อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔  (อ่าน 37069 ครั้ง)

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
อัสดงตะโกนลั่น เช็ดคราบเลือดออกจากพระพักตร์ แล้วลูบพระเกศาของยอดดวงใจ น้ำตาใสๆ ของลูกผู้ชายเริ่มปริ่มอยู่ที่ริมดวงตาสีอำพัน น้อยครั้งนักที่เด็กผู้ชายอย่างเขาจะร้องไห้ แต่ครั้งนี้ กลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อสุดที่รักบาดเจ็บเหตุเพราะมาขวางการโจมตีเอาไว้ สีทันดรเจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ

“อัสสะ เราไม่เป็นอะไรมากแล้ว เลือดมันคงค้างอยู่น่ะ ขอเราเข้าฌานรักษาตัวสักพักก็คงหาย” สีทันดรทรงยกพระหัตถ์น้อยๆขึ้นลูบหน้าอัสดงมาบ้าง พระดัชนีที่เรียวงามสวยดุจลำเทียนขี้ผึ้งเช็ดหยาดน้ำตาของอัสดงมาอย่างเบามือ

“หากเจ้าเป็นอะไรไป พี่ชายเจ้าต้องรับผิดชอบ อัสสะจะบุกบาดาล แล้วลากตัวพี่ชายเจ้าขึ้นมา พี่อะไรใจร้าย ทำน้องได้ลงคอ” อัสดงประกาศกร้าว แล้วจับพระหัตถ์น้อยๆนั้นมาจูบ โดยไม่สนใจสายตาของสหายที่ตามเข้ามายืนเฝ้าพระอาการด้วย ความรักและความสิเน่หาที่มีให้แก่กันมิจำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว

ทรงกลดเมื่อเห็นภาพนั้นก็ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาอยากจะเข้าไปนั่งข้างๆคอยเฝ้าอาการเช่นอัสดง แต่ก็เจ็บแปลบที่หัวใจ เพราะประโยคหนึ่งในสนามรบเมื่อครู่ที่เจ้านาคน้อยพูดออกมา ยังคงก้องอยู่ในหูและทำให้เขาไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปหา

“หม่อมฉัน ไม่กลับ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่กับอัสดง” ทำไมนะ ทำไม เจ้านาคน้อย ไม่พูดว่า “อยากอยู่ที่นี่กับทรงกลด”

คันฉัตรที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้าใจและเห็นใจเพื่อนดี จึงค่อยๆสะกิดให้ทรงกลดหลบออกไปข้างนอกเสียดีกว่า “ถ้าเห็นแล้วเจ็บก็อย่าไปดู ไปข้างนอกกันเหอะ น้องดื้อไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

ทรงกลดไม่พูดอะไรตอบ เดินคอตกตามออกไป เขาเองน้ำตาก็เริ่มคลอหน่วย เสียใจที่ไม่ได้ปกป้องและช้ำใจที่น้องดื้อ อยากอยู่กับอัสดง แต่ก่อนไปเขาพยายามฝืนปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือกล่าวกับเพื่อนๆว่า “ฉันสังหรณ์ใจว่า ไม่พ้นคืนนี้หรอกพี่น้องดื้อต้องกลับมา รีบหาทางรับมือกันเถอะ”

“ตกลง เดี๋ยวฉันตามออกไป” อัสดงกล่าวตอบ ในใจแค้นพี่ชายสีทันดรนัก หากได้ปะทะกันอีกที คราวนี้จะให้รู้ฤทธิ์แห่งสุริยเทพดูบ้าง

เอราวัตกับคืนฉาย เมื่อเห็นทรงกลดกับคันฉัตรออกไป จึงตามออกไปบ้าง ก่อนไปก็เข้ามาหาเจ้านาคน้อย บีบพระหัตถ์ให้กำลังใจเบาๆ เอราวัตเองนั้นก็ประคองคืนฉายไว้ตลอดเพราะคืนฉายเองก็บาดเจ็บเช่นกัน แขนข้างที่บาดเจ็บนั้นเลือดหยุดไหลไปแล้ว แต่เอราวัตยังไม่วางใจ จึงพาคืนฉายออกมาแล้วพาไปรักษาที่ห้อง พอลับตาเพื่อนๆ คืนฉายที่ดูเหมือนว่าไม่เป็นอะไรมากนักในตอนแรก ก็เริ่มสวมบทอ้อน งอแงเอากับพระพุธทันที

“โอ๊ยยยย ฉายเจ็บจังเลย”

“ไหนๆ ขอดูสิ” เอราวัตก้มดูบาดแผลให้คืนฉาย แผลที่มองเผินๆเหมือนว่าไม่ใหญ่นัก หากแต่ลึกพอควร เจ้าพระพุธลูบแผลนั้นเบาๆแล้วกล่าวต่อ “ ฉาย นายไม่น่าเข้ามารับแทนเลย นายเจ็บตัวเลยเห็นไหม แล้วนี่โดนพิษนาคหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ไม่โดนหรอก ถ้าโดนคงแย่กว่านี้”

“อย่าวางใจไป คราวก่อนฉันโดนพิษรามสูร ก็อย่างนี้แหละแรกๆก็ไม่เจ็บมาก แต่ที่ไหนได้ พอตกค่ำเท่านั้นแหละพิษกำเริบเลย ต้องเดือดร้อนอัสดงกับน้องดื้อไปหายาแก้พิษให้ที่หิมพานต์นู่น” เอราวัตพูดพลางก็ใช้สำลีผสมแอลกอฮอล์เช็ดคราบเลือดที่เกรอะกรังอยู่ แต่คงจะหนักมือไปนิด ทำให้คนแกล้งสำออยร้องออกมาจริงๆ

“โอ๊ย ฉายเจ็บนะ เบาๆหน่อยสิไอ้เวรนี่”

“นี่แน่ะ พูดไม่เพราะ ไหนบอกไม่ชอบให้ฉันพูดว่ากูมึง แต่นายดันเสือกมาด่าฉันว่าไอ้เวร ...เจ็บตัวก็ดีแล้ว สมน้ำหน้า เสือกมารับแทนทำไมก็ไม่รู้” เอราวัตด้วยความหมั่นไส้จึงจงใจราดยาใส่แผลสดที่แสบแสนจะแสบลงไปตรงกลางแผลแทนที่จะใช้สำลีซับเบาๆ ส่งผลให้เจ้าพระศุกร์ขี้อ้อนร้องลั่น ถึงแม้จะเป็นร่างแบ่งภาคแห่งเทวะแต่เขาก็เจ็บเป็นนะ

“ใจร้าย ..ฉายเป็นห่วง กลัวว่านายจะเจ็บตัว” คืนฉายทำหน้ามุ่ย ใส่ให้กับหมอจำเป็นที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกเจ็บมาด้วย แต่แล้วพอเอราวัตกล่าวตอบ ก็ทำให้เขาหายหน้าตูมทันใด

“เลยเข้ามาขวางแทนงั้นสิ ...แล้วนายไม่คิดบ้างหรือไงว่า การที่นายบาดเจ็บ ฉันจะไม่ห่วง”

คำว่ากูและมึงเริ่มห่างหาย แทนที่มาด้วยคำว่าฉันและนาย สายตาของเอราวัต เริ่มบ่งบอกถึงความรู้สึกถึงคำว่าห่วงได้อย่างดีเยี่ยม  คืนฉายจับสัมผัสนั้นได้ แย้มยิ้มทันใด “หมายความว่า นายก็ห่วงฉันเหรอ พระพุธ....ไชโย”

“เป็นบ้าอะไรอีก ไอ้เวร กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน มาทำเป็นดีใจไปได้ ขอสักทีเหอะ” เจ้าพระพุธน้อยด้วยความหมั่นไส้จึงต่อยลงไปที่ต้นแขนของเจ้าพระศุกร์ อุตส่าห์พูดชัดๆไปแล้ว ทำไมต้องให้พูดซ้ำสองด้วยนะ

“โอ๊ยยยยยย ฉายเจ็บนะโว้ย เดี๋ยวเหอะ”

“จะทำไม ...ช่างนายสิ แผลแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก ไกลหัวใจตั้งเยอะ”

“ใช่มันไกลหัวใจ .... แต่ฉายอยากให้ใกล้หัวใจมากกว่า”

คืนฉายพูดจบก็ตวัดวงแขนคว้าตัวเอราวัตที่นั่งข้างๆเข้ามากอดทันใด สายลมอ่อนละมุนพัดพาเอาความเย็นจากหยาดน้ำฝนทะลุผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างกระทบผิวกาย แต่สายลมนั้นมิได้ทำให้ขนลุกชูชันใดๆทั้งสิ้น มิเท่ากับลมหายใจอ่อนๆจากคืนฉายที่รินรดซอกคอของเอราวัตอยู่ในขณะนี้ ดวงตาที่เจิดจ้าเป็นประกายดั่งดาวพระศุกร์สว่างจ้าสมชื่อคืนฉาย จับจ้องเอาแต่ใบหน้าขาวเกลี้ยงสะอาดตาของเจ้าพระพุธ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกขัดเขิน จึงพยายามไม่มอง มิสบตา เบือนหน้าไปอีกทาง กลิ่นกายหอมกรุ่นกำจาย จากคนกอดถูกคนโดนกอดสูดเอาเข้าไปจนเต็มปอด หัวใจลูกผู้ชายเต้นระรัวมาอีกคำรบ เมื่อยามบ่าย หัวใจกระตุกวาบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะคืนฉายบาดเจ็บ แต่ยามนี้อาการกระตุกวาบนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป และมันคงถึงเวลาแล้วที่จะเผยความรู้สึกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคำตอบที่เขาคนนี้รอคอย

“ฉาย ฉันได้คำตอบให้นายแล้ว” เอราวัตสลัดความเขินอาย รวบรวมความกล้าประสานสายตาสุกใสคู่งามของเจ้าพระศุกร์จอมอ้อน แล้วกล่าวต่อว่า “ฉะ.... ฉัน เอ่อ คือ...”

ประโยคที่ตั้งใจเตรียมไว้พูด ดันติดอยู่แค่ลำคอ แต่สายลมอ่อนๆ ก็ยังคงทำงาน คราวนี้เริ่มพัดพาเอาเพลงที่เคยได้ยินเมื่อวานมาอีกแล้ว เพียงโสตจับสำเนียงเสียงเพลงนั้นได้ คำพูดที่ค้างคาแค่ลำคอก็พรั่งพรู

“ฉาย”

“ครับ...ฉายฟังอยู่ และกำลังทรมานเพราะรอคำตอบ”

“ฉันก็รักนายว่ะ”

เพียงคำพูดประโยคเดียวเท่านี้เอง ก็ทำให้คืนฉายร้องลั่นไชโย ลืมเจ็บแผลไปชั่วขณะ

“ ฉายดีใจที่สุดเลย” คืนฉายไม่พูดเปล่าพร้อมกับกอดเอราวัตแน่นกว่าเดิมเสียงใสๆก้องกังวานอยู่ที่ริมหูของเอราวัตว่า “ถ้ารู้ว่าเจ็บ แล้วได้รับรักตอบ รู้งี้ ฉายยอมเจ็บตั้งนานแล้ว”

“อย่าเพิ่งดีใจไปฉาย ฉันมีข้อแม้ ก่อนที่เราจะคบกัน”

“ข้อแม้อะไร ฉายยอมได้ทั้งนั้น”

“คือ เนื่องจากนายเป็นคนขี้เบื่อ ดูอย่างกรณีของหนึ่งที่นายทำกับเขาสิ ....มันเป็นบทเรียนทำให้ฉันต้องระวัง ....ฉะนั้นก่อนที่เราจะคบกัน ฉันอยากให้นายบอกฉันมาตรงๆ หากวันใดนายเบื่อฉันขึ้นมา และอย่าโกหกฉันเป็นพอ ได้ไหมฉาย”

คืนฉายยิ้มกว้าง ทันทีที่ได้ฟัง ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันใด แล้วน้ำเสียงดังกังวานที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ ก็เปล่งออกมาดังฟังชัดว่า

“ ฉายตกลงและฉายจะไม่มีวันทำอย่างนั้นกับนายแน่นอน จะไม่มีวันทิ้งเอราวัตไปไหน เพราะฉายตั้งใจแล้วว่า ถึงแม้ฉายจะไม่ได้ดีพร้อมเหมือนใครๆ แต่ฉายก็พร้อมจะทำให้ดีขึ้นไปเพื่อเอราวัตคนเดียว....เชื่อฉายเถอะนะ ”

“ขอบใจฉาย ฉันเชื่อนาย” เอราวัตไม่ลังเลอันใดแล้วกอดตอบคืนฉายทันที รัศมีสีเขียวประจำกายของพระพุธเริ่มเจือระเรื่อด้วยสีชมพูสว่างใส ไม่แพ้รัศมีสีฟ้าประจำกายของพระศุกร์ที่เริ่มไหลวนมาบรรจบ

รัศมีทั้งสองเข้ากันได้ และเริ่มสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว !!!

“เอราวัต จงฟังไว้ ฉันจะมีแค่นายคนเดียวเท่านั้น”

“ฉาย ต่อไป ฉันก็จะมีแค่นายคนเดียวเช่นกัน”

ทั้งสองยังอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกัน คืนฉายส่งกระแสจิตพุ่งวาบผ่านเข้ากลางใจของเอราวัต เปิดใจออกทุกซอกทุกมุม ให้เอราวัตได้เห็น และบัดนี้เจ้าพระพุธน้อย ก็มั่นใจแล้วและรู้ดีว่าคืนฉายจริงใจเพียงไร วันหนึ่งข้างหน้าแม้หลายๆสรรพสิ่งจะแปรเปลี่ยน หากแต่คำมั่นและสัญญาจากคืนฉายนั้น จะเป็นนิจนิรันดร์

“ฉายจะไม่ทิ้งเอราวัตไปไหนแน่นอน”

รักกลางสนามรบอุบัติแล้วอีกหนึ่งคู่ รักนี้ไม่มีคำว่าเพศมาขวางกั้น มีแต่ความบริสุทธิ์ใจให้กันเท่านั้น ใยเสน่หาตรึงพระพุธกับพระศุกร์ไว้มั่น ยากที่จะแยกจากกันแล้ว ริมฝีปากทั้งสอง ที่เคยอยู่ห่างเพียงแค่คืบบัดนี้บรรจบสนิทแน่น พร้อมๆกับเสียงหัวเราะอย่างดีใจของใครสองคนที่ดังอยู่แว่วๆ หนึ่งในสองเสียงนั้น เอราวัตเคยคุ้นดี เพราะเมื่อคืนก็เพิ่งจะได้เฝ้า นั่นก็คือองค์พระพุธ ส่วนอีกเสียงหนึ่งนั้นเล่า ก็ดังไพเราะจับใจ ซึ่งตนไม่เคยคุ้น แต่ถ้าจะให้เดา ก็คงเป็นใครอื่นไกลไปไม่ได้ นอกเสียจากองค์พระศุกร์ เทพทั้งสองต่างก็ยินดีในรักครั้งนี้ ....ขอจงโปรดอวยพรให้รักเรายั่งยืนด้วยเทอญ

เวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดก็มิทราบ จู่ๆจูบที่หวานเสียยิ่งกว่าหวานก็มีเหตุให้ต้องแยกจากกัน เพราะถูกแทรกมาด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังอยู่หน้าห้องพร้อมๆกับน้ำเสียงร้อนรนของผู้เป็นมารดาของเอราวัต ทั้งสองจึงรีบแยกจากกันทันที

“ตาหนู อยู่ในห้องไหมลูก”

“ครับแม่...มีอะไรเหรอ” เอราวัตรีบไปเปิดประตูให้แม่ พร้อมกับคืนฉายที่เริ่มสำรวมกริยาให้เรียบร้อย

“อ้าว ฉายไปโดนอะไรมาน่ะลูก” คุณแม่กล่าวขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาในห้องและเห็นบาดแผลที่ต้นแขนของคืนฉาย

“อ๋อ อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับแม่ ไม่เป็นไรมากหรอกครับ”

“ไหน ขอแม่ดูหน่อยดีกว่า” คุณแม่เข้ามาดูจนใกล้ พอเห็นว่าแผลถูกทำความสะอาดแล้วใส่ยาเรียบร้อยก็เบาใจแต่ก็ไม่วายย้ำให้ไปหาผ้าปิดแผลเสีย เมื่อจัดการกับแผลของคืนฉายเสร็จ คุณแม่ก็กล่าวกับเอราวัตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนว่า

“ตาหนูดูโทรศัพท์ให้แม่หน่อย แม่ โทรหาพ่อ โทรอย่างไรก็ไม่ติด เป็นเพราะฝนตกหนักหรือเปล่า”

“ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวนะครับ ...พ่อติดประชุมอยู่กับนายอำเภอหรือเปล่าแม่”

“แม่โทรไปที่อำเภอแล้ว เขาบอกว่าพ่อกลับมาตั้งนานแล้วนี่นา นี่ป่านนี้ทำไมยังไม่ถึงบ้าน ฝนก็ยิ่งตกหนักอยู่ด้วย ไปติดฝนเสียที่ไหนก็ไม่รู้ ปกติก็รับสายแม่ทุกที แต่คราวนี้เหมือนปิดเครื่อง แม่ติดต่อไปเป็นสิบๆรอบแล้ว เป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้”

“โธ่ แม่ครับพ่อคงวุ่นๆน่ะ ...อ่ะเพื่อความสบายใจเดี๋ยวผมลองโทรให้” เอราวัตเดินไปหยิบมือถือที่วางอยู่หัวเตียงแล้วโทรหาพ่อ...สัญญาณน่ะมี แต่ไม่มีคนรับสาย เสียงสัญญาณสายว่างยังคงดังอยู่เรื่อยๆ แล้วจู่ๆก็เหมือนมีเสียงพูดเบาๆ แทรกมาตามเสียงสัญญาณนั้น ครั้นพอจะจับความให้ถนัด เสียงนั้นก็มีอันตรธานหายไปแล้ว

“เอ๊ะ....”เอราวัตเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล คืนฉายจับสังเกตได้จึงส่งกระแสจิตถามโดยพลัน แทนที่จะพูดออกมา

“มีอะไร เอราวัต”

“ฉันเหมือนได้ยินคนคุยกัน ทั้งๆที่พ่อฉันยังไม่ได้รับสาย เป็นไปไม่ได้ที่สัญญาณโทรศัพท์จะพันกัน โดยยังไม่รับสายฉันสังหรณ์ใจแปลกๆแล้วสิ” แต่เอราวัตมิอยากให้แม่ตื่นตระหนกจึงบอกออกมาเป็นคำพูดคนละอย่างกับที่บอกคืนฉายทางกระแสจิต

“ปกติดีนี่ครับแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพ่อคงโทรกลับมา แล้วผมจะรีบไปบอก”

“แต่แม่ร้อนใจ....งั้นแม่ขอไปโทรหาตามบ้านเพื่อนพ่อดีกว่า เผื่อจะอยู่ที่นั่น” คุณแม่พูดจบก็ออกไปจากห้อง เมื่อลับตาแม่แล้วเอราวัตก็รีบบอกกับคืนฉายว่า

“ ฉันว่ากลิ่นไม่ดีแล้วล่ะ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อฉันแน่ๆ ฉาย..นายไหวไหม ฉันจะชวนนายออกไปช่วยตามพ่อฉันสักหน่อย”

“ไหวสิ ทำไมจะไม่ไหว กำลังจะชวนนายออกไปตามอยู่พอดีเลย เรารีบไปกันเหอะ อย่าชักช้าเลย ” อารมณ์วาบหวามเลือนรางชั่วขณะ คราวนี้เรื่องพ่อของเอราวัต สำคัญกว่า

เท่านั้นแหละ เทพน้อยทั้งสองก็กลายเป็นรัศมีสีเขียวกับสีฟ้าเจิดจ้า พุ่งออกทางบานหน้าต่างฝ่าห่าพายุฝน เทวฤทธิ์ได้สำแดงออกมาแล้ว รัศมีทั้งสองลอยขึ้นกลางนภาฟ้าหม่น ดุจแสงวัชระเจิดจ้า วิ่งแลบแปลบปลาบ นี่คือการเดินทางของผู้ที่มีสภาวะทิพย์ในตัว ....เทวะยามเสด็จมักเป็นเฉกนี้นี่เอง

สีทันดรทรงตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นระยะเวลาเกือบพลบค่ำแล้ว พระอาการบาดเจ็บทุเลาลงมาก จึงพอทรงขยับพระวรกายประทับนั่งได้ แล้วก็ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า อัสสะ ยังอยู่ข้างๆกายไม่ไปไหนเลย

“ค่อยๆลุกไอ้ดื้อ”

“เราไม่เป็นไรแล้ว อัสสะ ...เราว่า เจ้าควรรีบหาทางรับมือพี่ชายเราได้แล้วนะ แล้วไหนล่ะ พวกเจ้าว่าจะคุยกัน นี่คุยกันไปหรือยัง”

“ยังเลย ...อัสสะยังคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น  ตอนนี้อัสสะห่วงแต่เจ้า” สีหน้าและแววตาแสดงถึงความห่วงออกมาอย่างสุดซึ้ง สีทันดรคนดี เจ้ารู้ไหมหากเจ้าเจ็บ เราเจ็บยิ่งกว่า

“โธ่ อัสสะ อย่าให้เราต้องมาเป็นตัวถ่วงเลย เจ้ารีบหาทางติดต่อพระคุณเจ้าเหอะ ถามท่านว่าจะทำอย่างไรดี พี่ชายคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง คงจะเกรงใจพระอริยสงฆ์บ้าง อย่างน้อยท่านมาช่วยก็ยังดี แม้การเจรจาอาจไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์”

“งั้นอัสสะ จะลองติดต่อดูอีกทีแล้วกัน ถ้ายังส่งกระแสจิตออกไปไม่ได้ อัสสะคงต้องฝ่าทัพนาคของพี่ชายเจ้าออกไป”

“ดีแล้วอัสสะ ลองงทางแรกดูก่อน เราเองก็จะติดต่อขอกำลังยักษ์จากนลมาช่วย กองกำลังของนลคงพอสกัดกั้น กองกำลังพี่ชายได้ ไม่มากก็น้อย อย่าชักช้ากันอีกเลย เราเสียเวลากันมากแล้ว”

สีทันดรตรัสจบ ก็ทรงนั่งขัดสมาธิเพชร ประสิทธิ ประสาทเทวฤทธิ์ ติดต่อนลกุพรสหายสนิท โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล ส่วนอัสดงก็รีบเข้าสมาธิเช่นกันเพื่อติดต่อหลวงตา กระแสพลังและกระแสจิตของทั้งสองกล้าแข็งยิ่ง และเพียงชั่วระยะเวลาเข็มตก การติดต่อไปยังปลายทางก็สัมฤทธิ์ผล

“นล....เรามีเรื่องให้นลช่วยอีกแล้ว”

พระวรกายดุจภาพโปร่งใสบางเบา ลอยเคลื่อนมายังห้องบรรทมของสหายยักษ์เขี้ยวแก้วนาม นลกุพร ....เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพระแท่น วรกายด้านบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างทรงด้วยภูษาแดงดุจทับทิมรับกับสังวาลสีโกเมน ที่คาดลงจากอังสะด้านขวาพาดลงมาบั้นเอวด้านซ้าย ใบหน้าที่งามคมสัน ดุจครุ่นคิดอะไรสักอย่าง หากพอรู้ว่าสหายมาเยือน นลกุพรก็ผลุดลุกทันใด

“อ้าว สีทันดร ไปไง มาไง....แล้วมีอะไรอีกล่ะ บอกไว้ก่อนนะ ถ้าจะชวนเราไปเล่นซนที่ไหนอีก เราไม่ไปและไม่มีอารมณ์ด้วย” เจ้ายักษ์นลรีบดักคอสหาย  เพราะสีทันดร มาหาทีไร มักจะมีเรื่องวุ่นๆตามมาทุกครั้ง อย่างครั้งล่าสุดก็ที่หิมพานต์

“นลอ่ะ ....เราไม่ได้ชวนไปเล่นที่ไหน เรามีเรื่องให้นลช่วยต่างหาก เรามีเวลาไม่มาก”

“ไปก่อเรื่อง อะไรไว้อีก .....”

“เปล่าซะหน่อย คือเราอยากขอกำลังของนลไปช่วยเรานิดหนึ่ง พอดีพวกเทวะอวตาร ...มีเรื่องกับพี่ชายเรานิดหน่อย คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้” ว่าแล้วสีทันดรก็ทรงชี้แจงแถลงไขถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อครบถ้วนกระบวนความแล้ว นลกุพรก็ถึงกับตกพระทัย

“สีทันดร!!! ไม่นิดแล้วมั้งนี่ ...พี่ชายทยุติธรหากทรงทราบว่า นางนาคี มีลูกกับมนุษย์ ไม่แคล้วคงโมโห ถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง มหาสมุทรคงปั่นป่วน แค่อย่างที่เจ้าเล่าวันนี้ นลก็พอจะเห็นภาพแล้วว่ารุนแรงเพียงใด เจ้าก็รู้นี่ ว่าพี่ชายเจ้าทรงฤทธียิ่งนัก ในหมู่เทวะรุ่นชันษาเดียวกัน มีใครเทียบเทียมได้ที่ไหน” 

“รู้สิ เราเลยมาขอให้นลช่วยไง”

“ไม่มีทาง ทำไมเจ้าไม่ไปหาคนที่มีศักติและอำนาจเทียบเทียมมาสู้ล่ะ” ว่าแล้วไง สีทันดรมาทีไร ก็นำเรื่องยุ่งๆมาให้ดังคาด มิน่าล่ะวันนี้ตาขวากระตุกมาโดยตลอด

“นลอ่ะไม่เห็นใจเราเลย ...แล้วเราจะไปหาใครที่ไหนมาช่วย ตอนนี้อัสดงเองก็กำลังขอให้พระคุณเจ้ามาช่วยอยู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านจะมาหรือเปล่า...นะๆ นลช่วยหน่อย”

สีทันดรพยายามใช้ลูกอ้อนกับสหาย เขย่าแขนรบเร้า นลกุพรเองก็พยายามใจแข็ง เพราะหากตนยื่นมือเข้าไปช่วยพระบิดาย่อมทรงทราบ และหากพระบิดาทรงทราบเรื่องของบาดาลก็จะกลายเป็นธุระของทางสวรรค์ซึ่งสวรรค์เองก็มีบทลงโทษรุนแรงไปไม่น้อยกว่ากัน

“ทำไมเจ้าไม่ลอง ไปหาพวกเทวปักษี ให้มาช่วยต้านทัพพี่ชายเจ้าล่ะ เช่นพี่วายุภัค”

ทันที่ที่พระนามวายุภัคหลุดออกมาจากโอษฐ์สหาย สีทันดรก็ทรงเบ้พระพักตร์ทันใด วายุภัค ราชนัดดาแห่งพญาเวนไตย ผู้เป็นเทวปักษีหรือพญาครุฑเผ่าพันธุ์ที่เป็นอริกันมาช้านาน ตนชิงชังยิ่งนัก ควรฤาจะไปขอความช่วยเหลือ และการไปขอความช่วยเหลือนั้นเป็นการเปิดช่องให้พวกครุฑมีโอกาสมาทำร้ายเผ่าพันธุ์ตน

“ไม่มีวันนล...เราจะไม่ลดตัวเราลงไป ขอความช่วยเหลือจากพวกนั้น ...ก็ได้ถ้านลไม่อยากจะช่วยก็ไม่เป็นไร เราไปหาคนอื่นก็ได้ เราขอโทษที่มารบกวน” สีทันดรหันพระพักตร์พรึ่ด น้อยพระทัยที่สหายไม่ยอมช่วย ตั้งใจจะเสด็จกลับ หากแต่นลกุพรรีบคว้าข้อพระกรไว้ กล่าวมาโดยเร็ว

“โธ่...สีทันดร ไม่ใช่เราไม่อยากช่วย คือตอนนี้ นลเองก็มีเรื่องไม่สบายอยู่ ก็เรื่องมุจลินทร์นั่นแหละ นลเลยไม่รู้ว่านลจะช่วยได้หรือเปล่า” นลกุพรรีบง้อพระสหายด้วยการดึงมากอด แล้วกล่าวต่อว่า “ระยะหลังมานี่ มุจลินทร์ไม่ยอมพบหน้านลเลย นลไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยนะ นลขอโทษที่บอกปัดเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่นลไม่มีกำลังใจจะทำอะไรจริงๆ”

“ไม่เป็นไรนล เราเข้าใจ ....นลไม่มีกำลังใจจะทำอะไรก็ช่างเหอะ ไว้ถ้าเราเจอมุจลินทร์เราจะถามให้แล้วกันนะ ว่าเป็นอะไรถึงไม่ยอมพบหน้านล ....เราไปก่อนแหละ ขอบใจนะนล” สีทันดรสะบัดพระวรกายออก น้อยใจที่ครั้งนี้สหายสนิทไม่ยอมช่วย พระวรกายค่อยสลายหายเป็นอากาศธาตุนลกุพรพยายามไขว่คว้าไว้แต่ไม่เป็นผล

“เดี๋ยว....สีทันดร เดี๋ยวก่อน โธ่เอ๊ย งอนไปซะแล้ว”

นลกุพรทิ้งวรองค์ลงกับพระแท่นหนานุ่มอีกครั้ง นี่เขาใจร้ายและเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าที่ไม่ยอมช่วยสหาย ทุกครั้ง ทุกครา เขาไม่เคยปฏิเสธสีทันดร เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน ว่าทำไมชอบพอกับสหายพระองค์นี้ยิ่งนัก นลกุพรมั่นใจว่าสีทันดรเป็นสหายรัก ตนไม่ได้รักสหายเช่นคู่รัก ตนกับสีทันดรเล่นกันมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก โดนทำโทษก็โดนด้วยกัน แต่แล้ววันนี้สมควรแล้วฤาที่จะปฏิเสธให้ความช่วยเหลือสหายที่รักมากที่สุด..... ยิ่งมองพระพักตร์ของสหายตอนจากไป ก็ดูเศร้าหม่นหมอง

“เอาก็เอาวะ....เฮ้อ ช่วยก็ช่วย” นลกุพรผลุดลุกขึ้นทันใด เขี้ยวแก้วใสเปล่งประกายวาววับ ตรัสบอกแก่มหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ข้างนอกด้วยเสียงกังวานก้อง

“ เฮ้ย...ไปบอกให้ราชองค์รักษ์ จัดกำลังมาหนึ่งกอง แล้วตามไปสมทบกับเราที่เชิงเขาพระสุเมรุ ทางด้านตะวันตก....และอย่าให้พ่อเรารู้เป็นเด็ดขาด”

ทางด้านรัศมีเขียวนวลสว่างจ้าและรัศมีสีฟ้าสุกใส เพลานี้กลับพุ่งทะยานลงมาจากฟากฟ้าเข้าสู่ห้องนอน แล้วรัศมีทั้งสองก็สลายกลายเป็นเอราวัตกับคืนฉาย ทั้งสองบัดนี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม โดยเฉพาะเอราวัต เพราะการออกไปตามหาพ่อไม่ประสบผลสำเร็จ

“พ่อไปไหน ทำไมหาไม่เจอนี่ก็ค่ำแล้ว”

และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เอราวัตรีบไปเปิดประตูห้องก็พบว่า เด็กในบ้านยืนรออย่างลุกลี้ลุกลน กล่าวอย่างละล่ำละลั่กเป็นภาษาท้องถิ่นที่แปลได้ประมาณว่า “แย่แล้วค่ะคุณหนู คุณผู้ชายหายตัวไป เหลือแต่เรือจอดไว้ริมตลิ่งท้ายหมู่บ้าน คุณผู้หญิงพอทราบข่าวก็เป็นลมไปแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่กับคุณท่าน”

“แม่!!” เอราวัตรีบวิ่งออกไปดูคุณแม่ทันที คืนฉายวิ่งตามมาติดๆ และก็พบว่าคุณแม่นอนเป็นลมหมดสติอยู่บนตั่งนอกชาน ข้างๆคุณยายกำลังเอายาดมให้ดมอยู่ “แม่ๆๆ แม่ครับ แม่เป็นอะไร”

“ตาหนูเอ๊ย แม่เขาเป็นลม เพราะว่า....เอ่อพ่อหนูหายไป” คุณยายเองก็กังวลไม่แพ้กันหากแต่พยายามข่มเสียงให้เป็นปกติไม่ให้หลานชายใจเสีย “ยายกลัวว่า จะตกน้ำตกท่าไป น้ำยิ่งเชี่ยวๆ ไหลแรงอยู่ด้วยช่วงนี้”

“ไม่หรอกครับยาย พ่อว่ายน้ำแข็งออก ผมว่าคงแวะไปที่ไหนสักที่ แล้วนี่หากันทั่วแล้วหรือครับ ....เฮ้ย ไปช่วยกันหาดูอีกทีสิ”

เอราวัตพยายามปลอบใจยายและตนเอง แต่ในใจก็ไม่วายคิดเช่นนั้น เขาจึงตะโกนสั่งคนงานผู้ชายที่ยืนออดูกันตรงบันไดบ้านช่วยออกตามหาพ่ออีกครั้ง เสียงเอะอะโวยวายนี้ดังไปทั่ว ทำให้ทรงกลดกับคันฉัตรออกมาดู พอทราบเรื่องก็เป็นห่วงและช่วยกันปลอบใจเอราวัตที่กำลังกระวนกระวาย

“ใจเย็นๆก่อนไอ้พระพุธ...เดี๋ยวฉันกับไอ้ฉัตรจะช่วยกันหาอีกสองแรง”

“ฉันรู้สึกสังหรณ์แปลกๆว่ะไอ้กลด ....เมื่อกี้จึงชวนฉายออกไปตามหาก็ไม่เจอ” พระพุธเดินไปเดินมาสีหน้ากังวลยิ่ง “ฉันกลัวว่า พ่อฉันจะ....”

“มีใครเป็นอะไรหรือ”

อัสดงกับสีทันดรเมื่อกลับมาจากการส่งกระแสจิตไปขอความช่วยเหลือได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเช่นกันจึงรีบออกมาจากห้องโดยยังไม่ทันได้คุยถึงผลการติดต่อใดๆต่อกันทั้งสิ้น ครั้นพอทราบความ ก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีเช่นกัน

“กลิ่นแปลกๆ แล้วล่ะเอราวัต....ตามที่ได้ฟังพ่อนายคงไม่ตกน้ำตกท่าไปเองหรอก ฉันเดาว่า พ่อนายอาจจะโดนจับตัวไป และยิ่งหายไปตรงริมน้ำด้วยแล้ว คาดว่าคนที่จับไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คงไม่พ้นเอ่อ...”อัสดงด้วยความเกรงใจยอดดวงใจยังมิกล้าปรักปรำ แต่สีทันดรก็กล่าวต่อท้ายมาให้ทันทีว่า

“พี่ชายเรา....พระราชนัดดาทยุติธร พระสมุทรสงครามรณรักษ์”

ทุกคนหันขวับมายังสีทันดรทันใด สีทันดรเองทรงกำพระหัตถ์แน่นเม้มริมโอษฐ์จนแทบจะกลายเป็นเส้นเดียวกัน พระเนตรฟ้าครามที่เคยสุกใสกลายเป็นสีทอง ยามทรงโทสะจนถึงขีดสุด หากเป็นอย่างที่ทรงคิด พี่ชายก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษอย่างที่เคยทรงยกย่องแล้ว

“เราจะรับผิดชอบเอง ....เราจะกลับบาดาล ลงไปดูว่าเป็นจริงอย่างที่คิดหรือเปล่า พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”

สีทันดรมิรอช้าร่ายพระเวทคืนสู่บาดาล ไม่สนพระทัยเทวะน้อยทั้งห้าที่ร้องห้าม หากพี่ชายทำการอันน่าละอายจับมนุษย์ไป ตนผู้เป็นอนุชาก็ควรจะมีส่วนต้องรับผิดชอบ อย่าให้ใครมาตราหน้าว่าพวกนาคาขี้โกง ดังกรณีทายสีม้า

แต่แล้วสีทันดรก็ต้องทรงหยุดชะงัก เพราะรัศมีเขียวทองสดใสพุ่งทะยานจากลำน้ำโขงขึ้นมาสกัดกั้นไว้ ครั้นพอสลายก็กลายเป็นร่างงามระหงของมุจลินทร์ในเครื่องทรงนางกษัตริย์แห่งบาดาลที่ประทับยืนขวางกั้นทางเสด็จ

“ช้าก่อนเพคะ....หากเสด็จกลับไป คงไม่ได้เสด็จกลับมาแน่”

“มุจลินทร์!!”

“ทูลกระหม่อมใหญ่ ทรงรอดักฝ่าบาทอยู่ที่บาดาลหากเสด็จกลับไป ทรงไม่ปล่อยกลับมาแน่ ยิ่งตอนนี้สมเด็จทวดกับสมเด็จแม่ของฝ่าบาททรงฌานอยู่ จอมนาคาทั้งสองพร้อมพระบิดาก็เสด็จขึ้นเฝ้า อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในอุ้งหัตถ์ ฝ่าบาททรงทานทูลกระหม่อมใหญ่ ไม่ไหวหรอก เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ”

“เราจะกลับไป กลับไปดูให้รู้ว่า พี่ชายเราไม่ได้เล่นสกปรกอย่างที่เราคิด”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“ทูลกระหม่อมใหญ่ ทรงจับบิดาของท่านพระพุธไปจริงๆเพคะ แต่ไม่ได้ทรงทำร้ายอะไร ทรงกันเอาไว้เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน ระหว่างนางนาคีสกุลกัณหากับบิดาของท่านพระพุธ หม่อมฉันเห็นว่าไม่ถูกต้องเลยรีบมาทูลให้ทรงทราบ”

สิ้นพระดำรัสแห่งเทวนาคี สายอสุนีก็ฟาดลงตรงใจกลางน้ำดังลั่น พร้อมสุรเสียงห้าวดังกังวาน ดังฝ่าทะลุห่าม่านน้ำฝน ทุกผู้ทุกคนได้ยินกันถ้วนทั่ว

“มุจลินทร์ เจ้าจงกลับมาบัดเดี๋ยวนี้”

สุรเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เพียงได้สดับฟังก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร “ทยุติธร” ทรงไม่ยอมราพระหัตถ์และการกระทำครั้งนี้ก็ทรงทำเกินไปแล้ว สีทันดรโผนทะยานขึ้นฟ้าทันใด ประกาศกร้าว 

“พี่ชาย....เชิญเสด็จมาสนทนากับหม่อมฉันหน่อย”

“ไอ้ดื้อ ระวัง.... อย่าออกไป” อัสดงตะโกนก้องตามหลัง แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว!!

เจ้านาคน้อยขณะนี้ประทับลอยอยู่กลางฟ้าท่ามกลางห่าพายุฝน รัศมีรอบพระวรกายที่เคยเขียวนวลสว่างไสวเจือด้วยสีทองบัดนี้มีสีแดงแห่งโทสะเจือปน พี่ชายทรงกระทำการที่น่าละอายยิ่งนัก เมื่อสิ้นพระดำรัส รัศมีเขียวทองสว่างจ้าก็พวยพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำ สลายกลายเป็นพระเชษฐาที่ประทับยืนตรงหน้า พระพักตร์เหมือนมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่สายพระเนตร กราดเกรี้ยวดุดัน

อัสดงกับทรงกลดและอีกสามเทวะน้อยที่เหลือรีบเหิรลอยขึ้นมายืนเคียงคู่เจ้านาคาน้อย คอยป้องกันเผื่อว่าพี่ชายของเจ้านาคดื้อนี่ จะจับตัวน้องชายกลับไป

“เจ้ามีอะไรจะคุยกับพี่.....เจ้ายังจำได้อีกเหรอว่าพี่คือพี่ชายเจ้า สีทันดร”  พระสุรเสียงเย็นชา ตรัสออกมาแฝงไว้ด้วยแววน้อยพระทัย ที่พระอนุชาทรงเข้าข้างพวกเทวะน้อย และยังสกัดกั้นตนด้วยสมุทรมณี

“หม่อมฉันจำได้สิ ว่าพี่ชายเป็นพี่ ถึงได้เชิญเสด็จขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่อง ทรงรู้ไว้เถิดว่า หากพี่ชายไม่ใช่พี่ของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เชิญเสด็จมาคุยให้เสียเวลาหรอก ป่านนี้หม่อมฉันบุกบาดาลไปแล้ว” สีทันดรทรงโต้ตอบมาด้วยพระสุรเสียงเย็นชาไม่แพ้กัน หากแต่กราดเกรี้ยวกว่า

“เจ้าเปลี่ยนไป เจ้าไม่เคยพูดอย่างนี้กับพี่ สีทันดร เป็นเพราะเจ้าคบกับเทพพวกนี้ใช่ไหมนิสัยเจ้าเลยเสีย เห็นทีพี่ต้องพาเจ้ากลับไปอบรมบ่มนิสัยเสียใหม่แล้ว” ทยุติธรทรงวาดดัชนีชี้กราดมายังกลุ่มเทวะน้อยที่ลอยกลางฟ้าอยู่รายรอบพระอนุชา

“พี่ชายต่างหาก ทรงเปลี่ยนไป ทำไมถึงได้ทรงทำอะไรเยี่ยงนี้ ทรงรู้หรือไม่ว่าการที่ทรงจับมนุษย์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไป มันไม่ใช่วิสัยของนักรบและสุภาพบุรุษอย่างที่ทรงเคยเป็น”

“เหอะ.....พวกเจ้าบังคับพี่เองโดยพี่ไม่มีทางเลือก เอาล่ะ ไหนๆก็อยู่กันครบ ...” ทยุติธรทรงหยุดเว้นวรรคตรัสไว้นิดหนึ่ง พระเนตรชิงชังดุดันมองเทวะน้อยทั้งห้าแล้วตรัสต่อว่า

“ เราจะให้เวลาเจ้าจนถึงเที่ยงคืน คืนนี้จงส่งมอบนางนาคีกลับมาให้เรา แล้วเราจะส่งมนุษย์ผู้นั้นคืนกลับมาเป็นการแลกเปลี่ยน ส่วนเจ้าสีทันดร เจ้าเองก็ต้องกลับบาดาล...หากเจ้าไม่กลับ พี่คงต้องรุนแรงกับเจ้าแล้ว”

“ทรงทำเกินไป ทรงไม่ใช่สุภาพบุรุษ ทรงเอาแต่พระทัยและไม่ฟังคนอื่น หากทรงฟังสักนิด ป่านนี้พี่ชายคงได้นางนาคีคืนไปแล้ว พวกเราพยายามอธิบายแต่พี่ชายเองนั่นแหละโจมตีพวกเราก่อน แล้วก็อ้างว่าทรงไม่มีทางเลือก ทั้งๆที่พวกเราพยายามเจรจา  และอีกอย่างหม่อมฉันจะไม่กลับบาดาลไปกับพี่ชาย อย่ามาบังคับหม่อมฉัน หากทรงทำให้หม่อมฉันไม่มีทางเลือกบ้าง หม่อมฉันจะทูลฟ้องพระมหาลักษมีเทวี”

‘พระมหาลักษมีเทวี’ คือพระมหาเทวีแห่งองค์พระมหาวิษณุ พระนางทรงเป็นที่เคารพสักการะแห่งสามโลก ทรงเป็นหนึ่งในสามมหาเทวีผู้ทรงศักติสูงสุด ผู้ทรงถูกยกย่องว่าเป็นเทวีแห่งศรีและสิริ หรือความงาม ส่วนอีกสองพระองค์ได้แก่ พระมหาอุมาเทวี ผู้ทรงศักติแห่งศักดิ์และอำนาจ มหาเทวีในพระมหาศิวะ ส่วนพระองค์สุดท้ายคือพระมหาสรัสวดีเทวี มหาเทวีผู้ทรงศักติแห่งความรู้และปัญญา มหาเทวีในพระมหาพรหมา พระมหาเทวีทั้งสามคือศักติสูงสุดในตรีมูรติ สามโลกน้อมสักการะ ทยุติธรไยจะไม่ทรงทราบว่าพระอนุชาประสูติมาจากพรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระมหาลักษมี จึงมีสิริคล้ายพระนางและเป็นตัวโปรด หากเมื่อพระอนุชายกพระมหาเทวีมาอ้าง ตนก็จำต้องอ้างบ้างเหมือนกัน

“ก็เอาสิ สีทันดร ...พี่ก็จะไปทูลฟ้องพระมหาอุมาเทวีว่าเจ้าคบคิด โป้ปดพี่ แถมยังช่วยเหลือนางนาคาที่กระทำผิด ทำให้บาดาลวุ่นวายดูสิว่าใครจะมีความผิดมากกว่ากัน”

พระนามมหาอุมาเทวีถูกทรงยกนำมาอ้างเช่นกัน เพราะทยุติธรเองก็ทรงเป็นตัวโปรดแห่งมหาอุมาเทวี การที่ทรงอ้างมาเช่นนี้แสดงว่าทรงมั่นพระทัยอย่างเต็มเปี่ยมว่าพระมหาเทวีจะทรงเข้าข้างตนเป็นแน่ .....เชษฐาและอนุชา คู่นี้ทรงดื้อไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอก

“เจ้าอย่าเอาพระมหาอุมาเทวีมาอ้าง เจ้าจับมนุษย์ไปเป็นตัวประกัน คิดหรือว่าพระมหาเทวีจะทรงเข้าข้างเจ้า” อัสดงที่ยืนเฉยอยู่กล่าวขึ้นมาบ้าง ทยุติธรทรงโต้ตอบทันใด

“เราจะสนทนากับน้องชายเราเจ้าไม่เกี่ยว จงอยู่เฉยๆ”

“ต่อยปากสักทีดีไหมวะ อัสดง” โดยปกติทรงกลดจะเป็นคนที่นุ่มนวล อ่อนโยนหากแต่ครานี้บอกกับอัสดงให้ใช้กำลังแสดงว่าเขาเองก็ทนไม่ไหวไม่พอใจพี่ชายของน้องดื้อมาเช่นกัน

“พวกเราจะไม่อยู่เฉยๆ ....เจ้าจับพ่อเราไป เอาพ่อเราคืนมา” เอราวัตตะโกนตอบด้วยความโมโหเช่นกัน ขยับกายหมายจะเข้าประชิดตัวทยุติธร คืนฉายกับคันฉัตรรีบสกัดกั้นไว้ “อย่าเอราวัต เฉยก่อน เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เจ้านี่”

“อยากได้พ่อคืน ก็เอานางนาคีมาแลกเปลี่ยนสิ เราจะรอจนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น มิฉะนั้นเราจะไม่รับรองความปลอดภัยของบิดาเจ้าพระพุธ”

“เจ้ามันเลวนัก นี่นะเหรอ....คนที่จะปกครองบาดาลต่อไปในอนาคต” คันฉัตรตะโกนด่าออกไปแต่ทยุติธรก็มิได้สะทกสะท้านหนำซ้ำยังยกพระอังสะอย่างไม่ยี่หระและอนาทรร้อนใจในคำบริภาษ

คืนฉายเห็นกริยานั้น ก็สุดจะสะกดกลั้น จึงซัดพลังเข้าใส่ทันทีทั้งๆที่ตนเองเพิ่งห้ามเอราวัตไว้ แต่ทยุติธรก็ทรงสกัดกั้นไว้ด้วยเพียงฝ่ามือแล้วสะบัดพลังนั้นคืนกลับ พระเสาร์เองก็ไม่พอใจ จึงเรียกธนูวิเศษคู่กายออกมาเหนี่ยวคันศรออกไปกลายเป็นธนูเพลิงพุ่งเข้าสวนพลังที่ซัดกลับมานั้นจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งฟ้าผ่า ส่วนเอราวัตก็ไม่ปล่อยให้ขาดตอน พุ่งหอกสวนเข้าไป หากทยุติธรก็ทรงหลบไปได้ทันแล้วสะบัดพระหัตถ์กลายเป็นรัศมีสีทองพุ่งพลังสวนเข้าใส่  ทรงกลดเกรงเพื่อนจะเพี่ยงพล้ำจึงลอยเข้ามารับหน้าแล้วฟาดพลังนั้นจนแตกสลายด้วยดาบ แลคมดาบนี้เองยังใช้ตัดม่านอากาศและสายพายุฝนขาดเป็นช่องเข้าใส่โอรสาแห่งบาดาลอีกด้วย

ทยุติธรทรงยิ้มริมโอษฐ์น้อยๆ มิยี่หระ ดีดพระดัชนีกั้นไว้ด้วยม่านอาคม การปะทะกันครั้งนี้ ก่อกำเนิดแสงสว่างวูบวาบอยู่กลางท้องฟ้า สายตามนุษย์เห็นได้เพียงแสงแลบแปลบปลาบ นึกว่าฟ้าร้อง ฟ้าแลบตามธรรมชาติแค่นั้น

อัสดงมิรอช้า เมื่อเห็นผองเพื่อนโรมรัน จึงรีบช่วยสหายทันใด หงายฝ่ามือขึ้น และแล้วก็บังเกิดเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงยิ่ง พวยพุ่งขึ้นท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เปลวไฟนั้นหมุนวนเร็วยิ่ง แล้วรวมตัวกันเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่ อัสดงซัดจักรเข้าไป เพียงจักรเพลิงกระทบม่านอาคม ทยุติธรที่ทรงกล้าแกร่งก็เริ่มซวนเซ ม่านอาคมที่กั้นไว้เริ่มจะสลาย

“ไอ้พระอาทิตย์นี่ ฤทธิ์ร้ายไม่ใช่เล่น สมดั่งคำร่ำลือ นี่ขนาดมันเป็นแค่ร่างแบ่งภาคนะนี่”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรทยุติธรทรงหมายมั่นพระทัยว่าวันหนึ่งจะได้ลองฤทธีกับพระสุริยาทิตย์ หากแต่ก่อนนั้นด้วยความที่ยังทรงเยาว์ชันษา ทรงทำได้เพียงแค่มองรัศมีร้อนแรงสว่างจ้า ประทับบนราชรถเทียมม้าอุจไฉยศรพอยู่กลางนภากาศ เข้าใกล้มิได้แล้ววันนี้ก็มาถึง ร่างแบ่งภาคของพระสุริยาทิตย์มายืนอยู่ตรงหน้า จึงทรงมิรอช้าพนมหัตถ์กลางระหว่างพระอุระ เรียกจักราวิเศษที่พระมหาอุมาเทวีประทานให้ไว้ ‘จักร’ ที่ทรงอำนาจแห่งมหาเทวี หมุนคว้างรอบรอบพระวรกาย อันมีนามว่า ‘จักรแห่งมหาทรุคา’ ที่ทรงฤทธีหมุนวนคว้าง จากซ้ายไปขวา ซึ่งจะลอยสวนทางกับจักราแห่งมหาวิษณุที่จะหมุนวนจากขวาไปซ้าย จักรอันทรงฤทธิ์นั้นลอยเข้าปะทะกับจักรเพลิงแห่งพระสุริยาทิตย์ทันใด อาวุธอันทรงอำนาจทั้งสองโรมรันกันแล้ว ทำให้บรรยากาศรอบด้านเลวร้ายลงมากกว่าเดิม พายุพัดกระหน่ำจนต้นไม้ใหญ่ๆเอนลู่ น้ำในลำน้าโขงลอยท่วมท้นขึ้นทันตา

สีทันดรขณะนี้ว้าวุ่นพระทัยนัก เพราะสิ่งที่มิอยากให้ทรงเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ นั่นคือการรบราระหว่างพี่ชายและชายอันเป็นที่รัก ใจหนึ่งก็ห่วงพี่ถึงแม้จะไม่พอพระทัยที่พี่ชายกระทำการอันไม่เหมาะสม แต่อีกใจก็ทรงห่วงอัสสะ ชายผู้ครอบครองหัวใจ ในพระทัยทรงตั้งปณิธานไว้แล้วว่าวันหนึ่งหากมีโอกาสจะพาอัสสะไปเฝ้าพี่ชาย และอยากให้เข้ากันได้ ทรงอยากให้พี่ชายโปรดอัสดงเพราะนิสัยคล้ายๆกัน แต่การณ์กลับผิดคาด พี่ชายดันไม่โปรด และทั้งสองก็รบรากันแล้ว

“พี่ชายพอได้แล้ว......อัสสะหยุดเถิด โลกมนุษย์ปั่นป่วนหมดแล้ว”

สุรเสียงร้องห้ามมิสามารถหยุดการโรมรันได้ จักรทั้งสองยังประหัตประหารซึ่งกันและกัน แต่จักรแห่งพระสุริยาทิตย์ฤาจะสามารถต่อกรกับศาสตราวุธแห่งพระมหาเทวีได้ และแล้วจักรเพลิงก็ถึงการสลาย ทำให้อัสดงกระเด็นลอยละลิ่ว สีทันดรรีบโผนทะยานเข้าไปรับร่างอัสดงไว้ ทยุติธรหมายพระทัยจะซ้ำ แต่สีทันดรก็สกัดไว้ด้วยสมุทรมณี ครานี้ทยุติธร กระเด็นออกไปบ้าง ครั้นพอตั้งตัวได้ ก็ตรัสกับพระอนุชากราดเกรี้ยวยิ่ง

“เจ้าเห็นมันดีกว่าพี่ใช่ไหมสีทันดร นี่เจ้ารักมันใช่ไหม”

“พะย่ะค่ะ ...หม่อมฉันรักอัสดง ทรงเข้าพระทัยได้ถูกต้อง และหม่อมฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายอัสดง”

สรุเสียงก้องดังกังวานใสที่ตรัสออกมานั้นประดุจยาชั้นดีที่สามารถรักษาอัสดงให้ฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นประหนึ่งฟ้าฟาดยามที่พระเชษฐาได้ยิน ส่วนทรงกลดนั้นพอได้ยินเข้าเขาก็เสมือนโดนสายฟ้าสายเดียวกันนั้นฟาดลงตรงกลางหัวใจแล้ว อาวุธที่ถืออยู่ในมือแทบตกลง แต่ศึกเพิ่งเริ่ม .....เทวะต้องเข็มแข็ง ยืนหยัดให้ได้จนกว่าศึกจะจบ แม้ว่าศึกจบแล้ว หัวใจจะสูญสลายก็ตาม

“หากเจ้าไม่ใช่น้องพี่ พี่จะฆ่าเจ้าให้ตายเสียคามือ เจ้ารักชายกับชายด้วยกันมันผิด”

“แล้วสิ่งที่พี่ชายทรงกระทำมันถูกต้องแล้วหรือไร” สีทันดรใช้อำนาจแห่งสมุทรมณีซัดเข้าใส่พี่ชายทันทีที่พี่ชายตนซัดจักรเข้ามาอีกคำรบเพราะต่างฝ่ายต่างก็ระงับพระโทสะไม่อยู่ “หม่อมฉันขอประทานอภัย ที่ต้องล่วงเกินพี่ชาย”

“เหอะ พี่จะดูสิว่าเจ้าจะทานพี่ไว้ได้สักเท่าไร”

อัสดงเสมือนได้น้ำทิพย์ชโลมจิตใจ หากไม่ได้อยู่ในกลางศึกเขาคงโผเข้ากอดแล้วอุ้มเจ้านาคน้อยมานอนแนบตักแล้วระดมจูบให้หนำใจ แต่ยามนี้การรบรายังติดพัน จึงได้แค่เพียงโอบบั้นพระองค์ไว้ และเขาก็เกรงว่าที่รักตัวน้อยจะทานกำลังไม่ไหวถึงแม้จะรู้ว่าสมุทรมณีมีอำนาจเพียงใด จึงส่งพลังไปช่วย ส่วนเทพน้อยทั้งสี่เห็นการไม่สู้ดีจึงรวมกำลังกันซัดพลังเข้าไปสมทบ แต่แล้วจักรแห่งมหาทรุคาก็ตัดพลังงานแห่งเทวะกระจาย ทั้งหกลอยตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง จักรแห่งมหาเทวีลอยคว้างพุ่งตรงเข้าใส่ แต่ก่อนจักรจะถึงตัว พลังงานบางอย่างก็เข้ามาขวางกั้น หยุดจักรานั้นไว้  พลังงานนั้นเริ่มรวมกลายเป็นร่างที่เคยคุ้น ร่างนั้นสูงใหญ่ ในภูษาทรงสีแดงโกเมน เขี้ยวแก้วใสพราวระยับ ในมือถือตรีศูล สกัดจักรไว้ด้วยสุดกำลัง

“นลกุพร!!!”

เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วมาช่วยแล้ว พร้อมกับทัพยักษ์องครักษ์หนึ่งกองกำลัง นลกุพรสะบัดตรีศูลในมือทันใด ทำให้จักรลอยกระเด็นคืนกลับมายังเจ้าของ แม้จะสกัดจักราคืนไปได้แต่ตนเองก็ร้าวไปทั้งพระวรกาย ถ้าหากทยุติธรซัดคืนมาอีกที ทรงรับไว้ไม่ได้แน่

“นล.....เจ้าอย่ามายุ่ง” ทยุติธรตรัสบอกแก่เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว

“หม่อมฉันไม่ยุ่งไม่ได้.....เพราะสีทันดรเป็นสหายรักของหม่อมฉัน”

“งั้นเจ้าจะว่าพี่รุนแรงกับเจ้าไม่ได้นะ” ทยุติธรเงื้อพระหัตถ์ หมายซัดจักรเข้าโจมตีนลกุพรสหายแห่งพระอนุชา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นยังบริเวณพื้นเบื้องล่าง พอทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงลดจักรลงทันใด

“พอเถิดเพคะ ...หม่อมฉันอยู่นี่แล้ว ทรงพาหม่อมฉันไปเถิด แล้วยุติการต่อสู้และคืนบิดาของท่านพระพุธมาเสียที” 

นางนาคีนั่นเอง แต่นางไม่ได้มาคนเดียว ในอ้อมอกของนางโอบอุ้มลูกตัวน้อยไว้ด้วย ทยุติธรเพ่งมองดูก็ทราบด้วยญาณวิเศษทันที ว่าความเป็นมาแห่งทารกน้อยนี่มาได้อย่างไรกัน พระขนงเริ่มขมวดจนแทบชิดติดกัน เลือดในกายาวิ่งพล่านขึ้นสู่พระพักตร์ พระเนตรฟ้าครากลายเป็นสีแดงเพลิง ตรงกลางมีจุดสีทองส่องประกายวาบ แสดงว่า พระโทสะดำเนินมาจนถึงขีดสุดแล้ว และตั้งแต่ประสูติมาสีทันดรก็เพิ่งเห็นพระอาการโมโหรุนแรงของพี่ชายก็คราวนี้นี่เอง

“เจ้าทำให้เราขายหน้า สมสู่กับมนุษย์จนเกิดมนุษย์กึ่งนาค อันเป็นเสนียดแก่บาดาล....เจ้าอย่าอยู่เลย”

ทยุติธรทรงโทสะพิโรธหนักเงื้อพระหัตถ์สุดแรงเกิดหมายสังหารนางนาคีกับลูกให้สิ้นชีพ จักราแห่งมหาทุรคาลอยวนคว้างแล้วพุ่งด้วยความเร็วสูง เกินกว่าที่ใครจะช่วยได้ทัน นางนาคคิดว่าตนไม่รอดแน่ จึงกอดลูกน้อยแน่นแล้วหันกายตนบังลูกไว้ และฉับพลันในวินาทีนั้นเองรัศมีสีทองแดงก็พุ่งปราดเป็นลำลงมาจากฟากฟ้า รัศมีนั้นแรงกล้ายิ่ง ภายในปรากฏเป็นเงาทับซ้อนของเทวบุตรรูปงาม ใบหน้าหล่อเหลาละม้ายคล้ายพระพุธหากแต่ที่แตกต่างกันก็คือสีผิวที่คล้ำหากแต่นวลเนียนสว่างไสวดุจพระเสาร์ ตรงมุมปากมีเขี้ยวขาวเป็นเงาระยับ ร่างกายท่อนบนพันไว้ด้วยภูษาทรงสีดำ คาดทับด้วยสังวาลจากนิล หากแต่ช่วงล่างนั้นสิ แทนที่จะเป็นขากลับกลายเป็นหางนาคมาเสียนี่ เทวะพระองค์นี้มีพระวรกายแปลกยิ่งนัก หากแต่พวกอัสดงเคยคุ้นดี จึงตะโกนลั่น

“ ราหู”

ร่างทับซ้อนนั้นรีบพุ่งลงมาด้วยความเร็ว สกัดกั้นจักรานั้นไว้ แล้วซัดคืนกลับไป รัศมีสีทองแดงสว่างจ้าอีกครั้ง แล้วร่างของทารกน้อยที่กำลังอ้อแอ้ก็ล่องลอยออกจากอกนางนาคา แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิดรัศมีสีทองแดงเข้ารวมร่างกับทารกน้อย จากร่างกายเดิมที่ยังแบเบาะ บัดนี้ยืดขยายกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้ามน อายุรุ่นราวคราเดียวกับเทวะน้อยทั้งห้าอย่างน่าอัศจรรย์

หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่รอช้า ซัดพลังเข้าใสทยุติธรที่ทรงเผลอยืนชะงักงันด้วยความอัศจรรย์ใจกระเด็นไปไกล แล้วหันมาโอบกอดนางนาคผู้เป็นมารดาพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มปนสั่นเครือมาว่า

“ แม่จ๋า แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่หลบไปก่อนนะจ๊ะ”

นางนาคีเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ทารกน้อยที่เพิ่งโอบอุ้มบัดนี้เติบใหญ่ขึ้นทันตาด้วยเพราะรัศมีสีทองแดงนั้น เมื่อนางตั้งสติได้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังกอดอยู่คือลูกชาย จึงกล่าวตอบด้วยเสียงสั่นเครือไม่แพ้กัน

“แม่ไม่เป็นไร ....ลูกแม่ระวังตัวด้วย”

นางเข้าใจดีว่าลูกชายตนไม่ใช่มนุษย์กึ่งนาคธรรมดา รัศมีที่พุ่งลงมารวมกับร่างลูกน้อยนั้นเป็นรัศมีแห่งเทวะ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้เพราะองค์ทยุติธรทรงฤทธีมาก แต่ก็ต้องจำเร้นกายหลบ เมื่อลูกชายกล่าวเตือนมาอีกครั้ง “หลบไปก่อนเถิดแม่”

พระพุธกับพระศุกร์เมื่อรู้ว่าใครแบ่งภาคลงมาจากฟากฟ้า จึงโผนทะยานเข้ามาหา เขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล ที่แท้ก็สหายเก่านั่นเอง “ราหู นายเองเหรอ”

“ใช่ฉันเอง ฉันได้รับเทวโองการเหมือนพวกนายนั่นแหละ ให้ลงมาปราบอสูรและตอนนี้ฉันก็พร้อมแล้ว ฉันว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย เตรียมรับมือไอ้พญานาคนั่นดีกว่าโน่น มันกลับมานู่นแล้ว”

คราวนี้ทยุติธรมิได้เสด็จกลับมาพระองค์เดียว หากเบื้องหลังคือกองทัพราชองครักษ์ที่ยกมาเต็มอัตราศึก อัสดง ทรงกลดและคันฉัตรต่างก็ช่วยกันซัดอาวุธเข้าสกัดกั้น ทำให้กองกำลังบางส่วนแตกกระจัดกระจาย ทยุติธรทรงสะบัดจักราในมือหมายยังร่างของอัสดง แต่เจ้าพระอาทิตย์รูปงามด้วยความที่ได้กำลังใจจากเจ้านาคาน้อยมาเต็มเปี่ยม ทำให้กำลังและความว่องไวฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว และยังสามารถขว้างจักรเพลิงเข้าไปต่อกรได้อีกคำรบ....นี่แหละหนอที่เขาเรียกกันว่า อานุภาพแห่งความรัก เพียงแค่ ประโยคที่ว่า “หม่อมฉันรักอัสดง” ก็สามารถก่อกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าพลังใดๆ

ทางด้านเอราวัตกับคืนฉายก็เข้าสู่สนามรบช่วยสหายรับมือเช่นกัน ทั้งสองหันหลังชนกันเผชิญหน้ากับทัพนาคาที่ดาหน้ากันเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย บรรดานาคเริ่มกระจายเป็นวงล้อม ล้อมเขาทั้งคู่เอาไว้ แต่ก็ไม่มีนาคาตนใดสามารถเข้าประชิดตัวและทำอันตรายใดๆได้ ส่วนนลกุพรเองนั้น ก็ขยับอาวุธในหัตถ์มั่น ชูสูงขึ้นฟ้า แล้วชี้ปลายตรีศูลไปข้างหน้า ตะโกนสั่งทัพยักษ์ด้วยสุรสียงฮึกเหิม ดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า

“บุก...โว้ย”

ในส่วนของพระจันทร์กับพระเสาร์ก็ถูกพวกนาครายล้อมไว้เช่นกัน สังหารเท่าไรก็ไม่หมดตัวใหม่ก็ดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ทันทีที่ทัพยักษ์ของนลกุพรเข้ามาช่วยหนุน ทั้งสองเทวะน้อยก็ตีฝ่าออกมาได้ คันฉัตรจึงได้โอกาสเหนี่ยวคันศรขึ้นฟ้า ยิงธนูออกจากแล่ง ด้วยอำนาจแห่งธนูวิเศษ ธนูทุกดอกที่ยิงออกไปนั้นก็กลับกลายเป็นพญาครุฑช่วยเข้าจิกตีเหล่าทหารนาค ...คาถาบทนี้อัสดงเคยถ่ายทอดให้กับเขาและไม่คิดว่าจะได้ใช้ ครั้นพอได้ใช้เขาก็ทำได้ดีไม่แพ้อัสดง และยังได้ผลเกินคาด เพราะตอนนี้นั้น ทัพนาคเริ่มแตกฮือ

ทยุติธรเห็นเหล่าทหารหาญของตนเริ่มเสียท่า จึงเบนเป้าหมายจากอัสดงมาทำลายพวกครุฑเหล่านั้นเสียก่อน ครุฑหลายๆตัวแตกสลายกลายเป็นผุยผง ในระหว่างที่ทรงวุ่นอยู่กับการทำลายครุฑ เทวะที่เพิ่งแบ่งภาคมาใหม่หรือในนามราหูที่พวกเทวะน้อยๆเรียก ก็สบโอกาสช่วยอัสดง ซัดพลังเข้าโจมตี

“คิดจะฆ่าฉันกับแม่เหรอ ....มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก” เจ้าราหูตะโกนลั่น แล้วหันมายักคิ้วให้อัสดงกล่าวว่า “สุริยาทิตย์ เรามารวมกำลังกันเหอะ”

และแล้วอำนาจแห่งพระสุริยาทิตย์ก็เปล่งประกายเป็นรัศมีสีแดงเจิดจ้า ประสานกับรัศมีสีทองแดงของพระราหู พุ่งเข้าซัดใส่พระวรกายแห่งจอมทัพทยุติธร นลกุพรเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ จึงบอกบรรดาเทวะน้อยที่เหลือว่า

“พวกท่านรีบไปรวมพลังกับอัสดงเร็ว ทางนี้เราจัดการเอง”

ทรงกลด คันฉัตร คืนฉายและเอราวัต เมื่อได้ยินนลกุพรร้องบอก ต่างก็ช่วยกันซัดพลังของตนสอดประสานมาทันใด พลังทั้งสี่พุ่งตรงมารวมกับสองรัศมีที่รออยู่ก่อนแล้ว แล้วรัศมีทั้งหกแสงก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวคือสีขาวสว่างจ้าวาววับ องค์ทยุติธร หันพระวรกายมารับไว้ได้ทันท่วงที สีทันดรทอดพระเนตรเห็นพระเชษฐาเสียท่า จึงโผนทะยานจะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะอย่างไรเสีย ทยุติธรก็คือพระเชษฐาที่ร่วมสายพระโลหิตที่มีอยู่พระองค์เดียว แม้เมื่อสักครู่พี่ชายจะทำให้ไม่สบพระทัย แต่ก่อนที่จะทรงทะยานเข้าไปถึง มุจลินทร์ก็เหิรลอยเข้ามาฉุดข้อพระกรไว้

“อย่าเพคะ ...อย่าเสด็จเข้าไป ปล่อยให้ ทูลกระหม่อมใหญ่ทรงได้รับบทเรียนบ้างเถิด”

จากสถานการณ์ที่เหล่านาคาได้เปรียบ กลับพลิกผลันกลายเป็นพ่าย ทยุติธรทรงเริ่มทานอำนาจเทวะทั้งหกไม่ไหวแล้ว

“พวกเจ้าขี้โกง ....”

พระชงฆ์ที่เคยแข็งแรงอ่อนยวบทันใด แล้วพลังที่เคยต้านไว้ ก็ซัดเข้าสู่พระวรกาย เสียงปะทะแห่งพลังงานดังลั่นสนั่น พระเกศายาวสะบัดพลิ้วปลิวไสวด้วยแรงซัด รัดเกล้ารูปนาคาไขว้เศียรกระเด็นลอยละลิ่ว ทยุติธรทรงพ่ายแล้ว

“พี่ชาย!!!!”

แม้จะเคยโกรธแสนโกรธเพียงใด แต่ยามนี้พี่ชายทรงบาดเจ็บ ทรงลืมเรื่องข้อวิวาทบาดหมางไปชั่วขณะ โผนทะยานเข้าสู่พระวรกายที่กำลังล้มลง มุจลินทร์สกัดสีทันดรไว้ไม่อยู่แล้ว

“พี่ชายทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

สีทันดรเมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงประคองพระวรกายของพระเชษฐาไว้ในอ้อมพระพาหา ทยุติธรทรงพระกรรสะออกมาเป็นพระโลหิตเฉกเช่นเดียวกับที่ซัดพลังใส่พระอนุชาเมื่อตอนช่วงบ่าย แต่ด้วยชาตินักรบ เจ็บแค่นี้ไม่ถึงตาย หากยังมีพระชนม์ชีพ จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด เทวะจำต้องเกรงและหวาดหวั่นในพระราชอำนาจ

“พี่ไม่เป็นไร”

ทยุติธรทรงยืนนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งพระทัยหมายเรียกจักราแห่งมหาทุรคามาใช้ เนื่องจากทรงอ่อนพระกำลังยิ่งนัก จึงมิสามารถทำได้ พระเนตรฟ้าครามจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ความคั่งแค้นเจ็บพระทัยแน่นพระอุระ รัศมีรอบพระวรกายสว่างวาบแล้วทรงแปรเปลี่ยนพระวรกายองค์เอง คืนสภาพสู่นาคาห้าเศียร ทหารองค์รักษ์ที่เหลือต่างก็คืนร่างตามนายทันใด

อสุนีบาตเริ่มฟาดผ่าลงมาติดๆกันอีกคำรบ ประกายแสงฟ้าฟาดนั้นยามกระทบกับเกล็ดสีทองก่อเกิดเป็นเงาละเลื่อมดุจฟ้าแลบ เศียรทั้งห้า ต่างเริ่มขยับซัดส่ายไปโดยรอบ และแล้วหนึ่งเศียรในทั้งห้าก็ดำดิ่งลงไปใต้น้ำ พอผลุดขึ้นมาอีกครั้ง เศียรนั้นก็พาเอาร่างบิดาของพระพุธขึ้นมาด้วย

“พ่อ!!!!!!!!”

เอราวัตเริ่มคุมสมาธิไว้ไม่อยู่ พ่อเขาอยู่นั่นเอง เจ้าพระพุธทะยานขึ้นฟ้าทันทีหมายชิงร่างบิดาคืนมา แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเศียรที่อยู่ด้านตรงกลาง พ่นเปลวอัคคีออกมา เหล่าเทวะน้อยทั้งหลายแตกกระจาย หลบหลีก ยามปกติทยุติธรก็ทรงฤทธีมากอยู่แล้ว กว่าจะโค่นได้ต้องรวมกำลังกัน แล้วนี่คืนสู่ร่างนาคราชซึ่งฤทธีและอำนาจจะเต็มเปี่ยมจนถึงขีดสุด เหล่าเทวะน้อยเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า หากรวมกำลังกันอีกครั้งจะรับมือได้ไหม

เปลวอัคคียังคงพวยพุ่ง และอีกสี่เศียรที่เหลือก็ประสานกันพ่นเพลิงออกมาเช่นกัน ประกายเพลิงร้อนแรงเริ่มลุกลามไปโดยรอบ แม้สายฝนที่กำลังโหมกระหน่ำก็มิทำให้ เปลวเพลิงนั้นดับมอดลงแต่อย่างใด แถมยังเริ่มลามไปยังตัวบริเวณบ้านที่อยู่ใกล้ สีทันดรและมุจลินทร์ได้พระสติก่อนใครรีบเหิรลอยกลับไปคืนร่างสู่สภาวะนาคา ช่วยกันพ่นน้ำเข้าสกัดกั้น

คุณยายที่อยู่บนบ้านได้เห็นภาพการศึกครั้งนี้มาโดยตลอด ในใจหวั่นกลัวยิ่งนัก เพราะได้เห็นทั้งนาค ทั้งยักษ์และทั้งครุฑ แต่เนื่องด้วยการปฏิบัติธรรมมาช้านานจึงข่มอาการหวาดผวาได้อย่างรวดเร็ว อีกนิดหนึ่งเปลวเพลิงก็จะลามเลียมาถึงตัวบ้านแล้ว คุณยายยังคงสำรวมจิตตั้งใจไม่ให้หวาดหวั่นอีกต่อไป มือทั้งสองข้างเริ่มพนมระหว่างอก สวดบูชาพระพุทธคุณ ขออำนาจพุทธบารมีคุ้มครอง

เทวะน้อยทั้งหก เริ่มรวมกำลังโจมตีทยุติธรอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เป็นผล เกล็ดสีทองประดุจเกราะเพชรชั้นดีที่กางกั้นพลังเทวะทั้งหกไว้แถมยังซัดคืนกลับมาจนทั้งหกกระเด็นตกลงมาจากฟากฟ้า ทยุติธรอ้าพระโอษฐ์กว้างแล้วพ่นเปลวอัคคีลงมายังร่างทั้งหก แต่ก่อนที่เปลวไฟอันร้อนแรงจะถึงตัว ก็พลันบังเกิดเสียงสวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ดังมาจากรอบสารทิศ น้ำเสียงที่สวดนั้นดังฟังชัด น้ำเสียงที่กอปรไปด้วยเมตตา สามารถสกัดเปลวเพลิงทั้งมวลเอาไว้ได้ แล้วบริเวณรอบด้าน ก็พลันบังเกิดรัศมีสีขาวสว่างจ้าราวกับกลางวัน สายฝนและเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำกลับสงบลงด้วยปาฏิหาริย์ของการมาถึงแห่งสภาวะทิพย์นั้นทันที

“นันโทปะนันทะ ภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง  ปุตเตนะเถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคลานิ”

“พระจอมมุนีทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระ พระพุทธชิโนรส นิรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาคราช อันมีนามว่านันโทปะนันทะ ผู้มีความหลงผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีให้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าพระเถระ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ผู้ได้สดับฟังด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลด้วยเทอญ”

“หลวงตา!!”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
อัสดงตะโกนก้องด้วยความดีใจ รีบเหิรลอยไปหาสีทันดรที่ทรงคืนร่างเป็นมนุษย์มาก่อนใคร จูงข้อพระกรเจ้านาคาน้อยมาประทับนั่งลงราบกับพื้นด้านหลังรัศมีสีขาวนั้น

“หลวงตามาช่วยหลานแล้ว”

 ครั้นพอแสงรัศมีสีขาวจ้าพลันสลาย ก็กลายเป็นพระภิกษุในจีวรสีกลักเปล่งประกายสีทองงดงามระเรื่อ ดุจจีวรนั้นทอมาจากเส้นใยทองคำ ใบหน้าของพระคุณเจ้า สงบ เยือกเย็นแม้ ยืนอยู่ท่ามกลางสนามยุทธการระหว่างทัพนาคาและกองกำลังเทวะ ทุกผู้ทุกนามยุติการพุ่งรบ แล้วทรุดกายหมอบราบกราบลงกับพื้นดิน นาคาทั้งหลายคืนร่างสู่รูปกายของมนุษย์ เว้นแต่องค์ทยุติธร ที่ยังทรงอยู่ในร่างนาคาห้าเศียร แผ่พังพานประจันหน้ากับพระคุณเจ้า สีทันดรทรงร้องเตือนพี่ชายเกรงว่าจะทำอะไรเลวร้ายลงไปอีก 

“พี่ชาย ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ อย่ากระทำการล่วงเกินท่าน รีบคืนร่างเสียเถิด”

“ลงมาคุยกันดีๆเถิดโยม โมโหไปก็รังแต่จะทำให้สภาวะทิพย์ของโยมหม่นหมอง” 

หลวงตากล่าวขึ้นยามที่ทยุติธรเลื้อยเข้ามาใกล้ แม้พระอนุชาจะมิทรงเตือน ทยุติธรก็ทรงทราบดีว่า พระคุณเจ้ารูปนี้คือพระอริยสงฆ์ หากทรงล่วงเกินแม้แต่นิดเดียว จะเป็นบาปมหันต์ จึงทรงลดพังพานยอบกายแล้วสลายคืนสู่ร่างหนุ่มน้อยเยาว์ชันษา ข้างๆกันนั้นร่างของบิดาแห่งพระพุธนอนสงบ  ทยุติธรทรงถวายนมัสการกราบลงกับพื้นเฉกเช่นทุกคน

“นมัสการพระคุณเจ้า”

“โสกาวิรัตตจิตโต โย โสภมาโน สเทวเก  โลกสัตเต ปโมเจนโต โสภวัณนัง นมามิหัง พระองค์ผู้ซึ่งมีพระหฤทัยที่ไม่มีความโศก พระองค์ทรงงดงามในมนุษย์กับเทวโลก พระองค์ทรงปลดเปลื้องสัตว์ให้พ้นความโศก พระองค์ทรงมีพระวรรณะงดงามข้าขอนมัสการ!!”

สิ้นพระคถาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระโทสะและอารมณ์โมโหขุ่นมัวขององค์ทยุติธร ก็มลายหายไปสิ้น พระคาถานั้นหลวงตาใช้เตือนพระสติทยุติธรโดยเฉพาะ และก็ทรงเข้าพระทัยในทันใด  ความโศกเศร้าโศกาอาดู คับแค้น ชิงชังรังแต่จะทำให้มัวหมองอีกทั้งโทสะและโมหะ จึงมิควรให้อารมณ์เหล่านั้นฉุดรั้งสภาวะทิพย์ให้ตกต่ำลง คำสอนแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระอริยสงฆ์อัญเชิญมา คือความจริง ที่ทรงเถียงไม่ขึ้น และเริ่มน้อมรับอย่างไม่มีข้อกังขา ทยุติธรจึงก้มลงกราบหลวงตาอีกครั้ง เปล่งพระสุรเสียงสรรเสริญ

“สาธุ”

“แท้จริงแล้วเรื่องทางโลกมิใช่เรื่องของอาตมา แต่...ถ้าหากเป็นการเกี่ยวข้องกับการทำร้ายชีวิตให้ดับสูญ อาตมาขอบิณฑบาตโยมสักชีวิต สองชีวิตจะได้ไหม” ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติขั้นสูงหลวงตาทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่าเหตุใดเกิดขึ้น จึงมิต้องเท้าความกันอีก

ทยุติธรยังไม่ทันได้กล่าวตอบ ฉับพลันบังเกิดรัศมีสีเขียวปนทองหลายลำแสง ทะยานขึ้นมาจากท้องน้ำ บรรยากาศรอบข้างที่ดูมืดมัวในตอนแรกก็พลันสว่างจ้าอีกคำรบด้วยรัศมีเหล่านั้น แต่ก็มิสู้รัศมีแห่งหลวงตาของอัสดงผู้ซึ่งบรรลุธรรมแล้ว

รัศมีหลายสีเหล่านั้น เมื่อขึ้นมาถึง ก็สลายกลายเป็นร่างของมนุษย์ ทั้งหญิงและชาย เครื่องทรงบ่งบอกถึงวรรณะ ว่ามิใช่ชนชั้นนาคาธรรมดา จอมเทวะนาคาและนางพญาเทวนาคีต่างก็ขึ้นมาพร้อมเฝ้าพระอริยสงฆ์ถ้วนทั่ว ทั้งหมดก้มกราบลงกับพื้นโดยพร้อมเพียง

“นมัสการพระคุณเจ้า”

“เจริญพร เถิดมหาบพิตร มหาเทวี”

สีทันดรเมื่อเห็นว่าใครมาบ้าง ก็รีบคลานเข่า เข้าไปหาบรรดาผู้ที่ประทับนั่งอยู่หน้าสุด  ได้แก่ สมเด็จทวด ทูลหม่อมปู่ทั้งสองพระองค์ ทูลหม่อมพ่อ และสมเด็จแม่ อันเสด็จขึ้นมาครบหมด สีทันดรก้มลงกราบถวายบังคมแทบพระเพลาของทุกพระองค์ แล้วไปประทับนั่งข้างๆของสตรีทั้งสองที่งามเกินกว่านางอัปสรใดๆในโลกหล้า พระองค์หนึ่งนั้นคือ พระนางกัทรุ พระชายาในพระกัศยปเทพบิดร พระผู้เป็นมารดาแห่งจอมนาคา อีกพระองค์คือพระสมุทรเทวี สมเด็จพระมารดาแห่งพระองค์

อัสดง เอราวัต คืนฉาย ทรงกลด คันฉัตรและราหู ครั้นเมื่อเห็นว่าใครเสด็จตามขึ้นมาอยู่ ณ ที่นั้นบ้างต่างก็ตกตะลึงแต่ก็ไม่ลืมที่จะถวายบังคม โดยศักดิ์แห่งเทวะร่างเดิมแห่งตนควรเพียงแค่ยกมือไหว้ระหว่างอก แต่ยามนี้อยู่ในร่างแบ่งภาคจึงควรแสดงความเคารพให้นาคกษัตริย์ และจอมนาคเทวะทุกพระองค์ก็รับบังคมและยกหัตถ์ระหว่างพระอุระรับบังคมตอบ ส่วนนลกุพรก็สบโอกาสลอยเข้าไปหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆกับมุจลินทร์

“นี่ครอบครัวน้องดื้อ ยกโขยงกันมาทำไม” ทรงกลดกล่าวขึ้นเพราะจำพญาวาสุกีได้ที่ประทับนั่งแถวหน้าสุดได้ หากแต่อีกพระองค์ที่ประพิมพ์ประพายคล้ายกันยังไม่เคยเห็น แต่ถ้าจะให้เดาก็คงไม่ยาก พระองค์นั้นคงเป็นพญาอนันตนาคราช บัลลังก์แห่งพระมหาวิษณุเจ้าเป็นแน่แท้

 “สีทันดรเกิดอะไรขึ้นลูก....เจ้าไปก่อเรื่องอะไรกับพระคุณเจ้าหรือเปล่า” สมเด็จพระมารดาตรัสถามพระโอรสองค์น้อยที่เลื่อนมาประทับอยู่ข้างพระเพลาทันใด เพราะทรงรู้ดีว่า พระโอรสถนัดนักในการก่อเรื่องวุ่นๆ

“หม่อมฉันเปล่า ...นู่นพี่ชายนู่น ทรงถามเองเหอะ หม่อมฉันหมดแรงแล้ว”

สีทันดรได้ที ถือโอกาสเอาคืนพี่ชายแกล้งทำพระพักตร์ละห้อยหมดแรง แต่สมเด็จพระราชมารดา คงจะมิทรงว่าอะไรพี่ชายมากมายเป็นแน่แท้ จึงทรงคลานไปหาสมเด็จทวด ที่กำลังประทานสายพระเนตรอันทรงอำนาจมายังหลานชายคนโตอยู่ก่อนแล้ว สายพระเนตรนี้เพียงแค่จ้องก็ทำให้ทยุติธรชาวาบไปทั้งองค์ แล้วพระหัตถ์ขาวนวลของพระนางเพียงแตะที่พระวรกายของสีทันดร ก็ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดถ้วนทั่ว

“ทยุติธร เจ้าทำอะไรลงไป ทำไมถึงทำรุนแรงกับน้อง โถ...สีทันดรหลานทวด เจ็บมากไหม”

พระนางกัทรุทรงรักหลานพระองค์น้อยยิ่ง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สมเด็จทวดทรงเข้าข้างพระราชปนัดดาพระองค์น้อยมาทุกครั้ง แม้จะทรงรู้ว่าสีทันดรทรงทำผิด จะทรงเอ็ดแค่เล็กน้อยและก็จะทรงทำลืมๆความผิดนั้นไปเสีย และเมื่อทรงรู้ว่า ทยุติธรรังแกน้องจึงทรงชำระความ ทยุติธรทรงเริ่มร้อนๆหนาวๆ มาแล้ว เพราะทรงเกรงสมเด็จทวดยิ่งนัก

หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าหลวงตาทยุติธรคงโดนหนัก พระนางกัทรุหันไปตรัสกับพญาอนันตนาคราชถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พญาอนันตนาคราชพอทรงทราบความก็ตรัสเรียกทยุติธรทันที

“มาหาปู่หน่อยสิ”

ทยุติธรคลานเข่าเข้าไป พระพักตร์ที่งามงดของเทวนาคาชันษาวัยยี่สิบ เริ่มซีด แล้วทรงกล่าวปลอบใจตนเองมาว่า “เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องกลัว”

“รู้ใช่ไหม ทำอะไรลงไป”

“พะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”

“พอกัน ดื้อและก็หยิ่งยโสเหมือนกันหมดทั้งพี่ทั้งน้อง นี่เจ้าเลี้ยงลูกยังไง ...สมุทรรักษ์ สมุทรเทวี” คราวนี้ทูลหม่อมปู่พระองค์ใหญ่ ทรงหันไปไล่เบี้ยเอากับพระบิดาและพระมารดา แล้วพญาวาสุกีนาคราชก็ตรัสเสริมมาว่า

“คราวที่แล้ว ไอ้ตัวน้องก่อเรื่อง คราวนี้มาไอ้ตัวพี่อีก ....หม่อมฉันละอายแก่พวกเทพอวตารเหลือเกิน” แล้วพญาวาสุกีก็หันมากล่าวกับพวกอัสดงด้วยสุรเสียงเหนื่อยอ่อน “ข้าขอโทษด้วยนะ ข้ามันผิดเองเลี้ยงหลานตามใจจนเคยตัว”

“เอ๊ะ มาลงอะไรกับหม่อมฉัน หลานไม่เกี่ยวนะ คราวนี้ ทูลหม่อมพี่ชายล้วนๆ”

“เดี๋ยวเหอะ สีทันดร” ทยุติธรทรงหันไปปรามพระอนุชาทันควัน

“หุบปากแหละทั้งสองคน เกรงใจพระคุณเจ้าบ้าง ...”

พญาอนันตนาคราช ทรงหลับพระเนตร เพื่อตรวจดูเรื่องราวและความเป็นไปทั้งหมด ครั้นพอได้ความแจ่มแจ้ง ก็ทรงตรัสขึ้น “เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ครั้นปล่อยไว้นานก็จะยิ่งบานปลาย ข้าพเจ้า ขออาราธนาพระคุณเจ้าช่วยตัดสินทีเถิด ว่าจะทำอย่างไรดี”

พญาอนันตนาคราช ตรัสจบ ก็ทรงถอนพระราชหฤทัย ที่ลูกหลานและบริวารชอบก่อเรื่องยุ่งๆ จนไม่ค่อยอยากจะเกี่ยวข้องแล้ว

“มหาบพิตรตัดสินเถิด อาตมาเพียงแค่ขอบิณฑบาตว่าการลงโทษนั้นอย่าให้ถึงกับชีวิตเลย หยุดรบรากันอาตมาก็พอใจแล้ว เทวะเมื่อมารบกันเองจะขายหน้าแก่พวกมารเปล่าๆ ”

“ถ้าตามกฎของบาดาล หากนาคตนใด มีลูกกับมนุษย์ สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกจะต้องถูกแยกจากกัน โดยนาคต้องกลับไปถูกจองจำอยู่ในบาดาล ส่วนมนุษย์ก็จะถูกล้างความทรงจำทิ้งเสีย แต่เด็กที่เกิดมา....เอ่อ.... เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาอย่างเช่นในอดีตกาล เราต้องกำจัด”

นางนาคาที่หลบอยู่บริเวณครั้นได้ยิน ก็ปรากฏกายออกมาข้างราหู โผเข้ากอดลูกชายแน่น พูดจาละล่ำลั่ก ขึ้นมาว่า “ หม่อมฉันยินดีรับโทษเป็นสองเท่า ขออย่าประหารลูกของหม่อมฉันเลย”

นางสะอื้นร่ำไห้จนหอบตัวโยน ราหูเองก็กอดแม่แน่น กล่าวปลอบทันใด “แม่จ๋าใจเย็นๆก่อน ..ลูกเชื่อว่า เทวะนาคาพวกนี้คงไม่ใจร้ายกับเราสองแม่ลูกนัก”

ทรงกลดและบรรดาเทพน้อยที่เหลือต่างแอบให้สัญญาณกันเตรียมพร้อมหากการตัดสินออกมาไม่ยุติธรรม การรบจะเกิดขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ก็จะเป็นไปเพื่อการรักษาชีวิตของสหายที่เพิ่งแบ่งภาคลงมา ส่วนมุจลินทร์เห็นนางนาคาร้องไห้ก็บังเกิดความสงสารเห็นใจจึงรีบเข้ามาปลอบ

“เจ้าอย่าเพิ่งฟูมฟาย ยังมิได้ทรงตัดสิน”

จอมนาคาทั้งสองเองก็ลำบากใจยิ่ง เพราะนานแล้ว มิเคยมีผู้ใดฝ่าฝืนกฎ และการตัดสินในแต่ละครั้งก็ไม่หนักใจเท่าครั้งนี้ แต่ถ้าหากไม่ทำก็ไม่ได้ ....กฏจะไม่เป็นกฏ

“สมเด็จทวด สมเด็จแม่ ช่วยนางด้วยเถอะ หม่อมฉันสงสาร นางทำไปเพราะรัก มิได้จงใจทำให้พี่ชายเสียพระพักตร์ และอีกอย่างนางก็เป็นผู้ให้กำเนิดแก่พระราหู เทวะผู้นี้แบ่งภาคลงมาตามพระบัญชา หากพวกเราทำอะไรรุนแรงจะฝ่าฝืนเทวะโองการนะพะย่ะค่ะ” สีทันดรรีบทูลให้พระนางกัทรุกับพระมารดาทรงช่วย และด้วยความที่เป็นตัวโปรด การกราบทูลนั้นก็ได้ผล

“อนันตะ วาสุกี แม่ว่า.....เราอย่าถึงขั้นฆ่าแกงกันเลย ไหนๆนางนาคี มันก็อยู่นี่แล้ว และนางก็ยินดีรับโทษ อีกอย่างพระราหูท่านก็เสด็จมารวมร่างแล้วด้วย ” พระนางกัทรุตรัสขึ้นกับจอมนาคาราชโอรสทั้งสอง ทูลหม่อมพ่อของสีทันดรกับพระมารดา ก็ช่วยสนับสนุนแต่ทยุติธรมิทรงเห็นด้วยเท่าไรนัก

“แล้วผู้ที่ทำผิดกฎจะไม่ต้องรับโทษอันใดเลยหรือพระเจ้าค่ะ” ทยุติธรแม้จะสงบลง แต่ก็ไม่วายทูลขัดขึ้น

“ทยุติธรพอทีเถิด” พระบิดาทรงติงพระโอรสมาทันใด “พระคุณเจ้าอุตส่าห์ขอบิณฑบาต เจ้ายังเพิกเฉยกระนั้นหรือ”

“แต่ลูกมีเหตุผล” ทยุติธรทรงแย้งมา แต่ก็ต้องเงียบเพราะสมเด็จทวดทรงดุด้วยสายพระเนตรเป็นการเตือนให้หยุดพูดเสีย ทยุติธรทรงพึมพำกับองค์เอง “ไหนว่าทรงฌาน ไหนว่าเสด็จเฝ้าพระมหาเทพ แล้วนี่เสด็จกันมาหมดได้ไง วุ่นจริง”

“ก็เสร็จแล้วเลยออกมา และก็เลยรู้ว่าเจ้าบังอาจเพียงใดทยุติธร” แม้จะทรงพึมพำเบาเท่าไรสมเด็จทวดก็ทรงได้ยิน

หลวงตาเห็นว่าจอมนาคาทั้งสองยังคงลังเล จึงกล่าวสำทับขึ้น “ มหาบพิตรทั้งสอง พระราหูท่านเสด็จลงมาแล้วและอีกอย่างท่านก็ใช้ร่างทารกนาคเป็นร่างจุติ ซึ่งจะช่วยทำประโยชน์ให้กับสวรรค์ได้ นั่นก็คือการปราบอสูร ดั่งเทวะทั้งห้า พระราหูท่านเป็นครึ่งยักษ์ครึ่งนาค และเด็กคนนี้ ก็มีเชื้อนาคอยู่ในตัว ฉะนั้นหากมหาบพิตรทำลายร่างนี้ไป พระราหูท่านก็ต้องหาร่างใหม่ และกว่าท่านจะจุติได้ ก็จำเป็นต้องใช้ร่างของผู้มีเชื้อนาค ซึ่งมันก็จะกลับมายังจุดเดิม ปัญหาเดิม อาตมาอยากให้ทรงถี่ถ้วน คิดให้ดี”

เสียงของหลวงตาดุจเสียงสวรรค์ ทำให้หลายๆคนโล่งพระทัยและโล่งอก โดยเฉพาะนางนาคา ลูกตนมีทางรอดแล้ว ส่วนพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีก็ทรงยิ้มได้โดยพลัน เพราะทั้งสองพระองค์ก็ได้รับเทวะโองการจากมหาศิวะและมหาวิษณุ ให้ช่วยเหลือเหล่าเทวะอวตารด้วย ทางออกมีมาให้แล้ว โดยมิต้องทรงทบทวนอื่นใดทั้งสิ้น จอมนาคาทั้งสอง ตรัสมาแทบจะพร้อมกัน

 “เรื่องเด็กเอาตามพระคุณเจ้าว่าเถิด ให้พระราหูท่านใช้เป็นร่าง เพื่อการปราบมาร....ส่วนนางนาคาข้าพเจ้าต้องขอพาตัวไปเก็บไว้ที่บาดาลมอบให้ฝ่ายในควบคุมภายใต้พระบัญชาแห่งสมเด็จแม่ นางจะอยู่กับมนุษย์ไม่ได้ และมนุษย์ผู้เป็นสามีต้องถูกลบความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อเป็นการแยกพ่อแม่ลูกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่”

เสียงไชโย โห่ร้องดังลั่น มาจากกลุ่มเทวะน้อย นางนาคาก้มกราบบังคมจอมนาคเทวะทั้งสองพระองค์ทันใด ขอบพระทัยที่ยังทรงเมตตาไว้ชีวิตตนกับลูก แม้ตนจำต้องกลับไปรับโทษ ราหูเองก็กราบลงอีกครั้งแล้วประคองแม่มากอดไว้แน่น “แม่...เราสองคนรอดแล้ว”

“อาตมาเพียงแค่ขอบิณฑบาตชีวิตน้อยๆนี้ไว้ ส่วนเรื่องอื่นเป็นการตัดสินใจของมหาบพิตรเถิด มหาบพิตรทั้งสองตัดสินพระทัยได้ถูกต้องเจริญพร้อมด้วยพระเมตตา อาตมาขอถวายพระพรให้ทรงพระเจริญ”  หลวงตากล่าวจบก็พนมมือสวดสรรเสริญถวายพระพร จอมนาคาทั้งสองพร้อมด้วยพระมารดา และทูลหม่อมพ่อกับสมเด็จแม่ของเจ้านาคน้อยพนมหัตถ์รับพรนั้น

“มหากรุณาณิโก นาโถ  หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรต์วา ปาระมีสัพพา ปัตโตสัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเต ชะยะมังคะลัง”

“พระพุทธองค์ ทรงเป็นที่พึ่งของเหล่าสรรพสัตว์ ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาที่ทรงทำบารมีให้เต็มเปี่ยม ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงบรรลุแล้วซึ่งพระญาณเครื่องตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ด้วยการกล่าวสัจจะวาจานี้ ของชัยมงคลจงบังเกิดแก่ มหาบพิตรและมหาเทวีทั้งหลายด้วยเทอญ”

“สาธุ”  พอสิ้นเสียงหลวงตา จอมนาคาทั้งหลายต่างก็แซ่สร้องสรรเสริญรับพร รัศมีสีขาวเจิดจ้าจับทั่วพระวรกายทุกพระองค์ แสดงให้เห็นว่า บารมีแห่งพระพุทธองค์ ทรงเข้าถึงพระทัยแล้ว 

“ข้าพเจ้าทั้งหลาย ในนามนาคเทวะแห่งบาดาล ขอกราบนมัสการ และจะตั้งมั่นในพระธรรมคำสอน ดำรงอยู่ในศีลในธรรมและจะปกป้องพระพุทธศาสนาสืบไป ข้าพเจ้าขอกราบอำลา” พญาอนันตนาคราชทรงเป็นตัวแทนกล่าวขึ้น แล้วทรงนำคณะก้มลงกราบพระคุณเจ้า ส่วนพญาวาสุกีเมื่อกราบเสร็จก็ทรงหันไปสั่งความนาคบริวารทั้งหลาย

“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว และไปรอข้าอยู่ที่ท้องพระโรง เจ้าด้วยทยุติธร จงไปรอปู่ที่นั่น เรามีเรื่องต้องคุยกันใหม่”

“พะยะค่ะ”

ทยุติธรทรงมิพอพระทัยเท่าไรนักในคำตัดสิน แต่ก็ทรงทำอะไรมิได้แล้ว นางนาคีรับโทษ มนุษย์ผู้ชายจะถูกลบความทรงจำ ส่วนทารกนาคจำต้องปล่อยไว้ให้เป็นร่างพระราหู พระอารมณ์ขุ่นมัวเริ่มขึ้นมาอีกระลอกแต่ก็จำต้องเสด็จกลับตามพระบัญชา และเมื่อทรงลงกับใครไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้า ผู้ใหญ่และพระอริยสงฆ์ จึงทรงหันมาทางพระอนุชา มาลงเอากับสีทันดร

“เหอะในเมื่อพี่กลับ เจ้าก็ต้องกลับด้วย”  พระหัตถ์แข็งแรงจึงฉุดข้อพระกรพระอนุชาพระองค์น้อยมาด้วยทันใด “กลับบาดาล สีทันดร ”

สีทันดรตกพระทัยแข็งขืนร้องลั่น “หม่อมฉันไม่กลับ พี่ชายปล่อยหม่อมฉัน.....”

“พี่บอกให้กลับบ้าน อย่าดื้อกับพี่....” ทยุติธรทรงเอ็ดน้อง โอบพระวรกายพระอนุชาไว้มั่น สีทันดรพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล แล้วหันไปสั่งความกับราชองครักษ์ “ไปคุมตัวนางนาคีกลับไปรับโทษ”

ราชองครักษ์สามถึงสี่ตนเดินเข้ามายังกลุ่มเทวะน้อย หมายใจจะจับนางนาคาแต่ก็ต้องชะงักด้วยสุรเสียงใสดุจระฆังเงินอันเฉียบขาดสกัดกั้นไว้

 “อย่าแตะต้องตัวนางเป็นอันขาด เราจะพานางกลับไปเอง”

“จะดีหรือพะยะค่ะ พระธิดามุจลินทร์ กระหม่อมได้รับคำสั่งมาจาก...” กลุ่มราชองครักษ์ยังคงลังเล มุจลินทร์จึงกล่าวด้วยพระสุรเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ได้ยินเราพูดหรือไง นางเป็นฝ่ายใน ซึ่งเราช่วยกำกับดูแลอยู่ เจ้ายังกล้าบังอาจแตะต้องบริวารของเราอีกหรือ ใจคอจะโหดร้ายกันเกินไปแล้ว ไม่ให้แม่กับลูกเขาร่ำลากันเลยหรือไร”

แม้มุจลินทร์จะทรงกล่าวกับบรรดาทหารองครักษ์ แต่พระเนตรก็จับจ้องไปยังผู้ทรงสั่งการ จงใจกระทบเต็มที่ พอทยุติธรทรงได้ยินชัด สะบัดพระพักตร์พรึ่ด  แล้วทรงกล่าวว่า

“ก็ได้ เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าดูแลนางนาค และเจ้าเองก็อย่าลืมหน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำเช่นกันมุจลินทร์....พวกเจ้าถอยมา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระนางมุจลินทร์ ตามที่พระนางปรารถนา”

“หม่อมฉันไม่ลืมหรอกเพคะ หากทรงเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับหน้าที่นั้น” มุจลินทร์ก็สะบัดพระพักตร์เช่นกัน นลกุพรที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกสะดุดพระทัยในคำพูด ฤาหน้าที่นั้น เป็นเหตุให้มุจลินทร์ หลบหน้าหลบตาตน แต่การซักถามนางตอนนี้คงไม่เหมาะ

ส่วนอัสดงหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันใด นั่นไง ไอ้ขี้เก็ก มันจะพาไอ้ดื้อกลับไปด้วยแน่แล้ว เขาจึงรีบพุ่งปราดจะเข้ามาขัดขวาง พร้อมๆกับสีทันดรเองก็ร้องดังลั่นกว่าเดิม

“สมเด็จทวด ช่วยหม่อมฉันด้วย พี่ชายรังแกหม่อมฉันอีกแล้ว”

“อะไรกันอีกทยุติธร ไปทำอะไรน้อง” พระนางกัทรุทรงหันขวับ คราวนี้เสด็จเข้ามาใกล้ “ไปจับน้องไว้ทำไม”

“หลานจะพาน้องกลับ”

“แต่ปู่สั่งไว้แล้ว ให้สีทันดร อยู่ช่วยเทวะอวตาร เจ้ากล้าขัดขืนคำสั่งปู่เหรอ” พญาวาสุกี ทรงกล่าวขึ้นกับพระราชนัดดาองค์โต คำสั่งหรือพระบรมราชโองการ ฤามีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน “ปล่อยน้องบัดเดี๋ยวนี้”

เท่านั้นแหละ ทยุติธรจึงทรงจำต้องปล่อยข้อพระกร พระอนุชา สีทันดรเมื่อหลุดมาได้ก็รีบวิ่งออกมา แต่แทนที่จะไปหลบหลังพระนางกัทรุกับทรงเสด็จเข้าไปหาอัสดงเกาะแขนเขาแน่น อัสดงรีบโอบพระวรกายที่เข้ามาหาไว้ในอ้อมแขน ลองดูสิ ลองใครเข้ามาพรากสีทันดรออกไปจากอ้อมอกดูสิ

“เกือบไปแล้ว ไอ้ดื้อ ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครพาเจ้าไปจากอัสสะได้”

พระนางกัทรุ และสมเด็จพระสมุทรเทวี  ทอดพระเนตรเห็นภาพนั้น ต่างก็ทรงหันมามองพระพักตร์กันโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนสมเด็จพระราชบิดา ทูลหม่อมปู่ทั้งสองก็ขมวดพระขนง ฉุกพระทัย ฉงนฉงาย ว่าสีทันดร เป็นแค่สหายของพระสุริยาทิตย์แน่หรือ คราวนี้เป็นทีของทยุติธรบ้างแล้ว  องค์ทยุติธรจึงทรงรีบกล่าวขึ้นทันใด

“ทรงเข้าพระทัยกันแล้วใช่ไหม ว่าทำไม หม่อมฉันจะพาสีทันดรกลับ”

ก่อนที่จะมีพระองค์ใดเปลี่ยนพระทัย ตรัสสั่งให้พาสีทันดรกลับ สุรเสียงใสดังกังวานเลิศ ก็ตรัสผ่านเข้าทุกพระโสต พระสุรเสียงนั้นแม้จะอ่อนหวานหากทว่าก็แฝงไว้ด้วยอำนาจ และไม่มีผู้ใดกล้าขัด แม้แต่พญาอนันตนาคราช

“ สีทันดรเกิดจากพรและอำนาจแห่งเรา อย่าได้กระทำการอันใดขัดกับชะตาที่เรากำหนดไว้ พระสุริยาทิตย์จะเป็นผู้ดูแลสีทันดรต่อไป.... ฤาจะมีผู้ใด มิเห็นด้วยกับคำเรา”

“มหาลักษมีเทวี!!”

ทุกพระองค์ทราบโดยทันทีว่า ผู้ที่ตรัสเมื่อสักครู่เป็นใคร และก็ไม่มีพระองค์กล้าทูลแย้ง จำต้องถอนพระราชหฤทัย ที่พระราชนัดดาพระองค์น้อยและพระโอรสพระองค์เล็ก อาจจะต้องมีผู้ปกครองหัวใจ เป็นผู้ชายด้วยกัน

“ ทรงลิขิตไว้แล้ว พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ ....ฤาเจ้าจะกล้าฝืน ทยุติธร”

พระบิดาทรงตรัสถาม ทยุติธรเองก็นิ่งงัน ทูลตอบอะไรไม่ออก ในตอนแรก พระเสาวนีย์แห่งพระมหาเทวีชัดแจ้ง และศักดิ์สิทธิ์ดุจพระบรมราชโองการแห่งพระมหาวิษณุเจ้า แต่ทยุติธรยังมิทรงลดลาจึงทูลตอบพระราชบิดามาว่า “สักวัน หม่อมฉันจะพาสีทันดรกลับมาให้จงได้พะยะค่ะ หม่อมฉันถวายสัญญา”

แล้วขบวนเสด็จกลับก็เตรียมพร้อม เอราวัตกับคืนฉายพาบิดาออกมาจากวงล้อมนาคทั้งปวง พญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีต่างกล่าวขอโทษที่ทยุติธรหลานชายล่วงเกินไปถึงบิดา เอราวัตเห็นว่าบิดาตนไม่เป็นอะไรเพียงแค่ถูกสะกดไว้ให้หลับ และเรื่องราวก็จบลงด้วยดี จึงไม่เอาความใดๆทั้งสิ้น

ส่วนนางนาคีเมื่อถึงเวลาจะกลับบาดาลก็ร่ำไห้กอดลูกชายแนบแน่นเป็นครั้งสุดท้าย “ลูกแม่ แม่ต้องกลับไปยังภพภูมิเดิมของแม่ แม่ลาก่อน รักษาตัวให้ดี และขอให้ปราบอสูรสำเร็จ หากมีวาสนาเราสองคนแม่ลูกคงได้พบกันอีก .....แม่ฝากลาพ่อด้วย พ่ออยู่ในห้องพระบนบ้าน ดูแลพ่อให้ดี แม่ต้องไปแล้ว”

“แม่จ๋า....ลูกสัญญาว่า วันหนึ่งข้างหน้า เราพ่อแม่ลูกจะต้องอยู่ด้วยกัน” ราหูกล่าวตอบด้วยน้ำตาลูกผู้ชายนองหน้า แม้จะเพิ่งจุติลงมารวมร่างแต่สายสัมพันธ์ระหว่างมารดากับบุตรก็แน่นแฟ้นเกินกว่าสิ่งใด แม่ยอมตาย ยอมรับโทษทั้งมวล  เพื่อปกป้องเขาไว้ ความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ชาตินี้ก็ทดแทนไม่หมด

“แม่ลาก่อน” นางนาคากล่าวจบก็แข็งใจออกจากอ้อมกอดลูก หักใจหันหลังเข้าร่วมขบวน มุจลินทร์เสด็จขนาบข้างแล้วทรงกระซิบว่า

“รอให้เรื่องเงียบ เราจะพาเจ้ามาหาลูก...ไม่ต้องกังวล”

“ขอบพระทัยเพคะพระธิดา”

แต่ก่อนที่มุจลินทร์จะเสด็จกลับ นลกุพรก็รีบวิ่งมาดักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “มุจลินทร์ อย่าเพิ่งกลับได้ไหม อยู่คุยกับนลก่อน”

“นล.....ไว้เราค่อยคุยกันนะ เราต้องกลับแล้ว”

“อะไรกัน....นลไม่เข้าใจ ทำไมหมู่นี้ไม่มาหานลที่หิมพาต์เลย”

มุจลินทร์จะกล่าวตอบแต่พระเนตรฟ้าครามคู่หนึ่งก็ทรงหันมาจับจ้องไว้ พระเนตรคู่นั้นเสมือนเตือนถึงหน้าที่ ที่มุจลินทร์ต้องกลับไปกระทำ และก็ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องกลับซะที แล้วสุรเสียงห้าวหาญก็ตรัสแทรกขึ้น “กลับได้แล้ว มุจลินทร์ อย่าลืมสิ่งที่สัญญากับเราไว้”

มุจลินทร์จึงสะบัดข้อพระกรออกจากนลพานางนาคเข้ามารวมกลุ่ม และตรัสกับทยุติธรเพียงได้ยินกันสองต่อสองว่า “ทรงพอพระทัยแล้วใช่ไหมเพคะ”

“หึ ...เราก็แค่เตือน ว่าผู้ที่จะรับตำแห่งเอกอัครชายาแห่งเรา ควรจะรู้ว่าสิ่งใดเหมาะสม สิ่งใดไม่เหมาะสม”

“หม่อมฉันทราบดี มิต้องทรงย้ำ”

สีทันดรเมื่อเห็นว่าทุกพระองค์จะเสด็จกลับก็ถวายบังคมลา ทยุติธรแกล้งมองไม่เห็นน้องน้อยถวายบังคมในตอนแรก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง พระอนุชาที่รักยิ่ง

“ดูแลตัวเองดีๆ สีทันดร” แล้วก็ทรงกลั้นใจ หันมากล่าวกับอัสดงอย่างไม่มีทางเลี่ยง “.ส่วนเจ้าสุริยาทิตย์ หากน้องชายเราเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายเล็บ เราเอาเจ้าตายแน่”

“พี่ชายไม่ต้องห่วง หม่อมขอฉันทูลลา”

สิ้นพระดำรัส ขบวนเสด็จทั้งมวลก็กลายเป็นแสงสว่างจ้าหายวับไปจากบริเวณนั้น วงศ์วานของสีทันดรกลับไปหมดแล้ว ทุกคนถอนหายใจได้อย่างเต็มที่ ราหุรีบเช็ดน้ำตาที่ยังค้างคา กล่าวกับหลวงตาว่า

“หลานขอนมัสการพระคุณเจ้าผู้เมตตา ชีวิตของหลานเป็นหนี้บุญคุณของพระคุณเจ้าเหลือเกิน หากปราศจากพระคุณเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่ได้ร่วมปราบอสูรแน่”

“ลุกขึ้นเถิดราหู....ตาขออวยพรให้เจ้าปราบอสูรสำเร็จ จำไว้ เทวะกำเนิดมาเพราะหน้าที่อันพึงปฏิบัติ ขอชยะจงบังเกิดแก่เทวะทุกพระองค์”

“สาธุ”

“ตาไปก่อนแหละอัสดง ขอให้เจ้าแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง” หลวงตากล่าวกับอัสดงก่อนจะลาจาก อัสดงรีบกวักมือเรียกเจ้านาคน้อย เข้ามากราบอำลา หลวงตาด้วยความเอ็นดูทั้งคู่และรู้ได้ด้วยญาณวิเศษว่า อัสดงอยากจะพาสีทันดรไปกราบนมัสการเป็นการส่วนตัว จึงลูบศีรษะ แล้วพูดต่อด้วยเมตตา “ตาไม่ว่าหรอก ถ้าจะพาไปเที่ยวที่วัด ต่อไปเจ้าจะได้ไม่ต้องไปในฝันกันอีก”

สีทันดรพระพักตร์แดงทันใด เขินที่หลวงตารู้เรื่องตอนที่ตนแอบไปเข้าฝันอัสดง อัสดงเองก็ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ หลวงตากล่าวจบก็กลายเป็นรัศมีขาวนวลสว่างจ้าวาบวับลับหาย บรรยากาศรอบด้านที่เคยสว่างไสว มืดมนลงดังเดิมคืนสู่สภาวะธรรมชาติ ส่วนนลกุพร เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยก็ลากลับไปพร้อมกับทัพยักษ์ราชองครักษ์ ก่อนไปอัสดงแนะนำให้รู้จักกับสหายเทวะทั้งหลาย และกล่าวขอบใจนลยกใหญ่ ก่อนกลับนลกุพรบอกกับสีทันดรว่า

“มุจลินทร์ ต้องมีอะไรแอบแฝงนลแน่ๆ สีทันดร เจ้าลองถามนางให้หน่อยได้ไหม นลไม่สบายใจเลย”

“ได้สินล...เราขอบใจนลมากนะวันนี้ นึกว่านลจะไม่มาซะแล้ว”

“ต้องมาสิ....เจ้าเป็นเพื่อนรักของนลนี่.....นลไปก่อนนะ อย่าลืมล่ะสีทันดร” นลกุพรกอดสีทันดรอำลา แล้วโบกมือให้พวกอัสดง ก่อนจะเสด็จกลับขึ้นสู่ฟ้าพร้อมกับกองทัพยักษ์ เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ทั้งหมดจึงช่วยกันพาบิดาของเอราวัตขึ้นไปยังบนตัวบ้าน คุณยายที่นั่งสวดมนต์อยู่ ยุติการสวดทันใด ดีใจนักที่หลานชายกับเพื่อนๆ ไม่เป็นอะไรและที่สำคัญ พาลูกเขยกลับมาได้

“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ตาหนู พาพ่อมานอนข้างๆแม่นี่”

คุณยายบอกให้เอราวัตที่พยุงร่างคุณพ่อมากับคืนฉาย พาร่างนั้นมาวางไว้บนตั่งเท้าสิงห์ เอราวัตรีบร่ายพระเวทรักษาให้พ่อฟื้นและลบความทรงจำเรื่องที่พ่อถูกจับลงไปใต้บาดาล และความทรงจำจากเรื่องวุ่นๆของวันนี้ออกจากแม่ ครั้นพอพ่อกับแม่ฟื้นขึ้นมาทั้งสองก็จำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้อีก พอจะพูดขึ้นมาก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำให้ลืมเสีย ส่วนคุณยายมิจำเป็นเพราะเอราวัตมั่นใจว่าคุณยายคงไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแน่ๆ แล้วทั้งหมดก็พากันไปยังห้องพระ เพราะเอราวัตต้องลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนางนาคและลูกออกจากตัวคชาตามที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะกระทำการนั้น เอราวัตจำต้องคุยกับราหู

“มีอะไรจะพูดกับพ่อนายไหม ก่อนที่พ่อนายจะจำอะไรเกี่ยวกับนายและแม่นายไม่ได้อีก”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“ไม่มี....นายลบเหอะพระพุธ ฉันไม่อยากให้พ่อมีห่วงอันใดอีก หากพูดคุยกัน ก็จะทำให้ความทรงจำที่ผูกพันลบยากยิ่งขึ้น ร่างกายมนุษย์จะทนทานต่อพระเวทนายไม่ได้ นายก็รู้”

“งั้น ตกลงตามที่นายว่า”

เอราวัตร่ายพระเวทลบความทรงจำมาให้คชา พระเวทนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง คชาจากที่นอนหลับมาโดยตลอดก็กลับฟื้นตื่นขึ้นมา กลายเป็นคชาคนเดิม ไม่เหลือรอยอาการเหม่อและเพ้อใดๆทั้งสิ้น การลบความทรงจำครั้งนี้แม้จะดูว่าโหดร้ายต่อความรู้สึกมนุษย์ แต่กฎแห่งทิพยภพจำต้องรักษา มิฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจะตามมามิหยุดหย่อน ราหูแข็งใจจำจาก จากพ่อและแม่ ด้วยเพราะหน้าที่แห่งเทวะที่พึงกระทำและกฎที่ตราไว้เพื่อรักษาสมดุล

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เทวะน้อยทั้งหลายต่างก็มานั่งจับเข่าคุยกัน ถึงเทวะอีกสององค์ที่จะมารวมตัว “ฉันว่าก็คงไม่แคล้ว ไอ้พระอังคารกับไอ้พระพฤหัส ไม่รู้ว่าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ป่านนี้ยังไม่โผล่ออกมาอีก”

“เห็นด้วยกับไอ้ฉัตรว่ะ ....นี่พวกเราก็รวมกันได้หกแล้วเหลืออีกสอง แล้วเมื่อไรจะมีเทวโองการลงมาก็ไม่รู้” ทรงกลดแสดงความคิดเห็นทอดถอนด้วยความหนักใจ หนทางข้างหน้าในการปราบอสูรทำไมยังไม่ชัดแจ้งเสียที

“อย่าเพิ่งกังวลไปเลย จันทรเทพ ก่อนฉันลงมามหาศิวะทรงเรียกฉันไปพบ ทรงตรัสว่า อีกสององค์ที่เหลือจะตามมาสมทบเร็วๆนี้ อย่าร้อนใจ” ราหูกล่าวขึ้น

“เรียกฉันว่าทรงกลดดีกว่า อย่าเรียกชื่อเดิมเลย ตอนนี้พวกเราอยู่ในร่างมนุษย์แบ่งภาคมาแล้วเรียกชื่อมนุษย์ดีกว่า” ทรงกลดพูดจบเทวะน้อยก็กล่าวชื่อของตนให้ราหูฟัง ราหูก็ยินดีจะเรียกชื่อมนุษย์ของเพื่อนๆส่วนตนยินดีจะใช้ชื่อเดิม

“เออ แล้วทำไมนายไม่ลงมาเกิดวะ มารวมร่างทำไม” คืนฉายถามขึ้น

“ก็เพราะ ฉันเป็นเทพครึ่งยักษ์ครึ่งนาคน่ะสิ จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องรอเกิดจากครรภ์ของนาคที่มีเชื้อมนุษย์ ซึ่งหายาก กว่าจะหาได้ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้ลงมาเสียแล้ว”

“แต่ฉันว่าดีไปอีกแบบนะโว้ย ลงมาปุ๊บก็ใหญ่ปั๊บ ไม่ต้องรอตั้งแต่เป็นเด็กเหมือนพวกฉัน” คันฉัตรกล่าวสองแง่สองง่าม เรียกเสียงหัวเราะได้ทั่ว “ลองตรวจสอบดูหรือยัง ไม่ใช่ว่าโตแต่ตัว ส่วนไอ้นั่นยังขนาดเท่าเด็กทารกอยู่”

สีทันดรที่ประทับฟังอยู่ด้วย ทรงพระพักตร์แดงทุกครายามที่เทวะน้อยๆพวกนี้พูดจาสับปะดี้สีปะดน เสด็จลุกออกจากวงสนทนาเข้าสู่ห้องพระบรรทมทันที “ลามก ไม่มีใครเกิน ฟังแล้วระคายหู”

“ไปไหนน้องดื้อ....มาอยู่ช่วยเป็นพยานก่อนว่าพี่ราหูเขาใหญ่ขึ้นทุกส่วนจริงหรือเปล่า” คืนฉายฉุดพระหัตถ์ไว้ ให้ประทับนั่งลงที่เดิม  เสียงหัวเราะของบรรดาเทวะน้อยดังลั่น แต่สีทันดรมิขำด้วย

“พี่ฉายลามก พี่เอราวัตพาไปสั่งสอนเลย ไม่คุยด้วยแล้ว...เราง่วง และก็เหนื่อยมาก เชิญพวกพี่ๆคุยตามอัธยาศัยเหอะ ใครจะอึดและถึกเหมือนพวกพี่ๆล่ะ ใช้ฤทธิ์กันมาทั้งวันไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง” สีทันดร มิยอมร่วมวงสนทนาด้วยอีกแล้ว เสด็จกลับเข้าห้องตามตั้งพระทัย ทรงกลดสบโอกาสตั้งใจจะลุกตามไป แต่ความไวนั้นแพ้อัสดง ที่สลายหายวับ ออกจากวงสนทนาไปแล้ว

“โธ่ โว้ย.....” ทรงกลดสบถออกมาอย่างคั่งแค้น ไม่ได้ดั่งใจ โมโหตนเอง ยิ่งนัก คันฉัตรที่นั่งอยู่ข้างๆจึงปลอบใจมาด้วยความเห็นใจ

“เอาน่ามึง..... ใจเย็นๆ”

“ไม่เย็นแม่งแล้ว .....กูมีอะไรดีสู้อัสดงไม่ได้วะ” ว่าแล้ว วงสนทนาก็แตก ทรงกลดเดินปึงปังออกไปบ้าง เล่นเอาเอราวัต คืนฉาย คันฉัตรและราหู ตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่เคยเห็นทรงกลดที่อ่อนโยน เป็นอย่างนี้มาก่อน

“เฮ้ยไอ้กลด กลับมาก่อน”

“ปล่อยมันไปก่อนเหอะเอราวัต ฉายว่า ให้มันอยู่คนเดียวสักพักเดี๋ยวมันคงดีขึ้น” คืนฉายห้ามเอราวัตไว้ไม่ให้ออกไปตาม ราหูรู้สึกงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จนทั้งสามต้องอธิบายให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พอทราบความทั้งหมด ราหูเองก็ถอนใจ

“ เฮ้อ ไอ้พระจันทร์นี่แต่ไหนแต่ไร ชอบไปรักคนมีเจ้าของแล้ว ดูอย่างกรณีเมียไอ้พระพฤหัส ก็ดันไปแย่งเขามาจนได้ จน เอ่อ....”

“ฉันไม่ใช่ลูกชู้ที่เกิดกับไอ้พระจันทร์และเมียไอ้พระพฤหัสนะ ฉันเกิดจากฤทธิ์แห่งพระมหาเทพที่สร้างฉันมาจากช้างตำนานนั้นนายพับเก็บใส่กระเป๋าไปได้เลยไอ้ราหู” เอราวัตชิงพูดขึ้นมาทันที เพราะทราบว่าราหูคิดอะไร

“แหม แค่ล้อเล่นไอ้บ้า ทำมามีโมโห....แต่ก็อย่างว่าแหละ น้องเขาน่ารักซะขนาดนั้น เป็นฉัน ฉันก็ห้ามใจไม่อยู่”

“คิดน่ะคิดได้ .....แต่ถ้าจะเอาจริงๆ มึงฝ่าถึงสี่ตีนเลยนะโว้ย แถมพี่ชายเขาก็แม่ง เป็นนาคแท้ๆ เสือกดุอย่างกับเสือ มึงก็เห็นแล้วนี่” คันฉัตรบอกให้ราหูฟัง เพราะตัวเขาเองก็เคยโดนเตือนเช่นนี้มาก่อนตอนรวมกลุ่มใหม่ๆเฉกเช่นคืนฉาย

“เห็นใจไอ้กลด....สาธุ ขอให้มันเจอคนใหม่เหอะ มันจะได้ตัดใจเสียที”

สีทันดรเมื่อเข้าห้องพระบรรทมมาได้ ก็สลัดฉลองพระองค์ตามแบบของมนุษย์ออกเพื่อเตรียมสรง พระวรกายที่เคยมีเสื้อผ้ากางกั้นบัดนี้เปล่าเปลือย พระฉวีที่งามงดเกินเทวบุตร ถูกแสงจันทร์สีเงินที่ทะลุบานหน้าต่างเข้ามาโลมเลียทุกตารางนิ้ว สีทันดรเองเพิ่งสังเกตองค์ในบานพระฉายบานใหญ่ว่าองค์เองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะหนุ่มและเจริญชันษาขึ้นกับเขาแล้วเหมือนกัน ไรขนอ่อนๆสีทอง ขับพระฉวีให้ดูเด่น ทรงเช็ดพระพักตร์ช้าๆไล่สิ่งสกปรกออกแล้วเตรียมเสด็จเข้าห้องสรง ซึ่งมีถังไม้ถังใหญ่ จัดไว้เป็นอ่างสำหรับลงไปสรงโดยเฉพาะ สีทันดรด้วยความที่ทรงเหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน จึงเสด็จลงไปในถังไม้ใหญ่ทันที พระเศียรพึงขอบถังด้านหนึ่งไว้ ปล่อยพระวรกายแช่ไว้เต็มองค์

“สบายจัง ได้อาบน้ำเสียที” ทรงตรัสขึ้นกับองค์เอง แล้วจู่ๆก็ต้องสะดุ้งขึ้นสุดองค์ เพราะวงแขนแข็งแรงจากใครบางคน ตวัดบั้นองค์เอาไว้ แล้วเจ้าของแขนแข็งแรงนั้น ก็โผล่ขึ้นมาจากอีกด้านของถังไม้ พระวรกายถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของเขาคนนั้นทันใด ร่างนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเปล่าเปลือยเช่นกัน แผงอกกว้างที่เริ่มอยู่ในวัยหนุ่มน้อยกำยำทาบทับ ร่างทั้งสองแนบชิดสนิทแน่น และอวัยวะบางส่วนของเขาคนนั้นก็เริ่มดันอยู่บริเวณบั้นพระองค์

“อัสสะ เข้ามาได้ยังไง ปล่อยเราก่อนนะ เราอาบน้ำอยู่”

“รู้แล้ว....เลยมาขออาบด้วยไง” อัสดงคงไม่อยากอาบน้ำด้วยอย่างเดียวเป็นแน่ เพราะคางสากๆที่เริ่มมีไรหนวดปลายเล็ก และริมฝีปากที่ร้อนผ่าวของเขาเริ่มซุกไซ้ไปทั่ว ตั้งแต่ซอกหูเรื่อยลงมาจนถึงซอกคอและและไหล่ที่งามกลมกลึงก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่งามที่เผยอขึ้นด้วยความรัญจวนใจ

สีทันดร.....งามไปทุกส่วน ดุจรูปสลัก และอัสดงก็พร้อมแล้วที่จะเชยชมรูปสลักอันไร้ตำหนินั้น

ผิวละเอียดดั่งผิวมะปรางสุก
กลิ่นประดุจสุคนธชาติอันหอมหวาน
ยามได้ยลแย้มยวนชวนชื่นบาน
เสน่ห์ซ่านสุดซึ้งตรึงหทัย

อันใครอื่นหมื่นแสนที่เคยเห็น
ก็หาจับใจเป็นเช่นนี้ไม่
ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ
จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว**

“เป็นของอัสสะเถิดนะ..... คนดี”

*********************************
แล้วพบกันตอนต่อไปค่ะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ยังติดตามและให้กำลังใจเสมอมา  :pig4:  :man1:

อ้างอิง * เพลงลาวม่านแก้ว
** สุนทรภู่

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
    ช่าง...ตัดตอนได้ดีเหลือเกิ้นนนนนนน น้องดื้อจะตอบพี่อัสดงว่าอะไร :jul1:
   สนุกมาก ทำให้ได้แง่คิดหลายๆอย่างด้วยนะ   

ออฟไลน์ Pithchayoot

  • พิชญ์ชยุตม์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สนุกมาก รอน้องดื้อกับพี่อัสสะอยู่ค่ะ

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
5555อัสสดงใจร้อนสมกับเป็นอณูแห่ง พระสุริยยเทพจริงๆ จริงๆอ่านจบไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังสนุกอยู่ดี รอตอนต่อไปค่ะ :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
สนุกมากครับ อ่านซ้ำๆสามสี่รอบละ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๑๓  จันทรคราส (ครึ่งแรก)


จันทร์เอ๋ยเคยสว่าง ...... ไยจางแสง
ฤาจันทร์แกล้ง เย้าว่าเราอก หมองไหม้
ฤาลมเจ้าเอ๋ย เคยโชยชื่น....รื่นหัวใจ
เป็นอะไรจึงสงัดไม่พัดเลย

ดาวเอ๋ยดาว.....พราวพร่างไกล เห็นไหวระยิบ
ดาวกระพริบ ต่างเยาะเรา ฤาดาวเอ๋ย
จักจั่น สนั่นเพรียก.....เรียกคู่เชย
ราวจะเย้ย ว่าเราไม่........... “มีใครปอง”

“เรามีดีอะไร สู้ไอ้พระอาทิตย์มันไม่ได้” อณูน้อยแห่งจันทรเทพเปรยกับตนเอง หลังจากอัดควันบุหรี่แน่น โพยพ่นออกมาอย่างช้าๆ ควันสีขาวลอยอวลไปตามลม เบื้องบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ต้นกำเนิดแห่งเขาสีนวลกระจ่างใส กลับซีด ประดุจหัวใจเขายามนี้

‘เจ้านาคน้อย’ หรือน้องดื้อที่เคยเรียก คือเหตุแห่งอารมณ์ขุ่นมัวทั้งปวง ยามที่ได้ประสบพบพักตร์ครั้งแรก หัวใจเขาก็บอกกับตนเองไว้แล้วว่า ‘คนนี้แหละใช่’ พระเนตรฟ้าครามใส ทีท่าดื้อรั้น ทำให้หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ยามนั้น อัสดงทำเจ้านาคน้อยร้องไห้และเขาเองก็คือผู้เช็ดน้ำตา แต่ใยเจ้านาคน้อยมิเห็นคุณค่า เขาเองเป็นถึงอณูแห่งจันทรเทพ เทวะผู้ทรงเป็นประธานยามราตรี ศักดิ์และศรี เทียมเท่าพระสุริยาทิตย์ หรือเขาจะรุกหน้าช้าไป รู้อย่างงี้จัดการเสียตั้งนานก็ดี

ขนตาหนางามงอนราวอิสตรี เริ่มมีหยาดน้ำใสๆ เกาะพราว แลยามกระพริบคราใด หยาดน้ำตานั้นก็หล่นลงกระทบแขน พระสุรเสียงที่กังวานก้องยังคงดังสลับซ้ำไปมาในโสต ‘หม่อมฉันรักอัสดง’ อีกซ้ำทีท่าที่โผเข้าหากัน ทำให้หัวใจแตกเป็นเสี่ยง .....สงครามหัวใจ เขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น

อณูแห่งจันทรเทพเริ่มรู้ หากแต่ไม่ยอมรับ

“มานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวตรงนี้แล้วจะได้อะไร ไอ้น้องชาย”

เสียงนุ่มเสนาะดังขึ้นทางด้านหลังพร้อมๆกับบุรุษผู้หนึ่ง ผู้มีรัศมีเหลืองนวลรายล้อมรอบกรอบโครงร่าง ใบหน้าดุจหล่อมาจากพิมพ์เดียวกันกับทรงกลดที่นั่งอยู่ก่อน ลักษณะท่วงท่าดุจฝาแฝด หากแต่บุรุษผู้นั้นอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรณ์ งามพร้อม ต่างกับทรงกลดที่คงอยู่ในสภาวะมนุษย์วัยสิบแปดต้นๆ

ทรงกลดหันขวับแล้วกราบลงกับพื้นทันใด “จันทรเทพ”

“ทรงกลด เจ้าน้องชาย เจ้าผู้เป็นอณูแห่งเรา เจ้าจะยอมแพ้เอาง่ายๆแค่นี้กระนั้นหรือ อณูแห่งจันทรเทพนั้นต้องไม่อ่อนแอ”

“แต่หม่อมฉันคงสู้อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไม่ได้  และอีกอย่าง น้องดื้อก็บอกมาแล้วว่ารักมัน”

“เจ้าเลยยอมแพ้.....เหอะ ไม่มีสิ่งใดที่เราปรารถนา แล้วจะไม่ได้ อณูของเราก็ต้องคิดอย่างนั้นเช่นกัน” แน่นอนแหละ ทรงมีชายาตั้งหลายนางและหนึ่งในนั้นก็ทรงไปแย่งมาจากพระพฤหัส และก็แย่งสำเร็จเสียด้วย

“แล้วจะให้หม่อมฉันทำยังไง ไอ้พระอาทิตย์มันหล่อแถมน้องดื้อก็มีใจ” ทรงกลดทูลถามพลางเช็ดน้ำตาให้เหือดหาย  ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในหน้าตาของตน เพราะเขาเองนั้นที่ผ่านมาใครได้เห็นก็ต้องมองเหลียวหลังทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สาวน้อยใหญ่หรือกระทั่งผู้ชายด้วยกัน เขามั่นใจว่าเพียงแค่เขาขยิบตาให้ คนพวกนั้น ก็พร้อมจะเดินตามมาเป็นแม่นมั่น แต่ที่ทำให้ท้อแท้คือน้องดื้อ ‘มีใจให้อัสดง’ นั่นเอง

“เราเองก็หล่อไม่แพ้ใคร....เทพธิดาหลายนางต่างเสนอตัวเข้ามาเป็นชายาไม่เว้นวัน เจ้าถอดแบบเรามาทั้งดุ้น ทำไมไม่มั่นใจในตนเอง ...เอาละเรามานี่ก็เพื่อจะช่วยทำให้เจ้าสมหวัง เห็นอณูของเราเศร้า เราก็ไม่อยากดูดาย”

ทรงกลดแปรเปลี่ยนจากสีหน้าเศร้า แช่มชื่นได้โดยพลัน “จริงหรือพะยะค่ะ”

“หลอกเล่นมั้ง.....เอ๊าเจ้าเอาสิ่งนี้ไปมอบให้เจ้านาคน้อยของเจ้า รับรอง ต่อไปจะเป็นทีของเจ้าบ้าง”

จันทรเทพทรงแบพระหัตถ์แล้วก็บังเกิดประกายระยิบระยับดุจแสงดาว พราวพร่าง รัศมีพร่างพรายนั้นครั้นพอสลายก็กลายเป็นมาลัยดอกมะลิที่ดูเผินๆ เหมือมะลิธรรมดา หากแต่พอพิจารณาให้ชัดทุกดอกที่นำมาร้อยเรียง ประดับประดาด้วยประกายเพชร สอดแซมด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเจือชมพูด้วยรัตนชาติเป็นลวดลายงดงามยิ่ง ส่วนปลายเป็นอุบะดอกรัก พลิ้วไสว ซ่อนความนัยได้แยบยล ว่า ‘รักเจ้า’

“มาลัยจากดอกไม้สวรรค์ รีบเอาไปให้เขาไป๊ เดี๋ยวจะไม่ทันการ ไปตอนนี้แหละ”

ทรงกลดรับพวงมาลัยที่หอมกรุ่นนั้นมาแล้วกราบลงเพื่อขอบพระทัย ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมา จันทรเทพก็ไม่อยู่เสียแล้ว เขาไม่รอช้ารีบมุ่งหน้าไปห้องพระบรรทมทันที ก่อนจะไม่ทันการอย่างที่ทรงตรัส ในใจพลันสงสัย ฤาอัสดง จะเผด็จศึกน้องดื้อเป็นแน่แท้ ถึงได้ให้รีบไปนัก........ไม่มีทาง ตนจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นแน่นอน

ภายในห้องพระบรรทม เจ้านาคน้อยยังคงตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงแนบแน่น ร่างกายของทั้งสองยังคงแช่อยู่ในถังน้ำใบใหญ่ อัสดงยังระดมจูบไปทั่วทุกสัดส่วนของพระวรกายที่โผล่พ้นน้ำ เท่าที่จะมีพื้นที่ให้จูบได้ สีทันดรนั้น สั่นสะท้านไปทั่วเสียงกระซิบหวานแผ่วเบาพร้อมๆกับลมหายใจกระเส่าเร่าร้อนผ่านเข้าพระกรรณอีกครา

“เป็นของอัสสะเถิดนะ..... คนดี”

สีทันดรหลับพระเนตรพริ้ม นี่คงจะถึงวาระแล้วใช่ไหม ที่จะยอม ตกเป็นของอัสดง หลังจากที่เขาเพียรขอมาหลายครั้งหลายครา ในพระทัยกำลังว้าวุ่น เพราะอนุสติเริ่มสอดแทรกเข้ามาว่า “อย่าเพิ่งเลย ไม่งาม” แต่อัสดงก็ไม่รอคำตอบ ใช้วงแขนแข็งแรงโอบอุ้มพระวรกายขึ้นมาจากถังไม้ที่ลงไปแช่กันอยู่ ถึงเจ้าจะไม่พร้อม แต่เรานั้น พร้อมแล้ว “ไอ้ดื้อของพี่ ไปที่เตียงกันดีกว่า”

สีทันดรเสมือนถูกมนตร์สวาทสะกด ถูกเขาอุ้มขึ้นจากน้ำ พระวรกายเปล่าเปลือยเริ่มสั่นสะท้าน จากลมเย็นๆที่ผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง แต่ก็ไม่เท่าสายลมสวาท ที่พัดโชยอบอวลในห้องพระบรรทม พระเนตรฟ้าครามที่หลับพริ้มเริ่มเผยอขึ้น ทำให้ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า พระวรกายถูกหนุ่มน้อยรูปงามนามอัสดงตรึงแน่นไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว ตัวอัสดงเองก็เปล่าเปลือยเช่นกัน และเขาคนนี้นั้นก็พร้อมรบเสียแล้วด้วย ....อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ ตนเองคงจะโดนอาวุธแห่งสุริยเทพ ซัดเข้าใส่เป็นแน่แท้

อาวุธที่คาดว่าจะร้ายแรงยิ่งกว่าคมจักรที่เขาเคยใช้ แม้จะไม่ทำให้พระวรกายขาดเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็แข็งแกร่งและน่าจะทำให้เจ็บได้พอดู

ทันทีที่พระปฤษฎางค์ สัมผัสเตียงขาวสะอาด พระสติก็ฟื้นคืนมาในบัดดล พระกรน้อยรีบยันอกกำยำไว้ ก่อนจะทาบทับลงมา “เดี๋ยวก่อน อัสสะ......อย่าเพิ่งเลย เรากลัว”

“กลัวอะไร....”

“ก็เรายังไม่เคย”

“อัสสะก็ยังไม่เคยเหมือนกัน.....เจ้าเป็นคนแรก และจะเป็นคนเดียว” อัสดงกล่าวตอบแล้วทาบทับลงมา พระกรน้อยฤาจะทานแรงนั้นไหว อัสดงเริ่มดำเนินการรบตามยุทธสวาทวิธีที่คืนฉายเคยถ่ายทอด เจ้านาคน้อยทรงบิดพระวรกายเร่า พยายามดันร่างชายผู้ที่เป็นที่รักออกอีกครั้ง

“อัสสะ อย่าเพิ่งเลยนะ เรายังไม่พร้อมจริงๆ” สุรเสียงน้อยๆทรงวิงวอน

“สีทันดร ไม่รักอัสสะแล้วหรือ” ยามที่อัสดงจะอ้อนทีไร จะไม่เรียกยอดรักว่าไอ้ดื้อ แต่จะกล่าวพระนามสีทันดรได้หวานเสียยิ่งกว่าหวาน “ไหนวันนี้ใครบอกว่ารักอัสสะ”

“แต่อัสสะก็ไม่เคยบอกว่ารักเรา ....แล้วอัสสะมาทำอย่างนี้ เราก็มัวหมอง” ทีท่าที่เคยซุกซนจางหาย พระสุรเสียงเขินอาย อัสดงหัวเราะน้อยๆในทีท่านั้น ‘ไอ้ดื้อ’ ของเขาเวลาเขินอาย ทำอย่างกับตนเองเป็นดรุณี

“ก็กำลังจะบอกคืนนี้ นี่ไง ถ้าอัสสะไม่รักใคร อัสสะจะไม่มาตอแยและมาทำแบบนี้หรอก สีทันดรจ๋า.....เจ้ารู้ไหมว่า วันแรกที่เราเจอกัน ในห้องนอนที่บ้านไอ้กลด อัสสะจำได้ว่าวันนั้น เจ้ามาแอบดู และอัสสะก็แกล้งหลับ” อัสดงหยุดรบชั่วขณะเบี่ยงตัวนอนข้างๆ แต่ก็ยังกอดสีทันดรไม่ยอมปล่อย

“คนเจ้าเล่ห์” สีทันดรทรงจำได้เพราะวันนั้น ทรงโดนจูบแรกจากเขาคนนี้

“ทันที่ที่อัสสะลืมตาขึ้น มันก็ยังเหมือนว่าอัสสะอยู่ในฝัน ที่มีใครก็ไม่รู้ตาฟ้าๆ มาชะโงกหน้ามอง เลยห้ามใจไม่อยู่เผลอใจไปกอดเข้า ....ความรู้สึกของอัสสะตอนนั้นบอกว่าใช่เลย เจ้านี่แหละคือคนที่อัสสะรอคอย และก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นตอนที่เราขี่อุจไฉยศรพไปหิมพานต์ด้วยกัน”

“อัสสะฉวยโอกาส” สีทันดรทรงจำได้อีกเพราะโดนเขากอดตลอดทาง ทั้งขาไปและขากลับ

“อยากบอกว่ารักเสียตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่กลัวจะเร็วไป หากวันนี้อัสสะพร้อมแล้ว ที่จะบอกคนดีของอัสสะว่า อัสสะรักเจ้าอย่างที่สุด รักยิ่งกว่าชีวิตของอัสสะเอง ”

“อัสสะพูดเพื่อที่จะให้เรายอมเป็นของอัสสะใช่ไหม”

“ไม่ใช่ ....สีทันดรเจ้ารู้ไหมว่า ชื่อเจ้าพยางค์ท้าย มันพ้องเสียงกับคำภาษาอังกฤษที่เรียกว่าดอว์น แปลว่ารุ่งอรุณ และในทุกๆรุ่งอรุณนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อถูกฉายแสงด้วยพระอาทิตย์ แค่ภาษาก็พ้องกันแล้ว ใยอัสสะจะไม่คู่กับเจ้าและรักเจ้าจริง หากเจ้ายังไม่มั่นใจ อัสสะขอสาบานต่อมหาลักษมีเทวี เลยก็ได้ว่า อัสสะจะรักและดูแลเจ้าให้อย่างดีที่สุด ให้สมกับเป็นรุ่งอรุณเดียวในชีวิตของอัสสะ ด้วยเกียรติยศแห่งสุริยาทิตย์”

“ขี้ตู่ โมเม ไม่มีใครเกิน”

สีทันดรแม้จะไม่ทรงรู้ว่าภาษาอังกฤษที่อัสสะยกมากล่าวอ้างเป็นอย่างไร แต่ทิพยอำนาจก็ทำให้ทรงรู้ได้โดยพลันว่าเขาคนนี้พูดจริง ความรู้สึกบางอย่างวาบวับจับพระหทัยทันที พระอารมณ์โหยหา ต้องการผลุดขึ้นมาเป็นลำดับ พระเศียรน้อยๆจึงซบเข้าไปบนต้นแขน กอดอัสดงแนบแน่น แล้วพระหัตถ์น้อยพลันเลื่อนลงมาสัมผัสอาวุธชนิดแปลกที่ไม่มีปลายแหลม พระหัตถ์นั้นสั่นพร่ายามแตะต้อง เพราะมิทรงเคย ครั้นพอได้สัมผัส ก็ทรงเริ่มกำเอาไว้ในอุ้งหัตถ์แน่น และสัญญาณนี้เองอัสดงจึงรู้ว่าสีทันดรทรงพร้อมแล้ว อัสดงไม่รอช้า ดำเนินการบต่อและพร้อมจัดการเจ้านาคน้อยด้วยอาวุธที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แม้จะใช้อาวุธชนิดนี้แสดงฤทธิ์เป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยซ้อมด้วยมือมานาน แต่ครั้งนี้ได้ใช้จริงๆ แล้วเขาก็จะพยายามบรรจงใช้ให้ได้อย่างดีเยี่ยม  ให้สมกับที่รอคอยมาช้านาน

“รอก่อน สีทันดรอย่าเพิ่งเป็นของมัน” ทรงกลดแทบจะเหิรลอยมาสู่หน้าห้องพระบรรทม ‘มาลัยจากดอกไม้สวรรค์’ จำต้องยื่นให้ถึงหัตถ์ดั่งบัญชา พอมาถึงก็เห็นบานพระทวารถูกปิดสนิทแน่น ครั้นพอจะเอื้อมมือไปเคาะเรียกเจ้าของห้อง ก็พลันบังเกิดแรงซัดประหลาดจนเขาเซถลา

“ไอ้อัสดง มันกั้นม่านอาคมไว้ในห้องนี้”

อัสดงไม่ใช่คนโง่ เขาเตรียมพร้อมไว้แล้วก่อนเข้ามากั้นม่านอาคมไว้ กันผู้มารบกวน และก็เป็นดังคาด ผู้มารบกวนยืนหน้าแดงด้วยความโมโห ที่เสียรู้และมาช้า ทรงกลดหรือผู้มารบกวนในขณะนี้จึงใช้อำนาจแห่งจันทรเทพสลายม่านอาคมนั้น ปากก็ตะโกนเรียกเจ้าของห้อง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงอึงอลสวาทซ่านได้ยินโดยทิพยจักษุ เร่งเร้าให้ใจตนเองเร่าร้อนดั่งโดนไฟเผาไหม้ ด้วยจิตที่แรงกล้าม่านอาคมม่านแรกถูกทำลาย หากแต่ยังมีม่านที่สอง คือจักรเพลิงกางกั้นประตูไว้ และเขาก็ไม่สามารถทลายลงไปได้ เงาทับซ้อนบางเงา ทาบทับลงกับร่างของเขาแล้วพลันอำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้น รัศมีสีนวลหากรุนแรงเริ่มขยายวงกว้างซัดสู้จักรเพลิงหน้าประตู เปลวไฟเริ่มพลันสลาย แต่จู่ๆ ก็กลับจ้าขึ้นมาใหม่พร้อมกับดวงหน้าที่ถอดแบบมาจากอัสดง อยู่ตรงวงกลางจักร ใบหน้านั้นดุจหล่อมาจากเทวรูปชั้นดี หากแต่กราดเกรี้ยว

 “จันทรเทพ เจ้ามันขี้โกง เจ้าคิดจะใช้มายาทำเสน่ห์ด้วยมาลัยสวรรค์ แย่งคู่ของอณูแห่งเราเหรอ”

“เจ้ามันก็เจ้าเล่ห์ สุริยาทิตย์ แอบไปขอพรพระมหาลักษมีเทวีไว้ เหอะเราไม่มีทางยอมให้อณูเราเจ็บปวดเราจะทำทุกทางให้อณูเราสมหวัง” ทรงกลดมั่นใจว่าเขาไม่ได้กล่าวตอบ หากแต่เสียงเจรจาที่กล่าวโต้ตอบนั้น มันดังมาจากกลางอก ฤาจะเป็นเงาทับซ้อนที่เข้ามาทับทาบเจรจาตอบ  ‘สุริยเทพและจันทรเทพ’ ได้เผชิญหน้ากันแล้ว

“หากเจ้ากล้าฝ่าเข้ามาก็ลองดู” ดวงหน้ากลางจักรเพลิงกล่าวขู่ ทรงกลดบังคับร่างตนเองมิได้ อีกแล้ว เทวฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ซัดเข้าใส่อีกคำรบพร้อมๆกับเปลวเพลิงหน้าบานประตูที่ต่างก็โต้ตอบซัดกระหน่ำ

เพียงแค่บานประตูไม้กั้น “การรบ” แบ่งเป็นสองแบบ หน้าบานประตูคือการรบพุ่งหมายเอาชนะเป็นการรบจริงๆ หากแต่หลังบานประตู คือการรบด้วย ยุทธสวาท ที่อัสดงเพิ่งลงสนามครั้งแรก และเขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม  สัญชาติญาณบ่งบอกว่าต้องรบอย่างไร ตำราพิชัยสงครามหรือถ้าจะให้ถูก ‘พิชัยสวาท’ ที่คืนฉายเคยปาถกถาให้ฟังอยู่บ่อยๆถูกพลิกแพลงดัดแปลง จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม

“ ว่าพลางอุ้มองค์เจ้านาคไว้     
ขึ้นไว้เหนือตักสะพักห่ม

อิงแอบแนบชิดเชยพักตร์
แรกรักร่วมห้องสองสม 
กรสอดกอดเกี่ยวเกลียวกลม
ประคองเคียงบรรทมประทับกาย

อัศจรรย์บันดาลไหวหวาด
อัสนีกัมปนาทคะนองสาย
เปรี้ยงเปรี้ยง เสียงสนั่นลั่นแลบพราย 
พระพิรุณโปรยปรายอายละออง


ผกาแก้วโกสุมปทุมมาลย์ 
ก็เบ่งบานรับแสงสูรย์ส่อง
แมลงภู่ผึ้งภุมรินทอง 
ร่อนร้องเชยรสเจ้านาคี...”

พระหัตถ์น้อยจับแผ่นหลังเปล่าเปลือยของอัสดงไว้มั่น ยามที่อัสดงกระตุกร่างทั้งร่างเป็นครั้งสุดท้าย เสียงร้องสอดประสานดังทะลุประตูไม้  ริมฝีปากของอัสดงไล่เลื่อนลงมาบดขยี้อยู่บนริมโอษฐ์แดงสดก่อนจะซบหน้าลงไปบนซอกพระศอ เสียงกระซิบแหบพร่า ไล่ลอดเข้าสู่พระกรรณ

“ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ   จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว”

“ถึงกับยอมตายเลยเหรอ”

สีทันดรเองก็กระซิบตอบ พระพักตร์งามซบลงกับซอกคอของอัสดงเช่นกัน แล้วอัสดงก็พลิกกายที่โทรมไปด้วยเหงื่อลงนอนข้างๆจับพระวรกายสีทันดรขึ้นมาอยู่บนด้านบน เขายิ้มมุมปากจนเห็นเขี้ยว หน้าแดงจนถึงใบหูกล่าวกับเจ้านาคน้อยด้วยประโยคที่คนฟังก็ต้องเขินอายจนแทบจะม้วนลงไปกับเตียง “สีทันดรยอดรัก ลองขี่ม้า แบบขี่อุจไฉยศรพดูไหม ....ขออีกครั้งนึงนะ คนดี!!!”

“บ้า!!”

แม้จะทรงกล่าวบอกปัดไปอย่างนั้น แต่การรบภายในห้องเริ่มต้นอีกครั้งมาจนได้ หากภายนอกขณะนี้นั้น ยามที่เสียงสอดประสานดังขึ้นถึงขีดสุด จันทรเทพก็กระเด็นผงะออกมา คราวนี้เองเป็นเสียงของทรงกลดร้องลั่น

“ไม่จริง ....น้องดื้อต้องไม่เป็นของอัสดง”

เงาทับซ้อนกระเด็นออกเช่นกัน มาลัยสวรรค์พลันสลายและเหี่ยวเฉา แถมยังถูกเปลวเพลิงเผาจนมอดไหม้ จัทรเทพเสด็จกลับทันใด แต่ก่อนไป ก็กล่าวกับทรงกลดว่า “ไอ้น้องชาย เราจะหาทางช่วยเจ้าให้สมหวังเอง....”

“เราจะคอยดูจันทรเทพ ว่าเจ้าจะช่วยอณูเจ้าอย่างไร แต่บอกไว้ก่อนหากเจ้าเล่นไม่ซื่ออีก เราก็จะช่วยอณูของเราแบบนี้เช่นกัน” พระสุริยาทิตย์ทรงกล่าวขึ้นแล้วเสด็จกลับไปเฉกพระจันทรเทพ บริเวณหน้าประตูห้องจึงเหลือแต่ทรงกลดที่ค่อยๆยันกายอันปวดร้าวขึ้นมา ขนตาหนาๆเป็นแพราวอิสตรีกระพริบหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็เจือไปด้วยหยาดน้ำตาที่เริ่มพรั่งพรู

“สักวันเจ้าจะต้องมาอยู่ในห้องกับพี่บ้าง สีทันดร!!”

บรรยากาศยามเช้าหลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น ช่างสดใสเสมือนฟ้าหลังฝนและฝนที่เคยโหมกระหน่ำก็ซาลงแล้วจริงๆ ณ ยามนี้ฟ้าจึงสว่างสดใส สุริยเทพจึงสามารถทอแสงประกาย มายังพื้นพิภพ ขับไล่ความมืดมนและบรรยากาศที่ขมุกขมัวได้อย่างหมดสิ้น เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว โผผินบินตามกิ่งไม้และคาคบไม้ใหญ่ดุจเสียงดนตรีเสนาะที่เข้ามาปลุกพระบรรทมเจ้านาคาน้อย ทันทีที่ลืมพระเนตรฟ้าครามใสขึ้นก็พบว่าข้างๆพระวรกายว่างเปล่า ไออุ่นๆจากคนที่กอดตนแน่นเมื่อคืนจางห่างหายไปจากฟูกที่แสนนิ่ม แสดงว่าเขาคนนั้นลุกไปนานเสียแล้ว

สีทันดรรีบเช็ดพระพักตร์ชำระพระวรกาย แล้วเสด็จออกสู่ด้านนอก มุ่งตรงมายังนอกชานตามหาเจ้าของพระวรกายและพระทัยแห่งตน และก็เป็นดั่งทรงคาด คนที่ลุกมาเสียแต่เช้านั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่กับผองเพื่อน รอยยิ้มสดใสจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มแสดงว่าวันนี้เขาคนนั้นอารมณ์ดี แน่ล่ะจะไม่ดีได้อย่างไรเล่า เพราะสิ่งที่เขาเคยมุ่งมาดปรารถนาอยากจะได้ เขาก็ได้ไปจนครบ มิน่าละ พระอาทิตย์วันนี้ช่างสดใสและทอแสงได้อบอุ่นยิ่งนัก และจะเป็นไปได้ไหม ที่พระอาทิตย์จะทอแสงอบอุ่นไปอย่างนี้ทุกวัน

“ตื่นแล้วเหรอ...มานั่งด้วยกันสิ” อัสดงหรือเจ้าบ่าวหมาดๆร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่ายอดดวงใจเสด็จมาแต่ไกล แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามารับ มือใหญ่ๆของเขารีบกุมพระหัตถ์น้อยแน่น ผองเพื่อนที่เห็นต่างก็อมยิ้มในที ร้องแซวลั่น เสมือนรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น กระแสจิตหลากหลายกระแสถูกส่งหากันทันใด รวดเร็วยิ่งกว่าคลื่นระบบโทรศัพท์มือถือเสียอีก
 
“มึงว่ากี่ยก” คืนฉายเป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาลับๆ หรือถ้าจะเรียกให้ตรงกับภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ จะเรียกว่าแชทก็ได้

“กูว่าหลายอยู่ อัสดงมันคงจัดหนัก เล่นเอาน้องดื้อตื่นสายเลย”

คันฉัตรโต้ตอบได้รวดเร็วยิ่งกว่าใช้นิ้วจิ้มลงบนโทรศัพท์แบบหน้าจอสัมผัส พร้อมๆกับส่งภาพในจินตนาการมาให้ ชัดเจนยิ่งกว่าอัพโหลดขึ้นบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เล่นเอาเอราวัต คืนฉายและราหูที่รับกระแสจิตพร้อมภาพนั้นได้ต่างก็พากันหัวเราะร่วน

สีทันดรที่เดินมาถึงเห็นพวกเทพน้อยๆต่างพากันหัวเราะก็สะดุดพระทัย ‘ไอ้เทพบ้าพวกนี้หัวเราะอะไรกัน’  แต่ตนก็ยังสงวนท่าทีไว้ ฤาเทพทะลึ่งพวกนี้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเมื่อคืน อัสดงเองก็เหมือนรู้นัยแห่งการหัวเราะซ่อนยิ้มนั้น ก็ได้แต่กล่าวแก้เขินไปว่า

“พวกมึงอย่าปากหมา เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวโดนเตะ”

“คร้าบบบบบบบบ ผมกลัวแล้วครับพี่อัสดง บอกแล้ว.....นานๆใช้ทีก็เขื่อนแตกแบบนี้แหละ” เอราวัตรับคำพร้อมๆกับแสดงหน้าตาทะเล้น สีทันดรด้วยความหมั่นไส้ จึงซัดไปเสียหนึ่งที แล้วรีบเปลี่ยนบทสนทนาไปอีกเรื่องเสีย

“ทำไมไม่มีใครไปปลุกเราเลย....เห็นไหมเราเลยตื่นสาย”

“ก็อยากให้นอนพัก...เห็นเมื่อคืนบ่นว่าเหนื่อย” อัสดงตอบแทนเพื่อนๆ เพราะรู้ดีว่า ยอดรักของเขานั้นบ่นว่าเหนื่อยเมื่อเขาขอต่อเป็นครั้งที่สาม แต่เขานั้นไม่เหนื่อยเลยสักนิดเดียวทั้งๆที่เขาเป็นผู้เผด็จศึก แล้วเจ้าคืนฉายตัวดี ก็ถามทะลุกลางปล้องมาว่า

“แล้วทำอะไรกันถึงได้เหนื่อย เมื่อคืนนายไม่ได้กลับมานอนที่ห้องนี่ใช่ไหมอัสดง หรือว่าพี่อัสสะของน้องดื้อชวนทำอะไรที่พิสดาร ไหนลองเล่าให้พวกพี่ฟังสิ”

สีทันดรพระพักตร์แดงแป๊ดยิ่งกว่าลูกตำลึงตอบอะไรไม่ถูก เพราะทรงรู้นัยแห่งคำถาม และเมื่อคว้าเบาะรองนั่งได้ก็ขว้างใส่เจ้าพระศุกร์จอมทะเล้น “พี่ฉายลามกอีกแล้ว....ไม่คุยด้วยแล้ว ไปหาคุณยายของพี่ดีกว่า”

สีทันดรวิ่งออกไปด้วยความเขิน เทพพวกนี้ต้องรู้แล้วแน่ๆเลย ว่าเมื่อคืนตนได้ตกเป็นของอัสดงอย่างสมบูรณ์แบบ อัสดงเองก็เริ่มเขินเหมือนกัน เพราะตนก็ถูกเพื่อนๆแซวแต่เช้า ทันทีที่เจอหน้า พวกนั้นต่างก็ถามกันเซ็งแซ่ และก็เริ่มแซวอีกระลอกเมื่อสีทันดรออกมาจากห้องบรรทม แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟังแม้จะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม ปล่อยให้พวกนั้นคาดเดาและสงสัยและแซวไปอย่างนี้แหละดีแล้ว พอมันเหนื่อยก็หยุดเห่ากันไปเอง

“แหมๆ  น้องดื้อกลับมาคุยกันก่อน....แค่นี้ก็ต้องเขินกันด้วย”

“มึงพอได้แล้วไอ้ห่าฉาย.....ถ้ามึงไม่หยุดเดี๋ยวกูจะประเคนส้นตีนให้ เมียกูเขาเขินหมดแล้ว” อัสดงหลุดปากออกไปโดยไม่ตั้งใจ เรียกเสียงวี้ดวิ้วดังลั่นได้จากเพื่อนๆทั้งกลุ่ม 

“ฮั่นแน่ ยอมรับออกมาแล้ว ไอ้พระอาทิตย์ปากแข็ง ..... ไหนๆลองสาธยายสิว่า เป็นไงบ้าง”

“ไอ้บ้า กูไม่เล่าหรอก ใครเขาเล่ากัน ....แล้วถ้ากูลองถามว่า มึงสองคนกี่ยกเมื่อคืน มึงจะตอบกูไหม ไอ้ห่าฉาย ไอ้เวรพระพุธ” คราวนี้ความสนใจของทั้งกลุ่ม เบนมาอยู่ที่พระพุธกับพระศุกร์ อัสดงก็แค่ถามเบี่ยงประเด็นไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อคืนเอราวัตกับคืนฉายดันทำกันจริงๆ และคนจอมทะเล้นอย่างพระศุกร์มีเหรอจะเขิน จึงตอบด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “สองยก”

“ไอ้บ้ายกเดียว....เอ๊ะ แล้วอีกยก นายไปได้กับใคร” เอราวัตหันขวับทันที เอาแล้วงานเข้าคืนฉายเข้าแล้วไง คืนฉายยิ้มแหะๆ ตอบอ้อมๆแอ้ม แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ดังลั่น

“เปล่านะ ....พอดีฉายนับยกที่ใช้มือผลัดกันด้วยอ่ะ”

เสียงหัวเราะยังคงดังลั่นไล่หลัง สีทันดรยังทรงนึกว่าตนเป็นหัวข้อบทสนทนา จึงทรงวิ่งหลุนๆ โดยมิได้มองทางแล้วจึงทรงชนเข้ากับใครบางคน ที่เดินสวนมาพอดี คนๆนั้นก็เลยถือโอกาสกอดพระวรกายนั้นแน่นให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน

“วิ่งหนีอะไรมาครับน้องดื้อ หรือโดนไอ้อัสดงมันแกล้งเอา”

“เอ๊ยยย ขอโทษทีพี่กลด เราไม่ทันมอง” สีทันดรรีบเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดนั้นทันทีที่เห็นว่าใครกำลังกอดตนอยู่ แต่ทรงกลดมีหรือจะยอมให้โอกาสงามๆที่เหยื่อวิ่งเข้ามาหาอ้อมกอดหลุดรอด

ในที่สุด เจ้า......ก็วิ่งมาสู่อ้อมกอดของพี่แล้ว สีทันดร!!!

ภายใต้ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อน จ้องมองพระเนตรฟ้าครามระยับ จากวันแรกที่พบกันจนถึงวันนี้ พระเนตรฟ้าครามคู่นั้นมิเคยทอแสงเจิดจ้าลดลงเลย แถมยังกลับงามยิ่งขึ้นทุกๆทีที่ได้จ้อง และเมื่อหลับตาลงครั้งใด พระเนตรฟ้าครามนั้นก็ติดตามิมีเลือน

ดวงตา...ดุจดวงดารา
กระจ่างเจิดจ้าสุกใส
สุบินพบแต่ครั้งใด
ฝังแน่นตรึงหทัย......ไม่มีเลือน

ยิ่งโดยเฉพาะเช้านี้ ....ความโหยหาเริ่มจับหัวใจตนอีกครั้ง เพราะทรงกลดรู้ดีว่า พระเนตรที่สดใสยามเช้านี้นั้น สืบเนื่องมาจากเหตุผลใด ....และเหตุนั้นมันก็ทำให้เขาหัวใจแทบสลายตลอดทั้งคืน

 “พี่กลดมาทำอะไรตรงนี้” สีทันดรตรัสถามพร้อมๆกับเบี่ยงพระวรกายออกอีกครา แต่ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุดเพราะทรงกลดรัดแน่นเสียเหลือเกิน “ปล่อยเราพี่กลด...เดี๋ยวใครมาเห็น”

“พี่กำลังจะเดินไปหาไอ้พวกนั้น เจ้ากลัวอัสดงมาเห็นล่ะสิ พี่ขอถามหน่อย ทำไม เจ้าไม่ให้โอกาสพี่ได้พิสูจน์ความจริงใจที่พี่มีให้กับเจ้าบ้าง นานแล้วนะที่น้องดื้อพยายามหลบพี่ ไม่ให้พี่ได้กอด ...พี่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พี่กอดเจ้าคือตอนที่ไปเฝ้าดักเวตาลที่บ้านไอ้พระศุกร์”

“พี่กลดก็รู้เหตุผลนี่....ว่าเราไม่ได้คิดกับพี่อย่างนั้น ปล่อยเรา”

“ไม่ปล่อย....และพี่ก็ไม่สนใจเหตุผลว่าเจ้าจะคิดกับพี่อย่างไร พี่รู้แต่ว่าพี่รักเจ้า รักตั้งแต่แรกเห็น สีทันดรเจ้าได้ยินไหม” ทรงกลดพูดจบก็ไม่ฟังสิ่งใดๆทั้งสิ้น ประกบริมฝีปากลงบนริมโอษฐ์คู่งามที่กำลังจะตรัสร้องห้ามทันใด สีทันดรดิ้นสุดแรงเกิด แต่พละกำลังฤาจะสู้อณูแห่งจันทรเทพผู้ทรงเป็นประธานยามราตรีได้

รสจูบที่ต่างกัน ความรู้สึกที่ก่อกำเนิดก็ต่างกัน จูบรสนี้นั้นมิได้ทำให้ทรงวาบหวามเลยสักนิด ต่างกับรสจูบของอัสดงลิบลับ จูบของทรงกลดแผ่วเบานุ่มนวลอ่อนหวานก็จริง แต่พระทัยของตนถูกครอบงำด้วยจูบที่ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงของอัสดงเมื่อคืนเสียมากกว่า หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จะเจออัสดงและตกเป็นของเขา สีทันดรคงจะหลงเคลิบเคลิ้ม .....แต่ยามนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นแน่นอน

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
สีทันดรทรงรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง และคราวนี้ก็สะบัดพระวรกายออกจากอ้อมกอดของทรงกลดได้ ทางเดียวที่จะรอดจากการโดนรังแกของจันทรเทพคือมุ่งหน้ากลับไปหาอัสดง .....

ว่าแล้วจึงทรงวิ่งกลับไปทางเดิม ทรงกลดไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปอีกแล้วรีบเหิรลอยไปสกัดด้านหน้า แต่แล้วพลังงานลึกลับบางอย่างก็พวยพุ่งลงมาจากด้านบนกระแทกหน้าอกเขาเต็มๆ ส่งผลให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพลอยละลิ่วกระแทกผนังดังสนั่นลั่นบ้าน

“โอ้ยยยยยยยยย”

“พี่กลด เป็นอะไร” สีทันดรร้องลั่น เปลี่ยนพระทัยจากความตั้งใจเดิม ที่จะหนีจากเขาคนนี้ กลับเบนพระพักตร์มุ่งหน้าเข้าไปหาร่างที่นอนสลบแน่นิ่งของทรงกลดทันทีที่ร่างของทรงกลดเริ่มไถลลงมากองอยู่กับพื้น เจ้านาคน้อยค่อยๆประคองร่างนั้นขึ้นมา ร้องเรียกเทวะน้อยที่เหลือลั่นบ้าน

“พี่กลดโดนลอบทำร้าย ช่วยด้วย”

สิ้นพระสุรเสียง เทวะที่เหลือทั้งห้าก็รีบวิ่งมาจากนอกชาน พอเห็นร่างของทรงกลดที่นอนหมดสติอยู่ก็รีบเข้ามาดูและช่วยกันประคองร่างนั้นขึ้นพร้อมกับถามเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสีทันดร เจ้านาคน้อยจึงรีบเล่าละล่ำละลั่กถึงพลังงานแปลกปลอมที่พุ่งเข้าซัดร่างทรงกลดจนแน่นิ่ง แต่มิได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเพราะกลัวอัสดงจะเข้าใจผิดที่ตนถูกทรงกลดรังแก

“พาไอ้กลดเข้าไปในห้องก่อนเร็ว”

อัสดงรีบสั่งความทันทีที่ทราบเรื่องราว แล้วช่วยคืนฉายกับเอราวัตพยุงร่างของทรงกลดที่หมดสติเข้าไปในห้อง สีทันดรรีบตามเข้าไปด้วย ส่วนคันฉัตรกับราหู ต่างก็ช่วยกันตรวจด้วยญาณวิเศษว่าใครทำร้ายสหายของพวกตน แต่ตรวจอย่างไรก็ไม่เจอ ทั้งสองจึงช่วยกันกั้นเขตอาคมขึ้นมาอีกครั้ง

“เมื่อคืนหลังจากเสร็จศึก พวกเราประมาทเองที่ลืมกั้นม่านอาคมอีกครั้ง”

“ใครกันวะที่กล้ามาทำร้ายไอ้พระจันทร์” ราหูถามขึ้น และกำหมัดไว้แน่น ใครกันที่กล้ามาเหยียบจมูกพวกตนถึงที่นี่

“กูไม่รู้ รู้แต่ว่า เล่นซัดเอาไอ้กลดสลบเหมือดได้....คาดว่ามันคงมีฤทธิ์พอตัวทีเดียว ไปเหอะรีบเข้าไปดูไอ้กลดกัน” คันฉัตรพูดจบก็พยักเพยิดชวนราหูเข้าไปดูอาการเพื่อนในห้อง ก่อนเข้าไปทั้งสองก็พยามยามช่วยกันมองรอบๆอีกครั้งแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

“ไอ้พวกลอบกัด แน่จริงมึงออกมา” ราหูกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะตามคันฉัตรเข้าไปด้านใน ในใจต่างก็นึกถึงว่าใคร ใครกันที่พลังแรงกล้าถึงขนาดนี้ ....หรือจะเป็นทยุติธร ที่ยังไม่ยอมเลิกรา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ถูกเฝ้ามองจากยอดไม้สูงอย่างเงียบๆ  เทวะน้อยทั้งหลายต่างก็สังเกตไม่เห็นว่าบนยอดไม้นั้น มีใครซุ่มดูอยู่ กิ่งไม้ใหญ่ที่หนาแน่นอุดมไปด้วยกิ่งก้านสาขาและใบเป็นพุ่มเป็นที่กำบังชั้นดี ที่ “คนสองคน” จะหลบอยู่ได้โดยไม่มีใครเห็น ทั้งสองนั้นเพียงแค่แตะอยู่ที่ปลายกิ่งเล็กๆ ซึ่งคนธรรมดามิสามารถทำได้ แล้วหนึ่งในสองของผู้ซุ่มดูก็กล่าวกับอีกคนที่ลอยอยู่ด้วยกันข้างๆว่า

“ฝีมือไม่เห็นจะเท่าไรเลยว่ะ....โดนซัดทีเดียวก็หมอบแล้ว ฉันว่าเราเสียเวลาเปล่านะ ธรรม์”

“อย่าเพิ่งประมาทไป น้ำเชี่ยว ไอ้คนนั้นมันโดนทีเผลอ หากปะทะกันตรงๆ ฉันว่า ทำอะไรมันไม่ได้หรอก เราไปกันก่อนเหอะ ก่อนที่พวกนั้นจะเห็น” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ธรรม์ กล่าวกับสหายที่มีนามว่า น้ำเชี่ยว ที่ลอยซุ่มดูอยู่ข้างๆด้วยกัน แต่เจ้าคนนั้นกลับลอยนิ่งเฉยอยู่กับที่ ตอบกลับสหายด้วยสายตาซุกซนปนความเอาแต่ใจ มาว่า

“อย่าเพิ่งไปเลย ....ไม่เห็นเหรอ ว่ามีคนน่ารักอยู่ข้างล่างด้วยคนนึง ขอแอบมองเขาอีกสักหน่อยไม่ได้เหรอ”

“ตามใจ อีกแป๊บเดียวเท่านั้นนะ....แต่ระวัง....เทวะนาคาองค์นั้น น่ามองก็จริง แต่คงไม่ว่างสำหรับนายหรอกน้ำเชี่ยว” คนพูดปรับความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นให้เป็นปกติก่อนกล่าวเตือนด้วยสีหน้ายิ้มยาก เพราะรู้ดีว่า สหายที่มาแอบซุ่มดูอยู่ด้วยกัน เกิดอาการ ‘ถูกใจ’ เพียงไร  เมื่อเห็นเทวะนาคาพระองค์น้อยวิ่งมาตามเฉลียงบ้านและมีทีท่าตกตะลึงตาค้างเพียงใด

“รู้แล้วน่า ....ขอแค่มองก็พอ”

“ให้มันจริงเถอะ”

ภายในห้องนอนของทรงกลด เอราวัตกับคืนฉาย ต่างก็ช่วยถ่ายพลังรักษาให้กับสหาย จนทรงกลดค่อยมีอาการดีขึ้น แต่ก็ไม่วายสำลักเอาเลือดที่คั่งค้างอยู่กลางอกออกมา ทรงกลดเมื่อสำลักออกมาหมดแล้วแถมยังได้รับการถ่ายพลัง สติจึงฟื้นกลับคืน อัสดงจึงรีบถามโดยทันที

“ใครทำร้ายนายวะไอ้กลด”

“ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าวูบเดียวพลังนั้นก็กระแทกฉันเต็มๆ”

“พี่ชายน้องดื้อหรือเปล่า” เอราวัตกล่าวขึ้นซึ่งตรงกับข้อสงสัยของราหูกับคันฉัตร

“ไม่ใช่พี่เราหรอก.....พลังงานของพี่เราจะร้อนกว่านี้ แต่นี่พลังงานนั้นเย็นยะเยือก” สีทันดรรีบแก้ต่างให้พระเชษฐา เพราะตนทราบดีว่าพลังของพระเชษฐาไม่มีทางจะเย็นขนาดนี้

“แล้วใครกัน....หรือจะเป็นพวกมาร นี่พวกมันตั้งใจจะไม่ให้พวกเราอยู่อย่างสงบๆเลยบ้างหรือไง”  คืนฉายกล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย

“หากเป็นพวกมาร พวกเราคงต้องระวังตัว พวกมันคงจะจับกระแสพลังพวกเราเมื่อคืนตอนสู้กับทัพนาคได้ ต่อไปนี้เราคงจะประมาทไม่ได้ เห็นที พวกเราต้องกลับกรุงเทพแล้วล่ะ ฉันไม่อยากให้คนที่บ้านนี่เดือดร้อน”

“จริงอย่างที่อัสดงว่า พวกเรากลับไปที่บ้านไอ้กลดกันเหอะ ที่นั่นเราจะได้สู้กันอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง อีกอย่างฉันไม่อยากให้คุณแม่กับคุณยายโดนลูกหลง”

“งั้นพรุ่งนี้เช้าเราเดินทางกลับกันเลย .....นายไหวนะทรงกลด”

อัสดงตัดสินใจกำหนดวันเดินทางกลับ แต่ก็ไม่วายห่วงเจ้าพระจันทร์ ถึงแม้มันจะเป็นศัตรูหัวใจ แต่อย่างไรมันก็คือเพื่อนคนหนึ่ง ส่วนสีทันดร ก็ได้แต่คิดในใจว่า หากอัสดงรู้ว่า ทรงกลดล่วงเกินตนอย่างไร อัสดงจะห่วงใยทรงกลดอีกไหม .....ฤาตนจะบอกอัสดงถึงเรื่องราวทั้งหมดดี แต่อีกใจนึงก็เกิดความลังเล เพราะไม่อยากให้เกิดความแตกร้าว และก็ทรงไม่แน่พระทัยองค์เองว่า ฤาเป็นเพราะเห็นใจทรงกลดกันแน่ แต่ทางที่ดี ต่อไปนี้อยู่ให้ไกลทรงกลดเป็นดีที่สุด

เมื่อทั้งกลุ่มตกลงกันได้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเดินทางกลับ จึงแยกย้ายกันไปเตรียมเก็บข้าวของสัมภาระ และปล่อยให้ทรงกลดเข้าฌานรักษาตัว เมื่อทั้งหมดออกจากห้องไปแล้ว รัศมีสีนวลสว่างจ้าก็ปรากฏกายอยู่กึ่งกลางห้อง แล้วสลายกลายเป็นบุรุษที่ทรงกลดคุ้นเคยยิ่ง “จันทรเทพ” แอบเสด็จลงมาอีกแล้ว

“จะรีบรักษาตัวทำไม ....ทำไมไม่ทำให้เขาเห็นใจ อุตส่าห์ช่วยสร้างสถานการณ์ให้แล้วนะเจ้าน้องชาย”

“นี่หมายความว่า เมื่อกี้ทรงซัดพลังใส่หม่อมฉัน” ทรงกลดประติดประต่อเรื่องได้โดยพลัน ที่แท้พลังงานที่ทำร้ายตนก็มาจากจุดกำเนิดแห่งตนนั่นเอง “ทรงทำเช่นนี้ทำไม”

“ก็เออน่ะสิ เราทำเพื่อทดสอบว่าเจ้านาคน้อยพอมีใจให้เจ้าไหม แถมเขาจะได้เห็นใจเจ้าไง  และผลออกมาก็น่าภูมิใจ เสียดายที่เจ้าไม่ได้เห็นกับตา ว่าเจ้านาคน้อยของเจ้า รีบโผเข้ามาหาเจ้าด้วยความเป็นห่วงเชียวแหละ”

“อย่ามาทรงหลอกหม่อมฉันเลย เมื่อคืนก็หลอกให้หม่อมฉันไปทำเสน่ห์น้องเขาทีหนึ่งแล้ว หม่อมฉันไม่ชอบ หม่อมฉันอยากสู้อย่างลูกผู้ชาย” ถึงแม้จะหมายปองและต้องการสีทันดรขนาดไหน ทรงกลดก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับวิธีที่จันทรเทพหลอกตนเมื่อคืน มาลัยสวรรค์พวงนั้น ตนไม่รู้มาก่อนว่า จันทรเทพทรงซ่อนอุบายไว้ นึกเพียงว่าสีทันดรคงชอบมาลัยและจะสร้างความนิยมชมชอบได้ แต่การณ์ก็กลับผิดพลาดไปเสียสิ้น

“แล้วเจ้าแน่ใจเหรอว่าจะชนะ....เอาเหอะทรงกลด ในเมื่อเจ้าอยากสู้แบบนั้นเราก็จะไม่ขัด แต่จงจำคำเราไว้เถิดว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยมายา จงใช้ความเห็นใจ สงสารที่เขามีให้เจ้า ให้เกิดประโยชน์สูงสุด....ชัยชนะแห่งความรัก มิจำเป็นต้องมาด้วยวิธีที่ขาวสะอาดเสมอไป เราไปล่ะ...” สิ้นพระสุรเสียง พระวรกายแห่งจันทรเทพก็หายวับเพียงแค่ทรงกลดกระพริบตา หากแต่พระดำรัสยังคงกึกก้องอยู่ในโสตประสาท ....ความลังเลเริ่มบังเกิด หรือเขาจะลองทำตามวิถีแห่งจันทรเทพดู “ความสงสาร เห็นใจ หรือเราควรใช้ประโยชน์”

แต่ทรงกลดจะรู้ไหม ความสุขใจจะมีหรือเล่า หากได้เพียงแค่ตัว มิได้หัวใจมาครอบครอง

ด้านเอราวัตเมื่อเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว ก็พาคืนฉาย ไปหาคุณแม่กับคุณยาย บอกว่าจะกลับกรุงเทพวันพรุ่งนี้ คุณยายนั้นไม่ขัด เพราะรู้ดีว่าหลานชายมีหน้าที่และภาระสิ่งใดรออยู่ แต่คุณแม่นั้นสิอยากให้อยู่ต่ออีกสักสองคืน เอราวัตนั้น ใจก็อยากอยู่นานๆ แต่เนื่องด้วยทรงกลดถูกลอบทำร้าย ทำให้เขาและพวกจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ มิฉะนั้นคุณแม่ คุณยาย และอีกหลายๆคนในบ้านอาจจะเป็นอันตราย แต่เอราวัตกับคืนฉายจะรู้ไหมนะว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอุบายเรียกความสงสาร จากเทวะนาม จันทรเทพเท่านั้น
 
“อยู่อีกสักหน่อยไม่ได้เหรอตาหนู”

“ไม่ได้หรอกครับ ธุระที่นู่นเยอะ กลับพรุ่งนี้ดีกว่า”

“เฮ้องั้นก็ตามใจ มาคราวนี้แม่ยังไม่หายคิดถึงเลย” คุณแม่คงรู้ว่าพูดอย่างไรลูกชายตัวดีก็ไม่ยอมอยู่จึงไม่ทัดทานอะไรอีก แต่กล่าวต่อมาว่า “ไหนๆคืนนี้ก็อยู่ ลองพาฉายกับเพื่อนๆไปเที่ยวงานวัดเปิดหูเปิดตาดีไหม พอดีที่วัดเขาจัดงานปิดทองเฉลิมพระอุโบสถใหม่ งานใหญ่โตเชียว เผื่อจะชอบงานวัดบ้านนอกบ้าง” ยามที่คุณแม่เอ่ยชื่อคืนฉาย เอราวัตแอบอมยิ้ม นึกในใจ แม่จ๋าตอนนี้ไอ้ฉายไม่ได้เป็นแค่เพื่อนแล้วนะ

คืนฉายก็เสมือนจะรู้ได้แต่ยิ้มกว้าง แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาก็ทำตัวได้เรียบร้อยน่าเอ็นดู กล่าวประจบคุณแม่มาบ้าง จนเอราวัตเริ่มหมั่นไส้ไอ้คุณแฟนมานิดๆ “ ฉายชอบงานวัด เพราะชอบดูวิถีชาวบ้านครับ แล้วคุณแม่ไม่ไปด้วยกันล่ะครับ”

“ไปกันเถอะ...แม่ติดละครทีวี อยู่ดูละครที่บ้านดีกว่า เอาล่ะมีอะไรไปทำก็ไปทำเหอะ แม่จะของีบสักเดี๋ยว”

“งั้นผมกับฉายขอตัวก่อนนะครับแม่ จะลองไปชวนไอ้พวกนั้นด้วย”

“จ้า ตามสบาย”

เมื่อลาคุณแม่กับคุณยายเสร็จ เอราวัตกับคืนฉายก็มาชวนเพื่อนๆที่เหลือไปเที่ยวงานวัด คันฉัตรกับราหูตกลงรับปากจะไปด้วยทันที แต่อัสดงที่กำลังเก็บของลงเป้ก็แย้งมาว่า

“จะดีเหรอ ....วันนี้ไอ้กลดเพิ่งถูกลอบทำร้าย ไม่อยากให้พวกนายประมาท เราอย่ามัวเที่ยวเล่นกันอยู่เลย รีบหาวิธีตามหาอีกสองคนที่เหลือได้แล้ว”

มันก็จริงอย่างที่อัสดงว่า วันนี้ทรงกลดจู่ๆก็ถูกซัดจนสลบ และคนที่ทำเช่นนั้นได้ก็ต้องจัดว่าเป็นมือหนึ่ง การออกไปเที่ยวอาจทำให้เป็นเป้าสายตา ควรจะตั้งตัวหาวิธีรับมือดีกว่า เทวะนั้นดำรงอยู่ได้ด้วยเพราะหน้าที่ และหน้าที่นั้นก็เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษย์ การกำจัดมารเป็นสิ่งที่พึงกระทำเป็นอันดับแรก มิใช่สาละวนเที่ยวสนุกไปวันๆ

“ฉันมาคิดดูอีกที ก็จริงอย่างที่ไอ้พระอาทิตย์ว่า ...อย่าเพิ่งประมาทออกไปเที่ยวเล่นกันเลย หน้าที่ควรจะมาก่อน” ราหูแม้จะอยากเปิดหูเปิดตา แต่พอได้ฟังอัสดงพูด มันก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ทันที พร้อมๆกับคันฉัตรที่เริ่มคล้อยตามมาอีกคน เหลือแต่คืนฉาย ที่ตอนแรกก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย แต่ท้ายที่สุดก็ยอมตามมติกลุ่ม ส่วนเอราวัตนั้นเขาเที่ยวงานวัดจนเบื่อ จนขี้เกียจจะไป ดีแล้วไม่ไปก็ดีจะได้พักผ่อน ทรงกลดนั้นก็ไม่ต้องพูดถึง ป่านนี้รักษาตัวเสร็จหรือยังก็ไม่รู้

ผลสรุป ก็คือ....งดเที่ยวงานวัดเพื่อความไม่ประมาท แต่ใครบางคนที่เสด็จผ่านมานั้นน่ะสิ ตอนแรกก็ตั้งใจจะเสด็จเลยผ่านไป แต่แล้วก็กลับมีไอรัศมีบางอย่างลอยเข้ามากระทบเบื้องพระปฤษฎางค์ ไอนั้นซึมซาบลงอย่างรวดเร็ว แล้วก็เหมือนกับพระทัยถูกบังคับให้ทรงหยุดดำเนินเพื่อประทับฟัง พระกรรณเริ่มแนบอยู่กับบานประตู  แล้วก็ทรงได้ยินเสียงของอัสดงดังลอดผ่านบานประตูแจ่มแจ้ง

“อย่าให้ไอ้ดื้อรู้เด็ดขาด เรื่องงานวัด...ไม่งั้นคงหาเรื่อง อยากออกไปเที่ยวอีก พวกนายอย่าเผลอไปชวนเชียวล่ะ” อัสดงกล่าวขึ้นเพราะรู้ว่าคนรักของตนนั้น ดื้อและซนขนาดไหน หากรู้ว่ามีงานการฉลองมหรสพ สุดที่รักของตนไม่มีทางพลาด ต้องหาทางไปเที่ยวเล่นแน่นอน ทางที่ดี ปิดไว้แหละ เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

“เหอะ...คิดว่าจะห้ามเราได้เหรอ”

ใครจะคิดว่าจอมดื้อของคณะทรงยืนฟังอยู่จนครบถ้วนกระบวนความและเมื่อคำว่างานวัดผ่านเข้าพระโสตเต็มๆ ความกระหายใคร่รู้ก็บังเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งอัสสะไม่อยากให้รู้ ตนก็จำต้องรู้และไปดูให้เห็น ....งานวัดคืออะไร พระเนตรฟ้าครามฉายแววซุกซนอีกครา แล้วจึงรีบเสด็จเข้าห้องพระบรรทม ตรัสเรียกมหาดเล็กจำเป็นมาทันที

“รัก ยม อยู่ไหน มาหาเราหน่อยสิ” สิ้นพระสุรเสียง เจ้าโอปาติกะ หัวจุกตัวน้อยสองตน ก็ปรากฏกายยืนเท้าเอวยิ้มแฉ่ง แล้วทรุดกายนั่งคุกเข่าหมอบราบกับพื้น “เมื่อคืน หายไปไหนมา ไม่เห็นช่วยออกไปทำศึก”

“โถ....พี่ดื้อ จะให้รักกับยม ไปสู้กับนาคทั้งกองทัพได้อย่างไร ดีไม่ดี โดนบริวารพี่ดื้อฆ่าตายอีกรอบ”

“ไม่ต้องมาพูดดีเลย...ช่างเหอะเรื่องนั้น ที่เรียกมาเนี่ย เรามีเรื่องอยากจะถามหน่อย”

“เรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ” เจ้ายมเดาะคำราชาศัพท์พ่วงท้าย ทูลถามขึ้นทันควัน

“เราอยากรู้ว่า งานวัด คืออะไร ทำไมมนุษย์ จะต้องไปเที่ยวงานวัด”

“อู๊ยยยย ไปเสด็จประทับอยู่ที่ไหนมา งานวัดก็จัดที่วัดสิพะยะค่ะ เป็นงานมหรสพ หรืองานสมโภชน์ หรืองานทำบุญอะไรก็แล้วแต่ มีร้านค้าขายของ มีหนังกลางแปลง มียี่เก โอ๊ยยยยยย สารพัด ว่าแต่จะทรงตรัสทูลถามทำไม” เจ้ารักเห็นเจ้ายมเพื่อนซี้ใช้ราชาศัพท์จึงนำมาใช้บ้าง แต่ก็ใช้มั่วจนสีทันดรทรงรำคาญจึงบอกให้พูดธรรมดาๆ แล้วทรงถามเจ้ามหาดเล็กจำเป็นทั้งสองอย่างทีเล่นทีจริงว่า

“แล้วถ้าเราอยากไป เจ้าสองคน จะพาเราไปได้ไหม”

“ไม่ด๊ายยยยยยยย นะพะยะค่ะ พี่ดื้อ วันนี้พี่พระจันทร์ถูกทำร้าย เมื่อกี้พี่พระอาทิตย์ เพิ่งห้ามไม่ให้ใครออกไปไหน แถมพี่ฉัตรกับพี่ราหูก็กั้นเขตอาคมป้องกันไว้อันตรายไว้แล้ว คาดว่าเหตุการณ์คงไม่ปกติจริงๆ อย่าเด็จไปไหนเลย” คราวนี้เจ้ารักทูลขัดขึ้นมาใช้ราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง

“แต่เราอยากไป ...พวกนั้นตื่นตูมเกินกว่าเหตุ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อย นะ เราไปกันแป๊บเดียว”

“ยมว่า ถ้าพี่ดื้ออยากไป ลองไปขอพี่พระอาทิตย์ดูดีกว่า”

“ถ้าขอเราก็อดไปน่ะสิ เขายิ่งไม่อยากให้เรารู้เรื่องนี้อยู่ เจ้ายมนี่ ...เหอะน่า มีอะไรเกิดขึ้น เรารับผิดชอบเอง พวกเราจะได้ถือโอกาสออกไปตรวจตรารอบๆด้วยไง”

“จะดีเหรอพี่ดื้อ หากพี่ฉัตรรู้.....รักกับยมคงโดนตี และหากเกิดอะไรขึ้นกับพี่ดื้อ พี่พระอาทิตย์กระทืบรักกับยมตายคาบาทาแน่เลย” เจ้ารักเริ่มลังเล เที่ยวก็อยากเที่ยว กลัวโดนทำโทษก็กลัว

“ระหว่างพี่ฉัตรนายเจ้ากับเราเจ้ากลัวใคร.... บอกแล้วไง เรารับผิดชอบเอง ไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอกน่า .....ตกลงตามนี้ หลังกินข้าวเย็น พวกเราไปกันทันที ห้ามบิดพลิ้วและก็ห้ามปากสว่าง รู้ไหม”

“แต่จะดีเหรอพะยะค่ะ พี่ดื้อ”

“ไม่มีแต่...ไปได้แล้ว”

“พะยะค่ะ” เจ้ารักกับเจ้ายม ประสานเสียงรับคำ เพราะเลี่ยงไม่ได้ กลัวโดนทำโทษน่ะกลัว แต่กลัวพี่ดื้อเจ้าลูกพี่แสนซนมากกว่า เวรกรรมของเจ้าแท้ๆรักยมเอ๊ย

มื้อเย็นวันนี้ แม้จะมีอาหารหลากหลายถูกตั้ง แต่สีทันดรก็ทรงเสวยเพียงแค่นมเช่นเคย แล้วก็ตรัสขึ้นกับพวกอัสดงว่า “ อิ่มแล้ว ขอเข้าห้องก่อนนะ จะเข้าฌาน เฝ้าสมเด็จแม่ อย่าเพิ่งเรียกล่ะ”

นั่นก็หมายความว่า ห้ามใครรบกวน อัสดงด้วยความที่ยังคุยติดพันอยู่กับเพื่อนๆ จึงไม่ได้ใสใจในทีท่ากระตือรือร้นผิดปกติของสุดที่รักเลยสักนิด สีทันดรจึงสบโอกาส เข้าห้องบรรทมปิดประตูลงอาคมแน่น ร้องเรียกรักยมอีกครั้ง

“เราพร้อมแล้วรักยม”

เจ้ารักยมปรากฏกายตรงหน้า แล้วกล่าวกับลูกพี่จอมดื้อว่า “ทางสะดวกพอดีเลยพะยะค่ะ รีบไปกันเหอะ”

และแล้วสีทันดรกับอีกสองมหาดเล็ก ก็โผนทะยานออกทางบานหน้าต่าง เหิรลอยละลิ่ว ลัดออกไปทางสวนหลังบ้าน มุ่งหน้าสู่วัดประจำหมู่บ้านทันที

ทางด้านทรงกลดซึ่งยังคงนั่งขัดสมาธิเข้าฌานรักษาตัวจวบจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ครั้นพอจะถอนออกจากฌานเสียงของเทวะต้นกำเนิดก็ผ่านแว่บเข้ามากลางสมองทันที

“ไอ้น้องชาย เราจัดฉากไว้ให้แล้ว รีบไปยังงานวัดเถอะ เจ้าจะได้ใช้ความสามารถตนอย่างที่เจ้าต้องการจนสมใจ แล้วอย่าปล่อยให้หลุดมือไปล่ะ”

“ขอบพระทัย” ทรงกลดลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ รัศมีสีเหลืองนวลสว่างวาบเจิดจ้าขึ้นกลางอกแล้วครอบคลุมร่างของเขาถ้วนทั่ว รัศมีนั้นสว่างจ้าขึ้นจนถึงขีดสุดแล้วพุ่งทะยานแหวกม่านหน้าต่างด้วยความเร็วสูง ไปยังทิศทางเดียวกันกับรัศมีสีเขียวเจือทอง ณ ยังจุดหมายปลายทางที่เจ้านาคน้อยนำหน้าไปก่อนแล้ว นั่นคือ งานวัดประจำหมู่บ้านนั่นเอง
 
สีทันดรเมื่อเหิรลอยจวนใกล้จะถึง จึงเสด็จลงจากฟากฟ้า มาเดินดินเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาเพื่อไม่ให้ใครแตกตื่น แสงไฟหลากสีสันของหลอดไฟนีออนจากงานวัดที่อยากทรงทอดพระเนตร อยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว เสียงปี่พาทย์มโหรี แบบงานวัดตามต่างจังหวัด ลอยกระทบเข้าพระโสต เพลงนั้นไพเราะ อีกทั้งท่วงทำนองเนื้อร้องที่ฟังแล้วดูหวานหยดย้อย ราวกับเหมือนมีมนต์สะกด เชิญเสด็จให้เข้าไปทอดทัศนา แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดสายลมปริศนา หมุนวนลอยคว้างขวางทางเสด็จ เจ้านาคน้อยด้วยความที่ตกอยู่ในภวังค์ มิทันได้ระวังองค์ ก็ถูก สายลมนั้นซัดเข้าใส่พระวรกายหอบเหิรลอยละลิ่ว เจ้ารัก เจ้ายม ที่เหิรลอยตามมาด้านหลัง เห็นลูกพี่จอมดื้อถุกลอบโจมตีก็รีบพุ่งเข้าไปช่วยสกัดกั้นแต่ก็ถูกซัดกระเด็นออกมา

“ซวยแล้วรัก...ยังไม่ทันจะเหยียบเท้าเข้างานเลย เกิดเรื่องซะได้ ทำไงดี”

“จะทำยังไง ก็รีบไปดึงพี่ดื้อกลับมาสิเร็วเข้ายม”

โอปาติกะน้อยทั้งสองเหิรลอยขึ้นไปช่วยดึงพระวรกายของเจ้าลูกพี่จอมดื้ออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ สายลมซัดรุนแรงจนเจ้ารักกับเจ้ายมร่วงลงมากระแทกพื้น เสียงดังสนั่นลั่น แรงซัดนั้นทำให้ร่างน้อยๆของเจ้ามหาดเล็กหัวจุกทั้งสองกระแทกพื้นดินจนเป็นหลุมขนาดใหญ่แล้วจมหายลงไปกับพื้นพสุธา

“รัก ยม”

สีทันดรเมื่อได้พระสติว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงทรงพยายายามเหิรลอยออกมาจากม่านวายุนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล แถมสายลมยังบีบรัดแนบแน่นพระวรกาย คราวนี้ทรงกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ แรงบีบรัดนั้นรัดแน่นก็จริงอยู่ แต่กลับมิได้รัดแบบทำร้าย กลับกลายเป็นรัดแบบกอดด้วยวงแขนเสียมากกว่า ภายใต้เสียงหวีดหวิวของสายลมปริศนาที่รุนแรง ก็ปรากฏเสียงเสียงหนึ่งเป็นเสียงบุรุษ อ่อนเยาว์ สอดแทรกมาตามสายลมพุ่งผ่านเข้าสู่พระกรรณ
 
“ เหอะ ...เด็กดื้อ แอบหนีเที่ยว”

“ใครกันบังอาจนัก ปล่อยเรา”

“ไม่ปล่อย ....ปล่อยไปเจ้าก็ต้องโดนคนอื่นกอดอยู่ดี จงรู้ไว้ซะว่ามีคนดักรอเจ้าอยู่ที่งานวัด สู้ให้เรากอดเจ้าแล้วพาเจ้ากลับไปส่งบ้านดีกว่า”

สายลมเจ้าชู้เริ่มรัดแน่นขึ้นอีก ครานี้สีทันดรทรงรู้สึกได้ว่า ใต้สายลมมีวงแขนที่แข็งแรงกอดรัดพระวรกายแน่น แถมสายลมบางส่วนยังโลมเลียโลดไล่อยู่บริเวณพระปรางทั้งสอง ....เพียงสัมผัสนั้นกระทบ ก็ทรงรู้สึกถึงริมฝีปากร้อนผ่าวคลอเคลียไล่ลงไปจนถึงพระศอ แทนที่จะเป็นสายลมปกติ 

“ปล่อยนะ....เจ้าพวกมารต่ำช้า”

สีทันดรสะบัดพระวรกายเต็มที่หลุดออกจากสายลมที่รัดบั้นพระองค์ไว้ พระเนตรฟ้าครามกลายเป็นสีทองสุกจ้าทันใด พระโทสะดำเนินมาจนถึงขีดสุด ยามถูกใครศัตรูปริศนารังแก ความซุกซนจางหาย พระหัตถ์น้อยโบกสะบัดซัดพลังเข้าสู่สายลมเจ้าชู้ทันใด เสียงกระทบแห่งพลังงานดังลั่น สายลมนั้นเซถลากระเด็นไปไกลแล้วหมุนวน เหิรลอยกลับเข้ามาใหม่ ม่านวายุที่เปี่ยมไปด้วยฤทธียังไม่ลดละ หวังคลอคลอแนบชิดติดพระวรกายอีกครั้ง

รัดเกล้าสีทองที่ทรงคาดไว้กลางนลาฏถูกถอดออกแปรเปลี่ยนเป็นแส้เพลิงจึงฟาดซัดเข้าไปเต็มที่ เจ้าลมพายุเบี่ยงตัวออกไปได้ทัน สีทันดร เหิรลอยไปสกัดทางด้านหน้า หมายพระทัยจัดการให้หายแค้น ที่มันบังอาจทำกริยาหยาบช้า ครานี้ทรงใช้แส้เพลิงฟาดลงไปบนพื้นดิน แรงฟาดมหาศาลผสานกับอิทธิฤทธิ์แห่งเทวะนาคาก่อให้เกิดรอยแยกสั่นสะเทือน สะเก็ดดินก้อนใหญ่ๆลอยละลิ่วขึ้นกลางฟ้า แล้วสีทันดรก็ซัดสะเก็ดดินเหล่านั้นเข้าไปกลางสายลมประดั่งห่าธนูนับร้อย 

แต่ก่อนที่ก้อนดินหนักๆหลายๆก้อนจะลอยถึงตัว พลังบางอย่างที่เจิดจ้าราวกับสายอสุนีบาตเริ่มซัดสาดตอบกลับ อสุนีบาตเหล่านั้นระเบิดก้อนดินที่พุ่งมาแตกเป็นเสี่ยงๆ สีทันดรเมื่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล จึงใช้แส้เพลิงหมุนคว้างเป็นวงกลมแล้วโบกสะบัดโดยรอบก่อให้เกิดม่านพระเพลิงโหมกระหน่ำสกัดกั้นสายฟ้า เทวฤทธิ์ยังคงสำแดงเดช ม่านพระเพลิงที่ทรงสร้างขึ้นเริ่มขยายวงกว้างสกัดหน้าสกัดหลังรอบๆม่านวายุดักทางหนีทีไล่ของมันทั้งหมด

“ตายอยู่ในกองเพลิงนั่นแหละ”

นี่ยังน้อยไปสำหรับการกระทำที่จาบจ้วง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่ยังไม่ตกเป็นของใคร คงจะแค่สั่งสอนให้หลาบจำ แต่ ณ บัดนี้ ทรงมีเจ้าของแล้ว ควร ฤา ที่จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาแทะโลม แล้วเปลวพระเพลิงก็เริ่มบีบรัดล้อมสายลมทั้งหมดไว้แล้วห่อหุ้มเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่ สีทันดรทรงแย้มริมโอษฐ์อย่างสาแก่พระทัย

“ใครที่ล่วงเกินเรา มันต้องถูกเผาเป็นจุณ”

ภายใต้สายพระเพลิงนั้น สายลมเริ่มสลายกลายเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ซึ่งกำลังร่ายพระเวทอย่างเต็มที่กั้นม่านอาคมมิให้เปลวพระเพลิงเข้ามากระทบ พระเพลิงแห่งเทวะนาคา ร้อน รุนแรง เจือไปด้วยไอพิษ หากปล่อยไว้อย่างนี้ คาดว่าไม่นานม่านอาคมเขาคงสลาย

“ฤทธิ์เยอะนักนะ แค่กอดนิด จูบหน่อยก็ทำเป็นมีโมโห”

 เด็กหนุ่มคนนั้น จึงใช้มนตราขั้นสูงกำกับสร้างพลังทำลายกำแพงเพลิงไปทุกด้าน แล้วด้านหนึ่ง ก็เหมือนจะมีช่องโหว่ พลังของเขาจึงทะลวงออกมาได้ แล้วพลิกผันครอบคลุมม่านพระเพลิงไว้แทน พระเพลิงอันร้อนแรงถึงการสลาย พร้อมกับพลังงานที่พวยพุ่งเป็นก้อนใหญ่มุ่งเข้าสู่พระวรกายเจ้านาคาน้อยด้วยความเร็วสูง เสียงหนุ่มน้อย สอดแทรกมาตามความเร็วนั้น ยิ้มเยาะ ล้อเลียน

“ถึงกับจะเผากันให้ตายเลยเหรอ แค่ขโมยจูบนิดเดียวเอง”

แต่ก่อนที่พลังนั้นจะถึงพระวรกาย รัศมีสีเหลืองนวล ก็พุ่งปราดมาสกัดหน้า ซัดพลังลึกลับกระเด็นกระแทกต้นไม้ใหญ่หลายๆต้นจนล้มระเนระนาด สีทันดร แม้จะตั้งพระทัยว่าจะทรงอยู่ให้ไกล จากคนคนนี้ แต่พอยามนี้เขามาปรากฏกาย ก็กลับทำให้อุ่นพระทัยขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

“พี่กลด ตามมาได้ไง”

รัศมีเหลืองนวลรวมกันกลายเป็นร่างทรงกลด ในมือบัดนี้ถือดาบยาว แล้วทรงกลดก็เงื้อดาบหมายซ้ำลงไปตรงที่ พลังงานลึกลับนั้นตกลงไป ไม่ปล่อยให้มันตั้งตัว เขารวมพลังและเทวฤทธิ์จนถึงขีดสุดหมายสังหาร เหตุไม่ใช่เพราะ มาปะทะกับน้องดื้อ แต่เหตุที่จะสังหารนั้นมาจากการที่มันทำให้แผนที่จันทรเทพวางไว้ให้แตก

“เสือกกะโหลกไม่เข้าเรื่อง จะสำเร็จอยู่แล้วเชียว”

พลังแห่งอณูของเทวะประธานยามราตรี รุนแรงกว่าอาวุธสงครามใดๆ พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ภายใต้เงามืดยามรัตติกาล ทำให้เห็นเงาบางเงา โผพุ่งเข้ามา ดึงร่างบางร่างขึ้นมาจากโคนต้นไม้ แล้วเงามืดๆเงานั้น ก็ตวัดมือซัดพลังสกัดกั้น ยามพลังงานทั้งสองพุ่งชน ก่อให้เกิดเสียงดังกัมปนาทสนั่นไหว เกิดหมอกควันกำจายโดยรอบ  ต่างฝ่ายต่างเซถลา ครั้นพอควันระเบิดจางลง ....ศัตรูปริศนาก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว


ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“พี่กลด เป็นอย่างไรบ้าง” สีทันดรรีบลอยเข้ามาพยุงทรงกลด เพราะทรงเห็นว่าร่างของทรงกลดเริ่มซวนเซ “บาดเจ็บอยู่นี่นา แล้วพี่ออกมาได้ไง พี่ต้องรักษาตัว”

“แล้วน้องดื้อ ออกมาข้างนอกทำไม พี่เป็นห่วงเลยออกมาตาม...โอ๊ย”

ดาบยาวที่เคยถือไว้มั่นร่วงหล่นลงจากมือ ทรงกลดรู้สึกเจ็บนิดๆที่กลางหน้าอก แต่เขาก็สามารถตีสีหน้าแสดงอาการ เจ็บเกินกว่าเหตุได้อย่างดียิ่ง เรียกคะแนนสงสาร ซึ่งก็ได้ผล สีทันดรมิทรงรู้ทันในอุบายนั้น พยุงเขาไว้แนบพระวรกาย ตรัสขึ้นทันที

“กลับบ้านพี่เอราวัตกันก่อน พี่กลดเจ็บมาก เดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน.....เราจะช่วยรักษาพี่เอง”

 แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองก็โอบอุ้มทรงกลดเหิรลอยกลับไปยังบ้าน ความตั้งพระทัยที่จะแอบเสด็จไปเที่ยวงานวัดหายไปอย่างปลิดทิ้ง สีทันดรทรงลืมไปแล้วว่าจะต้องอยู่ให้ห่างจากอณูน้อยแห่งจันทรเทพ ....เรื่องนั้นลืมไปก่อน บัดนี้อาการบาดเจ็บของทรงกลดสำคัญกว่า

ทรงกลดซ่อนยิ้มที่มุมปาก เหอะ....ทีนี้ก็เป็นทีของเขาแล้วสินะ ขอบพระทัยจันทรเทพที่ทรงสร้างสถานการณ์ให้ ต่ตามที่ตกลงไว้ จันทรเทพเพียงใช้อุบายหลอกให้สีทันดรไปงานวัดเท่านั้นนี่นา ที่เหลือเขาจะต้องใช้ความสามารถจีบเองล้วนๆ แล้วไอ้ศัตรูลึกลับนั้นมันเป็นใคร หรือว่าจะเป็นคนของจันทรเทพส่งมา ....แต่ยังไงก็ต้องขอบใจมัน ที่ช่วยให้แผนเรียกคะแนนความสงสาร เกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องดำเนินการใดๆเลยสักนิดเดียว

เมื่อสีทันดรพาทรงกลดลอยลับหายไปแล้ว ร่างสองร่างก็ปรากฏอยู่เหนือยอดไม้สูง คนหนึ่งนั้นหน้าตางามดุจหล่อมาจากเทวรูปสัมฤทธิ์ ใส่เพียงกางเกงขาสามส่วนเปลือยท่อนบน เผยแผงอกกำยำหนาแน่นรับลมเย็นๆเหนือยอดไม้ ไรผมยาวที่มวยมุ่นเหนือกลางศรีษะปลิวสะบัด เขาคนนั้นกล่าวขึ้นกับอีกคนที่ลอยอยู่ด้วยกันว่า

“เป็นไงล่ะ น้ำเชี่ยว ฉันบอกนายแล้ว ว่าไอ้คนนั้นมันไม่ธรรมดา”

“แล้วไง ธรรม์ ฉันไม่เห็นกลัว นายมาขัดจังหวะทำไม ฉันจะได้ออกแรงยืดเส้นยืดสายสักหน่อย” ผู้ที่ถูกเรียกว่าน้ำเชี่ยวกล่าวตอบ มือข้างขวากุมแขนซ้ายที่บาดเจ็บเล็กน้อย จากการปะทะเมื่อครู่ แล้วเลื่อนมือมาลูบริมฝีปากตน ใบหน้าที่ถูกคัดสรรจากส่วนประกอบที่สมบูรณ์แบบ ทำให้โครงหน้านั้น คือส่วนผสมที่ลงตัว เริ่มมีประกายสดใส ผมตัดสั้นจนเรียกได้ว่าสกินเฮดรับกับลักษณะโดยรวมของร่างกายที่สูงกำยำไม่แพ้คนข้างๆ แผงอกงามเปล่าเปลือยรับลมเช่นกัน

“เหอะ ถ้าไม่เข้ามา นายก็เสร็จไอ้คนนั้นมันแล้ว อย่ามาอวดเก่งเลยน้ำเชี่ยว แล้วมันคุ้มกันไหม กับการไปกอดไปจูบน้องเขาน่ะ”

“คุ้มสิธรรม์ อยากจะบอกว่า น้องเขาตัวหอมจะตาย คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก” น้ำเชี่ยวตอบได้โดยไม่ต้องคิด กลิ่นพระวรกายที่หอมกรุ่นยังคงหอมติดจมูกยามนึกถึง แต่นายน้ำเชี่ยวจะรู้หรือไม่ว่า การกระทำของเขาเมื่อครู่และการพูดถึงเทวะนาคาพระองค์น้อยมันเริ่มสร้างความเจ็บแปลบในหัวใจให้กับผู้ที่มีนามว่าธรรม์ยิ่งนัก ยิ่งตอนที่เขาเห็นอาการตกตะลึงตาค้างของน้ำเชี่ยวเมื่อตอนกลางวัน ยามเห็นเทวะนาคาพระองค์น้อยเสด็จ อาการวาบในใจเจ็บจี๊ดดั่งโดนเข็มเล่มน้อยสะกิดก็เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“อย่างที่ฉันบอก ฉันว่า น้องเขาไม่ว่างสำหรับนายหรอกน้ำเชี่ยว อย่างน้อย ไอ้คนเมื่อครู่มันก็เป็นคู่แข่งของนายแล้ว ...และมันก็ร้ายไม่ใช่เล่น นายจงระวังตัวให้ดี หากคิดจะสานต่อ ฉันขอเตือน”

ธรรม์ข่มอารมณ์ความรู้สึกได้ดีเยี่ยม สีหน้ามิแสดงอาการใดๆ ความรู้สึกที่มีให้กับสหายข้างๆมันเกินคำว่าเพื่อน แต่ไฉนเลยจะต้องให้เขามารับรู้ หากรู้แล้ว ความสัมพันธ์อาจแปรเปลี่ยน จนบางที ความเป็นเพื่อนอาจคลอนแคลนและไม่เหมือนเดิม

“เรากลับที่พักกันเถอะ ฉันอยากอาบน้ำ และพรุ่งนี้เราก็ต้องตื่นแต่เช้า ตามพวกนั้นเข้ากรุงเทพเช่นกัน”

แล้วน้ำเชี่ยวกับธรรม์ก็สลายกลายเป็นรัศมีเจิดจ้า พวยพุ่งออกไปจากยอดไม้สูง ความมืดสนิทแผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบอีกครั้ง มิหลงเหลือรัศมีสว่างสีใดอีกทั้งสิ้น

ดวงดารากลางทองฟ้า ทอแสงระยิบระยับพราว รอบๆพระจันทร์ข้างขึ้นที่เริ่มจะเต็มดวงขึ้นทุกที แสงจันทร์สีนวลทอแสงสาดส่องออดอ้อนหยอกล้อหมู่ดาวอยู่อย่างนั้น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับทรงกลดที่กำลัง ‘อ้อน’ อยู่ ณ ขณะนี้

จันทร์เจ้าเอ๋ย....ใยเจ้าเล่ห์แสนกลนัก
ฤาเพราะรัก เจ้าทำได้ทุกสิ่งสรรค์
เจ้าหลงเงา รักน้องน้อย ของดวงตะวัน
เจ้าเพียงฝัน และใฝ่หา มิได้ครอง!!!!
 
รัศมีสีเขียวเจือทองห่อหุ้มรัศมีเหลืองนวลระเรื่อพุ่งปราดทะลุความมืดมิดแห่งรัตติกาลผ่านเข้าสู่นอกชานที่อัสดงและบรรดาเทวะน้อยทั้งหลายนั่งล้อมวงสนทนากันอยู่ โชคดีที่คุณแม่ของเอราวัตไม่อยู่ ณ ที่นั้นแล้ว มิฉะนั้นคงตกใจไม่น้อยกับการเสด็จมาถึงของเจ้านาคาน้อย

“พี่กลดบาดเจ็บ เร็วเข้าช่วยหน่อย” ทันที่ที่รัศมีเรืองรองจางหาย พระวรกายก็ปรากฏขึ้น ร่างของทรงกลดถูกประคองให้นั่งลงยังพื้นไม้สักที่ถูกขัดจนเงาระยับ อัสดงกับพวกหยุดสนทนาทันใดและกรูเข้ามาดูอาการแห่งอณูน้อยจันทรเทพ

“เกิดอะไรขึ้น ไอ้กลดเป็นอะไร ทำไมมันถึงโดนทำร้ายอีก เมื่อหัวค่ำมันยังรักษาตัวอยู่ในห้องไม่ใช่หรือ”

“เดี๋ยวค่อยตอบ ช่วยดูอาการพี่กลดก่อนเถอะ” พระทัยแห่งเจ้าน้อยเริ่มทรงเป็นห่วง ทรงกลดบาดเจ็บเพราะเข้ามาช่วยตน พระสุรเสียงจึงกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน แต่ก็ยังทรงมิกล้าสบตาดวงตาสีอำพันของอัสดงที่กำลังจ้องเขม็งมา

เอราวัตกับคืนฉายมิรอช้า พาทรงกลดเข้าห้องเพื่อรักษาตามคำขอ ทรงกลดยังคงสวมบทบาทคนเจ็บได้อย่างยอดเยี่ยม ในใจหวังว่าสีทันดรคงเสด็จตามเข้ามาด้วย แต่ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง อัสดงกลับฉุดข้อพระกรแล้วลากสีทันดรไปอีกทางเสียนี่ ทรงกลดได้แต่นึกเจ็บใจ อะไรที่คาดการณ์ไว้ กลับผิดแผนไปเสียหมด ครั้นจะโวยวายอะไรก็มิได้เพราะกำลังแสดงบทบาทคนเจ็บอยู่ เดี๋ยวพวกนี้จะจับได้ว่า เจ็บไม่จริง จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” อัสดงกล่าวมาอย่างเรียบๆ น้ำเสียงมิได้แสดงอาการโมโหหรือไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น ทีท่าที่นิ่งเฉยทำให้สีทันดรทรงเย็นวาบทั่วพระวรกาย อัสสะเวลาโกรธน่ากลัวเหมือนกัน มิยักโวยวาย น่ากลัวประดุจเขาพระสุเมรุที่ยามอากาศจับตัวจนเป็นน้ำแข็ง นิ่งเงียบไม่ไหวติง .....อีกไม่ช้า ภูเขาน้ำแข็งลูกนี้คงปะทุขึ้นมาแน่ๆ หากทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

“ เดี๋ยวก่อนได้ไหม อัสสะ ขอไปดูอาการพี่กลดก่อน เขาบาดเจ็บ” สีทันดรทรงบ่ายเบี่ยง หาทางเลี่ยงเพราะมิอยากถูกอัสสะซักไซ้ไล่เลียงมาตอนนี้

“ไอ้พระพุธกับไอ้พระศุกร์มันดูแลแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ....มานี่ เดี๋ยวนี้” อัสดงลากพระวรกายน้อยๆหลุนๆ ตามติดเข้าไปในห้องส่วนตัว เอาแล้วไง ภูเขาน้ำแข็งเริ่มทลายลงมาแล้ว แต่ก่อนจะเข้าไป เจ้าพระอาทิตย์รูปงามที่แปรเปลี่ยนรัศมีเป็นเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาสั่งความให้คันฉัตรกับราหูช่วยตรวจดูม่านอาคมอีกครั้งและหาร่องรอยของศัตรู

“นายสองคนช่วยตรวจดูอีกที ...เดี๋ยวฉันมา”

“ได้เลยเพื่อน” คันฉัตรกับราหูรับคำ ต่างนึกในใจว่า “ไอ้ดื้อ ไม่รอดแน่...เห็นที ไอ้อัสดง มันคงจัดชุดใหญ่ให้เป็นแน่แท้ เล่นเอามันโกรธจนเงียบขนาดนี้”

แล้วทันทีที่ประตูห้องปิด ภูเขาน้ำแข็งก็เริ่มปะทุตามที่ทรงคาดเดา .....กลายเป็นผู้พิพากษา ชำระความทันใด “เกิดอะไรขึ้น ไหนเล่ามาสิ”

จำเลยตาฟ้าครามเริ่มพระพักตร์เสีย ก้มหน้าก้มตา มิกล้าสบตาของผู้พิพากษายามทรงถูกสอบสวน แต่ก็ทรงฝืนตอบด้วยพระสุรเสียงอ่อยๆว่า “เรา...ผิดเอง แอบออกไปข้างนอกกับรักยม แค่แถวๆนี้เอง ไม่คิดว่าจะมีศัตรูซ่อนอยู่ เลยเกิดเรื่อง”

“แถวๆนี้ น่ะไปถึงไหน ไปกับไอ้กลดใช่ไหม” อัสดงไม่อยากระแวง แต่ก็อดไม่ได้จริงๆนี่นาที่จะคิดเช่นนั้น

“ไม่ใช่นะ...เราไปของเรากับรักยม พี่กลดตามไปได้ไงเราก็ไม่รู้ เราแค่ชวนรักกับยม ไปเดินเล่นงานวัด ไม่เชื่อลองถามรักยมดูสิ”

“อะไรนะ ออกไปจนถึงงานวัด” อัสดงเริ่มขึ้นเสียง แล้วเดินหน้าเข้ามาหา จนพระวรกายน้อยๆต้องเดินหนีถอยหลังจนพระปฤษฎางค์ชิดติดผนัง ทางหนีคงไม่มีแล้ว “ไหน ไอ้รัก ไอ้ยม อยู่ไหน ออกมาสิ”

สิ้นเสียงของอัสดง เจ้ารัก เจ้ายม ก็ปรากฏกายออกมา ทั้งเนื้อทั้งตัวมอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลน ก็แน่ล่ะเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองถูกศัตรูลึกลับซัดเสียจมดินนี่ “เรื่องจริงครับพี่พระอาทิตย์ เราไปกันสามคน พอดีพี่ดื้อโดนลอบทำร้าย เราสองคนก็ถูกซัดเสียจมดิน จะรีบมาบอก ตอนนั้นก็ยังลุกไม่ขึ้น ”

อัสดงหันมามองเจ้ารักยม ก็เห็นได้ว่า มันไม่มีพิรุธใดๆทั้งสิ้น แถมสภาพของมันยังบ่งชัดว่าถูกซัดเสียน่วม จึงสั่งให้มันออกไปได้ เรื่องศัตรูคลายได้แล้วไปเปราะนึง แล้วเรื่องไอ้พระจันทร์ล่ะ มันน่าสงสัย ไอ้นั่นมันออกไปช่วยได้ทันได้อย่างไร มันควรจะอยู่รักษาตัวในห้องไม่ใช่หรือ เรื่องนี้จะปล่อยให้ค้างคามิได้อีกต่อไป

“เพราะความดื้อ ความซนของเจ้าแท้ๆ เลยเกิดเรื่อง ทีหลังอย่าหนีไปไหนอีก อยากไปไหนให้บอกอัสสะ แต่อัสสะก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกเจ้าเสียแต่ต้นว่าคืนนี้ห้ามออกไปไหน เอาล่ะ เรื่องหนีเที่ยวเก็บไว้ก่อน ทีนี้เรื่องไอ้กลด มันออกไปช่วยเจ้าได้ยังไง ตอบให้ดีๆนะ”

อัสดงประชิดตัวจนเจ้านาคน้อยยอดดวงใจไม่มีทางหนี แถมแขนของเขาก็ยังกางกั้น ปิดทาง ...สีทันดร หมดโอกาสหนีการถูกซักฟอกเสียแล้ว คนบ้านี่ เวลาโกรธน่ากลัวจัง น้ำเสียงเรียบๆ เหมือนน้ำในบึงสงบที่ไม่รู้ว่าซ่อนอะไรอยู่ข้างใต้ ทำให้ทรงหวาดหวั่น เล่าความจริงไปเสียเถิด ....แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด หากเขารู้หมดว่าทรงถูกใครที่ไหนไม่รู้ลวนลามมาด้วย มีหวังบ้านพี่พระพุธคงแตก....

“ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง เขาแค่มาช่วยเราไว้ได้ทัน เราว่าเจ้าไปถามเจ้าตัวเองดีกว่า ...แต่คนที่ลอบทำร้ายเรานั่น ฤทธิ์ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะ ปานประหนึ่งเทวะเลยทีเดียว เราเองก็เห็นไม่ชัด รู้แต่ว่า มีสองพลังงานอยู่ ณ ตรงนั้น”

พระเนตรฟ้าครามใสแป๋วเริ่มกล้าที่จะจ้องกลับดวงตาสีอำพัน ทรงหาวิธีเปลี่ยนเรื่องด้วยไหวพริบ แต่อัสดงนั้นหรือจะหลงกล แต่ในเมื่อจับพิรุธอันใดมิได้และไม่อยากระแวงคนรัก จึงเลิกซักไซ้ไล่เลียง ...เดี๋ยวไปถามไอ้กลดก็รู้  ไอ้ดื้อคงไม่น่าห่วง ...ส่วนไอ้พระจันทร์นี่สิ ไม่ไว้ใจมันเลยสักนิด ....ความระแวงหายไปแล้วก็จริง แต่ความขุ่นมัวยังคับแน่นในอก อัสดงจึงหันหลังกลับ ปล่อยจำเลยให้เป็นอิสระ ผลการพิพากษาครานี้ แม้ศาลจะจำยอมตัดสินให้จำเลย “บริสุทธิ์” ทุกข้อกล่าวหา แต่อย่างไรซะ ก็ต้องมีทัณฑ์บนนิดๆหน่อยๆ เด็กดื้อจะได้หลาบจำ

สีทันดรทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ว่าเจ้าพระอาทิตย์ยอดดวงใจ ยังมิสบอารมณ์เท่าใดนัก ว่าแล้วจึงทรงใช้ลูกอ้อนที่มีทั้งหมด โผกอดเจ้าพระอาทิตย์จากทางด้านหลังพระพักตร์งามงดแนบชิดติดแผ่นหลังกว้าง อาการอ้อนแบบนี้มิเคยทรงทำกับผู้ใดมาก่อนนอกจากทูลหม่อมพี่ชาย บัดนี้มีอัสดงเพิ่มเข้ามาอีกคน.....และจะไม่มีใครอื่น ที่จะทรงยอมทำเช่นนี้

‘เรื่องนี้เราผิด ง้อเขาหน่อย...ผู้ชายคนนี้นี่ก็แปลกเวลางอน ก็ดูดีไปอีกแบบ’ สีทันดรทรงเปรยในพระทัยเช่นนั้น แล้วจึงตรัสกับคนขี้งอนว่า

“อัสสะ...เรื่องนี้เราผิดเอง อัสสะอย่าโกรธเรานะ เราขอโทษ จะทำโทษเราอย่างไรก็ได้ แต่อย่านิ่งแบบนี้เลย เราใจไม่ดี”

“เจ้าใจไม่ดี ...แต่อัสสะนี้สิ ใจหาย หากเจ้าโชคไม่ดีอย่างวันนี้ เจ้าเป็นอะไรขึ้นมา อัสสะคงขาดใจ” อัสดงหันหน้ากลับมาอีกครั้งเชยคางเจ้ายอดดวงใจขึ้นมา ดวงตาสีอำพันสอดประสานพระเนตรฟ้าคราม ที่ฉายแววแห่งการสำนึกผิด เขาประทับจูบลงไปกลางนลาฏเกลี้ยงเกลาอย่างแผ่วเบา แล้วกล่าวต่อขึ้นว่า “อย่าทำอีก สัญญาได้ไหม”

“เราสัญญา” สีทันดรทรงซบพระพักตร์กับแผงอกกว้าง อกอุ่นนี้ซบลงทีไรก็ทำให้ชื่นพระทัยทุกครา ดั่งที่ทรงเคยรู้สึกและจะไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็นอื่น

 “เราคงจะไม่โดนทำโทษใช่ไหม” พระสุรเสียงยังคงหวั่นๆ ตรัสถามงุบงิบ เพราะอาการนิ่งไม่ไหวติงของอัสดงนั้น มิเคยพบ มิเคยเห็น เคยแต่ได้ยินว่าถ้าเขาคนนี้โกรธ เพลิงแห่งสุริยเทพจะปรากฏและเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แต่ครั้งนี้แปลกและดูน่ากลัวยิ่งนัก สู้เจ้าโวยวายออกโขนเหมือนเดิมยังจะดีกว่า

“ใครบอกว่าจะไม่โดนล่ะ ....ทำผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ฉะนั้นโทษก็ต้องหนักตามไปด้วย”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง อัสดงก็ใช้แขนขว้างขวาตวัดข้อพระบาทแล้วโอบอุ้มพระวรกายน้อยๆเข้าสู่อ้อมอก เขาไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าไปยังเตียงขาวสะอาดตา แล้วบรรจงวางวรองค์นักโทษน้อยลงบนนั้น สีทันดรทรงรู้ได้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น ‘เอาอีกแล้ว อัสสะเริ่มเกเรมาอีกแล้ว’

“อย่าบอกนะว่า โทษเราคือแบบนี้”

“แล้วจะให้แบบไหน ตีเจ้าเหรอ อัสสะขี้เกียจไปหาไม้เรียว สู้ใช้ไม้ที่อัสสะมีอยู่แล้วดีกว่า อย่าขัดขืน มิฉะนั้นโทษจะหนักเป็นสองเท่า”

สีทันดรทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ว่า ‘ไม้ ที่เขามีอยู่แล้ว’ คืออะไร อาการโมโหของผู้พิพากษาจางหายกลายเป็นอารมณ์เจ้าชู้เข้ามาแทนที่ สีทันดรหลีกหนีไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวโทษจะหนักเป็นสองเท่า ถึงจะไม่โดนตีจนขึ้นแนว.....แต่ไม้ที่เขาจะใช้หวด ก็น่าจะทำให้สะดุ้งสุดพระวรกายเฉกเช่นเมื่อคืน

“คนเกเร...ชอบฉวยโอกาสไม่มีใครเกิน”

สีทันดรตรัสได้แค่นั้น ก็ทรงยอมรับโทษานุโทษที่เจ้าพระอาทิตย์รูปงามกำลังจะมอบให้ ถ้าดื้อแล้วโดนอย่างนี้ ต่อไปจะไม่ดื้ออีกแล้ว ....ฤาจะดื้อให้หนักข้อยิ่งกว่าเดิมดี สีทันดรจะรู้องค์เองไหมว่า ทรงเริ่ม ‘ติดพระทัย’ วิธีการทำโทษอย่างถอนองค์ไม่ขึ้น

ร่างกายกำยำของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดนามน้ำเชี่ยว บัดนี้ยืนตระหง่านภายใต้ฝักบัวที่เปิดน้ำซัดสาดจนแรงสุด สายน้ำอุ่นๆเริ่มชำระชะล้างสิ่งสกปรกคราบไคลที่สะสมมาทั้งวัน ถึงแม้จะชำระร่างกายอย่างไร แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวไม่อยากล้างออก นั่นก็คือกลิ่นพระวรกายที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม กลิ่นนั้นติดกายตรึงใจ มาจนถึงวินาทีนี้

แรกเริ่มเดิมทีของวันนี้ เขาตั้งใจเพียงแค่จะหยอกล้อเล่นๆ ....แต่ก็ห้ามใจไม่อยู่ จึงเผลอกอดแถมจูบไปเสียหลายฟอด น้องนาคน้อยตนนั้นงามเกินกว่าจะเป็นเทวบุตร เวลาขัดขืนแถมพยศดูน่ารัก อันพระเนตรฟ้าครามใส ยิ่งจ้องมองก็งามเกินกว่าดาราดวงใดๆ

ละอองน้ำกระจายกว้างเม็ดใหญ่ๆ ยังคงซัดสาดร่างเปล่าเปลือยอยู่อย่างนั้น จับทั่วทุกตารางนิ้ว ไหลลัดเลาะไปตามส่วนโค้งมนของมัดกล้ามและแผงอกสมส่วนได้รูป ป่าทึบรกชัฏกลางร่างกายเปียกปอนจนเอนลู่ทำให้บางสิ่งดูเด่นชัดขึ้น และเริ่มยืดขยายเพราะเจ้าตัวใช้มือขัดถูไปตามความยาวนั้น ซึ่งถ้าจะวัดจากโคนถึงปลายที่เริ่มชูชัน ก็นับได้ว่าเป็นส่วนที่งามไร้ตำหนิ กลิ่นพระวรกายหอมกรุ่นยังติดตัวระเรื่อ ยามสูดเข้าปอดส่งผลให้ส่วนนั้นเหยียดตรง ผงาด ท่ามกลางสายน้ำจากฝักบัว

“เจ้านาคน้อย...เจ้ามาอยู่กับพวกนั้นได้อย่างไรกัน เราไม่ใช่มารต่ำช้าอย่างที่เจ้ากล่าวหาซะหน่อย เห็นที...เราคงต้องรีบแสดงตัวซะแล้ว เพื่อที่เราจะใกล้ชิดเจ้าได้มากกว่านี้”

น้ำเชี่ยวคิดคำนึงพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองเบาๆ มิทันสังเกตว่า ใครบางคนเข้ามายืนอยู่ภายใต้ฝักบัวเดียวกัน และใครคนนั้นก็ทำลายภวังค์ฝันของเขาจนหมดสิ้น “ยังไม่ถึงเวลาน้ำเชี่ยว....รออีกนิด”

เขาคนนั้น คือ ธรรม์นั่นเอง!!

น้ำเชี่ยวหยุดกิจกรรมที่ทำค้างไว้ทันใด เพราะเจ้าเพื่อนสนิทแทรกตัวเข้ามาอาบน้ำภายใต้ฝักบัวเดียวกัน ปกติเขาทั้งสองก็เปลือยกายอาบน้ำด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ น้ำเชี่ยวดันมีกิจกรรมพิเศษและก็ไม่คิดว่าธรรม์จะเข้ามา เขาจึงรู้สึกเขินเพื่อนยิ่งนักแต่ธรรม์ก็บอกมาว่า “ไม่ต้องอายหรอก เรื่องธรรมชาติน่า น้ำเชี่ยว ถ้านายเขิน เดี๋ยวฉันทำเป็นเพื่อนก็ได้”

“ไอ้บ้าธรรม์ ...ฉันไม่ชอบเล่นว่าวหมู่”น้ำเชี่ยวเอี้ยวตัวหลบ เปลี่ยนเอามือมาปิดส่วนนั้นของเขากันไม่ให้สหายเห็น แต่ปิดอย่างไร ก็ยังมีส่วนปลายแข็งตรงยื่นโผล่พ้นฝ่ามือมา

“จะปล่อยให้ค้างไว้ทำไม....เพื่อนกันไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันก็ออกบ่อย” ธรรม์กล่าวยิ้มๆ ปากพูดไปอย่างนั้น ในใจกลับรู้สึกไปอีกทาง แรกเริ่มเดิมทีที่เจอน้ำเชี่ยว ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร ....พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกพิเศษเริ่มจากความห่วงใยก็ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ...จนกลายเป็นใยสิเน่หาอันบางเบา และเขาเองก็เพิ่งสัมผัสได้ แต่จะไม่มีทางให้น้ำเชี่ยวรู้ “มาให้ฉันช่วยนายเถอะ นายกำลังต้องการฉันรู้”

ร่างกายสูงสง่าเริ่มเปียกปอนไปด้วยน้ำจากฝักบัว ผมยาวที่เคยมัดเป็นมุ่นมวยอยู่กลางศรีษะ เริ่มคลาย ไรผมเปียกชุ่มเริ่มคลอเคลียปกหน้า ร่างกายเปล่าเปลือยเดินเข้าหาสหายเจ้าของผมทรงสกินเฮด เจ้าตัวนั้นยังคงเอามือปิดบังส่วนกลางร่างกายอยู่ แต่อวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกนั้น ยิ่งปิดยิ่งบังก็กลับยิ่งแข็ง ธรรม์ได้แต่หัวเราะหึๆในอาการของสหาย “เหอะน่า .....ดีกว่าชักเอง ฉันทำให้ดีกว่า”

เหมือนกับทั้งชีวิตของธรรม์รอคอยวาระนี้มานานแล้ว โอกาสที่จะได้ช่วยน้ำเชี่ยวให้คลายเหงา ปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออก น้ำเชี่ยวเองเริ่มจะทานอารมณ์ตัวเองวาบหวามไม่ไหว หัวใจเต้นระส่ำ ในเมื่อเขาได้มายืนอยู่ปลายเชิงผาแห่งความหฤหรรษ์แล้ว ใยจะไม่ลองกระโดดลงไปดูสักครั้ง ....ดีกว่าถอยหลังกลับทางเดิม เลือดในกายเริ่มพุ่งขึ้นสูบฉีดทั่วใบหน้า แล้วเสียงตะกุกตะกักของน้ำเชี่ยว ก็กล่าวออกมาว่า

“ละ ลอง ดูก็ได้ แต่แค่ชักนะ”

เท่านั้นแหละ มือใหญ่ๆของธรรม์ก็เลื่อนมากุมอยู่เหนือป่าทึบกลางลำตัวของน้ำเชี่ยว น้ำเชี่ยวปลดมือตัวเองออกไปแล้ว ปล่อยให้ธรรม์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ธรรม์เบี่ยงตัวมากอดน้ำเชี่ยวจากทางด้านหลัง แผงอกกำยำสัมผัสกับแผ่นหลังแข็งแรง มือที่ค่อยๆขยับเข้าขยับออกทำให้น้ำเชี่ยวหลับตาพริ้ม มันดีกว่าชักเองจริงๆด้วย ส่วนปลายสีชมพูสดเริ่มเสียวซ่าน ลมหายใจอ่อนๆของธรรม์เริ่มกระทบบริเวณติ่งหู มือของน้ำเชี่ยวจับต้นขาธรรม์ไว้แน่น อาการเสียวซ่านเริ่มเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะ  แล้วมือของน้ำเชี่ยวนั้น ก็คว้าหมับเอาเข้ากับส่วนกลางของธรรม์ที่เริ่มจะแข็งไม่แพ้กัน เขาไม่อยากเอารัดเอาเปรียบใคร ......ธรรม์เองพอโดนเข้าก็คุมอารมณ์ตนไม่อยู่เช่นกัน อารมณ์วาบหวามของทั้งสองที่ใช้มือผลัดกันช่วย ถ้าเรียกอย่างภาษาชาวบ้านก็คงถึงขั้นกระเจิดกระเจิงแล้ว

ด้วยความที่ธรรม์กอดอยู่ทางด้านหลังจึงทำให้น้ำเชี่ยวช่วยได้ไม่ถนัด ทั้งสองจึงลงนอนแผ่หลากลางห้องน้ำ ครานี้ต่างคนต่างทำงานได้ถนัดยิ่งขึ้น ในชั่วแวบแห่งความคิดของธรรม์ หากเขาจะช่วยน้ำเชี่ยวให้เสียวซ่านยิ่งกว่าเดิม จะดีไหม ในเมื่อลมสวาทก็พัดแรงจนถึงขีดสุด...เอาล่ะไม่ลองไม่รู้

แล้วธรรม์ก็ตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำให้ใคร นั่นคือครอบปากลงไปจนมิดโคน จมูกแทบจะชิดติดกับป่าทึบสีดำ น้ำเชี่ยวปรือตาขึ้นทันใด เพราะรู้สึกถึงอาการอุ่นๆที่ปลายอวัยวะนั้นตลอดทั้งลำ คราครั้งแรกเพียงตกลงกันว่าจะใช้มือช่วย แต่ตอนนี้มันกระเจิดกระเจิงจนควบคุมไม่อยู่แล้ว มิควรจะขัดขืนใดๆทั้งสิ้น ธรรม์ก็มิอยากจะเชื่ออานุภาพของการทำงานด้วยปากตนว่าจะเรียกเสียงครวญครางได้ดังลั่น เจ้าน้ำเชี่ยวเกร็งไปทั้งตัว มือจิกมุ่นผมยาวของธรรม์กระจาย กล้ามเนื้อเริ่มเกร็งทุกสัดส่วนจนถึงปลายเท้า กระแทกหน้าท้องแข็งแรงแบนราบ เด้งกระทบใบหน้าธรรม์อย่างไม่หยุดยั้ง จนสัมผัสได้กับผนังลำคอที่ตอดอย่างเป็นจังหวะถี่ยิบ......พิศสวาทดำเนินมาจนถึงขีดสุด แล้วน้ำเชี่ยวก็ปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออกมาด้วยความเร็วสูง แรงยิ่งกว่าน้ำทะลักคนกั้นน้ำใดๆ

“สะ สะ.... สุดยอด”

ธรรม์รู้สึกได้ถึงสายน้ำหลายระลอกที่พุงกระทบผนังลำคอและไหลนองจนเต็มปาก เสียงกระเส่าของน้ำเชี่ยวยังไม่จางหาย

“นายช่วยฉันแบบนี้ทำไม ธรรม์”

“เราเพื่อนกัน เพื่อนาย ฉันทำได้ทุกอย่าง เราอาบน้ำต่อกันเถอะแล้วจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้เราสองคนต้องตื่นแต่เช้าตามพวกนั้นเข้ากรุงเทพ ...วันนี้เราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” ธรรม์ล้างปากด้วยน้ำจากฝักบัว ก่อนกล่าวตอบน้ำเชี่ยว และอาบน้ำต่อ

น้ำเชี่ยวเริ่มรู้สึกถึงทีท่าแปลกๆของธรรม์แต่ก็ยังเก็บอาการและความรู้สึกไว้ ทำไมธรรม์ถึงได้ช่วยตนแบบนี้ “ขอบใจ...แต่นายยังไม่เสร็จเลยนี่”

“ไม่ต้องหรอกน้ำเชี่ยว แค่ช่วยนายได้ระบาย ฉันก็พอใจแล้ว”

คำตอบของธรรม์เล่นเอาน้ำเชี่ยวฉงนฉงายเข้าไปใหญ่ เพราะอะไรกัน น้ำเชี่ยวสลัดความคิดวุ่นวายออก แล้วจึงลุกขึ้นมาอาบน้ำให้เสร็จในใจเริ่มคิดไปเรื่อย สักวันต้องหาคำตอบเอาจากธรรม์ให้ได้ ว่าที่ทำแบบนี้นั้น .....ธรรม์ทำเพื่ออะไร นายคิดว่าฉันเป็นเพื่อนนายจริงหรือ อย่าบอกนะว่ามันมีมากกว่านั้น ธรรม์!!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2019 11:54:08 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
เมื่อสีทันดรโดนอัสดงลงโทษจนหนำใจแล้ว เจ้าพระอาทิตย์รูปงามก็กลับกลายเป็นคนเดิม ดวงตาเจ้าเล่ห์ซุกซนสีอำพันยังคงหยอกล้อพระเนตรฟ้าครามสวย ยามเดินออกมาจากห้องพระบรรทม คราวนี้อัสดงตามประกบแจ เพราะกลัวว่า เจ้านักโทษหัวใจจะเสด็จหนีไปเที่ยวที่ไหนอีก

ราหูกับคันฉัตรกลับมาจากการสำรวจร่องรอยของศัตรูแล้วแต่ทั้งสองก็คว้าน้ำเหลว เพราะศัตรูหาทิ้งร่องรอยอันใดไว้ไม่ นอกจากร่องรอยแห่งการสู้รบที่มาจากพลังของทรงกลดและสีทันดร

“เหลวว่ะ....หารอยอะไรไม่ได้เลย นอกจากรอยแส้ของน้องดื้อ และก็รอยดาบของไอ้กลด”

“ช่างมันเหอะราหู ฉันเชื่อว่าพวกมันต้องกลับมาอีกแน่ๆ เราเตรียมรับมือพวกมันให้ดีแล้วกัน ตอนนี้เข้าไปดูอาการไอ้กลดกันเถอะ” อัสดงกล่าตอบราหูและพยักเพยิดชวนกันเข้าไปเยี่ยมอณูน้อยแห่งพระจันทร์จอมมารยา

เอราวัตและคืนฉาย ถ่ายพลังให้ทรงกลดเสร็จสิ้นพอดีเมื่อสหายเทวะเข้ามาเยี่ยม ทรงกลดซึ่งจริงๆก็แค่เจ็บเล็กน้อย ครั้นพอได้พลังจากพระพุธและพระศุกร์ก็ทำให้ เจ้าตัวรัศมีเรืองรองยิ่งขึ้น

“มันไม่เป็นอะไรมากแล้ว แค่มันใช้พลังมากไปทั้งๆที่ยังไม่หายดี” คืนฉายรายงานผลการรักษาให้เพื่อนๆทราบ ทำให้ทุกคนโล่งใจ

“แล้วนายไปช่วยไอ้ดื้อไว้ได้อย่างไร” อัสดงไม่รอช้ารีบยิงคำถามที่ค้างคาใจมาทันที

“ฉันเห็น น้องดื้อ ออกไปกับไอ้รักไอ้ยม เลยเป็นห่วงแอบตามไป” ทรงกลดไม่แสดงสีหน้าพิรุธใดๆทั้งสิ้น แอบบริกรรมมนตราบังความคิดในใจมิให้เอราวัตจับได้ในความจริงที่ว่า จันทรเทพคือผู้ทรงสร้างสถานการณ์ดลใจให้น้องดื้อหนีเที่ยวเพื่อที่จะไปเจอกับเขาที่งานวัด

“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน” อัสดงถามเสียงเข้ม

“แล้วทำไมจะต้องบอกนาย” ทรงกลดตอบกลับด้วยเสียงนิ่งๆ มิเหลือเค้าความอ่อนโยน อัสดงได้ฟังก็กำหมัดแน่น อยากจะต่อยปากไอ้พระจันทร์มันสักที แต่ในเมื่อมันไปช่วยสีทันดรจากศัตรู จะยอมให้มันสักครั้ง

“ทีหลังก็หัดดูแลแฟนนายดีๆหน่อยไอ้พระอาทิตย์ เนี่ยเห็นไหม ไอ้กลดมันเจ็บตัวเลย” คันฉัตรหันมากล่าวกับอัสดงแล้วขยี้พระเศียรเจ้านาคาน้อยกึ่งระอากึ่งเอ็นดู “ทั้งดื้อทั้งซนเลยนะเรา  ไงพี่อัสดงทำโทษไปกี่ที”

“พี่ฉัตรอ่ะ ...ผมเรายุ่งหมดแล้ว” สีทันดรตีมือคันฉัตรไปหนึ่งที แล้วเสด็จเข้าประชิดเตียง ถามอาการทรงกลด ซึ่งทำให้คนแกล้งเจ็บหัวใจพองโตคับฟ้า “ พี่กลดเป็นอย่างไรบ้าง ....เพราะเราพี่เลยเจ็บตัว เราขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับ เพื่อน้องดื้อ แม้ชีวิตพี่ก็สละให้ได้” น้ำเสียงอ่อนโยนกลับคืนมาหาทรงกลดอีกครั้งยามกล่าวตอบเจ้านาคาน้อย เพียงพระหัตถ์น้อยกุมมือเขาไว้ เขาก็รู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ท่าทางพี่กลดของเจ้าคงจะหายจริง ถึงได้พูดจาน้ำเน่า มานี่ มาหาอัสสะ” อัสดงฉุดข้อพระกรเจ้านาคาน้อยออกมาทันใด ทรงกลดก็ไวไม่แพ้กันฉุดข้อพระกรอีกข้างไว้มั่น ต่างคนนต่างดึงเจ้านาคา มาแนบออกตน “เราเจ็บนะ”

“เฮ้ยยยยย พอๆ เดี๋ยวน้องดื้อเจ็บตัวกันพอดี มึงสองคนทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้” เอราวัตเข้ามาห้ามทัพ แล้วแย่งน้องดื้อออกมาจากพระอาทิตย์กับพระจันทร์ มาฝากไว้กับคืนฉาย คันฉัตรและราหู “เสน่ห์แรงจริงจิ๊งงงงง เจ้านี่”

“แทนที่จะคุยกันเรื่องศัตรู กับมาหึงบ้าหึงบออะไรกันอีก นายสองคนนี่ไม่ไหวเลย” คันฉัตรส่ายหน้าถอนหายใจ อัสดง ทรงกลดจึงยุติข้อพิพาทกันไว้ชั่วคราว

“นายเห็นไหมว่าศัตรูเป็นใคร” ราหูถามขึ้น

“ไม่เห็น รู้แต่ว่ามันมากันสองคน ที่สำคัญพลังมันพอๆกับพวกเราทีเดียว”

“งั้นก็คงจะได้สนุกกันอีกแล้ว ....ขอให้มันโผล่หัวมาอีกเหอะจะซัดให้น่วมเลย” ราหูกล่าวมาอย่างเข็ดเขี้ยวเคี้ยวพัน คันฉัตรร้องเตือนทันทีว่า

“นายนี่ยังประมาทเหมือนเดิมเลยนะราหู นายลองคิดดูสิ หากมันเล่นเอาไอ้กลดบาดเจ็บถึงสองครั้งสองครา นายว่ามันธรรมดาไหม”

“จริงอย่างที่ไอ้ฉัตรว่า ....ดีแล้วที่พวกเรากลับกรุงเทพกันพรุ่งนี้ ฉันไม่อยากให้คนที่บ้านเอราวัตเดือดร้อน นายเดินทางไหวนะกลด” คืนฉายกล่าวเสริมคันฉัตรและหันมาถามทรงกลดด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบทันใดว่า “สบายมาก”

“งั้นก็ดี อย่าไปตายห่าเสียกลางทางก็แล้วกัน” อัสดงกล่าวแทรกขึ้นมา เล่นทำเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงอย่างทรงกลดแทบจะลุกขึ้นมาต่อยปาก สีทันดรด้วยความรำคาญจึงซัดอัสดงไปเสียหนึ่งที

“อัสสะ พี่กลดเขาอุตส่าห์ช่วยเราไว้ ยังไปว่าเขาอีก”

“เรื่องของมันสิ....ว่าแต่พวกเรา แยกย้ายกันไปพักผ่อนเหอะ ก่อนนอนอย่าลืมตรวจตราเขตอาคมกันอีกครั้งแล้วกัน” อัสดงกล่าวมาอีกครั้งแค่นั้น ก็จูงข้อพระกรไอ้ดื้อออกมาจากห้องพักของทรงกลด ก่อนออกไป เขาก็ต้องหันขวับเพราะทรงกลดส่งกระแสจิตมาถึงเขาโดยตรงว่า “อย่าให้ถึงทีกูบ้างแล้วกันไอ้พระอาทิตย์”

และอัสดงก็โต้ตอบได้อย่างทันควันว่า “กูจะรอดูวันนั้นของมึงไอ้พระจันทร์”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ดึกสงัดแล้ว อณูแห่งเทวะน้อยทั้งหลายต่างก็เข้าห้องพักผ่อนไปกันหมด แต่ทรงกลดยังหลับตาไม่ลง ด้วยเพราะอารมณ์หงุดหงิดขุ่นมัวที่แผนการที่จันทรเทพวางไว้ให้ ‘ล่ม’ ไม่มีชิ้นดี บรรยากาศภายนอกขณะนี้ช่างเงียบเหงาวังเวงยิ่งนัก ทรงกลดลุกจากเตียงขึ้นมายืนเกาะขอบริมหน้าต่างเหม่อมองออกไปในความมืดมิด พระจันทร์จุดกำเนิดแห่งเขาคืนนี้ทอแสงซีดหากแต่ไม่อีกกี่วัน จะถึงจันทร์เต็มดวง ยามนั้นแสงจันทร์จะทอประกายจ้า และอำนาจแห่งเขาจะถึงขีดสุด คาดว่ายามนั้นใครก็คงมาขวางเขาไม่ได้ โดยเฉพาะ สุริยเทพ

ลมหนาวยามดึกเริ่มพัดกรูโชยชาย ใบไม้แห้งๆ หล่นลงกระทบหลังคายามลมพัดทำให้ดังแกรกกราก บรรยากาศยามดึกอันเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ เขาเหงายิ่งนัก

“น้องดื้อ หากถึงวันของพี่เมื่อไร พี่จะไม่มีทางปล่อยเจ้าให้หลุดจากอกพี่เป็นอันขาด”

“มายืนคร่ำครวญอย่างนี้ มันจะไปได้เรื่องอะไรไอ้น้องชาย”

ทรงกลดหันขวับแล้วทรุดกายลงบังคมทันที่ที่เห็นว่าใครเสด็จมา “จันทรเทพ”เสด็จลงมาอีกแล้ว “ทรงเข้ามาได้อย่างไร พวกนั้นมันกั้นอาคมไว้ แต่เสด็จมาก็ดีแล้ว ทรงช่วยหม่อมฉันด้วย”

“เหอะม่านอาคมเด็กๆจะขวางเราได้งั้นเหรอ แล้วไง อยากสู้อย่างวิถีลูกผู้ชายแล้วมันสำเร็จไหม” จันทรเทพทรงถามขึ้นอย่างไม่รอและไม่ต้องการคำตอบ แล้วทรงกล่าวต่อไปว่า “นี่เห็นว่าเจ้าเป็นอณูแห่งเราหรอก เราเลยช่วย....เอาล่ะ ในเมื่อลองมาหลายวิธีแล้วไม่ได้ผล เห็นทีจะต้องใช้วิธีรวบหัวรวบหาง....เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม และไปรอเราอยู่นอกชาน”

“จะทรงทำอะไร หากจะทำเสน่ห์อีก หม่อมฉันไม่ต้องการ หม่อมฉันอยากให้น้องดื้อรักหม่อมฉันอย่างใจจริง” ทรงกลดทูลขึ้นทันควันและยังคงยืนกรานที่จะใช้วิธีอย่างลูกผู้ชาย

“เจ้านี่มันไม่ได้ดั่งใจเราซะเลย เฮ้อ....เอาเหอะ เราไม่ทำเสน่ห์เจ้านาคน้อยนั่นหรอก เราแค่จะพาเจ้านาคน้อยให้ไปอยู่กับเจ้าสองต่อสอง และตอนนั้นเจ้าก็ใช้ความสามารถของเจ้าเองตามใจเจ้าปรารถนาแล้วกัน ไปได้แล้ว”

ทรงกลดยังแคลงใจกับแผนการแผนใหม่ของจันทรเทพ แต่เขาก็ไม่กล้าทูลถามใดๆอีกทั้งสิ้น เดี๋ยวกริ้วขึ้นมาอาจจะไม่ทรงช่วย เขาจึงรีบออกไปรอด้านนอกตรงนอกชานตามรับสั่ง

แล้วรัศมีเหลืองนวลที่แรงกล้ายิ่งกว่าของทรงกลดก็เปล่งประกายวาบกำจายไปทั่วสารทิศ ภายใต้รัศมีเหลืองนวลนั้นเจือไปด้วยมนต์สะกดที่ใครโดนเข้าก็ต้องอยู่ในสภาวะหลับใหลไม่ได้สติ แสงนวลกำจายนั้นสว่างวาบไปทั่วทุกห้อง เข้าจับร่างแห่งเทวะน้อยๆ ทั่วทุกคนไม่เว้นแม้แต่อัสดงที่กำลังนอนกอดเจ้านาคน้อยอย่างเป็นสุข แต่แสงนวลนั้น ยามกระทบพระวรกายกลับมิทำให้บรรทมสนิทเช่นคนอื่นๆ กลับทำให้สีทันดรเสด็จลุกขึ้นจากพระที่ เดินออกมาจากห้องพระบรรทมด้วยพระเนตรฟ้าครามที่เหม่อลอย อัสดงยังคงสลบไสลเพราะต้องมนตรา มิรู้ว่า หัวใจ ของเขาเสด็จออกไปจากอ้อมอกแล้ว และกำลังจะเสด็จเข้าสู่อุ้งหัตถ์แห่งจันทรเทพ

สีทันดรทรงดำเนินมาเรื่อยๆจนถึงนอกชาน ที่ทรงกลดยืนรออยู่ ทรงกลดร้องทักแต่เหมือนเจ้านาคาน้อยมิได้ยินเสียงอันใด“น้องดื้อ เจ้ามาหาพี่แล้ว”

เขารีบเดินเข้าไปหาเจ้านาคน้อยทันใด และแล้วพระวรกายหอมกรุ่นก็ทรุดฮวบลงในอ้อมแขนที่เขากางรอรับไว้อย่างพอดิบพอดี

“เจ้าเป็นอะไรไปนี่....น้องดื้อ”

“น้องดื้อของเจ้าไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็ฟื้น ที่นี้ก็เหลือแต่ความสามารถของเจ้าล้วนๆแล้วนะทรงกลด ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ อีกไม่เท่าไรมนตราก็จะเสื่อมแล้ว รีบไปก่อนสุริยเทพจะรู้ตัว”

“ไปไหนพะยะค่ะ”

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้ อย่าเพิ่งถาม”

สิ้นรับสั่ง จันทรเทพก็ทรงสลายกลายเป็นสีเหลืองนวลพุ่งปราดออกไปด้านนอกขึ้นประทับเหนือราชรถเทียมม้าสีเศวต ทรงกลดยังละล้าละหลัง สองจิตสองใจจะทำอย่างไรดี จันทรเทพทนรำคาญไม่ไหว กลัวจะไม่ทันการ เพราะมนตราภายใต้รัศมีเหลืองนวลนั้นเริ่มจางลงทีละน้อยทีละน้อย จึงทรงสะบัดหัตถ์จนบังเกิดหมอกควันหนาพัดพาเอาร่างของทรงกลดกับสีทันดรลอยละลิ่วลงมากองอยู่บนราชอาสน์สีทองหนานุ่มบนราชรถ

“ไป”

 ราชรถเทียมม้าสวรรค์โผนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันใด สีทันดรยังคงตกอยู่ในภวังค์มนตรา แนบชิดในอ้อมอกของทรงกลด แต่จันทรเทพหาได้รู้ไม่ว่า การลักพาตัวเจ้านาคน้อยกำลังตกอยู่ในสายตาของใครบางคนที่ลอยหลบอยู่เหนือกิ่งไม้ใหญ่

“เฮ้ยยยยยยยยย  นั่นมันจันทรเทพนี่นา แล้วจะพาน้องพญานาคไปไหน หรือว่า....”

น้ำเชี่ยวนั่นเอง เขาแอบธรรม์ออกมาจากที่พักเพื่อมาดูดวงเนตรฟ้าครามที่ตรึงใจ หลังจากพยายามข่มตาหลับอยู่หลายครั้งหลายคราก็ไม่เป็นผล เขามาซุ่มดูอยู่นานแล้ว เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่จันทรเทพเสด็จมาจวบจนพาตัวเจ้านาคาน้อยขึ้นราชรถ เขาตัดสินใจไวกว่าความคิดรีบโผนทะยานออกจากที่ซ่อน พุ่งปราดลอยขวางทางเสด็จแห่งจันทรเทพ ราชรถเทียมม้าหยุดกลางนภากาศทันใด

“จะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ เท่าที่หม่อมฉันรู้ ตามกฎสวรรค์ พระองค์ต้องทรงฌานอยู่มิใช่เหรอ เพราะทรงแบ่งอณูลงมาแล้ว”

“ไม่ใช่กิจของเจ้า จงถอยออกไปเสีย อย่ามาขวางทางเรา อย่าคิดนะว่า เราจะเกรงใจต้นกำเนิดแห่งเจ้า” จัทรเทพตวัดดัชนีชี้กราดมายังร่างของน้ำเชี่ยวที่ขวางทางเสด็จ พระสุรเสียงดังก้องกังวาน ทรงอำนาจแห่งเทวะประธานยามราตรี มิได้ทำให้น้ำเชี่ยวหวาดกลัวเลยสักนิด

“ไม่พะย่ะค่ะ ทรงตอบหม่อมฉันก่อน ว่าจะพาน้องพญานาคนี่ไปไหน ดูท่าน้องเขาจะไม่ได้สติ ทรงเล่นสกปรกอะไรอีก” น้ำเชี่ยวไม่ลดละ ทูลถามด้วยทีท่าองอาจเกินวัยหนุ่มน้อยอายุสิบแปด รัศมีสีชมพูเริ่มเปล่งประกายออกจากตัวเขา ทรงกลดที่นั่งอยู่ข้างหลังพอเห็นก็รู้ได้ทันใดว่าคนที่มาขวางไว้คือใคร....... “ไอ้พระอังคาร!!”

“โอหัง เจ้ามันก็แค่อณูแห่งพระอังคาร อย่าบังอาจกล่าววาจาสามหาวกับเรา เห็นทีวันนี้ต้องสั่งสอนให้เจ้าหายยโสเสียบ้าง”

จันทรเทพกระทืบบาท พระโทสะเริ่มจับสูงสุด แล้วเทวะผู้ทรงเป็นองค์ประธานแห่งรัตติกาล ก็ตวัดหัตถ์ซัดพลังสีเหลืองทองลูกใหญ่เข้าใส่ร่างของน้ำเชี่ยว เจ้าน้ำเชี่ยวตั้งรับไว้ได้ทันท่วงที แล้วดันพลังนั้นออกด้วยรัศมีสีชมพูเจือแดงแรงกล้า ตั้งใจจะซัดกลับ แต่เขาเป็นเพียงแค่อณูแห่งเทวะ มีหรือจะสามารถต่อกรกับเทวะชั้นผู้ใหญ่ ....เปรียบได้ดั่งกับหิ่งห้อยตัวน้อยเปล่งแสงแข่งกับแสงจันทรา

พลังแห่งจันทรเทพ รุนแรงยิ่งขึ้น น้ำเชี่ยวเริ่มทานอำนาจนั้นไม่ไหว เซถลา หมุนคว้างกลางอากาศ แต่ก่อนที่เขาจะเสียที รัศมีสีส้มเจือทองก็พุ่งปราดพาร่างเขาหลบออกไปจากวิถีพลังงานแห่งจันทรเทพ ทำให้พลังนั้น พุ่งเข้าชนยอดไม้ใหญ่แทนที่จะเป็นร่างของน้ำเชี่ยว

“ธรรม์ นายมาได้ไง”

“ก็แอบย่องตามนายมานั่นแหละ...ไม่เข้าเรื่องเลยนายนี่”

เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่น มนตราที่สะกดเหล่าเทวะน้อยทั้งหลายบนบ้านพลันสลายทันใด อัสดงสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ทำคือรีบมองเจ้านาคน้อยที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็พบแต่ความว่างเปล่า ใจเขาหายวาบลงไปกองอยู่ปลายเท้า “ไอ้ดื้อเจ้าอยู่ไหน บรรลัยแล้ว”

เท่านั้นแหละอัสดงจึงรีบวิ่งออกมาด้านนอก จนออกมาเจอเอราวัต คืนฉาย คันฉัตรและราหูที่ต่างก็เปิดประตูห้องออกมาดูเสียงระเบิดพร้อมๆกัน ต่างคนต่างถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันไม่รู้...รู้แต่ว่าสีทันดรหายไป” อัสดงกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน

“อะไรนะ.....น้องดื้อหายไป เป็นไปได้ยังไง”

ก่อนที่เอราวัตจะซักไซ้ไล่เลียงสิ่งใดเพิ่มเติม คืนฉายก็บอกกับทุกคนให้แหงนดูกลางท้องฟ้าและภาพที่ปรากฏแก่สายตา ของพวกเขาก็คือ กลุ่มรัศมีสีเหลืองนวลกำลังไล่ซัดสาดรัศมีสีส้มกับรัศมีสีชมพูไปรอบๆ เหตุนี้เองคงเป็นเหตุแห่งเสียงระเบิดกัมปนาท เทวะน้อยมิต้องกล่าวสิ่งใดแก่กันอีกทั้งสิ้น ทั้งห้าเหิรลอยละลิ่วขึ้นไปกลางฟ้าทันใด จันทรเทพที่ประทับภายใต้รัศมีเหลืองนวล ทรงแย้มมุมโอษฐ์อย่างเยือกเย็น แล้วตวัดดาบที่เหน็บไว้ข้างราชรถยามออกศึก ซัดกลุ่มพลังเทวะที่ลอยเข้ามาเป็นวงกว้าง เทวะน้อยทั้งห้าแตกกระจายแยกไปคนละทิศ เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นอีกคำรบ พร้อมๆกับรัศมีสีชมพูร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเพราะหลบคมดาบแห่งจันทรเทพไม่ทัน

“น้ำเชี่ยว!!!”

ธรรม์ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงระเบิด แล้วเหิรลอยเข้ามารับร่างของน้ำเชี่ยวไว้ จันทรเทพตวัดดาบมาอีกครั้ง หมายยังร่างของรัศมีสีชมพูและสีส้ม รัศมีและพลังจากร่างทั้งสองที่กำจายออกสามารถบ่งบอกที่มาและจุดกำเนิดแห่งตนได้ดี สวรรค์คือจุดกำเนิดและเป็นขุมพลังเดียวกับอณูเทวะทั้งห้า อัสดงที่จับกระแสนั้นได้ก่อนใครตะโกนลั่นฟ้า

“เฮ้ยยยยยย ระวัง”

เขารีบเหิรลอยมาสกัดกั้นคมดาบด้วยจักรเพลิง ทำให้น้ำเชี่ยวกับธรรม์รอดพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด และทันทีที่จักรเพลิงกระทบเข้ากับคมดาบแห่งจันทรเทพ เสียงดังลั่นดั่งอสุนีบาตก็กระจายไปทั่ว แรงระเบิดกระจายเป็นวงกว้าง เหล่าพลังงานเทวะที่อยู่บนฟ้าต่างก็เซถลาไปตามๆกัน แม้กระทั่งราชรถแห่งจันทรเทพ อาชาสวรรค์ร้องพยศลั่นฟ้า รถทรงเริ่มโงนเงน แต่จันทรเทพก็บังคับไว้ได้ ในชั่ววินาทีที่ราชรถซัดส่าย อัสดงก็เห็นพระวรกายแห่งเจ้านาคาน้อยยอดดวงใจ บรรทมนิ่งอยู่ที่ราชอาสน์ด้านหลัง ร่างนั้นถูกรัดไว้ด้วยอ้อมแขนของทรงกลด อัสดงตะโกนก้องสุดเสียงลั่นฟ้า

“ไอ้ดื้อ!!”

จันทรเทพที่ใช้โอกาสช่วงที่ตั้งตัวได้เร็วกว่าใคร ทรงพนมหัตถ์ระหว่างพระอุระ แล้วพลังอันแรงกล้าก็พวยพุ่งกลายเป็นแสงจันทราสุกไสว เทพน้อยทั้งหลายที่ยังเสียหลักตั้งตัวไม่ได้ ถูกแสงรัศมีจันทร์ซัดเข้าอีกครั้ง แล้วก็ร่วงหล่นลงจากฟ้าลงมาปะทะกับพื้นดิน ....อัสดงพยามยามเหิรลอยฝ่าแสงจันทร์ไปอีกครั้ง ปากก็ตะโกนเรียกพระนามเจ้านาคาน้อยลั่น

“สีทันดร!!!!”

ก่อนที่แสงจันทร์สว่างจ้าจะจางหาย เจ้าของพระนามที่อัสดงร้องเรียกก็ลืมพระเนตรฟ้าครามขึ้น ริมโอษฐ์คล้ายจะเผยอเปล่งสุรเสียง “อัสสะ....ช่วยเราด้วย”

เพียงเท่านั้น รัศมีจันทร์ก็จางห่างหาย .....พร้อมราชรถแห่งจันทรเทพ และพระวรกายแห่งสีทันดร

*******************
รบกวนติดตามต่อในครึ่งหลังนะคะ   :กอด1: ขอบพระคุณท่านผู้อ่านและทุกความเห็น ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา  :pig4:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
รออยุ่นะ  กำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :L1:คขอบคุณนะคะที่กลับมาลงให้อ่านชอบทุกเรื่องมากภาษาสวยเนื้อเรื่องน่าติดตามอัศดงก็ปากร้ายหยิ่งทรนงน้องดื้อก็น่ารักทั้งแสบซนสงสารทรงกลดพระจันทร์รอคู่ตัวเองนะพระพุทเกือบตายสะแล้วนนทกรก็ดีตัวละครที่ออกมาแต่ละคนสวยงามมากอ่านแล้วตื่นตาตื่นใจมาก

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :L2: :katai2-1: :mc4: สนุกมากจริงๆค่ะยังไม่ทันรบกับทัพอสูรเลยแหละ มารบกันเองซะแล้ววัยรุ่นอารมณ์ร้อนจริงๆเสด็จพี่ทยุทติธร พอพระทัยร้อนเราอณูของเทพก็ใจร้อนยิ่งอักสะนี่กลัวเจ้าดื้อจะโดนแยกบาดาลสินะ ไม่ต้องห่วงพระมหาเทวีทรงถือข้างอุกนะเจ้าดื้ออยู่แล้วไม่มีใครเคยจพระเสาวนีย์ได้หรอก เสร็จสิ้ศึกนาคาเคลียร์กันลงตัวกันมาเจอศึกรักตรงจันทรเทพนิสัยไม่ดีทำให้เกิดเรื่องอีกแล้วเข้าข้างแอบดูของตนเองในทางที่ผิดจริงๆมาลักพาสีทันดรของอัศดงไปได้ยังไงพระสุริยาทิตยาคยลงมาช่วยอนำหนูอักสะด้วยเราอณูแห่งเทพลงมาครบทุกองแล้วจะได้รอรับเทวราชโองการเตรียมปราบอสูรสักที รอตอนต่อไปนะคะขอบคุณมากๆเลยค่ะนักเขียนที่น่ารักสู้สู้

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :L2: :katai2-1: :mc4: สนุกมากจริงๆค่ะยังไม่ทันรบกับทัพอสูรเลยแหละ มารบกันเองซะแล้ววัยรุ่นอารมณ์ร้อนจริงๆเสด็จพี่ทยุทติธร พอพระทัยร้อนเหล่นอณูของเทพก็ใจร้อนยิ่งอักสะนี่กลัวเจ้าดื้อจะโดนแยกกลับบาดาลสินะ ไม่ต้องห่วงพระมหาเทวีทรงถือข้างอักสะนะเจ้าดื้ออยู่แล้วไม่มีใครกล้าขัดพระเสาวนีย์ได้หรอก เสร็จสิ้ศึกนาคาเคลียร์กันลงตัวกันมาเจอศึกรักตรงจันทรเทพนิสัยไม่ดีทำให้เกิดเรื่องอีกแล้วเข้าข้างอนูทรงกลดขององค์เองในทางที่ผิดจริงๆมาลักพาสีทันดรของอัศดงไปได้ยังไงพระสุริยาทิตย์ลงมาช่วยอนูอักสะด้วยเราอณูแห่งเทพลงมาครบทุกองแล้วจะได้รอรับเทวราชโองการเตรียมปราบอสูรสักที รอตอนต่อไปนะคะขอบคุณมากๆเลยค่ะนักเขียนที่น่ารักสู้สู้

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๑๓  จันทรคราส (ที่เหลือ)


“ไม่จริง..............สีทันดร” อัสดงเอื้อมแขนจนสุดปลายแต่ก็ไขว่คว้าได้แต่เพียงอากาศว่างเปล่า

ประกายเพลิงลุกโหมไหม้ร้อนแรงรอบๆตัวของเขาที่ลอยอยู่กลางฟ้า โทสะดำเนินมาจนถึงขีดสุด สหายเทวะที่อยู่ด้านล่างมิกล้าลอยฝ่าเปลวเพลิงนั้นเข้ามา จวบจนสักพัก...เปลวเพลิงสว่างจ้าลูกใหญ่จึงสงบลง อัสดงลงมายืนบนพื้นดินแล้ว ดวงตาสีอำพันเจ้าเล่ห์เลือนหาย  กลับกลายเป็นแดงจ้าด้วยเปลวเพิง 

“เพราะเราประมาทแท้ๆทีเดียว อัสสะผิดเอง อัสสะผิดเอง”

“ใจเย็นๆก่อนอัสดง....อย่าเพิ่งโวยวาย ค่อยๆคิดหาทางตามน้องดื้อกันเหอะ” เอราวัตเข้ามากอดไหล่ปลอบอัสดงที่กำลังโทษตัวเอง

“ใครกันที่บังอาจเหยียบจมูกพวกเราถึงที่นี่.....จะว่าไปรัศมีเหมือนกับไอ้กลด แต่รุนแรงกว่า เออแล้วนี่ไอ้กลดไปไหน” คืนฉายเหลียวมองหารอบๆ พึ่งนึกได้ว่าทรงกลดหายไป

“เหอะเพื่อนพวกนายจะหายไปไหนได้...ถ้าไม่ใช่หายไปกับจันทรเทพ”

น้ำเชี่ยวยันกายขึ้นจากอ้อมแขนของธรรม์ ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เขาเป็นจุดเดียว คงถึงเวลาแล้วสินะที่เขาคงจะต้องแสดงตัวตนเสียที แม้ธรรม์จะบอกว่ายังไม่ควรก็เหอะ

“จันทรเทพและเพื่อนของนายอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ฉันแอบเห็นตั้งแต่ตอนเสด็จมา จนทรงกำกับมนตราให้พวกนายหลับแล้วสะกดเอาเจ้าน้องพญานาคออกมา ฉันพยายายามขวางให้แล้ว แต่ช่วยไม่ได้”

“แล้วนายเป็นใคร......หรือว่านายคือ” คืนฉายถามขึ้นเป็นแรก แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะรัศมีสีชมพูจากร่างกายของคนพูดเริ่มกระจายออกจากร่าง พร้อมกับรัศมีสีส้มเจือทองของคนอีกคนที่เริ่มยืนตระหง่านเหยียดตรง

“เขาสองคน คือสหายที่พวกเรากำลังตามหาไง ....พระอังคารกับพระพฤหัส” อัสดงกล่าวตอบแทนน้ำเชี่ยว เรียกเสียงฮือฮาได้จากอีกสี่เทวะน้อยที่เหลือ

“ไอ้พระอังคาร ไอ้พระพฤหัส”

“ใช่พวกฉันเอง....อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย พาน้ำเชี่ยว ไปรักษาแผลก่อนเหอะ ถ้าจะฉกรรณ์อยู่” ธรรม์รีบกล่าวขึ้นก่อนที่สหายเทวะจะซักถามอะไรไปมากกว่านี้ คันฉัตรรีบเข้ามาดูแผลของน้ำเชี่ยว แล้วก็กวักมือเรียกเอราวัตให้เข้ามาใกล้ๆ ช่วยกันพยุงไปรักษา

“พาไอ้พระอังคาร ไปที่เรือนริมน้ำก่อนเหอะ หากขึ้นข้างบน เดี๋ยวบนบ้านฉันจะแตกตื่น”

“ขอบใจ” น้ำเชี่ยวกล่าวตอบสหายที่เพิ่งเจอกันอีกครั้ง แล้วยอมให้เอราวัต กับคันฉัตรพากันเดินไปยังเรือนริมน้ำตามพร้อมด้วยธรรม์ คืนฉายและราหู ส่วนอัสดงยังยืนรั้งท้าย เงยหน้ามองพระจันทร์กลางท้องฟ้า กำหมัดแน่น

“จันทรเทพ ไอ้กลด.....หากเป็นอย่างพระอังคารพูดจริง ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” เปลวไฟรอบๆกายแม้จะสงบลงแล้ว หากก็ยังมีไอประทุอยู่รอบๆ “ไอ้ดื้อ รออัสสะก่อนนะ อัสสะจะไปพาเจ้ากลับมาอยู่ในอ้อมอกของอัสสะเอง แม้หนทางมันจะอันตรายก็ตาม”


รัศมีสีฟ้าเจือทองระเรื่อที่ทอดออกมาจากฝ่ามือของคืนฉายสิ้นสุดลงแสดงถึงการถ่ายเทพลังรักษานั้นเสร็จสิ้นพร้อมๆกับรายบาดแผลจากคมดาบแห่งจันทรเทพบนต้นแขนของอณูแห่งพระอังคารนามน้ำเชี่ยวเริ่มสมานจนปิดสนิท แล้วการสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น

“เป็นไงมาไง ถึงได้มาโผล่หัวเอาป่านนี้” คืนฉายถามคนไข้ที่กำลังขยับแขนไปมา

“ตั้งใจว่าจะมาปรากฏตัวนานแล้ว แต่จับกระแสพลังเทวะพวกนายยากเหลือเกิน ฉันกับธรรม์เจอกันก่อนหน้านี้นานแล้ว จนเมื่อคืนเนี่ยแหละจับกระแสพลังที่รุนแรงของพวกนายได้เลยรีบรุดมา แต่ก็ยังอยากดูทีท่าพวกนายก่อนว่าใช่เทวะแน่จริงหรือไม่ และพร้อมไหมที่จะร่วมปราบมารด้วยกัน” น้ำเชี่ยวกล่าวตอบพร้อมพยักเพยิดไปทางธรรม์ผู้เป็นอณูแห่งพระพฤหัสบดี

“ฉันเองแหละห้ามน้ำเชี่ยวไว้....เออ แล้วเมื่อคืนนายรบกับใคร” ธรรม์ที่นิ่งเงียบอยู่นานกล่าวขึ้นมาบ้าง

“พวกนาค...พี่ชายน้องดื้อ”

“ใครกัน น้องดื้อ.....หรือว่า” น้ำเชี่ยวขมวดคิ้วถามมาอย่างสงสัย แล้วก็ได้คำตอบมาทันท่วงทีว่า

“ก็เจ้านาคน้อยแฟนอัสดงมันไง.......เออ ลืมบอกไปว่า ไอ้พระอาทิตย์มันชื่ออัสดง ไอ้พระจันทร์มันชื่อทรงกลด พระศุกร์ชื่อคืนฉาย และนี่ก็ไอ้พระเสาร์หรือคันฉัตร ที่ยืนข้างๆกันนั่น ราหูมันใช้ชื่อเดิม ส่วนฉันเอราวัต แล้วนายใช้ชื่ออะไรกัน” เอราวัตทำหน้าที่ฑูตสันถวไมตรีแนะนำสหายที่เหลือ ......เทวะน้อยต่างพยักหน้าทักทาย

“ฉันชื่อน้ำเชี่ยว อณูแห่งพระอังคารส่วนไอ้ผมยาวเหมือนพราหมณ์นั่นคืออณูแห่งพระพฤหัสเรียกมันว่าธรรม์”

น้ำเชี่ยวกล่าวแนะนำตัวแทนเพื่อนยิ้มตอบรับ ความลังเลที่ว่าสหายใหม่บนมนุษย์โลกพวกนี้ จะช่วยปราบมารได้แน่หรือจางหายเพราะเมื่อกี้ได้เห็นพลังของแต่ละคน จึงรู้แจ้งได้ว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ ไอ้พระอาทิตย์ ฤทธีรุนแรงประดุจต้นกำเนิดแห่งมันทีเดียว และที่สำคัญ พระอาทิตย์ได้คว้าคนที่เขาถูกใจไปเรียบร้อย......แล้วเขาจะไปสู้อะไรได้เนี่ยสงสัยแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง เรื่องวุ่นวายต่างๆมันจะได้จบลงเสียที....แล้วนายแน่ใจเหรอว่าน้องดื้อถูกไอ้พระจันทร์พาตัวไป” ราหูกับคันฉัตรถามแทบจะพร้อมกัน ทั้งสองไม่อยากจะเชื่อว่าทรงกลดจะทำอย่างนั้นลงไปได้

“ไม่ใช่ไอ้พระจันทร์....จันทรเทพต่างหากที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ฉันแอบซุ่มดูจนได้เห็น จันทรเทพทรงร้อยเล่ห์มานานแล้ว ไม่งั้น ไอ้พฤหัสคงไม่เสียเมียตอนอยู่บนสวรรค์จริงไหม”

ธรรม์ได้ยินน้ำเชี่ยวพูดก็นิ่งเฉยสักพัก ....ความเจ็บช้ำใจครั้งถูกแย่งเมียบนสวรรค์ติดตัวมาแต่ก็ไม่มาก....เพราะตอนนี้หัวใจฝักใฝ่รักสหายชายด้วยกัน และคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนที่ตัดผมสกินเฮด นั่งอยู่ตรงหน้านั่นเอง “การจะรบกับจันทรเทพ...เราต้องรอบคอบ เท่าที่ดู น้องดื้อของพวกนายคงไม่เป็นอันตราย เพราะไอ้พระจันทร์มันถูกใจน้องเขาอยู่ใช่ไหม”

“มันรักเลยแหละ.....แต่นิสัยมันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่อยู่บนสวรรค์แล้ว ชอบไปรักคนมีเจ้าของ และคราวนี้ดันไปเหยียบจมูกใครไม่เหยียบ ดันเป็นของไอ้อัสดง คาดว่าไอ้พระจันทร์คงเหลือแต่ตอ”

คันฉัตรตบไหล่อัสดงเบาๆ แต่ก็ต้องชักมือกลับเพราะรุ้สึกถึงกระแสพลังรุนแรงเหมือนเปลวเพลิงเผาไหม้ ที่ปลายมือยามสัมผัส พลังแห่งสุริยะเทพรุนแรงอย่างนี้นี่เอง สงสัยไอ้กลดคงตายคาตีนไอ้อัสดงแน่ๆ

“หากไอ้กลดแตะต้องและทำอะไรไอ้ดื้อแม้แต่นิดเดียว กูกระกระทืบมันจมดินแน่” อัสดงขบกรามแน่น เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ทำอันตรายน่ะคงไม่ แต่เขากลัวว่า มันจะทำอย่างอื่นสิ ไม่แน่ และหากมันทำให้ยอดดวงใจมีราคี โทษสถาณเดียวของมันคือ “ตาย”

“ใจเย็นๆก่อน อัสดง ยังไงไอ้กลดก็เป็นเพื่อนเรา ลองเจรจาดีๆกับมันก่อน ลำพังไอ้กลดคงไม่กล้า ฉันว่าจันทรเทพนั่นแหละ ตัวร้ายของแท้ นายจำที่ไอ้กลดเคยบอกเราสองคนตอนเล่นน้ำที่เจอกันวันแรกได้ไหม มันบอกว่าคืนไหนที่พระจันทร์เต็มดวงและทรงกลด คืนนั้นพลังมันจะถึงขีดสุด และสภาวะอารมณ์มันอาจไม่เหมือนเดิม ฉันว่าต้นกำเนิดมันล่ะสำคัญ” เอราวัตยับยั้งเตือนสติอัสดงไว้ คืนฉายกับคันฉัตรรีบสนับสนุน

“เห็นได้กับที่พระพุธว่า เรามาวางแผนกันเถอะว่าจะช่วยน้องดื้ออย่างไร.....ธรรม์นายเป็นครุเทพ เก่งกาจรอบคอบ นายช่วยวางแผนสิ” คืนฉายพูดเพื่อขอความเห็น มากกว่าจะตั้งใจแดกดัน

พระพฤหัสบดี เทวะผู้เป็นครุแห่งเทวดา ทำหน้าครุ่นคิดยามถูกพระศุกร์เทวะผู้เป็นครุแห่งอสูรกระตุ้น  ยามอยู่บนสวรรค์ทั้งสองไม่ค่อยจะลงรอยกันนักเพราะบรรดาลูกศิษย์ตนนั้นไม่ถูกกัน แต่ยามนี้ทั้งสองต้องมาร่วมมือกัน ปราบอสูร ธรรม์จึงไม่คิดอะไรมาก แล้วเขาก็กล่าวมาอย่างช้าๆว่า

“ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า จันทรเทพพาสองคนนั่นไปไว้ไหน หนทางสยบจันทรเทพคงต้องมี และเราต้องพาเจ้านาคน้อยออกมาก่อน ก่อนพระจันทร์จะเต็มดวงวันพรุ่งนี้และเราจะกำราบพระจันทร์ยาก อย่างที่พระพุธบอก”

“ฉันจะเข้าฌานถามหลวงตา.....พวกนายเตรียมตัวไว้ แล้วเราจะไปชิงสีทันดรด้วยกัน” อัสดงกล่าวขึ้นเสียงเข้ม และเตรียมนั่งขัดสมาธิเข้าฌาน  สหายทั้งหลายตอบรับด้วยความเต็มใจ พระอาทิตย์ถูกลักพายอดดวงใจไป และพวกเขาก็เต็มใจช่วย แม้ยามอยู่บนสวรรค์อาจหมั่นไส้พระเอกคนนี้บ้าง แต่ยามนี้ ....ความเป็นเพื่อนและผู้นำกลุ่มของอัสดงฉายชัดและทุกๆคนก็ยอมรับเขาในใจให้เป็นผู้นำมาตั้งแต่แรก.....แม้จะไม่ได้เอ่ยปากกันออกมาก็ตาม โดยเฉพาะพระอังคารที่เคยทระนงตนว่าหล่อและเก่งนักเก่งหนา พอเจออัสดงวันนี้.....บทพระรองจำต้องรับมา แสดง อย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ได้เลย........อัสดง”

จู่ๆ แสงรัศมีเจือทองก็พุ่งจับลิบลับตรงขอบฟ้า แสดงถึงเวลาการเริ่มต้นของวันใหม่ ขบวนแห่งสุริยเทพเสด็จดังเฉกเช่นเคย แต่แล้วแสงสีทองสว่างจ้านั้น แทนที่จะพุ่งขึ้นฟ้า กับพุ่งปราดมายังนอกชานของเรือนริมน้ำ แล้วรัศมีกายที่เจิดจ้าสว่างไสวสีทอง ที่เทวะน้อยทุกคนต้องเอามือปิดตา ก็มาหยุดลง ณ ที่นี้ครั้นพอสลายก็กลายเป็นร่างงามสง่า ถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกันกับอัสดง หรือถ้าจะจับอัสดงแต่งตัวเหมือนกันก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องฝาแฝด.....สุริยเทพเสด็จมาโปรดแล้ว และข้างๆกันนั้นก็มีสตรีนางหนึ่งที่งามยิ่งกว่านางอับสรใดๆ วงพักตร์กระจ่างใส อ่อนเยาว์แห่งเทวะนารีพระองค์นี้ งามจับตา หากเป็นนางมนุษย์ก็คงเดาชันษาไม่ถูก

“อย่าไปกวนหลวงตาท่านเลยอัสดง.....เราจะมาช่วยเจ้าเอง ในเมื่อจันทรเทพฝืนกฎได้ เราก็จะฝืนกฎช่วยเจ้าบ้าง”

“พระสุริยเทพ” อณูน้อยทั้งหมดกล่าวพร้อมกันแล้วทรุดกายลงบังคม เทวะผู้เป็นประธานยามกลางวัน

“พระอุษาเทวี ขนิษฐาแห่งเรา เธอจะเสด็จนำพวกเจ้า ไปยังสถานที่ที่จันทรเทพพาสีทันดรไปซ่อน พวกเจ้าเตรียมรับมือจันทรเทพให้ดี ถึงแม้วันพรุ่งนี้พระจันทร์จะเต็มดวง แต่เราว่าอณูแห่งพระพฤหัสคงหาหนทางแก้ไขให้ได้ อำนาจจันทรเทพแม้จะรุนแรง หากแต่บังไว้...มันก็ย่อมได้ เอาล่ะเราคงบอกอะไรเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะนี่อาจเป็นบททดสอบอีกข้อหนึ่งที่สวรรค์ลิขิตมา แต่เจ้าไม่ต้องกลัว อัสดง เราจะอยู่กับเจ้าช่วยสั่งสอนจันทรเทพเอง”

“ขอบพระทัย พะยะค่ะ”

แล้วร่างแห่งสุริยะเทพ ก็พุ่งปราดหายวับเข้าไปกลางหว่างอกของอัสดง อณูหน้าคมเซถลาเล็กน้อย แล้วฉับพลันรัศมีรอบกายก็สว่างวาบจนเทวะน้อยคนอื่นๆต้องปิดตาอีกครั้ง รัศมีแดงเพลิงเจือทองสว่างจ้ายิ่ง อัสดงทรงฤทธีดุจเทวะต้นกำเนิดแล้ว เหอะต่อให้อีกกี่จันทรเทพ.....ก็ไม่หวั่น คงถึงคราวแล้วสินะที่จันทรเทพ ต้องถูกสั่งสอน

“เราพร้อมแล้ว....พระนางอุษาเทวี เชิญนำเสด็จได้เลย”

“เพคะพี่ชาย”

สุรเสียงใสกังวานปานระฆังแก้ว มีดำรัสตรัสตอบ พักตร์ตราที่งดงามแย้มยิ้มถ้วนทั่ว ความสดใสแช่มชื่นของเทวีแห่งอุษาสางบังเกิดในจิตใจของเทวะน้อยๆ เกินครึ่งหนึ่งของหัวใจ เทวะน้อยทั้งหลายบอกตนเองว่า “งามพอๆกับน้องดื้อ”  แต่งามใดนั้นเล่าจะเทียบเทียมวงพักตร์แห่งเจ้านาคาตาฟ้า ที่หลายๆคนไม่รู้ว่า สีทันดรทรงกำเนิดมาได้อย่างไร อยากรู้นักหากเอาสีทันดรมาประทับยืนเทียบเคียงกับพระอุษาเทวี เทวนาคาหรือเทวนารี พระองค์ใดจะกินขาด

“เราสู้สีทันดรของพวกเจ้าไม่ได้หรอก อย่าคิดให้วุ่นวายเลย....ตามเรามาเถอะ ช้าจะไม่ทันการ”

เสียงสรวลใสเสนาะวาบวับจับใจ ยามที่รู้ถึงความในจิตใจของบรรดาเทวะหนุ่มน้อย แล้วพระวรกายงามระหงก็กลายเป็นแสงเจิดจ้าโชตินาการพวยพุ่งขึ้นฟ้า อัสดงเหิรทะยานตามไปเป็นคนแรก แล้วรัศมีทั้งหกที่เหลือก็เหิรทะยานตามมาติดๆ.....เทวะน้อยมิรู้ว่า พระอุษาเทวีจะเสด็จนำไปสู่แห่งหนใด แต่ทั้งหลายเตรียมพร้อมที่จะช่วยอัสดงตามหัวใจคืนกลับมา

“รอก่อน.........ไอ้ดื้อ อัสสะกำลังจะไปช่วยเจ้าแล้ว ที่รักของเรา”


พระเนตรคู่งามฟ้าครามใสแห่งห้วงทะเลลึกได้ลืมขึ้นแล้ว ทันทีที่รู้สึกองค์ สีทันดรก็ทรงพบว่า พระวรกายประทับนอนอยู่บนเกสรบัวขนาดใหญ่ กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมของบัวนั้น หลอมรวมกับกลิ่นพระวรกาย ตลบอบอวลไปทั่ว พระวายุพัดพากลิ่นนั้นโชยกำจาย...นกน้อย รูปร่างหน้าตาแปลกๆ โผผินบินว่อน ผีเสื้อตัวน้อยขยับปีกสีทองดั่งตีให้บางทองคำ รอบๆแท่นที่ประทับ

“นี่เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เจ้านาคน้อยสำรวจองค์ถ้วนทั่ว พระสติกลับมาพลัน ยามทอดพระเนตรทัศนียภาพรอบๆพระวรกาย “สวรรค์นี่ ชั้นไหนกันอัสสะอยู่ไหน....เรามาที่นี่ได้อย่างไร”

พระวรกายเหิรลอยละลิ่วออกมาจากแท่นบรรทมกลางเกสรบัวขนาดใหญ่ ยามพระบาทแตะลงพื้นหญ้าเขียวขจี เสียงอ่อนนุ่มของใครคนหนึ่งก็ทำให้ทรงเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์ เมื่อคนยังนอนอยู่ในอ้อมอกแห่งสุริยเทพ ครั้นพอตื่นไยมาประสบกับอณูแห่งพระจันทร์....

“ตื่นแล้วเหรอครับน้องดื้อ....เอ้ากินเสียก่อนจะได้หายเพลีย” ทรงกลดเดินเข้ามาใกล้ ยื่นกระบอกไม้ไฝ่ลำสีทองมายังพระหัตถ์ ภายในบรรจุน้ำผึ้งสวรรค์ที่หอมชวนลิ้มลองมาเต็มเปี่ยม

“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพี่กลด.....แล้วคนอื่นๆหายไปไหน อัสสะอยู่ไหน” น้ำผึ้งสวรรค์กลายเป็นของไร้ค่าไปทันที เพราะเจ้านาคาน้อยร้องเรียกหาแต่อัสดง

“สวนปารุสกวัณ หนึ่งในสี่มหาอุทยานสววรค์ชั้นดาวดึงส์ พี่พาเจ้ามาเปลี่ยนบรรยากาศ....สวยไหม”ทรงกลดยังคงตอบด้วยทีท่ายิ้มระเรื่อ พยายามยื่นกระบอกน้ำผึ้งให้ แต่สีทันดรยังไม่ทรงยอมรับ แถมยังสะบัดพระวรกายออก

“ไม่...เราจะไปหาอัสสะ ...อัสสะอยู่ไหน” หากเป็นคงจะดีใจลิงโลด แต่คราวนี้ คนที่พามา ไม่น่าไว้วางพระทัยเลยสักนิดเดียว สุรเสียงใสจึงเริ่มแข็งกร้าว ถึงแม้จะเห็นใจทรงกลดที่บาดเจ็บเพราะช่วยตนตอนหนีเที่ยว แต่เขาก็ไม่ใช่อัสดง

“ทำไม อยู่กับพี่มันไม่ดีตรงไหน  ทำไมเจ้าต้องเรียกหาแต่อัสดง” ทรงกลดไม่สนใจอันใดแล้ว เขาดึงเจ้านาคาพระองค์น้อยเข้ามาสู่อ้อมอกโดยพลัน เป็นผลให้เจ้าตัวแข็งขืนสะบัดออกอีกคราแต่ก็ไม่เป็นผล แขนแข็งแรงนั้นรัดจนแน่นขยับพระวรกายไปไหนไม่ได้อีก แล้วใบหน้าหล่อเหล่าหวานซึ้งของจันทรเทพน้อยก็ซบลงตรงซอกพระศอ สีทันดรทรงเลี่ยงไม่ได้แล้ว

“พี่มีอะไรดีสู้อัสดงมันไม่ได้”

“ปล่อยนะพี่กลด ไหนว่าบาดเจ็บ ปล่อยเรา!! หยุดกริยาจาบจ้วงล่วงเกินหยาบช้ากับเราเสียที”

“ใช่พี่บาดเจ็บและก็เจ็บที่หัวใจ และพี่ล่วงเกินหยาบช้ากับเจ้าตรงไหน พี่ก็แค่จูบหากพี่จะทำแบบนั้น พี่ทำเจ้าไปนานแล้วทั้งๆที่พี่มีโอกาส อย่างเช่นเมื่อกี้”

ใช่สิ หากเขาจะทำก็ทำได้ อย่างเมื่อครู่ แต่ด้วยความที่รักและต้องใจเสียยิ่งนัก เขาจึงไม่ทำ เพราะจะทำก็ต้องให้สีทันดรยินยอมพร้อมใจ แต่คาดว่าคงไม่มีทาง แม้จันทรเทพจะทรงยุมาเท่าใดก็เหอะ

“จัดการเลยสิ ...จะมัวรอช้าทำไม ไม่มีใครเห็นหรอก”

“ไม่พะยะค่ะ .....หม่อมฉันเป็นลูกผู้ชายพอ และหม่อมฉันจะไม่มีวันทำแบบนั้นเป็นอันขาด”

“ตามใจ....จำไว้ เจ้าปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปเอง แล้วเราจะไม่ช่วยเจ้าอีก”

เห็นไหมสีทันดร เราล่วงเกินเจ้าตรงไหน เกียรติยศของเจ้ายังดำรงไว้อย่างครบถ้วน แค่จูบจะกระไรนักหนา หากเป็นคนอื่น มันคงทำเจ้าไปแล้ว

สีทันดรไม่ทรงสดับรับฟัง จึงเปล่งประกายรัศมีสีเขียวนวลสว่างจ้า แล้วพระวรกายที่ทรงกลดกอดอยู่ก็กลับกลายเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัส ทรงกลดตกใจรีบปล่อยโดยพลัน แล้วลำตัวแห่งเจ้านาคน้อยก็สะบัดปลายหายเข้ากระทบร่างเขาโดยแรงจนกระเด็นไปไกล สีทันดรหลุดออกจากอ้อมอกของคนเกเรอย่างทรงกลดแล้ว บัดนี้ทรงชูคอสูงแผ่พังพาน ชะโงกง้ำเหนือร่างเขาที่กำลังยันกายขึ้นมา หากทรงฉกลงไป เขาคนนี้คงไม่แคล้วสิ้นชีวา

“เอาเลยสิ สีทันดร เจ้าฆ่าพี่ให้ตายเลย เจ้าฆ่าผู้ชายที่รักเจ้าได้ลงคอก็เอาเลย ฆ่าเลย!!”

ทรงกลดตะโกนก้อง แอ่นอกเป็นเป้าการโจมตีหรา ทำให้พระเนตรฟ้าครามใสที่แปรเปลี่ยนเป็นสีทองกลับคืนมาเป็นฟ้าครามใสดังเดิม พังพานที่แผ่กว้างหมายเตรียมเล่นงานลดลงจนเป็นปกติ ยามเห็นน้ำตาใสๆของลูกผู้ชายที่เริ่มคลอหน่วย แล้วเจ้านาคาสีขาวเจิดจรัสก็คืนสภาพพระวรกายในร่างมนุษย์ดังเดิม

“ฆ่าพี่เลยสิ ฆ่าเลย พี่จะไม่สู้ ไม่โต้ตอบเจ้าเลยสักนิดเดียว ฉกลงมาตรงหัวใจพี่.... เจ้ากล้าฆ่าคนที่รักเจ้าอย่างสุดหัวใจได้ลงคอก็เอา”

“พี่กลด.....พอทีเถิด เลิกทำแบบนี้ แล้วเรามาคุยกันดีๆ” สีทันดรเริ่มพระทัยเย็นลง ยามทอดพระเนตรเห็นน้ำตาลูกผู้ชาย เขาคนนี้ทำไปเพียงเพราะรักและภายใต้ทีท่าที่อ่อนนุ่มของเขาก็แฝงไปไว้ด้วยความรั้นยากที่จะเอาลง ลักษณะรั้นแบบนี้คล้ายพี่ชายยิ่งนัก “ของแข็งต้องรัดรึงด้วยใยไหม” ยามที่พระมารดาเคยตรัสกับตน เมื่อกล่าวถึงทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร

“พี่ชายลูกเขารั้นและดื้อ.....สงสัยแม่ต้องหาชายาให้เสียที จะได้เย็นลง ของแข็งต้องรัดรึงด้วยใยไหม จำไว้นะลูกสีทันดร หากลูกเจอใครประเภทนี้ ...ลูกต้องใช้สติและความใจเย็นเข้าสู้ และลูกจะชนะ”

กลยุทธ์ที่สมเด็จประทานให้ เคยทรงนำมาใช้กับอัสดงและก็ได้ผล....ครานี้จำต้องใช้กับทรงกลด อย่างไม่มีทางเลี่ยง

“เรารู้ว่าพี่รักเรา.....แต่พี่กลดต้องเข้าใจว่า เรานั้นมีหัวใจมอบให้กับอัสดงไปแล้ว หากเราให้โอกาสพี่เรามิกลายเป็นคนสองใจเหรอ หรือพี่กลดอยากให้เราเป็นคนแบบนั้น เป็นคนสองใจที่ไม่มีคุณค่าและศักติอันใดเหลืออยู่เลย”

“แล้วทำไม เจ้าไม่รักพี่คนเดียว พี่เองก็เจอเจ้าพร้อมๆกับอัสดง แต่เจ้าไม่เคยให้โอกาสพี่พิสูจน์ตัวเอง” ทรงกลดจำได้ วันแรกที่ได้เจอ ได้สัมผัสพระวรกาย ดวงเนตรฟ้าครามยามมองและสบตากันตรึงใจเสียยิ่งนัก

เจ้าชะม้ายชายมาสบหลบเนตรพี่
ท่วงทีที่ทำยังจำได้
ยิ่งแสนเสน่หาอาลัย
เร่าร้อนหฤทัยเกรียมตรม

จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ย
จะได้เชยชวนชิดสนิทสนม
แต่ระลึกตรึกตราเป็นอารมณ์
ยากบรรทมหลับไปกับไสยาฯ *

“พี่กลด เรารักอัสสะแบบคนรัก แต่เรารักพี่อย่างพี่ชาย ให้เราได้รักพี่แบบนั้นเถอะนะ ”

“เจ้าพูดแบบนี้ ตัดไมตรีของพี่อย่างไม่มีเยื่อใย สู้เจ้าฆ่าพี่ให้ตายเสียดีกว่า แล้วอกของพี่มันไม่ทำให้เจ้าอบอุ่นบ้างเลยหรือ เห็นทีพี่ต้องพิสูจน์ให้เจ้าเห็นเสียแล้ว”

ทรงกลดยังคงดื้อ....แย้งมาอีกครั้ง แม้เขาจะรู้ว่าอย่างไรเสียสีทันดรก็ไม่ยอมใจอ่อน แล้วสิ่งที่ไม่อยากทำ ก็จำเป็นต้องทำ พระวรกายสีทันดรถูกรัศมีสีเหลืองนวลตวัดไว้โดยรอบองค์ เจ้านาคน้อยถูกเขาตรึงแน่นมาอีกครั้งแล้วทรงกลดก็ถาโถมทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว พระโอษฐ์สีแดงสด ร้องลั่นแต่ก็เงียบลงอยู่ในพระศอเพราะริมฝีปากของเขาบดขยี้ลงมาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน พระกรทั้งสองจะผลักไสก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะถูกแขนแข็งแรงกดไว้กับพื้นหญ้าแน่น ซอกพระศอและพระพักตร์เต็มไปด้วยรอยจุมพิต แล้วพระวรกายที่แข็งขืนในตอนแรกก็พลันสงบลง และสุรเสียงที่ร้องห้ามก็กลับกลายเป็นเสียงสะอื้น คนขืนใจจำต้องเงยหน้ามองแล้วก็ต้องใจหายวาบเพราะพบว่า คนที่เขากำลังใช้กำลังรุกล้ำอยู่นั้น พระพักตร์ที่งามงดนองไปด้วยพระอัสสุชล ทำให้ทรงกลดชะงักงันทันใด สติกลับคืนมาสู่เขาอีกครั้ง

“หยุดทำไมล่ะ พี่กลด เอาเลยสิ ทำต่อสิ ยังไม่หนำใจพี่ไม่ใช่เหรอ จำไว้....พี่จะได้แต่ตัวเราเท่านั้น พี่จะไม่ได้หัวใจและเราก็จะชิงชังพี่ตลอดกาล” สุรเสียงปนสะอื้นประชดประชันดังขึ้นหลังจากที่เขาทำกริยาต่ำช้าด้วยความหน้ามืด เด็กหนุ่มพอรู้สึกตัวก็เบี่ยงกายออก ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี บัดนี้ก็เจือไปด้วยหยาดน้ำใสๆด้วยเพราะสำนึกผิดเช่นกัน

“เราทำอะไรลงไป....สีทันดรพี่ขอโทษ”

ความสำนึกผิดเริ่มจับเข้าหัวใจ  ได้ตัวแต่ไม่ได้หัวใจ เขาก็ไม่ต้องการ เสียใจนักที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้เจ้านาคน้อยใจอ่อนด้วยวิถีแห่งลูกผู้ชาย กลับกลายเป็นวิถีของคนเถื่อนอย่างที่ไม่เคยเป็น สีทันดรในเมื่อเจ้ารักและเลือกอัสดง พี่ก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่พี่ละอายใจเหลือเกินพี่คงจะมีหน้าไปสู้เจ้าและไอ้พวกนั้นไม่ได้อีกแล้ว พี่ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่

ฉับพลันไวเท่าความคิด ดาบเล่มยาวปรากฏขึ้นในมือของทรงกลด อารมณ์ชั่ววูบคิดปลิดชีพตัวเอง สีทันดรตกพระทัยร้องห้ามทันที “อย่าพี่กลด...........พี่อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

“ลาก่อน....สีทันดร พี่ขอโทษ” คมดาบจ่ออยู่เพียงแค่คอหอย แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการ รัศมีสีชมพูจ้าสว่างไสวยิ่งกว่าสีกุหลาบใดๆก็กำจาย ทำให้ปลายดาบกระเด็นหลุดจากมือ และภายในรัศมีนั้น ปรากฏพระวรกายแห่งมหาเทวีผู้งามงดประทับอยู่บนดอกบัวเบ่งบานสีชมพูอ่อนงามกระจ่าง....... “มหาลักษมีเทวี” เสด็จมาทันท่วงที

 “อณูน้อยแห่งจันทรเทพ ความผิดหวังจากความรัก ทำให้เจ้าถึงกลับคิดปลิดชีพตนเองเชียวหรือ อีกทั้งเจ้าหาญกล้าทำในสิ่งที่ร้ายกาจ เจ้าทำให้ความไว้วางพระทัยแห่งพระมหาวิษณุคลอนแคลน การลักพาตัวเป็นสิ่งที่เทวะชั้นสูงไม่พึงกระทำ เจ้ากำลังขาดสติ”

“ข้าแต่พระมหาเทวี.....หม่อมฉันเสียใจ ที่ทำไปเพียงเพราะรัก มิได้มีเจตนาร้ายอันใด ทำไปเพราะอยากใช้วิถีแห่งลูกผู้ชายพิสูจน์ความตั้งใจจริง”

“แล้วนี่มันวิถีลูกผู้ชายตรงไหน เจ้าทำเยี่ยงโจรคนเถื่อน เจ้าจงรู้ไว้ด้วยว่า สีทันดรเกิดจากพรอันวิเศษแห่งเรา และอณูของเราก็อยู่ในตัวสีทันดร .....สีทันดรถูกมอบให้กับพระสุริยาทิตย์เป็นผู้ดูแลแล้ว เจ้ายังจะกล้าฝืนคำเราอีกเหรอ”

“พระแม่เจ้า”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ทรงกลดหน้าเสียทันใด น้ำตายังนองหน้า สติที่เริ่มกลับคืนมาทำให้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าพระพักตร์ของสีทันดร ถอดแบบมาทั้งหมดจากมหาเทวี ถึงว่าทำไมสีทันดรงามเกินเทวบุตรและแม้แต่เทวธิดายังต้องอาย

“น้องดื้อเกิดจากพระแม่เจ้า” แล้วทำไมต้องทรงประทานให้กับไอ้พระอาทิตย์ด้วย “หม่อมฉันไม่ยอม ทรงลำเอียง”

“เราไม่ได้ลำเอียง ยังจะดื้ออีก ชะตาของทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยกัน เจ้าฝ่าฝืนไม่ได้หรอกและจงเลิกล้มความคิดที่จะปลิดชีพตนเองซะ เจ้าเป็นอณูแห่งเทวะ ภารกิจที่ลงมาปราบอสูรมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ”

“พะยะค่ะ แต่หม่อมฉันอายที่จะอยู่” ทรงกลดเริ่มเย็นลง พอนิ่งก็คิดได้ ว่าตนเกิดมาด้วยหน้าที่สำคัญเพียงไร แต่ก็ยังไม่วายทูลขึ้นมาว่า

“แล้วทำไมอัสดงถึงมีความรักได้ แล้วทำไมหม่อมฉันไม่มี”

“เจ้ามี....แต่ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ...เจ้าจงคิดให้ดีว่าเจ้ารักหรือหลงสีทันดรกันแน่ ฟังนะอณูน้อยแห่งจันทรเทพ....ความรักนั้น ที่แท้จริงไม่ใช่สีแดงย่อมมีสีดำดั่งสีนิล เหมือนดั่งสีพระศอพระมหาศิวะ เมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดเพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่ และเพราะด้วยความขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกเอาสีนิล คือ ความขมขื่นไว้ ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่นๆ คือมุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว”**

พระดำรัสแห่งพระมหาเทวีประหนึ่งคถามหาศักดิ์สิทธิ์ทำให้ทรงกลดนิ่งงัน เขาเถียงอะไรไม่ออก จริงสินะ ...หากเรารักและมุ่งแต่จะเอาชนะใจสีทันดร โดยไม่คำนึงถึงว่าสีทันดรรักใครอยู่แล้วเต็มหัวใจ และแย่งมา.....มันคือความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ จริงดั่งที่พระมหาเทวีทรงตรัส ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดเพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่....และสีทันดร จะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ ด้วยเพียงรักจากอัสดงเท่านั้น .......ที่ผ่านมาเขาคงเห็นแก่ตัวมากสินะ ที่มุ่งหน้าดันทุรังพยายามชนะใจ.....

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเข้าใจแล้วพะยะค่ะ ว่าหม่อมฉันควรรักสีทันดรในสถานะใด ขอบพระทัยพระเมตตาที่ทรงเสด็จมาเตือนสติก่อนที่หม่อมฉันจะทำอะไรวู่วามไปมากกว่านี้ ในเมื่อสีทันดรจะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเพียงเพราะรักจากอัสดง ชีวิตของหม่อมฉันก็จะดำรงอยู่ได้ด้วยเพราะหัวใจรักที่มีให้กับสีทันดรเช่นกัน แม้ขณะนี้ วันนี้ มันยังคงเป็นรักแบบสิเน่หา แต่หม่อมฉันจะพยายามทำให้วันหนึ่งข้างหน้าแปรเปลี่ยนเป็นรัก แบบพี่ชายที่มีให้กับน้องชายให้จงได้ เพียงแต่ขอเวลาทำใจเท่านั้น”

ทรงกลดกราบทูลขึ้นทั้งน้ำตา เขาเข้าใจแล้วว่า ควรจะวางตัวเองไว้ในสถานะใด ที่จะให้สีทันดรสุขพระทัย เขายอมระทมทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ....เพื่อสีทันดร พระองค์เดียวเท่านั้น

“อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่า วิถีแห่งลูกผู้ชาย...ที่นี้ เจ้าก็พาสีทันดรกลับไปได้แล้วนะ และหวังว่าเจ้าคงจะรู้หน้าที่ว่าเจ้าควรพาสีทันดรไปส่งให้ถึงมือผู้ใด”

“พะยะค่ะ .....หม่อมฉันจะพาสีทันดรคืนสู่อัสดง แล้วจันทรเทพล่ะพะยะค่ะ หม่อมฉันไม่แน่ใจว่า จะทรงเข้าพระทัยอย่างหม่อมฉันเข้าใจหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาทรงวางแผนมาให้ตั้งแต่ต้น คาดว่าคงจะไม่ยอมราพระหัตถ์”

“จันทรเทพ กำลังจะได้รับบทเรียนจากสุริยะเทพ ดี!! ถูกสั่งสอนเสียบ้าง จะได้ไม่เหลิง จะได้เข็ดหลาบเสียที ที่จริงเราจะจัดการให้เลยก็ย่อมได้ แต่เราไม่อยากก้าวก่าย เดี๋ยวจะหาว่าเราเลือกที่รักมักที่ชังกันอีก  เอาล่ะ...อัสดงกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่แล้ว เจ้ารีบตามไปสมทบกับอัสดงเถิด และจงสารภาพผิดอย่างลูกผู้ชาย เราคาดว่า อัสดงคงฟัง เอาล่ะ...เราไปล่ะ”

สิ้นรับสั่ง รัศมีสีชมพูสว่างไสวก็พลันจางหาย ทรงกลดทรุดกายกราบลงพร้อมกับสีทันดร แล้วสิ่งที่ทรงกลดไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกหน เพราะพระหัตถ์น้อยจากคนข้างๆก็เลื่อนมากุมมือเขาไว้แน่น

“พี่กลด.....ขอบใจมากนะ เราเข้าใจว่าสิ่งที่พี่ทำเป็นเพราะอะไร เราจะไม่ถือโกรธพี่ .....เพราะพี่คือพี่ชายของเราตลอดไป เราขอสัญญา” พระอัสสุชลแห้งเหือดไปแล้ว รอยแย้มพระโอษฐ์คลี่คลายกระจ่าง ทรงกลดเริ่มรับรู้และยอมรับ ....สุขใจที่ได้ดูแลแม้จะในสถานะพี่ชาย มันก็มีความสุขได้เหมือนกัน ....แม้ตอนนี้ยังไม่ชิน แต่วันหน้า เขาต้องทำให้ได้

“เจ้าไม่โกรธพี่เหรอครับ น้องดื้อ”

“เราให้อภัยพี่หมดแล้ว พี่กลด พี่ชายที่แสนดี”

“ขอบคุณครับ พี่จะพยายามเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าให้ได้ พี่สัญญา” ทรงกลดโผเข้ากอดสีทันดรทันใด....แต่มิได้กอดแบบจาบจ้วงเช่นเคย หน้าที่และสถานะใหม่ ความรู้สึกแบบใหม่ในอ้อมกอดต้องดำรงให้ได้ สีทันดรรับรู้แล้วว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จึงยอมปล่อยให้กอด วันนี้ทรงพี่ชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ...และก็ทรงยินดียิ่งนัก

ทรงกลดคลายอ้อมกอดนั้นแล้ว รีบรุดฉุดข้อพระกร เจ้านาคน้อยขึ้นมา กล่าวว่า “เราไปกันได้แล้ว พี่จะพาเจ้าไปหาไอ้อัสดงเอง”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกไอ้น้องชาย!!!”

สิ้นเสียงดังกังวานนั้น พลังสีเหลืองนวลรุนแรงกล้า ก็พุ่งเข้าซัดทรงกลดทันที ทำให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพ กระเด็นไปไกลกระทบกับต้นไม้ใหญ่เอนละลู่ กลีบดอกไม้สวรรค์ร่วงพรูลงกระจาย เลือดแดงสดใสไหลออกจากปาก

“พี่กลด!!!”

“เจ้าทำให้เราเสียแรงเปล่า.....เจ้าทำให้เราขายหน้า ที่เป็นอณูแห่งเรา เจ้าคิดยอมแพ้ง่ายๆ นี่คือบทลงโทษของเจ้า”

“จันทรเทพ ท่านทรงทำเกินไปแล้ว” สีทันดรเหิรลอยละลิ่ว เข้าไปยังร่างทรงกลด ค่อยๆประคองร่าง พี่ชายคนใหม่ขึ้นมา ดัชนีที่งามดั่งลำเทียนขี้ผึ้งชี้กราด สุรเสียงตวาดก้อง มายังร่างของเทวะหนุ่ม ที่ถอดแบบทั้งรูปร่างหน้าตาของพี่กลดมากันอย่างกับแกะ

“เขาเป็นอณูของท่าน ท่านกล้าทำเขาได้ลงคอ ท่านไม่สมควรเป็นเทวะ”

“ก็เพราะมันเป็นอณูของเราน่ะสิ เราถึงทำกับมันอย่างนี้......เจ้านาคน้อยถอยไป”

“งั้นหม่อมฉันคงต้องล่วงเกินพระราชอำนาจ” แล้วตาฟ้าคู่งามก็เปล่งประกายเป็นสีทอง จุดสีแดงดุจทับทิมกลางพระเนตรเริ่มเจิดจ้า พระโทสะแห่งเทวะนาคาเริ่มจับ พร้อมๆกับ นาคบาศ ที่ทรงเรียกมาใช้ เตรียมพร้อมรับมือ

“เราจะดูสิว่า หลานชายพญาวาสุกี จะมีฤทธีสักเท่าไร”

จันทรเทพพนมหัตถ์กลางหว่างอก เรียกดาบวิเศษเล่มยาวออกมาใช้ และฟาดลงไปทันที่ที่ทรงตรัสจบ นาคบาศในอุ้งหัตถ์น้อยแปรเปลี่ยนเป็นแส้เพลิงโบกสะบัดรับคมดาบไว้ อุทยานสวรรค์ปารุสกวัณ กำลังจะกลายเป็นสนามรบ ของหนึ่งเทวะชั้นผู้ใหญ่และหนึ่งนาคาพระองค์น้อยแล้ว


รัศมีสีชมพูอมทองสว่างกระจ่างฟ้า บัดนี้พระวรกายทรงพัสตราภรณ์สีส้มค่อนไปทางทองหยุดอยู่ปลายเส้นเขตแบ่งแดนสวรรค์และมนุษย์พิภพ พระนางอุษาเทวี ประทับยืนท่านกลางเมฆาฟ้าคราม แย้มพระโอษฐ์งามตรัสกับเหล่าเทวะน้อยๆด้วยพระสุรเสียงสรวลใส เสมือนการเสด็จนำทางนั้นเป็นเรื่องสนุก

“ถึงเส้นเขตแดนสวรรค์แล้ว ที่จริงกายหยาบของมนุษย์เข้าไปไม่ได้ พวกเจ้าต้องเข้าไปด้วยกายทิพย์ แต่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉินพอดี กฎแค่นี้น่าจะลดๆหย่อนๆกันได้  คงจะไม่น่ามีปัญหา เพราะเราพอเคยคุ้นและพอเจรจากับท้าวสักกะเทวราชมาบ้าง”

“นี่จันทรเทพพาสองคนนั่นมายันนี่เลยเหรอ ....แล้วทรงกลดเข้าไปได้ยังไง มันอยู่ในกายหยาบของร่างมนุษย์นี่”

“อำนาจแห่งต้นกำเนิดไงเล่าศนิเทพ ท่านจันทรเทพคงช่วยแอบพาเข้ามา คาดว่าท้าวสักกะยังไม่ทรงทราบ” พระนางอุษาเทวีทรงกล่าวตอบคันฉัตร เรียกเขาด้วยชื่อเดิมยามอยู่บนสวรรค์ “เอาล่ะ อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบๆตามหลังเรามา อย่าแตกแถวกันล่ะพวกหนุ่ม”

แล้วรัศมีแห่งพระนางอุษาเทวีก็เปล่งประกายวาบ เริ่มจับทั่วเส้นแบ่งเขตแดนนั้น และทะลวงจนเป็นช่องโหว่ “เหอะ ในเมื่อจันทรเทพ ทำได้ เราก็ทำได้ ใครว่าเทวนารี ดีแต่แต่งตัวสวยๆงามๆ เก็บดอกไม้ร้อยมาลัย ดูฝีมือเราซะก่อน”

เทวีแห่งอุษาสางกล่าวเปรยกับองค์เองแล้วเสด็จนำเข้าสู่ด้านใน อณูน้อยทั้งหลายรีบตามเสด็จเข้ามา และทันทีที่ราหูผู้อยู่รั้งท้ายขบวน เข้ามาถึง ก็บังเกิดสุรเสียงดังตวาดลั่น พร้อมกับรัศมีเขียวเจิดจ้าปรากฏตรงหน้าครั้นพอสลายก็กลายเป็ยบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ประทับเหนือราชอาสน์แห่งพญาคชสารสามเศียร นาม “พระเอราวัณ”

“พวกเจ้าบังอาจนัก กล้าเข้ามาในสวรรค์ทั้งๆกายหยาบ เจ้าคิดว่าดาวดึงส์เป็นสถานที่ที่พวกเจ้าจะเข้ามาเดินเล่นได้โดยพละการงั้นฤา จงกลับออกไปซะ”

ธรรม์และเอราวัต ก้าวออกมานอกรัศมีแห่งพระนางอุษาเทวี หมายใจจะเจรจา เพราะถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากรบพุ่ง หักพระพักตร์องค์อัมรินทร์หรือท้าวสักกะเทวราช จอมเทพผู้ปกครองดาวดึงส์แห่งนี้ พระนางอุษาเทวีทรงรู้ในความคิดแห่งเทวะน้อยๆ และมิทรงกลัวองค์อัมรินทร์แต่อย่างใด รอยแย้มสรวลจึงเบ่งบานเต็มที่

“เราจัดการเองดีกว่า พวกเจ้าจงฉวยโอกาสช่วงที่เราเจรจากับท้าวสักกะเทวราช ไปตามเจ้านาคน้อยที่มหาอุทยานปารุสกวัน จงมุ่งตรงไปทางด้านซ้ายของเรา ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง”

“ไหนว่าทรงคุ้นเคยไง”

“ก็นี่แหละ คุ้นเคยในแบบของเรา”

แล้วเทวีผู้ครองความสดชื่นอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็กรีดหัตถ์ตวัดดัชนีขยับข้อพระบาท เสียงกระพรวนจากกำไลข้อพระบาทดังกรุ๋งกริ๋ง ผสานกับท่วงทำนองร่าเริงจากเพลงพิณที่แว่วลอยมารายรอบสารทิศ บังเกิดเป็นทิพย์ดุริยางค์เสนาะทรวง พระนางได้ทรงร่ายรำแล้ว ท่วงท่า ลีลาอ่อนช้อย งดงามอันเป็นที่เลื่องลือทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ตราตรึงองค์สักกะเทวราชแน่นิ่ง แม้พระเอราวัณเองก็ทรงย่อเข่าคู้กายลดงาลงแทบพื้นเมฆา ทอดเนตร “นาฏลีลา” อย่างลืมองค์

“อุษาเทวี เจ้าทรงงามเหลือเกิน งามยิ่งกว่ามเหสีของเรายิ่งนัก”

“หม่อมฉันอยากจะรู้นักว่า หากพระมเหสีทรงได้สดับรับฟังสิ่งที่ตรัส ....จะทรงว่ากระไร” องค์อัมรันทร์ทรงติดกับวิธีการเจรจาแห่งพระอุษาแล้ว นี่แหละหนาที่เขาว่ากันว่า

 “อันชายชาญหาญแกร่งสักเท่าไร   ย่อมขาดใจด้วยกลเล่ห์เสน่ห์นาง”

พระนางอุษาเทวี เมื่อทรงเห็นว่าได้ที่ ก็ทรงเอื้อนเอ่ยมธุรสวาจา ทูลขอในสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทูลขอ แต่หากฟังจากพระสุรเสียงควรจะเรียกว่าพระเสาวณีย์หรือคำสั่งน่าจะเหมาะสมกว่า “ขอให้ทรงเปิดทางและอนุญาตให้อณูเหล่านี้ เข้าดาวดึงส์ได้โดยเสรี”

และมีฤาที่ท้าวสักกะเทวราชที่ต้องมนตราวิเศษจากท่าร่ายรำจะทรงปฏิเสธ “เราอนุญาต”

เท่านั้นแหละ รัศมีทั้งเจ็ดนำโดยอัสดงก็พวยพุ่งออกไปก่อนใครด้วยใจร้อนรน มุ่งหน้าไปทางด้านซ้ายตามรับสั่ง ตามมาด้วยรัศมีทั้งหกที่เหลือของสหายติดๆกันไป เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พระนางอุษาเทวีก็เสด็จกลับคืนสู่ทิพยสถานเพราะภารกิจได้ทรงนำทางและกระทำเสร็จสิ้นแล้ว ทรงทิ้งองค์อัมรินทร์ให้พระเนตรเหม่อลอยพร้อมเทพบริวารตรงชายแดนเขตสววรค์นั่นเอง


“เปรี้ยง!!”

เสียงกัมปนาทดังสนั่นลั่นไปทั่วมหาอุทยานปารุสกวันด้วยเหตุแห่งแส้เพลิงนาคบาศที่สีทันดรทรงใช้เป็นอาวุธฟาดฟันลงไปหมายวรกายแห่งจันทรเทพ แต่เทวะผู้ทรงเป็นประธานยามราตรีก็หลบหลีกไปได้ ปลายแส้หนักหน่วงร้อนแรงจึงฟาดลงไปกับพื้นดิน สะเทือนไปทั่ว

“เก่งนี่ ..นับว่าไม่เสียแรงที่เป็นหลานจอมนาคา แต่น่าเสียดาย จิตเจ้ายังไม่นิ่งพอ”

จันทรเทพทรงวิจารณ์ฝีพระหัตถ์ในการโจมตีแล้วฟาดคมดาบก่อบังเกิดรัศมีจันทร์เหลืองนวลทว่าคมกริบ แหวกอากาศลงมาดังเฟี้ยว สีทันดรทรงตวัดพระกรมั่น ควงแส้เป็นวงกลม ตั้งรับไว้ แล้วซัดจนพลังนั้นหักเห พุ่งเข้าตัดต้นไม้ใหญ่แทนที่จะเป็นพระวรกาย

เสียงโครมดังสนั่น พร้อมกับกาลอวสานของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น ปลายแส้ยังคงทำงานไม่หยุดหย่อน พุ่งเข้าซัดไม่ลดละ รัศมีเทวะนาคาสีเขียวเริ่มเจือสีแดงเพลิงด้วยโทสะ จันทรเทพเองก็จำต้องทรงกั้นไว้ด้วยดาบ หมุนคว้างราวจักรผัน ปลายแส้ที่พุ่งเข้าชนในแต่ละครั้งนั้น กลายเป็นปลายคมเขี้ยวแห่งนาคราช แส้เพลิงประดุจมีชีวิตเลื้อยทะลวงติดตามจันทรเทพไปทั่ว จันทรเทพเห็นว่าหากปล่อยไว้อาจพลาดท่าจึงปล่อยพลังสวนกลับไปทำให้ปลายแส้หักเห และด้วยความไวที่เป็นต่อ จัดเจนในสนามรบ อีกทั้งตบะและเดชะก็ทรงมีมากกว่า จันทรเทพจึงปราดเข้ามาด้วยความรวดเร็วประชิดพระวรกายเจ้านาคาน้อย และยังทรงกระชากแส้หลุดออกจากพระหัตถ์ แล้วพระวรกายก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมอกของเทวะต้นกำเนิดแห่งทรงกลดทันใด

“เจ้านี่มันงาม สมดั่งคำร่ำลือ อีกทั้งฤทธิ์ก็ร้าย ไม่แปลกใจเลย ที่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์และอณูเนรคุณของเรา หลงเจ้าหัวปักหัวปำ”

สีทันดรพยายามสลัดองค์ออกแต่ก็ทรงทำไม่ได้เพราะจันทรเทพทรงกอดไว้แน่น แถมปลายพระนาสิกยังเริ่มจรดลงมาบนพระเกศางามดำขลับ “เคยแต่จูบผู้หญิง วันนี้ขอจูบผู้ชายอย่างเจ้าดูสักหน่อย เราอยากรู้นักว่า กลิ่นแก้มเจ้าจะหอมสู้ชายาของเราได้หรือเปล่า”

“ปล่อยเราจันทรเทพ ท่านมันต่ำช้านัก ....ไอ้ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”

และก่อนที่จันทรเทพจะได้เชยชมพระปรางใส ทรงกลดที่พยายามยันกายขึ้นมาได้ ก็รีบซัดพลังเข้าใส่เทวะต้นกำเนิด จันทรเทพที่ไม่ระวังองค์จึงหลบไม่พ้นและโดนพลังของอณูตนซัดเข้าสู่ต้นพระพาหาซีกซ้ายเต็มๆ แรงกระแทกทำให้เทวะชั้นผู้ใหญ่ กระเด็นลอยละลิ่ว สีทันดรจึงหลุดรอดออกมาจากอ้อมแขนนั้น และโผนทะยานเข้ามาหาทรงกลด ตามคำร้องเรียก

“มาหลบหลังพี่เร็ว น้องดื้อ”

“พี่กลด ระวังตัวด้วย”

ทรงกลดเช็ดเลือดที่ค้างคาอยู่ตรงมุมปากออกหมดสิ้น เรียกดาบวิเศษที่เป็นอาวุธประจำกายออกมาตั้งพร้อมไว้มั่น เตรียมรับมือจันทรเทพที่ตั้งองค์ได้อย่างรวดเร็ว

“ไอ้อณูเนรคุณ กล้าลบหลู่เทวะต้นกำเนิด เรารึอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าสมหวังแต่เจ้ากลับทำอย่างนี้กับเรา เราจะฆ่าเจ้าซะบัดเดี๋ยวนี้ เราอายเหลือเกินที่มีอณูอย่างเจ้า”

“หม่อมฉันก็อายพะยะค่ะ ที่มีพระองค์ทรงเป็นเทวะต้นกำเนิด เทวะที่ทำองค์ไม่สมกับเป็นเทวะชั้นผู้ใหญ่”

“เราสัญญา ว่าเจ้าจะเหลือแค่ภัสมธุลี”

มิทันจะสิ้นเสียง คมดาบแห่งพระจันทร์เทวบุตรก็ฟาดซัดลงมา ทรงกลดที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วตั้งรับไว้ได้ทัน บัดนี้ต้นกำเนิดและอณูต่างโรมรันกันอย่างไม่ลดละ เพราะหากใครพลาดย่อมหมายถึงชีวิต บรรยากาศรอบค้างที่เคยสว่างไสวไปด้วยแสงทิพยาเริ่มมัวหมองกว่าเดิม เพราะทั้งคู่แปรเปลี่ยนให้อึมครึมขมุกขมัวสมบูรณ์แบบ รัศมีเหลืองนวลต่างผลัดกันกระทบโลดไล่ไปโดยรอบ ดุจดวงจันทราสองดวงที่ลอยปะทะกันท่ามกลางนภาฟ้ามืด

รัศมีที่กระจายส่ายซัด ก่อบังเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทเป็นวงกว้าง สีทันดรจำต้องใช้สมุทรมณีกั้นเอาไว้มิให้กระทบพระวรกาย แต่มีฤาที่อณูน้อยจะทานฤทธิ์อำนาจที่กล้าแกร่งจากต้นกำเนิดได้ตลอด เขาจึงพลาดท่าถูกซัดตกลงมาอีกครั้ง และจันทรเทพก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ทรงเงื้อคมดาบสุดแรงเกิด และฟาดลงมาหมายสังหารอณูแห่งตน

“นี่คือโทษฐานที่เจ้าเนรคุณต่อเรา อย่ามีชีวิตอยู่เลย”

“พี่กลด ระวัง!!” สีทันดรตะโกนลั่นเต็มที่แห่งพระสุรเสียง ทรงนึกว่าจะต้องเสียพี่ชายคนใหม่เป็นแน่แท้ แต่การณ์ก็กลับผิดคาดอย่างน่าดีใจ เพราะจักรเพลิงขนาดใหญ่ร้อนแรง พุ่งเข้ามาสกัดกั้นไว้ และจะเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่ทรงคำนึงหาตลอดวลา   

“ อัสสะ!!”

จักรเพลิงกระทบเข้ากับคมดาบ ก่อให้เกิดแรงระเบิดมหาศาล อาวุธแห่งเทวะปะทะกัน และการปะทะนั้นก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นการปะทะกันระหว่างเทวะประธานยามกลางวันและเทวะประธานยามกลางคืน น้อยครั้งที่พระอาทิตย์และพระจันทร์จะโคจรมาพบกัน และหากพบกันเมื่อใด มีเหรอที่การปะทะจำทำเพียงแค่ ธรรมดา

“สุริยาทิตย์” จันทรเทพขบกรามแน่น เพราะทรงรู้ด้วยทิพญาณว่า ใครประทับในร่างอัสดงขณะนี้

รัศมีสีแดงเพลิงสว่างจ้านั้นเริ่มสลายเป็นร่างของอัสดงยามที่เท้าเหยียบลงพื้น พร้อมๆกับอ้อมแขนที่เปิดกว้างรอรับวรองค์ที่เหิรลอยเข้ามาสู่อ้อมอกนั้น “ไอ้ดื้อ...ของอัสสะ”

“อัสสะ มาช่วยเราแล้ว”

“เจ้าไม่เป็นไรนะคนดี” พระสุริยาทิตย์เหมือนจะเสด็จออกจากร่างไปชั่วขณะ ปล่อยให้อัสดงจูบลงไปบนพระเกศาดำขลับเป็นการรับขวัญ

“ยอดรักของอัสสะ โชคดี ที่เจ้าไม่เป็นอะไร...หลบไปก่อนนะ ทางนี้อัสสะจะจัดการเอง”

แล้วเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือของอัสดง กลายเป็นดาบยาวยิ่งไม่แพ้จันทรเทพ เสียงประทุของเประกายเพลิงตรงปลายดาบลั่นเปรี๊ยะ ทันทีที่ดาบกวัดแกว่งออกไป ก็กลายเป็นสายพระเพลิงรุนแรง จันทรเทพเองก็ไม่น้อยหน้า ฟาดปลายดาบรัศมีจันทร์ลงมา กลายเป็นกระแสดาราระยิบระยับนับพันเข้ามาสกัดกั้นไว้ พลังอันรุนแรงทั้งสองปะทะกันอีกครั้งและครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าครั้งใดๆ แล้วจันทรเทพเองก็ขยับดาบในหัตถ์มั่น ใช้เทวะอำนาจอันมหาศาลผ่าม่านเปลวเพลิงกระจายไปทั่ว สะเก็ดเพลิงพวยพุ่งไปโดยรอบ ทรงกลดที่บาดเจ็บพยายามหลบเลี่ยง แต่ก็นับว่าโชคดี ที่รัศมีสีเขียวและสีฟ้าครามซึ่งเป็นของเอราวัตและคืนฉาย เหิรลอยมาพาเขาออกไปได้ทัน

“เป็นไงบ้างวะไอ้กลด”

“เจ็บนิดหน่อย ขอบใจมากที่ช่วย”

“อย่าพูดอะไรมากเลย รีบไปช่วยอัสดงรับมือกันเหอะ ....เฮ้ยไอ้ฉัตรทางนี้” คืนฉายตะโกนขึ้นฟ้าร้องเรียกรัศมีสีม่วงที่เหิรลอยรวมกลุ่มกับรัศมีสีทองแดง และสีชมพูกับสีส้ม รัศมีทั้งสี่เข้ามารวมกลุ่มทันใด และทั้งหมดก็พร้อมแล้ว พลังและอาวุธกระชับมั่น พร้อมช่วยอัสดงโรมรันจันทรเทพ

“พี่เอาวัต พี่ฉาย พี่ฉัตร พี่ราหู อย่ารอช้าอยู่เลย รีบเข้าไปช่วยอัสดงรับมือเถิด”สีทันดรตะโกนพร้อมทะยานลอยเข้ามาหา แส้ที่ตกอยู่บัดนี้กลับมากระชับมั่นในพระหัตถ์ ทรงพร้อมที่จะโรมรันอีกครั้งแล้ว

“น้องดื้อไม่เป็นไรใช่ไหม”

“เราไม่เป็นไร แต่พี่กลดสิแย่...และอัสดงก็กำลังจะแย่ตาม เราสังเกตว่า ทำไมยิ่งปะทะกัน พลังของจันทรเทพยิ่งเพิ่มขึ้นมิทรงลดลาด้วยความเหนื่อยอ่อนเลย”

“ก็เพราะวันนี้เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงน่ะสิ อำนาจของต้นกำเนิดพี่ท่านจะสูงสุด แม้พระสุริยาทิตย์ที่รวมร่างกับอัสดงก็อาจจะทานอำนาจนั้นไว้ไม่อยู่ ไปช่วยอัสดงกันเหอะก่อนจะสาย” ทรงกลดเองก็รู้ว่า พระสุริยาทิตย์ขณะนี้ประทับอยู่ในร่างของอัสดง แม้เขาจะพ่ายแพ้ในเรื่องความรักแก่สหาย แต่คำว่าเพื่อนและมิตรภาพมิได้จางห่างหายไปตามความพ่ายแพ้นั้น

คันฉัตรเป็นคนแรกที่ไม่รีรอ เหนี่ยวสายธนูสุดแรงเกิด แล้วลูกธนูวิเศษลงเทวอาคมก็พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ธนูแห่งศนิเทพหรือพระเสาร์ แตกออกจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ และขยายจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นห่าธนูนับร้อยอยู่กลางอากาศ พุ่งเข้าหาจันทรเทพ แต่รัศมีเหลืองนวลนั้นก็ทรงลอยหลบไปได้

“ไอ้ศนิเทพ เดี๋ยวได้เจอดี”

ห่าธนูยังลอยตามมาติดๆ จันทรเทพลัดเลี้ยวไปทางใด ห่าธนูก็ตามไปทางนั้น หนำซ้ำอัสดงยังเปลี่ยนดาบเล่มยาวในมือกลายเป็นจักรเพลิง เข้ามาสมทบแต่จันทรเทพก็มิได้เกรง ทรงยิ้มริมโอษฐ์อย่างเยือกเย็น ซัดพลังต้านไว้พลาง หลบหลีกพลาง เอราวัตซัดหอกวิเศษคู่กายเคียงคู่ประสานกับพลังของคืนฉาย อีกทั้งดาบของทรงกลดตามไปสมทบ พร้อมๆกับราหูและสหายใหม่นามน้ำเชี่ยวที่เหิรลอยขึ้นไปสกัดกั้นโรมรันอยู่ทางด้านหน้า ดาบสองมือจากพระอังคารและพลังของราหูทำให้จันทรเทพเริ่มไม่มีทางถอย แต่ยิ่งสู้อำนาจพระจันทร์ก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นกล้าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วราหูกับน้ำเชี่ยวก็ถูกซัดตกลงมา แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้ ส่งพลังขึ้นไปสกัดกั้นอีกครั้ง

จันทรเทพทรงลอยอยู่กลางฟ้าสูงสุด ทรงนิ่งไม่ไหวติง พลังวิเศษแห่งเทวะน้อยทั้งหลายที่รายรอบเริ่มพุ่งเข้ามาหาอีกครั้งด้วยความเร็วสูง รอบสารทิศ แม้จะทรงเป็นเทวะชั้นผู้ใหญ่ แต่หากโดนพลังมหาศาลเหล่านี้ซัด ก็คงไม่แคล้วต้องบาดเจ็บจนแทบจุติ ....แต่มีหรือที่เทวะเจ้าเล่ห์จะยอมเจ็บตัว

ธรรม์ผู้เป็นอณูแห่งพระพฤหัสที่ยืนอยู่ด้านล่าง กำลังจะซัดพลังขึ้นไปช่วยสมทบ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าทำไมจันทรเทพที่ลอยอยู่กลางฟ้า มิทรงกลัวอาสัญ ยืนเป็นเป้านิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วจึงชะลอการซัดพลัง ฉับพลันก็นึกบางสิ่งได้ รีบตะโกนลั่น

“เฮ้ย พวกนายถอยพลังคืนก่อนเร็ว”

แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินการณ์แล้ว จันทรเทพทรงพนมหัตถ์ระหว่างอก แล้วกลางพระอุระก็บังเกิดเป็นแสงรัศมีนวลอย่างที่ไม่เคยบังเกิดมาก่อน พร้อมทั้งรัศมีสีรุ้งทรงกลดกำจายรอบพระเศียร จันทรเทพทรงอำนาจจนถึงขีดสุดแล้ว

ทันทีที่พลังงานแห่งเทวะน้อยๆเข้ามาถึง พลังงานและอาวุธวิเศษต่างๆเหล่านั้นถูกดูดกลืนเข้าไปทันใด แล้วรัศมีเหลืองนวลจ้าก็ระเบิดออก พลังที่ใช้โจมตีจันทรเทพทั้งหลายแหล่ ถูกซัดคืนกลับมาเป็นร้อยเท่าทวีคูณ อณูน้อยนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าติดกับที่วางไว้ ก็สิ้นหนทางแก้ไขเสียแล้ว

“เฮ้ย หลบเร็ว” อัสดงลอยละลิ่วหลบจักรเพลิงของตน แต่ด้วยแรงซัดที่คืนกลับมามหาศาลและพลังอันรุนแรงจันทรเทพ พระสุริยาทิตย์ที่ประทับอยู่ในร่าง จึงกระเด็นออกไป มิสามารถเสด็จกลับเข้ามาช่วยเหลืออันใดได้อีก 

“อัสสะ ระวัง”

สีทันดรที่ห่วงอัสดงมากกว่าองค์เอง จึงเหิรลอยเข้าไปขวาง มิทรงกลัวว่าพระวรกายจะขาดเป็นเสี่ยงๆ ทรงทานอำนาจจักรเพลิงไว้ด้วยสมุทรมณี จักรเพลิงจึงหยุดอยู่แค่นั้น แต่ไม่ลดละที่จะทลายม่านอำนาจแห่งมณีจากบาดาลที่เริ่มแผ่ขยายอำนาจปกป้องอณูน้อยทุกคนเป็นวงกว้าง เทวะน้อยที่รอดจากการโจมตีลอยเข้ามารวมกลุ่มโดยพร้อมเพียง รายล้อมสีทันดรไว้

ธรรม์เห็นว่าหากปล่อยไว้เป็นอย่างนี้ น้องพญานาคคงจะแย่ เขาจึงเป็นคนแรกที่ทรุดลงนั่งสมาธิ ถ่ายพลังเข้าสู่พระวรกายช่วยต้านพลังที่ซัดกลับมานั้น อัสดง ทรงกลด และผองเพื่อนที่เหลือรีบทำตามและรัศมีทั้งแปด ก็หลอมรวมกับอำนาจแห่งสมุทรมณี เป็นม่านพลังใหญ่ยักษ์ กางกั้นไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะทานเพียงได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

“อะไรกันนี่ ขนาดพวกเรารวมพลังกันแล้วยังต้านไม่อยู่ อำนาจแห่งจันทรเทพ รุนแรงกว่าพี่ชายน้องดื้ออีก”

“คืนนี้จะทรงอำนาจสูงสุด หากเป็นยามปกติพระสุริยาทิตย์พระองค์เดียวก็น่าจะทรงพอต้านทานไว้ได้” ทรงกลดกล่าวชี้แจงเพื่อความกระจ่าง

“เสียดายที่พระสุริยาทิตย์ ท่านไม่สามารถประทับอยู่ในร่างฉันได้อีก ไม่งั้นเราคงมีทางตอบโต้ ฉันไม่คิดเลยว่าจันทรเทพจะเล่นไม้นี้ เหอะ ในเมื่อเราชนะด้วยกำลังไม่ได้ เห็นทีเราต้องใช้ปัญญา ถึงเวลานายแล้วนะ ไอ้พระพฤหัส” อัสดงเบือนหน้ามาทางธรรม์พร้อมๆกับทุกสายตา ยามเทวาสุรสงคราม พระพฤหัสผู้เป็นคุรุแห่งทวยเทพทั้งหลาย ทรงเป็นกุนซือหรือคลังปัญญาเคลื่อนที่ทุกครั้ง แลครั้งนี้ ก็ถึงคราวที่จะต้องใช้ปัญญานั้นแล้ว

ธรรม์จึงหลับตาลงอีกครั้ง แล้วเสียงหนึ่งที่ดังเบาๆในตอนแรก ก็ดังขึ้น ดังขึ้น เสียงแห่งเทวะต้นกำเนิด แม้จะเสด็จมาช่วยไม่ได้ แต่กระแสจิตนั้นผูกพันถึงกัน

 “พระจันทร์มีอำนาจถึงขีดสุดได้ ก็ย่อมมีวันที่อำนาจนั้นลดลงจนต่ำสุด ลองคิดดูสิ หากพระจันทร์ดับลง พระจันทร์จะมีอำนาจอันใดอีก จะส่องแสงอีกได้ฤา ...ลองนึกดูว่า ใครสามารถบังแสงจันทร์ได้ พิธีกวนเกีษยรสมุทรเจ้าลืมแล้วหรือไร”

และแล้ว ภาพต่างๆราวกับภาพยนตร์ก็บังเกิดขึ้น พระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เพื่อกวนน้ำอมฤตที่ยังผลให้ผู้ที่ดื่มกินเป็นอมตะตลอดกาล โดยการร่วมมือของเทวอสูรและเทวดาทั้งหลาย โดยใช้เขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง องค์พญาอนันตนาคราชทรงทอดองค์พันรอบเขาพระสุเมรุไว้เพื่อเป็นเชือก พิธีครั้งนี้เกิดสิ่งวิเศษมากมาย แม้กระทั่งมหาลักษมีเทวี และเมื่อจวบจนได้น้ำอมฤต เทวอสูรก็หมดแรงที่จะแย่งชิง เพราะต่างโดนพิษแห่งพญาอนันตนาคราชยามออกแรงกวน เพราะเทวอสูรเหล่านั้นอยู่ทางด้านพระเศียรด้วยกลอุบายอันแยบยลแห่งพระมหาวิษณุ ทรงต้องการเพียงหลอกใช้พวกอสูรเท่านั้น เพราะน้ำอมฤตสงวนไว้เฉพาะเทวดา แต่แล้วก็มีเทวบุตรครึ่งยักษ์พระองค์หนึ่งแอบจำแลงกายเข้ามาดื่มน้ำอมฤต แล้วจันทรเทพก็ทรงเห็น จึงทูลฟ้องพระมหาวิษณุทันใด จักราวุธอันทรงพลังจึงถูกส่งมาบั่นกายเทวะหนุ่มน้อยพระองค์นั้น แต่ด้วยความที่ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว เทวะหนุ่มน้อยจึงไม่ตาย แลรวมร่างกับนาคจนครึ่งบนเป็นยักษ์ครึ่งล่างเป็นนาค รูปกายพิสดาร และก็คั่งแค้นคนที่ทูลฟ้องยิ่ง เจอเมื่อไหร่ เป็นต้องบังรัศมีมันไว้ ให้สมแค้น ....เทวะหนุ่มน้อยนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล.....ที่แท้ก็คือผู้ที่ครองรัศมีสีทองแดงและอณูของเทวะพระองค์นั้นก็นั่งขัดสมาธิตรงหน้า.......“ราหูนั่นเอง”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ธรรม์ลืมตาขึ้นมาทันใด ตะโกนลั่น “รู้วิธีแล้ว” แล้วเขาก็พูดกับสหายละล่ำละลั่กต่อมาว่า

“ราหู ต้นกำเนิดนาย แก้แค้นอย่างไรกับจันทรเทพที่ไปทูลฟ้องมหาวิษณุ เรื่องนายแอบดื่มน้ำอมฤต”

“ท่านก็ทรงกลืนไว้น่ะสิ....อย่าบอกนะว่า นายจะให้ฉัน...”

“เออ วิธีนั้นแหละ”

“แต่พลังฉันไม่เท่าพระราหูท่านนะ คงบังและฝ่าแสงรัศมีจันทร์นั้นไม่ไหว”

“ไม่ต้องห่วง ฉันพานายขึ้นไปเอง” อัสดงกล่าวขึ้น แล้วเบือนหน้าไปทางพระอังคารน้อย ตัวแทนของเทวะแห่งสงครามที่มีความทนทานเป็นเลิศ “น้ำเชี่ยว นายนับว่าแข็งแกร่ง ช่วยฉันพาราหูฝ่าเข้าไปสู่กลางรัศมีจันทรเทพหน่อย “

“ได้เลย....หัวหน้า”

แม้จะไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ น้ำเชี่ยวก็เรียกอัสดงว่าหัวหน้าได้มาอย่างเต็มใจ เพราะยามเมื่ออยู่บนสวรรค์ครั้งเทวาสุรสงคราม พระสุริยาทิตย์ท่านทรงเป็นจอมทัพ แม้แม่ทัพอย่างเขาจะเคยแย่งชิงตำแหน่งมากี่ครั้งก็ไม่มีทางโค่นจอมทัพพระองค์นี้ลงได้ และจอมทัพก็ไม่เคยถือโกรธแถมยังถ่ายทอดวิธีการรบจนตนได้ขึ้นชื่อว่า เทวะแห่งสงครามได้อย่างเต็มภาคภูมิ

แล้วทั้งอัสดงกับน้ำเชี่ยวก็พาร่างของราหูโผนทะยานขึ้นฟ้า ฝ่ารัศมีจันทราแรงกล้าเหลืองนวลเข้าไปยังใจกลาง รัศมีสีทองแดงของราหูเริ่มทำงานอีกครั้ง พยายามมุ่งสู่ร่างของจันทรเทพ แต่ก็ยังเข้าไม่ถึง อัสดงกับน้ำเชี่ยวพาเข้าไปได้ครึ่งทางก็ต้องกระเด็นกระดอนลงมา แต่แล้วรัศมีสีทองแดงเจิดจ้าอีกลูกหนึ่งก็พุ่งลงมาจากขอบฟ้ารวมกับร่างของราหู ทำให้รัศมีสีทองแดงของอณูน้อยสุกใสยิ่งกว่าครั้งใดๆ พุ่งเข้าชนใจกลางแห่งจันทรเทพทันที

“เราจะช่วยเจ้าเอง ไอ้น้องชาย หมั่นไส้มันมานานแล้ว”

“พระราหูท่านเสด็จมาช่วยแล้ว”

พลังงานสีทองแดงเจิดจ้า เมื่อพุ่งเข้าใจกลางแห่งความสว่าง คราแรกก็ประดุจดั่งหิ่งห้อยโบยบินเข้าสู่แสงไฟ แต่แล้วหิ่งห้อยน้อยก็เปล่งประกายวาบจากจุดเล็กๆ ขยายวงกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว รัศมีสีทองแดงจับเต็มพระวรกายแห่งจันทรเทพแล้ว รัศมีเหลืองนวลพลันสลาย พร้อมๆกับม่านพลังรุนแรงที่ซัดคืนกลับมาสู่องค์จันทรเทพเอง สุรเสียงสุดท้ายแห่งเทวะประธานยามราตรีดังลั่น ก่อนพระสติจะดับวูบ

“พวกเจ้าเล่นขี้โกง.....ท่านราหู ท่านเอาเปรียบเรา”

แล้วร่างแห่งเทวะร้อยเล่ห์ แสนงามสง่าก็ถึงคราวอับแสง  รัศมีพระวรกายเริ่มซีด ส่องแสงเพียงแค่เจือระเรื่อ จันทรเทพทรงพ่ายแล้ว พลังแห่งอณูน้อยทั้งหลายที่รอท่าพร้อมทั้งอำนาจแห่งสมุทรมณี ได้โอกาสพุ่งเข้าซัดใส่พระวรกายกระเด็นไปกระเด็นมากลางฟ้าหลายตลบดาบคู่พระหัตถ์หักสะบั้น แล้วเทวบุตรรูปงามก็ร่วงหล่นลงมาอยู่ตรงแทบเท้าของผู้ที่ถูกลักพายอดดวงใจไป จนต้องตามกลับมาเอาคืน

เทวะชั้นผู้ใหญ่ทรงปราชัยแก่อณูน้อยๆ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น

“ฉันเคยพูดไว้แล้วว่า หากใครมายุ่งกับไอ้ดื้อของฉัน ฉันจะกระทืบมันให้จมดิน ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วสิ”

อัสดงเงื้อเท้าสุดแรงเกิดหมายยังพระพักตร์ของจันทรเทพ แต่ก่อนที่ปลายเท้าจะสัมผัสให้สมแค้น ทรงกลดก็ถลาเข้ามาห้าม ในใจเขาถึงแม้จะไม่พอใจเทวะต้นกำเนิด แต่อย่างไรเสียการที่จันทรเทพโดนเหยียบพระพักตร์ถือเป็นการถือเป็นการลบหลู่พระเกียรติยศ และอณูอย่างเขามิควรนิ่งดูดาย

“พอก่อนเถิดอัสดง แค่นี้จันทรเทพ ท่านก็ทรงได้รับบทเรียนแสนสาหัสแล้ว”

“ถอยไป ไอ้กลด ...นายเองก็โดนเล่นงานน่วมขนาดนี้ นายยังจะปกป้องเทพองค์นี้อีกเหรอ”

“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฉันผิดเอง” ทรงกลดทอดเสียงสำนึกผิด “เป็นเพราะฉันรักน้องดื้อ แต่ความรักของฉันมันเป็นรักข้างเดียว เพราะทั้งหัวใจของสีทันดรมีให้นายเพียงเท่านั้น ที่จันทรเทพท่านทำไป เพราะอยากช่วยฉัน จึงเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตและเกินเลย ทุกอย่างมันผิดเพราะฉัน นายกระทืบฉันเหอะ ถ้ามันจะทำให้นายหายแค้น”

“ไอ้กลด!!” อัสดงที่ยกเท้าอยู่ลดเท้าลงทันใด พร้อมๆกับถอนหายใจมาเฮือกใหญ่ สายตาวิงวอนขอร้องอีกทั้งน้ำเสียงสำนึกผิดจากทรงกลดทำให้เขานิ่งอยู่กับที่

“ทุกอย่างมันเริ่มจากฉัน นายกระทืบฉันแทนเหอะ”

“ทรงกลด ....ไอ้น้องชาย” จันทรเทพทรงรู้สึกตัวแล้ว ค่อยๆปรือพระเนตรขึ้น ถ้อยคำที่ทรงกลดกล่าวทุกคำ พระโสตสดับไว้ได้โดยตลอด พระโทสะที่รุนแรง ชิงชัง ยามที่อณูน้อยไม่ได้ดังใจ มลายหาย และคำว่า เนรคุณที่ใช้ด่าก็ไม่เหลือเช่นกัน

 “ขอบใจ น้องชาย เราภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”

อัสดงเบือนหน้าไปอีกทาง แค้นแสนแค้น ที่จันทรเทพกับทรงกลดลักพายอดดวงใจไป ดีนะที่เขามาช่วยไว้ได้ทัน แล้วหากเขาไม่โชคดีอย่างวันนี้ล่ะ หากไอ้ดื้อถูกรังแก ใครจะรับผิดชอบ คำขอโทษแค่นี้จะเพียงพอเหรอ

“นายคิดว่า คำขอโทษแค่นี้ มันจะเพียงพอหรือ”

“ก็ได้อัสดง ถ้านายอยากให้จันทรเทพสยบอยู่แทบเท้านาย ...ฉันผู้เป็นอณูของท่านจะทำเอง”

แม้จันทรเทพจะทรงร้ายไปบ้างหากเมื่อเห็นอณูน้อยเตรียมก้มกราบขอโทษอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ในความผิดที่ตนก่อขึ้น ก็ละอายพระทัย อณูน้อยของตนไม่เนรคุณอย่างที่ทรงกล่าวหาเลยสักนิด น้ำใจที่ยิ่งใหญ่ยอมเสียเกียรติแทนตน น่าสรรเสริญ แล้วจึงทรงยันองค์ขึ้นมา แม้รัศมีกายจะไม่เรืองรองดังเดิม ก็พอที่จะใช้อำนาจหยุดยั้งไว้ได้ พร้อมตรัสร้องห้าม

“อย่าไอ้น้องชาย”

“พอเถิดอัสสะ แค่นี้ก็ทรงได้รับบทเรียนพอแล้ว ถึงอย่างไรจันทรเทพท่านก็เป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ศักติแลเดชะท่านก็เทียบเคียงพระสุริยทิตย์ แม้จะมิได้ประสูติแด่พระกัศยปเทพบิดร ....อย่าทำให้ท่านเสื่อมพระเกียรติไปมากกว่านี้เลย” สีทันดร ทรงร้องห้ามบ้างหลังจากที่ทรงยืนนิ่งอยู่นาน

“ไอ้ดื้อ เจ้าจะให้อภัยง่ายๆแค่นี้น่ะหรือ”

“ถือโกรธไปก็จะทำให้จิตใจมัวหมองเปล่าๆ พี่กลดก็สำนึกผิดแล้ว และเขาก็สัญญาว่าจะเป็นพี่ชายที่ดีของเรา อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรเรามากด้วย เจ้ากับพี่กลดเป็นเพื่อนกันนะ” พระสุรเสียงใสตรัสวิงวอนพอดีกับที่เอราวัตเสริมมาว่า

“ยังไงไอ้กลดมันก็เพื่อนเรานะอัสดง ตอนอยู่บนสวรรค์ครั้งเทวาสุรสงคราม ที่เรารบกับอสูร นายจำได้ไหม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายพลาดท่าโดนศรของพญาพลี ใครเล่าที่ช่วยรักษานาย และพานายฝ่าวงล้อมพวกอสูร และดึงศรออกจากร่างให้ โดยไม่คิดคิดถึงชีวิต ถ้าไม่ใช่จันทรเทพ เพื่อนจอมร้ายของเรา”

“พวกเรารู้ ว่าจันทรเทพน่ะ ทรงเป็นอย่างไร แต่ก็ทรงเป็นอย่างนี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ต่อให้นายเหยียบหน้าท่านหรือให้ไอ้กลดกราบเท้า มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ดูอย่างพระพฤหัสสิ โดนแย่งเมียทั้งคนยังไม่เดือดร้อนเลย” คืนฉายกล่าวเสริมเตือนสติ แต่ก็ไม่วายแขวะ ครุเทพตามแบบฉบับครุแห่งอสูรที่เคยทำเมื่ออยู่บนสวรรค์

“เดี๋ยวนายจะโดนเตะ ไอ้พระศุกร์ ใครว่าไม่เดือดร้อน แต่ฉันทำอะไรไม่ได้โว้ย”

“ไอ้ฉายมันพูดถูกนะอัสดง” คันฉัตรเสริมมาอีกคน อัสดงได้ฟังเพื่อนๆและไอ้ดื้อของเขากล่าวเตือนสติ จึงถอนใจมาอีกเฮือกใหญ่ และตัดสินใจ ยุติเรื่องวุ่นวายทั้งปวงด้วยการให้อภัย

“ก็ได้ ครั้งนี้เราจะเลิกแล้วต่อกัน แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก”  เสียงไชโยโห่ร้องดังลั่น จากบรรดาเทวะน้อยๆ อัสดงค่อยๆฉุดทรงกลดขึ้นมาพร้อมกับจันทรเทพ มิตรภาพผสานกันอีกครั้ง

“มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก เพราะต่อไปสถานะที่ฉันจะดำรงอยู่คือพี่ชายคนหนึ่งของน้องดื้อเท่านั้น ถึงแม้ช่วงแรกๆมันจะเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็จะทำมันให้ได้”

อัสดงกระชับมือแน่น ตอบรับไมตรี แม้พลังงานแห่งเทวะจะกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เทวะก็จำเป็นต้องรวมอยู่ด้วยกัน และจะทำลายเฉพาะมารเท่านั้น รัศมีสีแดงและรัศมีสีเหลืองนวลจากปลายฝ่ามือทั้งสองสอดประสานสว่างจ้าแสดงถึงสัมพันธภาพกลับคืน น้ำเชี่ยวถึงแม้จะเพิ่งมารวมกลุ่มแต่พวกเขาคือเพื่อนเก่าครั้งบนสวรรค์ ก็อดตื้นตันน้ำใจไม่ได้ เข้ามกอดไหล่ทั้งสองไว้

“พวกนายสุดยอดเลย”

แล้วรัศมีสีชมพูก็ไหลรวมมาบรรจบ เอราวัต คืนฉาย คันฉัตร ธรรม์และราหู ต่างก็กรูกันมาเข้าประสานพลัง รัศมีทั้งแปดจึงสว่างจ้าสุกใสยิ่ง พวยพุ่งขึ้นฟ้าสู่สวรรค์แทบทุกชั้น เสียงสวดสรรเสริญระคนยินดีจากเทวะน้อยใหญ่ทุกพระองค์ สอดประสานกับทิพยทำนองด้วยมโหรีแตรสังข์เสนาะยิ่งกว่าดนตรีใดๆ จันทรเทพที่สำนึกได้ ทรงร่วมอำนวยอวยพรแล้วเสด็จกลับสู่ทิพยวิมาน ดอกไม้สวรรค์กลีบสีทองจากเหล่านางอัปสรโปรยปราย ทัศนียภาพรอบๆสวนปารุสกวันกลับคืนดังเดิม แล้วสายพระวายุก็พัดเอากลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่าหอมลอยมาตามกระแส สอดแทรกด้วยสุรเสียงไพเราะชื่นทรวง

“อณูแห่งเทวะทั้งแปด รวมตัวกันครบแล้ว เราขอให้ ชยะและคำสำเร็จจงบังเกิดขึ้นแด่พวกเจ้า นับแต่นี้ไปจงเตรียมพร้อมให้ดี อีกมินาน พระมหาวิษณุจะบรรทมตื่น พระมหาศิวะจะทรงถอยฌาน เสด็จออก ณ เทวสภาพร้อมกับพระมหาอุมาเทวีและเรา ยามนั้นจะมีเทวราชโองการ”

“พะยะค่ะ” อณูน้อยทั้งแปดคุกเข่าอยู่แทบพื้นดิน มิต้องบอกก็รู้ ว่าผู้ที่ตรัสคือพระมหาเทวีพระองค์ใด

“ทรงกลด เราภูมิใจในตัวเจ้าที่เจ้าคิดได้และกตัญญูต่อเทวะต้นกำเนิด น้ำใจของเจ้าครั้งนี้ เราจะมอบพรให้เจ้าข้อหนึ่ง เจ้าจะขออะไรก็ได้ แม้ในด้านความรัก”

“เป็นพระมหากรุณา...หากจะทรงประทานให้ หม่อมฉันขอให้คนที่หม่อมฉันรักสุดหัวใจ มีความสุขกับคนที่เขาเลือกพะยะค่ะ”

“เป็นการขอที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เราให้ตามคำขอและน้ำใจของเจ้าจะไม่มีวันลืมเลือน”

แล้วพระสุรเสียงดั่งระฆังแก้วก็จางห่างหาย สีทันดรเข้ามาจับมือทรงกลดแน่น พร้อมกับอัสดง “ขอบใจนะพี่กลด พี่จะเป็นพี่ชายที่เรารักมากที่สุดคนหนึ่ง”

อัสดงกอดคอเพื่อนแน่นแทนคำพูด เสียงปรบมือดังลั่นจากกลุ่มเทวะน้อยที่เหลือ แล้วเสียงไชโยก็ดังอีกครั้ง

“เยี่ยมว่ะไอ้กลด ฉันนับถือนายจริงๆ” คันฉัตรกล่าวมาจากใจและชวนทุกคนกลับเพราะลุกล้ำดาวดึงส์มานานแล้ว และไม่รู้ว่าพระอินทร์ท่านคลายจากมนต์สะกดของพระอุษาหรือยัง ดีไม่ดีหากรู้องค์เร็วเดี๋ยวจะเหนื่อยกันอีก “กลับเหอะ โคตรเหนื่อยเลย อยากนอนจะแย่แล้ว”

“พวกนายกลับไปก่อนได้ไหม ฉันจะพาไอ้ดื้อไปทำธุระแป๊บนึง” อัสดงกล่าวขึ้นแล้วพระเนตรฟ้าครามใสของสีทันดรก็เบิกกว้าง เพราะเพิ่งรู้ว่า “ทรงมีธุระ” กับเขาด้วย

“นายยังไม่ได้ขออนุญาตพี่ชายแฟนเลยนะ” ทรงกลดต่อยไหล่อัสดงเบาๆแกมหยอก หากเป็นเมื่อก่อน คงขัดขวาง

“ก็ได้ไอ้ห่า ....กูจะพาน้องดื้อของมึง เสด็จประพาสอุทยาน พอใจหรือยัง”

เสียงหัวเราะของทรงกลดแทนคำตอบว่าอนุญาต ผสานเสียงร้องแซววี๊ดวิ้วจากเพื่อนๆ อัสดงรีบจูงข้อพระกรน้อยเหิรลอยขึ้นฟ้าทันใด น้ำเชี่ยวเองก็ได้แต่มองตามปริบๆ ถูกใจน้องพญานาคน่ะถูกใจ แต่ตัวอย่างของไอ้พระจันทร์ก็มีให้เห็น ถอนตัวแต่ตอนนี้ดีกว่า ส่วนทรงกลด แม้ขณะนี้ยังเจ็บแปลบอยู่บ้าง แต่เขาจะต้องดำรงอยู่ให้ได้ ดอกไม้สวรรค์สีชมพูและแดงปนทอง หล่นลงมากระทบที่หลังมือ เขาว่ากันว่าเป็นสีแห่งความรัก  แต่ทว่าพระดำรัสในเรื่องความรัก ของมหาลักษมีเทวี ท่านตรัสว่าไม่ใช่

“ความรักนั้น ที่แท้จริงไม่ใช่สีแดงย่อมมีสีดำดั่งสีนิล เหมือนดั่งสีพระศอพระมหาศิวะ เมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดเพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่ และเพราะด้วยความขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกเอาสีนิล คือ ความขมขื่นไว้ ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่นๆ คือมุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว”

และพระชนม์ชีพของสีทันดร ก็จะดำรงอยู่ได้ ด้วยรักจากอัสดงเท่านั้น แม้วันนี้ยังทรมานเพราะยังตัดสายใจไม่ขาด แต่วันหน้าเขาจะยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง


รัศมีสีแดงเพลิงค่อยๆลดความสว่างไสวลงแล้ว มิเจิดจ้าเท่ายามพระสุริยาทิตย์ประทับอยู่ในร่าง ภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่น วงแขนแข็งแรงยังคงกระชับมั่น ตระกองกอดวรองค์ที่หอมกรุ่นยิ่งกว่ามวลบุปผาชาติใดๆของเจ้าเทวะนาคาจอมดื้อพระองค์น้อย ทันทีที่ปลายเท้าของอัสดงแตะลงกับพื้นพระเนตรฟ้าครามใสก็ลืมขึ้นมาเหมือนจะทรงรู้ว่า ถึงจุดหมายปลายทางที่เขาคนนี้จะพามาแล้ว

ทัศนียภาพรอบด้านคุ้นตายิ่งนัก ร่มไม้ใหญ่คราครึ้มหลายต้นตั้งตระหง่านแผ่ปกคลุมให้ความร่มรื่นกางกั้นแสงสุริยาร้อนแรง จึงเหลือเพียงแสงเล็กๆรำไรลอดผ่อนกิ่งก้านสาขาน้อยใหญ่ ก่อบังเกิดเป็นแสงตกกระทบประกายรุ้งพราวกับม่านน้ำตกที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้า

สายน้ำทอประกายระยับซัดซู่ซ่า สอดประสานกับเสียงของเหล่าบรรดาวิหคสวรรค์ ประดุจดั่งทิพยทำนองขับขานต้อนรับการเสด็จเยือน ของหนึ่งอณูเทวะรูปงามและรูปสลักชั้นเลิศของเทวะนาคาจากโลกบาดาล

“หิมพานต์นี่นา”

จากสวนปารุสกวันที่นับว่างามตาอยู่แล้ว บัดนี้สีทันดรทรงประทับยืนเคียงคู่อัสสะ ท่ามกลางดินแดนแห่งทิพยภพที่งามตาไม่แพ้อุทยานสวรรค์ ฝ่ามือแข็งแรงเริ่มกุมพระหัตถ์น้อยไว้มั่น รัศมีสีแดงเจือชมพูถ่ายทอดสอดประสาน หิมพานต์นี่น่ะหรือ ที่เขาจะพามาทำธุระ

“ยอดขวัญคืนกลับมาแล้ว และถึงเวลารับขวัญให้สมใจเสียที”

“อัสสะเคยตั้งใจไว้แล้วว่าวันหนึ่ง อัสสะจะกลับมาที่นี่พร้อมกับไอ้ดื้อตัวน้อย โดยไม่มีภารกิจใดต้องกระทำ และวันนี้ก็สบโอกาสอัสสะจึงไม่อยากให้มันหลุดลอยไป”

อัสดงยังคงกุมพระหัตถ์น้อยไว้มั่นราวเกรงว่าใครจะมาลักพาเจ้ายอดดวงใจไปอีก ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่บนชะง่อนหินริมน้ำตก ดอกไม้สวรรค์นานาพันธุ์ที่รายรอบระหว่างทางถูกเขาเด็ดมาเสียเต็มมือ แล้วบรรจงเสียบแวมพระเกศาที่ดำขลับเป็นเงา ทำให้คนที่น่ามองอยู่แล้วกลับน่ามองยิ่งขึ้น สนิทใจที่จะคว้ามากอด มากกว่าทรงรัดเกล้ารูปนาคาสีทองไขว้เศียร สีทันดรเองก็ทรงรู้ ถอดรัดเกล้าออกทันที ณ ตอนนี้คงไม่มีสิ่งใด มีค่าเกินกว่า ปวงดอกไม้ที่อัสสะ นำมาเสียบแซมให้แล้ว

เก็บดอกไม้ประทานให้น้องน้อย
ที่สูงค่อยเอื้อมปลิดลงมาได้
กระดังงาแก้วยี่สุ่นกรุ่นละไม
มาเสียบแซมเกศาให้เจ้าแก้วตา ***

ทั้งสองทรุดกายนั่งลงบนโขดหินแต่อัสดงก็มีวิธีที่จะให้ไอ้ดื้อตัวน้อยนั่งลงบนตักตนแทนที่จะเป็นพื้นเห็นมันเรียบ วงแขนแข็งแรงทำงานอีกครั้ง พร้อมๆกับคางสากมนจากไรหนวดของวัยหนุ่มที่กำลังโลดไล่คลอเคลียอยู่บนพระศอสีเศวต

“เดี๋ยวใครมาเห็นน่า อัสสะพอได้แล้ว” พระโอษฐ์เริ่มไม่ตรงกับพระทัยอีกแล้วทั้งๆที่เป็นฝ่ายตรัสห้าม แต่พระวรกายยังคงประทับนิ่งในอ้อมกอดของเขา

“นึกว่าจะตามไม่เจอเสียแล้ว ขอกอดให้หายห่วงหน่อย แล้วนี่มีริ้วรอยโดนรังแกตรงไหนบ้าง”

“ไม่มีหรอกแต่ก็เกือบไป หากพระมหาลักษมีไม่เสด็จมาเตือนสติ” ว่าแล้วสีทันดรก็ทรงทบทวนเหตุการณ์ให้อัสดงฟัง อัสดงได้ฟังก็เริ่มขบกรามแน่น แต่เมื่อกี้ก็ได้ให้อภัยทรงกลดไปหมดแล้ว จึงระงับความโมโหได้อย่างรวดเร็ว

“เหอะพี่ชายเจ้าแต่ละคนมันร้ายนัก ไหนจะทยุติธร ไหนจะไอ้กลด”

“แต่สองคนนั่นรวมกัน ก็ไม่ทำให้เราปวดหัวเท่ากับอัสสะคนเดียว” พระสุรเสียงใส ตรัสเหน็บอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ ทำให้เจ้าตัวขมวดคิ้วยุ่งถามกลับมาทันควัน

“เราทำให้เจ้าปวดหัวตรงไหน”

“ก็ตรงที่อัสสะเป็นแบบนี้ไง ....แต่”

“แต่อะไรพูดดีๆนะ ไม่งั้นโดนทำโทษแน่”

“แต่ เราก็รักไง”

พระสุรเสียงใสกล่าวขึ้นเบาๆ แต่สำหรับอัสดงนั้น ดังลั่นสะท้อนไปมาทั่วทั้งหิมพานต์และในหัวใจ พระพักตร์ขาวกระจ่างใสเหนียมอาย เลือดฝาดวิ่งพล่านซ่านขึ้นพระปรางที่น่าประทับรอยจูบกลายเป็นสีแดง อัสดงหัวเราะลั่นมันช่างถูกใจเขาเสียยิ่งนัก เขาโอบพระวรกายแน่นขึ้น ก่อนจะขบที่ติ่งพระกรรณเบาๆ ส่งเสียงกระซิบซ่านส่งผ่านว่า

“อัสสะก็รักเจ้า คนเดียว และจะตลอดไป”

ดวงตะวันนั้นเจิดจ้ากลางฟ้าขาว
ดาราพราวรายล้อมจันทร์สว่างไสว
เหมือนใจพี่จะมีเจ้าตลอดไป
ตราบสิ้นใจแนบสนิทนิจนิรันดร์

และแล้วเสียงกระซิบที่ชื่นทรงก็ทำให้พระทัยเต้นรัวได้อีกครา “ให้รางวัลอัสสะบ้างสิ วันนี้อัสสะอุตส่าห์ยอมแลกชีวิตเข้าไปช่วย นะๆทีเดียวก็ได้ตรงนี้แหละ”

สีทันดรที่พระพักตร์แดงอยู่แล้วก็แดงยิ่งขึ้นไปอีกน้ำเสียงรบเร้าออดอ้อนของอัสดง ฟังแล้วน่าดูดุจเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ เขาคนนี้ยามอยู่กับเพื่อนอาจจะดูวางท่าไปบ้าง แต่ยามเมื่ออยู่กับองค์เองตามลำพังเมื่อไร คนวางท่าก็กลายเป็นเด็กขี้อ้อนทุกครั้งและอ้อนเก่งเสียด้วย แต่รางวัลที่อัสดงขอทีเดียว มันคืออะไรกันนะ หรือเขาจะขอแบบนั้น ณ ตรงนี้

ระหว่างที่ทรงเขินทำอะไรไม่ถูก เจ้าอัสสะจอมอ้อนก็ทำให้โล่งพระทัยได้ เพราะรางวัลที่เขาขอไม่ใช่อย่างที่ทรงคิด เพราะอัสดงกำลังทำแก้มป่องจนลอยลักยิ้มห่างหาย ...เฮ้อรางวัลแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พระโอษฐ์สีแดงสดจึงประกบลงไปอย่างไม่รอช้า พอได้สัมผัสเท่านั้น จากนายอัสสะขี้อ้อน ก็กลายร่างเป็นนายอัสสะเกเร ที่เบี่ยงตัวโถมทับขึ้นมาทันควัน

“อัสสะ ไหนจะขอทีเดียวไง...”

“ทีเดียวนั้นเจ้าให้อัสสะ ...และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่อัสสะจะให้ไอ้ดื้อบ้าง จำตอนที่เจ้าแอบไปเข้าฝันเราได้ไหม ตอนนั้นเป็นที่น้ำตกเหมือนกัน แต่ยังไม่สำเร็จ” รอยลักยิ้มพร้อมเขี้ยวเล็กๆเผยให้เห็น คนเกเรเริ่มเจ้าชู้เต็มขั้น สีทันดรเริ่มหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จะตรัสห้ามก็เหมือนว่าจะช้าเกินไป

“อัสสะ เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ไม่มีหรอกน่า”

แต่เหมือนราวกับมีใครมากลั่นแกล้ง ทำให้อัสดงมิถึงฝั่งฝันริมน้ำตกสักที เพราะจู่ๆก็มีสิ่งหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้ากระแทกพื้นน้ำตกดังสนั่น วงน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้าง เหล่ามัจฉาต่างกระโจนหนี ละอองน้ำซ่านกระเซ็นโดนคนทั้งสองจนเปียกทั่ว

“โธ่โว้ย ...ใครมากระโดดน้ำตรงนี้วะ”

อัสดงยันกายขึ้นอย่างหัวเสีย หมายจะเอาเรื่องไอ้คนที่มาขัดจังหวะ แต่พอมองลงไปจากความโมโหก็ต้องกลายเป็นความตกใจ เพราะร่างที่ลอยแน่นิ่งในน้ำ นั้นคือคนที่เขาและไอ้ดื้อรู้จักเป็นอย่างดี

“นลกุพร!!”

***************************

รบกวนติดตามต่อบทที่ ๑๔ นะคะ ขอบพระคุณทุกๆความเห็น และท่านผู้อ่าน ที่เป็นแรงใจเสมอมา

อ้างอิง
*อิเหนา บทพระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่๒
**กามนิต วาสิฏฐี -   เสฐียรโกเศศ นาคะประทีป
*** ใยเสน่หา – ทมยันตี
 

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ผ่านไปได้ด้วยดีกับบททดสอบนี้
ปล.ติดตามตลอดนะจ๊ะ เป็นกำลังใจให้  :L2:

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :katai3: :really2: เกือบไปแล้วจันทรเทพพลังจันทรคราสนี่แรงกล้ามากจริงๆเราอนุรวมตัวกันยังเอาไม่อยู่ดีนะพี่พระราหูเสด็จลงมาบอกกับอาหนูของท่านจึงกราบจันทร์พรเทพได้ทรงกลดน่าสงสารที่สุดแต่ไม่ต้องเสียใจเดี๋ยวก็จะได้พบรักแท้แล้วสนุกมากจริงๆต่อสู้โรมรันกันถือเป็นบททดสอบอีกหนึ่งเรื่อง ในที่สุดเรื่องราวต่างๆก็จบลงด้วยดีมิตรภาพของความเป็นเพื่อนกับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อิจฉาอัสสะกับเจ้าดื้อจังเลย พากันไปสวีทหวานที่ป่าหิมพานต์แล้วเกิดอะไรขึ้นกับนนกุพรต้องรู้เรื่องของมุจลินท์แล้วแน่ๆเลยถึงได้เสียใจหนักขนาดนี้ อ่านเพลินสนุกมากอ่านกี่รอบกี่รอบก็ยังประทับใจขอบคุณนักเขียนเป็นกำลังใจให้สู้ๆนะคะรีบมาอัพต่อนะคะ :pigha2:

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อ่านกี่รอบก็ยังสนุกและน่าติดตามเหมือนเดิม รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :L1:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
คือดจีย์อะ!!    :m1:


เนื้อเรื่อง…สนุก

ภาษา…ดี

แอ๊คชั่น…เลิศ

ดราม่า…พีค


คำสอนของพระแม่เดิ้นมาก เรื่องความรักเปรียบดั่งสีพระศอองค์พระอิศวร    o13


พญานาคในพิธีกวนเกษียรสมุทรนี่คือ “พญาวาสุกรี” มิใช่ดอกหรือฮะ?    :confuse:



รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
@ คุณmaemix คุณOooy คุณBaII คุณsugarcane_aoi และ คุณblanchard  ขอบพระคุณมากๆนะคะ ที่ยังติดตามเสมอมา จะรีบนำมาลงต่อ ที่เหลือให้เร็วๆนี้ค่ะ นี่ก็ใกล้จะจบภาค๑ ที่เอามารีรันแล้ว บทที่๑๔คือบทสุดท้ายที่จบภาคนี้เมื่อหลายปีก่อน ส่วนภาค๒จะเริ่มลงให้ในบทที่๑๕ เป็นต้นไปนะคะ ภาค๒นี้คือของใหม่ที่ยังไม่ได้ลงที่ไหนและติดค้างทุกๆท่านไว้ค่ะ (ค้างไว้หลายปีทีเดียว  :hao5: ขออภัยด้วยนะคะ) รบกวนติดตามต่อนะคะ Have a great weekend ค่ะ

@คุณblanchard หลายตำนานว่าเป็นพญาวาสุกรีค่ะ (ส่วนใหญ่) บ้างก็มีพญาอนันตนาคราชบ้าง Artemis เลยขอเอามาผสมๆกันไปค่ะ  :กอด1:  :mew1:  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2019 12:41:22 โดย Artemis »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

อยากอ่านตอนที่ 14 แล้วอ้าาาาาา    :serius2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด