ก้าวแรกของแมวเหมียว
“คิดเอาไว้หรือยังว่าจะเรียนพิเศษที่ไหน” ธีราถามน้องระหว่างที่ทานมื้อเย็นกันลำพังสองคนพี่น้อง เพราะคืนนี้ป๊ากับแม่ไปงานเลี้ยงกว่าจะกลับก็ดึก น้ำเลยต้องซื้อข้าวมากินกับน้องสองคน
วิฬาร์ที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากวางช้อนลงแล้วส่ายหน้าตาแป๋ว “เฮียจัดการให้เหมียวเลยก็ได้”
“เฮียว่าจะให้เหมียวไปเรียนที่ xx ในกรุงเทพช่วงปิดเทอมนะ”
ปีหน้าแมวเหมียวก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ธีราเห็นว่าน้องต้องเริ่มเตรียมตัว เขาเลือกสถาบันกวดวิชาที่ดีที่สุดให้น้อง จะได้เข้าเรียนในคณะที่ตั้งใจเอาไว้ได้ แต่ถึงจะสอบเข้าไม่ได้น้ำเองก็ไม่คิดจะว่าอะไรหรอก เขามีปัญญาส่งน้องเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนได้สบาย ๆ อยู่แล้ว
คนเป็นน้องขมวดคิ้ว ปกติไม่มีทางที่เฮียจะปล่อยเขาไปไหนไกลนี่นา อีกฝ่ายหวงแมวเหมียวยิ่งกว่าป๊ากับแม่เสียอีก ไอ้เรื่องจะให้นั่งรถตู้ไปกลับเพื่อเรียนพิเศษเนี่ยตัดออกไปได้เลย แล้วอะไรเข้าสิงจะให้เข้าไปเรียนพิเศษในกรุงเทพเนี่ย
“ช่วงที่ไปเรียนก็ไปพักอยู่กับไอ้เก้ามันก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลให้เหนื่อย”
ลมหายใจของวิฬาร์สะดุดเมื่ออีกฝ่ายบอกเช่นนั้น แต่ครู่เดียวเขาก็เปลี่ยนท่าทีกลบความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้
“จะดีเหรอ พี่เก้าเขาจะได้รำคาญเหมียวเอาสิ” วิฬาร์พูดทำปากยื่น
ธีราหัวเราะในลำคอ “น้ำหน้าอย่างมันเนี่ยนะ มีแต่จะรอเลี้ยงดูปูเสื่อเราอย่างดีน่ะสิ”
น้องคนเล็กหลุบตาลงต่ำอย่างไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรไปเถียงดี ระยะนี้ความสัมพันธ์ของเขากับพี่เก้าก็ดีขึ้นจน...แทบจะเหมือนเดิมแล้ว พวกเขาติดต่อพูดคุยกันเป็นปกติ แต่ทั้งแมวเหมียวและพี่เก้าต่างรู้ตัวดีว่ามันไม่ได้เหมือนเดิมเต็มร้อย
“มีอะไรไม่สบายใจก็บอกเฮียได้นะ”
วิฬาร์ลอบถอนหายใจเสียงเบา เงยหน้าขึ้นปั้นยิ้มเหมือนไม่มีอะไรในใจ “เอาตามนั้นก็ได้ครับ” บอกก่อนจะหยิบช้อนกินข้าวต่อ
“นี่” ธีราเรียก “ถ้าไม่อยากไปก็บอก เฮียไม่บังคับแมวเหมียวหรอก”
“ฮื้อ~” น้องส่ายหน้ารัว “เหมียวจะไป”
“แน่ใจนะ อย่ามาหาว่าเฮียบังคับล่ะ”
น้องคนเล็กพยักหน้ารัว “เหมียวรู้ว่าเฮียหวังดี เหมียวไม่คิดอย่างนั้นหรอก”
ธีรายื่นมือไปขยี้ผมน้องด้วยความรักและเอ็นดู พอมาคิด ๆ ดูว่าอีกไม่นานแมวเหมียวของเขาก็ต้องเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพก็อดจะใจหายไม่ได้ ช่วงเวลาที่ได้เลี้ยงดูน้องตั้งแต่ตัวแดง ๆ จนตอนนี้ รู้สึกราวกับว่ามันเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง
ในสายตาของธีราแมวเหมียวก็ยังคงเป็นน้องตัวน้อยของเขาอยู่ดี การที่จะให้ไปไกลหูไกลตาเขาก็ไม่ค่อยสบายใจนัก แต่โชคดีที่ไอ้เก้ามันทำงานอยู่กรุงเทพ อย่างน้อยอีกฝ่ายมันก็รักแมวเหมียว ธีราก็ไว้ใจที่จะฝากน้องไว้กับเพื่อนคนนี้อย่างสบายใจ
"งั้นแมวเหมียวอยากลงวิชาไหนก็บอกนะ เดี๋ยวเฮียไปจัดการให้"
แมวเหมียวพยักหน้ายิ้มตาหยีทั้ง ๆ ที่ในปากยังมีข้าวอยู่เต็มจนแก้มป่อง
คนน้องกินข้าวไม่กี่คำก็อิ่ม พี่ชายเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าในจานยังมีข้าวเหลืออยู่เลย
"กินน้อยขนาดนี้แล้วเมื่อไหร่จะโต"
น้องชายของเขาผอมแห้งแรงน้อยจนดูน่าห่วง เด็กผู้ชายส่วนใหญ่พอขึ้น ม.ปลายร่างกายก็จะเริ่มพัฒนามีกล้ามเนื้อมากขึ้น แต่พอหันมาดูแมวเหมียวแล้ว...ไม่ได้ต่างไปจากตอนอยู่ ม.ต้นเลยสักนิด อาจจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังผอมเหมือนเดิม
"ว่าไปนั่น!" วิฬาร์ร้องเสียงสูงด้วยความไม่พอใจ "เหมียวสูงขึ้นตั้งห้าเซน” ยกมือขึ้นมาชูห้านิ้ว “ตอนนี้ร้อยหกสิบห้าแล้วนะ!"
..เมื่อก่อนเขาตัวเท่า ๆ เด็กผู้หญิง แต่ตอนนี้เหมียวสูงกว่าผู้หญิงบางคนแล้วนะ โธ่เอ๊ย~ไม่อยากจะคุย..
"ก็แค่ร้อยหกสิบห้า ไม่อยากตัวใหญ่เท่าเฮียเหรอ" ธีรายิ้มขำเมื่อเห็นใบหน้าน่ารักที่กำลังง้ำงอของน้อง
"ยะ อยากสิ…" วิฬาร์อึกอัก "เหมียวต้องทำยังไงถึงจะสูงเท่าเฮียเหรอ"
..ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากตัวเตี้ยหรอก แต่เอาแค่ส่วนสูงเท่าเฮียก็พอ ความหนาคงไม่ไหว..
"กินอาหารให้ครบห้าหมู่ แถมดื่มนมวันละลิตรครึ่ง เล่นกีฬาสม่ำเสมอ"
คนน้องอ้าปากค้าง บ้าบอ! ไม่ต้องพูดถึงออกกำลังกายเลย เขาตายตั้งแต่นมวันละลิตรครึ่งแล้ว
"ต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ"
วิฬาร์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ก่อนตอบเสียงแผ่ว "เหมียวขอตัวเท่านี้ก็พอแล้วครับ"
วิฬาร์ขอยอมแพ้ ตัวใหญ่คงไม่ใช่ทางของเขาจริง ๆ เขากินไม่เก่งแถมยังไม่ชอบออกกำลังกายอีกด้วย ขอนอนสบาย ๆ ในห้องดีกว่าไปทำให้ตัวเองเหนื่อยเพื่อส่วนสูงหรือมีกล้ามอะไรนั่นท่าจะดีที่สุด
..คนเราต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวมีสิ..
ธีราหัวเราะออกมา "แต่อย่างน้อยก็ต้องกินอาหารให้ครบห้าหมู่นะรู้ไหม ถ้าเข้าไปเรียนที่กรุงเทพเมื่อไหร่พี่จะกำชับไอ้เก้าให้จัดอาหารให้แมวเหมียวให้ดี ไม่ใช่ให้กินแต่อาหารเม็ดทุกมื้อ”
“เฮีย!” แมวเหมียวโวยวาย “เหมียวไม่ใช่แมวนะ!”
“นั่นเรียกเฮียหรือด่าว่าเหี้ยน่ะ” ธีราย้อนหัวเราะลั่น
คนเป็นน้องนั่งหน้าบูดเมื่อถูกล้อเลียนแบบนั้น สมัยเด็ก ๆ เขาเคยเกลียดชื่อเหมียวหรือแมวเหมียว แต่พอได้รู้ถึงที่มาของชื่อเขาก็เปลี่ยนความคิดนั้นไป ก็แม่อุตส่าห์คิดมาอย่างดี อยากให้เขาที่เป็นเด็กเสี่ยงครรภ์เป็นพิษมีชีวิตรอดปลอดภัยเหมือนอย่างแมว 9 ชีวิต...แต่ก็ใช่ว่าจะชอบให้มาแซวเรื่องนี้นะ
“โอ๋ ๆๆ” ธีราลูบหัวน้อง “หยอกน่า”
น้องเล็กนั่งกอดอก สะบัดหน้าหนีไม่สนใจเฮีย ถ้าจะมาง้อไม่จริงใจแบบนี้ก็อย่าง้อซะดีกว่า
“แหม ไม่คุยด้วยแบบนี้ก็แย่เลยนะเนี่ย” ธีราพูดลอย ๆ
วิฬาร์หูผึ่ง ค่อย ๆ เหลือบมองเฮียทีละน้อย
“ไอ้เราก็ว่าจะพาไปซื้อเกมใหม่สักหน่อยน้า~” บอกก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
ได้ยินแบบนี้น้องน้อยก็หันขวับไปทำตาโตใส่คนเป็นพี่ทันที “จริง ๆ นะ!”
“หืม” ธีราหันมาช้า ๆ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
“เฮียจะพาเหมียวไปซื้อเกมจริง ๆ นะ” วิฬาร์เกาะขอบโต๊ะยื่นหน้ายื่นตาถามเฮีย
“นะอะไรครับ”
“นะครับ~” เหมียวลากเสียงตามที่อีกฝ่ายต้องการ “จริง ๆ นะครับ”
“ถ้าแมวเหมียวหายงอนเมื่อไหร่เฮียถึงจะพาไปครับ” ธีรายิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ เขาเลี้ยงน้องมากับมือ ทำไมจะไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร
“หายแล้ว ๆ”
เจ้าตัวหายงอนเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าจะพาไปซื้อเกมแล้ว ทั้ง ๆ ไอ้กองที่มีอยู่ยังเล่นไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
คนเป็นพี่ยิ้มกริ่ม “โอเคครับ กินข้าวในจานให้หมดแล้วเดี๋ยวเราไปกันนะ”
“เย้!” วิฬาร์ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นด้วยความดีใจ น้องพยายามกระเดือกข้าวที่เหลือให้หมดทั้งที่ก็จุกท้องจะแย่อยู่แล้ว แต่เพื่อเกมใหม่แมวเหมียวทำได้!
…
ธีราขับรถพาน้องไปห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเวลาสองทุ่ม กว่าจะวนหาที่จอดรถได้ก็นานหลายนาที แต่แมวเหมียวก็นั่งฮัมเพลงโดยไม่มีท่าทีหงุดหงิดแม้แต่น้อย ปกติถ้ารถเยอะขนาดนี้ละก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งไปตั้งแต่เลี้ยวรถเข้าห้างแล้ว
“อยากได้เกมอะไรเหรอ” เขาถามน้องชายในระหว่างที่เดินไปร้าน
“nintendo switch!” แมวเหมียวในชุดนักเรียนบอกอย่างรื่นเริง
คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขาไม่รู้หรอกว่าที่น้องบอกมันคือเกมอะไร แต่สังหรณ์ใจว่าคงได้เสียเงินไม่น้อยแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่เริงร่าได้ขนาดนี้
วิฬาร์ในชุดนั่งเรียนวิ่งเข้าร้านขายเกมร้านเดียวในโซนอุปกรณ์มือถือ เขาจับมือเฮียวิ่งเข้ามาด้วย นี่ถ้าหน้าตาไม่ละม้ายคล้ายกันคนอื่นคงนึกว่าอาเสี่ยพาเด็กเลี้ยงมาซื้อของแน่นอน
“นี่ไง ๆ ที่เหมียวอยากได้”
น้องชี้มือไปที่เครื่องในตู้โชว์ ธีราเพ่งดูราคาแล้วถึงกับถลึงตาโต เขาหันมองแมวเหมียวที่กำลังจ้องเขาตาหวานฉ่ำ
“ที่บ้านก็มีอยู่แล้วเครื่องหนึ่งไง” เฮียบอกเสียงเรียบ
“มันไม่เหมือนกันนี่” วิฬาร์เอียงคอตอบกะพริบตาปริบ ๆ
“แล้วมันต่างกันตรงไหน” ไม่ใช่ว่าธีราไม่มีปัญญาซื้อให้น้องหรอก เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากให้แมวเหมียวเป็นเด็กใช้เงินเก่งทั้งที่ยังหาเงินเองไม่ได้
“เครื่องนั้นมันเอาไปเล่นที่อื่นไม่ได้ ที่สำคัญก็คือเกมมันไม่เหมือนกัน แล้วเหมียวจะได้เอาไปเล่นที่กรุงเทพได้ด้วยไงครับ”
เหตุผลของแมวเหมียวดูไม่ค่อยเข้าท่านัก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เขายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อเครื่องเกมราคาเป็นหมื่นให้น้องเลยสักนิด
จนกระทั่ง…มือเล็กของน้องยกขึ้นมาเกาะแขนของธีราอย่างออดอ้อน
“นะเฮียน้า~ ซื้อให้เหมียวหน่อยน้า~” วิฬาร์บอกลากเสียงเล็กเสียงน้อย
“ถ้าพี่ซื้อวันนี้เดี๋ยวผมแถมฟิล์ม เคส พร้อมเกมให้อีกหนึ่งเกมเลยครับ” เจ้าของร้านวัยรุ่นเสริม
“ซื้อให้เหมียวเถอะนะ~”
ธีราเงียบหน้าตาขึงขัง เขากำลังจะใจอ่อนให้น้องที่ช่างออดอ้อนไม่หยุด เหอะ! มันจะอ้อนก็เฉพาะเวลาอยากได้อะไรเท่านั้นน่ะแหละ
“สัญญามาก่อน” คนเป็นพี่พูดขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน
“จ๋า~” แมวเหมียวรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ต่อไปนี้อย่าดื้อกับเฮียนะ”
“ได้เลยครับผม” คนน้องตอบรับ
ธีราถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปหาเจ้าของร้าน “จัดไปหนึ่งเครื่องครับ”
..สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนให้แมวเหมียวทุกที มันน่าโมโหนัก!..
“เยส!” วิฬาร์กระโดดกอดพี่ชายตัวใหญ่ “รักเฮียที่ซู้ด~”
ธีราทำหน้าเหม็นเบื่อ แต่ในใจราวกับมีทุ่งดอกไม้เบ่งบาน ไอ้คำว่า ‘รักที่ซู้ด’ ปกติแมวเหมียวมันเอาไว้ใช้เฉพาะไอ้เก้าเท่านั้น ในที่สุดเฮียคนนี้ก็ได้รับคำนี้สักที!
…
“ปิดเทอมพวกมึงไปเรียนพิเศษที่ไหนอะ” วิฬาร์ถามเพื่อนแฝดในระหว่างพักกลางวัน พวกเขากำลังแบ่งกันจิ้มลูกชิ้นทอดในชามเดียวกันเข้าปากคนละชิ้นสองชิ้น
“มีแล้ว” ต้นข้าวตอบโบกไม้เสียบลูกชิ้นไปมา “พ่อกูให้พี่แถวบ้านมาสอนว่ะ”
“เหรอ” เหมียวตอบเสียงแผ่วปากยื่นด้วยความเสียดาย นึกว่าพวกมันไม่มีที่เรียนเขาจะได้ชวนไปเป็นเพื่อนสักหน่อย
“มึงไปเรียนไหนวะ” ต้นกล้าเอ่ยถามหลังเคี้ยวลูกชิ้นสองลูกจนหมด
“เฮียจัดให้ไปเรียนในกรุงเทพอะดิ”
“ว่าละ” ต้นข้าวบอก ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด เฮียน้ำมักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องเสมอ
“พวกมึงไปเรียนเป็นเพื่อนกูหน่อยสิ” วิฬาร์บอกเพื่อนทั้งสองคน เขาไม่ใช่คนที่เข้ากรุงเทพบ่อยนัก ไปคนเดียวก็กลัวจะเหงาอีก
“เออ ๆ เดี๋ยวกูลองถามพ่อกับแม่ก่อน แต่ไม่รับปากนะโว้ย” ต้นกล้าตอบก่อนจะจิ้มปูอัดทอดเข้าปากตามด้วยแตงกวาสดเคี้ยวตุ้ย ๆ
“แล้วมึงจะนั่งรถตู้ไปกลับเหรอ” ต้นข้าวถามด้วยความสงสัย
วิฬาร์ส่ายหน้า “หึ เฮียจัดให้กูไปนอนกับพี่เก้าจนกว่าจะจบคอร์ส”
“มึงจะทำหน้าเครียดทำไม ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ” ต้นกล้าว่า
“ดีกะผีอะไรล่ะ” เหมียวย้อนเขี่ยลูกชิ้นในชามไปมา
“จะได้สานต่อเจตนารมณ์ของมึงไง” ต้นข้าวเสริม
วิฬาร์ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เขายังไม่ได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดให้เพื่อนฟังเลย อันที่จริงก็ไม่ได้อยากเล่านักหรอก ขี้เกียจมานั่งตอบคำถามให้ตัวเองช้ำใจ
ต้นกล้าเห็นเพื่อนทำหน้าม่อยก็คิดว่าคงมีเรื่องอะไรที่พวกเขายังไม่รู้ เลยลองถามดู “มีอะไรเหรอไง”
คนถูกถามเหลือบมอง “อืม”
“เล่าให้พวกกูฟังได้นะเว้ย”
“กูกำลังตัดใจจากพี่เก้าอยู่ ก็เลย…” วิฬาร์ถอนหายใจอีกครั้งพร้อมยักไหล่ “ไม่ค่อยอยากอยู่ด้วยกันลำพังเท่าไหร่ แต่กูไม่อยากปฏิเสธเฮีย เพราะเขาก็หวังดีกับกูอะ”
ฝาแฝดสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
“ทำไมจู่ ๆ ก็ตัดใจวะ” ต้นข้าวถาม ก่อนหน้านี้ยังเห็นว่ายังไงก็จะไม่ยอมแพ้อยู่เลย
คนถูกถามเงียบไปช่วงอึดใจ “บางทีการเป็นพี่น้องแบบนี้ก็น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง”
“กูจะพยายามสู้กับพ่อเพื่อขอเข้าไปเรียนกรุงเทพให้ได้นะมึง” ต้นกล้าบอกขึ้นมา
“แต่บอกก่อนว่าอาจจะยากหน่อยนะ” ต้นข้าวจับไหล่บอบบางของเพื่อนบีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ เดาว่าที่ผ่านมาน่าจะเกิดอะไรสักอย่างขึ้น เหมียวมันคงไม่ได้ตั้งใจจะปิด แต่คงไม่อยากพูดถึงให้เจ็บมากกว่า
วิฬาร์ยิ้มน้อย ๆ เขารู้สึกขอบคุณที่พวกมันไม่ถามอะไรมากนัก และก็ขอภาวนาให้พ่อของพวกมันยอมให้ลูกฝาแฝดเข้าไปเรียนพิเศษในกรุงเทพด้วยเถอะ
…
สุดท้ายแล้วคำภาวนาของวิฬาร์ก็ไม่เป็นจริง ทั้งต้นข้าวและต้นกล้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเรียนพิเศษในกรุงเทพได้ เหมียวก้มหน้าจัดกระเป๋าเดินทางด้วยใจห่อเหี่ยว
พรุ่งนี้เฮียจะขับรถพาเขาไปส่งที่คอนโดของพี่เก้าในตอนเช้า บอกตามตรงว่าตอนนี้เขาชักไม่อยากไปขึ้นมาแล้วสิ แต่บอกตอนนี้ก็คงไม่ทัน เพราะว่าสมัครเรียนไปเรียบร้อยแล้ว
มือขาวหยิบเกมเครื่องใหม่ที่เฮียเพิ่งจ่ายเงินซื้อให้พร้อมอุปกรณ์ลงกระเป๋าไปด้วย สายตาเหลือบมองไปทั่วห้องคิดว่าต้องเอาอะไรไปอีก แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
พักหลังมานี้เป็นพี่เก้าที่วิดีโอคอลมาหาเขาก่อนเสมอ
วิฬาร์ปรับอารมณ์ตัวเองก่อนรับสาย “ดีจ้า~”
“ทำอะไรอยู่ หืม” คนอายุมากกว่าถามยิ้มน้อย ๆ
“เก็บของไปเรื่อย ๆ แหละ” แมวเหมียวตอบเดินรอบห้องพลางหยิบจับของโยนลงกระเป๋า
“ไม่ต้องเอามาเยอะก็ได้ ขาดเหลืออะไรเดี๋ยวพี่พาไปซื้อ”
คนน้องย่นจมูก “ไม่อะ พี่อย่าตามใจเหมียวนักเลย เดี๋ยวเฮียจะว่าเอา”
“มันจะว่าอะไร เงินของพี่ น้องคนเดียวพี่เลี้ยงได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”
วิฬาร์ชะงักไป แอบเสียดที่หัวใจน้อย ๆ แต่เจ้าตัวก็ปั้นหน้ายิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รู้แล้วครับว่ารวย แต่เก็บเงินเอาไว้เลี้ยงลูกเมียในอนาคตของตัวเองดีกว่าไหม” วิฬาร์ค่อนขอด สาบานเลยว่าไม่ได้พูดประชดอะไรอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
การินหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่มีก็เลี้ยงน้องไปก่อนไง”
“เดี๋ยวเฮียก็มาว่าเหมียวเอาแต่ใจอีก” คนน้องว่าทิ้งตัวนอนหงายบนที่นอน
“ง่วงแล้วเหรอครับ” การินถามน้อง
“นิดหน่อยครับ” เหมียวขยี้ตา
“อย่าขยี้แรงสิ เดี๋ยวตาแดงนะ” การินว่าน้อง
แมวเหมียวหน้าบูดเมื่อถูกว่า แต่ก็ยอมหยุดมือ เขาพลิกตัวนอนคว่ำจ้องหน้าพี่เก้าตาปรือ
“นอนเถอะ พรุ่งนี้เจอกันนะ พี่ซื้อขนมที่แมวเหมียวชอบมารอไว้แล้วด้วย”
น้องเม้มปากกลั้นยิ้ม หัวใจพองฟูด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับ”
หลังจากวางสายแมวเหมียวก็ผล็อยหลับไปโดยไม่ได้ปิดไฟในห้อง กระเป๋าเดินทางยังเปิดอ้าค้างอยู่แบบนั้น ข้าวของกระจัดกระจายเพราะยังจัดไม่เสร็จดี
คนเป็นแม่เข้ามาเช็กความเรียบร้อยตามปกติที่ทำเป็นปกติ เห็นลูกชายคนเล็กนอนคว่ำอยู่บนเตียงทั้งที่อะไรก็ยังไม่เรียบร้อยดีก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ เกวลินเดินไปห่มผ้าให้แมวเหมียวก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ บนเตียง ฝ่ามือเล็กลูบผมนิ่มของลูกชายที่พรุ่งนี้จะไปอยู่กรุงเทพสักระยะ
ครั้งนี้เหมือนกับการซ้อมเล็ก ให้เธอเตรียมใจว่าอีกไม่นานลูกชายที่เธอเฝ้าฟูมฟักมาอย่างดีต้องอยู่ไกลจากอกแม่เพื่อไปเรียนในกรุงเทพ แอบใจหายเหมือนกันที่แมวเหมียวโตขนาดนี้แล้ว
นึกย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว…
เกวลินตั้งท้องลูกคนที่สองตอนอายุ 37 เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะมาท้องอีกครั้งเอาตอนนี้ เพราะลูกชายคนแรกก็อายุปาเข้าไป 17 ปีแล้ว
เนื่องจากเธอสุขภาพไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หมอก็ให้คำแนะนำว่าควรจะเอาออกดีกว่า เพราะเสี่ยงครรภ์เป็นพิษเนื่องจากคนเป็นแม่อายุมากและตั้งครรภ์ห่างจากครั้งแรกเกิน 10 ปี แต่เกวลินก็ยืนกรานที่จะอุ้มท้องลูกน้อยของเธอต่อไปโดยไม่ฟังคำทัดทานอะไรทั้งสิ้น
เธอตั้งชื่อลูกชายคนเล็กว่า ‘วิฬาร์’ ที่แปลว่าแมว พร้อมกับตั้งชื่อเล่นน่ารัก ๆ ให้ หวังว่าจะให้ลูกคนนี้ของเธอเป็นเหมือนแมว 9 ชีวิตที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องร้ายแค่ไหน...ลูกก็จะผ่านมันไปได้
สุดท้ายเกวลินก็มีอาการครรภ์เป็นพิษตอนที่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน…ทำให้หมอต้องรีบผ่าตัดทันทีเพื่อรักษาชีวิตของเธอเอาไว้
แมวเหมียวเกิดมามีน้ำหนัก 850 กรัม โชคดีที่ไม่มีอาการหนักหนาสาหัสอะไรนอกจากตัวเล็กมาก ๆ สามารถกินได้ ขับถ่ายได้ เหมียวอยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือนกว่าที่หมอจะปล่อยให้กลับบ้านได้
เธอภาวนาทุกวัน...แค่ลูกชายคนเล็กได้มีชีวิตรอด...เพียงเท่านี้เธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ได้เห็นแมวเหมียวเติบโตขึ้นในแต่ละวันเพียงเท่านี้ก็เหมือนเป็นรางวัลชีวิตให้กับเธอแล้ว…
คนเป็นแม่นั่งจัดของในกระเป๋าที่แมวเหมียวโยนของลงมาอย่างไม่เป็นระเบียบให้จนเรียบร้อยดีถึงได้ปิดไฟและออกจากห้องไป
…
“ทำหน้าอะไรแบบนั้น นอนไม่พอหรือไง”
ชลกรที่เพิ่งกลับมาจากประชุมที่ต่างประเทศทักทายยิ้มขำเมื่อเห็นลูกชายนั่งทำหน้าบูดในระหว่างกินมื้อเช้า
แมวเหมียวเงยหน้าขึ้น ร้องงอแง
“เหมียวไม่อยากไปแล้วอะป๊า~”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ เดี๋ยวเฮียได้ยินแล้วจะเสียใจเอานะ”
เหมียวเงียบทำแก้มพองลม
“โตแล้วต้องเริ่มหัดใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วนะรู้ไหม” ป๊าบอกเสียงนุ่มนวล
“เหมียวยังไม่โตสักหน่อย” ลูกชายคนเล็กบ่นอุบ
“แล้ววันก่อนใครมันเถียงเฮียปาว ๆ ว่า ‘โตแล้ว’ นะ”
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาพูดขึ้น ธีรานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับน้อง เห็นไอ้ตัวดีปิดปากเงียบแถมหน้ายังบูดบึ้งก็หัวเราะออกมา
“แม่จ๋า~” ลูกคนเล็กร้องขึ้นเมื่อเห็นแม่เดินกลับเข้ามา
คนเป็นแม่เห็นแมวเหมียวร้องจ้าก็ยิ้มขำพร้อมกับเดินเข้ามากอดศีรษะของเหมียวเอาไว้แนบอก “โอ๋ ๆๆ ไม่เป็นเป็นไรนะครับ”
“แม่ไปกับเหมียวได้ไหม” เหมียวเงยหน้าขึ้นถาม แววตาเว้าวอน
“โถ่ลูก…” เกวลินลูบผมแมวเหมียว “แม่ก็อยากไปนะครับ”
“แล้วทำไมแม่ถึงไม่ไป..”
“พอเลย” ธีราพูดขัดขึ้น “แมวเหมียวอายุ 17 แล้ว ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วนะรู้ไหม”
ทั้งป๊าและเฮียต่างพูดแต่คำนี้จนแมวเหมียวเริ่มรู้สึกว่าหรือตัวเขาจะต้องทำแบบนั้นแล้วจริง ๆ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ เหมียวมีคนดูแลทุกอย่างให้หมด ไม่เคยต้องนั่งรถไปเรียนหนังสือเอง ทั้งเสื้อผ้าหรือกับข้าวกับปลาก็ได้แม่ทำให้ตลอดจนเขาเคยตัว
ริมฝีปากสีชมพูเม้มเข้าหากันเงียบจนผู้ใหญ่ในบ้านลุ้นว่าแมวเหมียวจะว่าอย่างไร
“ก็ได้ครับ เหมียวจะพยายามดูแลตัวเองให้ได้”
“ลูกแม่คนนี้เก่งที่สุดเลยครับ” เกวลินก้มหอมกลางศีรษะลูกคนเล็กด้วยความรัก
“ป๊าภูมิใจในตัวเหมียวนะ” ชลกรบอกพร้อมกับรอยยิ้มบาง แมวเหมียวของเขาเก่งมาตั้งแต่เกิดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีชีวิตรอดมาได้ขนาดนี้
พี่ชายคนโตมองน้องชายคนเดียวแล้วยิ้มออกมา เขารู้ว่าแมวเหมียวอาจจะดื้อรั้นบ้างในบางเวลา แต่ถ้าพูดด้วยดี ๆ เป็นเหตุเป็นผล ใช้เวลาไม่นานน้องก็จะคิดได้เอง
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งป๊าและแม่ต่างก็มายืนรอส่งแมวเหมียวที่หน้าบ้าน
“รักษาตัวเองดี ๆ นะลูก อย่าดื้อกับพี่เก้าเขานะ”
“ครับ” เหมียวกอดตอบคนเป็นแม่แน่น เขาสูดดมกลิ่นกายของแม่ “ป๊ากับแม่อย่าลืมโทรหาเหมียวบ้างนะ”
“จ๊ะ ๆ”
“ขับรถดี ๆ ล่ะ” ชลกรหันไปบอกลูกชายคนโต ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวแมวเหมียวแฝงไว้ด้วยความอาทร
ธีราพยักหน้าตอบ แล้วบอกน้อง “ไปได้แล้วลูกแหง่”
“อย่ามาว่าเหมียวนะ!” วิฬาร์แว้ดใส่เฮีย ก่อนจะเดินตามไปแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามองบุพการีด้วยสายตาเศร้าสร้อย ฝ่ามือขาวยกขึ้นโบกบ๊ายบาย
แมวเหมียวขึ้นมานั่งบนรถเงียบ ๆ ยังรู้สึกใจหายที่จะต้องห่างจากครอบครัว “เฮียเหงาไหมตอนที่ย้ายไปเรียนกรุงเทพ”
“จะว่ายังไงดี” ธีราย้อนนึกถึง เพราะมันก็ผ่านไปนานมากแล้ว “มันก็มีบ้างนะ”
“แล้วเหมียวไปเรียน...เฮียไม่คิดถึงเหมียวเหรอ” คนน้องถามเพราะไม่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีใจหายเมื่อเขาจะไปอยู่ไกลเลย
“คิดถึงสิ” คนพี่ตอบทันที “ถ้าไม่มีเรื่องเรียนเฮียก็ไม่อยากให้เหมียวไปไกลหรอก แต่มันจำเป็นนี่นะ”
วิฬาร์เม้มปาก ในใจครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง การเป็นผู้ใหญ่มันคืออะไร ต้องตื่นเช้าไปทำงาน พออายุประมาณหนึ่งก็ต้องมีครอบครัว มีลูกสักคนสองคน และก็ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวไปอย่างไม่มีวันจบงั้นเหรอ
..ถ้าการโตเป็นผู้ใหญ่มันยากขนาดนี้
เขาไม่เห็นอยากจะเป็นผู้ใหญ่เลย..
tbc…
จริง ๆ แล้วแมวเหมียวเป็นเด็กน่ารักน้า~~~