บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๑)
ยอดเอยเจ้ายอดรัก
พี่เฝ้าทักเจ้ากลับเงียบควรไฉน
ใจของพี่คิดถึงเจ้าอยู่ร่ำไป
เจ้ากลับไกลจรใจพี่มิร่ำลาบทกวีอันเคยคุ้น เป็นลำนำขับกล่อมยังก้องอยู่ในพระโสตของนลกุพรที่ค่อยๆปรือพระเนตรขึ้นช้าๆ ความมึนงงยังจับอยู่เต็มพระเศียร ม่านพระเนตรหนาหนักกว่าจะเปิดขึ้นเต็มที่ก็จำต้องใช้ระยะเวลาสักพัก เพียงจับภาพรอบๆพระวรกายได้ เจ้าเทวอสุราหนุ่มน้อยผู้ทรงเขี้ยวแก้วก็ต้องประหลาดพระทัย เพราะรายรอบด้านมิใช่ห้องพระบรรทม
“ที่นี่..ที่ไหนกัน”
“ตื่นแล้วหรือ นล” สุรเสียงใส ดังขึ้นพร้อมๆกับบานประตูไม้ถูกเปิดออก สีทันดรรีบเข้ามาประชิดเตียงที่สหายสนิทกำลังยันกายลุกขึ้นมา
“ทำไมถึงกินเหล้า จนเมาหนักร่วงลงมาที่หิมพานต์”
“นะ นลน่ะหรือเมา” นลกุพรทรงย้อนถามเบาๆ แล้วค่อยๆทบทวนความจำ ตนจำได้ว่าตนนั้นนั่งเสวยน้ำจันอยู่องค์เดียวภายในห้องบรรทม แล้วไฉนถึงได้ร่วงลงไปยังหิมพานต์
“แล้วทำไมนลมาอยู่ที่นี่ละสีทันดร แล้วที่นี่ที่ไหน”
“ที่นี่บ้านพี่พระพุธไง พวกเรากำลังจะเดินทางกลับกันพอดี แต่เรากับอัสดงดันพานลมาพัก เนี่ยกำลังรออยู่ว่าเมื่อไหร่นลจะฟื้น แล้วทำไมถึงได้กินเหล้าจนไม่ได้สติขนาดนั้น นลยังไม่ได้บอกเราเลย รู้ไหมนลถึงกับร่วงลงมาจากฟ้าเชียวล่ะ โชคดีนะที่เรากับอัสดงไปเจอ”
สีทันดรอมยิ้มกล่าวตอบ ถ้าจะพูดให้ถูกที่จริงแล้วตนไม่ได้ไปเจอหรอกแต่นลกุพรดันร่วงลงมาพอดิบพอดีระหว่างที่อัสดงกำลังจะเผด็จศึก อัสดงแม้จะหัวเสียอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยลงไปพยุงร่างของนลขึ้นมาจากน้ำ แล้วพากันมายังบ้านของเอราวัต
นลกุพรค่อยๆทบทวนความจำอีกครั้ง แล้วอัสสุชลก็เริ่มหลั่งริน น้ำตาลูกผู้ชายโอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ ไหลอาบปราง พร้อมทั้งโผกอดสหายไว้มั่น กล่าวขึ้นด้วยสุรเสียงสั่นเครือ
“มุจลินทร์....มุจลินทร์ไม่ได้รักเรา สีทันดร เจ้าได้ยินไหม”
เสียงสะอื้นร่ำไห้ ของนลกุพรดังออกไปถึงข้างนอก จนอัสดงกับสหายที่นั่งคุยกันอยู่รีบเข้ามาดู ก็เห็นเจ้ายักษ์หนุ่มเขี้ยวแก้วซบหน้าอยู่ในอ้อมพระพาหาของสีทันดร
“นลเป็นอะไร ไอ้ดื้อ”
“นลหยุดร้องไห้ก่อน แล้วเล่าให้ฟังชัดๆ” สีทันดรมิได้กล่าวตอบอัสดง เพราะยังมิทรงรู้ แล้วทรงปลอบสหายสนิทต่อมาว่า
“นลเคยบอกเราเองไม่ใช่เหรอว่า เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แล้วทำไมนลทำเสียเอง ....แล้วทำไมถึงคิดว่ามุจลินทร์ไม่รักนลล่ะ”
“นลคุยกับมุจลินทร์หลังจากเสร็จศึกนางบาทบริจาริกา สีทันดรเจ้าจำได้ไหม ที่วันนั้นนลบอกว่า มุจลินทร์มีทีท่าแปลกๆ ให้เจ้าช่วยไปถามความ แต่เจ้าก็ยังเงียบ นลเลยลงไปที่บาดาลในอีกสองวันตต่อมาและก็ได้คุยกับมุจลินทร์” นลกุพรหยุดเว้นวรรคชั่วครู่ พยายามเช็ดคราบน้ำตาและรอยสะอื้น “และนลก็ได้คำตอบว่าทำไมมุจลินทร์ถึงเปลี่ยนไป”
“เราว่า มุจลินทร์ก็ยังปกตินะนล นลคิดมากหรือเปล่า”
“เหอะ สีทันดร เจ้าไม่สังเกตเลยบ้างหรือ ว่าในขบวนเสด็จกลับ มุจลินทร์เดินเคียงคู่ไปกับใคร และการที่มุจลินทร์แอบขึ้นมาช่วยเจ้า ทำไมมุจลินทร์ไม่ได้รับโทษานุโทษ”
สีทันดรทรงลำดับความจำ มันก็จริงอย่างที่นลพูด มุจลินทร์ขึ้นมาช่วยในระหว่างการศึก แถมทูลหม่อมพี่ชายก็ไม่ได้ทรงลงพระอาญาแต่อย่างใด ....และตอนขบวนเสด็จ เสด็จกลับ มุจลินทร์ประทับยืนเคียงคู่ กับทูลหม่อมพี่ชายใหญ่....ฤาว่า
“มุจลินทร์กับทูลหม่อมพี่ชายจะ...”
“ถูกแล้วสีทันดร มุจลินทร์จะเข้าพิธีอภิเษกกับพี่ชายเจ้า จะรั้งตำแหน่งพระอัครชายา ขึ้นเป็นว่าที่ พระสมุทรเทวีองค์ต่อไปไงล่ะ”
“อะไรนะนล”
สีทันดรใช่ว่าไม่ทรงเชื่อ แต่ไม่อยากทรงเชื่อมากกว่า อย่างทูลหม่อมพี่ชายเนี่ยนะจะอภิเษกกับมุจลินทร์ ทูลหม่อมพี่ชายทรงเป็นนักรบเต็มองค์ วันๆก็อยู่แต่กับทหารราชองค์รักษ์ ฝึกอาคมและศาสตราวุธ ส่วนมุจลินทร์ก็ประทับอยู่แต่ฝ่ายใน งามพร้อมด้วยจริยาวัตร หรือมันจะเป็นอย่างที่สมเด็จแม่ทรงเคยกล่าวอยู่บ่อยๆ ‘ของแข็งต้องรัดรึงไว้ด้วยใยไหม เห็นทีจำต้องหาชายาให้’ แต่เท่าที่จำได้ พี่ชายใหญ่ก็ทูลตอบแทบทุกครั้งเหมือนเดิมว่า
“หม่อมฉันจะหาเอง สมเด็จแม่จะหานางบาทบริจาริกามากี่ตนก็ได้ ....แต่ตำแหน่งเอกอัครชายา หม่อมฉันจะหาเอง”
“แล้วหาได้หรือยังล่ะลูก ทยุติธร”
“คิดว่าเจอแล้วพะยะค่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่หรอก”
ท่วงท่าและสายพระเนตรของทูลหม่อมพี่ชายที่ทูลตอบสมเด็จแม่ สีทันดรยังทรงจำได้ดี พี่ชายทรงอมยิ้ม มิทำองค์เอาจริงเอาจังเกินชันษาเฉกเช่นเคย ทรงกลายเป็นหนุ่มน้อยๆ อ่อนโยนที่น้อยคนนักจะเห็น และหลายๆครั้งที่พี่ชายใหญ่เสด็จเข้ามาคุยกับตนแต่มิได้คุยเรื่องตนเท่าไรนัก
“วันนี้ไปซนที่ไหนมาอีก...สีทันดรน้องรัก”
“ไปหิมพานต์กับมุจลินทร์มา ไปนั่งดูมุจลินทร์ร้อยดอกไม้พะยะค่ะ นี่ไงสวยไหม” สีทันดรทรงตรัสตอบแล้วชูพวงมาลัยที่งามยิ่งบรรจงร้อยเรียงด้วยอุ้งหัตถ์แห่งเทวนาคีมุจลินทร์
“เป็นผู้ชาย....ทำไมไปนั่งดูผู้หญิงร้อยดอกไม้ ไม่ได้เรื่องเลย เสียเวลาเปล่าๆ วันหลังไปดูพี่ฝึกอาวุธดีกว่า จะชวนมุจลินทร์ไปด้วยก็ได้นะ พี่ไม่ห้าม” ประโยคหลังทรงทอดเสียงกลายเป็นอ่อนโยนตรัสมาอย่างยิ้มๆ แล้วรับพวงมาลัยนั้นไปทอดพระเนตร
“อืมสวยดี...แต่พี่เป็นผู้ชาย เป็นนักรบ พี่ไม่ค่อยถูกกับมาลัยดอกไม้นี่สักเท่าไร”
ทยุติธรตรัสว่าไม่ถูกกับดอกไม้ แต่ไฉนไยไม่ยอมคืนพวงมาลาพวงนั้นแด่พระอนุชา
“มุจลินทร์คงไม่อยากดูหรอกการรบราฆ่าฟัน เขาไปหิมพานต์น่าจะโปรดกว่า อีกอย่างเขาจะได้เจอนลด้วย”
“ทำไมจะไม่โปรด ต้องโปรดสิ...แล้วนลน่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพามุจลินทร์ไปหา หากสมเด็จทวดรู้มันจะไม่งาม ดีไม่ดีเจ้าจะโดนลงโทษด้วยโทษฐานเป็นพ่อสื่อ”
หลังจากวันนั้นการเสด็จหิมพานต์ก็จำต้องงด เพราะมีคำสั่งลึกลับจากเบื้องบน สั่งห้ามเด็ดขาด และวันหนึ่งเมื่อตนพามุจลินทร์ไปดูทหารองค์รักษ์ซ้อมรบ คนที่กุลีกุจอแสดงฝีมืออย่างเต็มที่นั้นก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก ทูลหม่อมพี่ชายใหญ่ขององค์เอง
“ฝีมือพี่พอเข้าขั้นไหม” สุรเสียงตรัสถามพระอนุชา แต่พระอนุชาพระองค์น้อยมิทันได้สังเกต ว่าสายพระเนตรพระเชษฐาทรงมองใคร
“พี่ชายเก่งจัง...หม่อมฉันอยากเก่งอย่างพี่ชายบ้าง”
“อยากเก่งก็ต้องฝึก เลิกเที่ยวเล่นเป็นเด็กๆได้แล้ว .....ไว้พี่จะสอนให้ มุจลินทร์เจ้าก็ด้วยนะ ถ้าเจ้าอยากฝึก เรายินดีเป็นครูสอนให้เจ้าสองคน สนใจไหม”
“หม่อมฉันมิถนัดในการรบราฆ่าฟันเพคะ” มุจลินทร์เหมือนจะทรงรู้ว่าคำสั่งลึกลับห้ามมิให้เสด็จหิมพานต์นั้นมาจากใคร จึงเบือนพระพักตร์หนีไมตรีจากคนตรัสถาม
“ทำไมจะไม่ถนัด ....ต้องถนัดสิ แต่อืม เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าเจ้าอาจจะ....เอ่อ”
“อาจจะอะไรเพคะ ทำไมไม่ตรัสให้จบ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
เหตุการณ์ต่างๆถูกทบทวนอีกหลายเหตุการณ์และสีทันดรก็เพิ่งตระหนักว่า สิ่งที่ทูลหม่อมพี่ชายทรงกระทำมีเหตุและนัยอันใดซ่อนอยู่ ตอนนี้ทรงรู้และมั่นพระทัยแล้วว่า คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ของพี่ชายนั้นคือใคร พี่ชายคงถูกพระทัยมุจลินทร์มานานนักหนา แต่ทำมาเป็นปากแข็ง และวิธีการจีบก็ชอบทำองค์เป็นนักรบ สั่งโน่นสั่งนี่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ แล้วใครเล่าจะโปรดตอบ ....โดยเฉพาะมุจลินทร์กัญญา
“แล้วมุจลินทร์ ยอมอภิเษกด้วยเหรอนล ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ” สีทันดรทรงถามสหายต่อ
“เป็นการที่รู้กันภายในก่อน พอดีวันที่นลไปคุยกับมุจลินทร์ เขาประทับอยู่ด้วยกันพอดี” เท่านั้นแหละนลกุพรก็กรรแสงมาอีกคำรบ สีทันดรจำต้องช่วยปลอบยกใหญ่ อัสดงได้ฟังก็เห็นใจ จึงช่วยปลอบบ้าง
“นล...อย่าเพิ่งเสียใจไป ใจเย็นๆก่อน”
“เราไม่เย็นแล้วอัสดง เราไม่มีหน้าไปสู้ใคร เรารักมุจลินทร์แต่ทำไมมุจลินทร์ทำกับเราอย่างนี้ เราจะไปหามุจลินทร์ไปคุยกันให้รู้เรื่องอีกรอบ” ว่าแล้วนลกุพรก็สลัดองค์เตรียมลุกขึ้น แต่สีทันดรก็ยึดองค์สหายไว้มั่น
“นล ฟังเรา!! นลพักก่อนเถิดนะ พักที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวเราจะลงไปหามุจลินทร์ ถามเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่าง เผื่อบางทีเราจะช่วยได้”
“เจ้าพูดไปก็เท่านั้น สีทันดร เจ้าจะช่วยอะไรได้” นลกุพรยังแข็งขืน สะบัดวรกายอาละวาดพยายามลุกจากเตียง สีทันดรจึงขอกำลังจากเทวะน้อยมาช่วยยึด
“อัสดงช่วยเราหน่อยเร็ว แรงนลเยอะเหลือเกิน”
เท่านั้นแหละอัสดงก็ช่วยเข้ามายึดนลไว้ แต่ด้วยความที่นลกุพรเป็นโอรสาแห่งท่านท้าวเวสสุวัณ เจ้าแห่งอสุรา กำลังวังชาจึงมากกว่าผู้ใดเพียงแค่อัสดงกับเจ้านาคน้อยหรือจะเอาอยู่
“เฮ้ย ไอ้ฉัตร ไอ้น้ำเชี่ยว เข้ามาช่วยฉันหน่อยเร็ว”
อัสดงร้องเรียกคันฉัตรกับน้ำเชี่ยวที่ยืนอยู่ใกล้สุด สองคนนั่นรีบเข้ามาช่วยยึดโดยไม่รอช้า น้ำเชี่ยวที่ว่าแรงเยอะยังร้องลั่น “แรงมันเยอะจริงโว้ยไอ้ยักษ์นี่”
“ไอ้กลด นายช่วยทำให้ไอ้ยักษ์นี่สงบทีเหอะ”
คันฉัตรร้องบอกทรงกลดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ปลายเตียง ทรงกลดยืนฟังอยู่นานแล้วก็รู้สึกเห็นใจนลกุพรอย่างบอกไม่ถูก เพราะเพิ่งอกหักมาเหมือนๆกัน แต่เขาเลิกแล้วที่จะดื้อรั้น ส่วนไอ้ยักษ์เขี้ยวแก้วนี้ยังรั้นอยู่ ....เห็นทีจำต้องช่วย แล้วทรงกลดก็ร่ายพระเวทเปล่งรัศมีเหลืองนวลจากปลายมือ เข้าแตะอังสะของนลกุพรไว้ พร้อมทั้งกล่าวว่า
“ใจเย็นๆก่อน นอนพักซะหน่อย ตื่นมาจะได้ดีขึ้น ไปหาเขาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดี เชื่อฉันเหอะ ฉันเคยเป็นแบบนายมาก่อน” ทันทีที่รัศมีเหลืองนวลวาบวับเข้าสู่วรกายนลกุพรก็มีอันสงบลง พระเนตรที่เบิกกว้างก็มีอันปรือปิดสนิทแน่น บรรทมแน่นิ่งกับพระที่ดังเดิม
“เฮ้ออออ แรงมันเยอะจริงๆ” น้ำเชี่ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เห็นทีเราต้องฝากนลไว้กับพวกพี่ๆสักพัก เราจะกลับบาดาล ไปถามมุจลินทร์ให้รู้เรื่อง”
“เจ้าจะไปยังไงไอ้ดื้อ....แล้วพวกเราก็กำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพกันอยู่แล้วนะ ใกล้วันที่จะมีเทวราชโองการแล้วด้วย เจ้าจะมาทันเหรอ แล้วอีกอย่างอัสสะก็กลัวว่าเจ้าจะโดนกักตัวไว้” อัสดงกล่าวถามยอดดวงใจด้วยความเป็นห่วง
“ทันถมถืด อีกตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะถึงวันเพ็ญ เราไม่ได้ใช้พาหนะแบบมนุษย์ไปนะ เราไปด้วยฤทธิ์ อัสสะอย่าลืมสิ แล้วเรื่องกักตัวคงไม่มีหรอก พี่ชายทรงยอมแพ้ไปแล้วนี่ เราจะได้ไปเยี่ยมบ้านเราด้วย หากอัสสะจะเดินทางกันก็ไปก่อนได้เลย เราตามไปถูก”
“แต่อัสสะเป็นห่วง งั้นอัสสะไปด้วย”
“อัสสะจะไปต้องไปด้วยกายทิพย์ มิฉะนั้นเข้าบาดาลไม่ได้ และหากอัสสะไป พวกพี่ๆเขาก็จะเดินทางไม่ได้เพราะต้องเฝ้ากายหยาบของอัสสะ เราไปคนเดียวสะดวกกว่า”
“จริงอย่างที่น้องดื้อว่านะอัสดง ให้น้องดื้อไปคนเดียวเหอะ พวกเราจะได้เดินทาง ให้น้องดื้อตามไปทีหลังไปเจอกันที่บ้านไอ้กลดก็ได้ น้องดื้อคงไปถูกนี่ ไม่งั้นคงไม่ตามไปแอบดูพี่อัสสะรูปหล่อนอนหลับอยู่ในห้องหรอก ใช่ไหม” เอราวัตกล่าวแซวติดตลกเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาได้
“แหม พี่เอราวัต เรื่องมันนานนมมาแล้ว ยังจะมารื้อฟื้น”
“เฮ้ย แต่ฉันมีข้อเสนอว่ะ ...อีกหนึ่งเดือนข้างหน้ากว่าจะมีเทวราชโองการ ฉันว่า เราอย่าเพิ่งกลับบ้านไอ้กลดกันเลย พวกเราลองไปหาที่เงียบๆ ฝึกอาวุธกันดีกว่า พวกเราจะได้ถือโอกาสนี้ปรับสภาวะทิพย์ให้สูงขึ้นด้วย เพราะเวลาพระมหาเทพและมหาเทวีเสด็จพร้อมๆกัน พลังและรัศมีของแต่ละพระองค์จะรุนแรงนัก พวกเราอาจทานไม่ไหว”
ธรรม์ที่เงียบอยู่นานเสนอขึ้น หลายๆคนคิดตามและก็เห็นด้วย การที่มหาเทพและมหาเทวีเสด็จเทวะทุกพระองค์จำต้องปรับพลังงานรับการเสด็จทุกครั้งมิฉะนั้นจะเข้าเฝ้าไม่ได้ จะมีบางทีเท่านั้นแหละ ที่มหาเทพและมหาเทวีปรับพลังงานองค์เองให้ลดลงเพื่อที่เทพชั้นผู้น้อยจะได้เข้าเฝ้า แต่ก็ทรงทำไม่บ่อยนัก
“เห็นด้วยกับไอ้ธรรม์ แล้วเราจะไปที่ไหนดี” คืนฉายรีบกล่าวสนับสนุน
“ฉันมีอยู่ที่หนึ่ง ที่นั่นค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีคนรบกวน ก่อนฉันมารวมกลุ่ม ฉันไปซุ่มฝึกอาคมที่นั่น แถมบรรยากาศก็ดี ปกคลุมด้วยทะเลหมอก พวกนายต้องชอบ ถือว่าเป็นโอกาสพักผ่อนครั้งสุดท้ายไปด้วยในตัว”
“แล้วมันที่ไหนล่ะวะ”
“ก็จะบอกอยู่นี่ไงไอ้ราหู....นายนี่ขัดฉันเสียจริง ไอ้เวรนี่” คันฉัตรหันไปด่าสหายแล้วกล่าวต่อว่า “ เมืองปาย แม่ฮ่องสอน พวกนายว่าไง”
แทบจะทุกคนยกมือสนับสนุน อัสดงทีแรกก็ไม่เห็นด้วย เพราะอยู่ที่บ้านทรงกลดก็ฝึกกันได้ แต่เสียงส่วนใหญ่มีมติเป็นเอกฉันท์เขาจำต้องยอมรับมตินั้น แต่สีทันดรล่ะ จะตามไปถูกเหรอ
“แล้วไอ้ดื้อล่ะ จะตามไปยังไง หากเราไปที่นั่น”
“อัสสะไม่ต้องห่วงเรา เรามีสมุทรมณี พวกอัสสะอยู่ที่ไหนเราตามไปถูกแน่นอน อัสสะไปกับเพื่อนๆเหอะ ตอนนี้เราห่วงนล นลเป็นสหายสนิทของเรา นลเป็นอย่างนี้เราไม่ค่อยสบายใจเลย ถ้าอัสสะเดินทางไป ช่วยดูแลนลให้หน่อยได้ไหม”
“นลก็เป็นเพื่อนอัสสะเหมือนกันนะ เจ้าไม่ต้องห่วง ที่นี่อยู่กันหลายคน แต่เจ้าจะไปคนเดียวจริงๆหรือ”
“อืม ...แค่กลับบ้านไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ากังวลนัก เราเอา รักกับยมไปด้วย ให้มันคอยอยู่ที่หน้าบาดาล เผื่อมีอะไรเราได้ส่งข่าวทัน อัสสะจะได้ไม่ต้องห่วง ดีไหม พี่ฉัตรคงไม่ว่าอะไรนะ”
“เอาไปเถอะน้องดื้อ...พาไอ้รักไอ้ยมมันไปด้วยแหละดี ให้มันเป็นม้าเร็วคอยส่งข่าวให้ก็ได้”
“งั้นเจ้าก็อย่ามัวแต่พากันเล่นซน เถลไถลล่ะ รีบไปรีบกลับเข้าใจไหม หากกลับมาช้า อัสสะบุกบาดาลจริงๆด้วย” อัสดงรู้นิสัยยอดรักดี ที่ชอบทำเรื่องไม่ยุ่งให้กลายเป็นยุ่งมหายุ่ง แถมยังซนเหลือขนาด กล่าวดักคอไว้แบบนี้แหละดีแล้ว
“เรารู้แล้วน่า...อัสสะนี่ก็” สีทันทันดรย่นพระนาสิกใส่ที่รักรูปงาม หมั่นไส้ยิ่งนักที่เขารู้ทันไปเสียหมด แล้วตรัสเรียกโอปาติกะหัวจุกสองตนที่ทำหน้าที่หมาดเล็กทันใด “รัก ยม ไปกับเราหน่อย”
สิ้นพระดำรัส เจ้าผีเด็กสองตนก็มาคุกเข่าอยู่แทบเบื้องบาท น้อมรับพระบัญชาจากเจ้านายจอมซน ครั้นเมื่อเข้าใจกันแล้วทั้งสามจึงเตรียมเดินทาง ก่อนเสด็จไปอัสดงย้ำนักย้ำหนาให้รีบไปรีบกลับ ส่วนทรงกลดพี่ชายคนใหม่ ก็ย้ำเช่นกันให้ระมัดระวังองค์ และรับปากว่าจะช่วยดูแลนลกุพรให้
“พี่จะช่วยดูแลนลกุพรสหายเจ้าให้...ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ขอบใจมากพี่กลด”
“ดูแลตัวเองด้วยน้องดื้อ พวกพี่ๆจะรอเล่นกับน้องดื้อนะจ๊ะ” น้ำเชี่ยวถือโอกาสแอบจับมือถือแขน ยักคิ้วหลิ่วตาหยอกล้อ แต่พอเห็นสายตาพิฆาตของอัสดงก็ต้องล่าถอย แถมยังโดนพี่ชายคนใหม่อย่างทรงกลด กล่าวคาดโทษ
“เดี๋ยวมึงโดนกระทืบ ไอ้พระอังคาร”
“แค่หยอกเล่นน่า”
“ไหมล่ะ บอกแล้ว” ธรรม์ยิ้มๆอย่างสะใจ น้ำเชี่ยวเอ๊ย เดี๋ยวก็โดนดีจนได้
“ตามมาเร็วๆนะ ไอ้ดื้อ อย่าลืมที่อัสสะบอก”
“อัสสะพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง รู้แล้วน่า ไปกันได้แล้วรักยม”
แล้วรัศมีเขียวนวลเจือทองประจำองค์เทวะนาคาจอมดื้อก็พลันสว่างวาบ พระวรกายที่งามดั่งรูปสลักก็สลายกลายเป็นแสงโชตินาการ พวยพุ่งลงสู่ลำน้ำโขงที่ทอดยาวดำทะมึน ตามติดด้วยโอปาติกะน้อยทั้งสอง
‘นล รอก่อนนะ เราจะไปถามความให้รู้เรื่อง เผื่อบางที มันอาจจะเป็นการเข้าใจกันผิด’
สีทันดรตรัสปลอบใจองค์เองไปอย่างนั้น....แต่ในพระทัยนั้นสิ ทรงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ที่นลเล่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะทำอย่างไรดี จะช่วยนลอย่างไรดี อีกครั้งแล้วหรือ ที่อาจต้องเผชิญหน้ากับทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร ที่ทรงรั้นยิ่งกว่าองค์เอง
ภายในนิมิตอันตระการ ทัศนียภาพแห่งหิมพานต์นั้นปรากฏ นลกุพรรู้ว่าองค์เองกำลังเด็ดปวงดอกไม้หลากสีนานาพรรณรายรอบอโนดาตมาเสียเต็มกำมือ แล้วดำเนินตามโขดหินระเกะระกะ มายังพระวรกายแน่งน้อยแห่งเทวนาคีมุจลินทร์ที่ประทับนั่งกรองมาลัยอยู่เหนือโขดหินพื้นราบมันระยับ
“นลเก็บมาเพิ่มให้”
“แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนล ไม่ต้องเก็บเพิ่มอีกแล้ว” มุจลินทร์ทรงลดเข็มยาวในพระหัตถ์หลังจากที่พิจารณาดูว่า มาลัยนั้นเสร็จไปกว่าครึ่งและดอกไม้ที่นลเก็บมาเพิ่มนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะร้อยถวายท้าวเวสสุวัณ
“เอ๊ะ....ทำไมดอกไม้มันช้ำอย่างนี้ล่ะนล นลเด็ดยังไร”
“หา....ช้ำเหรอ นลว่านลเด็ดเบามือแล้วนา”
“เบาที่ไหนกันนล....ช้ำไปหมดแทบทุกดอก ร้อยถวายไปก็ไม่สวย เดี๋ยวเราไปเก็บเองดีกว่า”
“เฮ้อ ช้ำจริงๆด้วย แต่นลเป็นยักษ์เป็นนักรบนี่นา แรงนลก็เยอะเป็นธรรมดา ....งั้นเดี๋ยวนลไปเด็ดให้ใหม่ก็ได้นะ คราวนี้จะเด็ดให้เบามากว่าเดิม... ว่าแต่ระยะหลังนี้ไม่ค่อยขึ้นมาหานลเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า”
จู่ๆพระเนตรสุกใสสกาวเริ่มมีรอยรื้นแห่งพระอัสสุชลคลอทั่ว เพราะการเสด็จมาในพระสุบินของนลกุพรครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน แต่นลกุพรมิทันสังเกตเห็น มุจลินทร์ยังทรงนิ่งไปชั่วครู่สะกดกลั้นเสียงสั่นเครือก่อนจะตรัสตอบ
“นล....พอดีช่วงนี้เราได้รับหน้าที่จากสมเด็จฯ ให้ช่วยดูแลฝ่ายในน่ะ สมเด็จฯ ทรงฌานพร้อมกับสมเด็จพระพันปีกัทรุ เลยไม่ค่อยมีเวลา ทูลหม่อมพ่อกับทูลหม่อมปู่เสด็จฯขึ้นเฝ้ามหาเทพหมดทุกพระองค์ บาดาลเลยว่างผู้ปกครอง ทูลกระหม่อมใหญ่เลยทรงกำกับดูแลบาดาลแทน ส่วนทูลกระหม่อมเล็กสีทันดร ก็ประทับกับเหล่าเทวอวตารข้างบน แต่ทูลกระหม่อมใหญ่ มิทรงถนัดกำกับฝ่ายใน สมเด็จฯ จึงมีพระเสาวณีย์ลงมา ”
“อ้าวเหรอ....ถ้างั้นนลก็โล่งอก นึกว่ามุจลินทร์ปันใจให้ใครอื่นไปซะแล้ว รู้ไหมว่านลฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว ว่ามีคนแย่งเจ้าไป”
“นลมั่นใจในตัวเราแล้วหรือ”
“นลมั่นใจ ตั้งแต่เห็นเจ้าครั้งแรก ว่าคู่ชีวิตของนลจะเป็นใรไปไม่ได้นอกเสียจากมุจลินทร์ นลยังจำได้ดีเลยนะ วันนั้น วันที่สีทันดรพาเจ้ามาเที่ยวที่หิมพานต์”
“นล...ฟังเรานะ บางครั้งความเหมาะสม มันก็ต้องมาก่อนความรัก นลเป็นเทวอสุรา ประทับอยู่บนสวรรค์สังกัดพระมหาศิวะและพระมหาอุมาเทวี เราเป็นเทวนาคีอยู่ในบาดาล ภายใต้การกำกับดูแลแห่งพระมหาวิษณุและพระมหาลักษมีเทวี เทวนาคีอย่างเราคงมิอาจอยู่บนสวรรค์ได้ เฉกเช่นเดียวกับเทวอสุราอย่างนล ก็ลงมาอยู่ที่บาดาลไม่ได้เช่นกัน พระมหาเทพทั้งสองคงไม่โปรด”
“ไม่เห็นจะยากเลยมุจลินทร์ ....นลจะให้พ่อนลไปทูลขอพระมหาอุมาเทวีให้ เพื่อให้ทรงมีพระอนุญาต หากพระมหาเทวีทรงอนุญาตเมื่อใด พระมหาศิวะก็มิทรงขัด ท่านทรงเกรงพระทัยพระมหาเทวีนัก”
“นล พูดง่ายแต่ทำยาก” มุจลินทร์ทรงหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง สะกดกลั้นความสะอื้นอีกคำรบ “นลพูดเพราะนลยังอยู่ในวัยหนุ่ม ...หากนานเข้านลจะเข้าใจเอง เทวะทุกพระองค์ดำรงอยู่ได้ด้วยหน้าที่ นลมีหน้าที่ช่วยพระบิดาดูแลสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ชายาของนลควรเป็นเทวธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนเราเกิดแต่บาดาลหน้าที่ของเราคือปกปักรักษาความดำรงอยู่ของพิภพบาดาลด้วยชีวิต เราคงรักกันฉันสหายได้ ....แต่มิใช่เช่นคู่รัก ความรักของเราจะเป็นเส้นคู่ขนานที่ไม่มีทางบรรจบ ด้วยเพราะหน้าที่เราจำต้อง....” ประโยคที่มุจลินทร์เตรียมพูดต่อไป จ่อติดอยู่แค่พระศอ ความอัดอั้นตันพระทัย ยังมิได้ถูกถ่ายทอด เพราะทรงกลัวว่า นลกุพรจะทรงรับความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้
“ไม่!! มันต้องมีวันบรรจบ”นลกุพรยันวรกายลุกขึ้นมา พยายามดึงมุจลินทร์มากอดไว้ในอ้อมพระพาหา หากองค์เทวนาคี ก็กระเถิบหนีเสีย
“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ให้เรากอด เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าทำอย่างนี้ นลเสียใจเจ้ารู้ไหม เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้า ไม่ได้รักนล นลไม่สนหรอกนะไอ้ความเหมาะสมบ้าๆอะไรนั่น ลองดูสิ ลองใครมาขัดขวางความรักของนล นลจะจัดการให้ดู”
นลกุพรประกาศกร้าวลั่นหิมพานต์ แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรต่อนั้น สุรเสียงก้องดังกังวานได้สอดแทรกเข้ามาพร้อมกับรัศมีสีเขียวเจือทองเจิดจ้า ที่สลายรวมเป็นร่างงามสง่าของเทวนาคาหนุ่มน้อยชันษาไม่เกินยี่สิบ
“เจ้าจะจัดการอย่างไรนลกุพร เจ้าคิดเหรอ ว่าเจ้าสามารถฝ่าฝืนกฎแห่งทิพยภพได้”
“ทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร!!”
“เจ้าจงรู้ไว้นล ....เทวะทุกพระองค์เปรียบได้ดั่งกับพลังงาน ที่พระมหาเทพทรงกำหนดให้ดูแลในส่วนต่างๆ พลังงานของเจ้าถูกกำหนดให้ดูแลสวรรค์ชั้นมหาจตุราชิกา พลังงานของมุจลินทร์จำต้องดูแลบาดาลเฉกเดียวกับพี่ หากมุจลินทร์ไปอยู่บนสวรรค์กับเจ้า พลังงานของทางบาลจะมีช่องโหว่ และพวกมารจะถือโอกาสเข้ามาได้ เหมือนกับพลังงานบนสวรรค์ก็จะไม่สมดุล มีรอยรั่วเช่นกัน เมื่อพลังงานไม่สมดุลทุกอย่างก็จะแย่ เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”
นลกุพรทรงกล่าวตอบอะไรไม่ถูก สิ่งที่พี่ชายทยุติธรทรงตรัสมาเป็นความจริงทุกประการ ดั่งที่พระบิดาองค์เองต้องพยายามอุดรอยรั่วแห่งสวรรค์และดูแลทั่วทิศเหนือ เพราะทรงดำรงตำแหน่งท้าวจตุโลกบาล ที่อีกสามทิศที่เหลือก็มีเทวะทรงกำกับดูแลเช่นกัน ทั้งท้าวธตรฐ ที่ดูแลทิศตะวันออก ทิศใต้คือท้าววิรูฬหก ตะวันตกคือท้าววิรูปักข์ ทั้งสี่พระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะให้พลังงานทุกพลังงานสมดุล แล้วตน.....จะมาฝ่าฝืนกระนั้นหรือ นลกุพรก็ทรงตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ทรงรู้เสียยิ่งกว่ารู้หากแต่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง
มุจลินทร์ทรงเบือนพระพักตร์ไปอีกทาง ยามที่รู้ว่าใครเสด็จเข้ามาแทรก นี่จะไม่ปล่อยให้มีเวลาส่วนตัวกันบ้างเลยหรือไร แล้วก็จำต้องหันพระพักตร์กลับมาเผชิญผู้ที่ประทับยืนตรงหน้า แวบแรกทรงคิดว่าเขาผู้นี้จะไม่พอพระทัย แต่ก็ผิดคาด พระพักตร์ของทยุติธรนั้นเรียบเฉย มิแสดงอาการใดๆ ยกเว้นสายพระเนตรเท่านั้น ที่บอกเป็นนัยๆว่า ทำไมแอบมาและควรถึงเวลาเสด็จกลับได้แล้ว
มุจลินทร์จึงค่อยๆ ถอยองค์ออกห่างนลกุพรมาเกินช่วงแขน ทรงรู้ดีว่าเป็นการมิเหมาะสม ก่อนที่องค์ทยุติธรจะทรงมิพอพระทัย