Childhood Friends [ครึ่งหลัง]ผมกับฮาน จะเรียกว่าเพื่อนสมัยเด็กก็คงใช่ แต่ถ้าคิดดีๆ แล้วตอบไปว่าไม่ใช่ก็คงไม่ผิดอะไร
ความสัมพันธ์ของผมกับฮานเป็นความสัมพันธ์ประหลาด เราสองคนรู้จักกันโดยบังเอิญในร้านขนมเก่าแก่แห่งหนึ่งในตัวหมู่บ้านที่ห่างไกลจากเมืองหลวงออกไปหลายร้อยกิโล ในตอนนั้นฮานเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาที่มีผมสีดำและนัยน์ตาสีดำสนิทน่าหลงใหล ผิวของเขาเป็นสีแทนผิดแปลกไปจากผู้คนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เท่าที่ผมรู้ ในลินเดีย...ในประเทศของเรา ผู้คนส่วนใหญ่มักมีสีผมและสีตาที่ค่อนข้างอ่อน ยิ่งสีผิวนั้นไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าขาวจนค่อนไปทางซีดเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นการปรากฏตัวของฮานในตอนนั้นค่อนข้างจะใกล้เคียงกับคำว่าโกลาหล
ความแตกต่างของเขาทำให้เขาดูแปลกแยกจากสภาพแวดล้อมโดยสิ้นเชิง แต่ถึงเขาจะแตกต่าง ผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาน่ะหล่อ...หล่อมากๆ ดูดีในขนาดที่ว่าตัวผมในวัยเจ็ดขวบยังรู้สึกได้ แม้ว่าประเมินทางสายตาแล้วเหมือนเขาจะอายุมากกว่าผมประมาณสามถึงสี่ปี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่น่าเข้าใกล้
แต่เหมือนว่าผมจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น
ผมจำมันได้ดี วันนั้นน่าจะเป็นวันแรกในชีวิตที่ผมได้มีโอกาสเห็นร้านขนมแห่งนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจของเด็กๆ ในหมู่บ้าน
เหตุผลน่ะเหรอ...
‘นี่เอ็นมะ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ’ ตัวผมในวัยเจ็ดขวบซึ่งเพิ่งเดินมาถึงร้านขนมในตอนเที่ยงวันเอ่ยปากถามเพื่อนคนหนึ่งในหมู่บ้านที่ค่อนข้างสนิทกัน คนถูกถามเบนความสนใจจากในร้านมาสบตาผมแว็บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองยังทิศทางเดิม
‘ชู่ เงียบๆ หน่อยสิเอล เดี๋ยวเจ้าเด็กประหลาดในร้านนั่นก็ได้ยินหรอก’
‘เอ๊ะ เด็กประหลาดเหรอ’
‘อือ ทั้งผมสีดำ ตาสีดำ ผิวก็คล้ำไม่เหมือนคนลินเดียเลย น่ากลัวชะมัด’
ผมละสายตาจากเพื่อนๆ ที่ยืนออกันอยู่ที่ประตูแล้วมองเข้าไปด้านในร้าน
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับเขา
‘นี่ ฉันว่าพวกเราอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่านะ’
‘ใช่ๆ วันนี้เราไปที่อื่นกันเถอะ’
‘ขืนเข้าไปไม่รู้จะโดนอะไรบ้างนะ’
‘นั่นสิๆ’เสียงพูดคุยของเหล่าเพื่อนฝูงที่อยู่รอบกายไม่สามารถดึงความสนใจของผมออกจากเด็กชายแปลกหน้าคนนั้นได้เลยแม้แต่น้อย
เพื่อนๆ ของผมเหล่านั้นต่างตกลงเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไปวิ่งเล่นกันที่อื่น พวกเขาเอ่ยปากชวนผมพอเป็นพิธี แต่เมื่อเห็นว่าผมตอบปฏิเสธ พวกเขาก็ยอมจากไปแต่โดยดี ทิ้งผมเอาไว้เพียงลำพังตรงหน้าร้านขนมที่แสนเงียบเหงา
ลำพัง...งั้นเหรอ
ผมหันกลับไปมองเด็กชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่กลางร้านอย่างโดดเดี่ยว ทั้งที่ในมือของเขามีขนมอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีเด็กคนไหนในหมู่บ้านกล้าเดินเข้าไปหาเขาเลยสักคน ทุกคนเอาแต่ยืนเกาะขอบประตูแล้วทอดมองเด็กชายผู้โดดเดี่ยวคนนั้นด้วยแววตาหวาดระแวงก่อนจะวิ่งหนีจากไป ภาพของเขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้นทำให้ผมในวัยเจ็ดขวบอดคิดบางอย่างขึ้นมาไม่ได้
เขา...เด็กคนนั้น ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้มากี่ครั้งกี่หนแล้วกันนะ
เพียงเพราะตอน้ำแห่งความสงสารเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาในตอนนั้นทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขาแล้วถือวิสาสะหยิบขนมที่เขายืนจ้องอยู่นานสองนานขึ้นมาจากโถ
‘เจ้านี่เรียกว่าขนมโกทัน ข้างในเป็นถั่วเขียวบดละเอียดที่เอาไปคั่วกับน้ำตาล ส่วนข้างนอกที่เป็นแป้งนี่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไปทำยังไงจนเหนียวยืดขนาดนี้ได้น่ะนะ’ ตัวผมในวัยเด็กหัวเราะ
‘แต่ที่แน่ๆ เจ้านี่น่ะ ไม่ได้หากินกันง่ายๆ หรอกนะ เป็นของขึ้นชื่อของรัฐโอเซนเลย ลองชิมดูไหม’แววตาของฮานในตอนนั้นเป็นอะไรที่...ประหลาด เขามองมาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่แววตาของเขากลับเปล่งประกายไปด้วยความยินดีจนเปี่ยมล้น ดูไปแล้วก็ไม่เข้ากันเอาเสียเลย
ทำไมคนเราถึงทำหน้าตกใจทั้งๆ ที่ดีใจล่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
แต่ก็นะ นั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพประหลาดๆ ระหว่างผมกับเขา
ฮานเป็นคนที่ละสายตาได้ยาก เป็นอัลฟ่าโดยเนื้อแท้ ซึ่งแน่นอนว่าหาได้ยากยิ่งในบ้านเกิดของผม เท่าที่จำได้ เหมือนตอนนั้นฮานจะเดินทางมาจากเมืองหลวง ติดสอยห้อยตามพ่อที่เป็นนักธุรกิจใหญ่เข้ามาเจรจาเรื่องการรับผลผลิตทางการเกษตรกับชาวบ้านในหมู่บ้าน
แน่ล่ะ หนึ่งในบรรดาชาวบ้านนั่นก็มีครอบครัวผมอยู่ด้วย
ครอบครัวเจเล็ตเป็นตระกูลอัลฟ่าผู้ร่ำรวยมาช้านาน แม้ว่าประเทศนี้จะได้รับการประกาศเอกราชและกวาดล้างชนชั้นทางสังคมไปตั้งแต่เมื่อเกือบร้อยปีก่อนแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าโลกใบนี้มันไร้ซึ่งความเท่าเทียม แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายทาสอีกต่อไป แต่เหล่าอัลฟ่าก็ยังคงเป็นกลุ่มชนที่มีความสามารถสูงสุดในสังคม ทั้งทางสติปัญญาและร่างกาย พวกเขาล้วนเหนือกว่าเบต้าและโอเมก้าในทุกๆ อย่าง ต่อให้พวกเราพยายามมากแค่ไหนก็ยากที่จะไปยืนอยู่จุดเดียวกับพวกเขาได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาด้อยกว่าพวกเราก็คงจะเป็น....
‘อัลฟ่าไม่สามารถสืบเผ่าพันธุ์ได้’เรื่องพวกนั้นเหมือนจะเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจริงเท็จแค่ไหนเพราะตามหมู่บ้านชานเมืองแบบบ้านเกิดของผมนั้น ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นโอเมก้ากับเบต้า หลายร้อยปีถึงจะมีอัลฟ่าเกิดขึ้นมาสักคน เพราะฉะนั้น พวกวิถีชีวิตของอัลฟ่า หรือความทุกข์ทรมานของอัลฟ่า อะไรพวกนั้น ผมไม่ค่อยจะเข้าใจมันนักหรอก
ไม่เข้าใจมาตลอดจนกระทั่งได้เจอกับเขา
‘การเกิดมาเป็นอัลฟ่าน่ะ ไม่ได้ต่างจากการถูกสาปเลยสักนิด’จำได้ว่าในตอนนั้นผมทำเพียงแค่จ้องหน้าเขานิ่งๆ แล้วไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ทำเพียงแค่จ้องมองสีหน้าที่แสนชิงชังตัวเองของเด็กผู้ชายคนนั้นโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
‘คู่แท้เหรอ พันธะแห่งโชคชะตาเหรอ เรื่องพวกนั้นน่ะ ไม่เห็นจะต้องการเลยสักนิด!’น้ำเสียงของเขาเกรี้ยวกราด นัยน์ตาของเขาแดงก่ำคล้ายกำลังพยายามสกัดกลั้นน้ำตาด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี เพราะภาพนั้น ผมในตอนนั้นเลยเผลอหลุดปากออกไป
‘ทำไม...ถึงเกลียดคู่แห่งโชคชะตาขนาดนั้นล่ะ’
‘ก็เพราะเราไม่ได้เป็นคนเลือกน่ะสิ’เขาตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเหลือใจ
‘เพราะถ้าคนที่เรารักเป็นอัลฟ่าด้วยกัน ยังไงซะก็ไม่มีวันที่จะมีชีวิตที่มีความสุขได้ยังไงล่ะ’เรื่องแบบนี้...ไม่เคยคิดมาก่อนเลยแฮะ
ตัวผมในตอนนั้นคิดแบบนั้น
คงเพราะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่มีแต่เบต้าและโอเมก้ามาตลอด ที่นั่นไม่ว่าจะเป็นฮีทหรือคู่แห่งโชคชะตา ทุกอย่างล้วนไม่มีความหมาย เบต้าไม่สามารถรับรู้กลิ่นของโอเมก้าได้ พอๆ กับที่โอเมก้าไม่มีวันจะมีคู่แห่งโชคชะตาเป็นเบต้าได้ เพราะแบบนั้นพวกเราทุกคนจึงอยู่ด้วยกันเพราะรักและผูกพันอย่างแท้จริง ไม่มีโชคชะตา ไม่มีการผูกมัดกัดคอหรืออะไรทั้งนั้น
เพราะแบบนั้น ตัวผมในวัยเจ็ดขวบเลยไม่เคยตระหนักถึงเรื่องที่เขาพูดมาก่อนเลย
เพราะแบบนั้น ตัวผมในตอนนั้นเลยเผลอพูดอะไรไร้สาระออกไปจนได้
‘ถ้ารักจริงล่ะก็ จะเป็นเบต้าหรือโอเมก้าหรืออัลฟ่ามันก็ไม่สำคัญไม่ใช่เหรอ’ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจโลกของอีกฝ่ายขนาดนั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์พูดอะไรไร้สาระออกไป
‘ถ้ารักล่ะก็ ยังไงก็ต้องมีความสุขได้แน่ๆ เรื่องสืบเผ่าพันธุ์น่ะ ไม่ได้สำคัญเท่าความรู้สึกของเรานี่นา’ในตอนนั้น สิ่งที่พูดออกไปก็มีเพียงแค่ความคิดแบบเด็กๆ เท่านั้น
‘ถ้ารักล่ะก็ ต่อให้ต้องหนีไปสุดขอบโลก ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกสักหน่อย ก็ต้องทำล่ะนะ’ตัวผมในตอนนั้น พูดอะไรออกไปก็ไม่รู้...
“เสร็จแล้ว!”
ผมกู่ร้องตะโกนด้วยความดีใจสุดแสน
อา สุขใดเล่าจะเท่าเรียนจบ
หลังจากตรากตรำร่ำเรียนมาหลายปี ในที่สุดโปรเจคจบอันแสนหฤโหดของผมก็สิ้นสุดลงเมื่อสองวินาทีที่แล้ว และตอนนั้นมันก็คงไปนอนแช่นิ่งอยู่ในกล่องอีเมล์ของอาจารย์เป็นที่เรียบร้อย เป็นอันแน่ใจได้ว่ายังไงผมก็เรียนจบแน่นอน ส่วนจะจบด้วยเกรดแบบไหนนั้นมันก็...
ให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันเนอะ
ผมนั่งยืดแขนบิดขี้เกียจไปมาซ้ายทีขวาทีอย่างรื่นรมย์ใจก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง
เที่ยงคืนแล้วเหรอเนี่ย
แล้วทันใดนั้นเอง ท้องเจ้ากรรมของผมก็พลันส่งเสียงโครกครากขึ้นมา
อา ลืมไปเลยว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด
หิว หิวเหลือเกิน แม่จ๋า หนูหิว
“กะแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นเคยที่ดังขึ้นด้านหลังไม่ชวนให้หันไปมองเท่ากับกลิ่นหอมๆ ที่เหมือนกับกลิ่นของ...
