เจ้าป่า
บทที่ 16
ตั้งแต่ไทเลอร์ขับรถกลับจากบ้านของโทนี่มายังรีสอร์ทของเขาเคนนั่งหน้าบึ้งมาตลอดทาง คิ้วของเคนขมวดจนชนกันตั้งแต่เห็นสายตาตกตะลึงของไทเลอร์ยามจ้องมองแม่เลี้ยงของมิเกลนั่นแหละ และสายตานั้นยิ่งกระจ่างขึ้นไปอีกเมื่อโทนี่แนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
“ไทเลอร์ นี่คือดีแลน หรือลีโอน่า จิตรกรฝีมือดีที่ลุงฝากภาพวาดไปขายยังไงล่ะ”
“ลีโอน่า ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมไทเลอร์ ฮิวจ์”
“คุณฮิวจ์นั่นเอง ขอบคุณมากนะครับสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง ถ้าไม่ได้คุณผมก็ไม่รู้จะขายภาพที่ไหน”
แม้แต่คนมาดเยอะยังเสียอาการอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองเห็นรอยยิ้มของดีแลน และอาการเหล่านั้นที่ไทเลอร์แสดงออกโดยไม่รู้ตัวกลายเป็นสิ่งกวนใจสำหรับเคน
“ฮึ หุบยิ้มบ้างก็ได้ คุณเจ้าของบ้าน” อดค่อนแคะไม่ได้เมื่อได้อยู่ตามลำพังกันสองคน “ปกติชอบทำหน้าบึ้งจนคิ้วจะผูกกันแทนโบว์ได้ละ วันนี้หน้าบานยิ่งกว่าดอกทานตะวันซะอีก”
พูดจบเคนก็หันหลังให้ด้วยความหมั่นไส้ จึงไม่ทันมองเห็นมุมปากลอบคลี่ยิ้มของคนมาดเยอะที่เขาค่อนแคะ ไทเลอร์กอดอกมองเคนที่ทำท่าเหมือนไม่พอใจเขา
“ใครหน้าบาน พูดจาเพ้อเจ้อ”
ส่ายหน้าด้วยความระอาพร้อมกับส่งเสียงดุ เคนหันกลับมาเบ้ปากใส่
“เฮอะ อย่านึกว่าผมไม่เห็นนะว่าคุณมองคุณดีแลนด้วยสายตาหยาดเยิ้มแค่ไหน ใช่สิ คุณดีแลนเขาเป็นโอเมก้าหน้าสวยน่าทะนุถนอมถึงแม้จะอายุมากกว่าคุณเป็นสิบปีก็เถอะ ไอ้เรามันก็แค่เบต้าธรรมด๊าธรรมดา ก็เลยไม่มีใครมองด้วยสายตาแบบนั้นบ้าง”
“จะบ่นอีกนานไหม ผมหิวแล้ว ไม่ได้นอนทั้งคืนไปทำอาหารเช้ากินดีกว่า”
ไทเลอร์กลอกตาไปมา เขาเดินหนีไปยังห้องครัวเพราะรำคาญเสียงบ่นของเคน คนถูกเดินหนีน้อยใจจนต้องเม้มปากแน่น
“ใช่สินะ ผมมาอยู่กับคุณเดือนนึงเต็มๆแล้ว ทำดีกับคุณก็ตั้งหลายอย่าง ไม่ได้มีค่าสำหรับคุณเลยใช่ไหม”
ส่งเสียงต่อว่าจบประโยคเคนก็เดินหนีขึ้นไปยังห้องบนชั้นสองของตัวบ้าน เขาทิ้งกายนอนคว่ำบนเตียงซุกหน้าลงกับหมอน แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องไปสนใจคนอย่างไทเลอร์ ฮิวจ์ด้วย ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจใยดีเลยตั้งแต่เขาก้าวมาอาศัยในบ้าน
จากตอนแรกที่เคยมองไทเลอร์ว่าหยิ่งยะโส เมื่ออยู่ด้วยกันสักพักเคนจึงเข้าใจแล้วว่าไทเลอร์ไม่ได้หยิ่ง แต่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเหมือนศิลปินทั่วไป เขาเข้าสังคมไม่เก่งทั้งที่มีฐานะทางการเงินจัดว่าร่ำรวย วันๆขลุกอยู่แต่กับการวาดรูปหรืออ่านหนังสือกับชาถ้วยโปรดอยู่ที่ริมหน้าต่าง เมื่ออคติจางไปเคนก็เริ่มที่จะเปิดใจมากขึ้น ด้วยพื้นฐานเป็นคนอัธยาศัยดีเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายเคนจึงมักจะเข้าไปวอแวให้อีกฝ่ายรำคาญเล่น และในระยะหลังที่สังเกตเห็นไทเลอร์เองก็เริ่มคุ้นเคยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“จะบ้าหรือเปล่าวะ แค่เขามองคุณดีแลน ทำไมต้องเจ็บด้วย เฮ้อ”
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจ็บราวกับเข็มแหลมทิ่มแทงหน้าอก เคนไม่เข้าใจความรู้สึกเหล่านี้จนมีแต่ความสับสน ความคิดฟุ้งซ่านของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“เคน มากินอาหารเช้า”
“ไม่กิน ใครหิวก็กินไปสิ”
ตะโกนตอบก่อนจะคว้าหมอนมาปิดหูไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น จนสะดุ้งอีกทีเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำที่เชื่อมกับห้องข้างๆเปิดออก พร้อมกับเจ้าของบ้านที่ยกถาดอาหารมาวางไว้บนโต๊ะรกๆของเขา
“ทำไมห้องถึงรกขนาดนี้”
“เข้ามาทำไม เข้ามาได้ไง อ้อ ผมลืมใส่กลอนประตูฝั่งนี้ ออกไปเลยไอ้คุณขี้เก๊ก”
เคนปั้นหน้าบึ้งอัตโนมัติให้กับคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วคว้าเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้า ไทเลอร์มองสีหน้าบึ้งตึงแล้วก็ต้องถอนหายใจ
ยอมรับว่าตนเองเข้ากับผู้อื่นได้ยาก ครั้งแรกที่เคยเห็นหน้าเคนตอนที่ไปรับภาพวาดให้บิดาเขาก็ไม่คุ้นเคยกับคนที่พูดเยอะอย่างนี้ และยิ่งต้องมาอยู่ด้วยกันในบ้านเขาก็ยิ่งวางตัวไม่ถูก แต่เพราะความอารมณ์ดีและความอดทนที่จะเปิดใจกับเขา ทำให้ในที่สุดไทเลอร์ก็ต้องยอมแพ้ เสียงเจรจาของเคนบางทีก็เป็นสิ่งเพลิดเพลินในระยะหลัง
“ที่ผมมองคุณดีแลนเพราะชื่นชอบฝีมือวาดรูปของเขามานาน เมื่อได้พบตัวจริงก็เลยดีใจแค่นั้นเอง”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องชี้แจงด้วย แต่ไทเลอร์ก็พูดออกไปแล้ว
“ส่วนคุณค่าของคุณผมก็เห็นอยู่ ทำไมต้องประเมินตัวเองด้อยค่าแบบนั้นด้วยล่ะ”
เคนผุดลุกขึ้นมานั่ง หัวใจพลันพองฟูคับอก เขาเหลือบตามองคนพูดอย่างพยายามรักษากิริยาไม่ให้แสดงออกชัดเจนเกินไปนัก หารู้ไม่ว่าไทเลอร์กำลังกลั้นขำเพราะทุกอย่างนั้นเด่นชัดมาก
“ผมหิวแล้ว กินอาหารเช้ากันเถอะ ส่วนห้องน่ะรกหน่อยเพราะงานผมทั้งนั้น แหวกๆของบนโต๊ะออกก็พอมีที่ว่างแล้ว”
อาหารเช้าง่ายๆวางอยู่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือเล่มใหญ่และตัวอย่างพันธุ์ไม้ ไทเลอร์ปล่อยให้เคนกินไปส่งเสียงพูดไป ส่วนเขาตักอาหารเขาปากเงียบๆ
“ถ้าผมเพาะพันธุ์กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ได้ ผมจะใช้ชื่อคุณเป็นชื่อสายพันธุ์”
ไทเลอร์มองเคนนิ่ง เพราะความเป็นคนช่างพูดก็เลยไม่แน่ใจว่าเคนพูดออกมาโดยไม่คิด หรือมีความนัยแอบแฝงหรือเปล่า แต่สีหน้าของเคนก็ยังดูปกติ
“รอให้ทำได้ก่อนค่อยพูดเรื่องชื่อเถอะ”
“โธ่ ได้อยู่แล้ว คุณอย่ามาดูถูกนักวิจัยพันธุ์พืชว่าที่เกียรตินิยมหน่อยเลย”
พูดโอ่ตัวเองพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ไทเลอร์มองแล้วได้แต่ก้มหน้าซ่อนยิ้ม
“ผมจะรอชมดอกกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของคุณก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้กินอาหารให้หมดแล้วไปล้างจาน”
สบตากันด้วยความบังเอิญ มองเห็นรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของไทเลอร์ แค่นั้นก็ทำให้เคนดีใจที่อีกฝ่ายยอมเปิดประตูโลกส่วนตัวให้เขาเข้าไปมีพื้นที่ เขาจะลองพยายามมากขึ้นอีกสักนิดเผื่อว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะขยายอาณาเขตจนกลายเป็นสมาชิกในโลกของไทเลอร์ เคนเชื่อมั่นว่าเขาจะทำได้อย่างแน่นอน
มิเกลหมดเวลาเกือบทั้งวันไปกับการให้ปากคำกับตำรวจ แต่เขาไม่ได้ปริปากเรื่องเลอองแม้แต่คำเดียวโดยยอมเป็นคนโกหกครั้งแรกในชีวิตด้วยการปั้นเรื่องว่าสมาชิกของแบล็กฮันเตอร์ทะเลาะกันเองและเขาอาศัยช่วงเวลานั้นหลบหนีออกมาจนมาพบกันเลออง ระหว่างนั้นดีแลนอยู่กับเขาจนกระทั่งบ่ายคล้อยโทนี่จึงขับรถไปส่งที่บ้านไม้ ก่อนกลับยังกำชับฝากเขาไว้กับเลอองอีกด้วย และเมื่อถึงยามค่ำฟลอเรียก็ยิ่งย้ำด้วยความเป็นห่วง
“เลออง วันนี้นอนในบ้านนะไม่ต้องไปนอนที่คอกม้า จะได้คอยดูแลมิเกล เป็นหูเป็นตาแทนป๋ากับแม่ด้วย”
เลอองรีบรับคำสั่งด้วยความเต็มใจ เมื่อตรวจตราประตูหน้าต่างว่าปิดเรียบร้อยแล้วเขาจึงเปิดประตูห้องของมิเกลเข้าไป เจ้าของห้องเพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดนอนเสร็จ เลอองตรงเข้าไปนั่งลงที่ขอบเตียงมองมิเกลด้วยความเป็นห่วง มุมปากและโหนกแก้มของมิเกลกลายเป็นสีม่วงคล้ำ เลอองใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆอย่างระมัดระวัง
“หายเจ็บหรือยังมิเกล”
มิเกลยิ้มรับ เขาดีใจที่ตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ จนกระทั่งได้พบกันดีแลนและเลออง เขาได้รับความรักความอบอุ่นอย่างที่โหยหามาตลอดตั้งแต่จำความได้”
“ดีขึ้นแล้วครับเลออง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“พวกนั้นเป็นใคร”
อยากรู้ว่าใครที่บังอาจมาทำร้ายคนที่เขารัก มิเกลถอนหายใจก่อนจะเล่าให้เลอองฟัง
“พวกนั้นน่ะถูกจ้างมา มันเป็นองค์กรลับรับจ้างทำเรื่องผิดกฎหมาย ส่วนคนที่จ้างพวกมันผมเดาว่าน่าจะเป็นคนมีอำนาจคนหนึ่งที่พ่อของผมต้องการหาประโยชน์จากเขา ก่อนมาที่นี่พ่อเคยพาผมไปงานเลี้ยงเพื่อพบกับเขา”
น้ำตารื้นเมื่อคิดถึงบิดาที่ไม่รู้เลยว่ารักลูกบ้างหรือเปล่า แต่สำหรับมิเกลถึงพอล อาร์มันโดจะเลวแค่ไหนก็ยังเป็นบิดามาตลอด แต่ครั้งนี้มันเกินไปจริงๆ เมื่อถึงกับยัดเยียดลูกตัวเองให้ผู้มีอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
“เลวมาก เป็นพ่อประสาอะไร”
เลอองสบถ เขาไม่เคยชินกับสังคมมนุษย์ การเติบโตมากับฝูงสิงโตไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ อาจมีบ้างที่สิงโตตัวพ่อกัดลูกที่อ่อนแอ และอาจมีการต่อสู้แย่งชิงการเป็นจ่าฝูง แต่นั่นคือกฎของธรรมชาติที่ต้องคัดสรรผู้แข็งแรงกว่าให้อยู่รอด แต่กับมนุษย์ไม่ใช่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กิเลสและความละโมบ
“มิเกลน่าสงสาร ต่อจากนี้ไปผมจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมิเกลอีกแล้ว”
เลอองคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ด้วยความเจ็บใจ มิเกลที่แสนจะบอบบางต้องมาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ตอนที่เห็นมิเกลถูกไอ้เลวนั่นต่อยเข้าที่ลิ้นปี่เลอองโมโหจนเดือดพล่าน เขาสัญญากับตัวเองว่าเขาจะปกป้องมิเกลให้เท่าชีวิตของเขา
มือสากแตะที่มุมปากสีช้ำก่อนจะตามด้วยริมฝีปากของเขาที่บรรจงจูบอย่างอ่อนโยน เลอองเม้มกลีบปากนุ่มน่าสัมผัส เขาค่อยๆและเล็มราวกับกลัวว่ามิเกลจะเจ็บไปมากกว่านี้ มิเกลกลายเป็นต้องเผยอปากแดงเรื่อเพื่อให้เลอองสอดลิ้นเข้ามา ปลายลิ้นร้อนตวัดลิ้นเล็กเข้าหาช้าๆแต่กลับกระชากหัวใจของมิเกลจนเต้นโครมครามไปหมด
ร่างโปร่งเอนกายลงไปบนที่นอนนุ่ม วงแขนเรียวคล้องลำคอแข็งแกร่งให้โน้มกายทาบทับอยู่บนร่าง ชุดนอนที่สวมใส่อยู่ถูกเลอองถอดออกจนไม่เหลืออะไรติดตัว
“คุณโทนี่กับคุณฟลอเรียจะได้ยินเสียงเราไหม”
ก้มหน้ากล่าวเสียงเบาอย่างขัดเขิน รู้ตัวดีว่ายามมีบทรักกับเลอองไม่เคยที่จะยับยั้งได้ เลอองยิ้มบางๆพลางลูบไล้เนื้ออ่อนแผ่วเบาก่อนจะกระซิบตอบ
“ผมจะทำมิเกลเบาๆ ไม่อยากให้เจ็บไปมากกว่านี้ มิเกลจะได้ไม่ต้องร้องดัง”
“บ้า สิงโตหื่น”
คำต่อว่าจางหายเมื่อจูบอ่อนหวานปิดปากไว้ มิเกลหลับตาลงปล่อยใจไปกับความดื่มด่ำของปลายลิ้น นานจนพอให้ความปรารถนาเริ่มบังเกิดเลอองจึงยอมผละลิ้นลากต่ำมาตามกลิ่นหอมของเนื้อหนัง เขาตวัดลิ้นใส่กลางลำตัวที่ยังมีรอยช้ำปรากฏอยู่
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวที่เกิดขึ้นกับมิเกล ต่อจากนี้จะไม่มีอะไรมาทำร้ายมิเกลได้อีกแล้ว”
ใช้ลิ้นโลมเลียเหมือนยามรักษาบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ ก่อนจูบลงบนยอดอกเม็ดเล็กสีชมพูฉ่ำหวานแล้วเม้มด้วยริมฝีปาก มือใหญ่ร้อนลูบไล้ต้นขาอ่อนจนถึงหว่างขา มิเกลถึงกับผวายกสะโพกติดตามมือนั้น
“ผมเชื่อใจเลออง อา...”
สัมผัสร้อนผ่าวเกิดขึ้นกึ่งกลางกายเมื่อเลอองเลื่อนต่ำลงไปขบเม้ม เขาแหวกทางให้มองเห็นร่องหลืบก่อนตวัดลิ้นลงไป มันเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีใครสอนแต่เพราะอยากรู้รสชาติของมิเกลในทุกสัดส่วน แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีเพราะได้ยินเสียงแผ่วหวานออกจากลำคอของมิเกล
“มิเกลชอบแบบนี้”
เมื่อรู้เลอองก็ยิ่งตอกย้ำ มิเกลแหงนหน้ากัดฟันกลั้นเสียงอย่างยากเย็นเพราะเกรงจะลอดออกไปภายนอก เลอองตวัดลิ้นคล้ายกับเขากำลังกินน้ำอยู่ในลำธารกว้าง หากแต่นี่คือแอ่งน้ำน้อยและซอกหลืบของความหวานฉ่ำที่เขาติดใจ
“ละ เลออง ผมต้องการเลออง”
ดวงตาหยาดเยิ้มเพราะความต้องการที่เลอองปลุกเขา มิเกลร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัว เขาชันขาตั้งฉากรอรับให้ร่างแกร่งเข้ามาอยู่กึ่งกลาง ความเป็นบุรุษเพศตื่นตัวที่พร้อมอยู่นานแล้วขยับเข้าชิดใกล้ เลอองสอดใส่มันเข้ามาในช่องทางชุ่มฉ่ำ เขาเองก็ต้องกัดฟันรับความคับแน่นที่บีบคั้นเขาอยู่
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันอีกเพราะต่างรู้ความในใจกันแล้ว ดวงตาประสานกันยามจูงมือล่องลอยไปกับความหวานอยู่ในความเร่าร้อน เป็นครั้งแรกที่เลอองปฏิบัติต่อมิเกลโดยไม่ได้ใช้สัญชาตญาณของสัตว์ป่า มันเป็นการแสดงออกที่เขาอยากจะบอกรักมิเกล
จวบจนสวรรค์ปรากฏต่อหน้า มิเกลจึงได้คล้อยหลับไปพร้อมกับความสุขเปี่ยมล้นที่เลอองมอบให้
มีต่ออีกนิด...