ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 44 : 9.Aug '20  (อ่าน 18515 ครั้ง)

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
«ตอบ #90 เมื่อ29-12-2019 23:45:31 »

รอๆๆๆๆ ชอบมากค้าาา

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 24 : 19.Dec '19
«ตอบ #91 เมื่อ30-12-2019 11:06:49 »

ทัชชา


เจ้าบื้อ

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
«ตอบ #92 เมื่อ03-01-2020 20:56:07 »

25








          กรกฤตเดินกลับมาที่ซุ้มพร้อมกับทัชชา ในมือก็หิ้วถุงใส่กล่องข้าวมาจำนวนหนึ่ง ชาริสาเห็นอามันต์เดินเข้าไปช่วยทัชชาหิ้วทันทีที่เห็น

          “ทำไมแกไปนานนักล่ะ หรือว่าคนไปรอรับข้าวกล่องเยอะ?” ชาริสาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนหายไปเกือบชั่วโมง

          “ไม่ใช่หรอก พอดีฉันกับคุณทัชไปช่วยงานทางโน้นนิดหน่อย ใช่ไหมคุณทัช” กรกฤตหันไปถามทัชชาที่เดินเคียงมากับอามันต์

          “ครับ”

          “แกมีอะไร?” กรกฤตถามชาริสาที่นั่งอยู่ข้างๆ พัสกาญ

          “ก็มันจะบ่ายสองแล้ว ดีนะ ที่ฉันให้ยัยดาไปหาซื้อขนมมากินกันรองท้องก่อน”

          “ขอโทษๆ งั้นมากินข้าวกัน”

          เอมกับชาญเดินมารับถุงกล่องข้าวแล้วนำไปทางที่มุมหนึ่งด้วยกัน กรกฤตยื่นกล่องหนึ่งไปให้พัสกาญ

          “กูไม่เอาแล้ว”

          “ได้ยังไงมึง กินอะไรหน่อย”

          “ก็กูอิ่มแล้วนี่ มึงรู้ไหมว่ามีซุ้มขนมของลุงหยกมาเปิดด้วยนะ”

          “มึงกินขนมอิ่มว่างั้น?”

          “ฉันก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” ชาริสารีบแทรกขึ้นเมื่อเห็นว่ากรกฤตจะยื่นข้าวกล่องนั้นมาให้เธอแทน

          “อะไรว้า… คนรึ สู้อุตส่าห์ไปเอามาให้” กรกฤตแกล้งบ่น เธอและพ้สกาญนั้นรู้ดี จึงได้แต่ยิ้มขำ

          “แกนั่งกินไปเถอะ เดี๋ยวฉันกับม่อนจะช่วยกันเก็บของไปพลางๆ ก่อน”

          “เก็บของ?” กรกฤตมองมาที่เธอและพัสกาญอย่าสงสัย

          “เสื้อที่ซุ้มเราหมดแล้ว ชาญไปดูที่ซุ้มอื่นๆ ก็หมด พวกเราเลยตกลงกันว่า เก็บของเสร็จแล้วจะไปเดินเล่นที่ริมหาดกัน” พัสกาญบอกพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้

          “ทำไมหมดไวนักว่ะ?”

          “น้องดิว ยูทูบเบอร์เขามาร่วมงาน แล้วยังไลฟ์สดช่วยขาย นี่ได้ออร์เดอร์มาเพียบเลย น้องเขาเดินไปทุกซุ้ม โชว์ทุกลาย เลยยิ่งขายไว” อามันต์ช่วยเสริม

          “น้องดิว คนที่กำลังดังตอนนี้อ่ะนะ?”

          “คนนั้นแหละ เห็นว่าเป็นแฟนคลับน้องแหม่มด้วย เลยช่วยเชียร์ขายลายที่เหลือจนของถูกจองหมดภายในเวลาไม่กี่นาที” ชาริสาได้ยินน้พเสียงติดจะไม่ชอบใจของอามันต์ ทำให้เธอยกยิ้มขึ้นมา

          น้องดิวหรือกรกานต์ หนุ่มน้อยยูทูบเบอร์ หน้าตาหล่อเหลา จะน้อยก็แต่อายุ นอกนั้นทั้งเสน่ห์ รูปร่างหน้าตา นั้นไม่ได้น้อยตามอายุเลย หากมีสังกัดไหนทาบทามคงเป็นพระเอกได้ไม่ยากเย็น

          “ยัยแหม่ม ไอ้หนุ่มนั่นมันมาขายขนมจีบให้แกเหรอ” กรกฤตกระซิบถามให้ได้ยินกันเพียงสองคน

          “แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่นิยมกินเด็ก”

          “อืม ยังไงก็ว่างตัวดีๆ ก็แล้วกัน”

          “รู้แล้วน่า ฉันไปช่วยม่อนเก็บของก่อน” ชาริสาว่าแล้วก็ลุกเดินไปช่วยพัสกาญเก็บของ

          ไม่นานนัก คนอื่น ๆ ที่ทานข้าวเสร็จแล้วก็เดินตามมาช่วยอีกแรง ชาริสาที่เก็บของเพลินๆ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่า ทัชชาเข้ามาช่วยพัสกาญอยู่ใกล้ๆ อีกทั้งยังชวนอีกฝ่ายคุยอยู่ไม่ห่าง

          “ดา”

          “ค่ะ พี่แหม่ม?”

          “สองคนนั่น เขาไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร?”

          “พี่แหม่มดูยังไงว่าเขาสนิทกัน ดาเห็นแต่พี่ทัชนั่นแหละเป็นฝ่ายชวนพี่ม่อนคุยเสียมากกว่า”

          “พี่ว่าพ่อพระเอกนี่มันชักจะยังไงๆ แล้ว” ชาริสาพูดไปสายตาก็มองไปที่ทั้งสองตาไม่กระพริบ

          “ไม่ดีรึไง หากม่อนมันจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้น” กรกฤตเดินเข้ามาสมทบเอ่ยขึ้น เธอเหลียวมองเพียงเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปมองที่คนทั้งสองดังเดิม จึงไม่เห็นว่ากรกฤตและชันดาแอบส่งสายตาให้กัน

          “ฉันว่าฉันดูออก พี่ทัชไม่ได้เหมือนพี่กะทิ หรือไลลา สายตาพี่ทัช...เขาดูจริงจัง”

          “อะไรทำให้พี่แหม่มคิดแบบนั้น” ชันดาเอ่ยถามอย่างสงสัย

          “พี่ทำงานกับพี่ทัชมาพักหนึ่ง พี่ว่าพี่พอจะมองแววตานั้นออก แววตาที่ไม่ได้เสแสร้งอย่างตอนที่เข้าซีน”

          “แล้ว… ถ้าคุณทัชเขาจริงจังกับม่อนละ แกจะว่ายังไง?” ชาริสาหันควับกลับไปมองกรกฤตทันที และดูเหมือนชันดาเองก็คงรับรู้เรื่องนี้ไม่ต่างกัน

          “ยัยดา เธอก็รู้เรื่องนี้มาตลอดเหรอ?”

          “พี่กรเป็นห่วงพี่ม่อน เลยให้ดาช่วยจับตาดูพี่ทัชตอนอยู่ในกองถ่าย”

          “ตั้งแต่เมื่อไร?”

          “ก่อนคุณพราวจะมีคิวให้ที่กอง” ชันดาตอบเสียงอ่อย

          “แล้วแกไม่คิดจะทำอะไรเลยรึยังไง” ชาริสาหันไปมองกรกฤตด้วยความไม่พอใจ หากแต่ไม่ได้รับคำตอบใดใดกลับมา “เงียบแบบนี้อย่าบอกนะว่าแกให้เขาผ่านแกไปง่ายๆ”

          “ก็ม่อนมันอยากลองดู”

          “เขาไม่ต่างอะไรกับยัยโมนิกเลยนะ แล้วแกมั่นใจได้ยังไงว่าพ่อพระเอกจะไม่ซ้ำรอยยัยนั่น”

          “แกอย่าลืมนะว่าม่อนมันเห็นอ่อร่าของคุณทัช”

          ชาริสาสะดุดกับคำพูดของกรกฤต ทำให้เธอลืมนึกไปว่าพัสกาญเคยมาปรึกษาเรื่องอ่อร่าของคนคนนี้ มันแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่พัสกาญเคยพบเห็น

          “ไม่รู้แหละ ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เขาผ่านฉันไปได้ง่าย ๆ เหมือนแกแน่ และยัยดา เธอต้องร่วมมือกับพี่”

          “โถ่… พี่แหม่ม เรื่องนี้ดาขอไม่ยุ่งได้ไหมค่ะ”

          “ไม่รู้แหละ ยังไงเธอก็ต้องช่วยพี่” ชาริสาพูดจบก็เดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างพัสกาญกับทัชชาทันที

.........................................................................

          พัสกาญที่เก็บพับลังกระดาษและวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ โดยมีทัชชาเป็นคนนำเชือกฟางมามัดรวมกัน ทั้งคู่ทำงานไปกันเงียบๆ มีบ้างที่ทัชชาเป็นฝ่ายชวนเขาคุย

          “ระวังโดนกล่องบาดนะครับ พี่ว่าม่อนน่าจะหาถุงมือมาใส่ไว้หน่อย”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ เหลืออีกนิดหน่อยเอง” เขาตอบพร้อมทั้งหลบสายตาที่สื่อออกมาว่าเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง อีกทั้งอ่อร่าที่แผ่ออกมามันช่างซื่อตรงกับความรู้สึกของคนตรงหน้านัก

          “แล้วเสร็จจากเดินเล่นที่ชายหาด ม่อนกับเพื่อนๆ จะไปไหนกันต่อครับ ถ้าพี่จะขอตามไปด้วย… จะได้ไหม?”

          น้ำเสียงที่ฟังดูราวกับออดอ้อนในตอนท้ายทำให้พัสกาญต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกคนด้วยความไม่แน่ใจ แต่จากสายตาและออร่าที่เขาเห็น ทำให้ใจของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ นึกอยากจะหลบสายตาแต่ก็กลับทำไม่ได้ นี่เขาโดนสายตาของทัชชาสะกดให้แน่นิ่งอยู่แบบนี้หรือ…

          “ม่อน ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนแหม่มหน่อยสิ” ชาริสาที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างเขาและทัชชา ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง ผิดจากอีกคนที่ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้

          “น้องแหม่ม ทำไมไม่ให้น้องดาไปเป็นเพื่อนละครับ ให้ม่อนไปเป็นเพื่อนพี่ว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ยิ่งไปกันสองคน” ทัชชายังพูดไม่ทันจบชาริสาก็แทรกขึ้นมา

          “ใครว่าแหม่มจะไปกับม่อนสองคน ดาก็ไปด้วย แต่ที่แหม่มชวนม่อนไปด้วยเพราะเห็นว่ามีผู้ชายไปด้วยอีกคนน่าจะดีกว่า นะ ม่อนนะ ไปเป็นเพื่อนแหม่มหน่อย” ประโยคหลัง แหม่มเดินมาคล้องแขนเขาอย่างออดอ้อน

          “อืม ก็ได้ แต่แหม่มปล่อยแขนเราก่อน ที่นี่นักข่าวเยอะ”

          “อืม” ชาริสาทำตามอย่างว่าง่าย “งั้นเราไปกันเถอะ”

          พัสกาญพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินตามชาริสาไป ชันดาเองก็เดินเคียงไปกับชาริสาไม่ห่าง เขาจึงเดินรั้งท้าย พวกเขาเดินไปที่ห้องน้ำที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ให้ตามจุดต่างๆ และจุดที่ใกล้ซุ้มของพวกเขามากที่สุดจะอยู่ไปทางด้านหลัง ติดกับรั้วตาข่ายกั้นเขตพื้นที่จัดงานและที่ดินของชาวบ้านระแวกนี้ที่ปล่อยให้รกร้าง

          “เสียดายที่ผืนนี้นะ ถ้าเจ้าของไม่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ คงทำร้านอาหารสวยๆ ได้แน่ๆ ติดหาดขนาดนี้” ชันดาว่าเมื่อเดินผ่านที่รกร้าง

          “ดูเหมือนห้องน้ำที่มุมนี้จะไม่ค่อยมีคนมาเข้าเท่าไรนะ” ชาริสาตั้งข้อสังเกต ไม่นานก็มีคนเดินสวนออกมาปะปราย

          “เราว่า ห้องน้ำตรงนี้คงเป็นทางตัน ไม่เหมือนจุดอื่นที่เขาทางนี้แล้วเดินออกอีกด้านได้ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ ป้ายบอกก็ไม่ชัดเจน” เขาตอบตามความคิดของเขา

          “ก็ดีนะ เงียบดี ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอแฟนคลับเยอะๆ” ชาริสาพูดอย่างอารมณ์ดี

          “ชาญเป็นคนบอกดา ว่ามีห้องน้ำตรงนี้ เพราะเมื่อเช้าชาญถามทีมงานเอาไว้ เห็นว่าไม่อยากเดินไกล”

          “จริงสิ!! แหม่ม…” อยู่ๆ แหม่มก็หันกลับมาหาเขาที่เดินรั้งท้ายอย่างกระทันหัน ทำให้ดาหยุดชะงักตามพี่สาวไปด้วย แต่พัสกาญกลับเห็นความผิดปกติตรงข้างรั้วตาข่าย

          “แหม่ม ดา ระวัง!!”

          พัสกาญเอื้อมมือทั้งสองข้างไปฉวยทั้งชันดาและชาริสามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะหันหลังให้กับสิ่งที่ล้มลงมาไม่ขาดสาย

          ไม้ไผ่ลำไม่ยาวนัก ล้มลงมากระแทกหลังของพัสกาญจำนวนไม่ใช่น้อย ถึงแม้จะล้มลงมาไม่รุนแรงแต่ด้วยจะนวนที่มากทำให้พัสกาญต้านน้ำหนักของมันไม่ไหว ล้มลงไปพร้อมกับสองสาว แต่เขาก็พยายามเอามือค้ำยันตัวเองไว้ และกักทั้งสองไว้ใต้ร่าง จนกระทั้งทุกอย่างจบลง

          “ม่อน” ชาริสาที่ได้สติขึ้นมาคนแรก เธอกอดชันดาเอาไว้แน่น หลังจากที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          “พี่ม่อน” ชันดาที่ได้สติหลังจากได้ยินชาริสาเรียกเขา

          ทั้งสองช่วยกันผลักไม้ไผ่ที่ยังคงพาดอยู่บนแผ่นหลังของเขาออกไป พร้อมทั้งยันตัวขึ้น

          “เป็นอะไรกันไหม?” เขาถามขึ้นเมื่อหลีกให้ทั้งสองได้ลุกขึ้น ส่วนตอนนี้เขากลับชาไปทั่วแผ่นหลัง

          “แหม่มกับดาไม่เป็นไร แล้วม่อนล่ะเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า” ชาริสาที่สำรวจร่างของน้องสาวเมื่อเห็นว่าชันดาไม่เป็นอะไรจึงรีบหันมาถามพัสกาญพร้อมทั้งพยุงให้อีกฝ่ายที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นขึ้นมา ชันดาเองก็เข้ามาช่วยอีกแรง

          “เรา...มะ ไม่…” พัสกาญที่กำลังจะบอกว่าเขาไปมาเป็นอะไร นอกจากชาที่แผ่นหลัง หากแต่เมื่อลุกตามแรงพยุงของทั้งสองสาว กลับทำให้โลกตรงหน้าวูบดับลงไปทันที

........................................................................

          หลังจากภาริชตามไปเก็บภาพข่าวตรงจุดปล่อยรถ และมีโอกาสได้ร่วมสัมภาษณ์ดารา นักแสดง นักร้อง รวมทั้งเหล่านายแบบนางแบบมากมาย งานนี้ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว มางานเดียวได้ข่าวกลับไปเขียนเยอะทีเดียว

          ดารา เซเลปร่วมร้อยชีวิต กระจายตัวกันไปหลังจากถ่ายรูปหมู่และให้สัมภาษณ์เสร็จ ส่วนเขามีโอกาสได้สัมภาษณ์อาทิตย์หนึ่งในนักแสดงที่ตั้งใจจะลงแข่งแรลลี่ครั้งนี้ แต่กลับเกิดปัญหาหาเกี่ยวกับตัวรถเสียก่อน จึงทำให้ต้องถอนตัวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่ง

          ภาริชเดินหาเป้าหมายต่อไป นั่นก็คือ ดิว กรกานต์ ยูทูบเบอร์ที่มาร่วมงานในวันนี้ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะมางานนี้เอง โดยไม่รับการติดต่อจากเจ้าภาพ ซึ่งทำให้ภาริชสนใจไม่น้อย แต่ก่อนจะตามหาต่อ เขาต้องการไปสถานที่แห่งหนึ่ง

          “น้องๆ ห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?” เขาถามสต๊าฟคนหนึ่ง

          “มีทางด้านขวาจุดหนึ่งครับ ใกล้กับเวที และอีกจุดทางด้านซ้ายหลังซุ้มจำหน่ายเสื้อ”

          “ขอบใจมาก” ภาริชกึงเดินกึงวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทางด้านซ้ายมือ เพราะเขาคิดว่าทางด้านนั้นคนคงจะไม่เยอะมากเมื่อเปรียบกับจุดที่อยู่ใกล้เวที

          เขาแปลกใจเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ใสแว่นกันแดดทรงโอเวอร์ไซด์ แต่งหน้าจัด มัดผมรวบตึงไปด้านหลัง ทั้งที่การแต่ตัวดูออกจะเป็นสาวมั่น แต่กลับเดินก้มหน้าก้มตาราวกับจะหลบใครอย่างนั้นแหละ ถึงจะติดใจสงสัย หากเขาอยากจะเข้าห้องน้ำมากกว่า

          เดินเข้ามาไม่ทันไรภาริชกลับได้ยินเสียงไม้จำนวนมากหล่นกระทบพื้น พร้อมทั้งเสียงกรี๊ดของหญิงสาว ด้วยสัญชาตญาณนักข่าวภาริชจึงรีบวิ่งสุดฝีเท้าทันที

          ภาพตรงหน้า ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเอาตัวเองกำบังหญิงสาวที่ล้มลงไปกองกับพื้น หญิงสาวคนหนึ่งกอดอีกคนที่ตัวเล็กกว่าเอาไว้ราวกับจะปกป้อง จนกระทั่งไม้ไผ่ลำสุดท้ายหล่นกระทบพื้น คนทั้งสามจึงเริ่มขยับ เขารีบวิ่งเข้าไปดูทันที

          “เฮ้ย!!” ภาริชที่ยังไปไม่ถึงผู้เคราะห์ร้ายทั้งสาม ชายหนุ่มก็ทรุดลงไปกับพื้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไป และเมื่อเข้าไปใกล้ ๆ จึงรู้ว่าบุคคลทั้งสามเป็นใคร

          “น้องแหม่ม น้องดาเป็นอะไรไหมครับ” เขารีบถามสองสาว แล้วเข้าไปประคองคนที่หมดสติแทนหญิงสาวทั้งสอง

          “คุณ!!” ชาริสาหันมามองเขาอย่างตกใจ และรีบเก็บแว่นของพัสกาญขึ้นมา

          “พี่นักข่าวค่ะ เอ่อ...พี่ม่อน…” ชันดาพยายามเอ่ยถึงคนที่หมดสติ เขาจึงเข้าใจ

          “แว่นก็แตกไปแล้ว เอานี่” เขาใช้มือข้างหนึ่งถอดหมวกของเขาออก จากนั้นก็สวมให้กับพัสกาญ และดึงลงมาปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง “สบายใจได้ ผมรู้ว่าน้องพัสเป็นใคร ทางที่ดี รีบพาน้องพัสไปโรงพยาบาลก่อน” ภาริชรีบสั่งการสองสาวตรงหน้าที่ยังดูงงๆ

          “ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณจะไม่เอาข่าวม่อนไปเขียน”

          ภาริชที่กำลังอุ้มร่างของพัสกาญขึ้นมาและออกเดิน กลับถูกชาริสารั้งเอาไว้

          “นี่น้องแหม่มจำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ พี่นึกว่าแหม่มแกล้งจำพี่ภาไม่ได้เสียอีก”

          “พี่ภา?”

          “ใช่ครับ พี่ภา นิเทศศาสตร์ ที่ตามทำข่าวน้องแหม่มตั้งแต่งานละครถาปัตย์ยังไงล่ะครับ”

          “พี่ภา ห่ะ!! พี่ภาติส?”

          “ภาริชครับ ไม่ใช่ภาติส”

          “พี่แหม่ม คนเริ่มมาแล้ว เรารีบออกจากตรงนี้กันเถอะ” ชันดามีสีหน้าเป็นกังวลทันที

          ภาริชเห็นคนแห่กันมาตามเสียงดังที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงต้องรีบเดินออกไป และมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

          “มีอุบัติเหตุตรงทางเดินก่อนถึงห้องน้ำ มีคนเจ็บครับขอทางหน่อยๆ” ภาริชตะโกนออกไป เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าไปดูที่เกิดเหตุ ส่วนอีกกลุ่มเคลียร์ทางให้เขาพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล




To Be Continued

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
«ตอบ #93 เมื่อ03-01-2020 21:21:54 »

ลุ้นตั้งนาน ว่างานนี้พระเอกเราจะได้เป็นฮีโร่สักหน่อย
ดันเป็นพี่ภาติสซะงั้น 5555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
«ตอบ #94 เมื่อ03-01-2020 21:39:16 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

คงต้องมีคนทำให้มันเกิดอุบัติเหตุแน่ ๆ อยู่ดี ๆ แผงไม้ไผ่จะล้มลงมาได้ไง?

ใครหนอคือคนทำ?  ผู้หญิงที่ภาติสเห็นใช่ป่าว?

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 25 : 03.Jan '20
«ตอบ #95 เมื่อ03-01-2020 23:16:11 »

นังพราวนังหลินแน่ๆ :z6: :z6:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
«ตอบ #96 เมื่อ12-01-2020 21:18:35 »

26








          ทัชชาที่กำลังคุยกับกรกฤต หลังจากที่ชาริสาแย่งตัวพัสกาญไปจากเขา ทำให้เขาพอจะรู้ว่า ชาริศาเป็นเพื่อนที่หวงพัสกาญมากแค่ไหน

          “น้องแหม่มคงไม่คิดกับม่อนเกินเพื่อนใช่ไหม” ทัชชาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

          “คุณห่วงเรื่องคนที่บ้านของมันดีกว่า แทนที่จะมากังวลเรื่องยัยแหม่ม” กรกฤตตอบเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

          จากที่คุยกันเกือบชั่วโมงทำให้เขาพอจะรู้ว่าครอบครัวของพัสกาญนั้นจัดได้ว่าเป็นครอบครัวใหญ่และมีชื่อเสียงมากทีเดียว เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่า พี่น้องทุกคนล้วนรักใคร่กลมเกลียวแม้นาน ๆ ทีที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

          พัสกาญของเขานั้นเป็นน้องคนเล็กสุดในครอบครัว มีพี่ชาย 2 คนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทำให้เขาไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคนทางบ้านถึงได้หวงขนาดนี้ พี่คนโตเป็นนักโบราณคดีมีดีกรีเป็นถึงดอกเตอร์ หากแต่เดินทางสำรวจขุดค้นบ่อยๆ จึงไม่ค่อยได้เจอพัสกาญ ขนาดกรกฤตเอง ตั้งแต่รู้จักกับพัสกาญมา เคยเจอพี่ชายคนนี้เพียงสองครั้งเท่านั้น

          พี่ชายคนรองเท่าที่รู้ ส่วนใหญ่จะช่วยงานธุรกิจของคนรักมากกว่าจะสานต่อธุรกิจของครอบครัว เพราะหลงใหลไปกับธรรมชาติและพืชพรรณทางเหนือ ดังนั้นธรุกิจทั้งหมดจึงอยู่ในความดูแลของเหล่าลุงป้าของพัสกาญ

          ในตอนนี้ธุรกิจต่างๆ ของทางบ้านพัสกาญ ยังไม่มีทายาทคนไหนถูกหมายมั่นให้รับช่วงต่อกิจการ นั่นยิ่งทำให้สาวๆ มากมายพยายามเข้าหาและทอดสะพานกับพี่ชายคนโตหรือแม้กระทั่งตัวพัสกาญเอง

          พัสกาญมีน้าคอยดูแลตั้งแต่เด็ก ๆ เนื่องจากพ่อแม่ต่างมีหน้าที่การงานต้องทำมากมาย ถึงกระนั้นก็ไม่เคยขาดความอบอุ่น ทัชชารู้สึกได้ว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่น่ารักทีเดียว และดูไม่มีพิษภัยอะไรให้ต้องกังวล หากแต่กรกฤตกลับไม่คิดเช่นนั้น

          กรกฤตเล่าภาพรวมให้เขาฟังเพียงเท่านี้ ที่เหลือเขาต้องไปหาข้อมูลเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเยี่ยนหวอ กลุ่มธุรกิจของตระกูลคุณคุณารักษ์ และกรกฤตไม่อาจจะบอกเล่าสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้เกี่ยวกับพันธมิตรของตระกูล เขาจึงต้องเป็นผู้ค้นหาข้อมูลเหล่านั้นด้วยตนเอง

          “พี่กร ๆ” ชาญวิ่งเข้ามาที่ซุ้มหลังจากที่ไปเดินเล่นกับเอมรอบ ๆ งาน เด็กหนุ่มตะโกนมาแต่ไกล ทำให้เขาที่กำลังคิดสงสัยอยู่ว่า กลุ่มธุรกิจของทางบ้านพัสกาญจะใหญ่โตแค่ไหนถึงกับหันไปมอง

          “จะตะโกนทำไม? มีอะไร?” กรกฤตถามออกมาท่าทีรำคาญ แต่เขาดูแล้วเหมือนกับจะแกล้งลูกน้องมากกว่า

          “แฮ่ก ๆ ๆ กะ เกิด เรื่อง แฮ่ก ๆ กะ กับ ๆ” ชาญหยุดวิ่งมายืนอยู่ตรงหน้า โน้มตัวลงแขนข้างหนึ่งยันไว้กับเข่าของตัวเองไว้ อีกข้างชี้ไปทางด้านหลัง ปากก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วง ๆ

          “ใจเย็นๆ ค่อย ๆ พูด เดี๋ยวได้ช็อกตายเพราะขาดอากาศหายใจกันพอดี” กรกฤตว่าไม่จริงจัง

          ชาญยันกายขึ้น สูดหายใจลึกๆ 2-3 ที จึงเอ่ยขึ้นมาใหม่

          “เกิดเรื่องกับพี่ม่อน ตอนนี้รถพยาบาลกำลังมารับตัวไปโรงพยาบาล”

          “อะไรนะ!! /ว่าไงนะ!!” เขาและกรกฤตถามขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ไม่มีใครสนใจอะไร เขาวิ่งไปยังทิศทางที่ชาญชี้ทันที กรกฤตเองก็เช่นกัน

          เมื่อไปถึงด้านหน้าทางเข้าของงาน เขาก็เห็นสต๊าฟจำนวนเกือบ 20 คน กันไม่ให้นักข่าวเข้าใกล้รถพยาบาล ส่วนชาริสานั่งอยู่กับชันดาที่มุมด้านหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้

          “คุณทัช ทางนี้” กรกฤตเรียกให้เขาเดินตามไปหาชาริสา

          “แต่…”

          “เดี๋ยวเป็นข่าว” กรกฤตพูดเพียงเท่านั้น เขาซึ่งเข้าใจดีจึงเดินตามไปหาชาริศา

          “แหม่ม เกิดอะไรขึ้น แล้วแกไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?” กรกฤตถามคนที่กำลังทำแผลอยู่

          “มีแค่รอยขีดข่วนนิดหน่อย แต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก”

          “แล้วน้องดาล่ะ เป็นอะไรไหม?” กรกฤตหันไปถามชันดา

          “พี่แหม่มช่วยไว้ ดาเลยไม่เป็นอะไรค่ะ แต่…”

          “ขอบคุณค่ะ ที่เหลือไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว คุณกลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ” ชาริสาพูดแทรกขึ้นมาเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ชันดาหยุดชะงักเรื่องที่กำลังจะพูดขึ้น และปรับสีหน้าร้อนรนให้กลายเป็นปกติ

          “ที่เหลือเดี๋ยวดาดูแลพี่แหม่มเองค่ะ” เธอรีบบอกกับเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาล อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนก้มเก็บอุปกรณ์แล้วออกจากบริเวณนั้นไป

          “คราวนี้ก็เล่าได้แล้ว เกิดอะไรขึ้นยัยแหม่ม” เมื่อไม่มีคนนอกอล้ว กรกฤตจึงตั้งคำถามเกี่ยวกับพัสกาญ

          “เพราะพี่ทัชคนเดียว ถ้าพี่ทัชไม่คิดจะจีบม่อน…”

          “แหม่ม แกอย่าพาล” ทัชชาถึงกับงง ที่อยู่ๆ ตัวเขาก็ตกเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พัสกาญต้องขึ้นรถพยาบาลไป ดีที่กรกฤตปรามไว้ “เอาดีๆ คุณทัชเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย”

          “เกี่ยวสิ!!” ชาริศายังคงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ อีกทั้งยังส่งสายตาไม่พอใจมาที่เขา

          “ดา เกิดอะไรขึ้น” กรกฤตเปลี่ยนเป้าหมายไปถามชันดาแทน

          “ตอนที่ดากับพี่แหม่ม พี่ม่อนเดินไปทางห้องน้ำ อยู่ ๆ ไม้ไผ่ที่มัดพิงไว้ที่ริมร้ัวตาข่ายมันก็โค่นลงมา พี่ม่อนเห็นได้ทันเลยเอาตัวเข้ากันพี่แหม่มกับดาเอาไว้”

          “แล้วตอนนี้น้องม่อนเป็นยังไงบ้างครับ พี่เข้าไปไม่ถึงรถพยาบาล” เขาถามชันดาขึ้นมาอย่างเป็นห่วงอีกคน

          “ตอนแรกพี่ม่อนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรค่ะ พอดากับพี่แหม่มเข้าไปพยุงก็หมดสติไปเสียดื้อ ๆ ตอนนั้นดากับพี่แหม่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จนมีคนมาช่วยไว้”

          “ใคร? ใช่เจ้าหน้าที่ของงานไหม” กรกฤตถามออกมา พร้อมมองแว่นของพัสกาญที่แตก ซึ่งมันอยู่ในมือของชาริศา

          “ไม่ใช่ แต่เป็นนักข่าว”

          “นักข่าว!!” กรกฤตกับเขามองหน้ากันทันที

          “พี่ภาติสน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเขาจะเปิดโปงม่อน เขาคงทำไปนานแล้ว” ชาริศาที่ดูอารมณ์เย็นขึ้นแล้วเป็นผู้เอ่ยตอบ

          “พี่ภาติสเป็นใครเหรอค่ะพี่กร”

          “ไอ้พี่ภามันเคยตามจีบแหม่ม ตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยแล้ว ว่าแต่ไอ้พี่มันมาทำอะไรที่นี่” กรกฤตถามอย่างสงสัย

          “พี่ภาติสเป็นนักข่าวค่ะ ดาเคยเห็นบ่อย ๆ เวลามาสัมภาษณ์พี่แหม่ม พี่ทัช หรือนักแสดงคนอื่นๆ”

          “ทำไมพี่ไม่เคยเห็น” กรกฤตขมวดคิ้วสงสัย

          “อย่าว่าแต่แกจำพี่เขาไม่ได้เลย ฉันเองให้สัมภาษณ์กับตัวพี่มันไปตั้งหลายครั้งยังไม่รู้เลยว่าพี่มันคือพี่ภาติส”

          “อืม...ยัยแหม่ม เลิกโทษตัวเองได้แล้ว และไม่ต้องคิดจะโยนความผิดให้คุณทัชเขาเลย” กรกฤตพูดพาดพิงเขาอีกครั้ง ยิ่งทำให้เชาสงสัยขึ้นไปอีก

          “กร… นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

          “ยัยแหม่มที่รู้จากผม ว่าคุณกำลังจีบม่อน มันไม่พอใจเลยดึงม่อนออกจากคุณ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ตอนแรกมันพาลโยนความผิดให้คุณ แต่ตอนนี้มันกำลังโทษตัวเองอยู่”

          “อืม…” เขาพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็หันไปทางชาริศา “น้องแหม่มครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอกครับ ตอนนี้น้องม่อนคงไปถึงโรงพยาบาลแล้ว น้องแหม่มวางใจเถอะครับ ม่อนต้องไม่เป็นอะไร” เขาพยายามพูดปลอบใจชาริศา

          “นี่!! ถามจริงๆ เถอะค่ะพี่ทัช พี่จีบม่อนอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่เป็นห่วงม่อนเลยเหรอค่ะ?” ชาริศามองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

          “เอ่อ เว้ย เอามันเข้าไป” กรกฤตเปรยขึ้น พร้อมหันหน้าไปทางอื่น อีกทั้งเดินห่างออกไปหลายก้าว

          “พี่แหม่มค่ะ พี่ทัชเขาแค่อยากจะปลอบให้พี่ไม่คิดมาก ถ้าพี่ทัชไม่ห่วงม่อน เขาจะมาที่นี่พร้อมพี่กรทำไม” เป็นชันดาที่เข้ามาพูดกับชาริศาอย่างใจเย็น

          ทัชชาปล่อยให้สองสาวคุยกันไป ส่วนเขาเดินเข้าไปหากรกฤต เพื่อถามสิ่งที่คาใจ

          “เมื่อครู่ ทำไมคุณไม่เข้าไปหาน้องม่อน ทั้งที่คุณก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน”

          “คุณก็น่าจะเห็น ว่าถึงเราจะไปตรงนั้นก็เข้าไปหามันไม่ได้”

          “คุณเป็นเพื่อนเขา เราสามารถบอกเจ้าหน้าที่พวกนั้นได้นี่ แล้วให้คนที่ชื่อภาติสอะไรนั่นไปกับน้องม่อนสองคนได้ยังไง หากทางโรงพยาบาลต้องการข้อมูลของน้องม่อนล่ะ เขาจะให้ข้อมูลพวกนั้นได้อย่างนั้นเหรอ?”

          “คุณทัช เมื่อเช้านี้คุณก็เห็นมันอยู่บนนั้น” กรกฤตพยักพเยิดไปบนเวที “คุณไม่เอ๊ะใจอะไรบ้างรึไง?”

          “ผมรู้ว่าน้อง…เป็นดีไซด์เนอร์” ทัชชาละชื่อพัสการเอาไว้ “ที่ร่วมงานกับผู้จัดงานการกุศลนี้”

          “เฮ้อ… คุณทัช นี่ผมคุยกับคุณเป็นชั่วโมง คุณไม่เข้าใจเลยรึยังไง?”

          “เรื่องครอบครัวของน้องผมพอจะรู้ว่าทางบ้านน้องเขาหวงลูกชายคนเล็กมาก แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะไปโรงพยาบาล”

          “พวกที่กันนักข่าวไม่ให้เข้าใกล้รถพยาบาล เป็นคนของคุณพยัคฆ์ คุณคุณารักษณ์ ลุงเขยของมัน ตอนนี้คุณพอเข้าใจรึยัง”

          “คุณกำลังจะบอกว่า งานการกุศลครั้งนี้จัดขึ้นโดยครอบครัวของน้อง…” กรกฤตพยักหน้าเอือมๆ

          “ตอนนี้ผมกังวลมากกว่า ว่าผมกับยัยแหม่มจะโดนแม่ของมันเล่นงานแค่ไหน?”

          “แม่ของน้อง...ดุมากเลยเหรอ?”

          “ไม่ดุหรอก แต่ขี้หวงที่สุด กว่าคนในครอบครัวจะแต่งงานมีครอบครัวไปได้ ต้องผ่านแม่ของมันให้ได้ซะก่อน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยคุณ”

          ทัชชานอกจากจะห่วงพัสกาญแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องกังวลซะแล้ว ไหนจะครอบครัวของน้อง ไหนจะแม่ของน้อง

.........................................................................

          ภาริชที่ติดตามพัสกาญมาด้วย ได้ถูกกันตัวไว้ด้านนอกห้องฉุกเฉิน มีเพียงเจ้าหน้าที่ของงานการกุศลครั้งนี้เข้าไปดูแลเพียง 2 คนเท่านั้น

          ระหว่างที่เขาเดินไปเดินมาเพื่อรอให้ชาริศาและชันดาตามมานั้น เขากลับพบชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแทน บุคคลที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด

          ชายคนนั้นเดินผ่านเขาไปยังห้องฉุกเฉิน โดยเหลือบมองเขาเล็กน้อย ทำให้เขารู้ว่า ชายคนนี้จำเขาได้แน่นอน ไม่นานก็มีชายอีกคนเดินออกมา และมุ่งตรงมาหาเขา

          “คุณคงเป็นคุณภาริช” ชายคนนั้นถามเขา

          “ครับ ผมเอง”

          “คุณกล้าให้ผมมาแจ้งคุณ โปรดรอคุณกล้าจัดการข้างในสักครู่ เพราะท่านมีเรื่องที่ต้องการคุยกับคุณ” เขาได้แต่ลอบถอนใจ เป็นจริงอย่างที่เขาคาดไว้ไม่ผิด

          เขาเดินไปหาที่นั่ง เพื่อรอองครักษ์ผู้พิทักษ์น้องพัส เขาพอจะเดาได้ว่าคนคนนั้นต้องการพูดอะไร คงจะเป็นเรื่องไม่ต่างจากเดิม เหมือนคราวนั้น...

          ภาริชนั่งดูภาพจากกล้องถ่ายรูป เช็คดูว่าเขาได้รูปใครมาบ้าง ถึงจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ข่าวตุนเอาไว้ เสียดายที่ต้องออกจากงานมาก่อน ทำให้ไม่สามารถหาข่าวน้องดิวได้

          เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอของกล้องถ่ายรูป เมื่อได้ยินเสียฝีเท้าวิ่งผ่านหน้าเขาไป เขามองตามชายคนนั้นไปยังหน้าห้องฉุกเฉิน ชายอีกคนที่มาคุยกับเขาก่อนหน้าเดินเข้าไปรายงานทันที

          “ม่อนเป็นยังไงบ้าง”

          “คุณพัสปลอดภัยดีครับ แต่คุณกล้าไม่ไว้ใจ จึงให้หมอตรวจอย่างละเอียดอีกที”

          “อืม ก็ดี แล้วนี่น้ากล้ากับม่อนละ?”

          “คุณกล้ากำลังทำเรื่องย้ายคุณพัสไปห้องพักครับ คุณเจมส์รออยู่ด้านนอกก่อนดีไหมครับ หากได้ห้องแล้วผมจะรีบแจ้งให้ทราบ”

          “ได้ ว่าแต่นายรู้ไหมว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ลุงเสือบอกว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ”

          คำกล่าวของผู้ที่มาใหม่ ทำให้ภาริชถึงกับหันไปมอง แล้วก็นึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกับเขา ท่าทางมีพิรุธ เขาจึงละความสนใจที่จะแอบฟังว่าคนมาใหม่เป็นใคร แต่ตั้งใจมองภาพที่อยู่ในจอของกล้องถ่อยรูป เขาอาจจะถ่ายติดภาพของผู้หญิงคนนั้นก็เป็นได้

          “ภาริช” ไม่รู้ว่าเขาจดจ่อกับภาพในจอนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเรียกของอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ภาริชจึงลุกขึ้น

          “ผมไม่คิดว่าคุณกล้าจะจำผมได้” แทนที่เขาจะทักทายผู้ใหญ่กว่า เขากลับเลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ตอบคำถาม ได้แต่เงียบ “แล้วน้องพัสเป็นยังไงบ้างครับ?”

          “ปลอดภัยแล้ว ที่หมดสติไปคงเป็นเพราะทนปวดไม่ไหว”

          “ครับ” ต่างฝ่ายต่างเงียบไปจนเขาอึดอัด ส่วนอีกฝ่ายเหมือนจะรอใครบางคนอยู่ จนกระทั่งเขาทนไม่ไหวเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเอง “คนของคุณบอกว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผม”

          “ใช่ แต่ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียวแล้วละ กรุณารอสักครู่” เขาได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

          “ถ้าคุณกังวลเรื่องข่าวที่จะออกไป ผมรับรองกับได้ ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

          “อืม เป็นได้อย่างนั้นก็ดี”

          “ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัว”

          “เรื่องของผมมีเท่านี้ แต่ไม่ใช่สำหรับคุณฝู่” ภาริชได้ยินแค่ชื่อก็ถึงกับสะท้านในใจ นี่เขาต้องรับมือกับคนตระกูลฝู่คนไหนกัน? แค่คนตรงหน้านี่ เขาก็ไม่อยากจะยืนเสวนาด้วยแล้ว

          พวกเขารออยู่ไม่นาน ชายคนเดิมที่บอกให้เขารอก็เดินเข้ามา

          “คุณกล้าครับ ห้องคุณพัสเรียบร้อยแล้วครับ คุณเจมส์ให้เชิญคุณและคุณภาริชไปพบ”

          “อืม ขอบใจมากโช อ่อ!! คุณกลับไปที่งานแล้วแจ้งคุณกรกับคุณแหม่มด้วย ป่านนี้คงเป็นห่วงคุณพัสแย่แล้ว หากเขาทั้งสองจะมาเยี่ยม ก็จัดการให้พวกเขามากับรถของคุณโบตั๋น ระวังเรื่องนักข่าวด้วย”

          “รับทราบครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปจัดการทันที”

          หลังจากนั้นเขาก็ตามคุณกล้าไปยังห้องพักฟื้นของพัสกาญ ซึ่งเป็นห้องวีไอพีที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้เป็นพิเศษ เมื่อก้าวเข้าห้องไป เขาเห็นพัสกาญนอนหลับคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ข้าง ๆ กันเป็นชายอีกคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปยังห้องฉุกเฉิน

          “นั่งก่อนสิ คุณภาริศ” ชายคนนั้นเชื้อเชิญให้เขานั่งลงตรงหน้า คุณกล้าเดินไปยืนอยู่ด้านหลังราวกับเป็นบอร์ดี้การ์ดให้อีกคน ผมเหลือบตามองคุณกล้าเล็กน้อยก่อนนั่งลง

          ชายคนนี้หน้าตาคมติดไปทางหวาน รูปร่างผอมบาง ทำให้เขานึกถึงนางฟ้าของเยี่ยนหวอขึ้นมาทันที

          “คุณเป็นลูกชายของฝู่หงส์?”

          “อืม ฉลาด” คนตรงหน้าเอ่ยชม แต่เขากลับไม่ปลื้มเอาซะเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าทายาทสายตรงแห่งตระกูลฝู่เช่นนี้ “ผม เจเรมี ฝู่ เรียกผมว่าเจมส์ก็ได้”

          “ผมคงไม่กล้า”

          “เรียกคุณหนู ตามที่เธอต้องการแหละดีแล้ว” คุณกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลังแทรกขึ้น ทำให้เขาพยักหน้ารับอย่างแกนๆ

          “คนฉลาดอย่างคุณคงพอจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดกับม่อนไม่ใช่อุบัติเหตุ”

          “อันที่จริงผมไม่รู้หรอก จนได้ยินคุณเจมส์คุยกับคนของคุณที่หน้าห้องฉุกเฉิน”

          “และคุณคงจะพอรู้ว่ามันเป็นฝีมือของใคร”

          ภาริศได้แต่จ้องหน้าชายตรงหน้า คนคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่เหมาะกับหน้าตาหวาน ๆ เลยสักนิด เขาจึงบอกในสิ่งที่เขารู้ไปตามตรง

          “ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และยังไม่มีหลักฐานด้วยว่าเธอคนนั้นเป็นคนทำ ผมแค่เดินสวนกับเธอตอนที่จะไปห้องน้ำ แล้วก็พบกับน้องพัสที่ฟุบลงไปแล้ว”

          “คนของบริษัทคุณพยัคฆ์แจ้งว่า ในที่เกิดเหตุ สายรัดพลาสติกที่มัดลำไม้ไผ่ติดกับรั้ว มีรอยของมีคมบากไว้กว่าครึ่ง”

          “ผมพยายามหารูปผู้หญิงคนนั้นในกล้องผมอยู่” พูดยังไม่ทันจบ ภาริศพลันชะงัก เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ “คุณคงไม่ยึดเมมโมรีจากกล้องของผมหรอกนะ”

          “ไม่จำเป็น คุณแค่บอกลักษณะ ของหญิงคนนั้นก็พอ” ภาริศจึงบอกลักษณะของหญิงสาวที่เจอให้กับอีกคนได้ฟัง “น้ากล้าครับ ช่วยแจ้งลุงเก่งด้วยครับ” คุณกล้ารับคำ และเดินไปยังมุมห้องเพื่อโทรศัพท์

          “คุณรู้ได้ยังไง ว่าผมเห็นผู้ต้องสงสัย”

          “อาการของคุณเปลี่ยนไป หลังจากที่ได้ฟังผมกับโชคุยกัน”

          “คุณหันหลังให้ผมอยู่”

          “ผมแค่หูดี”

          “แต่ผมไม่ได้พูออะไรสักคำ”

          “ผมได้ยินเสียงคุณกดเลื่อนภาพในกล้อง เสียงมันฟังดูร้อนรนกว่าตอนแรกที่เดินผ่านคุณ”

          ชายตรงหน้า น่ากลัวกว่าเขาคิดมากนัก หูดีหรือหูทิพย์กันแน่ ภายในโรงพยาบาลมีเสียงประกาศต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไหนจะความวุ่นวายเพราะเป็นส่วนของห้องฉุกเฉินอีก







To Be Continued




ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
«ตอบ #97 เมื่อ13-01-2020 02:12:22 »

อารมณ์มันค้างงงงงงงง กำลังมันเลย :katai1: :katai1:

นังพราวนังหลินพวกหล่อนศพไม่สวยแน่ :angry2: :fire:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
«ตอบ #98 เมื่อ13-01-2020 02:58:27 »

อ่านเพลินเลยตอนนี้
ว่าแต่ภาติสเอ้ยภาริชคู่ใครนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
«ตอบ #99 เมื่อ13-01-2020 03:16:58 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...เหมือนจะได้กลิ่น ภาริชเจมส์ แฮะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 26 : 12.Jan '20
« ตอบ #99 เมื่อ: 13-01-2020 03:16:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
«ตอบ #100 เมื่อ20-01-2020 09:22:29 »

27







    พัสกาญรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน เขาจึงฝืนลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกไม่สบายตัว ขยับเพียงนิดก็ปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลัง

    “ม่อน อย่างเพิ่งขยับ”

    “เฮียเจมส์เหรอ?”

    “อืม”

    “เฮีย...ม่อนเมื่อย…”

    “แต่เรานอนหงายไม่ได้นะตอนนี้ อีกสักพักค่อยเปลี่ยนท่านอนก็แล้วกัน น้ากล้าครับ ช่วยตามหมอมาดูน้องหน่อยครับ”

    “น้ากล้าก็มาด้วยเหรอ? แล้วแม่ละเฮีย”
 
   “โซ้ยอี้ยังไม่มา คงรอให้งานเรียบร้อยก่อนถึงจะตามมานั่นแหละ”
 
   “เฮียช่วยน้ากล้าด้วยนะ ม่อนไม่อยากให้น้ากล้าโดนแม่ดุ”
 
   “มัวแต่ห่วงคนอื่น แล้วเราล่ะ ปวดแผลมากไหม?” พัสกาญรู้สึกถึงฝ่ามือที่ลูบศีรษะของเขาเบา ๆ

    “ม่อนเข้าใจแล้วว่าทาสในสมัยก่อน เวลาถูโบยจะรู้สึกยังไง”

   “หึ ล้อเล่นได้แบบนี้เฮียก็หายห่วง”

    “อะแฮ่ม!!” เขาได้ยินเสียงอีกคน พยายามจะหันไปมองแต่ขยับร่างกายไม่ไหว

    “คุณภาริช เป็นคนช่วยม่อนไว้” เฮียเจมส์บอกกับเขา แต่เขาจำไม่ได้ว่าโดนคนคนนี้ช่วยไว้ตอนไหน แล้วรู้จักเขาได้ยังไง

    “ถ้าคุณเจมส์ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ พี่ไปก่อนนะน้องพัส”

    “ขอบคุณครับ คุณภาริช” เขาเอ่ยขอบคุณออกไปและได้เห็นหน้าของคนที่ช่วยเขาเสี้ยวเดียวในขณะที่ชายคนนั้นเดินกำลังออกจากห้อง แต่พอจะรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เขาก็เอ่ยกับพี่ชายเสียงหลง “เฮีย...เขาเป็นนักข่าว”

    “ใช่ แล้วเขายังเป็นรุ่นพี่ของเราที่มหาวิทยาลัยอีกด้วย”

    “รุ่นพี่?...ภาริช...อ๋อ… พี่ภาติสนี่เอง”

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำไมม่อนไปเรียกเขาอย่างนั้นล่ะ?”

    “เฮียไม่รู้อะไร ก็พี่ภาติสสมัยเรียนไม่ได้ดูดีแบบนี้นี่ ม่อนจำได้แม่นเลย พี่เขามักจะใส่เสื้อนักศึกษาสีมอๆ กางเกงยีนส์สีดำซีดๆ หนวดไม่เคยโกน ผมเดทร็อคดูสกปรกมากกว่าเซอร์ เดินไปทางไหนก็รู้ว่าเป็นพี่เขา เพราะพี่ภาติสชอบสวมรองเท้าแตะช้างดาวที่บางราวกับกระดาษ เดินทีเสียงนี่ดังแปะ ๆ ๆ”

    “นี่ม่อนกำลังนินทารุ่นพี่ของตัวเองอยู่นะ”

    “ก็กลัวเฮียไม่เห็นภาพ” พัสกาญพูดจบ หมอกับน้ากล้าก็เดินเข้ามาพอดี

    “คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ ยังปวดแผลมากไหม?” คุณหมอเอ่ยถาม

    “ปวดเวลาขยับครับ แต่ตอนนี้เมื่อยมากเลยครับคุณหมอ” เขาตอบตามความจริง

    “น้องผมสามารถนอนหงายได้ไหมครับ”

    “หมอแนะนำให้นอนตะแคงข้างจะดีกว่าครับ อย่างเพิ่มให้แผลโดนกดทับ”

    “เฮีย… ช่วยม่อนหน่อย”

    พัสกาญรีบขอความช่วยเหลือเฮียเจมส์ทันที น้ากล้าก็เข้ามาช่วยอีกแรง จากนั้นคุณหมอขอตรวจร่างกายของเขาอีกนิดหน่อยก่อนออกจากห้องไปดูแลคนไข้รายอื่น

    “น้ากล้าโดนแม่ดุไหมครับ?”

    “ไม่ครับ คุณตั๋นเธอเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่คุณเสือนี่สิ โมโหใหญ่เลยครับ ที่ทางทีมงานดูแลความเรียบร้อยของงานได้ไม่ดี”

    “ก็มันเป็นอุบัติเหตุนี่ ม่อนไม่อยากให้ลุงเสือทำโทษพวกทีมงานเลย”

    “ถึงไม่ลงโทษก็ต้องตักเตือน หากตรงนั้นไม่ใช่ไม้ไผ่แต่เป็นโครงเหล็กนั่งร้านล่ะ อาจจะไม่ใช่ม่อนที่เจ็บคนเดียว เพื่อนม่อนก็อาจจะเจ็บตัวไปด้วย” เฮียเจมส์พูดให้เขาได้คิด

    “ป่านนี้ ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” พัสกาญเปรยๆ ขึ้นมา เพราะนึกถึงทัชชา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา

    “ผมให้โชไปแจ้งคุณกรกับคุณแหม่มแล้วครับ หากทั้งสองคนจะมาเยี่ยมคุณม่อน ก็ให้อำนวยความสะดวกให้” น้ากล้าพูดถึงเพื่อนของเขา แต่ไม่มีอีกคนที่เจาอยากรู้

    “ไม่คิดเลยว่า แทนที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โรงแรม กลับต้องมาเฝ้าผมที่นี่แทน” พัสกาญอดรู้สึกผิดไม่ได้

    “ม่อนอยากกลับไปพักที่โรงแรมไหม เดี๋ยวเฮียโทรบอกป๊าให้”

    “ม่อนกลับบ้านได้เหรอครับ?”

    “อืม แค่ดูแลไม่ให้แผลติดเชื้อ”

    “ม่อนอยากกลับ”

    “ถ้าอย่างนั้น ให้งานทางโน้นเสร็จเรียบร้อยก่อน ค่อยกลับกัน ม่อนเองก็หลับพักผ่อนไปก่อน ดึกๆ หน่อยก็ได้”

    “ครับเฮีย”

    พัสกาญได้ยินเฮียเจมส์โทรคุยกับลุงเถิง ไม่นานเฮียก็มานั่งชวนเขาคุย จนกระทั่งเขาหลับไปโดยไม่รู้ตัว

.........................................................................

    หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับพัสกาญ โปรแกรมที่จะไปเดินเล่นชายหาดก็เป็นอันล้มพับไปไม่เว้นแม่กระทั่งกะทิและไลลา ที่มานั่งรอฟังข่าวในล๊อบบี้ของโรงแรมด้วยกัน จะมีเพียงอามันต์เท่านั้นที่ขอตัวกลับไปก่อน คงเพราะไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ช่วยของกรกฤตคนนี้เท่าไร

    “ชาญกับเอมจะกลับไปก่อนไหม นี่ก็เย็นมากแล้ว เหนื่อยมาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวจะขับรถกลับไม่ไหว” กรกฤตเอ่ยกับเด็กทั้งสอง

    “ไม่เอา เอมจะอยู่รอฟังข่าวพี่ม่อน”

    “ผมด้วย”

    “ถ้างั้นก็ตามใจ”

    ไม่นานนักก็มีสต๊าฟคนหนึ่งเดินเข้ามาหากลุ่มของพวกเขา กรกฤตรีบเดินเข้าไปหาทันที ชายคนนั้นกวาดตามมองพวกเราแต่ละคน

    “เอ่อ...ผู้บาดเจ็บปลอดภัยดีครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” ชายคนนั้นบอกชื่อโรงพยาบาลและเลขห้องเสร็จ กลุ่มของพวกเขาก็ลุกฮือราวกับผึ่งแตกรัง จนกรกฤตต้องห้ามไว้

    “เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งไป คุยกันก่อน”

    “อะไรของแกนังกร” พี่กะทิถามเสียงห้วน

    “ตอนนี้ม่อนมันคงยังไม่รู้สึกตัว แกจะรีบไปไหน”

    “ก็ฉันเป็นห่วงน้องม่อนของฉันนี่”

    “อย่าเพิ่งไปรบกวนมันตอนนี้เลย ไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปเยี่ยมมัน นี่ก็เย็นมากแล้ว”

    “แหม่มเห็นด้วยกับกรนะ ให้ม่อนพักก่อนดีกว่าค่ะ”

    “แล้วถ้าไลลาจะขอไปเฝ้าละคะ คงไม่เป็นไรใช่ไหม?”

    “ปล่อยให้พี่ชายมันเฝ้าไปแหละ พวกเราค่อยไปกันพรุ่งนี้ จะได้มีอะไรติดไม้ติดมือไปเยี่ยมมันด้วย” กรกฤตรีบห้ามทันที ทำหให้ทัชชาสงสัยไม่น้อย

    “น้องม่อนมีพี่ชายด้วยเหรอ ใช่คนที่ขึ้นรถพยาบาลไปด้วยกันรึเปล่า?” กะทิถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

    “ไม่รู้ ฉันไม่ทันเห็น”

    “ใช่ค่ะ คนนั้นแหละ” ชานิสาเป็นฝ่ายช่วยตอบกรกฤตตอบ ทัชชารู้สึกเหมือนกับว่า ทั้งสองช่วยกันปกปิดอะไรบางอย่าง ไหนจะท่าทีที่กรกฤตเดินไปดักหน้าสต๊าฟอีก

    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างที่นังกรมันว่าก็แล้วกัน ไลลา เราจะพักที่ไหนกันดีล่ะคืนนี้” กะทิหันไปถามเพื่อนร่างเล็กอีกคน

    “ขับรถวน ๆ ดูก็ได้ แต่คงไม่พักที่นี่หรอก ท่าทางจะแพงน่าดู”

    “อืม งั้นฉันกับไลลาไปวนหาที่พักก่อนนะ ไปก่อนนะคะ พี่ทัช น้องแหม่ม” เมื่อสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว กรกฤตก็หันไปหาสต๊าฟคนเดิม

     “น้ากล้าฝากมาแจ้งอะไรอีกไหมครับคุณโช ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว พูดมาได้เลยครับ” การพูดคุยหลังจากนั้นทำให้เขารู้ว่า คนที่เหลือที่นี่ รู้จักผู้ที่มาแจ้งข่าวเป็นอย่างดี คุณโชหันมองมาที่เขาเล็กน้อย

    “ครับ คุณกล้าแจ้งว่า ถ้าพวกคุณจะไปเยี่ยมคุณพัส ให้ไปพร้อมกับคุณๆ และให้ผมอำนวยความสะดวกให้”

    “แล้วท่านผู้ใหญ่ท่านอื่น ๆ อยู่ไหนกันครับ”กรกฤตถามอย่างมีมารยาท

    “ตอนนี้รวมตัวกันอยู่ที่ห้องคุณฝู่เถิงที่อยู่ชั้นบนสุดครับ”

    “เดี๋ยวนะครับ ที่บอกว่ารวมตัวกันนี่คงไม่ได้อยู่กันครบทุกคนนะครับ” ชาญถามออกมาอย่างตระหนก

    “ไม่ครับ ขาดแต่คุณเจมส์และคุณกล้าที่ล่วงหน้าไปก่อน และคุณภูผาที่ยังคอยดูแลคุณดาหราเท่านั้นครับ”

    “โอ้ย… นั่นก็เกือบครบแล้วค่ะพี่โช” เอมโอดครวญ

    “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตามไปเยี่ยมพี่ม่อนพรุ่งนี้พร้อมพี่กะทิก็แล้วกันนะครับ”

    “เอมด้วยค่ะ”

    “เอ่อ...ดาด้วย...นะคะพี่แหม่ม”

    “อืม ตามใจเธอแล้วกัน” เขาเห็นชาริสาถอนหายใจเล็กน้อย

    “ถ้าอย่างนั้นผม ตามพี่ทิไปหาที่พักก่อนนะครับ” ชาญหยิบกระเป๋าของตน แล้วเดินนำเอมและชันดาไป จากนั้นจึงเหลือเพียงทัชชา กรกฤต และชาริสา

    “แล้วพวกคุณจะขึ้นไปห้องคุณฝู่เถิงเลยไหมครับ”

    “ครับ รบกวนคุณโชช่วยนำทางเลยครับ” ขณะที่พวกเราจะก้าวเดินตามอีกคนไป ชาริสากลับมารั้งกรกฤตไว้

    “กร แกจะพาพี่ทัชขึ้นไปด้วยรึไง มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”

    “คุณทัช คุณพร้อมจะเจอครอบครัวของไอ้ม่อนมันรึยัง” กรกฤตไม่ตอบชาริสาแต่หันมาถามเขาแทน

    “ผมพร้อมครับ” เขาตอบอย่างไม่ลังเล เพราะว่าว่าจะช้าเร็วอย่างไร เขาก็ต้องได้พบกับครอบครัวของพัสกาญอยู่ดี

    “ถ้าคุณขึ้นไปบนนั้น การที่คุณจะสานสัมพันธ์กับไอ้ม่อนต่อจากนี้ มันจะไม่ง่ายแล้วนะครับ”

    “ผมเชื่อว่า ถ้าผมมีความพยายามมากพอ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่อยากครับ”

    “เชอะ อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน” ชาริสาทำเหมือนไม่ได้พูดกับเขา และยังเร่งฝีเท้าออกห่างจากเขาและกรกฤตอีกด้วย

    “ผมหวังว่าคุณจะผ่านแหม่มกับคนอื่นๆ ไปได้นะครับ” กรกฤตเหมือนจะพูดให้กำลังใจเขา แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย
    ทั้งสามก้าวออกจากลิฟท์มาที่ชั้นบนสุด ซึ่งลิฟท์ตัวที่เขาขึ้นมานี้เป็นลิฟท์ส่วนตัว หากไม่มีคนพาขึ้นมาคงจะเข้ามาในชั้นนี้ไม่ได้แน่ๆ

    ภายในชั้นนี้ตกแต่หรูหรากว่าชั้นอื่นๆ มากนัก ที่ทัชชารู้เพราะเคยมาพักที่นี่บ้าง สองข้างของทางเดินเป็นห้องพักขนาดใหณ่ราวกับบ้านหลังหนึ่ง และคั่นแต่ละห้องด้วยสวนทำให้เป็นส่วนตัวมาก

    หน้าห้องแต่ละห้องมีอักษรภาษาจีนเขียนอยู่ ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร จนกระทั่งมาถึงห้องห้องหนึ่ง คุณโชกดกริ่งที่หน้าประตู ไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาเป็นประตูให้

    “แขกของคุณม่อน” โชแจ้งแก่หญิงสาวเพียงเท่านั้น

    “เชิญด้านในค่ะ” หญิงสาวเปิดประตูให้กว้างขึ้น แล้วไปยืนหลบอยู่ด้านข้าง เป็นชาริสาที่เดินนำเข้าไปก่อน ส่วนเขาเข้ามาทีหลัง

    คุณโชไม่ได้ตามเข้ามาด้วย จึงเป็นหญิงสาวที่เดินนำพวกเขาเข้าไปในห้อง ห้องนี้ผิดกับคอนโดหรือห้องพักโดยทั่วไปที่ทางเข้าแคบ หากแต่เข้ามาแล้วเป็นห้องโล่ง สามารถมองไปยังผนังกระจกพร้อมทั้งเห็นวิวทะเล ตรงกลางเป็นชุดรับแขกที่เป็นทางการและหรูหรามากทีเดียว

    พวกเขาเดินตามหญิงสาวเข้ามาจนถึงห้องอีกห้อง มีประตูกระจกแกะลวดลายสวยงาม แต่ไม่สามารถมองทะลุเห็นได้ในได้ เห็นเพียงเงาร่างๆ ดูก็รู้ว่าภายในนั้นน่าจะมีคนอยู่ไม่น้อยทีเดียว

    ทัชชาเห็นหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดแบบเดียวกันกับคนที่เดินนำพวกเขามา เดินออกมาจากห้องพร้อมถาดเงินอย่างดีในมือ จนเขาเริ่มรู้สึกเกร็งซะแล้ว

    “ขออนุญาตค่ะ แขกของคุณม่อนมาถึงแล้วค่ะ” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยบอกอยู่ที่หน้าประตูกระจก

    “เชิญพวกเขาเข้ามา” เสียงภาษาไทยสำเนียงแปร่งหู ทำให้เขาเผลอคิดไปว่า พัสกาญอาจจะเป็นลูกครึ่ง แต่ดูจากพ่อและแม่ตอนอยู่บนเวที ก็เป็นคนไทยทั้งคู่

    เมื่อประตูเปิดออก เขาก็พบบรรดาญาติๆ ของพัสกาญนับสิบคนเลยทีเดียว เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชันดา ชาญ และเอมถึงไม่ยอมขึ้นมาบนนี้

    “หนูแหม่ม...เป็นยังไงบ้างลูก บาดเจ็บตรงไหนไหม?”

    ทันทีที่พวกเขาเข้ามาภายในห้อง ผู้หญิงคนหนึ่งรีบวางถ้วยกาแฟในมือแล้วตรงเข้ามาหาชานิสาทันที พร้อมกับลูบเนื้อลูบตัวราวกับสำรวจ

    “แหม่มไม่เป็นไรค่ะป้าภา” เธอตอบออกไป

    “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก” หญิงอีกคนที่เขาจำได้ว่าเป็นแม่ของพัสกาญเดินมายืนอยู่เคียงข้างป้าภา

    แต่ที่ทัชชาแปลกใจ คือทางด้านหลังกลุ่มของชาริสา เขาเห็นแม่ของพัสกาญอีก 2 คน หรือว่าแม่ของพัสกาญจะมีแฝดสาม ตอนนี้เขาที่เป็นเหมือนส่วนเกินได้แต่ยืนอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครคิดจะแนะนำเขาเลย แม้กระทั่งกรกฤต ส่วนชาริสาทัขชาไม่หวังเลยว่าเธอจะเข้ามาช่วยเขาในสถานการณ์เช่นนี้

    ทางด้านกรกฤตเมื่อเช้าห้องมากก็ตรงเข้าไปหาแฝดอีกคนของแม่พัสกาญที่ยืนอยู่กับชายรูปร่างใหญ่คนหนึ่ง เขาไม่ทันได้ยินว่าทั้งสามคุยอะไรกัน แต่ก็เลือกที่จะก้าวตามไปหากรกฤต ซึ่งในขณะนั้นเอง

    “คุณเป็นเพื่อนม่อนเหรอค่ะ พวกเราไม่เคยพบคุณมาก่อน” แฝดอีกคนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมทักทาย

    “ครับ สวัสดีครับ ผมทัชชาครับ”

    “ฉันพอจะได้เห็นคุณทางทีวีบ้าง แต่อย่าว่ากันนะคะ พอดีฉันเดินทางบ่อยเลยไม่ค่อยมีเวลาได้ดูละครเท่าไร

    “ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...คุณน้าเป็นแม่ของม่อนใช่ไหมครับ” เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าแฝดคนไหนคือแม่ของพัสกาญกันแน่

    “ไม่ใช่หรอกจ้ะ ฉันเป็นป้าของน้องม่อนน่ะ ชื่อหงส์ หรือเรียกป้าหงส์ตามน้องก็ได้นะ”

    “ครับ ป้าหงส์”

    “เพื่อนเราคงโดนลุงๆ ป้าๆ ชวนคุยอีกยาวเลยล่ะ มาเดี๋ยวป้าแนะนำทุกคนให้คุณทัชรู้จักกับคนอื่นๆ เองก็แล้วกัน”

    “เรียกผมทัชเฉยๆ ก็ได้ครับ” ป้าหงส์ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ดูแล้วไม่ได้น่ากลัวอะไรอย่าที่เขาเริ่มกังวล

    “คุณษาค่ะ เพื่อนตาม่อนค่ะ” ป้าหงส์พาเขาลงมานั่งข้างเก้าอี้โซฟานวมตัวใหญ่ “คุณสุพรรณษาเป็นพี่บุญธรรมของป้าจ้ะ ม่อนเรียกคุณษาว่าคุณยายน่ะ”

    “เอ้...เพื่อนตาม่อนหน้าตาคุ้นๆ นะ”

    “ทัชเขาเป็นนักแสดงค่ะคุณษา”

    “อ่อ ฉันนึกออกแล้ว เราก็เรียกยาย ตามตาม่อนก็ได้นะ”

    “ขอบคุณครับคุณยาย”

    “เจ่เจ้” แฝดคนหนึ่งที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าเป็นผู้หญิงเดินเข้ามาเรียกป้าหงส์

    “อืม เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ไปดูตั๋นหน่อยไป อย่าให้เอาแต่ใจจนเสียงมารยาท” อีกคนพยักหน้ารับและเดินไปยังกลุ่มของชาริสาที่จ้องมาทางพวกเขา “คนเมื่อครู่เป็นน้องชายป้า ชื่อหยก และเป็นพี่ชายของแม่น้องม่อน”

    เขาพยักหน้ารับเขาได้แต่หวังว่าจะจำบรรดาญาติๆ ของม่อนได้ทั้งหมด ที่สำคัญ หลายๆ คนเขากลับคุ้นหน้าเพราะเห็นตามสื่อต่างๆ
 
      “ความจริงใจของทัช จะช่วยให้ทัชสามารถผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้” อยู่ๆ ป้าหงส์ก็พูดขึ้นมา เขาจึงละสายตาออกจากลุ่มของชาริสา หันมามองหน้าป้าหงส์ และได้พบกับรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม

       “ฟังที่หงส์เขาแนะนำเถอะ หงส์นะมองขาดทุกสิ่ง ไม่อย่างนั้น 20 กว่าปีมานี้คงไม่สามารถสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้” คุณยายของพัสกาญย้ำพร้อมทั้งส่งยิ้มมาให้ผิดการการวางดัวที่ดูสูงส่งเมื่ออยู่บนเวทีเมื่อเช้า

       และคำพูดของป้าหงส์ที่เหมือนจะล่วงรู้ความในใจของทัชชา ทำให้เขาพอจะรับรู้ว่าคนบ้านนี้หวงหลานชายคนเล็กจริงๆ ยิ่งมองไปยังสายตาของกลุ่มคนที่ชาริสายืนอยู่ด้วยแล้ว ทำให้ทัชชาเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมายังไงไม่รู้
   
 
   
To Be Continued

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
«ตอบ #101 เมื่อ20-01-2020 10:51:51 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนจะผ่านด่านป้าหงส์กะคุณยายไปได้เล็กน้อยนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
«ตอบ #102 เมื่อ20-01-2020 11:58:40 »

หายใจไม่ทั่วท้องเป็นเพื่อนคุณทัชเลยนะนี่
อีกกี่ด่านล่ะนี่ กว่าจะได้ไข่ในหินมาครอบครอง

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
«ตอบ #103 เมื่อ20-01-2020 17:56:21 »

คุณทัชสู้ๆ น๊าาาาาาาา

ออฟไลน์ kakilover

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 27 : 20.Jan '20
«ตอบ #104 เมื่อ29-01-2020 23:22:48 »

มารอดูทัชชาโดนคุณแม่แกล้ง :z13:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
«ตอบ #105 เมื่อ12-02-2020 18:35:15 »

28








          หลังจากที่เดินเลี่ยงออกมาจากทัชชา กรกฤตก็ตรงไปหาลุงหยก ลุงเสือ และลุงเถิง ที่ยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

          “สวัสดีครับคุณลุง” ทั้งสามพยักหน้าให้กับเขา

          “ดาราคนนั้นรึเปล่า” ลุงหยกหันไปมองทัชชาที่ยืนเคว้งอยู่ในห้อง ไม่นานป้าหงส์ก็เดินเข้าไปหา ทำให้เขาหายห่วง ที่ประมุขใหญ่ของเยี่ยนหวอออกตัวต้อนรับด้วยตัวเอง

          “ครับ”

          “เจ่เจ้เข้าไปหาเขาเองแบบนี้ ลุงคงหายห่วงเรื่องดาราคนนี้แล้วล่ะ ตอนแรกยังกังวลอยู่ว่าเขาจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากม่อนเหมือนนางแบบคนนั้นไหม” ลุงหยกยิ้มให้เขา ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่รอยยิ้มสวยๆ ของนางฟ้าแห่งเยี่ยนหวอนี่แทบจะฆ่าเขาได้เลย

          “อ่ะ แฮ่ม!!” เสียงกระแอมไอของลุงเสือเรียกสติเขาขึ้นมาทันที

          “หึ!!” ลุงเถิงเองก็เหมือนจะหัวเราะให้กับความหวงคนรักของลุงเสือ

          “ม่อนเป็นยังไงบ้างครับ” ถึงเขาจะพอรู้ว่าพัสกาญปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้

          “ปลอดภัยดี แต่คงทำอะไรได้ลำบากในช่วงนี้” ลุงหยกปรายตามองลุงเสือเล็กน้อยก่อนตอบคำถามของเขา

          “แล้วเราจะไปเยี่ยมม่อนพร้อมกันเลยไหมครับ หรือทยอยกันไป” กรกฤตถามพร้อมกวาดตาไปรอบๆ ห้อง ญาติพี่น้องของเพื่อนเขามีน้อยเสียเมื่อไร

          “ไม่ต้องไปแล้วล่ะ เจมส์โทรมาบอกฉันว่าม่อนอยากกลับมาพักที่โรงแรม เดี๋ยวงานข้างล่างซาลงเมื่อไร คนของพยัคฆ์จะไปรับ” ลุงเถิงบอกแต่สายตากลับมองไปยังทัชชา “หยก เฮียว่า เราเดินไปเตือนหงส์หน่อยดีไหม?”

          กรกฤตหันไปมองตามสายตาของลุงเถิง เห็นทัชชานั่งคุยอยู่กับป้าหงส์และคุณยายสุพรรณษา นี่ถ้าเขาเห็นออร่าได้อย่างพัสกาญคงจะได้เห็นรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากชาริสา แม่โบตั๋น และป้าเพ็ญนภาเป็นแน่

          “ผมว่า วันนี้คุณทัชคงอยู่รอไอ้ม่อนไม่ได้แล้วล่ะมั้ง ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างอยากเย็นเรียกเสียงหัวเราะใสๆ จากลุงหยกได้ทีเดียว

          “กรไม่ต้องกังวลไปหรอก เอาเป็นว่าลุงจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่” ลุงหยกตบบ่าเขาเป็นเชิงปลอบจากนั้นก็เดินออกจากกลุ่มที่กำลังคุยกันอยู่

          “หยกไปแล้ว คุณมีเรื่องอะไรจะบอกกับผม” กรกฤตกำลังสังเกตการณ์ทัชชาอยู่ได้ยินลุงเถิงกำลังจะคุยงานกับลุงเสือจึงคิดจะเดินเลี่ยง และตามลุงหยกไป

          “เรื่องที่เกิดกับเจ้าม่อนไม่ใช่อุบัติเหตุเหตุ” กรกฤตยั้งเท้าทันที แล้วหันมาสนใจบทสนทนาของลุงทั้งสอง ลุงเสือมองเขาเล็กน้อยแต่ไม่คิดจะไล่เขาไป

          “ในที่เกิดเหตุ คนของคุณพบอะไรน่าสงสัยล่ะสิ”

          “ไม้ไผ่พวกนั้น ถูกมัดด้วยสายรัดพลาสติกอย่างหนาแน่น ไม่มีทางที่จะขาดเองได้ คนของผมพบเศษสายรัดเส้นหนึ่งมันถูกตัดด้วยของมีคม”

          “ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่น่าจะเป็นการสุ่มทำร้าย แต่เจาะจงต่างหาก ผมว่าเรื่องที่เกิดคราวนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเยี่ยนหวอ เจ้าม่อนเก็บตัวมาก จนแทบจะไม่มีใครจำได้อยู่แล้ว ว่าเยี่ยนหวอยังมีทายาทคนเล็กอีกคน”

          “ระยะนี้ม่อนได้ไปมีเรื่องอะไรกับใครไหม?” ลุงเสือหันมาถามเขา นี่คงเป็นเหตุผลที่พูดเรื่องพัสกาญต่อหน้าเขา

          “ที่กองถ่ายม่อนแทบจะไม่สุงสิงกับใครนอกจากพวกผมกับเพื่อนใหม่อีก 2-3 คน”

          “แล้วดาราคนนั้นล่ะ มีใครมาติดพันรึเปล่า?” ลุงเถิงถามบ้าง

          “ไม่มีครับ และเท่าที่ผมรู้ ม่อนกับคุณทัชเพิ่งจะมีโอกาสคุยกันตรงๆ ก็วันนี้แหละครับลุงเถิง คุณทัชเขาค่อนข้างระวังตัวเลยคุยกับม่อนผ่านแชท อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มต้น คนที่รู้เรื่องของทั้งสองคนในตอนนี้ มีแค่ผมกับยัยแหม่มเท่านั้น”

          “ก่อนหน้านี้แหม่มเหมือนจะมีข่าวไม่ค่อยดีเท่าไรใช่ไหม?”

          “นิดหน่อยครับลุงเสือ แต่ก็ไม่มีอะไร มันก็แค่กระแสจิ้นของคู่พระนางในละคร” กรกฤตคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับเหล่าแฟนคลับของพราววริศา เพราะระยะหลังนี้ข่าวที่ออกมาส่วนใหญ่จะเป็นข่าวดาราสาวกับแฟนหนุ่มเสียมากกว่า

          “ทางผมจะลองสืบดู แล้วจะจัดคนไปดูแลเจ้าม่อน” ลุงเสือพูดคุยกับลุงเถิงอีกสักพัก ก็เดินเข้าไปหาลุงหยก ส่วนลุงเถิงแยกไปนั่งทำงานเงียบๆ คนเดียว กรกฤตจึงเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อหาเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มรอเวลาพัสกาญกลับเข้ามา

.........................................................................

          รถญี่ปุ่นคันเล็กที่ไม่แตกต่างจากรถทั่วไปตามท้องถนน แล่นเข้ามาจอดที่ใต้คอนโดหรูแห่งหนึ่ง หญิงสาวเจ้าของรถเปิดประตูลงมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบย่อม จากนั้นเธอก็อ้อมไปยังท้ายรถ เพื่อหยิบผ้าคลุมรถและจัดการคลุมรถญี่ปุ่นคันเก่ากลางใหม่ไว้จนมิดชิด

          เมื่อจัดการกับรถส่วนตัวของเธอเสร็จ หลินจึงเดินไปยังห้องน้ำใกล้ ๆ ที่จอดรถซึ่งเป็นห้องน้ำสำหรับยามรักษาคความปลอดภัย เธอจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ทรงผม พร้อมกับลบเครื่องสำอางค์บนใบหน้าจนเกลี้ยงเกลา เมื่อเธอสำรวจความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จึงเดินออกมา

          หลินเดินตรงไปยังรถสัญชาติยุโรปคันใหญ่ที่มีสปอร์นเซอร์ใจดีให้พราววริศานำมาใช้งานฟรี ๆ เพื่อเป็นการโปรโมทสินค้า เธอจัดการเก็บกระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถก่อนขับรถออกไปรับดาราสาวที่ฟิตเนส

          ระหว่างทางเธอได้เปิดวิทยุเพื่อฟังข่าวงานการกุศลไปด้วย แต่ข่าวกลับไม่รายงานในสิ่งที่เธอได้ยินแม้แต่น้อย เธอจึงโทรไปหานักข่าวที่เธอค่อนข้างสนิทด้วย เผื่อจะได้รู้อะไรดีๆ บ้าง

          ‘สวัสดีค่ะน้องหลิน โทรมาหาพี่แบบนี้มีข่าวอะไรจะให้พี่รึเปล่าเอ่ย’ เสียงคนปลายสายดังลอดลำโพงภายในรถออกมาเมื่อเธอเชื่อมต่อบลูทูธ

          “พี่ปูก็รู้นี่ค่ะ ว่าช่วงนี้น้องพราวเขาอยู่ในช่วงเร่งถ่ายละคร ส่วนคุณเตอร์ก็ไปทำงานต่างประเทศ อีกหลายวันกว่าจะกลับ ไว้ถ้าสองคนนี้ว่างไปด้วยกันเมื่อไร หลินจะรีบส่งข่าวนะคะ”

          ‘ได้เลยจ้าน้องหลินคนดี แล้วนี่โทรหาพี่มีเรื่องอะไรจ้ะ’

          “หลินอยากรู้ว่างานแข่งรถการกุศลเป็นยังไงบ้างค่ะ?”

          ‘อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง เสียดายนะคะที่น้องพราวไม่ได้มา งานนี้ถือว่าใหญ่น่าดู คุณหญิง คุณนาย ไฮโซ เซเลปเดินชนไหล่กันเต็มไปหมด’

          “แล้วคุณแม่ของพี่เตอร์ล่ะค่ะ?” หลินถามลองหยั่งเชิงดู

          ‘คุณดาหราขึ้นเวทีช่วงเช้านิดหน่อย พอเสร็จงานตรงนั้นก็ไม่เห็นในงานแล้วนะ คนพวกนั้นพอถ่ายรูปเสร็จก็แยกย้ายกันไปแล้วล่ะ’

          “แล้วอย่างนี้พี่ปูได้ข่าวอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างไหมค่ะ” เธอแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

          ‘มีสิจ้า หลินรู้จักดิว กรกานต์ไหม ยูทูปเบอร์ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้น่ะ’

          “เหมือนเคยได้ยินค่ะ แต่ยังไม่ค่อยรู้รายละเอียด” เธอตอบแบบขอไปที เพราะโปรไฟล์ของชายหนุ่มไม่เป็นที่น่าสนใจสำหรับเธอและพราววริศา เพราะมาจากครอบครัวบ้านๆ ดังได้เพราะหน้าตาและคารมในการรีวิวสินค้าเท่านั้น

          ‘น้องดิวเขามางานนี้ด้วย มาไลฟ์สดช่วยขายเสื้อ อ่อ! แล้วก็พี่เพิ่งเคยเห็นคุณพัสกาญตัวจริง ยังเด็กอยู่เลย แต่เก่งระดับโลกเลยล่ะ นายแบบ นางแบบที่ได้ทำงานให้คุณพัสแค่งานเดียวก็ถึงกับโกอินเตอร์ไปเลยจ้า...’

          “หลินไม่เคยเห็นงานเขาเลยค่ะ เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ?” ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพัสกาญทำให้เธอสนใจไม่น้อย

          ‘คนไทยรู้จักเขาเพราะแบรนด์พัสกาญ แต่ทั่วโลกรู้จักเขาในแบรนด์ YNW ในห้างสรรพสินค้าก็มีช้อปของแบรนด์นี้เยอะแยะไป’

          “หลินเพิ่งรู้นะคะว่าเขาเป็นเจ้าของแบรนด์นี้” เธอถามออกมาอย่างสนใจ YNW มีขายอยู่ทั่วโลก ดูเหมือนธุรกิจของพัสกาญจะได้เงินมหาศาลกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของคุณพหลเสียอีก

          ‘จะบอกว่าเป็นเจ้าของก็ไม่ถูกค่ะ ต้องบอกว่าเป็นทายาทเสียมากกว่า แต่หลังๆ มานี่ งานที่ปล่อยออกมาเป็นผลงานของคุณพัสทั้งนั้น’

          “เหรอค่ะ เก่งจังเลยนะคะคุณพัสกาญเนี่ย แล้วมีข่าวอะไรน่าสนใจอีกไหมค่ะ?’ เธอพยายามจะถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับชาริสา

          ‘นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ น้องหลินหาอ่านออนไลน์ได้เลย คะแนนของผู้ที่เข้าแข่งขัน 10 อันดับแรกก็มีข่าวปล่อยออกมาแล้ว’

          “ค่ะ ขอบคุณพี่ปูมากนะคะ เสียดายที่น้องพราวไม่ได้ไป”

          ‘นั่นสิ ไม่อย่างนั้นพี่คงได้ช่วยลงข่าวน้องพราวให้’

          “หลินขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ หลินต้องวางสายแล้วละคะ น้องพราวออกจากฟิตเนสมาแล้ว” หญิงสาวตัดบทเมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดของฟิตเนสชื่อดัง

          ‘จ้า สวัสดีจ้า’

          หลินลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปภายในฟิตเนส เมื่อพนักงานต้อนรับเห็นเธอ ก็จัดแจงเอาเครื่องดื่มมาเสริฟทันที

          “คุณพราวเสร็จรึยัง?”

          “เพิ่งเสร็จได้สักพักค่ะ ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องแต่งตัว”

          “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณก่อนหยิบแมกกาซีนขึ้นมาอ่าน หน้าปกเป็นรูปกลุ่มของเหล่านายแบบและนักแสดงจากหลายประเทศ หนึ่งในนั้นมีทัชชาร่วมอยู่ด้วย

          หลินเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ และพบว่าเสื้อผ้าคอลเลคชั่นชุดนี้ออกแบบโดยพัสกาญทั้งหมด นายแบบทุกคนบรรณาธิการเป็นผู้เลือกให้พัสกาญแอพพรูฟ

          “หลินมาแล้วเหรอ เหนื่อยไหม?” หลินเงยหน้าจากแมกกาซีนขึ้นมามองคนที่เดินมายืนค้ำหัวเธออยู่

          “อืม กลับเลยไหม หรือจะแวะทานอะไรก่อน”

          “ไม่เอาอ่ะ พราวทั้งง่วงทั้งเหนื่อย อยากนอน” พราววริศาวางกระเป๋าลงข้างๆ ที่เธอนั่งก่อนจะเดินนำออกไป หลินจึงคว้ากระเป๋าของดาราสาวแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ ในหัวเริ่มคิดแผนการบางอย่าง

........................................................................

          พัสกาญกลับเข้ามาพักยังโรงแรม โดยที่น้ากล้ากับเฮียเจมส์เป็นผู้พาขึ้นมายังห้องพักส่วนตัวในชั้นบนสุด เขาได้มองไปรอบๆ เพียงครู่เดียว เพราะเขาเลือกที่จะเดินเอง ทำให้ต้องทนกับอาการปวดตุ้บๆ บริเวณแผ่นหลัง

          “เฮีย ม่อนขอนั่งพักที่โซฟาก่อนได้ไหม ยังไม่อยากเข้าไปนอน”

          “อืม ไหวไหมเรา”

          “ม่อนไม่ได้เป็นอะไรมาสักหน่อย แค่เจ็บหลัง”

          “ปากเก่งจริงนะเรา” เฮียเจมส์บีบจมูกของเขาไม่เบาเลย จนเขาต้องเอามือปัดออก

          “เจ็บ…”

          “ทุกคนคงเป็นห่วงม่อน” เฮียเจมส์เปรยขึ้นหลังจากหยุดแกล้งเขาแล้ว

          “แล้วตอนนี้ทุกคนอยู่ไหนกันครับ”

          “อยู่ที่ห้องป๊ากับม๊า รอเรากลับมานั่นแหละ”

          “งั้นเฮียพาม่อนไปหน่อย”

          “เมื่อกี้ยังขอพักอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

          “ก็ทุกคนเป็นห่วง”

          “น้ากล้าคงไปบอกคนที่ห้องนู้นแล้ว นั่งรออยู่นี่แหละ”

          พัสกาญรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเดินมาหาตนเองถึงห้อง และยังไม่ทันจะทักท้วงอะไรประตูห้องเขาก็เปิดขึ้นอีกครั้ง

          ป้าเพ็ญนภากับแม่ช่วยกันประคองคุณยายเข้ามา ตามด้วยชาริสาและก็พ่อของเขา

          “ตาม่อน เป็นยังไงบ้างลูก” คุณยายนั่งลงข้าง ๆ เขาพร้อมกับช้อนมือเขาไว้ อีกมือหนึ่งก็ตบเบาๆ ที่หลังมือเป็นเชิงปลอบ

          “ไม่เป็นอะไรมากครับคุณยาย” เขาเอนตัวไปซบไหล่คุณยาย เรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากคุณยายและป้าเพ็ญได้ไม่ยาก “ม่อนขอโทษนะครับที่ทำให้คุณยายเป็นห่วง”

          “อ้อนได้ขนาดนี้คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะคะคุณษา” ป้าเพ็ญพูดเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย เขาจึงขยับนั่งตัวตรงตามเดิมโดยมีเฮียเจมส์ที่ยืนอยู่ด้านหลังโซฟาช่วยประคองพร้อมทั้งยัดหมอนใบนุ่มที่ไม่รู้ไปเอามาตั้งแต่เมื่อไร มารองหลังให้เขา

          พอนั่งดีๆ จึงได้รู้ว่านอกจากคนในครอบครัวแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ กรกฤต รอยยิ้มของทัชชากับสีของออร่าที่ผิดแปลกไปจากคนในครอบครัว มันทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งทีเดียว

          “เป็นอะไรรึเปล่าลูก” แม่ของเขามองไปตามสายตาเขาไปยังทัชชา

          “ไม่มีอะไรครับแม่ แค่ไม่คิดว่าคนจะเยอะแบบนี้ ม่อนขอโทษคุณลุงกับคุณป้าด้วยนะครับที่เสียมารยา จนต้องให้คุณลุงคุณป้าเป็นฝ่ายมาหาม่อนที่ห้อง” เขากระพุ่มมือไหว้ขอโทษ ลุงเถิง ป้าหงส์ ลุงเสือ ลุงหยก “ผมขอโทษนะครับพี่ภู” เขาหันไปกล่าวขอโทษภูผาที่ยืนเคียงข้างเฮียเจมส์ทางด้านหลังของเขา

          “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี่เอง” ภูผายื่นมือมายีหัวเขาจนผมยุ่งเหยิง จนโดนเฮียเจมส์ตีเขาที่มืออย่างแรงจนภูผาต้องรีบชักมือกลับ

          “อย่าแกล้งน้อง น้องเจ็บอยู่” เฮียเจมส์เอ็ดเสียงดุ

          “ม่อนยังเจ็บอยู่เหรอลูก เจ็บตรงไหนบ้างขอยายดูหน่อยซิ” คุณยายที่ได้ยินเฮียเจมส์เอ็ดภูผาถึงกับถามเขาด้วยความเป็นห่วง

          “เจ็บหลังครับ แต่คุณยายไม่ต้องดูหรอก แค่ระบมนะครับ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

          “ลุงถามกรแล้วนะ ว่าช่วงนี้งานที่เราไปช่วยตากรนั้นไม่มีอะไรมาก ระหว่างนี้ก็พักรักษาตัวซะที่นี่เลยก็แล้วกัน” ลุงเถิงออกความเห็น ซึ่งป้าหงส์ก็พยักหน้าเห็นด้วย

          “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมอยู่ดูแลน้องเองครับป๊า”

          “เจมส์ไม่รีบกลับไร่กับคุณภูแล้วเหรอ?” แม่ของเขาถามขึ้นมาก่อนมองหน้าภูผาเล็กน้อย

          “ไม่เป็นไรครับน้าตั๋น ถ้าหว๋ายจะอยู่ดูแลน้องม่อน อีก 2-3 วันผมค่อยลงมารับก็ได้ครับ พี่น้องเขาจะได้ใช้เวลาด้วยกันบ้าง”

          “หึ!!” ลุงเถิงเหมือนจะหัวเราะเยาะคุณภูผาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

          “ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” พ่อของเขาบอกกับทุกคน

          “หนูแหม่มจะพักที่ไหนคืนนี้ นอนค้างกับป้าก็ได้นะ” ป้าเพ็ญหันไปถามชาริสาที่นั่งอยู่ข้างๆ

          “แหม่มจะขออนุญาตคุยกับม่อนอีกสักครู่ได้ไหมค่ะ?”

          “เอาแบบนี้แล้วกัน ให้เด็กๆ เขาอยู่คุยกันไปก่อน ส่วนเรื่องที่หลับที่นอน เดี๋ยวฉันจัดการให้คนเปิดห้องให้” ลุงเถิงพูดขึ้นมาอย่างใจดี แม่ของเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างหากแต่ถูกสายตาปราบของป้าหงส์เข้าจึงได้เงียบไป

          “ไปเถอะตั๋น ไหนว่าวันนี้จะนอนกับเฮียยังไงล่ะ?” ลุงหยกเดินเข้ามาจูงมือแม่ของเขาแล้วพาเดินออกจากห้องไป ตามด้วยลุงเสือกับลุงเถิง

          “คุณยายพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ ม่อนขอโทษที่ไม่ได้ไปส่ง” เขาหันไปหาผู้มีศักดิ์เป็นยายอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำเสียงออดอ้อน

          “ช่างอ้อนจริงนะเรา ยายกลับห้องเองได้ นี่ยัยเพ็ญกับยัยหงส์ก็ยังรออยู่”

          “ครับ”

          หลังจากผู้ใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว ในห้องก็เหลือแต่เด็กๆ อย่างพวกเขา ทัชชาจึงรีบเดินหมายจะเข้ามานั่งใกล้ๆ เขา แต่กลับถูกชาริสาขวางไว้แล้วลากให้กรกฤตมานั่งแทน ส่วนด้านข้างเขามีเฮียเจมส์นั่งแทนที่คุณยาย ถัดไปเป็นภูผา

          “ให้มันน้อยๆ หน่อยยัยแหม่ม กีดกันจนออกนอกหน้า เมื่อกี้ในห้องโน้นก็ทีหนึ่งแล้ว ไปฟ้องอะไรกับแม่ไอ้ม่อนมันล่ะ เขาถึงได้มองคุณทัชซะตาแทบถลน” กรกฤตที่ถูกดึงให้นั่งลงอย่างแรงอดเอ่ยออกมาไม่ได้

          “ก็แค่เล่าเรื่องจริง”

          “อย่าบอกนะว่าแหม่มรู้แล้ว” พัสกาญถามออกมา เพื่อนทั้งสองของเขาพยักหน้าให้เป็นการยอมรับ

          “รู้เรื่องอะไรกันครับ” ภูผาหันไปถามกรกฤต

          “ก็ที่ดาราคนนี้เขาตามจีบเจ้าม่อนยังไงล่ะครับพี่ภู” เป็นเฮียเจมส์ที่เป็นผู้ตอบคุณภูผา

          “เฮีย!! ...” เขาได้แต่ร้องเสียงหลง เผลอขยับตัวแรงไปหน่อย จนกระเทือนไปถึงหลังที่บาดเจ็บอยู่ จึงถือโอกาสเอาหน้าซุกอกเฮียเจมส์เอาไว้ เพราะทั้งเจ็บทั้งอาย

          “ไอ้ม่อน มึงไม่ต้องมาทำเป็นสำออยอ้อนเฮียเจมส์เลย แค่นี้คุณทัชเขาก็ห่วงมึงจะแย่” เขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองกรกฤตเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปมองทัชชา ไม่เห็นจะมีสีหน้าเป็นห่วงเขาสักนิด มีแต่จะยิ้มขำเขาเสียมากว่า

          “เอาล่ะๆ ไม่ทะเลาะกัน” เฮียเจมส์รีบห้ามทัพเสียก่อน “น้องแหม่ม เฮียพอจะเดาออกว่าเราจะคุยอะไรกับเจ้าม่อน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้”

          “แต่พรุ่งนี้แหม่มมีงานนี่ค่ะเฮีย”

          “เฮียจะจัดคิวให้แหม่มได้คุยกับเจ้าม่อนเป็นคนแรกเลยดีไหม?”

          “ก็ได้ค่ะ” ชาริสารับปากเฮียเจมส์แต่หน้าตาติดที่ยังดูเหมือนไม่ค่อยชอบใจนัก

          “แล้วคุณทัชละครับ”

          “เอ่อ...ผมยังไงก็ได้ครับ”

          “เฮียเจมส์ห้ามให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองนะคะ” ชริสารีบแทรกขึ้นมาทันที

          “ยัยแหม่มนี่แกเป็นเพื่อนมันหรือเป็นแม่มันกันแน่ หวงยังกับหมา”

          “ไอ้กร ปากแกเหรอเนี่ย”

          “พอๆ แยกย้ายได้แล้ว เจ้าม่อนจะได้พัก” เฮียเจมส์เอ่ยห้ามอีกหนก่อนช่วยประคองผมเข้าห้องนอน และไม่วายให้ภูผาช่วยส่งคนทั้งสามออกจากห้องไป

To Be Continued

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
«ตอบ #106 เมื่อ12-02-2020 22:21:45 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมมีแต่คนคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือการจงใจทำร้ายม่อน?

ทำไมไม่คิดว่าคนร้ายหมายทำลายหนูแหม่มมากกว่า?

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
«ตอบ #107 เมื่อ13-02-2020 12:57:49 »

คุณทัช ทำไมถึงน่าสงสารขนาดนี้
คุยกันสักคำยังไม่ได้คุย
รันทดแทนเลยนะนี่ 5555

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 28 : 12.Fab '20
«ตอบ #108 เมื่อ14-02-2020 01:23:28 »

ได้แค่มองตา แต่ไม่ได้คุยกันเลย :katai1:

วงวารคุณทัช :hao4:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
«ตอบ #109 เมื่อ28-02-2020 18:46:41 »

29









          เช้าวันใหม่ ชาริสาตื่นขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แม้ไม่มีชันดาคอยปลุกเหมือนทุกครั้งก็ตาม เธอเตรียมขึ้นไปทวงสัญญากับเฮียเจมส์ เธอต้องได้คุยกับพัสกาญ ขณะที่เธอยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดีกลับได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

          ชาริสามองลอดตาแมว พบว่าเป็นชันดา เอม และชาญ จึงเปิดประตูให้พวกนั้นเข้ามาในห้อง จากนั้นเธอก็กลับไปแต่งตัวให้เสร็จ

          “ว้าว… เมื่อคืนตอนที่พี่กรโทรตาม แกไม่น่าเสียดายเงินค่าที่พักเลยชาญ ดูสิ… ห้องสวย แล้วก็ใหญ่มากเลย” เอมเดินไปรอบๆ ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย โดยมีชาญเดินตาม

          “พี่แหม่มมีอะไรให้ดาช่วยไหมค่ะ?” ชันดาเดินเข้ามาในส่วนแต่งตัว

          “ไม่มีนี่”

          “ดาเห็นพี่แหม่มดูรีบๆ”

          “พี่จะรีบขึ้นไปคุยกับม่อนเรื่องพี่ทัช”

          “โถ… พี่แหม่ม”

          “ไม่ต้องมาห้ามเลย” ชาริสาแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาเห็นเอมกับชาญนั่งดูทีวีกันอยู่

          “อ่าว พี่แหม่มจะกลับแล้วเหรอ” ชาญถามทั้งๆ ที่มือยังคงถือรีโมททีวีอยู่

          “คงจะใกล้ๆ เที่ยงนั่นแหละ พี่จะไปหาม่อนก่อน”

          “เอมไปด้วยค่ะ” ไม่ทันขาดคำของเอม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นชันดาที่เป็นผู้เปิดให้กรกฤตเข้ามาในห้อง

          “ฉันนึกแล้วว่าแกต้องรีบไปทวงสัญญากับเฮียเจมส์แต่เช้า” กรกฤตที่เข้ามาเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งเดินมานั่งลงที่โซฟา

          “สัญญาอะไรกันค่ะพี่กร” ชันดาที่ปิดประตูแล้ว เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ

          “ก็เรื่องคุณทัชกับไอ้ม่อน” กรกฤตตอบชันดา

          “แล้วแกมาหาฉันแต่เช้า จะมาห้ามฉันรึไง”

          “เปล่า แต่จะมาเตือนสติแก จะพูดอะไรก็คิดถึงใจไอ้ม่อนบ้าง ฉันรู้ว่าแกจะเปรียบเทียบคุณทัชกับโมนิก” ชาญที่ดูทีวีกับเอมอยู่ถึงกับปิดรีโมททีวีทันทีแล้วเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

          “พี่แหม่ม พี่อย่าเอ่ยถึงพี่โมนิกเลยนะ เราไม่รู้หรอกว่าในใจของพี่ม่อนเขาคิดอะไรอยู่” ชาญรีบเข้ามาขอร้องทันที

          “ใช่ค่ะ กว่าพี่ม่อนจะเป็นพี่ม่อนอย่างทุกวันนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เอมไม่อยากเห็นพี่ม่อนขังตัวเองอยู่แต่ในห้องอีกแล้ว”

          “พี่แหม่ม…” ชันดาเอื้อมมือมาแตะมือของเธอที่กำจนแน่นเกร็ง เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซิบแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย

          “พวกเธอก็รู้…” ชาริสาพยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้สั่น “พี่ทัชก็เป็นดารา ยัยโมนิกถึงจะเป็นแค่คนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่ก็เคยเป็นถ่ายแบบ และเล่นเอ็มวีมาก่อน ละ แล้ว...ที่เป็นนางแบบระดับโลกอยู่ตอนในนี้ ที่นางไปได้ไกลขนาดนี้ไม่ใช่เพราะเหยียบหัวใจของม่อนขึ้นไปหรือไง”

          “พี่แหม่ม ผมอาจจะไม่ได้รู้จักยัยโมนิกอะไรนั่น แต่ผมทำงานกับพี่กรมานาน หลายครั้งที่ร่วมงานกับพี่ทัช พี่ทัชไม่เหมือนยัยโมนิกอะไรนั่นแน่นอน” ชาญยืนยัน

          “เอมเข้าใจพี่แหม่มนะ เพราะเอมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ม่อนจากพี่ต้อยติ่งมาตลอด แต่เอมไม่อยากให้พี่เสี่ยงเอ่ยถึงคนๆ นี้กับพี่ม่อน ถือว่าเอมขอเถอะนะ เอมสงสารพี่ม่อน”

          “ฉันรู้...แต่...ฉันยอมเป็นนางร้ายในวันนี้ ดีกว่าทำตัวเป็นนางเอกแล้วปล่อยให้เกิดเรื่องกับม่อนเป็นครั้งที่สอง” สุดท้ายชาริสาก็สกัดกั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหว ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่มีเสียงสะอื้นแม้แต่น้อย

          “พี่แหม่ม…” ชันดาเข้ามาโอบกอดเธอไว้ “ดารู้ ว่าพี่แหม่มรักพี่ม่อนมาก มิตรภาพระหว่างพี่ม่อน พี่กร และพี่แหม่ม แม้แต่คุณอามันต์ก็เข้ามาแทรกไม่ได้ แต่ดาอยากจะเตือนพี่แหม่มนะ ว่าพี่แหม่มคอยอยู่ปกป้องพี่ม่อนไม่ได้ตลอดไปหรอก พี่อย่าลืมสิ ปิดกองเรื่องนี้แล้ว พี่ต้องไปเซ็นต์สัญญาที่นิวยอร์ก เมื่อถึงตอนนั้นพี่จะไม่ยิ่งเป็นห่วงพี่ม่อนหรอกเหรอ”

          “ฉันรู้ว่าแกกังวลเรื่องคุณทัช แต่จากที่ฉันได้คุยกับเขา คุณทัชไม่ได้เข้ามาหาม่อนเพราะหวังผลประโยชน์หรือความโด่งดังอะไรเลย”

          “กร...แต่ภาพนั้น...มันยังติดตาฉันอยู่เลย ตอนนั้นเราสองคนช่วยอะไรม่อนไม่ได้เลย” ชาริสาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เป็นชันดาที่คอยซับน้ำตาให้

          ทุกคนภายในห้องพากันเงียบ ชาริสาเองก็พยายามตั้งสติ และหยุดร้องไห้ เธอจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเดิม ถ้าทัชชาดีจริงอย่างที่ชาญและกรกฤตยืนยัน ทัชชาต้องผ่านเธอไปให้ได้เสียก่อน เขาต้องทำให้เธอมั่นใจให้ได้ว่าจะสามารถรักษาหัวใจของม่อนไว้ได้

          “ฉันจะไม่พูดเรื่องโมนิกกับม่อนในตอนนี้ แต่ม่อนต้องก้าวผ่านเรื่องของโมนิกไปให้ได้” ชาริสาพูดออกมาในที่สุด

          “เฮ้อ...ก็ยังดี” ทุกคนต่างพากันโล่งใจ ที่เธอตัดสินใจแบบนี้ แต่ถึงยังไง ชาริสาจะต้องทำให้พัสกาญสามารถยืนได้โดยไม่หวั่นไหวเพียงเพราะได้ยินแค่ชื่อของโมนิก้าเท่านั้น

.........................................................................

          อาการของพัสกาญดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก สามารถเดินเหินเองได้โดยไม่ต้องมีเฮียเจมส์คอยประคอง จะติดขัดก็เพียงเวลาจะนั่งหรือก้มหยิบอะไร เขาไม่สามารถงอหลังได้เท่าไรนัก มันรู้สึกตึงๆ ปวดๆ อยู่

          เมื่อคืนเฮียเจมส์นอนด้วยกันกับเขาและยังดูแลอย่างดี ตามที่รับปากกับลุงเถิงไว้ เช้านี้ยังรีบเข้าครัวทำอาหารง่าย ๆ ให้เขาทานอีก

          “มองอะไรนักหนา…” เฮียเจมส์ที่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกันอยู่ถามเขาไม่จริงจัง

          “พี่ภูละ ไม่มาทานด้วยกันเหรอ?”

          “พี่ภูกลับไร่ไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ”

          “คืนนี้เฮียนอนกับม่อนอีกนะ”

          “ทำตัวเป็นเด็กขาดความอบอุ่นไปได้” เฮียเจมส์ส่ายหน้าเล็กน้อย

          “เปล่าสักหน่อย แค่คิดถึงตอนเด็กๆ เวลาไปเกาลูนตั่วเฮียชอบจับพวกเราให้ไปนอนด้วยกัน”

          “ได้ยินม๊าว่า ตั่วเฮียกำลังจะกลับแล้ว อาจจะมาทันงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของน้าตั๋นที่ฮองกง เราก็ไปด้วยสิ จะได้ไปเจอเฮียเขาสักหน่อย”

          “ม่อนขอคิดดูก่อนนะ งานที่ฮ่องกงมันใหญ่กว่าที่ญี่ปุ่นซะอีก เฮียก็รู้ว่าม่อนไม่ชอบคนเยอะ ๆ”

          “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ฮ่องกงเป็นสาขาใหญ่ของ YNW แล้วเรื่องงานของเยี่ยนหวอ ม่อนเองก็ควรจะต้องออกงานบ้าง ไม่อย่างนั้น ใครๆ เขาคงคิดว่าเยี่ยนหวอมีแต่ตั๋วเฮีย กับเฮียสองพี่น้อง”

          “ยังไงเฮียก็เป็นทายาทสายตรงของฝู่ ม่อนไม่ใช่สักหน่อย”

          “หืม? กล้าพูดแบบนี้ด้วยเหรอเรา?”

          “ม่อนล้อเล่นน่ะ ตระกูลหรือนามสกุลมันไม่สำคัญเท่าสายสัมพันธ์ของพวกเราพี่น้องหรอก”

          “คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว เราเป็นหลานรักของคุณยายนะ ถ้าเผลอหลุดปากให้คุณยายได้ยิน คุณยายคงเสียใจแย่” เขาพยักหน้ารับน้อย ๆ

          “เฮีย เมื่อคืนลุงเถิงจัดให้พวกนั้นนอนห้องใครเหรอ?”

          “เพื่อนของเรานะเหรอ...ไม่ใช่ห้องใครทั้งนั้นแหละ เปิดห้องที่ชั้น 27 ให้คนละห้อง”

          “อ่อ”

          “ม่อน... ออร่าของดาราคนนั้นเขาเป็นยังไง?”

          “เฮียถามทำไมอ่ะ”

          “ก็แค่อยากรู้”

          “เอ่อ...ออร่าของเขาไม่เหมือนของใครเลย ยิ่งมารวมอยู่กับคนในบ้านมันยิ่งชัดเจน มันไม่เหมือนของแม่ ของพ่อ หรือของคุณยายที่ท่านรักม่อนมากๆ”

          “ที่ว่าไม่เหมือนที่มันยังไง สีสัน?”

          “ก็ด้วย ออร่าที่แผ่ออกมาจากพี่ทัชมันดูเข้มกว่า ที่สำคัญมันเหมือนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ อวบอวลไปทั่ว แม้จะไม่ได้กลบออร่าของคนอื่น แต่มันเหมือนกับว่าม่อนสามารถหยิบจับมันได้”

          “มันเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

          “อืม ขนาดพี่ทัชไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ออร่าของพี่ทัชเขาก็ยังคงอยู่ มันทั้งระยิบระยับ ดูสวยงามกว่าคนอื่นๆ”

          “เฮียได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ”

          “เฮีย...ม่อนถามเรื่องของเฮียกับพี่ภูหน่อยได้ไหม?”

          “ถ้าตอบได้นะ”

          “ตอนที่เฮียบอกพี่ภูเรื่องความสามารถของเฮีย...พี่ภูเขา...มีท่าทียังไงบ้าง”

          “ม่อน...คนเราถ้ารักกัน เรื่องอะไรพวกนี้ไม่ได้สำคัญเลย หากม่อนมั่นใจในตัวคุณทัชแล้ว และอยากจะบอกถึงสิ่งที่ม่อนเห็น พี่เชื่อว่าคุณทัชจะไม่รังเกียจม่อน”

          “เฮียคิดแบบนั้นเหรอ?”

          “อืม อย่าไปกลัวอะไรที่มันยังไม่เกิดขึ้น ว่าแต่เราล่ะอิ่มรึยัง เฮียเห็นเขี่ยอาหารในจานไปมาได้สักพักแล้ว”

          “อิ่มแล้ว”

          “มา เดี๋ยวเฮียเก็บให้ จะได้โทรเรียกน้องแหม่มขึ้นมา”

          “ม่อนว่า ม่อนจะลงไปเอง ขึ้นมาบนนี้ต้องลำบากพี่โชลงไปรับ”

          “งั้นม่อนรอเฮียจัดการกับจานพวกนี้แป๊บนึง เดี๋ยวเฮียลงไปส่ง”

          เฮียเจมส์เก็บจานอาหารเช้าแล้วเดินเข้าครัวไป พัสการยังคงนั่นอยู่ที่เดิม คิดถึงเรื่องเมื่อคืน อ่อราของทัชชาสวยงามจริง ๆ แล้วความรู้สึกที่แสดงผ่านออร่านั้นจะไม่ให้เขาเขินได้อย่างไร นี่ถ้าใครเห็นอ่อราของทัชชาได้เหมือนเขา เขาคงโดนล้อไปสามวันแปดวันเป็นแน่

.........................................................................

          หลังจากสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว ชาริสาจึงชวนทุกคนขึ้นไปเยี่ยมพัสกาญที่ห้องส่วนตัว ชั้นบนสุด ในระหว่างที่พวกเธอกำลังก้าวออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์สายในก็ดังขึ้น เป็นชาญที่วิ่งกลับเข้าไปรับ

          “พี่ม่อน” เสียงของชาญที่เอ่ยออกมาทำให้ทุกคนพากันหยุดชะงัก ยืนออกันอยู่ที่หน้าประตู “ครับผมเอง... ครับ ได้ครับ… มีพี่กะทิ กับพี่ไลลาครับ แต่ยังไม่เข้ามา พวกผมมากันก่อน … ครับ”

          “พี่ม่อนว่ายังไงบ้าง” เอมรีบถามทันทีหลังจากชาญวางสาย

          “พี่ม่อนจะลงมา ให้พวกเรารอที่นี่ แล้วถามว่ายังมีใครอีก” ชาญหันมาบอกพวกเธอ

          “ไอ้ชาญ ไอ้ม่อนมันไม่ได้อยากรู้เรื่องกะทิหรือไลลาสักหน่อย ที่มันถามมันคงอยากรู้เรื่องคุณทัชมากกว่า” กรกฤตบ่นก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิม

          “ชาญตอบแบบนั้นละดีแล้ว” ชาริสาคิดว่าการที่ชาญตอบแบบนั้นไปน่ะดีแล้ว เรื่องอะไรต้องให้ทัชชาเข้ามาอยู่ในห้องของเธอด้วย

          “ยัยแหม่ม จบเรื่องนี้เมื่อไร แกต้องเคลียร์กับฉันเรื่องอามันต์” กรกฤตพูดกับเธอหลังจากที่เธอนั่งลงที่เดิม ทำให้เธอหันไปค้อนใส่ชันดาวงใหญ่

          “ดาขอโทษนะพี่แหม่ม ดาหลุดปากไปแล้วนี่” ชันดาทำสีหน้าออดอ้อนจนเธอโกรธไม่ลง

          พวกเธอรออยู่ในห้องไม่นาน พัสกาญและเฮียเจมส์ก็มาถึง กรกฤตรีบลุกจากเก้าอี้ของตัวเองให้พัสกาญได้นั่งลงทันที

          “พวกเราอยู่คุยกันไปนะ เฮียจะขึ้นไปหาป๊ากับม๊า”

          “ครับ/ค่ะ”

          “พี่ม่อนเป็นยังไงบ้างค่ะ เจ็บมากไหม” เอมเป็นคนแรกที่ถามออกมา หลังจากเฮียเจมส์ออกจากห้องไปแล้ว

          “พี่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว แค่ปวดตึงๆ เวลาก้มเท่านั้นแหละ”

          “โล่งอก ผมเป็นห่วงแทบแย่ ตอนที่ฟังพี่ดาเล่านะ ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเล็กๆ อย่างพี่ม่อนจะกันทั้งพี่แหม่มกับพี่ดายังไง พี่นี่เจ๋งสุดๆ ไปเลย” ชาญยกนิ้วให้กับเขา

          “พวกเราสบายใจแล้วที่ได้เห็นพี่ม่อนไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวเอมกับชาญจะขอตัวไปหาอะไรทานก่อน พี่ๆ จะได้คุยกัน”

          ชาญกับเอมพยักหน้าให้กันเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไป พัสกาญมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

          “มีอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่า ชาญกับเอมถึงได้เลี่ยงออกไปแบบนี้”

          “แหม่มแค่อยากคุยกับม่อนเรื่องพี่ทัชเท่านั้นแหละ ส่วนที่สองคนนั้นออกไป ไม่เกี่ยวกับแหม่มนะ” ชาริสารีบแก้ตัว

          “เรื่องพี่ทัช?”

          “ใช่ ม่อนแน่ใจแล้วเหรอว่าจะคบกับพี่ทัช”

          “เอ่อ...แหม่ม คือเรา … เรายังไม่ได้คบกับพี่ทัชสักหน่อย… เราแค่… คุยๆ กันเท่านั้นเอง”

          “ม่อนไว้ใจพี่ทัชเหรอ?”

          “อืม เราแค่อยากลองดู”

          “หากลองแล้วเจ็บเหมือนคราวนั้นอีกละ?”

          “แหม่ม!!” กรกฤตเรียกเธอเสียงเข้ม แต่เธอไม่สนใจ กลับจ้องหน้าพัสกาญนิ่ง

          “เราว่าพี่ทัชหลอกเราไม่ได้หรอก ก็เราเห็นออร่าจากตัวเขานี่...ไม่เหมือนคราวนั้น” ท้ายประโยคเสียงของพัสกาญแผ่วลงไปจนใจหาย

          “พี่ม่อนอย่าคิดมากเลยนะคะ พี่ม่อนนะเข้มแข็งจะตาย ไม่อย่างนั้นคงช่วยดากับพี่แหม่มไม่ได้ อีกอย่างดาเชื่อว่าความรักไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม” ชันดาเหลือบมามองเธอครู่หนึ่ง “มันจะเป็นแรงพลักดันให้คนเราผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้แน่นอนค่ะ”

          “น้องดาพูดถูก มึงอย่าคิดมาก เอาเวลามาคิดหาวิธีช่วยคุณทัชให้รอดพ้นแม่ของมึงดูจะมีประโยชน์ซะมากกว่า”

          “อย่าเพิ่งแทรกเรื่องพี่ทัชได้ไหม ฉันยังคุยกับม่อนไม่จบ”

          “ยัยแหม่ม ไอ้ม่อนมันก็บอกแล้ว ว่ามันอยากจะลองดู แกจะอะไรกับมันนักหนา”

          “ก็ฉันยังมีเรื่องที่อยากรู้นี่”

          “แกจะไปอยากรู้เรื่องอะไรของเขาอีก เขาเพิ่งจะได้คุยกันนิด ๆ หน่อย จากนั้นก็เกิดเรื่อง จนป่านนี้พวกเขาสองคนยังไม่ได้คุยกันเลย แกคิดว่าม่อนมันจะมีเรื่องอะไรมาเล่าให้แกฟังรึไง” กรกฤตบ่นออกมายาวจนแทบลืมหายใจ

          “เอ่อน่า...นิดเดียวเอง ฉันแค่อยากรู้เรื่องออร่าของพี่ทัช”

          “หา? เรื่องออร่าของพี่ทัช?” พัสกาญทวนคำและมองหน้าเธอด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

          “ทำไม หรือม่อนไม่อยากเล่า”

          “เปล่า ๆ พอดีเฮียเจมส์ก็เพิ่งถามก่อนที่เราจะลงมาที่ห้องของแหม่มนี่แหละ”

          “ม่อนเล่าให้เฮียเจมส์ฟังได้ ก็ต้องเล่าให้แหม่มฟังได้เหมือนกัน”

          “อืมๆ เล่าก็เล่า”

To Be Continued




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
« ตอบ #109 เมื่อ: 28-02-2020 18:46:41 »





ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
«ตอบ #110 เมื่อ28-02-2020 23:37:52 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 29 : 28.Fab '20
«ตอบ #111 เมื่อ29-02-2020 22:14:39 »

งืมๆๆๆๆๆ อยากอ่านอีกอ่ะ มันไม่พอกับความรู้สึกที่รอเลย :mew2:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
«ตอบ #112 เมื่อ03-03-2020 14:47:55 »

30








          ห้องอาหารเช้าของโรงแรมเต็มไปด้วยแขกที่มาพัก บางลงมาพร้อมครอบครัว บ้างลากกระเป๋าเตรียมที่จะเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม แต่ก็ยังรักษาผลประโยชน์ของตนเองด้วยการลงมาทานอาหารเช้าที่รวมอยู่มีแพ็กเกจที่พัก

          ทัชชาแม้จะไม่ค่อยทานอาหารเช้าเท่าไร แต่ก็ยังลงมานั่งดื่มกาแฟอยู่ในล็อบบี้ของโรงแรม เขาแต่งตัวลำลองไม่ได้เซ็ทผมเหมือนทุกครั้ง ทำให้ดูมีอายุขึ้นไปอีก จนหลาย ๆ คนแทบจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

          ระหว่างที่นั่งดื่มกาแฟเพื่อรอเวลาขึ้นไปเยี่ยมพัสกาญ เขาก็เห็นชาญและเอมเดินออกจากลิฟท์มา ทั้งสองเดินตรงไปยังห้องอาหาร ไม่นานนักชาญก็เดินตรงมานั่งร่วมโต๊ะกับเขา

          “จำพี่ได้ด้วย”

          “โห่...ผมทำงานกับพี่มาตั้งหลายเรื่องมีเหรอจะจำไม่ได้”

          “แล้วชาญมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?”

          “มาพร้อมพี่ดาเมื่อเช้า ได้เจอพี่ม่อนแล้วด้วย”

          “ม่อนเป็นยังไงบ้าง?”

          “แข็งแรงดี หายห่วงได้เลย แต่คงไม่ได้ไปช่วยงานที่กองอีกสักพัก”

          “พี่พอจะรู้ว่า หลักๆ แล้ว กรต้องการให้ม่อนมาดูแลแหม่ม”

          “ใช่พี่ พี่อาจจะไม่รู้ เห็นพี่แหม่มเป็นแบบนั้น แต่พี่เขาโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความไม่มั่นใจนะ พอพี่ม่อนมาอยู่ใกล้ ๆ เขาเลยอุ่นใจ ไม่เหวี่ยงวีนยังไงล่ะ”

          “ซีนที่แหม่มต้องถ่ายก็เหลือไม่เยอะแล้วนี่ กรน่าจะหายห่วงได้”

          “แล้วพี่ทัชละ กับพี่ม่อนไปถึงไหนแล้ว?”

          “เรารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”

          “รู้สิ นี่ผมกับเอมยังเชียร์พี่ทัชเลยนะ”

          “ขอบใจมาก”

          “เอม ทางนี้” ชาญโบกไม่โบกมือเรียกเอมเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วย

          “แกเอาอาหารมาข้างนอกแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนว่าเขาให้หรอก” เอมเอ็ดเบาๆ

          “แค่กาแฟเอง แล้วแกล่ะอิ่มแล้วเหรอ?”

          “อืม” เธอพยักหน้าก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

          “ฉันกำลังคุยกับพี่ทัชเรื่องพี่ม่อนอยู่” ชาญหันไปบอกเพื่อนร่วมงานของตนเล็กน้อย

          “ชาญมันเชียร์พี่ทัชจนออกนอกหน้าเลยล่ะคะ”

          “ขอบใจมากนะ”

          “แต่เอมไม่เชียร์หรอกนะคะ เอมนะจะคอยเฝ้ามองพี่ทัช หากทำอะไรให้พี่ม่อนเสียงใจ เอมจะเอาเรื่องพี่ทัชให้ถึงที่สุดเลย”

          “แกอย่าโหดนักเลย ยัยเอม”

          “แกไม่เคยเห็นช่วงที่พี่ม่อนเก็บตัว แกไม่รู้หรอกว่ามันแย่แค่ไหน?”

          “เอ่อ...พี่ถามได้ไหมว่าเรื่องอะไร?” ทัชชาลองถามดู เพราะเขารู้สึกได้ว่าทั้งเพื่อนและครอบครัวของพัสกาญดูจะหวงและปกป้องจนเกินเหตุ

          “เรื่องนี้พวกผมคงเล่าให้พี่ทัชฟังไม่ได้หรอกครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ม่อน เอาไว้พี่รอถามพี่ม่อนเองดีกว่า”

          “อืม พี่เข้าใจ ไว้มีโอกาสพี่จะลองถามดู”

          “เอมขอเตือนพี่ไว้นิดนะคะ เรื่องของพี่ม่อน ที่เคยเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซนซิทีฟมากสำหรับทั้งพี่ม่อนเอง และคนรอบข้าง จะถามอะไรก็ดูนิดนึง”

          “นี่ ยัยเอม ทำไมเรื่องนี้แกเยอะนักว่ะ ทำตัวเป็นพี่แหม่มไปได้”

          “ฉันก็แค่ห่วงพี่ม่อนเหอะ”

          “เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าพี่รับปากเอมนะ แล้วไม่ต้องทะเลาะกัน ใช่ว่าพี่จะมีโอกาสได้คุยกับม่อนเขาบ่อย ๆ อย่างนั้นแหละ”

          “ก็เพราะเอมเห็นว่าพี่ทัชได้คุยกับพี่ม่อนน้อยยังไงล่ะคะ เลยต้องเตือน เอมกลัวว่าพี่ทัชจะใจร้อน พี่ทัชรู้ตัวไหมว่ากับพี่ม่อนน่ะ พี่ทัชออกตัวแรงยิ่งกว่าคราวพี่พราวซะอีก”

          “พี่ว่าพี่ยังไม่ได้ทำอะไรเอิกเกริกเลยนะ”

          “นี่ขนาดไม่เอิกเกริกนะ พี่กะทิยังระแคะระคายเลยค่ะ”

          “จริงเหรอยัยเอม?”ชาญหันไปถามเพื่อนตาลุก

          “จริงสิ เรื่องพวกนี้พี่กะทิเขาไว”

          “เอาเป็นว่า จนกว่าทุกอย่างจะลงตัว พี่จะระวังตัวให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”

          “เอาแบบนี้ เดี๋ยวพี่ทัชขึ้นไปเยี่ยมพี่ม่อน ส่วนผมกับเอมจะกันพี่กะทิกับไลลาไว้ให้ สักเที่ยง ๆ พี่แหม่มกับพี่ดาคงต้องกลับแล้ว พี่จะได้มีโอกาสคุยกับพี่ม่อนมากหน่อย”

          “เดี๋ยว ๆ นะชาญ ฉันจะร่วมมือกับแกตั้งแต่เมื่อไร?”

          “เพื่อพี่ม่อนไง หรือแกไม่ชอบรอยยิ้มของพี่ม่อน”

          “เออ...ก็ได้”

          “ก็เท่านั้น”

          “แล้วพี่จะขึ้นไปห้องม่อนยังไง ต้องติดต่อใครให้พาขึ้นไป”

          “ไม่ต้องครับ ตอนนี้พี่ม่อนอยู่ห้องพี่แหม่ม 2709”

          “อืม งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”

          “พี่ทัชค่ะ เอ่อ...ใจเย็นกับพี่แหม่มหน่อยนะคะ สิ่งที่พี่แหม่มทำไปมันมีเหตุผล อย่าไปโกรธพี่แหม่มเลยนะ”

          “พี่เข้าใจ แล้วพี่คิดว่าพี่รอได้ เพราะพี่มั่นใจแล้วว่าพี่อยากได้ม่อนมาเคียงดาวอย่างพี่”

          “แต่ผมว่าดาวอย่างพี่ต้องใช้ความพยายามมากหน่อยเพื่อจะได้อยู่เคียงคู่กับเดือนอย่างพี่ม่อนซะแล้ว”

          “อืม สงสัยจะจริงอย่างที่นายว่า แต่พี่ไม่ยอมแพ้หรอก ขอให้ม่อนใจตรงกับพี่ พี่ก็สู้ไม่ถอยแล้ว”

          “โหย...จะหล่อไปไหนเนี๊ยะพี่ทัช ถ้าไม่คิดว่าอยู่กลางล็อบบี้โรงแรม เอมคงจะกรี๊ดๆๆ ลงไปนอนดิ้น จิกหมอนกระจุยกระจายไปแล้ว”

          “เว่อร์!!”

          “ฉันฟินของฉันย่ะ”

          ทัชชาได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนทั้งสองที่ดูเหมือนจะมีเรื่องต่อล้อต่อเถียงกันได้ทุก ๆ 5 นาที จากนั้นเขาก็เดินเลี่ยงออกมา เพื่อขึ้นไปชั้น 27

.........................................................................

          หลังจากที่พัสกาญเล่าเรื่องออร่าของทัชชาให้ชาริสาฟังแล้ว เธอก็เงียบไปราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

          “ม่อน งานแฟชั่นวีคที่ญี่ปุ่นกับฮ่องกง ม่อนจะไปไหม?” อยู่ ๆ ชาริสาก็เปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมาจนเขาตามไม่ทัน

          “อ่อ...คือ งานที่ญี่ปุ่น เราอาจจะไปนะ แต่งานที่ฮ่องกง เราเพิ่งคุยกับเฮียเจมส์เมื่อเช้านี้เอง ว่าคงจะไม่ไป เพราะงานมันใหญ่เกินไป แล้วเราก็ไม่ชอบคนเยอะ ๆ ด้วย”

          “ถ้าม่อนยอมไปทั้งสองงาน แหม่มจะยอมรับเรื่องของม่อนกับพี่ทัช”

          “หา?”

          “กูเข้าใจความคิดของแหม่ม และกูก็เห็นด้วยที่มึงควรไปทั้งสองงาน”

          “การไปงานแฟชั่นวีคมันเกี่ยวอะไรกับพี่ทัช?”

          “ถ้ามึงจะลองคบกับคุณทัชมึงก็ต้องทำใจเรื่องที่จะมีคนจับตามึงมากขึ้น อยากรู้อยากเห็นว่ามึงเป็นใคร มาจากไหน”

          “ใช่ แล้วม่อนก็ไม่ใช่ไก่กาที่ไหน ให้แฟนคลับมาเม้าท์กันผิดๆ ถูกๆ ดังนั้นก็ต้องมีบ้างที่จะออกงานสังคมพวกนั้น แล้วสองงานนี้ก็เหมาะกับม่อนที่สุด”

          “แต่…”

          เขายังไม่ทันได้พูดปฏิเสธอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นชันดาที่นั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่เงียบ ๆ มาสักพักเป็นผู้เปิดประตูให้แขกผู้มาใหม่

          “เชิญค่ะพี่ทัช มาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ” ชันดาเอ่ยแซวเล็กน้อย แต่ทัชชาที่เดินเข้ามาถึงกับทำหน้างุนงง

          “ผมไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะอะไรใช่ไหม?”

          “ไม่/ใช่ค่ะ” กรกฤตกับชาริสาเอ่ยออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน และเป็นชาริสาที่แย่งกรกฤตพูดขึ้นมา

          “ใช่ค่ะ แหม่มยังตกลงกับม่อนไม่เสร็จ”

          “อ่อ…” ทัชชาถึงกับหน้าเหว๋อไปเลย เนื่องจากไม่เคยเจอชาริสาเวอร์ชั่นเอาแต่ใจ

          “พอเลยยัยแหม่ม เรื่องนั้นยังไงมันก็เป็นเจ้าของงาน มันเลี่ยงไม่ได้ตลอดหรอก”

          “อืม เดี๋ยวแหม่มไปคุยกับน้าตั๋นก็ได้”

          “เฮ้ย!! /แหม่ม!!” ครั้งนี้เป็นเขาและกรกฤตตกใจอุทานขึ้นมาพร้อมกัน

          “ไม่รู้แหละ ถ้าม่อนไม่อยากให้เรื่องถึงน้าตั๋น ก็ต้องรับปากแหม่ม”

          “ก็ได้ เรารับปาก”

          “ดี ถ้าอย่างนั้นพวกม่อนก็ย้ายไปคุยห้องกรเถอะ แหม่มเตรียมกลับแล้ว บ่ายต้องไปงานโชว์ตัวอีก”

          “ทำไมต้องไปห้องฉันด้วย ห้องคุยทัชก็ได้นี่”

          “ไม่ได้!!” ชาริสาเน้นเสียงแข็ง “แกไม่ควรจะให้ม่อนกับพี่ทัชอยู่กันสองต่อสอง”

          พัสกาญอายกับอาการหวงเพื่อนของชาริสา ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขากับทัชชาก็แค่คุยกันเฉย ๆ เท่านั้น ยิ่งเห็นทัชชายิ้มเหมือนชอบใจเขาก็ยิ่งอายหนักเขาไปใหญ่ ทำไมออร่าของทัชชาถึงได้ดูมีความสุขมากขนาดนี้นะ…

          เขาเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วเตรียมลุกจากเก้าอี้ กรกฤตก็เดินเข้ามาช่วยพยุงเขาข้างหนึ่งอีกข้าง ทัชชาที่กำลังจะเข้ามาช่วยกลับโดนชาริสาตัดหน้า

          “เดี๋ยวแหม่มเดินไปส่งม่อนที่ห้องของกรด้วย”

          “เราเดินเองได้ เราไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แค่ลุกนั่งลำบากนิดหน่อย แหม่มไม่ต้องห่วงเราหรอก กรก็อยู่”

          “ไม่ แหม่มจะไปส่ง”

          “อ่ะๆ ก็ได้”

          พัสกาญยินยอมให้ชาริสาเดินไปส่งเขาที่ห้องของกรกฤต โดยมีเจ้าของห้องเดินนำ ส่วนทัชชาเดินตามหลังเขามาใบหน้าเปื้อนยิ้ม

.........................................................................

          เมื่อชาริสากลับห้องของตัวเองไปแล้ว ทั้งพัสกาญและทัชชาก็เอาแต่เงียบ คนหนึ่งดูเหมือนจะเขินอายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งก็เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

          “เฮ้อ…” กรกฤตได้แต่ถอนหายใจออกมาเสียงดัง ทำให้คนทั้งสองหันมามองทางเขา

          “เอ่อ...กูขอโทษนะที่มากวนมึง แทนที่มึงจะได้พักผ่อน” พัสกาญรีบขอโทษเขาอย่างเกรงใจ

          “ช่างมันเถอะ กูไม่ได้คิดเรื่องนั้น ว่าแต่แว่นของมึงละ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ที่ลงมานี่ กูยังไม่เห็นมึงใส่แว่นเลย หรือไม่ได้เอาแว่นสำรองมา”

          “อืม ไม่ได้พกติดมาด้วย ว่าแต่แว่นของกูล่ะ?”

          “มันหักตอนที่เกิดอุบัติเหตุ กูเห็นแหม่มเก็บมา แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

          “อ่อ ไม่เป็นไร ที่น้ากล้าน่าจะมีสำรองอยู่”

          “เฮ้อ...ไอ้คุณหนูเอ้ย”

          “ม่อนมีปัญหาทางสายตารึเปล่า ทำไมไม่ลองใส่คอนแท็กเลนส์ล่ะ พี่ว่าม่อนไม่ใส่แว่นดูน่ามองกว่าเยอะเลย” ทัชชาเอ่ยถามพร้อมตบท้ายด้วยคำชมจนกรกฤตได้แต่ส่ายหน้าในความออกตัวแรงของดาราหนุ่ม

          “เปล่าครับ ผมไม่ได้มีปัญหาทางสายตา แต่ใส่ไว้เฉยๆ”

          “ไอ้ม่อนมันไม่อยากให้ใครไปจ้องมองมันมาก ๆ เหมือนที่คุณทัชทำอยู่เมื่อครู่ยังไงล่ะครับ มันถึงต้องใส่แว่นบังหน้าตาของมันไว้” เขาอดที่จะเหน็บทัชชาไม่ได้ แต่อีกคนกลับยิ้มให้เฉย ๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

          “ช่วงนี้ม่อนไม่ได้ออกไปไหน พักอยู่แต่ที่ห้อง พี่ว่าไม่ต้องใส่ก็ได้ ไว้กลับไปทำงานที่กองถ่ายค่อยใส่ จะได้ไม่ลำบากคุณน้าด้วย”

          “อ่อ กูว่าจะถาม” กรกฤตพูดขัดจังหวะการหยอดของทัชชา “อีกไม่กี่ซีนละครก็จะปิดกล้องแล้ว มึงไม่ต้องมาช่วยงานกูแล้วก็ได้นะ กูไม่ได้ห้ามถ้ามึงอยากจะมาเจอใคร” เขาเหลือบไปมองทัชชาเล็กน้อย “กูแค่อยากให้มึงเตรียมตัวเรื่องงานที่เพิ่งคุยกัน”

          “เอ่อ… กูขอคิดดูก่อนแล้วกัน” พัสกาญมีท่าทีเขินอายจนกรกฤตอดหมั่นไส้ไม่ได้ เขาไม่ได้หมั่นไส้เพื่อนของเขา หากแต่หมั่นไส้ดาราหนุ่มที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำให้เพื่อนของเขาเสียอาการอยู่อย่างนี้มากกว่า

          “อืม มึงก็คุยกับคุณทัชเขาไปก็แล้วกัน กูมีเรื่องที่จะต้องไปทำก่อนกลับ แล้วอย่าไปหลุดปากให้ยัยแหม่มรู้ล่ะ ว่ากูปล่อยให้มึงอยู่กับคุณทัชสองคน

          “ขอบใจนะกร” อยู่ๆ ทัชชาก็หันมาขอบคุณเขา จนเขาอดหมั่นไส้ขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ นี่เขาทำเพื่อพัสกาญเพื่อนของเขาต่างหาก

To Be Continued




ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
«ตอบ #113 เมื่อ03-03-2020 15:57:36 »

รอตอนหน้าๆๆๆๆ เขาจะได้อยู่กันสองต่อสองแล้ว
เขาจะจีบกันได้เต็มที่สักทีนะนี่

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
«ตอบ #114 เมื่อ03-03-2020 19:37:48 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 30 : 3.Mar '20
«ตอบ #115 เมื่อ21-03-2020 19:26:06 »

ยังรออยู่นะคะ

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 31 : 3.Apr '20
«ตอบ #116 เมื่อ03-04-2020 00:02:44 »

31








    ในห้องเงียบมาก เงียบเสียจนเขาได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศเลยทีเดียว ตั้งแต่กรกฤตออกไป ทั้งเขาและทัชชาก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายก็เอาแต่จ้องหน้าเขา จ้องเอาๆ แบบนี้หากเขาเป็นปลากัด ป่านนี้คงท้องไปแล้ว

    พัสกาญเริ่มนั่งนิ่ง ๆ ไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อเขาเริ่มขยับตัว อาการเจ็บหลังก็แล่นเข้ามาทำให้ถึงกับอุทานออกมาไม่ดังนัก แต่คนที่นั่งไม่ไกลไม่ไกลกลับได้ยินชัดเจน

    “ม่อนจะลุกไปไหน หรือต้องการอะไรบอกพี่ก็ได้นะ อย่าพึ่งลุก” ทัชชาเดินเข้ามาพร้อมหมอนอิงใบใหญ่ เอามาหนุนหลังให้กับเขา “ยังเจ็บมากไหม” อีกคนถามอย่างเป็นห่วงแล้วถือโอกาสนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

    “ไม่ครับ ผมแค่ขยับเพราะรู้สึกเมื่อยที่ต้องนั่งท่าเดิมนานๆ”

    “แล้วแบบนี้นั่งสบายขึ้นไหม?” ทัชชาขยับหมอนอิงให้เข้าที่อีกครั้ง

    “ขอบคุณครับ”

    “ม่อนรู้ไหม ว่าพี่มีเรื่องอยากถาม อยากจะคุยกับม่อนตั้งมากมาย แต่พอได้มานั่งกันสองคนแบบนี้ พี่กลับอยากจะนั่งมองม่อนไปเรื่อยๆ”

    “ทำอย่างกับพี่ทัชไม่เคยเจอผมอย่างนั้นแหละ”

    “ไม่เคย… พี่ไม่เคยเห็นม่อนตอนถอดแว่นใกล้ ๆ แบบนี้มาก่อน รู้ไหมว่าม่อนตาสวยมาก มากซะจนพี่ไม่อยากละสายตาจากดวงตาคู่นี้เลย”

    “เอ่อ... พี่ทัช”

    “พี่ไม่ได้พูดเกินจริง แต่มันเป็นความรู้สึกของพี่ ที่อยากจะบอกกับม่อน”

    “พอได้แล้ว!!” เขาโพลงออกมาทันที ก่อนที่พ่อพระเอกหนุ่มจะหยอดอะไรไปมากกว่านี้ แค่นี้เขาก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว

    “ม่อนโกรธ?”

    “เปล่า แต่พี่ทัชช่วยหยุดพูดอะไรทำนองนี้สักแป๊บได้ไหม?”

    “พูดแบบนี้?”

    “พี่ทัชทำให้ผม...ทำตัวไม่ถูก…” ปลายประโยคเขารู้ว่าน้ำเสียงของเขาแผ่วลงแค่ไหน แต่ถ้าไม่เอ่ยออกไปตามตรง เขาคงได้พรุนเป็นเตาขนมครกแน่ๆ

    “เขิน?”

    “ก็จะอะไรอีกเล่า” เขาตวาดไปไม่ดังนัก เรียกรอยยิ้มจากพ่อดาราหนุ่ม ไหนจะออร่าที่แผ่กระจายอยู่รอบตัวอีก มันระยิบระยับจนตาเขาแทบจะพร่าไปหมดแล้ว

    “พี่ขอโทษ งั้นเอาไว้ให้ม่อนพร้อมเมื่อไร พี่ค่อยบอกความในใจของพี่ก็แล้วกัน”

    “อะ อืม” พัสกาญรับคำอย่างเสียไม่ได้ ไหนจะหน้าตาจริงจัง ไหนจะออร่าที่เห็น แค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าทัชชาคิดยังไงกับเขา

    “แล้วเรื่องงานของกร ม่อนคิดยังไง”

    “ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร”

    “ถึงพี่อยากจะเจอม่อน แต่พี่ก็อยากจะให้ม่อนพักผ่อนมากกว่า พี่ไม่อยากให้ม่อนต้องทำงานหรือยกของหนัก ๆ ช่วงนี้”

    “ขอผมคิดดูก่อน” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเขายังไม่ได้คิดจริงๆ ห่วงก็แต่ชาริสาเท่านั้น

    “หลังจากปิดกอง ม่อนจะรับงานกองถ่ายไหนอีกไหม?”

    “คงไม่แล้วล่ะครับ คงกลับไปทำงานที่ร้านเหมือนเดิม แล้วก็ยังค้างงานของคุณอิงลิชอีกงาน”

    “ใช่คู่หมั้นพี่รุธไหม?”

    “ครับ”

    “คอลเล็คชั่นที่ม่อนเอามาถ่ายลงนิตยสารของพี่รุธก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วยังมีงานค้างอะไรอีก”

    “ฉบับพิเศษครับ”

    “อ่อ ที่ฉลองครบรอบปีของนิตยสารใช่ไหม พี่เคยได้ยินพี่รุธพูดถึงอยู่”

    “ครับ”

    “พี่ถามได้ไหม ว่าพี่รุธเขาอยากให้ม่อนออกแบบชุดแบบไหน?”

    “เขาไม่ได้อยากได้ชุด เขาอยากจะขอสัมภาษณ์ผมลงนิตยสาร”

    “พี่ได้ยินว่าม่อนปฏิเสธไม่ใช่เหรอ พี่รุธกับคุณอิงลิชยังจะให้พี่ช่วยพูดกับม่อนเรื่องนี้เลย นี่สรุปแล้วม่อนยอมให้เขาสัมภาษณ์”

    “ผมไม่ได้ตอบรับเรื่องการให้สัมภาษณ์หรอกครับ แค่กำลังคิดว่าจะเอาโปรเจ็คอะไรไปเสนอแทนการให้สัมภาษณ์ดี”

    “อืม เรื่องแฟชั่นพี่ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไร เอาเป็นว่าพี่เป็นกำลังใจให้นะ”

    “พี่ทัชไม่ถามเหรอ ว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้สัมภาษณ์”

    “พี่ไม่อยากรู้ อีกอย่างพี่ไม่ชอบเลยความรู้สึกในตอนที่ม่อนเป็นจุดสนใจบนเวทีนั่น พี่ไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าพี่หึง ไม่ชอบสายตาคนอื่นที่มองไปที่ม่อน พี่หวง เพราะฉะนั้น ม่อนไม่ให้สัมภาษณ์น่ะดีแล้ว”

    “...อะ อืม” มาอีกแล้ว พัสกาญรู้สึกว่าเขาโดนทัชชาหยอดอีกแล้ว
 
    “อ่อ พี่เผลอไปหน่อย ม่อนยังไม่พร้อมรับรู้ความรู้สึกพี่นี่เนอะ” ทัชชาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

    “รู้แล้วก็เก็บไว้ในใจก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดออกมาเลย” เขาบ่นอุบอิบออกมาแต่พ่อดาราหนุ่มนั่นก็หูดีเกิน ยังอุตส่าห์ได้ยินอีก ไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก

.........................................................................

     กรกฤตเดินลงมาที่เคาน์เตอร์ของโรงแรม และแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการพบใคร ไม่นานนักก็มีคนลงมารับเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม

    เขามาห้องเดียวกันกับที่มาเมื่อวาน ห้องของลุงเถิง เมื่อแม่บ้านมาเปิดประตูให้และเดินนำเขาไปยังห้องรับแขก ผู้ที่เขาอยากพบนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย ถ้าเขาเดาไม่ผิดผู้ใหญ่เหล่านี้คงจะคุยกันเรื่องพัสกาญ

    “สวัสดีครับ อยู่กันครบเลย” เขาเอ่ยขึ้นแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เฮียเจมส์

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ลุงคีเอ่ยทักทาย และจริงอย่างที่ลุงคีว่า เขาไม่ได้เจอลุงมาตั้งแต่เรียนจบ เจอกันครั้งสุดท้ายคงจะเป็นที่ร้านอาหารของลุงหยก

    “ครับ ลุงคีสบายดีนะครับ ดูลุงไม่เปลี่ยนไปเลย”

    “สบายดี ๆ”

    “แล้วเรามีเรื่องอยากจะพบเฮีย คงเป็นเรื่องของม่อนใช่ไหม?” เฮียเจมส์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถามเขา และดูเหมือนทุกคนจะรอฟังอยู่

    “ครับ คือผมคิดว่าเรื่องที่เกิดกับม่อน ไม่ได้เกี่ยวกับเยียนหวอ เลยอยากมาแจ้งให้พวกลุงสบายใจ”

    “นายไปรู้อะไรมา?” ลุงเสือถามผม

    “ผมเพิ่งนึกได้ตอนคุยกับเพื่อน ๆ เมื่อเช้า แหม่มมีผู้จัดทาบทามให้ไปเล่นซีรีย์ที่นิวยอร์ก เรื่องนี้ยังไม่เป็นข่าวออกไป แต่ก็มีคนพอจะรู้บ้าง จนเมื่อเช้าผมเองก็พึ่งรู้ว่าเธอตัดสินใจรับเล่นซีรี่ย์เรื่องนั้น”

    “จะบอกว่านี่อาจเป็นสาเหตุให้มีคนลอบทำร้ายหนูแหม่มอย่างนั้นเหรอ?” ลุงคีถามย้ำอีกครั้ง

    “ครับ มันมีความเป็นไปได้ อีกอย่างพวกลุงรู้จักแหม่มดี รู้ว่าแหม่นิสัยเป็นยังไง คงจะเห็นข่าวต่างๆ ของแหม่มที่ออกมาในระยะหลัง ๆ นี้”

    “อืม จะว่าไปเฮียเองก็เห็นนะ เหวี่ยงวีน ทำร้ายเพื่อนร่วมงาน แย่งซีนดาราคนอื่น แต่ละข่าวมีแต่ทางที่ไม่ดีทั้งนั้น”

    “ผมกับน้องดาพยายามจะหาคนที่ปล่อยข่าวพวกนี้อยู่ แต่ก็ยังตามหาต้นตอของมันไม่ได้”

    ระหว่างที่เขากำลังคุยกับพวกลุง ๆ อยู่นั้น แม่บ้านคนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน

    “ขออนุญาตค่ะ ที่ฟร้อนโทรมาแจ้งว่า แขกที่ให้คุณโชไปพามา ตอนนี้รออยู่ด้านล่างแล้วค่ะ”

    “ให้โชพาเขาขึ้นมา” ลุงเถิงบอกแม่บ้านคนนั้น “เดี๋ยวเรารอแขกของเราก่อนค่อยคุยกันต่อ”

    ถึงแม้ว่ากรกฤตจะสงสัยว่าแขกที่ลุงเถิงให้ไปพามานั้นเป็นใคร แต่จากเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องของพัสกาญเป็นแน่ จนเมื่อแขกคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นักข่าวนี่คงไม่ใช่คนของเยี่ยนหวอหรอกนะ

    “พวกคุณให้ผมมาที่นี่ คงไม่ใช่ต้องการจะข่มขู่ผมหรอกนะ” คนที่มาใหม่เอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นั่งลงเลยด้วยซ้ำ

    “ใจเย็น ๆ สิคุณนักข่าว เราแค่ต้องการจะขอความร่วมมือกับคุณเท่านั้น นั่งลงก่อนเถอะ” เฮียเจมส์พูดขึ้นกับอีกคน ทำให้นักข่าวคนนั้นเห็นเขา

    “น้องกร?”

    “กรรู้จักกับเขาด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เฮียเจมส์หันมาถามเขา เขาเองก็ได้แต่ส่ายหน้า

    “เชิญนั่ง เราจะได้คุยเรื่องที่ค้างไว้กันต่อเลย” ลุงเถิงพูดขัดขึ้น ทำให้นักข่าวคนนั้นเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่

    “ผมได้ดูรูปจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดแล้ว ผู้หญิงในรูปที่คุณภาริชเห็นใช่คนนี้รึเปล่า” ลุงคียื่นแทบเล็ตไปให้นักข่าวคนนั้น

    ‘ภาริช...พี่ภาติสงั้นเหรอ’ กรกฤตเหมือนนึกขึ้นได้ว่าชาริสาเจอรุ่นพี่ที่มหาลัย และยังเป็นคนช่วยพาพัสกาญไปส่งที่โรงพยาบาลอีกด้วย

    “ใช่ ผู้หญิงคนนี้แหละที่เดินสวนกับผมตอนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ” ภาริชว่าแล้วส่งแท็บเล็ตคืนให้ลุงคี

    “ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ” ลุงคีส่งแท็บเลตให้กับเขา “ผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว”

    “กรรู้จักผู้หญิงในรูปนี้?” ลุงคีถาม ส่วนเขาก็ขยายรูปดูให้ชัด ๆ จนแน่ใจ

    “ผมไม่รู้จักเธอ แต่มักจะเห็นเธอตามสถานที่ต่างๆ ที่แหม่มไป”

    “กรแน่ใจนะ” ลุงเสือถามเขาย้ำอีกครั้ง

    “แน่ใจครับ ผมกับดาคิดว่า เธออาจจะมีส่วนรู้เห็นในการปล่อยข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับแหม่ม และสร้างเรื่องใหเหลายๆ คนเข้าใจแหม่มผิด แต่ไม่มีทั้งหลักฐาน และที่สำคัญผมยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร”

    “เอาไงดีอาเถิง” ลุงเสือถามลุงเถิงนั่งฟังเงียบ ๆ
 
    “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับม่อน เยี่ยนหวอจะไม่เขาไปยุ่งเกี่ยว แต่หนูแหม่มที่เป็นเพื่อนม่อนต้องปลอดภัย เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายก็แล้วกัน พยัคฆ์”

    “อืม ถ้างั้นเรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

    “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ผมกลับไปที่ไร่พร้อมคุณยายเลยนะป๊า” เฮียเจมส์ลุกขึ้นและบอกความต้องการของตัวเองกับลุงเถิง

    “แล้วไม่คิดจะกลับไปดูงานที่มาเก๊าเลยรึไง”   

    “ที่นั่นก็ให้ตั่วเฮียดูแลไปสิ อ่อ...แล้วงาน”

    “อะแฮ่ม” เขาแกล้งกระแอมไอเล็กน้อย “ขอโทษครับ”

    “เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมค่อยไปพร้อมพี่ภูก็แล้วกัน จะรีบกลับไปเครียงานที่ไร่ไงล่ะ” เฮียเจมส์ที่นึกขึ้นได้ว่ามีคนนอกอยู่จึงเลี่ยงพูดถึงเรื่องงานแฟชั่นวีคที่ฮ่องกง

    “อืม จะไปไหนก็ไป” ลุงเถิงโบกมือไล่ เฮียเจมส์ได้แต่ยิ้มขำแล้วเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก เขาเหมือนจะเห็นลุงเสือยิ้มล้อเลียนลุงเถิงเล็กน้อย

    “พวกคุณให้ผมมาแค่ดูรูปนี้เท่านั้นใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว วันนี้ผมต้องกลับกรุงเทพฯ”

    “เดี๋ยวก่อน ฉันมีข้อเสนอให้นาย เผื่อนายจะสนใจ” ลุงเสือเรียกไว้ก่อนที่ภาริชจะลุกขึ้น

    “อะไร” ไอ้ภาติสนี่ ช่างเป็นนักข่าวที่ไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่เลยจริง ๆ

    “ฉันต้องการให้นายช่วยกรกับหนูดาสืบดูว่าผู้หญิงในรูปนี้เป็นใคร”

    “แล้วผมจะได้อะไร”

    “นายทำข่าวบันเทิงสินะ” ลุงเสือถามภาริช ก่อนหันมาถามเขา “กรว่าข่าวของหนูแหม่ม กับข่าวของโมนิก้า มีค่าพอจะแลกไหม?”

    “ก็ต้องดูผลงานของคุณภาริชครับ หากทำงานดี ผมแถมข่าวของคุณทัชชาให้อีกคนก็ยังได้”

    ลุงเสือดูเหมือนจะชอบใจ ยกยิ้มมุมปากให้เขาเล็กน้อย ส่วนนายภาริชนั่นพอได้ยินชื่อทัชชาถึงกับตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

    “ได้ ตกลง น้องกรจะเป็นคนให้ข่าวพี่ใช่ไหม?”

    สรรพนามที่เอ่ยกับเขาทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ไอ้ภาติสนี่ต้องจำเขาได้แน่ๆ ถึงได้กวนเขาแบบนี้ นิสัยไม่เคยเปลี่ยน จะเพิ่มเติมขึ้นก็ตรงไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ที่เขานับถือนี่แหละ พฤติกรรมช่างไม่เหมาะกับหนังหน้าหล่อ ๆ ของมันเลยจริงๆ สภาพซกมกเมื่อสมัยเรียนดูจะเหมาะสมมากกว่าเสียอีก เสียดายหน้าตาชะมัด



To Be Continued


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 31 : 3.Apr '20
«ตอบ #117 เมื่อ03-04-2020 01:06:34 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...เปิดตัวคู่ใหม่  ภาติช-กร  สินะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 31 : 3.Apr '20
«ตอบ #118 เมื่อ03-04-2020 22:09:18 »

เขานั่งเขินกันอ่ะ

อะไรๆๆๆๆ พี่ภาติสกับน้องกรเหรอ ว้ายยยยย ลุ้นนนนน

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: ม่อนเคียงดาว : ตอนที่ 32 : 4.Apr '20
«ตอบ #119 เมื่อ04-04-2020 08:54:36 »

32









    จากที่ทัชชาได้คุยกับพัสกาญเพียงลำพัง เขาสังเกตุเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เป็นคนขี้อายอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก สิ่งไหนที่พัสกาญชื่นชอบมักจะพูดคุยและแสดงออกมาด้วยความมั่นใจเสมอ

    การที่อีกฝ่ายแสดงออกในลักษณะนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ชาญและเอมคุยกับเขาเมื่อเช้า เรื่องบางเรื่องที่มีผลกระทบกับจิตใจของอีกฝ่าย ถึงเขาจะสงสัยหรืออยากรู้มากแค่ไหน ก็ตั้งยั้งใจไว้ไม่ให้ถามออกไป

    “แล้วนี่ม่อนจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไร กลับพร้อมกับพวกกรเลยไหม?”

    “ผมกลับพร้อมน้ากล้าครับ รอน้ากล้าเสร็จงานแล้วมารับ”

    “แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ล่ะ ท่านไม่ได้กลับพร้อมกันกับม่อนเหรอ”

    “พ่อน่าจะไปราชการที่อื่นต่อ ส่วนแม่...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน” พัสดาญพูดด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ที่น้อยครั้งนักที่ใครจะได้เห็น หรือแม้แต่เขาเองก็ตาม

    “เดี๋ยวอีกสักพักพี่คงต้องเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ แล้ว เพราะพรุ่งนี้พี่มีคิวงานตอนเช้า”

    “อ่อ แล้วนี้คุณอามันต์ไปรอพี่มัชที่ไหนล่ะครับ พักอยู่ที่นี่รึเปล่า”

    “รายนั้นกลับกรุงเทพฯ ไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ”

    “อ่าว แล้วพี่ทัชกลับยังไงครับ มีรถกลับรึเปล่า” การที่พัสกาญแสดงออกว่าเป็นห่วงเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาดีใจจนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

    “ถ้าม่อนกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว พี่แวะไปหาม่อนที่ร้านได้ไหม?”

    “ม่อนน่าจะไม่ได้อยู่ที่ร้านสักพัก น้ากล้าน่าจะพากลับเข้าบ้านใหญ่”

    “อืม พี่เข้าใจ ที่ร้านม่อนอยู่คนเดียว ทางบ้านคงจะเป็นห่วง”

    “ครับ”

    “ถ้าอย่างนั้น พี่เข้าไปเยี่ยมม่อนที่บ้านได้ไหม? จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับแม่ของม่อนด้วย เมื่อคืนผู้ใหญ่อยู่กันเยอะ พี่แทบจะจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร”

    “เมื่อคืนนี้...พี่ทัชได้เจอทุกคนเลยเหรอครับ”

    “ก็ไม่นะ ได้ยินชาญพูดก่อนกลับว่าเกือบครบ แต่พี่จำไม่ได้ว่าขาดใครบ้าง เพราะมัวแต่กังวลเรื่องม่อนเลยไม่ได้ฟังคนที่เดินมาพาพวกเราขึ้นไปที่ชั้นบน รอจนดึกม่อนถึงเข้ามาพร้อมกับพี่ชาย”

    “อ่อ ครับ ผมก็มัวแต่เจ็บเลยไม่ทันได้มองว่าในห้องมีใครบ้าง แล้วมีใครพูดอะไรกับพี่ทัชไหม?”

    “ส่วนใหญ่พี่นั่งคุยกับป้าหงส์และคุณยาย นอกจากนั้นก็ไม่ได้คุยกับใครเลย แต่พี่จำพ่อแม่ของม่อนได้นะ จากตอนที่ท่านขึ้นไปบนเวที”

    “ครับ ที่บ้านใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครอยู่นอกจากแม่ ถ้าพี่ทัชว่าง ๆ ก็แวะมาเที่ยวก็ได้ครับ แม่ของม่อนใจดี”

    “อืม ไว้พี่จะหาโอกาสไปสวัสดีท่าน”

    “ไว้ม่อนจะส่งโลเคชั่นที่บ้านไปให้นะครับ”

    “นอกจากโลเคชั่นแล้ว เวลาคุยกัยพี่ขอรูปของม่อนตอนที่ไม่ใส่แว่นด้วยได้ไหม?”

    “แค่คุยกันผ่านแชท จะเอารูปไปทำไม”   

    “ก็แค่อยากได้กำลังใจตอนทำงาน นี่ไม่รู้ตัวเหรอว่าตาหวาน ๆ คู่นี้ทำให้พี่หายเหนื่อยได้เลยนะ”

    “พี่ทัช…”

    “นิดหน่อยเอง เดี๋ยวก็ชิน” ทัชชายิ้มขำกับใบหน้าและท่าทางของพัสกาญที่ดูจะทำตัวไม่ถูก

    “ไม่รู้ว่าเป็นการละลาบละล้วงเกินไปไหม ถ้าผมจะถาม”

    “ถ้าม่อนไม่ถามพี่ก็ไม่รู้หรอก ถามมาเถอะ พี่ไม่มีอะไรปิดบังม่อน”

    “เรื่องของคุณพราว”

    “อืม เรื่องนี้ถามได้ แต่…” เขาทำสีหน้าหนักใจเล็กน้อยซึ่งไม่ได้ยากอะไรสำหรับนักแสดงอย่างเขา

    “เอ่อ ถ้าลำบากใจ ผมไม่ถามก็ได้ครับ”

    “ม่อน”

    “ครับ?”

    “เรียกแทนตัวเองว่าม่อน เหมือนตอนที่คุณกับพี่ชายของม่อนได้ไหม?”

    “หา?”

    “แล้วพี่จะตอบทุกคำถามที่ม่อนอยากรู้”

    “เรียกแทนตัวเองแบบไหนก็เหมือนกันนี่ครับ ไม่เห็นจะต่างเลย”

    “ต่างสิ ต่างตรงที่พี่จะได้เป็นเหมือนคนสำคัญคนหนึ่งของม่อน เพราะเท่าที่พี่สังเกตุ ม่อนเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น ใช้ไหม?”

    “งั้นผมไม่อยากรู้แล้ว”

    “อ่าว นี่พี่ไม่มีความสำคัญอะไรขนาดที่ม่อนจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองได้เลยเหรอ?”

    “มันไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่...มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ เราเพิ่งจะได้คุยกันจริงๆ จังๆ ได้ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ”

    “ทีม่อนยังอยากรู้เรื่องพี่กับพราวเลย”

    “ก็บอกว่าไม่อยากรู้แล้วไง”

    “แต่พี่อยากจะเล่านี่ ม่อนจะได้ไม่เข้าใจผิดเรื่องพี่กับพราว หากว่าเราต้องทำงานด้วยกัน”

    “ไม่เอาๆ ไม่ต้องเล่าก็ได้”

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น หยุดการถกเถียงระหว่างเขาและพัสกาญ มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าความสุขที่เขาได้คุยและหยอกล้ออีกคนกำลังจะหมดไป ทัชชาลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างอ้อยอิ่ง

    “พี่ทัช พี่กรให้ผมมาเก็บของในห้อง” ชาญเดินเข้ามาพร้อมกับเอม

    “อ่าว แล้วกรล่ะ”

    “พี่กรบอกว่ามีนักข่าวตามอยู่ เลยกลับห้องไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะมาเจอพี่ทัช และคุณพัส”

    “พี่ม่อน เอมซื้อน้ำส้มมาฝาก” เอมเดินเข้าไปนั่งแทนที่เขาเมื่อครู่ ทำให้ทัชชาอดเสียดายไม่ได้ ส่วนชาญก็เดินไปเก็บของใช้ส่วนตัว อันที่จริงเรียกว่าโกยจะดีกว่า

    “นักข่าวที่ว่า คงไม่ใช่พี่ภาติสหรอกนะ”

    “พี่ม่อนรู้ได้ยังไงค่ะ”

    “หึ พี่พาติสไม่ปล่อยกรไปง่ายๆ หรอก”

    “นี่พี่ม่อนรู้อะไรมา รีบบอกเอมมาเลยนะ”

    “ใช่ๆ ผมก็อยากรู้ ว่าใครเขาเป็นใคร ทำไมถึงทำให้พี่กรที่แสนใจเย็นหงุดหงิดได้ขนาดนี้”

    “มันเป็นเรื่องเมื่อสมัยเรียนน่ะ”

    “อ๋อ…” ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกัน อีกทั้งยังเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย จากสีหน้า ดูยังไงก็เหมือนอยากรู้เรื่องของกรกฤตแต่ทัชชาไม่เข้าใจแววตาลังเลของทั้งสอง

    “ชาญเสร็จยัง” เอมลุกขึ้นจากโซฟา เหมือนตัดสินใจได้

    “อืม เสร็จแล้วๆ”

    “พี่ม่อน งั้นเอมกับชาญไปก่อนนะ เรื่องพี่กรเอมฝากไว้ก่อน ตอนนี้คงต้องรีบไปหาพี่กรแล้ว ก่อนพี่กรจะทะเลาะกับนักข่าวคนนั้นไปมากกว่านี้”

    “อืม” พัสกาญยิ้มขำ เมื่อได้ยินเรื่องของเพื่อนตัวเอง สองคนนั่นก่อนออกจากห้องได้สบตาเขาเล็กน้อย เขาจึงเดินไปส่งที่ประตู

    “พี่ควรเลี่ยงการพูดเรื่องสมัยเรียนของม่อนใช่ไหม” เขาเอ่ยถามเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สามคนและได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องมาดังเดิม

    “แล้วทีนี้พี่จะทำยังไงกับมาม่อนดี” พูดจบประโยค ดูเหมือนอีกฝ่ายแทบจะสำลักน้ำส้มที่เอมนำมาฝาก

    “อะ อะไร?”

    “ม่อนคิดไปถึงไหน?”

    “เปล่า!!” เขาเดินอ้อมไปหยิบกระดาษทิชชูส่งให้อีกคนซับริมฝีปากที่เลอะน้ำส้ม เขามองตามการกระทำนั้นแล้วอยากจะใช้ตัวเองแทนทิชชูซับริมฝีปากให้พัสกาญเสียจริง

    “พี่เองก็ต้องเตรียมกลับแล้ว กรก็คงไม่ขึ้นมาที่ห้องนี้อีก แล้วม่อนจะกลับห้องยังไง?”

    “ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แค่กลับห้องแค่นี้ผมเดินไปคนเดียวได้”

    “ม่อน”

    “ครับ”

    “ใช้คำว่าม่อนไม่ได้เหรอ ที่เรียกแทนตัวเองน่ะ”

    “ไม่ได้!!”

    “ทำไมละครับ”

    “ก็ม่อนยังไม่พร้อมนี่”

    “ไม่พร้อมเรียก หรือไม่พร้อมให้พี่เป็นคนสำคัญ”

    “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

    “พูดตรงแบบนี้ พี่เสียใจนะเนี่ย...แล้วเมื่อไรจะพร้อม”

    “พี่ทัช…”

    “ครับ?”

    “นี่ใช่พระเอกชื่อดัง พระเอกตลอดกาล สามีแห่งชาติของสาว ๆ หลายๆ คนรึเปล่าเนี่ย”

    “พระเอกชื่อดัง อันนี้พี่ไม่แน่ใจว่าพี่ดังแค่ไหน ส่วนเรื่องพระเอกตลอดกาล พี่ว่าไม่น่าจะใช่เพราะคนเรามีขึ้นมีลง อีกไม่กี่ปีคงไม่มีใครจ้างพี่เล่นบทพระเอกแล้วล่ะ ส่วนสามีแห่งชาติของสาว ๆ พี่ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย ถ้าจะอยากก็คง...อยากเป็นคนสำคัญในใจม่อนนี่แหละ แต่ม่อนไม่ยอมยกตำแหน่งนี้ให้พี่สักที”

    “พี่ทัชอ่ะ พอได้แล้ว”

    “ไม่พอ จนกว่าม่อนจะยอม”

    “กับแค่คำสรรพนามแทนตัวเอง มันไม่ได้ช่วยให้พี่ทัชเป็นคนสำคัญขึ้นมาสำหรับผมหรอกนะ”

    “แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้สึกว่าพี่ได้รับความสำคัญจากม่อน”

    “จริงจังไหมเนี่ย”

    “จริงจังที่สุดแล้ว”

    “พี่ทัชไปบังคับคุณพราวเขาแบบนี้รึเปล่า เขาถึงได้ทิ้งพี่ทัชไป หรือเพราะความคิดไปเองของพี่แบบนี้” พัสกาญโพลงออกมาแล้วก็ต้องชะงักไปกับสิ่งที่พูด ท่าทางที่ก้มหน้าหลบสายตามและเม้มริมฝีปากตัวเองนั้น ทำให้ทัชชาคิดว่ามันน่ารักมากกว่าจะโกรธอีกฝ่ายเสียอีก

    “พี่ไม่เคยบังคับพราว กับม่อนพี่ก็ไม่ได้บังคับ แค่ของร้อง... ส่วนเรื่องที่คิดไปเองพี่บอกได้แค่ว่าพี่ไม่เคยคิดไปเอง นอกจากการกระทำของอีกฝ่ายจะแสดงออกให้พี่คิด พี่เป็นผู้ชาย และเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกฝ่าย ดังนั้นมันไม่เหมาะสมถ้าพี่จะพูดถึงเรื่องของเธอในทางที่ไม่ดี”

    “ละ...แล้วผมแสดงออกยังไง พี่ทัชถึงได้คิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้”

    “ไม่รู้ตัวเหรอว่าตลอดเวลาที่คุยกับพี่ ม่อนหน้าแดงแค่ไหน”

    สิ้นคำพูดของทัชชา พัสกาญก็ขยับตัวลุกขึ้นทันที ดูจากสีหน้าเจ็บปวดของอีกคน ทำให้เขารีบเข้าไปประคอง แต่กลับถูกสะบัดมือออกไม่รุนแรงนัก จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวฉับ ๆ ออกจากห้องไปทันที

    “เดี๋ยวสิม่อน ไม่งอนพี่นะครับ” เขารีบตามพัสกาญออกจากห้องไปทันที

    “ใครงอน!!” อีกคนพูดทั้งที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลย จนกระทั่งถึงลิฟท์

    “ม่อน”

    “พอแล้ว…” เสียงที่เอ่ยออกมาราวกับจะขอร้อง

    “ครับ ไม่แกล้งแล้ว ไว้ม่อนพร้อมเมื่อไรก็เมื่อนั้น ม่อนกลับไปพักเถอะ พี่เองก็ต้องไปเก็บของที่ห้องแล้วเหมือนกัน” พวกเขาคุยกันระหว่างที่รอลิฟท์

    “พี่ทัชกลับยังไงครับ”

    “เช่ารถของโรงแรมครับ”

    “ให้ผมช่วยจัดการให้ไหม?”

    “ไม่ต้องครับ พี่จัดการเองได้ แค่ม่อนเป็นห่วง และแสดงน้ำใจกับพี่ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว” เสียงลิฟท์หยุดลงที่ชั้นของพวกเขา “พี่ส่งแค่นี้นะครับ เอาไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ”

    พัสกาญพยักหน้าให้ทัชชาหลังจากเดินเข้าตัวลิฟท์ไปแล้ว เขายืนส่งอีกคนจนลิฟท์เคลื่อนไปหากแต่เขายังไม่อยากจะก้าวออกไปจากตรงนี้     




To Be Continued


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด