วิฬาร์คนนี้จะอยู่เกิน 19 ปี ให้ได้ ตอนที่ 6 สยามมนตราวิทยาคม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วิฬาร์คนนี้จะอยู่เกิน 19 ปี ให้ได้ ตอนที่ 6 สยามมนตราวิทยาคม  (อ่าน 474 ครั้ง)

ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


วิฬาร์เด็กหนุ่มวัย 19 ปี ที่จู่ๆก็ทราบว่าตัวเองเป็นพ่อมดและต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ไทยพร้อมกับถูกหมายหัวจากจอมมารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค แต่เหมือนกับมีปริศนาบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ มันคืออะไรกันนะ?

อนันยช X วิฬาร์

ตระกูลรัตนเวทย์ถูกสาปด้วยคำสาปของจอมมารนามว่า "อนันตวิราช"

แต่มีเพียงทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลที่รอดชีวิต

เขามีนามว่า "วิฬาร์ รัตนเวทย์" เป็นความหวังของทุกคนในการโค่นล้มจอมมาร

ทว่า วิฬาร์ รัตนเวทย์ ถูกสาปไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่มีอายุได้ 19 ปี จอมมารจะมาสังหารเขา

และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในโลกเวทมนตร์ของวิฬาร์ ณ โรงเรียนสยามมนตราวิทยาคม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2024 19:37:49 โดย Wavena »

ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
งานเลี้ยงในรอบ 20 ปี

แสงไฟส่องสว่างพร้อมกับเสียงเครื่องดนตรีดังสนั่นไปทั่วป่าไม้อันเขียวชอุ่มในยามค่ำคืน มันเป็นเสียงที่ไม่น่าเป็นไปได้ในพื้นที่ของนวไพร (อ่านว่า นะวะไพร) กว่า 20 ปีแล้วที่พวกมัชชารนต์ไม่ได้ออกมาครื้นเครงกันในยามค่ำคืน เหตุผลน่ะหรอ ความกลัวยังไงล่ะ พวกมัชชารนต์มีลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์มากๆ แต่จะแตกต่างตรงที่พวกเขามีหูที่เหมือนกับแมวซึ่งมันชี้ตั้งขึ้นไป ไม่ได้อยู่บริเวณด้านข้างศีรษะแบบมนุษย์ นอกจากนี้พวกเขายังมีหางเหมือนแมวอีกด้วย จากหนังสือเผ่าพันธ์ต่างๆ ในโลกเวทมนตร์ของศาสตราจารย์ไชยเรศ ได้มีการอธิบายว่า มัชชารนต์เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ผสมกับแมว อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า นวไพร มีนิสัยรักสงบและอ่อนแอมากๆ

ที่ไชยเรศบอกก็น่าจะเป็นความจริงเพราะตลอดระยะเวลา 20 ปีพวกมัชชารนต์ไม่ได้ออกมาใช้ชีวิตในยามกลางคืนเลยแม้แต่นิดเดียว สาเหตุหลักๆ ก็มาจากชายที่ได้ชื่อว่าเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่ทุกคนเรียกขานเขาว่า จอมมาร น่าแปลกใจที่ทุกคนรู้จักชื่อเขาดีแต่ไม่มีใครสามารถเอ่ยชื่อนั้นออกมาได้เลยแม้แต่คนเดียว เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังมาจากบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่ามัชชารนต์ แน่นอนว่าพวกเขาค่อนข้างขี้ขลาดถึงขนาดที่ไม่กล้าสร้างบ้านอยู่บริเวณพื้นดิน พวกเขาเลือกที่จะสร้างบ้านอยู่ด้านบนต้นไม้เพียงชนิดเดียวในป่าที่สามารถทนต่อแรงลมและพายุได้ ชื่อของต้นไม้นั้นก็คือ กฤษณตราคม เป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากพอที่จะรองรับน้ำหนักของตัวบ้านที่พวกมัชชารนต์สร้างได้

“ผมบอกท่านหลายรอบแล้วว่าผลไม้ที่หามาน่ะมันอร่อยสุดๆ” เสียงเอื้อนเอ่ยดังมาจากบ้านต้นไม้หลังหนึ่งที่มีชายหนุ่มวัย 30 ปี มีหูเหมือนแมวสีส้ม นามว่า พนา กำลังเดินจูงชายชราวัย 80 ปี นามว่า ศรุตชนม์ ที่มีหูสีเทา ลงจากบันไดที่สูงชัน พวกมัชชารนต์นั้นมักจะสร้างบันไดเป็นขั้นให้เดินขึ้นไปได้สะดวกมากกว่าจะสร้างแบบบันไดลิงให้ปีนขึ้นไป พวกเขาใช้ระบบการดึงเชือกเพื่อยกบันไดขึ้นมามัดเก็บไว้ในเวลาค่ำคืนเพื่อไม่ให้มีอะไรก็ตามที่ไม่ประสงค์ดีเข้ามาวุ่นวายกับพวกเขาในเวลาที่นอนหลับสนิท

“ฮ่าๆๆๆ….ไม่ได้พบเจอมานานแค่ไหนแล้วนะ บรรยากาศงานเลี้ยงแบบนี้น่ะ” ศรุตชนม์เอ่ยอย่างตื้นตันใจ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่เขาต้องหลบซ่อนจากพวกภูติผีปีศาจสมุนของจอมมารมันทำให้ความสดชื่นแจ่มใสหายไปจากตัวเขา

“ราวๆ20 ปีได้ครับ” พนาตอบอย่างมีความสุข

“คงต้องขอบคุณท่านตรีเวทย์ที่ช่วยจัดการไอ้จอมมารเฮงซวยนั่นให้เราไม่งั้นเราคงต้องหลบซ่อนอีกไปหลายปี”

ศรุตชนม์เอ่ยอย่างซาบซึ้ง ไม่ใช่แค่ขอบคุณอย่างเดียวเขาอยากจะก้มลงกราบด้วยซ้ำไปถ้าไม่ติดว่าตรีเวทย์ได้ตายไปแล้วน่ะนะ

“นั่นสิครับลองไม่มีท่านตรีเวทย์เราก็คงต้องหลบซ่อนอีกนาน ว่าแต่ท่านต้องการเครื่องดื่มไหมครับ” ประโยคหลังพนาหันมาพูดกับศรุตชนม์ที่กำลังจะนั่งเก้าอี้ไม้ที่พวกชาวบ้านได้เอามาวางไว้ให้เขาโดยเฉพาะ

ในเวลานี้พวกเขาทั้งสองได้เดินมาถึงบริเวณลานกว้างที่คับคั่งไปด้วยมัชชารนต์มากมาย ที่นั่งของศรุตชนม์ถูกจัดไว้บริเวณด้านหลังสุดเพราะเขาต้องการนั่งในจุดที่ไม่เด่นมาก ขณะเดียวกันมันก็ให้ความสงบมากๆ ด้วย จุดที่ศรุตชนม์และพนาอยู่มีเพียงโต๊ะรูปวงกลมทำจากไม้สักวางอยู่พร้อมกับเก้าอี้ไม้อีก 3 ตัว บนโต๊ะมีผลไม้และไก่งวงอบฟางตัวโตวางอยู่พร้อมกับน้ำแอปเปิลคั้นสดกลิ่นหอมยั่วยวนใจ แต่ถึงกระนั้นศรุตชนม์ก็หาได้สนใจไม่ เขาปฏิเสธพนาที่ถามว่าจะดื่มน้ำไหมไปก่อนจะหยิบน่องไก่งวง 1 น่อง มากินอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยไหมครับท่านผมตั้งใจวิ่งไล่จับอย่างสุดฝีมือเลยนะครับ” บูลย์ มัชชารนต์วัย 17 ปี เอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจจนหูสีน้ำตาลของเขากระดิกไปมา “ใช้ได้เลยแต่…” ศรุตชนม์พักหายใจไปครู่หนึ่ง “เค็มไปนิด” สิ้นคำพูดทุกคนก็หัวเราะลั่นจนบูลย์ต้องเกาหัวแก้เก้อแล้วเดินจากไป

“ท่านน่าจะให้กำลังใจเขาสักนิดนะท่าน เห็นไหมเดินหูตกไปเลยนั่น” พนาบอก

“การชมเพื่อให้ผู้อื่นสบายใจน่ะไม่ได้ช่วยให้เขาพัฒนาตัวเองหรอกนะ” ศรุตชนม์ตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปกัดไก่งวงคำโตแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

ท่ามกลางความสนุกครื้นเครง ราวๆ150 เมตรห่างจากตัวงานเลี้ยงไปไม่มาก ได้ปรากฏร่างชายชราสวมแว่นตา พร้อมกับใส่ชุดคลุมสีขาวที่ตกแต่งด้วยลวดลายกนกสามตัวสีเหลืองที่งดงาม บนหัวของเขาได้สวมหมวกพ่อมดสีขาวเอาไว้ หนวดเคราที่ยาวลงมาจนถึงหน้าอกก็มีสีขาวเช่นกัน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในงานเลี้ยงราวกับว่ามาเดินเล่นในสวนดอกไม้ยามราตรี มือทั้งสองของเขานั้นคล้ายกับว่าอุ้มอะไรบางอย่างอยู่แต่ไม่สามารถรู้ได้ ที่สังเกตเห็นก็มีแต่ผ้าคลุมสีเขียวเท่านั้น

“ไม่ยักรู้ว่าพวกมัชชารนต์กล้าออกมาจัดงานเลี้ยงในยามวิกาล” ชายชราเอ่ยขึ้นทำให้เสียงร้องรำทำเพลงที่ดังอยู่เงียบลงในทันที

พวกมัชชารนต์จับจ้องมาที่ชายชราแปลกหน้าอย่างไม่ไว้ใจก่อนที่ศรุตชนม์จะเดินเข้าไปแล้วตะโกนลั่น

“ท่านปรเมศวร์!” สิ้นคำเอ่ยของศรุตชนม์เหล่ามัชชารนต์ทั้งหลายก็โค้งคำนับในทันที แน่นอนว่านี่คือพ่อมดที่ช่วยเหลือพวกเขาเสมอมา คอยดูแลปกป้องไม่ให้ใครมาทำร้ายมัชชารนต์เสมอถึงจะไม่สามารถช่วยในยามค่ำคืนได้เพราะติดภาระงานที่มากจนเกินไปแต่เท่านี้พวกมัชชารนต์ก็รักและเคารพเขาอย่างสุดหัวใจแล้ว

“ไม่ต้องตะโกนดังมากก็ได้เดี๋ยวก็หัวใจวายตายหรอก” ปรเมศวร์เอ่ยบอก

“ท่านมาที่นี่คงจะมีธุระสำคัญเป็นแน่แต่มาทานอาหารร่วมกันก่อนจะดีกว่า จอมมารจากไปเราควรเลี้ยงฉลอง” ศรุตชนม์เอ่ยก่อนจะดึงปรเมศวร์ให้นั่งลงที่เก้าอี้

“อืม…ขอบใจมาก” ปรเมศวร์เอ่ยบอก ก่อนจะวางสิ่งที่เขาถือมาไว้บนตักตัวเอง ศรุตชนม์ที่เป็นคนช่างสังเกตจึงเอ่ยถามไปว่า

“นั่นคืออะไรหรอครับ…บนตักท่านน่ะ” เขาเอ่ยพลางชี้ไปที่ตักของปรเมศวร์

“พวกท่านรู้เรื่องของตระกูลรัตนเวทย์แล้วใช่ไหม” ปรเมศวร์ไม่ใส่ใจคำถามของศรุตชนม์เขาเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่อง

“ก็พอจะทราบครับว่าท่านตรีเวทย์ได้ต่อสู้กับจอมมารแล้วสังหารจอมมารลงได้แต่สุดท้ายท่านตรีเวทย์ก็ตายเพราะคำสาปส่วนคนในตระกูลคนอื่นๆ ผมไม่ทราบ” ศรุตชนม์เอ่ยบอก

“ไม่มีใครรอด” ปรเมศวร์บอก “หลังจากที่ตรีเวทย์ดูเหมือนจะมีชัยสุดท้ายจอมมารก็สามารถสังหารเขาได้ก่อนจะร่ายคำสาปใส่ตระกูลรัตนเวทย์ให้คนในตระกูลได้ตายไปทั้งหมด แน่นอนว่าทุกคนตายเพราะคำสาปนั้นรุนแรงมาก แต่ว่ามีแค่คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่”

“ใครหรือครับ” คราวนี้เป็นพนาที่เอ่ยถาม

“วิฬาร์ รัตนเวทย์”

“เป็นไปได้ไงกันมีคนที่รอดจากเงื้อมมือของจอมมารได้ด้วยหรือเนี่ย” ศรุตชนม์ตะโกนอย่างตกใจ

“เป็นการรอดที่แปลกประหลาดมากๆ ในขณะที่ทุกคนทยอยตายกันไปจนหมด แต่วิฬาร์กับทำให้จอมมารทรุดตัวลงนั่งก่อนที่จะหายไป” ปรเมศวร์บอกก่อนจะหยิบแก้วน้ำแอปเปิลมาดื่ม

“นั่นก็หมายความว่าวิฬาร์คือคนที่แข็งแกร่งจนจอมมารต้องพ่ายแพ้สินะครับ” พนาเสริม

“ฉันไม่สามารถอนุมานได้เลย วิฬาร์เป็นแค่ทารกที่พึ่งคลอดมาได้ไม่นานนักแต่กลับทำให้จอมมารหายไปได้มันช่างน่าแปลกใจจริงๆ”

“ช่างมันเถอะครับแค่จอมมารตายไปก็ดีแล้วครับ” ศรุตชนม์บอกอย่างดีใจ

“ไม่หรอก เขาไม่ได้ตาย ฉันคิดว่าเจ้านั่นคงกำลังไปฟื้นพลังเป็นแน่ เพราะก่อนที่ร่างมันจะหายไปมันได้เอ่ยว่า ข้าจะกลับมาสังหารเจ้าเมื่อตอนที่เจ้าอายุ 19 ปี”

“อย่างนี้ก็แปลว่าวิฬาร์ตกอยู่ในอันตรายน่ะสิครับ” พนาเอ่ย

“ประมาณนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ฉันมาที่นี่” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจะวานพวกท่านให้ช่วย” ปรเมศวร์เอ่ยก่อนจะอุ้มทารกน้อยในมือไปวางไว้ที่บริเวณว่างของโต๊ะ พวกมัชชารนต์ที่แอบฟังอยู่ก็กรูกันเข้ามาดูว่าอะไรอยู่ภายใต้ผ้า

ภายในผ้าสีเขียวนั้นมีเด็กทารกชายกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ และทันทีที่ศรุตชนม์เห็นหน้าเขาก็รู้ได้ในทันทีว่านี่ต้องเป็นเด็กจากตระกูลรัตนเวทย์แน่นอน

“วิฬาร์?” ศรุตชนม์เอ่ยพลางมองหน้าปรเมศวร์

“ใช่นี่คือ วิฬาร์ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลรัตนเวทย์” ปรเมศวร์บอก

“อย่าบอกนะว่าท่านจะฝากเขาไว้ที่นี่” ศรุตชนม์ถาม

“ประมาณนั้น…”

“แต่ว่า….” ศรุตชนม์กำลังจะเอ่ยแต่ก็ถูกขัดไว้ก่อน

“ไม่มีแต่ศรุตชนม์ ท่านก็รู้ว่าหากจอมมารยังอยู่มันจะต้องส่งลูกน้องมาสำรวจที่โรงเรียนแน่ๆ ทางเดียวที่จะป้องกันได้คือให้อยู่ในนวไพรจะดีที่สุดเพราะพวกมันคงคาดไม่ถึงแน่ๆ”

“เห้อ…เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ผมแก่แล้วเกรงว่าจะดูแลเจ้าหนูนี่ได้ไม่ดีพอ” ศรุตชนม์เอ่ยขอความเห็นใจ แค่เดินยังลำบากเลยจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาดูเด็กเล็กได้ล่ะเนี่ย

“มัชชารนต์หนุ่มสาวก็มีตั้งเยอะนี่ ฉันว่าคงจะช่วยดูแลได้อยู่นะ” ปรเมศวร์เอ่ยบอก

“แต่ท่าน”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นฉันจะต้องกลับไปแล้วหวังว่าวิฬาร์จะถูกเลี้ยงดูอย่างดีนะ” ปรเมศวร์เอ่ยก่อนจะหายวับไป จนมัชชารนต์ทั้งหลายต่างตกตะลึง

“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วผมจะรับเลี้ยงดูเขาเองครับ” พนาเสนอตัว

“ถ้านายเต็มใจที่จะดูแลฉันก็ไม่ขัดข้องว่าแต่คนอื่นๆ ล่ะคิดเห็นเป็นประการใด” มัชชารนต์ทั้งหลายต่างพยักหน้าเป็นเชิงว่าโอเค

“ถ้าอย่างนั้นผมขอพาเขากลับไปที่บ้านก่อนนะครับ” พนาเอ่ยบอกก่อนจะอุ้มวิฬาร์จากไป

ผู้เฒ่าศรุตชนม์ที่ยืนมองหลังของพนาก็เอ่ยพึมพำออกมาว่า

“ถ้าสิ่งที่ท่านปรเมศวร์บอกว่าจอมมารยังมีชีวิตอยู่มันเป็นความจริงก็จะน่ากลัวมากๆ แต่ถ้ามีทายาทเพียงหนึ่งเดียวของรัตนเวทย์อยู่ก็พออุ่นใจอยู่”

ชื่อเสียงของเธอจะโด่งดังไปทั่ววิฬาร์ ในฐานะบุคคลที่ต่อต้านจอมมารได้



ศาสตราจารย์ปรเมศวร์กลับมายังสถานที่ที่เขาพึ่งจากไปอีกครั้ง เขายืนอยู่ที่บริเวณกึ่งกลางแก่งกระจานซึ่งเป็นบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างนวไพรกับโลกมนุษย์ ที่นี่เขาพบกับผู้หญิงหน้าดุๆ ใส่แว่นทรงกลม เธอมีดวงตาคมและแฝงด้วยความเฉลียวฉลาด และมีใบหน้าที่แก่ชรา อีกทั้งยังไว้ทรงผมตีกะบังลมด้านหน้าอีกด้วย สิ่งเดียวที่เธอดูคล้ายกับเขาก็คือเธอสวมเสื้อคลุมเหมือนกันแต่เป็นสีม่วงเข้ม

“ฉันไม่คิดว่าคุณไว้วางใจคนถูกหรอกนะปรเมศวร์” เธอเอ่ยบอกอย่างจริงจัง

“ฮ่าๆๆๆ…คุณคิดอย่างงั้นหรือ--แต่ผมคิดว่าผมไว้ใจถูกคนนะ” ปรเมศวร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีผิดกับแม่มดหญิงที่ยังคงยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

“ใช่สิ…คุณมักคาดการณ์เสมอว่าพวกมัชชารนต์จะปลอดภัยจากการรุกรานของพวกทายาทมรณะได้ แต่ฉันคิดว่าวิฬาร์ควรจะอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าเราจะได้ดูแลเขาได้อย่างทั่วถึง” เธอบอกอย่างเหลืออด

“คุณมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปศาสตราจารย์มัลลิกา” ปรเมศวร์บอกอย่างอ่อนโยน “เชื่อผมเถอะว่านวไพรจะเป็นที่สุดท้ายที่จอมมารจะนึกถึง”

“ถ้าคุณคิดว่าเป็นเช่นนั้นฉันก็คงขัดไม่ได้ แต่ฉันว่าคุณควรจะเตือนเหล่าพ่อมดแม่มดหน่อยว่าไม่ควรฉลองกันหนักนักเดี๋ยวพวกมานพจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา--ฉันเบื่อจะช่วยแก้ข่าวกับกระทรวงเวทมนตร์เต็มทีแล้ว”

“เอาน่า--คุณก็รู้ว่าเป็นเวลากว่าหลายปีแล้วที่พวกเราไม่ได้เฉลิมฉลองกัน ทุกที่ดูว่างเปล่าและเงียบเชียบไปหมดตั้งแต่ที่จอมมารมีอำนาจ” ปรเมศวร์บอก

“ฉันรู้แต่ก็ไม่ควรจะโจ่งแจ้งแบบนี้ มิหนำซ้ำยังพูดคุยกันดังลั่นจนพวกมานพงงกันเป็นแถบ โดยเฉพาะเรื่องที่จอมมารหายไปน่ะ”

เธอหันไปมองปรเมศวร์เพื่อรอรับฟังความจริงบางอย่างจากเขา แต่ไม่เลยปรเมศวร์ไม่พูดอะไรเขาแค่ยกน่องไก่งวงที่เอามาจากนวไพรขึ้นมาเคี้ยวเท่านั้น

“ให้ตายสิ--คุณไม่คิดจะพูดอะไรเลยรึไง” มัลลิกาเอ่ยอย่างเหลือทน

“คุณอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ” ปรเมศวร์ถามกลับ

“ลูกศิษย์ของเราทั้งสองคนน่ะ--ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมที่เขาตาย เขายังอยู่เพียงแต่คุณช่วยปกป้องวิฬาร์ให้ จึงพาลูกเขามาไว้ที่นวไพร บอกฉันทีว่าใช่ไหม” เธอเงียบเพื่อรอฟังคำตอบ

“ลูกศิษย์คนไหนล่ะ” ปรเมศวร์ยังคงถามกลับ

“ให้ตายสิปรเมศวร์--นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาล้อเล่นนะ!” มัลลิกาตะโกนลั่น

“ถ้าหมายถึงทนงศักดิ์กับผกามาศล่ะก็--พวกเขาตายแล้ว”

ความเงียบปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ มัลลิกาส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย

“โถ่…ปรเมศวร์ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริง” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือจนปรเมศวร์ต้องเข้ามาปลอบโยน

“ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันแต่ทำไงได้เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราคงจะทำได้แค่ช่วยคนที่ยังรอดเท่านั้น” ปรเมศวร์เอ่ยปลุกใจ

“วิฬาร์คือคนเดียวของตระกูลรัตนเวทย์ที่รอดชีวิต--ฉันคิดว่านี่มันแปลกมากๆ ที่จอมมารที่ยิ่งใหญ่จะฆ่าเด็กทารกไม่ได้”

“เราไม่อาจล่วงรู้ได้ เราทำได้แค่สันนิษฐานเท่านั้นว่าเกิดจากอะไร” ปรเมศวร์ตอบ “ผมหวังว่าเราจะได้รู้ความจริงในสักวัน”

“ฉันก็คาดหวัง--ว่าแต่คุณรู้หรือไม่ว่าจอมมารหายไปไหน” เธอถามเสียงตะกุกตะกัก

“สักที่แห่งหนึ่งในโลกเวทมนตร์--เขาไม่ได้ตายอย่างแน่นอน จากการดวลในแต่ละครั้งเราแทบจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย ผมคาดว่าเจ้านั่นคงกำลังหาทางฟื้นพลังให้ตัวเองอย่างแน่นอน”

“หมาย--ความว่าเขาจะกลับมาอย่างงั้นหรือ” ศาสตราจารย์มัลลิกาเอ่ยเสียงสั่น

“มีโอกาสสูง--ผมได้รับแจ้งมาว่าพวกทายาทมรณะพยายามขโมยบางสิ่ง ผมจึงรีบสั่งให้กนต์ธรไปนำมันมาให้ผมแล้วเป็นที่เรียบร้อย”

“คุณคิดว่าสิ่งที่คุณคิด --มันดี -- แล้วใช่ไหม”

“ดีที่สุดเลยล่ะ” ปรเมศวร์ตอบ

“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น….เดี๋ยวนะคุณได้ยินเสียงอะไรไหม”

เสียงพับๆ ดังมาจากบนฟากฟ้า มันปรากฏร่างชายหนุ่มที่มีลักษณะเหมือนคนทุกประการต่างแค่มีปีกขนาดใหญ่สีเทาอยู่ด้วยกำลังบินมาทางพวกเขาสองคน ชายคนนี้มีใบหน้ากลมโต เกลี้ยงเกลา มีรอยแผลเป็นคล้ายโดนมีดกรีดลากยาวบริเวณแก้มซ้าย

“กนต์ธร” ปรเมศวร์เอ่ย “โล่งอกไปทีที่นายมาถึง”

“ศาสตราจารย์ปรเมศวร์ ศาสตราจารย์มัลลิกา สวัสดียามค่ำคืนครับ” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะเก็บปีกคู่ใหญ่ของเขาเข้าไปคืนจนร่างกายเขาไม่ต่างจากมนุษย์จะต่างก็ตรงมีส่วนสูง 200 เซนติเมตรเท่านั้น

“ได้มาไหมของที่ให้ไปเอาน่ะ” ปรเมศวร์ถาม

“ได้มาครับศาสตราจารย์ เป็นโชคดีของเราที่ผมไปถึงที่พิพิธภัณฑ์มนตราก่อนพวกทายาทมรณะหนึ่งนาที ไม่อย่างนั้นคงเสียท่าพวกมันเป็นแน่” กนต์ธรเอ่ยบอกอย่างภูมิใจ

“หมายความว่าทายาทมรณะยังเคลื่อนไหวอยู่สินะ” มัลลิกาเอ่ย เธอมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เตรียมการรับมือไว้บ้างก็ดี จอมมารสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อและเชื่อเลยว่ามันจะกลับมาแน่ตอนวิฬาร์อายุได้ 19 ปี” ปรเมศวร์เอ่ย

“พูดถึงวิฬาร์เจ้าหนูน้อยนั่นปลอดภัยแล้วใช่ไหมครับ” กนต์ธรเอ่ย

“คงไม่มีพวกทายาทมรณะมาวุ่นวายอีกแล้วล่ะ--แผลนายดูจะเข้าที่แล้วนี่” ปรเมศวร์เอ่ยก่อนจะหันไปมองดูแผลเป็นบริเวณแก้มซ้ายของกนต์ธร

“ครับ--ได้คาถาฟื้นฟูจากคุณนายพิมพ์จรัสไม่นานนัก แผลก็หายเจ็บเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ”

“ดีแล้ว--เอาสิ่งนั้นมาให้ฉันกนต์ธร ฉันจะนำไปไว้ในที่ที่ปลอดภัย” ปรเมศวร์เอ่ยบอกก่อนที่กนต์ธรจะหยิบอะไรบางอย่างที่ถูกห่อไว้อย่างดี มันมีลักษณะยาวเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและถูกห่อด้วยผ้าอย่างดี

“เป็นอันเสร็จสิ้น--เอาล่ะเราควรกลับไปได้แล้ว” ปรเมศวร์เอ่ยก่อนที่ทุกคนจะหายวับไปจนเหลือเพียงเสียงใบไม้ปลิวไสวไปตามสายลม

เสียงหรีดหริ่งเรไรยังคงร้องดังลั่นนวไพรอยู่ เวลานี้วิฬาร์ รัตนเวทย์ ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลที่ยังมีชีวิตอยู่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในบ้านของพนา ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเด็กน้อยกำลังฝันถึงอะไร รู้เพียงแต่ว่ามีหยาดน้ำตาไหลออกมาอาบแก้มทารกน้อย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้เลยว่าเขากำลังเป็นที่เพ่งเล็งของจอมมารที่เลวร้ายที่สุด และไม่รู้ว่าการเฉลิมฉลองของพ่อมดแม่มดทั่วประเทศมาจากตัวเขา

และไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อเขาอายุ 19 ปี เขาจะต้องตายด้วยฝีมือของจอมมาร



ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชีวิตในนวไพร


วันเวลานั้นล่วงเลยผ่านไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ชีวิตในนวไพรก็เช่นกัน ราวกับเพลงสิบหกปีแห่งความหลังที่ว่า 16 ปีเหมือน 16 วัน เพราะนี่ก็ผ่านมา 18 ปีแล้วแต่อะไรก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักเหมือนกับว่าพึ่งผ่านมาแค่ 18 วันเท่านั้นเอง

วิฬาร์ที่เคยเป็นเด็กทารกอยู่กลับกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหวานหยดย้อยปานประหนึ่งสตรี นวลปรางค์สองข้างที่อมชมพูชวนมองมิใช่น้อย เขามีผมสีดำปล่อยลงมาปิดบังหน้าผากเอาไว้แต่ถึงกระนั้นก็ปิดบังความน่ารักไม่ได้อยู่ดี ทว่าในเวลานี้เด็กหนุ่มผู้น่ารักกลับนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นมากมาย ผ้าห่มสีฟ้าเก่าๆ แถมยังขาดวิ่น หมอนที่ใช้หนุนก็ดูเหมือนจะไม่มีนุ่นยัดอยู่อย่างสมบูรณ์เท่าไรนัก บรรยากาศในห้องนอนของเขาโดยรวมแล้วจัดว่าเหมาะแก่การเป็นบ้านหนูอย่างดีเลยทีเดียว

ปังๆๆๆๆๆ

เสียงเคาะประตูรัวๆ ทำให้วิฬาร์ถึงกับขมวดคิ้ว เขาพลิกตัวไปมาก่อนจะมุดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม แต่แล้วไม่นานนักเขาก็รีบออกมาเพราะได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง

“ตื่นได้แล้วเจ้าเด็กโง่!” เสียงแหบแห้งของใครคนหนึ่งดังขึ้น วิฬาร์จำได้แม่นเลยล่ะ มันเป็นเสียงของคุณชายมนตรี เจ้าของบ้านหลังนี้ และไม่ต้องให้ได้ยินเสียงเรียกเป็นครั้งที่สองวิฬาร์ก็รีบตื่นขึ้นมาเก็บที่นอนก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปหาเจ้าของเสียง

“ตื่นแล้วครับ” วิฬาร์ตอบอย่างกระฉับกระเฉง

“ดี…รีบไปทำความสะอาดซะ..ฉันไม่อยากให้ตะหนูของฉันตื่นมาพบกับความสกปรก” คุณชายมนตรีเอ่ย มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ วิฬาร์มักจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำความสะอาดบ้าน เขาทำตั้งแต่กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ไล่หนูเสียด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้ สกาย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณชายมนตรีกับคุณนายพุดจีบ ได้เดินเล่นอย่างสบายใจ

วิฬาร์นั้นมีรูปร่างค่อนข้างผอมบางคล้ายผู้หญิง เขาไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนคนอื่นเขาหรอก อาหารที่ได้กินก็เป็นของเหลือจากพวกมัชชารนต์ที่ชื่อครอบครัวมนตรีเท่านั้นแหละ วิฬาร์ไม่เคยรู้จักพ่อแม่ของตัวเองหรอก เขารู้แค่ว่าตายไปนานแล้วด้วยโรคประหลาด มิหนำซ้ำยังรู้อีกว่าในนวไพรมีมัชชารนต์ที่ชื่อ พนา รับเขามาเลี้ยงดูในตอนแรกแต่ก็ตายไปด้วยโรคประหลาดเช่นกัน ชาว นวไพรจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้วิฬาร์เลย

วิฬาร์เริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านต้นไม้จากในครัวก่อนเพราะมันเป็นสถานที่ที่สกายจะเข้าไปก่อนเป็นที่แรกหลังจากเขาตื่นนอน ครอบครัวของมนตรีไม่ยอมให้วิฬาร์ใช้สรรพนามในการเรียกพวกเขาว่าพ่อหรือแม่ แต่ให้ใช้คำว่าคุณชายกับคุณนายแทน ถึงแม้วิฬาร์จะสงสัยก็ตามว่าทำไมไม่ให้เรียกคุณหญิง แต่ก็นั่นแหละกฎข้อแรกที่ควรตระหนักถึงหากอาศัยอยู่กับพวกมนตรีก็คงจะหนีไม่พ้นการห้ามสงสัยในสิ่งที่ไม่ควรสงสัย ด้วยเหตุนี้เองวิฬาร์จึงไม่ค่อยอยากถามอะไรจากคุณชายและคุณนายเท่าไรนัก มิหนำซ้ำสกายเองก็ยังชอบแกล้งเขาอยู่เสมอ

“กว่าจะตื่นได้นะแก…นอนกินบ้านกินเมืองเลยนะ!” เสียงแหลมเสียดหูดังมาจากห้องนั่งเล่น ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าใคร คุณนายพุดจีบนั่นแหละ เธอเป็นหญิงผอมสูง มีใบหูสีน้ำตาลแดง ผมหยิกสีแดง ชอบแต่งชุดแม่ครัวเป็นประจำเรียกได้ว่าถ้าเห็นคุณนายพุดจีบก็จะเห็นผ้ากันเปื้อนด้วย เธอเป็นภรรยาของคุณชายมนตรี ชายร่างท้วม ผิวขาว มีใบหูสีส้ม เขาเตี้ยกว่าคุณนายพุดจีบราว ๆ10เซนติเมตร เลยก็ว่าได้

วิฬาร์ทำหูทวนลมเขาไม่สนใจเสียงของคุณนายพุดจีบเท่าไรนัก จะว่าไปแล้วไม่ว่าวิฬาร์จะทำอะไร เขาก็โดนด่าเป็นปกติอยู่แล้ว เขาจึงเลือกที่จะเงียบดีกว่า สภาพห้องครัวในเวลานี้สะอาดขึ้นเป็นอย่างมาก วิฬาร์ยิ้มร่าอย่างพอใจก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปทำความสะอาดที่บริเวณห้องนั่งเล่น ไม่นานนักเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

“เหวอ!..............ฝุ่นเต็มบันไดเลย” เสียงแหลมสูงตะโกนลั่น มันเป็นเสียงของสกาย มัชชารนต์หนุ่มน้อย ร่างผอม ผมหยักศกสีทอง มีหูสีส้ม วิฬาร์แทบอยากจะวิ่งไปอุดปากสกายไว้แต่ทำไม่ได้ ในเวลานี้ราวกับว่าเขากำลังจะโดนประหารยังไงยังงั้นเพราะคุณชายมนตรีและคุณนายพุดจีบวิ่งขึ้นบันไดไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนสั่นระริกอยู่

“โถๆๆ…ลูกแม่ไม่เป็นอะไรนะจ๊ะลูก” พุดจีบกอดปลอบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ สกายมักจะเป็นแบบนี้เสมอเขารักสะอาดจนเกินไปชนิดที่ว่าเห็นฝุ่นนิดเดียวก็ไม่ได้ซึ่งมันทำให้วิฬาร์ต้องเดือดร้อน ในคราวนี้ก็เช่นกันคุณชายมนตรีเดินปรี่เข้ามาหาเขาแล้ว วิฬาร์ปลิวไปตามแรงดึงคอเสื้อของอีกฝ่าย ใบหน้าทั้งสองอยู่ใกล้กันนิดเดียวเอง

“เป็นเพราะความสะเพร่าของแก สกายของฉันจึงได้หวาดกลัวเช่นนี้!” คุณชายเอ่ยเสียงเขียว “ฉันขอสาบานว่าวันนี้จะไม่ให้แกได้แตะอาหารแม้แต่นิดเดียว”

พลันสิ้นเสียงของมนตรี วิฬาร์ก็รีบวิ่งไปทำความสะอาดบันไดให้จนสกายสามารถเดินลงมาได้แต่ก็ไม่วายส่งสายตาเยาะเย้ยมาให้เขา ให้ตายสิบ้านนี้มันไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย กลิ่นอาหารยามเช้าโชยเข้าจมูกวิฬาร์แต่เขาก็ไม่สามารถทานได้ คุณชายมนตรีไม่ให้เขากินอยู่แล้ว วิฬาร์จึงทำได้แค่เดินเข้าห้องนอนไป เขาล้วงเข้าไปใต้หมอน อ่า….โชคดีจังแฮะที่มันยังอยู่ วิฬาร์รีบยัดขนมปังที่เหลือครึ่งแผ่นจากเมื่อวานเข้าปากไปในทันที แม้มันจะไม่ทำให้เขาอิ่มสักเท่าไหร่แต่มันก็ช่วยให้ความหิวทุเลาลงบ้าง

ผ่านไปสักระยะหนึ่งวิฬาร์ก็ออกมาเก็บกวาดจานบนโต๊ะเพื่อนำไปล้างทำความสะอาด เขาไม่ต่างจากคนใช้นักหรอก ยังพอจะโชคดีอยู่บ้างที่พอมีที่ซุกหัวนอน คุณชายมนตรีคอยย้ำวิฬาร์เสมอว่าเขาต่ำต้อยเพียงใด คอยบอกว่าเขาเป็น มัชชาเรื้อน เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างมาก โดยมัชชาเรื้อนจะเหมือนกับมนุษย์เลยไม่มีหูและหางเหมือนแมว วิฬาร์จึงถูกมองเหมือนทาสคนหนึ่งเท่านั้น

“โอ้…คุณยายทิพย์สุคนธ์ส่งจดหมายเชิญเราไปทานอาหารเที่ยงร่วมกัน” พุดจีบพูดยิ้มๆ

“ดีเลยเราจะได้ประหยัดงบ ฮ่าๆๆๆ” มนตรีหัวเราะดังลั่น วิฬาร์ได้ยินเรื่องทั้งหมดเขารู้ดีว่าคุณยายทิพย์สุคนธ์น่ากลัวแค่ไหนหล่อนเป็นมัชชารนต์ชรา สวมแว่นตาวงกลมและมักจะหาเรื่องแซะวิฬาร์เสมอราวกับว่าโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน

“แต่ติดอยู่อย่างเดียว” มนตรีเอ่ย “ไอ้เด็กนั่นจะเอาไง” ทั้งสองหันขวับมาทางวิฬาร์จนเขาต้องหลุบตาลงต่ำแล้วแสร้งล้างจานต่อไป

“ให้อยู่ที่นี่ก็ได้นี่นา” สกายเสนอความเห็น

“บ้านเราได้พังพอดีสิลูก” มนตรีเอ่ยบอก

“แต่ผมไม่อยากให้เขาไปนี่ครับ” สกายยังคงตัดพ้อ

“ไม่ต้องห่วงพ่อรับรองว่ามันจะไม่ได้อยู่ในบ้านคุณยายร่วมกับเราแน่นอน” มนตรีเอ่ยยิ้มๆ ใบหน้าเจ้าเล่ห์ปรากฏเด่นชัดวิฬาร์รู้ได้ในทันทีว่าวันนี้ไม่ใช่วันดีแน่ๆ

________________________________________________



เวลาผ่านไปจนเก้าโมงเช้าครอบครัวมนตรีกำลังเตรียมตัวเดินทางไปหาคุณยายทิพย์สุคนธ์ คุณชายมนตรีใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับหมวกใบใหญ่สีดำสนิท ส่วนคุณนายพุดจีบก็ใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าพลางติดดอกกล้วยไม้สีม่วงอ่อนแซมหู ด้านสกายใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ ผิดกับวิฬาร์ที่ใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขายาวสีดำเก่าๆ แค่ตัวเดียวเท่านั้นมิหนำซ้ำยังขาดหลุดรุ่ยอีกด้วย

คุณชายมนตรีเปิดประตูให้คุณนายพุดจีบกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาเดินลงจากบ้านไป ก่อนจะเดินปรี่เข้ามาหาวิฬาร์อย่างรวดเร็ว ใบหน้าอวบอ้วนขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะกัดฟันบอกไปว่า

“นี่คือคำเตือนจากฉัน” คุณชายมนตรีเอ่ยพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “อย่าทำอะไรที่ไม่เข้าท่า ไม่อย่างนั้นแกจะได้นอนที่กระท่อมเลี้ยงหนูกระเทียม1 ฉันแน่ๆ”

“ผมไม่ทำอะไรที่ไม่ดีหรอกครับ” วิฬาร์ตอบ “ไม่ทำแน่นอน”

คุณชายมนตรีหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากบ้านต้นไม้ไป เขาไม่เชื่อหรอก ครอบครัวมนตรีไม่เคยมีใครเชื่อที่วิฬาร์พูดเลยสักคน พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นน่าจะมีประโยชน์กว่า

พวกเขาออกมาขึ้นรถเมกานิวส์คาร์ พวกมัชชารนต์มีพาหนะที่ใช้เดินทางเป็นเมกานิวส์คาร์ เรียกสั้นๆ ก็คือ เมกาคาร์นั่นแหละ ลักษณะของมันจะเป็นเหมือนรถผสมกับแมลงปอดึกดำบรรพ์ โดยตัวรถจะมีสีสันแตกต่างกันไปของคุณชายมนตรีจะรถสีส้ม ด้านบนหลังคาจะมีปีกขนาดใหญ่อยู่คู่หนึ่งใช้สำหรับบินขึ้นท้องฟ้า ส่วนบริเวณหน้ารถจะมีตาแมลงปอขนาดใหญ่ 2 ตาอยู่ มันใช้สำหรับตรวจจับอันตรายได้ เรียกได้ว่าเป็นพาหนะที่พึ่งพาได้มากเลยทีเดียว

รถค่อยๆ ขับเคลื่อนไป บทสนทนามีแค่คุณชายมนตรีกับคุณนายพุดจีบเท่านั้น หัวข้อสนทนาก็หนีไม่พ้นการต่อว่าวิฬาร์นั่นแหละ มันเป็นหัวข้อหลักๆ เลยล่ะ

เมกาคาร์ขับเคลื่อนมาจอดอยู่ที่บริเวณบ้านต้นไม้หลังหนึ่ง มันอยู่ในป่าลึกไร้ซึ่งมัชชารนต์ บรรยากาศโดยรวมวังเวงมากเลยทีเดียว บริเวณด้านข้างบ้านมีคอกขนาดใหญ่ที่กักขัง สัตว์ขนาดมหึมาไว้อยู่ มันเหมือนกับหนูผสมกระเทียมไม่มีผิด

ประตูรถเปิดออกพร้อมกับทุกคนที่เดินลงจากรถ ไม่นานนัก มัชชารนต์ชราผมสีขาว ก็เดินลงมาจากบ้านเพื่อต้อนรับ เธอมีสีหน้าไม่พอใจเท่าไรนักเมื่อมองเห็นเด็กผอมบางยืนจ้องมาทางเธออยู่

“ฉันว่า--ฉันเชิญชวนแค่พวกเธอนะมนตรี ไม่ได้เชิญพวกต่ำๆ มา” ทิพย์สุคนธ์มองเหยียดๆ มาทางวิฬาร์ มันเป็นแบบนี้เสมอแหละ ในนวไพรคงไม่มีใครมองเขาด้วยสายตารักใคร่เท่าใดนัก

“ต้องขอประทานอภัยครับคุณแม่--ผมรับรองว่าเขาจะไม่ได้ขึ้นไปด้านบนกับเราแน่นอน คุณแม่ขึ้นไปรอให้สบายใจเถอะครับ” มนตรีเอ่ยก่อนจะเดินมาลากคอเสื้อวิฬาร์ให้เดินตามไปที่บริเวณคอกหนูกระเทียม

“ฟังให้ดีนะ--แกต้องดูแลเจ้าหนูกระเทียมนี่ให้ดีอย่าให้มันหายไปไหนเด็ดขาด!” มนตรีเอ่ยเสียงเขียวก่อนจะเดินขึ้นบ้านตามคนอื่นๆ ไป

วิฬาร์ยืนมองหนูยักษ์ตัวสีเผือก มันมีขนาดใหญ่ราวๆ2.5 เมตร จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคงจะเป็นหางที่มีลักษณะเหมือนกับกระเทียมนั่นแหละ เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะเดินเข้าไปใกล้มันดีไหม แต่สุดท้ายขาของวิฬาร์ก็ก้าวเข้าไปหามันอยู่ดี

เจ้าหนูยักษ์มีท่าทีตื่นตระหนกอยู่ไม่ใช่น้อยมันมองวิฬาร์อย่างหวาดระแวง ส่งเสียงขู่ที่ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดมาให้เขา วิฬาร์หัวเราะร่าอย่างเอ็นดู ให้ตายสิมันจะรู้ตัวไหมเนี่ยว่าตัวเองไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด

ทว่า…ไม่นานเท่าไหร่นักสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ประตูคอกที่ทำจากไม้หนาแน่นอย่างดีพังทลายลงอย่างน่าเหลือเชื่อ เจ้าหนูกระเทียมร้องอย่างดีใจ มันผงกหัวลงเล็กน้อยเป็นสัญลักษณ์ว่าขอบคุณ ก่อนจะวิ่งหายเข้าป่าไป วิฬาร์ตกใจอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พลันได้ยินเสียงของใครบางคนและเขารู้ตัวได้เลยว่า ซวยแน่นอน

“ทำบ้าอะไรของแก!” คุณชายมนตรีแยกเขี้ยวก่อนจะวิ่งลงมาหาเขา ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนมองอยู่ด้านบนด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

ในวินาทีนั้นเองวิฬาร์เชื่อเลยว่าเขาไม่รอดแน่ๆ


ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชายปริศนา


บรรยากาศที่ครุกรุ่นพาหัวใจวาบหวามยิ่งนัก เวลานี้คุณชายมนตรียืนจับจ้องวิฬาร์ด้วยสายตาเคืองขุ่น ใบหน้าอวบอ้วนมีสีแดงอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าก่อเรื่อง!” คุณชายมนตรีตะคอกเสียงดังลั่นจนวิฬาร์สะดุ้งโหยง

“ตะ…แต่..ผมสาบานได้เลยว่าอยู่ดีๆ ไอ้คอกนี้มันก็พังทลายลง--ผมไม่ได้ไปแตะมันเลยแม้แต่น้อย” วิฬาร์เอ่ยแก้ต่างด้วยสีหน้าจริงจัง เขารู้อยู่แล้วว่าพวกมนตรีไม่ฟังเขาหรอกแต่เขาก็อยากเอ่ยอะไรออกไปเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของเขา

“เหอะ…แกจะบอกว่าคอกไม้ของฉันไร้ประสิทธิภาพอย่างงั้นรึ” คุณยายทิพย์สุคนธ์เอ่ย “ฉันจะบอกแกไว้นะ--ว่าฉันนำไม้อย่างดีมาทำไม่มีวันที่มันจะพังลงง่ายๆ หรอกถ้าไม่ใช่เพราะเด็กที่เล่นพิเรนท์อย่างแกทำน่ะ”

“ผมอธิบายได้ครับ--คือว่าผมยะ………..” วิฬาร์กำลังจะแก้ตัวแต่เสียงที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องหยุดชะงักไป

“เลิกพูดได้แล้ว!” คุณชายมนตรีเอ่ยเสียงเขียว “พวกเราไม่เชื่อแกและจะไม่มีวันเชื่อโดยเด็ดขาด--สิ่งที่แกควรทำคือรับผิดชอบ” ทุกคนหันมามองวิฬาร์ด้วยสายตาเพ่งโทษ เป็นเขาอีกแล้วสินะ มีเพียงเขาที่เป็นคนผิด ในตลอดระยะเวลาที่อยู่กับครอบครัวมนตรีนั้นวิฬาร์ไม่เคยทำอะไรถูกต้องเลยเขาผิดไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ไม่โต อากาศที่ร้อน อาหารขาดแคลน มันเป็นเพราะเขาคนเดียวมาโดยตลอด

“แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไงดีครับ” วิฬาร์ตอบกลับอย่างปลงๆ ในเมื่อแก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์ เขารับผิดชอบเลยก็แล้วกัน

“โอ้…อย่างงั้นรึ” คุณชายมนตรียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “งั้นแกไปตามจับเจ้าหนูกระเทียมนั่นกลับมาให้คุณยายทิพย์สุคนธ์ซะ”

ว่าไงนะนี่เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ไปตามจับที่ไหนและจะจับมันได้ยังไงกัน วิฬาร์งงไปหมดแล้วเนี่ย

“ตะ…ตามจับหรอครับ” วิฬาร์เอ่ยเสียงสั่น

“ใช่…ในเมื่อแกทำมันหายแกก็ต้องหามันมาคืนสิจึงจะสมเหตุสมผล” คุณชายมนตรีเอ่ย วิฬาร์แอบเห็นสกายยืนขำด้วยแหละ บ้าเอ๊ยเขาอยากจะเดินไปทุบเสียจริงๆ

“แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปทางไหนนี่ครับ” เขาบอกอย่างใสซื่อจนคุณชายมนตรีหน้าบึ้ง

“ในป่านั่นไง--มันอยู่ในนั้นแหละรีบไปได้แล้ว” คุณชายมนตรีเอ่ย “อ้อ--ถ้าจับไม่ได้ก็อย่าเสนอหน้ามาแล้วกันฮ่าๆๆๆ” คุณชายมนตรีเอ่ยก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปอย่างอารมณ์ดี แน่นอนว่าทุกคนก็เดินตามมนตรีขึ้นไปแต่ก็ไม่วายหันมาให้กำลังใจเขา ไม่ว่าจะเป็นคุณนายพุดจีบที่บอกว่า ขอให้รอดแล้วกันนะ หรือจะเป็นสกายที่บอกว่าขอให้เจอแบบหนักๆ เลยนะ ก็อยากจะขอบคุณอยู่หรอกแต่ทีหลังไม่ต้องให้หรอกนะกำลังใจแบบนี้น่ะ

วิฬาร์ค่อยๆ เยื้องย่างกรายเข้าไปในป่าลึก อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดชีวิตของเขาอาศัยอยู่แต่ในบ้านของครอบครัวมนตรีมาโดยตลอด เขาเลยไม่ค่อยคุ้นชินนักที่จะเดินไปไหนมาไหนในพื้นที่ที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเช่นนี้ หากจะถามว่าที่ที่เขาอาศัยอยู่ไม่มีป่าอย่างนั้นหรือคำตอบก็คงจะเป็นมี แต่เขาก็ได้แค่มองเท่านั้นแหละไม่เคยได้เดินเข้าไปจริงๆ เหมือนกับมัชชารนต์ตนอื่นๆ หรอกนะ แต่วิฬาร์พนันได้เลยว่าป่าแถวบ้านครอบครัวมนตรียังดูดีกว่าป่านี้เยอะ

บริเวณป่าลึกที่วิฬาร์กำลังเดินเข้าไปนี้ค่อนข้างวังเวงอย่างบอกไม่ถูกแม้จะเป็นเวลากลางวันก็ตามแต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปบรรยากาศก็ยิ่งมืดหม่นลงมากขึ้นเท่านั้น ต้นไม้มากมายไม่มีแม้แต่ใบสีเขียวให้เชยชม มีเพียงกิ่งไม้แห้งๆ เท่านั้น บางต้นก็สูงใหญ่แตกก้านกิ่งออกไปมากมายแต่กลับมีใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลยิ่งมองก็ยิ่งชวนขนลุก บรรยากาศโดยรอบไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เสียงสายลมพัดผ่านกิ่งไม้ดังออดแอดเสียจนน่าผวา บริเวณพื้นดินก็แตกระแหงราวกับว่าไม่ได้โดนน้ำมาหลายสิบปี สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนก็คือไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในป่านี้เลย แล้วเขาจะหาเจ้าหนูกระเทียมได้จากที่ไหนกันล่ะเนี่ย

แกรกๆๆ

วิฬาร์หัวขวับไปด้านหลังในทันทีเพราะว่าหูของเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมันดังมาจากด้านหลังเป็นเสียงคล้ายกับใครกำลังเดินเหยียบใบไม้แต่มันรวดเร็วมากจนวิฬาร์มองไม่ทัน

"ใครน่ะ!" เขาเอ่ยถามออกไปในทันที อาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมนตรีก็ได้และถ้าให้เดาคงจะเป็นสกายที่ตามมาแกล้งเขาเป็นแน่ เพราะว่าในสมัยก่อนสกายนั้นเคยหลอกให้เขาเดินเข้าไปในห้องครัวจากนั้นก็แอบซุ่มรอเขาอยู่ด้านหน้าทำเสียงก๊อกแก๊กเหมือนกับว่ามีใครกำลังทำอะไรอยู่ พอเขาเดินออกมาก็กระโจนใส่เขาจนเขาแทบจะเป็นลม

วิฬาร์หันซ้ายหันขวาพยายามมองหาสกายแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ในหัวสมองเขาก็ภาวนาให้เป็นสกายอย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย เสียงหัวใจที่เต้นดังตึกๆ อย่างรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าของหัวใจนั้นกำลังกลัวอยู่ แต่จะทำไงได้เขาต้องไปต่อวิฬาร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินต่อไป แน่นอนว่าเขาเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินเริ่มไม่ชัดเนื่องจากมีควันมากมายปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ให้ตายสิแบบนี้เขาจะมองเห็นอะไรกันล่ะ

ตุบๆๆๆ

เสียงคล้ายกับอะไรร่วงหล่นลงมาจากด้านบนโน้มน้าวให้วิฬาร์หันไปมองในทันที คราวนี้มันไม่ได้เงียบมันยังส่งเสียงดังอยู่เป็นระยะๆ แต่เป็นวิฬาร์เองที่มองไม่ทัน

"นี่มันไม่ตลกเลยนะ! ไม่ว่าคุณจะเป็นใครออกมาเจอกันซึ่งหน้าเลยดีกว่า" วิฬาร์จะโกนลั่น ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวแต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็อยากเห็นตัวไม่ว่าจะเป็นผีเป็นสัตว์หรือว่าเป็นใครก็ตามขอแค่วิฬาร์ได้รู้สถานที่ที่สิ่งนั้นอยู่ เขาจะได้เตรียมการรับมือได้ทัน

สิ้นเสียงวิฬาร์ก็ไม่มีเสียงอย่างอื่นอีกนอกจากสายลมที่พัดไปพัดมา วิฬาร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันหน้าไปยังทิศทางที่จะไปต่อ แต่เขาก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด ร่างกายของวิฬาร์กระเด็นถอยหลังไปเองโดยอัตโนมัติเนื่องจากความกลัว ภาพตรงหน้ามันน่ากลัวเกินคำบรรยาย เบื้องหน้าเขามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่โตสูงราวๆ3 เมตร มันยืน 2 ขาทั่วร่างกายปกคลุมไปด้วยขนสีดำสนิท ใบหน้าของมันเหมือนกับสุนัขไม่ผิดเพี้ยนหากแต่ว่าน่ากลัวกว่าหลายเท่า ตาสีแดงก่ำ ปากที่อ้าออกเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมที่ถ้าหากกัดแขนวิฬาร์ก็คงจะขาดไปในไม่กี่วินาที มันยืนจับจ้องวิฬาร์ด้วยสายตาอาฆาต

วินาทีนี้การตั้งสติเป็นสิ่งสำคัญ วิฬาร์ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ ให้ตายสิเขาไม่มีอาวุธอะไรที่จะต่อกรสัตว์ประหลาดตรงหน้าด้วยซ้ำ วิฬาร์ค่อยๆ ถอยหลังช้าๆ พลางสวดภาวนาให้ไอ้หมาบ้านั่นอย่าเดินตามเขามาแต่ดูเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้งเพราะเจ้าหมานั่นก็เดินตามมาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลยืดเป็นทาง อื้อหือ…น่าเกลียดชะมัด

วิฬาร์หยุดเดินในทันทีส่งผลให้เจ้าหมายักษ์นั่นหยุดเดินด้วยแต่ดวงตาสีแดงฉานของมันยังคงจับจ้องเขาอยู่ ที่ด้านบนต้นไม้มีกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่กำลังจะร่วงลงมา ขอแค่หาอะไรไปสะกิดมันสักนิดก็คงจะร่วงลงมาได้ ใช่สิ—เขาต้องมองหากิ่งไม้หรือไม่ก็ก้อนหินที่ใหญ่พอ เจ้าหมาขนดำที่ดูจะสงสัยการกระทำของวิฬาร์ก็เริ่มโมโหหิวขึ้นไปอีกมันคำรามเสียงดังลั่นจนวิฬาร์ต้องปิดหูก่อนจะกระโจนเข้ามาหาวิฬาร์อย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้นวิฬาร์คิดว่าเขาต้องตายอย่างแน่นอน ทว่า….กิ่งไม้ด้านบนกลับร่วงลงมาทับร่างของเจ้าหมาปีศาจไว้ได้ มันร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดวิฬาร์ที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งหนีไปในทันที

“ช่วยด้วย!” เขาวิ่งพลางตะโกนเสียงดังเพื่อหวังจะให้มีคนมาช่วย

เสียงเหยียบใบไม้ที่กำลังไล่หลังเขามาคงจะเป็นเสียงของเจ้าหมายักษ์ตัวนั้นเป็นแน่ วิฬาร์ไม่หันไปดูอะไรทั้งสิ้นเขาวิ่งมุ่งหน้าหาทางออกจากป่าเพียงอย่างเดียว พื้นที่ในป่านั้นต้องกระโดดหลบกิ่งไม้ใหญ่ๆ ที่ล้มระเนระนาดขวางทางอยู่อย่างมากมาย ถึงกระนั้นเขาก็สามารถกระโดดผ่านพวกมันไปได้ ราวกับหลงเข้ามาในเขาวงกต วิฬาร์วิ่งกลับมาอยู่ที่เดิมสถานที่ ทุกอย่างเหมือนเดิมหมดมีเพียงกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่กระจุยกระจายและไม่มีเจ้าหมายักษ์อยู่เพียงเท่านั้นที่ทำให้สถานที่นี้แปลกไป

นี่มันบ้าที่สุดเลยเขาจะรอดจากที่นี่ได้ยังไงล่ะเนี่ย เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้พวกหมาปีศาจมันมากัน 5 ตัว หนึ่งในนั้นมีเจ้าหมาที่ถูกกิ่งไม้ล้มทับด้วย มันมีเลือดออกเล็กน้อย ทุกตัวจ้องวิฬาร์ด้วยความโกรธเคือง ในวินาทีนั้นเองวิฬาร์รู้สึกได้เลยว่า ตายแน่ๆ!เจ้าตัวที่ถูกกิ่งไม้ล้มทับกระโจนเข้าใส่วิฬาร์อีกครั้ง ทว่ามันกลับถูกแสงสีฟ้าปริศนาพุ่งใส่ตัวจนกระเด็นไปกระแทกกับก้อนหิน แล้วล้มลงมานอนร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด

วิฬาร์ทำหน้าตกตะลึงอย่างเหลือเชื่อเขาหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่มาของแสงประหลาดนั่น มองหาได้ไม่นานนักเขาก็เห็นผู้ชายตัวสูงราวๆ2 เมตร เดินมาทางเขา เขาเป็นชายตัวผอมสูง ตาสีเขียว ผิวขาวซีด ใบหน้ากลมโต มีรอยแผลเป็นคล้ายโดนมีดกรีดลากยาวบริเวณแก้มซ้าย ลักษณะเด่นที่มองเห็นได้ชัดคือมีเขาสองเขา จมูกยาวเป็นขอเหมือนปากเหยี่ยว มีปีกสีดำสองข้างซึ่งเขาพึ่งเก็บซ่อนไปเมื่อกี๊นี้เอง

“เกือบมาไม่ทันซะแล้วสิ” เขาเอ่ยเสียงทุ้มใหญ่ ก่อนจะหยิบไม้สีน้ำตาล ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ขึ้นมาชี้ไปทางพวกหมาปีศาจที่กำลังยืนมองอย่างโกรธเกรี้ยว “ฉันขอเตือนไว้นะว่าถ้าไม่อยากโดนแบบเจ้านั่นให้พวกแกถอยออกไปซะ” เขาขู่เสียงดังลั่น แต่เจ้าหมาตัวหนึ่งเหมือนจะไม่กลัวเท่าไหร่ มันคำรามเสียงดังก่อนจะกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แต่ชายแปลกหน้าไวกว่าเขาเอ่ยอะไรสักอย่างขึ้นมา “วินัสสตุ” แสงสีฟ้าทะยานออกจากไม้สีน้ำตาลเข้มก่อนจะถูกตัวเจ้าหมายักษ์จนกระเด็นไปนอนชักดิ้นชักงออย่างทรมาณ ไม่นานนักเจ้าหมาอีก 4 ตัวที่เห็นว่าคงจะสู้ไม้ได้ก็วิ่งเข้าไปรุมกัดกินเพื่อนพวกมันที่นอนดิ้นอยู่ที่พื้น คราวนี้เสียงร้องที่ดังลั่นป่าก็เต็มไปด้วยความสยดสยอง ไม่นานพวกหมาปีศาจก็ลากศพเพื่อนพวกมันหายไปในป่า

“เหอะ--จนตรอกถึงขั้นกินกันเองเลยหรอเนี่ย” ชายร่างสูงเอ่ย ก่อนจะหันมาทางวิฬาร์ “เธอไม่เป็นอะไรนะ” เขาถามไถ่อย่างเป็นห่วง

“มะ…ไม่เป็นอะไรครับ” วิฬาร์ตอบเสียงตะกุกตะกักจนชายร่างสูงเห็นได้ถึงความหวาดกลัว เขาจึงเอ่ยออกมาว่า

“เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอกวิฬาร์--ถ้าฉันจะมาทำร้ายเธอก็คงปล่อยให้พวกหมานั่นฆ่าเธอไปแล้วล่ะฮ่าๆๆๆ” เขาเอ่ยบอก จริงด้วยถ้าคนคนนี้ต้องการจะทำร้ายเขาก็คงปล่อยให้หมาบ้านั่นมารุมกินเขาไปแล้วล่ะ คิดได้ดังนั้นวิฬาร์จึงเอ่ยถามออกไปอีกว่า

“แล้วคุณเป็นใครครับ ทำไมถึงมาช่วยผม”

“จริงสิ--ฉันลืมแนะนำตัวไปเลย ฉันชื่อกนต์ธรยินดีที่ได้รู้จักนะ ส่วนที่ว่าทำไมต้องมาช่วยเธอน่ะรึ” เขายิ้มกว้างอย่างใจดี “เพราะเธอสำคัญมากๆ ยังไงล่ะ”

“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับที่ช่วยผมว่าแต่ผมสำคัญยังไงหรอครับ ผมเป็นแค่มัชชาเรื้อนต้อยต่ำมากๆ ในหมู่มัชชารนต์ด้วยกันเลยนะครับ” วิฬาร์เอ่ยบอกอย่างเศร้าๆ เขายังหาความสำคัญของตัวเองไม่เจอเลยด้วยซ้ำ

“มัชชาเรื้อนเนี่ยนะ!” กนต์ธรคำรามลั่น “ใครบอกเธอว่าเป็นเผ่าพันธ์ต่ำเช่นนั้น”

“คุณชายมนตรีกับคุณนายพุดจีบน่ะครับ” วิฬาร์บอก

“เหอะ--ดูท่าฉันคงต้องไปคุยกับพวกนั้นสักหน่อย” กนต์ธรเอ่ย “เธอน่ะเป็นพ่อมดวิฬาร์” ห๊ะ…พ่อมด…เขาเนี่ยนะเป็นพ่อมดนี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย

“เอ่อ--ผมว่าคุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับผมไม่ใช่พ่อมดหรอกนะครับ” วิฬาร์บอก ตลอดชีวิตเขายังใช้เวทมนตร์ไม่ได้ด้วยซ้ำเขาจะเป็นพ่อมดได้ยังไงกันเล่า

“เธออาจจะปกปิดคนอื่นได้แต่ปกปิดพ่อมดด้วยกันไม่ได้หรอกนะ” กนต์ธรเอ่ย “เมื่อพ่อมดแม่มดเกิดมาชื่อของเขาจะถูกสลักไว้ที่ศิลาจารึกเวทมนตร์ทุกๆ ปี ศิลาจารึกเวทมนตร์จะเรืองแสงออกมาพร้อมบอกรายชื่อนักเรียนที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนเวทมนตร์” กนต์ธรเอ่ยอย่างยิ้มๆ

“หมายความว่าไงครับ ผมต้องไปโรงเรียนอย่างนั้นหรอครับ” วิฬาร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“แน่นอนเธอต้องไปแต่ก่อนอื่นเราต้องไปหาพวกมนตรีก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขาสักหน่อย” กนต์ธรเอ่ยเสียงหงุดหงิดก่อนจะเดินนำหน้าไป วิฬาร์รีบวิ่งตามไปในทันที

จะว่าไปแล้วนี่มันเหมือนกับว่าเขามีชีวิตใหม่เลยแฮะ เวทมนตร์หรอ ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ


ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อันตรายคืบคลาน
   “ฉันว่าฉันบอกแกไปแล้วนะว่าถ้าไม่ได้หนูกระเทียมกลับมาก็อย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีก!”  เสียงกร่นด่าดังลั่นออกมาจากปากคุณชายมนตรี ใบหน้าอวบอ้วนขึ้นสีแดงราวกับลูกตำลึง ไม่เคย…เขาไม่เคยได้รับแม้แต่คำถามที่ดูเป็นห่วงเป็นใยเลยสักนิด
   หลังจากที่วิฬาร์กลับมาที่บ้านของคุณยายทิพย์สุคนธ์ด้วยสภาพที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินที่มากมาย คุณชายมนตรีก็บ่นเขาจนหูชา วิฬาร์ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบโต้ด้วยซ้ำไป
   “ผมหาหนูกระเทียมไม่เจอครับ--ในป่านั่นไม่มีสัตว์เลยสักตัวจะมีก็แต่…” เสียงวิฬาร์ขาดห้วงไปเนื่องจากมีเสียงใหม่เข้ามาแทนที่
   “นั่นเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเอามาก--ฉันคิดว่าแกจะแก้ตัวได้ดีกว่านี้ซะอีกนะ” คุณนายพุดจีบเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
   “ข้อแก้ตัวหรอครับ--ลองมาโดนแบบผมดูบ้างไหมล่ะการที่โดนหมาป่ายักษ์สูง 3 เมตรไล่ฆ่าน่ะคุณจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง!” วิฬาร์ตะโกนบอกอย่างเหลือทน
   “หมาป่ายักษ์หรอ” คุณชายมนตรีเอ่ยอย่างสงสัยจนคิ้วขมวดเป็นปม
   “ใช่ครับต่อให้อยากจับเจ้าหนูกระเทียมนั่นก็คงเป็นไปได้ยากแล้วล่ะครับ--ผมคงตายก่อนแน่ๆ” วิฬาร์เอ่ยเสียงเบา
   “หนอยแน่—แกจะบอกว่าแกจะไม่ไปจับหนูกระเทียมอย่างนั้นหรอแกรู้ไหมว่าฉันใช้เวลาดักจับมันนานแค่ไหนไอ้เด็กบ้านี่!” คุณยายทิพย์สุคนธ์ตะโกนลั่นเสียงแหลมเสียดหูของเธอทำเอาวิฬาร์ต้องอุดหูเอาไว้ เวลานี้วิฬาร์เด็กอยู่ในอันตรายแล้วคุณยายถือไม้เรียวยาวเดินตรงมาทางเขา
   “ดูเหมือนว่าไอ้เด็กนี่ต้องได้รับการสั่งสอนจากฉันแล้วล่ะ--มนตรี” คุณยายทิพย์สุคนธ์ไม่พูดเปล่าเธอทำท่าหวดลมแล้วเดินตรงมาทางวิฬาร์โดยที่คนอื่นๆไม่ห้ามเลยสักนิด
   “หัสสะ” เสียงใครสักคนเอ่ยจากด้านหลังของวิฬาร์ก่อนที่แสงสีขาวจะพุ่งตรงเป็นสายไปหาไม้เรียวของคุณยายทิพย์สุคนธ์และมันทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมากเพราะไม้เรียวที่เคยมีขนาดใหญ่กลับเล็กลงจนเท่ากับไม้จิ้มฟัน
   “ใครน่ะ!” สกายตะโกนพลางชี้นิ้วไปหาชายร่างสูงคนหนึ่งที่บัดนี้มายืนอยู่ข้างๆวิฬาร์แล้ว แน่นอนว่าเขาคือกนต์ธรผู้ซึ่งให้วิฬาร์ขึ้นไปด้านบนบ้านก่อนถ้าสถานการณ์ไม่ดีเขาก็จะขึ้นตามมา แน่นอนว่าคุณยายทิพย์สุคนธ์จะตีวิฬาร์เลยทำให้กนต์ธรขึ้นมาช่วยไว้ทัน
   “ไม่ยักรู้ว่ามัชชารนต์ป่าเถื่อนถึงเพียงนี้” กนต์ธรเอ่ยถากถางพลางมองสำรวจบริเวณรอบๆบ้าน ในขณะที่คุณชายมนตรี สกาย คุณนายพุดจีบและคุณยายทิพย์สุคนธ์เดินถอยหลังไปรวมกันอยู่บริเวณเตาผิง
   “แกเป็นใคร!--ออกไปนะไม่งั้นฉันฆ่าแกตายแน่ๆ” คุณชายมนตรีเอ่ยพร้อมกับหยิบปืนไม้ขึ้นมามันเป็นปืนขนาดยาวทำจากไม้สามารถใส่กระสุนลูกดอกที่แหลมคมได้ทีละ 4 ลูก ถ้ายิงโดนก็ถึงตายได้เหมือนกัน
   “เหอะ--ไม่ยักรู้ว่าจะจำกันไม่ได้” กนต์ธรเดินไปมาราวกับปืนที่คุณชายมนตรีถือเล็งมาทางเขาเป็นปืนเด็กเล่น
   “อย่าขยับนะ--ฉันยิงจริงๆแน่” คุณชายมนตรีเอ่ย
   “อ้อ…หรอ” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาชี้ไปทางคุณชายมนตรี “เอหิ ปืน” สิ้นคำพูดของกนต์ธรปืนก็ลอยมาเข้าสู่กำมือของเขา
   “ฉันจะบอกให้ว่าไอ้อาวุธกิ๊กก๊อกของแกนี่มันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด” กนต์ธรเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะโยนปืนทิ้งลงด้านล่างและหันไปมองคนอื่นๆที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่
   “กะ…แกต้องการอะไร” คุณชายมนตรีถามเสียงสั่น
   “ก็ไม่ต้องการอะไรมากแค่จะมาบอกว่าวิฬาร์ต้องเข้าเรียนในชั้นปี 1 ของโรงเรียนเวทมนตร์สยามมนตราวิทยาคมเท่านั้นแหละ” กนต์ธรเอ่ย
   “โรงเรียนเวทมนตร์บ้าอะไรเขาจะต้องอยู่กับพวกเรา!” คุณชายมนตรีเอ่ยบอกอย่างโกรธเกรี้ยว
   “แกทำให้เขาอยู่ด้วยได้ไหมล่ะ--ถ้าทำได้ก็เข้ามา” กนต์ธรท้าทาย แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาหาเขาเลยแม้แต่คนเดียว
   “วิฬาร์แกต้องเลือกว่าจะไปหรืออยู่” มนตรีที่สู้กนต์ธรไม่ได้เลยหันมาถามวิฬาร์
   “ขอบคุณที่เลี้ยงผมมานะครับแต่ผมขอไปเรียนนะครับผมอยากรู้ว่าพ่อกับแม่ผมเป็นใคร” วิฬาร์เอ่ยบอก จริงอยู่ที่ครอบครัวมนตรีจะทำไม่ดีกับเขาแต่วิฬาร์ก็โตมาได้เพราะครอบครัวนี้เลี้ยงดูมา
   “ไอ้เด็กทรพี—พวกฉันเลี้ยงมาแกไม่เห็นบุญคุยเลยหรอ!” คราวนี้ทั้งมนตรีและพุดจีบตะโกนขึ้นพร้อมกัน
   “หุบปาก!” เป็นกนต์ธรที่ตะโกนขึ้นมาทำให้บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง “เลี้ยงดูหรอ ทั้งให้กินข้าวน้อยนิด ที่นอนโทรมๆ ใช้อย่างกับทาส มิหนำซ้ำยังให้เข้าป่าที่อันตรายจนเกือบโดนพวกสุนาคตราสูร (สุ-นา-คะ-ตรา-สูน) ฆ่าอีก พวกแกยังเรียกตัวเองว่าผู้มีพระคุณได้อีกหรอ”
   ความเงียบปกคลุมไปนานแสนนานก่อนกนต์ธรจะเอ่ยตัดบท
   “ฉันจะกลับโรงเรียนแล้วถ้าเธออยากอยู่กับพวกนี้ต่อก็อยู่ต่อไปแล้วกันวิฬาร์” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะเดินลงไป
   วิฬาร์ที่ได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปบอกลาทุกคนและรีบวิ่งตามกนต์ธรลงมาโดยมีเสียงคุณนายพุดจีบกรีดร้องอย่างเจ็บใจไล่หลังเขามา
   “เราจะไปไหนกันต่อครับ…แฮ่กๆ” วิฬาร์ที่วิ่งตามหลังกนต์ธรมาเอ่ยถามอย่างเหนื่อยหอบ
   “ความจริงแล้วก็ต้องไปหาซื้อของสำหรับใช้เรียนนั่นแหละ--แต่ครอบครัวเธอรอบคอบจัดเตรียมไว้ให้หมดแล้วเราเลยจะไปที่สถานีนาคราชกัน” กนต์ธรเอ่ยตอบก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่บริเวณต้นไม้ต้นหนึ่งที่ดูจะอุดมสมบูรณ์ที่สุดในป่า เขาพูดพึมพำไปสักระยะหนึ่งก็ปรากฎร่างของกระต่ายตัวเล็กที่มีขนปุยฟูสีขาวบริสุทธิ์ราวกับเมฆตัวหนึ่งยืนอยู่
   “เจ้านี่คืออะไรหรอครับกระต่ายที่คุณเลี้ยงไว้หรอ” วิฬาร์ถามอย่างสงสัย นอกจากความน่ารักของมันวิฬาร์ก็ไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรได้เลย
   “ใช่ฉันเลี้ยงมันไว้” กนต์ธรตอบพลางลูบศีรษะเจ้ากระต่ายน้อย “เอาไว้ขี่เดินทางน่ะ”
   “เอ่อ…อย่าบอกนะครับว่าเราจะขี่เจ้านี่ไปโรงเรียนกันน่ะ” วิฬาร์ถามเสียงแผ่วตัวแค่นี้จะขึ้นขี่ได้ยังไงก่อน
   “ใช่เราจะเดินทางไปยังสถานีนาคราชด้วยเจ้านี่ส่วนโรงเรียนเธอจะต้องไปเองฉันมีธุระนิดหน่อย” กนต์ธรตอบ “เก็บสีหน้าที่กังวลนั่นแล้วโยนทิ้งไปเถอะเจ้าปุยนุ่น--หมายถึงกระต่ายตัวนี้น่ะมันไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่เธอคิดหรอกนะ” สิ้นเสียงเอ่ยของกนต์ธรเจ้ากระต่ายตัวเล็กก็ขยายร่างตัวใหญ่ในทันทีคราวนี้ตัวมันโตพอๆกับช้างแถมยังดูดุกว่าเดิมด้วยถึงจะนิดหน่อยก็เถอะนะ
   “ฮ่าๆๆ--ตะลึงเลยล่ะสิมาเถอะรีบขึ้นมาเดี๋ยวจะไปไม่ทันเที่ยวรถไฟนาคราช” กนต์ธรเอ่ยบอกทำให้วิฬาร์ที่ยืนตะลึงอยู่รีบขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้ากระต่ายขาวตัวยักษ์นี้ในทันที
   “เหวอ!” วิฬาร์ร้องเสียงหลงเพราะเมื่อเขานั่งลงบนตัวเจ้าปุยนุ่นตามที่กนต์ธรเรียกน่ะ ก็มีขนสีขาวๆของมันมารัดตัวเขาไว้ในทันที
   “ไม่ต้องตกใจหรอกแค่การรัดเราไม่ให้ร่วงจากหลังมันก็เท่านั้น” กนต์ธรเอ่ยอย่างกลั่นขำ
   เมื่อนั่งได้ที่แล้วเจ้าปุยนุ่นก็ค่อยๆทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าขนที่คล้ายปุยเมฆของมันเริ่มเปลี่ยนสภาพไปเป็นปีกที่ใหญ่โตก่อนจะบินขึ้นท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว วิฬาร์หันซ้ายแลขวาอย่างตื่นเต้น ให้ตายสินี่มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหมตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยได้นั่งกินลมชมวิวเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
   “เราน่าจะใช้เวลานานพอสมควรอยู่ในการเดินทาง ฉันจะพาเธอไปที่ร้านอาหารวิรัตน์ ที่นั่นมีประตูที่เชื่อมไปสู่สถานีรถไฟนาคราชได้” กนต์ธรบอก ดูจากลักษณะแล้วเด็กน้อยที่นั่งด้านหลังเขาคงจะหิวไม่ใช่เล่น ให้กินอาหารก่อนแล้วค่อยไปสถานีรถไฟก็แล้วกัน
   “ครับ—ผมชักอยากไปเร็วๆแล้วสิ” วิฬาร์ตอบอย่างสดใส
   การเดินทางค่อนข้างไวมากสำหรับวิฬาร์เพราะว่าไม่นานเท่าไหร่พวกเขาก็ออกมาจากนวไพรแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังลอยเหนือชุมชนที่ประหลาดตามากๆเพราะมีไฟ แสง สี ตึกราบ้านช่องเต็มไปหมด
   “พยายามอย่ากระโตกกระตากตอนนี้เราอยู่ในพื้นที่ของพวกมานพ” กนต์ธรบอก
   “มานพหรอครับ”
   “พวกที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้น่ะหรือจะเรียกมนุษย์ก็ได้ แต่ทางสำนักงานราชบัณฑิตยสภาเวทมนตร์ได้บัญญัติคำว่า มานพ สำหรับใช้เรียกพวกนี้แล้วเธอก็ควรจะใช้คำนี้” กนต์ธรที่เหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของวิฬาร์เอ่ยบอก
   “ครับผมจะเรียกเขาว่ามานพ” วิฬาร์ตอบก่อนที่กนต์ธรจะยิ้มอย่างพอใจแล้วหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา
   “ในทางกฎหมายแล้วเราควรจะไม่ให้พวกเขาเห็นเราเพราะฉะนั้นฉันจะใช้คาถาพรางกาย วิสัญญา” เมื่อร่ายคาถาเสร็จกนต์ธรก็เก็บไม้กายสิทธิ์ลงไปไว้ในกระเป๋าเหมือนดังเดิม
   การเดินทางดูเหมือนจะราบรื่นจนกระทั่งเจ้าปุยนุ่นร้องเสียงดังแล้วเปลี่ยนทิศทางอย่างว่องไวทำเอาวิฬาร์หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่มเพราะร่างกายเขาเหวี่ยงไปตามทิศทางของเจ้ากระต่ายยักษ์จนแทบจะร่วงหล่นลงมา
   “ปุยนุ่นใจเย็นๆแกเป็นอะไรเนี่ย” กนต์ธรเอ่ยถามพลางหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา
   “พวกมันคงรู้แล้วว่าเธอออกจากนวไพรคงกำลังตามล่าเธอแน่ๆ เจ้าปุยนุ่นมีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมันสามารถรู้ได้ว่าจะมีอันตรายรอเราอยู่หากไปด้านหน้านั่น” กนต์ธรเอ่ยเสียงสั่น
   “พวกไหนหรอครับ” วิฬาร์เอ่ยถามอย่างสงสัยนอกจากครอบครัวมนตรีแล้วมีคนอื่นที่เกลียดเขาด้วยหรอเนี่ย
   “เดี๋ยวไปถึงร้านอาหารฉันจะเล่าให้ฟังตอนนี้เธอเงียบๆไปก่อน” เป็นประโยคสนทนาสุดท้ายที่เราได้คุยกันเพราะหลังจากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ เป็นเวลาราวๆ 8 โมงเช้า เจ้าปุยนุ่นค่อยๆลดความเร็วลงทีละน้อยมันบินต่ำลงและหยุดอยู่ตรงพื้นดินบริเวณร้านค้าที่เขียนชื่อว่า WiRat Monta  มันมีโครงสร้างไม้แบบยุคกลาง ดูเก่าแก่และมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ตัวร้านมีขนาดกลาง ตั้งอยู่ท่ามกลางอาคารอื่น ๆ ของเมือง ซึ่งสีของร้านจะออกโทนหม่นและมืดกว่าตึกข้างเคียง ทำให้ร้านดูโดดเด่นและลึกลับมากขึ้นไปอีก จุดที่เด่นชัดก็คือป้ายชื่อร้านที่เขียนว่า "WiRat Monta" ซึ่งมันใหญ่อย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงจะดูสวยงามแต่ตัวอาคารไม้ก็มีสภาพเก่าและผุพังเล็กน้อยจากการใช้งานที่ยาวนาน
   “ที่นี่แหละเราเข้าไปกันเถอะ” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะหันไปร่ายคาถาพรางตาใส่ปุยนุ่นแล้วดึงแขนวิฬาร์เข้าไปในร้าน
   หลังจากที่เข้ามาในร้านแสงสีทองจากเทียนก็สว่างจ้ามากระทบกับสายตาวิฬาร์ในทันที ภายนอกร้านว่าเก่าแก่แล้วด้านในกลับเก่ากว่าตัวร้านตกแต่งด้วยไม้สีเข้มและมีลวดลายและร่องรอยที่แสดงถึงความเก่าแก่ ด้านบนมีโคมไฟเทียนแบบห้อยให้แสงสว่างสลัวๆ เพิ่มบรรยากาศอบอุ่นและดูลึกลับในคราวเดียวกัน ทางด้านเฟอร์นิเจอร์ไม้ทั้งหมดก็มีลักษณะเก่าแก่ โต๊ะไม้วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบที่ด้านในมีพ่อมดแม่มดจำนวนราวๆ 10 คนกำลังนั่งทานอาหารอยู่และแน่นอนพวกเขาทั้งหมดก็หันมามองที่ผู้มาเยือนคนใหม่ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนวิฬาร์กับกนต์ธรนั่นเอง
   “โอ้…นี่มันยอดเยี่ยมมากเราไม่ได้เจอกันมาซะนาน คิดถึงชะมัดกนต์ธร” ชายร่างกำยำไว้เคราดกเดินเข้ามาถามไถ่อย่างเป็นมิตรพร้อมกับยื่นแก้วชาให้
   “ฉันก็คิดถึงนายวิรัตน์--ดูท่าจะรวยแล้วสินะลูกค้าเข้าเยอะขนาดนี้” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะรับแก้วชามาถือไว้
   “ฮ่าๆๆ--ตั้งแต่เจ้านั่นหายไปร้านฉันก็ขายดีอย่างมากเลยล่ะ” วิรัตน์เอ่ยขึ้นมาทำให้วิฬาร์เอียงคอสงสัย เจ้านั่นอย่างนั้นหรือ คือใครกันนะ และดูเหมือนว่าการกระทำของคนตัวเล็กจะทำให้ชายวัยกลางคนสงสัยเข้า แต่เขาก็ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มกว้าง
   “แล้วนี่ใครกันไม่ยักรู้ว่านายมีลูก” วิรัตน์เอ่ยขึ้นทำให้กนต์ธรที่กำลังดื่มชาอยู่สำลักน้ำเลยทีเดียว
   “แค่กๆ--จะบ้ารึไงนี่นักเรียนที่จะเข้าเรียนใหม่ที่สยามมนตราฉันเลยพามากินข้าวที่ร้านนายก่อน” กนต์ธรเอ่ยบอก
   “ฮ่าๆๆ--ฉันรู้อยู่น่าแค่หยอกนายเล่น ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ” วิรัตน์หัวเราะก่อนจะหันมาหาวิฬาร์พร้อมเอ่ยคำถาม
   “วิฬาร์ครับ” เด็กหนุ่มหน้าหวานเอ่ยบอก
   “หืม..ชื่อนี้ทำไมมันดูคุ้นๆจังเลย” วิรัตน์ขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน แม้จะพึ่งเจอหน้าเด็กคนนี้เป็นครั้งแรกแต่ทำไมเขารู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก
   “เห้อ--ปิดไปก็เท่านั้นสินะ” กนต์ธรที่เห็นสายตาของเพื่อนที่มองมาทางเขาเอ่ยขึ้น “นี่แหละวิฬาร์ รัตนเวทย์”
   “คุณพระ! นี่มันวิเศษสุดๆไปเลย ไม่น่าเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่” วิรัตน์เอ่ยอย่างตื่นเต้นก่อนจะพุ่งเข้าไปจับมือของวิฬาร์
   “เธอรู้ไหม--ว่าเธอน่ะคือความหวังของเรา” วิรัตน์เอ่ยอย่างตื่นเต้น
   “เบาๆหน่อยวิรัตน์--เรายังไม่ควรบอกเขาตอนนี้” กนต์ธรเอ่ยปรามเพื่อนเคราดกของเขาก่อนที่จะเอ่ยอะไรที่ไม่เข้าท่าออกมา
   “นายก็รู้ร้านของฉันขาดทุนแทบตายก็เพราะเจ้านั่น--และฉันจะไม่มีวันให้อภัยมันแน่ๆ” วิรัตน์ตะโกนลั่นจนทุกคนหันมามองบริเวณที่พวกเขามองอยู่
   “เอ่อ--ขอถามหน่อยครับเจ้านั่นที่คุณว่าหมายถึงใคร” คราวนี้เป็นวิฬาร์ที่เอ่ยถามขึ้น
   “เฮ้อ--คงปิดเธอไม่ได้สินะ” กนต์ธรเอ่ยอย่างปลงๆก่อนที่วิรัตน์จะเอ่ยแทรกขึ้นมา
   “เจ้านั่นคือจอมมารมันชั่วช้ามากๆในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีใครเลวทรามได้เท่าเจ้านั่น และมันสาปตระกูลของเธอจนไม่มีใครรอดชีวิต” วิรัตน์เอ่ย
   “ไม่มีใครรอดชีวิต” วิฬาร์เอ่ยทวนคำพูดวิรัตน์อีกครั้ง
   “ไม่มีใครรอด มีเพียงเธอพร้อมกับจอมมารที่หายไปและทิ้งคำสาปเอาไว้ว่าจะกลับมาจัดการเธอเมื่ออายุ 19 ปี” กนต์ธรเอ่ยเสริม วิฬาร์ที่กำลังจะเอ่ยถามต่อแต่เมื่อเห็นกนต์ธรทำหน้าเป็นเชิงว่าเขาจะไม่ตอบอีกแล้ว วิฬาร์จึงเปลี่ยนประเด็น
   “เขาชื่ออะไรหรอครับ” วิฬาร์เอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะตั้งแต่ที่มีการพูดถึงจอมมารก็ไม่เคยมีใครเอ่ยชื่อให้เขาได้ยินเลยสักคน
   “ไม่มีใครพูดชื่อจอมมารได้--เขาร่ายคำสาปเอาไว้หากใครเอ่ยชื่อเขาคนผู้นั้นจะต้องเจ็บปวดทุรนทุรายหรือไม่ก็ตายไปเลยก็มี” กนต์ธรเอ่ยบอก
   “เขียนเอาได้ไหมครับผมอยากจะทราบจริงๆ” วิฬาร์ขอร้อง
   “ไม่มีปัญหา--เอ้านี่เอาไปอ่านซะฉันเขียนชื่อมันไว้แล้วจุดไฟเผาทุกวัน” วิรัตน์ยื่นกระดาษที่มีตัวอักษรสลักเอาไว้
   “ขอบคุณครับ” วิฬาร์รับกระดาษมา ก่อนจะมองดูตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษ ราวกับเขาถูกมนต์สะกดเพราะจู่ๆวิฬาร์ก็เอ่ยชื่อนั้นออกมา
   “อนันตวิราช” พลันสิ้นเสียงวิฬาร์ผู้คนก็แตกตื่นกันเสียยกใหญ่ กนต์ธรหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ทางด้านวิรัตน์ก็อึ้งไม่ต่างกัน แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้เอ่ยอะไร ประตูร้านก็ถูกพังทลายพร้อมกับบุคคลผู้มาเยือนใหม่ถึง 3 คน
   และจากการที่วิฬาร์ดู เดาได้เลยว่าไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน

ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สถานีนาคราช
   บรรยากาศในร้านวุ่นวายเป็นอย่างมากเหล่าพ่อมดแม่มดหนีตายกันจ้าละหวั่น มีเพียงกนต์ธร วิรัตน์และวิฬาร์เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวแต่เขาไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหนต่างหาก ผู้มาเยือนมีลักษณะที่น่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าใส่ชุดคลุมสีดำเข้ามีลวดลายกนกที่ดูสวยงามแต่มันกลับดูน่ากลัวในเวลานี้  พวกเขาสวมใส่เครื่องประดับศีรษะที่บ่งบอกได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจมากพอสมควร ใบหน้าของพวกเขานั้นเป็นปริศนาเพราะสวมใส่หน้ากากที่มีลักษณะคล้ายหัวกระโหลกปกปิดไว้
   “พวกเราเฝ้าตามหาเจ้ามาเนิ่นนานนัก” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังออกมาจากปากของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลาง พวกเขาทั้งสามคนค่อยๆเดินสำรวจไปทั่วบริเวณร้าน ในขณะเดียวกันกนต์ธรกับวิรัตน์ก็ถือไม้กายสิทธิ์ชี้ไปทางชายชุดดำที่กำลังเดินอยู่ เวลานี้วิฬาร์แน่ใจแล้วว่าแขกผู้มาเยือนทั้งสามเป็นผู้ชายทั้งหมด
   “หายหน้าหายตาไปซะนานนึกว่าแต่พวกแกลงนรกตามเจ้านายไปแล้วซะอีก” กนต์ธรกล่าวเยาะเย้ย
   “เก็บปากของแกไว้กินข้าวจะดีกว่ากนต์ธร ว่าแต่บาดแผลตรงหน้าแกช่างสวยงามจริงๆว่าไหมหึหึหึ” ชายชุดดำคนหนึ่งเอ่ยขึ้น จะว่าไปแล้วแผลของกนต์ธรก็ดูน่ากลัวจริงๆนั่นแหละ เพราะมันมีแผลเป็นคล้ายโดนมีดกรีดลากยาวบริเวณแก้มซ้าย
   “มันก็ไม่ใช่ฝีมือทายาทมรณะชั้นต่ำอย่างพวกแกก็แล้วกันฮ่าๆๆ” กนต์ธรหัวเราะลั่นจนพวกทายาทมรณะโมโหมันร่ายคาถาจู่โจมมาทางพวกเขาแต่วิรัตน์ป้องกันไว้ได้ เวลานี้แสงหลากหลายสีสันกำลังทะยานไปมาบนอากาศ
   “เธอรีบหนีไปทางด้านหลังวิฬาร์--เอ้านี่ตั๋วรถไฟนาคราชรีบไปให้ทันก่อนที่รถไฟจะออกล่ะ” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะหยิบตั๋วกระดาษหนึ่งใบยื่นใส่มือวิฬาร์
   “แต่ว่าคุณยัง”
   “ฉันไม่ตายง่ายๆหรอกน่า—เธอน่ะรีบไปได้แล้ว ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวจะมีคนคอยช่วยเหลือเธอที่นั่น” กนต์ธรเอ่ยก่อนจะดันหลังวิฬาร์ให้เข้าไปบริเวณด้านหลังร้านแล้วเขาก็หันไปสู้กับพวกทายาทมรณะต่อ
   วิฬาร์รีบวิ่งไปเปิดประตูหลังร้านอย่างรวดเร็ว พอประตูเปิดออกภาพที่เห็นก็คือป่าไม้ขนาดใหญ่ซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบเอาไว้ บรรยากาศค่อนข้างวังเวงแต่เขาก็ไม่กลัวอะไรอยู่ดี คงจะเป็นเพราะว่าที่นี่ไม่ได้น่ากลัวเท่านวไพรกระมัง
   วิฬาร์ก้มลงไปอ่านตั๋วรถไฟในมือ ซึ่งมีข้อมูลเขียนไว้อยู่ว่า
สถานีรถไฟนาคราช รอบที่ 1 เวลา 11.00 น.     
มุ่งหน้าสู่ สยามมนตราวิทยาคม โปรดเตรียมตั๋วให้พร้อม
เอ้อ…เหลือเวลามากพอสมควรเลยนะเนี่ยตอนนี้พึ่งจะ 09.30 น. เองดูเหมือนว่าเขาคงต้องหาอะไรทำ แน่นอนว่าวิฬาร์เป็นห่วงคุณกนต์ธรและวิรัตน์ไม่น้อย พวกทายาทมรณะดูท่าจะเก่งน่าดูไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง จะปลอดภัยไหมนะ
แสงสีแดงพุ่งเฉียดหน้าของวิฬาร์ไปหน่อยเดียวเท่านั้นมันกระแทกเข้ากับต้นไม้จนเหี่ยวเฉาไปต่อหน้าต่อตาของเขา วิฬาร์หันขวับไปทางด้านหลัง เขาพบเข้ากับทายาทมรณะที่มีสภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาโกรธแค้น ตอนนี้หน้ากากของมันหายไปแล้วเหลือแต่เพียงใบหน้าโหดเหี้ยมที่มีรอยบาดแผลเต็มไปหมด
“หึหึหึ--น่าเสียดายนะที่เจ้ากนต์ธรมันรีบไปทำธุระจนไม่ดูว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ฆ่าแกง่ายๆ” น้ำเสียงโหดเหี้ยมดังออกจากปากที่น่ารังเกียจของทายาทมรณะ
“ผมไปทำอะไรให้ทำไมคุณต้องอยากฆ่าผมด้วย” เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตัวเองถึงถูกตามล่าทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกับจอมมารเลยด้วยซ้ำ
“แกเป็นคนเดียวที่รอดจากเงื้อมมือนายท่านและในอนาคตแกจะต้องเป็นเสี้ยนหนามคอยขวางทางในการขึ้นสู่อำนาจของนายท่านอย่างแน่นอน”
“อนันตวิราชน่ะหรอนายท่านของคุณน่ะ” วิฬาร์เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยราวกับว่าชื่อที่เขาเอ่ยนั้นไม่ได้มีความน่ากลัวอะไรเลย
“หยุดเอ่ยนามนายท่านด้วยปากอันสกปรกของแกเดี๋ยวนี้!” เจ้าหน้าแผลแยกเขี้ยวก่อนจะร่ายคาถาสีแดงมาทางวิฬาร์ ในวินาทีที่วิฬาร์คิดว่าเขาต้องตายแน่ๆก็ปรากฎพืชพันธ์ขนาดใหญ่มาป้องกันเขาไว้
“หือ” เจ้าหน้าแผลครางในลำคอก่อนจะหันไปหาว่าใครกันที่มาช่วยวิฬาร์
“อยากเจอมานานแล้ว วิฬาร์ รัตนเวทย์” เสียงแหลมเอ่ยขึ้น เรียกให้ทั้งวิฬาร์และเจ้าหน้าแผลหันไปมอง บุคคลเจ้าของเสียงนั้นมีขนาดตัวที่เล็กราวๆ 75 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นต้นไม้ โดยที่ผมจะเป็นสีเขียวอ่อน ที่ลำตัวเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวปกคลุมร่างกายคล้ายกับเสื้อ ส่วนบริเวณขาเป็นสีน้ำตาลคล้ายเปลือกไม้
“แกเป็นใคร!” เจ้าหน้าแผลตะโกนลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว
“พฤกษ์ยังไงล่ะ ไม่รู้จักรึไง” เจ้าต้นไม้พูดได้ที่ชื่อพฤกษ์เอ่ยขึ้นอย่างยียวนกวนประสาท
“พวกเผ่าพฤกษาอย่างงั้นรึ--นายท่านกำจัดไปหมดแล้วนี่ทำไมยังเหลืออยู่ได้”
“เหลือพฤกษ์เป็นตัวสุดท้ายยังไงล่ะและแน่นอนว่าพฤกษ์จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายวิฬาร์เด็ดขาด” เสียงแหลมเสียดหูตะโกนขึ้นมา
“เหอะมั่นใจเสียจริงนะ—ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะเถอะ มรณัง ภวิสติ!” แสงสีแดงพุ่งเข้าหาร่างกายของพฤกษ์แต่เขาก็ไม่หวั่นเกรง พฤกษ์เรียกพืชพรรณขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกันคาถาได้ทันและยังใช้พลังควบคุมเถาวัลย์ไปมัดตัวเจ้าหน้าแผลได้อีกด้วย
“ปล่อยฉันนะเจ้าบ้า!” เจ้าหน้าแผลเอ่ยเสียงเขียวพลางดิ้นไปมาราวกับแมลงติดใยแมงมุม
“ไม่มีทางหลุดไปได้หรอกฮ่าๆๆ--ไปเถอะวิฬาร์จวนรถไฟจะออกแล้วเดี๋ยวพฤกษ์พาไปส่วนเจ้านี่น่ะพฤกษ์จะกลับมาจัดการเอง” ทั้งสองเดินจากไปปล่อยให้ทายาทมรณะที่กำลังหาทางหลุดจากพันธนาการกร่นด่าไล่หลัง
สีหน้าโกรธแค้นเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นหวาดกลัวหลังจากที่มีเสียงๆหนึ่งดังอยู่ในโสตประสาทของมัน
“ช่างน่าภูมิใจที่สมุนของข้าไม่สามารถทำอะไรศัตรูได้เลยมิหนำซ้ำยังทำเกินกว่าคำสั่งอีกด้วย” เสียงแหบพร่าแต่มีอำนาจเอ่ยขึ้น ไม่มีแม้แต่ร่างกายให้ใครเห็น ถึงกระนั้นก็ทำให้ทาเมอร์เลนหวาดกลัวจนตัวสั่น
“นายท่านได้โปรด--ขะ..ข้าจะจัดการมันได้อยู่แล้ว” เขาโอดครวญเสียงสั่น
“เจ้าไม่เคยจะจดจำได้เลยว่าข้าไม่ได้สั่งให้สังหารวิฬาร์ เขาเป็นของข้า เป็นผู้เดียวที่ข้าจะลงมือสังหารด้วยตนเอง” เสียงแหบพร่าฉายแววโกรธเกรี้ยวดังขึ้นอีกครั้ง
“นายท่านได้โปรดให้อภัยข้าเถิด” ทาเมอร์เลนอ้อนวอนเสียงสั่น
“ไม่มีการให้อภัยจากข้าทาเมอร์เลน” เสียงนั้นกล่าวปิดท้ายอย่างเยือกเย็นก่อนจะหายไป ทิ้งให้ทาเมอร์เลนร้องคร่ำครวญขออภัยอยู่อย่างนั้น
“นายท่านได้โปรด--อ็อก” ร่างกายของทาเมอร์เลนเริ่มบิดเบี้ยวและซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เขากรีดร้องลั่นและท้ายที่สุดก็กลายเป็นโครงกระดูกและสลายหายไป
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยชีวิตผมไว้” วิฬาร์เอ่ยขอบคุณเพื่อนตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังเดินนำทางเขาไปหารถไฟอยู่
“เป็นสิ่งที่พฤกษ์ควรทำอยู่แล้วและช่วยเรียกว่าพฤกษ์ด้วยนะครับ แทนตัวเองว่าฉันได้เลยพฤกษ์ชอบแบบเป็นกันเองครับ” ต้นไม้น้อยเอ่ยบอกพลางยิ้มกว้างโชว์ฟันสีขาวเรียงตัวอย่างสวยงาม
“ถ้าอย่างงั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ ว่าแต่ทำไมนายถึงมาช่วยฉันล่ะ” วิฬาร์เอ่ยถาม
“วิฬาร์คือคนสำคัญครับ” พฤกษ์เอ่ยพลางยิ้มร่า
“คนสำคัญอย่างงั้นหรอ” คนสำคัญอะไรกันนะตั้งแต่เกิดมา วิฬาร์ไม่เคยรู้จักกับพฤกษ์เป็นการส่วนตัวเลยด้วยซ้ำหรือว่าคุณชายมนตรีเคยแนะนำเขาให้พฤกษ์รู้จักกันนะ เอิ่ม…นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
“ใช่ครับ--คนสำคัญ ตระกูลรัตนเวทย์มีพระคุณต่อพฤกษ์ยิ่งนักและพฤกษ์จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายวิฬาร์เด็ดขาด” พฤกษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจก่อนที่เขาจะหยุดชะงักไป
“เอาล่ะ--ถึงสะทีสถานีนาคราช” เสียงพฤกษ์เอ่ยขึ้นมาดึงสติของวิฬาร์ให้หันไปดูที่บริเวณด้านหน้า
สถานีนาคราชมีทางเข้าที่สวยงามเป็นอย่างมาก รูปปั้นพญานาคสีเขียวมรกตที่อยู่ระหว่างทางเดินสองฟากฝั่งช่วยเสริมสร้างความเข้มขลังมิใช่น้อย บรรยากาศกลับเข้าสู่ภาวะปกติเสียงพูดคุยกันของเหล่าพ่อมดและแม่มดที่เดินทางมาส่งลูกของตัวเองเล่าเรียนดังเจื้อยแจ้วไปทั่วอาณาบริเวณ
“แม่หวังว่าลูกจะไม่ร่ายคาถาผิดจนถูกไล่ออกนะโอเวน” หญิงร่างท้วมคนหนึ่งเอ่ยบอกเด็กหนุ่มร่างผอม ผิวซีดที่ดูจะไร้เรี่ยวแรงดังเข้าโสตประสาทหูของวิฬาร์ มันยิ่งทวีความน้อยเนื้อต่ำใจให้เขาอีกเป็นหน้ากอง ให้ตายสิทำไมนะ พ่อกับแม่ถึงไม่อยู่กับเขาทำไมต้องให้เขาไปอยู่กับมัชชารนต์ที่เห็นแก่ตัวด้วย
“พฤกษ์ส่งได้แค่นี้นะวิฬาร์--ไว้มีโอกาสเราค่อยพบกันอีก” พฤกษ์เอ่ยบอกอย่างเศร้าๆ วิฬาร์ที่กำลังจะซักไซร้เหตุผลก็เป็นอันต้องหัวเสียเพราะพฤกษ์ได้มุดลงใต้ดินไปแล้ว ให้ตายสิจะอยู่ให้เขาถามอะไรสักหน่อยก็ไม่ได้
วิฬาร์เดินลงไปทางบันไดที่ดูเหมือนจะต่ำลงไปเรื่อยๆ ยิ่งลงไปต่ำมากเท่าไหร่เสียงน้ำไหลก็ดังขึ้นมากเท่านั้น และเมื่อลงไปบริเวณด้านล่าง วิฬาร์ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น พ่อมดแม่มดจำนวนมากเดินลากกระเป๋าพาลูกหลานหอบกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ รถไฟที่สถานีนาคราชไม่เหมือนรถไฟที่วิฬาร์เคยเห็นในรูปถ่ายที่ บ้านครอบครัวมนตรี มันเป็นรถไฟที่มีการผสมกันระหว่างพญานาคสีเขียวมรกตและรถไฟ  มิหนำซ้ำยังจอดอยู่บนผืนน้ำสีฟ้าสดใสอีกด้วย บริเวณประตูรถไฟที่เปิดออกมีสะพานไม้ทอดยาวมาเชื่อมกับชานชาลาที่วิฬาร์ยืนอยู่และดูเหมือนว่าจะใกล้เวลาที่เขาต้องเดินทางแล้ว
“ผู้โดยสารที่จะไปโรงเรียนสยามมนตราวิทยาคมขอให้รีบขึ้นรถไฟนาคราชโดยด่วนมิเช่นนั้นท่านจะได้ไปอีกทีในปีหน้า!” น้ำเสียงดุๆของนายสถานีดังขึ้นส่งผลให้ทุกคนรีบเดินขึ้นรถไฟ วิฬาร์สังเกตเห็นเด็กหนุ่มร่างท้วมร้องไห้ขี้มูกโป่งกอดลาคุณแม่ที่กำลังร้องไห้ไม่ต่างกันด้วยล่ะ
เขาเดินขึ้นมาหาที่นั่งที่ว่างที่สุดก็ปรากฎว่าได้ที่นั่นบริเวณด้านหลังสุด วิฬาร์ไม่รอช้ารีบเดินไปนั่งที่เบาะลายเกล็ดพญานาคในทันที บริเวณที่นั่งมีเบาะนั่งสองเบาะที่อยู่ตรงข้ามกันและมีโต๊ะขนาดกลางคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเบาะ หน้าต่างด้านขวาไม่สามารถเปิดได้เป็นเพียงกระจกที่สามารถมองเห็นภาพด้านนอกได้เท่านั้น
วิฬาร์นั่งได้ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มหน้าหวานสองคนเดินเข้ามาขอนั่งด้วย คนหนึ่งชื่อ รามเป็นหนุ่มหน้าหวานไว้ผมทรงแสกกลางสีดำ  และอีกคนชื่อ เหมันต์ เป็นหนุ่มแว่น ผมหยักศกสีฟ้า ใบหน้าของทั้งสองคนวิฬาร์บอกได้คำเดียวว่าน่ารักและสวยกว่าผู้ชายด้วยกันพอสมควร
“นะ--นายคือวิฬาร์จริงๆหรอ” รามเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก
“อื้อ--ฉันวิฬาร์” วิฬาร์ตอบพลางสงสัยว่าเพื่อนใหม่หน้าหวานถามเขาทำไม
“คุณพระช่วย!--เป็นเขาจริงๆด้วยเด็กคนเดียวของตระกูลรัตนเวทย์ที่ยังมีชีวิตอยู่” รามเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ดีใจจังที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย” คราวนี้เป็นเหมันต์ที่เอ่ยขึ้นพลางขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น
“ฉันก็ดีใจแต่ต้องบอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้เก่งอะไรมากนักหรอก” วิฬาร์เอ่ยบอก เขาไม่อยากให้เพื่อนของเขามีความคาดหวังว่าเขาจะเป็นคนคอยช่วยเหลือเพื่อนในการเรียนเพราะเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรเรียกได้ว่านอกจากตระกูลแล้วตัวของเขาก็ไม่มีอะไรดีเลยเสียด้วยซ้ำ เขาเคยพูดคุยกับกนต์ธรอยู่เหมือนกันเลยทำให้พอทราบว่าตระกูลของเขาดังขนาดไหน
“ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องฝึกฝนทั้งนั้นแหละไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอกนะวิฬาร์” รามเอ่ยบอกให้วิฬาร์สบายใจว่าเขาไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องการเรียนของวิฬาร์
“ขอบใจนะ” วิฬาร์ยิ้มจนตาหยี ก่อนที่จะรีบหาที่จับไว้เนื่องจากรถไฟเริ่มเคลื่อนไหวลงไปใต้น้ำ
“ว้าว--นี่มันอย่างกับในฝันแหนะ” เหมันต์เอ่ยขึ้นพลางเกาะกระจกมองทัศนียภาพใต้น้ำที่รถไฟนาคราชวิ่งผ่าน พวกเขาเห็นพญานาคหลายตนกำลังว่ายน้ำเล่นไปมาอย่างมีความสุข
“ดูเหมือนว่าจะมีพญานาคมากมายเลยนะเนี่ย” รามเอ่ยบอกเหมันต์ที่กำลังตาลุกวาวอยู่บริเวณกระจก
“สุดยอดเลยนายว่าไหมฉันเคยได้ยินแต่พี่เล่าไม่คิดเลยว่าพอได้มาเห็นจริงๆจะสวยงามขนาดนี้” เหมันต์เอ่ยก่อนจะหันไปชวนวิฬาร์คุยบ้าง
“นี่ วิฬาร์ นายเคยได้ยินไหมว่าห้องพักที่สยามมนตราวิทยาคมหรูขนาดไหน” เหมันต์ถามขึ้นพลางผลักแว่นที่ไถลลงมาบนจมูกตัวเองขึ้นไป
“ไม่เคยหรอก” วิฬาร์ตอบตามตรง “แต่ดูเหมือนพวกนายจะรู้เยอะเลยนะ”
“แน่นอนสิ! ฉันอ่านมาจากหนังสือ ‘รู้จักสยามมนตราให้มากขึ้น’ ของศาสตราจารย์พินธารเองล่ะ” เหมันต์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เขาบอกว่าห้องพักนักเรียนมีระบบเวทมนตร์ที่สามารถปรับบรรยากาศได้ตามอารมณ์ของผู้พัก เช่น ถ้านายเครียด ผนังห้องจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเย็น ๆ หรือถ้านายเบื่อ มันอาจเปลี่ยนเป็นสีรุ้งหรือเพิ่มกลิ่นดอกไม้”
“แถมยังมีหุ่นไม้เวทมนตร์คอยดูแลความสะอาดด้วยนะ” รามเสริม “ฉันล่ะตื่นเต้นอยากไปดูให้เห็นกับตาแล้ว!”
วิฬาร์ยิ้มบาง ๆ “ฟังดูดีนะ ฉันไม่คิดว่าจะมีโรงเรียนที่ใส่ใจนักเรียนขนาดนี้”
“ก็ไม่แปลกหรอก” รามว่า “ที่นี่มีคณาจารย์เก่ง ๆ หลายคนเลยนะ อย่างศาสตราจารย์เลคดาฟ เห็นว่าเคยสู้กับจอมมารตัวเป็น ๆ มาแล้วด้วย เขาได้ฉายาว่าดรรชนีเหล็กด้วยล่ะ”
“ฉันเคยได้ยินว่าศาสตราจารย์เลคดาฟเป็นคนเข้มงวด” เหมันต์พูดพลางขมวดคิ้ว “มีนักเรียนคนหนึ่งร่ายคาถาไม่ถูกต้องในชั้นเรียน แล้วเขาลงโทษให้นักเรียนคนนั้นลอกหนังสือคาถา 100 หน้าเป็นภาษามนตราโบราณ!”
วิฬาร์เบิกตากว้าง “นั่นโหดไปหน่อยไหม”
“ก็ถือว่าเป็นบทเรียนล่ะนะ” รามว่า “พูดถึงคาถา นายเคยใช้คาถาอะไรได้บ้าง วิฬาร์?”
วิฬาร์ส่ายหน้า “ไม่เลยฉันอยู่ที่นวไพร--มิหนำซ้ำยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นพ่อมด”

“คุณพระช่วย?” เหมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “นี่นายใช้ชีวิตร่วมกับมัชชารนต์มาตลอดเลยหรอเนี่ย--เป็นยังไงบ้างปลาที่นั่นอร่อยไหม”
“ฉันไม่เคยได้กินหรอก” วิฬาร์พูดเบา ๆ “อาหารอย่างดีก็แค่หญ้าหวานเท่านั้น” คุณชายมนตรีน่ะไม่เคยให้เขากินอาหารดีๆหรอกนะตั้งแต่เกิดมา
“นั่นแย่มากแต่ไม่ต้องห่วง” รามยิ้ม “ฉันจะพานายตระเวนกินอาหารในโลกเวทมนตร์ให้อร่อยเลย”
บทสนทนายังคงดังอยู่อย่างไม่ขาดสายจนรถไฟนาคราชพุ่งทะยานเหนือผิวน้ำและจอดเทียบสะพานไม้ขนาดใหญ่ในที่สุด บรรดานักเรียนต่างทยอยลงจากรถไฟ พวกวิฬาร์ลงมาถึงเกือบคนท้ายๆ เบื้องหน้าของเขามีกนต์ธรยืนอยู่ วิฬาร์โล่งใจยิ่งนักที่เห็นว่ากนต์ธรไม่ได้มีบาดแผลอะไร
“ยินดีต้อนรับนักเรียนทุกคน การมุ่งหน้าไปยังสยามมนตราจะต้องผ่านทะเลสาบมนตราไปก่อนซึ่งมันค่อนข้างอันตรายสำหรับพวกเธอเพราะฉะนั้นเราจะบินไปกัน” กนต์ธรเอ่ยเสียงเรียบ เอ…บินไปอย่างนั้นหรอจะว่าไปแล้วเจ้าปุยนุ่นตัวเดียวจะพาเราไปทั้งหมดได้ไงเนี่ย ราวกับว่ากนต์ธรล่วงรู้ความคิดของวิฬาร์เพราะเขาได้เอ่ยต่อมาว่า
“สิ่งที่จะพาเราข้ามทะเลสาบไปยังปราสาทสยามมนตราได้นั้นเป็นสัตว์วิเศษที่อาศัยที่หิมพานต์” กนต์ธรเอ่ยพลางยิ้ม “นี่คือนกหัสดีลิงค์อย่าเล่นแผลงๆอะไรบนหลังพวกมันล่ะ” นักเรียนใหม่มองนกยักษ์ขนาดมหึมาหลายตัวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา มันเป็นสัตว์ที่มีขนาดมหึมามาก มีลักษณะผสมของสัตว์สี่ชนิด คือ ลำตัวเป็นนก ใบหน้าเป็นสิงห์ จะงอยปากเป็นงวงช้าง เขี้ยวหน้าเป็นงา มีหางเป็นหงส์ วิฬาร์ยอมรับเลยว่านี่คงจะเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“เอ้า—มัวแต่ตะลึงอยู่ได้รีบขึ้นมาบนหลังพวกมันได้แล้ว ระวังอย่าไปดึงขนมันแรงเกินไปด้วยล่ะ” สิ้นเสียงของกนต์ธรเหล่านักเรียนทั้งหลายก็ขึ้นไปนั่งบนหลังนกหัสดีลิงค์ เนื่องจากนกหัสดีลิงค์มีขนาดตัวที่ใหญ่มากทำให้เหล่านักเรียนใหม่สามารถขึ้นไปนั่งได้หลายคน
“นี่มันสุดยอดไปเลยนะเนี่ย” เหมันต์เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นหลังจากที่นกหัสดีลิงค์พาพวกเขาบินขึ้นสู่อากาศ
“ระวังหน่อยเหมันต์เดี๋ยวก็ร่วงลงทะเลสาบพอดี” วิฬาร์เอ่ยบอกอย่างห่วงใย จะไม่ให้เขาห่วงได้ไงก็เหมันต์เล่นชะโงกหน้ามองลงไปด้านล่างจนแทบจะร่วงลงไปอยู่แล้ว
ปราสาทหินผสมไม้ขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตาของพวกเขามันเป็นปราสาทหินและไม้สีน้ำตาล มีลวดลายกนกที่สวยงามแบบไทยๆ รอบๆตัวปราสาทมีอาคารน้อยใหญ่ล้อมรอบอยู่ถึง 4 อาคาร และมีผืนหญ้าเขียวขจีประดับอยู่บริเวณด้านหน้าปราสาท นกหัสดีลิงค์ค่อยๆลดระดับความสูงลงและลงไปยืนอยู่ที่พื้นหญ้าได้สำเร็จ นักเรียนทุกคนค่อยๆลงจากหลังนกยักษ์ช้าๆแล้วเดินตามหลังกนต์ธรที่เดินจ้ำอ้าวนำพวกเขาไปไกลแล้ว
“ความตื่นเต้นรอพวกเธออยู่หลังประตูไม้นี้” กนต์ธรเอ่ยบอก ประตูที่อยู่ตรงหน้านักเรียนทุกคนเป็นประตูไม้สักที่มีลวดลายกนกแบบไทยสลับซับซ้อนอย่างสวยงาม
“พร้อมนะ” กนต์ธรหันหลังไปถามนักเรียนใหม่ที่ยืนตะลึงในความงดงามของปราสาทอยู่ เมื่อถูกถามไปแล้วนักเรียนทั้งหลายก็สะดุ้งก่อนจะตั้งสติได้แล้วพยักหน้าหงึกๆเป็นเสียงเดียวกัน
กนต์ธรยิ้มมุมปากก่อนจะเคาะประตูปราสาทไปตามมุมต่างๆ ไม่นานนักประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นหน้าของพ่อมดที่มีอายุคนหนึ่งที่ทำหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้ว่าวิฬาร์จะมองผ่านๆแต่เขาก็รู้ได้เลยว่าไม่ควรไปทำให้เขาไม่พอใจ


ออฟไลน์ Wavena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
   
บทที่ 6 สยามมนตราวิทยาคม

ประตูไม้เปิดออกเผยให้เห็นพ่อมดร่างท้วมผมสีน้ำตาลแดงยืนกอดอกมองพวกเขาอยู่ด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ได้ยาก รอยแผลเป็นยาวลากผ่านจากคิ้วซ้ายของเขา ผ่านสันจมูกจนถึงคางขวา สร้างความรู้สึกหวาดเกรงปนสงสัยแก่ผู้พบเห็น
   “พามาแล้วสินะ” พ่อมดชรากล่าว
   “ครับ พึ่งมาถึงตะกี้นี้เอง” กนต์ธรรายงาน
   “ขอบใจนายมาก” เขากล่าว “ยินดีที่ได้พบพวกเธอ ฉันศาสตราจารย์เลคดาฟเป็นอาจารย์ที่นี่ถึงจะยังไม่ถึงปีก็เถอะ” เลคดาฟเอ่ยขึ้น ก่อนจะมีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของนักเรียนปีหนึ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
   “เป็นเขาจริงๆด้วย” รามเอ่ย
   “ใครหรอ” วิฬาร์ถามอย่างสงสัย อย่าว่าเขาโง่เลยก็เขาไม่เคยรับรู้เรื่องภายนอกเลยนี่นา
   “ประธานสมาคมพ่อมดบริสุทธิ์น่ะ เป็นสมาคมที่ต่อต้านพวกทายาทมรณะ ว่ากันว่าเขาเป็นพ่อมดที่แข็งแกร่งมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ--ขาทั้งสองข้างของเขาสังเวยไปในสงครามเวทมนตร์ครั้งที่ 2 มิหนำซ้ำนิ้วชี้ขวาของเขาก็หายไปจนได้ไม้กายสิทธิ์มาไว้แทนนิ้วชี้เท่ห์สุดๆไปเลยล่ะ” รามเอ่ยบอกอย่างตื่นเต้น
   จะว่าไปแล้วศาสตราจารย์เลคดาฟก็เท่ห์จริงๆนั่นแหละเพราะนิ้วชี้ข้างขวาของเขาไม่ใช่เนื้อหนัง แต่เป็นแท่งไม้สีดำสนิทประดับด้วยอักษรแปลกๆซึ่งเรืองแสงสีฟ้าอ่อน ดูเหมือนกับว่าเป็นไม้กายสิทธิ์ที่เขาสามารถควบคุมได้ดั่งอวัยวะหนึ่งในร่างกาย
   “อะแฮ่ม--ดูเหมือนพวกเธอจะไม่รู้จักคำว่าเงียบนะ” เลคดาฟว่าเสียงดุ แล้วบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขาเปิดประตูให้กว้างออกก่อนจะพานักเรียนใหม่เดินเข้าไปด้านใน วิฬาร์ได้ยินเสียงดังกระหึ่มราวกับคนเชียร์กีฬาอยู่ในห้องด้านหน้าที่ศาสตราจารย์เลคดาฟกำลังจะเปิดออกแต่เขาก็ชะงักไปก่อนจะหันมามองนักเรียนใหม่
   “เกือบลืมไป--ยินดีต้อนรับพวกเธอสู่สยามมนตราวิทยาคม” ศาสตราจารย์เลคดาฟกล่าว วิฬาร์สังเกตเห็นว่าเขาส่งสายตาดุๆไปให้นักเรียนที่กำลังคุยกันอยู่ทางด้านหลังจนนักเรียนพวกนั้นรีบหยุดคุยในทันที “ก่อนที่เธอจะได้เรียนเธอจำเป็นต้องมีเรือนอยู่เสียก่อน--สยามมนตรามีเรือนมากถึง 5 หลัง แต่ละหลังจะมีความแตกต่างกันอยู่”
   “เรือนหลังแรกคือ คชสีห์ นักเรียนในเรือนคชสีห์มักมีความเป็นผู้นำ กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว พวกเขามีจิตใจหนักแน่น พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวม ในร่างกายมีเวทมนตร์ป้องกันและการต่อสู้ที่สูง เรือนหลังที่สองคือ เรือนกินนรี นักเรียนในเรือนนี้มีจินตนาการสูง และมักเป็นศิลปินหรือผู้คิดค้นสิ่งใหม่มีเสน่ห์ในตัวเอง เข้าใจความงดงามของเวทมนตร์ในรูปแบบที่ละเอียดอ่อน สายเลือดของพวกเขาจะมีเวทมนตร์เกี่ยวกับการรักษาและศิลปะที่สูงกว่าใคร” ศาสตราจารย์เลคดาฟพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“เรือนครุฑ นักเรียนในเรือนนี้มักมีพลังงานเหลือล้น เป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ แม้จะดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อคนที่รักและเคารพ นักเรียนในเรือนนี้จะมีเวทมนตร์โจมตีและการเสริมพลังที่สูงมาก ต่อไปคือ เรือนอัปสรสวรรค์ นักเรียนในเรือนนี้มักมีความเมตตา ใจเย็น และรอบคอบ พวกเขามีความเข้าใจผู้อื่นและมองเห็นความจริงได้ดี ถนัดในเรื่องของเวทมนตร์เกี่ยวกับจิตใจและการรักษาความสมดุล สุดท้ายคือ เรือนเหรา นักเรียนในเรือนเหรามักฉลาด เจ้าเล่ห์ และมีไหวพริบ พวกเขาเป็นนักวางแผนและสามารถแก้ปัญหายากๆ ได้อย่างชาญฉลาด เขาถนัดในเวทมนตร์แห่งภาพลวงตาและการควบคุม เรือนทั้งห้านี้จะสะท้อนถึงบุคลิกและความถนัดของพวกเธอ”
“เมื่อก่อนการที่จะให้พวกเธอไปประจำอยู่เรือนไหนนั้นมักใช้การสุ่ม จนกระทั่งสมัยอยุธยาของพวกมานพ เราได้พบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์พิธีหนึ่งทางพ่อมดจึงได้นำเอามาปรับใช้กับโลกเวทมนตร์เพื่อคัดเลือกพวกเธอเข้าสู่เรือน ขอให้อดใจรออีกสักหน่อยเดี๋ยวฉันมา” ศาสตราจารย์เลคดาฟกล่าวก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าไปในห้องทิ้งให้นักเรียนทั้งหลายยืนงงกันเป็นแถบ
“นายว่าเขาจะคัดเลือกเรายังไงหรอ” รามกระซิบกระซาบถามเหมันต์
“พี่ชายฉันบอกว่า--ค่อนข้างเจ็บตัว บางครั้งให้นกแสกมาจิกไม่ก็จับเข้าเครื่องตัดหัวแต่ฉันว่านั่นเป็นเรื่องโกหก”
ราวกับหัวใจจะหลุดออกจากทรวง คัดเลือกเนี่ยนะ ตั้งแต่เกิดมานอกจากทำงานบ้านให้พวกมนตรี วิฬาร์ก็ไม่เคยทำอย่างอื่นเลยเสียด้วยซ้ำ เวทมนตร์น่ะหรืออย่าหวังเลยเขาไม่เคยร่ายคาถาเลยแม้แต่ครั้งเดียว บรรยากาศที่เงียบสงบเพราะความตื่นเต้นของเหล่านักเรียนทำให้ได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนขึ้น ห้องด้านหน้าของพวกเขามีเสียงพูดคุยกันดังสนั่น ถ้าให้เดาคงจะเป็นพวกรุ่นพี่นั่นแหละ
เสียงประตูเปิดออกราวกับเสียงกระซิบของมัจจุราชที่จะพาวิฬาร์ไปสู่ความอับอายในอนาคตอันใกล้ ศาสตราจารย์เลคดาฟเดินออกมาพลางสอดส่ายสายตาไปทั่วอาณาบริเวณ
“จัดเครื่องแต่งกายให้ดี พิธีคัดเลือกจะเริ่มแล้ว” เสียงเลคดาฟดังขึ้น “ตามฉันมา จัดแถวให้ดีอย่าให้เขาเห็นว่าพวกเธอไร้ระเบียบวินัย”
วิฬาร์เดินตามหลังรามและเหมันต์ เวลานี้พวกเขากำลังเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ให้ตายสินี่มันราวกับความฝัน วิฬาร์สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นสถานที่ไหนมีความสวยงามขนาดนี้มาก่อน โต๊ะยาว 5 โต๊ะมีลักษณะโค้งเป็นวงกลมมาบรรจบกัน แกะสลักด้วยลวดลายของสัตว์ถ้าจะให้เดาคงเป็นสัตว์ของเรือนนั่นแหละ เขาเห็นลวดลายครุฑด้วยล่ะ เพดานสูงตระหง่านจนไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะขึ้นไปยังไง เทียนทั้งหลายส่องแสงสว่างจนหาจุดมืดไม่เจอ เบื้องหน้าของพวกเขามีคณาจารย์นั่งอยู่มากมายหนึ่งในนั้นคือ คุณกนต์ธร ศาสตราจารย์เลคดาฟมาพวกเขามาหยุดอยู่ตรงกลางนักเรียนนับร้อยที่กำลังมองมาที่เขาอย่างสนใจ
ศาสตราจารย์เลคดาฟเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าขั้นบันไดขั้นแรกซึ่งมันจะนำไปสู่แท่นพิธีอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นวงกลมมีลวดลายกนกตกแต่งอยู่ในวงกลมนั้น อีกทั้งยังมีแสงสีทองส่องสว่างอีกด้วย
“นี่คือแท่นศิลาเวทมนตร์--เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กับเรามาเนิ่นนาน เมื่อใดก็ตามที่เธอเดินขึ้นมาด้านบนศิลา มันจะเผยเรือนที่เธอควรจะอยู่ให้เธอได้รู้เอง” ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ย ก่อนที่เขาจะยกนิ้วชี้ขวาขึ้นมาร่ายคาถาบางอย่าง จากนั้นแก้วสีทองหลายใบก็ลอยละลิ่วมาเข้ามือนักเรียนปี 1 ทุกคน
“เพื่อให้เวทมนตร์ในร่างกายเธอมีความชัดเจนขึ้น--พวกเธอต้องดื่มน้ำสัตยเวทย์พิพัฒยคม1 เสียก่อนแม้รสชาติมันจะไม่น่าอภิรมย์นักแต่ฉันคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเธออย่างแน่นอน” เมื่อศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยจบนักเรียนใหม่ทั้งหลายก็ยกแก้วขึ้นมากระดกจนหมด วิฬาร์แทบจะอ๊วกออกมาโชคดีนักที่เขาจะอดทนเอาไว้ได้ น้ำนี้มีรสชาติขมชะมัด คงไม่ต้องถามใครคนอื่นเพราะดูจากสีหน้าแต่ละคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“ฉันจะเรียกพวกเธอทีละคนนะ--เตรียมตัวให้ดีล่ะ เมื่อเรียกแล้วให้เธอเดินขึ้นไปยืนตรงกลางศิลา จุดที่เป็นวงกลมใหญ่ๆนั่นแหละ” ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยก่อนที่นักเรียนทุกคนจะพยักหน้าหงึกๆ
เสียงในห้องโถงเงียบสงัดลงอย่างพร้อมเพรียง เมื่อศาสตราจารย์เลคดาฟเปิดม้วนกระดาษที่มีชื่อของนักเรียนรุ่นใหม่
“คนแรก... พชร เวทย์ภาษิต”
เด็กชายผิวคล้ำ ร่างผอมบาง ใบหน้าจริงจังเดินออกมาจากแถว วิฬาร์จับสังเกตได้ว่าพชรมีแววตาที่มุ่งมั่นและกล้าหาญ เขาก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นศิลาเวทมนตร์ เสียงกระซิบจากรุ่นพี่ดังขึ้นเบาๆ ทั่วทั้งห้อง
“ขอให้ได้เรือนคชสีห์เถอะ...” สาบานว่าเบาแล้ว ให้ตายเถอะวิฬาร์ยังได้ยินเลย
ทันใดนั้น ลวดลายของศิลาก็เปล่งแสงสีทองสดใส ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงอันร้อนแรง เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นเมื่อศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยเสียงดัง
“เรือนคชสีห์!”
พชรยิ้มกว้าง รุ่นพี่เรือนคชสีห์พากันลุกขึ้นโห่ร้องอย่างยินดี พวกเขาพากันยืนขึ้นตบมือและโบกมือเรียก พชรเดินกลับลงมาอย่างภาคภูมิใจและตรงไปนั่งรวมกับรุ่นพี่ในเรือนของเขา
“คนต่อไป... เกศินี อัครเวทย์”
เด็กสาวร่างเล็ก ผิวขาวเนียน ใบหน้ารูปไข่ประดับด้วยดวงตากลมโตลุกขึ้นยืน เธอดูประหม่าเล็กน้อยขณะเดินไปยังแท่นศิลา ทันทีที่เธอเหยียบแท่นศิลา แสงสีฟ้าครามอ่อนโยนก็ส่องประกายไปรอบๆ
“เรือนกินนรี!”
เสียงกรี๊ดเบาๆ ดังขึ้นจากฝั่งของเรือนกินนรี เหล่ารุ่นพี่หญิงชายพากันปรบมือพร้อมรอยยิ้ม เกศินีโค้งเล็กน้อยก่อนเดินลงมาสมทบกับกลุ่มรุ่นพี่
ศาสตราจารย์เลคดาฟยังคงเรียกชื่อต่อไปเรื่อยๆ เด็กแต่ละคนต่างมีความตื่นเต้นจนแทบจะยืนไม่อยู่กับที่
“คนต่อไป... ธนวัฒน์ ศักดาเวทมนตร์”
เด็กชายรูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้ง เดินออกมาจากแถวอย่างมั่นใจ ใบหน้าคมคายแฝงด้วยรอยยิ้มกึ่งท้าทาย เขาก้าวขึ้นไปบนแท่นศิลาเวทมนตร์ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง ศิลาเริ่มเปล่งแสงสีทองอ่อน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเงินวาววับ ประกายแสงนั้นระยิบระยับเหมือนปีกครุฑขณะบินในท้องฟ้า
“เรือนครุฑ!” ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ย
เสียงเชียร์จากรุ่นพี่เรือนครุฑดังสนั่น รุ่นพี่ชายหญิงลุกขึ้นปรบมือส่งเสียงแสดงความยินดี ธนวัฒน์ยิ้มกว้าง เดินลงจากแท่นศิลาด้วยท่าทางมั่นใจ ก่อนจะตรงไปนั่งกับรุ่นพี่ของเขาที่ยืนขึ้นยกนิ้วโป้งมาให้
“คนต่อไป... พิมพ์ผกา นันทยาคมเวทย์”
เด็กสาวรูปร่างเล็ก ผิวขาวอมชมพู ใบหน้าอ่อนหวาน เธอเดินออกไปยังแท่นศิลาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แสงสีเขียวอ่อนเปล่งประกายออกมาจากศิลาอย่างนุ่มนวล ราวกับแสงนั้นอบอุ่นและปลอบโยน
“เรือนอัปสรสวรรค์!” เลคดาฟเอ่ยแผ่วเบา
เสียงปรบมือดังขึ้นจากกลุ่มเรือนอัปสรสวรรค์ เด็กสาวเดินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูโล่งใจ และตรงไปนั่งรวมกับกลุ่มรุ่นพี่ที่ต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยชื่อถัดไปเรื่อยๆ ผู้ที่ถูกคัดเลือกแต่ละคนต่างได้รับการต้อนรับจากเรือนที่เหมาะสม
“ราม วัชรกุลเวทย์” คราวนี้เป็นราม เขาเดินขึ้นไปอย่างมั่นใจก่อนจะหยุดยืนและส่งสายตาแน่วแน่มาทางทุกคน
แสงจากศิลาปะทุขึ้นอีกครั้ง มันไม่ต่างอะไรจากพิมพ์ผกาเลยแม้แต่น้อย ศาสตราจารย์เลคดาฟประกาศเสียงดังอีกครั้ง
“เรือนอัปสรสวรรค์!”
เสียงเชียร์ดังจากฝั่งเรือนอัปสรสวรรค์อีกครั้ง รามเดินกลับลงมาด้วยท่าทีมั่นใจ ก่อนจะตรงไปนั่งรวมกับรุ่นพี่อย่างร่าเริงชูนิ้วให้เขากับเหมันต์ว่าสู้ๆ
“เหมันต์ อนุรักษ์เวทย์ไทย” หนุ่มหน้าหวานขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินไปยืนบนศิลา
“เรือนอัปสรสวรรค์!” ศาสตราจารย์เลคดาฟกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง น่าอิจฉาชะมัดที่เหมันต์ได้อยู่กับรามนี่ถ้าเขาไม่ได้อยู่เรือนอัปสรสวรรค์ เขาจะทำยังไงดีนะ
เสียงเชียร์ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากทราบผล รามที่นั่งอยู่ก่อนหน้ายกมือขึ้นโบกให้เพื่อนสนิทของเขา เหมันต์เดินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะไปนั่งข้างราม
ศาสตราจารย์เลคดาฟเรียกชื่ออื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชื่อที่ทุกคนในห้องต่างจับจ้อง
“วิฬาร์ รัตนเวทย์” เสียงจากศาสตราจารย์เลคดาฟชวนให้ใจเต้นไม่น้อย เวลานี้สายตาทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา วิฬาร์รู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะสายตาจากชายหนุ่มรุ่นพี่จากเรือนคชสีห์ ไม่รู้ทำไมทันทีที่ได้จดจ้องกับสายตารุ่นพี่คนนั้นเขาถึงรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ไม่ทันที่วิฬาร์จะได้คิดอะไร ศาสตราจารย์เลคดาฟก็เรียกชื่อเขาด้วยเสียงต่ำๆ ซึ่งมันบ่งบอกได้ว่าเขาควรรีบขึ้นไป วิฬาร์ก้าวขาขึ้นบันไดได้ราวๆ 5 ขั้น เขาก็ถึงจุดหมาย เขายืนรอฟังผลการคัดเลือกด้วยใจที่จดจ่อ
ทว่าศิลากลับไม่มีแสงอะไรขึ้นมา เหล่าคณาจารย์และนักเรียนทั้งหลายต่างสงสัยและจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานนักก็มีเสียงดังมาจากศิลาก็
“น่าตกใจจริง... ข้าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน วิฬาร์เหมาะสมกับทุกเรือน!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบห้องโถง ทุกคนต่างมองวิฬาร์อย่างอึ้งๆ ศาสตราจารย์เลคดาฟขมวดคิ้ว
เสียงซุบซิบดังขึ้นมาในทันที
“ศิลา--ศิลามันพูดได้” นักเรียนรุ่นพี่ผมฟูจากเรือนเหราเอ่ยขึ้น
“โห--กี่ร้อยปีมาแล้วที่ศิลาไม่เคยพูด” หญิงสาวจากเรือนกินนรีเอ่ยขึ้น ไม่นานนักเสียงจากศิลาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แต่ถึงอย่างไร... ศิลาได้ตัดสินใจแล้ว วิฬาร์ รัตนเวทย์ ต้องไปอยู่ที่...”
ทุกคนเงียบอย่างลุ้นๆ
“เรือนอัปสรสวรรค์!”
เสียงปรบมือและเสียงเชียร์จากเรือนอัปสรสวรรค์ดังลั่น ห้องโถง วิฬาร์เดินลงจากแท่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขาเห็นรามและเหมันต์ยกมือขึ้นเรียกเขาให้ไปนั่งด้วยกัน วิฬาร์ยิ้มบางๆ และเดินไปหาพวกเขา
“ไชโย--เราได้วิฬาร์มาร่วมเรือน--คราวนี้แหละการแข่งขันกีฬาเรือนเราต้องได้แชมป์” เสียงจากรุ่นพี่คนหนึ่งในอัปสรสวรรค์เอ่ยขึ้น
   “ทุกคนเงียบ--ผู้อำนวยการโรงเรียนจะทักทายพวกเธอ” เป็นเสียงของศาสตราจารย์เลคดาฟที่ดังขึ้นที่ช่วยให้บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง
   ศาสตราจารย์ปรเมศวร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางห้องโถง เขายิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันทุกซี่
   “สวัสดี” เขากล่าว “ฉันดีใจอย่างยิ่งที่ได้พบนักเรียนปี 1 พวกเธอจะเป็นพ่อมดที่ดีได้ในอนาคตฉันเชื่ออย่างงั้น” ศาสตราจารย์ปรเมศวร์เอ่ย
   “คงไม่มีคำพูดใดที่จะดูให้เกียรติพวกเธอเท่าเพลงมาร์ช
ประจำสยามมนตราวิทยาคมแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์เอ่ย “เอาล่ะ! ทุกคนช่วยกันร้องหน่อยเร็ว” นักเรียนรุ่นพี่ยืนขึ้นก่อนจะทำกำปั้นมือขวาแล้วไปทาบไว้ที่หน้าอกข้างซ้าย

เราสยามมนตราฝึกฝนเรียนวิชาจนไปถึงเส้นชัย
เรานั้นสามัคคีมิเคยมีสิ่งใดให้ขัดแย้งดอกหนา
ระเบียบวินัยมากล้นนานา
ระเบียบวินัยมากล้นนานา
ขอน้อมวันทาแล้วสวัสดี
เราสยามมนตราฝึกฝนเรียนวิชาจนไปถึงเส้นชัย
เรานั้นช่วยเหลือกันร่วมกันช่วยกวดขันให้ใจนั้นสุขี
ความคิดสร้างสรรค์หน้าตาก็ดี
ความคิดสร้างสรรค์หน้าตาก็ดี
ยกมือไหว้อีกทีแล้วจบเพลงเอย (ซ้ำ)
เพลงสยามมนตรา
เนื้อร้อง: ศาสตราจารย์ธนารัตน์
ทำนอง: ศาสตราจารย์ธนารัตน์
[/b]

   “ยอดเยี่ยมไปเลย--ขอเสียงหน่อย” ศาสตราจารย์ปรเมศวร์กล่าว ไม่นานเสียงกระหึ่มจากนักเรียนก็ดังขึ้น

   “เอาล่ะ--ชักจะหิวแล้วสิเอาเป็นว่าพวกเธอกินอาหารให้เอร็ดอร่อยเถอะ” ศาสตราจารย์ปรเมศวร์เอ่ยก่อนจะผายมือทั้งสองข้างออก และปรากฏอาหารนานาชนิดขึ้นบนโต๊ะ ทั้งไก่ทอด ส้มตำ ข้าวเหนียว ต้มไก่ อื่นๆ มันมากเสียจนวิฬาร์เลือกกินไปถูก
   “นี่มันอร่อยสุดๆไปเลยว่าไหม” รามเอ่ยขณะกำลังงับน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อย
   “จริง--ฉันไม่คิดว่าจะมีอาหารมากขนาดนี้” เหมันต์เสริม
   วิฬาร์ที่กำลังจะหยิบไก่ขึ้นมากินบ้างก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสี “เหวอ!” วิฬาร์แทบจะหงายหลังตกเก้าอี้เคราะห์ดีที่มีคนมาจับไว้ได้ทัน จะไม่ให้เขาตกใจได้ไงเพราะจู่ๆก็มีผีโผล่มาซะงั้น
   ผีนายพลสวมชุดทหารแบบพวกมานพ ไว้หนวดเขี้ยว ใบหน้ามีรอยแผลและมีสายตาที่ดุดันกำลังมองพวกเขาอยู่
   “สวัสดีครับพลเอกเสนา” โอเวนหัวหน้าเรือนอัปสรสวรรค์เอ่ยทักทายผีทหารซึ่งผีตนนั้นก็ทำท่าวันทยหัตถ์เป็นเชิงว่าได้รับไหว้แล้ว
   “สวัสดี--พอดีทราบว่ามีนักเรียนใหม่เข้ามาเลยมาตรวจตราดูสักหน่อย” พลเอกเสนาพูดเสียงดุๆ ราวกับจะบอกว่าอย่าได้ทำตัวมีปัญหาในที่นี่ก่อนที่เขาจะลอยไปทักทายเรือนอื่น
   ไม่นานนักก็มีผีตนที่สองโผล่ออกมา ผีตนนี้มีรูปร่างอ้วน หัวล้าน สวมชุดพ่อครัว เขามีใบหน้าที่ดูใจดีและก็ขี้โมโหในคราวเดียวกัน และในตอนนี้มันก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
   “เฮ้--ผมว่าผมรู้จักคุณนะลุงอ้วน” รามตะโกนบอกอย่างดีใจ แต่ดูเหมือนผู้ฟังจะไม่ดีใจด้วยเพราะนอกจากจะหน้าแดงแปร๊ดแล้วยังตะโกนออกมาอีกด้วย
   “ฉันชื่อตุ๊ต๊ะต่างหากเจ้าเด็กบ้า!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนจากคุณตุ๊ต๊ะดังเสียจนเรือนอื่นๆนั่งหัวเราะ เอาเถอะวิฬาร์คิดว่าผู้คนที่นี่คงชินกับคุณตุ๊ต๊ะแล้วล่ะ
   คุณตุ๊ต๊ะหายไปพร้อมกับเสียงของศาสตราจารย์ปรเมศวร์ที่ดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะประกาศเรียกใครคนหนึ่งให้มาพูดคุยกับนักเรียนใหม่ อ่า…เป็นชายหนุ่มรุ่นพี่จากเรือนคชสีห์ที่เขารู้สึกผูกพันนี่เอง แต่ให้ตายเถอะทำไมเขาดูเย็นชาชะมัด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ก้าวเดินอย่างสง่างาม เขาสวมชุดคลุมสีดำสนิทที่มีลวดลายกนกสีทองตกแต่งอย่างสวยงาม ผมสีดำมันเงาถูกเซตอย่างเนี้ยบ ทรงผมแบบคอมมาดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม ดวงตาคมกริบเฉียบขาดประหนึ่งพญาอินทรีที่กำลังมองหาเหยื่อทอดมองสำรวจทุกคนในห้องโถง ริมฝีปากบางเฉียบคล้ายจะยิ้มเล็กน้อยแต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนที่สีหน้าเย็นชาจะกลับมาปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง
เสียงพูดคุยเบาๆ ของเหล่านักเรียนในห้องเงียบลงแทบจะทันที ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ที่พากันมองเขาราวกับต้องมนตร์ ดวงตาหลายคู่จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจและทึ่ง บ้างก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเรือนอัปสรสวรรค์
“หล่อมาก... นั่นประธานโรงเรียนหรอ?” หญิงสาวผมทองเอ่ยขึ้น
“ใช่! ฉันเคยเห็นในจดหมายข่าวเวทมนตร์...ไม่คิดว่าตัวจริงจะดูดีกว่าในรูปเสียอีก!” สาวแว่นผมแดงเอ่ยเสริม
“ดูดุจัง...แต่ก็ดูมีเสน่ห์” คราวนี้เป็นสาวผมน้ำตาลเอ่ย
ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะเมินเสียงกระซิบของกลุ่มหญิงสาวอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่ศาสตราจารย์ปรเมศวร์จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและแนะนำชายหนุ่มให้ทุกคนได้รู้จัก
“นักเรียนใหม่ทุกคน ฟังให้ดี คนผู้นี้คือ อนันยช ศิรวัชรเวทยาคม ประธานโรงเรียนของพวกเรา--เขาจะมาพูดอะไรเล็กน้อยกับพวกเธอ”
อนันยชเหลือบตามองนักเรียนใหม่ด้วยแววตานิ่งเฉย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบลึก แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
“ยินดีที่ได้พบพวกเธอทุกคน ฉันอนันยช ประธานโรงเรียนแห่งนี้” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะไล่สายตามองไปรอบๆ ราวกับกำลังตรวจสอบนักเรียนใหม่ทีละคน “หน้าที่ของฉันไม่ใช่การดูแลพวกเธออย่างใกล้ชิด แต่เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเธอจะปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เพราะที่นี่...ความประมาทเพียงครั้งเดียว อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับพวกเด็กที่ไม่รู้เรื่อง”
เสียงเขาเรียบเฉยแต่แฝงด้วยพลังอำนาจ นักเรียนใหม่ที่ยืนอยู่ต่างรู้สึกเหมือนถูกจ้องลึกเข้าไปในจิตใจ ร่างเล็กๆ ของวิฬาร์ถึงกับก้มหน้าหลบสายตา ให้ตายสิเผลอสบสายตาดุๆนั่นจนได้
“จำไว้ให้ดีว่า กฎมีไว้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่กดขี่” อนันยชพูดต่อ ดวงตาของเขาทอประกายเย็นเยียบขณะกวาดมองทั่วห้องอีกครั้ง “และสำหรับใครที่คิดจะฝ่าฝืน ฉันจะถือว่าเธอได้เลือกทางของตัวเองแล้ว คงรู้นะว่าหมายถึงทางอะไร”
ทันใดนั้น เสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มนักเรียนหญิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เท่สุดๆ เลย...”
“ดูนิ่งๆ แต่มีอำนาจเหลือเกิน”
“ฉันไม่เคยเห็นคนไหนดูดีแบบนี้มาก่อน!”
อนันยชแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาหันกลับไปมองศาสตราจารย์ปรเมศวร์ ราวกับจะส่งสัญญาณว่าเขาพูดจบแล้ว ก่อนจะก้าวถอยหลังไปยืนสงบอยู่มุมหนึ่งของห้อง โครงร่างสูงใหญ่ของเขายังคงดูโดดเด่นเหนือใคร แม้ในตอนที่เขานิ่งเงียบ ให้ตายสิวิฬาร์อยากหน้าตาดีให้ได้ครึ่งของเขาจริงๆ
ศาสตราจารย์ปรเมศวร์ส่งยิ้มบางๆ ก่อนจะหันกลับมาหานักเรียน “อย่างที่พวกเธอได้ยินแล้ว หวังว่าคำพูดของประธานโรงเรียนจะช่วยให้พวกเธอเข้าใจว่าความรับผิดชอบและวินัยสำคัญเพียงใด”
วิฬาร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาของเขายังจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น...ชายหนุ่มที่ราวกับมีออร่าของความสมบูรณ์แบบจนแทบจะไร้ที่ติ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลเกินเอื้อมถึงเช่นกัน ทำไมกันนะพึ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกแต่จิตใจเขากลับเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หรือว่าจะเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนกันนะ

   

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด