อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔  (อ่าน 50757 ครั้ง)

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2021 13:13:02 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
เกริ่นเล็กๆน้อยๆ

นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่๒ ที่หัดเขียน และเป็นเรื่องแรกที่เขียนแนวจินตนิยายหรือแฟนตาซี
เคยลงที่เล้ามาครั้งหนึ่งแล้วจนจบภาคที่๑ หากก็มีเหตุให้ขอลบออกไปเนื่องจากจำต้องแก้ไขบทกลอนที่นำมาอ้างอิงเพราะกลัวปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์

ตอนนี้ทยอยแก้ไขเกือบหมดแล้ว เลยเอามาลงอีกครั้ง เพื่อที่ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านแล้ว หรือท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านจะได้เอาไว้อ่านเล่นๆก่อนที่จะลงภาค๒หลังจากที่รีรันเสร็จ และจะต่อให้ภายในกระทู้นี้กระทู้เดียวกันไปเลยค่ะ

ตอนที่เขียนเรื่องนี้ จำได้ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องเพอร์ซี่  แจ็คสัน เลยลองเอามาฝึกเขียนในแนวจินตนิยายไทยดู
ข้อผิดพลาดยังมีมากมายหลากหลายเหมือนเดิม ขออภัยด้วยนะคะ และก็ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่ชื่นชอบอัศวินดารา ขอบพระคุณที่ยังติดตาม และให้กำลังใจเสมอมา ขอบคุณค่ะ   :กอด1: :pig4:

Artemis ๑๙ มีนาคม ๖๒

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
สารบัญ

บทที่๑ อาทิตย์อัสดง
บทที่๒ ฟ้าผ่ากลางสยามสแควร์
บทที่๓ คืนวันพระจันทร์ทรงกลด
บทที่๔ อสรพิษแสนซน
บทที่๕ ฝัน หวาน อาย จูบ
บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน
บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ
บทที่๘ เราสองสามคน
บทที่๙ พระศุกร์เข้า
บทที่๑๐ พระเสาร์แทรก
บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร
บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก
บทที่๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก)
บทที่๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๑)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๒)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๓)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๔)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๕)
บทที่๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี (ส่วนที่๑)
บทที่๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี (ส่วนที่๒)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2020 08:13:19 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่๑ อาทิตย์อัสดง

กุฏิหลังน้อยตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในบริเวณหลังวัดป่าอันวิเวกห่างไกลจากผู้คน วัดแห่งนี้เงียบสงบจนเหมาะกับการปฏิบัติธรรมยิ่งนัก นานๆจะมีญาติโยมมาทำบุญกันสักที ทำให้มีภิกษุจำพรรษากันน้อยรูปซึ่งส่วนใหญ่ขอย้ายไปจำพรรษากับวัดดังๆในเมืองเสียหมดสิ้น วัดแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่สำหรับพระที่ต้องการความสงบจริงๆ แลตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งปวง

บริเวณด้านหน้ากุฏิคือลานกว้างสะอาดยิ่ง มิมีใบไม้ร่วงหล่นทับถมให้ดูระเกะระกะรำคาญตาแก่ผู้พบเห็นแต่อย่างใด ใกล้ๆลานกว้างนั้นคือต้นไทรต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาเกินมาเกือบครึ่งของลาน ฉะนี้แล้วในเวลากลางวันประกายแห่งพระสุริยาทิตย์จึงสำแดงฤทธีได้แค่เพียงรำไร เฉกเดียวกับเวลานี้ซึ่งเป็นเวลาที่จันทรเทพทรงราชรถเทียมม้าสีเศวตเกือบถึงครึ่งท้องฟ้า หากแต่แสงรัศมีนวลนั้นหนาทอประกายจับได้แค่หลังคากุฏิแลยอดไทรเท่านั้นเอง

แสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่จับอยู่ทั่วบริเวณลานกว้างแลกุฏิ จึงมาจากจีวรสีกลักของพระภิกษุชรารูปหนึ่งผู้เป็นเจ้าอาวาสที่ชาวบ้านหรือคนบ้านป่าละแวกนี้เรียกท่านว่าหลวงตา ท่านนั่งบริกรรมทำสมาธิอยู่หน้ากุฏิหลังน้อยๆนั้นเป็นเวลาเท่าใดไม่มีใครทราบ แลจะสิ้นสุดเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ แล้วจู่ๆลมที่พัดเอื่อยๆ เรื่อยๆยามค่ำคืน ก็กลับกลายเป็นสายลมกรรโชกรุนแรงยิ่งประหนึ่งจะทำให้กุฏิหลังนั้นปลิวหายลับดับไปตามแรง ร่างภายใต้จีวรสีกลักมิสะทกสะท้านไหวติงแต่อย่างใด หลวงตาเพียงแค่ลืมตาช้าๆ ลาจากฌานอันพิศุทธิ์ ลุกขึ้นแล้วเดินลงมาหน้ากุฏิ ปล่อยชายจีวรต้องแรงลมปลิวไสว ร่างเล็กๆของท่านเดินอย่างมั่นคงยิ่ง แล้วน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากล่าวเอื้อนเอ่ยท่ามกลางกระแสลมแรงมาว่า

“อัสดง...เจ้ากลับมาแล้วเหรอ”

สิ้นเสียงหลวงตา ก็บังเกิดเป็นเปลวเพลิงสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณนั้น เปลวเพลิงนี้โหมลุกลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วม้วนตัวเป็นเกลียวรวมกันกลายเป็นร่างของเด็กหนุ่มวัยประมาณสิบแปด ร่างนั้นสูงใหญ่ งามราวรูปสลักสัมฤทธิ์ประหนึ่งนิรมิตจากอุ้งหัตถ์แห่งทวยเทพ ผิวกายนั้นหรือก็งามวะวับประดุจสีหม้อใหม่สะอาดตา ใบหน้าคมคาย ยามแย้มยิ้มพรายทำให้เห็นเขี้ยวเล็กๆเรียงกับฟันที่ขาวสะอาดยิ่งดูแล้วชวนให้หลงเสน่ห์ อกผายเริ่มฉายแววกำยำ อิสสตรีใดที่ได้ยล ก็คงอยากจะซบลงตรงแผงอกนั้น แม้กระทั่งบุรุษด้วยกันเองก็เถอะ

รอยลักยิ้มข้างแก้มคืออีกหนึ่งเสน่ห์ที่ปรากฏให้เห็นตลอด ขณะที่เจ้าตัวค่อยๆลอยลงมาจนร่างทั้งร่างยืนบนพื้นดินเรียบร้อย ศักติและอำนาจพิเศษลึกล้ำกำจายรอบ ใครได้เห็นจะบังเกิดความยำเกรงลึกๆ ทว่าศักตินั้นลดลง ยามอยู่ต่อหน้าหลวงตาผู้เป็นพระอาจารย์

“หลานกลับมาแล้วครับหลวงตา เห็นหลวงตาให้อรุณไปตาม มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ตาจะบอกเจ้าว่า ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกลับไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว ภารกิจสำคัญรอเจ้าอยู่ สิ่งที่เจ้าฝึกฝนกับตามาหลายปีถึงเวลาที่จะได้ใช้แล้ว”

“หลานไม่อยากไป หลานอยากอยู่กับหลวงตา” เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์หุบยิ้มทันทีที่ได้ยินหลวงตากล่าวมาเช่นนั้น

“เจ้าต้องไป ไม่มีใครเลี่ยงเทวราชโองการพ้น  เทวะเกิดมาด้วยเพราะหน้าที่ หน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำให้ลุล่วง”

“แต่....” เด็กหนุ่มยังคงแย้ง ครั้นพอจะพูดต่อ แต่หลวงตาท่านตัดบทมาว่า

“ไม่มีแต่ พวกมารและอสูรเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจ้ายังขืนชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการ”

“หลานไม่กลัวพวกมัน ให้พวกมันเข้ามาเหอะ จะเผาให้วอดเลย” ความกล้าหาญถูกถ่ายทอดออกทางน้ำเสียงทุ้มกังวานก้องเกินวัยสิบแปดนัก

“ลำพังเจ้าคนเดียวสู้มันไม่ได้หรอก เจ้าไม่ใช่เทวะเต็มตัว เจ้าแค่เป็นอณูของท่าน อำนาจของเจ้ายังไม่เต็มที่ อย่าเพิ่งทระนงตนไป เจ้าต้องกลับไปสู่โลกภายนอก กรุงเทพคือที่หมายแรก เมื่อเจ้าไปถึง ที่นั่นจะมีสหายที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเจ้า มารอรับเจ้าอยู่ แล้วเจ้าก็ต้องรวบรวมสหายให้ครบเจ็ดคน สหายพวกนี้คือผู้มีอำนาจวิเศษมาแต่กำเนิดทั้งสิ้น” หลวงตาพักทอดมองศิษย์เอก แล้วกล่าวต่อ

“งานนี้เป็นงานหนัก เหล่าบริวารอสูรเองก็เริ่มเคลื่อนไหวและขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศเช่นกัน อย่าใช้อำนาจพร่ำเพื่อ และเมื่อเจ้าพบสหายทั้งหมด เมื่อนั้นจะมีเทวราชโองการประทานลงมาอีกครั้ง”

“ผมเป็นห่วงหลวงตา” ด้วยความที่ใจไม่อยากจาก...เหตุผลสารพัดจึงนำมากล่าวอ้าง

“เจ้าไม่ต้องห่วงตา ปราบอสูรสำคัญกว่า อีกอย่างเจ้าก็จากแสงสีของโลกภายนอกมานานแล้วถึงเวลากลับไปเสียที อรุณจะอยู่ที่นี่คอยดูแลตาเอง ไปเก็บของได้แล้ว เจ้าต้องเดินทางคืนนี้เลย อรุณมันคงไปตามรถในตัวหมู่บ้านมาให้เจ้าแล้วอีกสักพักคงมา อย่าให้เขารอ”

“ครับหลวงตา”

อัสดงจำต้องรับคำหลวงตาที่เลี้ยงเขามาด้วยข้าวก้นบาตรมาตั้งแต่เจ็ดขวบ เดินขึ้นกุฏิเข้าห้องไปเก็บของ เด็กหนุ่มรู้สึกใจหายที่ต้องจากหลวงตานัก เพราะที่ผ่านมาก็ได้หลวงตานี่แหละคอยดูแลมาตลอด หลวงตาท่านได้ถ่ายทอดสรรพวิทยาความรู้ และเชิงอาวุธอีกทั้งอาคมต่างๆ ที่ยากนักคนสมัยใหม่จะเข้าใจ

อัสดงถูกซ่อนเร้นจากแสงสีของโลกสมัยใหม่...และเหล่าอสูร มานานนับเกือบสิบปี
เหตุแห่งการซ่อนเร้นนี้ ก็คือเตรียมพร้อม สำหรับภารกิจใหญ่ ....ที่เป็นถึงเทวราชโองการ

ฉะนี้แล้วใครจะกล้าขัด!!

และเท่าที่อัสดงจำความได้ พ่อกับแม่ จำต้องพาเขามาฝากไว้ที่นี่ เพราะไม่สามารถเลี้ยงเขาได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน พ่อของเขาติดอันดับเศรษฐีของเมืองไทยเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เลี้ยงไม่ได้หมายถึงว่า ไม่มีวาสนาที่จะเลี้ยงมากกว่า เพราะยามที่พ่อกับแม่จับตัวเขา มือจะร้อนอย่างกับถูกไฟเผาและบางครั้งบางครายามเขาโกรธหรือไม่พอใจ ร่างของเขาทั้งร่างจะกลายเป็นเปลวไฟขึ้นมาทันที พ่อกับแม่ต่างก็หวาดกลัวในยามนั้น จนวันหนึ่งหลวงตาท่านจาริกไปบิณฑบาตหน้าบ้านนั่นแหละ เขาจึงได้มาอยู่ที่นี่

“โยม ลูกชายโยม ไม่ใช่คนธรรมดานะ โยมให้เขามาอยู่กับอาตมาสักพักเถิด มิฉะนั้นโยมเองจะเดือดร้อน เพราะอำนาจลูกชายโยม”

“ลูกชายผมเป็นอะไรครับหลวงพ่อ ทำไมถึงได้กลายเป็นดวงไฟไปได้...ลูกผมไม่ใช่คนเหรอครับ” พ่อของเขากล่าวมาด้วยสีหน้ากังวล

“ลูกโยมเป็นคนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา พูดง่ายๆ เขามีอำนาจเหนือคนธรรมดา เขามีหน้าที่ที่สำคัญรออยู่”

“แล้วใครที่ทำให้ลูกผมมีอำนาจพรรค์นั้น”

“โยมแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าเถิด นั่นแหละคือต้นกำเนิดและสิ่งที่ทำให้ลูกชายโยมมีอำนาจเช่นนี้”

ดวงสุริยาฉายฉาน กลางนภมณฑลที่มีเมฆขาวสะอาด ก่อกำเนิดแสงสว่างจ้า แสงสว่างที่ให้ชีวิตและพร้อมที่จะทำลายทุกๆชีวิตหากพิโรธ แสงที่ให้ความอบอุ่นในยามเช้า....และจะเรืองโรจน์ร้อนแรง ยามประทับเหนือศีรษะมนุษย์

“หลวงพ่อหมายความว่า ละ ลูกผม คือ........ดวงอาทิตย์” พ่อของเขากล่าวมาอย่างละล่ำละลัก

“ใช่แล้วโยม......โยมเข้าใจถูกต้องแล้ว นั่นคือต้นกำเนิดลูกชายโยม”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา อัสดง ก็มาอยู่กับหลวงตาที่นี่  เข้าเรียนที่โรงเรียนวัด เพื่อให้คนพบเห็นน้อยที่สุด ตราบที่เขายังไม่สามารถควบคุมอำนาจนั้นได้ แรกๆเขาก็งอแงและไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องที่หลวงตาบอกจะเป็นเรื่องจริง แต่ด้วยความสามารถพิเศษที่เขามีนั้น มันทำให้เขาเชื่อและยอมรับว่าเขาเป็นใคร “สุริยเทพ” คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ตัวตนที่ยากจะปฏิเสธ ซึ่งมาพร้อมกับหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้

ช่วงแรกๆ พ่อกับแม่มาเยี่ยมเขาเป็นประจำ ตอนหลังก็หายไปเพราะพ่อกับแม่ได้แยกทางกันต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวใหม่ นานๆจะมาหาสักที แล้วนี่ถ้าเขากลับไปกรุงเทพ เขาจะไปอยู่บ้านใคร ระหว่างที่เขากำลังนึกถึงอดีตอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นทำให้ อัสดงที่เพิ่งเก็บของลงเป้เสร็จลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วพบผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็ก อายุอานามประมาณสิบสอง ตาที่เคยแป๋วแดงกล่ำ มองดูก็รู้ว่าร้องไห้มา และเหตุผลก็คงไม่หนีไม่พ้น ที่ศิษย์ผู้พี่ ‘ต้องจากไป’

“พี่อัสดง รถมาแล้วครับ” อรุณศิษย์ผู้น้องนั่นเอง เขาไปตามรถมาให้อัสดงเรียบร้อยตามคำสั่งของหลวงตาแล้ว
 
“อย่าร้องไห้อรุณ พี่คงต้องไปแล้ว ดูแลหลวงตาดีๆนะ มีอะไรก็บอกพี่แล้วกัน ขอบใจมาก”

“ครับ ผมจะดูแลหลวงตาให้ดีที่สุด ....ฝากฆ่าไอ้พวกยักษ์เผื่อผมด้วย” เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะโผเข้ามากอด ผู้ที่เป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ

“เอาสิ พี่จะเผามันให้วอดไปให้หมดเลย อย่าลืมนะ นายต้องฝึก สร้างอาคมกั้นเขตปริมณฑล อย่ามัวแต่เล่นสนุก”

“ครับพี่ ยังไงพี่ก็ดูแลตัวเองด้วย”

“อืม ขอบใจ พี่ไปลาหลวงตาก่อน ฝากยกกระเป๋าลงไปด้วย“

อัสดงเอามือมาขยี้หัวศิษย์ผู้น้องอย่างเอ็นดูแล้วรีบเดินไปลาหลวงตาอีกครั้ง ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เขาต้องกลับไปเสียที ถึงเวลาที่พวกยักษ์จะได้รู้เสียทีว่า  เทพนั้นยังไงก็เหนือกว่าอสูรวันยังค่ำ เขานี่แหละจะจัดการให้มันกลับไปอยู่ใต้อุ้งบาทเทวะตลอดไป

รถจิ๊ฟเก่าคร่ำคร่าประดุจดังโครงเหล็กเก่าๆที่วิ่งได้ บัดนี้ควบปุเลงๆวิ่งฝ่าความมืดออกมาจากวัดป่าได้สักพักแล้ว เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่ว ทำให้สรรพสัตว์ที่หากินยามค่ำคืนแตกกระจายเพราะเสียงเครื่องยนต์นั้น ชายสูงวัยที่ทำหน้าที่คนขับต้องใช้ความพยายามในการบังคับรถมิให้ตกหลุมขรุขระที่มีอยู่กลาดเกลื่อน อัสดงที่นั่งตอนหน้าเคียงคู่คนขับขณะนี้ไม่ได้มองทางนั้นหรอก ได้แต่นั่งเหม่อลอยมองออกไปในความมืดไปเรื่อย

‘นี่เราต้องจากที่นี่ไปจริงๆหรือ’

อัสดงเปรยขึ้นกับตัวเองในใจ นึกๆแล้วก็รู้สึกใจหาย เพราะเขาโตมาที่นี่ ที่แห่งนี้เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งห่างไกลจากแสงสีอันศิวิไลซ์ เขาเคย “ลอย” ไปไหนมาไหนยามอยู่ที่นี่ แล้วถ้าอยู่ที่กรุงเทพ เขาคงจะลอยแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ แล้วทำไมเขาต้องไปปราบพวกอสูรพวกยักษ์ด้วย เทพองค์อื่นๆก็มี ทำไมต้องเป็นเขา ข้อสงสัยนี้เขาเคยถามหลวงตามาเช่นกัน หากคำตอบที่ได้รับคือ

“ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอก วันมีเทวราชโองการเจ้าจะรู้เอง”

อัสดงยังคงนั่งใจลอยไปเรื่อยๆ เหมือนกับรถที่วิ่งไปตามทาง ส่วนนายมะโตกระเหรี่ยงอพยพ ซึ่งทำหน้าที่คนขับ เห็นเด็กหนุ่มเงียบขรึม จึงอยากจะชวนคุยแต่ไม่กล้า ได้แต่นึกชมในใจว่า

‘ลูกศิษย์ของหลวงตาคนนี้ หน้าตาหล่อเหลากว่าพระเอกยี่เกที่เคยมาเล่นในหมู่บ้านเป็นกอง เสียอย่างเดียว ไม่ค่อยยิ้มเท่าไร’

เหตุที่นายมะโตไม่กล้าชวนคุย คงมิใช่เพราะลูกศิษย์หลวงตาไม่ค่อยยิ้มหรอก หากเป็นเพราะรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ มันทำให้รู้สึกยำเกรงอย่างประหลาด คงเริ่มตั้งแต่เห็นเดินลงมาจากกุฏิกับหลวงตาแล้ว ดูมีสง่าราศีพิกลๆ นายมะโตที่มัวแต่หันหน้ามามองอัสดงพอหันกลับไปดูทางอีกที ก็ต้องเบรกรถกะทันหัน จนทำให้หัวของอัสดงทิ่มไปข้างหน้ากระแทกกระจกเต็มๆ

“โอ๊ยลุง ลุงหยุดรถแบบนี้ หัวฉันกระแทกเลยเห็นไหม” อัสดงหน้านิ่ว เจ็บเพราะหัวกระแทก ดีนะที่หัวไม่แตก

“ตายห่า ลุงขอโทษ .....พอดีมีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ข้างหน้า ลุงไม่ทันมอง”

“เอ๊า แล้วต้นไม้ล้มมาขวางทางได้ยังไง”

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวขอลงไปดูก่อน เอ อีตอนขามาก็ไม่มีนี่นา”

ว่าแล้วลุงมะโตกระเหรี่ยงสูงวัยที่พูดไทยชัดแจ๋ว ก็กุลีกุจอรีบลงจากรถไปดูต้นไม้ต้นเหตุที่ทำให้ต้องเบรกรถกะทันหัน อัสดงได้ยินที่ลุงมะโตพูดก็รู้สึกเอะใจในคำพูดนั้นทันที แต่จะห้ามไม่ให้ลงไปก็ไม่ทันเสียแล้ว

ลุงมะโตเดินลงมาจากรถแล้วมุ่งหน้าไปดูต้นไม้ที่ล้มขวางทางนั้น หะแรกมองดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่แล้วจู่ๆต้นไม้ที่ล้มอยู่ก็เสมือนจะเขยื้อนเคลื่อนไหว คิดไปเองว่าน่าจะตาฝาด แต่พอส่วนปลายทั้งสองด้านที่พาดยาวมองไม่เห็นในตอนแรกนั้น เริ่มที่จะออกมาจากสองข้างทาง ก็รู้ได้เลยว่าสายตาตนไม่ได้ฝาดไปเลยสักนิด

และเพียงชั่วระยะเวลาเข็มตกในสภาวะตระหนก ส่วนปลายทางด้านซ้าย ก็โผล่พ้นชายดงออกมาเริ่มม้วนขดเป็นวงกลมเข้ามายังกึ่งกลางถนน พอได้ระยะ ส่วนปลายที่อยู่ทางด้านขวาจึงโผล่พ้นชายดงออกมาชูสูงขึ้นไปในอากาศที่มืดมิด เสียงหวีดหวิวดังเฟี้ยวๆ ระคนเสียงขู่ฟ่อๆ ระงมไปทั่ว แลด้วยความเร็วปานพายุพัด ส่วนหัวของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นก็พุ่งกลับลงมายังพื้นดิน จนกระทบแสงไฟสว่างจ้าหน้ารถ ทำให้หนึ่งอณูแห่งเทวะและอีกหนึ่งมนุษย์ตกตะลึงในภาพนั้น

เศียรเงื้อม ชะโงกง้ำ แผ่ขยาย     เนตรแดงคล้าย สุริยัน สาดส่อง

ต้นไม้ที่เห็นแต่แรกขณะนี้กลับกลายเป็นร่างที่มีเกล็ดเป็นมันระยับ ลำตัวใหญ่ยาวเหยียดกำลังม้วนตัวขดเป็นวงกลม  ส่วนปลายด้านขวาที่แท้ก็คือส่วนหัวนั่นเอง ดวงตาแดงก่ำดุจดวงสุริยาจ้องเขม็งเอาเรื่อง หงอนสีทองสุกใสบิดไปมา ลิ้นสองแฉกตวัดออกมาเป็นระยะๆ ลุงมะโตแทบล้มทั้งยืนตะโกนออกมาลั่น ก่อนจะสิ้นสติ ด้วยความตกใจ ฟุบไปกับพื้นถนน

“งะ งะ งูยักษ์....”

เจ้างูยักษ์ มิได้ใส่ใจมนุษย์กระเหรี่ยงต่ำต้อยนั่นหรอก หากแต่เป้าหมายของมันคือคนที่นั่งในรถต่างหาก มันจึงเบนหัวมาที่อัสดงแล้วพุ่งเข้าใส่ในทันที  อัสดงพอได้สติก็รีบกระโดดลงจากรถลงมานอนกองอยู่กับพื้นถนน ก่อนที่ศีรษะอันใหญ่โตของอสรพิษยักษ์ จะฉกลงมาที่เขา เสียงกระทบระหว่างหัวงูกับรถดังสะเทือนเลื่อนลั่น โชคดีที่เขาลงมาทัน มิฉะนั้นเขาคงต้องไปเฝ้าพระยมราชก่อนไปปราบพวกอสูรเป็นแน่ เพราะสภาพรถตอนนี้ กลายเป็นเศษเหล็กไปเรียบร้อยแล้ว

“ชิ ไอ้พวกนาค” อัสดงพึมพำเบาๆ แล้วปัดฝุ่นออกจากกางเกง ลุกขึ้นมายืนแล้วพูดกับเจ้าอสรพิษยักษ์ว่า “หลีกทางให้เรา เรากับเจ้าไม่เคยล่วงเกินต่อกัน จงไปเสีย อย่าทำให้เราเสียเวลา”

ทว่าเจ้างูมีหงอนหรือนาคตนนั้น หาได้สนใจในคำพูดนั้นไม่ ดวงตาแดงก่ำยิ่งขึ้น แล้งพุ่งสวนฉกลงมาอีกครั้งรวดเร็ว

“เมื่อพูดดีๆ ไม่ฟังก็ตามใจ เจ้ารนหาที่เองนะ”

อัสดงพูดจบก็หงายฝ่ามือขวาขึ้น เปลวไฟน้อยๆ ประทุลอยออกมาจากฝ่ามือนั้น แล้วเริ่มรวมกลุ่มหนาแน่น จากนั้นหมุนคว้าง แรงขึ้น แรงขึ้น จนกลายเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่ และทันที่ที่เศียรแห่งนาคาพุ่งฉกลงมา จักรเพลิงในอุ้งงมือนั้นก็พุ่งสวนขึ้นไป ตัดเศียรมหึมานั้นขาดกระเด็น แล้ววกกลับมาครอบลงที่ลำตัวไร้หัว เผาผลาญไปจนทั่ว จนร่างแห่งนาคาและเศียรที่ถูกตัดขาด มอดไหม้เป็นภัสมธุลี ไม่เหลือเค้าของนาคาตัวใหญ่แม้แต่เงาและร่องรอย

อัสดงยืนดูจนเจ้างูยักษ์เหลือแต่ซาก แล้วก็เดินไปหยิบเป้ที่กระเด็นลงไปอยู่ข้างทางตอนกระโดดหลบเมื่อสักครู่ แล้วยกขึ้นมาสะพายไว้กับไหล่ดังเดิม เด็กหนุ่มหันไปมองซากรถที่กลายเป็นกองเหล็กสนิมเขรอะไร้ค่า แล้วก็ต้องส่ายหน้าถอนหายใจ

“ยังไม่ทันถึงกรุงเทพ ก็แห่มากันเสียแล้ว เห็นทีคงจะไม่ได้อยู่สงบๆแล้วเรา” เขาเปรยกับตนเองก่อนจะหันมาหาสารถีที่ยังสลบไศล  “ลุง โทษทีนะ ถึงเวลาลุงได้เปลี่ยนรถแล้วล่ะ ”

อัสดงยืนอยู่นิ่งๆอีกสักพักแล้วก็เตรียมตัวเดินทางต่อ ไม่รอให้ลุงมะโตฟื้น มันคงจริงอย่างที่หลวงตาว่า พวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว นี่ขนาดเพิ่งออกมาจากเขตวัดแท้ๆทีเดียว  เห็นทีคงต้องรีบไปจัดการเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ชักช้าไม่ได้แล้ว

“ขอโทษครับหลวงตา รถพังแล้ว หลานคงต้องเดินทางด้วยวิธีเดิมแล้วนะครับ”

ว่าแล้วอัสดงก็กลายร่างเป็นเปลวเพลิงดวงใหญ่ แล้วค่อยๆลอยขึ้นฟ้าจากนั้นก็สลายวับหายไป ทิ้งร่างกระเหรี่ยงชรา ซากรถและธุลีแห่งนาคาตนนั้น ไว้เพียงเบื้องหลัง ปล่อยให้ความมืดมิดกลับมาปิดสนิทลงและแผ่ปกคลุมบริเวณป่าโดยรอบอีกครั้ง แต่ก็คงจะมืดได้มินาน เพราะหลังจากอัสดงหายวับไปเพียงแค่แวบเดียว บรรยากาศรอบข้างที่มืดสนิทยิ่งกว่ามืด ก็กลับมาสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยรัศมีสีเขียวเจือทองสว่างจ้าทันที

 รัศมีนั้นครั้นพอจางลงก็กลายเป็นร่างของเด็กหนุ่มน้อย ผู้ทรงพัสตราภรณ์ สีเขียวอ่อนก้านมะลิจนเกือบขาว เกศายาวเป็นมันขลับถูกปล่อยทิ้งไว้เบื้องหลัง กลางนลาฏคาดไว้ด้วยรัดเกล้าสีทองสุกปลั่งเป็นรูปนาคราชสองตัวไขว้เศียร รูปร่างผิวพรรณลักษณะแลเครื่องประดับที่ห้อยพระศอ บ่งบอกถึงวรรณะที่สูงศักดิ์ ดวงเนตรสุกใสสีครามน้ำทะเลดูล้ำลึก ยากที่จะหยั่งถึง หากดูแล้วงามยิ่งนัก นี่ถ้าหากมีนักกวีคนใดได้เห็น คงขึ้นบทชมโฉมให้ว่า

‘งามจริงงามเกินเทวบุตร .....แสนพิศุทธิ์มองได้ไม่รู้เบื่อ’

“ไม่เบาเหมือนกันนี่ ”  ริมโอษฐ์รูปกระจับสีสดใส แย้มเยื้อนขึ้นขับสุรเสียงไพเราะเสนาะน่าฟัง  “ไม่เสียแรงที่เป็นอณูแห่งสุริยเทพ”

หนุ่มน้อยที่เพิ่งมาถึง ตรัสจบก็เดินไปที่ซากธุลีของนาคาตนนั้น แล้วยื่นหัตถ์ซ้ายออกมาข้างลำตัว เศษธุลีที่เผาไหม้กองอยู่ที่พื้นก็ลอยขึ้นมากองอยู่บนหัตถ์ขาวเนียนนั้น แล้วกลับกลายเป็นกำไลข้อมือที่ขดเป็นตัวนาคราชซึ่งบัดนี้เศียรขาดหายไป

“ทำกำไลเราพินาศเลย แค่ล้อเล่นนิดหน่อยถึงกับต้องเผากันเป็นจุณเลยเหรอ”

“แต่ที่ฝ่าพระบาททรงทำ มันไม่เหมือนล้อเล่นเลยนะพะย่ะค่ะ หากเมื่อกี้อณูน้อยนั้นเกิดพลาดพลั้ง ฝ่าพระบาทจะทำอย่างไร” แสงสว่างวาบจากผู้ติดตาม วิบวับตามมาติดๆ แต่ไม่เจิดจ้าเท่าเด็กหนุ่มผู้ประทับยืน แสดงถึงวรรณะที่ต่ำกว่า บัดนี้ร่างผู้ติดตามได้หมอบเฝ้าอยู่กับพื้นแล้ว

“จะต้องไปทำยังไง กะอีแค่มนตราเด็กๆ แก้ไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” เด็กหนุ่มตอบมา ปลายสุรเสียงตวัดเล็กน้อย

“แต่ฝ่าพระบาทก็ไม่ควรไปล้อเล่นกับเขาอย่างนั้น”

“เหอะ เราว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะต้นกำเนิดของเขาหรอกเหรอ ....ที่ทำให้พวกเราต้องลงมาอยู่ที่บาดาล”

“แต่กระหม่อมว่า ท่านสุริยเทพไม่น่าจะเกี่ยว ที่เกี่ยวน่ะ ทูลหม่อมปู่กับสมเด็จทวดของฝ่าพระบาทต่างหาก” ผู้ติดตามยังคงขัดมาเรื่อยๆ ทำให้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เริ่มไม่พอพระทัย

“เอ๊ะ นาเคนทร์เจ้าเป็นพวกใคร เราหรือสุริยเทพนั่น เราบอกว่าเกี่ยวก็เกี่ยวสิ ก็ไม่ใช่เพราะเขามัวแต่ขับรถอวดโฉมไปทั่วเหรอ ทวดเราถึงได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องทายสีม้าของเขา จนเป็นเหตุกับพวกพญาเวนไตย” สุรเสียงเสนาะแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอพระทัยออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงพญาเวนไตยเจ้าแห่งเทวปักษีหรือพญาครุฑ

“แต่ฝ่ายเราผิดนะพะย่ะค่ะ ฝ่ายเราโกงเขาก่อน”

“นาเคนทร์ เจ้าแน่ใจนะ ว่าเจ้าไม่ได้เป็นพวกครุฑกลับชาติมาเกิด ขัดเราอยู่ได้ ไปกันได้แล้ว แล้วอย่าบอกใครล่ะว่าเราขึ้นมา”

สิ้นสุรเสียงร่างของเด็กหนุ่มก็กลับกลายเป็นแสงสว่างจ้าแล้วหายวับลับไป พร้อมกับผู้ติดตาม  “ฝากไว้ก่อนเหอะสุริยเทพ เราไม่หยุดแค่นี้หรอก เราต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิดทำไม”

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๒ นะคะ


ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
มาแล้วๆๆๆ ดีใจมากๆเลยค่า  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่๒ ฟ้าผ่ากลางสยามสแควร์

เช้านี้ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ผู้คนค่อนข้างแน่นขนัดคับคั่งกว่าทุกวันที่เคยเป็นมา ทำให้อัสดงต้องใช้เวลานากว่าจะผ่านผู้คนออกมาได้ หนุ่มน้อยเจ้าของลักยิ้มอันทรงเสน่ห์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที นี่ถ้าเป็นที่วัดป่าป่านนี้เขาก็คงลอยไปแล้วคงไม่ต้องมาเดินฝ่าฝูงชนออกมาให้ยุ่งยาก ดูอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมาสิ เขายังลอยมาที่สถานีรถไฟในตัวจังหวัดแล้วถึงได้ขึ้นรถไฟมาจนถึงกรุงเทพตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนออกเดินทาง

ในระหว่างทางที่หนุ่มน้อยเดินออกมานั้น ด้วยรูปลักษณ์ที่สะดุดตา หน้าตาที่คมคาย ทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างก็ต้องตาสะดุดหยุดกับที่ มองแล้วก็ต้องมองอีก สาวๆบางคนถึงกับทอดตาหวานมาให้ อัสดงก็ได้แค่ยิ้มตอบแต่ไม่สนใจ เดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ เพื่อจะออกนอกสถานีให้เร็วที่สุด ครั้นเมื่อออกมาได้แล้ว ก็เหลียวซ้ายแลขวาแลลังเลว่าจะไปทางไหนดี หลวงตาบอกแค่ว่าเมื่อมาถึงกรุงเทพจะมีสหายมารอรับ แล้วไอ้สหายร่วมชะตากรรมคนนั้นมันอยู่ไหนกัน

“ถ้าไม่เจอจะทำยังไงดี จะไปบ้านพ่อหรือบ้านแม่เลือกไม่ถูก” ระหว่างที่เขากำลังเปรยกับตนเองและคิดไม่ตกนั้นสายตาหลายๆคู่เริ่มจับจ้องมาทางเขาหนักขึ้น เสียงซุบซิบจากที่ดังเบาๆกลายกับเป็นเซ็งแซ่ หากแต่มีบางเสียงที่นำมาจนเด่นชัดได้ยินถนัดเต็มสองรูหูว่า

“หล่อจังเป็นนายแบบหรือว่าดารามาถ่ายหนังหรือเปล่า” เจ้าของเสียงคือไก่แก่นางหนึ่งพูดขึ้นกับแม่ปลาช่อนที่ยืนข้างๆผู้เป็นเพื่อนที่เสนอความคิดเห็นตามมา

“เออจริงๆด้วย หล่อจริงๆ หล่อกว่าพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์อีก นี่ดูเหมือนว่าเขาจะหลงทางนะเธอ ไปช่วยเขากันไหมเผื่อจะได้ซดข้าวต้มมื้อสายๆ”

อัสดงเมื่อได้ยินบทสนทนานั้นก็ได้แต่ยิ้มๆ หัวเราะเบาๆ แล้วก็ต้องส่ายหน้า “ผู้หญิงอาไร้ ไม่ไหวเอาซะเลย ถ้าเป็นสาวๆ สวยๆก็ว่าไปอย่าง แต่นี่แก่คราวแม่ นี่ถ้าหลวงตามาเห็นเข้าคงจับเทศน์เสียหลายกัณฑ์”

นังไก่แก่และนังแม่ปลาช่อนไม่พูดเปล่า ทั้งสองนางต่างก็เริ่มเดินทอดน่องมาที่อัสดงแต่ก่อนที่จะเดินถึงนั้นก็มีเหตุให้นางไก่แก่ล้มหน้าคะมำลงกับพื้นเสียก่อนเสียงดังโครม จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรี๊ดแสบแก้วหูดังลั่นว่า

“ ว๊ายยยยยย ใครถีบกู”

“โทษทีป้า.....แค่ชนยังไม่ได้ถีบ พอดีรีบวิ่งมาหาคน ไม่ได้มอง” เจ้าต้นเหตุหันมาตอบ แล้วไม่สนใจอันใดอีก

เจ้าต้นเหตุคนนี้ คือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สูงพอๆกับอัสดงหากแต่ผิวขาวกว่า รูปร่างสมส่วนสวมเชิ้ตเข้ารูปสีตองอ่อน รับกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีซีด ทรงผมทำสีสันทันสมัยราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น ดูรวมๆกันแล้วจัดว่าเป็นหนุ่มน้อยที่น่ามองอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว แล้วเจ้าหนุ่มน้อยก็หันไปพูดกับอัสดงที่ยังยืนมองอยู่เฉยๆว่า

“นายคงเป็นอัสดงใช่ไหม ฉันชื่อ เอราวัต ได้รับคำสั่งให้มารับนาย”

อัสดงมองเจ้าคนพูดก็เห็นว่า ไอ้คนนี้มันเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางไม่น่าจะเป็นสหายผู้มีฤทธิ์ร่วมชะตากรรมตามที่หลวงตาบอก หน้าอ่อนๆอย่างนี้น่ะเหรอจะมาร่วมกันปราบอสูร ด้วยความที่ผ่านการฝึกปรือแลเคยถูกสอนให้รู้ซึ้งถึงเล่ห์กลของยักษ์จึงทำให้มิยอมวางใจ เป็นไปได้ไหมที่มันจะเป็นยักษ์และอสูรพวกนั้นปลอมตัวมา แล้วจะพิสูจน์อย่างไรดี

“เฮ้ย นี่เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยดูถูกคนวะ ไม่เปลี่ยนเลยไม่ต้องมาพิสูจน์อะไรกับฉันหรอก ไอ้พระอาทิตย์เอ๊ย” หนุ่มน้อยผู้มีนามว่าเอราวัตกล่าวขึ้นเพราะรู้ว่าสิ่งที่อัสดงคิด ‘ในใจ’ นั้นคืออะไร

“นี่นายอ่านใจออกด้วยเหรอ และนายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร” อัสดงถามกลับมาด้วยความประหลาดใจ เหตุไฉนไอ้คนนี้มันถึงได้รู้ในสิ่งที่เขาคิด แต่ในเมื่อมันมีความสามารถแบบนี้ ก็คงจะหมดข้อกังขาไปได้เปราะที่ว่าหน้าอ่อนๆอย่างมันมีฤทธิ์หรือไม่มี

“ก็เออน่ะสิ นี่ถ้าไม่ใช่เทวโองการให้มาปราบอสูร ฉันก็ไม่อยากจะมายุ่งกับนายนักหรอก สุริยาทิตย์”

“ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายหรือใครมาวุ่นวายเหมือนกัน เรื่องปราบอสูรฉันว่าฉันทำคนเดียวได้ ดีกว่ามีผู้ช่วยเสียด้วยซ้ำ”

อัสดงตอบกลับก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น ปากก็พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะหลวงตาเคยบอกแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนคอยช่วยกัน ส่วนในใจก็เดินพลางคิดพลาง เนื่องจากไอ้คนที่บอกจะมาช่วย นอกจากมันจะมีฤทธิ์อ่านใจได้ เทวโองการยังเป็นอีกเรื่องที่มันก็รู้ แต่ถึงมันจะรู้ หากก็ควรอย่าเพิ่งไว้ใจ ดูทีดูท่ามันก่อน ฝ่ายส่วนเอราวัตเมื่อได้ยินสิ่งที่อัสดงพูดก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบ่นขึ้น ก่อนจะถอนหายใจมาเฮือกใหญ่แล้วรีบตามอัสดงต่อไปในทันที

“ไอ้นี่ ทั้งหยิ่งทั้งอวดดีไม่เลิกสักที”

ด้านนังไก่แก่และนังแม่ปลาช่อนได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็ได้แต่งง ครั้นพอเห็นหนุ่มน้อยผิวสีแทนเดินจากไปแล้วหนุ่มน้อยผิวขาวก็เดินตาม ทำให้นางผู้ร่านสวาททั้งสองต่างก็ได้แต่มองกันตาค้างจนลับตา 

“เห็นไหม หล่อนมัวแต่ซุ่มซ่าม เลยอดแดกข้าวต้มเลย” นังปลาช่อนพูดออกมาอย่างเสียดาย

“ไม่ต้องด่งไม่ต้องแดกมันแล้ว มาช่วยกูก่อน อีนี่ ไม่เห็นเหรอว่าข้าวต้มของหล่อน กลายเป็นข้าวเหนียวถั่วดำไปเรียบร้อยแล้วย่ะ เห็นไหมเขาตามตูดกันซะขนาดนั้น ถ้าอยากจะแดกนักก็ตามไปคนเดียวเหอะ” นังไก่แก่ตอบกลับพร้อมกับค้อนประหลับประเหลือก “มาดึงกูขึ้นซะทีสิ ไปเหอะเรา กลับไปหาผัวแมงดาที่บ้านดีที่สุด”

ฝ่ายอัสดงในเวลานี้ก็ยังคงได้แต่เดินดุ่มๆไปข้างหน้า เอราวัตเองก็ยังตามและตะโกนเรียกไล่หลังมาเรื่อยๆไม่หยุด

 “เฮ้ย รอก่อนสิวะอัสดง”  แม้นเอราวัตจะเรียกเท่าไหร่ อัสดงก็มิสนใจฟัง เอราวัตจึงตัดสินใจเหยียบอากาศกระโดดลอยมาขวางหน้า และก็โชคดีนักที่ไม่มีใครเห็นนอกเสียจากอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ที่ตนกำลังดักไว้

“ระวังหน่อย ฤทธิ์และอำนาจไม่ควรใช้พร่ำเพื่อ อาจารย์นายไม่สอนเหรอวะ”

“ก็มันจำเป็นโว้ย แล้วก็ขี้เกียจตามแล้ว นี่ไอ้พระอาทิตย์ ฟังนะเรื่องปราบยักษ์มันสำคัญนะ ถ้านายไม่ร่วมกลุ่มด้วยพวกเราทำไม่สำเร็จแน่ๆ”

“ก็เรื่องของพวกนายสิ ฉันไม่สน”

“แต่พลังของนายเหนือกว่าพวกเรานะ ยังไงซะเราก็ต้องพึ่งนาย และนายก็ต้องเป็นหัวหน้าพวกเราตามเทวบัญชา”

ประโยคนี้ของเอราวัตทำให้อัสดงสนใจฟังทันที คำว่า ‘หัวหน้า’ นั้นน่าสนใจไม่ใช่เล่น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วเขาไม่ชอบรับคำสั่งสักเท่าไร เขาชอบเป็นผู้ออกคำสั่งแลเป็นผู้นำมากกว่า อีกอย่างตอนอยู่ที่วัดป่า เขาก็เป็นศิษย์คนโต ทำให้มีแต่คนยำเกรง ฉะนี้แล้วการมารวมตัวกันปราบอสูรครั้งนี้ หาควรเป็นรองใครไม่

“นายพูดจริงนะ”

รอยลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆตรงมุมปาก นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการ จะออกรบทั้งทีตำแหน่งแม่ทัพก็ต้องเป็นของเขา เรื่องอะไรจะเป็นแค่พลทหารหรือขุนศึกกระจอกๆ

“ก็จริงสิวะ”

 “งั้น เราก็ตกลง เมื่อกี้นายบอกว่านายชื่อ... เอราวัตใช่ไหม ตอนนี้เรามีกันแค่สอง แล้วคนอื่นๆอีกห้าคนล่ะ ”อัสดงถามขึ้น

“อีกหกต่างหากโว้ย ทั้งหมดรวมเราด้วยเป็นแปด นี่อาจารย์นายไม่บอกอะไรเลยหรือไง”

“เออใช่ แปดคน ลืมไป แล้วนายรู้รายละเอียดอะไรอีกหรือเปล่า”

อัสดงใช่ว่าไม่รู้ แต่คงจะทดสอบเอราวัตมากกว่า จึงแกล้งบออกจำนวนคนผิด ซึ่งมีแต่ ‘คณะเทพ’ ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่รู้ข้อมูลนี้ เอราวัตเองก็ตอบได้ถูกควรสบายใจได้แล้ว เจอสหายที่หลวงตาว่าเสียที

“ฉันก็รู้เท่าที่นายรู้ เมื่อเรารวมตัวครบกันเมื่อไร จะมีเทวราชโองการลงมาอีกครั้ง”

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันเป็นคนที่นายตามหา แล้วเราจะเริ่มตามหาคนที่เหลือที่ไหน”

“ฉันเห็นนายผ่านข่ายพระญาณ ส่วนอีกหกคนที่เหลือบอกตรงๆว่ายังไม่รู้ว่ะ แต่ตอนนี้ฉันว่า ฉันต้องพานายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะก่อน มอมแมมโคตร แถมเสื้อผ้ายังเชยชะมัดยาด และอีกอย่างเราต้องหาที่พักให้นายด้วย ไปกันเหอะ”

เอราวัตพูดจบก็โบกมือเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาให้จอด พอได้รถก็เปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนอัสดงยังไม่ค่อยจะวางใจเท่าไรนัก จนเอราวัตต้องร้องเรียกซ้ำ ให้ขึ้นมา แล้วอัสดงก็ตัดสินใจ เอาไงก็เอากัน ครั้นพอประตูปิดสนิทเรียบร้อย เอราวัตก็บอกคนขับถึงจุดหมายปลายทางว่า

“สยามสแควร์”


ตลอดระยะทางจากหัวลำโพงถึงสยามนั้น อัสดงได้แต่นั่งมองโน่นมองนี่ข้างทางตลอด ด้วยความที่ไม่ได้มากรุงเทพเสียนานอะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปหมด ดูแล้วน่าสนใจยิ่งแต่ก็ยังสงวนทีท่าไว้ เกรงว่าเอราวัตมันจะหาว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง เอราวัตเห็นเข้าแล้วก็ล่วงรู้ถึงความคิดนั้น ก็ได้แต่หัวเราะเปรยกับตัวเบาๆ

“ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย”

“ทำไมนายถึงได้มอมแมมนักวะ” เอราวัตถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก เมื่ออยู่ในรถ

“มีเรื่องนิดหน่อย แต่พูดในนี้ไม่ได้”

แน่ล่ะลองพูดออกไปสิว่ามีเรื่องกับพวกพญานาค คนขับรถคงหาว่าเป็นลิเกหลงโรงหรือดีไม่ดีอาจจับส่งโรงพยาบาลบ้าก็ได้ อัสดงจึงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนในใจทิ้งให้เอราวัตอ่านเอาเอง

“ นี่นายไปทำอีท่าไหน ทำไมถึงไปมีเรื่องกับพวกนั้นได้ อันตรายมากเลยนะ บางทีนะพวกที่บินได้ยังต้องเกรง หลบหลีกพวกที่อยู่ในน้ำ” เอราวัตทันทีที่ทราบความจากการอ่านใจ ก็ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัสดงเมื่อคืน เขาเลือกใช้คำอื่นมาแทนที่ ดีกว่าจะเอ่ยมาว่าครุฑกับนาคโดยตรง ซึ่งถ้าคนขับได้ยินอาจจะตกใจ หาว่าบ้าอย่างที่อัสดงคิด

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่างเหอะ ว่าแต่นายยังไม่เล่าให้ฟังเลยว่านายเป็นใครมาจากไหน” อัสดงถามขึ้นมาบ้าง

“ ฉันเหรอ ฉันก็อายุพอๆกับนายแหละ พ่อฉัน แม่ฉันเป็นครูอยู่ต่างจังหวัด พอเข้ามหาลัย พ่อก็ส่งมาให้อยู่กับปู่ที่กรุงเทพ ปู่ฉันเป็นหมอดูชื่อดังเลยนะ”

“อันนั้นฉันไม่อยากรู้ สิ่งที่ฉันอยากรู้จริงๆ นั้นก็คือ นายคือใคร” อัสดงจ้องหน้านั้นอย่างจริงจัง ทำให้เอราวัตได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วหยิบโทรศัพท์ไอโฟนขึ้นมา ใช้ฝ่ามือสะบัดผ่านหน้าจอเบาๆ ฉับพลันก็บังเกิดแสงสว่างวาบเรืองรองกลายเป็นภาพเหนือจอทัชสกรีน และแล้วสิ่งต่างๆก็หลุดลอยออกมายิ่งกว่าหนังสามมิติ ปรากฏต่อหน้าเฉพาะสายตาของอัสดงให้เห็นแต่เพียงผู้เดียว ภาพนั้นหากจะบรรยายเป็นตัวอักษรก็คงบรรยายได้ว่า

“มหาบุรุษผู้เลิศลักษณา ผู้ทรงจันทรเศขร กรีดหัตถ์ตวัดเอาคชสารซึ่งล้วนแต่เป็นยอดแห่งคชลักษณะรวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดเชือก แล้วบีบด้วยอุ้งหัตถ์จนกลายเป็นผุยผง จากนั้นห่อด้วยผ้าสีเขียวดั่งมรกต แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต เสร็จแล้วทรงบริกรรมพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์จนบังเกิดเป็นเทวบุตรรูปงาม ทรงรัศมีเขียวนวลสว่างไสวกระจ่างตาอย่างน่าดูชม”

