปรียบเทียบกับเทพนิยายบ้าบอนั่นไม่ได้” ผมกัดฟันจนกรามขึ้นรูปคมชัด ก่อนจะหันหลังใส่กระจกเพราะไม่ชอบมองเห็นสีหน้าตัวเองในเวลาแบบนี้

ในตอนที่สับสนขั้นสุด คนอย่างบารอนมีเหรอจะหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ ... ยกเว้นเรื่องนี้และตอนนี้!

“ให้ตายเถอะ เธอไม่ช่วยฉันคิดเลยสักนิด ฉันไม่น่าเอาเรื่องนี้มาปรึกษาเธอเลย”

[ฉันกำลังจะบอกอยู่นี่ไงว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรแบบที่นายกำลังกลัว...]

ผมนี่นะกลัว...แน่นอนว่าก็คงใกล้เคียงกับความรู้สึกแบบนั้น เพราะตั้งแต่วันที่ผมจูบกับคนขับรถของตัวเอง ผมกลับยิ่งรู้สึกเหมือนคนเสียสติ กลายเป็นคนคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าผมพยายามหาทางที่จะจูบเขาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

และปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าบรูคเป็นผู้ชายที่เย้ายวนทั้งยังเต็มด้วยเสน่ห์ และให้ตายเถอะ...เขาจูบเก่งกว่าที่ผมคิด!

“ฉันจะไปหาหมอ”

[จะบ้าหรือไง นายจะไปบอกกับหมอว่าอะไร ผมจูบอัลฟ่าจน ๆ ที่จูบเก่งจนผมแทบบ้า ช่วยรักษาให้ที อย่างนี้เหรอ ไม่เอาน่าบารอน นายเลิกยึดติดเรื่องพวกนั้นและมองเขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่น่ากินคนหนึ่งก็พอ]

“โอ๊ย พระเจ้า....ให้ตายเถอะ...ฉัน...”

ผมลูบใบหน้าตัวเอง รู้สึกหมดแรงและหน้ามืด วันนี้ทั้งวันผมพยายามหาทางตัดเรื่องนี้ออกไปจากสมอง แต่ตอนนี้ยิ่งได้เห็นหน้าบรูค ผมกลับยิ่งทำตรงกันข้าม แทนที่จะตัดใจ แต่ผมกลับเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากจะกระชากเขาลงมากับบนเตียง

นี่ไงดูสิที่ผมคิดสิ มันไม่ปกติและไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ...

“เขาอาจจะปล่อยฟีโรโมนอะไรออกมาหลอกล่อฉัน!”

[เขาเป็นอัลฟ่านะ ไม่มีทางที่เขาจะทำแบบนั้นได้]

ผมจะไม่คิดจนสมองแทบไหลออกมาจากหูสองข้าง ถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน!

ให้ตายเถอะ เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!!

[และเท่าที่ฟังมาทั้งหมด ฉันยืนยันว่ามันไม่ได้เลวร้าย นายเลิกทำท่าเหมือนคนบ้าได้แล้วน่า]

“จะไม่ให้ฉันบ้าได้ไง แค่เป็นฉันกับบรูคนั่นก็ไม่ควรเกิดขึ้นแล้ว...ถ้าเป็นลูกชายคนรวยระดับเดียวกันก็ว่าไปอย่าง” ผมนั่งไขว่ห้างอยู่บนเคาน์เตอร์ล้างหน้าภายในห้องน้ำ ก่อนจะเอามือกระตุกเชือกเสื้อคลุมอาบน้ำของตัวเองออกและหันไปมองร่องรอยสีกุหลาบตามเนินอก

เขาชอบทำให้ผมอับอายและก็หัวเราะเยาะ คนขับรถทุเรศ!!

[บรูคดีกว่าคนพวกนั้นเป็นไหน ๆ อย่างน้อยก็ลองเปรียบเทียบกับโอลิเวอร์ บรอสซั่ม หนอนั่นหล่อไม่เท่าบรูค สมองกลวงและเป็นอันธพาล ถ้าให้ฉันเลือก ฉันยอมจูบกับบรูคยังดีเสียกว่า]

ในขณะที่ฮาร์เปอร์เริ่มร่ายยาว ๆ ผมก็ยืนกัดเล็บตัวเองเหมือนเด็กเสียสติคนหนึ่งที่ไม่สามารถคิดอะไรเองได้อีกต่อไป

น่าผิดหวังชะมัดเลย ผมคือราชินี...แต่ผมกำลังเสียศูนย์เพราะคนขับรถคนนั้น!

“เรื่องหน้าตาของเขาน่ะไม่ใช่ประเด็นนะ เธอคิดว่าฉันพร้อมจะจูบทุกคนที่หน้าตาดีหรือไงล่ะ”

[เป็นฉันไม่มานั่งคิดแบบนี้หรอก คิดดูสิว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ]

“โอกาส? พระเจ้า...” ผมคว่ำปากตัวเองลงเมื่อนึกถึงผู้ชายตัวสูงเจ้าปัญหานั่น “อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ...ฉันมวนท้องชอบกล...”

บางทีผมน่าจะหาวิธีกำจัดเขาอย่างจริงจังได้แล้ว

[มันก็แค่จูบ อย่าไปคิดมากสิ ฉันเข้าใจว่ามันฟังดูพิลึก แต่ฉันกล้ารับประกันได้เลยว่าจูบกับบรูคน่ะไม่ได้เลวร้ายเลยแม้แต่นิด]

“นั่นแหละที่ฉันภาวนาต่อพระเจ้า...” ผมถอนหายใจออกมา คิดว่าชีวิตของตัวเองจะตกต่ำได้แค่ไหน

อย่างแรกเลยคือผมจะต้องถูกสืบสวนจากทางโรงเรียน โชคดีที่มีพยานรู้เห็นหลายคนว่ามันคือการทะเลาะวิวาท ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถลงโต้วาทีได้อยู่หรือเปล่า

อย่างที่สองคือผมกับบรูคมีความสัมพันธ์ออกแนวอีโรติกที่ซับซ้อน แม้จะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผมว่ามันจะต้องมีอะไรเกินเลยแน่ ๆ ถ้าผมยังห้ามใจไม่ให้เต้นแรงเวลาที่เขาเข้าใกล้

[ถ้าแค่จูบอย่างเดียวก็ไม่ต้องไปคิดมากอะไรหรอกนะ]

“มันไม่ใช่แค่จูบนี้สิ...” ผมกัดริมฝีปากและกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ อยากจะโขกหัวตัวเองลงกับอ่างล้างหน้าให้รู้แล้วรู้รอด “...แต่ฉันกับเขา"

[โอ้วมายก็อด!! นายมีเซ็กซ์กับเขา]

“เปล่า!! ไม่มีทาง ต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่..ให้ตายเถอะฮาร์เปอร์อย่าทำให้ฉันสติแตกกว่าเดิมสิ” ผมร้องบอกและพยายามลดเสียงตัวเองลงเพราะกลัวว่ามารีน่าหรือใครจะแอบมาได้ยิน

ทั้งที่ผมอยู่ในห้องนอนส่วนตัว ไม่มีใครกล้าเข้ามาด้วยซ้ำถ้าผมไม่ได้อนุญาต

[ก็นายทำเสียงแบบนั้นเองนี่ ฉันนึกว่านายได้กินเขาแล้ว จะว่าไปเซ็กซ์แรกของนายกับผู้ชายอายุมากกว่าถึงสิบปีมันก็ไม่เลวนะบารอน]

“เขาไม่เหมาะกับการครอบครองสิ่งมีค่าของฉันหรืออะไรทั้งสิ้น”

[แล้วสรุปที่ว่ามากกว่าจูบคือยังไงเหรอ?]

“เฮ้อ...เอาเป็นว่าเราไม่ได้ถึงขั้นมีเซ็กซ์ แต่มันก็เลยเถิดกว่าจูบ...” ผมตัดบทสั้น ๆ ไม่อยากให้ฮาร์เปอร์ถามมากกว่านั้น รู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งขายหน้าตัวเอง

ให้ตายเถอะ... ผมอยากจะไปโบสถ์เพื่อสารภาพบาปชะมัดเลย

“เธอว่าฉันควรจะทำยังไงต่อไปดี” ผมถอนเสื้อคลุมอาบน้ำออกแล้วลุกขึ้นยืนมองตัวเองจากกระจกเงาบ้านใหญ่ภายในห้องน้ำ กระจกสะท้อนบานโตตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

[ถ้านายไม่คิดอะไร ก็แค่ทำเป็นลืมมันไป มันก็แค่คนจูบกันเท่านั้น นายเองยังเคยจูบกับแฟนเก่าของซาช่าตอนเมาเลย ฉันว่าอันนั้นนายควรคิดมากกว่าตอนนี้อีกนะ]

“พอแล้ว...เธอก็รู้ว่าฉันกับบรูคเราไม่ควรมีความสัมพันธ์กันในทิศทางนั้น” ผมร้องเสียงดังผ่านโทรศัพท์จนได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากฮาร์เปอร์

[มันไม่ได้เลยเถิดถึงขั้นนี่ อีกอย่างนะมันคือความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย...]

"ก็...ไม่รู้สิ ถ้าเกิดว่าเราเลยเถิดกันล่ะ"

[ถ้าวันนั้นมาถึงก็ให้มันเป็นไปตามที่ต้องการเถอะ ในเมื่อพึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายและเขาไม่ได้มีพันธะกับใคร ร่างกายของนาย นายมีสิทธิ์ในตัวเองนะ]

“ไม่ได้หรอก ฉันนอนกับคนพวกนั้นเพราะไร้ความรักไม่ได้ และคนที่นอนกับคนอื่นโดยปราศจากความรักนะน่าเกลียดจะตายไป...”

[นี่มันไม่เกี่ยวสักหน่อย จะบอกให้นะว่า Sex is Sex and Love is Love มันคนละกรณี อีกอย่างถึงคนบางคนจะนอนกับใครโดยปราศจากความรักนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดสักหน่อย แค่พวกเขาพึงพอใจต่อการ ไม่มีการบังคับข่มเหงจิตใจฝ่ายใดนั่นก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนะ]

“ที่เธอพูดก็มีส่วนถูก บางทีฉันอาจจะคิดเยอะเกินไป...”

อันที่จริงผมต้องยอมรับว่าถ้าฮาร์เปอร์ไม่พูดอีกแง่มุมหนึ่งขึ้นมา ผมก็คงจะยึดมั่นกับแนวความคิดนั้น พอมานึกดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจหรือเสียหายอะไรเลย...

“ฉันคงจะต้องสงบสติอารมณ์ตัวเองสักพัก”

[ว่าแต่บรูคเขามีท่าทีแบบไหนบ้าง  หลังจากนั้นเขาได้พูดอะไรหรือแสดงท่าทางเหมือนกับต้องการนายเหมือนกันน่ะแบบนั้นมีบ้างมั้ย?]

“ฉันต้องตอบคำถามนี้จริง ๆ รึไง...”

[ตอบมาเหอะน่า ฉันกำลังหาทางช่วยนายอยู่นี่ไง]

“พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลยเรื่องนั้น แต่ว่า...เวลาที่มองตากันมันเหมือนเขาพยายามจะโลมเลียฉันยังไงอย่างงั้น” ผมยกมือขึ้นทาบใบหน้าตัวเอง พยายามเลี่ยงที่ยอมรับว่าตอนนี้กำลังรู้สึกเขินอาย...

ให้ตายเถอะเกิดเรื่องบ้าแบบนี้กับผมได้ยังไง!

[เห็นมั้ยล่ะ ใคร ๆ ก็หลงเสน่ห์โอเมก้าราชินีแบบนายกันทั้งนั้นแหละ สิ่งที่นายต้องทำต่อจากนี้คือเปิดใจ หัดยอมรับอะไรใหม่ ๆ เช่น การนอนกับผู้ชายที่อายุมากกว่าน่ะมันยอดเยี่ยมที่สุดเลย...]

“บ้าน่า...”

ผมกัดริมฝีปากอย่างลังเล คำพูดของฮาร์เปอร์ชักทำให้ผมคล้อยตาม เหมือนยังทำใจยอมรับไม่ได้เพราะลึก ๆ แล้วผมเชื่อว่าความรักกับเซ็กซ์คงต้องไปในทำนองเดียวกัน

แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่ต้อง และสัมพันธ์ทางกายสำหรับฮาร์เปอร์น่าจะมีนิยามแตกต่างจากผม

“ฮาร์เปอร์...พูดยังกับเธอเคยทำกับผู้ชายรุ่นใหญ่”

[บ๊อบไง]

ชื่อนี้ทำให้ผมตกลุกวาวพร้อมกับอุทานเสียงดัง “บ๊อบ บ๊อบไหน? ...อย่าบอกนะว่าเป็นครูชีวะสุดเห่ยคนนั้นน่ะ”

[เขาไม่ได้เห่ยนะ เขาออกจะฮอต]

บ็อบ วิลสัน เนี่ยนะฮอต ... ผมจำได้หน้าตาสุดแหยะของครูสอนชีวะคนนี้ได้ดี เขามักจะแต่งตัวราวกับไม่มีคำว่าแฟชั่นในหัว เป็นผู้ขายที่ไร้รสนิยมและมีแค่เพียงวิชากันกับดวงตาสีอัลมอนด์เท่านั้นที่เข้าท่าง ซึ่งต่อให้มองจากมุมไหน ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะฮอตและมีอะไรที่ทำให้ฮาร์เปอร์หลงใหลได้เลย

[ถึงเขาจะดูเชยไปหน่อย แต่ฉันยอมรับว่าเขาทำให้ประสบการณ์ครั้งแรกของฉันสุดยอด!]

“ฉันคิดว่าเธอเป็นคนแรกกับสตีฟเสียอีก พระเจ้าตกใจชะมัด เธอพูดจริงเหรอ...”

[ฉันจะโกหกนายทำไม อีกอย่างนะการนอนกับผู้ชายอายุมากกว่าน่ะมันทำให้เราลืมรสชาติอ่อนหัดของเด็กวัยเดียวกันไปเลย ฉันเล่าให้นายฟังคนเดียวนะบารอน!]

“เธอก็เลยจะให้ฉันลองไปนอนกับคนขับรถตัวเองงั้นเหรอ?” ผมเอ่ยถามและเหลือบมองไปยังด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงของคนเดินเพ่นพ่านอยู่บริเวณหน้าห้อง




[ถ้าตัวเลือกของนายคือบรูค ฉันว่านายมีของดียิ่งกว่าขุมทรัพย์เสียอีก]

“พูดบ้า ๆ น่ะ ไม่เอาด้วยหรอก” ผมกัดริมฝีปากและเอามือทาบอก “นี่เหมือนเธอกำลังยุยงให้กันนอนกับผู้ชายที่อายุมากกว่าเกือบสิบปี และเธอบอกกับฉันว่าการนอนกับคนขับรถตัวเองไม่ผิด...”

[นายมีสิทธิ์นอนกับใครก็ได้ที่ไม่มีคู่ และเขาเต็มใจที่จะนอนกับนาย ไม่เห็นจะต้องอายเลย เซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้านายต้องการมันน่ะนะ เราก็แค่ต้องรู้จักป้องกันและระวังตัวเอง ฉันคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ทางร่างกายที่เราพึงมี แต่ถ้านายไม่ต้องการแบบนั้น ก็ไม่เห็นจะต้องทำตามฉัน ฉันแค่เล่าในส่วนของฉันให้นายฟัง]

มันก็จริงอย่างที่ฮาร์เปอร์พูด...แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก!

[บอกให้เลยนะบารอน ถ้าฉันมีคนขับรถที่หน้าตาดียังกับนายแบบ แถมยังมีกล้ามน่าลูบขนาดนั้น ฉันไม่ยอมให้เขาเดินทำหน้าหล่อไปมาหรอกนะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายถึงเอาแต่ด่าเขา ทั้งที่เขาน่ากินขนาดนั้น!]

“เพราะฉันไม่ชอบเขา!!” ผมโกหกตัวเองอยู่หรือเปล่าเนี่ย...

[เชื่อได้เลยว่าบรูคดีกว่าโอลิเวอร์เป็นไหน ๆ]

“ฟังนะฮาร์เปอร์ ฉันไม่คิดที่จะนอนกับโอลิเวอร์ และที่ฉันยั่วยวนเขาก็เพื่อปั่นประสาทแม็กทีส อีกอย่างฉันต้องการที่จะนอนกับผู้ชายที่ฉันรัก และผู้ชายคนนั้นจะต้องเป็นเจ้าชาย” ผมว่าและเสียงของผมดูไขว้เขวเอามาก ๆ “ไม่ใช่คนขับรถตกงานที่รับเงินเดือนจากพ่อ”

[โอเคใจเย็นก่อน] ฮาร์เปอร์พยายามสงบสติอารมณ์เดือดพล่านของผม [ฉันก็อยากฟังทุกอย่างของนายนะ แต่ตอนนี้ต้องวางแล้วแหละ]

“นั่นสินะ...”

[ที่ฉันจะบอกนายเลยก็คือ อย่าปิดโอกาสตัวเอง เพราะคนขับรถหล่อ ๆ น่ากัดแบบนั้นไม่ได้หาได้ง่าย ๆ นะ...] ฮาร์เปอร์บอกเสียงขัน และผมก็แกล้งหัวเราะกับมุขของเธอ

“พอแล้ว ๆ ไม่อยากคุยกับเธอแล้ว!!”

[ฮ่า ๆ โอเค...ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ]

“โอเคบาย...”  ผมกดตัดสายเพื่อนรักก่อนจะถอนหายใจออกมา ใช้เวลาอยู่กับคำพูดของอีกฝ่ายชั่วขณะหนึ่ง ... มองเขาจากภายในงั้นเหรอ จะว่าไปที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยใช้ความจริงใจในการมองใครเลย

ผมมองในสิ่งที่พวกเขาเป็นและก็ตัดสินคนเหล่านั้น บางอย่างที่ทั้งเพื่อนและพ่อแม่บอก บางทีผมอาจจะต้องใช้มันทำความเข้าใจกับคนใกล้ตัว และคนนั้น

อาจจะเป็นเขา... ผู้ชายที่ชื่อว่าบรูค ปาร์คเกอร์!




">





Talk

ชื่อตอนก็จะโหดนิดหน่อย แต่นิยายเรื่องนี้ไม่ได้ขายเซ็กส์ หรือถ้าจะขายมันก็ไม่ได้โฉ่งฉ่างแบบที่พวกเธอคิด

ขอชี้แจ้งวัฒนธรรมตะวันตกเล็กน้อย ใครที่ดูซีรี่ย์ฝรั่ง เช่น Sex Education, Gossip Girl, Ellite อยู่แล้วจะเก็ทความ เพราะพวกเขาจะOpen Sex กันมาก และสังคมพวกเขายอมรับและไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องน่าอายแบบที่ไทย

เรื่องนี้ไม่ได้จะสอนอะไร Meaning น่าจะอยู่ที่เรื่องอื่น นำเสนอการบูลลี่ในสังคม การทิ้งท้ายคำพูดร้าย ๆ เพื่อทำร้ายจิตใจคนอื่น นางเอกมีปมเล็กน้อยกับเรื่องของเจน ซึ่งมันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองของละคร

นิยายเรา 18+ เพราะภาษา เนื้อหาและฉากบางฉากต้องการคนที่อายุ18ปีขึ้นไปเพื่อพิจารณาประกอบการอ่าน หากน้อง ๆ คนไหนติดขัด สามารถทักมาคุยกันได้ค่า ยินดีพูดคุยเสมอ






หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅷ 」 Lust (1-2) : Jul 11,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 12-07-2019 01:31:44
คำพูดทำร้ายคนได้มากกว่าปืนจริงๆ
แต่น้องเริ่มคิดได้แล้ว ถึงจะช้าไป ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี
บรูคดูเป็นพ่อน้องยิ่งกว่าพ่อจริงๆซะอีก555
ไม่ใช่แก่กว่า แต่ปกป้องแบบที่ควร พูดในสิ่งที่ควรพูด
ยัยน้องก็ไม่ได้ดื้ออย่างที่คิดนี่นา สอนก็รับฟัง เข้าใจทำตาม หรือน้องจะเมาจูบ
เอ็นดูความสับสน น้องต้องเชื่อเพื่อนแล้วละ
ผ่านมาหลายตอน ท่าทางบรูคจะไม่ทำอะไรน้องแน่ๆถ้าเด็กมันไม่เริ่มก่อน พ่อเขาเทรนมาดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅷ 」 Lust (1-2) : Jul 11,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-07-2019 11:58:07
รอๆ
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「 ⅷ 」 Lust (1-2) : Jul 11,2019
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 13-07-2019 13:32:07
ยัยน้องน่ารักแล้ว
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「ix 」 Plan(1-2) : Jul 14,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 14-07-2019 22:07:58
[IX] Plan (1.)

(N.) a detailed proposal for doing or achieving something.



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับกระปุกครีมกลิ่น Banana Milk ที่จะทำให้การนอนหลับพักผ่อนของผมสบายขึ้น

“บรูค!!! นายเข้ามาได้ไง” ผมเอามือทาบกับอกตัวเองตอนที่บรูคปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องน้ำ หลังจากที่ผมเพิ่งก้าวขาออกมา “พระเจ้า...ฉันตกใจแทบแย่”

“คุณมากกว่าที่ทำผมตกใจ”

“งี่เง่าจริง ๆ เลย แล้วนี่ขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน ไม่ใช่แอบฟังฉันคุยโทรศัพท์ส่วนตัวหรอกนะ” ผมว่าและกอดอกมองเขา

“รู้มั้ยว่าคุณไม่ควรกล่าวหาใครแบบนั้น ผมแค่เอาแชมเปญผิดกฎหมายตามที่คุณสั่งมารีน่าขึ้นมาให้”

“มันถูกกฎหมาย และอย่างที่สองคือฉันดื่มได้ นายเลิกทำหน้างี่เง่าแบบนั้นสักที” ผมกลอกตาและเดินผ่านอีกฝ่ายไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่

“ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าถูกพ่อสั่งกักบริเวณฉันคงได้ไปปาร์ตี้เจ๋ง ๆ กับเพื่อนแล้ว"

"วันเสาร์ของคุณที่สมกับเป็นเด็กอายุสิบหกคือการนอนดูหนังอยู่บ้านน่ะถูกแล้ว"

"ฟังที่นายพูดเข้าสิ วันเสาร์ของฉันกับหนังเห่ย ๆ ...ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่านายคิดได้ยังไง”

ผมถอนหายใจและพึมพำประโยคนั้นกับตัวเอง อันที่จริงแล้วถ้าพ่อไม่สั่งลงโทษผมด้วยการกักบริเวณ ป่านนี้ผมคงไปปาร์ตี้บิกินีที่ริมสระของครอบครัวทิมเบอร์ตันแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบลูกชายของพวกเขา แต่ต้องยอมรับเลยว่าพวกทิมเบอร์ตันจัดปาร์ตี้ได้สุดเหวี่ยงและมีรสนิยมเอามาก ๆ

“เอาเถอะครับ คุณตัดพ้อไปก็เท่านั้น”

“ฉันพูดกับตัวเองไม่ต้องมายุ่ง”

“ผมก็พูดกับตัวเองเหมือนกัน”

“พูดอะไรเมื่อกี้! ฉันได้ยินนะ” ผมหันไปมองค้อนผู้ชายที่ยืนทำหน้านิ่งพร้อมกับถือถังและขวดแชมเปญไว้ในมือ ก่อนจะทิ้งสะโพกนั่งลงบนเตียงและเปิดฝาครีมขึ้นมาทาผิวตัวเอง

"กลิ่นบานาน่ามิลค์?"

"แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย" ผมเหลือบตาขึ้นและแค่นเสียงใส่อีกฝ่าย "ไม่ต้องมามองฉันเลย คิดจะลวนลามฉันงั้นสิ"

"ผมไม่ได้คิด แต่คุณนั่นแหละที่คิด ไม่งั้นคงไม่ทากลิ่นโลชั่นกลิ่นโปรดของผมหรอก"

"เหอะ พูดออกมาได้ยังไงน่ะ" ผมถามเสียงแข็งในขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงส่งยิ้มล้อเลียนมาทางผม ให้ตายเถอะ บรูค ปาร์คเกอร์ นายชักจะหลงตัวเองเกินไปแล้ว

"ใครเขาจะอยากทำให้นายพอใจกัน ทุเรศ..."

"ครับ ๆ ผมมันคนทุเรศ แต่คุณก็มาขอจูบผม"

"ฉันจะฆ่านายถ้านายไม่หุบปาก"

ผมว่าอย่างเหลืออดก่อนจะปากระปุกครีมใส่อีกฝ่าย ไม่น่าหลบทันเลยผมจงใจจะปาใส่หัวคนพูดจาไม่เข้าหูแล้วแท้ ๆ

“แล้วนั่นจะยืนให้น้ำแข็งละลายเลยมั้ย? ระหว่างแชมเปญที่นายจะเปิดกับคริสต์มาสอะไรจะมาก่อนกัน”

“ผมกำลังทำให้อยู่นี่ไงครับ...”

"ให้ตายเถอะ...วันอะไรของฉันนะ" ผมกลอกตาใส่อีกฝ่ายและพึมพำเบา ๆ ในขณะที่ผละสายตาจากการนวดครีมที่แขนและมองไปทางผู้ชายที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะอนุญาตให้ขึ้นมาในบริเวณพื้นที่ส่วนตัวของผม

แต่เอาเถอะ เรื่องบางเรื่องคิดมากไปก็เท่านั้น

“มารีน่าบอกผมว่าปกติคุณไม่ดื่ม...วันนี้ทำไมคุณถึงดื่ม”

“เรื่องของฉันน่าปาร์คเกอร์”

“อีกแล้วนะ...” บรูคพูดขึ้น สีหน้าของเขาเหมือนกำลังไม่พอใจ “เรียกผมแบบนั้นอีกแล้ว เมื่อวันก่อนคุณพึ่งจะ...”

“เงียบไปเลย ถ้านายพูดมากฉันจะไล่นายลงไปห้องของนาย”

ผมโวยวายใส่อีกฝ่ายและบรูคก็ทำสีหน้าเหมือนกับช่วยไม่ได้ ก็จะยอมเงียบปากไปในที่สุด

“ผมแค่สงสัยเฉย ๆ ครับ" เขามองมาทางผมด้วยแววตาที่...ไว้ใจไม่ได้ "ที่ว่าจู่ ๆ ก็อยากดื่มคงไม่ใช่เกิดอยากจะมอมเหล้าผมขึ้นมาเหรอนะ”

“บ้าหรือไง หยุดพูดจาบ้าบอได้แล้ว!!”

ผมมองค้อนอีกฝ่าย ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าบรูคเอาแชมเปญวางตั้งไว้จากถังน้ำแข็ง “นายไม่ควรเอาแชมเปญออกจากถังนะปาร์คเกอร์ นายจะต้องเสิร์ฟแบบเย็น ๆ ที่อุณหภูมิประมาณ 6 องศาเซสเซียส”

“งั้นเหรอ...”

ให้ตายเถอะ...มีใครซื่อบื้อกว่าเขาอีกมั้ยเนี่ย

“ใช่ไง ที่ทำแบบนั้นเพราะมันจะจะทำให้ฟองแชมเปญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”

“ความรู้ใหม่นะเนี่ย”

“ยินดีที่ทำให้นายฉลาดขึ้น!” ผมประชดและฉีกยิ้มใส่อีกฝ่าย แล้วลุกขึ้นไปฉวยเอาขวดแชมเปญจากมือเขาก่อนจะยัดมันลงถังน้ำแข็ง เชิดหน้าและเบ้ปากใส่คนที่กำลังยิ้มยียวนอยู่ตรงหน้า!

ยิ้มบ้ายิ้มบออะไรกัน

“กลิ่นบานาน่ามิลค์จากคุณหอมมันมากเลยรู้มั้ย..."

"เลิกคิดเรื่องบ้า ๆ นะไม่งั้นฉันจะจัดการนายแน่ ๆ ไม่ต้องสงสัย!"

เมื่อได้ยินแบบนั้น บรูคก็ไม่ทำอะไรนอกจากระบายยิ้มงี่เง่าส่งมาให้ผม และสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกคือ ขายหน้า... จะบอกว่าผมรู้ว่าเขาขอบกลิ่นนี้ก็ไม่เชิง...และผมไม่ได้พยายามจะมีกลิ่นตัวบานาน่ามิลค์แบบที่เขาพูดหรอกนะ!

“นี่ฟังนะ กลิ่นโลชั่นนี่มันก็แค่...ฉันทาเป็นประจำ ไม่ได้เอากลิ่นที่นายชอบมาท่า อย่ามาเพ้อเจ้อโอเค๊?”

“แต่ผมไม่เคยได้กลิ่นนี้เท่านั้นเอง”

“นั่นเพราะกลิ่นนี้ทาเฉพาะวันเสาร์ตอนกลางคืน!!” ผมทำทีอ้างไปเรื่อยก่อนจะเดินไปใกล้เขาและคีบนิ้วมือกับปลายเสื้อยืดสีขาวลายการ์ตูนด้วยนิ้วสองข้าง “นี่อะไรกัน ชุดนอนนายเหรอ?”

“ปกติไม่ใช่ ทุกวันผมไม่ใส่เสื้อผ้านอน แต่ถ้ามาด้วยชุดแบบนั้น คุณอาจจะทำใจไม่ได้”

“นายหยุดพูดจาโรคจิตสักนาทีได้มั้ย ให้ตายเหอะ!” ผมชกไปที่ไหล่อีกฝ่ายและเดินกลับไปยังเตียงนอน “ว่าแต่นายจัดชุดอาหารที่ทานคู่กับแชมเปญมาแล้วใช่มั้ย มันจะต้องเป็นอาหารรสไม่จัดเช่น ชีส ขนมปังรวมถึงคาเนเป้”

“เรียบร้อยครับ พ่อบ้านหยางจัดมาให้”

“เขาน่าจะมานั่งตรงนี้มากกว่านาย!”

เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านหยางรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าบรูคด้วยซ้ำ

“งั้นผมจะไปตามเขามาให้”

“ตลกหรือไง ปาร์คเกอร์!”

ผู้ชายคนนี้มันยียวนที่สุด บรูคยิ้มมองผมในขณะที่ผมขยับออกห่างไปจากปลายเตียง เขาอาจจะสังเกตเห็นขาสวย ๆ ของผมโผล่พ้นกางเกงขาสั้นสีดำตัวจิ๋ว

ไม่ปลอดภัยสักนิด!

“นายจะดื่มด้วยกันมั้ยล่ะ” ผมทำเป็นถามเรื่องอื่นเพื่อเลี่ยงสายตาที่เขากำลังจ้องมองมา ด้วยตาที่ทำให้ผมรู้สึกกลัว แต่มันเป็นความกลัวที่ไม่ได้ชวนขนลุก มันเป็นความกลัวที่อธิบายไม่ถูก...

“นี่คุณกำลังชวนผม?”

"แล้วทำไม นายเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที มันก็แค่มารยาท เข้าใจมั้ย!”

ผมหยิบแก้วแชมเปญจากชุดแก้วที่อยู่ตรงปลายเตียง ซึ่งถูกจัดวางไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงหน้าของผมเป็นทีวีขนาดใหญ่ และด้านหน้าถัดจากทีวีคือพื้นที่ว่าง ๆ ก่อนจะตามด้วยโต๊ะไม่ขนาดความยาวเท่ากับปลายเตียงของผม

“ไม่คิดว่าคุณจะมีน้ำใจน่ะสิ”

“เชื่อเถอะนะว่าฉันก็ไม่ได้อยากมี แต่ไหน ๆ ชีวิตฉันก็เฮงซวยไปหมดแล้ว จะนั่งดื่มแชมเปญกับคนขับรถในห้องนอนตัวเองก็ไม่ทำให้ชีวิตแย่ไปมากกว่านี้หรอก”

“เหมือนหนังโป๊ที่ดูในเว็บออนไลน์งั้นสิ”

“นายมันเป็นคนประเภทไหนกัน คนทุเรศตลอดเวลางั้นสิ”

บรูคหัวเราะทิ้งท้ายก่อนจะเดินเข้ามารินแชมเปญให้ผม ผมเผลอกัดริมฝีปากตอนที่ได้กลิ่นความเป็นอัลฟ่าจากเขา และนี่ออกจะเซ็กซี่ไปหน่อยนะ!

“เราจะเปิดหนังเลยมั้ย?”

“ฉันไม่ดูหนังโป๊!” ผมหันไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย

“คุณหนูครับ คุณคิดอะไรอยู่ ผมหมายถึงนี่ต่างหาก”บรูคยิ้มมุมปากและชี้นิ้วไปทางกองดีวีดีที่เป็นคนหอบขึ้นมาด้วย บรูคเดินกลับไปยังบริเวณหน้าทีวี “ผมหมายถึงว่าคืนนี้เราจะดูหนังเรื่องอะไร แต่ถ้าคุณคิดว่าเป็นหนังพวกนั้นแล้วอยากดูก็ได้นะ”

“ฉันเปล่านะ จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็นายมันหื่นขนาดนั้น”

“ผมเหรอ ไม่ยักรู้นะว่าเป็นแบบเดียวกับคุณ” บรูคหันมายักคิ้วกวนประสาทใส่ผม ผมหยิบหมอนมาปาใส่อีกฝ่าย และโชคดีครั้งที่สองที่เขารับมันไว้ทัน

“นายนั่นแหละหื่น พนันได้ว่าแค่เห็นขาอ่อนของฉัน นายก็แข็งตั้งขึ้นมาแล้ว”

“เหมือนตอนที่ผมกับคุณจูบกันที่โรงจอดรถ”

“พรืด!! แค่ก ๆ พระเจ้า...นะ...นายพูด แค่ก ๆ” ผมถึงกับสำลักแชมเปญเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่กระดากอายสักนิด คนน่าด้าน!! "พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย"

“ถึงกับสำลักเลยเหรอ ผมแค่แซ็วเล่นเองนะ เอานี่ผ้า”

ผมกระชากผ้าเช็ดปากจากมืออีกฝ่ายก่อนจะหันไปส่งสายตาขุ่นเคืองให้แก่เขา มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องน่าอายนี้มาล้อเลียนผม ดูก็รู้ว่าเขาหวังให้ผมอับอาย

“นายมันคนโรคจิตและวิปริตที่สุดเลยรู้มั้ย!"

“ถือว่าเป็นคำชมนะ” เขาว่าและชี้นิ้วไปทางด้านหลัง “สรุปคุณจะดูเรื่องไหน บอกได้นะผมเอาหนังมาเยอะแยะเลย”

“นายจะหอบมันมาทำไมกัน ฉันใช้ลิงก์กับโทรศัพท์ก็ดูได้ทุกอย่างบนโลกได้แล้ว”

นี่ยังมีคนดูหนังแผ่นอีกเหรอ เชื่อเขาเลย ยุคสมัยแบบนี้แค่กดคลิกเข้าเว็บดูหนังออนไลน์ที่จ่ายค่าสมาชิกรายเดือนเราก็ได้ดูหนังที่ยากดูแบบไม่จำกัด แถมยังไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเปลี่ยนแผ่นอีกด้วย

“ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจรสชาติของการดูหนังที่แท้จริงในคืนวันหยุด”

“รสชาติ? เกิดอยากจะละเอียดอ่อนไหวกับการดูหนังขึ้นมางั้นสิ”

“ไม่หรอก มันก็แค่เป็นสิ่งที่ให้อารมณ์ที่แตกต่าง” บรูคว่าพร้อมกับหยิบแก้วของผมไปรินแชมเปญให้ก่อนจะส่งมันคืนให้กับผม “หนังที่มีเสน่ห์อาจจะมาจากหนังยุคเก่าที่ไม่สามารถหาดูได้แบบในตอนนี้”

“เหรอ...”

ผมเหลือบมองไปทางเขา และดูเหมือนว่าสายตาสีฟ้าคู่นั้นกำลังโลมเลียผมอยู่ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ เพราะขาอ่อนของผมน่ะน่ามองที่สุดเลย ผมภูมิใจจะตายไป ...

เราจะต้องดูแลผิวพรรณเราเป็นอย่างดี รวมถึงการแว็กขนขาด้วย ผมแว็กขนทุกสัปดาห์ พร้อมทั้งบำรุงด้วยโลชั่นและอาหารเสริมหลายชนิด รวมถึงการรับยาฮอร์โมนบางตัวที่จะทำให้ผมดูมีน้ำมีนวลขึ้น เพราะโอเมก้าเพศชายบางคนก็ยังมีฮอร์โมนของเพศชายอยู่เยอะกว่าเพศหญิง แม้ว่าพวกเราจะมีมดลูกที่ฝังอยู่ด้านในและสามารถตั้งครรภ์ได้ในช่วงฮีทก็ตาม

“มองอะไร?”

“ดูเหมือนคุณจะช่างสังเกตขึ้นนะ หรือว่าเพราะผมดูเย้ายวนใจคุณ”

“เหอะ ปาร์คเกอร์อย่างนายน่ะ ไม่ใกล้เคียงคำนั้นหรอก และคำว่าเย้ายวนน่ะมันเหมาะกับฉันมากกว่า” ผมว่าและเชิดหน้าขึ้น

“คุณอาจจะไม่รู้นะคุณหนู แต่คุณทำแบบนั้นกับผมไม่สำเร็จหรอก”

“ฉันทำได้สำเร็จมาแล้วรอบหนึ่ง”

ผมเชื่อว่ามันจะมีครั้งต่อไป อำนาจของราชินีไม่ใช่แค่ทำตัวให้โดดเด่นและสวย แต่ผมมักจะใช้ความงามเป็นอำนาจในการต่อรองและล่อลวงคนอื่นเสมอ...

“งั้นคุณก็ลองอีกรอบสิ”

“นายกำลังท้าทายฉัน อย่าคิดว่าฉันจะโง่เชื่อนายนะ” ผมว่าในขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงยิ้มมุมปากตอนที่ผมกระดกแชมเปญหมดแล้ว “ไม่ว่านาจะพยายามมอมฉันด้วยแชมเปญนี้แค่ไหน...แต่มันไม่สำเร็จหรอก เอามาอีกแก้วสิ!”

“ฮ่า ๆ เกือบแล้วเชียว”

บรูคจัดการรินแชมเปญให้กับผม ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับหนังในแผ่นซีดีที่เขาเก็บไว้อย่างดี ดูเหมือนมันจะเป็นของสะสมของเขาเลยนะนั่น

“ผมว่าเรื่องนี้ก็โอเคนะ คุณเคยดูมั้ย About Time”

“หนังรักตลกที่สร้างเรื่องการย้อนเวลาไปแก้ไขตัวเองในอดีตกับคนรัก คิดว่าฉันไม่เคยดูหนังน้ำเน่านี้หรือไง”

ผมพอจะจำพล็อตของมันได้คร่าว ๆ แต่เพราะไม่ประทับใจเท่าไหร่ สำหรับหลายคนอาจจะชอบ แต่ผมไม่ใช่คนที่ชื่นชอบหนังรักโรแมนติก มันก็แค่ความเพ้อฝันในวัยรุ่นเท่านั้น

“งั้นคุณให้กี่คะแนนสำหรับเรื่องนี้”

“ฉัน? สองก็พอแล้ว” ผมว่า

“ทำไมล่ะ มันออกจะยอดเยี่ยม”

“อย่างหนึ่งที่ทั้งนายและคนคลั่งหนังรักย้อนอดีตควรรู้ คือเราไม่มีทางย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้” ผมว่าและโคลงแก้วแชมเปญในมือ ขณะที่สายตาสื่อสารกับอีกฝ่าย “นั่นเพราะอะไรรู้มั้ย เพราะให้เราย้อนเวลากลับไป มนุษย์ก็เลือกที่จะทำแบบเดิม คนเราควรทิ้งอดีตเพราะแบบนั้นฉันถึงได้มองว่าหนังรักพวกนี้งี่เง่า”

“คุณเหมือนแม่ผมเลย” หลังจากที่บรูคเงียบไปชั่วอึดใจ เขาก็พูดขึ้น

“ฉันเหรอ...เหมือนตรงไหน”

“แม่ของผมไม่เชื่อเรื่องความรักจากหนังโรแมนติก เวลาที่พ่อกับแม่ดูหนังในเย็นวันศุกร์ พวกเขาจะถกเถียงกันในเรื่องของความรักที่ดูไม่สมเหตุสมผลในหนังรักโรแมนติกสักเรื่อง...” บรูคนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นด้านล่าง และใช้ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นสบตากับผมที่ตั้งใจฟังเขาพูด “แม่บอกว่าความรักเหล่านั้นเป็นเพียงความฝันที่ไม่ควรเชื่อมั่น เพราะมันทำให้เราคาดหวังกับความรักมากเกินไป”

“แม่นายคงเป็นมนุษย์ที่น่าศรัทธามากคนหนึ่ง ถ้าเธอเชื่อแบบที่ฉันเชื่อ”

“อันที่จริงแล้ว เขาเป็นโอเมก้าเพศชายน่ะ...”

สิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมเผลอทำหน้าตกใจเล็กน้อย “งั้นเหรอ...ฉันพึ่งเคยได้ยินนะเนี่ย ปกติสังคมเราไม่ค่อยให้โอเมก้ากับอัลฟ่าเพศเดียวกันแต่งงาน แต่ในครอบครัวเราก็มีอาเลียมกับอาเดเมี่ยน แล้วก็ลุงของฉันอีกคนที่นายคงไม่รู้จักน่ะนะ”

“อ๋อ ใช่ เลียม แก๊บบี้ แฮร์ริงตัน”

“จริงสิ ฉันว่าจะถามนายอยู่พอดี” ผมเท้าคางกับตักแล้วหันเหความสนใจไปทางคนด้านข้าง “นายสนิทกับอาเลียมแค่ไหนกัน มาวันแรกฉันเห็นนายดูเหมือนจะสมิทกันมานาน”

“อันที่จริงจะใช้คำว่าผมสนิทกับเขาก็คงไม่เหมาะ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้แย้งอะไร

“พ่อของผมเป็นลูกน้องเก่าของเขาเท่านั้นแหละ พ่อทำงานให้คุณเลียมมาตั้งแต่ก่อนที่พ่อจะแต่งงานกับแม่ พวกเขาต่างสนิทสนมกัน และผมก็เจอคุณเลียมบ่อย ๆ เวลาที่เขามาหาพ่อที่บ้าน”

“เพราะแบบนี้เองสินะ เขาถึงได้กำชับกับพ่อของฉันดูแลนายอย่างดี”

ชิ! เพราะสนิทกันถึงขนาดนี้เลยได้ฝากฝังบรูคไว้กับพ่อของผม ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนโปรดของพ่อไปแล้วด้วย ผมว่าจะหาเวลาว่าง ๆ ไปเยี่ยมอาเลียมและส่งช่อดอกคาเนชั่นที่เขาไม่ชอบไปให้เขาด้วย

เขาจะได้รู้ว่าเวลาเราอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบน่ะมันเป็นยังไง!

“คุณว่าเรื่อง The Notebook เป็นไง”

“ฉันชอบพระเอกเรื่องนี้ แต่ไม่เอาด้วยหรอก หนังมันน้ำเน่าในคืนวันเสาร์มันคงจะดูเศร้าเกินไปหน่อย...”

“คุณคงไม่ชอบความโรแมนติกของโนอาร์และเอลลี่ แต่ผมเสพติดหนังรักมาก ๆ เลยแหละ”

“ฉันก็ชอบหนังโรแมนติกนะ แต่ขอทีเถอะกับเรื่องรักต่างชนชั้นเนี่ยนะ มันฟังดูเป็นไปไม่ได้สุด ๆ ” ผมยักไหล่ใส่กับหนังรักที่เขาเสนอ “ฉันไม่มีวันรักคนที่ต่างชนชั้นกับฉัน”

“อ๋อนั่นสิ...”

และความเงียบก็เกิดขึ้น ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าบรูคมีท่าทางนิ่งขรึมขึ้นหลังจากที่ประโยคนั้นจบลง ผมไม่ชอบให้เขาเงียบแบบนี้เลย สู้ให้เขาพูดเรื่องไร้สาระยังจะดีเสียกว่า...

“ว่าแต่นายล่ะ คิดยังไงกับเรื่องรักต่างชนชั้นล่ะ”

“ผมเหรอ?” บรูคเหลือบตาขึ้นข้างบนเหมือนกำลังใช้ความคิดกับคำถามอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าผมรักใครเรื่องพวกนั้นก็ไม่สำคัญหรอก ถ้ารักใครมากพอเราจะมองข้ามบทบาทที่เขาเป็น และรักในสิ่งที่เป็นตัวตนของเขา”

“ฮ่า ๆ โรแมนติกจังนะบรูค ปาร์คเกอร์ พนันได้ว่าคงมีสาว ๆ หลงคารมนายแน่ ๆ”

บรูคทำท่าจะพูดอะไรแต่แล้วผมก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น “แล้วนายจะตกหลุมรักคนแบบไหน”

“ผมเหรอ? น่าจะเป็นใครสักคนที่ผมชอบมองเวลาเขากินอาหารอร่อย ๆ ใครสักคนที่ร้องเพลงเพี้ยนแค่ไหนแต่ผมก็ยังยิ้มให้กับเขา ใครสักคนที่แม้ว่าเขาจะทำตัวแย่แค่ไหนผมก็จะไม่ปล่อยมือของเขา คนที่ดูสนุกเหมือนกับหนังเรื่องโปรด คนที่เหมือนกับแอร์เย็นฉ่ำในฤดูร้อนอันอบอ้าว”

เขานิยามความรักแบบนั้นเองสินะ...

“ว่าแต่คุณล่ะ คุณ...ตกหลุมรักคนแบบไหน”

บรูคยิ้มกับคำถามนั้น ซึ่งดูเหมือนว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของบรูคกำลังทำให้ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้น และดูเหมือนว่าดวงตาสีฟ้าขุ่นของเขามีอิทธิพลต่อผมเหลือเกิน

ไม่เคยมีใครตั้งคำถามแบบนี้กับผมเลย เอาจริง ๆ ผมไม่เคยตกหลุมรักใครแบบที่บรูคพูดหรอก นิยามความรักของผมเหรอ คงจะขอแค่เป็นใครสักคนที่คล้ายกับเจ้าชาย และผมก็รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่พวกนั้นจากใครเลย

มันเป็นเรื่องยากที่เราจะตกหลุมรักใครด้วยความรู้สึกลึกซึ้งใช่มั้ยล่ะ...

“สำหรับฉันใครก็ได้ที่เขารักและเทิดทูนฉันเหมือนกับเจ้าชาย ยกย่องให้เกียรติฉันราวกับฉันคือสิ่งเดียวในชีวิตของเขาที่มีค่า ฉันไม่ได้ต้องการลูกเศรษฐีที่ไหนและไม่ต้องการคนร่ำรวยแต่ไม่เข้าใจคำว่ารัก...”

สำหรับผมรักมันจะต้องเป็นอะไรที่มีพลัง...สัมผัสได้ว่ามันรุนแรงและมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด

“สำหรับใครจะมองความรักเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันจะเป็นคนเดียวบนโลกที่ไม่มีวันรักใครมากกว่าตัวเอง เห็นได้ชัดว่าการรักคนอื่นทำให้ชีวิตของเราพังพินาศ”

“ก็ถูกของคุณ”

“ฉัน...ฉัน...ขอเลือกหนังเองแล้วกัน” ผมว่าและลุกขึ้นเดินไปหาบรูค เขาเขยิบเพื่อเปิดทางให้ผมนั่งลงข้าง ๆ เขา

“10 things i hate about you”

“นี่นายด่าฉันเหรอ” ผมถามเสียงฉงน

“ไม่ใช่ ผมหมายถึงชื่อหนังน่ะครับคุณหนู” บรูคกลอกตาก่อนจะโชว์แผ่นหนังที่ถูกเก็บอย่างดี ราวกับแผ่นใหม่ ผมได้ยินว่ามันคือของสะสมของเขา

ดูท่าหมอนี่จะเป็นแฟนคอหนังโรแมนติก ผมนั่งขัดสมาธิและเอาตุ๊กตาเอลโม่สีแดงตัวใหญ่มาปิดขาตัวเองไว้ เผื่อเขามองผมด้วยสายหื่นกามผมจะได้ปลอดภัย

“ดูนี่สิ หนังพวกนี้นี่มันอะไรเนี่ย”

“หนังสนุก ๆ สำหรับคืนวันหยุดไง”

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตนายน่าเบื่อคือการที่นายเสพติดหนังรักพวกนี้” ผมยกแผ่นDVDขึ้นก่อนจะเบ้ปากใส่ แต่บรูคดันยิ้มโดยไม่ได้โต้เถียงอะไร “นายเป็นคอหนังโรแมนติกหรือไงนะ...แต่ละเรื่องฉันเห็นแล้วจะอ้วกออกมาเป็นสารพัดของกุ๊กกิ๊ก!”

“อันที่จริง ผมไม่มีข้อจำกัดเรื่องหนังเท่าไหร่หรอกครับ ผมชอบเรื่องไหนก็เก็บสะสมไว้”

“แล้วเรื่องที่นายเปิดมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร? ชีวิตรักวัยรุ่นในไฮสคูลงั้นสิ”

ขอเดาว่าน่าจะใช่ เพราะแค่จังหวะดนตรีตอนเปิดเรื่องที่มาพร้อมกับฉากของเด็กสาวที่เดินวุ่นวายไปในรั้วโรงเรียนก็ทำให้รู้ว่าคงจะต้องเป็นหนังแนวนั้น

“จะว่างั้นก็ไม่เชิง แต่มันเป็นภาพยนตร์รอมคอมที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ William Shakespeare เรื่อง The Taming of the Shrew โดยผู้กำกับ Gil Junger”

“ฉันไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น” ผมถอนหายใจและเอื้อมมือหยิบแก้วแชมเปญที่ดื่มกี่ทีก็ชื่นใจ ตลกชะมัดเลยเหมือนพวกเราสองคนกำลังปาร์ตี้ชุดนอนในคืนวันเสาร์

แต่จะว่าไปการอยู่กับคนช่างพูดแบบบรูคก็ไม่ได้เลงร้ายเสียทีเดียว มันไม่ได้แปลว่าดีหรอกนะ!

“ถ้าคุณดูคุณอาจจะชอบ”

“งั้นเหรอ” ผมหยิบแผ่นหนังเรื่องนั้นขึ้นมาพลิกไปพลิกมา จะว่าไปแล้วมันก็ดูเป็นสูตรหนังรักธรรมดา ๆ เลยนะ ไม่น่าจะมีอะไรเป็นพิเศษหรอก

“อีกอย่างนะมันตัวละครที่คล้ายกับคุณด้วยนะ แต่เธอแค่ไม่ได้อาละวาดชกหน้าคนไปทั่วแบบคุณ” บรูคส่งยิ้มกว้างมาทางผม และนั่นทำให้สังเกตเห็นว่าผู้ชายคนนี้มีรักยิ้มน่ามองขนาดนี้...

ผมต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ

“คล้ายยังไง ฉันมีคนเดียวบนโลก ไม่มีใครเหมือนหรอก”

“แค่เปรียบเปรยเท่านั้นเอง” บรูคว่าและหยิบหมอนขึ้นมากอด

เราจัดที่นอนให้หันไปคนละทางในแนวนอน โดยมีหมอนข้างกัดระหว่างเรา ผมอยู่หน้าเตียงนอนขนาดใหญ่ ในขณะที่บรูคนั่งอยู่ด้านข้างจอทีวี

“ไหนลองบอกมาสิว่าทำไมเราถึงต้องดูเรื่อง10 Things I Hate About You นายช่วยพรีเซนต์ให้ฟังทีสิ” ผมยืดตัวขึ้นและทำทีเป็นสนใจหน้าจอแก้วมากกว่าจะมองหน้าอีกฝ่าย

ทำไมเขาทำให้ผมรู้สึกว่าดวงตาสีฟ้าของเขา มันเต็มไปด้วยความน่าสนใจ มันดึงดูเสียจนผมแทบไม่มีสมาธิเลย!

“มันก็หนังรักทั่วไปน่ะนะ เริ่มต้นที่คาเมรอนหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่เพิ่งย้ายมาใหม่และเขาเผอิญไปตกหลุมรักสาวในฝันอย่าง เบียเอก้า เด็กสาวที่กำลังค้นหาความหมายคำว่า "รัก" แต่โชคร้ายที่เธอโดนกฎคุณพ่อขี้หวงที่ว่าถ้าเคทพี่สาวของเธอไม่ยอมเดท เธอก็ห้ามเดท”

“ฟังดู...งี่เง่าชะมัด”

“เพราะความงี่เง่าของบางตัวละครที่ทำให้หนังดำเนินเรื่องไปได้ ผมว่าถ้าพ่อของเขาปล่อยลูกสาวเดทง่าย ๆ นั่นก็ไม่มีเรื่องตื่นเต้นให้กับคนดู”

“เป็นนักวิเคราะห์หนังหรือไงนะ” ผมหัวเราะก่อนที่บรูคจะลุกขึ้นและถือถังป๊อปคอร์นมานั่งลงด้านข้างผม

“เดี๋ยวนะปาร์คเกอร์...ใครอนุญาตให้นายมานั่งตรงนี้”

“ผมแค่จะแบ่งป๊อปคอร์นให้เท่านั้นเอง” เขายิ้มทะเล้นและยื่นถังส่งมาให้ผม

“นายนี่มันเจ้าเล่ห์ชะมัด”

“เล่าต่อนะ” เขาเขี้ยวขนมและพูดต่ออย่างหน้าตาเฉย แต่ที่น่าแปลกก็คือผมยอมให้เขาทำแบบนั้นได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด ปกติแล้วผมค่อนข้างจริงจังกับความเป็นส่วนตัวเลยทีเดียว

“เคทคือคนนี้”

“ถ้านี่คือการสปอยล์หนังให้ฟัง งั้นก็อย่าเปิดมันเลย” ผมประชดและยอมเอื้อมมือไปหยิบป๊อปคอร์นที่บรูควางไว้อยู่ด้านข้างกั้นกลางระหว่างเรา

“คิดว่าคุณจะให้เล่าให้ฟังทั้งหมดเสียอีก”

“เอาเป็นว่าฉันจะตั้งใจดูก็แล้วกัน!”

เขาพยักหน้ารับ และหลังจากนั้นพวกเราก็ทิ้งสิ่งรอบข้างและใช้สมาธิไปกับการนั่งดูหนังรักวัยรุ่นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ อันที่จริงผมแทบไม่เคยได้ใช้เวลากับการนั่งดูหนังอย่างจริงจังเลย นอกเสียจากเวลาที่จะต้องไปดูที่โรง แต่นาน ๆ ครั้งกว่าผมจะไป

ผมไม่ค่อยชอบดูหนังเท่าไหร่ถ้าเทียบกับการไปขี่ม้า ตกปลาและว่ายน้ำนั่นยังเป็นสิ่งที่ผมทำบ่อยกว่า และกิจกรรมดูหนังแทบจะเป็นอย่างสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ ทั้งผมและบรูคในตอนนี้เราต่างก็ตั้งใจดูหนัง มันก็มีบ้างที่ผมถามเขาเล็กน้อยในตอนที่ตัวละครหนึ่งโผล่เข้ามาในซีนแต่ผมลืมว่าเขามีบทบาทอะไรในตอนนั้น

-----------------------------

์NEXT (2)
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「ix 」 Plan(1-2) : Jul 14,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 14-07-2019 22:10:18
(2)

หนึ่งชั่วโมงกับหนังเรื่อง 10 Things I Hate About You จะว่าไปมันก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเลย และออกจะฉีกกฎหนังรักที่ดูท่าจะไม่สมหวังของคู่น้องสาวเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมรู้ก็คือเคทพี่สาวของเบียเอก้าเป็นพวกผู้หญิงที่ไม่เชื่อมั่นในความรักเท่าไหร่ เธอไม่มีแฟน และก็พยายามห้ามตัวเองให้มี ถึงจะอย่างงั้นแต่ความที่เคทเป็นตัวของตัวเองและไม่ชอบทำตามใคร เคทจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมบรูคถึงบอกว่าเธอคล้ายกับผม

เพราะเธอมีความคิดเป็นของตัวเองแบบสุดโต่ง และนั่นก็ออกจะขวางโลกไปด้วยซ้ำ และเรื่องนี้แหละที่ผมไม่คิดว่าจะเหมือนผม ก็อะไรล่ะ...จะบอกว่าผมเนี่ยนะขวางโลก เหอะบ้าไปแล้ว...

เอาเป็นว่าเคทเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยกย่องให้คุณค่ากับผู้หญิงในเรื่องของสติปัญญา และผมชอบเธอนะ

“หนังจบแล้ว...แล้วจะทำอะไรกันต่อ นี่คืนวันเสาร์ของฉันจะต้องมาติดแหง็กอยู่กับหนังรักพวกนี้จริงเหรอ” ผมถอนหายใจและลูบท้ายทอยตัวเอง

“งั้นจะคุณอยากทำอะไรล่ะ ผมตามใจคุณ”

“ฉันเหรอ ถ้าถามฉันนะแน่นอนว่าคำตอบคงเป็น...” ผมเม้มริมฝีปาก ใช้ปลายนิ้วแตะที่คางและเหลือบตาขึ้นข้างบนอย่างใช้ความคิด “การออกไปที่ไหนสักที ไม่ต้องปาร์ตี้ก็ได้ แต่ฉันไม่อยากนอนตายไปกับหนังรักวัยรุ่นตั้งแต่สี่ทุ่ม ทั้งที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด สามารถตื่นสายได้ ชีวิตวัยรุ่นน่ะนายคงเข้าใจฉันนะ...”

“งั้น...ถ้าผมเสนอว่าให้ทำสิ่งที่ชอบ อย่างงั้นคุณคิดว่ามันฟังดูเป็นไง”

“ถ้าถามฉันตอนนี้ ...” ผมไม่ลังเลเลยที่จะบอก “อะไรก็ตามที่ดีกว่าแชมเปญและห้องสี่เหลี่ยม ฉันยอมทั้งนั้น”

“ผมพาคุณออกจากห้องนี้ก็ได้ แต่สัญญามั้ยว่าคุณจะเป็นเด็กดี”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย แสดงท่าทางดูแคลนเขา ก็แน่นอนล่ะว่าคนอย่างบรูค ปาร์คเกอร์ ก็ไม่มีสิทธิ์มาต่อรองหรือยื่นข้อเสนอกับคนแบบผม แต่ว่าก็เอาเถอะตอนนี้ขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หนังรักกับแชมเปญและถังป๊อปคอร์นในถังเห่ย ๆ นี่!

“พูดมาเลยดีกว่าว่านายมีแผนอะไร?”

“แน่นอนผมว่าผมต้องมีและมันก็ดีมากด้วย”

ชักอยากรู้แล้วสิว่าแผนที่ว่าของบรูคมันคืออะไร







 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

Talk

น้องมาแล้วจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ตอนนี้คงจะกำลังขยับเข้าไปใกล้ ๆ กันช้า ๆ ใครรอน้องกินมิสเตอร์ปาร์คเกอร์ก็รอได้เลย ได้กินกันจุก ๆ แน่นอนจ้าาาาาาาาาาา และพอกินกันแล้วก็จะกินกันยาว ๆ ถี่ ๆ น้องมันวายร้าย

ป.ล มีคำผิดขออภัยนะคะ

หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「ix 」 Plan(1-2) : Jul 14,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 14-07-2019 23:19:48
ยัยคนฟอร์มจัด ซึนให้ตลอดละ
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว 「ix 」 Plan(1-2) : Jul 14,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-07-2019 13:10:06
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅹ 」 love (1) : Jul 17,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 17-07-2019 14:22:45
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/07/17/KcdGwg.jpg) (https://www.picz.in.th/image/KcdGwg)

「 ⅹ 」 love (1)

(V.) feel a deep romantic or sexual attachment to (someone) .



ผมกับบรูคยืนอยู่ที่หน้าบาร์ที่มีชื่อเห่ย ๆ ว่า Mandy villa Bar มันเป็นบาร์ที่ค่อนข้างมีอายุ ตั้งในบนถนนสายที่ 11 ตัดกับถนนเส้นหลัก ที่นี่น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับชนชั้นเกรด D ไม่ต้องมองว่าผมเหยียดหยามฐานะใคร เพราะคนในสังคมผมไม่เคยมีใครเข้าผับแถวถนนที่11กันหรอก

แต่จะให้ว่ากันตามตรง ที่นี่มันไม่ได้เลวร้าย แบบนั้น อาจจะดูเก่าไปหน่อยแต่โดยรวมมันก็ไม่ได้แย่ แม้ว่าป้ายร้านจะจางและบางตัวอักษรที่ทำจากไม้จะหักไปบ้างแล้วก็เถอะ เชื่อเถอะว่าถ้าเป็นปกติผมจะไม่มีวันย่างกายมาที่นี่เป็นอันขาด

“ที่นี่เหรอ?” ผมทำหน้าไม่เอาอากาศในขณะที่ชี้นิ้วไปยังบาร์ในขณะที่เราต่อแถวเพื่อเข้าไปในร้าน

“ใช่ครับที่นี่แหละ ไม่เลวใช่มั้ย”

“ฉันน่าจะรู้ว่าไม่ควรเชื่ออะไรกับผู้ชายที่ใส่เสื้อยืดลายสตาร์วอร์ออกมาเที่ยวกลางคืน!”

ผมร้องอย่างหงุดหงิดในขณะที่อีกฝ่ายกับส่งยิ้มขบขันชอบใจมาให้ผม ให้ตายเหอะ คิดปิดชะมัดที่ให้เขาเลือกร้าน ผมไม่ควรเชื่อคำว่า ‘สุดพิเศษ’ จากปากผู้ชายอย่างบรูค

“นี่ลายสตอร์มทรูปเปอร์เลยนะ รุ่นลิมิเต็ท”

“จะรุ่นบ้าอะไรก็ช่างเถอะ!” ผมยกมือขึ้นชกแขนเขา “ฉันจะกลับ ไม่เอาแล้ว!”

ผมไม่มีทางจะมาใช้ชีวิตเป็นโอเมก้าธรรมดาแบบพวกเขา คนอย่างผมจะได้รับการต้อนรับแบบPrivacyเท่านั้น และจะจัดอยู่ในโซน VIP (Very important person) ที่ไม่ต้องมายืนต่อคิวรอเข้าร้านแบบนี้ บ้าชะมัด!

ตระกูลแคปรินคอร์นถือว่าเป็นผู้วิเศษสำหรับเมืองนี้นะ

“เฮ!! ใจเย็นก่อนสิ คุณจะไปไหน เรามาถึงร้านแล้วนะ จะได้เข้าไปแล้ว แม้ว่าร้านจะไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีเข้า แต่คุณอย่าห่วงเลย ผมรู้จักกับคนในร้าน”

“คนอย่างสนใจด้วยหรือไงเรื่องพวกนี้ ฟังไว้นะ นามสกุลฉันใหญ่พอที่จะสั่งปิดบาร์นี้ได้ด้วยซ้ำ และที่ฉันไม่อยากอยู่เพราะร้านมัน...” ผมถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา "มันไม่เอาไหนสุด ๆ!!"

การให้บารอน แคปรินคอร์นมายืนต่อแถวอยู่หน้าร้านที่ผุ ๆ พัง ๆ แบบนี้มันไม่ให้เกียรติกันสุด ๆ

ผมขยับเข้าใกล้บรูคตอนที่คนเมาเดินเสมาจะชนผม เขาเอามือกันผมไว้ก่อนจะโอบหัวไหล่ของผม ยอมรับว่าตัวเองแอบคิดผิดหน่อย ๆ ที่ให้บรูคเป็นฝ่ายเลือกร้าน ทั้งระบบการรักษาความปลอดภัยและบริการก็ถือว่าไม่ดีเลยสักนิด

“ไม่เอาสิคุณ ร้านนี้สนุกที่สุดในเมืองนี้เลยมั้ง แต่มันอาจจะแปลกตาคุณไปบ้าง ผมรับประกันว่ามันจะทำให้คุณจะสนุกแบบที่ไม่เคยได้เจอมาก่อนในชีวิต...”

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำให้เสียบรรยากาศหรอกนะ” ผมขยับไปกระซิบอีกฝ่าย “แต่นายคงเสียสติแล้วที่คิดว่าฉันจะสนุกกับบาร์เน่า ๆ ที่กำลังจะเจ๊งอยู่รอมร่อ...”

“พูดอะไรอย่างงั้นเล่า ที่นี่เปิดมาตั้งแต่พ่อผมยังเป็นหนุ่ม ตอนนี้ผมอายุจะสามสิบแล้วเขาก็ยังมีคนรอต่อคิวเข้าทุกวัน”

“งั้นเหรอ น่าประหลาดใจมาก” ผมเบ้ปากกับประโยคนั้นของเขา

อันที่จริงจะปฏิเสธว่ามันไม่ดีก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยผมก็ยังเห็นแม่สาวผมบลอนด์ที่แต่งตัวมีรสนิยมมาที่นี่ แม้ว่าเธอจะไม่เหมาะกับบาร์เห่ย ๆ นี้เลยก็ตาม สาวผมบลอนด์สะบัดผมของเธอไปข้างหลังในขณะที่ชายตามองมาทางบรูค

เดี๋ยวก่อนนะถ้าหล่อนคิดว่าจะได้บรูค ปาร์คเกอร์กลับบ้านล่ะก็ หล่อนคิดผิด!!

“หนาวเหรอ?”

“อะไร...ใครหนาว?” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนที่เอาตัวไปสีข้างอีกฝ่าย หล่อนักรึไง!!

“ก็คุณมาเบียดผม”

“ไม่ได้เบียดและเห็นได้ชัดว่าคนอย่างฉันไม่เคยอยากอยู่ใกล้นายสักนิด ถ้าจะมีใครสักคนที่เบียดฉันคือนาย ปาร์คเกอร์!” ผมหันไปสะบัดเสียงใส่แต่ยังไม่ยอมขยับออกห่างเขา แต่ยังยืนสีข้างกับบรูคจนกว่ายัยผมบลอนด์นั่นจะเข้าใจว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์มาอ่อยคน (ขับรถ) ของผม!

“โอเค ๆ ผมเบียดคุณ...ถ้าคุณจะไม่อยากยอมรับความจริงน่ะนะ”

“ไม่ยอมรับบ้าอะไร นายนั่นแหละอยากเบียดฉันใจจะขาด เพราะฉันใส่ซีทรูมาใช่มั้ยล่ะ เลยอยากจะมาแนบเนื้อกับฉัน” ผมจงใจประชดประชัน แต่อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด

“นี่จะบอกอะไรให้นะ ผมเคยสัมผัสเนื้อหนังมังสาคุณมาหลายรอบแล้ว ถ้าพูดแบบไม่อายเลยคือต่อให้คุณแก้ผ้าตรงนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากนี้หรอก”

“บรูค ปาร์คเกอร์!!!”

“ผมล้อเล่นน่า...”

นายมากไปแล้วนะ!!

“มันต้องมีอะไรเปลี่ยนไปสิ” บรูคยิ้มมุมปาก ก่อนจะวางมือลงพาดบ่าของผมก่อนจะโน้มลงมากระซิบจนได้กลิ่นลมหายใจรสชาติมิ้นต์เย็น ๆ “อย่างน้อยก็ไอ้ที่อ่อนอยู่มันคงตื่นตัวซู่ซ่าเลยแหละ”

“อี๋!! น่าขยะแขยง ออกไปให้ห่าง ๆ เลยนะ”

ผมว่าและขยับออกห่างแต่พอเห็นว่ายัยผมบลอนด์นั่นยังมองไม่เลิก ผมก็เลยต้องจำใจขยับเข้ามาใกล้บรูคก่อนจะถลึงตาใส่หล่อนเพื่อแสดงให้รู้ว่านี่คือคน (ขับรถ) ของฉัน!!

“เอาล่ะเข้าไปได้แล้ว”

“แล้วเราจะนั่งกันสองคนเหรอ” ผมถามตอนที่บรูคดันหลังให้เดินเข้าในบาร์ที่มีชื่อเฉยที่สุดในสามเมืองนี้ พนันได้ว่าเมืองโบราณแบบอัลเวิลก็คงไม่มีชื่อบาร์เชยแบบนี้ ผมว่าเปลี่ยนเป็น Brandy ยังเข้าท่ากว่า

“ใช่ แต่อาจจะมีคนมาแวะเวียนทักทายผมอยู่บ่อย ๆ อย่ารำคาญไปล่ะ”



ผมและบรูคเดินเข้ามาภายในร้าน เขาเป็นฝ่ายเดินจูงมือนำผมเข้าไปยังโต๊ะที่ดูเหมือนจะมีคนจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นโต๊ะไม้ทรงกลม มีเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิงหลังสูง ๆ อยู่สี่ตัวและแก้วเบียร์ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงกลาง

ตั้งแต่บรูคก้าวขาเข้ามาในร้าน ผมแทบจำไม่ได้ว่าเขากล่าวทักทายใครไปบ้าง เขาพูดคำว่าสบายดีครับแบบไม่ขาดปาก ตั้งแต่การ์ดหน้าประตู คนตรวจบัตร บาร์เทนเดอร์และรวมไปถึงลูกค้าในร้านที่ลุกมาทักทายเขา

บรูคเหมือนเป็นคนดังของที่นี่...ที่ Mandy villa Bar เนี่ยแหละ

“ดูสิใครแวะมา บรูค ปาร์คเกอร์นี่เอง...หายหน้าหายตาไปเลยนะ กลับมาคราวนี้หล่ออย่างกับพระเอกแหนะ”

“ว้าววิล...พระเจ้า ไม่เจอคุณนานมากเหมือนกัน” บรูคร้องทักพร้อมกับกอดตอบผู้ชายตัวสูงที่มีอายุเกือบเท่าพ่อผมเลยมั้ง

ผู้ชายที่ชื่อวิลสูงและออกจะเจ้าเนื้อ เขาสวมหมวกคาวบอยและแต่งตัวเต็มยศราวกับเป็นนายอำเภอในหนังคาวบอยยุค 70 เขาดูให้อารมณ์เหมือนวู้ดดี้ในเรื่อง Toy story ยังอย่างงั้น

“เสียใจด้วยเรื่องนั้น...ชีวิตเราต้องไปข้างหน้า”

“ไม่ต้องพูดอะไรน้ำเน่าเลยนะ ผมไม่รู้สึกสักนิดสาบานได้” บรูคกล่าวหลังจากที่กอดทักทายกับมนุษย์คาวบอยคนนั้น ทั้งคู่ยืนคุยอะไรที่ผมไม่เข้าใจ และท่าทางตบบ่าเหมือนกำลังให้กำลังใจก็ยิ่งทำให้ผมสงสัย

“ฉันนึกว่าช้ำใจตายไปแล้วนะเนี่ย!”

“คนอย่างผมเนี่ยนะบิล? คุณคิดใหม่ได้เลย”

ผมยืนรออยู่เงียบ ๆ ด้านหลังระหว่างที่พวกเขาคุยกันในเรื่องที่ผมไม่รู้เรื่อง เมื่อเห็นว่าบรูคเอาแต่สนุกสนานกับการคุยเรื่องสัพเพเหระกับนายอำเภอคาวบอย ผมก็แอบหงุดหงิดนิดหน่อย

ปกติแค่ต้องรอพ่อยืนพูดคุยกับคนใหญ่คนโตในงานการกุศลผมก็อารมณ์เสียแล้ว นี่มันเรื่องอะไรต้องมาทนกับคนขับรถเนี่ย!!

“เฮ้...จะคุยอีกนานมั้ย!” ผมเขย่าแขนอีกฝ่าย เรายังจับมือกันอยู่นะ...เขาลืมผมไปแล้วหรือไง

“อ๋อ...โทษทีครับ”

บรูคยิ้มพร้อมกับกล่าวขอโทษก่อนจะขยับให้ผมกับบิลเห็นหน้ากัน “เอ่อ...บิล ขอแนะนำให้รู้จักกับเจ้านายผมเอง บารอน แคปรินคอร์น”

“ว้าวพระเจ้า!!” ชายหนุ่มที่ชื่อบิลร้องเสียงดังและยิ้มอย่างเอ็นดูมาทางผม ผมไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาตรงกันข้ามคือรอยยิ้มของบิลจริงใจจนผมต้องยิ้มตอบ “คุณหนูบารอนคนดัง นี่เราได้พบราชินีโอเมก้าตัวจริงเลยเหรอ!!”

“ชู่ว...อย่าเสียงดังไปนะ ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามาที่นี่ เดี๋ยวเป็นเรื่อง”

"อ้อนั่นสิ ได้ ๆ ฉันจะเก็บเป็นความลับ" วิลพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วขยิบตาใส่บรูคและผม

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ เอ่อ...”

“เรียกผมว่าวิลได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เอาล่ะทั้งสองคน เชิญตามสบายเลยนะ”

“ขอบคุณนะวิล”

“ไม่เป็นไรหรอกนะ นายกลับมาเยี่ยมฉันก็ดีใจ” วิลทิ้งท้าย และพาพวกเรามาส่งที่โต๊ะ

“ฉันสั่งอาหารพิเศษสำหรับนาย มื้อนี้ฉันเลี้ยง” พ่อหนุ่มคาวบอยขยิบตาให้ผมก่อนจะหันไปคุยกับบรูคต่อ “แต่ขอเรื่องเดียว ช่วยกันระวังหน่อย คุณหนูบารอนอายุยังน้อยนะ ขอร้องนายอย่าอยู่เกินห้าทุ่มนะ ไม่งั้นร้านซวยแน่”

“ครับ รับทราบหัวหน้า”

“ฮ่า ๆ ขี้เล่นเหมือนเดิมนะนายเนี่ย”

“อย่าห่วงเลยวิล คุณหนูบารอนเข้านอนตรงเวลา ผมอยู่ไม่นานหรอกมานั่งฟังแค่เพลงวงแรกจบก็ไปแล้ว”

“โอเคว่ากันตามนั้น เชิญตามสบายนะ ขอไปต้อนรับลูกค้าก่อน”

โต๊ะที่บิลจัดไว้ให้ค่อนข้างพิเศษและไม่แออัด บนโต๊ะปูด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่และประดับด้วยแจกันสีขาวที่มีดอกกุหลาบสีขาวสองดอกปักอยู่

ผมนั่งลงด้านข้างของเขาซึ่งติดกับผนังด้านในสุด พยายามเลี่ยงที่จะให้คนสังเกตเห็นนั่นเพราะมันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าคนเหล่านั้นเกิดรู้ว่า ราชินีโอเมก้ามานั่งดื่มกับ...คนขับรถ

นั่นทำให้ผมจิตตกเลยนะ!

“คุณอยากสั่งน้ำเปล่ามั้ยครับ หรือว่าขนมขบเคี้ยว”

“คิดว่าฉันเป็นเด็กสามขวบเหรอ?”

“เอาความจริงก็ไม่ แต่เพราะคุณไม่ควรดื่ม” เขาว่าและมองแผ่นเมนูเครื่องดื่มในมือไม่สนใจจะหันมามองผมสักนิด “เอาเป็นว่าที่นี่มีเบียร์ดำรสชาติดีที่สุดที่คุณจะไม่พูดมากถ้าได้ลิ้มรสมัน”

“เลิกตัดสินฉันสักที”

“อะไร ผมเปล่าตัดสินคุณ แต่แค่พยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคุณครับคุณหนู” บรูคยิ้มและประสานมือไว้ใต้คาง ยิ้มล้อเลียนเหมือนกับว่าผมคือสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความดีพร้อมไปทุกอย่าง

ถ้าผมได้มานั่งอยู่ในบาร์งี่เง่าชื่อเห่ยนี้ได้ พนันได้เลยว่าผมไม่ได้ต้องการมันขนาดนั้น!

“ฉันจะเอาเบียร์ดำอะไรที่นายว่า นายจะได้เลยตัดสินฉันสักที”

“เฮ...ผมเปล่าคิดแบบนั้น” เขาหันหน้าเข้ามาทางผม ดวงตาสีฟ้าขุ่นช่วยให้หายหงุดหงิด...แต่แค่นิดหน่อยเท่านั้น “แค่ห่วงว่าคุณจะรู้สึกแย่ที่ต้องมาในพื้นที่ของผม โลกของผมและ...ชีวิตของผม”

“พูดยังกับหนังโรแมนติก”


(.....)
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅹ 」 love (1) : Jul 17,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 17-07-2019 14:28:40
「 ⅹ 」 love (2)
[/b]
ผมเท้าคางและหันหน้าหนีอีกฝ่ายไปยังเวที เลี่ยงที่จะให้บรูคเห็นรอยยิ้มของผม ผมว่าหลังจากนี้ต้องไปเช็กสมองแล้วว่าเกิดมีสาระเคมีในระบบประสาทตัวไหนหรือเปล่าที่ทำงานผิดปกติ เพราะไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขาพูดมันทำให้ผมหน้าร้อนผ่าวใจเต้นแรงอย่างกับวิ่งรอบสนามมาสิบรอบ!

“เบียร์ดำสองครับ”

“พาใครมาเนี่ยพ่อหนุ่ม ไม่เจอหน้านานเลย”

“อ๋อ...ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างน่ะซินดี้ ไว้ถ้าวันไหนว่าจะมาบ่อย ๆ”

“คนในบาร์คิดถึงเสียงร้องเพลงของเธอนะ” ผู้หญิงที่เป็นพนักงานหัวเราะหยอกล้อกับบรูคพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเดินไปรับเบียร์ดำสองแก้วมาเสิร์ฟให้เรา

เรื่องที่เธอพูดทำให้ผมหันไปถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้

“นายมาร้องเพลงที่นี่เหรอ ทำไมเธอถึงบอกว่าคนที่นี่คิดถึงเสียงร้องเพลงของนาย”

“สมัยเรียนน่ะ ผมหาเงินช่วยทางบ้านตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อกับแม่ต้องเก็บเงินไว้สำหรับค่าเทอมของผมที่แพงหูฉีก” บรูคหยิบแก้วเบียร์ดำยื่นมาให้ผมและพูดต่อ “ผมเลยคิดว่าตัวเองก็โตพอที่จะทำอะไรแบ่งเบาได้แล้ว เลยใช้งานอดิเรกมาทำมาหากินเพื่อหาเงินเล็กน้อยในการเลี้ยงชีพ”

“เงินเล็กน้อย?”

ประหลาดใจที่ได้ยินแบบนั้น

“ก็เงินที่ใช้จ่ายในสมัยเรียนมหา’ลัยยังไงล่ะ เช่นค่าหนังสือ ค่าโปรเจกต์ ค่ากิน ค่าเที่ยวผมรับผิดชอบตัวเองทั้งนั้น” บรูคเล่าเรื่องของเขาเป็นครั้งแรก และนั่นทำให้ผมเริ่มสนใจขึ้นมานิดหน่อย

“ทำไมต้องหาเงินเองด้วย...ที่มหา’ลัยได้ยินว่ามีทุนไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร อาศัยความพยายามและความมุมานะเท่านั้น ถ้าเทียบกันแล้วผมโง่มากด้วยซ้ำเวลาอยู่ในห้องเรียน”

“นั้นสิ...นายโง่จริง ๆ แหละ”

บรูคส่งยิ้มให้ผมโดยไม่ถือสากับคำพูดของผม เขาเท้าคางเคาะนิ้วกับโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวพวกนั้นกับผมด้วยท่าทางสบาย ๆ รอยยิ้มของเขา แววตาของเขา แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของเขา ทุกอย่างกลายเป็นภาพที่เสมือนเชื่องช้าในขณะที่ดวงตาผมไม่สามารถสนใจสิ่งใดได้นอกจากบรูค...และให้ตายเถอะ เขากำลังทำให้ผมใจเต้นแรง

“พ่อของผมเริ่มป่วยตอนผมเรียนอยู่ปีสอง นั่นยิ่งเป็นปัญหาใหญ่เพราะค่ายาของเขาในแต่ละครั้งที่ไปพบหมอคือแพงมาก”

“เขาป่วยเป็นอะไร?”

“พาร์กินสัน พ่อเริ่มจากเคลื่อนไหวช้าลง มือด้านซ้ายเริ่มขยับไม่ได้ สมองของเขาทำงานช้าลงเรื่อย ๆ ช่วงแรกแม่ของผมเครียดมาก ผมเคยคิดที่จะดรอปเรียนเพราะอยากหาเงินมาช่วยที่บ้าน” เรื่องที่บรูคเล่าทำให้ผมเกิดความเห็นใจเขาขึ้นมา นั่นคงลำบากมากและผมไม่เคยเข้าใจถึงความรู้สึกนี้เท่าไหร่

“แม่ผมบอกว่าไม่ต้องทำแบบนั้น เขาขอให้ตั้งใจเรียนจนจบ เพราะแม่จะทำงานเสริมเอง”

“เขาจะต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ หาเลี้ยงลูกและค่ารักษาสามีไปด้วย” ผมเอ่ยชมแม่ของเขาด้วยความจริงใจ ผมยกย่องทุกคนที่ทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน

เช่นพ่อของผม แม้ว่าเขาจะไม่เคยลำบาก แต่ผมรู้ว่าเขาต้องแบกรับหน้าที่หลายอย่างไว้พร้อมกัน ทำทุกอย่างชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง พ่อจึงเป็นต้นแบบในชีวิตของผม ผมอยากเก่งได้เหมือนเขา เข้มแข็งได้เหมือนเขา และมีชีวิตที่สวยงามเหมือนเขา

“ผมก็คิดแบบนั้น แม่เก่งและเป็นคนเก่งเสมอไม่ว่ากับเรื่องไหน”

“แล้วการรักษาล่ะ เขาดีขึ้นบ้างมั้ย...พ่อของนายน่ะ” คำถามนั้นทำให้เขานิ่งก่อนจะใช้เวลากับตัวเองโดยการยกเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียว นั่นแสดงออกให้เห็นว่าเขากำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

“โรคนี้มันเกี่ยวกับความเสื่อมของสมอง ต้องยอมรับว่าไม่มีทางหายขาด ทำได้เพียงชะลออาการและรักษาตามสภาพเท่านั้น”

“ฉันเสียใจด้วย...” ผมไม่รู้ว่าจะมีคำใดที่แทนความรู้สึกได้ดีไปกว่าคำพูดนี้ ผมนิ่งไปชั่วขณะ ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน มันเกิดความเห็นใจและความสงสารขึ้นมาเสียอย่างงั้น

ผมรู้สึกแปลกใหม่กับตัวเองมาก ๆ เลยตอนนี้

“ไม่เป็นไรหรอก ผมถูกสอนมาให้ยอมรับและอยู่กับความจริงให้ได้ ไม่ว่าจะกลับเรื่องไหนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่พ่อสอนเสมอ เขาบอกทุกครั้งว่าหากเรายืนอยู่บนความจริง เราจะเข้าใจว่าชีวิตมันจะไปในทิศทางไหน”

“นั้นสินะ...” ผมรวบมือกับแก้วและหันไปมองหน้าอีกฝ่าย คิดอยู่นานว่าควรถามไปดีมั้ย แต่สุดท้าย...ผมก็คงจะพ่ายแพ้ต่อความอยากรู้ “เมื่อกี้ได้ยินวิลถามเรื่องที่นายเสียใจกับอะไรเหรอ?”

รู้สึกกลัวนิดหน่อย ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องของบุคคลอื่นนั่นแปลว่าเขามีใครในใจใช่มั้ย?

“คุณสนใจเรื่องผมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

“ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบ พนันได้ว่ามันก็แค่คำถาม” ผมสะบัดหน้าหนีไปจากอีกฝ่าย รู้สึกร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเกิดมารู้สึกอาลัยอาวรณ์อะไรกับอีแค่คนขับรถล่ะเนี่ย...

“ถ้าคุณแกล้งบอกว่าสนใจผม บางทีผมอาจจะบอกก็ได้ว่าเรื่องอะไร”

“นี่— “

ผมกำลังจะหันหน้าไปต่อว่าเขา แต่กลับพบว่าเขาแทบฝังปลายจมูกกับแก้มผมด้วยซ้ำในระยะแบบนี้ แต่พอได้สังเกตเขาอย่างจริงจังสักครั้ง ผมก็พบว่าเครื่องหน้าของอัลฟ่าคนนี้ดูดีอย่างไรที่ติ เป็นเหมือนอย่างที่ฮาร์เปอร์บอก...

บรูค ปาร์คเกอร์คือขุมทรัพย์ และเขาล้ำค่ากว่าทองคำ

“นาย...ขยับออกไปห่าง ๆ เลยนะ”

“ผมรู้นะว่าคุณอยากจะถามว่าผมมีแฟนหรือยัง แล้วทำไมวิลถึงทักเรื่องนั้น แต่คุณแค่ไม่อย่าทำตัวเองขายหน้า”

“พูดบ้าอะไร!!” ผมพยายามดันอีกฝ่ายออก แต่บรูคกับรวบข้อมือของผมไว้ เราเล่นเกมจ้องตากันและคนที่เป็นฝ่ายแพ้บอกเลยว่าไม่ใช่ผม

ผมคือราชินีโอเมก้านะ!!

เราจ้องตากันเกือบสิบนาที สุดท้ายบรูคก็เป็นฝ่ายผละออกเพราะเสียงนักร้องที่ขึ้นมาทักทายกับแขกในค่ำคืนนี้ ผมลอบถอนหายใจกับตัวเอง ถ้าเกิดว่านักร้องขึ้นช้ากว่านี้ เราคงจูบกันไปแล้ว

“สวัสดีแขกทุกท่าน ลูกค้าที่น่ารักกับบาร์เราเสมอ”

“คาวบอยคนนั้นเป็นเจ้าของร้านเหรอ” ผมชี้ไปทางเวทีเมื่อสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนอยู่บนเวทีและกำลังถือไมค์ลอยพูดคุยกับแขกคือบิล...ผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนนายอำเภอวู้ดดี้

“ใช่ วิลเป็นพวกคลั่งไคล้คาวบอยน่ะ อย่าถือสาเขาเลย เขาใจดี”

“ฉันไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย แค่ประหลาดใจมากกว่า เขาทำตัวเหมือนกับลูกค้าที่ชอบแต่งตัวจัดเต็มมาที่บาร์ทุกคืนวันเสาร์” ผมว่าและชะเง้อคอมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ “เขาตลกดีนะ ดูสิ...”

“วิลเป็นคนอารมณ์ดีและใจดีมาก ถ้าไม่มีเขา ผมคงไม่ได้มาร้องเพลงที่นี่ ไม่มีงานไม่มีเงิน เขาคือผู้ให้สำหรับผม”

ผมหันไปทางบรูคก่อนจะกันกลับไปทางเวทีเมื่อบิลเริ่มพูดคุยหยอกล้อและกำลังเตรียมตัวจะร้องเพลง

“นายไม่อยากร้องเพลงบ้างเหรอ ไหน ๆ ก็มาแล้ว”

“ไม่เอาล่ะผมไม่มีกีตาร์มาด้วย”

ข้ออ้างบ้าบอกชะมัด

“ไม่เอาน่า คนที่นั่งตรงนั้นคือนักดนตรีนะ นายจะอาศัยดีจังหวะเองทำไมเล่า” ผมว่าและยกมือขึ้น บิลที่กำลังสนใจกับการคุยมุกตลกราคาสองเหรียญก็หันมาทางผม

“ดูเหมือนจะมีหนุ่มน้อยอยากคุยกับเรา”

ผมหัวเราะในขณะที่บิลร้องแซ็วผมและบรูคพยายามปัดมือของผม “ว่าไงครับลูกค้าโต๊ะนู้น”

“ผมอยากฟังบรูคร้องเพลง เขาเคยเป็นนักร้องที่นี่ ให้เขาร้องสักเพลงได้มั้ย”

“นั่นสิ ผมลืมไปสนิทเลยว่านักร้องคนโปรดของร้านอยู่ที่นี่ด้วย”

“พอเลยคุณหนู ผมไม่มีทางขึ้นไปร้องเพลงเป็นอันขาด”

“ถ้าเขาขึ้นไปได้ ฉันจะให้ทิปนักดนตรีคนละ50เหรียญ” ผมยิ้มและชูแบงก์ขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นและชี้ไปทางบรูค “เอาสินายต้องขึ้นไปแล้วนะ อย่าแม้แต่จะบ่ายเบี่ยง”

“บารอน คุณทำอะไรเนี่ย!”

“น่านะ มีใครอยากฟังเขาร้องเพลงบ้าง” ผมร้องถามอย่างบ้าคลั่ง อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเพราะรอยยิ้มเขินอายของเขาก็ไม่รู้ที่ส่งผลให้ผมเป็นแบบนี้

“เอาน่าบรูค ถือว่าเป็นการคืนสู่เหย้า”

วิลช่วยผมอีกแรงด้วยการส่งเสียงเชียร์ให้บรูคขึ้นไปร้องเพลง ก่อนจะตามด้วยเสียงของคนทั้งร้านที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนหันมาชูกำปั้นและบอกว่า ‘ร้องเพลง' ผมหันไปยิ้มกับบรูคพร้อมทั้งดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะบรูค ปาร์คเกอร์ ฉันขอสั่งให้นายลุกขึ้นไปที่เวทีเดี๋ยวนี้เลย!!”

“พระเจ้า...ให้ตายเถอะ”

สุดท้ายผมก็ทำสำเร็จ บรูคยอมลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าเวที เขากระซิบกับบิลและเดินขึ้นไปยืนข้าง ๆ กัน จากนั้นวิลก็ยื่นไมค์ลอยให้กับบรูค

“ผมต้องกล่าวคำว่า ...ขอบคุณและดีใจที่ได้กลับมายืนที่นี่อีกครั้ง มันนานมากแล้วจนผมลืมไปเลยว่าการร้องเพลงเป็นแบบไหน” เขากัดริมฝีปากและหันมาทางผม รอยยิ้มเล็ก ๆ บนมุมปากทำให้เกิดลักยิ้มสองข้างที่ดูน่ามอง ผมหน้าร้อนผ่าวกับแววตาที่เขาส่งมาให้

บรูคกลายเป็นผู้ชายที่ทรงเสน่ห์อีกเท่าตัวเมื่อเขาเปล่งประกายบนเวที

กายแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขายาวขาดเข่าสีดำ สวมแค่สร้อยสีเงินขนาดใหญ่เป็นเครื่องประดับ แต่เขากลับดูโดดเด่นพอ ๆ กับแสงไฟในบาร์แห่งนี้

ผู้ชายที่กำลังส่งยิ้มให้ผมไม่ได้ประดับตัวเองด้วยเครื่องเพชร หรือเสื้อผ้าราคาแพงแบบที่ผมเจอทั่วไปในชีวิตประจำวัน เขาเป็นแค่คนธรรมดา แต่กลับมีอิทธิพลในเชิงนั้นอย่างมาก...

สถานการณ์ตอนนี้ระหว่างเรา มันเหมือนฝัน ผมไม่มีทางลืมช่วงเวลาที่แสนวิเศษนี้ไปได้

“ผมถนัดที่จะดีดกีตาร์เอง เพราะฉะนั้นก็เลยจะขอเล่นเพลงสบาย ๆ ให้ทุกคนได้ฟังกัน”

“ไหนใครคิดถึงเสียงบรูคชูมือและร้องเรียกชื่อเขาหน่อย” วิลทำหน้าที่เรียกกำลังใจจากลูกค้าให้กับบรูคได้อย่างดี เขาทำให้ทั้งร้านคึกคักกับการรอฟังเสียงนักร้องรับเชิญในค่ำคืนนี้

ผมเท้าคางนั่งไขว่ห้างตั้งใจฟังบรูค ปาร์คเกอร์ร้องเพลงในบาร์ที่คับแคบ แต่กลับอบอุ่นไปด้วยผู้คนที่เป็นกันเอง

“เอาล่ะขอบคุณมากครับวิล ช่วยได้เยอะเลย”

“เต็มทีเลยนะ ยกเวทีนี้ให้นาย”

บรูคหันไปรับกีตาร์จากนักดนตรีและเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางสุภาพ เขานั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ทรงกลมบนเวที จากนั้นก็วางไมค์ลอยกับขาตั้งไมค์ ปรับสายกีตาร์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเป่าไมค์เบา ๆ และเริ่มเกากีตาร์เป็นอินโทรแรกที่ให้ความรู้สึกเบา ๆ ราวกับเช้าวันหยุดในฤดูฝน...

“ผมอาจจะร้องหลงคีย์ไปบ้าง แต่...จะพยายามไม่ร้องเพี้ยนไปกว่านี้” บรูคกล่าวถ้อยคำชวนหัวเราะก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะจ่อที่ไมค์และเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างจริงจัง



“Baby, take my hand I want you to be my wife. Cause you're my Iron Man and I love you 3000 Baby, take a chance. Cause I want this to be something straight out of a Hollywood movie”

 ที่รักจับมือฉันไว้ ฉันอยากให้คุณเป็นคู่ของฉัน เพราะคุณคือไอร่อนแมนของฉัน ฉันรักคุณ3000เท่าเลยนะ ที่รักฉันจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เพราะฉันอยากให้มันเหมือนบางอย่าง ราวกับหนังในฮอลลีวู้ดเลย

น้ำเสียงของเขาช่างนุ่มและฟังเลื่อนหู รอยยิ้มขี้เล่นของเขากำลังส่งมาให้ผมคนเดียวท่ามกลางผู้คนมากมายภายในร้านแห่งนี้ ผมไม่ได้คิดไปเองและถึงจะคิดไปเองมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าสายตาของบรูคกำลังจับจ้องมาถามผมอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้



“see you standing there.In your hulk outerwear.And all I can think.Is where is the ring” ฉันเห็นคุณกำลังยืนอยู่ตรงนั้น กับเสื้อแจ็คเก็ตฮัลค์ของคุณ และสิ่งที่ฉันคิดคือ คุณซ่อนแหวนไว้ที่ไหนนะ

ผมเสยผมตัวเองในขณะที่ดวงตาของเราประสานกันก่อนที่นักร้องบนเวทีหลบตาด้วยการก้มลงมองคอร์ดกีตาร์ จากนั้นก็จงใจเงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยร้องท่วงทำนองนั้นที่สอดคล้องเป็นเรื่องราวเดียวกันได้อย่างลงตัว

“Cause I know you wanna ask.Scared the moment will pass.I can see it in your eyes Just take me by surprise” เพราะฉันรู้ว่าคุณอยากจะถาม กลัวว่าเวลานี้จะผ่านไป ฉันเห็นมันจากดวงตาของคุณแค่คุณอยากให้ฉันโดยไม่ทันตั้งตัว

เสียงของใจของผมเต้นดังที่สุดในเวลานี้ ผมไม่แน่ชัดนักว่ามันถูกขับเคลื่อนไปด้วยปัจจัยไหนกันแน่ ระหว่างความหมายของเพลง หรือการที่คนร้องต้องการจะร้องเพลงนี้ให้ผมฟังคนเดียว...

แค่ผมคนเดียวเท่านั้น และผมเห็นมันจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้น



“And all my friends they tell me they see.You planning to get on one knee.But I want it to be out of the blue” และเพื่อน ๆ ของฉันต่างก็บอกว่าพวกเขาเห็น ว่าคุณมีแผนว่าจะคุกเข่าข้างหนึ่งให้กับฉัน

หัวใจผมเต้นรำพร้อมไปกับทุกคำร้องของผู้ชายคนนี้ ทุกถ้อยคำและท่วงทำนองมันต่างสัมพันธ์กันอย่างลงตัว ยิ่งเมื่อเรามองเห็นแค่กันและกันในช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์

“So make sure I have no clues.When you ask”  และทำตัวให้เหมือนกับว่าฉันไม่มีพิรุธ



“นี่คุณ...เอาให้ดอกไม้เขาสิ” บิลเดินเข้ามาที่โต๊ะและชี้นิ้วไปที่ดอกกุหลาบสีขาวที่อยู่ในแจกันบนโต๊ะที่นั่ง ผมรีบส่ายหน้าอย่างทันทีทันใด “ผมว่า...ไม่ดีกว่าคือ...”

“เอาน่า ให้กำลังใจเขาหน่อยดอกกุหลาบดอกนี้มีค่านะ”

“แต่เขาร้องเพลงอยู่นะ...”

“เดี๋ยวก็มีคนอื่นเอาไปให้ตัดหน้าหรอก แม่สาวผมบลอนด์ตรงนั้นจ้องเขาตาประกายเชียวล่ะ”

“งั้นเหรอ!!” ผมว่าด้วยความตกใจ ใครก็ห้ามมาให้ดอกไม่คน(ขับรถ)ของผม "แต่ถ้าผมออกไป คนอาจจะสังเกตเห็นน่ะสิ" เมื่อได้ยินแบบนั้นวิลจึงถอดหมวกคาวบอยนั่นแล้ววางลงบนศีรษะผมอย่างถือวิสาสะ ถ้าเป็นปกติผมคงโวยวายไปแล้วที่เขากล้าใส่หมวกให้ผม แต่ก็นะ...เวลานี้ไม่เหมาะกับการโวยวาย

เพราะผมอารมณ์ดีเกินกว่าจะใจร้ายกับใคร!

“นี่...ใส่นี้ไว้ไม่มีใครเห็นแล้ว”

“แต่...”

“ถ้าคุณไม่อยากจะได้กำลังใจ พนันได้ว่าแม่สาวนั่นไม่รอแน่นอน มีคนตีกันแย่งเขาออกจะบ่อย แต่ดูสิเขามองคุณคนเดียวเลยนะทั้งร้านน่ะ เอาน่าออกไปให้เขาหน่อยเถอะ”

นั่นสินะ จริงอย่างที่วิลว่า ...

ผมกัดริมฝีปากเล็กน้อยตอนที่ยื่นมือไปหยิบดอกกุหลาบสีขาวดอกนั้นออกจากแจกัน ก่อนจะผละสายตาจากกลีบดอกสีขาวในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังนักร้องบนเวที

บรูคเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจมาทางผม ในระหว่างที่เขากำลังดีดกีตาร์และร้องเพลงบนเพราะ ๆ อยู่บนนั้น ในท่อนแต่ละท่อนที่เขาร้อนผมสัมผัสได้ว่ามันเป็นประโยคที่สื่อถึงกัน ผมรีบลุกขึ้นก่อนจะรีบเดินไปที่หน้าเวที

เสียงปรบมือทำให้ใจผมเต้นแรง เชื่อเถอะว่าตอนนี้สีหน้าของผมคงดูตลกมากในตอนนี้...



“Baby, take my hand.I want you to be my Wife.Cause you're my Iron Man.And I love you 3000.Baby, ”

 ตอนที่ผมมองตาของเขา ผมสาบานได้ว่าผมมองเห็นบางอย่างในใจของผม และมันกำลังบอกผมในสิ่งที่ผมไม่กล้ายอมรับเท่าไหร่นัก

“ฉันให้...” ผมขยับริมฝีปากไม่ออกเสียงเป็นคำสองพยางค์...

บรูคหยุดมือจากการเกากีตาร์แล้วเอื้อมมารับดอกกุหลาบดอกนั้นจากผม ก่อนที่จะจูบลงกับกลีบดอกไม้ ปลายนิ้วก้อยของเราแตะกันแผ่วเบา รู้สึกถึงความประหม่าและขลาดเขินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น กำลังจะเกิดกับช่วงเวลาเหล่านี้ระหว่างเรา ผมรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่ามันกำลังจะทำลายกำแพงของผมที่มีต่อบรูคลง

ตอนนี้คงไม่มีอะไรที่ผมมั่นใจไปกว่าริมฝีปากที่ขยับเป็นคำพูดนั้น...

“And I love you 3000.Baby”

และฉันรักเธอ3000เท่าที่รัก...



---------------------
[/b]

Talk

I love you 3000 จ้าาาาาาาาาาาาาาา ไม่รู้บอกรักมั้ย แต่ตอนหน้าได้กินกันแล้วแหละ

เราเป็นคนชอบฉากร้องเพลงรักใส่กันมาก ๆ เลยคิดว่าไม่มีอะไรจะละลายยัยหนูบารอนได้เท่าการที่อีกฝ่ายมาร้องเพลงแล้วมองหน้าแบบนี้ จูบกลีบกุหลาบและพ่นคำว่า I love you 3000 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

มีคำผิดขออภัยนะคะ T^T

ฝากบารอนด้วยน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅹ 」 love (1) : Jul 17,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 17-07-2019 15:23:22
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅹ 」 love (1) : Jul 17,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-07-2019 21:33:46
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 18-07-2019 14:23:08

「 ⅺ 」

Insatiable

(adj) (of an appetite or desire) impossible to satisfy.




เราทั้งคู่อยู่ในรถLowrider ปี 1980 ในระหว่างที่รถติดไฟแดงบนถนนสาย11 ภายในห้องโดยสารเต็มไปด้วยความเงียบนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แต่อย่างน้อยเสียงเพลงจากวิทยุที่เล่นเพลงของวง The 1975 ช่วยให้อะไรในเวลานี้ผ่อนคลายขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ทั้งผมและบรูคออกจากบาร์หลังจากที่เขาอยู่ดื่มกับวิลเจ้าของร้านเล็กน้อย

วิลชมไม่ขาดปากว่าค่ำคืนนี้ที่บาร์เต็มไปด้วยความยอดเยี่ยมเพราะว่าบรูค และผมเชื่อว่ามันจริง ผมเกือบจะอารมณ์ดีแล้วแท้ ๆ ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินสิ่งที่วิลคุยกับบรูคในห้องน้ำ...

ผมสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่า....อีฟลิน คือ ใคร?

ถ้าให้เดาเธอคงเป็นผู้หญิงที่มีบทบาทเป็นคนรักเก่าของบรูค แต่ถึงจะใช่หรือไม่ มันก็ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว ผมเกลียดที่จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองรับมือได้ไม่ดีนัก การยอมรับว่าบรูคเคยรักใครสักคนมากถึงขนาดที่จะยอมคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อเธอ...

มันยากเกินไปสำหรับคนแบบผม...

ผมพยายามที่จะหยุดความวุ่นวายพวกนี้และทำให้มันไม่หายไปจากสมองของผมสักที ชื่ออีฟลินคล้ายกับฉากสยอง ๆ ในหนังที่เราอยากจะสลัดมันออกไป แต่มันก็ยังเที่ยวมาหลอกหลอนเราไม่ยอมหยุด

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคุณหนู...คุณเงียบมาตั้งแต่ที่ร้านแล้ว”

“หะ...ฉันเหรอ...เปล่านี่"

ผมควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องของพวกเขา กับความสัมพันธ์ของพวกเขา ทั้งที่ผมไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย หรือตั้งคำถามว่าเขาเลิกยุ่งกับหล่อนไปหรือยัง ยังติดต่อหล่อนอยู่มั้ย... ผมเกลียดที่ในเวลานี้มักจะคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกของใครสักคนที่ผมเดาไม่ออกแม้จะอยากรู้แต่ผมสาบานว่าจะไม่ถาม




“คุณเงียบตั้งแต่ออกจากร้านแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”

“บอกว่าไม่มีไง! ”

“ไม่เอาน่า มันต้องมีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำ ใครทำอะไรคุณหรือเปล่า” บรูคจอดรถเข้าข้างทางและนั่นกำลังทำให้เราเริ่มมีปากเสียงกัน

“จอดรถทำไม ใครสั่งนายไม่ทราบ!!”  ผมหันไปถามบรูคที่จู่ ๆ ก็จอดที่บริเวณข้างสวนสาธารณะ

“ผมว่าเราต้องคุยกัน...”

“ไม่มี...เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ผมเบือนหน้าหนีจากเขา เสาไฟบริเวณข้างถนนส่องสว่างเข้ามาภายในรถ และตอนนี้มีบางอย่างกวนใจผมเล็กน้อย หมายถึง...น้ำเสียงของเขาและแววตาขุ่นเคืองนั่นด้วย

“คุณโกรธอะไรผม”

“นั่นไม่ใช่คำถามที่ฉันต้องตอบ เพราะงั้นออกรถ!!!”

ผมพยายามให้ความสนใจกับบรรยากาศภายนอกในค่ำคืนที่ไม่ได้ดึกสงัด มองเห็นคู่รักเดินจูงมือกันท่ามกลางสายลมเย็น ๆ ในตอนกลางคืน บริเวณริมฟุตบาทมีแค่รถของเราเท่านั้นที่จอดอยู่

ทุกอย่างในตอนนี้แปลกออกไปนั่นรวมถึงผมด้วย

"เราต้องคุยกัน” เขาพูดคำเดิมซ้ำไปมา แต่ที่เปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่เข้ม บรูคดึงเบรกมือรถก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาจริงจัง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ถ้าคุณไม่พอใจอะไรก็แค่บอก”

“มันก็แค่...”

ผมกัดริมฝีปากและพ่นลมหายใจออกมาอย่างอึดอัด เรากำลังทะเลาะกันเหมือนคู่รัก และนั่นแหละที่ผมไม่ชอบ ...เราไม่ใช่คู่รัก และเขาเป็นได้แค่คนขับรถ!!!

บรูคเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้ แม้ว่าผมไม่ได้สะบัดมือจากสัมผัสของเขา แต่การหันหน้าหนีก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าในเวลาแบบนี้ ผมไม่พร้อมที่จะเริ่มบทสนทนา

“ถ้ามีอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจ คุณบอกผมได้เลย...”

“ฉัน...” ผมกันกลับไปแต่ก็ยั้งริมฝีปากตัวเองไว้ทันแล้วกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ

ความไม่สบายใจของผมมันควรจะเป็นผมเองที่ขจัดมันออกไป บรูคไม่ได้มีหน้าที่ทำให้มันดีขึ้น ผมรู้ว่าตัวเองควรจะจัดการกับอารมณ์ขุ่นเคืองใจ...แต่ทำไมมันยากจังเลยนะ

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เหนื่อยน่ะ อยากกลับบ้านไปนอน...”

“เมื่อตอนที่อยู่บาร์คุณยังร่าเริงอยู่เลย”

“ฉันบอกว่าฉันเหนื่อยไงเล่า!!” ผมขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด มันยากที่จะต้องควบคุมตัวเอง ยิ่งในเวลาที่เขาเซ้าซี้เพราะต้องการคำตอบไม่เลิก

และเมื่อหันมาสบตากับอีกฝ่าย ผมก็รู้ว่าตัวเองใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไป บรูคประหลาดใจกับท่าทางของผม ใช่สิ...เขาต้องรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว เมื่อจู่ ๆ ผมดันฉุนเฉียวเพราะเรื่องแค่นี้!

“นายเลิกเซ้าซี้ฉันได้แล้ว”

“เพราะเรื่องของอีฟลินใช่มั้ย”

“...ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น"

“ใช่จริงด้วย”

“ฉันพึ่งบอกไปว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับใครทั้งนั้น เลิกถามสักที!” ผมรีบหันหน้าหนีและพยายามแกะมือของเขาออก

“คุณไม่พอใจเรื่องนี้จริง ๆ ด้วย คิดว่าผมไม่รู้หรือไงบารอน"

“เปล่า...”

“ผมจะบอกให้ก็ได้ เธอแต่งงานแล้วและผมไม่ได้สนใจเธอ”

ผมไม่ชอบที่เขาพูดเรื่องของเธอเลย ไม่ชอบจริง ๆ

“ฉันไม่ได้อยากรู้ว่านายสนใจหรือไม่สนใจ ขับรถกลับบ้านได้หรือยัง? ”

“แต่ผมอยากจะบอกคุณ ผมไม่เคยติดต่อเธอนานแล้ว มันอาจจะก่อนที่จะมาทำงานกับคุณด้วยซ้ำ”

ผมรู้ว่าเขาแค่ให้ผมสบายใจ เพราะได้ยินมาว่าเขายังโทรหาเธอหลังจากงานแต่งเพื่ออวยพร...

“นายกำลังโกหก นั่นแหละที่น่ารังเกียจ ฉันไม่เคยโกหกแม้ว่าฉันจะเป็นคนที่นิสัยแย่ แต่ฉันไม่เคยโกหก” ผมสบตากับบรูค ก่อนจะบิดมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา ผมผิดหวังอะไรนะ กับแค่คำหลอกลวงจากคนขับรถงี่เง่าเท่านั้นเอง

“นายจะพูดอะไรก็ได้ แต่ถ้าปราศจากความจริง มันก็เป็นแค่คำพูดกลวง ๆ เท่านั้น”

“บารอน...”

“ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของเธอหรือของใคร นายจะทำอะไรกับใครมันก็เรื่องของนาย และรู้มั้ยว่าคำโกหกของนายนั่นแหละที่แย่ที่สุดเลยบรูค!!!"

“ผมยอมรับว่าผมโทรหาเธอจริงหลังจากที่รู้ว่าเธอแต่งงาน มันก็แค่โทรไปแสดงความยินดี”

“เลิกพูดสักที ฉันไม่ได้อยากรู้...” ผมประท้วงเสียงดังภายในห้องโดยสาร บรูคขยับเข้าใกล้ผมเข้ามาเรื่อย ๆ ผมไม่ได้ผละหนีเพราะเดี๋ยวเขาจะคิดว่าผมขี้แพ้และไล่ต้อนให้จนมุมได้ง่าย ๆ

“ผมไม่ได้รักเธอแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก...ผมพูดจริงและผมรู้ว่าคุณเองก็รู้”

เขาไม่ควรจะไล่ต้อนผมแบบนี้...

“ผมรู้ว่ามันเข้าใจยาก แต่คุณช่วยรู้ไว้ด้วยว่าผมไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองจูบกันใครทั้งที่ยังรู้สึกถึงอีกคนแน่ ๆ” เขาจะบอกผมทำไม...

“เรื่องนั้น...ฉันไม่ได้ถามนายจะบอกทำไม”

“เพราะผมรู้ว่าคุณรู้สึกไม่ดี”

บรูคกำลังใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมองผม และมันทำให้ผมสงบนิ่งในที่สุด

“ผมรู้ว่าคุณมีคำถาม คุณคงรู้สึกแย่ถ้าผมคิดถึงเธอตอนที่อยู่กับคุณ คุณอยากจะถามแต่คุณหยิ่งเกินกว่าจะพูดมันกับผม”

“ฉันไม่ได้หยิ่งนะ” ผมผลักเขาออก  “นายอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ฉันเนี่ยเหรอจะไปรู้สึกไม่ดีกับเรื่องของแฟนเก่านาย ไม่มีวันหรอก....”

บรูคไม่ได้โต้แย้งอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ บรูคทำเพียงเลิกคิ้วราวกับถามกลับมาว่า ‘แน่ใจเหรอ’ ซึ่งนั่นทำเอาผมหงุดหงิดสุด  เขาไม่มีสิทธิ์มาถามยอกย้อนผมแบบนี้

ถ้าต้องโทษว่ามันเป็นความผิดของใคร ก็คงต้องเป็นอารมณ์ล้วน ๆ เพราะผมว่าตัวเองไม่ควรทำเหมือนกับกำลัง...หึง แม้ว่าผมจะลองพยายามทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันแล้วก็ตาม

“ถ้าขืนกลับบ้านช้า พ่อจะต้องสงสัยแน่...”

“งั้นคุณตอบมาก่อนว่าคุณไม่โกรธผมแล้ว”

“อันที่จริงแล้วฉันไม่ได้สนใจ พอใจนายหรือยัง?”

“ก็ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น และถ้าคุณไม่ได้ต้องการความจริงเรื่องนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะผมสบายใจที่จะได้บอกคุณ”

“นายโทรหาเธอแค่นั้นจริงหรือเปล่า..." ผมก้มหน้าและถามเสียงอ้อมแอ้ม “นายยังคิดถึงเธออยู่มั้ย...ตอนที่อยู่กับฉันนายเคยคิดถึงเธอหรือเปล่า"

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกหวงเขาขนาดนี้ มันต้องมีส่วนผสมแปลก ๆ บางอย่างในเบียร์ที่ผมดื่มแน่ ๆ ผมถึงได้หวงเขาขนาดนี้

มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับไม่ชอบให้ใครพูดถึงอีฟลินกับบรูค และไม่ชอบที่เขาให้ความสำคัญกับใครนอกจากผม

“นายพาฉันไปในที่ที่นายไปกับเธอ...ที่แมนดี้วิลเลจบาร์นั่น...นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงไอ้คนเฮงซวย!!"

“บารอน...”

“นายอาจจะแค่เหงาและคิดว่าเด็กแบบฉันมันดูเรียกร้องนายดีใช่มั้ยล่ะ” ผมหันไปขึ้นเสียงถามเขา น้ำเสียงของผมไต่ระดับขึ้นตามอารมณ์ และกำลังฟิวส์ขาดในที่สุด “เพราะแบบนั้นถึงได้เอาฉันมาแทนที่เธอ นายอาจจะแค่ไม่ได้ตั้งใจแต่นายก็อยากจะให้ฉันทับรอยเธอใช่มั้ย เรื่องทุกเรื่องนายอาจจะแค่เอาฉันไว้--”

บรูคกระชากผมเข้าไปประกบริมฝีปากกับเขา ก่อนที่ผมจะบดขยี้จนความโกรธและน้อยใจค่อย ๆ สลายไปในนาทีที่สัมผัสของเขายึดครองทุกอย่างไป

"!!!"

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมึนเมา และแยกไม่ออกว่าระหว่างจูบกับเบียร์ที่ดื่ม ผมเมาอะไรกันแน่...

 

ผมพยายามดันอีกฝ่ายออก แต่เขากลับโถมกายเข้าใส่แล้วล้วงปลายลิ้นเข้าเกี่ยวกับลิ้นของผม กลิ่นบุหรี่งี่เง่านี่ทำผมแทบคลั่ง ผมเกลียดที่ตัวเองต้องการเขามากขนาดนี้ บรูคบดขยี้ริมฝีปากและใบหน้าของผมไว้ เขาปรับองศาให้พอดีกับตอนที่ผมแหงนหน้าขึ้นรับจูบนั้นโดยไม่ผลักไสมันอีกต่อไป...

จูบแรกของเราผ่านไป...และผมไม่โทษอะไรนอกจากความยับยั้งชั่งใจของตัวเองเท่านั้น

“ทำอะไรเนี่ย...มาจูบฉันทำไม!!!”

“คุณจะได้เข้าใจสักทีว่าผมไม่เคยคิดที่จะทำกับคุณแบบที่คุณพูด”

“หมายถึงไม่ได้ตั้งใจจะจูบฉันใช่มั้ยละ—อื้อ!!”

ผมยังพูดไม่ทันจบบรูคก็พุ่งเข้ามาจูบอีกรอบหนึ่ง และผมก็ตามืดบอดเกินกว่าจะต้านทานเขาไว้ได้ เพราะครั้งนี้มันทั้งแนบแน่นและร้อนแรงกว่าเดิม ผมได้กลิ่นสตอรว์เบอร์รี่ในโพรงปากของเขา มันทำให้ท้องน้อยของผมปั่นป่วนเหมือนมีพายุหมุนวนอยู่

ชั่วอึดใจเดียวก่อนที่ผมจะขาดอากาศหายใจ บรูคก็ผละริมฝีปากออก จูบที่สองของพวกเราก็จบลง...

“คุณเข้าใจหรือยังทีนี้”

“เข้าใจ ฉันคาดหวังอะไรจากจูบนั่นไม่ได้อยู่แล้ว” ผมขมวดคิ้วและใช้มือทุบที่แผงอกของเขา  “ขอบอกให้รู้นะว่าฉันไม่ใช่คนที่นายจะมาจูบพร่ำเพรื่อตอนไหนก็ได้นะ...”

“ที่ผมจูบคุณ เพราะผมมีคุณเต็มไปหมดและเข้าใจหรือยังว่าผมเสพติดคุณมากขึ้นทุกที” บรูคลากนิ้วโป้งกับริมฝีปากล่างของผม ดวงตาสีฟ้าขุ่นประกายความหลงใหลอยู่ในนั้น...

ถ้าให้พูดตรง ๆ ละก็ มันมีบางอย่างที่เขาทำให้ผมต้องหอบหายใจรุนแรงขึ้น

“ผมจูบคุณเพราะผมอยากจะจูบคุณ มันไม่ได้เป็นการจูบเพราะคิดถึงใครสักหน่อย”

“แต่นายก็พูดถึงเธอไม่หยุด”

“ผมไม่ได้คิดอะไร บิลถามผมก็แค่บอก เห็นได้ชัดว่าผมพยายามเลี่ยงที่จะคุยถึงเรื่องเธอต่อหน้าคุณ”

“...” ผมแทบไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกจากริมฝีปาก เขาประคองใบหน้าผมด้วยสองมือ ฝนเริ่มตกลงมาและเม็ดฝนก็กระทบกับกระจกรถจนแทบมองไม่เห็นบรรยากาศด้านนอกอีกเลย

ทุก ๆ บทสนทนาของเราดังแข่งกับสายฝน...

“ผมไม่ได้รู้สึกกับอีฟลินอีกแล้ว ไม่ว่าในแง่ใดก็ตาม ผมสาบานได้ และแม้ในบางครั้งผมจะนึกถึงเธอ แต่มันไม่ใช่ความคิดถึง...”

ผมกัดริมฝีปากล่างและใช้ความเงียบเข้าสนทนา บรูคพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด และยิ่งเขาพูดความในใจมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งต่อต้านเขาน้อยลงทุกที จนบางทีมันทำให้ผมลืมความโกรธที่เคยมีไปเสียสนิท...

“คุณคิดได้ยังไงนะว่าผมจะจูบคุณ สัมผัสคุณ และทำอะไรต่ออะไรพวกนี้เพราะผมยังคิดถึงอีฟลินอยู่”

“นายเลิกพูดชื่อเธอได้แล้ว...” ผมบอกเสียงหงุดหงิด และทุบกำปั้นกับอกของเขา บรูครวบมือผมไว้และออกแรงบีบมันเบา ๆ

“เฮ้บารอน...มันเป็นแค่อดีต ชื่อของเธอไม่ควรมีผลกับคุณสิ ผมให้ความสำคัญกับคุณมากกว่าเธออยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของเธอไม่มีผลอะไรกับผมอีกต่อไป คุณน่าจะเข้าใจสิ”

“ฉันไม่เข้าใจตรงไหน!”

“ก็คุณไม่ฟังผม แล้วก็ทนไม่ได้เวลาผมเรียกชื่อเธอ...”

“น้ำเสียงนายที่เรียกเธอมันเต็มไปด้วยความอ่อนหวานนี่!!”

“แต่มันไม่มีความหมายเหมือนกับเวลาที่ผมเรียกชื่อของคุณนะ...บารอน...”

เมื่อเขาพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมระหว่างเราสองคนภายในห้องโดยสารรถยนต์ ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก ผมได้ยินเพียงเสียงของแอร์รถยนต์ดังผสมกับเสียงเพลงจากวิทยุ

บรูคลดสายตาลงมาริมฝีปากของผมแล้วยื่นริมฝีปากเข้ามาบรรจงจูบลงแผ่วเบาแต่แนบสนิท มันนุ่มนวลและอ่อนหวานทุกอย่างมอมเมาผมก่อนที่เขาจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง

“คุณไม่เข้าใจหรือไง ในเมื่อผมคลั่งไคล้คุณมากขนาดนี้...”

“...”

“ผมลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยพาเธอไป อีฟลินไม่มีทางชอบที่นั่น แต่ก็ช่างหัวเธอเถอะ มันจบแล้วบารอน” เขาย้ำอย่างหัวเสียในขณะที่ฝ่ามือประคองกรอบหน้าของผมให้เงยหน้าสบมองกับเขา ผมเอื้อมมือขึ้นไปขยุ้มเสื้อยืดลายโง่ของเขาที่หัวไหล่ ผมสะดุ้งเล็กน้อยยามที่นิ้วโป้งของบรูคเกลี่ยข้างแก้มและลากไปตรงจุดกึ่งกลางใบหน้า “ตอนนี้...รู้ไว้ด้วยว่าสายตาของผม มันมีไว้มองเห็นแค่คุณคนเดียว”

ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกสารภาพรักยังไงชอบกล...

“การที่ผมพาคุณไปที่นั่นไม่ใช่เพราะต้องการไปนึกถึงใคร ผมอยากชวนคุณไปในโลกของผมก็เท่านั้นเอง”

ผมค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองเขา มันเป็นครั้งแรกที่ผมไม่สนใจว่าเสียงรอบข้างจะว่าอย่างไร ผมก็แค่ทำตามใจตัวเองเท่านั้น

ผมบอกกับตัวเองว่าเลิกสนใจเหตุผลบ้า ๆ บอ ๆ ที่ทำให้ผมอยากจะกินผู้ชายคนนี้สักที เราก็แค่ปล่อยทุกความรู้สึกไปพร้อมกับสิ่งที่ต้องการ...

“ฉันจะไม่แหวกว่ายท่ามกลางความสับสนนี่อีก ถ้างั้นนายก็พิสูจน์สิว่ามันจริงแบบที่นายพูด”

“ถ้าผมพิสูจน์ คุณจะเสียหายแน่นอน”

“ฉันอยากเสียหาย...เพราะถ้านายเป็นคนทำ ฉันก็อยากเป็นแบบนั้น”

นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมพูดออกไปแบบหน้าไม่อายทั้งที่มันไม่ควรทำแบบนั้น ทำตัวเหมือนกับพวก...ร่านสวาทว่าแต่ใช้คำนี้มันแรงไปมั้ยนะ งั้นเอาเป็นว่า...ตอนนี้ผมกำลังทำตัวกระหายบรูคมากเกินไปก็แล้วกัน!

“คุณแน่ใจแค่ไหนกัน บารอน...”

ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องลังเล ถ้าสิ่งที่ฮาร์เปอร์บอกมันคือเรื่องจริง ผมแค่ต้องการเขาแบบที่คนคนหนึ่งต้องการอีกคนเท่านั้นเอง

เพราะมันคือเขาเท่านั้น คนที่ผมต้องการจะต้องเป็นบรูค นั่นก็มากพอแล้วที่ทำให้ผมสามารถก้าวผ่านกำแพงสูงของตัวเองไปได้

 "ฉันต้องการให้นายสัมผัสฉัน พิสูจน์ในสิ่งที่นายพูดเมื่อกี้"


“ถ้าผมสัมผัสคุณ...แตะต้องคุณมากกว่านี้ ผมอาจจะควบคุมตัวเองไม่อยู่” เขาค่อย ๆ จูบลงบนแก้มของผม แล้วไล่ริมฝีปากเย็น ๆ นั้นไปตามกรอบหน้าก่อนจะเคลื่อนลงมาฝังใบหน้ากับซอกคอ บรูคพยายามควบคุมตัวเองให้ได้เท่าที่เขาจะทำไหว

ผมเงยหน้าขึ้นจูบปลายคางของเขาแล้วขบฟันเบา ๆ ตอนที่เขาเชิดหน้าขึ้นเพื่อควบคุมตัวเอง

“ฉันต้องการแบบนั้น...บรูค”

“คุณหนู...”

“ฉันบอกว่าฉันต้องการนาย...” ผมประคองใบหน้าของเขาไว้ และขยับเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ จนปลายจมูกของเราคลอเคลียกัน ภายในสถานที่คับแคบบนรถ!

แอลกอฮอล์พวกนั้นทำให้ผมซื่อสัตย์ต่อตัวเองขึ้นมาก ๆ เลยแหละ...

“สัมผัสฉัน เท่าที่นายต้องการ กลืนกินฉันหากนายอยากจะทำ”

นาทีนี้ทุกอย่างชัดเจน

“ฉันอยากจะเป็นของนาย!”

 ผมต้องการบรูค ปาร์คเกอร์แค่คนเดียว

---------------------------
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 18-07-2019 14:30:11
「 ⅺ 」(2)
...


“ฉันอยากจะเป็นของนาย!”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากกลีบปากอวบอิ่มของบารอน อัลฟ่าหนุ่มที่รอช่วงเวลานี้มาตลอดก็พุ่งเข้าใส่เรากับก็ไม่มีสติอยู่อีกเลย เขากลายเป็นผู้ชายที่ปล่อยความต้องการตัวเองอยู่เหนือเหตุผล เหนือความเหมาะสมแบบที่เขาเอามักจะใช้ถ่วงสมดุลภายในใจกับความรู้สึกตัวเองอยู่บ่อยครั้ง...

บรูคกระชากร่างราชินีตัวน้อยที่ร้องบอกถึงความต้องการเหล่านั้น และไม่ใช่แค่เพียงคำพูด อีกทั้งร่างกายนี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ ริมฝีปากของพวกเขาประทับกัน ในขณะที่ร่างบางขึ้นคร่อมทับอยู่ด้านบน บรูคลดเบาะคนขับให้เอนลงจนสุด นั่นทำให้ระหว่างพวกเขาที่เบียดเสียดกายในพื้นที่คับแคบได้ทำอะไรสะดวกขึ้น

อัลฟ่าหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองเมามากเกินไปมั้ย แต่เขารู้ว่าเราทั้งคู่ไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่โหยหากันจนแทบคลั่งได้อีกแล้ว บรูคไม่จำเป็นต้องหาทางยับยั้งมัน ในเมื่อเราต่างก็ต้องการเช่นนั้น

แค่เพียงริมฝีปากอิ่มพูดความต้องการนั้น ดูเหมือนคนที่ยึดมั่นในหลักการและเหตุผลเกิดสั่นคลอนเสียงอย่างนั้น...

“อื้อ...” เขาบดขยี้ริมฝีปากกับราชินีตัวน้อยอย่างร้อนแรงที่สุด รู้สึกคล้ายกับกำลังถูกหลอมละลายลงตรงนี้เพราะร่างบางที่หอบกระหน่ำใส่กันอย่างแนบแน่น ทุกสัมผัสช่างเย้ายวนใจเสียจนอัลฟ่าหนุ่มเสียหลัก เขาไม่เคยได้สัมผัสโอเมก้าไหนที่ทำให้สัญชาตญาณรุนแรงได้เท่านี้มาก่อนและบารอนเป็นสิ่งเดียวที่พิเศษบนโลกจริง ๆ ...ราชินีโอเมก้า

เขาเคยสัมผัสทางกายกับใครมาก็มาก แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครที่มีกลิ่นฟีโรโมนที่ชวนให้ติดตรึงใจจนยากจะถอดทอน..

“ถอดเสื้อออก” บรูคกระซิบก่อนจะเลียใบหูอีกฝ่ายด้วยปลายลิ้นเย็นชืดสลับกับขบฟันไปตามซอกคอ ดูดผิวหนังบริเวณนั้นจนเกิดรอยแดงด้วยแรงอารมณ์

มันไม่ได้รุนแรงจนทำให้เจ็บ แต่นี่เป็นการปลุกเร้าอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามต่างหาก

“ฉันไม่ถนัด...” บารอนขมวดคิ้วกังวลตอนที่บรูคพยายามถอดเสื้อยืดออกจากร่างของเขา

ราชินีน้อยเริ่มหวั่นกลัวต่อครั้งแรก แต่ก็อย่างว่า...ใคร ๆ ก็มีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีสิ...

“กลัวมั้ย?”

“มัน...ไม่รู้สิ” บารอนหอบหายใจเมื่อพวกเราหยุดการเล้าโลมกันชั่วขณะ... “นี่เป็นครั้งแรก...ฉันแค่กังวล”

“ไม่ต้องกลัวนะครับ”

บรูคจูบที่ปลายคางราชินีซึ่งทับอยู่บนตักเพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย เขาส่งผ่านสัมผัสอ่อนโยนหวังให้บารอนคลายความวิตกลง

“ไม่ได้กลัวนะ...ก็แค่คิดว่ามันจะออกมาดีหรือเปล่า”

“คุณเป็นราชินีของผม” เขาจงใจพูดแต่ไม่ใช่หลอกล่อ และเขารู้ดีว่าการจงใจพูดคำนั้นจะทำให้อีกฝ่ายมั่นใจแค่ไหน “ผมจะทำให้มันเป็นสิ่งที่วิเศษสุดเท่าที่คุณต้องการ”

เขาไม่ได้พยายามปลอบใจอีกฝ่าย แค่ยืนยันว่ามันจะต้องพิเศษจริง ๆ เพื่อราชินีโอเมก้าเขารู้ตัวว่าตัวเองจะต้องพยายามมากขึ้นเป็นหลายเท่า

เพราะเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กธรรมดา โอเมก้าราชินีนั้นไม่ใช่บุคคลที่จะรับสัมผัสธรรมดาได้

“อะ...อ๊ะ!”

บารอนกระตุกเกร็งทันทีที่เรียวนิ้วยาวคลึงส่วนอ่อนไหวของเขาผ่านกางเกงในสีอ่อนตัวบางที่ไม่ได้ตั้งใจจะใส่มาในวันที่ไม่คาดคิด

สีชมพูพิ้งค์สีโปรดที่สวมใส่อยู่จึงถูกสายตาของคนใต้ร่างกำลังล้อเลียนให้อับอาย

“ผมชอบสีนี้ครับ”

“เงียบไปเลย...อื้อ”

และก็ได้เงียบสมใจเมื่อส่วนนุ่มนิ่มภายใต้กางเกงในสีพิ้งค์นั่นปลุกอารมณ์อัลฟ่าหนุ่มกลัดมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ บรูคลูบมือไปตามบั้นท้ายกลมเป็นลูกพีชที่เคยจินตนาการว่าจะนุ่มมือแค่ไหนและสุดท้ายก็ได้คำตอบแล้ว!

เรียวนิ้วของเขาสอดเข้าไปช่องทางลับของบารอนเพื่อปลุกเร้าอารมณ์และเตรียมความพร้อมให้กับครั้งแรกของเด็กน้อย เสียงความเฉอะแฉะดังไปทั่วห้องโดยสาร มันน่าอายที่สุด...แต่ไม่มีใครยอมให้เรื่องนี้ยุติลง

บรูคเชิดหน้าบดสะโพกตัวเองลงกับเป้ากางเกงที่ตึงไปหมด ส่วนเนื้อนูนแข็งโปร่งพองภายใต้กางเกงยีนสีเข้ม ก่อนที่ราชินีตัวน้อยจะแหวกกางเกงในตัวจิ๋วออกเพื่อให้บรูคสอดนิ้วเข้าไปในนั้นอย่างช้า ๆ

ร่างเล็กพยายามปรนเปรออีกฝ่ายด้วยการโก่งสะโพกขึ้นก่อนจะครางกระเส่าไม่เป็นภาษา

“บะ...บรูค...ตรงนั้นอ๊า--”

บรูคดูดีมากท่ามกลางความสว่างเดียวจากแสงไฟที่สาดส่อง เสียงฝนที่ตกกระทบกับกระจกรถกำลังปะปนกับลมหายใจที่ผ่อนหนักผ่อนเบาของอัลฟ่าใต้ร่างของบารอน มันสุดยอดที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา และบารอนจินตนาการถึงเรื่องอย่าว่ามาตลอดว่ามันจะเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้เขาได้คำตอบว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักผู้ชายที่ใส่เสื้อไม่มียี่ห้อ สวมรองเท้าราคาไม่กี่บาทคนที่มีเส้นผมสีเทาธรรมชาติที่รับกับดวงตาสีฟ้าขุ่นเจ้าเสน่ห์

บารอนไม่ใช่คนที่จะยอมถอดเสื้อตัวเองขึ้นคร่อมใครก็ได้ และถ้าไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ เชื่อเถอะว่าราชินีโอเมก้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องบ้าระห่ำได้ขนาดนี้ 

“อะ...บรูค อ๊า--”

“ยกสะโพกขึ้นหน่อยนะครับ” บรูคกระซิบพร้อมทั้งจูบลงบนแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ เด็กน้อยสั่นไปทั้วทั้งตัว ร่างกายเกร็งตอนที่เขาเพิ่มนิ้วเป็นนิ้วที่สามโดยไม่ไล่ลำดับจากหนึ่งมาสอง...แต่ดันไปที่สามเลย

“เจ็บ...อื้อ!!”

“อดทนหน่อยนะครับ” เขาบอกก่อนจะถอนนิ้วและถ่มน้ำลายแล้วละเลงมันกับช่องทางนั้น เขาแหย่นิ้วเข้าไปพร้อมกับสามนิ้วในคราวเดียว ก่อนจะแช่เอาไว้แบบนั้นก่อนเพื่อให้บารอนคุ้นเคย จากนั้นจึงเริ่มขยับเมื่อปรับสมดุลในร่างกายได้แล้ว

“อะ...อ๊า เบาหน่อย...มันเจ็บ!”

“ผมเบามืออยู่....”

บรูคจูบปลอบเด็กน้อยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากช่องทางนั้น เขาจำเป็นต้องเปิดทางกันก่อนจะเริ่มทำ บารอนกัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายจนได้รสเลือดเพราะความเจ็บและเกร็งในขณะที่บรูคสอดนิ้วเข้าออกด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น

“ฮ่า...อ๊า...อื้อ”

“ทนหน่อยนะครับ”

บารอนไม่เคยต้านสัมผัสใดจากผู้ชายคนนี้ได้อีก ราชินีนิ่วหน้าเกร็งตอนที่บรูคชัดเอานิ้วออกจากช่องทางนั้น

“รูดซิปกางเกงให้หน่อยสิครับ”

“อ๊า...จะเอามันออกมาเลยเหรอ”

“ผมจะต้องเอามาสวมถุงยางก่อน...แล้วค่อยเอามันเข้าไปในนี้...”

พระเจ้า...แค่เขาสัมผัสและน้ำเสียงแหบพร่าแบบทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำไมบารอนกลับสะท้านไปทั่วทั้งตัว ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองไม่ต้องการอะไรนอกจากอัลฟ่าหนุ่มคนนี้ เด็กน้อยก็เลื่อนมือไปปลดซิปกางเกงของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว บรูคยกตัวถอดกางเกงนอกและกางเกงในหลุดลงไปกองที่หัวเข่า อันเดอร์แวร์สีดำเข้มทำเอาหน้าบารอนร้อนไปหมด...แต่นั่นยังไม่เท่าส่วนแข็งขืนที่ดันตัวเองเป็นอิสระจากอันเดอร์แวร์ที่พึ่งถอดออก

“ขอผมหยิบถุงยางก่อน...” บรูคแนบแก้มเพื่อกระซิบบอก เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงยางที่เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ออกมา ราชินีตัวน้อยแอบคิดว่าบรูคพกของพวกนี้ติดตัวเป็นประจำหรือแค่เพราะวันนี้คือวันที่เขาออกมากับบารอนเลยพกมาด้วย

แต่จะอย่างไรก็ช่าง นาทีนี้ไม่เกิดคำถามใดมากกว่าความรู้สึกที่ว่า...เข้ามาละลายร่างกายฉันให้เหมือนกับไอศกรีมในหน้าร้อนเถอะ!

“อ๊า...บรูคมันเจ็บ ฉัน...ไม่ไหว”

ใครจะไหวเมื่อจู่ ๆ อัลฟ่าหนุ่มที่ดูสุขุมตลอดกลับใจร้อนแทงเข้ามาร่างกายของบารอนรวดเดียว มันคล้ายว่าร่างกายอันบอบบางกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เสื้อผ้าที่สวมใส่ตอนนี้ถูกปลดออก แม้แต่กางเกงชั้นในก็ฉีกขาดอย่างไม่ปรานี

คนอารมณ์ร้อนคนนี้ใช่คนเดียวกับบรูค ปาร์คเกอร์แน่เหรอ

 "อื้อ...บรูค อ๊า!!!"

บรูคลูบมือไปยังส่วนโค้งเว้าด้านหน้าของราชินีน้อยที่ไวต่อความรู้สึก ถ้าปกติเป็นพวกเบต้าหรืออัลฟ่าจะไม่มีส่วนเว้าโค้งคล้ายกับสตรีเพศ ซึ่งยกเว้นกับโอเมก้า ผู้ที่มีความคล้ายกับแม่พันธุ์ในการให้กำเนิดไม่เว้นแต่บุรุษเพศ

ยิ่งบารอนเป็นราชินีโอเมก้า ผิวพรรณนั้นย่อมอุดมไปด้วยความผุดผ่องและนั่นเย้ายวนใจกว่าใครทั้งสิ้น

“อา...พอดีมือชะมัด” บรูคบีบขยำมือลงกับก้อนเนื้อนุ่มและขยับสวนสะโพกขึ้นใส่ช่องทางนั้น คนที่อยู่ด้านบนโน้มหน้าลงซบศีรษะลงกับบ่าเพราะทนไม่ไหว

“อ๊า....เจ็บ”

“เดี๋ยวจะดีขึ้นนะครับ”

ทุกการขยับเข้าใส่ล้วนแต่อ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างที่สุด ปกติโอเมก้าตอนที่มีเพศสัมพันธ์จะปล่อยฟีโรโมนออกมาจนฟุ้งไปหมด กลิ่นเหล่านั้นปลุกเร้าอัลฟ่าให้สนองต่อร่างกายของพวกโอเมก้า และไม่ต้องนึกถึงเลยว่าราชินีจะปล่อยฟีโรโมนมากว่าโอเมก้าปกติกี่เท่า

เพียงแต่บรูคยังคงพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ เพราะเขาต้องการให้ครั้งแรกของบารอนออกมาดีที่สุด อย่างน้อยก็เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจ

“อา...อื้อ ตรงนั้นรู้สึกไปหมด” บารอนพยายามบอกในขณะที่ครางเสียงกระเส่าอยู่ใกล้กับซอกคอของบรูค ร่างสูงลูบแผ่นหลังของราชินีตัวน้อยพร้อมกับสวนสะโพกเข้าเร็วขึ้น แรงขึ้นและไวขึ้นกว่าครั้งแรก

ราชินีโอเมก้าแนบหน้ากับอกแกร่ง ทำได้เพียงปรือตาและส่งเสียงครางไม่หยุดจนกระทั่งเสร็จไปในรอบแรก

“ฉัน...ฉันทำเลอะไปหมดเลย”

“ไม่เป็นไรครับ...”

“อยากทำต่อมั้ย” บารอนถามใบหน้าชื้นเหงื่อยังคงซบอยู่ตำแหน่งเดิม

“แต่ว่าคุณดูไม่ไหวแล้วนะครับ”

“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ” เด็กน้อยประท้วงสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุด แต่แล้วก็ต้องอ่อนลงเมื่ออัลฟ่าใต้ร่างจูบไล่ไปตามเนินอกและเริ่มสวนสะโพกเข้าใส่เบา ๆ

“อยากขย่มบนตัวผมมั้ยครับ” และเอ่ยถามประโยคลามกที่เร้าใจชะมัด

“ฉัน...อาจจะขยับไม่ถูก”

“ลองดู ผมจะช่วย” ชายหนุ่มหุ่นกำยำดึงสะโพกบารอนเข้าแนบชิด จากนั้นก็ดังอีกฝ่ายให้เอนแอ่งไปด้านหลัง ขาสองข้างยกขึ้นเหยียบกับเบาะก่อนที่บรูคจะช้อนขาพับของอีกฝ่ายไว้ ดันบารอนให้ยกก้นกลมขึ้นและบดลงมาสองสามครั้งเป็นเชิงแนะนำ

เด็กน้อยหัวไวทำตามอย่างคล่องแคล่วจนได้ยินเสียงครางต่ำผ่านลำคอของอัลฟ่าหนุ่ม

บารอนรู้ว่าบรูคถูกใจกับจังหวะขย่มของตนมากแค่ไหน

“อื้อ...พระเจ้า ผมแทบจะบ้าตาย” เขาสบถตอนที่บารอนขย่มสะโพกใส่แรงขึ้นเร็วขึ้นจนรถยนต์ตอนนี้คงโยกเป็นรถผีสิงไปแล้ว

ท่อนเอ็นที่แข็งตัวตั้งแต่อยู่ในช่องทางด้านหลังของราชินีตัวน้อย มือแกร่งสอดขาพับอีกฝ่ายไว้และเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่เชิดหน้ากัดริมฝีปากบิดกายทับลงบนตัวของเขา

มันเป็นภาพที่บรูคไม่มีวันยอมให้ใครได้เห็น ทั้งสีหน้าและแววตาของ น้ำเสียงของบารอน ทุกอย่างช่างวิเศษเกินจะบรรยาย

เขามีเซ็กซ์มาก็หลายครั้ง และเขาเป็นอัลฟ่าวัยหนุ่มที่ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ การจะได้สาว ๆ ไปนอนด้วยตอนโสดก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่สิ่งที่ยืนยันได้ว่าบรูคหลงใหลในจังหวะของราชินีตัวน้อยมากกว่าใคร ก็คงเป็นตอนที่เขากอดเอวอีกฝ่ายและพรมจูบลงกับอกของบารอนไม่ยอมผละหนี เขาไม่ยอมห่างร่างบอบบางนี้ และยังคงโถมกายเข้าใส่กันเหมือนพายุบ้าระห่ำ!

บรูคประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของราชินีโอเมก้า เขาพยายามข่มอารมณ์ตัวเองอย่างหนักตอนที่บารอนบดร่องก้นเข้ากับแก่นกายของเขาแทบจะปลดปล่อยมันออกมา

“อ๊า...นายจะ...จะใกล้หรือยัง อื๊อ--”

“ยัง...” ถึงความจริงจะไม่ใช่แบบที่พูดแต่ใครจะยอมโง่บอก อย่างน้อยก็ยังอยากเห็นสีหน้าเสียวซ่านของราชินีโอเมก้าตอนที่ขย่มบนตัวเขาจนหอบหายใจไม่ทันให้นานกว่านี้

ผู้ชายที่หลงเด็กวายร้ายจอมบงการจนโงหัวไม่ขึ้นค่อย ๆ สวนแท่งร้อนเข้าไป เขากัดปากอย่างซ่านเสียวเมื่อช่องทางที่คุ้นเคยกำลังตอบรัดกันอย่างดี ตอนนี้แทบอยากเสร็จเสียในนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!

“อ๊า...อื้อ ฉัน...จะไม่ไหวแล้ว”

“จะเสร็จแล้วครับ...อ๊า!”

บรูคสมกับเป็น ‘อัลฟ่า’ เพราะเขาทำให้บารอนฮึกเหิมจนเร่งความเร็วขึ้นพร้อมทั้งหลุดปากครางเสียงหลงทั้งร่างกายก็สั่นคลอน รถขย่มเป็นจังหวะประหลาดและเสียงภายในห้องโดยสารก็เต็มไปด้วยเสียงลามกของพวกเขาสองคน

“ผมชอบตรงนี้...” บรูคว่าพร้อมกับดันส่วนนั้นเข้าออกซ้ำ ๆ ไม่หยุด บารอนครางจนแทบหมดเสียงแต่สะโพกของตนกลับยังขย่มอยู่ข้างบนไม่ยอมหยุดแบบที่ปากบอกว่าไม่ไหว..

บารอนปรือตามองสีหน้าของคนใต้ร่างที่แสดงถึงความกำหนัดของอัลฟ่าหนุ่ม และงับริมฝีปากกับเขาก่อนจะแลกน้ำลายกันอย่างบ้าคลั่งทั้งที่สะโพกก็ไม่ยอมหยุด...

“งั้นตอนนี้ขอเสร็จสองรอบก่อนแล้วกันนะครับ”


-----------------------

Talk

ไม่รู้ว่าคนอ่านชอบกันมั้ย แต่ฉันชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
เสพติดความแบบปากไม่เอา แต่มือคว้าเขาไว้ รักในความสัมพันธ์แบบนี้เหมือนกัน
กว่าจะได้กินกันปาไปตอนที่10 เย้ มาถึงตอนที่ได้กินกันสมใจ


ป.ล.1 = มีคำผิด สลับ ตกหล่นขออภัยหลาย ๆ
ป.ล. 2 = ฝากแท็กด้วยจ้า #ยูอาร์มายโอเมก้า
ป.ล. 3 = จะอัพให้ทุกวัน พุธ-พฤหัสจ้า
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-07-2019 00:13:09
แซ่บมาก!!
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 19-07-2019 23:00:52
 :jul1:
ร้อนฉ่า ไฟท่วมรถ
ต่างคนต่างหลงกันและกัน
แมวดื้อ กลายเป็นนางแมวยั่วสวาทเสียแล้ว
หลังจากนี้น้องจะหยิ่งต่อยังไง ท่าไหนดี
ดราม่ารักต่างชนชั้นจะมามั้ย
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 20-07-2019 19:43:09
น้องแซ่บขนาดดดดด
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-07-2019 11:31:42
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 21-07-2019 19:40:53
นี่ขนาดในรถนะเนี่ย :haun4:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅺ 」(1-2) : Jul 18,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 25-07-2019 20:35:48
 :katai5:
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅻ 」Attractive (1-2) : Jul 26,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 26-07-2019 21:48:15
「 ⅻ 」Attractive

(adj.) (of a thing) pleasing or appealing to the senses.



คลาสสุดท้ายของวันศุกร์ คาบวิชาสมุนไพรศาสตร์ ผมกับเพื่อน ๆ ก็แอบออกมานั่งกันอยู่ที่ริมสนามฟุตบอลซึ่งตรงบริเวณนี้จะถัดจากไปสนามรักบี้ประมาณสองร้อยเมตรได้

ผมอยู่ในชุดนักเรียนประจำวันศุกร์ เป็นฟอร์มสีแดงสลับขาวสีประจำโรงเรียน วิลสัน ไฮ แห่งนี้ ในขณะที่มาเคย์ล่ากำลังบ่นเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้าของแบรนด์ดังกับฮาร์เปอร์ ผมกลับเลือกที่นั่งอ่านนิยายสืบสวนแทน

"ฉันเกลียดชุดสีดำขนนักนั่นมาก พนันได้เลยว่าแม้แต่แองเจริน่าใส่ก็คงดูตลก"

"ถูกของเธอ"

"นายล่ะ คิดไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บารอน..."

"ฉันเหรอ?" ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือและทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ไม่รู้สิ นั่นมันเสื้อผ้าของสาว ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น ถ้าอะไรที่ไม่เดือดร้อนฉัน ฉันไม่เสียเวลามานั่งวิจารณ์หรอก"

"ถูกของนาย" ฮาร์เปอร์คว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงแล้วเท้าคางกลับโต๊ะหันมาทางผม

"ว่าแต่นายยังต้องส่งข้อความไปขอโทษแม็กทีสอยู่มั้ย?"

"ต้องบอกว่ามันเป็นอะไรที่ขนลุกมาก พ่อเล่นตรวจข้อความนัันหลังส่งเสร็จทุกวัน" ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างสุดจะทน ถ้าไม่ใช่เพราะผมเกรงใจพ่อและเห็นใจเขาในเรื่องของธุรกิจที่ร่วมอยู่กับตระกูลมากีต้าล่ะก็ รับรองผมไม่มีวันทำเรื่องพวกนี้แน่

"นายคงฝืนใจตัวเองน่าดู พระเจ้า...ฉันรู้เลยว่ามันแย่ยิ่งกว่าการใส่เสื้อผ้าไม่มียี่ห้อเสียอีก"

"สุด ๆ ไปเลยแหละ แต่จะว่าไป อันที่จริงแล้วมันแทบจะไม่ได้มาจากความจริงใจอะไรเลย ฉันแกล้งละครเป็นคนดีกับแม็กทีสเท่านั้น และนั่นแหละที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับตัวเองเล็กน้อย"

จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ข่าวแม็กทีสมาเกือบสองวันแล้ว ปกติหมอนั่นจะส่งข้อความมาต่อว่าผม เช่น 'ไปลงนรกซะ' หรือ 'ไม่ก็ฉันเกลียดข้อความของนาย' เหอะ! ทำอย่างกับผมอยากจะส่งไปนักหนา หลัง ๆ มานี้ผมสั่งให้มารีน่าพิมพ์ข้อความแสดงความเสียใจนั่นแทนเกือบทุกวัน

"ว่าแต่นายจะไปใช่มั้ย งานกาล่าแฟชั่นของพ่อแม่ฉันคืนนี้"

"อันที่จริงแล้วฉันก็อยากไปนะ แต่...ฉันมีบางอย่างต้องไปจัดการ" และเมื่อพูดแบบนั้น เพื่อนสองคนที่กำลังใช้สมาธิกับมือถืออยู่ก็หันมาสนใจผมทันที

ผมแกะอมยิ้มออกมาก่อนจะยัดมันเข้าปาก แต่แล้วอมยิ้มโคล่าถูกดึงออกจากปากโดยคนเสียมารยาทอย่างมาเคย์ล่า "เฮ้!!!"

"เล่ามาเลยนะว่านายมีแผนอะไร ทำไมถึงได้สำคัญกว่างานแฟชั่นของบ้านฉัน"

"ที่หลังอย่าดึงของจากปากฉันอีกนะ เสียมารยาท" ผมแย่งไม้อมยิ้มจากมืออีกฝ่ายและถลึงตาใส่แต่มาเคย์ล่าไม่ได้สนใจ ยัยจอมโหดทำหน้าเหมือนฮันนิบาล เล็คเตอร์ ที่อยากจะกินเนื้อคนเหลือเกิน และนั่นฟังดูขนลุกชะมัด "เปล่าไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่มีนัดกับโอลิเวอร์น่ะ"

"ว่าไงนะ!!"

"คนน่าขยะแขยงนั่นน่ะเหรอ?" เพื่อนสาวททั้งสองทำหน้าเหมือนพึ่งกินของเสียเข้าไปหลังจากที่ผมบอกว่ามีนัดกับโอลิเวอร์ "ไม่เอาน่า เขาไม่ได้เลวร้าย คิดในทางที่ดีสิ"

"แน่นอนว่าเขาเลวร้ายที่สุด "

"ถูกของฮาร์เปอร์ หมอนั่นน่าขยะแขยง เขาไม่เคยเป็นคนดี ได้ข่าวว่าปาร์ตี้ทุกคืนทั้งที่แม็กทีสพักฟื้นอยู่"

"นั่นไม่ใช่เรื่องของฉัน ถูกมั้ย?" ผมยืดตัวขึ้นพร้อมกับเหลียวหันไปบริเวณสนามรักบี้ด้านหลัง โอลิเวอร์กำลังซ้อมกีฬาอยู่ เขาหยุดทุกการกระทำก่อนจะโบกมือให้ผม และซึ่งแน่นอนว่าผมจะไม่มีวันแสดงความสนใจใดกับเขา

"เลิกส่งสายตาหวานเยิ้มใส่โอลิเวอร์สุดอี๋สักที"

"นี่ฮาร์เปอร์ ฉันไม่ได้พิสมัยหมอนั่น และอีกอย่างเขาน่าอี๋น้อยกว่าครูเห่ยนั่นของเธอเสียอีก ที่ฉันนัดหมอนั่นก็เพราะมีแผนล้วงความลับต่างหากล่ะ"

ทั้งสองคนขยับเขาหาผมโดยอัตโนมัติ ผมเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนสองคนก่อนจะรีบหลุบตาลงมองหนังสือเชอร์ล็อคโฮล์มส์ในมือ

"นายจะทำอะไร ยั่วโมโหแม็กทีสเหรอ?"

"อย่างี่เง่าน่ามาเคย์ล่า..." ผมกลอกตากับประโยคนั้นของเพื่อนสนิท

"งั้นก็บอกมาสิว่านายมีแผนอะไร...นายกับไอ้กอริลลานั่นจะไปไหนด้วยกันคืนนี้?"

ฮาร์เปอร์ก็พูดเกินไป โอลิเวอร์ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างกับกอริลลาสักหน่อย เขาเป็นกัปตันทีมรักบี้ หุ่นดีและบ้านรวย ถึงนิสัยแย่สุด ๆ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้สนใจ อีกอย่างเขาเป็นพวกเสน่ห์เหลือร้ายใคร ๆ ก็ชอบดวงตาสีเขียวธรรมชาติของเขากันทั้งนั้น

"ฉันจะไปล้วงความลับบางอย่างจากปากของโอลิเวอร์ ฉันว่าแม็กทีสต้องบอกอะไรกับเขาไม่มากก็น้อย"

"เรื่องไหน เจน พอตเตอร์น่ะเหรอ"

สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดขึ้นมาเสียงอย่างนั้น ผมโน้มลงต่ำเพื่อกระซิบเสียงแผ่ว กลัวว่าใครจะมาได้ยิน

"นั่นก็ด้วย แต่รวม ๆ แล้วก็เรื่องของเคย์ตันน่ะ ฉันว่าแม็กทีสจะต้องระบายเรื่องทุกอย่างกับหมอนั่น ฉันรู้จักแม็กทีสดี เวลาหมอนั่นมีแฟนก็จะชอบเล่าทุกอย่างในชีวิตให้เขาฟัง"

"แล้วยังไง นายตั้งใจจะไปล้วงความลับจากคนไม่น่าไว้ใจนั่นน่ะเหรอ"

"แผนของฉันก็คือการชนแก้วกับเขาและพอเขาเมาฉันก็จะเริ่มง้างปากของหมอนั่นทันที"

"ไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ..." ฮาร์เปอร์ใช้นิ้วคีบหนังสือออกจากมือของผม "แต่โอลิเวอร์สมองกลวงนั่นจ้องจะดูดปากนายอยู่ตลอด นายคิดว่าไงเหรอ?"

"พูดอะไรอย่างงั้น เธอทำฉันขนลุกไปหมด!!"

"สาบานสิว่าไม่รู้ ให้ตายเถอะบารอน อย่าทำอะไรที่เสี่ยงไปมากกว่านี้เลย อีกอย่างนะตอนนี้นายกำลังจะลงชื่อเข้าเป็นตัวแทนนักเรียน อย่าลืมสิว่านายมีคดีแม็กทีสอยู่"

ที่จริงมันก็ถูกของฮาร์เปอร์ ผมยังมีชนักติดหลังซึ่งเรียกว่าขยับไปไหนแทบไม่ได้ พ่อเองก็จับตามองผมสุด ๆ แต่ถึงยังงั้นผมก็ไม่คิดที่จะล้มเลิกแผนล้วงความลับหรอก

"ไหนนายบอกว่าจะถามกับอาเลียมไง"

"ขืนฉันไปถามกับเขา มีหวังพ่อได้รู้แน่ว่าฉันตามสืบเรื่องนี้ อาเลียมสนิทกับพ่อจะตาย" ผมยักไหล่ "อย่าห่วงเลยน่าฉันมีบรูคไปด้วย หมอนั่นน่ะแข็งแรงยิ่งกว่าวาฬบูก้าเสียอีก"

"ถ้าเขาไม่พูด แล้วนายจะทำยังไงล่ะบารอน"

มาเคย์ล่าที่เงียบฟังอยู่นานถามด้วยความสงสัย เธอขมวดคิ้วไม่ยอมเลิกราวกับว่าถ้าผมไม่ตอบเธอก็จะเอาแต่มองผมด้วยสายตาแบบนั้น

"ฉันมีวิธีของฉัน หมอนั่นจะต้องพูดมันออกมาทุกอย่าง"

"แต่ฉันว่านายไม่ควรไปยุ่งกับโอลิเวอร์" ฮาร์เปอร์ถอนหายใจออกมา เธอพูดแค่นั้นเพราะรู้ดีกว่าผมจะไม่เชื่อคำเตือนของเธอ แม้จะรู้ว่านั่นเป็นความหวังดีจากเธอ

"ฟังนะ สองอาทิตย์ก่อนฉันถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรงด้วยเรื่องที่ฉันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจริงหรือเปล่า" ผมว่า

"ฉันไม่มีทางยอมให้ใครมองพ่อฉันเป็นคนไม่ดี ฉันรู้ว่าเขาเป็นพ่อที่ดีและฉันจะต้องหาข้อพิสูจน์ให้ได้"

ผมไม่มีทางปล่อยให้ชื่อเสียงของแคปรินคอร์นต้องเสื่อมเสีย ผมรักวงศ์ตระกูลของผม และมันมีแต่ความภาคภูมิใจทั้งนั้นในการปกป้องแคปรินคอร์น ผมรู้ถึงความคุ้มค่าในการเสียสละครั้งนี้

"ก็ขอให้นายคิดไม่ผิดแล้วกันบารอน..."

แน่นอนสิ ผมคิดไม่ผิดแน่ และผมจะต้องเปิดเผยความจริงเรื่องนี้เพื่อช่วยครอบครัวรอดพ้นจากข้อกล่าวหากทุเรศ ๆ นั่น!

(NEXT)
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅻ 」Attractive (1-2) : Jul 26,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 26-07-2019 21:51:27
「 ⅻ 」Attractive (2)


สองชั่วโมงต่อมา




“ผมไม่มีทางพาคุณไปที่นั่นเด็ดขาด”

ผมวางแก้วชาเลดีเกรย์ลงกับจานรองด้วยความหงุดหงิด บรูค ปาร์คเกอร์กำลังแสดงท่าทางเด็ดขาด พร้อมกับทำสีหน้าเอาแต่ใจใส่ผมไม่ยอมเลิก 

นี่เขากำลังออกคำสั่งกับผมทั้งที่ผมคือเจ้านายของเขา!

"ฉันขอความคิดเห็นนายเมื่อไหร่กัน ฉันสั่งให้นายพาฉันไป"

"ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด คุณฝันไปได้เลย"

ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้โวยวายลั่นร้าน Cafe' Belle ร้านแนวฝรั่งเศสที่ทั้งร้านตกแต่งด้วยสีขาวสลับเทา บรรยากาศร้านมันดีเกินกว่าผมจะโวยวาย

"จะไปหรือไม่ไป?"

“ไม่! และผมไม่มีวันยอมให้คุณไปที่ผับเพื่อนัวเนียกับใครหรอกนะ" บรูคพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง "นอกเสียจากว่าพ่อคุณจะสั่งและคำสั่งของเขามีแค่ให้คุณเข้านอนพร้อมกับซีรี่ย์ Stranger thing"

"บรูค!!"

"หรือคุณจะเอานมน้ำผึ้งอุ่น ๆ ด้วยก็ได้ ผมจะบอกมารีน่าให้”

บรูคเริ่มทำให้ผมโกรธและเหนือสิ่งอื่นใดคือคำว่าผมควรทำอะไร ทั้งที่คนที่มีสิทธิ์ที่จะสั่งว่าผมทำอะไร ก็คือตัวผมเอง

เพราะผมคือบารอนยังไงล่ะ!!

“น้อย ๆ หน่อยเถอะ ฉันจะทำอะไรหรือจะไปที่ไหนนายมีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ฉันไปหรือไง”

“คุณหนูครับ พ่อกับแม่คุณสั่งกักบริเวณคุณอยู่นะ แค่ผมพาคุณมาร้านไอศกรีมนี่ถือว่าขัดคำสั่งของเขามากแล้ว” เขาสบถอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน ก่อนจะทิ้งช้อนไอศกรีมลงกับถ้วยด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด

“เลิกพูดจาเหมือนฉันทำอะไรร้ายแรงได้มั้ย"

"แล้วมันไม่ร้ายแรงตรงไหน ที่นั่นอันตรายจะตายไป"

"ฟังนะ เลิกพูดมาก! ฉันอุตส่าห์พามาเลี้ยงไอศกรีมที่อร่อยที่สุดเพื่อขอให้นานช่วยนะ ลืมเรื่องราคาไปได้เลย เพราะถ้านายจ่ายเองคงต้องเจียดเงินมาจ่ายค่าไอติมถ้วยหนึ่งแทบกระอักเลือด”

 เขากอดอกและแสดงสีหน้าเหมือนเดิม

“ฉันแค่พูดไปอย่างงั้นเอง เรื่องไอศกรีมยังไงฉันก็ไม่ให้นายเลี้ยงหรอกน่า เลิกทำหน้าบึ้งได้แล้ว” ผมยิ้มบอกราวกับกำลังยืนยันว่าเขาจะไม่เสียเงินสักแดงเดียวกับไอติมถ้วยละ 50 เหรียญ 

"ผมไม่ได้หน้าบึ้งเพราะเรื่องนั้น!"

"ฉันบอกความลับให้ก็ได้..." ผมทิ้งตัวเองดับการจิบชายามเย็นและลิ้มรสส้มกับมะนาวในเลดี้เกรย์ ผมจะต้องใจเย็นกว่านี้หน่อย ถ้าต้องพึ่งพาเขาน่ะนะ... "เผื่อนายจะได้ไม่คิดว่าฉันกำลังทำเรื่องไร้สาระแน่ ๆ”

“เชื่อเถอะว่าทุกสิ่งที่คุณทำไม่เคยห่างไกลจากคำนั้นเลย”

"ฉันจะไปหาความจริงจากโอลิเวอร์ และฉันจะต้องกู้ชื้อเสียงของพ่อกลับมา ทีนี้นายเข้าใจหรือยัง!!” ผมควบคุมตัวเองด้วยการตักไอศกรีมรสวานิลลาเข้าปาก ให้ตายเถอะ! ทำไมบรูคต้องคอยมาจับผิดผมด้วย เขาทำเหมือนผมเป็นเด็กไม่รู้จักโต!

“ถ้าพ่อแม่คุณรู้เข้า ผมมีหวังโดนไล่ออก รวมถึงทุกคนด้วยบารอน"

"นายก็พูดเกินไป พวกเขาไม่มีทางรู้หรอกน่า วันนี้พ่อกับแม่มีดินเนอร์กับลูกค้าคนสำคัญที่นอร์ดิส ใช้เวลาเดินทางก็นานกว่าจะกลับ เพราะงั้นทางสะดวก” ผมโน้มลงไปกระซิบและเหยียดยิ้มส่งไปให้อีกฝ่าย

ความฉลาดของผมเป็นเลิศ ไม่ต้องให้ใครชมผมก็รู้ตัว :)

“คุณกำลังหาเรื่องใส่ตัวนะ รู้มั้ยว่าเด็กแบบพวกคุณมักจะคิดว่าตัวเองทำอะไรรอบคอบเสมอ ทั้งที่สุดท้ายแล้วผู้ใหญ่จะจับได้” นอกจากบรูคจะเป็นคนจุ้นจ้านจอมยุ่งแล้ว เขายังเป็นตาแก่ขี้บ่นอีกด้วย เชื่อเขาเลย 

"ผมไม่ไว้ใจโอลิเวอร์ คนประเภทไหนจะปาร์ตี้กับคนที่ชกหน้าแฟนตัวเอง"

"เพราะคนที่ชกแฟนเขาคือบารอน เดอเรอกูล แคปปรินคอร์นไงล่ะ!" ผมเผลอยิ้มตอนที่บรูคหัวเสียกับชื่อโอลิเวอร์ 

"เราไม่ตลกกันสักนาทีได้มั้ยครับ ผมซีเรียสนะ ขอร้อง..."

"โอเค... ฉันจะกลับให้ทันเวลาตกลงมั้ย?” ผมตัดปัญหาพร้อมกับโบกมือไล่ความงี่เง่าของเขาไป ดื่มด่ำกับชาและไอศกรีมรสชาติหวานลิ้น

“มันไม่ใช่เรื่องนั้นบารอน คุณควรเลือกที่จะเชื่อฟังคำพูดของผู้ใหญ่บ้าง”

“ถ้าเป็นนายก็คงจะอยากช่วยครอบครัวเหมือนกัน สมมุติว่ามีคนมากล่าวร้ายพ่อนาย นายจะยังนิ่งและใจเย็นแบบนี้อยู่มั้ย"

"คุณหนู..."

"นายจะทำยังไง?” ผมถามกลับ ก่อนที่ความเงียบระหว่างเราจะเริ่มต้นขึ้น

 ผมอุตส่าห์ขอร้องให้ช่วยแต่ดูสิ่งที่เขาทำสิ เอาแต่ยืนยันว่าจะไม่ให้ผมไปไหน เขาแสดงออกว่าผมดื้อรั้นซึ่งนั่นไม่จริงเลย ผมน่ะฟังคำตักเตือนของทุกคนและแค่ต้องอยู่ภายใต้เหตุผลของผมเท่านั้น

"ฉันไม่มีวันนอนหลับได้สนิทหลังจากที่แม็กทีสพูดเรื่องของพ่อ และถ้าวิธีนี้จะทำให้ฉันรู้ความจริงทั้งหมด ฉันก็ยินดีที่จะทำ"

“งั้นถ้าความจริงเป็นสิ่งที่ตรงกับแม็กทีสบอกคุณจะทำยังไงคุณหนู เขาถอนหายใจและพูดต่อ “สำหรับผม ถ้าพ่อกับแม่บอกว่าไม่ก็คือไม่ และอะไรก็ตามที่พวกเขาสั่งไม่ให้ทำ ผมก็จะไม่ทำ”

“เป็นเด็กดีมากปาร์คเกอร์”

ผมปรบมือและส่งยิ้มประชดประชันไปให้เขา ในเวลาที่ความคิดและอุดมการณ์ของพวกเราไม่ตรงกัน มันจะต้องมีบ้างที่ความขัดแย้งเกิดขึ้น

ผมไม่ใช่คนที่ขัดคำสั่งพ่อกับแม่ แต่เรื่องนี้ยกไว้เป็นกรณีพิเศษ

“อะไรกัน...ปาร์คเกอร์เหรอ ไม่เอาน่า วันก่อนคุณยังเรียกผมว่าบรูคอยู่เลยจำได้มั้ย เสียงเบาและหวิวกว่านี้ด้วย”

“พูดบ้าอะไรของนาย!!”

“ทำไม? คุณจำไม่ได้เหรอว่าเราใกล้ชิดกันแค่ไหน...” เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยที่หน้าแข้งของผม ผมเหลือบมองไปยังใต้โต๊ะก่อนจะรีบชักเท้าหนี

บรูคส่งยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับโชว์ลักยิ้มละลายใจ

“อย่าลามปาม”

“คุณนี่ร้ายนักนะ ยั่วยวนให้คนคลั่งจนแทบบ้า วันต่อมากลับทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น” เขาไม่ได้เอ่ยตำหนิ แต่ในน้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ดวงตาสีฟ้าขุ่นสบมองผมในระหว่างที่ผมปล่อยให้เขาเอื้อมมือมาลูบที่ขาอ่อนของผม

บอกเลยว่าที่ยอมน่ะมันเพราะผลประโยชน์ทั้งนั้น!!

“ก็ถ้าช่วยฉันคืนนี้...” ผมตักช้อนไอศกรีมเข้าไปในปากแลบลิ้นยาว ๆ ออกมาลิ้มรสความหวานของรสชาติวานิลลาที่ปลายช้อน ก่อนจะใช้ฟันกัดเน้น ๆ ที่ลูกเชอร์รี่สีสุด จากนั้นก็ใช้ปลายลิ้นเลียวนรอบริมฝีปากจนบรูคที่จ้องมองอยู่ถึงกับหน้าแดงเพราะความนัยที่รู้กันสองคน

“ฉันมีรางวัลให้นายสำหรับความช่วยเหลือเหล่านี้ ไม่ว่าอะไรที่นายขอ มันจะเป็นของนาย”

ประโยคนั้นทำให้บรูคเผลอกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว และพอเขาตั้งสติได้ก็ทำทีกระแอมกระไอพร้อมทั้งยืดตัวตรง “คุณกำลังพยายามติดสินบนผมอยู่เหรอ?”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย นายจะได้รางวัล ส่วนฉันได้ความจริง Win win”

ผมส่งยิ้มกับอีกฝ่าย ก่อนจะอมช้อนไอศกรีมแล้วดูดมันเข้าไปลึก ๆ ส่งสายตาที่แฝงไปด้วยการเชิญชวนและนั่งคงทำเขาเสียอาการไปเลยทีเดียว

"ไหนลองบอกมาสิว่ารางวัลที่ว่ามันน่าสนใจแค่ไหน?"

“ฉันรู้ว่ามีบางอย่างที่รสชาติหวานกว่าวานิลลา...” ผมงัดช้อนออกจากปาก แกล้งใช้ปลายลิ้นเลียที่รอบริมฝีปากช้า ๆ “เพราะงั้นฉันจะถามอีกครั้งนะบรูค ปาร์คเกอร์ นายอยากทำผิดกฎเพื่อช่วยฉันอยู่มั้ย"

สุดท้ายบรูคก็ยักไหล่และพยายามเก็บอาการเขินอายของเขาเอาไว้ แต่มันไม่แนบเนียนเอาเสียเลย :)

“เลิกทำหน้าตายั่วยวนเหมือนนางเอกหนังเรทอาร์สักที อีกอย่างคนผ่านไปผ่านมาได้สติแตกกันเพราะคุณพอดี!”

“นายกล้าเปรียบเทียบฉันแบบนั้นเลยเหรอ!!!”

ใครว่าผมจะไปเหมือนนางเอกหนังเรทอาร์พวกนั้น ผมคือราชินีนะ และโปรดรู้ไว้ว่าราชินีโอเมก้าเซ็กซี่และเย้ายวนกว่าอยู่แล้ว!

"ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าคุณแดงแปลก ๆ นะ” 

ผมว่าคนที่หน้าแดงอยู่ตอนนี้คือเขาต่างหาก “กลิ่นคุณวันนี้มันประหลาดกว่าทุกวันนะ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันไม่เหมือนเดิม”

“ฉันเหรอ...คงฮีทอยู่ละมั้ง” ผมตักไอติมเข้าปากอย่างเซ็ง ๆ เลิกใช้วิธีการหว่านเสน่ห์เพราะดูท่าจะไม่ได้ผล เมื่อบรูคเปลี่ยนเรื่องพูดแทน

“คุณฮีทแรกหรือเปล่า”

“เปล่า นายจะบ้าหรือไง ฉันอายุสิบหกแล้วนะจะฮีทแรกได้ไงกัน”

ปกติโอเมก้าที่ไหนจะฮีทเกินสิบห้ากันล่ะ มีก็แปลกมากแล้ว ในบรรดาโอเมก้าที่ผมรู้จักไม่มีใครฮีทช้าเกินอายุสิบหกสักคน ผมถือว่าช้าสุดในบรรดาเพื่อน ๆ แล้วล่ะมั้ง

“ก็ไม่เห็นแปลกเนี่ย โอเมก้าฮีทช้าก็มีเยอะแยะไป สมัยแม่ผมยังหนุ่ม เขาก็ฮีทตอนอายุยี่สิบต้น ๆ เลยนะ”

“แบบนั้นฟีโรโมนพังแล้วหรือเปล่า” ผมยิ้มซื่อ ๆ ส่งไปให้เขา เท้าคางลงกับโต๊ะและใช้เท้าวางทับอยู่บนหลังเท้าใหญ่ ๆ ของเขา มันให้ความอบอุ่นแปลก ๆ ดีเหมือนกัน มือของบรูคไม่ได้ซุกซนอยู่ที่บริเวณขาอ่อนของผมแล้ว

แอบรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ที่เขาไม่ลวนลามผม...

“พูดอะไรกัน ถ้าพังเขาจะมีผมได้ไง”

“ฉันจะไปรู้เหรอ”

“คุณหนู คุณกำลังอยู่ในช่วงฮีท มันอันตรายไปหรือเปล่าที่จะออกไปสถานที่แบบนั้น” มันเป็นครั้งแรกที่บรูค ปาร์คเกอร์กำลังใช้สายตาอ้อนวอนกับผม แต่เมื่อคนอย่างบารอนต้องการอะไรแล้วก็จะต้องได้ ผมไม่มีทางเปลี่ยนใจ อย่างไรเสียผมจะต้องหาทางพิสูจน์ตัวเองและครอบครัว!

“ฉันมียาคุมและยาฉีด ไม่มีเรื่องให้ต้องกลัว อีกอย่างนะบรูค เราจะมีเงินไปทำไม ถ้าไม่มีปัญญาดูแลความปลอดภัยตัวเอง”

“แต่มันก็เสี่ยงอยู่ดี”

“นี่อย่าคิดมากน่า ฉันดูแลตัวเองได้ และมันไม่เลวร้ายอะไร อีกอย่างนะฉันมีนายนี่ ใช่มั้ย?” ผมกัดริมฝีปากกลั้นยิ้มงี่เง่าเอาไว้ ผมบอกตัวเองว่าการส่งยิ้มหวาน ๆ แบบนี้มันไม่ควรเป็นบรูค ปาร์คเกอร์ที่ได้รับ

“นายช่วยฉันได้อยู่แล้ว นายชอบจุ้นจ้านจะตายไป”

“คุณคิดงั้นจริงเหรอ” บรูคถอนหายใจออกมายาว ๆ อีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผม ผมกวาดตามองไปรอบข้างก่อนจะชักมือออก ระหว่างเรามันคงจะพิลึกไปหน่อยถ้าผมต้องมานั่งกุมมือกับคนขับรถที่ร้านไอศกรีมราวกับคู่รักที่มาเดตแรก

“ผมไม่อยากพาคุณไป ที่นั่นมีแต่พวกอัลฟ่าป่าเถื่อนและอันตราย คุณควรอยู่ให้ห่างจากสถานที่แบบนั้นไว้”

“ก็เป้าหมายฉันอยู่นั่น โอลิเวอร์นัดฉันให้ไปที่นั่น” ผมตอบอย่างไม่อาจจะเลี่ยงได้...

“ถึงจะอย่างงั้นผมก็ยังไม่อยากให้คุณไปที่นั่นอยู่ดี ผับเหม็น ๆ นั่นนะมันเต็มไปด้วยพวกซอมบี้จ้องกินสมอง”บรูคหยุดพูดและมองผมตาขวางด้วยความหงุดหงิด

"พูดบ้าอะไรแบบนั้น เลิกพูดให้ฉันกลัวได้แล้ว ไม่มีวันได้ผล"

“เอาเป็นว่าถ้าซอมบี้มันกินสมอง คุณคงไม่ถูกมันกินแน่นอน” บรูคหยุดพูดและมองผมตาขวางด้วยความหงุดหงิด

ผมยังคงเท้าคางมองเขาที่พล่ามเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย โดยที่สุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้ก็คือ ‘ไป’ อยู่ดี ต่อให้เขายกเหตุผลสวยหรูอะไรมา มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นของผมได้

ไม่ว่าเขาหรือใคร ก็ไม่สามารถหยุดผมได้ทั้งนั้น



...

ไนต์คลับที่ผมนัดกับโอลิวเวอร์อยู่บนถนนสายที่6 The Eve Bar เป็นลักษณะบาร์กึ่งผับ ด้านบนเป็นบาร์ที่มีดนตรีสด ด้านล่างชั้นใต้ดินเป็นผับที่เปิดหลังมิดไนท์และต้อนรับลูกค้ามากมายหลายระดับ เมื่อก่อนบาร์นี้เคยเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำเรื่องรองเท้าและขนสัตว์ ก่อนที่มันจะถูกย้ายไปที่ถนนสาย City Night Way แถบบริเวณย่านแฟชั่น  

บาร์ The Eve เป็นผับที่ถูกกฎหมาย ภายใต้การดูแลของครอบครัวบรอสซั่ม ครอบครัวของพวกเขาเป็นพวกนักธุรกิจสายเลือดใหม่ กล้าได้กล้าเสี่ยง แม่ของโอลิเวอร์พึ่งจะเปิดบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจบันเทิง และเธอได้กลายเป็นสุภาพสตรีเจ้าของธุรกิจที่เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในโอเวิลซิตี้รองลงมาจากแม่ของผม

หลังจากที่พ่อกับแม่ออกไปดินเนอร์สำคัญกับลูกค้ารายใหม่ที่จะให้กำไรเป็นกอบเป็นกำนั้น ผมก็ใช้เวลาหลังจากนี้เดินทางมาที่นี่ ผมพร้อมกับภารกิจล้วงความลับแล้ว ไม่ลืมที่จะกลิ่นน้ำหอมเพื่อกลบกลิ่นฟีโรโมนในช่วงฮีท สายตาทุกคู่ที่มองมาทางผมซึ่งผมเคยชินกับการเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครไปเสียแล้ว

การแต่งตัววันนี้ของผมถือว่าธรรมดาที่สุด เลือกใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแต่ทุกอย่างลงตัว สวมเสื้อเชิ้ตซีทรูสีดำ ท่อนร่างสวมกางเกงหนังขายาวเข้ารูปที่เข้ากับรองเท้าหัวตัดสีขาวปลายแหลม

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเข้าไปในประตูทางเข้าผับ บรูคคนเจ้าปัญหาก็ฉุดแขนผมเอาไว้

“คุณแน่ใจนะว่าจะเข้าไปที่บาร์นั่นจริง ๆ ดูสิ...ทุกคนมองคุณตาแทบทะลัก”

“ฉันคือบารอนนะถ้าต้องตกใจเวลาที่คนพวกนั้นมองก็คงไม่ใช่ฉันแล้ว!” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ ไม่นึกว่าบรูคจะคิดมากกับแค่คนมองเอง มักเป็นธรรมดาที่ทุกสายตาจะให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวของผมในที่สาธารณะ

ยอมรับเถอะว่าการเป็นแคปรินคอร์นน่ะทำให้เราครอบครองความโดดเด่นและเป็นที่สนใจของทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เสื้อผ้าที่คุณสวมก็...”

“เลิกบ่นเป็นตาแก่สักทีบรูค!!”

“ผมไม่ได้เป็นตาแก่ และอีกย่างคุณไม่ได้เป็นหลานผมแน่นอน” เขาบอกเสียงไม่พอใจและดึงผมให้หลบผู้ชายผิวสีเข้มที่ทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ อัลฟ่าหนุ่มคนนี้กลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไม่พอยังทำตัวเป็นสุนัขดุ ๆ หวงของอีกต่างหาก

“รู้จักเขาเหรอ? หมอนั่นน่ะ” บรูคพเยิดหน้าไปทางผู้ชายที่เดินถอยหลังจากไป

“แลน ทิมเบอร์ตันไง ให้ตายเถอะใครจะไม่รู้จักเขากัน แต่ฉันไม่ได้คบหากับคนแบบนั้นน่ะ เขามันพวกขี้ยาน่ะ” ผมเอามือป้องปากตอนที่กระซิบบอกบรูค จากนั้นก็ส่งยิ้มให้แลนตามมารยาท "ใครจะอยากคบกับคนที่มีฉี่สี่ม่วงตลอดเวลา ว่ามั้ย?"

“ที่ตลกคือคุณรู้จักคนพวกนี้ได้ยังไงกัน?”

“นี่! ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องตอบนาย”

“บารอน...ผมว่าที่นี่มันไม่ปลอดภัย และยิ่งกับเสื้อผ้าคุณก็ยิ่งไม่ปลอดภัยไปใหญ่ คนพวกนี้มีแต่ตัวอันตราย แต่ละสายตาที่มองคุณยังกับจะฉุดคุณไปข่มขืน”

ผมยื่นมือไปผลักผู้ชายคิดร้ายด้วยความหงุดหงิด ไม่มีใครที่ไหนจะมาทำเรื่องแบบนั้นกับราชินีโอเมก้าได้หรอก

“ไม่มีใครไร้อารยธรรมแบบนั้นที่นายคิดหรอกนะบรูค!”

เมื่อเห็นว่าผมเริ่มหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์กับคำพูดนั้น บรูคก็โอบเอวผมเอาไว้ และดันตัวเองชนกับกำแพง สีหน้าของเขาบอกให้ผมรู้ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน

“ผมขอโทษที่พูดกับคุณแบบนั้นบารอน...”

“นายกำลังเหยียดหยามฉันอยู่นะ ต่อให้ฉันสวมใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ไม่ควรมีใครที่จะมีสิทธิ์ที่มาข่มขืนฉัน” เมื่อได้ยินแบบนั้น อีกฝ่ายกำเพียงเม้มริมฝีปากก่อนจะใช้ประคองใบหน้าของผมให้เบนไปทางเขา

“ผมแค่เป็นห่วง เสื้อผ้าที่คุณใส่มันเป็นความล่อแหลม เป็นจุดนำสายตาของอัลฟ่าพวกนั้น สำหรับพวกเขาคุณมนุษย์ในฝูงซอมบี้”

“นายเป็นบ้าอะไรกับซอมบี้นักหนา  อีกอย่างนะนายเลิกขมวดคิ้วสักทีเถอะน่า นายทำให้ฉันหงุดหงิด”

“โอเคผมไม่พูดแล้ว”

ขอบคุณพระเจ้า อย่างน้อยบรูคก็เข้าใจว่าผมต้องการอะไรและเลิกที่จะขัดขวางผม เขาถอนหายใจและเลื่อนมือออกจากเอวของผมพร้อมกับเอ่ยถามว่า “คุณฉีดยารึยัง”

พระเจ้า...ผมลืม...

“อะไร อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้ฉีดมา”

ผมหันไปทางเขาก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ บรูคสบถหยาบคายในขณะที่หันหน้าไปมองรอบข้างที่ส่งสายตามองเราด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาวางมือลงที่ไหล่ของผมและบีบแน่นขึ้น

“แต่ไม่ต้องห่วง ฉันฉีดน้ำหอมมาแล้วไม่เป็นอันตรายอะไรหรอก” ผมกอดอกและเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฉันเป็นราชินีโอเมก้า ฟีโรโมนของฉันควบคุมพวกอัลฟ่าแบบนาย”

"ผมอยากจะบ้าตาย..."

บรูคเสยผมสีเทาของเขาขึ้นด้วยท่าทางงุ่นง่าน เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน บ่งบอกความถึงโทสะที่เริ่มปะทะขึ้น

“ฉันดูแลตัวเองได้ไม่มีใครกล้าทำอะไรบารอนหรอกนะ อีกอย่างถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันนายก็อยู่ตรงนี้ทั้งคน นายคงไม่ปล่อยให้ฉันตกอยู่ในอันตรายหรอก”

“คุณหนู...คุณไม่เข้าใจโลกใบนี้มันมีอันตรายแค่ไหน ที่ผ่านมาคุณอยู่แต่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของพ่อแม่จนไม่รู้ว่าอันตรายน่ะมันมีนับพันรูปแบบ”

นัยน์ตาสีฟ้าขุ่นของเขาทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด แม้เวลาปกติผมจะไม่สนใจคำพูดของเขาแต่นั่นก็ไม่ใช่กับในตอนนี้ 

“เอาเถอะน่า...” ผมพยายามตัดบท เพราะถ้าขืนฟังเขามากกว่านี้ ผมคงใจอ่อนแน่ “ฉันจะดูแลตัวเองได้ นายอยู่ตรงนี้ก็ดูแลฉันด้วยสิ”

“คุณหนู...ไว้มาวันหลังจากที่คุณหายจากอาการฮีทแล้วดีมั้ยครับ”

“แล้วนายไม่อยากได้ร่างกายฉันแล้วเหรอ ฉันติดสินบนนายเรื่องนี้นะ?”

“ผมไม่เอาอะไรเลยก็ได้ถ้ามันจะแลกกับการที่คุณจะไปจากที่นี่...”

ดวงตาสีฟ้าขุ่นสบมองกัน นั่นทำให้ผมรู้ว่าไม่มีทางเอาเรื่องของผมมาล้อเล่น

อะไรกัน...ผมกำลังยิ้มอยู่เหรอ?

“ถ้าผมจะไม่ได้สัมผัสเรือนร่างคุณเพื่อแลกกับความปลอดภัยของคุณ ผมยอม”

“ฉันเชื่อใจนาย ฉันถึงได้มาที่นี่และนั่นเพราะฉันจะได้รับการดูแลอย่างดี ฉันเชื่อแบบนั้น” ผมดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไว้ ดวงตาที่แข็งกระด้างของบรูคอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด 

ผมไม่ได้โกหก ความวิตกกังวลจะจางหายไปทุกครั้งที่เขาอยู่ข้าง ๆ ผม...

“เฮ้อ...เอาเป็นว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ผมจะอัดมันให้เละเลย”

ผมใช้จังหวะที่บรูคกำลังสบถนั่นนี้กระโดดไปคว้าท้ายทอยของเขาลงมาประกบจูบ ริมฝีปากของผมจรดจูบแผ่วเบาแทนคำขอบคุณ ผมแสดงออกในทิศทางตอบแทนน้ำใจคนไม่ค่อยเก่ง หากใช้คำว่าขอบคุณมันคงจะไม่มีทางเกิดขึ้น ผมจึงเลือกที่จะจูบแทนที่จะพูดคำนั้น ซึ่งดูท่าว่าบรูคจะชอบคำขอบคุณผ่านริมฝีปากเหมือนกันนะ

“อย่าจูบทีเผลอสิ...”

“ไว้ทำงานเสร็จแล้วฉันจะให้มากกว่านี้...”

“คุณใจร้ายไปหน่อยมั้ยที่ติดสินบนผมโดยไม่จ่ายเลยสักครึ่งหนึ่ง” บรูคหัวเราะในลำคอและโน้มลงจูบแผ่วเบาที่ข้างแก้มของผม

"จะทำอะไรน่ะ...เดี๋ยวคนมาเห็น"

ผมถูกต้อนให้จนมุมในแผ่นหลังชนกับกำแพงเย็นชื้น อัลฟ่าหนุ่มจอมฉวยโอกาสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และผมไม่มีทางปฏิเสธบรูคได้เลย ไม่มีสักวินาทีเลย บรูคเริ่มจูบผมพร้อมทั้งสอดแทรกปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปาก เราทั้งคู่ตวัดปลายลิ้นร้อนหากันอย่างกระหาย

"ผมขอมัดใจนะ จะได้มีกำลังใจทำงาน" บรูคพูดหลังจากผละออก...

"นายนี่นะ...จริง ๆ เลย"

สุดท้ายผมก็ไม่ขัดขืนอะไรเขา และไม่คิดที่จะทำตั้งแต่ต้น ผมยอมถูกเขาจูบ เขากอดแบบนี้ และนี่คือหลักฐานชัดเจนที่ว่าผมอยากถูกคนขับรถจูบและสัมผัสแค่เพียงคนเดียว!


- - - - - - - -

Talk
 
มาแล้วจ้า มีคำผิด คำสลับขออภัยจริง ๆ จ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา  :katai4: :katai2-1:
ฝากสกีมแท็กได้ที่ #ยูอาร์มายโอเมก้า จ้าาาาาาาาา

หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅻ 」Attractive (1-2) : Jul 26,2019
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 27-07-2019 01:16:32
ว้ายยยย ไม่ได้เข้าบอร์ดพักเดียว ไวไฟกันไปถึงไหนแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅻ 」Attractive (1-2) : Jul 26,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 27-07-2019 01:59:47
หาเรื่องให้บรูคอีกแล้วยัยน้อง
ดื้อสุดๆไปเลย 
เจอความจริงแล้วจะเงิบนะ
แต่จะสังหรว่าคราวนี้จะไปเสียเที่ยวมากกว่า
แต่งตัวล่อเข้ แถมฮีทอีก อิตาบรูคแพ้เมียอี๊กก  ไม่เคยห้ามอะไรได้เล้ย
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅻ 」Attractive (1-2) : Jul 26,2019
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-07-2019 02:27:30
ดื้อมากค่ะน้อง :ling2:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 ⅻ 」Attractive (1-2) : Jul 26,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-07-2019 09:24:08
ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiii 」Dangerously : Jul 28,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 28-07-2019 18:53:45
「 xiii 」Dangerously

(adv.) in a way that is likely to cause problems

or to have adverse consequences.



จังหวะเพลงบีทหนัก ๆ ที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศดังกระหึ่มจนปวดแก้วหู บรูคกับผมจูงมือกันผ่านผู้คนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด บางคนเริ่มมอมเมากับแอลกอฮอล์และการเบียดเสียดของฝูงคนมากมายที่มาเที่ยว เราเดินตามเจ้าของรักษาความปลอดภัยของโซนวีไอพีของไนต์คลับไปที่ชั้นสอง

“พวกเขามาพบโอลิเวอร์ บรอสซั่ม”

"คุณคือ.."

"บารอน แคปรินคอร์น และฉันไม่ต้องบอกหรอกนะว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่หน้าห้องนี้" ผมบอกกับการ์ดสองคนที่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมด้วยชุดสูทสีดำทึบ ๆ พวกเขาหันไปกระซิบกระซาบกันแปปหนึ่งก็หันมาพยักหน้าให้กับผม “เข้าเฉพาะคุณแคปรินคอร์นครับ ส่วนคุณผู้ชายห้ามเข้า”

“ว่าไงนะ?” บรูคถามเสียงขัน ก่อนจะสบถออกมาเสียงดัง “ทำไมผมจะเข้าไปไม่ได้ ผมเป็นผู้ติดตามของคุณหนูแคปรินคอร์น”

“แต่คุณบรอสซั่มอนุญาตให้แค่คุณแคปรินคอร์นเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น”

คำพูดนั้นทำให้บรูคดึงมือผมเอาไว้ และแน่นอนว่าคนที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผมเป็นหลักแบบหมอนี่ย่อมเกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว

"ผมไม่มีทางอยู่ห่างจากคุณ..."

"ใจเย็นน่า คนพวกนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"

"เหรอ? แต่ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น..." เขาทำเสียงเข้มก่อนจะหันไปบอกกับการ์ดตัวใหญ่ตรงหน้า “นี่ฟังนะ ไม่ว่าเจ้านายคุณจะสั่งยังไงผมไม่สนใจ และผมจะเข้าไป”

“กรุณาทำตามคำสั่งของเขาด้วยครับ ไม่อย่างงั้นผมคงต้องเชิญคุณออก”

“งั้นพวกเราจะกลับ ไปเถอะคุณหนู” เมื่อเห็นว่าบรูคเอาจริงผมจึงรีบดึงแขนเขาเอาไว้ ถ้าหุนหันตัดสินใจเท่ากับวันนี้มาเสียเที่ยวนะสิ ไม่ได้หรอก “บรูค!! ฉันกลับไม่ได้ อีกอย่างเรามาถึงนี่แล้วนะ ฉันว่านายรอตรงนี้แหละดีแล้ว..."

"ว่าไงนะ! คุณเสียสติไปแล้วเหรอไง ผมไม่มีทางโยนคุณเข้าไปในฝูงซอมบี้ที่กระหายจะกินสมองของใครสักคนที่โง่ไม่ต่างจากคุณ"

เขาเป็นอะไรกับซอมบี้นักหนานะ วันนี้ผมนับคำว่า 'ซอมบี้' ได้เลย!!

"เลิกพูดจาบ้าบอสักที อีกอย่างฉันจัดการได้ ฉันรู้จักศิลปะป้องกันตัวและสามารถใช้กำปั้น...”

"คุณไม่มีทางสู้แรงอัลฟ่าได้ และนั่นแหละสัญชาตญาณที่ทำให้เราเคยเป็นผู้เหนือกว่า" บรูคบอกเสียงจริงจังและสีหน้าของเขาในเวลานี้ไม่ตลกเลยแม้แต่นิด

“คุณเองก็รู้ใช่มั้ยว่าศิลปะป้องกันตัวพวกนั้นมันเป็นแค่กายกรรมตลก ๆ สำหรับพวกเขาเท่านั้น พวกเขาสามารถบีบคุณได้ด้วยมือเดียว”

“ไม่มีเรื่องแบบนี้ โอเคนะ และสัญญาว่าฉันจะรีบออกมา” ผมตอบและเลี่ยงที่จะต่อปากต่อคำกับเขา

“บารอน...”

"รอตรงนี้ นายเข้าใจคำสั่งแล้ว"

ผมทิ้งท้ายแค่คำนั้น และสุดท้ายบรูคก็ยอมที่จะตามใจผม เขาหลีกทางให้ผมเดินตามการ์ดตัวสูงเข้าไปยังห้องเฉพาะสำหรับคนที่มีนามสกุลบรอสซั่มพ่วงท้าย ภายในห้องเป็นโทนแดงโทนร้อน มีแสงไฟนีออนสลับวาววับไปมาจนทำให้เวียนหัวถ้าเผลอไปจ้องมองนาน ๆ ภายในห้องมืดสลัวจนแทบมองอะไรต่ออะไรไม่ชัด จากตรงนี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนผสมกับเพลง Bad boy ของ Billie Eilish ที่ดังไปทั่วบริเวณห้องขนาด 399 ตารางเมตร

ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวังตัว กลิ่นชื้น ๆ รอบข้างทำให้ผมตกยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้

“คุณบรอสซั่มครับ คุณแคปรินคอร์นมา”

“บารอน พระเจ้า คุณมาแล้ว...” ร่างสูงของโอลิเวอร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินอาด ๆ เข้ามาหาผม เขาตรงมาสวมกอดผมไว้ก่อนจะจูบแก้มผมเบา ๆ เป็นการทักทาย ผมแสร้งยิ้มกับดวงตาสีเขียวขี้เล่นที่มักจะละลายใครต่อใครเสมอ เชื่อเถอะว่าผู้ชายตรงหน้าผมมีเสน่ห์อย่าเหลือล้น แต่ผมจะชอบเขาหรอกนะ แม้ว่าเขาจะหล่อมากแค่ไหนก็ตาม

"มืดไปหน่อยสำหรับการนัดคุยกันของเรา"

"คุยเหรอ...ที่รักคุณไม่รู้หรอกว่าผมไม่ได้คิดแค่คุยแน่ ๆ" โอลิเวอร์เย้าและกอดเอวพาผมมายังที่นั่งด้านใน

"สิ่งที่คุณควรรู้ไว้คือบารอนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือความคาดหมายเสมอ"

“ก็ถูกของคุณ คุณต้องเดาไม่ออกแน่ ๆ ว่าผมตั้งตารอคุณอย่าใจจดใจจ่อแค่ไหน” โอลิเวอร์ทิ้งตัวลงที่โซฟาสีดำตัวใหญ่ แล้วยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างพร้อมทั้งเอามือพาดที่ไหล่ของผม

"ดื่มอะไรดีครับราชินี? "

"ขอเป็นเลม่อนวอดก้าแล้วกัน" ผมส่งยิ้มที่ทำให้คนทั้งโลกสั่นไหว และไม่เป็นข้อยกเว้นแม้กับโอลิเวอร์ก็ตาม

"ได้ที่รัก... เฮ้นาย ฉันเอาเลม่อนวอดก้าที่อร่อยที่สุดมาสิ"

โอลิเวอร์หันไปสั่งบริกรที่คอยดูแลพวกลูกค้าวีไอพีก่อนจะขยับมาใกล้ผม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเกือบทำให้ผมใจสั่น แต่ก็แค่เกือบเท่านั้นแหละ ผมไม่เคยพิศวาสผู้ชายคนนี้ ผมเชิดคางขึ้นและเริ่มแผนการของตัวเองในทันที

"แล้วแม็กทีสเป็นไงบ้าง ผมส่งข้อความหาเขา แต่กลับไม่ตอบกลับมาเลย"

"เราจะสนใจเขาทำไม คุณว่ามั้ย..." โอลิเวอร์ว่าแล้วขยับตัวเข้าใกล้ผมมากขึ้น จากนั้นก็ใช้ลิ้นตวัดเลียที่ใบหูจนผมสะดุ้งกับการกระทำน่ารังเกียจของเขา และเชื่อเถอะว่าเขาจะไม่มีทาแตะต้องผมไปมากกว่านี้

"คุณคาดหวังให้ผมเคลิ้มกับลิ้นร้อน ๆ ของคุณอย่างงั้นเหรอ? "

"แน่นอนว่าผมหวังมากกว่านั้น"

เขาขยิบตาให้ในจังหวะที่เลม่อนวอดก้าถูกวางลงที่โต๊ะกลมสีดำตรงหน้า ผมเอื้อมไปหยิบแก้ววอดก้าใส ๆ ขึ้นมาแนบแก้มของเขา นั่นทำเอาเขาชะงักและรีบผละออก ผมหัวเราะเบา ๆ เพื่อรักษาความตลกร้ายของตัวเอง

"คุณไม่ควรคาดหวังเรื่องแบบนี้กับใครที่ไม่ใช่แฟนนะโอลิเวอร์"

"คุณรู้ดีกว่าผมกับแม็กทีสไม่ได้ลึกซึ้งกันขนาดนั้น ธุรกิจของพ่อผมยังต้องอาศัยเขาอยู่"

"น่าเสียใจจังที่ได้ยินแบบนั้น แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเขาหายดีแล้ว คุณคงไม่พูดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ"

"ก็ไม่แน่..." โอลิเวอร์ยิ้มแพรวพราวและหวังให้ผมตกหลุมรักเขาแบบที่แม็กทีสหรือใครเป็น ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องยากในชีวิตพอ ๆ กับบอกให้เขาเลิกเสพยานั่นแหละ โอลิเวอร์เป็นผู้ชายตัวสูงหุ่นล่ำที่มีสักลายบนหน้าอกและกระดูกเชิงกรานเส้นคมเข้ม เขาสามารถใครหลายคนอยากจะกระโจนเข้าใส่ และเชื่อเถอะว่าความหล่อของเขามันเป็นแค่เปลือกจริง ๆ

“คุณไม่ติดต่อแฟนคุณไปเลยหรือไงนะ?”

"ผมโทรหาเขา แต่เขาไม่ค่อยรับสาย คุณก็รู้ว่าแม็กทีสยังโกรธเรื่องที่ผมแอบไปเชียร์คุณที่ข้างสนามวันแข่งโปโลการกุศลรอบนั้น"

"ฮ่า ๆ ช่างเป็นความเคียดแค้นที่ยาวนาน หวังว่าจมูกของเขาคงหายดีและพร้อมสำหรับการลงโต้วาที"

“อันที่จริงแล้วแม็กก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อวันก่อนผมไปเยี่ยมเขา และแม่ของเขาก็บอกว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว” โอลิเวอร์พูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ดวงตาสีเขียวของเขากำลังเลื่อนมองผมอย่างโลมเลีย "คุณดูสนใจเรื่องของแม็กทีสมากกว่าผมเสียอีกนะ ที่รัก"

“ไม่เชิงหรอก ก็แค่เป็นห่วงนะ อย่าลืมสิว่าผมชกจมูกเขาหัก เป็นใครก็ต้องคิดมากอยู่แล้ว”

"กับคนแบบคุณเนี่ยนะ ไม่น่าเชื่อสุด ๆ พวกคุณแทบจะไม่ใช่เพื่อนกันด้วยซ้ำ"

"เราเคยเป็น ใช้คำนี้ดีกว่านะ" ผมยกแก้วขึ้นมาชนกับเขา พยายามคุยเรื่องของแม็กทีสอย่างเป็นธรรมชาติ จะต้องค่อย ๆ เมาเหล้าเขาและทำให้เขาเคลิ้มกับเสน่ห์ของผม จากนั้นโอลิเวอร์จะต้องพูดหมดทุกอย่าง และผมใช้เวลาตรงนี้กับเขาไม่นานหรอก

“ชกเพื่อนเก่าจนจมูกหัก คุณนี่ร้ายไม่เบาเลยบารอน”

“จะว่าไงดี ผมคงเหมาะกับคำว่าปีศาจไปแล้วล่ะมั้ง” ผมยักไหล่ กระดกแก้วเลม่อนวอดก้าขึ้นดื่มจนหมดรวดเดียว ความร้อนของมันผ่านลำคอไปจนถึงท้อง รู้สึกถึงรสชาติเปรี้ยวผสมขมและนั่นทำให้ร่างกายของผมเริ่มตื่นตัวนิด ๆ

“ว่าแต่ พวกคุณทะเลาะกันเรื่องอะไร?”

“เพราะเขาเอาแต่พูดว่าได้ใกล้ชิดคุณมากกว่าผมน่ะสิ รู้มั้ยว่ามันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ และแม็กทีสยังบอกอีกว่าคุณชื่นชมเขามากกว่าผม” ผมแกล้งซบลงกับไหล่อีกฝ่ายและทำน้ำเสียงตัดพอที่ฟังดูดัดจริตสุด ๆ แต่เชื่อเถอะว่าคนฟังยังโอลิเวอร์น่ะชื่นชอบจะตายไป “ที่รัก ผมไม่เชื่อหรอกนะ...คุณก็รู้ว่าคุณหลอกผมไม่ได้บารอน”

“จะต้องเล่าแบบไหนคุณถึงจะเชื่อผม” ผมเกยคางแหลม ๆ ตัวเองกับอกของโอลิเวอร์ ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายจนเขาชะงักค้างราวกับถูกกระชากลมหายใจ

“เอาแบบไหนดีล่ะ แบบที่เราสองคนจะเล่าด้วยกันทั้งคืนดีมั้ย”

“เรื่องมันยาวนะ...คุณมีเวลาหรือเปล่า” ผมปรายตาและใช้ปลายลิ้นเลียรอบแก้ว พร้อมกับส่งยิ้มมุมปากไปให้ เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะขยับมือหยาบ ๆ มาลูบที่ท่อนแขนของผม และแม้ว่าโอลิเวอร์จะดูดี แต่ผมไม่นอนกับคนทุเรศแบบหมอนี่แน่!!

“ผมมีเวลากับคุณเท่าที่คุณต้องการราชินี...”

“ถ้าผมเล่าจนถึงเช้า เราก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกัน” ผมใช้นิ้วดันริมฝีปากของเขาออก และปรายตามอง “คุณต้องตอบคำถามผมแลกกับการที่ผมจะเล่าเรื่องของผมทั้งคืนกับคุณ”

"คุณนี่ร้ายกว่าที่คิดนะ”

เขายิ้มและเกือบจะฉวยโอกาสจูบผม ดีที่ผมผละออกได้ทัน เขายิ้มมุมปากและไม่ได้ตอแยที่จะเอาจูบผมเป็นการมัดจำ แบบนั้นขยะแขยงตาย!

“งั้นผมขอถามก่อนแล้วกัน ...แม็กทีสเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าให้คุณฟังบ้างใช่มั้ยล่ะ”

“เรื่องไหน? หมายถึงเคย์ตันน่ะเหรอ”

ผมไม่แสดงอาการอะไรออกไปนอกจากพยักหน้าช้า ๆ โอลิเวอร์เริ่มขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิดอย่างหนักกับชื่อนี้...



“เท่าที่ผมจำได้ มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีของแม็กทีสเท่าไหร่ เขาเอาแต่บอกว่าเคย์ตันเป็นพวกน่าขยะแขยงและหยาบคาย แม็กทีสพูดแบบนั้นเสมอ”

“นั่นสินะ คนดีที่ไหนจะไปนอนกับเพื่อนสนิทของแฟน พวกเขาควรไปลงนรกด้วยกันเพราะเหมาะสมกันดี” ผมหันไปยิ้มและจงใจพูดจาเหน็บแนมเขา และดูก็รู้ว่าโอลิเวอร์ไม่พอใจแต่อย่างงั้นก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมาได้เมื่ออยู่ต่อหน้าราชินีแบบผมได้

"ผมไม่คิดมากเรื่องความซับซ้อนของความสัมพันธ์พวกคุณหรอก แต่ที่แน่ ๆ คือผมไม่ได้อยากจะคบกับแม็กทีสมากไปกว่าคุณ คุณอย่าเข้าใจผิดนะ...”

เขาทำยังกับผมอยากจะคบเขามากหรือเกิน เหอะ! คนทุเรศเอ๊ย!

“แต่คุณก็ยังคบกับเขาต่อไป พ่อปากหวาน”

“ฮ่า ๆ ก็ต้องยอมรับว่าแม็กทีสกำลังสร้างค่านิยามแบบโอเมก้าสมัยใหม่ พวกมากีต้ากลายเป็นครอบครัวร่ำรวยที่ก้าวกระโดด และถ้าผมไม่ผูกสัมพันธ์ไว้ก็แย่น่ะสิ”

ผมสบตากับโอลิเวอร์ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน พนันได้ว่าคนเห็นแก่ตัวคนนี้ไม่ได้เห็นอะไรดีไปกว่าผลประโยชน์ ชื่อเสียง และเงินทอง

“ไม่เอาน่า โอลิเวอร์ คุณพูดยังกับว่าแม็กทีสเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าผมอย่างงั้นแหละ”

“ผมเนี่ยนะ ไม่จริงเลย คุณน่ะวิเศษที่สุดชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้เลยรู้มั้ย...”

ผมขนลุกทุกคำพูดของเขา แต่นั่นยังไม่มากเท่ากับการที่อีกฝ่ายใช้มือสาก ๆ ลูบไปตามเอวและสะโพกของผม แม็กทีสควรได้รู้นะว่าผู้ชายคนนี้เป็นพวกฉวยโอกาสและน่ารังเกียจแค่ไหน!

“ถ้าคุณเลือกผม ผมจะเลิกกับแม็กทันทีเลยแหละที่รัก”

“ซึ่งนั่นไม่มีวันเป็นไปได้”

"ต้องมีสิ...มีแน่นอน"

"ผมหมายถึงอย่ามั่นใจว่าผมจะเลือกคุณ โอลิเวอร์" ผมหันไปยิ้มและยืนยันความชัดเจนผ่านแววตา คนอย่างผมไม่มีวันคบกับเขาแน่ ๆ ถึงต่อให้เขาทิ้งแม็กทีสมาหาผม ผมก็จะไม่มีวันเลือกผู้ชายโอลิเวอร์เป็นคนรัก!

“ผมดีกว่าเคย์ตันเยอะ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นเอเย่นต์ค้ายาในผับหรือในโรงเรียนอย่างเขา ผมไม่ได้น่ารังเกียจพอที่จะใช้ชื่อคุณในการสั่งยาโคเคนเป็นตันมาลงในงานวันเกิดหรอกนะ”

"นั่นสิ..." ผมเก็บความตกใจเอาไว้ได้อย่างมิดชิด เรื่องที่ได้ยินมันเหลือเชื่อไปเลย “คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แม็กทีสพูดกับคุณงั้นสิ”

“แน่นอนที่สุด เมื่อก่อนแม็กทีสมักจะบอกเสมอว่าเคย์ตันน่ะเป็นพวกน่ารังเกียจ เขานอนกับคุณไม่ได้ก็เลยมานอนกับแม็กทีสแทน คุณเป็นราชินีโอเมก้าที่วิเศษที่สุดจริง ๆ ผมเชื่อเลย”

"เพราะความใจเด็ดของผมคือหนึ่งในสิ่งที่แคปรินคอร์นเป็น เพราะงั้นผมถึงได้ยืนอยู่เหนือทุกคนเสมอไงล่ะ"

“ผมชอบคนใจเด็ดนี้มาก มันทำให้ผมร้อนวูบวาบไปหมด" เขายิ้มและลูบเบา ๆที่ต้นแขนของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองใกล้ตอนที่ช่องท้องวูบวาบไปกับสัมผัสนั่น มันอี๋จะตายไป ทำไมผมถึงได้รู้สึกแบบนั้นเล่า! "ผมรู้มาว่าแม็กทีสเคยไปเยี่ยมเคย์ตันที่สถานบำบัดอยู่หลายครั้งด้วย อันนี้พ่อผมบอกว่ามันเป็นเพราะเขาเคยมีคดีชกต่อยเจ้าพนักงาน แต่พ่อคุณช่วยไม่ให้เขาติดคุก เพื่อแลกกับการที่เคย์ตันจะไม่ไปเป็นพยานในชั้นศาล”

"พยาน? พยานอะไร"

"พยานว่าคุณเสพยาไง...จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่คุณเคยสั่งให้เคย์ตันเอามาลงในงานปาร์ตี้ อันที่จริงมันคือเฮโรอีนสอดไส้ คุณเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ"

"มันเป็นแค่ขนมที่ทำให้สนุกมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ผมรู้!" ผมรีบบอกและส่ายหน้าปฏิเสธทันที มันไม่ใช่การแก้ตัวอะไร แต่ผมไม่เคยคิดว่านั่นคือยาเสพติด เคย์ตันบอกผมว่ามันเป็นแค่ความสนุกชั่วคราวและมันไม่ได้มีผลร้ายแรงอะไร ผมสาบานได้ว่าตัวเองไม่มีเข้าใกล้ในเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิด

"จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่คุณเข้าใจมันก็แบบนั้นแหละ แต่ในวงการแบบผมหรือเคย์ตัน นั่นคือเฮโรอีนยัดไส้นะ"

"ระ...เหรอ"

ผมตัวชาตอนที่ได้ยินแบบนั้น รู้สึกเหมือนมีค้อนหนัก ๆ ฟาดที่ศีรษะ หรือบางที่นี่อาจจะเป็นคำกล่าวหาของแม็กทีสที่เอาไปพูดให้ผมเสียหายโดยที่ผมไม่เคยรู้ว่าจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์นั่นน่ะมันคือยาสอดไส้ ผมไว้ใจแม็กทีสและเคย์ตัน แต่พระเจ้า...

พวกเขาไม่เคยเป็นอะไรไปมากกว่างูพิษเลย!

“คุณถามเลียม แฮริงค์ตันอาของคุณก็ได้ เขาเป็นคนที่ติดสินบนผู้พิพากษา พ่อของคุณวิ่งเต้นใช้เงินกับทนายหลายคนที่สามารถช่วยให้คดีจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์คืนนั้นปราศจากชื่อของคุณ”

“โกหกน่า...” ผมหน้าถอดสี การมาล้วงความลับครั้งนี้ได้ผลอีกแบบที่เกินความคาดหมาย... "พ่อเนี่ยนะ พ่อของผมไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้"

“เขารู้กันทั้งนั้นแหละ แคปรินคอร์นยิ่งใหญ่แค่ไหน ใครจะกล้าไปสงสัยเล่า แม้แต่ผมก็ยังเห็นว่าคุณเสพยากับเคย์ตันที่งานปาร์ตี้นั่น อีกอย่างนะคุณยังบังคับให้ยัยนั่นเสพยาจนหล่อนช็อกเข้าโรงพยาบาลเพราะหัวใจวายจากการเสพยาเกินขนาด”

“ไม่จริง!!!” ผมร้องเสียงดังอย่างลืมตัว "คุณหยุดพูดจามั่วซั่วได้แล้ว"

เรื่องของเจน พอตเตอร์อีกแล้ว ผมเกลียดที่เธอกลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตผม ในสมองของผม และยิ่งหาคำตอบกับเรื่องของเจนมากเท่าไหร่นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขุดหลุมหาศพตัวเองเท่านั้น

“ไม่เอาน่า ผมพูดตามที่เห็นและผมไม่รู้หรอกว่าจริงหรือไม่จริง” โอลิเวอร์ขยับเข้าใกล้และแววตาน่ารังเกียจของผมกำลังแสดงความบ้าคลั่งออกมาจนน่ากลัว “แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำ คงไม่มีใครเป็นอะไรคืนนั้นว่ามั้ยล่ะ?”

“...”

“อย่าไปคิดมากเลยน่า ผมเข้าใจว่าพ่อแม่คุณก็คงจะอยากปกป้องคุณจากเรื่องพวกนี้ แม้ว่าลูกจะทำแย่แค่ไหนแต่สำหรับคนเป็นพ่อแม่แล้ว ยังไงลูกตัวเองก็ต้องถูกเสมอ”

“ผม...” ผมพูดไม่ออก การหาข้ออ้างหรือคำปฏิเสธเหมือนจะคอย ๆ หายไปพร้อมกับเสียงที่กลืนลงคอ ผมบีบมือกับแก้วเหล้า รับรู้ถึงความสับสนและเดือดดาลของตัวเอง

ผมไม่ต้องการให้ใครมาพูดให้ผมแบบนั้น เรื่องยาเสพติด หรือเรื่องที่ผมทำร้ายเจน เรื่องทั้งหมดผมกลับไม่แน่ใจอะไรเลย ผมไว้ใจใครได้บ้าง ทำไมพ่อไม่เคยบอกผมว่าผมทำอะไรในคืนนั้น ทำไมผมถึงจำไม่ได้เลยว่าตัวเองลงมืออะไรไปบ้าง นี่หรือเปล่าความจริง ความจริงที่พ่อพยายามปกปิดมาตลอด

“ยอมรับเถอะน่าว่าคุณก็เคยทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้น คุณจะไปคิดอะไรมาก เจน พอตเตอร์หายไปจากเมืองนี้สมใจคุณ คุณไม่เคยชอบเธอเลยนี่ แม็กทีสเองก็บอกผม”

โอลิเวอร์หยิบแท่งไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับพลุไฟออกมา ก่อนจะวางมันลงตรงโต๊ะด้านหน้าที่พวกเรานั่ง มันเป็นนาทีที่ผมเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย โอลิเวอร์หันมาส่งยิ้มราวกับผมรู้จักเจ้านี่เป็นอย่างดี “คุณจำไม่ได้จริง ๆ เหรอว่าคุณเจ๋งแค่ไหนคืนนั้น ผมหลงรักความร้ายกาจของคุณนะ”

ความทรงจำคืนนั้นไม่ได้เด่นชัดอะไร ผมคิดว่าดื่มหนักจนจำไม่ได้ และฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ตั้งแต่นั้นแม่กับพ่อไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้อีกเลย ไม่แม้แต่จะบอกว่าผมเหยียบเจนจมดินด้วยวิธีไหน ถึงผมจะเคยเกลียดเจน พอตเตอร์ แต่ผมไม่ได้หวังจะให้เธอตายจริง ๆ เสียหน่อย...

“จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่แท้จริงนะมันเป็นแบบนี้..." โอลิเวอร์เอื้อมมือไปหยิบแท่งยาวที่พันด้วยกระดาษสีขาวสลับแดง หน้าตาของมันเป็นเหมือนกับขนมที่ไม่น่ามีพิษภัยแบบที่อีกฝ่ายบอก “ลองสิ คุณอาจจะได้คำตอบก็ได้ว่าคืนนั้นคุณเมาอะไรกันแน่ ระหว่าง...เฮโรอีนหรือไอ้นี่”

"ไม่ดีกว่า...”

“คุณมาที่นี่เพื่อหาคำตอบ และผมก็มีคำตอบให้คุณ”

ข้อเสนอพวกนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องปฏิเสธ แต่ไม่รู้ทำไมผมกับเกิดความอยากรู้ ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะเมาแค่ไหน จะเป็นเหมือนกับคืนวันล้างบาปเมื่อสองปีก่อนมั้ย ผลข้างเคียงของการใช้จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์จะทำให้ผมมีจุดจบแบบเมื่อสองปีก่อนหรือเปล่า

ผมกลืนน้ำลายลงคอในขณะที่เลื่อนสายตามองไปยังแท่งจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้พร้อมทั้งคะยั้นคะยอให้ผมลองใช้มัน

ในเวลานี้บาดแผลจากอดีตอันเลวร้ายได้กลับมาเล่นงานผมหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“แล้วถ้าเกิดว่าผมควบคุมตัวเองไม่ได้ล่ะ”

“จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์ของแท้มันไม่ได้รุนแรงอะไร ไม่มีฤทธิ์เท่ากับเฮโรอีนด้วยซ้ำ มันทำให้สนุกและหัวเราะได้” โอลิเวอร์ขยับเข้าใกล้ผมมากขึ้น “ถ้าคุณอยากรู้ก็ลองเลย เว้นแต่ว่าคุณขี้ขลาดจนกลัวที่จะค้นหาความจริง”

ขี้ขลาดเหรอ ใครก็รู้ว่าคนอย่างผมห่างไกลจากคำนั้นเยอะ และผมมาถึงที่นี่เพื่อหาความจริง เพราะงั้นถ้านี่คือปริศนาผมเจอกุญแจดอกแรกที่พาผมไปสู่ความจริงด้านหลังประตูบานนี้


(NEXT)
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiii 」Dangerously : Jul 28,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 28-07-2019 18:55:22
「 xiii 」Dangerously (2)
....

บรูค ปาร์คเกอร์ นั่งไม่ติดเก้าอี้มาชั่วโมงกว่าแล้ว เขาเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ เบียร์ขวดสีเขียวในมือถูกยกกระดกจนหมดเกลี้ยงไปหลายขวด และแม้แต่เสียงเพลง In my Feeling ของ Drake ก็ไม่ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายเลยแม้แต่นิด

เขาไม่มีวันใจเย็นอีกต่อไป ถ้าบารอนหายไปนานขนาดนี้ บรูคคิดว่าเขาไม่ควรละเลยที่จะตามหา

"ให้ฉันเข้าไปหาคุณหนูแคปรินคอร์น" บรูคตัดสินมาที่ห้องวีไอพีงี่เง่านี่อีกครั้ง และครั้งนี้เขาไม่มีวันยอมกลับไปโดยไม่ได้เอาบารอนออกมาด้วย

“เสียใจด้วย เขาไม่ได้สั่งให้คุณเข้าไป”

“หลีกไปน่า!”

“เฮ้...คุณเข้าไปไม่ได้”

“ฉันจะเข้าไปดูคุณหนู พวกนายหลบไปดีกว่า”

“ไม่ได้ คุณบรอสซั่มสั่งไว้”

“ไอ้เด็กนั่นจะพูดอะไรก็ช่างหัวมันสิ หลีกไป ฉันบอกหลีกไป!!” บรูคไม่สบอารมณ์สุด ๆ แอลกอฮอล์ทำให้เลือดเขาร้อน อัลฟ่าหนุ่มปัดป้องมือบอดี้การ์ดตัวโตออก “ฉันจะเข้าไปหาบารอน หลีกทางไป!!”

“อย่าหยาบคายสิพวก ฉันให้นายเขาไปไม่ได้”

“เงียบปากไปซะ!!” บรูคใช้ฝ่าเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องอีกฝ่ายก่อนจะปล่อยหมัดชกเข้าที่หน้าการ์ดอีกคน พวกเขาตกใจที่จู่ ๆ บรูคก็เสียสติขึ้นมาเสียอย่างนั้น บรูคผลักประตูเหล็กเข้าไปก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปข้างในห้องนั้น!

"คุณหนู...!!! โอ้พระเจ้า!! "

ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของบรูคหล่นไปกองกับพื้น เขาลืมวิธีหายใจไปชั่วขณะ ความโกรธปะทุขึ้นอย่างไม่สามารถกักเก็บไว้ได้อีก

“นายทำอะไรบารอน!!!”

ดวงตาที่เคยสุขุมคู่นี้ตอนนี้เต็มไปด้วยโทสะ กลางอกของเขาเต้นแรงรัวด้วยความโกรธ บรูคสัมผัสได้ถึงเส้นเลือดที่ไหลเวียนภายในร่างกาย “แกทำอะไรบารอน!!”

“ฉันเปล่านะ เขาเมายา เขาเสพมันเอง ฉันแค่...”

บรูคไม่รอให้ไอ้เด็กบ้ารวยนั่นพูดมากกว่านี้ เขากระชากคอเสื้อโอลิเวอร์และเขย่าจนศีรษะสั่นคลอน “แกทำอะไรเขา แกทำบ้าอะไรกับบารอน!!”

“ฉันเปล่า...โอ๊ย”

“ไอ้สาระเลวเอ๊ย!!” เขาสบถถามเสียงดัง สาว ๆ ที่อยู่ในห้องพากันกรีดร้องและวิ่งหนีออกมา ดูเหมือนในตอนนี้คนขับรถของคุณหนูแคปรินคอร์นสติแตกแล้ว และถ้ายังไม่ได้คำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นบารอน เชื่อว่าพวกเขาทุกคนในนี้เดือดร้อนแน่

“ไอ้พวกสวะ แกอยู่ให้ห่างเขาไว้นะ ฉันเตือนพวกแกแล้ว!”

“แล้วแกเป็นใครวะเนี่ย!”

 บรูคไม่พูดพร่ำมากความ เขาปล่อยหมัดใส่กรามโอลิเวอร์จนเจ้าคนทุเรศล้มลงไปกองกับพื้น โทสะที่เดือดพล่านของเขากำลังปะทุในเวลาอันรวดเร็ว

“ระยำ!! แกทำแบบนี้ได้ยังไงหะ!!!”

“เวรเอ๊ย...แกต่อยฉัน ไอ้สารเลว”

บรูคไม่สนใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะสบถด่าเขาคำไหน เขาเตะเข้ากลางลำตัวจนโอลิเวอร์ที่กำลังจะพยุงตัวจากพื้นฟุบลงไปอีกรอบ คนที่สติแตกรีบเดินเข้าไปหาคุณหนูของเขาที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ บรูครีบถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำเน่า ๆ คลุมทับลงบนร่างท่อนบนที่เกือบจะเปลือยเปล่าของบารอน กลิ่นกายของโอเมก้าในตอนฮีททำเอาบรูคเกือบสติหลุด แต่นั่นยังไม่เท่ากับภาพที่โอลิเวอร์พยายามโลมเลียราชินีของเขา!!

ไอ้เด็กทุเรศพวกนี้ต้องได้บทเรียน!!

บารอนพึมพำไม่เป็นภาษาและแววตาที่เลื่อนลอยของราชินีโอเมก้าทำให้บรูคกัดกรามแน่นขึ้น เขาไม่มีวันให้อภัยคนสารเลวพวกนี้แน่ ๆ อาการแบบนี้ดูก็รู้ว่าบารอนไม่ได้เมาเหล้า แต่มันเป็นอาการของคนที่เสพยาเกินขนาด

“อยู่นี่นะ..ผมขอจัดการมันก่อน”

บรูคกำมือจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนท่อนแขนและกำปั้น ก่อนจะคว้าเอาขวดบรั่นดีที่วางเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้นขึ้นมา แล้วพึ่งเข้าไปหาโอลิเวอร์จากนั้นก็กระหน่ำฟาดลงบนศีรษะโดยที่โอลิเวอร์ไม่ทันตั้งตัว บรูคบ้าระห่ำชนิดที่ไม่สนใจว่านามสกุลของเจ้าเด็กคนนี้จะทำอะไรกับอนาคตของเขาได้บ้าง!

“แกทำอะไรกับเขา!!”

“ไอ้บ้าเอ๊ย เลือด พระเจ้า...โอ๊ย!” โอลิเวอร์กุมมือตัวเองบนศีรษะที่เลือดไหลนองอาบครึ่งหน้าของเขา บรูคไม่มีแววตาปรานีแม้แต่นิด กลิ่นคาวเลือดของโอลิเวอร์ฟุ้งไปทั่ว และตอนนี้เขาไม่สามารถหยุดตัวเองได้เลย บรูคกระทืบโอลเวอร์จนอีกฝ่ายนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น

บรูคคว้าคอเสื้อโอลิเวอร์มาแล้วกระหน่ำหมัดใส่หน้าของอีกฝ่ายที่ไม่มีแรงจะตอบโต้ เสียงกระดูกกระทบกับใบหน้าของโอลิเวอร์ขี้ยาดังไปทั่วห้องเสพยาใต้ดินนี้ โอลิเวอร์แน่นิ่งไปพร้อมกับเลือดแดงสาดที่ไหลหนองพื้น บรูคปล่อยร่างคนหมดสติ แล้วจึงตรงเข้าไปช้อนร่างบารอนขึ้นจากโซฟาก่อนจะเดินหนีออกจากห้องนี้ไปทางออกประตูด้านหลัง

เขาสบถซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมทั้งแนบใบแก้มลงกับเส้นผมสีแดงที่ยุ่งเหยิง คนในวงแขนกำลังละเมอด้วยคำพูดที่ฟังไม่เป็นศัพท์  “ผมจะพาคุณไปจากที่บ้า ๆ นี่” ใบหน้าซีดเซียวของบารอนยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นตัวเอง

บรูคตกเป็นเป้าสายตาทั้งทีที่อุ้มราชินีโอเมก้าออกมา แต่เขาแทบไม่สนใจ บรูคเดินชนคนที่ขวางทางจนกระเด็นด้วยความรีบร้อน ใจหนึ่งเขาโกรธตัวเองจนแทบบ้า และอีกใจคือเขาโกรธที่เด็กคนนี้ดื้อรั้นจนได้เรื่อง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมากแค่ไหน แต่กับสถานการณ์แบบนี้เขากลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าครั้งไหน

บารอนเสพยาเกินขนาดและร่างกายของเด็กคนนี้คงรับไม่ไหว เขาจะต้องพาบารอนไปโรงพยาบาล บรูคพาบารอนมาที่รถก่อนจะรีบกดโทรหาตัวช่วยเดียวที่เขามี

...พ่อบ้านหยางเกา

[ครับ...]

“พ่อบ้านหยางครับ ผมเองบรูค ผมมีเรื่องต้องให้คุณช่วย ด่วนที่สุด” เขาพยายามจะไม่ตื่นตระหนก แต่ว่ากลับทำไม่ได้จริง ๆ

[ครับมิสเตอร์ปาร์เกอร์ เกิดอะไรขึ้น? คุณอยู่ที่ไหน...]

“ผมอยู่ที่ The Eve bar กับคุณหนู เราเกิดเรื่อง...” บรูคแค่อธิบายให้กระชับที่สุดกับสถานการณ์ที่ไม่มีเวลาสำหรับรายละเอียดมากนัก และเมื่อพ่อบ้านหยางฟังทุกอย่าง เขากลับดูมีสติที่สุดและรู้ว่าอะไรที่ควรทำก่อนและหลัง พ่อบ้านหยางสั่งให้บรูครอทีมรถพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่จะเข้าไปรับ ไม่ให้ขับรถเองเพราะมันอันตรายเกินไปสำหรับคนที่พึ่งขาดสติแบบบรูค

พ่อบ้านหยางทำงานกับตระกูลแคปรินคอร์นมานาน เขารู้กระบวนการจัดการปัญหาได้ดีกว่าเด็กแบบบรูคแน่ ๆ

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษบารอน” บรูคแนบหน้าลงกับใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย พร่ำบอกประโยคขอโทษที่บารอนไม่ได้ยินมันแล้ว เขาภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เขาภาวนาให้บารอนปลอดภัยมันเป็นสิ่งเดียวที่บรูคทำได้...

"ผมขอโทษ ได้โปรดอย่าเป็นอะไรไปนะ..."

บรูคไม่อยากเห็นบารอนต้องมีสภาพแบบนี้ บารอนควรอยู่ในพื้นที่สว่าง ๆ ในแบบน่าหมั่นไส้มากกว่าที่จะเข้าไปยุ่งกับพวกยานรกนี่!

 เขาจะไม่มีวันปล่อยให้บารอนต้องตกอยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว และขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยมือจากบารอนอีกเด็ดขาด!





Talk

น้องมาแล้วววววววววววววววว เอาเป็นว่าจะลงให้อาทิตย์ละสองตอนแล้วกันนะคะ

หรือเดือนละสองครั้งดี 555555555555555555 เอาที่สะดวกก็ประมาณเดือนละสามครั้งเนาะ ดีล!!

มีคำผิดคำสลับขออภัยน้าาาา ฝากน้องด้วยจ้า

หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiii 」Dangerously : Jul 28,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-07-2019 00:08:50
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiii 」Dangerously : Jul 28,2019
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-07-2019 02:28:05
ไม่โทษบรูคแน่ๆอ่ะงานนี้
เกินไปมากจริงๆบารอน ตั้งแต่ดันทุรังที่จะมา  :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiii 」Dangerously : Jul 28,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-07-2019 09:33:55
เกิดเรื่องจนได้
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 29-07-2019 15:33:32
「 xiv」

Soulmate

(N.) a person ideally suited to another as a close friend or romantic partner.





ผมไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาล และไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษนอกจากไม่ชอบ และสิ่งหนึ่งรองลงมาจากกลิ่นของมัน ก็คงเป็นเสียงของพยาบาลอย่างซีลีน ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องเข้ามา ผมก็รีบนอนตะแคงข้างใส่เธอทันที

“ดอกไม้ดอกที่พันของวันนี้ค่ะ” ซีลีนมีดวงตาโปน ๆ กับผมสีดำที่มัดไว้ด้านหลัง ริมฝีปากพร่ำบ่นเรื่องดอกไม้ที่คนทั้งหลายเอามาเยี่ยมผม และนั่นไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยที่จะเกิดมาเป็นที่รักของคนทั้งเมือง

หลังจากวันนั้นพ่อบอกว่าให้ทุกคนเข้าใจว่าผมเกิดประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล และไม่มีข่าวเกี่ยวกับการถูกล่วงละเมิดและยาเสพติด พ่อโกรธแทบคลั่งตอนที่รู้ว่าโอลิเวอร์จงใจใช้จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์กับผม ผมได้แต่ภาวนาให้เขาจัดการกับอีกฝ่ายอย่างออมมือที่สุด แม้ผมจะอยากฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ก็ตามที

“คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าดอกไม้พวกนี้มันแทบจะทับฉันตายได้เลยค่ะ มันเยอะมาก”

“งั้นเธอก็เอาไปจัดการสิ เอาไปทำอะไรก็ได้ ฉันยกให้” ผมบอกแบบนั้น และเธอก็ไม่วายจะกระแนะกระแหนผม “คุณน่าจะคิดถึงน้ำใจคนที่เข้าเอามาให้คุณบ้างก็ได้ค่ะ” ซีลีเดินเข้ามาเอาเครื่องวัดความดันสอดเข้าข้อพับของผม เธอยืนทำหน้าน่ารำคาญในระหว่างที่เครื่องเริ่มทำงาน

“ขอบคุณที่เธอย้ำกับฉันนะ อย่างงั้นเธอช่วยเอามันออกไปพร้อมเธอเลยละกัน ฉันชักไม่แน่ใจว่าเหม็นอะไรกันแน่ระหว่างเธอกับดอกกุหลาบ”

“เอาเถอะค่ะ ฉันจะจัดการกับพวกดอกไม้นี่แล้วกัน”

ดอกกุหลาบสีขาวเหล่านั้นถูกส่งมาเพื่อให้กำลังใจผม ตั้งแต่วันเกิดเรื่องผมยังไม่เจอหน้าบรูคเลย พ่อบ้านหยางไม่ได้บอกอะไรกับมารีน่า แม้ว่าเธอจะพยายามถามเกี่ยวกับเรื่องของบรูคก็ตาม

"ความดันปกติ อีกไม่กี่วันคุณคงได้กลับบ้านแล้ว และกองดอกไม้พวกนั้นคงไม่รบกวนคนอื่น”

หลังจากที่เธอดูแลความเรียบร้อยของผมแล้ว เธอก็เก็อช่อกุหลาบงี่เง่านั่นออกไปด้วย ผมรู้ว่าความจริงเธอคงจะเก็บเอาไว้ขายให้คนที่มาเขียนกำลังใจส่งให้ผมด้านล่าง



 ก๊อก ๆ

“ถ้าเธอยังไม่เลิกเปิดเข้าเปิดออกฉันจะสั่งย้ายเธอไปที่ชั้นล่าง...” ผมหันไปบอกเสียงหงุดหงิดเพราะคิดว่าซีลีนยังก่อกวนไม่เลิกแต่ทว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือ...บรูค

“บรูค!! พระเจ้านายจริง ๆ ด้วย!”

ผมดันตัวขึ้นจากเตียง “นายไม่มาเยี่ยมฉันเลย หายไปไหนมา”

“ผมมีธุระนิดหน่อยครับ แล้วคุณล่ะเป็นไงบ้างครับ อาการดีขึ้นบ้างมั้ย” บรูคยิ้มและวางดอกทิวลิปสองดอกลงบนหัวเตียง ผมคว่ำปากลงพร้อมทั้งชูสายน้ำเกลือขึ้นให้เขาดู “มันก็ไม่แย่เท่าไหร่ พ่อบอกพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

“นั่นก็ดีแล้วแหละ...”

“จริงสิ...ว่าแต่นายล่ะเป็นอะไรมั้ย ได้ยินมาว่าพ่อเรียกนายเข้าพบ เขาไม่ได้ว่าอะไรนายหรอกใช่มั้ย?” ผมถามแต่อีกฝ่ายกลับไม่ดีท่าทีที่ดีขึ้น ผมคิดว่าเขาคงจะโดนพ่อตำหนิไม่น้อย

“คุณอย่าใส่ใจเลย ผมว่าตอนนี้คุณควรจะพักผ่อนนะ”

“พ่อฉันคงไม่ได้ไล่นายออกหรอกใช่มั้ย?” ผมถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะยื่นมือไปแตะมืออีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้กลับมายิ่งทำให้ผมหน้าชา

บรูคขยับตัวหลบสัมผัสของผม เขาพยายามบังคับให้ตัวเองมีสีหน้าที่ดีขึ้นแต่มันยากเมื่อต้องทำต่อหน้าผม...

“ยังหรอกครับ ที่แน่ ๆ คือยังไม่ใช่ตอนนี้”

“หมายความว่าไง?”

“ก็หมายความว่า ผมยังอยู่รับใช้คุณได้ต่อไปไงล่ะ” แม้ว่าบรูคจะตอบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่นั่นมันไม่ได้มาจากความเต็มใจ “อย่าห่วงเลย คนแบบผมคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ และที่ดีที่สุดคือผมได้รับโอกาสอีกครั้ง”

“ฉันล่ะเจ็บใจชะมัด ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะหมอนั่นคนเดียว”

ผมทุบมือลงที่หน้าตัก “นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นโดนไล่ออกจากโรงเรียน ป่านนี้คงจะบินไปจากเมืองนี้เพื่อหลีกหนีความอับอายพวกนั้นแล้ว ไอ้ชั่วนั่นสมควรโดน!!”

“คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้เพราะใคร...”

“มันก็เป็นเพราะไอ้สวะนั่นอยู่แล้วที่บังคับให้ฉันใช้ยาเสพติดพวกนั้น เขาล่อลวงฉัน และถ้านายไม่เข้าไปช่วยเชื่อสิว่าฉันถงถูกมัน...โธ่เอ๊ย พูดแล้วขยะแขยงชะมัด”

“คุณคิดว่าทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะโอลิเวอร์จริง ๆ น่ะเหรอครับ” บรูคเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินทำให้เขาเกิดคำถามนั้น “คุณคิดว่าเขาสมควรได้รับความผิดนั้นเพียงคนเดียวเหรอครับ?”

“นายพูดอะไรของนาย...”

ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการอะไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันคือความผิดของโอลิเวอร์ แต่บรูคยังพยายามจะทำให้ผมผิดให้ได้!

“คุณเรียกใครว่าไอ้สวะอย่างหยาบคายแบบนั้นได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ”

“ก็พวกนั้นสมควรโดน! ”

“เหลือเชื่อเลยบารอน” ถอนหายใจใส่แบบนั้นหมายความว่าไง...ผมไม่ชอบใจที่ได้เห็นบรูคตอกกลับผมแบบนั้น เขาควรจะเข้าข้างผม ไม่ใช่มาห้ามไม่ให้ผมพูดหยาบคาย บ้าสิ้นดี!

“นี่นายเป็นอะไรกันแน่ นายโกรธฉันเพราะเรื่องที่ฉันเรียกคนพวกนั้นว่าไอ้สวะงั้นเหรอ” ผมฉุดรั้งข้อมือของเขาไว้ เขาตวัดตากลับมาทางผมแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายกันถึงขัดสะบัดมือแบบที่ผมกลัว ถ้าทำแบบนั้นผมรับไม่ได้แน่ ๆ “เปล่าหรอกครับ คนอย่างผมจะไปกล้าโกรธคุณหนูอย่างคุณได้ยังไง”

“เลิกพูดจาประชดกันสักที นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบที่นายทำแบบนี้”

“ผมว่า...เราอย่าพึ่งคุยกับผมตอนนี้เลย ผมไม่อยากจะรู้สึกแย่กับคุณไปมากกว่านี้”

น้ำเสียงเย็นชาที่เหมือนกับน้ำเย็นสาดเข้าหน้า เหลือเชื่อเลยว่าบรูคจะกล้าพูดคำนี้กับผม เขากล้าดียังไงมาบอกกับผมว่าตัวเองกำลังรู้สึกแย่

“รู้สึกแย่อย่างงั้นเหรอ นายคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้พูดคำนั้นกับฉัน รู้ไว้เลยนะว่าคนที่ผิดก็คือโอลิเวอร์คนทุเรศนั่น และไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม ฉันยืนยันว่าเขาสมควรโดน...เขาบังคับให้ฉันเสพยา!”

“คนอย่างคุณน่ะเหรอจะมีใครไปบังคับได้ คุณไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครบังคับ อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อหน่อยเลย” เขาแทรกขึ้นและยิ้มสมเพชใส่ตัวเอง หรือบางทีนั่นคงเป็นรอยยิ้มที่ผมควรได้รับ “ผมเตือนคุณแล้วว่าคุณไม่ควรไปที่นั่น แต่คุณไม่เคยฟังผม คุณเชื่อฟังแค่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น และผมนึกไม่ออกเลยว่าใครจะกล้าบังคับคนอย่างคุณได้คุณหนู”

“บรูค...”

“คุณไม่มีสิทธิ์จะโทษโอลิเวอร์ทั้งหมด นั่นเพราะคุณเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้เหมือนกัน”

“นายหยุดพูดสักที!!”

“คุณคิดว่าเขาจะให้เกียรติคุณ แต่ผมบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าตราบใดที่เขายังนอกใจแฟนที่คบหาและเอาเรื่องของอีกฝ่ายมาบอกกับคุณ เขาไม่มีทางให้เกียรติใครได้ทั้งสิ้น...” บรูคกำลังโกรธ ผมเห็นน้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น และมันกำลังไล่ระดับขึ้นตามอารมณ์ของเขา

“คนอย่างโอลิเวอร์ไม่มีวันมองคุณเป็นอะไรนอกจากของสะสมหายากที่อยากได้ใจแทบขาด แต่ไม่มีใครอยากจะครอบครองด้วยรัก!”

“นายอย่าหยาบคายกับฉันแบบนี้นะบรูค!!!”

พวกเราในเวลานี้กำลังลงแข่งทำร้ายกันและกันด้วยคำพูดและมีรางวัลเป็นความเสียใจจากอีกฝ่าย “คุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้ เพราะพ่อของคุณเขาจะจัดการให้ทุกอย่างให้”

ผมอยากจะตอบโต้เรื่องนี้ แต่เพราะมันคือความจริงและน่าจะมันเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเสียใจ...

“พ่อแม่ของคุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อปิดข่าวพวกนี้ ในขณะที่พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณ ส่วนคุณก็ทุกอย่างเพื่อตัวเอง”

“ฉันไปที่นั่นเพื่อหาความจริง ฉันต้องการแก้ไขเรื่องพวกนี้”

“แล้วคุณได้คำตอบหรือยังล่ะ...คุณแก้ไขอะไรได้บ้างล่ะบารอน?” บรูคลุกขึ้นยืนและเรากำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครบ้างจะต้องเดือดร้อนเพราะความอวดเก่งและดื้อรั้นของคุณ”

“นาย...”

“คุณเชื่อมั่นแค่ตัวเอง คิดว่าสิ่งที่คุณทำมันถูกต้องแล้ว คุณไม่เคยเห็นหัวใคร นั่นแหละนิสัยคุณและเชื่อมั้ยว่าผมเบื่อเหลือเกินที่จะต้องอดทนกับเด็กไม่รู้จักโตแบบคุณ”

เรื่องนั้นผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนจนกระทั่งบรูคพูด ซึ่งบางทีในความที่ผมไม่ยอมรับอะไรเลย มันอาจมีความจริงซ่อนอยู่

“สิ่งที่คุณทำ รู้มั้ยว่าใครต้องรับผิดชอบบ้าง พ่อบ้านหยางต้องถูกตัดโบนัสประจำปีทั้งที่เขาควรจะได้เงินนั้นไปมอบให้ลูกชายของเขาที่กำลังเข้าพักรักษาตัวเปลี่ยนหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล”

ผมทำร้ายพวกเขาแบบนั้นเลยเหรอ

“มารีน่าต้องถูกลงโทษโดยการอดขึ้นเงินเดือนตลอดสองปี เพราะเธอไม่สามารถดูแลคุณได้ ทั้งที่เธออยากจะเอาเงินไปเปิดร้านเสริมสวยให้กับพี่สาวแค่ไหนสุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้” สิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก... ดูเหมือนว่าทุกคำของบรูคกลืนกินผม

“คุณอาจจะไม่เข้าใจว่ามันสำคัญกับพวกเรายังไงบ้าง แต่ผมมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยง คุณอาจมองว่าเงินไม่เท่าไหร่จะไปคิดอะไรมาก แต่มันมีค่ากับคนอย่างพวกเรา...”

“บรูค...”

“คุณจะเข้าใจการสูญเสียได้ยังไงในเมื่อชีวิตคุณไม่เคยสัมผัสถึงมันเลย คุณเป็นแค่คนเห็นแก่ตัวที่คิดว่าทุกคนซื้อได้ด้วยเงิน คุณไม่มีวันเข้าใจคนที่ขาดโอกาส อดยาก หรือผิดหวัง เพราะคุณมีทุกอย่างไงล่ะบารอน...”

มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด เพราะผมไม่เคยรู้ถึงความลำบากของใคร ผมมองเห็นแค่เพียงตัวเองเท่านั้น และดูเหมือนผมกำลังได้บทเรียนหนึ่งในชีวิต...

“คุณไม่เคยต้องแก้ปัญหาอะไรด้วยตัวเอง เพราะพ่อของคุณจะคอยตามล้างตามเช็ดเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เมื่อไรก็ตามคุณทำผิดพลาด แค่ตื่นมามันจะเป็นเหมือนฝันและทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีจริงบนโลกใบนี้”

ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาพูด แต่มันกลับพูดอะไรไม่ออก...

“นายเองก็คิดแบบคนพวกนั้นเหรอ...นายตัดสินฉันแบบคนพวกนั้นด้วยงั้นสิ!”

“ใช่...เพราะคุณเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณไม่แตกต่างจากแม็กทีสเลยบารอน และผมว่าคุณเลวร้ายมากกว่าเขาด้วยซ้ำ”

ผมพยายามยื้ออีกฝ่ายไว้แต่เขายกมือขึ้นห้ามทำลายความตั้งใจของผมได้ทันที แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยถ้อยคำไม่พอ ท่าทางและแววตานั่นอีกด้วย

“รู้มั้ยว่าผมมองเห็นอะไรในเวลานี้ ผมได้มองเห็นสิ่งที่เป็นคุณอย่างแท้จริง คุณเก่งเรื่องที่จะโยนความผิดให้คนอื่น และผมเชื่อด้วยแม้กระทั่งตอนนี้คุณก็ยังโทษผมด้วยเหมือนกัน”

“นายฟังฉันพูดบ้างสิ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาไม่ฟังผมและเหมือนคำพูดของผมเป็นเพียงคำโกหกสำหรับเขาเท่านั้น

“ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ เพราะสำหรับผม มันเป็นแค่เรื่องที่ต้องยอมรับให้ได้เท่านั้นเอง”

สิ่งเดียวที่ทิ้งไว้คือสีหน้าผิดหวังอย่างที่สุดของบรูค ปาร์คเกอร์ และนั่นทำไมผมสัมผัสความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ภาพที่เขาเดินจากห้องพักของผมออกไปมันเหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน

ผมนึกไม่ออกเลยว่าระหว่างที่บรูคเดินหันหลังให้กับผมกับคำแก้ตัวของผม...อันไหนมันแย่มากกว่ากัน



...

ผมใช้เวลาว่างในวันอาทิตย์อยู่ห้างสรรพสินค้าหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมาได้สองวัน และตอนนี้กำลังนั่งรอฮาร์เปอร์ลองชุดนั้นชุดนี้ที่เจ้าของแบรนด์นัดเข้ามาเสื้อคอลเลคชั่นใหม่ที่พึ่งมาจากรันเวย์แฟชั่นเดินแบบเมื่ออาทิตย์ก่อน

ตั้งแต่ผมออกจากโรงพยาบาล บรูคก็หายไปโดยไม่ได้บอกอะไรผม และพ่อบ้านหยางเท่านั้นที่รู้ว่าเขาขอลากลับบ้านเพราะมีเรื่องด่วน ผมกดโทรหาเขาหลายสายแต่เขาไม่รับ บรูค ปาร์คเกอร์ชักจะกล้าดีเกินไปแล้ว เขาเป็นใครทำไมกล้าไม่รับสายผม

“ชุดนี้ไม่โอเคเลย ฉันว่าตัวเองดูซีดมากเวลาสวมชุดสีแดง”

“...”

ผมนั่งกดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความหาลูน่าที่ตอนนี่กำลังปาร์ตี้งานวันเกิดของเพื่อนเธออยู่ที่ลอนดอน เธอส่งข่าวมาบอกว่าพ่อของเธอ เลียม แก๊บบี้ แฮริงค์จะกลับมาที่โอเวิลซิตี้บ่ายวันนี้ ผมมีธุระจะต้องเข้าไปพบอาเลียม เพราะเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้ที่อยู่บรูค

“นี่บารอน นายว่าฉันดูอ้วนไปมั้ยสำหรับชุดนี้”

ม่านกั้นของชุดลองเสื้อถูกเปิดออกโดยฮาร์เปอร์ ผมยาวสีบรอนด์ของเธอถูกปล่อยลงกลางหลัง เธอสวยสมส่วนกับชุดเสื้อผ้าทุกชิ้น ผมนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟากำมะหยี่ภายในห้องชุดสำหรับรองเสื้อผ้า ผมสวมเสื้อกุชชี่สีแดงทรงฮาวายไม่ติดกระดุมบนและสวมกางเกงเข้ารูปหนังสือดำขลับ

“เลิกสนใจโทรศัพท์แล้วหันมามองดูฉันทีได้มั้ย”

“ฉันมองอยู่...”

“แต่ตานายเอาแต่มองจอโทรศัพท์มาหลายชั่วโมงแล้ว ฉันยืนอยู่นี่นะ..”

“เขายังไม่ติดต่อมาเลย...”

“ใคร? อาของเธอเหรอ”

“เปล่าหรอก...ไม่ใช่เขา...” ผมรีบตอบและก้มหน้าลงเล็กน้อย เลี่ยงที่จะสบตากับฮาร์เปอร์ “ฉันว่าชุดนี้ก็สวยนะ เธอเข้ากับสีแดง” ผิวสีงาช้างสว่างโดดเด่นผ่านชุดเดรสกระโปรงผ้าชีฟองสีแดงสดทำให้ฮาร์เปอร์สวยราวกับหลุดออกมาจากแม็กกาซีน

“ฉันก็ว่างั้นแหละ...ฉันผอมลงด้วยนะ สะโพกไม่พอดีกับชุดเลย”

“ไม่ยักรู้นะเนี่ย...แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายนะ”

“สาบานว่านายดูไม่ออก” ฮาร์เปอร์เลิกคิ้วและชื่นชมตัวเองผ่านกระจก แววตาเปล่งประกายของเธอทำให้ผมจำต้องเอ่ยถาม “นายว่าเขาจะชมฉันมั้ย ถ้าฉันใส่ชุดนี้ไปเดตกับเขา”

“แน่ใจเหรอว่าจะตกลงปลงใจกับผู้ชายแบบ...บ๊อบ และอีกอย่าง เขาคือคนที่มีพันธะอยู่นะ”

“นี่บารอน เดอเรอกูว แคปรินคอร์น ฉันขอบอกให้รู้นะว่าเขากำลังจะหย่าและอีกอย่างเขาจริงใจกับฉันมาก”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ คงเพราะว่ามันพูดไม่ออก เมื่อเธอยืนยันในตัวของอาจารย์วิชาชีวะที่พึ่งย้ายมาใหม่คนนั้น มันก็คงช่วยไม่ได้

“เธอเชื่อเหรอว่าเขาจะยอมหย่ากับภรรยาที่เขาคุกเข่าขอเธอแต่งงานมาจริงใจกับคุณหนูบ้านรวยอายุสิบเจ็ด”

“ไม่เอาน่า...ฉันไม่ได้ขอความเห็นนายสักหน่อย เราต่างรู้ว่านายมีความคิดที่ยุ่งยากเกินไป”

“ฟังดูเหมือนเธอกำลังว่าฉันอยู่เลย”

“ก็...ไม่เชิง” ผมกลอกตากับคำพูดของฮาร์เปอร์ เธอไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าชุด ผมตรงสลวยที่สุขภาพดีกับหุ่นทรงนาฬิกาทรายแบบเด็กอายุสิบเจ็ด

“คงงั้นแหละมั้ง เห็นกันชัด ๆ ว่าฉันคงไม่ช่ำชองเรื่องการนอนกับผู้ชายอายุเยอะแบบเธอ”

“อะไรนะ?”

“ก็จริงมั้ยล่ะ...” ผมปาโทรศัพท์ไปด้านข้างและถอนหายใจออกมายาว ๆ อันที่จริงผมเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากกว่า แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้สึกถึงมัน

เธอพุ่งเข้าหาผู้ชายที่อายุมากกว่าสิบห้าปีคนนั้นแบบไม่ลังเล และมันยากที่จะดึงเธอไว้!

“นายโกรธฉันเหรอ?”

“เธอคิดว่าฉันจะต้องรู้สึกยังไง เพื่อนสนิทของฉันนอนกับผู้ชายที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียน แถมเขายังมีพันธะที่ยังไม่หย่าขาด อายุห่างจากเราเกือบสิบห้าปี คิดว่าฉันจะต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้” ผมหันไปถามเธออีกครั้ง แววตาของเธอดูน่าเวทนาแต่ผมไม่ใจอ่อน

บางทีฮาร์เปอร์กลับเป็นฝ่ายที่แยกแยะระหว่างรักกับเซ็กซ์ไม่ออก

“ฉันชอบเขาบารอน เหมือนกับที่นายชอบบรูคไง”

“บ้าหรือไง!! เธอต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่พูดแบบนั้น” ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนและยกมือขึ้นปิดปากตัวเองก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น

“นายชอบเขา รู้มั้ยว่าท่าทางแปลก ๆ ของนายน่ะมันมาจากการที่เขาหายตัวไป”

“เฮ้อ...ยอมรับก็ได้” ผมว่าและทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้า "เขาไม่เคยเย็นชากับฉันแบบนี้ เขากล้าดียังไงมาทำให้ฉันนอนไม่หลับ พระเจ้า...ฉันอยากจะบ้าตาย"

“ที่นายมีอาการกระวนกระวายแบบนี้มันแสดงออกชัดเจนมาก ๆเลยว่านายกำลังชอบเขา”

“อย่างงั้นเหรอ?”

“ใช่...ฉันเคยเป็น ฉันรู้ว่ามันรับมือได้ยากแต่ถ้านายลองนึกดี ๆ มันอาจจะทำให้นายหาทางออกได้” ฮาร์เปอร์ว่าแล้วเดินมายืนตรงหน้าผม ผมไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น 

"ฉันแค่ไม่สบายใจที่เขาหายไป ไม่ชอบที่เขาเงียบไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้”

"เขาไม่โทรกลับมาบ้างเหรอ พอเห็น Miss call นายน่ะ”

“ไม่เลย เขาจะโกรธอะไรฉันนักหนานะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

“บางทีสำหรับบางคนเรื่องพวกนี้มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาน่ะนะ”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เขางี่เง่าไปเอง” ผมกัดริมฝีปากล่างคล้ายกำลังควบคุมอารมณ์เปราะบางจากภายใน ตั้งแต่วันนั้นบรูคก็มึนตึงกับผม และผมสาบานว่ามันเป็นความอึดอัดแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต

เธอเดินมาหยุดตรงหน้าผมก่อนจะเอามือเท้าสะเอวและหมุนตัวไปมา “ชุดนี้เป็นไง ใช้ได้ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้ายิ้มกับชุดที่เพื่อนสนิท ก่อนจะพูดต่อ “เขาจงใจหลบหน้าฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันเกิดเรื่องเขาไม่คุยกับฉันเลย”

“ฉันว่าบรูคคงอึดอัด หรือไม่ก็คงเสียใจกับสิ่งที่นายทำมาก ๆ ขอบอกเลยว่าถ้าเขาไม่แคร์มากแบบนั้น เขาคงไม่เสียความรู้สึกแบบนี้" ฮาร์เปอร์ยิ้มล้อผมก่อนจะทำท่าเหมือนสาวผู้รอบรู้ พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานจนผมต้องตั้งใจฟัง "ถ้านายไม่มีผลต่อเขา เขาคงไม่หลบหน้านายแบบนี้หรอก นายมีผลต่อความรู้สึกของบรูคนะ รู้ไว้ด้วย"

ผมอย่างงั้นเหรอ...

"ฉันว่าเขาแค่ต้องการเงินเท่านั้นแหละ เขาบอกว่าฉันทำให้เขาเดือดร้อนเรื่องนี้”

“นายไม่รู้เลยเหรอว่าที่เขาพูดแบบนั้น เพราะกำลังประชดเพื่อต้องการให้นายแสดงความเสียใจต่อเขาบ้าง และนายควรจะไปง้อเขาหน่อยนะ...” เธอหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าไปในห้องโรงชุด ปิดม่านกั้นและเลือกเสื้อผ้าตัวต่อไป

“คนอย่างฉันเนี่ยนะง้อเขา ฉันไม่อยากทำแบบนั้นนี่!!”

ผมโกหก และเชื่อเถอะว่าแม้แต่เด็กสามขวบยังรู้เลย

“ถ้าอย่างงั้นนายก็อย่ามานั่งคอตกแบบนี้สิ นายจะสนใจทำไม เขาก็แค่คนขับรถใช่มั้ยล่ะ”

เมื่อได้ยินฮาร์เปอร์พูดแนนั้น ผมก็ห่อไหล่ลงอย่างสิ้นหวัง รู้สึกเกลียดที่ตัวเองทำแบบนั้นลงไป ผมอยากจะบอกกับบรูคว่าผมไม่ได้ตั้งใจ แต่คนอย่างผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ ๆ “ฉันไม่น่าเผลอใจไปกับเขาเลย ไม่น่าไปทำแบบนั้น ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่รู้สึกจะเป็นบ้าตายเพราะเขา”

ฮาร์เปอร์รูดม่านออกและเดินมาหาผม เธอบิดซ้ายหมุนขวาเพื่อให้ผมช่วยดูว่าชุดนี้เข้ากับเธอหรือเปล่า เธอมักมีรสนิยมในการแต่งตัวที่ดี และเชื่อเถอะว่าแค่ใส่ชุดราคาไม่กี่เหรียญก็สามารถทำให้เพื่อนของผมดูโดดเด่นได้ไม่ยาก

“อย่าไปคิดแบบนั้นสิ บรูคก็ไม่ได้เลวร้าย จะถลำลึกกับเขาก็ไม่แปลกหรอก”

“เธอไปหัดพูดจาโรแมนติกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันพูดหรือเปล่าล่ะ” ฮาร์เปอร์รวบผมสีบลอนด์ธรรมชาติของเธอขึ้นเป็นหางม้า ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอคล้ายกับตุ๊กตาบาร์บี้ ผมนึกเสียดายที่เธอดันชอบผู้ชายอายุมากคนนั้นที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากวิชาการในหัวกับดวงตาสีอัลมอนต์!

“เธอพูดเหมือนกับว่าฉันดูออกง่ายมากกว่ากำลังคลั่งบรูคแบบสุด ๆ”

“นายเอาแต่บ่นเรื่องเขาไม่หยุด พนันได้ว่านายจะต้องคลั่งไคล้เขามาก ไม่อย่างนั้นนายคงไม่นั่งกัดปากคิดมากเรื่องที่เขาไม่คุยด้วยหรอก” เราสองคนเดินออกจากร้าน ในมือของฮาร์เปอร์หิ้วถุงสีขาวออกมาด้วย ผมกับเธอเลือกที่จะไปดูรองเท้าที่ร้านหนึ่งหลังจากที่ได้การ์ดเชิญให้เข้าไปดูคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ

“การชอบบรูคทำให้ฉันดูเหมือนคนเสียสติหรือเปล่า?"

“ไม่เลยสักนิด นายดูน่ารักขึ้นเยอะนะรู้มั้ย แค่ต้องเปิดใจให้กว้างเท่านั้นเอง” รอยยิ้มของเพื่อนสนิททำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาด “ถ้าให้แนะนำฉันว่านายก็แค่หาแผนเจ๋ง ๆ ไปง้อเขา เชื่อสิใครที่ไหนก็ต้องอยากให้อภัยราชินีผู้น่ารักแบบนายแน่ ๆ”

“ฉันยอมทำอะไรเพื่อใครขนาดนั้นได้จริงเหดรอ...” ผมพึมพำกับตัวเองอีกด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจ “ถ้าเขาเป็นใครสักคนที่ไม่ได้ต่ำต้อยแบบนี้ บางทีฉันอาจจะยอมรับมันง่ายขึ้นก็ได้”

ผมไม่ใช่คนโง่เขลาและไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เพียงแต่กับบรูค ปาร์คเกอร์ มันกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าครั้งไหน เพราะฐานะทางบ้านของเขาเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้

“โฉมงามยังตกหลุมรักอสูรเลย และบางทีคนเราไม่มีคำว่าสเปคหรอก เพราะถ้านายชอบใครสักคนจริง ๆ สิ่งเหล่านั้นไม่เคยอยู่ในการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบที่เราคิดไว้หรือไม่ก็ตาม” ฮาร์เปอร์หันมาขยิบตาให้และทิ้งท้ายประโยคชวนคิดเหล่านั้น

ผมนั่งตึกตรอกกับสิ่งที่ฮาร์เปอร์พูด และในความเงียบระหว่างที่รอให้เธอชื่นชมรองเท้าคู่สวยอยู่หน้ากระจอก ผมก็เริ่มวางความรู้สึกหลายอย่างตัวเองลงจากนั้นก็ลองนึกถึงแค่บรูค ปาร์คเกอร์ในแบบผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น

ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะยัดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าแล้วขยับแว่นชาแนลเก้ามุกขึ้นทัดอยู่บนศีรษะ “นี่ฮาร์เปอร์ หลังจากที่เราไปดื่มชากันเสร็จ ฉันคงจะต้องขอตัวไปทำอะไรที่สำคัญกับชีวิตหน่อยนะ”



- - - - - - -
NEXT
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 29-07-2019 15:35:15
「 xiv」Soulmate (2)

บรูค ปาร์คเกอร์เป็นคนติดบ้าน เขาเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวเสมอไม่ว่าจะด้วยเรื่องไหน หลายอย่างพิสูจน์แล้วว่าผู้ชายคนนี้เลือกครอบครัวของเขามาเป็นอันดับหนึ่ง แม้ว่าใครจะบอกว่านั่นเป็นทางเลือกที่ไม่เข้าท่า แต่สำหรับเขาแล้ว ครอบครัวคือแหล่งพลังงาน เป็นหมอนนุ่ม ๆ ไว้นอนหนุนและจุดพักเหนื่อยของชีวิต

การได้กลับมาเจอพ่อกับแม่ทำให้เขามีแรงที่จะวิ่งต่อไปได้กับหนทางแห่งชีวิต

บทบาทหน้าที่อย่างหนึ่งของบรูคนอกจากจะเป็นหัวหน้าครอบครัว พี่ชายและลูกที่ดีแล้ว เขายังเป็นที่ปรึกษาสำหรับน้อง ๆ อีกด้วย บรูคกลับมาพักที่บ้านเพราะเขาถูกพักงาน ดีที่คุณแคปรินคอร์นไม่ไล่เขาออก เพราะอย่างน้อยการที่เขากระทืบโอลิเวอร์จนกระดูกหักทำให้บาโธโรมิวคิดว่าบรูคยังมีประโยชน์อยู่บ้าง จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าบรคเข้าไปไม่ทันเวลาอะไรจะเกิดขึ้นกับบารอน สำหรับบรูคแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดถึงตัวเองเท่าไหร่ นิสัยชอบคิดถึงคนรอบข้างก่อนเป็นอันดับแรกแตกต่างจากบารอนอย่างสิ้นเชิง

“หลังจากที่ผมสอบได้ทุน ผมจะแบ่งเบาภาระพี่ได้เยอะ นี่ผมก็เริ่มงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ ได้หลายวันแล้ว เจ้าของร้านใจดีมาก” บาซิเรียสน้องชายคนกลางกำลังเล่าเรื่องของเขา คล้ายกับว่าจะเป็นการปรึกษาพี่ชายก็ไม่เชิง น่าจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตระหว่างครอบครัวมากกว่า

น้องชายของเขาอายุสิบแปดและต้องการคำชี้แนะ เพราะงั้นในมื้ออาหารเช้าวันนี้ของครอบครัวปาร์คเกอร์ จึงมีการพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ

“เยี่ยมเลย ถ้านายขยันทำงานจะได้มีเงินเก็บไว้สำหรับใช้จ่ายซื้อของที่อยากได้”

“ผมไม่อยากเป็นภาระของพี่ ถ้าช่วยได้ก็ถือว่าดีแล้วใช่มั้ยล่ะ”

“ฉันไม่เหนื่อยขนาดนั้นหรอกบาซร์ อันที่จริงถ้านายขยันเรียนให้คุ้มค่าเทอมนั่นจะเป็นการตอบแทนฉันอย่างดีเยี่ยม”

"ลูกต้องตั้งใจเรียนแบบพี่นะบาซร์" แม่เทน้ำส้มใส่แล้วและส่งให้ลูกชายทั้งสอง จากนั้นก็หั่นสเต๊กในจานและป้อนสามีที่เคลื่อนไหวเองไม่ได้คล่องแคล่วอย่างเช่นแต่ก่อน

“ว่าแต่ผมยังไม่เห็นซูซานเลย น้องไปไหนเหรอครับ” บรูคเอ่ยถามพร้อมกับชะเง้อคอหา บลูอายส์แม่ของบรูคใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเกตก่อนจะป้อนเข้าปากสามีแล้วถึงหันมาตอบลูกชาย “น้องไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียนตั้งแต่เช้า ได้เลือกเป็นตัวแทนแสดงบนเวที ถ้าลูกว่างก็กลับมาดูน้องนะ”

“งั้นเหรอครับ เยี่ยมเลย ถ้าผมลางานมาได้ผมจะมานะครับ ไม่พลาดแน่”

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกลูก เอาเป็นว่าถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เอาที่ลูกสะดวกดีกว่านะ งานผู้จัดการคงรับภาระเยอะเลยล่ะซิ” บลูอายส์ยิ้มกับลูกชายคนโตก่อนจะป้อนผักสามีต่อ

"ครับ...คงงั้น”

"ว่าแต่งานเป็นไงบ้างบรูค"

“ก็ดีครับพ่อ มันไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย ผมคงต้องพยายามกว่านี้อีกหน่อย งานใข้ความอดทนพอตัว” บรูคส่งยิ้มยืนยันกับพ่อของเขา รู้สึกผิดที่ต้องปิดบังบางอย่างกับพ่อ “แต่พ่อไม่ต้องห่วงกับผมนะ ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี”

“การเป็นผู้จัดการมันก็ต้องรู้จักรับผิดชอบ เป็นหัวหน้าที่ดีและเข้าใจลูกน้อง ลูกของแม่เก่งอีกหน่อยต้องได้เป็นผู้จัดการระดับสูงแน่” บลูอายส์ให้กำลังใจลูก

“ครับแม่...ผมก็คิดแบบนั้น"

บรูคไม่ใช่คนชอบโกหก แต่เขาไม่อยากจะพูดความจริงที่อาจจะทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ทีแรกเขาคิดว่าจะทำงานเป็นคนขับรถแค่ช่วงหนึ่งเพื่อรองานใหม่ แต่ว่า...สัญญาค่าจ้างที่ครอบครัวแคปรินคอร์นจ่ายให้มันเยอะยิ่งกว่าตำแหน่งผู้จัดการเสียอีก เขาจึงได้ทนทำต่อไป ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมีแต่เงินเท่านั้น เงินที่จะรักษาพ่อให้อยู่กับครอบครัวไปนาน ๆ

“ลูกอยู่ที่นั่นไม่ลำบากอะไรใช่มั้ย อย่าใช้จ่ายอย่างประหยัดจนลืมซื้อของดี ๆ ให้ตัวเองนะ" พ่อว่า

"ครับพ่อ เรื่องนั้นพ่ออย่าห่วงเลย"

"นั่นเพราะพี่เอาเงินไปลงขวดหมดแล้ว เพราะแฟนคนสวยทิ้งไป"

"บาซร์! ลูกไม่ควรพูดแบบนั้น" แม่เป็นฝ่ายปรามลูกคนกลางแทน เขาหันไปมองลูกชายคนโตที่ทำแค่ระบายยิ้มก่อนจะยกจานขึ้นไปเก็บที่ครัว



"มาแม่ช่วย..." บลูอายส์ตามบรูคเข้ามาที่ครัว จากนั้นก็วางจานลงไปในซิงค์ล้างเหลือบมองลูกชายที่กำลังถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า

“ลูก...เป็นอะไรหรือเปล่า”

"เปล่านี่ครับ"

"อย่าถือสาบาซร์เลยนะบรูค น้องแค่พูดเล่นไปอย่างงั้นเอง" บลูอายส์หันไปส่งยิ้มให้กำลังใจลูกชาย เขารู้ว่าบรูคของเขาจะเป็นคนใจดีและมักจะไม่ถือสาหาความใครเสมอ

“ดูลูกเหนื่อย ๆ มีเรื่องอะไรบอกแม่ได้นะ”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่เป็นอะไรเลย”

แต่บลูอายส์รู้ว่าบรูคมี...เพราะความเป็นแม่ที่สบตาลูกตั้งแต่ลืมตา และลูกไม่มีทางปิดบังคนเป็นพ่อแม่ได้ แต่ว่าบลูอายส์ก็ไม่เคยคาดคั้นบรูค เขารู้ว่าสุดท้ายถ้าลูกสบายใจที่จะเล่า คงจะเล่าออกมาเอง

“แล้วเป็นไงบ้าง เริ่มต้นชีวิตใหม่กับงานใหม่และเมืองใหม่ ชีวิตเข้าที่เข้าทางดีมั้ย”

“ครับ ทุกอย่างไม่มีอะไรที่น่าห่วง ผมเข้ากับที่ใหม่ ๆ และปรับตัวได้ไวแม่ก็รู้”

“เราไม่ได้คุยกับลูกเลย แม่ห่วงว่าหลังจากที่ลงหลักปักฐานที่เซนเตอร์โอเวิลแล้วลูกอาจจะเกิดปัญหา ไม่มีอีฟลินแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่าลูกจะยังไงบ้าง” บลูอายส์ล้างจานด้วยน้ำยาล้างและส่งให้บรูคล้างน้ำเปล่า

ที่โอเวิลแบ่งออกเป็นหลายฝั่ง มีนอร์ท นอร์ดิก อีสเทิร์นและเซนเตอร์ ที่เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ของโอเวิลซิทตี้

“จะว่าปรับตัวครั้งใหญ่ในชีวิตผมก็คงใช่ ที่นู่นเต็มไปด้วยคนหรูหรา มนุษย์ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มีอำนาจ มีบารมีและคำพูดจาที่ไม่เข้าหู แม่ต้องไม่เชื่อแน่ว่าแต่ละวันผมเจอแต่คนประหลาด ๆ”

“พนันได้ว่าไม่ดีเท่าไหร่”

“ก็นั่นแหละครับ เซนเตอร์โอเวิล...แปลกที่สังคมพวกเขาเหมือนอยู่คนละโลกกับผม โลกที่เต็มไปด้วยคนชอบโกหกหลอกลวงซึ่งหน้า คนที่พยายามเหยียบหัวกันขึ้นไปเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนั้นอยู่ด้วยกันไปได้ยังไง มันจอมปลอมจะตายไป” คำพูดของบรูคทำให้บลูอายส์ขมวดคิ้วเข้าหากัน

"แม่คิดว่าลูกกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว บางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา"

"นั่นสิครับ ช่วงนี้ผม...ผมมีปัญหากับเจ้านายนิดหน่อย เขาเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจ" บรูคเริ่มพูด แต่ไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรมากนัก เขาหนีมาไกลขนาดนี้แต่ก็ยังคิดถึงเด็กคนนั้น บ้าชะมัด "ผมว่ามันตลกดีเหมือนกันที่เราจะทำผิดซ้ำซากแบบไม่สำนึก"

"เพราะเขาอาจจะไม่รู้ว่านั่นคือความผิด"

"นอกจากจะไม่มองว่าตัวเองผิดแล้ว ยังโทษคนอื่นด้วย และถ้าเป็นพวกเราต้องไม่ทำแน่ ๆ ครับแม่"

"เราเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกใครไม่ได้บรูค คนแต่ละคนถูกหล่อหลอมมาจากคนละสังคม คนละคำสอน คนละมาตรฐานชีวิต สิ่งที่ลูกทำได้ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงพวกเขา เพราะมันยากเกินไป" บลูอายส์เกือบจะเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกที่มองโลกในแง่ดีเสมอ บรูคชื่นชมแม่ของเขาแต่เขาจะเป็นแบบแม่ไม่ได้หรอก

“ผมก็แค่คิดว่าสักวันมันคงจะกลืนกินผม ผมจะมองเรื่องพวกนี้จนชินตาและทำตามอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี นั่นแหละที่ผมกลัว”

“แม่มั่นใจว่าลูกจะไม่เป็นแบบนั้น ลูกไม่มีวันถูกอะไรกลืนกินถ้าลูกมีคำถามเกี่ยวกับการกระทำที่ผิดของพวกเขาอยู่”

บรูคยิ้มติดตลกกับแม่ ในขณะที่ทั้งสองกำลังล้างจานในห้องครัว เสียงวิทยุคลื่นโปรดดังเข้าถึงในครัว เพลงเบา ๆ ในวันหยุดกับชีวิตเรียบง่ายเหมือนห่างไกลจากเขาไปทุกที เขานึกภาพตัวเองในเวลานี้ไม่ค่อยออก จนกระทั่งได้กลับมาสู่โลกของตัวเองอีกครั้ง

บางทีการละทิ้งชีวิตวุ่นวายก็คือการหันหลังให้มันชั่วคราว...

“มีสาวที่ไหนมาติดพันมั้ยเนี่ย ลูกชายแม่หล่อขนาดนี้”

“แม่!! ไม่มีหรอกครับ”

“แม่แค่ถามดูน่ะ ถ้ามีใครสักคนมาดูแลลูก แม่คงหายห่วง” ผู้เป็นแม่ยิ้มล้อจนอีกฝ่ายหน้าแดง เดาได้ไม่ยากว่าบรูคคงจะกำลังเขินอายที่จะพูดเรื่องนี้ ยิ่งอีกฝ่ายพยายามซ่อนรอยยิ้มไม่ให้เห็น ก็ยิ่งอยากจะรู้

“ไม่มีหรอกครับของแบบนั้น ตอนนี้ทำงานอย่างเดียวดีกว่า”

“ทำไมล่ะ?”

"ผมคือคนที่ผ่านความล้มเหลวในความรักแบบผม ความสัมพันธ์พวกนั้นมันเป็นแค่ขยะเท่านั้นแหละครับ"

"ไม่เอาน่าบรูค ลูกมีโอกาสเริ่มใหม่กับใครก็ได้ ไม่ว่าชีวิตลูกจะเคยล้มเหลวกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมากี่ครั้งก็ตาม"

"ถูกของแม่ เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมตั้งใจทำงานหาเงินให้ที่บ้านก่อนดีกว่าครับ มีเวลาให้พ่อกับแม่แบบเต็มที” บรูคพยายามยืนยันแบบนั้น แม้เขารู้ว่าตัวเองกำลังเริ่มความสัมพันธ์ที่ดูเป็นไปไม่ได้ระหว่างคุณหนูบ้านรวยกับคนขับรถแบบเขา

“ลูกก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้อยู่กับลูกได้ไปตลอดชีวิต คู่โชคชะตาของลูกต่างหากล่ะ”

“ผมอาจจะไม่โชคดีแบบพ่อกับแม่...” บรูคยอมรับแบบไม่อะไรมาก เขาคิดว่าเรื่องของความสัมพันธ์คนบางคนไม่ได้เกิดมาโชคดีมีคนรักที่ดีล่ะมั้ง

บลูอายส์ไม่อยากให้บรูคพยายามทำเหมือนกับรับมือได้ทุกอย่าง ทั้งที่บางทีเขาคงแตกสลายอยู่ภายในไม่ให้ใครเห็น

“ถ้าลูกยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ไว้เจอคนที่ถูกใจก็มาบอกแม่แล้วกัน”

พอนึกถึงเด็กคนนั้นแล้วใจของเขาก็เหี่ยวเฉา คิดว่าหนีมาไกลถึงบ้านที่แสนอบอุ่นจะทำให้ใจสงบสุข ที่ไหนได้ เสียงและแววตาของบารอนในวันนั้นลอยเข้ามาไม่ยอมหยุด...

ไม่มีวันหยุดพักเลยจริง ๆ


- - - - - - -

Talk

น้องมาแล้ววววววววววววววว อัพรัวมากเพราะกลัวว่าคนจะไม่ชอบน้อง น้องน่ารักแหละแต่แบบติดความเป็นวายร้ายไปหน่อย น่าจะมีช่วงปรับแต่มันไม่ได้เป็นการปรับแบบตรงไปตรงมา ปรับทันทีเลย เพราะงั้นคาแลคเตอร์มันขัดกันแน่นอน

ป.ล. หากมีคำผิดขออภัยนะคะ



ขอเล่า

จริง ๆ แล้วต้นแบบคาแลคเตอร์ของบารอนน่าจะมาจาก เดรโก้ มัลฟอยค่ะ เราชอบความหย่อหยิ่ง ความยะโสอวดดี อีโก้เยอะขี้แกล้งและดูถูกคนของเดรโก้มาก เราว่ามันมีความเป็นอัตราลักษณ์ที่โดดเด่น เราจะเห็นความเป็นแคปรินคอร์นสูงมาก ทำแบบนี้ก็ยังคิดว่าตัวเองถูกเสมอ การเข้าข้างกันของพ่อลูกก็คือมีความเป็นเดรโก้สูง แต่เราพยายามตีความในความเป็นควีนของบารอนโดยนิสัยของเขา ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาเป็น แต่มันคือความเป็นของที่หล่อหลอมมา ส่วนบรูคก็คือคนธรรมดา ชนชั้นล่าง ครอบครัวที่บอกสอนและคุยกันตรง ๆ ส่วนบารอนมันไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเขาไม่สอนอะไรเลย แต่พวกเขาก็ไมไ่ด้มองว่าสิ่งที่ลูกทำมันเลวร้ายสำหรับเขา เขาจัดการได้ เขาดูแลได้ เหมือนกับว่าถ้าอะไรที่อยู่ในคอนโทรของพวกเขาก็คือมันไม่เลวร้าย

อย่างไรฝากน้องด้วยนะคะ T^T

หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-07-2019 23:36:10
 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-07-2019 00:44:02
แต่ละประโยคของบรูคคือแทนใจไปหมดแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 31-07-2019 00:53:16
ตามจ้า   :mew1:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 31-07-2019 08:58:25
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xv」change (1-2) : Aug 4,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 04-08-2019 14:07:45
「 xv」

change (v.)

make or become different.



ผมดันประตูไม้โอ๊คบานใหญ่สีน้ำตาลเข้าไปก่อนจะส่งเสียงเรียกพ่อที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับเอกสารกองโตตรงหน้า เบื้องหลังโต๊ะทำงานพ่อเป็นภาพเขียนสีน้ำมันของผม ที่พ่อจ้างช่างศิลป์ฝีมือดีมาทำการวาดให้ รูปวาดนี้แสดงให้เห็นว่าสำหรับพ่อแล้ว ผมมีความหมายต่อเขาแค่ไหน

“พ่อครับ ผมว่าจะมาขออนุญาตพ่อไป...นอกเมือง”

“ว่าไงนะ...ลูกจะขอออกไปนอกเมืองเหรอ”

“ใช่ครับ พ่อว่างมั้ยครับ ผมมีอีกเรื่องจะคุยด้วย”

"สำหรับลูกพ่อว่าเสมอแหละบารอน” พ่อส่งยิ้มให้กับผม

พ่อเป็นผู้ชายคนเดียวที่มักจะทิ้งสิ่งที่ตั้งใจอยู่ตรงหน้าและให้ความสนใจกับผมเป็นอันดับแรก พ่อของผมเป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิตชิ้นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมคอมพิวเเตอร์ พ่อใช้เวลาทุ่มเทสร้างอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อปูทางให้กับผม พ่อคือผู้ชายที่ยอดเยี่ยม และในสายตาของผม เขาไร้ที่ติ

“นี่ก็ดึกแล้ว ทำไมพ่อยังไม่เลิกงานอีกครั้ง หอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วยงั้นสิ”

“ไม่เยอะหรอก พ่อต้องจัดการงานนิดหน่อย เมื่อกี้ลูกบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพ่อใช่มั้ย?” พ่อถามอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน ก่อนจะผายมือให้ผมนั่งลงที่โซฟาฝังตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา ภายในห้องทำงานของพ่อไม่มีอะไรเยอะแยะ มันเป็นห้องโล่ง ๆ ที่มีเพียงโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องปูด้วยพรมสีขาว ถัดจากโต๊ะทำงานเป็นเตาผิงขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นโซฟาหนังขัดเงาไว้สำหรับนั่งจิบกาแฟ

“เรื่องเมื่อวันไนต์คลับนะครับ” ผมห่อไหล่เล็กลง “ผมแค่อยากจะมาอธิบายให้พ่อเข้าใจ หมายถึงเขาใจบรู๊คไม่ใช่ผมนะครับ”

“ทำไมล่ะ ลูกสนใจบรู๊คด้วยหรือไง”

“ก็...เขาเป็นคนของผม ผมก็แค่อยากแสดงน้ำใจกับเขาแค่นั้นเอง” ผมรวบมือไว้ที่หน้าตัก ทุกครั้งที่ผมสบตากับเขา เขาจะสบตามองผมด้วยความตั้งใจเสมอ

พ่อเป็นคนที่มักจะให้ความสำคัญกับผมในทุกเรื่อง ถ้ามีอะไรที่จะเทียบกับความพิเศษในชีวิต ผมยกให้เป็นพ่อเท่านั้น

“พ่อไม่ได้ไล่เขาออกหรอกนะ อย่าห่วงเลย”

“ผมรู้ว่าพ่อไม่ใจร้ายกับเขา ผมรู้ว่าพ่อเป็นคนใจดี” ผมยิ้มและรู้ว่าพ่อจะไม่มีวันทำลายอนาคตของใครแค่เพราะผม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการเข้ามาที่ห้องทำงานของพ่อในวันนี้

“อันที่จริงแล้วเรื่องวันไนต์คลับ เป็นผมเองที่บังคับให้บรู๊คพาไปที่นั่น ผมอยากจะรู้ความจริงจากโอลิเวอร์ ผมเลยทำแบบนั้น”

“ทำไมล่ะลูก?”

“ผมอยากพิสูจน์ว่าครอบครัวเราไม่ใช่คนร้าย ผมอยากจะหาคำไปยืนยันกับแม็กทีสว่ามันไม่ใช่ความจริง และโอลิเวอร์น่าจะพอเรื่องนี้ว่ามันจริงแท้แค่ไหน ถ้าเกิดว่าเขาคบกับแม็กทีส ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องรู้เรื่องของ...เคย์ตัน” ผมจะไม่หลบตาในเวลาที่กำลังสารภาพทุกอย่างกับพ่อ ผมจะรับผิดความผิดของตัวเองด้วยความเต็มใจ

พ่อควรจะได้รู้ว่าผมทำอะไรไปบ้าง และผมไม่อยากให้เขาเข้าข้างผมเหมือนอย่างที่ผ่านมา

“ที่พ่อลงโทษบรู๊คไม่ใช่เพราะเขาพาลูกไปที่นั่น แต่เป็นเพราะเขาทำให้ลูกตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย พ่อจ้างเขาเป็นทั้งคนขับรถและบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกไปด้วย พ่อคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาเข้าไปช้าอีกนิด หรือขาดเซนในการทำงานอีกนิด ลูกจะต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น พ่ออาจจะติดคุกเพราะฆ่าโอลิเวอร์ตายพร้อมกับเผาไนต์คลับทุเรศนั่นสิ" พ่ออธิบายอย่างใจเย็น เขาไม่ได้มีความขึงขังในน้ำเสียง ผมสัมผัสได้ว่าพ่อไม่ได้มีเจตนารุนแรงกับอีกฝ่าย "เพราะงั้น...พ่อจึงจำเป็นต้องลงโทษเขา”

“ผมรู้ว่าบรู๊คมีส่วนผิดที่เขาไม่สามารถทำงานได้อย่างที่พ่อคาดหวัง แต่ถ้าผมไม่ขอให้เขาพาไปที่นั่นเรื่องมันก็คงไม่เกิดขึ้น”

“พ่อรู้ว่าลูกเองก็ผิด และลูกเองก็รู้ว่าเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก”

พ่อยกมือขึ้นลูบที่ปลายคางตัวเอง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันคล้ายกำลังค้นหาอะไรสักอย่างจากผม แต่ผมไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกผิดที่มันทำงานอยู่ในขณะนี้

มันคงจะดีกว่าถ้าเองก็จะได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้เหมือนกัน

“ผมผิดเองทั้งหมดเลยครับพ่อ ผมยอมรับมันแล้วและจะไม่กล่าวโทษใคร มันเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ผมคิดว่าผมเอาอยู่ ผมคิดว่าผมจะสามารถสยบทุกคนได้ เพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นราชินีโอเมก้า ผมควบคุมพวกอัลฟ่าได้ง่าย ๆ ” ผมเริ่มพูด ไม่มีความเสียใจสักนิด มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด “แต่ผมคิดผิดถนัด ถ้าบรู๊คไม่อยู่ตรงนั้น ผมก็อาจจะ...อาจจะไม่เป็นบารอนเหมือนอย่างตอนนี้"

“ลูกร้องไห้?”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้ร้อง แต่ผมเสียใจจริง ๆ ครับพ่อ” ผมสบตากับพ่อ ผมพยายามบอกให้ตัวเองไม่ร้องไห้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมาเจอกับความรู้สึกอันเปราะบางในยามนี้ แต่ส่วนลึกของผมมันบอกกับผมว่า

มันจริงที่บรู๊คบอก ผมรักและสนใจแค่ตัวเองเท่านั้น ผมทำทุกอย่างที่ต้องการโดยไม่สนใจเลยว่าใครบ้างที่ต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่ผมทำ

"ไม่เอาน่า ไม่ร้องสิลูกรัก..."

“ผมแค่...แค่เสียใจจริง ๆ ครับพ่อ”

ผมสบตากับดวงตาสุขุมของพ่อ ผมรับรู้ว่าเขาจะให้อภัยผมเสมอ ทุกครั้งที่ผมผิดพลาด ทุกครั้งที่ผมทำร้ายใครต่อใคร พ่อมักจะให้โอกาสผมในทุกครั้งในการเริ่มต้นใหม่ แต่ผมไม่เคยเห็นคุณค่าของมันเท่ากับครั้งนี้เลย...

“บรู๊คต้องมาเดือดร้อนเพราะผม ทั้งที่เขาพยายามที่จะห้ามผมและช่วยผมทุกวิถีทาง แต่กลับเป็นผมต่างหากที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สุดท้ายก็จบด้วยการสร้างปัญหาให้พ่อต้องตามล้างตามเช็ด...”

คำพูดของผมหายไป และพ่อก็เอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปกอด “มาหาพ่อมา...”

ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา พังทลายความเข้มแข็งของตัวเองจากสัมผัสที่อ่อนโยนของพ่อ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลอาบสองแก้ม และยิ่งคิดถึงคำพูดของบรู๊คผมก็ยิ่งรู้สึกบอบช้ำ เขาทำให้ผมรับรู้ว่าจริง ๆ ผมก็เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองมาตลอด

ทั้งเรื่องเจน เรื่องเคย์ตัน ผมไม่ได้รู้สึกผิดและที่ผมพยายามอยู่คือการแก้ต่างให้ตัวเอง ผมมันงี่เง่า

“ฮึก...เขาเกลียดผมแล้ว”

“โธ่ลูกรัก ไม่มีใครเกลียดลูกหรอกนะ”

“พวกเขาทุกคน และบรู๊คด้วย เขาทุกคนเกลียดผม” ผมร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กที่หัวใจสลายเพราะของเล่นชิ้นสำคัญหายไป ผมซบหน้าลงกับอกของพ่อ ฟูมฟายไม่เป็นภาษาและนี่คือครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลายคล้ายกับคนอกหัก

“ผมทำให้พ่อผิดหวัง ผมขอโทษครับ...”

“นั่นไม่จริงเลยลูกรัก...พ่อดีใจมากกว่าครั้งไหนด้วยซ้ำที่ลูกกล้าที่จะยอมรับความผิดของลูก และเมื่อเรารู้ว่าตัวเองผิด เราก็แค่ขอโทษด้วยใจจริง ไม่มีใครเกลียดลูกแน่นอนบารอน”

“ฮึก...”

“พ่อรู้ว่าเราเอาใจลูกมากเกินไป และมันเป็นเพราะเรารักลูก รักมากที่สุดเท่าที่ชีวิตของเราจะทำได้” พ่อจูบที่กลุ่มผมของผมจากนั้นก็ลูบฝ่ามือเบา ๆ ที่แผ่นหลัง

“ผมรู้ครับ ผมรู้ว่าพ่อรักผมมาก...”

“บารอน...เรื่องของเจน ลูกทำแบบนั้นจริงบารอน ลูกเกลียดเธอ พ่อรู้และลูกคึกคะนองเมื่อถูกจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์มอมเมา แต่เธอไม่ได้ตาย เธอหัวใจวายเพราะลูกผลักเธอตกบันได มันว่าจะตั้งใจหรือไม่ลูกทำแบบนั้นกับเธอ" พ่อว่าและนั่นทำให้ผมผละออก ผมสบตากับพ่ออีกครั้ง ดวงตาที่อบอุ่นและสุขุมทำให้ผมสงบลงช้า ๆ

“พ่อ...จะบอกว่าผมเกือบที่จะฆ่าเจน...”

“เคย์ตันไม่ใช่คนดีแบบที่ลูกบอกพ่อกับแม่ ครอบครัวของเขาลักลอบผลิตยาเสพติดไว้ที่โรงน้ำเชื่อมนั่น และนี่คือเหตุผลที่พ่ออยากให้ลูกเลิกคบกับเขา"

"อะไรนะครับ!! ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย"

"ก็ไม่แปลกหรอก เราไม่อยากให้ลูกผิดหวังกับความรักที่ลูกทุ่มเท แม้เราจะพยายามเตือนลูกแต่ลูกไม่เชื่อพวกเรา ลูกพยายามสนับสนุนเขาทุกอย่าง จนกระทั่งวันที่ลูกเป็นเจ้าภาพจัดงานปาร์ตี้ล้างบางอะไรนั่น พ่อถึงได้ทนไม่ได้ต้องเห็นลูกถูกคนพวกนั้นดึงลงไปในโลกที่สกปรก” พ่อจูบที่หน้าผากของผมซ้ำอีกครั้ง "พ่อเป็นคนแจ้งตำรวจเข้าไปจับเคย์ตัน และที่เขาไม่ได้ถูกตัดสินให้จำคุกเยาวชนนั่นเพราะเราอัปเปหิเขา โดยมีข้อเสนอว่าเคย์ตันจะไม่ให้ปากคำเป็นพยานที่ว่าลูกเป็นคนเซ็นต์ใบสั่งซื้อจิ้งเกอร์จิ้งเกอร์เข้าไปในงาน และเขาจะเป็นฝ่ายรับมันไว้คนเดียว"

“พระเจ้า...หมายความว่า ผม...ผมกลายเป็นคนปล่อยยานั่นโดยไม่รู้ตัว"

“พ่อรู้ว่าลูกจะไม่มีทางรับมันได้ถ้าลูกรู้ความจริง สิ่งที่ลูกได้ยินจากใครมามันมีการผสมเติมแต่งทั้งนั้น พ่อคิดว่ามันถึงเวลาที่ลูกจะต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป”

ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมถึงได้โง่ขนาดนี้

"ครั้งสุดท้ายในชีวิตที่พ่อเห็นเขาน่าจะที่กรีก สุดท้ายเขาก็กลายเป็นเอเยนต์ค้ายาเสรีที่นั่น ชีวิตเขาสุขสบายและพ่อไม่อยากจะให้ลูกติดต่อเขาแม้แต่นิด พ่อจึงให้ทุกคนเก็บข่าวของเขาไว้ รู้หรือยังล่ะว่าเราต้องทำอะไรหลายอย่างเพื่อทำให้ลูกเติบโตโดยปราศจากสิ่งเลวร้าย"

เขาลุกขึ้นหลังจากที่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของผม หัวใจของผมที่เคยโหวงเหวงและหวาดกลัวในเรื่องของเจน ตอนนี้กลับได้รับการเยียวยา บางทีเรื่องของเจนไม่ใช่ความทรงจำเลวร้าย มันอาจจะเป็นความสงสัยและบาดแผลวัยเยาว์ที่ต้องการยารักษา

"ผมขอโทษที่ทำเป็นคนที่สร้างแต่ปัญหาให้ทุกคน ผมขอโทษที่ไม่เคยเชื่อพ่อกับแม่เลย"

"ไม่เป็นไรลูก ขอให้รู้ไว้ว่าเราเป็นครอบครัว เราจะไม่ทอดทิ้งกัน"

ผมปล่อยให้ตัวเองหลงลืมตัวตนของตัวเองในนาทีนั้นไม่ได้จริง ๆ ความจริงแล้วผมอาจจะมีปีศาจซ่อนอยู่ในตัวก็เป็นได้



...

มันน่าโกรธเหมือนกันนะที่บรู๊ค ปาร์คเกอร์ จัดงานวันเกิดโดยไม่บอกผมสักคำ เขากล้าดียังไงไม่รับสายผม!

ผมต้องเสียเวลาแวะซื้อเค้กพร้อมสั่งให้พ่อบ้านหยางโทรไปถามบรู๊คว่าพวกเขามีโปรแกรมอะไรกันในวันเกิด และแน่นอนว่าผมจะต้องทำทุกอย่างแบบแนบเนียน!

ครอบครัวปาร์คเกอร์จิตใจดีกว่าที่คิด พวกเขามาเลี้ยงอาหารกลางวันในวันเกิดของลูกชายที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแถวนอร์ทโอเวิล ซึ่งติดกับโบสถ์ที่มีชื่อว่ามารีอาร์

ผมถอดแว่นตากันแดดชาแนลสีชาคาดไว้บนศีรษะและถือถุงที่บรรจุกล่องคัพเค้กไปด้วยถึงสองถุง สวมชุดสีขาวลูกไม้ที่ดูน่าเอ็นดู หวังว่าชุดแบบนี้จะช่วยให้บรู๊คใจอ่อนน่ะนะ

ผมกับมารีน่าเดินเข้าไปยังสถานที่จัดงาน ซึ่งอยู่ในโรงยิมเล็ก ๆ ผมส่งเสียงทักทายบรู๊คไม่ว่าเขาจะตกใจหรืออยู่ในสีหน้าแบบไหนก็ตาม “ไฮ!! แหมนายนี่ร้ายนะ จัดวันเกิดไม่บอกฉันเลย”

“คุณหนู!!”

“ทำอะไรกันอยู่ กำลังสนุกกันเลยสินะ” ผมยิ้มทักทายกับทุกคนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะส่งถุงเค้กให้กับเด็กสาวคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายบรู๊ค แต่ก็ไม่ถึงกับเหมือนมาก

“นี่ฝากด้วยนะ ฉันเอามาให้”

“คะ?”

“คุณหนูคุณมาได้ไง” บรู๊ครีบเดินมาแย่งถุงเค้กจากมือของเด็กสาว เส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าขุ่นของเธอทำให้ผมพอจะเดาออกว่านี่คงเป็นน้องสาวของบรู๊ค ปาร์คเกอร์

“นั่นน้องสาวนายเหรอ สวยเหมือนกันนะเนี่ย"

"นั่นไม่ใช่ประเด็นนะ คุณมาทำอะไรที่นี่? "

"ถามได้ ฉันก็มางานวันเกิดนายไง นี่ฉันต้องลงทุนถามทางมาจากอาเลียมนะ นายนี่นิสัยแย่จริง ๆ นะ ทำไมไม่รับสายฉัน”

“ผมว่าคุณกลับไปดีกว่า!”

“ว่าไงนะ!! นี่ฉันเองนะ นายลืมหน้าฉันแล้วหรือไงบรู๊ค ปาร์คเกอร์!!" ผมฉีกยิ้มหน้าซื่อใส่เขา "มีมารยาทหน่อยสิ ฉันซื้อเค้กมาแจกในวันเกิดของนาย จะไล่ฉันกลับไปแบบนี้มันใจร้ายไปหน่อยนะ”

"ผมไม่ได้เชิญคุณมา..."

เหลือเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะพูดประโยคนี้กับผม ผมอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ แทนที่จะมีน้ำใจกับผมสักหน่อย นี่อะไร ไล่ผมแทบจะทันทีที่เห็นหน้า

“นี่บรู๊ค! ฉันไม่ได้อยากจะทำให้เสียบรรยากาศหรอกนะ แต่นายควรทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ฉันเป็นแขกของนายนะ”

“ผมต้องการความเป็นส่วนตัว...คุณควรจะเคารพสิทธิ์กันบ้าง”

“น้อย ๆ หน่อย นี่เป็นคำพูดที่ควรพูดหลังจากที่นายทิ้งฉันไปน่ะ!"

ผมชำเลืองไปทางด้านหลังของบรู๊ค มีคนสามสี่คนที่ยืนจ้องมองเราอยู่ และถ้าผมเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นสมาชิกในครอบครัวปาร์คเกอร์ เริ่มจากผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่บนวิลแชร์กับใบหน้าที่ยังดูหล่อเหลาแม้ร่างกายของเขาจะสั่น ผมเดาว่านี่คือพ่อของบรู๊ค ถัดมาคือผู้ชายที่ตัวสูง เส้นผมสีเทาแต่ดวงตาสีเข้ม ผมเชื่อเลยว่าพวกเขามีดวงตาที่สวยเหมือนกับผู้ชายคนนั้น ที่ผมเดาว่าคือแม่

ผมรีบเดินผ่านบรู๊คไปหาครอบครัวปาร์คเกอร์โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตจากเจ้าบ้าน และแสดงท่าทางเป็นมิตรด้วยการยื่นมือไปทักทายพวกเขาก่อน “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมบารอน แคปรินคอร์นครับ”

"เอ่อ...ครับ ผมบลูอายส์ ปาร์คเกอร์"

“เอ่อ...แม่ครับ พ่อครับนี่คือ...”

“ลูกเจ้านายของบรู๊คครับ” ผมรีบแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกของเจ้านายบรู๊คเพื่อทำให้พ่อแม่ของเขาไม่ต้องตกใจอะไรมาก

“ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณแคปรินคอร์น”

“ดีใจที่คุณจัดงานดี ๆ แบบนี้นะครับ ผมขอร่วมด้วยคนได้มั้ย?”

"ได้สิครับ ยินดีเลย"

"แม่!!! "

"เสียมารยาทน่าบรู๊ค..."แม่ของบรู๊คหันไปตำหนิลูกชายของตัวเอง ก่อนจะทักทายผมด้วยท่าทางอึกอักเล็กน้อย คุณบลูอายส์ส่งยิ้มทักทายผมก่อนจะหันไปทางผู้ชายตัวสูงผมสีเทาแบบเดียวกับบรู๊คที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ผมโน้มตัวลงไปเพื่อจับมือทักทายกับพ่อของเขา "ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณปาร์คเกอร์"

“ครับ...” และคุณปาร์คเกอร์ก็ยกมือกลับมาทักทาย

“ต้องขอบคุณที่คุณมา เราได้ยินมาว่าคุณแคปรินคอร์นดูแลลูกชายของพวกเราดีมาก” ผู้เป็นแม่ของบรู๊คกล่าวขอบคุณผม และสีหน้าของเขาก็ดูเป็นมิตรสุด ๆ คุณบลูอายส์เป็นโอเมก้าเพศชาย รูปร่างเล็กกว่าผมและหน้าตาไม่ได้ดูเลวร้าย เรียกว่าเป็นคนที่ดูดีแบบเรียบ ๆ มากกว่า

"ลูกชายของคุณเป็นคนดีมาก ไม่นึกแปลกใจเลยว่าเขาเป็นแบบนี้ได้เพราะใคร"

“ขอบคุณครับ เราภูมิใจในตัวเขามาก...ใช่มั้ยคุณผู้จัดการ”

ว่าไงนะ...



“ผู้...ผู้จัดการ?” ผมเลิกคิ้วกับคำนั้น แต่ดูเหมือนพ่อกับแม่บรู๊คจะไม่รู้สึกแปลกเลย เหมือนกับพวกเขารับรู้มาว่าลูกของพวกเขาดำรงตำแหน่งนั้น

“เอ่อคือ แม่ครับ ผม...”

“อ้อใช่! เขาเป็นหัวหน้าที่เก่งมากครับ ลูกชายของคุณเขาเป็นคนหัวไวและฉลาด” ผมยิ้มกลบเกลื่อนและพูดแทรกอีกฝ่าย บรู๊คหันมาสบตากับผมด้วยความละอายใจ

ไว้ฉันจะคิดบัญชีนายทีหลัง!

“เพราะอย่างงี้แหละครับ พวกเราถึงได้ภูมิใจในตัวเขามาก” คุณบลูอายส์หันไปยิ้มและลูบแขนของลูกชาย “เราพึ่งแจกอาหารให้เด็ก ๆ ไป คุณอยู่ทานด้วยกันก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวเราจะตั้งโต๊ะทานอาหารกันที่นี่เลย”

“เยี่ยมเลย ผมพลาดโอกาสนี้ไม่ได้แน่”

“แม่ครับ ผมขอเวลาส่วนตัวสักครู่...” บรู๊คเดินเข้ามาแทรกตรงกลางและยกมือขึ้นขอเวลาส่วนตัวกับแม่ของเขา จากนั้นก็รีบเขาดันไหล่ผมให้เดินออกห่างจากพวกเขามาเล็กน้อย

หมอนี่ทำอย่างกับผมเป็นเชื้อไวรัสอะไรสักอย่าง เดี๋ยวเจอดีแน่!!

“คุณไม่ควรอยู่ที่นี่...มารีน่าด้วย”

"งั้นฉันจะให้มารีน่ากลับ ไม่ต้องห่วงหรอก เธอไม่ถือถ้านายไม่ได้เชิญ"

"ผมหมายถึงคุณต่างหากล่ะ! " บรู๊คแสดงสีหน้าเครียดจัด ทำราวกับโลกจะระเบิดลงตรงนี้ ไม่สิ...เขาทำเหมือนผมคือระเบิดที่พร้อมฆ่าทุกคน แต่ขอโทษเถอะนะ ผมน่ะคือความสุขของทุกสรรพสิ่ง!

“หยุดไล่ฉันกลับบ้านสักทีนายโอเค๊! นายเนี่ยนิสัยไม่ดีจริง ๆ เลยนะ”

“ขอโทษนะ คำนั้นไว้บอกตัวเองครับคุณหนู”

“ฉันรู้ว่านายโกรธฉันนะบรู๊ค แต่ฉันก็มาหานายถึงนี่แล้วไง แถมยังซื้อเค้กมาแจกด้วย เห็นมั้ย?”

“คุณคือสิ่งสุดท้ายบนโลกที่ผมอยากเห็นในเวลานี้”

“ดี!” ผมสะบัดมือออกจากเขา รู้สึกเจ็บใจยังไงไม่รู้ ทำไมเขาถึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจผมนักนะ ผมมาถึงนี่แทนที่เขาจะดีใจ แต่เขากลับทำหน้ายังกับผมเป็นเจสัน วอร์ฮีส์ในหนังเรื่องศุกร์สิบสามที่จะเอาเลื่อยไฟฟ้ามาไล่ฆ่าเขาอย่างงั้นแหละ

“ถ้านายไม่พอใจที่จะให้ฉันอยู่ ฉันจะกลับ”

“ดีเลย ขอบคุณที่เข้าใจ”

“บรู๊ค! นายควรจะรั้งฉันแบบฉากหนังรักโง่ ๆ สิ นี่คือตอนที่นางเอกมาง้อพระเอก” ดูเขาทำกับผมสิ ไม่รั้งผมไว้ไม่พอแต่เขายังแสดงท่าทางเหมือนกับว่าเขาไม่แคร์ผมเลยสักนิด

"เสียใจด้วยที่พล็อตของเราไม่ใช่หนังรักผมไม่ใช่พระเอกและคุณก็ไม่มีทางได้บทนั้น สำหรับผมคุณคือหนังสยองขวัญ แบบผมต้องเอาชีวิตรอดอะไรประมาณนั้นน่ะ"

“ไม่ตลกเลยนะ นายจะโกรธอะไรฉันนักหนา... ฉันมาหานายเพื่อที่จะมาขอ...ขอโทษนาย”

“ผมไม่ได้อยากได้ และยิ่งกับวันของครอบครัวแล้วด้วย นี่รู้ตัวมั้ยว่าคุณทำให้ชีวิตผมยุ่งยากไปอีก!”

ผมพูดไม่ออก ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินในชีวิตใครขนาดนี้มาก่อน

“ผมรู้ว่าคุณต้องการอะไรและผมรู้ว่าคุณมาที่นี่ทำไม แต่วันนี้คือวันของครอบครัว การที่คุณมาไม่บอกผมทำแบบนั้นมันเกินไปหน่อย คุณควรจะรู้จักพื้นที่ส่วนตัวกันบ้าง” เขาเสยผมสีเทาและพ่นลมหายใจหงุดหงิด แต่ที่น่าหงุดหงิดคือผมรู้สึกใจเต้นแรงที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้เห็นมาสามวันเต็ม ๆ

“นี่บรู๊ค ฉันไม่ใช่ตัวปัญหานะ อีกอย่างฉันไม่ได้จะมาก่อเรื่องให้นายหรอกน่า"

"ที่ผ่านมาคุณพิสูจน์คำพูดนั้นจนผมเชื่อแล้ว"

"ไม่สร้างปัญหาใช่มั้ยล่ะ"

"ไม่! คุณคือผู้ก่อสงคราม ชนิดที่ว่าฮิตเลอร์คงแพ้ถ้าเขารบกับคุณ! "

คำพูดของเขามันฟังดูแย่จริง ๆ ทั้งที่ผมพยายามจะอธิบายทุกอย่างด้วยความใจเย็น แต่ดูเขาสิ เอาแต่เถียงผมทุกคำไม่ยอมหยุด และเชื่อเถอะว่าแม้แต่ภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกาก็คงเย็นไม่เท่าผมในตอนนี้

“ฉันรู้ว่าตัวเองทำให้ใครต่อใครเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้บทเรียนอะไรเลยนะจากเรื่องนั้นนะบรู๊ค”

“แล้วคุณได้อะไรล่ะ?”

“อย่างน้อยฉันก็ได้ความเย็นชาจากนายไง”

“คุณคิดได้แค่นั้นจริง ๆ งั้นสิ...” สิ่งที่เขาพูดทำให้ผมหายใจไม่ออก รู้สึกตัวเล็กลงและเหมือนกับแววตาเย็นชาของเขายิ่งทำให้ผมกระอักกระอ่วน

“อย่าน้อยฉันก็เลือกที่จะช่วยนายโกหกเรื่องงานของนาย ถ้าฉันไม่ช่วยพูดแล้วบอกความจริงไป ฉันอาจจะเป็นบารอนคนนั้นที่นายเคยบอก คนเห็นแต่ตัวที่พร้อมจะทำลายคนอื่น” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะเอานิ้วก้อยเกลี่ยที่นิ้วของเขาเบา ๆ “เห็นมั้ยว่าฉันไม่ได้เห็นแค่ตัวเอง ฉันเห็นใจนายนะ”

“อย่างคุณเนี่ยนะ...”

“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องวุ่นวาย ฉันจะมาแค่แจกขนมเค้กให้เด็กกำพร้าจากนั้นก็จะกลับเลย ทันทีเลยด้วย!”

“บารอน...” บรู๊คเม้มริมฝีปากและหันมาสบตาผมอีกครั้ง “ผมมากับครอบครัว และผมต้องการใช้เวลากับพวกเขาอย่างเต็มที่ ผมไม่มีเวลาดูแลคุณแน่ ๆ”

“ฉันดูแลตัวเองได้ สบายมาก” ผมพยายามยิ้ม แต่ข้างในรู้สึกแย่ชะมัดเลย

“บรู๊ค...รู้ว่านายยังไม่ไว้ใจฉันและคิดว่าฉันก็คือบารอนที่ร้ายกราจ ฉันไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่สำหรับวันนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่วุ่นวาย ฉันสัญญาจริง ๆ”

“ขอแค่อย่าสร้างปัญหาก็พอ พ่อกับแม่ผมไม่รู้ว่าผมเป็นแค่คนขับรถ และพวกเขาจะสบายใจกว่าถ้ารู้ว่าผมอย่างที่บอก”

“ฉันจะรูดซิปปาก สัญญา” ผมทำท่ารูดซิปที่มุมปากและโยนมันทิ้งไปข้างหลังเหมือนกับเป็นการสัญญาว่าเรื่องนี้จะถูกทิ้งเป็นความลับตลอดกาล


บรู๊คกับผมเดินกลับเข้าไปในงาน เขายอมให้ผมมาแจกอาหารที่ซุ้มของเขา แม้ว่าจะไม่พูดคุยกับผมและยังทำท่าไม่สนใจผมก็ตาม แต่ว่าอย่างน้อยแม่ของเขาก็ใจดีกับผมมาก เขาคอยดูแลและพูดคุยกับผมตลอดช่วงเช้าที่เราทำกิจกรรมกัน



- - - NEXT - - -
หัวข้อ: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xv」change (1-2) : Aug 4,2019
เริ่มหัวข้อโดย: แม่นาย ที่ 04-08-2019 14:19:40
「 xv」change (1-2)

หลังจากที่เราแจกจ่ายอาหารกันเสร็จแล้ว ก็น่าจะเป็นคิวของผู้ดูแลมูลนิธิที่จะขึ้นมากล่าวคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ กับครอบครัวปาร์คเกอร์ในวันนี้ ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้านแล้วแม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันเลยทั้งวันเพราะมัวแต่ยุ่งกับการทำกิจกรรมหลายอย่างในวันนี้ แต่ผมสังเกตว่าเขามองผมอยู่ตลอด และนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่ดี

“คุณเอาลิปให้อาร์เธอสิ เขาไม่กล้าหอมใคร”

“ได้สิ มาเลย”

เสียงเด็ก ๆ หัวเราะดังออกมาจากบริเวณสนามเด็กเล่น ผมเห็นบรู๊คนั่งคุยกับเด็กอยู่ตรงนั้นมาสักพัก ผมยืนมองอยู่นานและลังเลว่าตัวเองควรจะเข้าไปดีมั้ย แต่แล้วก็คิดว่าอย่างน้อยผมก็ควรเข้าไปบอกเขาว่าผมจะกลับแล้ว

“เอาหอมอีก นี่ไง หอมได้แล้ว”

“คิคิ ขอบคุณค่ะ”

พวกเขานั่งล้อมวงเป็นวงกลม บรู๊คอยู่ตรงกลางมีเด็ก ๆ สามสี่คนรุมล้อมเขา ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยลิปสติกจากปากของเด็ก ๆ ที่น่าจะเล่นเกม One kiss กันอยู่ ผมหยุดยืนอยู่ไม่ไกลและไม่คิดที่จะรบกวนอีกฝ่ายมากไปกว่าส่งยิ้มให้กับพวกเขา

บรู๊คดูอบอุ่นและขี้เล่นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาในเวลานี้เหมือนพ่อผู้ใจดีเลย...

“คุณครับ มาเล่นด้วยกันสิครับ”

“ไม่...ไม่ดีกว่า พวกเธอเล่นไปเถอะ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นกวักมือเรียกผม

“ไปจับเขามาเลย คุณครับมาเล่นด้วยกันเถอะ”

"ไม่...ไม่ดีกว่า"

"มาเถอะครับ มานะ! "เด็ก ๆ วิ่งเข้ามารุมผม ผมทำหน้าไม่ถูกตอนที่พวกเขาเขย่ามือและคะยั้นคะยอให้ผมเข้าไปเล่นเกมกับพวกเขาด้วย บรู๊คอมยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขานั่งมองผมที่ถูกกลุ่มเด็ก ๆ วันแสบรากไปอยู่ที่ตรงกลางระหว่างเขา

“เล่นอะไรกันน่ะ...”

“จูบเจ้าชาย คนที่อยู่ตรงกล้าเป็นเจ้าชาย เขาจะให้เราจูบคนละหนึ่งที จนกว่าพื้นที่บนใบหน้าของเขาจะหมด”

“งั้นเหรอ” ผมยิ้มมองเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างผม เขาส่งลิปให้กับผมแล้วพยักหน้าเหมือนกับเชิญชวนให้ทำ

“คุณต้องทาปากก่อนนะ แล้วค่อยจูบเจ้าชายให้หน้าเขาเต็มไปด้วยลิป”

“ฉ...ฉันว่ามันไม่ดีเท่าไหร่มั้ง"

จะบ้าหรือไง ให้ผมจูบบรู๊คต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ

“จูบเลย เขาเป็นเจ้าชาย ถ้าเข้ามาเล่นด้วยกันแล้วคุณต้องจูบนะ”

“จูบสิคะ คิคิ”

เสียงเด็ก ๆ ร้องเชียร์พร้อมกับบอกให้ผมจูบแก้มเขา ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ในขณะที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลืออีกฝ่าย ทว่าเขากลับส่งยิ้มกลับมาไม่คิดที่จะช่วยพูดกับเด็กพวกนี้ให้เลย

“มาครับ ผมทาลิปสติกให้”

“หยุดนะ ไม่เอา! "

พอเห็นผมขึ้นเสียงดุ ทุกคนก็ขยับออกห่าง บางคนวิ่งไปหลบหลักบรู๊คและทิ้งให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ผมทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้สึกว่าตัวเองพึ่งจะทำร้ายจิตใจเด็ก ราวกับเหยียบตุ๊กตาหมีที่พวกเขาได้มาจากซานต้าทิ้ง

ให้ตายเถอะ ทำไมจะต้องมองผมแบบนั้นด้วย

“แค่จูบใช่มั้ย...จูบเดียวนะ งั้นทาก็ได้”

“เย้!!” เด็กสาวที่วิ่งไปหลบด้านหลังรีบวิ่งมาหาผมเมื่อได้ยินคำอนุญาตนั้น เธอทาลิปสติกสีชมพูลงบนริมฝีปากของผม และเดาว่ามันเลอะออกไปนอกขอบปากแล้วล่ะตอนนี้

“จูบเจ้าชายได้เลยค่ะ”

“...”

จูบเหรอ... ปกติเราก็จูบกันออกจะบ่อย ทำไมครั้งนี้ผมใจเต้นแรงกว่าทุกคนนะ...

บรู๊คนั่งหลังตรงมองผมด้วยแววตานิ่ง ๆ ที่ไม่แสดงออกไปทางด้านไหน ตกใจ รังเกียจ ดีใจ หรือตื่นเต้น ผมเดาไม่ออกเลยว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ ผมถูกเด็ก ๆ ดันหลังให้เข้าไปใกล้กับบรู๊ค ผมประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ปกติผมไม่ใช่คนที่จะเสียความมั่นใจกับอะไรง่าย ๆ

ทำไมกัน...

“จูบแก้มเลย จูบเลยเจ้าชายจะโดนจูบแล้วเย้!!”

“จูบให้ไม่เหลือที่ว่างเลย พวกเราชนะเจ้าชาย!”

ผมค่อย ๆ ประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจูบที่ดูดดื่มหรือหอมหวานอะไร ทว่าหัวใจผมเต้นแรงเหมือนกำลังเสียการควบคุม แม้มันจะเป็นสัมผัสจาง ๆ แต่ผมกลับรู้สึกประหม่าเหมือนเด็กที่พึ่งจะเสียจูบแรกให้กับรุ่นพี่หรือใครสักคนที่แอบชอบมาตลอดหลายปี

นี่มันเกิดอะไรกับผม ...ความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันนะ

ทันทีที่ผมผละออกจากเขาอย่างอ้อยอิ่ง ร่างกายของผมชาไปหมด มันเหมือนมีกระแสไฟแล่นผ่านร่างกาย บรู๊คหันมาในเวลานั้นพร้อมกับใช้ริมฝีปากของเขาจูบกลับที่กลีบปากของผมเบา ๆ และนั่นแหละที่จู่โจมหัวใจผมอย่างจัง

“เย้...”

“เราชนะแล้ว ไม่มีพื้นที่บนหน้าของพี่เขาแล้ว”

เสียงเด็ก ๆ พูดคุยกันไม่ได้เข้าหัวผมสักประโยค แม้แต่เสียงปรบมือร้องเชียร์พวกนั้นก็ด้วย ผมจดจ้องมองดวงตาสีฟ้าขุ่นที่ไม่ได้มองมานานเกือบสามวัน มันทำให้ผมรู้โดยทันทีว่าผมโหยหาบรู๊ค ปาร์คเกอร์แค่ไหน



“เฮ้...อยู่นี่เอง นึกว่าหายไปไหน”

“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งตอนที่บรู๊คเอากระป๋องโคคาโคล่ามาทาบที่แก้วของผม เขานั่งลงด้านข้างและเท้าแขนไปด้านหลัง หลังจากที่ผมจูบบรู๊ค ผมก็รีบวิ่งหนีมาล้างลิปสติกออกจากปาก ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียการควบคุมได้ขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองใจเต้นจนแทบคลั่งเพราะเสียงร้องเชียร์จากเด็ก ๆ หรือเพราะริมฝีปากที่ไม่ได้สัมผัสกันมาหลายวันกันแน่!

“เหนื่อยใช่มั้ยล่ะครับ ผมเห็นว่าคุณวุ่นวายอยู่กับการแจกเค้ก”

“นิดหน่อยน่ะ”

“แม่ผมชมด้วยว่าอร่อยมากและฝากชมว่าคุณน่ารักมากด้วย”

“งั้นเหรอ แม่นายก็น่ารักเหมือนกัน...” ผมว่า “วันนี้เป็นวันเกิดแล้วทำไมไม่เห็นบอกกันเลยล่ะ”

“ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะอยากรู้”

มันน่าน้อยใจนะที่เขาไม่บอกผมเกี่ยวกับวันสำคัญของเขา ทั้งที่ผมคิดว่าเขาจะให้ผมเป็นคนพิเศษสุด ๆ ของเขาแล้วเสียอีก!

“ที่บ้านฉันเวลามีวันเกิดเราก็จะจัดปาร์ตี้กันเสียใหญ่โต คนทั้งเมืองจะร่วมแสดงความยินดีกับฉัน พ่อจะแจกการ์ด ออกไปเกือบร้อยใบ ฉันจะต้องไปยืนยิ้มให้กับแขกมากมายของพ่อและแม่ที่ฉันไม่รู้จัก” ผมจินตนาการถึงงานวันเกิดสุดยิ่งใหญ่ของตัวเองทุกปี “คนทั้งเมืองมาพร้อมของขวัญ และคำอวยพรแบบขอไปที การได้มาบริจาคข้าวของและจัดมื้ออาหารให้กับเด็กยากไร้ก็ไม่เลว ไม่สิ มันดีมากเลยแหละ”

“นี่เป็นธรรมเนียมของที่บ้านผมน่ะครับ พ่อเป็นคนเริ่มและมันก็สนุกดีนะที่จะทำแบบนี้ทุกปี”

“พ่อนายใช่คนที่...เอ่อ...นั่งวิลแชร์ใช่มั้ย” มันเป็นคำถามที่ดูอ่อนไหว ผมจึงระวังเป็นพิเศษ

“ใช่ครับ นั่นแหละพ่อผม เขาป่วยเป็นพาร์กินสันน่ะ แบบที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

“แต่เขายังดูดีอยู่เลย เผลอ ๆ สมัยหนุ่มเขาคงหล่อกว่านายแน่” ผมยิ้มล้อเลียนใส่อีกฝ่าย

“ไม่มีใครหล่อกว่าผมแล้วแหละ”

“หลงตัวเอง!” ผมหันย่นจมูกใส่คนด้านข้างกับคำพูดของน่าหมั่นไส้ของเขา แม้ว่าจะรู้สึกถึงความหลงตัวเองไปหน่อย แต่ผมก็รู้ว่านั่นก็เป็นเรื่องจริง

บรู๊ค (คนขับรถ) ของผม หล่อกว่าเห็น ๆ

“ผมเอาน้ำโคคาโคล่ามาให้ ดื่มสิชื่นใจนะ” บรู๊คยื่นกระป๋องน้ำอัดลมในมือมาให้ผม

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ดื่มน้ำอัดลม”

ผมกล่าวปฏิเสธเพราะน้ำอัดลมเป็นพิษต่อร่างกาย ดูไม่ออกเหรอว่าผมเป็นคนที่รักสุขภาพมากแค่ไหน ผมดูแลรูปร่างตัวเองเป็นอย่างดี

“แต่...ก็...ขอบใจนะ”

“สำหรับ?”

“น้ำอัดลมนี่ไงเล่า” ผมแกล้งพูดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ บรู๊คอมยิ้มล้อเลียนผมและนั่นทำให้ผมนึกถึงตอนที่ตัวเองเล่นเกม One Kiss กับเขา

“เดี๋ยวนี้คุณหัดขอบคุณในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้แล้วเหรอเนี่ย”

“ทำไมต้องตกใจแบบนั้นด้วย ฉันพูดแล้วมันแปลกตรงไหน” ผมอดที่จะหันไปประท้วงคนชอบแกล้งไม่ได้ บรู๊คกลั้นหัวเราะตอนที่ผมหยิกแขนเขาจนช้ำ หมอนี่ซาดิสท์หรือไงนะชอบให้ผมลงไม้ลงมืออยู่เรื่อย

“ผมไม่ได้ตกใจนะ โอ๊ย ผมแค่ภูมิใจต่างหาก!”

“ไม่ต้องมาพูดมากเลย!!” หยิกให้เขียวเลยบังอาจมาทำหน้าล้อเลียนผมได้ไง!!

“อะไรกัน โอ๊ย...ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่...โอ๊ย!! เจ็บนะครับ”

บรู๊ครวบข้อมือผมไว้ก่อนจะออกแรงดึงผมที่ทรงตัวไม่อยู่เซไปชนกับแผงอกของอีกฝ่าย เราสบตาสายตากันในระยะใกล้ชิดและบรู๊คกำลังส่งยิ้มที่ไม่ใช่การล้อเลียนแบบครั้งที่แล้วให้กับผม

“ปล่อยฉันได้แล้ว ไม่งั้นนายเจอดีแน่!”

“ผมแค่จะบอกว่า...ขอบคุณที่มาหานะครับคุณหนู”

“...”

“ขอบคุณสำหรับเค้กและก็เรื่องที่คุณช่วยปิดบังเรื่องนั้นด้วย ขอบคุณที่คุณไม่รังเกียจเด็ก ๆ พวกนั้น รวมทั้งขอบคุณที่คุณทำให้วันนี้ของผมวิเศษกว่าที่คิด”

“นายคงคิดว่าฉันจะเอาแต่สร้างเรื่องให้นายปวดหัวใช่มั้ยล่ะ”

“ถ้าจะให้ตอบแบบตรง ๆ ก็คงใช่”

“นายมันคือคนที่น่ารำคาญที่สุดในโลกเลยรู้มั้ย” ผมพูดออกไปอย่างงั้นและเขาก็รู้ว่านั่นไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิด บรู๊คจ้องตาผมเงียบ ๆ เขาเข้าใกล้ผมเลื่อน ๆ จนปลายจมูกแทบจะติดกัน ดีที่ผมหันหน้าหนีได้ทันไม่อย่างงั้นคงเผลอแสดงหน้าตาน่าเกลียดออกมา

ฟอด!!

จู่ ๆ เขาก็พุ่งเข้ามาหอมแก้มผม เราอยู่กันในที่สาธารณะนะ ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าผมจะสามารถระเริงรักกับคนขับรถได้ทุกที่หรือไง!

ฟอด

“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!”

ฟอด

“บรู๊ค!!”

ให้ตายสิพระเจ้า! เขาฉวยโอกาสนั้นหอมแก้มผมอีกเป็นครั้งที่สอง

“หยุดทำแบบนี้นะ เดี๋ยวคนมาเห็น”

“ผมหายโกรธคุณก็ได้ครับ ถ้าคุณจะน่ารักขนาดนี้”

“อ๋อเหรอ นี่คิดว่าฉันมาถึงนี่เพื่อมาทำให้นายหายโกรธงั้นเหรอ?” ยิ่งผมพยายามหันหน้าหนีเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ยิ่งไล่ต้อนจะหอมผมมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายผมก็หมดหนทางที่จะสู้ เขาจูบแก้มผมสลับกันสองข้าง หอมจนผมรู้สึกอ่อนแรงคล้ายกลับโดนดูดวิญญาณไปเลย

บ้าจริง ขนาดตัวเองโดนฉวยโอกาสผมยังมีหน้ามายิ้ม ปัญญาอ่อนที่สุด

“พอแล้ว นายออกไปให้ไกล ๆ เลยนะ ขอบอกให้รู้ว่าฉันไม่ได้มาเพื่อที่--”

ฟอด

เขาหอมผมอีกแล้ว!!

“หยุดได้แล้ว!!” ผมเอามือดันหน้าอีกฝ่ายออก มีอย่างที่ไหนมาหอมผมแบบนี้แล้วฉีกยิ้มไม่สะทกสะท้าน คนหน้าไม่อาย เขากล้าทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ “นายมันไอ้อัลฟ่าลามก”

“ส่วนคุณก็คือคุณหนูโอเมก้ากลิ่นบานาน่ามิลค์ที่น่ากินที่สุด”

เขารู้ได้ไง เจ็บใจชะมัด!

“อย่ามาพูดมั่วนะ ฉันไม่ใช่บานาน่าอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไม่จริงหรอก คุณจงใจใช้โลชั่นกลิ่นที่ผมเคยบอกว่าหอมมาวันนี้เพราะอยากถูกผมนัวเนียใช่มั้ยล่ะ”

“หยุดพูดจาหลงตัวเองสักที!” แม้ว่าตอนนี้ผมจะกำลังต่อว่าอีกฝ่าย แต่เขาคงเห็นว่าผมเผลอหลุดยิ้มออกมา เพราะงั้นเขาถึงได้จูบลงที่แก้มผมซ้ำ ๆ เหมือนกับว่าผมเป็นเจ้าตัวขนนุ่มนิ่มที่เขาอยากจะซุกหน้าใส่

มันบ้ามั้ยล่ะที่ผมยิ้มเพราะถูกขโมยจูบ!



“บรู๊ค พ่อกับแม่จะกลับแล้วนะ”

!!!

“ครับแม่!”

พระเจ้าเกือบไปแล้ว เผลอ ๆ คุณบลูอายส์อาจจะเห็นว่าผมกับบรู๊คกำลังอี๋อ๋อกันอยู่

“คุณบารอนอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันมั้ยครับ”

“อ๊ะ...คะ...ครับ” ผมรีบผละลุกขึ้นด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน และคนฉวยโอกาสก็หมดหนทางที่จะเอาเปรียบผม แม่ของบรู๊คส่งยิ้มสุภาพให้ผมอีกครั้งก่อนจะถามย้ำ “อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันสิครับคุณแคปรินคอร์น ผมอยากจะตอบแทนที่มาช่วยพวกเราในวันนี้”

“แต่แม่ครับ...ผมว่าจะกลับแล้วแหละ อยู่ทานข้าวเย็นด้วยไม่ได้หรอก”

“อ้าว...นึกว่าจำกลับค่ำ ๆ”

“นั่นสิ นายไม่อยากอยู่ทานข้าวกับที่บ้านก่อนเหรอ” ผมใช้ศอกกระทุ้งเอวเขา บรู๊คทำท่าอึกอักในขณะที่เหลือบมองผมด้วยแววตาประหลาดใจสุด ๆ

“ก็คุณ...อาจจะต้องรีบกลับ”

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย..." บรู๊คมากกว่ามั้งที่อยากจะกลับ ผมไม่พลาดที่จะได้รู้จักกับครอบครัวของบรู๊คแน่ และยิ่งคุณบลูอายส์บอกว่าจะทำให้อาหารให้ทาน ผมคิดว่ามันจะเสียมารยาทมากถ้าจะปฏิเสธ!

"คุณบลูอายส์ครับ ผมอยู่ฝากท้องด้วยสักมื้อได้มั้ยครับ”

“ด้วยความยินดีเลยครับคุณแคปรินคอร์น”

“แต่คุณหนูจะทานได้เหรอ อาหารที่บ้านผม...”

“เฮ! เสียมารยาทน่ะลูก” คุณบลูอายส์รีบพูดตอนที่เห็นว่าลูกชายของผมพยายามขัดขวางผมไม่ให้อยู่ทานมื้อเย็นกับครอบครัวปาร์คเกอร์

“ฝีมือผมอร่อยนะครับ ถ้าคุณอยู่ทานมื้อค่ำด้วยจะดีมากเลย เราจะได้ถามคุยเกี่ยวกับบรู๊ค อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างกับชีวิตที่นั่น”

“แม่อะไรเนี่ย?”

“ดีเลยครับ ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย” ผมตอบรับแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย ก็นี่เป็นวันเกิดของบรู๊คนี่นา เขาควรจะได้อยู่กับครอบครัวและไม่ต้องรีบกลับไปใช้ชีวิตในโลกที่วุ่นวายกับผม...

อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเขา เพราะงั้นผมจะยอมตามใจยรู๊ควันหนึ่งแล้วกัน



- - - - - -

Talk

ราชินีตัวน้อย ๆ มาแล้วจ้าาาาาาาาาาาาาาาาา บารอนมาแล้วววววววววว ฝากด้วยนะคะ ช่วงนี้กำลังใจหดหาย น่าจะเหนื้่อย ๆ ด้วย แต่จะพยายามเขียนงานออกมาให้ได้ เดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไปเย้ ^^

ป.ล มีคำผิดคำสลับขออภัยนะคะ
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 13-08-2019 17:00:59
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 08-11-2019 07:42:29
 :L2:
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-11-2019 23:06:28
มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆแล้ว
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 14:15:43
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-05-2020 10:04:30
รออ่านอยู่อีกนะคะ
หัวข้อ: Re: Ω You're my Omega l เป็น(ของ)คุณคนเดียว「 xiv」Soulmate (1-2) : Jul 29,2019
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 12-06-2020 08:58:15
รออ่านอยู่อีกนะคะ

ไปค้นมา  เหมือนผู้แต่งจะออก ebook ไปแล้วคะ