“แกงกะหรี่!”
“โปะแฮมเบิร์กมาให้ด้วยนะ”
แกงกะหรี่โปะแฮมเบิร์กเหรอ!
“ฮาน ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วยผมจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงล่ะเนี่ย”
“เว่อร์ไปแล้วคุณตัวเล็ก”
เขาหัวเราะก่อนจะกวักมือเรียกผมไปยังโต๊ะเล็กๆ ตรงมุมห้อง
“มากินข้าวมา”
“ทำอย่างกับเรียกหมาแหน่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
“คุณเป็นหมาไม่ได้หรอกครับ เพราะคอนโดนี้เขาห้ามเลี้ยงสัตว์ ถึงคุณจะเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ แต่ก็ไม่สามารถที่จะนับเป็นสะ...”
“อ๊า! เงียบเลยนะ ไม่ให้พูดแล้ว”
ผมว่าพลางพุ่งตัวไปปิดปากเขา แต่ก็ทำได้แค่ทำท่าจะปิดปากเท่านั้นล่ะ ฮานสูงกว่าผมต้องเกือบสิบเซ็นต์ ต่อให้อยากจะปิดปากเขาแค่ไหนยังไงซะท่าทางผมก็เหมือนเด็กยืดแขนจะเอาลูกโป่งอยู่ดี
โลกนี้นี่น้า ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ไม่พูดก็ไม่พูดครับ” เขาพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะรวบผมเข้าไปในอ้อมกอด “มากินข้าวกันเถอะเนอะ ฉลองให้บันฑิตใหม่ไง”
ให้ตายซี่ เขามาไม้นี้แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ
“อือ”
สุดท้ายก็ทำได้แค่ซุกหน้าเข้ากับหน้าอกกว้างแล้วพยักหน้าหงึกหงักก็เท่านั้นเอง
กว่าจะกินข้าว อาบน้ำเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม แน่นอนว่าสภาพผมในตอนนี้น่ะเดินแทบไม่ตรงทางจนอีกคนต้องช่วยพยุงมาส่งนอนจนถึงเตียง
เป็นภาระให้เขาได้ตลอดเลยจริงๆ สินะ
“ยินดีด้วยนะครับคุณบัณฑิตใหม่”
ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบไล้ไปตามเส้นผมชวนให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ผมชอบเวลาที่เขาเล่นหัวผมแบบนี้มากๆ เลย
“หลังจากนี้ก็ขอต้อนรับเข้าสู่ชีวิตแบบผู้ใหญ่แล้วนะ”
ไออุ่นที่ไล้ไปตามแก้มชวนให้รู้สึกอบอุ่นจนอดเอียงหน้าเข้าหาไม่ได้ นิ้วอุ่นร้อนนั้นไล่ไปตามใบหน้าของผมอย่างเชื่องช้า ทั้งจมูก ทั้งปาก ทั้งเปลือกตา ทุกส่วนล้วนโดนสัมผัสโดยไม่มีข้อยกเว้น
ทุกส่วนไม่เว้นแม้กระทั่งปลอกคอสีดำที่สวมอยู่บริเวณคอ
“หลังจากนี้...”
เสียงของเขาแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบ หากกลับแฝงไปด้วยกระแสอารมณ์บางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ ฮานไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผมมาก่อน บางทีนี่อาจจะเป็นความฝัน
ใช่ ต้องเป็นฝันแน่ๆ
“คุณจะไม่ต้องใช้ปลอกคออีกแล้วนะครับ”
ไม่ต้องใช้ปลอกคอเหรอ มีแค่โอเมก้าที่โดนตีตราเท่านั้นที่ไม่ต้องใช้ปลอกคอ ทำไมฮานถึงพูดแบบนั้นล่ะ แล้วทำไมน้ำเสียงของฮานถึงเป็นแบบนั้นล่ะ
อา ไม่ไหว ลืมตาไม่ขึ้นเลย
“หลับเถอะครับตัวเล็ก”
เสียงทุ้มต่ำนั้นราวกับมนต์สะกด สติของผมกำลังจะหายไปเต็มที
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ คุณคู่แห่งโชคชะตา”
สิ้นคำนั้น ภาพทุกอย่างก็พลันกลายเป็นสีดำ
****************************************************************************