รัศมีที่เห็นในภาพ จับทั่วทั้งองค์  ถึงแม้จะจ้า แต่ก็เห็นพระพักตร์ชัด ...และพระพักตร์นี้เองก็เหมือนกับคนที่นั่งข้างๆ
แลด้วยรัศมีอันเดียวกันนี้ จึงทำให้แยกออกว่าใครคือต้นกำเนิดของใคร แล้วใครคือร่างอวตารของใคร
 
“นายคือ พระพุธ”

อัสดงยิ้มออกมาได้แล้ว เอราวัตยักคิ้วให้เป็นการแทนคำตอบว่าใช่ เมื่อหมดข้องสงสัย อัสดงจึงวางท่าทีเป็นมิตรมากกว่าเดิม เพราะไหนๆ องค์ต้นกำเนิดก็เคยประชุมที่เทวสภาด้วยกันมาก่อน  ทำงานกับพวกคุ้นเคยอย่างนี้จึงโล่งใจนัก

“เก่งนี่ทายถูกด้วย นี่แค่ตำนานเดียวนะโว้ย ยังมีอีกหลายคลิป ที่แย่ที่สุด ตำนานที่ว่าฉันเป็นลูกชู้ของเมียพระพฤหัสเกิดกับพระจันทร์นี่สิ ขายหน้าที่สุด ไม่มีสื่อไหนแก้ข่าวให้ด้วย ” เอราวัตกระซิบเบาๆ ทำให้อัสดงหัวเราะออกมาได้ เป็นครั้งแรก


“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยอัสดง นายเองก็เหอะ ได้ข่าวว่าแม่ไม่ยอมพาไปเฝ้าพ่อเหรอ ถึงต้องได้ขับรถทั่วท้องฟ้า”

“ใครบอกว่าไม่พาไป พาไปโว้ย แต่ขี้เกียจอยู่ สู้ขับรถดูสาวๆไม่ได้” อัสดงตอบมาทีเล่นทีจริง ความกินแหนงแคลงใจระแวงว่าเอราวัตจะมีเจตนาไม่ดีหายไปหมดสิ้น

“ถึงว่า เดี๋ยวพอถึงสยามแล้ว นายได้ดูสาวๆอย่างเต็มตาแน่ ว่าแต่ เราสองคนเกิดมาจากไหนกันแน่เนี่ย ฉันก็ยังงงๆเหมือนกัน”

“นั่นสิไอ้พระพุธ ไว้เวลามีข่าวจากข้างบนลงมานายก็ถามท่านสิ”อัสดงเสนอขึ้นเข้าท่า

“แล้วทำไมนายไม่ถามเองล่ะ ไอ้ดวงไฟลูกใหญ่”

“เพราะฉันกลัวได้คำตอบว่า เราสองคนเป็นลูกท่านน่ะสิ”

สิ้นเสียงของอัสดงก็เรียกเสียงหัวเราะจากเอราวัตได้ไม่หยุด ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันลั่นรถ มิตรภาพเริ่มก่อตัวขึ้นแล้วระหว่างอัสดงและเอราวัต ทีนี้ก็เหลือแต่ช่วยกันตามหาอีกหกให้ครบเรื่องจะได้กระจ่างสักที คนขับรถแท็กซี่ได้ยินบทสนทนานั้นทั้งหมดก็ได้แต่ทำหน้างงๆ ส่ายหน้าช้าๆ

“เด็กสองคนนี่คุยอะไรกันแปลกๆ เต็มหรือเปล่า”

เมื่อถึงสยาม เอราวัตก็บอกให้รถจอดตรงหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังบริเวณนั้นแล้วพาอัสดงข้ามฝั่งมาเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านประจำฝั่งตรงข้าม อัสดงรู้สึกแปลกตากับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ ทุกอย่างดูทันสมัย ต่างกันลิบลับกับตอนที่เขาเด็กๆ ดูอย่างการแต่งตัวของสาวๆที่นี่ ก็นุ่งน้อยห่มน้อยเสียจนไม่น่ามอง หน้าตาก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหน จมูกแหลมๆหน้าแหลมๆพิกล แถมยังแต่งหน้าทาปากเสียดูไม่ได้ นางฟ้าที่วรรณะต่ำสุด ก็ยังสวยกว่าผู้หญิงพวกนี้หลายเท่านัก

“เนี่ยนะเอราวัต สาวๆที่นายบอก หน้าแปลกๆตาโตๆ เหมือนจะพิการ คล้ายผีดิบ ยังไงก็ไม่รู้”

“นายไปอยู่ไหนมาวะ ....เนี่ยอินเทรนด์สุดๆแล้ว โคเรียนฟีเวอร์”

“เหรอ...งั้นนายต้องไปเห็นที่วัดป่าที่นั่นสาวๆสวยกว่านี่อีกร้อยเท่า แล้วนายจะเปลี่ยนใจ”


ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“สาวที่ไหนไปอยู่ที่วัดป่าวะ” เอราวัตถามขึ้นอย่างสนใจ

“ก็พวกนางฟ้า นางไม้เวลามาฟังเทศน์ตักบาตรกับหลวงตา ฉันเห็นจนเบื่อ”

ท่าทางอัสดงคงจะเบื่อจริงๆ เพราะแสดงออกมาทั้งน้ำเสียงและแววตาได้อย่างครบถ้วนเพราะบรรดาแม่เทพธิดาพวกนั้นต่างก็ทอดสายตาให้อัสดงเสมอๆ เวลามาที่วัด บางนางถึงกับกวักมือเรียก จนบางทีเขารู้สึกรำคาญด้วยซ้ำ ต้องเดือดร้อนอรุณศิษย์ผู้น้องคอยเป็นไม้กันนางฟ้าอยู่เรื่อยๆ

“โธ่นั่นมันนางฟ้า นี่มันมนุษย์เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีโอกาสก็แนะนำให้ฉันสักคนนะ”

เอราวัตกล่าวตอบยิ้มๆแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาพาอัสดงเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ เข้าร้านนี้ออกร้านนู้นจนได้ของครบ  แล้วอัสดงก็สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ เสื้อผ้าที่ดูทันสมัยอย่างเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป ทำให้เขาน่าดูยิ่งขึ้นจากเดิมที่ใครเห็นก็ว่าน่าดูอยู่แล้ว ยิ่งมาแต่งตัวแบบนี้เลยทำให้ดูดีไม่หยอก แม้แต่เอราวัตเองเห็นเข้ายังต้องเอ่ยปากกล่าวชม

“นายนี่หล่อไม่เบาเลยนะ”

“ของมันแน่อยู่แล้ว....ว่าแต่เราไปจากที่นี่กันเหอะ ฉันอยากพักผ่อน ” อัสดงคงจะเพลียจัด ไหนจะรบกับนาคเมื่อคืน ไหนจะเดินทางมากรุงเทพ แถมเอราวัตยังพามาซื้อของอีก

“ไอ้บ้ายอ....ก็ได้ กลับก็กลับ ฝนเหมือนกำลังจะตกด้วย แปลกจังเมื่อกี้แดดยังจัดอยู่เลย”

ยังไม่ทันจะขาดคำของเอราวัต เสียงแปะๆของหยาดน้ำเม็ดใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ทำให้ผู้คนต่างวิ่งหลบเข้าที่ร่มกำบังฝน จู่ๆฝนตกได้อย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีเค้ามาก่อน ทั้งสองหนุ่มน้อยก็จำต้องวิ่งหาที่หลบฝนเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ จนมายืนอยู่ที่หน้าซอยเล็กๆข้างๆโรงหนังเก่าแก่ ลมก็พัดรุนแรงยิ่งขึ้น แต่แปลกที่ยังมิใช่พายุ แถมยังมีสายอัสนีบาตฟาดผ่านจากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง สลับไปสลับมา ก่อให้เกิดเสียงดังพรั่นพรึงยิ่ง จนบางครั้งบางคราเหมือนว่าดังอยู่ใกล้ๆหูนี่เอง

อีกทั้งความหนาวเย็นก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่ว ฉับพลันความรู้สึกแปลกๆ ก็บังเกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่ต้องหันมามองหน้ากันเพราะความรู้สึกอันนั้น มันเป็นความรู้สึกอันนุ่มนวลอ่อนโยน จนถึงขั้นน่าหลงใหล วาบวับจับใจ สอดแทรกเข้ามาในจิตใจของคนทั้งสองท่ามกลางห่าพายุฝน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังครุ่นคิดหาสาเหตุแห่งความรู้สึกนี้นั้น สายตาของเอราวัตก็มองเห็นไปยังอีกฟากของถนน ซึ่งมีหนุ่มนักศึกษากำลังสาละวนวิ่งหลบฝนที่เริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจากฟากฝั่งตรงข้าม จนข้ามมายังฝั่งฟากทางเขาสองคน แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็มายืนหลบฝนอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับสลัดน้ำออกจากผมที่ยาวเคลียบ่า ทำให้น้ำกระเซ็นไปโดนอัสดงกับเอราวัตที่ยืนอยู่ก่อน

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวขอโทษขึ้น เพราะเห็นว่าเอราวัตกำลังเช็ดหยาดน้ำที่กระเซ็นมาโดนเขา ตอนแรกเอราวัตตั้งใจจะต่อว่าสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ทำให้โกรธไม่ลง  แถมความรู้สึกก็ยังผันแปรเป็นความอ่อนหวานกำซาบซ่านมากขึ้นกว่าเดิม

“ไม่เป็นไรครับ” เอราวัตกล่าวตอบหนุ่มน้อยนักศึกษาแล้วก็ยิ้มให้ อัสดงเองก็รู้สึกแปลกใจ ความรู้สึกนุ่มนวลแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็เริ่มบทสนทนาชวนทั้งสองคุย แลสองอณูก็อดไม่ได้ที่จะต้องแย้มเยื้อนตอบ

“แย่จังนะครับ ฝนตกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย”

“ฝนตกไม่เท่าไรหรอกครับ แต่ฟ้าร้องฟ้าผ่าสิ เสียงแปลกๆ” ยังมิทันจะสิ้นเสียงของเอราวัต อัสดงก็ผลักสองหนุ่มที่กำลังยืนคุยกันล้มกระเด็นลงไปนอนอยู่กับพื้น แล้วตะโกนลั่น

“ หลบเร็ว”

โชคดีที่อัสดงเห็นสายวัชระพุ่งปราดเป็นลำลงมาจากฟากฟ้า จึงหลบไปได้ทัน สายฟ้านั้นมันมาดหมายตรงบริเวณที่หนุ่มน้อยทั้งสามยืนอยู่ เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้งสามบัดนี้ที่ลงไปนอนคลุกน้ำฝนอยู่กับพื้น พอยืนขึ้นมาได้ ก็เห็นว่าบรรยากาศรอบข้างมืดลงโดยฉับพลันแสดงว่ามีใครบางคนดึงพวกเขาเข้ามาในอาณาเขตแห่งมนตราแล้ว

อัสดงไยจะมิรู้ อาณาเขตมนตรา คืออาคมที่กางกั้นยามสู้รบในมนุษย์โลก เป็นการจำกัดพื้นที่และมิให้ศาสตราวุธและอาคมที่ใช้รบพุ่งกระทบโลกภายนอก....อาณาเขตมนตรานี้ มิใช่มีแค่เทวะที่ทำได้ หากแต่อสูรก็ทำเป็น   

“พวกอสูร”

อัสดงกล่าวขึ้นกับเอราวัต เพื่อบอกให้สหายหนุ่มเตรียมตัวรับมือ ลำพังเพียงเขากับเอราวัตหากสู้กับอสูรตอนนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นอณูแห่งเทวะ แต่ไอ้มนุษย์ธรรมดาอย่างไอ้เด็กคนนี้น่ะสิ จะทำยังไง มันโดนดึงเข้ามาด้วยในสนามรบ คงเป็นภาระให้เขาทั้งสองห่วงหน้าพะวงหลังไม่น้อย

“นายคอยหลบอยู่ข้างหลังพวกฉัน อย่าตกใจและกลัวในสิ่งที่เห็น”

เอราวัตกล่าวกับเจ้าหนุ่มนักศึกษา พร้อมกับดึงตัวเจ้านั่นเข้ามาหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา  สายฟ้ายังคงฟาดมาอีกครั้ง ครานี้ฟาดลงตรงหน้าพวกเขาทั้งสาม ประกายวัชระวาบแวบแสบตานั้นเริ่มรวมเป็นร่างสูงใหญ่ตระหง่านเงื้อม ใบหน้าถมึงทึงเขี้ยวขาวโง้งงุ้มออกมานอกริมฝีปากหนาที่กำลังแสยะยิ้ม ในมือถืออาวุธเป็นขวานเพชรระยิบระยับ ประจุไฟฟ้าแล่นไปทั่ว

“รามสูร”

อัสดงกล่าวขึ้น แล้วก็มิรอช้าหงายฝ่ามือข้างลำตัวจนบังเกิดเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงพวยพุ่งออกมา ก่อนหมุนคว้างรวมตัวกลายเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่  ส่วนเอราวัตก็ใช้ปลายนิ้วสัมผัสพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ฉับพลันหยาดน้ำที่เนืองนองอยู่นั้นก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นโล่แลดาบสีใสดุจสายน้ำอยู่ที่มือทั้งสองข้างของเขา ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังยังคงยืนนิ่ง ดูทีท่ามิค่อยแปลกใจในภาพที่เห็น จนเอราวัตย้ำมาอีกครั้งว่า

“นายไปหลบตรงข้างเสานั่นดีกว่า”

เด็กหนุ่มคนนั้นพยักหน้ารับคำ วิ่งไปหลบตามที่เอราวัตบอก แต่ก็หลบมิได้มิดชิดนัก กลับเบี่ยงตัวออกมาคล้ายจะรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

“ความจำท่านยังดีนี่ ท่านสุริยาทิตย์ วันนี้ข้ามาไม่เสียเที่ยวนอกจากท่านแล้วยังมีท่านพระพุธด้วย ช่างบังเอิญและเป็นโชคดีอะไรเช่นนี้ มาพร้อมๆกัน  ข้าไม่ต้องตามหาให้เหนื่อย”

“ไอ้พวกอสูรต่ำศักดิ์เจ้าคิดเหรอว่าจะทำอะไรเราได้ ขนาดแค่เทพธิดาเมขลาเจ้าก็พ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน อย่าบังอาจหาญกล้ามาต่อกรกับพวกเรา หลีกไปก่อนที่จะกลายเป็นธุลี” น้ำเสียงของอัสดงกึ่งดูถูกกึ่งเย้ยหยันเจ้ารามสูร ทำให้เจ้าของหน้าถมึงทึงยิ่งดุดันขึ้นไปอีก แน่ะล่ะการปราชัยให้แก่พระนางเมขลาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ตนอับอายเป็นที่ยิ่ง และรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่มีใครหยิบยกปมด้อยนี้ขึ้นมาพูด

“นั่นมันตอนนั้น แต่วันนี้ ตอนนี้ พวกท่านทั้งสองอย่าหวังว่าจะมีโอกาสได้กลับสวรรค์เลย ข้าจะกำจัดพวกเทวดาอวตารให้หมด แล้วพวกอสูรอย่างเราจะกลับมายิ่งใหญ่เหนือพวกท่าน คอยดูเหอะ”

“พวกเราต่างหากที่ควรบอกเจ้าเช่นนั้นรามสูร เราขอเตือนอีกครั้ง หลีกไป แล้วเราจะให้อภัยเจ้า ที่เจ้าล่วงละเมิดเราทั้งสองเมื่อสักครู่” เอราวัตพูดขึ้นกับจอมอสูรแล้วขยับดาบที่ถืออยู่ในมือชี้ไปทางเจ้าอสูรต่ำศักดิ์ตนนั้น

“ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านเหรอ”

รามสูรยกขวานเพชรที่อยู่ในมือแล้วฟันฟาดลงมากลายเป็นสายฟ้าพุ่งตรงมายังร่างอวตารแห่งพระพุธ เทวะน้อยยกโล่กำบังสายฟ้านั้นไว้ แล้วตวัดดาบที่ถืออยู่ในมือออกไปกลายเป็นสายน้ำอันคมกริบพร้อมจะตัดทุกสิ่งให้ขาดกระเด็น จอมอสูรเกเรฟาดขวานลงมาอีกครั้ง ครานี้สายฟ้ากระทบสายน้ำก่อให้เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น รามสูรเซถลาไปเล็กน้อย อัสดงไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไป ขว้างจักรเพลิงออกไปทันที จอมอสูรซึ่งกำลังเสียหลักรีบเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ไม่วายถูกอำนาจแห่งจักรนั้นเผาผลาญ จนทำให้ต้องเสียเลือดหยดแรก

“โอ๊ย”

รามอสูรถึงแม้จะบาดเจ็บแล้วแต่ก็ยังสู้ไม่ถอย ขว้างขวานออกไปไม่หยุดยั้งแสงวัชระและเสียงกัมปนาทดังไปทั่ว เทวะน้อยทั้งสองต่างก็ต้องหลบหลีกกันเป็นพัลวัน แต่ก็ไม่วายตอบโต้ซัดกลับมาจนจอมอสูรแทบจะรับมือไม่ไหว ฉับพลันสายฟ้าสายหนึ่งของจอมอสูรที่ถูกเอราวัตปัดออกไปด้วยดาบนั้น ก็พุ่งแฉลบไปยังเสาที่เจ้านักศึกษาหลบอยู่ อัสดงเห็นเข้าจึงตะโกนออกมาลั่น

“เฮ้ยยย หลบเร็ว” ครั้นสิ้นเสียงของพระอาทิตย์รูปงาม แรงระเบิดนั้นก็ดังขึ้นทำให้ร่างในชุดนักศึกษากลิ้งหลุนๆออกมาทันที แลรามสูรก็เห็นว่า มีผู้ที่ไม่ได้รับเชิญ

 ‘ทำไมมนุษย์เข้ามาในข่ายมนตราข้าได้ ข้าดึงแต่เทวะ ไม่ได้ดึงมันมา เหอะ ไหนๆมันก็หลุดมาแล้ว ลองจับมันมาต่อรองดีกว่า เผื่อไอ้เทพทั้งสองมันจะเห็นค่าของชีวิตมนุษย์แล้วยอมศิโรราบ’

จอมอสูรคิดได้ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีไปที่มนุษย์น้อยนั้นแทน เอราวัตเห็นท่าไม่ดีจึงกระโดดเข้าไปช่วย แต่ด้วยความที่ห่วงหน้าพะวงหลังทำให้เขาพลาดโดนสายฟ้าแฉลบกระแทกเข้าสีข้าง จนร่างกระเด็นไปหลายเมตร อัสดงรีบเหิรไปรับร่างสหายไว้แล้วพยุงขึ้นมา

 “เป็นไรหรือเปล่าเอราวัต”

“ไม่เป็นไร แค่เคล็ดๆ คันๆ รีบไปดูไอ้คนนั้นเถอะ”

เมื่อทั้งสองกำลังจะลุกขึ้น ก็พบว่ารามสูรกำลังจะถึงตัวเจ้านักศึกษาแล้ว ทั้งอัสดงและเอราวัตตะโกนออกมาแข่งกับเสียงฟ้าร้องลั่นว่าให้หนีไป แต่เด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของอณูน้อยทั้งสอง หนำซ้ำยังยืนอยู่กับที่เหมือนโดนมนต์สะกดอีกด้วย

อีกไม่กี่ช่วงแขน รามสูรกำลังจะถึงตัวแล้ว เจ้านั้นมันก็ยังไม่ไหวติง ฝ่ามืออันใหญ่โตของยักษ์เกเรกำลังจะถึงตัวอยู่รอมร่อ ทันใดนั้นเจ้าเด็กหนุ่มจึงขยับเอามือทั้งสองมาพนมอยู่กลางระหว่างอกทำให้บังเกิดแสงสีเงินนวลสว่างจ้า พอมือทั้งสองแยกออกจากกันดาบอันยาวอย่างยิ่งเล่มหนึ่งก็ยืดออกมาจากฝ่ามือนั้นแล้วตวัดไปที่แขนแห่งรามสูรทันที  บังเกิดเป็นเสียงดังฉับพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญดังลั่น จอมอสูรผู้ประมาทและชะล่าใจไม่ทันระวังตัวเห็นว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา จึงถูกดาบเล่มนั้นตัดแขนขาดกระเด็น แขนอีกข้างที่กำลังถือขวานวิเศษอยู่นั้นก็เงื้อขึ้นหมายจะประหารเจ้ามนุษย์ผู้ประหลาด แต่ก็ต้องชะงักงัน เพราะจู่ๆ ก็ปรากฏดวงมณีเล็กๆแต่ทว่าเจิดจ้าลอยอยู่กลางลำตัวเจ้ามนุษย์คนนั้น แสงเหลืองนวลจากมณีนี้ดูแล้วบาดตาบาดใจเป็นที่ยิ่ง ทำให้รามสูรลืมความเจ็บปวดและการมุ่งเอาชีวิตเปลี่ยนเป็นกระโจนไล่ไขว่คว้าอัญมณีดวงนั้นแทน

“เร็วเข้าสิ จังหวะนี้แหละ โจมตีเลย”

หนุ่มน้อยปริศนาในคราบนักศึกษาตะโกนบอกอัสดงกับเอราวัตที่ยังตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่คาดฝัน ก็พลันได้สติเพราะเสียงนั้น แล้วทั้งสามก็พร้อมใจกันสาดอาวุธเข้าใส่เจ้ารามสูร เจ้ายักษ์เขลาผู้ซึ่งมัวแต่ไขว่คว้าดวงแก้วนั้นไม่ทันระวังตัว ทำให้ต้องอาวุธแห่งเทวะทั้งสามก่อเกิดเสียงระเบิดดังลั่นแลร่างแห่งอสูรนั้นก็ดับดิ้นสิ้นฤทธีเหตุเพราะตามแสงแห่งดวงมณีนั่นเอง

ดวงมณีดวงน้อยยังลอยคว้างอีกพัก แล้วจึ่งลอยกลับมายังมือเจ้าของแล้วก็สลายหายวับไปพร้อมกับอาณาเขตมนตราบรรยากาศรอบข้างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งไม่มีวี่แววของสายฝนและสายฟ้าเลยสักนิด ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่บริเวณนี้ เด็กหนุ่มทั้งสามยังคงยืนอยู่ที่เดิม อาวุธที่ถืออยู่ทั้งหลายก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ทั้งสามยังคงยืนหอบเพราะเหนื่อยกับการโรมรันกับยักษ์อันธพาลเมื่อสักครู่ เอราวัตนั้นที่โดนสายฟ้าฟาดตรงสีข้างเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบๆตรงชายโครงจนเกือบทรุด เด็กหนุ่มปริศนาจึงเข้าไปช่วยประคอง

“เป็นอะไรมากไหม นั่งพักก่อนดีกว่า”

“ฉันไม่เป็นอะไรมาก ขอบใจที่เพิ่งแสดงตัว ว่านายไม่ใช่คนธรรมดา”

“ใจเย็นๆก่อนสิ มา..ฉันช่วย”

เอราวัตปัดมือนั้นออกด้วยความโมโห ไอ้เวรนี่เขาสู้อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะโดนยักษ์ฆ่าตายห่าดันเสือกซ่อนคมซะได้ มันเป็นใครกัน ครั้นพอยิ่งมองก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า หน้าตาคุ้นๆ หน้ามันหวานๆ ตามันใสๆสวยอย่างกับตากวาง ขนตานั้นมันก็งอนอย่างกับผู้หญิง ปากนิดจมูกหน่อย เจ้าสำอางแบบนี้เคยเห็นที่ไหน  แถมน้ำเสียงหวานๆใสๆของมันก็ยิ่งคุ้นหูอีกด้วย

“ต่อยแม่งสักทีเหอะ”

อัสดงเองก็โมโห จึงคว้าคอเสื้อและเงื้อหมัดกำลังจะฟาดกำปั้นลงมาที่หน้าของไอ้หนุ่มปริศนานั้น ฉับพลันความรู้สึกที่กำลังร้อนรุ่ม โมโห ก็มลายหายไปรวดเร็ว แล้วความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวานก็เข้ามาแทนที่เพียงแค่หน้าของหนุ่มปริศนายิ้มมาให้

“บอกแล้วไง ใจเย็นๆก่อนสิเพื่อน ขอโทษที่ทำให้โมโห”

น้ำเสียงนุ่มๆ ปนออดอ้อน กล่าวขึ้นมาแถมรอบกายของเด็กหนุ่มคนนี้ยังมีรัศมีเหลืองนวล พอเห็นเข้าทำให้อัสดงกับเอราวัตคลายความโมโหลงหมดสิ้น ความรู้สึกอ่อนหวานเริ่มรุนแรงและยังคงแผ่กระจายมาเรื่อยๆ เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามันมาจากตัวไอ้คนนี้นี่เอง

“นายเป็นใคร”

อัสดงพูดจบพร้อมกับปล่อยคอเสื้อของไอ้เจ้านักศึกษาคนนั้นให้เป็นอิสระแล้วรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ริมฝีปากแดงธรรมชาติอ่อนระเรื่อ แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างสบายๆว่า

“เราชื่อทรงกลด ...อณูของจัทรเศขรผู้เป็นปิ่นแห่งมหาศิวะ ยินดีที่ได้เจอนายสองคนอีกครั้ง ไอ้ดวงไฟ ไอ้พระพุธ”

“ไอ้พระจันทร์!!!”

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๓ นะคะ

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่๓ คืนวันพระจันทร์ทรงกลด

“ทรงกลด”หรือเด็กหนุ่มปริศนาที่ถูกอัสดงและเอราวัตเรียกว่า “ไอ้พระจันทร์” นั้น บัดนี้ยืนยิ้มแถมยังยักคิ้วให้ทั้งสองหนุ่มอย่างยียวน เอราวัตเห็นอีกฝ่ายยิ้มแบบนั้นก็แทบจะเข้าไปเตะให้หายโมโหสักที

“ไอ้นี่ทำไมไม่แสดงตัวตั้งแต่แรก ฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวเพราะห่วงหน้าพะวงหลัง”

“โทษที เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายสองคนลงมาจากข้างบน ในโองการแรกบอกไว้แค่แปด แต่ไม่ได้บอกว่าใครบ้าง อีกอย่าง พวกเราอยู่ในสภาพของมนุษย์ยากที่จะจำกันได้ แต่เราก็รู้สึกถึงพลังของพวกนายนะ คนนึงร้อน อีกคนนึงเย็นๆเหมือนน้ำ เลยรีบเดินมาหาไง แต่ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง พอดีเกิดเรื่องซะก่อน” ทรงกลดกล่าวตอบเอราวัตใบหน้าไม่วายยิ้มระเรื่อ

“นี่นายได้เทวโองการเหมือนกันเหรอ ถ้าอย่างนั้นคงเดาไม่ยากแล้วล่ะ ว่าอีกห้าคนที่เหลือมีใครกันบ้าง”อัสดงพูดขึ้นหลังจากระงับโทสะได้แล้ว

“ใช่ เดาไม่ยากแล้วล่ะ เออ แล้วพวกนายชื่ออะไรกันบ้าง หรือจะให้เรียกชื่อเดิมดี” ทรงกลดถามขึ้น

“ฉัน เอราวัต ส่วนไอ้รูปหล่อนี่ มันชื่ออัสดง แล้วนี่พวกเราจะยืนคุยกันอย่างนี้เหรอ ฉันว่าพวกเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า ฉันเริ่มๆจะจุกอกแล้ว สายฟ้าไอ้ยักษ์นั่นเล่นเอาแสบซี่โครง”เอราวัตเสนอขึ้น พร้อมเอามือกุมสีข้างไว้

“เรียกฉันว่าทรงกลดหรือกลดก็ได้ แต่นั่นสิ นายบาดเจ็บนี่นา ฉันว่าไปกินข้าวบ้านฉันแล้วนั่งคุยกันเลยดีกว่า ที่นั่นปลอดภัย อยู่แถวนี้เดี๋ยวอะไรโผล่มาอีก” ทรงกลดกล่าวชักชวนให้สหายเทวะไปยังบ้านของตน เอราวัตนั้นแสดงสีหน้ายินดีอย่างยิ่งเรื่องกินเรื่องเที่ยวขอให้บอกส่วนอัสดงยังคงทำหน้าลังเลจนเอราวัตต้องบอกว่า

“ก็ดีเริ่มหิวแล้วด้วย ไปเถอะอัสดง นายบ่นเหนื่อยไม่ใช่เหรอ”

“แต่นายต้องพาฉันไปหาที่พักไม่ใช่เหรอไอ้พระพุธ” ใช่สิที่พัก..เอราวัตนั้นลืมเสียสนิท

“ไม่ต้องหาที่ไหนหรอก.... พักที่บ้านฉันนั่นแหละ จะอยู่นานสักเท่าไรก็ได้ หรืออยู่เลยยิ่งดี ทุกอย่างฟรีตลอดรายการ ฉันจะได้มีเพื่อนแก้เหงา แล้วอีกอย่างเวลาจะคุยกันจะได้สะดวก”ทรงกลดกล่าวชวนมาอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ดีสิ .....นายได้ที่พักแล้วอัสดงไม่ต้องหาให้เหนื่อย แต่ฉันขอไปพักด้วยคนนะ จะได้สนุกๆ” เอราวัตกล่าวตอบตกลงแทนอัสดงเพราะเขาชอบอะไรที่แปลกใหม่ยิ่งการเดินทางรอนแรมไปพำนักในที่ต่างๆแล้ว เขาโปรดปรานเป็นที่สุด

“ได้สิไอ้ลูกชาย นานๆจะได้มานอนกับพ่อซะที”

“ถ้านายเรียกฉันว่าลูกชายอีกที ฉันเปลี่ยนใจไม่ไปจริงๆด้วย” ครานี้เอราวัตทำหน้าย่นใส่ ส่วนอัสดงก็ได้แต่หัวเราะเพราะเขารู้ดีว่าเอราวัตนั้นเซ็งกับข่าวลือเรื่องนี้เป็นที่สุด ข่าวลือที่ว่า “เขาเป็นลูกชู้ของพระจันทร์”

“อ๊ะ ก็ได้ไปกันเหอะ” ทรงกลดยักไหล่เล็กน้อยแบบกวนๆ เอราวัตด้วยความหมั่นไส้จึงต่อยไปที่ไหล่นั้นเบาๆ ทรงกลดก็ไม่น้อยหน้า แกล้งยกขาเตะไปที่ชายโครงของเจ้าเอราวัต ซ้ำรอยสายฟ้าฟาดทำให้เจ้าตัวต้องหน้านิ่วเอามีกุมสีข้างเอาไว้อีกครั้ง

 “เจ็บนะโว้ยยย ไอ้เวรกลด”

เสียงหัวเราะของสามหนุ่มน้อยดังทั่วบริเวณนั้น มิตรภาพเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะเจอกันแค่วันเดียวแต่ตัวตนจริงๆของพวกเขานั้น รู้จักกันมานานแสนนาน  ทรงกลดเดินนำสหายทั้งสองไปเรียกรถแท็กซี่ที่มีอยู่ดาษดื่นบริเวณนั้น พอขึ้นรถพวกเขาก็มุ่งหน้าสู่บ้านของทรงกลดตามคำชวนทันที

เทวะน้อยทั้งสามจะรู้ไหมว่าเมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ยังมีสายตาคู่หนึ่งนั้นจ้องมองอยู่ เจ้าของสายตาคู่นั้นหยุดพ่นน้ำ ในสระน้ำพุจำลองที่ตั้งอยู่หน้าร้านสปาหรู ดวงตาโปนกลับกลอกไปทั่ว ลิ้นที่ถูกปั้นด้วยปูนบัดนี้เคลื่อนไหวตวัดแปลบปลาบ หงอนสีแดงสดเริ่มบิดไปมา เหตุการณ์ทั้งมวลรวมถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกไว้โดยตาโปนแดงก่ำอย่างครบถ้วนดุจเครื่องอัดวีดีทัศน์ชั้นดี เมื่อทุกอย่างสงบลงและสิ่งที่นายของมันต้องการได้มาครบถ้วนแล้ว มันจริงเลื้อยลงไปในสระจำลองนั้น และหายลับลงไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

เด็กหนุ่มน้อยเจ้าของพัสตาภรณ์สีเขียวอ่อนก้านมะลิ บัดนี้กึ่งนั่งกี่งนอนอยู่บนพระยี่ภู่ใจกลางสุวรรณคูหา ผนังถ้ำทุกด้านดุจกรุไว้ด้วยเพชรและอัญมณีมีค่าหลากหลาย ส่องแสงประกายวิบวับ ในพระหัตถ์ยังคงถือกำไลนาคราชที่โดนไฟแห่งสุริยเทพแผดเผาทำลาย

“ล้อเล่นนิดหน่อย ทำเป็นโกรธ นี่น่ะหรือเทพชั้นผู้ใหญ่ เฮอะ ไม่เห็นน่าไหว้สาเลย”

เสียงเสนาะนั้นเปรยกับองค์เองเบาๆ บรรดานางข้าหลวงที่หมอบเฝ้าอยู่ต่างก็ได้แต่หมอบอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้าพระพักตร์ เพราะเมื่อไรที่ทรงอยากประทับอยู่องค์เดียวนั่นแหละหมายความว่าทรงกริ้วจริงๆหรือไม่ก็ไม่พอพระทัยอะไรสักอย่าง

แล้วแสงวูบวาบก็สว่างขึ้นหน้าที่ประทับกลับกลายเป็นร่างของบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นกล่าวมาเสียงดังฟังชัดกับนางข้าหลวงเวรว่า “ทูลหม่อมเล็กประทับอยู่ไหม เรามีเหตุต้องเข้าเฝ้าเป็นการด่วน”

“อยู่เจ้าค่ะ .....แต่ยังไม่โปรดให้ผู้ใดเฝ้า รบกวนท่านราชองครักษ์กลับไปก่อน หากมีรับสั่งเรียกเมื่อไรเราจะไปตามท่าน”

“เจ้าไม่ได้ยินหรือไง ว่าเรามีเหตุต้องเข้าเฝ้าเป็นการด่วน” ราชองครักษ์ย้ำมาอีกครั้ง

“แต่......”นางข้าหลวงกำลังจะตอบโต้มาอีก แต่แล้วเสียงเสนาะก็ดังขึ้นมาจากด้านใน

“ให้นาเคนทร์เข้ามาได้”

พอสิ้นพระสุรเสียงนางข้าหลวงก็จำต้องถดถอย เจ้าองครักษ์กำยำหันมายิ้มเยาะ ประหนึ่งจะบอกว่า  ‘เห็นไหมล่ะ หลีกทางตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง’ และเพียงชั่วแวบเจ้าราชองครักษ์หรือนาเคนทร์ก็ได้เข้ามาเฝ้าอยู่หน้าพระพักตร์แล้วก็หมอบราบกราบทูลถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในวันนี้ทั้งหมด

“แบ่งภาคกันลงมาสามองค์เลยเหรอ ทั้งพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระพุธ แล้วอีกห้าองค์ล่ะ เป็นใคร”

“กระหม่อมไม่ทราบ เห็นตรัสกันว่า ในเทวโองการไม่ได้ระบุไว้”

“ช่างเหอะ เราพอเดาออกว่าเป็นใคร แล้วเทวโองการว่าไว้อย่างไร ทำไมพวกนี้ถึงอวตาร” สุรเสียงเสนาะเริ่มซักไซ้

“ไม่ทราบเกล้าพะยะค่ะ กระหม่อมได้ยินไม่ถนัด” นาเคนทร์ทูลตอบมาอย่างอุบอิบ

“แล้วทำไมเจ้าไม่ตั้งใจฟัง ไม่ได้เรื่อง เจ้าจะต้องให้เราไปสืบเองหรืออย่างไร” คราวนี้ทรงกริ้วปัง สุรเสียงดังลั่น เล่นเอาผู้ที่เข้าเฝ้าหมอบจนตัวลีบ

“กระหม่อมว่า ถ้าทูลหม่อมทรงทูลถามท่านพญาอนันตนาคราชหรือท่านพญาวาสุกี คงจะได้ความ ทั้งสองพระองค์ย่อมรู้เทวโองการดี ” นาเคนทร์ยกมือไหว้เหนือหัวยามเอ่ยถึงพระนามของเจ้าแห่งนาคาทั้งสองพระองค์

“อย่าบังอาจมาแนะนำเรา ถ้าถามได้เราก็คงถามไปนานแล้ว ไม่ต้องใช้เจ้าให้ไปสืบข่าวหรอก อีกอย่างถ้าถามไป คงจะโดนหาว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก ดีไม่ดีทูลหม่อมปู่ทั้งสองคงได้ทำโทษเราเท่านั้น ไปไป๊จะไปไหนก็ไป ไม่ได้เรื่องสักตน เราอยากอยู่คนเดียว”

พระสุรเสียงดังยิ่งกว่าเดิม สิ้นรับสั่งครานี้นาเคนทร์ต้องถอยกรูดๆคลานเข่าออกมา ขืนอยู่ต่อคงโดนแน่ เสียงนางข้าหลวงที่หมอบเฝ้าอยู่หน้าห้องหัวเราะกันคิกคัก เมื่อเห็นราชองครักษ์โดนไล่ออกมา คราวนี้นางข้าหลวงได้ส่งสายตายิ้มเยาะบ้าง
 
‘เห็นไหมล่ะ กลับไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง’

เมื่อเจ้าองครักษ์กลับออกไปแล้ว หนุ่มน้อยเจ้าอารมณ์หรือทูลหม่อมเล็กก็เสด็จออกมาด้านนอกแล้วตรัสกับนางข้าหลวงที่หมอบเฝ้าว่า  “เจ้าสองคนไปกับเราหน่อย แล้วอย่าแพร่งพรายให้ใครรู้”

เพียงสิ้นรับสั่ง หนุ่มน้อยก็สลายกลายเป็นแสงโชตินาการอันเจิดจ้าพุ่งปราดขึ้นด้านบน เป็นรัศมีเขียวนวลสว่างวาบ พร้อมพระดำรัสสุดท้าย คล้ายจะฝากไปถึงใคร

“สงสัยเราต้องไปเยี่ยมท่านกับพวกด้วยตัวเราเองละมั้ง สุริยเทพ”

“เพคะ” นางข้าหลวงเมื่อรับพระบัญชาแล้วก็ไม่รอช้า บิดกายหายวับตามนายไปทันที

รถแท็กซี่หยุดจอดส่งผู้โดยสารทั้งสามตรงหน้าซอยเล็กๆ ข้างโรงพยาบาลใหญ่ริมน้ำ ทรงกลดจ่ายค่ารถแล้วพาเพื่อนทั้งสองเดินลัดเลาะตามซอกซอย มาที่ท่าเรือแล้วจ้างเรือเมล์แถบนั้นขับไปส่งยังที่หน้าบ้าน

“โหย บ้านนายไกลโคตร นี่ถ้ารู้ว่าต้องต่อเรือไปอีก ฉันไม่มาหรอก” เอราวัตบ่อนกระปอดกระแปด แต่ปากเขาก็บ่นไปอย่างนั้นเองตามประสาคนช่างพูด แต่สีหน้าแสดงถึงความสนุกอย่างเต็มที่

“บ้านฉันเข้าได้สองทางถ้ามาทางรถต้องเดินลุยสวน ไม่สนุก แถมแฉะ  ฉันชอบมาทางเรือได้นั่งดูนั่นดูนี่สวยกว่ากันเยอะ”

“แล้วอีกไกลไหม อยากพักผ่อนแล้ว” อัสดงถามขึ้น เปลือกตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่

“เอาน่า อีกนิดเดียวก็ถึง”

แต่ที่ไหนได้ นิดเดียวของทรงกลด ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันเรือยนต์ลำน้อยพาทั้งสามลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาจอดอยู่หน้าศาลาริมน้ำของบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ บริเวณนั้นแทบจะไม่ค่อยมีบ้านเรือนตั้งอยู่คงมีแต่บ้านหลังนี้เท่านั้นแหละละมังที่ปลูกอยู่อย่างโดดเดี่ยว และเพียงแค่ย่างเท้าก้าวขึ้นมาอัสดงกับเอราวัตก็รู้สึกถึงความสงบอย่างประหลาด นี่ใช่ไหม อำนาจและรัศมีแห่งจันทรเทพ อ่อนโยน ผ่อนปรนอย่างนี้นี่เอง นอกจากพลังของทรงกลดแล้ว ยังมีไม้ใหญ่หลายต้นให้ความร่มรื่นตลอดทั้งบริเวณบ้าน เถาดอกไม้หลายชนิดออกดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง สวยงามอย่างกับวิมานของเทพธิดา จนทั้งสองต้องเอ่ยปากชมออกมา

“บ้านนายสวยจัง อยู่คนเดียวเหรอ”

“ขอบใจ ใช่ฉันอยู่คนเดียว พ่อกับแม่เสียหมดแล้ว  แต่ก่อนพ่อเราจะเสีย ท่านบอกไว้ว่า วันหนึ่งจะเจอสหายที่มีฤทธิ์อีกเจ็ดคนร่วมภารกิจในการปราบอสูร ตอนนั้นฉันยังเด็กๆอยู่เลย นึกว่าพ่อฉันเพ้อเพราะพิษไข้ แต่ที่ไหนได้ หลังจากนั้นฉันก็พบว่าฤทธิ์ที่พ่อฉันพูดถึงนั้นมีอยู่จริง แม่เลยพาฉันไปอยู่กับพราหมณ์ที่อินเดียตามคำสั่งพ่อ ที่นั่นฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง พอแม่เสียก็เลยกลับมาเมืองไทย มาอยู่ที่บ้านเก่าของแม่” ทรงกลดเอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ เพราะทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ทีไรน้ำตาก็จะเริ่มปรี่ไหลทุกที

“เราเสียใจด้วย” อัสดงกล่าวขึ้น

“ช่างเหอะมันผ่านไปแล้ว ป่ะขึ้นบ้านกันเถอะ เย็นแล้ว ไปดูห้องพักกัน”

ทรงกลดพาอัสดงกับเอราวัตเดินขึ้นบ้าน ทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตาว่าบ้านหลังนี้ผู้ชายจะอยู่ เพราะดูสะอาดสะอ้านพื้นไม้กระดานถูกขัดเป็นเงามันวับ เครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งร่วมสมัยเข้ากับบ้านทรงไทยได้อย่างดี น้ำมันหอมกลิ่นมะลิหอมฟุ้ง รัศมีสีนวลอ่อนๆเย็นตาเริ่มกำจายมาอีกครั้งจากเจ้าของบ้าน ทำให้ดวงหน้าขาวๆ กระจ่างใสยิ่งขึ้น ครั้นจ้องดีๆ ก็จะเห็นว่าทรงกลดมีขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี ยามกระพริบทีไร ดุจจะพาเอาหัวใจของคนที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย ไอ้พระจันทร์นี่เสน่ห์มันเหลือเกินเลยทีเดียว นี่ถ้าพวกเขาเป็นผู้หญิงคงไม่แคล้วต้องหลงรักมันแน่ๆ

“นี่ห้องพวกนาย ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลังนะโว้ย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน หรือถ้าอยากจะอาบน้ำแบบธรรมชาติล่ะก็ ผ้าขาวม้าอยู่ในตู้ แล้วเชิญเสด็จกระโดดลงคลองได้เลย” ทรงกลดกล่าวขึ้นเมื่อพาเพื่อนมาถึงห้องพักซึ่งก็อยู่ข้างๆติดกับห้องของเขา

“น่าสนใจ ไม่เคยเล่นน้ำคลอง เคยเล่นแต่น้ำตก ท่าทางคงสนุก หวังว่าคงไม่มีใครมาแอบดูนะ ”

อัสดงเริ่มรู้สึกสนุกไปกับข้อเสนอของทรงกลด ที่วัดป่าของเขาไม่มีคลองมีแต่น้ำตก ซึ่งเขากับอรุณและบรรดาศิษย์ผู้น้องทั้งหลายต่างแหวกว่ายด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาระยะหลังเริ่มงด เพราะแม่พวกนางไม้ ชอบแห่มาแอบดู บางครั้งบางครา เอาพวกจากไกรลาศมาด้วย แม่พวกนั้นก็กระไร หุบปีกได้ ก็ลงมาแช่น้ำด้วยกันเฉย พวกสาวๆนี่ น่ารำคาญเสียจริง ไม่ว่านางมนุษย์จนกระทั่งเทพธิดา

“จะบ้าเหรอ ไม่มีหรอก ใครจะมาดู แต่ละคนน่าดูชมนักนี่วันนี้ มอมแมมโคตร ....เอาล่ะ งั้นเดี๋ยวลงไปอาบน้ำคลองกันแต่พวกนาย รอแป๊บนึงนะ ฉันขอไปหุงข้าวทำกับข้าวให้พวกนายก่อน อาบน้ำเสร็จแล้ว จะได้กินมื้อเย็นกันเลย”

 “ฉันไปช่วยนายดีกว่า จะได้เสร็จเร็วๆ อีกอย่างหิวจะตายอยู่แล้ว”เอราวัตเสนอตัวขึ้น

“ได้สิ....งั้นอัสดงนายก็ไปพักผ่อนก่อนเหอะ ดูท่าจะเหนื่อยมาก เสร็จแล้วฉันจะไปเรียก” เจ้าของบ้านรูปงาม เอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ อัสดงคงจะไม่ไหวแน่แท้ เปลือกตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่

“ขอบใจ งั้นขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวฉันเก็บล้างให้เอง”

“ได้สิ ตกลงตามนี้”

ทรงกลดกับเอราวัตรับคำแล้วก็ปล่อยให้อัสดงเข้าห้องพักผ่อน พออัสดงเข้าห้องมาได้ ก็เหวี่ยงเป้ไว้ตรงมุมห้อง ถอดเสื้อทิ้งไว้ที่ปลายเตียง แล้วนอนแผ่หราอยู่บนเตียงหนานุ่ม ด้วยความที่วันนี้ใช้ฤทธิ์ไปเยอะจึงรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวแทบจะหมดแรง และเพียงแค่หัวถึงหมอน ม่านตาก็เริ่มหนาหนักพร้อมจะปิดลงให้จงได้ ทว่าในระยะเวลาระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง แสงวาบนวลก็บังเกิดกลางห้อง

‘ใครกันอีกวะเนี่ย บังอาจกวนเวลาพักผ่อน เดี๋ยวจะจัดการให้น่าดูเลย’ อัสดงเปรยในใจ แล้วแกล้งทำเป็นหลับสนิท หากแต่แอบปรือตาไว้ โสตทั้งสองยังคงเปิดรับสรรพสำเนียงรอบด้าน แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นว่า
 
“ไหนว่าจะแค่มาแอบดูไงเพคะ นี่ฝ่าบาทมาดูอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้แอบ” 

“เงียบเหอะน่า เจ้าไม่เห็นเหรอว่าเขาหลับแล้ว” หนุ่มน้อยผู้ทรงรัดเกล้านาคราชสีทองกล่าวขึ้นจากนั้นก็ทรงชะโงกพระพักตร์ดูหน้าคนที่นอนหลับอย่างถี่ถ้วน เกศาดำเป็นมันขลับ ตกระเรี่ยเคลียหน้าคนแกล้งหลับ

‘หอมจัง กลิ่นสดชื่นเหมือนอากาศบริสุทธิ์ในท้องทะเล’ อัสดงอดนึกไว้ในใจมิได้ และยังคงแกล้งหลับต่อเพื่อดูสิว่า แขกคนนี้จะทำอย่างไรต่อไป

“ก็ใช้ได้....ดีกว่ามอมแมมเหมือนตอนอยู่วัดนิดหนึ่ง”

“แต่หม่อมฉันว่า ท่านรูปงามมาก มิน่านางข้าหลวงของพระมารดาฝ่าบาทแอบมาดูอยู่บ่อยๆ”

“ไม่เห็นจะงามตรงไหน พวกเจ้าไปดูสิว่าอีกสองคนทำอะไรกันอยู่ ถ้าได้ยินอะไรที่เป็นประโยชน์รีบมาบอกเรา”

“เพคะ”

สองนางข้าหลวงรับคำแล้วรีบหายไปทำตามรับสั่ง ทิ้งให้นายผู้เอาแต่พระทัยประทับอยู่ลำพังกับอณูเทวะรูปงามสองต่อสอง วงพักตร์กระจ่างใสยังคงชะโงกมองคนที่นอนหลับอยู่อย่างนั้น อดคิดไม่ได้ว่า จริงอย่างที่นางข้าหลวงพูด คนคนนี้รูปงามจริงๆ

ทว่าจุดประสงค์ที่มานี่ไม่ได้มาแค่อยากดูหน้าชัดๆ แต่เพราะอยากรู้ว่าทำไมถึงได้ลงมาเกิด แล้วทำไมรามสูรถึงต้องมาโจมตี ฤาข่าวลือหนาหูที่ว่าอสูรจะทำสงครามนั้นจะเป็นจริง มิน่า ทูลหม่อมปู่ทั้งสองกับทูลหม่อมพ่อ รับสั่งให้ทูลหม่อมพี่ชายทรงเร่งรวมกำลังพลจากน่านน้ำต่างๆ แล้วถ้าหากสงครามเกิดจริงๆเล่า องค์เองจะต้องร่วมรบอยู่ตรงไหน

“สงสัยคงต้องรบอยู่ที่เกษียรสมุทรแน่เลยเรา”


ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ในระหว่างที่ทรงเปรยและทรงคิดอะไรเพลินๆนั้น จู่ๆคนที่แกล้งนอนหลับก็ลืมตาขึ้นในฉับพลันทันใด ทำให้พระเนตรใสสีครามน้ำทะเลประสานเข้าโดยตรงกับดวงตาสีอำพันที่อยู่ห่างไปไม่ถึงศอก แลเพราะมิทันได้ระวังองค์อีกทั้งยังทรงเผลอ  เจ้าคนที่เสมือนนอนหลับอยู่ก็ตวัดแขนรัดเจ้าของดวงตาสีครามนั้นไว้แล้วดึงมาแนบอกทันที

ฉะนี้แล้วใบหน้ากระจ่างใสจึงลอยห่างเพียงแค่คืบ เจ้าตัวพยายามดิ้นจนสุดแรงแต่ยังไงก็ไม่เป็นผล เหตุไฉนคนที่บ่นหมดแรงและเหนื่อยอ่อนกลับมีแรงรัดแน่นขนาดนี้ และแล้วรอยยิ้มจางๆจนเห็นลักยิ้มแลเขี้ยวอันทรงเสน่ห์จากคนด้านล่างก็แย้มพรายออกมาพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า

“เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ทำไม มาแอบดูเราทำไม”

ไม่มีคำตอบจากคำถามนั้นแถมคนที่โดนกอดก็พยายามดิ้นให้หลุด แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นก็ยิ่งโดนรัดแน่นขึ้น

“ปล่อยเรานะ” สุรเสียงย่อมสั่นพร่าด้วยความโมโห “อย่าถือว่าเป็นอณูของเทพแล้วจะมาทำอย่างนี้กับเราได้”

“ไม่ปล่อยจนกว่าเจ้าจะบอกเราว่าเจ้ามาจากไหน เป็นใคร มาอยู่ในห้องของเราทำไม” อัสดงยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น กลิ่นจากพระวรกายที่หอมกรุ่นถูกเขาสูดเข้าจนเต็มปอด

“เราเป็นใครไม่สำคัญ ปล่อยเรานะ ถ้าไม่ปล่อย จะหาว่าเราไม่เตือน”

ว่าแล้วสายตาสีครามก็สว่างวาบ ทำให้ไอพิษอันร้อนแรงเริ่มสำแดงผล จนแขนอัสดงแทบไหม้เกรียม นี่ถ้าเขาไม่ใช่ร่างแบ่งภาคของพระอาทิตย์เขาคงกลายเป็นจุณไปแล้ว เจ้าตัวหอมนี่ฤทธิ์เยอะนัก  ครั้นเมื่อเห็นว่าพิษทำอะไรคนๆนี้ไม่ได้ ร่างที่โดนกอดก็พยายามดิ้นอีกครั้ง อัสดงก็ไม่ยอมปล่อยจนหนึ่งอณูแห่งเทวะและหนึ่งนาคากลิ้งตกลงมาจากเตียงสูงทั้งคู่ ร่างทั้งสองยังคงทับกันอย่างแน่นสนิท และด้วยแรงกระแทกนี้เองทำให้ริมฝีปากของทั้งสองมาบรรจบประกบชิดติดแนบแน่นกันพอดิบพอดี

ช่วงสัมผัสนี้จะผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้ริมฝีปากทั้งสองก็ยังไม่ยอมแยกจากกัน จนเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นนั่นแหละ ทำให้ผู้มาเยี่ยมเยือนถึงกับได้พระสติ ดวงเนตรสีครามน้ำทะเลเบิกโพลง ฉับพลันร่างที่กอดอยู่นั้นก็กลับกลาย เป็นจงอางตัวใหญ่สีขาวพิสุทธิ์ อัสดงตกใจรีบปล่อยจากการกอดรัด หนุ่มน้อยลุกขึ้นแทบไม่ทัน จงอางแปลงนั้นชูคอสูงและแผ่แม่เบี้ยเตรียมเอาคืนเทวะน้อย เสียงเคาะประตูด้านนอกเริ่มดังระรัวขึ้น แล้วมีเสียงตะโกนมาว่า

“อัสดง เปิดประตูหน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดังโครมไปถึงข้างนอกแน่ะ”

อัสดงยังไม่ทันตอบ เจ้าจงอางใหญ่ตนนั้น ก็พุ่งฉกมาทันที อัสดงหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด ครั้นพอจะหันมาเผชิญหน้ากันอีกที เจ้านาคาหน้าใสก็มลายหายวับไป เหลือแต่เสียงกริ้ว หากแต่เสนาะโสต ดังขึ้นกล่าวส่งท้ายว่า

“ฝากไว้ก่อนเหอะ”   

“หึ มาถึงที่นี่กันเชียว คราวหน้าจะจับให้ได้เลยคอยดู ฤทธิ์เยอะดีนัก”

อัสดงส่ายหน้าเปรยตามต่อ นี่พวกนาคอีกแล้วหรือ มั่นใจไม่ได้ไปทำอะไรสักหน่อย ทำไมถึงได้แห่กันมาที่นี่ แต่ก็น่าแปลกนักที่ครั้งนี้ทำไมตนไม่รู้สึกโกรธ หรือว่ามาอยู่บ้านไอ้พระจันทร์เลยทำให้ใจเย็น คงไม่น่าใช่ เสียงเคาะประตูยังดังมาอีกระลอก ทำให้ต้องไปเปิดประตูให้พร้อมใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้มยามพบสหายทั้งสองที่รอด้านนอกด้วยความกระวนกระวาย

“เกิดอะไรขึ้น นายเป็นไรหรือเปล่า” เอราวัตถามสหายที่ยังยืนยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ

“เปล่าไม่มีอะไร แค่ฝันดีผสมฝันร้ายนิดหน่อยเลยตกเตียง ไม่มีอะไรหรอก”

เอาน่าเป็นเทพก็ต้องมีพูดไม่จริงบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่อัสดงแค่เป็นร่างแบ่งภาคกฏพวกนี้ลดหย่อนกันได้ แล้วการที่จูบเจ้าตัวหอมนั่น ควรจะเรียกว่าฝันดีหรือฝันร้ายกัน

“แน่ใจนะ .....” ทรงกลดถามขึ้นเหมือนกับไม่เชื่อคำพูดนั้น อัสดงเองก็พยายามเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ

“เออน่ะสิ .....จะไปอาบน้ำกันหรือยัง เหนียวตัวจะแย่”

“ก็ว่าอีกสักพักจะมาตาม พอดีได้ยินเสียงดังโครมในห้องซะก่อนเลยมาดู นึกว่าอสูร”

“ไม่มีอะไรหรอก ไปอาบน้ำกันเหอะ”

อัสดงตัดบท เพราะไม่อยากบอกเพื่อนว่า ที่ดังโครมเมื่อครู่ไม่ใช่อสูรแต่เป็นอสรพิษแสนซนต่างหาก รู้ตัวเลยว่า เห็นทีจากนี้คงจะได้ เหนื่อยจริงๆก็คราวนี้แหละ

‘เจ้านาคน้อย....เจ้าเป็นใครกันนะ ทำไมต้องมาแอบดูเรา’

อัสดงอดนึกในใจมิได้ แล้วก็พยายามปรับสีหน้าเป็นปกติ จากนั้นก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อเตรียมอาบน้ำในคลองตามที่ตกลงกันไว้และระหว่างที่อัสดงกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นสร้อยอัญมณีวิบวับ จี้ที่ห้อยอยู่ตรงกลาง แกะสลักจากมรกตทั้งแท่งเป็นตัวนาคาเกี่ยวกระหวัดสวยงามยิ่งนัก ดวงตาฝังด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเล็ก หงอนสีทองสุกใสหลอมจากทองคำแท้ เขาหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาก่อนที่เอราวัตและทรงกลดจะเห็นแล้วรีบซ่อนไว้ด้วยมนต์บังตาทันที


ทั้งสามบัดนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นนุ่งขาวม้าเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่เป็นร่างแบ่งภาคของเทพ ทำให้ร่างกายของคนทั้งสามดูงามราวกับรูปสลักชั้นเลิศแม้จะนุ่งแค่ผ้าขาวม้าคนละผืนก็เหอะ ช่วงไหล่ที่กว้างและแข็งแรง อีกทั้งยังมีหน้าท้องที่มีกล้ามเป็นลอนแบนราบ และเหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือใบหน้าที่ตรึงใจงามไปคนละแบบ โดยเฉพาะอัสดงกับทรงกลดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นร่างของเทวดาที่รูปงามที่สุดบนสวรรค์ หากบรรดานางฟ้า นางสวรรค์มาเห็นเข้า ณ ตอนนี้ คงกระโจนลงคลองตามไปด้วยเป็นแน่แท้

“ฮ้า น้ำเย็นสดชื่นดีจัง ชักชอบที่นี่แล้วสิ” เอราวัตเอ่ยขึ้น

“นายชอบ นายก็มาบ่อยๆสิ เอราวัต .....ว่าแต่นายมีชื่อเล่นไหม เรียกเอราวัตยาวไป” ทรงกลดกล่าวถามพร้อมกับแหวกว่ายน้ำไปรอบๆ

“ไม่มีอ่ะ......ตั้งแต่เด็กใครๆก็เรียกแต่เอราวัต”

“แล้วทำไมถึงชื่อเอราวัต”

“ก็เพราะ.....เฮียข้างบนตามตำนานเขาถูกสร้างมาจากช้างไง ตอนแรก ปู่ดูให้ว่าจะให้ชื่อเอราวัณ แล้วกลายมาเป็นเอราวัตได้ไงก็ไม่รู้” เฮียข้างบนของเอราวัตน่าจะหมายถึงพระพุธ

“แล้วทำไมนายชื่อทรงกลด” เอราวัตถามกลับมาบ้าง

“ก็เพราะฉันเกิดวันพระจันทร์ทรงกลด คืนไหนที่พระจันทร์ทรงกลดและพระจันทร์เต็มดวง อำนาจฉันจะถึงขีดสุด อย่างเช่นคืนนี้ ความรักความโหยหาอาจจะครอบงำจิตใจของใครหลายๆคน”

“ถึงว่าสิ ฉันถึงได้......” จู่ๆอัสดงที่นั่งแช่น้ำฟังอยู่นานก็หลุดปากออกมา แต่ก็ยังยั้งไว้ทัน

“ถึงได้อะไรวะ” เอราวัตถามขึ้นอย่างสงสัย

“เปล่าไม่มีอะไร......แต่วันนี้นายหัวไวมากเลยนะทรงกลดที่หลอกล่อรามสูรมันด้วยดวงแก้ว” อัสดงยังคงบพยายามเบี่ยงประเด็นไม่ให้เพื่อนๆสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ก็ตามตำนาน ไอ้ยักษ์นั่นมันชอบลูกแก้ว เลยลองดู ไม่คิดว่าจะได้ผล ว่าแต่เห็นเอราวัตบอกว่าก่อนมานี่นายมีเรื่องกับพวกที่บาดาลเหรอ”

“ใช่ ”

อัสดงตอบตามจริง ใช่สิเรื่องนี้ตนลืมไปเลย นาคที่ฆ่าเมื่อคืนก่อนอาจเกี่ยวพันอะไรกับเจ้านาคาแสนซนเมื่อสักครู่ หรือว่าจะเป็นคู่กันเลยตามมาล้างแค้น

“ระวังหน่อยแล้วกัน ถ้ามีเรื่องกับพวกบริวารก็ช่างมันเหอะ แต่ถ้านายไปมีเรื่องกับพวกชั้นลูกท่านหลานเธอ อาจจะลำบากหน่อย พวกนี้ไม่ใช่นาคธรรมดาแต่เป็นเทวนาคา ฤทธิ์มาก เทพบางองค์ยังต้องหลบให้ ครุฑไม่สามารถจับได้ แถมเส้นสายในสวรรค์ค่อนข้างใหญ่ด้วย”

อัสดงคิดตาม แล้วก็เกิดคำถามเงียบๆกับตนเองว่า ไอ้เจ้านาคน้อยตาสีฟ้านั่นมันเป็นเทวนาคาหรือเปล่า ดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับ มันคงไม่ใช่นาคธรรมดาแน่ๆ และดูท่าวันนี้มันคงโกรธไม่ใช่เล่น

“อ้าวเฮ้ยยย เป็นอะไรอัสดงถึงกับเหม่อเชียว” ทรงกลดเห็นเพื่อนเหม่อจึงตบไหล่เรียกสติแล้วกล่าวต่อ “ไม่ต้องกังวลถ้านาคพวกนั้นมาหาเรื่องนายอีก ฉันจะช่วยนายเอง”

“ใครบอกว่าฉันกังวล”

“ก็ฉันสองคนเห็นนายนั่งเหม่อ”

“ไม่ได้เหม่อซะหน่อย” อัสดงรีบปฏิเสธข้อกล่าวหาจากเพื่อนทั้งสองและพยายามไล่ความรู้สึกนึกคิดถึงพวกนาคออกให้หมด โดยเฉพาะเจ้านาคาตาฟ้าคราม ก่อนที่เอราวัตจะอ่านจิตใจเขา

“แหมมมม รีบลบความคิดเลยนะ นายต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆเลย ดูแปลกๆตั้งแต่ตื่นมา”

เอราวัตเบ้หน้าแล้วยื่นมาใกล้อัสดงอย่างพินิจพิเคราะห์ อัสดงด้วยความรำคาญจึงผลักหน้านั้นออกแล้วว่ายน้ำหนีไปอีกฟากคลอง เอราวัตกับทรงกลดก็ไม่ยอมพยายามว่ายน้ำจับให้ทันแต่ก็ไม่ทันสักที จนทั้งสองยอมแพ้

“เอาวะ ไม่มีก็ไม่มี ขึ้นบ้านกันเหอะเดี๋ยวได้กินข้าวกัน” ทรงกลดกล่าวอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงเกาะตีนบันไดท่าน้ำแล้วช่วยดึงเอราวัตขึ้นมา “ทำไมมันว่ายน้ำเก่งจังวะ เหนื่อยฉิบ”

นั่นสิอัสดงเองก็ยังงงเหมือนกัน “พวกนายสองคนขึ้นไปก่อน....เดี๋ยวตามไป ขอแช่น้ำอีกสักพัก”

“ตามใจนายเหอะ....ไม่อยากรู้แล้ว ระวังพวกบาดาลมาเอาตัวไปอยู่ด้วยแล้วกัน” เอราวัตตะโกนตอบไปแล้วขึ้นฝั่งไปพร้อมกับทรงกลดทิ้งให้อัสดงแช่น้ำอยู่ผู้เดียวในคลอง ....เมื่อสหายทั้งสองลับตาไปแล้ว อัสดงก็คลายมนต์บังตาหยิบสร้อยนาคราชขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง สงสัยสร้อยเส้นนี้ละมังที่ทำให้ตนว่ายน้ำได้เร็ว และตอนนี้ก็ดูเหมือนกับว่าสร้อยนาคานั้นมีชีวิต เพราะเพียงแค่โดนน้ำก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวผงกหัวไปมา อัสดงใช่นิ้วเขี่ยเล่นอย่างเอ็นดู เจ้านาคน้อยก็ดูเหมือนจะเล่นด้วยเลื้อยพันนิ้วมือเขาจนแน่น อดจะคิดไม่ได้ว่านี่ถ้าบรรดานาคน่ารักอย่างเจ้าตัวนี้ก็คงจะดี ไม่ใช่มาทีตัวใหญ่เบ้อเริ่มอย่างกับท่อนซุงหรือแปลงเป็นจงอางตัวเท่าแขน แล้วเหตุใดเล่าตนถึงอยากให้นาคน่ารัก คำถามนี้คงยากจะตอบ

“เจ้าของเจ้าเป็นใคร”

อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ถามเจ้านาคมรกตตัวน้อยที่ยังพันนิ้วเขาอยู่  แต่เจ้านาคจำแลงตนนั้นกลับมิตอบ แต่กลับพ่นไฟออกมาเบาๆ จนขนที่นิ้วเขาไหม้เกรียม

“ไอ้นี่....เล่นด้วยแล้วเหลิง เดี๋ยวเหอะ อย่ามาฤทธิ์เยอะเหมือนเจ้าของเจ้านะ”

อัสดงเสียงเกรี้ยวหน่อยๆ แล้วจู่ๆกลิ่นหอมกรุ่น สดชื่นเย็นสบายดุจมาจากห้วงทะเลที่ลึกที่สุดก็ลอยมาเตะจมูกอีกครั้งพร้อมกับสุรเสียงใสๆเสียงเดิมที่ฝากไว้เมื่อครู่ในห้องนอน

“เอาสร้อยเราคืนมานะ คนขี้ขโมย”

แสงสว่างวาบเจิดจ้าปรากฏตรงหน้าแล้วรวมร่างกลายเป็นเด็กหนุ่มตาสีฟ้าคนเดิม คนที่เขากอดอย่างแนบแน่นเมื่อตอนเย็น บัดนี้เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่เหนือผิวน้ำตรงหน้าอัสดง พระกรทั้งสองกอดพระอุระไว้แน่น ริมฝีปากเชิดเป็นรูปกระจับแดงระเรื่องามงดสดใส เหนือขึ้นไปคือรัดเกล้าสีทองสุกปลั่ง ด้านหลังมีปลายเกศายาวถูกผูกไว้ด้วยด้ายสีทอง ทีท่าที่อวดดีหยิ่งทระนงอย่างนี้ เห็นทีคงไม่ใช่นาคธรรมดา คงเป็นชั้นลูกท่านหลานเธออย่างที่ทรงกลดบอกแน่ๆ เหอะวันนี้จะดัดนิสัยพวกนาคเทวะสักที จับมาตีก้นสั่งสอนเสียให้เข็ด เอาให้หายดื้อไปเลย

“นึกแล้วว่าเจ้าต้องมา....ถ้าอยากได้คืนก็เข้ามาเอาไปเองสิ”

สิ้นเสียงของอัสดง ผู้ที่ทรงรัดเกล้าสีทองก็กระทืบบาททำให้ผิวน้ำปั่นป่วนม้วนตัวเป็นระลอกแล้วพุ่งเข้าชนอัสดงที่ยังยืนแช่อยู่ในน้ำนั้น เสียงลั่นสนั่นของกระแสคลื่นที่กระทบกับตลิ่งดังไปทั่ว อัสดงลอยหลบไปได้ทันและมายืนอยู่บนกิ่งไทรใหญ่ ถ้าเมื่อกี้พลาด ร่างของเขาคงแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะกระแสน้ำรุนแรงนี้

“กะเอากันให้ตายเลยเหรอ แค้นฉันมาแต่ชาติปางไหน”

อัสดงยิ้มน้อยๆและกระโดดหลบอีกครั้งเพราะกระแสคลื่นลูกที่สองโหมกระหน่ำมาทางเขา และแล้วต้นไทรที่น่าจะมีอายุหลายร้อยปีก็ถึงกาลปาวสานทำให้รุกขเทวาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไทรนั้นโดนลูกหลงไปเต็มๆ “โอ๊ยยยยยย ฝ่าพระบาท ข้าพุทธเจ้าไม่เกี่ยว แล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่ บ้านพังหมดแล้ว”

สายน้ำยังคงพุ่งชนไปเรื่อยๆ อัสดงก็ลอยหลบไปมาได้อย่างหวุดหวิดแทบทุกครั้ง แต่บรรดาสิ่งรอบข้างที่โดนหางเลขแทนตนน่ะสิต่างย่อยยับพินาศไปตามๆกัน คงปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ ว่าแล้วอัสดงก็ขยับผ้าขาวม้าให้กระชับยิ่งขึ้น แล้วร่างของเขาก็กลายเป็นดวงไฟเจิดจ้าขนาดใหญ่พุ่งตรงลงมาบ้าง ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บนผิวน้ำต้องเป็นฝ่ายกระโดดหลบ เจ้าดวงไฟก็ไม่หยุดแค่นั้น พอสายน้ำพุ่งมาอีก ดวงไฟก็แปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกงจักรขนาดใหญ่ตัดผ่านสายน้ำจนซ่านกระเซ็นไปทั่ว จักรเพลิงยังคงหมุนคว้าง แยกตัวออกจากหนึ่งเป็นสอง แล้วแยกจากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปดทั่วทิศ แล้วพุ่งหาเจ้านาคาตาสวยสีฟ้าคราม เจ้านาคาน้อยเตรียมดึงน้ำมาเป็นโล่กำบังแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว จักรเพลิงถึงตัว แว่บแรกนึกว่าพระวรกายจะขาดแต่ที่ไหนได้ จักรทั้งแปดดันมาครอบร่างตนอย่างแนบสนิทรัดรึงไว้เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

“ปล่อยเรานะ”

ทรงกลดกับเอราวัตที่อยู่ในตัวบ้านรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วทั้งสองก็ต้องตกตะลึงในภาพนั้น ภาพของหนุ่มน้อยผู้หนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางฟ้าถูกรัดครอบไว้ด้วยจักรเพลิง ร่างนั้นพยามดิ้นเร่าๆ เดี๋ยวเปลี่ยนตนเป็นมนุษย์เดี๋ยวเปลี่ยนตนเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัสสลับไปสลับมา แต่ทำยังไงก็ดิ้นไม่หลุดสักที ท้ายสุดจักรเพลิงก็พาร่างหนุ่มน้อยลอยลงมายังพื้น ยืนต่อหน้าสหายทั้งสอง และจักรเพลิงนั้นก็คืนร่างเป็นอัสดง ที่กำลังกอดหนุ่มน้อยคนนั้นไว้แนบแน่น

“เฮ้ยยยย.......พวกบาดาล”

เอราวัตกับทรงกลดอุทานขึ้นมาพร้อมกัน ใบหน้าของทั้งคู่ตกใจระคนสงสัย เกิดอะไรกันขึ้น ร่างในพัสตราภรณ์เขียวก้านมะลิยังดิ้นเร่าๆแลกระทืบบาททำให้อัสดงต้องใช้กำลังรัดแน่นขึ้นแล้วเขาก็หันไปยักคิ้วให้กับสหายทั้งสอง แล้วบอกเพียงแค่ว่า

“ป่ะขึ้นบ้านกันเถอะ พวกเราจะได้ช่วยกันลงโทษเชลย”

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๔ นะคะ

ขอบพระคุณคุณTanYung0209 นะคะ ที่ยังรัก คิดถึง และติดตามนิยายเรื่องนี้เสมอมา  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :hao7:
 :katai2-1:
 :pig4:
ตามคร่าาาา
สนุกคร่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่๔ อสรพิษแสนซน

“เชลย” ที่อัสดงกล่าวถึงเมื่อได้ยินว่าจะถูกรุมลงโทษก็ยิ่งบิดกายเร่าๆ หวังว่าจะให้หลุดออกมาจากวงแขนแข็งแรงที่กอดรัดอยู่นั้นแต่จนแล้วจนรอดก็ดิ้นไม่หลุดสักที

“ถ้าเราหลุดไปได้เมื่อไร พวกเจ้าไหม้เป็นจุณแน่” สุรเสียงที่ใสเสนาะหากแต่กราดเกรี้ยว กล่าวอาฆาตมาอย่างนั้นหากแต่อัสดงไม่เกรงกลัวเลยสักนิด

“ยังจะมาอวดดีอีก ถูกจับขนาดนี้เจ้าจะทำอะไรเราได้”

ว่าแล้วเขาก็ตวัดแขนช้อนร่างเล็กที่กอดอยู่แนบอกอันเปล่าเปลือยขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน พระบาททั้งสองข้างของเชลยตาสวยบัดนี้ลอยขึ้นถีบอากาศพัลวัน พระวรกายถูกกอดอย่างแนบชิดประหนึ่งอิสตรียามถูกอุ้มเข้าเรือนหอ

อัสดงอุ้มร่างนั้นแล้วพาเดินขึ้นบ้านทันใด ทรงกลดกับเอราวัตได้แต่มองตามเพื่อนรูปหล่อที่กำลังจัดการกับเชลยอย่างพิศวงเพราะแทนที่สหายจะจัดการด้วยอาวุธ เจ้าพระอาทิตย์ดันใช้มือเปล่าทั้งสองข้าง แถมใบหน้าก็แนบติดซุกอยู่กับเกศาของเชลย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นอัสดงเล่าให้พวกเราฟังก่อน”

เอราวัตถามไล่หลังแต่อัสดงก็ไม่สนใจยังคงพาเชลยตาฟ้าครามที่ร้องลั่นมาด้วยความโมโหอย่างไม่หยุดยั้งจนมาถึงบนบ้าน เมื่ออัสดงขึ้นมาถึงแล้วเขาจึงหันไปกล่าวกับทรงกลดเจ้าของบ้านและเอราวัตที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาพร้อมกัน

“ฉันจะมัดเชลยไว้ตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ...ฝากไว้แป๊บนึง”

ที่ว่าฝากของอัสดงคือค่อยๆส่งร่างที่กำลังดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นไปให้ทรงกลด แล้วจึงประนมมือบริกรรมพระคาถาเสกเชือกอาคมส้นยาวมา เพื่อเป็นพันธนาการ ในแวบแรกทรงกลดคิดจะปล่อยเชลยลงและแค่จะจับมือของเชลยไพล่หลังไว้เฉยๆ แต่ครั้นพอได้สบพระพักตร์นั้นตรงๆความตั้งใจดันเปลี่ยนและมลายหายไปสิ้นเมื่อตาประสานตา

เป็นไปได้ไหมที่เจ้านาคาน้อยนี่... ทรงฤทธีร้าย สะกดเขาได้เพียงแค่มอง
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ...อณูแห่งจันทรเทพคงมิได้อยู่แค่ภายใต้มนต์สะกดธรรมดา.....แต่คงเป็นมหามนตราแน่แท้

ยามนี้สมองจึงมิสามารถบังคับแขนหากแต่หัวใจเริ่มที่จะเข้ามาบงการแทน ด้วยเหตุฉะนี้เชลยตัวน้อยจึงถูกดึงเข้ามาไว้แนบอกบ้าง กลิ่นหอมสดชื่นอันกำจายไปทั่ว  ถูกสูดเข้าปอดมิต่างอะไรกับที่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์กระทำ

“หอมอย่างนี้นี่เอง อัสดงมันถึงกอดแน่นนัก เจ้านี่มันทั้งพยศทั้งน่าเอ็นดูซะจริง แต่เอ...รู้สึกว่าหน้าของเจ้านี้มันคุ้นๆจัง ต้องเคยเห็นบนสวรรค์มาก่อน  ”

อัสดงเมื่อบริกรรมคาถาเสร็จอีกคาบ แสงเรืองรองก็บังเกิดขึ้นสำทับลงไปบนพันธนาการเส้นยาว แล้วบอกให้ทรงกลดที่กำลังเพลินอยู่กับการกอด ปล่อยร่างเชลยลงแล้วติดไว้กับเสาใหญ่กลางบ้าน แม้หลวงตาเคยกล่าวไว้ว่า อย่าใช้อำนาจพร่ำเพื่อ ทว่าตั้งแต่ออกมาจากวัดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูจำเป็นไปเสียสิ้น การที่จะมัดเจ้าคนนี้เชือกธรรมดาเอามันไม่อยู่หรอก มันต้องเชือกวิเศษที่เสกขึ้นพิเศษสำหรับ “อสรพิษแสนซน” โดยเฉพาะ

“เจ็บนะ พวกเจ้าบังอาจล่วงเกินเรา รู้ไหมเราเป็นใคร”นาคาน้อยยังคงตะโกนไม่หยุดแม้พระวรกายจะถูกมัดแน่นติดอยู่กับเสาแล้ว การพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เจ็บใจเป็นที่ยิ่ง “คนเกเร พวกอันธพาล แน่จริงปล่อยเราแล้วมาสู้กันใหม่”

สุรเสียงที่ยังอวดดีตรัสท้ามาเรื่อยๆ อัสดงยิ้มน้อยๆ มิรู้ทำไมอยากหาอะไรปิดปากเจ้าเชลย จะใช้มืออุดก็ดูจะรุนแรงไป แล้วถ้าใช้วิธีแบบตอนเย็นล่ะจะดีไหม เพราะวีธีนั้นได้ผลดียิ่งเจ้านาคไม่เพียงแต่นิ่งงันแถมมันยังปล่อยให้เขาปิดปากด้วยปากเป็นนานสองนาน

“เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเป็นใคร” อัสดงตอบกลับขยับผ้าขาวม้าที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วหันหน้ามาสบตาฟ้าครามที่กำลังหันพระพักตร์ไปอีกทางยามที่เขาจัดผ้าที่นุ่งอยู่ให้เข้าที่

“เรามีศักดิ์สูงเทียบเทพอย่างพวกท่าน ปู่เราพระองค์ใหญ่คือพญาอนันตนาคราชผู้ทรงเป็นบัลลังก์แห่งมหาวิษณุเจ้าและปู่เราอีกพระองค์คือพญาวาสุกีนาคราชผู้เป็นสร้อยสังวาลแห่งมหาศิวะเจ้า รู้อย่างนี้ก็ปล่อยเราซะ พวกเจ้าบังอาจเกินพอแล้ว”

“ไม่ต้องเอาปู่เจ้ามาขู่ ต้นกำเนิดเรารู้จักท่านดี แล้วนี่เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าพวกเราเป็นเทพ”

อัสดงเห็นทีท่า ได้ยินคำพูดคำจา ก็ยิ่งอดคิดมิได้ว่า เจ้านาคาน้อยตนนี้สำคัญนัก ท่าทางจะรู้อะไรเยอะแถมยังทระนงตนไม่เลิก จริงอย่างที่ทรงกลดบอก ‘พวกเทวนาคาชั้นลูกท่านหลานเธอ’ ฤทธิ์เยอะจริงๆ คงต้องดัดนิสัยเอาให้หายอาดดีหายดื้อไปเลย

“ก็แน่ล่ะสิ พวกเจ้าก็คืออณูของเทพเกเรกลุ่มหนึ่งบนสวรรค์ ที่ทระนงตนว่าตนเองสำคัญ”

“อ้าว พูดให้มันดีๆ หน่อยนะครับ ใครกันแน่ที่เกเรแล้วมาถึงที่นี่ มาหาเรื่องพวกเรา” เอราวัตที่ยืนฟังอยู่นานกล่าวขึ้นมาบ้าง เจ้านาคน้อยนี่ ดูท่าจะเอาลงยาก ไม่เกรงกลัวใครแม้ยามตกเป็นเชลย อวดดีไม่เลิก

“เราไม่ได้หาเรื่อง.....เราก็แค่ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาดูว่าพวกเจ้าสมคบคิดกันทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อสวรรค์หรือเปล่าก็เท่านั้น หาใช่อย่างที่เจ้ากล่าวหา”

“แต่เราว่าเจ้าจงใจมากกว่า เพราะบ้านของเราถูกกั้นและบังตาด้วยเทวอาคมอย่างแน่นหนา ผู้ที่จะเข้ามาได้ต้องใช้เวลาหาพอสมควรแล้วทำลายเข้ามา ไม่มีทางที่จะผ่านมาเฉยๆแน่นอน”

ทรงกลดกล่าวตอบมา ยอมรับเลยว่า เจ้านาคนี่ท่าทางจะฤทธิ์มากจริง เพราะสามารถทลายม่านอาคมที่เขาลงไว้ได้ มันต้องมีจุดประสงค์สิ่งใดแน่นอน ฉะนี้ใบหน้ากระจ่างใสของเขาจึงเริ่มมองหน้าของเชลยอย่างพินิจพิเคาระห์ขึ้นไปอีก 

‘หน้าตาหาใช่เล่นเลยเจ้าคนนี้ น่ามองที่สุด ทำไมตอนเราอยู่บ้านคนเดียวมันไม่บุกมานะ จะได้จัดการตามวิธีของเราดูบ้าง’ทรงกลดคงอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้

ฝ่ายเจ้านาคาตาสวยเมื่อถูกจับจุดได้ก็เริ่มตรัสอะไรไม่ออกได้แต่เชิดพระพักตร์ ทีท่าหยิ่งทระนงอวดดียังคงเพิ่มมากขึ้น เมื่อนิ่งไปได้สักพักก็กล่าวตอบมา  “ก็เราบอกแล้วไง ว่าเราแค่มาดูว่าเจ้าสมคบคิดทำอะไรกันหรือเปล่า เราจะได้ทูลฟ้องได้ทัน”

“พวกเราไม่ได้คิดไม่ดีอย่างที่เจ้ากล่าวหา เรารวมตัวกันเพราะเทวโองการ ปู่เจ้าน่าจะรู้ดีไม่เชื่อก็ลองถามท่านดูสิ เจ้าต่างหากที่คิดไม่ดีกับพวกเรา ถึงได้มาแอบดู” อัสดงตอบสวนมาพร้อมทั้งยกประเด็นแอบดูขึ้น ทำให้เจ้านาคน้อยเริ่มที่จะจนมุม

“เราเปล่านะ.....พวกเจ้าไม่มีหลักฐาน อย่ามากล่าวหาเรา”

“แล้วใครที่แอบเข้ามาในห้องนอน แถมยังมาชะโงกหน้าดูตอนเราหลับแล้วทำสร้อยเส้นนี้ตก หรือว่าเจ้าติดใจเรา” อัสดงพูดจบก็ชูสร้อยนาคาหลักฐานชิ้นสำคัญขึ้น หลักฐานที่มัดตัวแน่นหนา ทำให้เชลยหน้าแดงระเรื่อ .....หน้าแดงไม่ใช่เพราะถูกจับได้ หากแต่โดนกล่าวหาว่า ติดใจใครต่างหาก

ทรงกลดกับเอราวัตเมื่อได้ยินก็ถึงบางอ้อทันที ที่แท้เสียงโครมครามที่ดังเมื่อตอนเย็นก็เป็นเสียงของอัสดงกับเจ้านาคน้อยนี่เอง แล้วไยอัสดงถึงต้องเงียบ ทรงกลดตั้งคำถามขึ้นกับตัวเองหันมามองหน้าทั้งสอง สงสัยตอนเย็นคงจะสู้กันในห้องนอนแบบรุนแรงชนิดพิเศษถึงได้โครมครามลั่นห้องขนาดนั้น

“เราไม่ได้ติดใจเจ้าอย่างที่เจ้ากล่าวหา ใครจะไปติดใจเจ้าลง รังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ฉวยโอกาสแถมยังทำหยาบคายใส่เราอีก”

“นี่ไอ้นาคดื้อ เรารังแกและทำหยาบคายกับเจ้าตอนไหน”

“ก็ตอนที่..............’’เชลยกำลังจะกล่าวตอบแต่แล้วก็ต้องหยุดลงทันใด คงดูไม่ดีหากอีกสองคนรู้ว่าตนโดนจูบ “ช่างเหอะ....ปล่อยเรา เราจะกลับบาดาลแล้วเอาสร้อยเราคืนมาด้วย”

“ไม่ปล่อยจนกว่าเจ้าจะพูดความจริง เราจะมัดเจ้าไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะมาสอบสวนต่อ”อัสดงกล่าวตอบเชลยตาสวยแล้วหันไปพูดกับสหายทั้งสองว่า “เฮ้ย กลด เอราวัต นายสองคนเฝ้าไอ้ดื้อนี่ไว้ให้ดี ฉันไปแต่งตัวก่อนเดี๋ยวมา”

“ก็ดี.....ผ้าขาวม้านายจะหลุดอีกแล้ว เห็นแล้วน่าหวาดเสียว เดี๋ยวอัสดงน้อยก็ออกมาหรอก ดีไม่ดีมาหลุดตรงนี้จะยุ่งไปกันใหญ่ เดี๋ยวฉันกับไอ้กลดจะจัดการเฝ้าไว้ให้เอง” เอราวัตตอบอัสดงแล้วหันมาพยักพเยิดกับทรงกลด
 
“หลุดก็หลุดไปสิ บางคนเขาจะได้ไม่ต้องมาแอบดู จะได้ดูให้ชัดๆไปเลย”

อัสดงตอบเอราวัตก็จริงแต่สายตาปรายไปทางเชลยและแล้วเขาก็แกล้งเดินมาใกล้เชลยตนนั้นแล้วทำท่าจะถอดผ้าขาวม้าตรงหน้า จนเอราวัตกับทรงกลดร้องลั่น

“ไอ้บ้าอัสดง ทำอะไรวะ”

และบัดนี้หน้าท้องที่เป็นลอนแบนราบพร้อมกับส่วนล่างของร่างกายที่ถูกปิดด้วยผ้าขาวม้าผืนบางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำกำลังจะหลุดและอยู่ห่างจากหน้าของเชลยเพียงแค่คืบ เชลยที่ถูกมัดอย่างหนีไปไหนไม่ได้รีบเบนหน้าหนีแล้วร้องลั่นมาด้วยความตกพระทัย

“ไอ้บ้า ไอ้คนลามก หยาบคาย เราจะฟ้องปู่เรา ฮือๆ ฮือๆ ฮือๆ”

คราวนี้เชลยไม่ร้องด่าอย่างเดียวพร้อมกับทรงกรรแสงมาด้วย หยาดน้ำใสพิสุทธิ์หลั่งไหลออกมาจากพระเนตรอาบพระปรางทั้งสอง อีกทั้งยังทรงสะอื้นด้วยความเจ็บพระทัย ไม่เคยมีผู้ใดหยามพระเกียรติได้ขนาดนี้ อณูแห่งพระสุริยเทพ นั้นทำเกินไปแล้ว

“ไอ้อัสดง ....เขาร้องไห้เลยเห็นไหม ทำไงดีล่ะที่นี้”

อัสดงเห็นเชลยตรงหน้าร้องไห้ก็ทำอะไรไม่ถูกหยุดแกล้งทันใด ครั้นพอจะทรุดกายลงไปนั่งปลอบให้หยุดร้องไห้ กลับทำให้เชลยยิ่งร้องหนักขึ้นไปอีก

“ฮือๆๆๆๆๆ เราเกลียดเจ้า สุริยาทิตย์”

“เฮ้ยยยยย นายสองคนมัวทำอะไรอยู่วะ ช่วยกันปลอบสิ ร้องดังลั่นบ้านไปหมดแล้ว”

“นายแกล้งเขานายก็แก้ปัญหาเองเหอะอัสดง” เอราวัตเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งเข้าไปข้างในบ้านทิ้งให้คนก่อเรื่องแก้ปัญหาเอาเอง อัสดงเองก็จนปัญญาแล้วจึงชิ่งหนีบ้าง

“เฮ้ยยย ไอ้กลด ฝากปลอบด้วยล่ะกัน จนปัญญาแล้ว ไปก่อนล่ะ” สิ้นเสียงคนก่อเรื่องก็วิ่งหายลับเข้าไปในบ้านบ้างทิ้งให้ทรงกลดเผชิญชะตากรรมผู้เดียว

“ไอ้อัสดง ไอ้เอราวัต กลับมาก่อนเลย ฉันจะทำยังไรเล่าเนี่ย เขาร้องไม่หยุดเลย กลับมาก่อน”

นาคาแสนซนผู้ตกเป็นเชลยยังคงร้องไห้ไม่หยุดแถมยังดังขึ้นอีก คนก่อเรื่องอันตรธานหายไปแล้วทิ้งให้ทรงกลดอยู่ในที่เกิดเหตุผู้เดียว เขารู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่งจะปลอบคนข้างหน้าอย่างไรดี ไม่เคยปลอบใครซะด้วย แต่ก็ขอลองสักหน่อย

“เอ่ออออน้องครับ  น้องนาคดื้อ เงียบเถิดนะ ไม่มีใครทำอะไรเจ้าแล้ว” เสียงเย็นๆแถมยังนุ่มนวลปนอ่อนหวานกล่าวขึ้น หากแต่คนที่ร้องไห้ก็ยังไม่ยอมหยุดหนำซ้ำยังแผดเสียงออกมาว่า

“เรามีชื่อ อย่ามาเรียกเราว่าดื้อ”

“แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่อทรงกลดนะ หยุดร้องก่อน ค่อยๆพูดกันนะครับ” ทรงกลดพูดพร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้เด็กดื้อแล้วถือวิสาสะวางมือบนพระอังสาของเชลยที่กรรแสงเบาๆ รัศมีเหลืองนวลถ่ายทอดจากมือข้างนั้น ทำให้ความรู้สึกที่คับแค้นแน่นพระทัย เริ่มเย็นลง เย็นลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงแค่สะอื้นเบาๆ และรัศมีอันเดียวกันนี้นี่เองได้แผ่ซ่านหวลกลับมาจับตัวเขาเองอีกด้วย ทำให้ความรู้สึกนุ่มนวลห่วงหาดันวาบวับเข้าจับหัวใจตนเองอย่างไม่มีทางเลี่ยง


“ดูสิ ร้องไห้อย่างนี้หมดหล่อเลย......ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้เป็นเด็กๆแบบนี้หรอกนะ” ว่าแล้วทรงกลดก็ใช้มือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาของเด็กดื้อที่ยังค้างคาอยู่เบาๆ สัมผัสอันอบอุ่นเย็นใจ กำซาบซ่านคราวนี้เด็กดื้อหยุดร้องไห้ทันที แล้วเงยพระพักตร์มาสบตาคนที่กำลังปลอบอยู่ นี่นะหรือจันทรเทพ เคยได้ยินแต่เสียงลือว่างามนักงามหนา หน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง

แว่บแรกที่เขาจะเช็ดน้ำตาให้ ตั้งใจจะสะบัดหน้าหนี ทว่ากลับทำมิได้ เขาคนนี้ดูท่าคงจะไม่เกเรอย่างสองคนนั่น แต่ก็ยังวางใจอะไรไม่ได้หรอก เพราะถ้าเขาเป็นคนดีจริง เขาคงไม่ไปเป็นชู้กับเมียของพระพฤหัสอย่างที่ได้ยินมา...เจ้านาคน้อยคิดเช่นนั้น

แม้ทรงกลดจะเช็ดน้ำตาให้เชลยจนหมดแล้ว แต่ความรู้สึกอ่อนหวานชื่นทรวงกลับดันเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น.....ดวงตาสุกใสสว่างวาบดุจดาวฤกษ์ของเทวะน้อยจ้องดวงตาฟ้าครามที่ล้ำลึกสุดคาดคะเนอย่างไม่วางตา ฤาความรัก ความโหยหา ของคืนพระจันทร์ทรงกลดจะย้อนกลับเข้ามาหาตน

“เจ้ายิ้มอะไร”

เชลยที่เพิ่งหยุดร้องไห้หลบสายตาหวานซึ้งของคนที่กำลังปลอบอยู่ พระปรางทั้งสองแดงระเรื่ออีกครั้ง จากเหตุแห่งเทพน้อยคนละองค์ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ สามารถทำให้ตนเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ คนหนึ่งทำให้ร้องไห้แต่อีกคนหนึ่งคือผู้ที่เช็ดน้ำตา

“เปล่า.....ไมมีอะไรแค่ยิ้มเฉยๆ เห็นเด็กดื้อขี้แย หยุดร้องไห้ก็ดีใจ เออ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าชื่ออะไร พี่ว่าหน้าเจ้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“จะเคยเห็นที่ไหนก็ช่าง และท่านไม่จำเป็นต้องรู้นี่ จันทรเทพ”

“เจ้ารู้ชื่อเดิมพี่ แต่พี่ยังไม่รู้ชื่อเจ้า ....เอาล่ะไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร งั้นพี่จะเรียกเจ้าว่า น้องดื้อ อย่างที่เพื่อนพี่เรียกแล้วกัน” ดูท่าทางนาคาน้อยอายุไม่น่าจะเกินสิบหกปี ยังไงๆ ก็ดูเด็กกว่าคงไม่เสียหายที่จะแทนตัวเราเองว่าพี่ ว่าแล้วทรงกลดก็ก้มหน้าลงไปหานาคาน้อยที่หลบสายตาเขาอยู่ อยากจะบอกไปนักว่า

‘เอาเถอะพยศไปเถอะแล้วเจ้าเองก็จะรู้ว่าแสงจันทร์ยามค่ำคืนนั้นมีเสน่ห์น่าโหยหาปานใด ไม่ร้อนแรงเหมือนแสงอาทิตย์ เย็นตาเย็นใจกว่ากันเยอะ’

“อย่ามาเรียกเรา ดื้อ เราไม่ชอบ ก็ได้เราจะบอกก็ได้ เรามีนามว่า สีทันดร เป็นราชนัดดาในพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกี”

“เจ้าบอกพวกพี่แล้วว่าเจ้าเป็นหลานใคร ว่าแต่ชื่อเจ้าเพราะจัง.....ชื่อเหมือน มหานทีสีทันดร”

“เราถูกตั้งชื่อตาม มหานทีสีทันดรต่างหาก ชื่อเราไม่ได้เหมือน”

แต่ก่อนที่ทรงกลดจะอ้าปากต่อปากต่อคำต่อนั้น อัสดงที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมา หะแรกที่เห็นเชลยหยุดร้องไห้ก็ดีใจ แต่พอเห็นทรงกลดที่นั่งชิดใกล้ๆความรู้สึกก็ผันแปรเป็นคันยิบๆที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก และเขาก็เดินออกมาทันจนได้ยินว่า เจ้านาคาตาฟ้าชื่อ สีทันดร

“สีทันดร เจ้าแพ้เรา เราจับเจ้าได้ เจ้าต้องเชลยของเราผู้เดียว” อัสดงรำพึงกับตนเองมาเช่นนั้น แล้วเดินเข้าไปหาสหายกับเชลยผู้เป็นต้นเหตุแห่งอาการคันหัวใจทันที

“ไง...อารมณ์ดีขึ้นแล้วสิไอ้ดื้อ” คนพูดคล้ายไม่พอใจอะไรสักอย่าง ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่าไอ้ดื้อ เชิดพระพักตร์ไปอีกทางยามได้ยินเสียงนั้น เสียงของสุริยเทพ คนเกเร ที่แม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะมอง

“มันก็เรื่องของเรา แล้วเราก็มีชื่อ เลิกเรียกเราว่า ไอ้ดื้อ ซะที”

“มันก็เรื่องของเราเหมือนกันที่เราจะพอใจเรียกเจ้าว่า ไอ้ดื้อ  มีอะไรไหม” มือแข็งแรงของอัสดง บัดนี้จับวงพักตร์กระจ่างใสให้หันมาประจันหน้า ลมหายใจร้อนผะผ่าวลอยห่างเพียงคืบ โลมไล้พระปรางทั้งสอง ก่อบังเกิดสีแดงระเรื่อซึมซับทั่วพระปรางนั้น

“อย่ามาทำกับเราแบบนี้นะ เราเจ็บ ...จะฆ่าเราก็ฆ่า เราแพ้เจ้าแล้วนี่”

“เฮ้ย อัสดงนายจะทำอะไรของนาย น้องเขาเจ็บ” ทรงกลดรีบร้องเตือนมา แต่อัสดงไม่สนใจคำทัดทานนั้น

“เราไม่ฆ่าเจ้าหรอก เก็บไว้ทรมานเล่นๆ สนุกกว่าเยอะ” อัสดงปล่อยพระพักตร์เชลยจอมดื้อ แล้วหันไปพูดกับทรงกลดที่นั่งอยู่ด้านข้างซึ่งกำลังมองมาด้วยความไม่พอใจนักที่อัสดงเข้าถึงเนื้อถึงตัวผู้ที่เขาเพิ่งปลอบให้หยุดร้องไห้ 

“นายเก่งนี่กลด....ปลอบไอ้ดื้อนี่เสียอยู่หมัด ท่าทางคงจะถูกใจไม่น้อย” ปลายน้ำเสียงยังคงตวัด เน้นหนักที่คำว่าถูกใจ ทำให้ทรงกลดเริ่มรู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้นที่อัสดงพูดมาเช่นนั้น

“ยิ่งกว่าถูกใจอีกว่ะ นายจะให้ฉันปลอบน้องดื้อทั้งคืนก็ยังไหว”

มันน่าแปลกที่ทรงกลดใช้น้ำเสียงแค่เย็นระเรื่อแต่พออัสดงได้ฟังก็ประดุจดั่งไฟบรรลัยกัลป์เผาไหม้หัวใจ คำพูดของไอ้พระจันทร์ ช่างยียวนนัก ฟังแล้วมันทำให้ร้อนในอก

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“ไอ้ดื้อนี่ ฉันจะดูแลเอง ฉันปราบมันได้ คงไม่รบกวนนายแล้ว”

“แต่ฉันยินดีว่ะ ไม่ได้เป็นการรบกวน” 
 
“นี่ถ้าเจ้าสองคนถ้าไม่ฆ่าเรา ก็ปล่อยเราซะแล้วอีกอย่างเราดูแลตัวเราเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาวุ่นวายกับเราทั้งนั้น” สีทันดรทรงตัดรำคาญ แต่เจ้าของใบหน้าคมเข้มและลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ กลับตอบกลับมาชวนสงสัย

“เราไม่ปล่อยเจ้า เราจะมัดเจ้าไว้ ขังเจ้าไว้อย่างนี้ ตลอดไป” 

“ เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่มีสิทธิ์มากักขังเรา เหอะ...เราจะทูลฟ้องพระมหาเทพ”

“เชิญเสด็จพระราชดำเนิน...ขี่ม้าสามศอก ไปฟ้องเลย” น้ำเสียงประชดประชันยังคงมีมาเป็นระยะๆ

“อัสดง....ฉันว่านายปล่อยน้องดื้อเขาเหอะ แล้วจะได้คุยกันดีๆ เถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้ทั้งคืนก็ไม่รู้เรื่อง”

“นายเฉยๆ เหอะทรงกลด ....บอกแล้วไงฉันจัดการเอง” พระอาทิตย์น้อยไม่ค่อยสบอารมณ์นัก นึกรำคาญเพื่อนเสียจริง ทรงกลดเองคงจะเย็นไม่ไหวแล้ว เริ่มขึ้นเสียงมาบ้าง

“ แต่นายไม่มีสิทธิ์มัดน้องเขาไว้นะโว้ย ถ้าพ่อแม่เขารู้เข้า เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง” 

ระหว่างที่การโต้เถียงดำเนินอยู่นั้น ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เอราวัตที่หายเข้าไปในบ้านเสียนานแล้ว จู่ๆก็วิ่งพรวดพราดออกมา ตะโกนลั่น

“เฮ้ย อัสดง ทรงกลด เกิดเรื่องแล้ว พวกนาคบุก ตอนนี้แห่กันมาเต็มคลองเลย มาดูเร็ว”

อัสดง ทรงกลด รีบหันมาทันใด พวกนาคบุกหรือนี่ แค่ไอ้ดื้อตนเดียวฤทธิ์ก็เยอะพออยู่แล้วนี่ดันยกโขยงกันมาทั้งฝูง จะทำอย่างไรดี ว่าแล้วทั้งสองก็วิ่งตามเอราวัต ไปที่เฉลียงหน้าบ้าน และภาพที่ปรากฏแก่คลองจักษุของทั้งสามคนก็คือ บรรดางูตัวใหญ่มีหงอน ชูคอสูงลอยสลอนเต็มคลองไปหมด บางตัวมีสามหัว บางตัวมีห้าหัว นาคพวกนั้นต่างก็พยายามจะพุ่งเข้ามา แต่ด้วยม่านอาคมที่ทรงกลดลงไว้ทำให้เข้ามาไม่ได้  แถมยังซัดเหล่านาคากระเด็นกระดอนกลับไปอีกด้วย

“มันเอาเราแน่ ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ พวกนายเตรียมตัวให้ดีคืนนี้เราคงเจอศึกหนัก” อัสดงขบกรามแน่นเปรยกับสหายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ

และแล้วตัวที่คาดว่าน่าจะเป็นจ่าฝูงก็ชูคอสูงแผ่พังพาน พ่นพิษลงมาเพื่อจะทำลายม่านอาคมนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล พวกตัวใหญ่ๆหลายตัว จึงรวมตัวพ่นพิษมาพร้อมกัน ทรงกลดเห็นดังนั้นจึงบริกรรมคาถาขึ้น แสงสีเงินยวงสว่างระเรื่อรอบกายปรากฏโดยรอบ ขยายวงกว้างครอบคลุมทั้งบ้าน ม่านอาคมถูกสร้างขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งแล้ว

“ฉันจะรับหน้าด้านนี้ไว้เอง พวกนายจัดการพวกที่เหลือ” ทรงกลดหันมากล่าวกับสหายทั้งสอง

“สงสัยมันจะมาช่วยนายของมัน ...อัสดง นายปล่อยเจ้าดื้อนี่ไปเหอะ มีเรื่องกับพวกนาคไม่สนุกหรอก” เอราวัตบอกอัสดงให้ปล่อยสีทันดรคืนไป เผื่อพวกนาคจะยุติการโจมตีก็ได้

“ไม่ปล่อย .... ถ้านายกลัวก็ถอยไป เดี่ยวฉันกับไอ้กลด จัดการตรงนี้เอง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น.......แต่รอบข้างตอนนี้ พินาศไปด้วยพิษนาคหมดแล้ว เรามีกันแค่สามคนนะโว้ย แต่พวกนั้นมาเป็นฝูง”

อัสดงไม่สนใจคำพูดของเอราวัต เขารีบแบมือขึ้น เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาเช่นเคยคราวนี้ไม่ได้กลายเป็นจักรเพลิงหากแต่รวมตัวกันเป็นศรเพลิงขนาดใหญ่ อัสดงกระชับคันศรในมือแน่น เพียงเขาง้างสายธนู ลูกศรเพลิงก็ปรากฏขึ้นแล่งอย่างอัศจรรย์

อัสดงไม่รอช้าสูดหายใจเข้าเต็มปอดจนเอวคอดกิ่วทำให้แผงอกกำยำขยายกว้าง กล้ามแขนเป็นมัดเงื้อสายธนูเต็มเหนี่ยวพอได้ที่ก็รีบยิงไปกลางฝูงนาคทันที ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์และมนต์วิเศษที่ประสิทธิ์ประสาทในธนูดออกนั้น เพียงออกจากแล่งทะยานขึ้นฟ้า ก็กลายเป็นพญาครุฑาตัวใหญ่ บินถลาโฉบตวัดไปในหมู่นาคนั้น ทำให้เกิดความโกลาหลสะเทือนทั่วทั้งผืนน้ำ นาคพวกนี้เป็นเพียงแค่นาคบริวาร ไฉนเลยจะมีฤทธีต่อกรกับครุฑได้ ถึงแม้จะเป็นแค่ครุฑจำแลงก็เหอะ

“คนขี้โกง ....เจ้าเล่นไม่ซื่อ” สีทันดรร้องตะโกนออกมา เมื่อเห็นอัสดงใช้ครุฑมาต่อกรกับบริวารของตน

อัสดงไม่สนใจคำบริภาษนั้นซ้ำยังปล่อยศรเพลิงออกไปอีกสองดอก ซึ่งแต่ละดอกก็กลายร่างเป็นครุฑอีกเช่นกัน ครุฑทั้งสองเข้าไปช่วยจิกตีนาคพวกนั้น นาคบางตัวที่สู้ไม่ได้ก็หลบลี้หนีลงน้ำ เหลือเพียงเจ้าตัวจ่าฝูงและตัวใหญ่ๆอีกไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สู้ไม่ถอย แถมยังซัดครุฑจำแลงร่วงไปเสียหนึ่งตัว ..... ความรู้สึกของอัสดงตอนนี้ยากที่จะบ่งบอก เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ถึงไม่ยอมปล่อยไอ้ดื้อนี่คืนไปซะ ทำไมเขาถึงอยากจับมันไว้อย่างนี้ และเพราะเหตุใดกัน เขาถึงยอมสู้ขาดใจ

“นาเคนทร์ เจ้ามาช่วยเรา ....เราอยู่ทางนี้”

“เงียบซะ ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”

“ไม่เงียบ ... นาเคนทร์ ให้พวกบริวารที่เหลือ อ้อมไปทางด้านหลังบ้าน ตรงนั้นอาคมมีรอยโหว่ เราทำลายเอาไว้ พวกเจ้าจงเข้ามาทางนั้น”

“บรรลัยแล้ว หุบปากเจ้าเลยไอ้ดื้อ ถ้าเจ้าไม่หยุดพูดเราจะปิดปากเจ้าเหมือนตอนเย็น” อัสดงลดศรลงทันใดตะโกนก้อง ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งเพื่อจะไปสกัดทางด้านหลังบ้าน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว จงอางใหญ่หลายตัวบัดนี้เลื้อยขึ้นมาแผ่พังพานเต็มลานบ้านหมายจะเอาชีวิตเทพน้อยทั้งสาม

เอราวัตเห็นท่าไม่ได้การ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โทรศัพท์ที่ดูเหมือนเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ดูแสนจะธรรมดากลับปรากฏแสงสว่างจ้ายามที่พระพุธน้อยแตะหน้าจอทัชสกรีนนั้น หอกด้ามยาวด้ามหนึ่งลอยออกมา  ร่างอวตารแห่งพระพุธกระชับหอกแนบแน่นไว้ในมือ หมุนคว้างโดยรอบแล้วโผนทะยานเข้าสู่หมู่จงอางพร้อมกับหวดอาวุธฟันฟาดลงไปตรงเจ้างูตัวใหญ่เกล็ดดำมะเมื่อมตัวหนึ่ง เพียงหอกกระทบร่าง จงอางตัวนั้นก็ลอยกระเด็นเป็นอันดับดิ้นสิ้นฤทธิ์ พวกที่เหลือเห็นสหายถูกทำร้ายก็เดือดดาลเลยชูคอสูง พุ่งฉกลงมาพร้อมกัน อัสดงหันมาจะช่วยรับมือ แต่เอราวัตกลับบอกให้ไปช่วยอีกด้าน
 
“นายช่วยไอ้กลดรับด้านหน้าไป ด้านหลังฉันจัดการเอง”

เอราวัตยังคงหมุนปลายหอกเป็นจักรผันซัดไปทางใด จงอางทั้งหลายต่างก็ดับสูญดิ้นพล่าน ที่บาดเจ็บก็บิดกายเร่าๆ คืนร่างมาเป็นมนุษย์ร้องโอดครวญไปทั่ว ฉับพลันนาคสามเศียรตัวหนึ่งก็หลุดเข้ามาในบ้าน พระพุธน้อยจึงอาศัยจังหวะที่มันพุ่งมานั้นลอยสวนกลับไปแล้วเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับซัดหอกเข้าที่ตาซ้ายของหัวด้านหนึ่ง ทำให้นาคสามหัวนั้นคำรามลั่น

“ไอ้พวกงูดิน คิดจะลองดีเหรอ เจอนี่หน่อยเป็นไร” คราวนี้หอกซัดไปที่อีกสองหัว แต่ก่อนที่หอกจะฟาดลงไป นาคตนนั้นก็พ่นพิษสวนลงมา อัสดงหันมาเห็นพอดี ร้องเตือนลั่น

“ เอราวัต ระวัง”

อัสดงไม่เตือนเปล่า รีบกระโดดผลักเพื่อนออกจากบริเวณนั้น แล้วฟาดคันศรลงไปตรงแสกหน้าของงูมีหงอนจนมันกระเด็นลงกับพื้นม้วนตัวดิ้นเร่า ครั้นพอง้างสายธนูหมายปล่อยศรยิงซ้ำ แต่งูอีกตัวเลื้อยเข้ามาขวางไว้เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปจัดการงูตัวนั้นแทน สีทันดรที่ถูกมัดติดอยู่กับเสาร้องลั่นที่เห็นบริวารตนเองพลาดท่า เสียทีให้เทพทั้งสาม ครั้นจะออกไปช่วยก็ถูกเขาตรึงไว้ด้วยอาคม ตอนนี้ทำได้แต่หาตัวช่วย แลผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตามใจตน


“ข้าแต่ ทูลหม่อมย่าน้อย พระนางมนสาเทวี โปรดเสด็จมาช่วยหลานด้วย”

สิ้นพระสุรเสียง รัดเกล้าสีทองสุกปลั่งก็ส่งแสงเรืองรองขึ้นไปยังท้องฟ้า สว่างจ้าไปทั่วทั้งนภากาศ ชั่วระยะเวลาเข็มตกก็ปรากฏลำแสงขาวพิสุทธิ์อย่างยิ่งพุ่งลงมา แล้วแสงสว่างจ้าลำนั้น ก็พุ่งซัดครุฑอาคมของอัสดงจนแหลกสลายแล้ววิ่งพุ่งชนม่านอาคมของทรงกลดแตกกระจาย ทรงกลดที่กำลังสร้างม่านอาคมอยู่ถึงกับกระเด็นลอยคว้างดีที่อัสดงกระโจนรับไว้ได้ทันก่อนที่จันทรเทพจะลอยไปกระแทกผนัง 

ลำแสงขาวนวลลำนั้นบัดนี้พุ่งวนอยู่กลางบ้าน แสงโชตนาการอันขาวยิ่งกว่าขาวบัดนี้หยุดลงตรงหน้าสีทันดร แล้วสลายเป็นประกายระยิบระยับดุจดาวประกายพรึก รวมร่างเป็นบุรุษสูงใหญ่ เกศาขาวยาวปลิวไสว เคราขาวสีนวลสะอาดตา สะบัดพลิ้ว

“ทะ ทูลหม่อมปู่วาสุกี”

“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าหยุดให้หมดทุกคน”

สิ้นสุรเสียงทรงอำนาจ เหล่านาคาทั้งหลายก็หยุดชะงักแล้วกลับกลายคืนร่างเป็นมนุษย์หมอบราบตัวสั่นงันงก อัสดง ทรงกลด และเอราวัต กลับมายืนรวมตัวกันทรุดนั่งยกมือพนมหว่างอก ถวายบังคมพร้อมเพียง

“ท่านพญาวาสุกี”

“ทูลหม่อมปู่ช่วยหลานด้วย พวกเทพเกเรพวกนี้รังแกหลาน” สีทันดรรีบทูลฟ้องมาทันใด

“หุบปากเจ้าซะเดี๋ยวนี้ สีทันดร ที่ข้าลงมานี่ก็เพราะเจ้านั่นแหละ ก่อเรื่องวุ่น” จอมนาคาตวาดก้อง แสดงว่ากริ้วราชนัดดาจอมดื้อ ทำให้สีทันดรที่ถูกมัดอยู่ถึงกับสลดลงแต่ก็ไม่วายตรัสเถียงมาอย่างอุบอิบ

“หลานไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“นี่ขนาดเจ้าไม่ได้ทำยังยุ่งขนาดนี้ถ้าเจ้าทำจะยุ่งขนาดไหน ดีนะที่ข้าลงมาเอง ถ้าเป็นมนสาเทวีเธอมา คงจะเข้าขากับเจ้าก่อเรื่องวุ่นไปทั่ว เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลัง” พญาวาสุกีตรัสจบ ก็วาดดัชนีชี้กราด ไปยังพวกนาคบริเวรทั้งหลาย

“ส่วนพวกเจ้า มีความผิดโทษฐานขึ้นมาจากบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังมาก่อเรื่องในเขตของเทวะ เราจะขอลงโทษพวกเจ้าให้อยู่ในร่างของงูดินธรรมดา จะคืนร่างเป็นมนุษย์หรือนาค และกลับบาดาลไม่ได้ จนกว่าพระมหาวิษณุเจ้าจะบรรทมตื่น”

เมื่อสิ้นพระดำรัส เหล่านาคบริวารก็เหงื่อกาฬแตกพล่าน บทลงโทษนี้รุนแรงอย่างยิ่งเพราะทั้งหลายรู้ดีว่ายามพระมหาวิษณุเจ้าบรรทมนั้นนานแสนนานเพียงไร จากนาคต้องกลายเป็นงูดินธรรมดา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น และแล้วแสงสีเขียวสว่างจ้าก็ส่ายสาดทั่วร่างนาคพวกนั้นครั้นพอสลาย ร่างก็กลายเป็นงูดินตามบทลงทัณฑ์

“ไสหัวไปได้แล้ว”

“โธ่ บริวารของเรา เราเสียใจที่ทำให้พวกเจ้าลำบาก” สีทันดรตรัสออกมาเบาๆ วงพักตร์สลดลงไปอีกนาคบริวารพวกนี้มาช่วยตนแท้ๆกลับต้องถูกลงโทษ นี่ก็เพราะ อณูแห่งพระสุริยาทิตย์แท้ๆทีเดียว

“ข้าต้องขอโทษท่านด้วย สุริยเทพ จันทรเทพ และท่านพุธเทพ ที่หลานข้าและบริวารมาก่อเรื่องให้รำคาญใจ ข้าผิดเองที่ตามใจหลานข้าจนเคยตัว พ่อแม่มันก็ใช้ไม่ได้ ไม่เคยสั่งเคยสอนลูก เดี๋ยวข้าจะไปจัดการ”

“ไม่เลยพะย่ะค่ะ เจ้าดื้อนี่ยังเด็กนัก เลยซน แต่ไม่ได้ทำให้รำคาญใจ” อัสดงทูลตอบแล้วนึกอยู่ในใจคนเดียวว่าท่านตรัสผิดแล้วพญาวาสุกี  ไอ้ดื้อนี่ไม่มีทางทำให้รำคาญใจหรอก ถ้าจะตรัสให้ถูกควรตรัสว่า ทำให้คันหัวใจน่าจะเหมาะกว่า

“พ่อหลาน ก็เป็นโอรสทูลหม่อมปู่เองนะ ถ้าพ่อหลานใช้ไม่ได้ ทูลหม่อมปู่เองนั่นแหละที่ไม่เคยสั่งเคยสอน”

“ไอ้สีทันดร ....บัดเดี๋ยวเหอะ เถียงคำไม่ตกฟาก ฤาเจ้าอยากจะเป็นงูดิน”

สีทันดรเงียบลงทันใด ส่วนเทพน้อยทั้งสามที่นั่งฟังก็ได้แต่อมยิ้ม ไอ้ดื้อนี่มันคงจะดื้อจริง นี่ขนาดปู่มันแท้ๆมันยังเถียงยอกย้อนได้ลงคอ ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด ส่วนทีท่าของพญาวาสุกีก็ดูเหมือนจะไม่โกรธอะไรจริงจังมากนัก ท่าทางไอ้ดื้อนี่น่าจะเป็นหลานตัวโปรด 

“บ้านท่านพังหมดเลย จันทรเทพ เดี๋ยวเราจะรับผิดชอบเอง” เจ้าแห่งนาคาเมื่อระงับโทสะได้ ก็ทรงเป่าลมออกจากพระโอษฐ์เบาๆ ทำให้เปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้บนพื้นกระดาน สงบลงและปราศจากรอยไหม้เกรียม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งใดที่แตกหักเสียหายกลับกลายเป็นปกติ อำนาจวิเศษมันดีอย่างนี้นี่เอง

“ส่วนเจ้าสีทันดร เจ้ามันตัวต้นเหตุ อยากรู้ อยากเห็นไม่เข้าเรื่อง....เอาล่ะในเมื่อเจ้าอยากรู้นัก ข้าก็จะบอกให้ว่า ท่านทั้งสามเนี่ย เขาแบ่งภาคลงมาปราบอสูร หาได้เกเรอย่างที่เจ้ากล่าวหา ตอนนี้เหล่าอสูรเริ่มกล้าแข็ง แถมได้รับการเกื้อหนุนจากพวกมาร”

“พญาปรนิมมิตวัตสวัตตี”

“อย่าเอ่ยชื่อ เรายังไม่มีหลักฐาน มหาเทพทั้งสองจึงทรงลงโทษไม่ได้ ถึงได้ให้ท่านสุริยเทพกับสหาย ลงมาจัดการ”

“แล้วทำไม มหาวิษณุไม่ทรงลงมาปราบเอง สมัยก่อนหลานเห็นอวตารลงมาบ่อยไป ไหนจะเป็นพระรามบ้างล่ะ พราหมณ์เตี้ยบ้างล่ะ”

คำถามของสีทันดรถูกใจเทพน้อยทั้งสามยิ่งนัก  ถ้าจะว่ากันจริงๆพวกเขาก็ยังอยู่ในร่างของเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้า ยังมองไม่เห็นทางเลยว่าจะจัดการกับพวกอสูรได้อย่างไร

“ ท่านคือมหาเทวะ กลียุคมาถึงแล้วฤาไร ท่านถึงต้องเสด็จมาเอง.. แต่เจ้าไอ้สีทันดร อย่าพูดไป โดนลงโทษขึ้นมา ข้าไม่เกี่ยวด้วยนะ  ก็ท่านทรงบรรทมอยู่ ใครกล้าปลุกขึ้นมาทูลถามบ้างล่ะ ดีไม่ดีเกิดกริ้วขึ้นมากลายเป็นแบบคราวพระมหาพิฆเณศวร พระเศียรถึงกับหลุดต้องไปหาหัวช้างมาเป็นพระเศียรแทน”

ก็จริงอย่างที่ท่านปู่ว่า คงไม่มีใครกล้าปลุกมหาเทวะเป็นแน่ เรื่องของมหาพิฆเณศวรเป็นที่โจษจันไปทั่วสามโลก ยามนั้นทรงประสูติใหม่ๆ เทพผู้ใหญ่หลายพระองค์เสด็จมาร่วมพิธีสมโภชหากแต่มหาวิษณุเจ้าพระองค์เดียวที่ยังไม่เสด็จมาเพราะทรงบรรทมอยู่ เทพที่ไปเชิญเสด็จก็ผลีผลามไปปลุกพระบรรทม พอทรงบรรทมตื่นก็ทรงทราบเรื่องจึงตรัสลอยๆมาว่า “ไอ้ลูกหัวหายนี่ยุ่งชะมัด” เท่านั้นแหละพระเศียรแห่งเทวกุมารพระองค์น้อย ก็อันตรธานหายไปด้วยวาจาศักดิ์สิทธิ์ คณะเทพที่เฝ้าจึงต้องรีบไปหาพระเศียรมาให้ใหม่ ท้ายสุดก็ได้ศีรษะของช้างมาต่อเป็นพระเศียรแทนของเดิม

“ท่านสุริยเทพ พวกท่านตอนนี้ลงมาอยู่ในร่างมนุษย์ อำนาจและฤทธีคงใช้ไม่ได้เต็มที่ ในนามของคณะเทพแห่งโลกบาดาล พวกเราจะให้ความช่วยเหลือ โดยมีเจ้าหลานจอมดื้อของเราเป็นสื่อกลางและเข้าร่วมด้วย เพราะตัวข้าเองจะออกหน้าอย่างโจ่งแจ้งมากไม่ได้ มิฉะนั้นมารจะไหวตัว และยังไม่มีเทวราชโองการ....ส่วนเจ้าสีทันดร นับแต่นี้ไป เจ้าจะต้องอยู่ช่วยเหลือท่านสุริยเทพกับสหายที่นี่ ข้าย้ำนะว่าอยู่ช่วยเหลือ ไม่ใช่ก่อเรื่องวุ่น เสร็จภารกิจเมื่อใดค่อยกลับบาดาล”

“ทูลหม่อมปู่รับสั่งอะไรอย่างนั้น” สุรเสียงของนาคาน้อยดังก้องอย่างไม่พอพระทัย

“นี่คือการลงโทษ เด็กดื้ออย่างเจ้า ฤาเจ้าจะให้ข้าขังเจ้าไว้ที่บาดาล”

จอมนาคาขับสุรเสียงเข้มขึ้นมาแล้ว  สีทันดรทรงรู้องค์ดีว่าถ้าแข็งขืนขัดรับสั่งตอนนี้ มีแต่จะทำให้พิโรธหนัก จึงหักพระทัยยอมไปก่อนแล้วค่อยหาทางเลี่ยง เพราะยังไงก็ดีกว่าที่จะถูกจองจำอยู่แต่ในบาดาลไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน 

“ก็ได้พะย่ะค่ะ”

“จำไว้ จงช่วยท่านสุริยเทพ อย่างสุดความสามารถ หากข้ารู้ว่าเจ้าเกเรข้าเอาเรื่องเจ้าแน่...ท่านสุริยเทพข้าฝากหลานข้าด้วย หากมันเกเรท่านลงโทษได้ตามสมควร”

อัสดงกระหยิ่มในใจ โอกาสคงเป็นของเขาแล้ว คราวนี้แหละไอ้ดื้อ  จะดูสิว่าเจ้าจะมีฤทธิ์อะไรอีก สะใจเสียจริงดื้อดีนัก เดาว่าคงได้จับมันตีก้นแน่ๆ คงจะเร็วๆนี้แหละ ในเมื่อเจ้าเคยบอกว่าเกลียดเรานัก เราจะทำให้เจ้าเกลียดเราไม่ลง

“เป็นพระมหากรุณายิ่งแล้ว คราวนี้หม่อมฉันคงอุ่นใจที่ไม่ต้องทำศึกอย่างโดดเดี่ยว หม่อมฉันสัญญาว่าจะดูแลน้องดื้อ เอ๊ยน้องสีทันดรเป็นอย่างดี”

ทรงกลดกล่าวแทนสหายทั้งสอง ขนตาหนาปลายงอนกระพริบวิบวับไปยังนาคาจอมดื้อ รู้สึกโล่งอก เพราะตอนแรกนึกว่าน้องดื้อจะโดนลงโทษให้กลายเป็นงูดินเยี่ยงพวกนั้น ดีที่ยังคงอยู่ในร่างนี้ ส่วนอัสดงที่ได้ฟังก็เริ่มยิ้มไม่ออก ไอ้พระจันทร์จะมาไม้ไหนของมัน ตั้งแต่ให้ช่วยปลอบไอ้ดื้อรู้สึกว่าจะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไรนัก

“ข้าไปก่อนพวกเจ้าดูแลตัวเองกันด้วย จำไว้หากยามใดคับขัน ให้นึกถึงมหาเทพทั้งสองไว้”

แสงสว่างวาบปรากฏอีกครั้ง เพียงแค่กระพริบตา พญาวาสุกีเจ้าแห่งนาคาที่ยืนประทับตรงหน้าก็หายวับไปถ้อยรับสั่งยังคงก้องกังวานในโสตแห่งเทพน้อยทั้งสามและหนึ่งนาคาจอมดื้อ สิ้นสุดกันสักทีกับค่ำคืนที่สุดแสนจะวุ่นวายนี้

“นี่พวกเจ้าจะนั่งทื่อกันทำไม แก้มัดให้เราได้แล้ว ตอนนี้เราไม่ได้เป็นเชลยพวกเจ้าแล้วนะ”

อัสดงหันขวับทันใด เอาแล้วไงไอ้ดื้อ นี่ขนาดปู่เจ้าเพิ่งไปนะนี่ ไม่ทันไรก็แผลงฤทธิ์ซะแล้ว พยศดีนัก อ้าปากมาแต่ละที ฟังแล้วมันน่าปิดปากอีกรอบ ดูสิว่าจะพูดอะไรได้อีกไหม.....ไอ้ดื้อเอ๊ย

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๕ นะคะ

ขอบพระคุณ คุณ AkuaPink  มากๆนะคะที่เข้ามาติดตาม แล้วจะลงให้เรื่อยๆค่ะ  :pig4:  :กอด1:

ออฟไลน์ kakilover

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
รอตอนต่อไปคับ เราเคยอ่านจบไปแล้วและชอบมาก[ กลับมาหาอ่านอีกก้อโดนลบไปแล้ว ] ดีใจคับที่กลับมารีไรท์  :pig4:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
จำได้ว่าสนุกม๊ากกกกก… อะเรื่องนี้!!


รอบทที่ ๕ นะครับ

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่๕ ฝัน หวาน อาย จูบ

“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาให้มันเพราะๆหน่อย ถ้าขืนพูดจาอย่างนี้ ฝันไปเหอะว่าเราจะแก้มัดให้เจ้า”

อัสดงกล่าวตอบมาทันควัน แล้วเริ่มไม่นั่งทื่ออย่างที่เจ้านาคาน้อยว่า ขยับตัวเข้ามาใกล้ จนสีทันดรต้องเริ่มขยับถอยหนีแต่จะไปไหนก็ไม่ได้เพราะพระวรกายยังถูกมัดติดแน่นกับเสาต้นใหญ่

“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุเรามากกว่าพวกท่านสามคนรวมกันซะอีก เจ้านั่นแหละเป็นเด็กจะพูดจะจาอะไรกับเราควรระวัง”

“ดื้อจริงโว้ย เถียงคำไม่ตกฟาก เราไม่ใช่ปู่เจ้านะที่จะมานั่งต่อปากต่อคำด้วย เหอะ พญาวาสุกีนาคทั้งฝูงปกครองได้ แต่กะอีแค่หลานคนเดียวเอาไม่อยู่”

“อย่ามาลามปามปู่เรานะ ..... พวกเจ้ามันก็ดีแต่พูดลับหลัง ทีอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เห็นนั่งทื่อเป็นสากกะเบือดิน”

“ความอดทนเรามีขีดจำกัดนะไอ้ดื้อ ....ถ้าเราทนไม่ไหวอย่าหาว่าเราไม่เตือน”

ใช่สิความอดทนของอัสดงมักมีขีดจำกัดเสมอ ทว่าตัวเขาเองตอนนี้ปากก็ได้แต่พูดไปส่วนในใจลึกๆก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ จะทำลงอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า เพราะบทลงโทษที่เตรียมไว้มันไม่ธรรมดา เถียงคำไม่ตกฟากอย่างนี้ จะลงทัณฑ์ให้พูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

“ใจเย็นๆก่อนสิวะอัสดง ฉันว่านายปล่อยน้องดื้อเขาได้แล้ว จะได้คุยกันดีๆซะที” ทรงกลดพูดพลางก็วางมือไว้บนไหล่ของสหายขี้หงุดหงิด รัศมีเหลืองนวลเย็นระเรื่อกำจายออกมาจากมือข้างนั้น ซึมซาบสู่ร่างสุริยเทพน้อยรูปงาม ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวจางหายลงทันใด

อัสดงเมื่อหายโมโหแล้วก็หลับตานั่งนิ่งชั่วครู่ พอลืมตาก็ดีดนิ้วเบาๆ เชือกที่มัดเจ้านาคาจอมดื้ออยู่ก็คลายปมหลุดออกเองอย่างอัศจรรย์ ทำให้เชลยผู้ที่ซึ่งเป็นอิสระรีบขยับกายลุกออกมาจากเสาต้นใหญ่ พอหลุดมาได้เท่านั้น เจ้าตาฟ้าครามสวยก็ย่นพระพักตร์ตรัสอย่างเสียไม่ได้

 “ขอบใจ”

กริยาอาการที่ยังเป็นเด็กๆเอาแต่พระทัย ดูน่ารักยิ่งในสายตาของทรงกลด..เมื่อ ‘ถูกตา’ เยี่ยงนี้แล้ว ‘ต้องใจ’ จึงตามมาเป็นลำดับ  ส่วนอัสดงนั้นน่ะหรือ ต้องใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออาการคันยิบๆที่หัวใจกำลังกำเริบมาอีกระลอก ถ้าหากได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง มันต้องรับผิดชอบในฐานะเหตุแห่งอาการนั้น

“หิวข้าวแล้วตั้งโต๊ะกินข้าวเหอะ”

จู่ๆเอราวัตก็บ่นขึ้นมาพยักเพยิดไปทางทรงกลดแต่เจ้าพระจันทร์กำลังเหม่อมองอยู่ที่ราชนัดดาแห่งบาดาลเลยทำให้ไม่ได้ยินคำพูดของสหาย เจ้าพระพุธน้อยเลยต้องตะโกนใกล้ๆ ทรงกลดถึงกับสะดุ้งโหยง

“ฉันหิวข้าวโว้ย”
 
“ทำไมต้องตะโกนวะ ก็ยืนอยู่ด้วยกันใกล้แค่นี้เอง”

“ก็นายมัวแต่เหม่อ....เป็นอะไรวะ”

“เปล่า...นายว่าอะไรนะ หิวข้าวใช่ไหม กินซะทีก็ดีเหมือนกัน เฮ้ยอัสดงไปช่วยยกกับข้าวกันดีกว่า ฝากน้องดื้อไว้ให้ไอ้พระพุธดูเนี่ยแหละ”

ทรงกลดกอดคออัสดงแล้วพาเดินไปหลังบ้าน เรื่องอะไรจะปล่อยไอ้พระอาทิตย์ไว้ลำพังกับน้องดื้อฝากไว้กับไอ้พระพุธดีที่สุด อัสดงเองใช่ว่าอยากจะไปช่วยยกหรอก แต่โดนพระจันทร์ลากไปอย่างนั้นก็จำต้องไปช่วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก และก็มิววายกำชับทิ้งท้าย

“อย่าแผลงฤทธิ์มาอีกเด็ดขาด ถ้าก่อเรื่อง เราลงโทษเจ้าแน่”

“แหวะ จ้างให้ก็ไม่กลัว” พระเนตรสีครามใสเปล่งประกายกระพริบวิบวับ พระชิวหาแลบออกมาล้อเลียนทรงกลดกับเอราวัตหัวเราะในความแสบสันของน้องดื้อ แต่อัสดงหัวเราะไม่ออก สะบัดหน้าเดินไปทันที

 “มันเขี้ยวนัก”

“สหายท่านนิสัยแย่จังนะ สักวันเราจะจับมัดบ้างแล้วโยนลงทะเลให้พวกมัจฉาบริวารเรา รุมตอดกินเสียให้เข็ด” สีทันดรหันมากล่าวกับเอราวัตที่ยืนอยู่ข้างๆ

“มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ....เออ เจ้าชื่อสีทันดรใช่ไหม เราเอราวัตนะยินดีที่ได้รู้จัก” เอราวัตตอบพร้อมกับยื่นมือมาเช็คแฮนด์ตามธรรมเนียมตะวันตก สีทันดรไม่เข้าใจในธรรมเนียมนั้น ได้แต่ยืนมองอย่างสงสัย

“เขาเรียกว่า เช็คแฮนด์ ยื่นมือมาจับกันแสดงถึงมิตรภาพและการทักทาย” พระพุธน้อยจึงยื่นมือไปจับหัตถ์ขาวนวลนั้นเอง เพียงสัมผัสสีทันดรก็รู้สึกว่ามือของนายพระพุธดูร้อนๆพิกล สงสัยนายคนนี้จะบาดเจ็บ

“เจ้าไม่สบายหรือบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าโดนพิษแห่งบริวารเรา มือท่านร้อนๆพิกล”

“พิษเหรอ เปล่านี่ แต่บาดเจ็บคงใช่ เพราะเมื่อตอนบ่ายพลาดท่าถูกสายฟ้าของรามสูร” พอพูดถึงเรื่องนี้เอราวัตก็เจ็บสีข้างขึ้นมาทันใด จนต้องใช้มือกุมไว้

“ไหนขอเราดูหน่อยสิ ไหนๆทูลหม่อมปู่ก็สั่งเราให้ช่วยเหลือ แต่บอกไว้ก่อนนะ เราไม่ค่อยอยากจะช่วยนักหรอก”

“แล้วตกลงจะช่วยหรือไม่ช่วยนี่”

“ก็ต้องช่วยสิ มัวแต่ต่อความยาวสาวความยืดอยู่นั่นแหละ เอาล่ะ ให้เราดูได้แล้ว”

แล้วเอราวัตก็เปิดเสื้อให้ดูตรงสีข้างที่บาดเจ็บจากการสู้รบ สีทันดรอยากเห็นให้ชัดกว่านี้จึงบอกให้พระพุธน้อยถอดเสื้อที่สวมใส่ออกเสียเพื่อที่จะได้เห็นร่องรอยบาดเจ็บถ้วนทั่ว แรกๆเอราวัตก็อิดออด รู้สึกเขินนิดๆ เพราะคนที่จะดูอาการให้นั้นดันสวยเกินเด็กผู้ชาย

“นี่ไม่ต้องมาอายเรานะ ทีตอนเย็นยังนุ่งผ้าคนละผืนกระโดดน้ำตูมๆได้เลย เราเห็นหมดแล้ว และก็ไม่คิดจะพิศสวาทอะไรเลยด้วย  เลิกทำสะดิ้งเสียที”

เจ้านาคน้อยตรัสจบก็ประทานค้อนมาให้ขวับ เอราวัตจึงถอดเสื้อออกตามคำสั่ง ถึงแม้เขาจะไม่ใช่เทวะที่รูปงามที่สุดบนสวรรค์อย่างพระอาทิตย์กับพระจันทร์ แต่เทวะก็คือเทวะ แม้จะเป็นเพียงแค่อณู หากร่างกายก็งดงามดังรูปสลัก มัดกล้ามของเด็กหนุ่มที่เพิ่งแตกพานสวยงามได้รูป หน้าท้องเป็นลอนแบนราบ ไรขนอ่อนๆไล่ลงจากสะดือเรื่อยลงไปจนหายไปในขอบกางเกงนอนตัดกับสีผิวที่ขาว หากมีรอยไหม้เกรียมปรากฏตรงสีข้างไล่ลงไปเป็นทางยาว

“เรามองไม่ถนัด ท่านมาตรงนี้ดีกว่า สว่างหน่อย”

สีทันดรเดินนำมาตรงกลางบ้านที่แสงไฟสว่างกว่าทุกจุดแล้วตรัสสั่งให้พระพุธน้อยนอนลง คราวนี้พอทอดพระเนตรเห็นชัด ถึงกับต้องอุทาน

“ตายแล้ว นี่ขนาดเจ้าพลาดโดนสายฟ้านะเนี่ย ถ้าโดนเต็มๆจะขนาดไหน รีบรักษาดีกว่า ปล่อยไว้จะเป็นอันตราย”

ปลายนิ้วเรียวสวยดุจลำเทียน ลูบเบาๆบริเวณสีข้างของเอราวัต พระพุธน้อยหลับตาแน่นิ่งสะกดกลั้นอาการเจ็บนั้นไว้ รอยไหม้จากสายฟ้าเริ่มลามเรื่อยจนไปถึงลำตัวด้านล่าง สีทันดรด้วยความที่ไม่คิดอะไร เพียงแต่อยากดูอาการเท่านั้น จึงดึงกางเกงด้านนึงลงมาจนเห็นชั้นในสีขาว

“เฮ้ยยย ทำอะไร เดี๋ยวโป๊” เอราวัตรีบเอามือกุมเป้าไว้แน่น หน้าแดงทันใด “อย่านะโว้ยเจ้านาคน้อย”

“นี่...ไม่ได้อยากจะดูนักหรอก อย่าเพิ่งอายได้ไหม เราจะดูอาการให้ต่างหาก ...เจ้าเป็นหนักเลยรู้ไหม”

ยามนี้เอราวัตเองที่นอนอยู่ความอายเริ่มจางหาย เพราะความเจ็บปวดเริ่มเข้ามาแทนที่ฉับพลัน จนต้องร้องออกมา “เจ็บอ่ะ ทำไมมาเจ็บเอาตอนนี้”

“ก็ฤทธิ์แห่งรามสูร เจ้าต้องรักษาตัวนะ เดี๋ยวเราจะช่วยบรรเทาอาการให้ก่อน”

สีทันดรก้มพระพักตร์หลับพระเนตรนิ่งทันใด พอลืมตาก็เป่าเบาๆลงไปตรงสีข้างที่บาดเจ็บของเอราวัต แรงลมเป่าจากพระโอษฐ์นั้นเป็นละอองสีแดงเจือทองระยับ เข้าจับรอยไหม้ที่เริ่มขยายสกัดไว้ให้หยุดชะงักลง

ทางด้านอัสดงกับทรงกลดที่เพิ่งถือถาดอาหารมื้อเย็นออกมา เห็นภาพนั้นพอดี ภาพที่เหมือนกับว่าเจ้านาคาน้อยกำลังก้มลงไปทำอะไรให้เอราวัตที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น หนำซ้ำเสื้อผ้าก็ไม่ใส่แถมกางเกงด้านหนึ่งยังถูกดึงร่นลงมาด้วย ภาพที่เห็นนี้ มันชวนให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้จริงๆ

“เฮ้ยยย ทำอะไรวะไอ้เอราวัต” ทรงกลดร้องลั่นรีบวิ่งเข้ามา นึกด่าพระพุธน้อยในใจอย่างขุ่นเคือง ‘ไอ้เอราวัตนึกว่าจะไว้ใจได้ คิดผิดซะแล้ว น้ำนิ่งไหลลึกนะมึง’

อัสดงเองก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้ามาเหมือนกัน และก็มิต่างอะไรกับพระจันทร์ ที่คิดเองเออเอง คล้ายๆกัน หากที่ต่างกันคืออัสดงไม่คิดอย่างเดียว แต่กลับพูดออกมาด้วย พร้อมอารมณ์ขุ่นมัวที่เริ่มปะทุ  “ไวไฟกันนักนะทั้งคู่ คงจะแอบมองกันอยู่นาน จนอดใจกันไว้ไม่อยู่ล่ะสิ นี่ถ้าอดใจกันไม่ไหว ห้องด้านในก็มีนะ ไม่ใช่มาทำอะไรอย่างโจ่งแจ้งตรงนี้”

“เจ้าคิดบ้าอะไรกัน เรากำลังจะช่วยสหายเจ้า” สีทันดรเงยพระพักตร์ขึ้นกล่าวตอบทันควัน

“อ๋อแน่ละสิ....เจ้าคงช่วยจนไอ้พระพุธมันตัวเบาแน่ๆ ถ้าเราสองคนไม่ออกมา ทำอะไรหัดอายคนอื่นเขาซะมั่ง ปากก็บอกว่าเป็นราชนัดดาพญานาคราชสูงศักดิ์ แต่ทำตัวไม่ต่างอะไรกับงูดิน เสพสมไม่เลือกที่” วาจาเผ็ดร้อนรุนแรงออกมาจากปากพระอาทิตย์รูปงาม ดวงตาสีอำพันจ้องมาอย่างผิดหวัง อดคิดไม่ได้ว่า

‘ไอ้ดื้อ นี่ถ้าเรารู้ว่าเจ้า “ง่าย” ขนาดนี้ เราจะได้สนองเจ้าเสียให้สมใจตั้งแต่ตอนเย็น’

และแล้วดวงตาฟ้าครามสว่างวาบกลายเป็นสีทองทันใด แสดงถึงพระอารมณ์พิโรธจนถึงขีดสุด พระหัตถ์ขาวนวล เงื้อขึ้นสะบัดกลางอากาศ เสียงดังสนั่นของแรงลมปะทะผิวหน้าของอัสดงดังเพียะ ทำให้เจ้าของหน้าคมเข้มเซถลาเพราะแรงตบนั้น

“เจ้ามันหยาบคายสุริยเทพ เราขอย้ำคำเดิมว่าเราเกลียดเจ้า ...ก่อนที่เจ้าจะว่าเรา เราอยากให้เจ้าแหกตาลงดูสหายเจ้าก่อนว่าเขาเป็นอะไร ทำไมเราถึงต้องช่วย” สุรเสียงสั่นพร่าดังก้อง แล้วชี้ลงไปที่พระพุธที่บัดนี้ลุกขึ้นมานั่งแล้ว

“นายสองคนกำลังเข้าใจผิดนะ ฉันบาดเจ็บจริงๆ ตอนที่สู้กับรามสูรเพราะเข้าไปช่วยนายแหละไอ้กลด ลืมไปแล้วเหรอ”
เท่านั้นแหละอัสดงกับทรงกลดก็ทรุดกายลงมาดูแล้วพบว่าสีข้างของเอราวัตมีรอยบาดเจ็บจริงๆด้วย ใช่แล้วไอ้พระพุธมันโดนสายฟ้านี่นา

“ถ้าไม่ได้เจ้านาคน้อยนี่ช่วยไว้เมื่อกี้ ฉันคงแย่เพราะจู่ๆอาการก็กำเริบขึ้นมา นายสองคนน่าจะดูอะไรให้ดีๆซะก่อน ก่อนจะพูดออกมานะโว้ย” เอราวัตพูดพลางก็สวมเสื้อคืนดังเดิมจัดกางเกงให้เข้าที่ แล้วหันมาหาเจ้านาคน้อยที่กำลังพยายามระงับโทสะ

“เราขอโทษแทนสหายของเราทั้งสองด้วยนะ”

“เราไม่อยากจะใส่ใจวาจาหยาบช้าของสหายเจ้าหรอก พระพุธ.....ถ้าคืนนี้อาการท่านกำเริบอีก ท่านก็ให้สหายท่านช่วยแล้วกัน เราขอตัวก่อน”

สุรเสียงเกรี้ยวกล่าวตอบปลายน้ำเสียงยังคงสะบัด พระพักตร์จับจ้องไปแต่พระพุธผู้เดียว แลมิได้ชายพระเนตรไปยังเทพน้อยผู้เข้าใจผิดทั้งสอง เมื่อตรัสจบสีทันดรก็เดินไปนั่งคนเดียวที่มุมนึงของเฉลียงบ้าน ทรงกลดจึงรีบวิ่งตาม

“น้องดื้อครับ พี่ขอโทษที่เข้าใจผิด”

“เราบอกแล้วไง ว่าเราไม่ใส่ใจ ใครจะเข้าใจผิดถูกอย่างไรก็ช่าง และก็ไม่ต้องตามเรามา เราอยากนั่งเงียบๆคนเดียว” ว่าแล้วสีทันดรก็เสด็จเลี่ยงออกมา แล้วประทับนั่งพิงเสา พระเนตรคู่งามคืนกลับมาเป็นสีฟ้าดังเดิม เหม่อมองไปในความมืด

“คนหยาบช้า คำขอโทษจากปากเจ้าสักคำก็ไม่มี คอยดูเหอะ ถ้าเป็นเจ้าบาดเจ็บมาบ้าง เราจะไม่แลตาดูเจ้าสักนิดสุริยาทิตย์”

มื้อเย็นได้ถูกตั้งขึ้นแล้ว หนุ่มน้อยทั้งสามต่างก็นั่งกินไปคุยกันไปพลาง ทรงกลดขอโทษขอโพยเอราวัตเป็นการใหญ่ที่เข้าใจผิด แถมยังห่วงอาการของเอราวัต อัสดงเองก็ขอโทษออกมาเช่นกัน แต่เอราวัตกลับบอกว่า

“ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก นายควรไปขอโทษเขานู่น ....นั่งซึมอยู่ตรงนู้น นายไปว่าเขาซะแรงเชียว”

“ก็ใครจะไปรู้วะ เห็นนายนอนถอดเสื้อถอดผ้าแถมไอ้ดื้อนั่น ทำท่าเหมือนกับจะ ทำอย่างว่า เป็นใครใครก็ต้องเข้าใจผิด”

“แล้วทำไมไม่ดูให้ดีเสียก่อน ก่อนจะไปว่าเขา ไปขอโทษเขาเลยไอ้อัสดง”

“นายควรจะไปขอโทษเขานะอัสดง”ทรงกลดกล่าวเสริมขึ้นมา

“ไม่มีทาง ทีมันตบหน้าฉันแล้วยังไม่ขอโทษฉันเลย”

ปากก็บอกไม่มีทาง หากแต่ในใจของอัสดงนั้นอยากจะวิ่งเข้าไปขอโทษนัก ....สายตาของเขาแอบลอบชำเลืองมองไปเรื่อยๆ จนครั้งหนึ่งตาคู่งามสีฟ้าก็หันมาประสานพอดี หนึ่งนาคาน้อยและหนึ่งเทวะหนุ่มต่างก็สะบัดหน้าไปอีกทางยามที่หันมาเจอกันโดยบังเอิญ

“ตามใจ...นายยังเหมือนเดิมเลยนะไอ้พระอาทิตย์.... เออแล้วคืนนี้จะนอนกันยังไง แล้วเจ้านาคน้อยจะนอนไหน นายเตรียมห้องให้เขาหรือยังไอ้กลด” เอราวัตถามขึ้น

“ยัง....กะว่าจะให้นอนห้องฉันแหละ แล้วฉันไปนอนกับพวกนาย หรือพวกนายจะย้ายมานอนห้องฉันแล้วให้น้องเขานอนห้องพวกนาย”

“ยังไงก็ได้ทั้งนั้น”

“ถ้างั้นนายมานอนห้องฉันดีกว่า เพราะกว้างหน่อยเตียงนอนได้สามคนสบาย ส่วนห้องนั้นให้น้องดื้อเขานอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยหาทางขยับขยายคืนนี้นอนเบียดไปก่อนแล้วกัน”

“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกเขาให้เอง เพราะดูท่าเขาคงไม่อยากจะคุยกับนายสองคนเท่าไรนัก” เอราวัตพูดจบก็ทำหน้าที่ราชทูตเดินไปหาสีทันดรที่นั่งเงียบๆ แล้วก็บอกความเรื่องห้องพักจนเสร็จสรรพ แล้วเดินกลับมารายงานที่โต๊ะ

“เขาอยากนั่งคนเดียวอีกสักพัก เดี๋ยวเขาจะเข้าไปนอนเอง ฉันบอกน้องเขาแล้วว่าห้องไหน พวกนายอิ่มกันหรือยังจะได้เข้านอนกันเสียที วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ”

“อิ่มพอดี.....เก็บโต๊ะเหอะ เสร็จแล้วจะได้เข้านอน”

ทรงกลดกล่าวตอบแล้วจัดแจงเก็บโต๊ะอาหาร ใจไม่อยากปล่อยน้องดื้อไว้ลำพัง แต่ถ้าเข้าไปหาตอนนี้คงไม่เหมาะ  อัสดงกับเอราวัตเข้ามาช่วยเก็บจาน แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปหลังบ้าน ทิ้งนาคาตาสวยไว้ลำพังตามที่ต้องการ

หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเทพน้อยทั้งสามก็เตรียมเข้าห้องนอนเพื่อพักผ่อนแต่ก่อนจะเข้าห้องนั้นเอราวัตก็ถามอัสดงมาอีกครั้งว่า

“นายจะไม่ขอโทษเขาจริงๆเหรอ ท่าทางเขาโกรธนายมากนะโว้ย”

“ไม่มีวัน...เข้านอนเหอะ ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ” อัสดงยักไหล่กล่าวตอบมา แล้วเดินนำหน้าเข้าห้อง เอราวัตได้แต่ส่ายหน้า อดมิได้ที่จะพูดเบาๆกับตนเอง “ ไอ้ปากแข็ง อย่าลืมนะฉันอ่านใจคนออก ฉันรู้ว่านายคิดอะไร ไอ้พระอาทิตย์”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ดึกสงัดแล้ว เมื่อเทพน้อยทั้งสามเข้าห้องนอนไปได้สักพักใหญ่ สีทันดรที่นั่งอยู่คนเดียวก็ขยับพระวรกายลุกเข้าห้องนอนเตรียมพักผ่อนบ้าง พอเสด็จผ่านห้องนอนของทรงกลดก็ย่นพระพักตร์ใส่หน้าห้องนอนนั้นเพราะรู้ว่ามีใครคนหนึ่งที่ทำให้ตน ไม่สบอารมณ์นักนอนอยู่ด้วย

“คนหยาบคาย เรารึอุตส่าห์รอให้เจ้ามาขอโทษ เจ้าก็ยังไม่มา คนอะไรไม่สำนึกผิด เห็นทีต้องสั่งสอนซะหน่อย”

ว่าแล้วก็ทรงจำแลงกายเข้าไปในห้องนอนของเทพน้อยทั้งสาม พอเข้าไปได้ก็เห็นคนหยาบคายที่นึกถึงนอนอยู่ตรงกลางเตียงใหญ่ขนาบข้างด้วยพระพุธและพระจันทร์ สองคนนี้นั้นท่าทางจะหลับสนิท แต่อีตาคนปากร้ายนี้ ไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาทำแบบตอนเย็นอีกจะเสียทีเขาเปล่าๆ

“อย่าไปไหนนะครับ อย่าทิ้งอัสดงไว้ อัสดงเหงา”

ระหว่างที่สีทันดรกำลังคิดอะไรเพลินๆ อัสดงก็ละเมอออกมาแถมทำท่าไขว่คว้ากอดอากาศพัลวัน นี่คงจะฝันดีล่ะสิไม่แคล้วฝันถึงผู้หญิง ถึงได้ละเมอมาเป็นแบบนี้ อยากจะรู้นักว่าคนที่อณูหยาบคายคนนี้ฝันถึงหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้ถูกใจจนต้องเก็บมาฝัน หากมิเข้าไปดูก็คงจะไม่มีทางรู้แน่นอน

สีทันดรคิดได้ดังนั้น หัตถ์ทั้งสองก็ประกบระหว่างพระอุระทันที เทวฤทธิ์จึงประสิทธิ์โดยพลัน วรองค์ในภูษาเขียวอ่อนก้านมะลิ ก็กลายเป็นตะไลเพลิงหมุนคว้าง ลอยละล่องเหนือร่างของคนที่กำลังละเมอ แล้วสลายหายวับลงไประหว่างกลางหน้าผากนั้น

ตะไลเพลิงสว่างจ้า บัดนี้เข้ามาในห้วงฝันของพระอาทิตย์รูปงามเรียบร้อย นี่น่ะหรือภาพที่คนเกเรฝันถึง คนอะไรฝันถึงวัดถึงวา จิตใจดีขนาดนี้เลยเหรอ แต่เมื่อกี้เห็นไขว่คว้ากอดอะไรสักอย่างแถมยังกล่าวว่า อย่าทิ้งอัสดงไปไหน หรือว่าเจ้าอณูนี่จะพาสาวๆเข้ามาทำอะไรในวัด ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ามันก็บัดสีไม่ต่างอะไรกับอย่างที่เขากล่าวหาตนสักนิด

ทว่าวัดนี้เป็นวัดป่าที่เขาเคยอยู่นี่นา เห็นทีคงต้องเข้าไปดูชัดๆ ว่าแล้วตะไลเพลิงก็กลายร่างคืนมาเป็นสีทันดรลอยละล่องตามหาเจ้าของความฝันว่าอยู่หนใด

มินานก็เด็กน้อยคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่หน้ากุฏิหลังเล็ก หน้าตาบูดบึ้ง ซ้ำยังร้องไห้มาอีก หน้าตาถอดแบบคนเกเรมาทั้งดุ้น ใช่แล้วคงเป็นไอ้ไฟมหาประลัยตอนเด็ก และข้างๆกันนั้น ก็มีภิกษุชราในจีวรสีกลักยืนอยู่ด้วย

“เข้าไปข้างในเถิดอัสดง....เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมอีก”

น้ำเสียงกังวานเย็นระเรื่อสายตาที่บ่งบอกถึงความโอบอ้อมอารี รัศมีบริสุทธิ์สว่างไสว ทำให้สีทันดรรู้ได้ทันทีว่านี่คือพระอริยสงฆ์ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ความฝันหากได้นมัสการก็ถือว่าเป็นบุญยิ่งนัก นาคาน้อยจึงรีบทรุดพระวรกายหมอบราบกราบลงทันที

“พ่อครับ แม่ครับ อย่าไปไหนนะครับ อย่าทิ้งอัสดงไว้ อัสดงเหงา”

บุรุษและสตรีวัยกลางคนคู่หนึ่งเดินจากไป เด็กชายอัสดงพยามยามวิ่งเข้าไปกอดคนทั้งสองนั้น แต่หลวงตายึดตัวไว้ น้ำตาของอัสดงร่วงหล่นมาเป็นสาย สีทันดรเห็นภาพนั้นก็สงสารขึ้นมาจับใจ “โถ ที่แท้ เจ้าก็โดนพ่อแม่เอามาทิ้งไว้กับพระคุณเจ้านี่เอง ถึงได้ขาดความอบอุ่นเกเร เราชักจะโกรธเจ้าไม่ลงแล้วสิ”

บุรุษและสตรีคู่นั้น เลือนหายไปแล้ว อัสดงร้องไห้หนักขึ้นพยายามสะบัดตัวออก ตะโกนลั่นว่าจะกลับบ้าน แถมเจ้าอัสดงน้อยยังดิ้นสุดฤทธิ์ที่มี แล้วเปลวเพลิงแห่งสุริยเทพก็โหมกระหน่ำขึ้นรอบๆตัวเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรหลวงตาได้แม้แต่ปลายจีวร

“ไอ้ไฟบ้า ท่านเป็นพระอริยสงฆ์มันบาปนะไปทำร้ายท่าน”

สีทันดรกล่าวขึ้น กำลังจะใช้อำนาจสยบไฟที่โหมกระหน่ำแต่หลวงตาเพียงแค่สะบัดมือขึ้นฟ้าเบาๆ หยาดฝนก็โปรยปรายลงมาและโหมกระหน่ำเป็นวงกลมอยู่ตรงเด็กน้อยจุดเดียว สายฝนวิเศษที่เกิดจากอำนาจพระพุทธคุณ สยบเพลิงแห่งสุริยเทพอย่างราบคาบ อัสดงน้อยเริ่มสิ้นฤทธีตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น จะวิ่งหนีออกไปก็ไม่ได้

 “ปล่อยผมนะ ผมหนาว พ่อครับ แม่ครับช่วยด้วย ฮือๆๆ”

“อยู่อย่างนั้นสักพัก จนกว่าเจ้าจะใจเย็น” หลวงตาพูดจบก็เดินขึ้นกุฏิไป อัสดงน้อยยังคงติดอยู่ในม่านน้ำฝนนั้น สีทันดรที่แอบดูอยู่นานแล้ว ยิ่งสงสารขึ้นมาอีกจึงปรากฏกายออกมา อยู่ต่อหน้าเด็กชายตัวน้อย

“ไงเกเรดีนัก โดนแบบนี้แหละสมแล้ว” ถึงแม้จะสงสารเพียงไร แต่ก็ขอว่าสักหน่อยเหอะ คนอะไรร้ายแต่เด็ก

“พี่เป็นใครช่วยอัสดงด้วย อัสดงหนาว”

สุริยเทพตัวน้อยกล่าวออกมา ปากสั่นตัวสั่น เห็นแล้วน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง นึกๆดูก็คล้ายๆตนตอนเด็กๆ ก็แผลงฤทธิ์เอาแต่ใจเหมือนกัน เวลาถูกลงโทษก็ร้องไห้อย่างนี้ เอาเถอะตอนนี้เจ้ายังเป็นเด็ก เจ้ายังไม่รู้อะไร ความผิด ความหยาบคายตอนโตที่เจ้าทำไว้ คงต้องพักไว้ก่อน

“ช่วยก็ได้ เห็นว่ายังเด็กอยู่หรอกนะ สุริยาทิตย์”

“เร็วๆสิ ผมหนาว”

“เอ๊ะ ก็เดี๋ยวสิ ชอบขึ้นเสียงเสียจริง นิสัยเสียตั้งแต่เด็กจนโต เดี๋ยวก็ไม่ช่วยเลยนี่” สีทันดรขึ้นเสียงมาบ้าง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วปรบพระหัตถ์ขาวเนียนสามครั้ง สายพระพิรุณจางหาย อัสดงน้อยเป็นอิสระทันใด

“เป็นไงล่ะ รู้หรือยังว่าตอนที่เจ้ามัดเราไว้ มันทรมานแค่ไหน สมน้ำหน้าโดนหลวงตาท่านลงโทษ”

“พี่เป็นใคร”

“ตื่นมาเจ้าก็รู้เองแหละ ....ไม่ต้องมาถาม จะว่าไปชีวิตเจ้าก็น่าสงสารเนอะ มีพ่อมีแม่แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อแม่เจ้าก็ใจร้ายทิ้งเจ้าได้ลงคอ จริงๆแล้วเราก็ไม่อยากยุ่งเรื่องครอบครัวเจ้านักหรอก ”

“พี่พูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง ผมหนาว คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ พาผมกลับบ้านหน่อยนะ” อัสดงน้อยไม่พูดเปล่า เข้ามากอดเอวสีทันดรไว้แน่น

“พากลับไปได้ที่ไหนกันเล่า นี่มันในนิมิต เจ้านี่ไม่รู้อะไรซะเลย” สีทันดรกล่าวตอบเด็กชายตัวน้อย พยายามแกะแขนที่กอดแน่นนั้นออก เพราะถึงจะเป็นเด็กแต่ก็ไม่โปรดให้ใครมากอด 

“ทำไมจะไม่รู้ เรารู้สิ เรารู้ว่า มีไอ้นาคดื้ออยู่ตนนึง นอกจากมันจะแอบเข้ามาในบ้านคนอื่นแล้ว มันยังชอบแอบเข้ามาในความฝันอีกด้วย”

อัสดงน้อยหยุดร้องไห้ทันใด น้ำตาเหือดหาย ดวงตาที่ช้ำกลับเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายวาบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ฉับพลันนั้นจากเด็กชายอัสดงก็กลายเป็นนายอัสดงที่กอดรัด ไอ้ดื้อ ไว้แน่น กว่าสีทันดรจะรู้ตัว ก็หลงกลตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงเรียบร้อย ครั้งที่สามแล้วสินะวันนี้ ที่โดนเขากอด

“ปล่อยเรานะ คนเจ้าเล่ห์”

“ใครใช้ให้เจ้าแอบเข้ามาในความฝันของเรา”

“ก็เห็นนอนละเมอเลยเข้ามาดู”

“สอดรู้น่ะสิไม่ว่า ตอนแรกเราตั้งใจจะฝันถึงสาวๆสักหน่อย เจ้าดันเข้ามาซะก่อน เราเลยอดทำแบบนี้” ว่าแล้วอัสดงก็ซุกหน้าที่งามคมคายไปยังซอกพระศอของนาคาจอมดื้อ ทำให้คนถูกกอดดิ้นเร่าตะโกนลั่น

“เจ้าอย่ามาทำหยาบช้ากับเรานะ เราไม่ใช่ผู้หญิงในฝันของเจ้า”

“เราไม่สน เจ้าอยากเข้ามาในฝันเราทำไม แย่หน่อยนะที่คืนนี้เราอยากฝันว่าเราเข้าห้องหอซะด้วย” อัสดงเงยหน้าจากซอกพระศอที่หอมกรุ่น ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ

“เจ้าก็เปลี่ยนไปฝันถึงผู้หญิงสิ เดี๋ยวเราออกไปจากความฝันเจ้าก็ได้”

“จะไปฝันถึงทำไม ในเมื่อเจ้าเข้ามาให้ท่าเราถึงในนี้ ก็ต้องเป็นเจ้านั่นแหละมานี่”

ฉับพลันทัศนียภาพรอบด้านก็บิดเบี้ยว กุฏิหลังน้อยเลือนหาย กลายเป็นหน้าผาสูงชันที่มีม่านน้ำตกซัดซู่ลงมา หยาดน้ำพิศุทธิ์ยามกระทบลำธารเบื้องล่าง ก่อให้เกิดฟองขาวกระจายไปทั่วแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทะลุตามคาคบไม้ใหญ่สาดผ่านละอองน้ำซ่านกระเซ็น ส่องประกายสายรุ้งพร่างพราย ร่างทั้งสองที่ลอยอยู่กลางฟ้า บัดนี้ลอยละลิ่วลงมาแช่ในลำธารใสเย็น วงน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้าง และตรงใจกลางนั้นร่างสูงกำยำราวรูปสลักตระกองกอดวรองค์น้อยแห่งราชนัดดาของโลกบาดาลไว้แนบแน่น

“ไอ้บ้า เปียกหมดเลย”

“อยากเข้ามาทำไมล่ะ เจ้ารนหาที่เองนะ นี่คือโทษฐานของคนที่ชอบแอบดู” ริมฝีปากร้อนผะผ่าวประทับลงตรงพระปรางใส แล้วโลดไล่คลอเคลียลงมาตรงซอกพระศออีกครั้ง

“ปล่อยยยย เดี๋ยวฟ้าผ่า เราเป็นบุรุษนะไม่ใช่อิสตรี”

“ก็เพราะเจ้าเป็นผู้ชายน่ะสิเราถึงทำอย่างนี้”

ในฝันไม่ต้องกลัวอะไรแล้วอัสดงเอ๋ย อยากทำอะไรก็ทำ .....ไอ้ดื้อ นี่คือบทลงโทษที่เจ้าบังอาจเข้ามาทำให้เราคันหัวใจ

อัสดงยังจำได้ดีวินาทีที่ลืมตามาพบดวงเนตรฟ้าครามใส กลิ่นเกศาหอมกรุ่นยามตกระเรี่ยเคลียหน้านั้นหอมเสียยิ่งกว่าหอม วงพักตร์ที่งามเกินเทวบุตร แม้บรรดาเทพธิดาที่งามที่สุด หากเห็นเข้าก็คงต้องละอายหนีไปจุติเป็นแน่แท้ คำว่าถูกใจคงน้อยไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ยากที่จะสรรหาคำมาบรรยาย หรือว่าเขาจะหลงรักไอ้ดื้อนี่เสียแล้ว 

ไม่จริง ตนเพียงแค่อยากจะดัดนิสัยและเอาชนะมันเท่านั้นเองต่างหาก แต่คำพูดและเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ที่ตนเข้าใจผิด จนกล่าววาจารุนแรง มันก็ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก แถมยังโมโหนักที่ไอ้ดื้อนี่ ทำอย่างนั้นกับเอราวัต หากเหตุการณ์นั้นเป็นของจริง ตนควรจะทำอย่างไร รีบกระชากตัวมันออกมากระนั้นหรือ ฤาจะฆ่าเอราวัตให้ตายคามือ

“วันนี้เราขอโทษนะ ที่เข้าใจเจ้าผิด ให้อภัยเรานะ สีทันดร”

เสียงกระซิบเบาๆ หากแต่ทำให้สั่นสะท้านไปทั่วพระหฤทัย คำว่า “ไอ้ดื้อ” ลบเลือนจางหาย มีแต่คำว่า “สีทันดร” ที่กล่าวออกมาได้อย่างหวานซึ้งเข้ามาแทนที่  พระวรกายยังคงสั่น ไม่ใช่เหตุแห่งสายลำธารที่เย็นยะเยียบแต่เป็นเพราะสัมผัสจากริมฝีปากคู่งามที่ร้อนแรงนั้นต่างหาก ตั้งแต่เจริญพระชันษา เรื่องแบบนี้ก็ยังไม่เคยแผ้วพานมาในพระชนม์ชีพ ครั้นพอเกิดขึ้นครั้งแรกก็ทำให้ยากที่จะทัดทาน เหตุการณ์ในห้องนอนตอนเย็น ถ้าจะว่ากันจริงๆ เพียงแค่ตั้งใจฉกลงมาตรงๆ เขาคนนี้คงไม่พ้นคมเขี้ยว แต่ทำไมทำไม่ได้ก็ไม่รู้ จุมพิตครั้งแรก ต้องเสียให้กับผู้ที่ทำให้วงศ์วานต้องระเห็จเสด็จจากสวรรค์ลงมาอยู่บาดาล คิดแล้วก็น่าแค้นใจตัวเองที่ทำไมยอมให้เขาทำเยี่ยงนี้ แต่เราจะไปขัดขืนอะไรเขาได้ เรี่ยวแรงตอนนี้มลายหายไปสิ้น ร้องให้ใครช่วยก็ไม่ได้ หรือว่าเราไม่อยากร้องออกมาเองกันแน่

วงแขนแข็งแรงยังคงโอบรัดนาคาจอมดื้อเอาไว้ เท้าที่เหยียบถึงก้นบึ้งของลำธาร เดินดันหน้าไปเรื่อยๆ จนร่างของทั้งคู่หายลับเข้าไปในหมู่โขดหิน อัสดงดันพระวรกายที่หอมกรุ่นจนมาเกยอยู่บนพื้นเรียบของโขดหินใหญ่ ร่างทั้งสองทับกันอย่างสนิทแน่น ความตั้งใจแรกที่แค่จะลงโทษพอหอมปากหอมคอมลายหายไปสิ้น ตอนนี้หยุดไม่อยู่แล้ว แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงความฝัน เขาก็พร้อมแล้วที่จะทำตามความต้องการลึกๆของหัวใจ  สัญชาติญาณ บ่งบอกร่างกายว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เรื่องแบบนี้ไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหน

“เจ้าเสร็จเราแน่ ...ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”

จมูกที่โด่งสันเป็นคมของอัสดงยังไม่หยุดคลอเคลียพระพักตร์กระจ่างใส พระเกศายาวถูกโลมไล้อย่างเบามือ “ปล่อยเรานะ คนเกเร ไอ้คน...”

ครานี้ริมฝีปากไม่ได้ซอกไซร้อยู่ที่บริเวณพวงแก้มแล้ว กลับประกบลงมาอย่างแนบแน่นลงบนริมโอษฐ์รูปกระจับสีแดงระเรื่อพระสุรเสียงเลือนหายลงพระศอสิ้น หนำซ้ำปลายลิ้นแห่งสุริยเทพน้อยยังสอดใส่เข้ามาทำให้ร่างที่แข็งขืนปวกเปียกอ่อนระทวย นาคาน้อยถึงกับลืมพระองค์ตวัดปลายชิวหาสอดประสาน

“เราเคยบอกกับตัวเองว่า เราจะทำให้เจ้าเกลียดเราไม่ลง เราไม่คิดว่าวันนั้นของเรามาเร็วซะเหลือเกิน”

อัสดงถอนริมฝีปากออกยืดกายถอดเสื้อกล้ามเหวี่ยงทิ้งไว้บนโขดหิน แผงอกงามของเด็กหนุ่มทาบทับลงมาอีกครั้ง สีทันดรถูกไฟแห่งสุริยเทพเผาผลาญจนทั่วร่างแล้ว แต่ไฟนั้นไม่ใช่ไฟธรรมดากลับกลายเป็นไฟสวาทลุกโชนท่วมท้นพระวรกาย
แต่ก่อนที่อัสดงจะลุกล้ำไปมากกว่านั้น บรรยากาศรอบข้างก็กลับบิดเบี้ยวอีกครั้ง ม่านน้ำตกฉ่ำเย็นเลือนลางจางหาย โขดหินเรียบที่รองรับร่างทั้งสองสลายพลัน ความมืดมิดเข้ามาแทนที่ แล้วหมุนคว้าง ร่างของอัสดงถูกดึงเข้าสู่ความมืดทันใด ร่างกายสั่นสะท้าน เสียงดังก้องกังวานอยู่ในโสต

“ไอ้อัสดงเป็นห่าอะไรวะ กอดฉันอยู่ได้ ตื่นๆ”

ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นทันใด แล้วเจ้าตัวก็พบว่าที่เขากอดอยู่นั้นไม่ใช่พระวรกายที่หอมกรุ่น กลับเป็นทรงกลดที่นอนอยู่ด้านข้าง ความฝันอันแสนวาบหวามจางหาย สายน้ำเย็นยะเยียบกลับกลายเป็นความเย็นของเครื่องปรับอากาศเข้ามาแทนที่ โขดหินเรียบเป็นมัน กลายเป็นฟูกขาวหนานุ่ม แลมีสองสหายนอนอยู่ข้างๆ

“ปลุกทำไมวะไอ้กลด....ตัวอะไรเข้ามาอีก” อัสดงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ไอ้นี่ท่าทางจะตั้งตนเป็นตัวมารทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน

“จะไม่ให้ปลุกได้ยังไง ก็นายเล่นกอดฉันแน่น หายใจไม่ออก แถมยังละเมออะไรอีกก็ไม่รู้ ท่าทางจะฝันถึงสาวล่ะสิ พร้อมรบเชียว” ทรงกลดไม่โกรธสหายที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัว แถมยังหัวเราะเมื่อมองส่วนที่ดันนูนเด่นชัดขึ้นมาบริเวณกางเกงนอนของสหาย

“โทษทีนะเพื่อนฉันไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะนายจริงๆ”

“ช่างเหอะ.....นอนต่อดีกว่า โทษทีแล้วกัน” อัสดงพยายามข่มอารมณ์กรุ่น

“ไม่เป็นไร ฮะๆ ถ้านายไม่ไหวล่ะก็ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะโว้ย จะได้จัดการให้หมดภาระ คั่งค้างคาไว้ไม่ดีนะ” ทรงกลดกล่าวแซวปนหัวเราะ แล้วก็ลดตัวนอนตามเดิม อัสดงหมั่นไส้จึงหยิบหมอนฟาดใส่หน้าแล้วก็ด่าทันที

“ไอ้บ้า ทะลึ่ง”

อณูน้อยแห่งจันทรเทพเอ๋ย ถ้าเจ้ารู้ว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์อยู่กับใครในฝัน เจ้าจะหัวเราะไม่ออกแน่นอน... อัสดงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเยาะมาเช่นนั้น แล้วล้มตัวนอนบ้าง .......เผื่อจะฝันต่อ

‘สาธุ ขอให้ไอ้ดื้อยังอยู่ต่อในฝันเถอะ’

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๖ นะคะ

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามเสมอมา  :pig4:

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน

ตะไลเพลิงสว่างจ้าลอยละลิ่วลงมาอยู่เหนือฟูกหนานุ่มแล้วหมุนคว้างบิดเป็นเกลียว คืนร่างกลายเป็นสีทันดร ที่ประทับนอนเอนพระวรกาย กรกอดพระอุระแนบแน่น พระโอษฐ์สีแดงสด เผยอเล็กน้อย เพราะยังคงรู้สึกฉ่ำไปด้วยรสจูบของคนเจ้าเล่ห์ จูบที่ร้อนแรงแต่หวานเสียยิ่งนัก พระวรกายยังคงสั่นสะท้าน ครั้นพอรู้สึกพระองค์ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น พระพักตร์ที่แดงระเรื่ออยู่แล้ว กลับแดงยิ่งขึ้นไปอีก

“เกือบไปแล้วไหมเรา ไม่น่าหาเรื่องเลย บัดสีที่สุด ถ้าทูลหม่อมปู่ทรงทราบ จะทำอย่างไรดี” สีทันดรรำพึงกับองค์เองเบาๆแล้วเลื่อนปลายนิ้วมาคลึงเคล้าเบาๆ อยู่ที่ริมโอษฐ์ “ฟ้าจะผ่าไหมเนี่ย ....ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์ เจ้าทำอย่างกับเราเป็นสตรี คอยดูนะถ้าเนื้อตัวเราบุบสลายเป็นรอยขีดข่วน เราจะจัดการเจ้าให้น่าดูเชียว”

ว่าแล้วเจ้านาคน้อยก็ลุกขึ้นเดินไปที่กระจกบานใหญ่ตรงมุมห้อง เพียงดีดนิ้วเบาๆ ไฟที่หน้ากระจกก็สว่างขึ้น แสงสลัวๆ หากแต่ก็เพียงพอที่จะทอดพระเนตรเห็นว่า รอบๆพระศอตอนนี้ ปรากฏรอยแดงเด่นชัดไปทั่ว “ทำไมตรงคอมีรอยแดงด้วย เจ้าทำอะไรเรา สุริยเทพ”

ด้วยความที่ยังมิเคยแผ้วพานเรื่องอย่างว่า เลยทำให้ไร้เดียงสาในเรื่องแบบนี้ยิ่งนัก ถึงแม้จะซนไปทั่วทั้งบาดาล หรือบางทีขึ้นไปถึงเขาพระสุเมรุ ก็ยังมิเคยเจอแลมีประสบการณ์ในด้านกามรส เลยมิทรงรู้ว่ารอยแดงที่เกิดจากการโดนจูบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มนตรารักษาแผลหลายบทจึงถูกงัดออกมาใช้ แต่ก็มิทำให้รอยแดงเป็นจ้ำ เลือนรางจางหายหรือบรรเทา เจ้านาคน้อยจะรู้ไหมว่า รอยแดงพวกนี้หาได้เกิดจากสิ่งใดไม่ นอกจากการเม้มริมฝีปากที่ช่ำชองแล้วดูดขบเบาๆที่ผิวบริเวณนั้น จนเป็นสุญญากาศ ทำให้พระโลหิตมารวมตัวเป็นจุดเดียว

“ไอ้บ้านั่น มันแค่จูบเรา ไม่ได้กัด ทำไมถึงเป็นรอย แย่จังมีตั้งหลายรอย ทำไงดี มนตรารักษาก็ใช้ไม่ได้ หรือว่าไอ้ไฟนรกนั่นมันจะเล่นอาคมกับเรา เกลียดนักเชียว ลองล้างด้วยน้ำดีกว่าเผื่อจะออก จะได้ล้างกลิ่นกายไอ้บ้านั่นออกไปด้วย” ว่าแล้วก็เสด็จออกจากห้องพระบรรทม ลอยละลิ่วลงไปท่าน้ำทันที

อัสดงเมื่อถูกปลุกจากฝันอันแสนหวาน ก็นอนไม่หลับอีก ทั้งๆที่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เป็นผล ความรู้สึกหงุดหงิด ระคนเสียดายที่กลับไปในฝันไม่ได้ พลุ่งพล่าน

“ไอ้พระจันทร์ ไอ้เวร เสือกมาขัดจังหวะได้ มันน่านัก  ป่านนี้ไอ้ดื้อมันออกมาหรือยังก็ไม่รู้ หรือมันยังรอให้เราเข้าไปอีกครั้ง”อัสดงที่นอนกระสับกระส่ายผลุดลุกขึ้นทันใด “โว้ยยย ...โธ่โว้ย เพราะนายคนเดียวไอ้กลด มันน่าถีบให้ตกเตียงนัก เสือกกะโหลกไม่เข้าเรื่อง กำลังจะ ....อยู่แล้วเชียว”

อณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์คว้าหมอนที่นอนหนุนหัวฟาดลงไปที่กลางตัวทรงกลดอีกครั้ง ครานี้ทรงกลดไม่รู้สึกตัว อัสดงเห็นหน้าสหายก็หมั่นไส้ยิ่งขึ้น ลุกจากเตียง หมายใจออกไปเดินเล่นตากน้ำค้าง  เผื่ออารมณ์หงุดหงิดจะจางลง

และแล้วร่างกายสูงสง่าของเทวะน้อยก็ออกมายืนตากลมยามดึกอยู่ที่เฉลียงบ้าน สายลมเอื่อยๆพัดพาเอาความเย็นยามค่ำคืนมากระทบร่าง ผิวกายภายนอกชื้นขึ้นด้วยละอองน้ำค้างแต่หัวใจข้างในนี้สิ ยังร้อนรุ่มไปเปลี่ยนแปลง

“หงุดหงิดเป็นบ้าเลย เกิดอะไรขึ้นวะ” แม้จะเป็นเพียงแค่ในฝัน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงคำว่า “ค้าง” อย่างปฏิเสธไม่ได้

ถ้าเป็นสมัยก่อน หากเกิดอารมณ์อย่างนี้ เขาก็คงบรรเทาด้วยตัวเองอย่างที่เด็กหนุ่มๆทุกคนในโลกกระทำไปแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ตั้งแต่ ไอ้ดื้อตาสวยนั้นเข้ามา ถ้าจะต้องปลดปล่อยก็ต้องให้คุ้มค่าทุกหยาดหยด ไม่ใช่ทำทิ้งทำขว้างอย่างที่เคยทำ

“เรารู้สึกกับเจ้าอย่างไรกันแน่นะไอ้ดื้อ ต้องการแค่จะแกล้งเจ้า หรือเราต้องการกับเจ้าแบบนั้นจริงๆ”

อัสดงเหม่อมองไปรอบๆของบรรยากาศริมคลองที่มืดมิด และก็ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้าง  สายตาก็พลันไปเห็นรัศมีสว่างวาบเขียวนวลเจือทอง อยู่ตรงบันไดท่าน้ำ แสงสว่างนี้เองทำให้เลือดเด็กหนุ่มในกายสูบฉีดขึ้นมาอีกครั้ง ประดุจไฟที่กำลังจะมอดถูกเติมเชื้อให้สว่างวาบอีกครา

“เจ้านี่มันรนหาที่จริงๆ สีทันดร ในที่สุดเจ้าก็ต้องเจอเราวันยังค่ำ”

ยังมิทันที่อัสดงจะลงไปถึงเจ้าของรัศมีสีเขียวทอง สุรเสียงใสเสนาะก็ดังมาให้ได้ยิน

“อี๊.....ออกๆ ให้หมด”

เจ้าตัวตรัสพลางก็วักน้ำในคลองขึ้นมาขัดตรงซอกคอแล้วล้างหน้าล้างตากำกับด้วยมนตราอีกครั้ง คันฉ่องบานเล็กถูกเนรมิตขึ้นมาพร้อมส่องดูรอบพระศอ แต่ก็ต้องทำให้ขัดพระทัยยิ่งขึ้นที่รอยแดงนั้น ยังไงก็ไม่จางหาย “มันใช้อาคมบทไหนกับเรานี่ ล้างไม่ออกซะที”

“ทำไม กะอีแค่กอดนิดจูบหน่อย มันจะเป็นอะไรนักหนา ถึงต้องมาล้างหน้าล้างตัวขนาดนี้”

น้ำเสียงตวัดกังวานก้องดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดุจผู้พูดเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง เสียงๆนี้นี่เองเมื่อได้ยินทีไรก็ทำให้พระหทัยสั่นระรัวได้ทุกครา พระพักตร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงมาอีกครั้งทำให้วรองค์น้อยๆสะบัดเบือนไปอีกทาง เพราะยังคงเขินกับเหตุการณ์ในฝันเมื่อสักครู่ เรือนร่างอันหล่อเหลาดังรูปสลักยังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆ แล้วทรุดนั่งลงข้างๆ เจ้านาคาน้อยจึงรีบขยับหนี หากแต่ก็ไม่ไวไปกว่า มือแข็งแรงที่ยื้อยุดฉุดข้อพระกรเอาไว้

“เราทำอะไรให้เจ้า ถึงได้เกลียดเรานักหนา”

“ยังจะมาถามอีก ก็ใครกันล่ะทำหยาบคายใส่เรา”

“แล้วใครใช้ให้เจ้าบุกมาที่นี่ ใครใช้ให้เจ้าเข้ามาในฝันของเรา รู้ไว้ด้วยนะ ในฝันเราจะทำอะไรก็ได้ และอีกอย่างการที่เราทำแบบนั้นเจ้าควรจะดีใจเสียมากกว่า เพราะนางฟ้าและเทพธิดาหลายองค์อยากให้เราทำแบบนั้นจะตายไป”

ทุเรศคนอะไรหลงตัวเอง พูดออกมาได้ไง ใครจะดีใจก็ช่าง แต่คงไม่ใช่ราชนัดดาแห่งบาดาล “เราไม่มีวันที่จะรู้สึกแบบนั้น ปล่อยมือเราได้แล้วเราเจ็บ”

“ก็แค่จับมือ จะเจ็บอะไรนักหนา อย่ามาสำออย”

“เราไม่ได้สำออย แหกตาดูซะเจ้าทำอะไรกับเราไว้” ไอ้ดื้อแผดเสียงแล้วยกข้อพระกรที่เป็นรอยไหม้เกรียม จากการที่โดนเชือกอาคมแห่งสุริยเทพมัดไว้ อัสดงเห็นเข้าก็ตกใจ นี่เขาทำรุนแรงขนาดนี้เชียวเหรอ พระวรกายขาวใสทั่วทั้งร่างกลับมีรอยไหม้ประดุจตำหนิ เด่นชัดขึ้น เด็กหนุ่มหน้าเสียลงทันใด

“นี่และก็ตรงนี้อีก เป็นรอยแดงไปหมด  เจ้าเล่นอาคมใส่เรา เราแก้อย่างไรก็ไม่หาย ถอนอาคมเสียเดี๋ยวนี้ เจ้าทำให้ผิวเรามีตำหนิ”

นาคาน้อยเอียงพระศอทันใด อัสดงพอได้ดูอย่างถี่ถ้วนพินิจพิเคราะห์ ก็เริ่มยิ้มออกมาได้ โถไอ้ดื้อเอ๋ย เจ้านี่ไม่ประสาอะไรเลย นี่เขาเรียกว่ารอยดูด ที่เกิดจากอารมณ์พิศสวาทที่ร้อนแรงเท่านั้น เจ้าควรจะดีใจนะที่มีรอยแบบนี้ อาคงอาคมที่ไหนกันเล่า แต่แกล้งมันซะหน่อยดีกว่า เผื่อความรู้สึกที่คั่งค้างจะได้ถูกต่อยอด ว่าแล้วอัสดงก็แสร้งทำหน้าสลด ทำเสียงเครือ

“เราขอโทษ เดี๋ยวเราจะถอนอาคมให้”

“จะทำอะไรก็ทำเสียสิ นั่งซื่อบื้ออยู่ทำไม”

“หึๆๆ ไอ้ดื้อ เจ้าอนุญาตเราเองนะ”อัสดงยิ้มน้อยๆ ยกข้อพระกรขึ้นมาแล้วเป่าลงไปเบาๆ ฉับพลันรอยไหม้ก็จางหาย ผิวขาวพิสุทธิ์เปล่งประกายอีกครา เอาละทีนี้ก็เหลือตรงซอกคออย่างเดียว

“เอ๊า นี่ไอ้ดื้อ....จะนั่งซื่อบื้ออยู่ทำไม เอียงคอมาสิ เราจะถอนอาคมให้”

ครานี้ เจ้าอัสดง แผดเสียงมาบ้าง ทำให้ไอ้ดื้อขมุบขมิบปาก คาดว่าคงจะด่าตอบในใจ ไอ้ดื้อด้วยความที่ไม่ประสีประสาและอ่อนเยาว์ในเรื่องอย่างว่า จึงเอียงคอไปให้อัสดง ที่กำลังนั่งคุกเข่ายิ้มอยู่ที่มุมปาก เขี้ยวเสน่ห์เผยให้เห็นรำไร รอยลักยิ้มอันมีมนต์สะกดข้างแก้มปรากฏขึ้น สีทันดรได้เห็นยามที่เขาคนนี้แย้มยิ้ม ปานประหนึ่งตกอยู่ในห้วงภวังค์ฝัน ดูไม่ต่างอะไรกับจงอางเชื่องๆตัวหนึ่งยามได้ยินเสียงปี่เป่า โลดไล่ เล่นระบำไปตามเสียงเพลง

“ไอ้ดื้อ เจ้านี่มันเชื่อคนง่ายซะเหลือเกิน”

อัสดงแกล้งหลับตา สวดพึมพำอยู่ชั่วครู่ แทนที่จะเป่ามนต์ลงไป กลับกลายเป็นหายใจรดต้นคอเบาๆ ลมหายใจร้อนผ่าวแผ่ซ่านมาอีกครา ยามกระทบผิวใส ก็สร้างความซาบซ่านรัญจวนใจ พระโลมาลุกชัน ครั้นพอเจ้านาคาน้อยเผลอ กิกรรมที่ค้างเอาไว้ในฝันก็ถูกสานต่อทันใด ริมฝีปากเด็กหนุ่ม ไม่รอช้า โลดไล่ข่มเหงบนผิวกายขาวระเรื่ออีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่รุนแรงอย่างในห้วงฝัน แต่ที่แน่ๆ ก็ทำให้ร่างของสีทันดรสั่นระรัวมาอีกครา กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเขา ก็สายไปเสียแล้ว
พระวรกายโดนรัดไว้แนบแน่น แถมตอนนี้ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์ยังทำเหมือนเดิมอีก คือเม้มปากจนผิวบริเวณพระศอ ถูกดูดกลืนอีกคำรบ พอหนำใจแล้วฟันที่ขาวสะอาดตาก็โผนทะยานมารังแกขบกัดอยู่ที่ติ่งพระกรรณเบาๆ ลมสวาทถูกเป่าเข้าพระโสต คราแรกพระกรทั้งสองพยายามดันร่างของอัสดงออก แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตกระเรี่ยเคลียร่าง ในที่สุดก็เผลอยกมาลูบไล้แผ่นหลังกำยำนั้นไว้ สุรเสียงเลือนหายหมดสิ้น ได้แต่ร้องออกมาเบาๆ สั่นสะท้าน

 “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์นัก ปล่อยเรานะ”

“เฉยๆเหอะน่า เรากำลังจะถอนอาคมให้เจ้าเดี๋ยวไม่หายไม่รู้นะ หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ สีทันดร” ด้วยธรรมชาติของไฟ เวลาโหมกระหน่ำถึงขีดสุดมักรวดเร็วและร้อนแรงเสมอ อัสดงเองก็เป็นเช่นนั้น ยามถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว ไม่มีทางเสียแหละที่จะสงบลงง่ายๆ

“เจ้าโทษเราไม่ได้นะไอ้ดื้อ เจ้าอยากเข้ามาจุดไฟในหัวใจเราทำไม” อัสดงพูดออกมาเบาแสนเบา

 นัยแห่งคำว่าต้องการของเขา ล้ำลึกยิ่งนัก  ครานี้ไอ้ดื้อรู้ได้โดยพลันว่าคำว่า ต้องการ ของสุริยเทพ หมายถึงสิ่งใด “ไม่ต้องแล้ว เจ้าถอนบ้า ถอนบออะไร เราไม่ต้องการ เจ้ากำลังทำเหมือนเดิมต่างหาก ปล่อยเดี๋ยวใครมาเห็น”

“ดึกป่านนี้แล้ว ไม่มีใครมาเห็นหรอก .....ยอมรับมาเหอะว่าเจ้าลงมารอเรา ไอ้ดื้อ เจ้าติดใจเราใช่ไหม”

วงแขนแข็งแรงตวัดช้อนร่างที่เริ่มอ่อนระทวย มาโอบอุ้มแล้ววางไว้แนบตัก ครานี้พระปรางใสจำต้องซุกแนบอกกำยำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“อย่าหลงตัวเองนักได้ไหม ....เราก็แค่จะลงมาล้างเนื้อล้างตัว ล้างกลิ่นกายของเจ้าออก เราเหม็นสาบ”

“เจ้าเกลียดเราถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เราไปทำอะไรให้เจ้า”

ดวงตาสีอำพันเริ่มจ้องมองมาอย่างละห้อยโหยหาอย่างรอฟังคำตอบ แต่จนแล้วจนรอด คำตอบก็มิปรากฏ พระวรกายที่ตอนแรกดิ้น เริ่มสงบลงแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขน แล้วเจ้าของอ้อมกอดก็กล่าวต่อมาว่า “เราขอโทษหากนาคที่เราสังหารตอนออกจากวัดตนนั้นเป็นคู่ของเจ้า เจ้าคงเสียใจเลยเกลียดเราใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ เรามีคู่เสียที่ไหน นาคตัวนั้นไม่ใช่คู่เรา” พระเนตรฟ้าครามจ้องกลับ นึกหัวเราะคนที่ทำตัวเหมือนว่าเก่งไปซะทุกเรื่องกลับไม่รู้ว่านาคตัวนั้นถูกจำแลงมาจากกำไลข้อพระกร

“แล้วเจ้าเกลียดเราเรื่องอะไร ...ยังไงเราต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่บอกเราก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก เราจะทรมานเจ้าแบบนี้” ใบหน้างามคมคายซุกลงไปอีกครั้ง ร่างน้อยๆเริ่มดิ้นพล่านอีกครา

“ปล่อยเรานะ เดี๋ยวใครมาเห็น”

“จะให้บอกอีกกี่ครั้ง ไม่มีใครมาเห็นหรอก ไอ้พวกนั้นมันหลับกันหมดแล้ว เราจะได้สานต่อสิ่งที่ค้างไว้ในฝันซะที”

สิ้นเสียงของอัสดง เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง หนึ่งในไอ้พวกนั้นที่เขาว่าหลับ กลับตะโกนลงมาจากนอกชานด้านบน
 
“อัสดง...นายอยู่ไหนวะ” เสียงของทรงกลดนั่นเอง ไอ้เวรนี่อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มาปลุกให้ตื่นจากความฝัน มาตอนนี้เสือกตื่นมาขัดจังหวะอีก เห็นทีจะได้กระทืบมึงแน่ๆไอ้ตัวมาร

“นายอยู่ข้างล่างใช่ไหม อัสดง”

ทรงกลดยังร้องตะโกนมาจากด้านบนแล้วรีบเดินลงมายังบันไดท่าน้ำ สีทันดรได้โอกาสช่วงที่อัสดงเผลอ สลัดตัวออกจากอ้อมอกของเด็กหนุ่ม บิดกายสลายวับหายไป อัสดงพยายามจะดึงร่างนั้นมากอดไว้แต่ก็ไม่ทัน วงแขนได้แต่ไขว่คว้ากอดอากาศมืดมิดว่างเปล่า

“เดี๋ยวก่อนสิ ไอ้ดื้อ...โธ่โว้ย”

“อยู่นั่นเอง .....นายทำอะไรวะ” ทรงกลดกล่าวถามขึ้น น้ำเสียงร้อนรนยิ่ง

“ลงมานั่งตากลม นายมีอะไรนักหนาวะ ”

น้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนักกล่าวตอบมา เป็นใครใครก็โกรธ เพราะ ทรงกลดเป็นต้นเหตุให้อัสดงค้างทั้งสองรอบ

“ฉันไม่มีอะไรหรอก แต่ไอ้เอราวัตกำลังแย่ อาการบาดเจ็บกำลังกำเริบ เราต้องหาทางช่วย”

“เฮ้ยนายว่าอะไรนะ......อาการไอ้พระพุธกำเริบ แล้วนี่มันเป็นหนักไหม พาไปดูหน่อยเร็ว” น้ำเสียงขุ่นมัวหายไปสิ้น กลายเป็นตกใจ ทรงกลดไม่รอช้ารีบพาอัสดงไปดูอาการของเอราวัตทันที

พระพุธน้อยตอนนี้กำลังนอนบิดกายเพราะความเจ็บปวด อยู่บนเตียง พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดนั้นไว้จนถึงขีดสุดแต่แล้วก็เริ่มทนไม่ไหว ร้องครางออกมา แทบไม่เป็นภาษา

“เจ็บบบบบ โอ๊ยยยย ....ช่วยฉันด้วย”

อัสดงเมื่อเข้ามาถึงก็ไม่รอช้ารีบใช้มนตราเป่าพรวดรักษาลงไป แต่ก็ไม่เป็นผล ทรงกลดลองดูบ้างก็ล้มเหลวเช่นกัน เอราวัตยังคงครางไม่หยุด ทำยังไรดี

“ฉันว่าฉันไปตามน้องดื้อดีกว่า เมื่อตอนเย็นน้องเขารักษาได้” ทรงกลดพูดจบกำลังจะออกไปตามน้องดื้อ แต่ยังไม่ทันจะออกจากห้อง แสงรัศมีสีเขียวเจือทองสว่างวาบก็ปรากฏอยู่กลางห้องนอนของเทวะน้อยทั้งสาม

 “น้องดื้อ พี่กำลังต้องการให้เจ้าช่วยอยู่พอดีเลย เจ้ารู้ได้ไงเนี่ย” ทรงกลดกล่าวมาอย่างละล่ำละลัก แล้วเข้าไปฉุดข้อพระกรมาที่ข้างเตียงคนเจ็บ

“ห้องก็อยู่ใกล้กัน หนำซ้ำสหายเจ้าร้องโอดครวญลั่นขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ยินหูเราก็คงจะหนวก” ถึงจะอยู่ในช่วงคับขันอย่างไร อัสดงเห็นทรงกลดทำกริยาอาการจับมือถือแขนไอ้ดื้อ มันก็ทำให้เขาไม่ค่อยจะพอใจนัก

“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากได้ไหม ไอ้ดื้อ ดูอาการไอ้พระพุธนี่ก่อน” อัสดงกล่าวมาทำให้ไอ้ดื้อที่เพิ่งมาถึง สะบัดเบือนพระพักตร์ที่ยังคงแดงระเรื่อไปอีกทาง พยายามหลบสายตาสีอำพันคู่งามที่กำลังจ้องมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“คนบ้าอะไร พูดด้วยดีๆเป็นไหม ชอบขึ้นเสียงนัก”

“อย่างเพิ่งมาชวนทะเลาะตอนนี้ได้ไหม ไอ้ดื้อ” อัสดงเสียงเข้มกว่าเดิม
 
“ก็ได้ .....พวกเจ้าช่วยถอดเสื้อเขาออกก่อน เราจะดูอาการ”

คราวนี้ไอ้ดื้อเริ่มตรัสเป็นการเป็นงานขึ้น อัสดงกับทรงกลด มิรอช้าทำตามคำสั่งทันใด และแล้วพระพักตร์ก็ต้องแปรเปลี่ยนส่อแววกลัดกลุ้มขึ้นมายามเห็นรอยบาดเจ็บนั้น  ซึ่งขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นทุกที ผิวหนังเริ่มไหม้เกรียมกระจายทั่ว

“อาการหนักมาก ....เราไม่รู้ว่า เราจะเอาอยู่หรือเปล่านะ แต่เราจะลองดู ตอนนี้ยึดร่างเขาไว้ให้แน่น เขาจะเจ็บมาก”

สีทันดรตรัสจบก็เป่าลมลงไปยังรอยบาดเจ็บนั้น สายลมสีแดงระเรื่อปนทองพวยพุ่งออกจากพระโอษฐ์กระทบร่างพระพุธน้อย ครานี้เจ้าตัวดิ้นพล่าน จนอัสดงกับทรงกลดแทบจะทานกำลังไม่ไหว แต่ก็ดิ้นเพียงชั่วครู่ แล้วก็สงบนิ่งลง รอยไหม้เกรียมจากสายฟ้าหยุดกำเริบและจางลงชั่วขณะ

“เยี่ยมไปเลยครับน้องดื้อ ใช้มนตราบทไหนกันนี่”

“เราไม่ได้ใช้มนต์ เราใช้พิษแห่งเทวนาคา รุนแรงเสมือนอสนีบาต หรือยิ่งกว่าด้วยซ้ำ  เราใช้พิษต้านพิษ ....รู้ไหมว่าเจ้ารามสูรมันใช้อุบายซ่อนอาคมพิษจากไว้ในสายฟ้า เพื่อนเจ้าถึงได้เจ็บหนัก ลำพังโดนแค่สายฟ้าอย่างเดียว เราว่าคงไม่ครณามือเทพอย่างพวกท่านหรอก เราก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น ตอนเย็นกำลังจะตรวจให้แน่ชัด พวกเจ้าก็เข้ามาขัดจังหวะแถมยังเข้าใจเราผิด ไม่งั้นป่านนี้เพื่อนท่านก็คงไม่เป็นหนักขนาดนี้”

“เอาล่ะไอ้ดื้อ....จะให้เราขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิดร้อยครั้งพันครั้งก็ได้ ตอนนี้เจ้าจะรักษาเอราวัตเลยได้ไหม”

“ได้น่ะมันได้....แต่เราต้องใช้ตัวยาสำคัญ ซึ่งหายากพอสมควร”

“แล้วตัวยาที่ว่านั่นมันคืออะไร ....แล้วเจ้าใช้พิษของเจ้ารักษาไม่ได้เหรอ”

“พิษของเราใช้ต้านได้เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง รักษาได้ไม่หายขาด เราจะต้องหา อัคคีสัตตบงกช ซึ่งมีแต่ในป่าหิมพานต์เท่านั้นมาผสมกับน้ำในสระอโนดาตปรุงเป็นตัวยา”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“เจ้าแน่ใจหรือ ....” อัสดงเปรยออกมาเพราะไม่แน่ใจว่า เด็กดื้อๆอย่างเจ้านาคน้อยนี่จะรักษาได้ เพราะลักษณะภายนอกนั้นดูสำอางและทีท่าที่มัวแต่เล่นซนไปวันๆ มันทำให้เขายากที่จะไว้ใจ 

“นี่เราเป็นนาคนะ พิษใดๆในโลกทั้งปวงล้วนแต่อยู่ในอำนาจเรา ถ้าเราไม่รู้วิธีรักษา เราจะเป็นเจ้าแห่งพิษได้อย่างไร ถ้าท่านไม่เชื่อใจ....ก็ไปหาคนอื่นรักษาสหายเจ้าเอาเองแล้วกัน รู้ไว้ด้วยนะที่เราช่วยก็เพราะเป็นรับสั่งทูลหม่อมปู่ เป็นโองการที่เราขัดไม่ได้ ไม่งั้นเราคงไม่มาอยู่ให้เจ้ารังแกเล่นและดูถูกเช่นนี้” สีทันดรแหวขึ้นมา กำลังจะหันกายกลับ ครานี้อัสดงเองนั่นแหละที่คว้าพระกรไว้แน่น

“เดี๋ยวสิ เราก็แค่ถาม ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า งั้นจะรอช้าทำไม ก็ไปกันเลยสิ” คำว่าไปของอัสดง ไม่ใช่พูดจบแล้วไป แต่เขาก้าวขาไปทั้งๆที่ยังพูดไม่จบ สีทันดรดึงพระกรกลับส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“นี่ เจ้าคิดว่าหนทางไปหิมพานต์มันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ ....อย่าลืมสิ ตอนนี้เจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าไม่ใช่เทวดา เส้นขีดกั้นระหว่างภพ ยากที่เจ้าจะข้ามไปได้ด้วยกายหยาบ”

สีทันดรตรัสได้ถูก ถึงหิมพานต์จะเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างสววรค์กับโลกมนุษย์ แต่ก็มีกฎและการแบ่งชั้นพรมแดนกั้นเอาไว้ กายหยาบของมนุษย์มิสามารถเข้าไปได้ ....ยกเว้นแต่กายทิพย์เท่านั้น

“เราไปได้สบายมาก เราจะพาเจ้าไปก็ได้ แต่มนุษย์กึ่งเทพอย่างเจ้าทั้งสอง ต้องไปด้วยกายทิพย์ พวกเจ้าไม่มีปัญหาตรงนี้ใช่ไหม”

“ไม่มี”

อัสดงกับทรงกลดแทบจะกล่าวตอบมาพร้อมๆกัน ทันทีที่ได้ยินว่า “ใคร” จะเป็นผู้พาไป ความต้องการที่จะช่วยเพื่อนเริ่มกลายเป็นสิ่งบังหน้าเสียแล้ว การที่ได้ไปหิมพานต์กับเจ้านาคาน้อยนี่สิ กลายเป็นสิ่งที่พระอาทิตย์กับพระจันทร์ปรารถนา  ทั้งคู่จึงไม่รอช้าเตรียมเข้าสมาธิ ถอดกาย สีทันดรทอดพระเนตรเห็น ส่ายพระพักตร์อีกครา แล้วตรัสมาโดยเร็ว
 
“ถ้าเจ้าไปทั้งสองคน ใครจะอยู่ดูอาการเพื่อนเจ้า แล้วร่างกายพวกเจ้ายามกายทิพย์ออกจากร่างล่ะ ใครจะเฝ้าไว้”

“ฉันไปเอง” อัสดงรีบชิงพูดออกมาก่อน ทรงกลดเองก็ต้องการจะไปจึงเกี่ยงงอนให้อัสดงนั่นแหละเฝ้า

“ฉันไปดีกว่า นายเฝ้าเอราวัตเหอะ และอีกอย่างนายก็ฤทธิ์มาก ฉันฝากร่างไว้กับนายคงปลอดภัย”

“แต่ฉันว่าฉันไปดีกว่า หิมพานต์อันตราย และอีกอย่างอัคคีสัตตบงกชชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเป็นไฟ ....นายคงไม่สะดวกหรอกนะไอ้กลด ไฟก็ต้องเจอกับไฟอย่างฉัน ....เอาล่ะ ตามนี้แล้วกัน” อัสดงพยายามรวบรัดตัดบท แต่ทรงกลดไม่ยอมแถมยังจะแย้งต่อมาว่า

“เฮ้ยยย ฉันไม่หวั่น”

“ แต่เขาพูดถูก ....อัคคีสัตตบงกชคือดอกบัวเพลิงอันร้อนแรงยิ่ง ต้องใช้ผู้ที่ครองธาตุไฟเท่านั้นถึงจะดึงออกมาได้ เจ้าอยู่ที่นี่แหละพระจันทร์ พวกเราคงไปไม่นาน เชื่อเราเหอะ”

สีทันดรต้องพูดไปตามจริงถึงแม้จะไม่ค่อยจะอยากไปกับอัสดงเท่าไรนักเพราะกลัวว่าสิ่งที่มันคั่งค้างอยู่อัสดงคงหาวิธีกระทำต่อแน่ๆ เพราะอีตาพระอาทิตย์ตอนนี้กำลังยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ เกลียดนักเชียวรอยยิ้มแบบนี้ เห็นทีไร เปลืองตัวทุกที

ทรงกลดทำหน้าบอกบุญไม่รับทันใด หากก็จำต้องอยู่  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีดีสู้อัสดงไม่ได้เพราะเห็นว่าเป็นน้องดื้อหรอก ถึงได้ยอม “ก็ได้.....พี่จะอยู่เฝ้าก็ได้ รีบไปรีบมานะครับ”

“อาการของพระพุธจะยังไม่กำเริบในช่วงนี้ ขอให้ท่านวางใจ เมื่อเราได้ตัวยาครบเราจะรีบกลับมา ส่วนท่านก็รีบถอดกายทิพย์ซะ เดี๋ยวเราจะออกไปรอด้านนอก”

อัสดงไม่รอช้ารีบนอนลงบนเตียงข้างๆเอราวัตที่หลับแน่นิ่งด้วยอาการบาดเจ็บ ตั้งสมาธิรำลึกถึงหลวงตาขอให้ท่านคุ้มครอง ด้วยความชำนาญและฝึกฝนมาอย่างดีทำให้มี “วสี” คือความชำนาญ ที่จะเข้าสู่ฌานระดับสูงได้โดยเร็ว แสงสว่างวาบปรากฏทั่วโครงร่าง และแล้วกายทิพย์ที่งามสง่าก็ทะยานออกมา เทวดามักเป็นอย่างนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะทิพย์มักงามเสมอ

“ฝากดูด้วยนะไอ้กลด ไปก่อนล่ะเดี๋ยวจะรีบมา” อัสดงหันมากล่าวกับทรงกลดแถมยังยักคิ้วให้ อย่างมีชัยเหนือกว่า แล้วลอยออกไปสมทบกับสีทันดรที่รออยู่ด้านนอก ทรงกลดหน้าบูดมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องจำยอม ......อย่าให้ถึงทีเขาบ้างก็แล้วกัน อัสดง

“เราพร้อมแล้ว”

อัสดงขณะนี้ออกมาสมทบกับสีทันดรที่รออยู่ด้านนอกแล้ว เพียงดวงเนตรฟ้าครามหันมาเห็นก็ต้องตะลึงในความงามสง่าของร่างทิพย์แห่งสุริยเทพน้อย เจ้านาคน้อยพยายามปรับสีพระพักตร์ให้เป็นปกติ หากก็อดคิดไม่ได้เลยว่า ‘คนบ้านี่ หล่อจริงๆด้วย มิน่า ถึงได้หลงตัวเองนัก’

“ถ้าพร้อมแล้วงั้นก็เกาะเราไว้ให้แน่นๆ เราจะพาเจ้าลัดไปทางบาดาล แล้วไปโผล่ตรงมหานทีสีทันดร ริมเชิงเขาพระสุเมรุตรงนั้นใกล้หิมพานต์ที่สุด”

“แต่เราไม่อยากลงบาดาล ...เพราะเรากลัวว่า พญานาคจอมดื้อบางตนจะหลงเสน่ห์เราเข้าแล้วกักตัวเราไว้เชยชมในบาดาล เราไปแบบที่เราเคยไปดีกว่า”

ลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ปรากฏอยู่ข้างแก้ม.....น้ำเสียงยียวนกวนโทสะ ฟังแล้วมันน่าจับขังไว้จริงๆยิ่งนัก แถมจะเอาก้อนหินอุดปากไว้ด้วยคงจะดี

“พูดอะไรเป็นเล่นไปได้ สหายเจ้าบาดเจ็บอยู่นะ และก็ไม่มีวันเสียหรอกที่เราจะกักตัวเจ้าไว้ อย่าหลงตัวเองให้มันมากนักเลย”

“เจ้านั่นแหละ หลงตัวเอง เราแค่บอกว่าพญานาคจอมดื้อ เราไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าซะหน่อย”

“นี่เจ้า.....เจ้านี่มัน.....ฮึ่ยยย เราว่าเราเปลี่ยนใจไปกับจันทรเทพดีกว่า เจ้ามันกวนโทสะนัก” พระบาททั้งสองกระทืบอย่างไม่พอพระทัย ที่เสียรู้และไม่สามารถเถียงชนะ คนคนนี้ได้

“เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว มานี่” อ้อมแขนแข็งแรงทำงานอีกครั้ง ตวัดเอวเจ้านาคาน้อยมากอดไว้แน่น “อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น”

อัสดงพูดจบก็ผิวปากเป็นท่วงทำนองสูงต่ำแปลกๆ ฉับพลันตรงเส้นขอบฟ้านั้นเองก็ปรากฏแสงสีแดงระเรื่อ และเริ่มพุ่งเข้ามาใกล้ เข้ามาใกล้จนมองเห็นว่า แสงสีแดงนั้นแท้จริงแล้วก็คือม้าอันงามสง่ายิ่งกว่าม้าพันธุ์ใดๆในโลก ม้าที่ว่านั้นดูท่าจะดีใจยามรู้ว่าใครที่เรียกมันมา

“อุจไฉยศรพ ม้าของเราเอง ได้มาตอนกวนเกษียรสมุทร”

ม้าสีแดงหรือม้าอุจไฉยศรพที่ว่า บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพระอาทิตย์รูปงาม ขาหน้าทั้งสองตะกุยขึ้นฟ้าร้องทักเจ้านายของมันมาอย่างดีใจ

“พาเราไปหิมพานต์” อัสดงกล่าวขึ้นกับเจ้าม้าตัวนั้นแล้วบอกกับสีทันดรว่า  “ไป ขึ้นไป เราจะให้อุจไฉยศรพพาไป เร็วกว่าที่เจ้าลัดลงไปทางบาดาล”

“ปล่อยนะ ไม่ เราไม่ขึ้นม้าตัวนี้”

“โธ่โว้ย อย่าเรื่องมากได้ไหม .....เมื่อกี้บอกเราเองไม่ใช่เหรอ ว่าให้เราเกาะแน่นๆ นี่ก็เกาะแน่นแล้ว จะเอายังไงอีก เอาล่ะ จะขึ้นดีๆ หรือจะต้องให้เราอุ้มเจ้าขึ้นไป”

ก็จริงอย่างที่อัสดงพูด เมื่อกี้องค์เองเป็นคนบอกให้เขาเกาะแน่นๆเองนี่นา แต่อีตานี่คาดว่าคงจะสับสนระหว่างคำว่า เกาะกับกอด ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร  สีทันดรได้ฟังก็ยิ่งขัดใจ แต่ก็ต้องหยุดดิ้น จำใจต้องขึ้นม้าตัวนั้นแต่โดยดี ดีกว่าถูกเขาอุ้มขึ้นไปนั่ง เมื่อสีทันดรขึ้นไปประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว อัสดงจึงขึ้นไปนั่งซ้อนแนบแน่นทางด้านหลัง ทำให้พระปฤษฎางค์แนบสนิทชิดอกกำยำ ลมหายหายใจร้อนผะผ่าวรดต้นคออีกครั้ง พระเกศาดำเป็นมันขลับถูกลูบไล้ด้วยปลายจมูกแห่งเทพน้อย

“หอมจัง ชื่นใจที่สุด”

“ถอยออกไปหน่อยสิ ทำไมต้องนั่งชิดเราขนาดนั้นด้วย”

“นั่งใกล้ๆกันดีแล้ว ม้าตัวนี้ยิ่งพยศอยู่ด้วย ถ้าเรานั่งห่างจับเจ้าไว้ไม่ทัน ตกลงไปไม่รู้ด้วยนะ.... ไปกันได้แล้วอุจไฉยศรพ”

สิ้นคำสั่ง ม้าอุจไฉยศรพ ก็โผนทะยานโบยบินขึ้นฟ้า ควบตะบึงกลางเวหา แล้ววิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมองเห็นหลังคาบ้านอยู่ลิบลับ  สีทันดรด้วยความกลัวตกจึงจับแผงคอมันไว้แน่น เพราะตนเองไม่ใช่เจ้าแห่งเวหาอย่างพญาครุฑ ไม่ถนัดนักที่จะลอยสูงขนาดนี้ อัสดงเองก็รู้ว่าเจ้านาคน้อยนี้คงจะกลัวตกเป็นแน่แท้ จึงดึงเอวไอ้ดื้อมากอดไว้อีกครา

“บอกแล้วไง ว่านั่งชิดๆน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องกลัวตก”

“แล้วทำไมต้องกอด ปล่อยสิ”

“อ้าวถ้าไม่กอด แล้วเราจะดูแลเจ้าอย่างไร อย่างที่บอก อุจไฉยศรพ มันยิ่งพยศอยู่ด้วย”

ยังไม่ทันจะขาดคำเจ้าม้าสีแดงเหมือนจะรู้ใจนายของมันยกขาหน้าขึ้นแถมยังดีดขาหลัง ทำให้วรองค์น้อยๆ ตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงแนบแน่นกว่าเคย อัสดงก็ไม่ยอมให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปรีบเอาแก้มตนมาแนบแก้มเนียนใส ทำให้เจ้าของแก้มนั้นรีบสะบัดพระพักตร์หลบหลีกแล้วร้องลั่นดังทั่วฟ้า

“ไอ้บ้า ไอ้คนฉวยโอกาส” พอด่าคนเสร็จ สีทันดรก็ร้องด่าม้าต่อ “เฮ้ยยยยยย วิ่งดีๆเป็นไหม เดี๋ยวเราก็ทำให้เจ้าตัวดำอีกรอบหรอก ไอ้ม้าเวร”

อุจไฉยศรพเหมือนจะรู้ว่าสีทันดรตรัสอะไร ได้แต่ร้องลั่นแถมยังไม่เลิกพยศกลางฟ้า ยกขาหน้าถีบอากาศพัลวันจนอัสดงต้องตบเบาๆ ที่สีข้าง

“เลิกพยศได้แล้ว วิ่งดีๆ ไอ้ดื้อนี่มันพูดเล่น” เท่านั้นแหละ เจ้าม้าสีแดงแสนรู้ก็หยุดออกฤทธิ์ออกเดช แต่ก็ยังไม่วายร้องออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “เอาน่าอุจไฉยศรพ เขาแค่ล้อเล่น.....ไปต่อได้แล้ว”

สิ้นคำสั่งจากนาย เจ้าม้าแสนรู้ก็ ควบตะบึงกลางฟ้าที่มืดมิดต่อไป ส่วนสีทันดรที่นั่งอยู่ด้านหน้ารู้สึกใจหายใจคว่ำ “เกลียดนักเชียวทั้งม้าทั้งนาย.....รู้งี้มากับพระจันทร์ดีกว่า”

“อุจไฉยศรพ มันไม่ชอบที่เจ้าไปขู่มันว่าจะทำให้ตัวมันดำ ....มันบอกว่า ขี้เหร่ เดี๋ยวสาวๆไม่หลง ตอนนั้นมันโมโหแทบตาย ที่ตัวดำ”

“ก็มันอยากพยศทำไมล่ะ เลยต้องขู่แบบนี้ ตอนนั้นทูลหม่อมปู่น่าจะพ่นพิษให้หนักกว่านี้เนอะ ตัวมันจะได้ดำไปตลอดกาล”

“นี่เจ้ารู้เรื่องปู่เจ้าด้วยเหรอ”

“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ .....ก็เพราะเจ้ากับม้าตัวนี้นั่นแหละ ทำให้เราต้องลงมาอยู่ที่บาดาล”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ” อัสดงขมวดคิ้วถามโดยพลัน

“เกี่ยวสิ ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าขับรถเทียมม้าตัวนี้อวดโฉมไปทั่วหรอกเหรอ ถึงได้เป็นเหตุให้ สมเด็จทวดของเราต้องมานั่งทายสีม้าของเจ้า ตอนนั้นพระนางวินตามารดาแห่งพวกนกขี้เรื้อนเธอทายว่าเป็นสีแดง แต่ทวดเราพระนางกัทรุเธอทายว่าเป็นสีดำ และมีข้อแม้ว่าใครทายผิดจะต้องยอมตกเป็นทาสของอีกฝ่าย ส่วนปู่เราด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู น่ายกย่อง กลัวว่าสมเด็จทวดจะแพ้ก็เลย เล่นกล นิดๆหน่อยให้ม้าตัวนี้เป็นสีดำเสีย ตอนหลังความแตกก็เพราะเจ้า โวยวายลั่นสวรรค์ ว่าใครมาแกล้งม้าเวรนี่ ให้ตัวดำ แล้วไปทูลฟ้องพระมหาวิษณุ แถมเจ้าก็ยังเข้าข้างพวกครุฑ พวกเราก็เลยโดนพระมหาเทพลงโทษลงมาอยู่บาดาล เหตุก็เพราะเจ้ากับม้าของเจ้า”

“เหอะ เจ้านี่มันพาลเนอะ ต่อให้เด็กอมมือมาตัดสิน ก็รู้ว่าใครผิด.....และเหตุนี้ใช่ไหมที่เจ้าเกลียดเรานักเกลียดเราหนา”

“ใช่” พระสุรเสียงใสกล่าวตอบทันควัน

“เจ้าต้องไปโทษปู่เจ้าเองที่ขี้โกง .....แต่เจ้าไม่ควรมาลงที่เรา เพราะเราเป็นแค่ร่างแบ่งภาค ณ เวลานี้เราเป็นแค่เด็กผู้ชายอายุสิบแปด ไม่ใช่สุริยเทพ ตอนนี้เราเป็นแค่นายอัสดง ที่ต้องแบกภาระหนักมาปราบพวกอสูร ซึ่งไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดหรือไม่ เจ้าไม่เห็นใจเราบ้างเลยเหรอ แล้วยังมาเกลียดเราได้ลงคอ”

น้ำเสียงตัดพ้อของนายอัสดงกล่าวขึ้น วงแขนแข็งแรงรัดเจ้านาคาน้อยแน่นขึ้นไปอีก ใบหน้างามคมสันซุกลงมาที่พระเกศายาวดำขลับอีกครั้ง หากสีทันดรหันไปเห็นหน้าก็คงจะทอดพระเนตรเห็นว่า ดวงตาสีอำพันที่เคยเจ้าเล่ห์นั้น เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

มันก็จริงอย่างที่เขาพูด ฤาว่าตนพาลไปเอง ดูสิ พูดเสียน่าสงสารเชียว ฟังดูแล้วทำให้ตนรู้สึกผิดยังไรก็ไม่รู้ ไม่ได้อย่าใจอ่อน แต่เอาเหอะ จะยกให้ก่อนก็ได้ เพราะเขานั้นเป็นเพียงแค่ร่างแบ่งภาคไม่ใช่ตัวจริง เสร็จภารกิจปราบอสูรเมื่อไร ค่อยว่ากัน.... แต่ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์นี่  เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเจ้าชู้เกเร ชักจะตามอารมณ์ไม่ถูกแล้วสิ

“ก็ได้ เราจะถือว่าเจ้าเป็นเพียงนายอัสดง แต่ตอนนี้ เอาหน้าเจ้าออกไปจากคอเราก่อนได้ไหม รอยเก่ายังไม่หายเลยนะ”

“แล้วเจ้าไม่เกลียดเราแล้วเหรอไอ้ดื้อ”

“จะเกลียดต่อก็เพราะเจ้าทำแบบนี้แหละ อีกอย่างเราก็เป็นผู้ชายนะ มันดูแปลกๆยังไงไม่รู้ เจ้าทั้งกอดทั้งจูบเราอย่างนี้” นี่ไงเริ่มทำเจ้าชู้มาอีกแล้ว นายอัสดง เราตามอารมณ์ที่ผันแปรของเจ้าไม่ทันจริงๆ

“ไม่เห็นจะแปลก ใครๆสมัยนี้เขาก็ทำกัน ” อัสดงกล่าวตอบมาอย่างหน้าตาเฉย

“ใครที่เจ้าว่า นั้นคือใคร ไหนลองเอ่ยมาสิ ใครที่ไหนจะทำแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน”

“ยังนึกไม่ออก ไว้นึกได้แล้วจะบอก..... แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไร ดูโน่นดีกว่า จวนสว่างพอดี เจ้าจะได้รู้ว่าการเริ่มต้นวันใหม่ มันสวยขนาดไหน”

อัสดงพูดพร้อมเอาคางมาเกยไหล่แล้วชี้ให้เจ้านาคาตาสวยมองไปที่เส้นขอบฟ้า ซึ่งยามนี้เริ่มปรากฏแสงสีแดงระเรื่อวาบวับจับไปทั่ว หากมองด้วยตามนุษย์นั้นก็จะเห็นเพียงแค่เริ่มสว่าง แต่ถ้ามองด้วยเนตรแห่งเทวะแล้ว ภายในแสงสีแดงนั้น ปรากฏเป็นเทวบุตรรูปงามทรงรถม้าควบตะบึงกลางท้องฟ้า อัสดงกระซิบเบาๆที่ข้างพระกรรณว่า

“เจ้าคงไม่เคยเห็นว่าเวลาแห่งการเริ่มต้นวันใหม่นั้น เริ่มยังไง เจ้าเห็นสีแดงระเรื่อนั่นไหม นั่นแหละคือพระอัศวิน ที่เจ้าเห็นท่านกำลังควบรถม้าอยู่ ท่านจะเสด็จป็นองค์แรก ทรงเป็นผู้นำโภคาทรัพย์มาให้มนุษย์ เจ้าว่าหล่อไหม....แต่เราว่า ยังไงก็หล่อแพ้เรานิดนึง”

“แหวะ หลงตัวเอง” ปากก็ว่าอัสดงหลงตัวเองแต่ในพระทัยใยไม่เห็นด้วย ‘คนเจ้าชู้เกเรนี่ งามกว่าพระอัศวินจริงๆ’

แล้วสีทันดรผู้ที่ไม่เคยเห็นขั้นตอนอาทิตย์อุทัยยามเช้าตรู่นั้นถึงกับตะลึงยามได้ทอดพระเนตรเนื่องด้วยตนเองนั้นอยู่บาดาล ลืมพระเนตรยามเช้าก็เจอแต่ผนังสุวรรณคูหาเสียสิ้น ครั้นจะเสด็จขึ้นจากบาดาลเพื่อมาดูแต่เช้าก็ใช่เรื่อง แล้วฉับพลันก็ปรากฏแสงสีทองอมชมพูอันเรืองรองตามมาติดๆ ภายในแสงทองนั้น ดรุณีแน่งน้อยนางหนึ่งในภัสตราภรณ์แดงส้มอมทองระยิบระยับ กำลังเริงระบำสะบัดพลิ้วเริงร่ากลางหมู่นางอัปสรสวรรค์ วงพักตร์แย้มยิ้ม รัศมีสีทองเปล่งประกาย

“พระอุษาเทวีเธอเสด็จ เธอนำความร่าเริงแจ่มใสมาสู่มวลมนุษย์ ด้วยท่าร่ายรำอันวิเศษของเธอ พระอุษาเทวีเธอจะงามขึ้นอย่างนี้ไปตลอดทุกๆวัน แต่มนุษย์จะชราลงยามที่เธอปรากฏ...เพราะเธอคือสัญลักษณ์ของวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

“เข้าใจสิ พอเริ่มวันใหม่ มนุษย์ก็แก่ลงไปหนึ่งวันไง  พอพระอุษาเธอเสด็จอีก ก็จะเปลี่ยนเป็นวันใหม่อีกที มนุษย์ก็แก่ลงไปอีกหนึ่งวัน เป็นอย่างนี้ตลอดไป เราเข้าใจถูกต้องใช่ไหม” สุรเสียงใสเสนาะตรัสตอบมา สีทันดรเวลาเจ้าพูดจาดีๆอย่างนี้ เจ้าน่ารักจัง

“ถูกเผงเลย ....เก่งนี่”

 “พระอุษาเทวีท่านสวยจัง....ดีใจด้วยนะที่เจ้ามีชายาสวยขนาดนี้” จู่พระสุรเสียงก็แปรเปลี่ยนแผ่วลง พระทัยเหมือนกับโดนเข็มเล่มน้อยสะกิดให้ปวดแปลบๆ หรือเพราะเหตุที่เขาคนนี้มีชายาแล้ว

“พระสุริยาทิตย์คิดกับเธอเหมือนน้องสาว พระอุษาเธอไม่ใช่ชายา” อัสดงรีบกล่าวมาโดยพลัน ราวกับรู้ว่าพระทัยของอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด

“ก็ท่านสวยออกขนาดนั้น ...ใครเห็นก็ต้องถูกใจเป็นธรรมดา”

“แต่เราว่า มีคนคนหนึ่ง น่ามองกว่าพระอุษาเธอเสียอีก เราเจอครั้งแรกยังอดใจไม่ไหวจนต้องดึงเข้ามากอด ตาสีฟ้าๆ ตัวหอมๆ แถมยังดื้อด้วย”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“ใครกันที่ว่านั่น...สวยเกินพระอุษาเธอเชียวเหรอ” สีทันดรใช่ว่าไม่รู้ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่ก็แสร้งเฉไฉ ในพระทัยเต้นระรัว

“เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอไอ้ดื้อ ว่าเราหมายถึงใคร” อัสดงขมวดคิ้วมาอีกแล้ว น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนหวาน ขุ่นมัว เพราะคำตอบที่คาดหวังไม่ได้เป็นแบบนี้

“เอาล่ะถ้าเจ้าไม่รู้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ดูตรงนั้นดีกว่า .....คนสำคัญที่สุด หล่อที่สุด มาโน่นแล้ว”

ดวงอาทิตย์สีแดงอมส้ม ดวงใหญ่ปรากฏขึ้น ภายในมีราชรถทรงสีทองเปล่งประกายและมีเทวบุตรรูปงามร่างกายใหญ่โตเป็นสารถี หากแต่มีพระวรกายเพียงครึ่งท่อน

“พระอรุณ สารถีแห่งเรา”

“ทำไม ท่านมีร่างกายเพียงแค่ครึ่งตัวล่ะ” สีทันดรถามมาอย่างสงสัย เทวบุตรองค์นี้ งามเหมือนกันถึงจะมีร่างกายเพียงท่อนบนครึ่งท่อนก็เหอะ

“เรื่องมันยาว ....อย่าไปสนใจเลย สนใจพระเอกดีกว่า นั่นไง ประทับอยู่นั่น”

วรองค์สูงหนาราวกำแพง ร่างกายกำยำสง่างามกว่าเทวบุตรองค์ใดที่เคยพบเห็น ยามแย้มยิ้มทำให้พระหทัยกระตุกวาบ พระพักตร์หล่อเหลายิ่งกว่ารูปสลักใดๆ ของช่างฝีมือในสามโลก ยากที่สรรหาบทกวีมาบรรยายความเป็นเลิศนี้ และที่สำคัญ พระพักตร์นั้น ก็คือใบหน้าของอัสดงนั่นอง สีทันดร ขยี้พระเนตรอย่างไม่เชื่อสายตา เหลียวหลังกลับไปมอง ก็พบดวงตาสีอำพันหวานซึ้งรออยู่ก่อนแล้ว

“หล่อใช่ไหม พระสุริยาทิตย์ไงล่ะ ที่เจ้าเกลียดนักเกลียดหนา เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นวันใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ท่านนำความอบอุ่นและแสงสว่างมาสู่มวลมนุษย์และขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืนให้จางหาย ท่านดีขนาดนี้....แล้วเจ้าจะเปลี่ยนใจมารักเรา เอ๊ย พระอาทิตย์ได้หรือยัง” น้ำเสียงของอัสดงเปลี่ยนกลับมาเป็นอ่อนหวาน ยิ่งประโยคท้ายด้วยแล้ว ใครได้ยิน ก็ต้องบอกว่า ไพเราะปนออดอ้อนได้น่าเอ็นดูยิ่งนัก

ทันทีที่ได้ฟัง ดวงเนตรฟ้าครามสวยก็จำต้องหลุบต่ำลง พระพักตร์ที่แดงระเรื่อเพราะเลือดกำลังสูบฉีดขึ้นไปหล่อเลี้ยงพระปรางใสก้มลงต่ำ พระหทัยกระตุกวาบ พระโอษฐ์แดงสดยิ้มพรายอาการแบบนี้ใช่ไหมที่ภาษามนุษย์เขาเรียกว่า “เขิน”

“บ้าใครจะไปรักเจ้า”

สีทันดรตอบมาอย่างแผ่วเบา แน่ล่ะ อาการขวยเขินแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะโดนจีบเอาซึ่งๆหน้า....พระดำรัสที่ตรัสออกมานั้นฟังดูก็รู้ว่าเริ่มที่จะตรัสไม่ตรงกับใจ ....  ส่วนอัสดงเองได้เห็นอาการที่เจ้านาคน้อยก้มหน้าหลบสายตาเขานั้นก็ได้แต่หัวเราะ แย้มยิ้ม นึกในใจว่า

‘ทำไมเช้านี้ เรามีความสุขจัง อยากจะหยุดเวลาไว้เท่านี้ ตรงนี้ได้ไหม’

เสียงหัวเราะชอบใจของอัสดงยังคงดังระเรื่อ เขายิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ หนึ่งอณูเทวะน้อยและหนึ่งนาคาตาสวยยังคงอยู่บนหลังม้าท่ามกลางท้องฟ้าที่เริ่มสว่างไสวแล้ว แสงสีทองอันอบอุ่นเริ่มสาดส่องทั่วทั้งนภากาศ ยามหักเหแลตกกระทบก่อให้เกิดสีชมพูอมส้มดุจกลีบกุหลาบจับทั่วหมู่เมฆ ตระการตายิ่งนัก รัศมียามเช้าของพระอาทิตย์อุทัยช่างงามและน่าหลงใหล สีทันดรขณะนี้ก็ยังไม่รู้พระองค์ว่า ตนนั้นเริ่มที่จะตกอยู่ในมนต์สะกดของอาทิตย์ยามเช้าเข้าแล้ว พระเนตรฟ้าครามใสเหม่อมองไปทั่วและนึกในพระทัยว่า

‘จะเป็นไปได้ไหมที่คนเกเรคนนี้จะอยู่ในภาวะที่อบอุ่นอย่างนี้ตลอดไป แต่คงจะยาก พระอาทิตย์ก็คือพระอาทิตย์ ไม่มีวันเสียแหละที่จะเบาแรง ครั้นพอยามสาย เขาคนนี้ก็คงกลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วตัวเรา จะทนแสงร้อนแรงนั้นได้ไหม วันนึงหากเรามอดไหม้ขึ้นมาเราจะทำอย่างไร....สีทันดร’

ม้าอุจไฉยศรพ ยังคงควบตะบึงไปเรื่อยๆ ทั้งสองขณะนี้ต่างก็เงียบงันไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะคนหนึ่งยังคงเขินอีกคนหนึ่งก็ได้แต่อมยิ้มอย่างสุขใจ..... และแล้วม่านสีรุ้งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า นี่แหละเส้นเขตแดนที่ต้องผ่านเข้าไปให้ได้ ......อัสดงเตือนไอ้ดื้อมาว่า

“จับให้แน่น เรากำลังจะผ่านเข้าไปแล้ว ถ้ากลัวตกก็หลับตาเสีย”

ตอนนี้ไอ้ดื้อ ไม่ดื้ออีกแล้วเริ่มว่าง่ายตามคำบอกของอัสดง เพราะท้องฟ้าไม่ใช่เขตแดนของตน ม้าอุจไฉยศรพ ทะยานโลดแล่นเข้าสู่เขตแดนด้วยความเร็วสูง อากาศรอบข้างเริ่มบีบอัด ทำให้หายใจไม่ออกแต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น พอหลุดออกมาได้ บรรยากาศก็พลันสดใส ท้องฟ้ากลายเป็นสีรุ้งระเรื่อ ด้านล่างเป็นผืนน้ำที่ขาวละเลื่อมพรายสะอาดตาอย่างยิ่ง

“ไชโยเราถึงแล้ว ......นั่นไงมหานทีสีทันดร ตอนนี้เรามาอยู่ตรงเชิงเขาจักรวาล สุดเขตแดนสวรรค์”สุรเสียงใสเสนาะ กล่าวขึ้นทันทีที่ลืมพระเนตรเห็นภาพเบื้องล่าง คราวนี้ผู้ที่ทำหน้าที่บรรยาย กลายมาเป็นหน้าที่ของเจ้านาคาตาฟ้าแสนสวย

“เจ้าจำทางไปได้หรือเปล่า สุริยาทิตย์”

“นี่ไอ้ดื้อ เราแบ่งภาคลงมาเกิดนะ บางอย่างเราก็จำได้บางอย่างเราก็จำไม่ได้ แล้วก็เลิกเรียกเราว่าสุริยาทิตย์ได้แล้ว ตอนนี้เราชื่ออัสดง”

“นี่ ทีเจ้ายังเรียกเราว่าไอ้ดื้อเลย”

“งั้นเอาอย่างนี้ เราเรียกเจ้าว่าสีทันดรก็ได้ แต่เจ้าต้องเรียกเราว่าอัสดง จะเติมคำนำหน้าว่าพี่อัสดง หรือคำต่อท้ายว่าอัสดงที่รักก็ได้ ตกลงไหม” เอาอีกแล้ว ไอ้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มยามพูดยามจา ปรากฏมาอีกแล้ว 

“ไม่ตกลง ไอ้บ้า” สีทันดร ถองศอกกลับไปโดยพลัน อัสดงถึงกับหน้านิ่วเพราะไม่ทันระวังตัวมาก่อน นี่แนะกวนโทสะดีนัก เห็นขี้เก๊กอย่างนี้เหอะ พูดจาเลี้ยวลดสำคัญนัก ตั้งแต่ในฝันแล้ว อย่าหวังเลยที่เราจะเรียกเจ้าว่าพี่อัสดง และยิ่งอัสดงที่รักแล้ว ยิ่งไม่มีทาง

“เจ็บนะ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวก็โดนแบบเมื่อคืนอีกหรอก อยากโดนนักใช่ไหม” เสียงห้าวกังวาน กล่าวขู่ขึ้นมา

“อย่านะ เดี๋ยวก็พลัดตกลงไปทั้งคู่หรอก....ตอนนี้บอกม้าเจ้าก่อนเหอะว่า ให้วิ่งข้ามสัตตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ดไปเรื่อยๆก่อน เดี๋ยวเราจะบอกทางอีกทีเมื่อถึงเขาพระสุเมรุ”

“สัตตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ด คืออะไร” อัสดงกระซิบเบาๆที่ข้างหู คำถามที่ดูเหมือนกับว่าอยากรู้แต่แท้จริงแล้วอยากทำแบบเมื่อคืนมากกว่า พูดใกล้ๆหู อยู่ชิดๆซอกคอน่ะ ดีที่สุดแล้วอัสดง

“พูดธรรมดาก็ได้เลิกกระซิบข้างๆหูเราได้แล้ว ...สัตตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ด ก็คือเทือกเขาทั้งเจ็ด ที่รายล้อมเขาพระสุเมรุไง เทือกเขาที่ว่านั้นจะถูกแบ่งเป็นชั้นๆ กั้นด้วยมหานทีสีทันดร ชั้นนอกที่เรากำลังลอยอยู่เหนือขณะนี้ได้แก่ เขาอัสสกัณณะ”

“มหานทีสีทันดร ชื่อเหมือนเจ้าเลย”

“ก็เราเกิดที่มหานทีสีทันดรนี่ ....ก็เลยตั้งชื่อเราตามมหานที ถัดจากเทือกเขานี้ไปก็จะเป็นเขา วินันทกะ แล้วก็เนมินธร ตามมาด้วยสุทัศนะ และก็กรวิก ถัดไปเป็นอิสินธร จนถึงชั้นในสุดชื่อยุคนธรซึ่งสูงที่สุด สี่หมื่นสองพันโยชน์ ในบรรดาเขาทั้งเจ็ด”

“เจ้าจำเก่งจัง” อัสดงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม

“ไม่เห็นต้องจำอะไรเลย เราเที่ยวเล่นแถวนี้ตั้งแต่เด็ก นานๆเข้ามันก็รู้เอง”

“ถึงว่าสิ เจ้าถึงได้ซนขนาดนี้....แล้วโยชน์หนึ่งมันเท่ากับกี่กิโลเมตร”

เอาแล้วสิ ตาบ้านี่ถามอะไรอีก แล้วโยชน์หนึ่งมันเท่ากับกี่กิโลเมตรล่ะ ตนก็ไม่รู้เสียด้วย มาตราวัดของพวกมนุษย์ ไยจะต้องสนใจ “ไม่รู้ ถามอะไรที่เรารู้สิ”

“เก่งไม่จริงนี่หว่า จำไว้ หนึ่งโยชน์เท่ากับ สิบเก้าจุดสองศูนย์กิโลเมตร”

“เราไม่สนมาตราวัดระยะสมัยใหม่ เรารู้จักแต่โยชน์  ....ว่าแต่ตอนนี้ เจ้าบอกให้ม้าเจ้าบินต่ำๆลงหน่อย ตอนนี้เราเลยเขายุคนธรแล้ว กำลังจะถึงเขาพระสุเมรุ ถ้าบินสูงขนาดนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นลอยอยู่เหนือวิมานท้าวเวสสุวรรณหนึ่งในจตุมหาราชทั้งสี่ จะไม่งาม” ถึงจะซนและดื้อขนาดไหน เจ้านาคน้อยก็ยังรู้จักที่ต่ำที่สูง การลอยอยู่เหนือวิมานเทพชั้นผู้ใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

“อืม อุจไฉยศรพ เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม ทำตามซะสิ”
 
เจ้าม้าสีแดงร้องตอบพยักหน้าแล้วโผนทะยานลดเพดานบินลงมาอยู่เหนือมหานทีสีทันดรแทน ผืนน้ำกว้างใหญ่สะอาดตาใสกระจ่าง เปลี่ยนสีได้ดั่งใจนึก ส่องสะท้อนเงาของผู้โบยบินได้อย่างอัศจรรย์ ใต้ผืนน้ำนั้น เหล่าปลาหน้าตาแปลกๆ แหวกว่ายอยู่ทั่วบ้างท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นปลา 

“พวกเงือกบริวารเราเอง”

ใกล้ๆกันนั้น นาคน้อยใหญ่ต่างก็ดำผลุดดำว่ายเล่นน้ำอยู่ทั่ว เพียงเห็นนายของตนเสด็จมาบนหลังม้า ต่างก็รีบคืนร่างเป็นมนุษย์หมอบราบก้มกราบเหนือมหานที “ทรงพระเจริญ” คือเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญยังคงดังไปทั่ว ฉับพลันก็ปรากฏเงามหึมาขนาดใหญ่ หลายเงาพร้อมเสียงกระพือปีกพรึบพับ ตวัดโฉบลงมา ทำให้เหล่านาคาเร้นกายลงมหานที แล้วตะโกนบอกต่อกันลั่น

“พวกครุฑ....หนีเร็ว”

สีทันดรเห็นเหตุการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้น รีบถอดรัดเกล้าที่สวมอยู่แล้วตวัดฟาดไปทางพวกครุฑที่รังแกบริวารของตน รัดเกล้าที่เคยเป็นเครื่องประดับงามงด บัดนี้กลายเป็นแส้ร้อนแรงสะบัดทั่ว

“ไสหัวไปให้หมด ไอ้นกขี้เรื้อน พวกเจ้าลืมไปแล้วใช่ไหม ว่าพวกเจ้าจะจับนาคตอนอยู่ในร่างมนุษย์ไม่ได้  หากเจ้ายังบังอาจ เราจะได้เห็นดีกัน”

ครุฑเหล่านั้นหยุดชะงักทันใด เมื่อเห็นว่าใคร ประทับอยู่กลางท้องฟ้า สายตาที่จับจ้องมองมาเคียดแค้นชิงชัง แต่แล้วก็จำเป็นต้องล่าถอย

“พวกเทวนาคา....พวกท่านจะมีแรงดูแลบริวารได้สักเท่าไรกัน พวกเรามาอีกแน่” เสียงกระพือปีกดังลั่นทั่วฟ้า แล้วก็เลือนรางหายไป  สีทันดรถึงกับต้องถอนพระหทัยกล่าวมาว่า

“เมื่อไรจะจบสิ้นสักที ...เมื่อไรครุฑจะรังแกนาคไม่ได้”

อัสดงเองก็กำลังเตรียมพร้อมอยู่ เผื่อพวกครุฑเข้ามายังไงเขาก็ต้องช่วยไอ้ดื้อ เมื่อเห็นว่าพวกครุฑไปหมดแล้วจึงเก็บอาวุธแล้วถามว่า “ทำไมบริวารเจ้าไม่สู้ล่ะ”

“ทำไมจะไม่สู้ ...แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะสู้ไม่ได้เพราะโดนมหาเทพสาปไว้ นาคพวกนี้ก็เป็นเพียงบริวารจะเอาฤทธิ์ที่ไหนมาสู้ล่ะ”

“แล้วทำไมถึงโดนมหาเทพสาบล่ะ”

“ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องทายสีม้าของเจ้าแหละ ....เห็นไหมเหตุทั้งมวลก็เพราะเจ้า”

“มาลงอะไรที่เราอีก ไอ้ดื้อ” เอาอีกแล้วเจ้าพูดเรื่องนี้อีกแล้วสีทันดร นี่เราสองคนจะพูดจากันดีๆไม่ได้บ้างเลยหรือไง อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแท้ๆ

“ไม่รู้แหละ ...เอาล่ะ ช่างมันก่อน บอกม้าเจ้าด้วย ว่าให้รีบอ้อมเขาพระสุเมรุไปทางทิศเหนือ แล้ววิ่งไปเรื่อยๆ เราจะเจอสระขนาดใหญ่ แล้วลงตรงนั้น ตรงอโนดาต เป้าหมายแรกของเรา”

ไอ้ดื้อที่ขณะนี้กำลังพาลตรัสแว้ดออกมา แต่อัสดงไม่ยักโกรธ ลึกๆแล้วเขาเริ่มดีใจซะอีกที่ได้ต่อปากต่อคำด้วย แต่ปากแบบนี้มันน่าจับมาจูบเสียอีกรอบ ไว้เสร็จงานช่วยไอ้พระพุธเมื่อไร เจ้าไม่รอดแน่.... สีทันดร

************
รบกวนติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ดีใจจังได้กลับมาอ่านเรื่องนี้อีก รอตอนต่อไปนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maicy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 303
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0

ออฟไลน์ Jaymezc

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๗ เดอะ บัวจ๊อบ

ม้าอุจไฉยศรพที่กำลังควบตะบึงกลางเวหา บัดนี้เริ่มชะลอฝีเท้าแล้วลอยละลิ่วอยู่เหนือแนวป่าที่คาครื้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ป่าที่ชาวสวรรค์สรรสร้างใช้เป็นที่เที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจและเป็นที่ทรงศีลของฤาษีทั้งหลาย อีกทั้งเป็นที่อยู่ของสัตว์แปลกตานานาชนิด ได้ถูกขนานนามเรียกว่า ‘หิมพานต์’ มานานนับแสนโกฏิ 

ป่าแห่งนี้ช่างสวยงามยิ่งนักในสายตาของอัสดง เพราะอุดมไปด้วยพรรณไม้แปลกๆ บางต้น ออกดอกออกผลเป็นเด็กสาวอายุราวสิบหก นุ่งน้อยห่มน้อย หน้าอกอวบอิ่มแทบล้นทะลักใยไม้บางๆที่ห่อหุ้ม อัสดงจ้องสังเกตชั่วครู่ก็รู้ได้โดยพลันว่า เด็กสาวพวกนี้มีแต่ร่างกายหามีจิตวิญญาณไม่ นี่ใช่ไหมที่เรียกว่านารีผล  สีทันดรหันไปเห็นอัสดงยังมองแล้วมองอีกเลยตรัสขึ้น

“พวกผู้ชายเป็นอย่างนี้กันหมดหรือไง หมกมุ่นแต่กามารมณ์” หากจะบอกว่าเวลานี้เจ้านาคน้อยไม่พอพระทัยก็ย่อมได้ “มองอยู่นั่นแหละ เขาเรียกว่านารีผล ขากลับเจ้าจะเก็บไปสักผลสองผลก็ได้นะ อย่าลืมเอาไปเผื่อสองคนนั่นด้วยแล้วกัน”

“ใครบอกว่าเราจะเก็บ”

“ก็เราเห็นเจ้ามอง”

“ก็แค่มองและสงสัยเท่านั้น ....เราจะเก็บไปทำไม เรารู้หรอก นารีผลพวกนี้อยู่ได้แค่เจ็ดวัน สู้หาคนจริงๆดีกว่าสนุกกว่ากันเยอะและอีกอย่างเราก็มีคนที่น่ารัก น่ากอดอยู่ในหัวใจเราแล้วด้วย”

“หน้าตาคงหน้าเกลียดพิลึก คงเหมาะสมกับคนอย่างเจ้าแล้ว”

ใครกันหนอที่อยู่ในหัวใจของคนเกเรนี่ หากเป็นไปได้ก็อยากจะเห็นหน้า  แต่ในเมื่อเขามีคนรักอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเขามากอดมาจูบตนทำไม สีทันดรเริ่มถามองค์เอง พระหทัยดวงน้อยขณะนี้เจ็บแปลบดั่งถูกสะกิดด้วยเข็มปลายแหลมอีกครา

‘เราไม่ใช่คนที่เจ้าจะมาใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์เปลี่ยวของเจ้านะอัสดง’ ความในพระทัยอยากส่งออกไปนัก แต่ก็มิได้ตรัส คงมีแต่พระพักตร์งอง้ำ ที่ส่งมาให้เห็น หากก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อได้ภายในชั่วพริบตา เมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายพูดขึ้นว่า

“คนอะไรว่าตัวเองก็เป็น” คนพูดแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ หากแต่คนฟังคงมิรู้มิชี้มิได้แล้ว

สีทันดรทรงรู้ว่าอัสดงหมายถึงใคร ฉะนี้แล้วพระอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นอันยากบอกสาเหตุเมื่อครู่ก็สลายลง แต่ยังฝืนทรงบอกองค์เองในพระทัยว่า อย่าไปฟังเขา เขาคงไม่ได้คิดอะไร เขาคงอยากที่จะแกล้งอย่างที่ผ่านๆมาเพียงเท่านั้น  ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร สีทันดรตอนนี้จึงยังตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่คิดอยู่อย่างนั้น

อัสดงพอเห็นเจ้านาคน้อยเงียบลงไป ไม่โต้ตอบมาเหมือนเคย เลยชะโงกหน้ามาดู มือแข็งแรงถือวิสาสะเชยคางน้อยๆขึ้น พระเนตรฟ้าครามรีบหลบตาสีอำพันหวานซึ้งโดยพลัน

“ไหน...ขอดูหน้าหน่อยสิ หน้าตาก็ไม่เห็นน่าเกลียดอย่างที่เจ้าว่าเลย ฮึไอ้ดื้อ ...ดูยังไง เราก็ว่าน่ารักจะตายไป”

“เราไม่คุยกับเจ้าแล้ว เอาล่ะถึงอโนดาตพอดี ลงกันเหอะ” พระพักตร์กระจ่างใสสะบัดออกพลัน พระโอษฐ์รูปกระจับสีแดงระเรื่อๆ แอบแย้มยิ้ม ตรัสพึมพำในพระทัย ‘ไอ้ลูกไฟบ้า’

อัสดงเองก็ยิ้มน้อยๆเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มอายม้วน ปกติแล้วเขาเองเป็นคนพูดน้อยพูดสั้นๆ แต่ทำไมพอมาเจอไอ้ดื้อนี่ คำพูดต่างๆมันพรั่งพรูออกมาเองได้ยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างเขาก็ไม่เคยพูดอย่างนี้กับใคร ฤาประโยคหวานๆเหล่านั้น มันพุ่งตรงออกจากหัวใจไม่ผ่านสมอง มั่นใจว่ายังคงมีอีกหลายประโยคที่คิดแต่ยังไม่ได้พูดออกไป หากไอ้ดื้อเอาหูมาแนบกับอกเขาก็คงจะรู้เองจากเสียงหัวใจที่เต้นระรัว

พระเนตรฟ้าครามยังคงหลบสายตาของอัสดงอยู่อย่างนั้นอีกสักพัก  จวบจนดัชนีเรียวงามชี้ลงไปยังเบื้องล่างยามทอดพระเนตรเห็นสระน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ม้าอุจไฉยศรพมิต้องรอคำสั่งจากนายของมันแล้วเพราะบัดนี้เริ่มพุ่งลงจากอากาศลงมายืนอยู่บนพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมขอบอโนดาต อัสดงที่หน้ายังเจือไปด้วยรอยยิ้มกระโดดลงมาเป็นคนแรก แล้วยื่นมือไปให้สีทันดรจับเพื่อที่จะลงมาได้อย่างสะดวก

“ขอบใจนะ สุริยาทิตย์” ในเมื่อเขาทำดี ตรัสดีๆกับเขาด้วยจะเป็นไร  “เดี๋ยวเราเดินกันไปทางนู้นเถอะ เราจะไปหาสหายเราด้วย เดาว่าคงอยู่แถวๆนั้น เราจำเป็นต้องหากำลังเสริมมาช่วยตอนไปเอาอัคคีสัตตบงกช”

“ทำไมต้องหากำลังเสริม ...ลำพังเรากับเจ้า แค่สองคน ไม่พอหรือไง” ใบหน้าแย้มยิ้มของอัสดงแปรเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วยุ่ง ถามมาทันใด

“ก็เพราะดอกบัวเพลิงนั่น มีคนเฝ้าไว้น่ะสิ ใช่ว่าจะถอนกันมาง่ายๆ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย รีบไปกันเถอะ”

“อุจไฉยศรพเจ้ากลับไปได้แล้ว เสร็จธุระเราจะเรียกเจ้ามาอีกที” อัสดงบทจะว่าง่ายก็ว่าง่าย ยอมตามที่เจ้านาคน้อยพูดทุกอย่าง

เจ้าม้าแสนรู้พอได้ยินคำสั่งก็โบยบินจากไป สีทันดรไม่รอช้ารีบเดินนำหน้า อัสดงก็รีบเดินตามจนขึ้นมาเดินเคียงคู่ เพื่อจะไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ เดินไปก็มองรอบๆไป ยอมรับอีกครั้งว่า ป่านี้สวยจริงๆ อโนดาตก็น่าลงไปแหวกว่ายนัก นี่ถ้าไม่ติดเรื่องช่วยสหาย คงจะเป็นการเดินทางที่มีความสุขที่สุด แต่ถึงจะมาช่วยสหาย ก็หาใช่ว่าจะหาความสุขเล็กๆไม่ได้ซะเมื่อไหร่กัน ฉะนี้แล้วมือหนาๆที่เคยจับแต่ศาสตราวุธจึงคว้าเอามือเล็กกว่ามากุมไว้พลัน พร้อมเหตุผลสั้นๆ ที่ ‘หลง’ เข้าไปแล้ว แต่ดันกลับพึ่งมากลัว

“เรากลัวหลง”

สีทันดรตอนแรกก็ตั้งใจจะสะบัดออก แต่พอโดนจับกระชับแน่นขึ้น สัมผัสที่อ่อนโยนจากมือแข็งแรงนั้น มันทำให้สะบัดหลุดไม่ลง ‘หลง’ ตอบ ‘อนุญาต’ ด้วยพระพักตร์ซ่อนยิ้ม ยอมเดินเคียงคู่กันกับเขาไปอย่างนั้น ท่ามกลางดอกไม้ป่าริมขอบสระที่กำลังขยายกลีบเบ่งบานยามดำเนินผ่าน สอดประสานด้วยบางดอกที่เหี่ยวเฉาอันกลับฟื้นคืนสดใส ดุจได้ไอรักจากใครบางคน ทำให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“เจ้าจะเงียบอยู่อย่างนี้อีกนานไหมสีทันดร” คำว่าไอ้ดื้อเลือนรางจางหายโดยพลัน พระนามสีทันดรถูกกล่าวมาได้อย่างอ่อนหวานยิ่งนัก

“ถ้าเจ้าไม่พอใจ เจ้าจะปล่อยมือก็ได้นะ”

“แล้วเจ้าจะให้เราพูดอะไรล่ะ ...ก็เราไม่มีอะไรจะพูดนี่” สุรเสียงที่เคยใส ขับออกมาได้งุบๆงิบๆ

“คุยอะไรมาก็ได้ อยู่ด้วยกันสองคนแล้ว เจ้าอยากคุยอะไรก็คุย เดินกันเงียบๆ เราเหงา” อัสดงยามนี้คงมิต่างอะไรกับหนุ่มน้อยทั่วๆไป ที่กำลังปล่อยให้เลือดหนุ่มตามธรรมชาติ วิ่งปราดไปทั่วร่าง ภาระที่แบกมาคล้ายจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังชั่วขณะ ยามหาเรื่องอะไรก็ได้มาชวนคุย

“งั้นเล่าเรื่องสระอโนดาตให้ฟังหน่อยสิ เราชักจะลืมๆไปแล้ว”

“ได้สิ จริงๆแล้วที่หิมพานต์เนี่ย ยังมีสระอีกหลายสระ แต่ที่อโนดาตจะเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดเพราะอยู่ใจกลางหิมพานต์ น้ำจะไม่มีวันเหือดแห้งตราบจนไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญสามโลกนั่นแหละ” แล้วคนที่ไม่รู้จะพูดอะไร ก็เริ่มเปิดปากได้เป็นธรรมชาติ


“ที่อโนดาตนี้ ใช่ว่าใครอยากจะลงไปแช่ตรงไหนก็ได้นะ เราต้องไปยังท่าน้ำที่จัดเอาไว้ซึ่งจะแบ่งเป็นสี่ท่า ได้แก่ท่าสำหรับเทวบุตรคือท่าสิงห์หรือสีหมุข ท่าเทพธิดาจะเป็นท่าช้างหัตถีมุข ท่าที่สามจะเป็นท่าสำหรับพระปัจเจกโพธิคืออัสมุขเรียกง่ายๆว่าท่าม้า ส่วนท่าสุดท้ายจะเป็นท่าวัวอุสภมุขสำหรับคนธรรพ์วิทยาธรและพวกฤาษี”

เจ้านาคาน้อยเริ่มกล้าหันไปมองคนตัวสูงกว่าก็เห็นเขาตั้งใจฟังตาแป๋ว จึงเล่าต่อ “น้ำในสระจะไหลวนเวียนไปเรื่อย แถมยังถูกส่งออกไปยังดินแดนต่างๆออกปากสัตว์มงคลตามทิศทั้งสี่ ก็พวกสัตว์ตามชื่อท่านั่นแหละ ทิศตะวันออกปากสิงห์ ทิศเหนือปากช้าง ทิศตะวันตกปากม้า และทิศใต้จะผ่านปากวัว อันเป็นดินแดนมนุษย์”

“เจ้าเก่งจังสีทันดร ทำไมเจ้าถึงรู้ล่ะ”

“ก็บอกแล้วไงเราเที่ยวเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก”

“เด็กๆ เจ้าคงซนน่าดูเลยสินะ” คนตัวสูงกว่าถามยิ้มๆ รู้ตัวดีว่าถึงแม้จะจับมือ หัวใจก็หลงไปตามมือจับแล้ว

“ก็นิดหน่อยแหละแล้วเจ้าล่ะ ตอนอยู่กับพระคุณเจ้าเป็นไงบ้าง”

“ก็อย่างที่เจ้าเห็นในฝัน...งอแงช่วงแรกๆ หลังจากนั้นก็ฝึกวิชาศาสตราวุธ ฝึกอาคม  ไม่สุขสบายเหมือนเจ้าหรอก” น้ำเสียงกังวานสั่นพร่าเล็กน้อยยามกล่าวถึงอดีต สีทันดรได้ฟังก็เห็นใจ

“เราไม่ควรถาม เราขอโทษ”

“ช่างเถอะ เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าพูดจาดีๆแบบนี้ เจ้าน่ารักขึ้นเป็นกองเลย” อัสดงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“ก็เจ้านั่นแหละกวนอารมณ์ทำให้เราโมโหก่อนแถมยังชอบทำเจ้าชู้กับเรา”

“ก็เจ้าอยากดื้อทำไม”

“เราไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เอาล่ะถึงพอดี นี่แหละคือท่าของเทวบุตรอย่างที่เราบอก เราเดินเข้าไปกันเถอะ สหายเราต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ แล้วก็ปล่อยมือเราก่อน เดี๋ยวใครๆเห็น”

เจ้านาคน้อยตัดบทเมื่อถึงที่หมาย อัสดงจำใจต้องปล่อยมือน้อยๆนั้นตามคำขอ แต่ก็ไม่วายเดินเคียงคู่เข้าไปยังท่าสิงหมุขที่ขณะนี้คราคร่ำไปด้วยเทพน้อยใหญ่ บ้างก็ยืนคุยกัน บ้างก็แหวกว่ายในสระอโนดาต รัศมีสว่างไสวของเทพเหล่านั้น ดูรวมๆกันแล้วแสบตาไปหมด

แล้วทั้งสองก็มองไปยังตรงปลายท่าด้านหนึ่ง เทวบุตรกลุ่มใหญ่ ยืนล้อมวงกันอยู่ส่งเสียงเฮลั่นสนั่นป่า ดุจเชียร์หรือดูกีฬาอะไรสักอย่าง สีทันดรจึงเดินนำเข้าไปทำให้เทวบุตรที่ยืนออกันอยู่นั้นแหวกออกแตกเป็นช่อง แล้วยกมือหว่างอกเป็นการบังคมด้วยเพราะศักดิ์ที่ด้อยกว่า

“พระราชนัดดาสีทันดร”

“ตามสบายเถอะ....เรามาหานล นลอยู่ไหม”

“อยู่กลางน้ำโน่นแน่ะพะย่ะค่ะ กำลังแข่งเรืออยู่”

หนึ่งในเทวบุตรกล่าวตอบมา ละแล้วเสียงโห่ร้องอย่างดีใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่ง พาเรือลำน้อยเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า นุ่งแต่เพียงกางเกงขาสามส่วน เผยให้เห็นความงามในเรือนร่างกำยำอันดูแล้วชวนมองยิ่งนัก ยิ่งพิศดูใบหน้านั้น ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็จัดว่าหน้าตาดีทีเดียว แต่ครั้นพอแย้มยิ้มออกมา เขี้ยวแก้วใสจึงปรากฏ สามารถจำแนกออกได้ว่า ไม่ใช่เทวบุตรทั่วไป แต่เป็น ‘เทวอสุรา’ หรือ เจ้าแห่งยักษ์นั่นเอง

“นล....”

สีทันดรที่ยืนดูอยู่ตะโกนก้อง ทำให้คนมีเขี้ยวหันขวับมาทันใด ใบหน้าแย้มยิ้มแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด เขี้ยวแก้วใสส่องประกายวิบวับ แล้วคนที่ถูกเรียกว่านลก็กระโจนขึ้นจากน้ำลอยลงมายืนตรงหน้าสีทันดรโดยพลัน พอเท้าแตะพื้นเท่านั้น วรองค์ของนาคาน้อยก็ถูกดึงมากอดไว้แนบแน่น

“สีทันดร .... คิดถึงจังเลย ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นไงบ้าง”

“สบายดี นลล่ะเป็นยังไง โตขึ้นเป็นกองเลย เป็นหนุ่มแล้วนะ”

อัสดงชักสีหน้าไม่พอใจมาทันทีที่เห็นไอ้ยักษ์เขี้ยวแก้วนี่ กอดสีทันดรไว้แน่น แถมไอ้คนถูกกอดก็ดันมิขัดขืน  เหอะทีเขากอดนิดกอดหน่อยทำมาเป็นสะดิ้ง ไอ้ยักษ์นี่มันเป็นใครกัน ส่วนเจ้ายักษ์นลเห็นอัสดงยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านข้าง ก็ถามสีทันดรโดยพลัน

“ใครน่ะเจ้าพาใครมาด้วยสีทันดร แฟนเหรอ”

“แฟนคืออะไร”

“แฟนก็คือคนรักไง เจ้านี่ไม่รู้อะไรซะเลย เสียแรงไปเที่ยวโลกมนุษย์ออกบ่อยๆ ภาษามนุษย์แค่นี้ เจ้าก็ไม่รู้จัก”

“ไม่ใช่สักหน่อย นลบ้าคิดอะไรก็ไม่รู้ เขาชื่ออัสดง อณูแห่งพระสุริยาทิตย์” สีทันดรทรงรีบแก้ต่าง มองนลที่กำลังยื่นมอมาทักทายอัสดง

“ยินดีที่ได้รู้จัก เราชื่อนลกุพร โอรสแห่งท้าวเวสสุวัณหนึ่งในจตุมหาราชทั้งสี่”

อัสดงเองก็ยื่นมือมาทักทายตอบแต่บีบมือนั้นแรงเสียยิ่งนัก นึกในใจว่า มันอะไรกันนักหนา ไหนจะไอ้พระจันทร์แล้วยังมียักษ์นลนี่โผล่หัวมาอีกตน ...ศัตรูหัวใจทั้งนั้น นลกุพรเองก็รู้สึงได้ถึงแรงบีบมือที่ผิดธรรมดาก็บีบตอบโดยแรงไม่แพ้กัน มิรู้ว่ามันโมโหใครมาจากไหน หรือว่ามันจะเป็นแฟนสีทันดรอย่างที่คิด คงเห็นกอดกันสงสัยจะหึง   

ร่างกายสูงสง่าของเด็กหนุ่มทั้งคู่ยังคงยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น ความสูงและความแข็งแรงพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ให้มองในด้านความหล่อเหลาและทำให้หัวใจอ่อนระทวยยามพบเห็นนั้น  อณูแห่งพระสุริยาทิตย์คงกินขาด

“นล....นลคงรู้อะไรมาบ้างจากพ่อนลแล้วใช่ไหม ว่าพระสุริยาทิตย์อวตารลงมาทำไม”

“ก็พอรู้มาบ้างแหละสีทันดร ....ตอนนี้พ่อเราเองก็เตรียมกำลังไว้คอยหนุนได้ทุกเมื่อ รอเทวราชโองการจากพระมหาศิวะเท่านั้น ตอนนี้พวกมารเหิมเกริมนัก แถมยักษ์บางกลุ่มยังไม่ยอมอยู่ในบัญชาของพ่อเราอีกแล้ว ไปเข้ากับพวกมารหมด ก็ไอ้พวกที่ยังจงรักภักดีกับพญาพลีนั่นแหละ”

“อ้าวพญาพลี ไม่ได้ถูกมหาวิษณุจองจำอยู่หรอกเหรอ” สีทันดรถามขึ้น สุรเสียงสูง

“หน่วยข่าวว่าหนีออกมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ไหน ...แถมยังมีข่าวลือว่าพญาปรนิมมิตวัตสวัตตีหนุนหลังอยู่ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เทวะเจอศึกหนักแน่ๆ” ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มของนลกุพร บัดนี้ส่อแววกลัดกลุ้มยามเอ่ยถึงเรื่องศึก

“ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง พวกเราคงเลี่ยงสงครามไม่ได้แน่ ตอนนี้ปู่กับพ่อก็รวมกองกำลังนาคาไว้เหมือนกัน เผื่อจะได้ช่วยยามฉุกเฉิน เห็นทีพวกเราคงต้องฝากความหวังไว้กับเขาแล้วล่ะ” สีทันดรกล่าวกับนลกุพรแล้วบุ้ยปากไปทางอัสดงที่กำลังยืนฟังซึ่งยังทำหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

“อย่ามาฝากความหวังไว้กับเรามากเลย เตรียมพึ่งตัวเองกันเหอะ....เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มตรงไหน ราชโองการแรกกล่าวไว้แค่ว่า เราต้องรวมกลุ่มให้ครบแปด ตอนนี้เรารวมได้แค่สามเอง” น้ำเสียงที่เมื่อสักครู่อ่อนหวาน ขณะนี้แข็งกระด้างเสียยิ่งนัก 

นลกุพรมีฤาจะจับนัยจากสำเนียงเสียงนั้นมิได้ สงสัยจะหึงไม่เลิก ยิ่งหึงก็ต้องยิ่งแกล้ง  นลกุพรคิดได้ดังนั้นจึงกอดสีทันดรมาอีกครั้งแถมยังลูบไล้มุ่นเกศาดำขลับ รอดูอีกฝ่ายที่คงจะกระอักเลือดในมิช้า

“เราเชื่อใจว่าท่านทำได้สุริยาทิตย์ ว่าแต่สีทันดรจ๋า นลได้ข่าวมาว่า เจ้าโดนปู่เจ้าลงโทษลง เจ้าคงลำบากแย่เลยนะ ที่ต้องไปอยู่เมืองมนุษย์”

“โหยยย ข่าวเร็วจริง .....ปู่เราก็ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”

“ถ้าเจ้าลำบากนัก เจ้าจะกลับบาดาลไปก็ได้นะไอ้ดื้อ  เราต้องการความเต็มใจ หากเจ้าไม่อยากอยู่หรือเจ้ารู้สึกว่าโดนบังคับเชิญกลับไปได้เลย”

“ก็อยากกลับเหมือนกันแหละ แต่ตอนนี้ต้องช่วยเพื่อนเจ้าก่อน” สีทันดรสวนกลับ งุนงงกลับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนของอีกฝ่าย หากก็ยังมิอยากทอดความสนพระทัย จึงหันกลับไปคุยกับสหายแทน เข้าเรื่องตามจุดประสงค์ที่ต้องการ

“นล....ที่เรามาเนี่ย เรามีเรื่องอยากให้นลช่วย พอดีพระพุธที่อวตารลงมา พลาดท่าถูกพิษจากสายฟ้าของรามสูร เราจำเป็นต้องใช้อัคคีสัตตบงกช นลจะช่วยเราได้ไหม”

“ได้น่ะมันได้ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะสีทันดร พวกวิทยาธรที่เฝ้าไว้น่ะ ร้ายไม่ใช่เล่น”

“เราถึงอยากให้นลช่วยไงนะๆ  ถ้านลช่วย เดี๋ยวเราติดต่อมุจลินทร์ให้”

นลกุพรยืนนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ข้อเสนอที่สีทันดรเสนอมาน่าสนใจ ด้วย “มุจลินทร์” คือเทวนาคีที่ทรงสิริโฉม และตนก็หมายปองอยู่นาน หากได้สีทันดรช่วยเป็นพ่อสื่อให้ คาดว่าหนทางคงสะดวก ข้อเสนอของสีทันดรนี้ มันยากปฏิเสธ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2019 18:02:02 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“เจ้าพูดจริงๆ นะ ....งั้นก็ได้ เราตกลง”

“ไชโย นลน่ารักที่สุดเลย”

สีทันดรดีพระทัยถึงขนาดกอดยักษ์นลแน่น ส่วนอัสดงที่ยืนฟังอยู่ก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว เพราะ เท่าที่ฟัง เหมือนสีทันดรจะติดต่อใครให้ไอ้ยักษ์นี่ แสดงว่าไอ้ยักษ์นลคงเป็นแค่เพื่อนสนิท มิใช่ศัตรูหัวใจอย่างที่คาดคิด ....อัสดงรีบปรับสีหน้าให้เป็นมิตรขึ้นมาทันที

“เอาล่ะ บอกนลมาจะให้นลช่วยยังไง”

“นลไม่ต้องทำอะไรมาก แค่หาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจและถ่วงเวลาจากพวกวิยาธรพวกนั้นเป็นพอ แล้วเรากับอัสดงจะเข้าไปเอาดอกบัวเอง”

“เจ้าพูดเหมือนกับว่าจะเข้าไปเอามาได้ง่ายๆแหละ คิดดีๆนะสีทันดร เราไปขอเขาดีๆไม่ดีกว่าหรือ บอกเขาว่ามีคนเจ็บเขาก็คงให้ ก่อเรื่องขึ้นมามันจะไม่ดีนะ ” นลกุพรทรงเตือน

“แล้วถ้าเราไปขอดีๆ ใครเขาจะให้ เพราะอัคคีสัตตบงกช ห้าร้อยปีกว่าจะผลุดมาสักดอก ไม่มีอะไรมากหรอกน่านล ปอดแหกไปได้ หากเป็นเรื่องขึ้นมา เรารับผิดชอบเอง”

“เจ้ามันก็อย่างนี้ทุกทีแหละสีทันดร คราวที่แล้วมาหลอกให้เราไปแหย่พุงปลาอานนท์ จนไอ้ปลาเวรนั่นสะบัดตัว เรานะ โดนหางมันฟาดไปเต็มๆ กระเด็นไปติดเขาพระสุเมรุแน่ะ เจ้ารู้ไหมคราวนั้นน่ะ เกิดโกลาหลที่โลกมนุษย์เลย แผ่นดินไหวไปทั่ว พระมหาวิษณุกริ้วมาก พ่อเรากริ้วจนเกือบจะฆ่าเราแน่ะ ส่วนเจ้าก็บอกอย่างนี้แหละ บอกว่าจะรับผิดชอบ พอเป็นเรื่องขึ้นมาก็หายหัวไปหลบหลังพระมหาเทวี ออกมารับเสียที่ไหน เราเลยซวยคนเดียว” นลกุพรทรงตัดพ้อขึ้นมา พระพักตร์คมคายเง้างอยามนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น นึกทีไรก็เจ็บพระทัยทุกที

“โธ่ นล เรื่องมันก็แล้วไปแล้วน่า นึกถึงมุจลินทร์ไว้สิ สองสามวันก่อน ยังบ่นหาถึงนลอยู่เลยนะ” สีทันดรพยายามใช้ลูกอ้อน โกหกนิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นอะไรหรอก

“เจ้าพูดจริงเหรอมุจลินทร์คิดถึงนล”

“ก็จริงสิ เราเคยโกหกนลเหรอ” พระเนตรฟ้าครามใสแป๋ว เปล่งประกายวิบวับ “เราไม่เคยโกหกเจ้าครั้งเดียว จริงๆนะ”

“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าไม่เคยโกหกเราครั้งเดียว”

“เอ่อออ เราพูดผิดน่ะ เราจะพูดว่า เราไม่เคยโกหกเจ้าสักครั้งเดียว”

“ไม่จริงหรอก ตลอดแหละ เจ้าน่ะ ...ท่านเองก็ต้องระวังตัวนะท่านสุริยาทิตย์ เห็นสีทันดรมันอย่างนี้ มันร้ายจะตาย”

“เรียกเราว่าอัสดงดีกว่า เรารู้แล้วว่าร้ายแค่ไหน แล้วเราก็รู้วิธีกำราบเด็กดื้อเด็กซนแล้วด้วย” อัสดงตอบนลกุพรมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรแล้วหลังจากที่รู้ว่า นลไม่ใช่เสี้ยนหนาม

“ได้สิอัสดง แล้วเจ้าปราบสีทันดรยังไง” นลกุพรแย้มยิ้มตอบ ถามกลับด้วยความอยากรู้รวดเร็ว

“ก็แค่เอาปาก....”

“หยุดนะ ไอ้ไฟบ้า ถ้าเจ้าพูดขึ้นมาเราโกรธเจ้าจริงๆด้วย”

สีทันดรตวาดแว้ดมาทันที เพราะรู้ว่าอัสดงจะพูดอะไร คนอะไรทำในที่ลับแล้วจะมาไขในที่แจ้ง  พูดไปก็มีแต่จะเสียหาย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทั้งโดนกอดโดนจูบคง งามหน้านัก นลกุพร ได้ฟังครึ่งๆกลางๆ ก็พอเดาออกว่าอัสดงปราบยังไง

“ เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด รีบไปเอาดอกบัวเพลิงนั้นเถอะ ยืนคุยกันอยู่ได้เราเสียเวลามากแล้ว เราจะไปเริ่มที่ไหนกันดี”

“ไม่ต้องเริ่มที่ไหนหรอก อยู่ที่นี่แหละ อยู่ใจกลางอโนดาตนี่เอง แต่มันก็ไกลหลายโยชน์อยู่”

“แล้วเราจะบุกเข้าไปซึ่งๆหน้าอย่างนี้น่ะเหรอ เราว่าลอบเข้าไปเอาไม่ดีกว่าหรือไง” อัสดงเสนอ

“ลอบไปเอากับบุกเข้าไป ยังไงซะพวกเราก็เลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกวิทยาธรไม่ได้อยู่ดี บุกไปแบบนี้ดีแล้ว นลจะรับหน้าด่านแรกกันพวกวิทยาธรส่วนหนึ่งไว้ ส่วนเราจะคอยช่วยเจ้ายามไปเอาดอกบัว”

“แล้วเราจะไปกันยังไง ลอยไป หรือต้องว่ายน้ำไป” อัสดงถามด้วยความที่ยังไม่กระจ่างในแผนการ

“เจ้านี่มันเขลาจัง จะว่ายน้ำไปหรือเหาะไปทำไมให้เหนื่อย เรามีวิธี ....ว่าแต่ เจ้าเอาสร้อยของเราที่เจ้าเก็บไว้คืนให้เรามาก่อน เร็วสิ”

“ได้สิ อ่ะ เอาไป”

อัสดงคลายมนต์บังตาแล้วถอดสร้อยนาคาที่สวมไว้คืนไปให้เจ้าของตามที่ขอทันที อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้านาคดื้อนี่จะทำอะไร ส่วนสีทันดร พอได้สร้อยคืนก็หลับตาแน่นิ่งบริกรรมพระคาถา พอแบพระหัตถ์ออกมาสร้อยนาคาก็ลอยละลิ่วลงสระอโนดาต กลายเป็นนาคยักษ์ใหญ่ เทวดาที่เล่นน้ำอยู่ในละแวกนั้น รีบเหาะขึ้นจากน้ำทันใด แล้วแตกตื่นแยกย้ายหายไปหมดสิ้น อัสดงจ้องมองอย่างตาค้าง จำได้ว่านี่มันนาคตัวที่เขาสังหารไปเมื่อคืนก่อน แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำได้ว่าเผาวอดไปแล้วหรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวพันกัน

“นี่มันนาคตัวที่เราสังหารไปเมื่อสองวันก่อนนี่นา มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไอ้ดื้อ”

“โอ๊ยยย ตัวเดียวกันที่ไหน คนละตัวกัน แต่สร้างมาจากอาคมบทเดียวกัน อุ๊ย...” ไอ้ดื้อจะปิดปากก็ไม่ทันซะแล้ว เรื่องที่แกล้งเขาไว้มันหลุดมาทั้งยวง

“นี่เจ้า....เจ้าเองใช่ไหมที่ส่งนาคตัวนั้นไปทำร้ายเรา เจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”

อัสดงปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ทันที ที่แท้นาคตัวนั้นก็มาจากไอ้ดื้อเอง มันน่านัก ว่าแล้วอัสดงก็จับข้อพระกรแน่น แล้วดึงเข้ามาหวังจะลงโทษอย่างที่เคยทำ สีทันดรได้แต่ร้องลั่นให้นลกุพรช่วย นลได้แต่ยืนนิ่งอมยิ้มดูสหายก่อนจะช่วยห้ามทัพ

 “ เอาล่ะ พอก่อนอัสดง เดี๋ยวเจ้าสองคนค่อยมาทะเลาะกันต่อรีบไปกันเหอะ”

อัสดงได้แต่เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยอมยุติ ส่วนไอ้ดื้อพอหลุดออกมาได้ ก็รีบไปหลบหลังยักษ์นล “ทำบ้าอะไรของเจ้า ผีเข้าหรือไง แกล้งนิดแกล้งหน่อยทำมาเป็นโมโห ...แล้วก็มัวยืนทื่ออยู่นั่นแหละ รีบขึ้นไปหลังนาคสิ จะได้รีบไปกัน”

สิ้นพระสุรเสียง อัสดงก็ขึ้นไปบนหลังพญานาคตัวใหญ่ ตามด้วยนลกุ....สีทันดรนั้นเห็นว่าขึ้นไปกันเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้นาคตัวนั้นแหวกว่ายไปกลางน้ำ แล้วตนเองก็จำแลงกายกลายเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัสแหวกว่ายเคียงคู่สู่จุดหมายแห่งดอกบัวเพลิง

นาคาตัวใหญ่แหวกว่ายจนมาถึงกลางน้ำ เริ่มลดเลี้ยวผ่านชั้นดอกบัวกอใหญ่ยักษ์ ที่ขยายกลีบเบ่งบานรับแสงตะวันอันตระการตายิ่ง แต่สายตาของอัสดงมิได้จับจ้องเหลียวแล เพราะตนเองนั้นกำลังมอง นาคาสีขาวเจิดจรัส ที่ว่ายน้ำเคียงคู่นั้นต่างหาก ลำตัวช่างขาวพิศุทธิ์ หงอนสีทองสุกใส ช่างงามจับใจ

‘เราอยากเปลี่ยนไปขี่หลังเจ้าจัง สีทันดร’

อัสดงเขินตัวเองเหมือนกันที่อดคิดอย่างนั้นมิได้จริงๆ จู่ๆ สายลมอ่อนๆ พาพัดเอากลิ่นหอมหวลของดอกบัวมากระทบปลายจมูก กลิ่นดอกบัวนั้นหอมเสียยิ่งนัก ยามสูดดมสร้างความเคลิบเคลิ้มเป็นที่ยิ่ง ประสาทสัมผัสทั้งมวลเริ่มถูกครอบงำด้วยกลิ่นหอมตลบ ม่านตาหนาหนักเริ่มจะปิดลงให้จงได้เรี่ยวแรงหดหายพลัน นลกุพรเองก็ตกอยู่ในมนต์สะกดของกลิ่นหอมเช่นกัน สีทันดรที่อยู่ในร่างนาคาเห็นท่าไม่ดี จึงสะบัดหางกระแทกน้ำเสียงดังสนั่นเพื่อดึงทั้งสองกลับสู่ภาวะปกติ สุรเสียงใสส่งเข้าทางจิตของอัสดงกับนลกุพรพลัน

“กลิ่นดอกบัวพวกนี้อันตรายนัก มันจะทำให้เจ้าสองคนหมดสติ ตั้งจิตไว้ให้มั่น นึกถึงพระมหาเทพ แล้วปิดจมูกเสีย”

ทั้งสองรีบทำตามคำสั่งของสีทันดร ปิดจมูกแน่นตั้งจิตแน่วแน่ถึงพระมหาศิวะกับพระมหาวิษณุ กลิ่นหอมนั้นเหมือนจะรู้ว่าคนทั้งสองพยายามปิดนาสิก ก็เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อัสดงแทบทนไม่ไหว กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ว่า

“เผามันเลยดีไหม นล”

“อย่าเผา เดี๋ยวควันไฟจะเป็นที่สังเกตได้ ทนอีกนิด เราจะพ้นกอบัวนี้แล้ว” ทั้งสองอดทนกลั้นใจอยู่อีกสักพักจนปวดหัวตื้อไปหมดพอเลยผ่านกอดดอกบัวนั้นมาได้ อากาศสดใสก็ถูดสูดเข้าเต็มปอดอีกครา

“โล่งงงง เห็นกลิ่นหอมอย่างนี้ ทำไมพิษสงร้ายนัก”

“เราก็ลืมเตือนเจ้าไปอัสดงว่ากอบัวกอนี้มันอันตราย เราก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน ใครที่หลงเข้ามาในกอบัวนี้ หากสูดดมกลิ่นเข้าไปมากๆ จะทำให้หมดสติลงไปนอนนิทราแอ้งแม้งอยู่ใต้น้ำ โชคดีนะเนี่ยสีทันดรยังมีสติอยู่ ....แต่ตอนนี้เตรียมตัวให้พร้อมเหอะ  เราจะเข้าเขตอัคคีสัตตบงกชแล้ว”

สิ้นคำของนลกุพร พื้นน้ำใสกระจ่างก็ปรากฏควันสีขาวพวยพุ่ง น้ำที่เคยใสเย็นกลับเดือดปุดๆอยู่ทั่ว อัสดงลองเอานิ้วจิ้มลงไปก็ต้องรีบชักมือกลับ นี่มันน้ำเดือดชัดๆ อานุภาพความร้อนแรงของดอกบัวเพลิงนี่มันขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำร้อนขนาดนี้แล้วไอ้ดื้อที่ว่ายน้ำอยู่จะเป็นยังไงบ้างชักเป็นห่วงแล้วสิ อัสดงรีบมองหาสีทันดรในร่างนาคด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ต้องใจเสียเพราะสีทันดรหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“มองหาอะไรอัสดง”

“ก็มองหาไอ้นาคดื้อน่ะสิ ไปไหนแล้ว น้ำร้อนขนาดนี้ไม่สุกไปหมดแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก เขาเป็นเทวนาคา เอาตัวรอดได้น่า ตอนนี้ห่วงเราสองคนกันเหอะ โน่นเจ้าถิ่นมาโน่นแล้ว”

นลกุพรชี้ไปยังแสงสว่างวิบๆ หลายๆดวงที่ลอยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พอถึงระยะสายตาจับภาพชัดก็พบว่า ในแสงนั่นคือบุรุษตัวใหญ่กำยำ แต่งตัวเหมือนพวกเทวดาที่เคยเห็นตามผนังโบสถ์ ในมือถืออาวุธครบครัน ชายเหล่านั้นถามขึ้นด้วยเสียงแข็งกร้าวทันใดว่า

“พวกเจ้าเป็นใคร ...เข้ามาที่ได้อย่างไร บริเวณนี้เป็นเขตหวงห้าม”

“เราหลงทางมา น่ะพี่ชาย พอดีว่ายน้ำเล่นอยู่ตรงริมอโนดาต แข่งกับเพื่อนช่วยกันจับนาค พอจับได้ก็เลยขึ้นขี่ไกลมาถึงนี่” นลกุพรกล่าวสวนกลับไป แล้วแอบสะกิดเตือนอัสดงให้เตรียมพร้อม

“โกหก ...เราเห็นตั้งแต่พวกเจ้าผ่านกอบัวมาแล้ว บอกเรามาตรงๆ ว่าจุดประสงค์ของพวกเจ้าคือสิ่งใด”

“ก็บอกแล้วไง ว่าหลงทางมา หูหนวกหรือไงพี่ชาย” นลกุพรเริ่มยวน

“ไอ้ยักษ์เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่ามาสามหาว ...ไสหัวกลับไปกินนมแม่เจ้าซะ”

“อ้าวววววว เล่นถึงแม่เลยเหรอ อย่างนี้ก็สวยสิ เห็นทีจะได้กระทืบปากผู้ใหญ่ก็คราวนี้แหละ”

ว่าแล้วนลกุพรก็สำแดงเดช กระโดดลงจากหลังนาคยักษ์ ลอยลงมายืนประจันหน้ากับพวกวิทยาธรกลุ่มใหญ่ แล้วกระทืบเท้าลงไปบนผืนน้ำนั้น ด้วยแรงมหาศาลของเจ้าแห่งยักษ์ ทำให้เกิดระลอกคลื่นสั่นไหวไปทั่ว บรรดาร่างของวิทยาธรทั้งหลาย ทรงกายไว้ไม่อยู่ล้มระเนระนาด นลกุพรไม่หยุดอยู่แค่นั้น เป่าลมออกจากโอษฐ์ก่อพายุลูกใหญ่ พัดพาร่างของพวกวิทยาธรกระเด็นไปไกล พวกที่จัดว่ามีฤทธิ์เยอะหน่อย รีบใช้อาคมต้านแรงพายุนั้นไว้ แล้วสาดอาวุธเข้ามายังร่างของนลกุพร

นลกุพรใช้ฝ่ามือยกขึ้นกลางอากาศห้ามอาวุธที่สาดซัดเข้ามานั้นด้วยม่านอาคม พอสะบัดมืออีกที อาวุธนั้นก็ลอยละลิ่วกลับคืนไปยังเจ้าของ พวกที่หลบได้ก็โชคดี แต่พวกที่หลบไม่ได้ก็ถูกอาวุธของตนซัดกลับเข้ามาทำร้าย บาดเจ็บแดดิ้น แสงสว่างวาบหลายดวงเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วกลายเป็นวิทยาธรอีกกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเสริมกำลัง อัสดงรีบหงายฝ่ามือขึ้นพลัน ดึงจักรเพลิงออกมาใช้ แล้วเหวี่ยงซัดไปทางวิทยาธรกลุ่มนั้น ก่อเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทดังลั่น เปลวเพลิงสุริยเทพโหมกระหน่ำลุกโชนเผาไหม้ร่างกายของบรรดาวิทยาธร จนมอดไหม้กลายเป็นธุลี แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำลายมากเท่าไร วิทยาธรก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น

“อัสดงอย่าชักช้า รีบไปเอาดอกบัวเพลิงซะ ทางนี้เราจัดการเอง ไม่ต้องห่วง”

“ไหวเหรอนล ....พวกนั้นมาสมทบกันอีกแล้วนะ แล้วเจ้าคนเดียวไหวแน่เหรอ” อัสดงกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เขามิใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะเอาตัวรอด

“ไปเถอะ สบายมากแค่นี้เอง เยอะกว่านี้ก็เคยมาแล้ว ไปสิเร็วเข้า เจ้าเห็นแสงสว่างลิบๆนั่นไหม นั่นแหละ ดอกบัวเพลิงอยู่ข้างหน้านั่น”

นลกุพรกล่าวสำทับมาอีกครั้ง อัสดงจึงต้องจำใจผละจากนล แล้วลอยขึ้นฟ้ามุ่งไปยังด้านหน้า ตามที่นลกุพรชี้บอกทางให้ แสงสว่างลิบๆ แต่ไอร้อนรุนแรงมาถึงนี่ ไม่ผิดแน่ อัสดงหันลงไปมองด้านล่างอีกครั้ง ก็เห็นนลกุพรกำลังจัดการกับพวกวิทยาธรอย่างมันมือ ส่วนวิทยาธรหลายตน เห็นอัสดงลอยขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังสิ่งที่ตนหวงแหนก็ไม่รอช้ารีบลอยตามมาประกบทันที เสียงห้าวกังวานตะโกนก้อง   

“มีผู้บุกรุก จับตัวไว้ เด็กสองคนนี่ จะมาชิงอัคคีสัตตบงกช จัดการอย่าให้หลุดรอดไปได้”

วิทยาธรที่ลอยตามมาด้านหลังต่างขยับอาวุธในมือพุ่งซัดใส่อัสดงที่ลอยอยู่ด้านหน้า แต่ก่อนที่อาวุธเหล่านั้นจะถึงตัวเด็กหนุ่ม แส้เพลิงอันร้อนแรงก็ฟาดฟันมาพร้อมๆกับกับรัศมีเขียวเจือทองสว่างวาบกลางท้องฟ้าครั้นพอสลายก็กลายเป็นสีทันดร ที่คืนร่างกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว สุรเสียงที่เคยเสนาะแข็งกร้าว ตวาดก้องนภากาศ

“พวกเจ้าอย่าหมายบังอาจขัดขวางเรา เราต้องการอัคคีสัตตบงกช ถอยไปเสีย”

“เจ้านาคน้อย ... อัคคีสัตตบงกชเป็นของสูง แลได้ถวายเพื่อบูชาพระแม่เจ้าลักษมีเทวีแล้ว เจ้านั่นแหละอย่าบังอาจ ถึงเจ้าจะมีศักติสูงส่ง เราก็หาเกรงเจ้าไม่”

วิทยาธรตนหนึ่งกล่าวตอบมาแล้วยกดาบพุ่งมายังสีทันดร อัสดงที่ลอยอยู่ด้านหน้าหันกลับมาดู ก็เห็นว่าหัวใจดวงน้อยๆ กำลังจะถูกทำร้ายจึงหันกลับมาช่วย แต่ก่อนที่อัสดงจะมาถึง เจ้านาคน้อยก็ตวัดแส้เพลิงมาอีกครั้งฟาดดาบหักเป็นสองท่อน ข้อพระหัตถ์ควงเป็นวงกลมทำให้ปลายแส้หมุนคว้างแล้วซัดปลายแหลมของดาบนั้นคืนไปยังเจ้าของ ปลายดาบอันคมกริบเสียบเข้ากลางอกวิทยาธรตนนั้นแม่นเหมือนจับวาง ก่อเกิดเสียงโอดครวญดังลั่นพร้อมๆกับร่างที่ดิ้นเร่าเริ่มสลายกลายเป็นธุลี  ส่วนพวกวิทยาธรที่เหลือเห็นสหายพลาดท่าก็กรูกันเข้ามาซัดอาวุธเข้าใสสีทันดรไม่ยั้ง สีทันดรเองก็ควงแส้ในมือโผนทะยานเข้าโรมรันทันที

อัสดงใจหายวาบกลัวว่าสีทันดรจะเสียที จึงรีบกระโจนฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วยรับมือ เปลวเพลิงในมือซัดใส่วิทยาธรที่กำลังมะรุมมะตุ้มกระเด็นกระดอนไปไกล ความรู้สึกตอนนี้ เขารู้สึกห่วงสีทันดรอย่างบอกไม่ถูก พอเข้าถึงตัวสีทันดรได้ก็รีบกุมพระหัตถ์น้อยนั้นไว้แน่น

“ไอ้ดื้อ เรามาช่วยเจ้าแล้ว...เจ้าไม่ต้องกลัว”

 “เราไม่ได้กลัว เจ้ากลับมาทำไม เจ้าไม่ต้องห่วงทางนี้ ...เรารับมือได้ รีบไปเอาดอกบัวเร็วเข้า”

“แต่เราเป็นห่วงเจ้า สีทันดร” อัสดงตะโกนก้องสวนกลับมา

“ไม่ต้องห่วง เราเอาตัวรอดได้ รีบไปเถอะ ดอกบัวอยู่ข้างหน้านั่น ไปสิ”

สีทันดรกล่าวตอบมาทันควัน แส้ในพระหัตถ์ยังคงหมุนเป็นจักรผันฟาดไปทางใด วิทยาธรก็มีอันสลายไปเสียสิ้น ถึงแม้เจ้านาคน้อยจะบอกว่ารับมือได้แต่อัสดงก็ยังคงลังเล ใครบ้างเล่าที่จะปล่อยให้หัวใจตนอยู่ในอันตราย ถึงสีทันดรจะเก่งแค่ไหนแต่ก็ยังเด็กนัก จะทันเล่ห์เหลี่ยมพวกวิทยาธรได้ไหม มันไม่คุ้มกันเลยถ้าช่วยชีวิตเอราวัตได้แล้วหากอีกคนต้องบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เริ่มเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจทั้งสี่ห้องของตน  คอยดูนะหากสีทันดรพลาดท่าและเป็นอะไรไปหรือมีแม้แต่รอยขีดข่วน เขาจะฆ่าล้างบางพวกวิทยาธรให้หมดและจะไม่ให้อภัยตนเองตลอดชีวิต ส่วนสีทันดรเห็นอัสดงยังเฉยอยู่จึงกล่าวสำทับมาอีกครั้ง

“ไปเถอะ เราดูแลตัวเองได้ อย่าชักช้าเดี๋ยวไม่ทันการ”

“แต่ .....เรา”

“ไม่มีแต่...ไปซะ”

แส้ในพระหัตถ์สะบัดพลันตวัดรัดเอวอัสดงไว้แน่น ตั้งพระทัยหมายจะเหวี่ยงอัสดงออกจากวงล้อมแต่แล้ววงแขนแข็งแรง กลับฉุดรั้งบั้นพระองค์แน่นแล้วดึงวรองค์นั้นมากอดไว้ น้ำเสียงหนักแน่นของสุริยเทพน้อย กระซิบข้างพระกรรณว่า

“เราไปก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับเรานะว่าเจ้าต้องสู้อย่างระวังตัว จะเป็นอะไรไปไม่ได้ หากตอนนี้จะถามเราว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดเราบอกได้เลยว่าไม่ใช่ดอกบัว แต่เป็นเจ้าคนเดียวเท่านั้น สีทันดร”

 หากเป็นยามปกติสีทันดรคงอายม้วน แต่ยามนี้อยู่ในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทำได้เพียงแค่ยิ้มให้อัสดง แล้วพระกรน้อยๆก็ดันร่างแข็งแรงนั้นออก ตวัดแส้ในมือเหวี่ยงอัสดงออกจากวงล้อมพลัน หันพระพักตร์เผชิญหน้ารับมือพวกวิทยาธรต่อ เสียงก้องกังวานแห่งสุริยเทพยังคงดังกลับไปกลับมาอยู่ในพระโสต พระพักตร์ใสซึมซับด้วยสีชมพูอมแดงระเรื่อ หากอัสดงทราบความในพระทัยขณะนี้ก็คงจะดีไม่น้อยเพราะเจ้าตัวได้ตอบรับในพระทัยแล้วว่า

‘เราเองก็ห่วงเจ้าเช่นกัน เจ้าคนเกเร เจ้าต้องเอาดอกบัวมาให้ได้ แล้วกลับมาบอกเราให้ชัดๆอีกครั้งว่า เราสำคัญกับเจ้าอย่างไรอัสดง’

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
อัสดงเมื่อถูกเหวี่ยงลอยละลิ่วออกมา จำต้องกลั้นใจมุ่งหน้าไปยังดอกบัวเพลิงที่ส่องแสงประกายเจิดจ้าอยู่ด้านหน้า ใจหนึ่งยังคงห่วงสีทันดร อีกใจหนึ่งก็อยากจะไปเอาดอกบัวเพลิงมาซะจะได้จบๆเรื่อง แต่เอาเหอะ ดอกบัวลอยเด่นอยู่นั่น ใกล้แค่เอื้อมแล้ว เด็ดมาแล้วรีบไปจัดการไอ้พวกนั้นก่อนที่สีทันดรจะรับมือไม่ไหว อัสดงจึงเหยียดกายลอยไปด้านหน้า และบัดนี้เขาก็ลอยอยู่เหนือผิวน้ำใสกระจ่างที่มีไอร้อนคละคลุ้ง ครั้นพอลอยเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นว่าดอกบัวเพลิงดอกนั้นก็คือดอกบัวธรรมดาๆนี่เองเพียงแต่รัศมีเจิดจ้าเสียยิ่งนัก ไอร้อนยังคงแผ่กำจายโดยทั่ว แต่แล้วฉับพลัน ดอกบัวที่แสนจะธรรมดาก็ปรากฏเปลวเพลิงน้อยๆละโลดไล่มาตามกลีบ และเปลวเพลิงนั้นก็ขยายวงกว้าง หมุนติ้วกลายเป็นจักรเพลิงอันร้อนแรงหมุนคว้างครอบคลุมไว้ตั้งแต่ดอกจรดโคนโดยถ้วนทั่ว  อัสดงหดมือกลับทันใด ในเมื่อดอกบัวดอกนี้มีจักรเพลิงห่อหุ้ม เห็นทีเขาคงต้องใช้จักรเพลิงของเขาจัดการดูบ้าง

อัสดงจึงสะบัดมือออก เปลวเพลิงแห่งสุริยเทพ สำแดงเดชรวมตัวเป็นจักรเพลิงร้อนแรงเช่นกัน สุริยเทพน้อยไม่รอช้า ขว้างจักรออกไป ทันทีที่จักรทั้งสองประสานกันก็เกิดเสียงดังกัมปนาทสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว คมจักรแต่ละคม ต่างเสียดสีก่อเกิดประกายไฟลูกมหึมากระเด็นกระดอนไปโดยรอบกระทบร่างวิทยาธรทั้งหลายที่สู้กับนลกุพรอยู่เหนือพื้นน้ำ นลกุพรเองก็ใช่ว่าจะไม่โดน เจ้านลยักษ์เขี้ยวแก้วจึงสร้างม่านอาคมกำบังไว้แล้วอาศัยจังหวะนั้นลอยไปหาสีทันดรที่ลอยโรมรันอยู่กลางฟ้าสู้กับวิทยาธรอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนวิทยาธรกลุ่มที่กำลังสู้อยู่กับสีทันดรนั้นก็ไม่แคล้วโดนไฟครอกเช่นกัน แต่กลุ่มนี้ท่าจะโดนหนักหน่อยเพราะไหนจะแส้เพลิงไหนจะสะเก็ดเพลิง ทำให้ต้องหลบกันจ้าละหวั่น

เปลวเพลิงขณะนี้เริ่มแตกกลุ่มกระจายไปทั่ว ทางด้านตัวสีทันดรเองก็รีบดึงน้ำมาเป็นม่านกำบังไว้ แล้วสั่งให้นาคายักษ์ที่แหวกว่ายอยู่ด้านล่าง พ่นน้ำสกัดเพลิงมิให้ลอยไปยังป่าหิมพานต์โดยรอบก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่โตจนไฟไหม้ป่า

“พ่นน้ำไว้ อย่าให้ไหม้ป่า”

 นลกุพรเมื่อลอยมาถึงสีทันดรแล้วก็ช่วยสร้างม่านอาคมกั้นเพลิงเอาไว้อีกชั้นกันไม่ให้ไฟโหมไปมากกว่านี้ เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วรีบกล่าวมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “สีทันดร ถ้าไฟยังโหมอยู่อย่างนี้ เรารับมือกันไม่ไหวแน่ บอกอัสดงให้หยุดเพลิงไว้ก่อนดีกว่า เร็วๆเข้า”

“หยุดได้ที่ไหนกันนล ตอนนี้เขากำลังจะเด็ดดอกบัวได้อยู่แล้ว ทนอีกนิดนะนล”

“ก็บอกให้มันทำเร็วๆหน่อย นลจะรับไม่ไหวแล้ว”

ระหว่างนั้น จักรกับจักรยังคงโรมรันกันอยู่ แต่ไฟที่ไหนจะสามารถสู้กับไฟแห่งสุริยเทพได้ อัสดงสำรวมจิตแน่นิ่งส่งพลังไปยังจักรเพลิงอีกครั้ง แล้วจักรของเขาหมุนคว้างเพิ่มความเร็วจนเป็นสุญญากาศ.... และแล้วก็ตัดจักรเพลิงของอัคคีสัตตบงกชขาดสะบั้น เปลวไฟกระจายขึ้นฟ้าไกลหลายโยชน์ แสงสว่างวาบแสบตายิ่งนัก  แรงปะทะทำให้ม่านอาคมของนลกุพร สลายพลัน ทั้งนลทั้งสีทันดรล้มครืนตกลงกับพื้นน้ำ นาคายักษ์ที่พ่นน้ำดับไฟอยู่กระเด็นลิ่วพลันสลายคืนกลับกลายเป็นสร้อยพระศอสู่หัตถ์แห่งเจ้าของ  เปลวเพลิงพวยพุ่งโหมกระหน่ำกระจายทั่วสารทิศ พุ่งเป็นลำมุ่งสู่ป่าหิมพานต์

“ซวยแล้วนล ไฟไหม้ป่าแล้ว ทำไงดี”

“ก็ช่วยกันดับสิ....เร็วเข้า” นลตอบกลับแล้วกลายร่างเป็นยักษ์สูงใหญ่ก้มลงอมน้ำในอโนดาตแล้วพ่นดับไฟที่กำลังเผาไหม้แนวป่า สีทันดรก็ไม่รอช้า คืนร่างเป็นนาคช่วยกันพ่นน้ำดับไฟเช่นกัน ก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้

อัสดงก็ไม่รอช้าใช้จังหวะที่ไฟแห่งอัคคีสัตตบงกชถูกทำลาย เอื้อมมือเข้าไปถอนบัวดอกนั้น แต่พอมือจะถึงก้าน รัศมีสีชมพูอมทองสว่างวับระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นเหนือดอกบัวนั้น ทำให้เปลวเพลิงโดยรอบสงบนิ่งลงโดยพลัน กลิ่นควันไฟถูกกลบด้วยกลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอม ไอร้อนแรงแห่งเปลวเพลิงถูกแทนที่มาด้วย บรรยากาศฉ่ำเย็นยะเยียบเข้าจับหัวใจ

สีทันดรและนลกุพรสัมผัสได้รีบคืนสู่ร่างปกติเมื่อเห็นรัศมีนั้น พวกวิทยาธรก็เช่นกันรีบทรุดกายลงหมอบราบกราบลงกับพื้นน้ำ เหลือแต่อัสดงที่ยืนจังก้าท้าทาย  ครั้นพอรัศมีสว่างไสวจางลง ก็พบว่า เหนือนภากาศนั้นมีสตรีที่งามเสียยิ่งกว่างามผู้หนึ่ง ประทับยืนเด่นเป็นสง่าในภูษาทรงเยี่ยงนางกษัตริย์ชั้นสูง พรั่งพร้อมด้วยปวงเครื่องถนิมพิมพาพรล้ำค่า วงพักตร์นั้นกระจ่างใสชวนมองและมองได้ไม่รู้เบื่อ ดุจมีดาวส่องแสงเจิดจรัสนับร้อยนับพันดวงแตะแต้มอยู่ โอษฐ์สีกลีบบัวแย้มยิ้ม สุรเสียงใสปานระฆังแก้ว หากแต่ทรงไว้ด้วยอำนาจ ตรัสโดยพลันว่า

“ช้าก่อน อณูแห่งสุริยเทพ ดอกบัวนี้เป็นของเรา วิทยาธรเหล่านี้ ได้บูชาเราเพื่อเป็นการสักการะแล้ว เจ้าบังอาจและกล้าดีอย่างไร”

อัสดงชักมือกลับและกำลังจะเอื้อนเอ่ยถามว่าสตรีผู้นี้คือใคร เหตุไฉนจึงมาขัดขวาง แต่แล้วสีทันดรกับนลกุพรก็รีบลอยข้ามารวมกลุ่ม แล้วรีบดึงให้อัสดงทรุดตัวลงนั่ง คุกเข่าแล้วหมอบราบกราบลง นลกุพรรีบบอกอัสดงทันใด

“พระมหาลักษมีเทวี..... กราบเร็วนั่งทื่ออยู่ได้ เดี๋ยวโดนลงอาญาหรอก”

“ทูลทราบพระแม่เจ้า ขอพระองค์โปรดเมตตา หม่อมฉันกับสหายมิได้ตั้งใจล่วงละเมิด และไม่ทราบมาก่อนว่า ดอกบัวเพลิงนี้นั้นได้ถูกถวายให้กับพระแม่เจ้าแล้ว หม่อมฉันเพียงแต่ต้องการนำไปช่วยสหายอีกคนที่กำลังบาดเจ็บ” สีทันดรรีบทูลตอบแทนอัสดงหัตถ์พนมระหว่างพระอุระยามกราบทูล

“อ้อ เจ้ามาอยู่นี่เองเหรอ สีทันดร เอ๊ะ นลกุพรก็ด้วย อย่าบอกเรานะว่าเจ้าสองคนก่อเรื่องและเป็นตัวต้นเหตุ อีกทั้งยังมีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ จนเกือบจะทำให้ไฟไหม้หิมพานต์”

“เป็นเด็กพวกนี้แหละพะยะค่ะ พวกข้าพระพุทธเจ้าพยายามขัดขวางแล้ว” วิทยาธรตนหนึ่งรีบทูลฟ้อง

“สอด....พระแม่เจ้าไม่ได้ตรัสกับเจ้า สาระแน” สีทันดรแหวใส่วิทยาธรตนนั้นโดยพลัน

“นี่ให้มันน้อยๆหน่อย สีทันดร นี่ต่อหน้าเรานะ เรารู้หมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มาที่นี่ เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ อยากได้ดอกบัวก็ไม่ยอมขอดีๆ หาเรื่องจนได้ ถ้าเรามาไม่ทันไฟไหม้หิมพานต์มาจะทำยังไง เจ้ารับผิดชอบไหวเหรอ เจ้านี่มันได้นิสัยแบบนี้จากใครมา ”

ครานี้สีทันดรโดนเอ็ดมาบ้าง แต่พระพักตร์แห่งนาคาน้อยยังไม่สลดกลับยิ้มอยู่อย่างนั้น อัสดงได้แต่มองวงพักตร์ทั้งสองกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น วงพักตร์แรกคือพระพักตร์แห่งมหาเทวีผู้งามงดเหยียบสามโลกยากจะหาผู้ใดเทียมเท่า ใครเห็นก็หลงใหลแม้แต่พระมหาวิษณุหนึ่งในสามมหาเทพ ยังอดพระทัยไม่ไหวจนต้องเชิญเสด็จมาเป็นเอกอัครมเหสีคู่พระบารมี ส่วนวงพักตร์อีกวงหนึ่งนั้นก็งามราวกับถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกัน ต่างกันที่ไอ้ดื้อมีรัศมีไม่เจิดจ้าเท่าและเป็นผู้ชาย ....แล้วทำไมพระแม่เจ้าพระพักตร์ถึงได้คล้ายกับสีทันดรนัก

ด้วยวาระจิตที่สูงส่งกว่า จิตและความคิดที่ด้อยกว่าจึงถูกดักได้ พระมหาลักษมีเทวีทราบความในใจของอัสดงหมดสิ้น ทรงพระสรวลน้อยๆ แล้วตรัสขึ้น  “จะไม่ให้เหมือนกันได้อย่างไร ต้นกำเนิดเจ้ายังมีอณูอย่างเจ้าได้ แล้วไยเราจะมีบ้างไม่ได้ และถ้าจะพูดให้ถูกควรพูดว่า ไอ้ดื้อของเจ้านั้น เหมือนเราน่าจะเหมาะกว่า”

“ถ้างั้นก็ทรงได้คำตอบแล้ว ว่าหม่อมฉันซนเหมือนใคร”

สีทันดรทูลมาปนหัวเราะ นลกุพรก็พลอยเริ่มหัวเราะไปด้วย อัสดงก็ได้แต่แย้มยิ้ม เข้าใจที่พระแม่เจ้าตรัส และสิ้นสงสัยแล้ว แต่เจ้านาคน้อยนี่มันไม่เกรงกลัวอะไรจริงๆ ขนาดพระแม่เจ้านะ  ยังกล้าย้อน แสดงให้เห็นเลยว่า ไอ้ดื้อนี่ท่าทางจะเป็นตัวโปรด

“เหอะเดี๋ยวเราก็ลงโทษเจ้าเท่านั้นสีทันดร ยังมาหัวเราะระรื่นกันอีก เรื่องปลาอานนท์เรื่องเก่ายังไม่จางหาย ยังมาก่อเรื่องใหม่อีก เราจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี” พระสุรเสียงปานระฆังแก้วเข้มขึ้นแต่ก็ไม่มากนัก อีกทั้งพระเนตรคู่งามยังฉายแววเอ็นดูอยู่ สีทันดรเลยรู้ว่าองค์เองคงมิโดนลงโทษอะไรหรอก  ตั้งใจจะกราบทูลออกรับแต่ก็มิทันอัสดง

“เรื่องดอกบัว เกล้ากระหม่อมขอรับผิดชอบเองพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมเป็นคนวางแผนทั้งหมดเอง”

“ทำไมเจ้าถึงออกรับล่ะ สุริยาทิตย์ เราว่าคนวางแผน คนก่อเรื่อง น่าจะเป็นสีทันดรนะ”

“พระแม่เจ้าคงทราบเรื่องภารกิจของเกล้ากระหม่อมแล้ว พอดีพระพุธพลาดท่าบาดเจ็บ เกล้ากระหม่อมอยากช่วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้อัคคีสัตตบงกชรักษา จึงชวนไอ้ดื้อ เอ๊ย สีทันดรมาเอาดอกบัว ถ้าจะลงโทษ ลงโทษเกล้ากระหม่อมเถอะ”

“อัสดง.....เจ้ามาออกรับทำไม” สีทันดรกล่าวขึ้นทันที พระเนตรฟ้าครามฉายแววสงสัย

พระมหาลักษมีเทวีได้ทรงสดับตรับฟัง ก็ทรงพระสรวลน้อยๆ แย้มยิ้ม รัศมีสีกลีบกุหลาบแรกแย้มสว่างไสว ก่อนจะตรัสขึ้นว่า    “เอาล่ะ เรื่องลงโทษไว้ค่อยว่ากัน เรารู้เรื่องภารกิจของเจ้าและรู้ว่า อณูแห่งพระพุธบาดเจ็บอยู่ เจ้าอย่าชักช้าเลย เราอนุญาตให้เจ้าเอาดอกบัวไปได้แต่ไม่ต้องเอาไปทั้งดอกหรอก เอาไปแค่กลีบเดียวก็พอรักษาแล้ว”

พระมหาเทวีตรัสจบ ก็กรีดดัชนีตวัดข้อพระกร และแล้วกลีบบัวเพลิงกลีบหนึ่งก็หลุดลอยออกจากดอก ลอยลงมาอยู่ตรงหน้าอัสดง

“พระแม่เจ้าทรงพระเมตตายิ่งนัก  เกล้ากระหม่อมขอนมัสการ” อัสดง สีทันดรและนลกุพรก้มกราบลงพร้อมกัน ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก

“จำไว้ ทีหลังหากมีสิ่งใดติดขัด อย่าผลีผลามและกระทำการหุนหันพลันแล่น เทพผู้ใหญ่หลายๆองค์ยินดีให้ความช่วยเหลือพวกเจ้า คราวนี้เราจะไม่เอาความ แต่อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ...เราต้องไปแล้ว เราขออวยพรให้เจ้าโชคดี และขอให้ภารกิจในการปราบอสูรสำเร็จ”

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”

“ยังมีอีกเรื่อง หลังจากพระพุธหายดีแล้ว สหายคนที่สี่จะปรากฏตัว พวกเจ้าเตรียมตัวให้ดี ส่วนพวกเจ้าวิทยาธรทั้งหลาย เราขอบใจที่เฝ้าดอกบัวให้เราและดูแลอย่างดี พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว...เราไปล่ะ” สิ้นรับสั่งวิทยาธรทั้งหลายหมอบกราบลงแล้วสลายหายวับไป สีทันดรกับนลกุพรไม่รอช้ารีบกราบถวายบังคมลามาเช่นกัน

อัสดงก็เก็บกลีบบัวขึ้นมาแล้วก้มลงกราบน้อมรับพระเสาวนีย์ ไหนๆก็เป็นบุญตาที่ได้เฝ้าชมพระบารมี มันจะเกินไปไหมหากจะทูลขอพรสักข้อ ก่อนที่พระมหาเทวีจะเสด็จกลับ อัสดงรีบนึกในใจทันใด

“ขอพระเมตตา โปรดประทานให้ความรักของเกล้ากระหม่อมสมหวังด้วยเถิด”

พระมหาเทวีทรงพระสรวลทันทีที่ทรงทราบว่าอัสดงทูลขอพรอะไรไว้ในใจ “ ไยเจ้าขอ ในสิ่งที่ต้นกำเนิดเจ้าขอไว้แล้ว ...ถ้าให้ไปจะดูแลอย่างดีไหมล่ะ”

“ด้วยชีวิตทั้งชีวิตของเกล้ากระหม่อมเลยพะย่ะค่ะ”

“งั้นเราก็ให้ตามคำขอ”

สิ้นพระสุรเสียง รัศมีสีกุหลาบเจือทองก็สว่างวาบทั่วทั้งนภากาศ พอสลายพระวรกายแห่งมหาเทวีก็ไม่อยู่ ณ ที่อโนดาตแล้วสีทันดรได้ยินรับสั่งสุดท้ายโดยตลอด ฟังดูเหมือนกับว่าอัสดงทูลขออะไรสักอย่างและพระแม่เจ้าก็ประทานให้ ลางสังหรณ์บ่งบอกว่า มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับองค์เองแน่ๆ พอเงยพระพักตร์ได้ จึงรีบถามอัสดง

“เมื่อกี้เจ้าทูลขออะไรพระแม่เจ้า บอกเรามานะ”

“ไม่บอก...ไว้เจ้าก็รู้เองคงเร็วๆนี้แหละ รีบไปกันเถอะ ป่านนี้ไอ้กลดกับไอ้เอราวัตรอแย่แล้ว”

“ก็บอกมาก่อนสิ เพื่อนเจ้ายังไม่ตายหรอกน่า” พระหัตถ์น้อยๆเขย่าแขนของอัสดงอย่างกับเด็กน้อยเวลาตื๊อจะขออะไรสักอย่าง ดูแล้วก็น่าเอ็นดูยิ่งนัก แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกว่าขออะไร

“อีกหน่อยก็รู้เองแหละ ไปเหอะ....นลเราไปก่อนนะ ขอบใจนลมากเรื่องวันนี้” อัสดงหันมากล่าวขอบคุณนลกุพรสหายใหม่ ที่ตอนนี้เขาเริ่มสนิทใจกับนลแล้ว เพราะนลไม่ใช่เสี้ยนหนามหัวใจ

“ไม่เป็นไรอัสดง หวังว่าเราคงได้ร่วมรบกันอีกนะ เราก็ต้องกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวพ่อกลับมาไม่เจอตัวจะกริ้วอีก”

“แน่นอน .....แล้วเจอกันนล ไปไอ้ดื้อไปกันได้แล้ว”

อัสดง ตบไหล่เบาๆล่ำลายักษ์เขี้ยวแก้วรูปงามเป็นการส่งท้าย นลกุพรเข้ามากอดลาสีทันดร บอกว่าว่างๆจะไปเยี่ยมที่เมืองมนุษย์ แล้วยังไม่วายกำชับเรื่องที่สีทันดรติดสินบนไว้ “โชคดี ว่างๆ นลจะไปเยี่ยม ...อย่าลืม เรื่องมุจลินทร์นะ”

“แหมมมม นลไม่ได้เลยนะ มุจลินทร์เนี่ย นลออกจะเก่งไม่ลองจีบเองดูล่ะ”

“อย่ามาบิดพลิ้วนะสีทันดร ไม่งั้นเราจะบอกอัสดงให้แกล้งเจ้าหนักๆเลย”

“เออน่ารู้แล้ว ช่วยก็ช่วยสิ ...แต่เหอะพวกเด็กผู้ชายตัวโตๆอย่างพวกเจ้า ทำตัวเก่งไปซะทุกเรื่อง แต่โง่ในเรื่องความรัก แค่นี้ก็ต้องขอให้คนช่วย ลองจีบเองดูสิน่าภูมิใจกว่าเยอะ”

คำพูดของสีทันดรจี้จุดแทงใจดำอัสดง ไอ้ดื้อนี่จงใจว่ากระทบเขาหรือเปล่าหรือว่ามันจะอ่านความคิดออก คงไม่ใช่ เพราะเขาเองก็เพิ่งทูลขอพรพระลักษมีเทวีเรื่องความรัก ใจเขาอยากบอกออกไปนักว่า

‘ไอ้ดื้อเอ๋ย ทำไมเราจะไม่จีบเอง เราก็จีบเจ้าอยู่นี่แล้วไง...เจ้านั่นแหละที่มัวแกล้งทำเป็นไม่รู้  ฉะนั้นเราเลยต้องใช้ตัวช่วย  ก่อนที่เจ้าจะหลุดไปอยู่ในมือคนอื่น’

แม้ใจอยากจะบอก แต่ก็มิได้บอกออกไป อัสดงไม่พูดอะไรต่ออีก แล้วใช้มือฉุดแขนไอ้ดื้อที่ยังยืนอยู่เหนือผืนน้ำออกมาโดยพลัน เขาผิวปากเรียกม้าอุจไฉยศรพด้วยทำนองเดิม สักพักแสงสีแดงสว่างจ้าก็พุ่งตรงลงมากลางน้ำแล้วกลายเป็นม้าสีแดงจอมพยศตัวเดียวกันกับขามา

“เอ้าขึ้นไปสิ รีรอทำไมอีก”

“บอกเรามาก่อนสิ เราอยากรู้นี่ ...ว่าเจ้าขออะไร มันต้องมีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเราแน่ๆ” สีทันดรไม่วายตรัสถามมาอีกรอบ

“ทำไมจะไม่ดี ในเมื่อเราทูลขอในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า...ไปขึ้นม้าได้แล้ว หากยังสงสัยอีกเดี๋ยวเราจะทำให้เจ้าหยุดสงสัยอย่างที่เคยทำต่อหน้านลเนี่ยแหละเอาไหม สอดรู้ดีนักเจ้านี่”

“อย่านะ... ก็ได้ขึ้นก็ขึ้น ไปล่ะนลแล้วเจอกัน” สีทันดรรีบขึ้นม้าก่อนที่จะโดนอัสดงจัดการ อัสดงขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายที่เดิมแล้วสั่งให้ม้าอุจไฉยศรพออกเดินทางกลับบ้านของทรงกลดทันที “พาเราไปส่งยังที่ที่เจ้ารับเรามา”

สิ้นคำสั่งม้าสีแดงจอมพยศก็ควบตะบึงวิ่งขึ้นสู้ฟ้า นลกุพรเมื่อเห็นว่าสหายกลับไปแล้วก็สลายหายวับไปยังถิ่นพำนัก ...อัสดงจ้องมองแนวป่าที่งามตระการตาและเกือบจะถูกไฟไหม้ ยังติดใจในความงาม แล้วในใจก็นึกแต่เพียงแค่ว่า

‘วันนี้เรามาได้แค่แป๊บเดียว วันหน้าเราจะกลับมาที่ป่าแห่งนี้อีกครั้งพร้อมกับเจ้าสีทันดร’


************
รบกวนติดตามต่อบทที่๘ นะคะ

ขอบพระคุณ คุณdahlia คุณ maicy คุณ Jaymezc  และท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ยังติดตามอ่าน และทุกๆกำลังใจที่มีให้เสมอมา สวัสดีค่ะ  :pig4:  :กอด1:

PS. คิดถึงคุณ dahlia เสมอนะคะ  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2019 15:23:04 โดย Artemis »

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
มาต่อแล้ว ขอบคุณนะครับ
ผมเคยอ่านจบไปละ 2-3 รอบสมัยเรียนป.ตรี ชอบมากเลย

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
พวกนาคที่โดนลงโทษให้เป็นงูดิน ต้องเป็นพวกแขกทั้งหลายของซันที่อัพวาแน่ๆเลย

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
สนุ๊กสนุก    :m1:


ขอตอนต่อไปเลยดั้ยม่าย?


ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ขอบคุณที่นำกลับมานะคะ สมใจ ไม่ว่าจะอ่านใหม่กี่ครั้งก็ยังไม่เคยเบื่อ สนุกทุกครั้งที่ได้อ่าน ได้ทั้งความรู้ และภาษาสวยๆ  :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๘ เราสองสามคน

อุจไฉยศรพ โผนทะยานลอยละลิ่วกลางเวหา รอบตัวรัศมีสีแดงจ้าสุกสว่างกระจายทั่ว หากแต่ชั้นในที่รายล้อมพระวรกายแลอีกหนึ่งกายทิพย์นั้นอบอวลด้วยสีกุหลาบเข้ม อ่อนหวานชื่นทรวง รัศมีของเทวะจะบอกอารมณ์ ความรู้สึกเสมอ สีกุหลาบเข้มนี้คงจะหมายถึงอารมณ์ใดมิได้ นอกเสียจากความรัก แน่นอนว่าย่อมต้องกำจายมาจากอัสดง และเจ้าตัวก็เพิ่งรู้แท้ถึงคำว่า “ตกหลุมรัก”ก็คราวนี้เอง

ลำแสงสีแดงที่เริ่มจะกลายเป็นสีกุหลาบยังคงพุ่งปราดไปเรื่อยๆ กลางห้วงนภาฟ้าคราม จวบจนผ่านเส้นแบ่งเขตแดนมาแล้วนั่นแหละ ฟากฟ้าก็กลับกลายเป็นเวลากลางคืน แสดงให้เห็นถึงเวลาที่แตกต่างกันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์พิภพ ดาวนับร้อยนับพันดวง ทอแสงส่องประกายระยิบระยับ แต่ก็ไม่มีดวงใด จะเปล่งประกายงามเจิดจรัสเท่ากับดาราสีอำพันคู่หนึ่ง คู่ที่สยบพระเนตรฟ้าครามได้อย่างราบคาบ

“จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นเทวนาคาหรือไง” สีทันดรทรงรู้ได้โดยพลัน มิต้องผินพระพักตร์ ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง มีดวงตาเจิดจ้าเพียงใดยามมองมา

“เพิ่งรู้ว่า มีกฏมณเฑียรบาล ห้ามมอง ถ้างั้นก็โปรดพระราชทานอภัยโทษ ให้กับเทพต่ำต้อยอย่างเกล้ากระหม่อมด้วย ที่ชอบมองและหมายปองของสูง”

“นี่ ไม่ต้องมาประชดใช้ราชาศัพท์กับเรา ....คักดิ์ของเราเสมอกัน ถ้าเจ้าไม่พูดอย่างเดิม เราจะผลักเจ้าตกเดี๋ยวนี้”

“พระทัยร้าย.....ก็ได้พูดอย่างเดิมก็ได้ แต่เราว่าศักดิ์เจ้าสูงกว่า เจ้าคืออณูของพระแม่เจ้า  เราก็ต้องยกย่องยำเกรงเป็นธรรมดา”
“สมองเจ้ากระทบกระเทือนหรือเปล่า พูดจาดีผิดปกติ”

“สมองน่ะไม่ แต่หัวใจสิ ถูกกระทบอย่างแรง ไม่เชื่อเจ้าลองฟังดู” อัสดงเขยิบเข้ามาจนชิดแล้วโน้มร่างแนบสนิทดึงเศียรไอ้ดื้อซบกับอกตนพลัน พระกรรณแนบชิดติดหัวใจของสุริยเทพ ทำให้ทรงสดับถึงเสียงตุ้บ ตับ ระรัว กลิ่นกายาจากเทวะหนุ่มน้อย ลอยระเรื่อเข้านาสิก เลือดในพระวรกายวิ่งพล่าน พระปรางใสเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด พระหัตถ์ที่จับม้าไว้ เปลี่ยนมายันอกกำยำนั้นออก

“ทำบ้าอะไร เดี๋ยวก็ตกลงไปทั้งคู่หรอก”

“ก็อยู่เฉยๆสิ ....เราอยากให้เจ้าฟังเสียงหัวใจเรา เจ้าก็ต้องฟัง”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งเราให้ทำนู่นทำนี่นะอัสดง”

“แต่ปู่เจ้าฝากเจ้าไว้กับเรา ก็แค่กอดจะเป็นอะไรนักหนา ทีเมื่อกี้ตอนอยู่หิมพานต์ยังให้เราจับมือ ก่อนหน้านี้เราก็กอดเจ้ามาตั้งหลายหน เกิดจะมาหวงตัวอะไรกันตอนนี้”

“นั่นมันตอนนั้น ปล่อยเดี๋ยวใครมาเห็น”

“ใครจะมาเห็นเราอยู่กันกลางฟ้า” อัสดงไม่พูดเปล่า พร้อมกับจรดปลายจมูกคมสันลงบนพระเกศาดำขลับซึ่งหอมเสียยิ่งกว่าหอม

“ก็พวกดาวเหล่านี้ไง ….แถมพระจันทร์อีกดวงเบ้อเร่อ ปล่อยเรานะ” จริงๆแล้ว สีทันดรก็ตรัสไปอย่างนั้นแหละ แต่ในพระทัยกับอึงอลไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

‘อ้อมกอดของเขา อบอุ่นจัง เหอะ....แต่เขาทำให้เราต้องระเห็จมาอยู่บาดาล อย่าใจอ่อนเชียวสีทันดร’ ที่ว่าอึงอล คงยังไม่เท่าคนฟังที่กำลังอลอึง เพราะจู่ๆ น้ำเสียงที่นุ่มๆ กลับแข็งกระด้างขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แขนแข็งแรงยันพระวรกายออกบีบต้นพระพาหาแน่น 

“ที่แท้ เจ้าก็กลัวไอ้พระจันทร์มันเห็นน่ะสิ กลัวมันเข้าใจผิดหรือไง เจ้าสนใจมันมากใช่ไหม ทั้งๆที่เราให้เจ้าดูพระอาทิตย์ไปเมื่อตอนเช้า ตอนนี้เจ้ากลับพูดถึงพระจันทร์ ใจเจ้าทำด้วยอะไรสีทันดร” เจ้าพระอาทิตย์หนุ่มเริ่มไปไกล

“โอ๊ยยย เราเจ็บนะ ไอ้ไฟบ้า หัดเอาอย่างพระจันทร์เขามั่งสิ เขาไม่เคยรังแกเราเลยนะ”

แล้วประโยคนี้เอง ประดุจดั่งราดน้ำมันลงกองเพลิง หนำซ้ำด้วยลมเพชรหึง โหมกระพือ ทำให้อารมณ์โมโหพลุ่งพล่านไปไกลกว่าเดิมอีก

 “ทำไม ต้องไปพูดถึงมันด้วย อยู่กับเราก็ต้องพูดแต่กับเราสิ เจ้าไม่รู้หรอกว่าไอ้พระจันทร์น่ะร้ายขนาดไหน” นานแล้วที่อัสดงไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล มาครั้งนี้เขาขัดใจเป็นที่ยิ่ง ที่คนที่อยู่ตรงหน้าดันเอ่ยชื่อ “ไอ้พระจันทร์” มาซะนี่

“เราก็เห็นเขาสุภาพดี ไม่เกกมะเหรกเกเร รังแกเรา”

“ยังไม่มีโอกาสล่ะสิไม่ว่า ลองอยู่สองต่อสองกับมันสิ เหอะถ้ามันไม่ทำอย่างเรา เราให้เจ้าฆ่าเราได้เลย คนเจ้าชู้อย่างมัน แย่งเมียเพื่อนก็เคยมาแล้ว”

“เขาไปแย่งเมียเพื่อนตอนไหน”

“ก็เมียพระพฤหัสไงตอนอยู่บนสวรรค์ ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเมียอยู่แล้วยี่สิบเจ็ดนาง ก็พวกเทพธิดากลุ่มดาวฤกษ์นั่นแหละ ธิดาพระทักษะทั้งนั้น ก็วงศ์วานว่านเครือของทวดเจ้าไม่ใช่เหรอ” บทอัสดงจะจำได้ ก็จำได้ซะละเอียด

“นั่นเป็นตอนก่อนเขาอวตาร ตอนนี้เขาคงไม่เหมือน” สีทันดรยังทรงเถียงไม่ยอมลดละ

“ไม่เชื่อก็ตามใจ ....แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า คนอย่างไอ้พระจันทร์น่ะ เห็นหงิมๆอย่างนั้น เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง ใครเป็นคู่ก็มีแต่จะเสียใจ สมแล้วที่โดนพระทักษะสาป ให้เป็นฝีในท้อง”

“ทำไมถึงโดนสาป”

“ก็เพราะมัน รักเมียไม่เท่ากัน มันรักนางโรหิณีมากที่สุด จนชายาอีกยี่สิบหกนางไปฟ้องพ่อ พระจันทร์มันเลยโดนพระทักษะสาปให้เป็นฝีในท้อง จนบางทีท้องแหว่ง กลายเป็นพระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม จนมหาศิวะท่านทรงเห็นก็เลยสงสาร ท่านจึงหยิบมาเป็นปิ่นปักมวยผมเสีย”

“เจ้าไม่อยากให้เราสนใจเขา แต่เจ้าก็เล่าเรื่องเขามาเองนะอัสดง” สุรเสียงใสใช้ยวน พระโอษฐ์น้อยๆ ทรงเริ่มแย้มยิ้มออกมาได้แล้วหน่อยๆ

“เราเล่าเพื่อเตือน พูดถึงขนาดนี้ เจ้ายังดื้อไม่ยอมเชื่อมันก็สุดแล้วแต่เจ้า” ใบหน้างามคมสันยังเง้างอ ที่จริงอัสดงไม่อยากจะใส่ไฟพระจันทร์นักหรอก แต่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้ากล่าวถึงศัตรูหัวใจ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเล่าให้ฟัง

“เจ้าไม่ต้องมาเตือนเรา เพราะเราไม่ได้สนใจเขาสักหน่อย”

“เจ้าพูดจริงเหรอ” คนหน้างอยิ้มกว้างได้แล้ว บ่งบอกถึงความดีใจฉายชัด มันต้องอย่างนี้สิ ไอ้ดื้อของเรา

“ก็จริงน่ะสิ แต่ทำไมเจ้าต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นด้วย มีบ้างไหมที่เจ้าจะเศร้าสลดเป็นกับเขาบ้าง”

“มีสิ ทำไมจะไม่มี ก็ตอนที่ เจ้าบอกว่าเจ้าเกลียดเราไง เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดของเจ้า มันทำร้ายเราเหลือเกิน สีทันดร”

แขนแข็งแรงโอบบั้นเอวคนที่อยู่ด้านหน้ามาอีกครั้ง ปลายคางมนสากด้วยไรหนวดแห่งวัยหนุ่มคลอเคลียทั่วพระศอสีเศวต อัสดงคาดว่าสีทันดรคงบ่ายเบี่ยงงอแงผลักตนออก แต่แล้วก็กลับนั่งนิ่ง หนำซ้ำยังปล่อยพระวรกายทิ้งลงมาในอ้อมอกของเขาอย่างแนบชิด

“เราพูดไปเพราะอารมณ์โมโห ตอนนั้นเจ้าอยากมาแกล้งเราทำไม” พระพักตร์ที่งามเกินเทวบุตร เริ่มหลบเร้นเอียงอาย

“ก็แค่แหย่เล่นๆ เราไม่คิดว่าเจ้าจะโกรธ” อัสดงพูดจบก็ขบเบาๆ ซ้ำรอยเดิมตรงซอกพระศออันหอมกรุ่น สีทันดรรู้สึกถึงกระแสอันอ่อนโยนวาบหวามผ่านริมฝีปากงามคู่นั้น สร้างความหวั่นไหวให้สีทันดรทรงสะท้านยิ่ง  “ต่อไปเราจะไม่แกล้งเจ้าอีกแล้วสีทันดร เราสัญญา”

“ให้มันจริงเถอะ เราจะคอยดู .....เอาล่ะถึงบ้านแล้ว ลงไปกันเหอะ”

สิ้นพระสุรเสียง วรองค์น้อยๆ ก็สลายกลายเป็นแสงเขียวทองปนชมพูกุหลาบใส พุ่งตรงลงไปยังพื้นด้านล่าง .... อัสดงยิ้มจนแก้มแทบปริ ความหวังที่เคยริบหรี่รำไรว่าจะไม่ได้รับรักตอบ ครานี้ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

“สีทันดร นับจากวินาทีนี้ไป หัวใจเราจะมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว”

รัศมีสีแดงปนกุหลาบเข้มสว่างวาบและพุ่งปราดเป็นลำลงไปยังนอกชานบ้านทรงไทยที่อยู่ด้านล่าง ตามติดด้วยรัศมีเขียวทองเจือกุหลาบไปติดๆ อีกนานไหมนะ ที่รัศมีทั้งสองจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หากวันนั้นมาถึง แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง คงเจือไปด้วยความอบอุ่น ซ่านผ่านหัวใจของมนุษย์ทุกผู้เป็นแน่แท้

ร่างสูงโปร่ง ของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดครอบไว้ด้วยรัศมีเหลืองนวลเย็นตา ทอประกายระเรื่อทำให้บริเวณนอกชานที่มืดมิดเริ่มสว่างสลัวๆ ใบหน้าหล่อเหลาหวานซึ้งปกติยามใครได้พบก็ต้องมองเหลียวหลัง อีกทั้งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวยามได้ยลก็แทบทำให้ใจละลาย บัดนี้ใบหน้านั้นฉายแววกังวลมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงเม้มแน่นยามที่รู้สึกไม่ถูกใจทุกครา

เจ้าตัวยังคงเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเอราวัต อาการเริ่มแย่ลงทุกขณะ พิษลามกระจายทั่ว พลังทิพย์เริ่มอ่อนแรงทุกที หากปล่อยไว้อย่างนี้ เห็นทีคงไม่แคล้วดับสูญ อีกประการหนึ่ง การที่เจ้าน้องดื้อต้องไปหิมพานต์กับอัสดงมันทำให้เขาเจ็บแปลบเข้าที่หัวใจ กังวลว่า อัสดงคงฉวยโอกาสนี้ ต่อยอดความสัมพันธ์เป็นแน่แท้ ภายนอกถึงจะแสดงว่าไม่ถูกกัน แต่ภายในนี้น่ะสิ ผู้ชายด้วยกันดูกันออก และก็รู้ว่า อัสดงหมายปองสิ่งเดียวกับตน สิ่งนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากดวงหทัยเจ้านาคา

“น้องดื้อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ทำไมยังไม่กลับมากันอีก นี่ก็ปาเข้าไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเข้าแล้ว” ทรงกลดปรารภกับตนเอง ครั้นพอสิ้นเสียง หัวใจที่กำลังกระวนกระวายนั้นก็ต้องฉ่ำเย็น เพราะรัศมีเขียวทองที่ยังเจือด้วยสีกุหลาบ พุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้า แล้วสลายรวมร่างกลายเป็นน้องดื้อที่เขาคิดถึงและเป็นห่วงอยู่แทบทุกลมหายใจ

“น้องดื้อพี่กำลังบ่นถึงเจ้าพอดี” คิ้วที่กำลังขมวดยุ่งคลี่คลาย ใบหน้าเริ่มเจือไปด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นดังเคย ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพิบวิบวับ ฉายแววดีใจยามเห็นวรองค์น้อยๆประทับยืนอยู่ตรงหน้า

“พระพุธเป็นอย่างไรบ้าง จันทรเทพ”

“อาการแย่ลง พลังทิพย์เริ่มไม่เหลือแล้ว พี่พยามยามถ่ายพลังไปให้ จนพี่เองก็อ่อนกำลัง” ทรงกลดไม่ได้เล่าอาการมาอย่างเดียว หากทว่าปนลูกอ้อนมาด้วย “แล้วอัสดงล่ะครับ ไม่มาด้วยเหรอ แล้วตัวยาล่ะ ได้มาไหม”

“โน่นไง ตามมานู่นแล้ว”

กายทิพย์ของอัสดงพุ่งลงจากฟ้าลอยละลิ่วผ่านนอกชานวิ่งตรงเข้าสู่ห้องนอน เพื่อรวมกับร่างจริงที่ยังนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งข้างๆร่างของเอราวัต กายทิพย์สว่างใสเริ่มลอยทาบกายหยาบจนสนิทแน่น พออัสดงลืมตาขึ้นมาได้สิ่งแรกที่หันมาดูก็คือ เอราวัต ที่บัดนี้นอนแน่นิ่ง รัศมีแห่งเทวะเริ่มจางลงจางลงเป็นลำดับ

“สีทันดรรีบมาดูอาการเอราวัตเหอะ ท่าจะแย่แล้ว”

สีทันดรได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาด้านใน สุรเสียงใสเริ่มกล่าวเป็นการเป็นงานทันทีว่า “อัสดงเจ้าถอยไปก่อน แล้วเอากลีบบัวอัคคีสัตตบงกชมาให้เรา”

พระหัตถ์ขาวนวลเมื่อรับกลีบบัวมาได้ ก็กำแน่นบริกรรมพระคาถาที่ร่ำเรียนมา ปรุงยาวิเศษน้ำจากสระอโนดาตในสร้อยนาคาที่อมไว้ ถูกรีดออกมาใช้ ครั้นพอแบพระหัตถ์ กลีบบัวก็สลายกลายเป็นผงสีทองลอยละลิ่วขึ้นฟ้า ผสมรวมกับหยาดน้ำแห่งสระอโนดาตนั้น

ไอร้อนรุนแรงเริ่มกระจายทั่วห้อง เสียงสังวัธยายมนตราเริ่มดังระรัว สายวัชระแปลบปลาบครั้นครื้นขึ้นอย่างไม่มีเค้ามาก่อน ราวกับรามสูรเริ่มโมโหที่พิษของตนกำลังจะถูกถอดถอน พระวรกายขาวนวลเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดงอมชมพูแสดงว่าไอร้อนนั้นเริ่มจับพระวรกายผู้ร่ายมนตราเช่นกัน เอราวัตจากที่นอนสงบหายใจรวยระรินเริ่มดิ้นพล่าน พระอาทิตย์กับพระจันทร์ต้องรีบรุดมายึดร่างนั้นไว้

“จับเขาไว้ให้มั่น แล้วเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกให้หมด”

อัสดงกับทรงกลดรีบทำตามรับสั่งทันใด ครั้นพอร่างกายเอราวัตปราศจากอาภรณ์ใดๆปกปิดแล้ว สายตาทุกคู่จึงเห็นว่า ร่างกายซีกที่โดนพิษนั้น ลุกลามไปยิ่งกว่าเดิม และเริ่มกระจายไปสู่ด้านล่างของร่างกาย สีทันดรที่หยุดร่ายมนตราพอเห็นเข้าก็ถึงกับทอดถอนพระหฤทัย

“เราเริ่มไม่มั่นใจแล้ว ว่าจะได้ผลไหม แต่เราจะลองดู”

เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอายที่จะต้องมาเห็นใครเปลือยกายอยู่ตรงหน้า สีทันดรวนพระหัตถ์รวมตัวยาวิเศษแล้วส่งผ่านไปยังร่างของพระพุธอย่างสุดพระกำลัง พระโอษฐ์ร่ายพระอาคมอีกครั้ง

“ โอม นมัส ศิวาเย มหาเทพโปรดประทานพร”

เอราวัตจากเดิมที่ดิ้นพล่านอยู่แล้วก็ยิ่งดิ้นขึ้นไปอีก รัศมีสีทองสว่างวาบระยิบระยับเริ่มกัดเซาะบริเวณที่ถูกพิษทีละน้อยทีละน้อย พระพุธสะท้านกายทุกครายามที่ยากับพิษโรมรันกัน ครั้นพอหมด ร่างกายของเขาลอยเหนือเพดานห้อง อัสดงกับทรงกลดมิสามารถยึดร่างสหายไว้ได้ต่อไปแล้ว ไอร้อนที่อัดแน่นก็เหมือนจะระเบิดออกมา แสงวาบสว่างจ้าดุจกลางวันกระจายทั่ว หากพอแสงสลายมลายลง ร่างกายพระพุธก็ร่วงกลับลงมายังที่นอน ร่างกายที่ดิ้นพล่านสงบลงโดยดุษฎีพร้อมๆกับเปลือกตาที่เสมือนว่าหนาหนัก เริ่มเผยอขึ้น  เสียงเคยคุ้นของสหายช่างพูดแหบพร่า กระท่อนกระแท่น

“นี่ฉันเป็นอะไร ไปนี่ แล้วใครมาจับฉันแก้ผ้าวะ”

เท่านั้นแหละก็ก่อให้เกิดเสียงไชโยดีใจลั่นห้อง อัสดงกับทรงกลดโผกอดสหายพลัน “มันรอดแล้ว” ส่วนสีทันดร ก็ยังคงยืนอยู่กลางห้อง พระวรกายเริ่มโงนเงนทรงไว้ไม่อยู่ ครั้นพอย่างพระบาทพระสติก็ดับวูบลงไปในบัดดล

“สีทันดร...”

“น้องดื้อ”

อัสดงกับทรงกลดรีบโผเข้าประคองร่างของสีทันดรก่อนที่จะล้มลงกับพื้น หนึ่งอาทิตย์แลอีกหนึ่งจันทร์ต่างตระกองกอด วรองค์บางไว้ในอ้อมแขน พระวรกายที่ขาวผ่องกระจ่างใส บัดนี้เริ่มเป็นสีซีด

“สีทันดร เจ้าเป็นอะไร ลืมตาขึ้นสิ ตื่นมาคุยกับเราก่อน”

“พาน้องดื้อไปนอนที่ห้องก่อนดีกว่า สงสัยจะใช้พลังไปเยอะ”

“อืม ก็ได้แต่ฉันจะพาไปเอง นายปล่อยสีทันดรได้แล้ว ต่อไปนี้ฉันจะดูแลสีทันดรเอง”

อัสดงพูดจบก็ดึงร่างของสีทันดรออกจากอ้อมแขนของทรงกลด ทำให้อณูแห่งจันทรเทพเริ่มตีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะแย่งน้องดื้อกลับมา เอราวัตที่เริ่มได้สติก็ร้องเรียกมาพลัน

“กลด นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าใครมาจับฉันแก้ผ้าวะ แล้วนั่น ไอ้นาคน้อยมันเป็นอะไร แล้วนายจะพามันไปไหน ไอ้อัสดง”

อัสดงไม่สนใจคำถามของเอราวัต อุ้มร่างที่อ่อนระทวยของสีทันดร ไปยังห้องข้างๆที่จัดไว้เป็นห้องบรรทม ทรงกลดรีบเดินตามไปบ้าง เอราวัตก็ยังร้องเรียกไม่หยุด “เฮ้ยยย เล่าให้ฉันฟังก่อน เกิดอะไรขึ้น”

“เลิกถามได้แล้ว ไอ้เอราวัต ใส่เสื้อผ้าซะ ถ้ามีแรงก็ลุกตามมา”

ทรงกลดตอบกลับเอราวัตอย่างหัวเสีย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการกระทำของอัสดงที่ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเจ้านาคาตาสวยอย่างออกหน้าออกตา..... “นายไม่มีสิทธิ์ ไอ้อัสดง”

เมื่อเข้าห้องมาได้ อัสดงค่อยๆบรรจงวางร่างน้อยๆ ลงบนเตียงหนานุ่ม หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวลใจ  “สีทันดรของพี่ เจ้าเป็นอะไร ตื่นมาคุยกับพี่สิ”

น้ำตาใสๆของลูกผู้ชายเริ่มคลอหน่วย เพราะพยายามปลุกอย่างไร เจ้านาคายอดดวงใจก็ยังไม่ฟื้นคืนพระสติ มือแข็งแรงของเด็กหนุ่มลูบไล้ไปทั่วพระปรางสีซีด

“ตื่นสิ สีทันดร  เจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าทำไมเจ้าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าอยากรู้ใช่ไหม ว่าเราขอพรอะไรจากมหาลักษมีเทวี  แล้วเจ้ามาเป็นอะไรไปอย่างนี้ เราจะบอกสิ่งที่อยู่ในหัวใจให้ใครฟัง”

หากสีทันดรตื่นขึ้นมาได้สดับรับฟัง พระปรางที่ซีดคงกลับมีเลือดฝาดขึ้นมาแน่ๆ รัศมีเขียวทองเริ่มอ่อนจนเกือบขาวแสดงว่าพลังทิพย์เริ่มสลายลงเป็นลำดับ

“ทำอะไรสักอย่างสิอัสดง พลังทิพย์ของน้องดื้อเริ่มจางลงแล้ว มัวแต่คร่ำครวญอยู่นั่นแหละ”

ทรงกลดที่ตามเข้าห้องมาพร้อมกับเอราวัตที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกล่าวเตือนสติขึ้น พระอาทิตย์รูปงามก็ยังคงทำอะไรไม่ถูก เจ้าพระจันทร์ทนรอไม่ไหวเข้ามาผลักอกตนออก

“ถ้าจะนั่งดูน้องดื้อเฉยๆ ก็ถอยไป ฉันจะถ่ายพลังให้น้องดื้อเอง”

รัศมีเหลืองนวลจากร่างของทรงกลดเปล่งประกายวาบ ไหลระเรื่อลงกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มม้วนเป็นลำเข้าสู่พระวรกายที่ประทับนอนแน่นิ่ง เพียงกระทบกันในคราแรก รัศมีแห่งเทวะนาคาเหมือนจะตอบรับ หากพอสักพัก กลับกลายเป็นผลักออก ประดุจเจ้าของร่างมิสนใจใยดี ที่จะรับไมตรีจิตจากอณูแห่งจันทรเทพ

“พระมหาลักษมีเทวี โปรดประทานพร ให้เกล้ากระหม่อมช่วยสีทันดรได้ด้วยเถิด”

อัสดงนึกถึงพระมหาเทวี ฉับพลันดวงตาสีเหลืองอำพันก็กลับกลายเป็นสีกุหลาบ รัศมีแดงร้อนแรงเริ่มเจือด้วยสีชมพูอ่อนใส แต่แทนที่อัสดงจะถ่ายพลังทิพย์เฉกเช่นวิธีเดียวกับทรงกลด เขากลับผลักอณูแห่งจันทรเทพออกไปบ้าง แล้วโน้มตัวลงประกบริมฝีปากลงไปบนริมโอษฐ์ที่คล้ายว่าจะเผยอรอรับอยู่แล้ว

“เฮ้ย อัสดง นายทำบ้าอะไร” ทรงกลดกับเอราวัตอุทานมาแทบจะพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าเจ้าพระอาทิตย์จะทำวิธีนี้ แต่ด้วยปาฏิหาริย์หรือพลังทั้งคู่ต่างก็รอคอยซึ่งกันและกัน ทำให้รัศมีเขียวอ่อนที่เริ่มจะโรยรา ค่อยๆสว่างจ้าขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย  จนกระทั่งเรืองรองดังเดิม ริมฝีปากของอัสดงค่อยๆถอนออกช้าๆ ไอทิพย์ยังคงถูกถ่ายลงมา พออัสดงหุบปากลง  นั่นก็คือความหมายว่าการถ่ายพลังนั้นสุดสิ้น

พลังแห่งสุริยเทพเข้ากันกับพลังแห่งเทวะนาคาได้ อณูแห่งจันทรเทพเริ่มรู้ หากแต่ไม่ยอมรับ !!!

พระพักตร์ขาว คลี่คลาย แจ่มกระจ่าง
ดั่งกุหลาบ บานสล้าง เฉลาฉาย
ดวงเนตรงาม  กระพือขึ้น โอษฐ์แย้มพราย
ดั่งบัวสาย คลายคลี่กลีบ ปทุมมาลย์

สีทันดร ‘ตื่นแล้ว’ พระเนตรฟ้าครามที่ปิดสนิทเริ่มลืมขึ้น หากยังบรรทมนิ่ง ราวทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พระหัตถ์น้อยๆเลื่อนมากุมมือของอัสดง สัมผัสอ่อนหวานถ่ายทอดออกมาจากมือทั้งสองข้างนั้น อัสดงเองก็รู้สึกได้ ครั้นพอทอดพระเนตรเห็น ผู้ที่นั่งรายล้อมรอบเตียงนั่นแหละก็ทำให้อุทานเบาๆ มือที่กุมอยู่ค่อยๆเลื่อนออก

“แย่จัง ใช้พลังมากไปหน่อย เลยทำให้พวกเจ้าลำบาก ” ครั้นพอจะยันกายลุกขึ้น ทรงกลดก็โน้มตัวมากดพระอังสะเบาๆ ให้ประทับนอนเช่นเดิม

“อย่าเพิ่งลุกครับ นอนพักก่อน”

“เราไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านพระพุธล่ะ หายดีแล้วเหรอ”

“หายดีแล้ว ขอบใจมากที่ช่วย เจ้าเก่งมากสีทันดร เราเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”

“ท่านควรขอบคุณอัสดงเหอะ เพราะไม่ได้เขา เราก็ไม่มีทางได้ดอกบัวเพลิง”

เอราวัตตบไหล่อัสดงเบาๆ แล้วกอดคอสหายไว้แน่น “ขอบใจมากเพื่อน ต่อไปนี้ ชีวิตฉันเป็นของนายสองคน”

มิตรภาพก่อตัวแนบแน่น ความไม่พอใจยามที่สุริยาทิตย์ชอบแสดงท่าเป็นพระเอกตอนอยู่บนสวรรค์เลือนรางจางหาย รอยยิ้มอ่อนๆคลี่คลาย

“อย่าคิดมากน่า ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”

“ใช่เราเป็นเพื่อนกัน ฉันก็ต้องขอบคุณนายด้วย กลด ที่ดูแลยามฉันหมดสติ” พระพุธน้อยขอบคุณไปทั่ว

“ไม่เป็นไร ....พวกเราไปกันเหอะ ปล่อยให้น้องดื้อพักผ่อน”

ทรงกลดพยักพเยิดชวนอัสดงกับเอราวัตออกจากห้องบรรทม หากแต่อัสดงยังมิคงยอมลุกไปไหน

“นายสองคนไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับสีทันดรนิดนึง”

ทรงกลดชะงักพลัน คำพูดธรรมดาๆแต่ฟังแล้วขัดหูยิ่ง ทำไมอัสดงเอ่ยพระนาม ‘สีทันดร’ได้อ่อนหวานเหลือเกิน ครั้นพอหันไปสบพระเนตรฟ้าคราม ก็เห็นว่าพระเนตรคู่นั้น เปล่งประกายยินดีฉายชัด ไปหิมพานต์สองต่อสองทำให้ศัตรูกลายมาเป็นคู่รักเชียวหรือ

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหานมร้อนๆ ให้น้องดื้อดีกว่านะครับ กินแล้วจะได้ดีขึ้น ฟื้นกำลังได้เร็ว ไปกันเหอะเอราวัต นายก็ควรพักผ่อน อัสดงนายตามมาเร็วๆล่ะ อย่าเพิ่งกวนน้องดื้อนานนัก”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด