บทที่ ๘ เราสองสามคน
อุจไฉยศรพ โผนทะยานลอยละลิ่วกลางเวหา รอบตัวรัศมีสีแดงจ้าสุกสว่างกระจายทั่ว หากแต่ชั้นในที่รายล้อมพระวรกายแลอีกหนึ่งกายทิพย์นั้นอบอวลด้วยสีกุหลาบเข้ม อ่อนหวานชื่นทรวง รัศมีของเทวะจะบอกอารมณ์ ความรู้สึกเสมอ สีกุหลาบเข้มนี้คงจะหมายถึงอารมณ์ใดมิได้ นอกเสียจากความรัก แน่นอนว่าย่อมต้องกำจายมาจากอัสดง และเจ้าตัวก็เพิ่งรู้แท้ถึงคำว่า “ตกหลุมรัก”ก็คราวนี้เอง
ลำแสงสีแดงที่เริ่มจะกลายเป็นสีกุหลาบยังคงพุ่งปราดไปเรื่อยๆ กลางห้วงนภาฟ้าคราม จวบจนผ่านเส้นแบ่งเขตแดนมาแล้วนั่นแหละ ฟากฟ้าก็กลับกลายเป็นเวลากลางคืน แสดงให้เห็นถึงเวลาที่แตกต่างกันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์พิภพ ดาวนับร้อยนับพันดวง ทอแสงส่องประกายระยิบระยับ แต่ก็ไม่มีดวงใด จะเปล่งประกายงามเจิดจรัสเท่ากับดาราสีอำพันคู่หนึ่ง คู่ที่สยบพระเนตรฟ้าครามได้อย่างราบคาบ
“จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นเทวนาคาหรือไง” สีทันดรทรงรู้ได้โดยพลัน มิต้องผินพระพักตร์ ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง มีดวงตาเจิดจ้าเพียงใดยามมองมา
“เพิ่งรู้ว่า มีกฏมณเฑียรบาล ห้ามมอง ถ้างั้นก็โปรดพระราชทานอภัยโทษ ให้กับเทพต่ำต้อยอย่างเกล้ากระหม่อมด้วย ที่ชอบมองและหมายปองของสูง”
“นี่ ไม่ต้องมาประชดใช้ราชาศัพท์กับเรา ....คักดิ์ของเราเสมอกัน ถ้าเจ้าไม่พูดอย่างเดิม เราจะผลักเจ้าตกเดี๋ยวนี้”
“พระทัยร้าย.....ก็ได้พูดอย่างเดิมก็ได้ แต่เราว่าศักดิ์เจ้าสูงกว่า เจ้าคืออณูของพระแม่เจ้า เราก็ต้องยกย่องยำเกรงเป็นธรรมดา”
“สมองเจ้ากระทบกระเทือนหรือเปล่า พูดจาดีผิดปกติ”
“สมองน่ะไม่ แต่หัวใจสิ ถูกกระทบอย่างแรง ไม่เชื่อเจ้าลองฟังดู” อัสดงเขยิบเข้ามาจนชิดแล้วโน้มร่างแนบสนิทดึงเศียรไอ้ดื้อซบกับอกตนพลัน พระกรรณแนบชิดติดหัวใจของสุริยเทพ ทำให้ทรงสดับถึงเสียงตุ้บ ตับ ระรัว กลิ่นกายาจากเทวะหนุ่มน้อย ลอยระเรื่อเข้านาสิก เลือดในพระวรกายวิ่งพล่าน พระปรางใสเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด พระหัตถ์ที่จับม้าไว้ เปลี่ยนมายันอกกำยำนั้นออก
“ทำบ้าอะไร เดี๋ยวก็ตกลงไปทั้งคู่หรอก”
“ก็อยู่เฉยๆสิ ....เราอยากให้เจ้าฟังเสียงหัวใจเรา เจ้าก็ต้องฟัง”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งเราให้ทำนู่นทำนี่นะอัสดง”
“แต่ปู่เจ้าฝากเจ้าไว้กับเรา ก็แค่กอดจะเป็นอะไรนักหนา ทีเมื่อกี้ตอนอยู่หิมพานต์ยังให้เราจับมือ ก่อนหน้านี้เราก็กอดเจ้ามาตั้งหลายหน เกิดจะมาหวงตัวอะไรกันตอนนี้”
“นั่นมันตอนนั้น ปล่อยเดี๋ยวใครมาเห็น”
“ใครจะมาเห็นเราอยู่กันกลางฟ้า” อัสดงไม่พูดเปล่า พร้อมกับจรดปลายจมูกคมสันลงบนพระเกศาดำขลับซึ่งหอมเสียยิ่งกว่าหอม
“ก็พวกดาวเหล่านี้ไง ….แถมพระจันทร์อีกดวงเบ้อเร่อ ปล่อยเรานะ” จริงๆแล้ว สีทันดรก็ตรัสไปอย่างนั้นแหละ แต่ในพระทัยกับอึงอลไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
‘อ้อมกอดของเขา อบอุ่นจัง เหอะ....แต่เขาทำให้เราต้องระเห็จมาอยู่บาดาล อย่าใจอ่อนเชียวสีทันดร’ ที่ว่าอึงอล คงยังไม่เท่าคนฟังที่กำลังอลอึง เพราะจู่ๆ น้ำเสียงที่นุ่มๆ กลับแข็งกระด้างขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แขนแข็งแรงยันพระวรกายออกบีบต้นพระพาหาแน่น
“ที่แท้ เจ้าก็กลัวไอ้พระจันทร์มันเห็นน่ะสิ กลัวมันเข้าใจผิดหรือไง เจ้าสนใจมันมากใช่ไหม ทั้งๆที่เราให้เจ้าดูพระอาทิตย์ไปเมื่อตอนเช้า ตอนนี้เจ้ากลับพูดถึงพระจันทร์ ใจเจ้าทำด้วยอะไรสีทันดร” เจ้าพระอาทิตย์หนุ่มเริ่มไปไกล
“โอ๊ยยย เราเจ็บนะ ไอ้ไฟบ้า หัดเอาอย่างพระจันทร์เขามั่งสิ เขาไม่เคยรังแกเราเลยนะ”
แล้วประโยคนี้เอง ประดุจดั่งราดน้ำมันลงกองเพลิง หนำซ้ำด้วยลมเพชรหึง โหมกระพือ ทำให้อารมณ์โมโหพลุ่งพล่านไปไกลกว่าเดิมอีก
“ทำไม ต้องไปพูดถึงมันด้วย อยู่กับเราก็ต้องพูดแต่กับเราสิ เจ้าไม่รู้หรอกว่าไอ้พระจันทร์น่ะร้ายขนาดไหน” นานแล้วที่อัสดงไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล มาครั้งนี้เขาขัดใจเป็นที่ยิ่ง ที่คนที่อยู่ตรงหน้าดันเอ่ยชื่อ “ไอ้พระจันทร์” มาซะนี่
“เราก็เห็นเขาสุภาพดี ไม่เกกมะเหรกเกเร รังแกเรา”
“ยังไม่มีโอกาสล่ะสิไม่ว่า ลองอยู่สองต่อสองกับมันสิ เหอะถ้ามันไม่ทำอย่างเรา เราให้เจ้าฆ่าเราได้เลย คนเจ้าชู้อย่างมัน แย่งเมียเพื่อนก็เคยมาแล้ว”
“เขาไปแย่งเมียเพื่อนตอนไหน”
“ก็เมียพระพฤหัสไงตอนอยู่บนสวรรค์ ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเมียอยู่แล้วยี่สิบเจ็ดนาง ก็พวกเทพธิดากลุ่มดาวฤกษ์นั่นแหละ ธิดาพระทักษะทั้งนั้น ก็วงศ์วานว่านเครือของทวดเจ้าไม่ใช่เหรอ” บทอัสดงจะจำได้ ก็จำได้ซะละเอียด
“นั่นเป็นตอนก่อนเขาอวตาร ตอนนี้เขาคงไม่เหมือน” สีทันดรยังทรงเถียงไม่ยอมลดละ
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ....แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า คนอย่างไอ้พระจันทร์น่ะ เห็นหงิมๆอย่างนั้น เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง ใครเป็นคู่ก็มีแต่จะเสียใจ สมแล้วที่โดนพระทักษะสาป ให้เป็นฝีในท้อง”
“ทำไมถึงโดนสาป”
“ก็เพราะมัน รักเมียไม่เท่ากัน มันรักนางโรหิณีมากที่สุด จนชายาอีกยี่สิบหกนางไปฟ้องพ่อ พระจันทร์มันเลยโดนพระทักษะสาปให้เป็นฝีในท้อง จนบางทีท้องแหว่ง กลายเป็นพระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม จนมหาศิวะท่านทรงเห็นก็เลยสงสาร ท่านจึงหยิบมาเป็นปิ่นปักมวยผมเสีย”
“เจ้าไม่อยากให้เราสนใจเขา แต่เจ้าก็เล่าเรื่องเขามาเองนะอัสดง” สุรเสียงใสใช้ยวน พระโอษฐ์น้อยๆ ทรงเริ่มแย้มยิ้มออกมาได้แล้วหน่อยๆ
“เราเล่าเพื่อเตือน พูดถึงขนาดนี้ เจ้ายังดื้อไม่ยอมเชื่อมันก็สุดแล้วแต่เจ้า” ใบหน้างามคมสันยังเง้างอ ที่จริงอัสดงไม่อยากจะใส่ไฟพระจันทร์นักหรอก แต่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้ากล่าวถึงศัตรูหัวใจ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเล่าให้ฟัง
“เจ้าไม่ต้องมาเตือนเรา เพราะเราไม่ได้สนใจเขาสักหน่อย”
“เจ้าพูดจริงเหรอ” คนหน้างอยิ้มกว้างได้แล้ว บ่งบอกถึงความดีใจฉายชัด มันต้องอย่างนี้สิ ไอ้ดื้อของเรา
“ก็จริงน่ะสิ แต่ทำไมเจ้าต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นด้วย มีบ้างไหมที่เจ้าจะเศร้าสลดเป็นกับเขาบ้าง”
“มีสิ ทำไมจะไม่มี ก็ตอนที่ เจ้าบอกว่าเจ้าเกลียดเราไง เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดของเจ้า มันทำร้ายเราเหลือเกิน สีทันดร”
แขนแข็งแรงโอบบั้นเอวคนที่อยู่ด้านหน้ามาอีกครั้ง ปลายคางมนสากด้วยไรหนวดแห่งวัยหนุ่มคลอเคลียทั่วพระศอสีเศวต อัสดงคาดว่าสีทันดรคงบ่ายเบี่ยงงอแงผลักตนออก แต่แล้วก็กลับนั่งนิ่ง หนำซ้ำยังปล่อยพระวรกายทิ้งลงมาในอ้อมอกของเขาอย่างแนบชิด
“เราพูดไปเพราะอารมณ์โมโห ตอนนั้นเจ้าอยากมาแกล้งเราทำไม” พระพักตร์ที่งามเกินเทวบุตร เริ่มหลบเร้นเอียงอาย
“ก็แค่แหย่เล่นๆ เราไม่คิดว่าเจ้าจะโกรธ” อัสดงพูดจบก็ขบเบาๆ ซ้ำรอยเดิมตรงซอกพระศออันหอมกรุ่น สีทันดรรู้สึกถึงกระแสอันอ่อนโยนวาบหวามผ่านริมฝีปากงามคู่นั้น สร้างความหวั่นไหวให้สีทันดรทรงสะท้านยิ่ง “ต่อไปเราจะไม่แกล้งเจ้าอีกแล้วสีทันดร เราสัญญา”
“ให้มันจริงเถอะ เราจะคอยดู .....เอาล่ะถึงบ้านแล้ว ลงไปกันเหอะ”
สิ้นพระสุรเสียง วรองค์น้อยๆ ก็สลายกลายเป็นแสงเขียวทองปนชมพูกุหลาบใส พุ่งตรงลงไปยังพื้นด้านล่าง .... อัสดงยิ้มจนแก้มแทบปริ ความหวังที่เคยริบหรี่รำไรว่าจะไม่ได้รับรักตอบ ครานี้ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
“สีทันดร นับจากวินาทีนี้ไป หัวใจเราจะมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว”
รัศมีสีแดงปนกุหลาบเข้มสว่างวาบและพุ่งปราดเป็นลำลงไปยังนอกชานบ้านทรงไทยที่อยู่ด้านล่าง ตามติดด้วยรัศมีเขียวทองเจือกุหลาบไปติดๆ อีกนานไหมนะ ที่รัศมีทั้งสองจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หากวันนั้นมาถึง แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง คงเจือไปด้วยความอบอุ่น ซ่านผ่านหัวใจของมนุษย์ทุกผู้เป็นแน่แท้
ร่างสูงโปร่ง ของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดครอบไว้ด้วยรัศมีเหลืองนวลเย็นตา ทอประกายระเรื่อทำให้บริเวณนอกชานที่มืดมิดเริ่มสว่างสลัวๆ ใบหน้าหล่อเหลาหวานซึ้งปกติยามใครได้พบก็ต้องมองเหลียวหลัง อีกทั้งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวยามได้ยลก็แทบทำให้ใจละลาย บัดนี้ใบหน้านั้นฉายแววกังวลมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงเม้มแน่นยามที่รู้สึกไม่ถูกใจทุกครา
เจ้าตัวยังคงเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเอราวัต อาการเริ่มแย่ลงทุกขณะ พิษลามกระจายทั่ว พลังทิพย์เริ่มอ่อนแรงทุกที หากปล่อยไว้อย่างนี้ เห็นทีคงไม่แคล้วดับสูญ อีกประการหนึ่ง การที่เจ้าน้องดื้อต้องไปหิมพานต์กับอัสดงมันทำให้เขาเจ็บแปลบเข้าที่หัวใจ กังวลว่า อัสดงคงฉวยโอกาสนี้ ต่อยอดความสัมพันธ์เป็นแน่แท้ ภายนอกถึงจะแสดงว่าไม่ถูกกัน แต่ภายในนี้น่ะสิ ผู้ชายด้วยกันดูกันออก และก็รู้ว่า อัสดงหมายปองสิ่งเดียวกับตน สิ่งนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากดวงหทัยเจ้านาคา
“น้องดื้อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ทำไมยังไม่กลับมากันอีก นี่ก็ปาเข้าไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเข้าแล้ว” ทรงกลดปรารภกับตนเอง ครั้นพอสิ้นเสียง หัวใจที่กำลังกระวนกระวายนั้นก็ต้องฉ่ำเย็น เพราะรัศมีเขียวทองที่ยังเจือด้วยสีกุหลาบ พุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้า แล้วสลายรวมร่างกลายเป็นน้องดื้อที่เขาคิดถึงและเป็นห่วงอยู่แทบทุกลมหายใจ
“น้องดื้อพี่กำลังบ่นถึงเจ้าพอดี” คิ้วที่กำลังขมวดยุ่งคลี่คลาย ใบหน้าเริ่มเจือไปด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นดังเคย ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพิบวิบวับ ฉายแววดีใจยามเห็นวรองค์น้อยๆประทับยืนอยู่ตรงหน้า
“พระพุธเป็นอย่างไรบ้าง จันทรเทพ”
“อาการแย่ลง พลังทิพย์เริ่มไม่เหลือแล้ว พี่พยามยามถ่ายพลังไปให้ จนพี่เองก็อ่อนกำลัง” ทรงกลดไม่ได้เล่าอาการมาอย่างเดียว หากทว่าปนลูกอ้อนมาด้วย “แล้วอัสดงล่ะครับ ไม่มาด้วยเหรอ แล้วตัวยาล่ะ ได้มาไหม”
“โน่นไง ตามมานู่นแล้ว”
กายทิพย์ของอัสดงพุ่งลงจากฟ้าลอยละลิ่วผ่านนอกชานวิ่งตรงเข้าสู่ห้องนอน เพื่อรวมกับร่างจริงที่ยังนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งข้างๆร่างของเอราวัต กายทิพย์สว่างใสเริ่มลอยทาบกายหยาบจนสนิทแน่น พออัสดงลืมตาขึ้นมาได้สิ่งแรกที่หันมาดูก็คือ เอราวัต ที่บัดนี้นอนแน่นิ่ง รัศมีแห่งเทวะเริ่มจางลงจางลงเป็นลำดับ
“สีทันดรรีบมาดูอาการเอราวัตเหอะ ท่าจะแย่แล้ว”
สีทันดรได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาด้านใน สุรเสียงใสเริ่มกล่าวเป็นการเป็นงานทันทีว่า “อัสดงเจ้าถอยไปก่อน แล้วเอากลีบบัวอัคคีสัตตบงกชมาให้เรา”
พระหัตถ์ขาวนวลเมื่อรับกลีบบัวมาได้ ก็กำแน่นบริกรรมพระคาถาที่ร่ำเรียนมา ปรุงยาวิเศษน้ำจากสระอโนดาตในสร้อยนาคาที่อมไว้ ถูกรีดออกมาใช้ ครั้นพอแบพระหัตถ์ กลีบบัวก็สลายกลายเป็นผงสีทองลอยละลิ่วขึ้นฟ้า ผสมรวมกับหยาดน้ำแห่งสระอโนดาตนั้น
ไอร้อนรุนแรงเริ่มกระจายทั่วห้อง เสียงสังวัธยายมนตราเริ่มดังระรัว สายวัชระแปลบปลาบครั้นครื้นขึ้นอย่างไม่มีเค้ามาก่อน ราวกับรามสูรเริ่มโมโหที่พิษของตนกำลังจะถูกถอดถอน พระวรกายขาวนวลเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดงอมชมพูแสดงว่าไอร้อนนั้นเริ่มจับพระวรกายผู้ร่ายมนตราเช่นกัน เอราวัตจากที่นอนสงบหายใจรวยระรินเริ่มดิ้นพล่าน พระอาทิตย์กับพระจันทร์ต้องรีบรุดมายึดร่างนั้นไว้
“จับเขาไว้ให้มั่น แล้วเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกให้หมด”
อัสดงกับทรงกลดรีบทำตามรับสั่งทันใด ครั้นพอร่างกายเอราวัตปราศจากอาภรณ์ใดๆปกปิดแล้ว สายตาทุกคู่จึงเห็นว่า ร่างกายซีกที่โดนพิษนั้น ลุกลามไปยิ่งกว่าเดิม และเริ่มกระจายไปสู่ด้านล่างของร่างกาย สีทันดรที่หยุดร่ายมนตราพอเห็นเข้าก็ถึงกับทอดถอนพระหฤทัย
“เราเริ่มไม่มั่นใจแล้ว ว่าจะได้ผลไหม แต่เราจะลองดู”
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอายที่จะต้องมาเห็นใครเปลือยกายอยู่ตรงหน้า สีทันดรวนพระหัตถ์รวมตัวยาวิเศษแล้วส่งผ่านไปยังร่างของพระพุธอย่างสุดพระกำลัง พระโอษฐ์ร่ายพระอาคมอีกครั้ง
“ โอม นมัส ศิวาเย มหาเทพโปรดประทานพร”
เอราวัตจากเดิมที่ดิ้นพล่านอยู่แล้วก็ยิ่งดิ้นขึ้นไปอีก รัศมีสีทองสว่างวาบระยิบระยับเริ่มกัดเซาะบริเวณที่ถูกพิษทีละน้อยทีละน้อย พระพุธสะท้านกายทุกครายามที่ยากับพิษโรมรันกัน ครั้นพอหมด ร่างกายของเขาลอยเหนือเพดานห้อง อัสดงกับทรงกลดมิสามารถยึดร่างสหายไว้ได้ต่อไปแล้ว ไอร้อนที่อัดแน่นก็เหมือนจะระเบิดออกมา แสงวาบสว่างจ้าดุจกลางวันกระจายทั่ว หากพอแสงสลายมลายลง ร่างกายพระพุธก็ร่วงกลับลงมายังที่นอน ร่างกายที่ดิ้นพล่านสงบลงโดยดุษฎีพร้อมๆกับเปลือกตาที่เสมือนว่าหนาหนัก เริ่มเผยอขึ้น เสียงเคยคุ้นของสหายช่างพูดแหบพร่า กระท่อนกระแท่น
“นี่ฉันเป็นอะไร ไปนี่ แล้วใครมาจับฉันแก้ผ้าวะ”
เท่านั้นแหละก็ก่อให้เกิดเสียงไชโยดีใจลั่นห้อง อัสดงกับทรงกลดโผกอดสหายพลัน “มันรอดแล้ว” ส่วนสีทันดร ก็ยังคงยืนอยู่กลางห้อง พระวรกายเริ่มโงนเงนทรงไว้ไม่อยู่ ครั้นพอย่างพระบาทพระสติก็ดับวูบลงไปในบัดดล
“สีทันดร...”
“น้องดื้อ”
อัสดงกับทรงกลดรีบโผเข้าประคองร่างของสีทันดรก่อนที่จะล้มลงกับพื้น หนึ่งอาทิตย์แลอีกหนึ่งจันทร์ต่างตระกองกอด วรองค์บางไว้ในอ้อมแขน พระวรกายที่ขาวผ่องกระจ่างใส บัดนี้เริ่มเป็นสีซีด
“สีทันดร เจ้าเป็นอะไร ลืมตาขึ้นสิ ตื่นมาคุยกับเราก่อน”
“พาน้องดื้อไปนอนที่ห้องก่อนดีกว่า สงสัยจะใช้พลังไปเยอะ”
“อืม ก็ได้แต่ฉันจะพาไปเอง นายปล่อยสีทันดรได้แล้ว ต่อไปนี้ฉันจะดูแลสีทันดรเอง”
อัสดงพูดจบก็ดึงร่างของสีทันดรออกจากอ้อมแขนของทรงกลด ทำให้อณูแห่งจันทรเทพเริ่มตีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะแย่งน้องดื้อกลับมา เอราวัตที่เริ่มได้สติก็ร้องเรียกมาพลัน
“กลด นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าใครมาจับฉันแก้ผ้าวะ แล้วนั่น ไอ้นาคน้อยมันเป็นอะไร แล้วนายจะพามันไปไหน ไอ้อัสดง”
อัสดงไม่สนใจคำถามของเอราวัต อุ้มร่างที่อ่อนระทวยของสีทันดร ไปยังห้องข้างๆที่จัดไว้เป็นห้องบรรทม ทรงกลดรีบเดินตามไปบ้าง เอราวัตก็ยังร้องเรียกไม่หยุด “เฮ้ยยย เล่าให้ฉันฟังก่อน เกิดอะไรขึ้น”
“เลิกถามได้แล้ว ไอ้เอราวัต ใส่เสื้อผ้าซะ ถ้ามีแรงก็ลุกตามมา”
ทรงกลดตอบกลับเอราวัตอย่างหัวเสีย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการกระทำของอัสดงที่ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเจ้านาคาตาสวยอย่างออกหน้าออกตา..... “นายไม่มีสิทธิ์ ไอ้อัสดง”
เมื่อเข้าห้องมาได้ อัสดงค่อยๆบรรจงวางร่างน้อยๆ ลงบนเตียงหนานุ่ม หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวลใจ “สีทันดรของพี่ เจ้าเป็นอะไร ตื่นมาคุยกับพี่สิ”
น้ำตาใสๆของลูกผู้ชายเริ่มคลอหน่วย เพราะพยายามปลุกอย่างไร เจ้านาคายอดดวงใจก็ยังไม่ฟื้นคืนพระสติ มือแข็งแรงของเด็กหนุ่มลูบไล้ไปทั่วพระปรางสีซีด
“ตื่นสิ สีทันดร เจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าทำไมเจ้าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าอยากรู้ใช่ไหม ว่าเราขอพรอะไรจากมหาลักษมีเทวี แล้วเจ้ามาเป็นอะไรไปอย่างนี้ เราจะบอกสิ่งที่อยู่ในหัวใจให้ใครฟัง”
หากสีทันดรตื่นขึ้นมาได้สดับรับฟัง พระปรางที่ซีดคงกลับมีเลือดฝาดขึ้นมาแน่ๆ รัศมีเขียวทองเริ่มอ่อนจนเกือบขาวแสดงว่าพลังทิพย์เริ่มสลายลงเป็นลำดับ
“ทำอะไรสักอย่างสิอัสดง พลังทิพย์ของน้องดื้อเริ่มจางลงแล้ว มัวแต่คร่ำครวญอยู่นั่นแหละ”
ทรงกลดที่ตามเข้าห้องมาพร้อมกับเอราวัตที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกล่าวเตือนสติขึ้น พระอาทิตย์รูปงามก็ยังคงทำอะไรไม่ถูก เจ้าพระจันทร์ทนรอไม่ไหวเข้ามาผลักอกตนออก
“ถ้าจะนั่งดูน้องดื้อเฉยๆ ก็ถอยไป ฉันจะถ่ายพลังให้น้องดื้อเอง”
รัศมีเหลืองนวลจากร่างของทรงกลดเปล่งประกายวาบ ไหลระเรื่อลงกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มม้วนเป็นลำเข้าสู่พระวรกายที่ประทับนอนแน่นิ่ง เพียงกระทบกันในคราแรก รัศมีแห่งเทวะนาคาเหมือนจะตอบรับ หากพอสักพัก กลับกลายเป็นผลักออก ประดุจเจ้าของร่างมิสนใจใยดี ที่จะรับไมตรีจิตจากอณูแห่งจันทรเทพ
“พระมหาลักษมีเทวี โปรดประทานพร ให้เกล้ากระหม่อมช่วยสีทันดรได้ด้วยเถิด”
อัสดงนึกถึงพระมหาเทวี ฉับพลันดวงตาสีเหลืองอำพันก็กลับกลายเป็นสีกุหลาบ รัศมีแดงร้อนแรงเริ่มเจือด้วยสีชมพูอ่อนใส แต่แทนที่อัสดงจะถ่ายพลังทิพย์เฉกเช่นวิธีเดียวกับทรงกลด เขากลับผลักอณูแห่งจันทรเทพออกไปบ้าง แล้วโน้มตัวลงประกบริมฝีปากลงไปบนริมโอษฐ์ที่คล้ายว่าจะเผยอรอรับอยู่แล้ว
“เฮ้ย อัสดง นายทำบ้าอะไร” ทรงกลดกับเอราวัตอุทานมาแทบจะพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าเจ้าพระอาทิตย์จะทำวิธีนี้ แต่ด้วยปาฏิหาริย์หรือพลังทั้งคู่ต่างก็รอคอยซึ่งกันและกัน ทำให้รัศมีเขียวอ่อนที่เริ่มจะโรยรา ค่อยๆสว่างจ้าขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั่งเรืองรองดังเดิม ริมฝีปากของอัสดงค่อยๆถอนออกช้าๆ ไอทิพย์ยังคงถูกถ่ายลงมา พออัสดงหุบปากลง นั่นก็คือความหมายว่าการถ่ายพลังนั้นสุดสิ้น
พลังแห่งสุริยเทพเข้ากันกับพลังแห่งเทวะนาคาได้ อณูแห่งจันทรเทพเริ่มรู้ หากแต่ไม่ยอมรับ !!!
พระพักตร์ขาว คลี่คลาย แจ่มกระจ่าง
ดั่งกุหลาบ บานสล้าง เฉลาฉาย
ดวงเนตรงาม กระพือขึ้น โอษฐ์แย้มพราย
ดั่งบัวสาย คลายคลี่กลีบ ปทุมมาลย์
สีทันดร ‘ตื่นแล้ว’ พระเนตรฟ้าครามที่ปิดสนิทเริ่มลืมขึ้น หากยังบรรทมนิ่ง ราวทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พระหัตถ์น้อยๆเลื่อนมากุมมือของอัสดง สัมผัสอ่อนหวานถ่ายทอดออกมาจากมือทั้งสองข้างนั้น อัสดงเองก็รู้สึกได้ ครั้นพอทอดพระเนตรเห็น ผู้ที่นั่งรายล้อมรอบเตียงนั่นแหละก็ทำให้อุทานเบาๆ มือที่กุมอยู่ค่อยๆเลื่อนออก
“แย่จัง ใช้พลังมากไปหน่อย เลยทำให้พวกเจ้าลำบาก ” ครั้นพอจะยันกายลุกขึ้น ทรงกลดก็โน้มตัวมากดพระอังสะเบาๆ ให้ประทับนอนเช่นเดิม
“อย่าเพิ่งลุกครับ นอนพักก่อน”
“เราไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านพระพุธล่ะ หายดีแล้วเหรอ”
“หายดีแล้ว ขอบใจมากที่ช่วย เจ้าเก่งมากสีทันดร เราเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”
“ท่านควรขอบคุณอัสดงเหอะ เพราะไม่ได้เขา เราก็ไม่มีทางได้ดอกบัวเพลิง”
เอราวัตตบไหล่อัสดงเบาๆ แล้วกอดคอสหายไว้แน่น “ขอบใจมากเพื่อน ต่อไปนี้ ชีวิตฉันเป็นของนายสองคน”
มิตรภาพก่อตัวแนบแน่น ความไม่พอใจยามที่สุริยาทิตย์ชอบแสดงท่าเป็นพระเอกตอนอยู่บนสวรรค์เลือนรางจางหาย รอยยิ้มอ่อนๆคลี่คลาย
“อย่าคิดมากน่า ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่เราเป็นเพื่อนกัน ฉันก็ต้องขอบคุณนายด้วย กลด ที่ดูแลยามฉันหมดสติ” พระพุธน้อยขอบคุณไปทั่ว
“ไม่เป็นไร ....พวกเราไปกันเหอะ ปล่อยให้น้องดื้อพักผ่อน”
ทรงกลดพยักพเยิดชวนอัสดงกับเอราวัตออกจากห้องบรรทม หากแต่อัสดงยังมิคงยอมลุกไปไหน
“นายสองคนไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับสีทันดรนิดนึง”
ทรงกลดชะงักพลัน คำพูดธรรมดาๆแต่ฟังแล้วขัดหูยิ่ง ทำไมอัสดงเอ่ยพระนาม ‘สีทันดร’ได้อ่อนหวานเหลือเกิน ครั้นพอหันไปสบพระเนตรฟ้าคราม ก็เห็นว่าพระเนตรคู่นั้น เปล่งประกายยินดีฉายชัด ไปหิมพานต์สองต่อสองทำให้ศัตรูกลายมาเป็นคู่รักเชียวหรือ
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหานมร้อนๆ ให้น้องดื้อดีกว่านะครับ กินแล้วจะได้ดีขึ้น ฟื้นกำลังได้เร็ว ไปกันเหอะเอราวัต นายก็ควรพักผ่อน อัสดงนายตามมาเร็วๆล่ะ อย่าเพิ่งกวนน้องดื้อนานนัก”