อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔  (อ่าน 49138 ครั้ง)

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๑๔  เทวราชโองการ (ส่วนที่๑)

ยอดเอยเจ้ายอดรัก
พี่เฝ้าทักเจ้ากลับเงียบควรไฉน
ใจของพี่คิดถึงเจ้าอยู่ร่ำไป
เจ้ากลับไกลจรใจพี่มิร่ำลา


บทกวีอันเคยคุ้น เป็นลำนำขับกล่อมยังก้องอยู่ในพระโสตของนลกุพรที่ค่อยๆปรือพระเนตรขึ้นช้าๆ ความมึนงงยังจับอยู่เต็มพระเศียร ม่านพระเนตรหนาหนักกว่าจะเปิดขึ้นเต็มที่ก็จำต้องใช้ระยะเวลาสักพัก เพียงจับภาพรอบๆพระวรกายได้ เจ้าเทวอสุราหนุ่มน้อยผู้ทรงเขี้ยวแก้วก็ต้องประหลาดพระทัย  เพราะรายรอบด้านมิใช่ห้องพระบรรทม

“ที่นี่..ที่ไหนกัน”

“ตื่นแล้วหรือ นล” สุรเสียงใส ดังขึ้นพร้อมๆกับบานประตูไม้ถูกเปิดออก สีทันดรรีบเข้ามาประชิดเตียงที่สหายสนิทกำลังยันกายลุกขึ้นมา

“ทำไมถึงกินเหล้า จนเมาหนักร่วงลงมาที่หิมพานต์”
 
“นะ นลน่ะหรือเมา” นลกุพรทรงย้อนถามเบาๆ แล้วค่อยๆทบทวนความจำ ตนจำได้ว่าตนนั้นนั่งเสวยน้ำจันอยู่องค์เดียวภายในห้องบรรทม แล้วไฉนถึงได้ร่วงลงไปยังหิมพานต์

“แล้วทำไมนลมาอยู่ที่นี่ละสีทันดร แล้วที่นี่ที่ไหน”

“ที่นี่บ้านพี่พระพุธไง พวกเรากำลังจะเดินทางกลับกันพอดี แต่เรากับอัสดงดันพานลมาพัก เนี่ยกำลังรออยู่ว่าเมื่อไหร่นลจะฟื้น แล้วทำไมถึงได้กินเหล้าจนไม่ได้สติขนาดนั้น นลยังไม่ได้บอกเราเลย รู้ไหมนลถึงกับร่วงลงมาจากฟ้าเชียวล่ะ โชคดีนะที่เรากับอัสดงไปเจอ”

สีทันดรอมยิ้มกล่าวตอบ ถ้าจะพูดให้ถูกที่จริงแล้วตนไม่ได้ไปเจอหรอกแต่นลกุพรดันร่วงลงมาพอดิบพอดีระหว่างที่อัสดงกำลังจะเผด็จศึก อัสดงแม้จะหัวเสียอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยลงไปพยุงร่างของนลขึ้นมาจากน้ำ แล้วพากันมายังบ้านของเอราวัต

นลกุพรค่อยๆทบทวนความจำอีกครั้ง แล้วอัสสุชลก็เริ่มหลั่งริน น้ำตาลูกผู้ชายโอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ ไหลอาบปราง พร้อมทั้งโผกอดสหายไว้มั่น กล่าวขึ้นด้วยสุรเสียงสั่นเครือ

“มุจลินทร์....มุจลินทร์ไม่ได้รักเรา สีทันดร เจ้าได้ยินไหม”

เสียงสะอื้นร่ำไห้ ของนลกุพรดังออกไปถึงข้างนอก จนอัสดงกับสหายที่นั่งคุยกันอยู่รีบเข้ามาดู ก็เห็นเจ้ายักษ์หนุ่มเขี้ยวแก้วซบหน้าอยู่ในอ้อมพระพาหาของสีทันดร

“นลเป็นอะไร ไอ้ดื้อ”

“นลหยุดร้องไห้ก่อน แล้วเล่าให้ฟังชัดๆ” สีทันดรมิได้กล่าวตอบอัสดง เพราะยังมิทรงรู้ แล้วทรงปลอบสหายสนิทต่อมาว่า

 “นลเคยบอกเราเองไม่ใช่เหรอว่า เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แล้วทำไมนลทำเสียเอง ....แล้วทำไมถึงคิดว่ามุจลินทร์ไม่รักนลล่ะ”

“นลคุยกับมุจลินทร์หลังจากเสร็จศึกนางบาทบริจาริกา สีทันดรเจ้าจำได้ไหม ที่วันนั้นนลบอกว่า มุจลินทร์มีทีท่าแปลกๆ ให้เจ้าช่วยไปถามความ แต่เจ้าก็ยังเงียบ นลเลยลงไปที่บาดาลในอีกสองวันตต่อมาและก็ได้คุยกับมุจลินทร์” นลกุพรหยุดเว้นวรรคชั่วครู่ พยายามเช็ดคราบน้ำตาและรอยสะอื้น “และนลก็ได้คำตอบว่าทำไมมุจลินทร์ถึงเปลี่ยนไป”

“เราว่า มุจลินทร์ก็ยังปกตินะนล นลคิดมากหรือเปล่า”

“เหอะ สีทันดร เจ้าไม่สังเกตเลยบ้างหรือ ว่าในขบวนเสด็จกลับ มุจลินทร์เดินเคียงคู่ไปกับใคร และการที่มุจลินทร์แอบขึ้นมาช่วยเจ้า ทำไมมุจลินทร์ไม่ได้รับโทษานุโทษ”

สีทันดรทรงลำดับความจำ มันก็จริงอย่างที่นลพูด มุจลินทร์ขึ้นมาช่วยในระหว่างการศึก แถมทูลหม่อมพี่ชายก็ไม่ได้ทรงลงพระอาญาแต่อย่างใด ....และตอนขบวนเสด็จ เสด็จกลับ มุจลินทร์ประทับยืนเคียงคู่ กับทูลหม่อมพี่ชายใหญ่....ฤาว่า

“มุจลินทร์กับทูลหม่อมพี่ชายจะ...”

“ถูกแล้วสีทันดร มุจลินทร์จะเข้าพิธีอภิเษกกับพี่ชายเจ้า จะรั้งตำแหน่งพระอัครชายา ขึ้นเป็นว่าที่ พระสมุทรเทวีองค์ต่อไปไงล่ะ”

“อะไรนะนล”

สีทันดรใช่ว่าไม่ทรงเชื่อ แต่ไม่อยากทรงเชื่อมากกว่า อย่างทูลหม่อมพี่ชายเนี่ยนะจะอภิเษกกับมุจลินทร์ ทูลหม่อมพี่ชายทรงเป็นนักรบเต็มองค์ วันๆก็อยู่แต่กับทหารราชองค์รักษ์ ฝึกอาคมและศาสตราวุธ ส่วนมุจลินทร์ก็ประทับอยู่แต่ฝ่ายใน งามพร้อมด้วยจริยาวัตร หรือมันจะเป็นอย่างที่สมเด็จแม่ทรงเคยกล่าวอยู่บ่อยๆ ‘ของแข็งต้องรัดรึงไว้ด้วยใยไหม เห็นทีจำต้องหาชายาให้’  แต่เท่าที่จำได้ พี่ชายใหญ่ก็ทูลตอบแทบทุกครั้งเหมือนเดิมว่า

“หม่อมฉันจะหาเอง สมเด็จแม่จะหานางบาทบริจาริกามากี่ตนก็ได้ ....แต่ตำแหน่งเอกอัครชายา หม่อมฉันจะหาเอง”

“แล้วหาได้หรือยังล่ะลูก ทยุติธร”

“คิดว่าเจอแล้วพะยะค่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่หรอก”

ท่วงท่าและสายพระเนตรของทูลหม่อมพี่ชายที่ทูลตอบสมเด็จแม่ สีทันดรยังทรงจำได้ดี พี่ชายทรงอมยิ้ม มิทำองค์เอาจริงเอาจังเกินชันษาเฉกเช่นเคย ทรงกลายเป็นหนุ่มน้อยๆ อ่อนโยนที่น้อยคนนักจะเห็น และหลายๆครั้งที่พี่ชายใหญ่เสด็จเข้ามาคุยกับตนแต่มิได้คุยเรื่องตนเท่าไรนัก

“วันนี้ไปซนที่ไหนมาอีก...สีทันดรน้องรัก”

“ไปหิมพานต์กับมุจลินทร์มา ไปนั่งดูมุจลินทร์ร้อยดอกไม้พะยะค่ะ นี่ไงสวยไหม” สีทันดรทรงตรัสตอบแล้วชูพวงมาลัยที่งามยิ่งบรรจงร้อยเรียงด้วยอุ้งหัตถ์แห่งเทวนาคีมุจลินทร์

“เป็นผู้ชาย....ทำไมไปนั่งดูผู้หญิงร้อยดอกไม้ ไม่ได้เรื่องเลย เสียเวลาเปล่าๆ วันหลังไปดูพี่ฝึกอาวุธดีกว่า จะชวนมุจลินทร์ไปด้วยก็ได้นะ พี่ไม่ห้าม” ประโยคหลังทรงทอดเสียงกลายเป็นอ่อนโยนตรัสมาอย่างยิ้มๆ แล้วรับพวงมาลัยนั้นไปทอดพระเนตร

“อืมสวยดี...แต่พี่เป็นผู้ชาย เป็นนักรบ พี่ไม่ค่อยถูกกับมาลัยดอกไม้นี่สักเท่าไร”

ทยุติธรตรัสว่าไม่ถูกกับดอกไม้ แต่ไฉนไยไม่ยอมคืนพวงมาลาพวงนั้นแด่พระอนุชา

“มุจลินทร์คงไม่อยากดูหรอกการรบราฆ่าฟัน เขาไปหิมพานต์น่าจะโปรดกว่า อีกอย่างเขาจะได้เจอนลด้วย”

“ทำไมจะไม่โปรด ต้องโปรดสิ...แล้วนลน่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพามุจลินทร์ไปหา หากสมเด็จทวดรู้มันจะไม่งาม ดีไม่ดีเจ้าจะโดนลงโทษด้วยโทษฐานเป็นพ่อสื่อ”

หลังจากวันนั้นการเสด็จหิมพานต์ก็จำต้องงด เพราะมีคำสั่งลึกลับจากเบื้องบน สั่งห้ามเด็ดขาด และวันหนึ่งเมื่อตนพามุจลินทร์ไปดูทหารองค์รักษ์ซ้อมรบ คนที่กุลีกุจอแสดงฝีมืออย่างเต็มที่นั้นก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก ทูลหม่อมพี่ชายใหญ่ขององค์เอง

“ฝีมือพี่พอเข้าขั้นไหม” สุรเสียงตรัสถามพระอนุชา แต่พระอนุชาพระองค์น้อยมิทันได้สังเกต ว่าสายพระเนตรพระเชษฐาทรงมองใคร

“พี่ชายเก่งจัง...หม่อมฉันอยากเก่งอย่างพี่ชายบ้าง”

“อยากเก่งก็ต้องฝึก เลิกเที่ยวเล่นเป็นเด็กๆได้แล้ว .....ไว้พี่จะสอนให้ มุจลินทร์เจ้าก็ด้วยนะ ถ้าเจ้าอยากฝึก เรายินดีเป็นครูสอนให้เจ้าสองคน สนใจไหม”

“หม่อมฉันมิถนัดในการรบราฆ่าฟันเพคะ” มุจลินทร์เหมือนจะทรงรู้ว่าคำสั่งลึกลับห้ามมิให้เสด็จหิมพานต์นั้นมาจากใคร จึงเบือนพระพักตร์หนีไมตรีจากคนตรัสถาม

“ทำไมจะไม่ถนัด ....ต้องถนัดสิ แต่อืม เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าเจ้าอาจจะ....เอ่อ”

“อาจจะอะไรเพคะ ทำไมไม่ตรัสให้จบ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

เหตุการณ์ต่างๆถูกทบทวนอีกหลายเหตุการณ์และสีทันดรก็เพิ่งตระหนักว่า สิ่งที่ทูลหม่อมพี่ชายทรงกระทำมีเหตุและนัยอันใดซ่อนอยู่ ตอนนี้ทรงรู้และมั่นพระทัยแล้วว่า คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ของพี่ชายนั้นคือใคร พี่ชายคงถูกพระทัยมุจลินทร์มานานนักหนา แต่ทำมาเป็นปากแข็ง และวิธีการจีบก็ชอบทำองค์เป็นนักรบ สั่งโน่นสั่งนี่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ แล้วใครเล่าจะโปรดตอบ ....โดยเฉพาะมุจลินทร์กัญญา

“แล้วมุจลินทร์ ยอมอภิเษกด้วยเหรอนล ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ” สีทันดรทรงถามสหายต่อ

“เป็นการที่รู้กันภายในก่อน พอดีวันที่นลไปคุยกับมุจลินทร์ เขาประทับอยู่ด้วยกันพอดี” เท่านั้นแหละนลกุพรก็กรรแสงมาอีกคำรบ สีทันดรจำต้องช่วยปลอบยกใหญ่ อัสดงได้ฟังก็เห็นใจ จึงช่วยปลอบบ้าง

“นล...อย่าเพิ่งเสียใจไป ใจเย็นๆก่อน”

“เราไม่เย็นแล้วอัสดง เราไม่มีหน้าไปสู้ใคร เรารักมุจลินทร์แต่ทำไมมุจลินทร์ทำกับเราอย่างนี้ เราจะไปหามุจลินทร์ไปคุยกันให้รู้เรื่องอีกรอบ” ว่าแล้วนลกุพรก็สลัดองค์เตรียมลุกขึ้น แต่สีทันดรก็ยึดองค์สหายไว้มั่น

“นล ฟังเรา!! นลพักก่อนเถิดนะ พักที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวเราจะลงไปหามุจลินทร์ ถามเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่าง เผื่อบางทีเราจะช่วยได้”

“เจ้าพูดไปก็เท่านั้น สีทันดร เจ้าจะช่วยอะไรได้” นลกุพรยังแข็งขืน สะบัดวรกายอาละวาดพยายามลุกจากเตียง สีทันดรจึงขอกำลังจากเทวะน้อยมาช่วยยึด

“อัสดงช่วยเราหน่อยเร็ว แรงนลเยอะเหลือเกิน”

เท่านั้นแหละอัสดงก็ช่วยเข้ามายึดนลไว้ แต่ด้วยความที่นลกุพรเป็นโอรสาแห่งท่านท้าวเวสสุวัณ เจ้าแห่งอสุรา กำลังวังชาจึงมากกว่าผู้ใดเพียงแค่อัสดงกับเจ้านาคน้อยหรือจะเอาอยู่

“เฮ้ย ไอ้ฉัตร ไอ้น้ำเชี่ยว เข้ามาช่วยฉันหน่อยเร็ว”

อัสดงร้องเรียกคันฉัตรกับน้ำเชี่ยวที่ยืนอยู่ใกล้สุด สองคนนั่นรีบเข้ามาช่วยยึดโดยไม่รอช้า น้ำเชี่ยวที่ว่าแรงเยอะยังร้องลั่น  “แรงมันเยอะจริงโว้ยไอ้ยักษ์นี่”

“ไอ้กลด นายช่วยทำให้ไอ้ยักษ์นี่สงบทีเหอะ”

คันฉัตรร้องบอกทรงกลดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ปลายเตียง ทรงกลดยืนฟังอยู่นานแล้วก็รู้สึกเห็นใจนลกุพรอย่างบอกไม่ถูก เพราะเพิ่งอกหักมาเหมือนๆกัน แต่เขาเลิกแล้วที่จะดื้อรั้น ส่วนไอ้ยักษ์เขี้ยวแก้วนี้ยังรั้นอยู่ ....เห็นทีจำต้องช่วย แล้วทรงกลดก็ร่ายพระเวทเปล่งรัศมีเหลืองนวลจากปลายมือ เข้าแตะอังสะของนลกุพรไว้ พร้อมทั้งกล่าวว่า

“ใจเย็นๆก่อน นอนพักซะหน่อย ตื่นมาจะได้ดีขึ้น ไปหาเขาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดี เชื่อฉันเหอะ ฉันเคยเป็นแบบนายมาก่อน” ทันทีที่รัศมีเหลืองนวลวาบวับเข้าสู่วรกายนลกุพรก็มีอันสงบลง พระเนตรที่เบิกกว้างก็มีอันปรือปิดสนิทแน่น บรรทมแน่นิ่งกับพระที่ดังเดิม

“เฮ้ออออ แรงมันเยอะจริงๆ” น้ำเชี่ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เห็นทีเราต้องฝากนลไว้กับพวกพี่ๆสักพัก เราจะกลับบาดาล ไปถามมุจลินทร์ให้รู้เรื่อง”

“เจ้าจะไปยังไงไอ้ดื้อ....แล้วพวกเราก็กำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพกันอยู่แล้วนะ ใกล้วันที่จะมีเทวราชโองการแล้วด้วย เจ้าจะมาทันเหรอ แล้วอีกอย่างอัสสะก็กลัวว่าเจ้าจะโดนกักตัวไว้” อัสดงกล่าวถามยอดดวงใจด้วยความเป็นห่วง

“ทันถมถืด อีกตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะถึงวันเพ็ญ เราไม่ได้ใช้พาหนะแบบมนุษย์ไปนะ เราไปด้วยฤทธิ์ อัสสะอย่าลืมสิ แล้วเรื่องกักตัวคงไม่มีหรอก พี่ชายทรงยอมแพ้ไปแล้วนี่ เราจะได้ไปเยี่ยมบ้านเราด้วย หากอัสสะจะเดินทางกันก็ไปก่อนได้เลย เราตามไปถูก”

“แต่อัสสะเป็นห่วง งั้นอัสสะไปด้วย”

“อัสสะจะไปต้องไปด้วยกายทิพย์ มิฉะนั้นเข้าบาดาลไม่ได้ และหากอัสสะไป พวกพี่ๆเขาก็จะเดินทางไม่ได้เพราะต้องเฝ้ากายหยาบของอัสสะ เราไปคนเดียวสะดวกกว่า”

“จริงอย่างที่น้องดื้อว่านะอัสดง ให้น้องดื้อไปคนเดียวเหอะ พวกเราจะได้เดินทาง ให้น้องดื้อตามไปทีหลังไปเจอกันที่บ้านไอ้กลดก็ได้ น้องดื้อคงไปถูกนี่ ไม่งั้นคงไม่ตามไปแอบดูพี่อัสสะรูปหล่อนอนหลับอยู่ในห้องหรอก ใช่ไหม” เอราวัตกล่าวแซวติดตลกเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาได้

“แหม พี่เอราวัต เรื่องมันนานนมมาแล้ว ยังจะมารื้อฟื้น”

“เฮ้ย แต่ฉันมีข้อเสนอว่ะ ...อีกหนึ่งเดือนข้างหน้ากว่าจะมีเทวราชโองการ ฉันว่า เราอย่าเพิ่งกลับบ้านไอ้กลดกันเลย พวกเราลองไปหาที่เงียบๆ ฝึกอาวุธกันดีกว่า พวกเราจะได้ถือโอกาสนี้ปรับสภาวะทิพย์ให้สูงขึ้นด้วย เพราะเวลาพระมหาเทพและมหาเทวีเสด็จพร้อมๆกัน พลังและรัศมีของแต่ละพระองค์จะรุนแรงนัก พวกเราอาจทานไม่ไหว”

ธรรม์ที่เงียบอยู่นานเสนอขึ้น หลายๆคนคิดตามและก็เห็นด้วย การที่มหาเทพและมหาเทวีเสด็จเทวะทุกพระองค์จำต้องปรับพลังงานรับการเสด็จทุกครั้งมิฉะนั้นจะเข้าเฝ้าไม่ได้ จะมีบางทีเท่านั้นแหละ ที่มหาเทพและมหาเทวีปรับพลังงานองค์เองให้ลดลงเพื่อที่เทพชั้นผู้น้อยจะได้เข้าเฝ้า แต่ก็ทรงทำไม่บ่อยนัก

“เห็นด้วยกับไอ้ธรรม์ แล้วเราจะไปที่ไหนดี” คืนฉายรีบกล่าวสนับสนุน

“ฉันมีอยู่ที่หนึ่ง ที่นั่นค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีคนรบกวน ก่อนฉันมารวมกลุ่ม ฉันไปซุ่มฝึกอาคมที่นั่น แถมบรรยากาศก็ดี ปกคลุมด้วยทะเลหมอก พวกนายต้องชอบ ถือว่าเป็นโอกาสพักผ่อนครั้งสุดท้ายไปด้วยในตัว”

“แล้วมันที่ไหนล่ะวะ”

“ก็จะบอกอยู่นี่ไงไอ้ราหู....นายนี่ขัดฉันเสียจริง ไอ้เวรนี่” คันฉัตรหันไปด่าสหายแล้วกล่าวต่อว่า “ เมืองปาย แม่ฮ่องสอน พวกนายว่าไง”

แทบจะทุกคนยกมือสนับสนุน อัสดงทีแรกก็ไม่เห็นด้วย เพราะอยู่ที่บ้านทรงกลดก็ฝึกกันได้ แต่เสียงส่วนใหญ่มีมติเป็นเอกฉันท์เขาจำต้องยอมรับมตินั้น แต่สีทันดรล่ะ จะตามไปถูกเหรอ

“แล้วไอ้ดื้อล่ะ จะตามไปยังไง หากเราไปที่นั่น”

“อัสสะไม่ต้องห่วงเรา เรามีสมุทรมณี พวกอัสสะอยู่ที่ไหนเราตามไปถูกแน่นอน อัสสะไปกับเพื่อนๆเหอะ ตอนนี้เราห่วงนล นลเป็นสหายสนิทของเรา นลเป็นอย่างนี้เราไม่ค่อยสบายใจเลย ถ้าอัสสะเดินทางไป ช่วยดูแลนลให้หน่อยได้ไหม”

“นลก็เป็นเพื่อนอัสสะเหมือนกันนะ เจ้าไม่ต้องห่วง ที่นี่อยู่กันหลายคน แต่เจ้าจะไปคนเดียวจริงๆหรือ”

“อืม ...แค่กลับบ้านไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ากังวลนัก เราเอา รักกับยมไปด้วย ให้มันคอยอยู่ที่หน้าบาดาล เผื่อมีอะไรเราได้ส่งข่าวทัน อัสสะจะได้ไม่ต้องห่วง ดีไหม พี่ฉัตรคงไม่ว่าอะไรนะ”

“เอาไปเถอะน้องดื้อ...พาไอ้รักไอ้ยมมันไปด้วยแหละดี ให้มันเป็นม้าเร็วคอยส่งข่าวให้ก็ได้”

“งั้นเจ้าก็อย่ามัวแต่พากันเล่นซน เถลไถลล่ะ รีบไปรีบกลับเข้าใจไหม หากกลับมาช้า อัสสะบุกบาดาลจริงๆด้วย” อัสดงรู้นิสัยยอดรักดี ที่ชอบทำเรื่องไม่ยุ่งให้กลายเป็นยุ่งมหายุ่ง แถมยังซนเหลือขนาด กล่าวดักคอไว้แบบนี้แหละดีแล้ว

“เรารู้แล้วน่า...อัสสะนี่ก็” สีทันทันดรย่นพระนาสิกใส่ที่รักรูปงาม หมั่นไส้ยิ่งนักที่เขารู้ทันไปเสียหมด แล้วตรัสเรียกโอปาติกะหัวจุกสองตนที่ทำหน้าที่หมาดเล็กทันใด “รัก ยม ไปกับเราหน่อย”

สิ้นพระดำรัส เจ้าผีเด็กสองตนก็มาคุกเข่าอยู่แทบเบื้องบาท น้อมรับพระบัญชาจากเจ้านายจอมซน ครั้นเมื่อเข้าใจกันแล้วทั้งสามจึงเตรียมเดินทาง ก่อนเสด็จไปอัสดงย้ำนักย้ำหนาให้รีบไปรีบกลับ ส่วนทรงกลดพี่ชายคนใหม่ ก็ย้ำเช่นกันให้ระมัดระวังองค์ และรับปากว่าจะช่วยดูแลนลกุพรให้

“พี่จะช่วยดูแลนลกุพรสหายเจ้าให้...ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ขอบใจมากพี่กลด”

“ดูแลตัวเองด้วยน้องดื้อ พวกพี่ๆจะรอเล่นกับน้องดื้อนะจ๊ะ” น้ำเชี่ยวถือโอกาสแอบจับมือถือแขน ยักคิ้วหลิ่วตาหยอกล้อ แต่พอเห็นสายตาพิฆาตของอัสดงก็ต้องล่าถอย แถมยังโดนพี่ชายคนใหม่อย่างทรงกลด กล่าวคาดโทษ

“เดี๋ยวมึงโดนกระทืบ ไอ้พระอังคาร”

“แค่หยอกเล่นน่า”

“ไหมล่ะ บอกแล้ว” ธรรม์ยิ้มๆอย่างสะใจ น้ำเชี่ยวเอ๊ย เดี๋ยวก็โดนดีจนได้

“ตามมาเร็วๆนะ ไอ้ดื้อ อย่าลืมที่อัสสะบอก”

“อัสสะพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง รู้แล้วน่า ไปกันได้แล้วรักยม”

แล้วรัศมีเขียวนวลเจือทองประจำองค์เทวะนาคาจอมดื้อก็พลันสว่างวาบ พระวรกายที่งามดั่งรูปสลักก็สลายกลายเป็นแสงโชตินาการ พวยพุ่งลงสู่ลำน้ำโขงที่ทอดยาวดำทะมึน ตามติดด้วยโอปาติกะน้อยทั้งสอง

‘นล รอก่อนนะ เราจะไปถามความให้รู้เรื่อง เผื่อบางที มันอาจจะเป็นการเข้าใจกันผิด’

สีทันดรตรัสปลอบใจองค์เองไปอย่างนั้น....แต่ในพระทัยนั้นสิ ทรงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ที่นลเล่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะทำอย่างไรดี จะช่วยนลอย่างไรดี อีกครั้งแล้วหรือ ที่อาจต้องเผชิญหน้ากับทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร ที่ทรงรั้นยิ่งกว่าองค์เอง

ภายในนิมิตอันตระการ ทัศนียภาพแห่งหิมพานต์นั้นปรากฏ นลกุพรรู้ว่าองค์เองกำลังเด็ดปวงดอกไม้หลากสีนานาพรรณรายรอบอโนดาตมาเสียเต็มกำมือ แล้วดำเนินตามโขดหินระเกะระกะ มายังพระวรกายแน่งน้อยแห่งเทวนาคีมุจลินทร์ที่ประทับนั่งกรองมาลัยอยู่เหนือโขดหินพื้นราบมันระยับ

“นลเก็บมาเพิ่มให้”

“แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนล ไม่ต้องเก็บเพิ่มอีกแล้ว” มุจลินทร์ทรงลดเข็มยาวในพระหัตถ์หลังจากที่พิจารณาดูว่า มาลัยนั้นเสร็จไปกว่าครึ่งและดอกไม้ที่นลเก็บมาเพิ่มนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะร้อยถวายท้าวเวสสุวัณ

“เอ๊ะ....ทำไมดอกไม้มันช้ำอย่างนี้ล่ะนล นลเด็ดยังไร”

“หา....ช้ำเหรอ นลว่านลเด็ดเบามือแล้วนา”

“เบาที่ไหนกันนล....ช้ำไปหมดแทบทุกดอก ร้อยถวายไปก็ไม่สวย เดี๋ยวเราไปเก็บเองดีกว่า”

“เฮ้อ ช้ำจริงๆด้วย แต่นลเป็นยักษ์เป็นนักรบนี่นา แรงนลก็เยอะเป็นธรรมดา ....งั้นเดี๋ยวนลไปเด็ดให้ใหม่ก็ได้นะ คราวนี้จะเด็ดให้เบามากว่าเดิม... ว่าแต่ระยะหลังนี้ไม่ค่อยขึ้นมาหานลเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า”

จู่ๆพระเนตรสุกใสสกาวเริ่มมีรอยรื้นแห่งพระอัสสุชลคลอทั่ว เพราะการเสด็จมาในพระสุบินของนลกุพรครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน แต่นลกุพรมิทันสังเกตเห็น มุจลินทร์ยังทรงนิ่งไปชั่วครู่สะกดกลั้นเสียงสั่นเครือก่อนจะตรัสตอบ

“นล....พอดีช่วงนี้เราได้รับหน้าที่จากสมเด็จฯ ให้ช่วยดูแลฝ่ายในน่ะ สมเด็จฯ ทรงฌานพร้อมกับสมเด็จพระพันปีกัทรุ เลยไม่ค่อยมีเวลา ทูลหม่อมพ่อกับทูลหม่อมปู่เสด็จฯขึ้นเฝ้ามหาเทพหมดทุกพระองค์ บาดาลเลยว่างผู้ปกครอง ทูลกระหม่อมใหญ่เลยทรงกำกับดูแลบาดาลแทน ส่วนทูลกระหม่อมเล็กสีทันดร ก็ประทับกับเหล่าเทวอวตารข้างบน แต่ทูลกระหม่อมใหญ่ มิทรงถนัดกำกับฝ่ายใน สมเด็จฯ จึงมีพระเสาวณีย์ลงมา ”

“อ้าวเหรอ....ถ้างั้นนลก็โล่งอก นึกว่ามุจลินทร์ปันใจให้ใครอื่นไปซะแล้ว รู้ไหมว่านลฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว ว่ามีคนแย่งเจ้าไป”

“นลมั่นใจในตัวเราแล้วหรือ”

“นลมั่นใจ ตั้งแต่เห็นเจ้าครั้งแรก ว่าคู่ชีวิตของนลจะเป็นใรไปไม่ได้นอกเสียจากมุจลินทร์ นลยังจำได้ดีเลยนะ วันนั้น วันที่สีทันดรพาเจ้ามาเที่ยวที่หิมพานต์”

“นล...ฟังเรานะ บางครั้งความเหมาะสม มันก็ต้องมาก่อนความรัก นลเป็นเทวอสุรา ประทับอยู่บนสวรรค์สังกัดพระมหาศิวะและพระมหาอุมาเทวี เราเป็นเทวนาคีอยู่ในบาดาล ภายใต้การกำกับดูแลแห่งพระมหาวิษณุและพระมหาลักษมีเทวี เทวนาคีอย่างเราคงมิอาจอยู่บนสวรรค์ได้ เฉกเช่นเดียวกับเทวอสุราอย่างนล ก็ลงมาอยู่ที่บาดาลไม่ได้เช่นกัน พระมหาเทพทั้งสองคงไม่โปรด”

“ไม่เห็นจะยากเลยมุจลินทร์ ....นลจะให้พ่อนลไปทูลขอพระมหาอุมาเทวีให้ เพื่อให้ทรงมีพระอนุญาต หากพระมหาเทวีทรงอนุญาตเมื่อใด พระมหาศิวะก็มิทรงขัด ท่านทรงเกรงพระทัยพระมหาเทวีนัก”

“นล พูดง่ายแต่ทำยาก” มุจลินทร์ทรงหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง สะกดกลั้นความสะอื้นอีกคำรบ “นลพูดเพราะนลยังอยู่ในวัยหนุ่ม ...หากนานเข้านลจะเข้าใจเอง เทวะทุกพระองค์ดำรงอยู่ได้ด้วยหน้าที่ นลมีหน้าที่ช่วยพระบิดาดูแลสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ชายาของนลควรเป็นเทวธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนเราเกิดแต่บาดาลหน้าที่ของเราคือปกปักรักษาความดำรงอยู่ของพิภพบาดาลด้วยชีวิต เราคงรักกันฉันสหายได้ ....แต่มิใช่เช่นคู่รัก ความรักของเราจะเป็นเส้นคู่ขนานที่ไม่มีทางบรรจบ  ด้วยเพราะหน้าที่เราจำต้อง....” ประโยคที่มุจลินทร์เตรียมพูดต่อไป จ่อติดอยู่แค่พระศอ ความอัดอั้นตันพระทัย ยังมิได้ถูกถ่ายทอด เพราะทรงกลัวว่า นลกุพรจะทรงรับความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้

“ไม่!! มันต้องมีวันบรรจบ”นลกุพรยันวรกายลุกขึ้นมา พยายามดึงมุจลินทร์มากอดไว้ในอ้อมพระพาหา หากองค์เทวนาคี ก็กระเถิบหนีเสีย

“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ให้เรากอด เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าทำอย่างนี้ นลเสียใจเจ้ารู้ไหม เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้า ไม่ได้รักนล นลไม่สนหรอกนะไอ้ความเหมาะสมบ้าๆอะไรนั่น ลองดูสิ ลองใครมาขัดขวางความรักของนล นลจะจัดการให้ดู”

นลกุพรประกาศกร้าวลั่นหิมพานต์ แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรต่อนั้น สุรเสียงก้องดังกังวานได้สอดแทรกเข้ามาพร้อมกับรัศมีสีเขียวเจือทองเจิดจ้า ที่สลายรวมเป็นร่างงามสง่าของเทวนาคาหนุ่มน้อยชันษาไม่เกินยี่สิบ

“เจ้าจะจัดการอย่างไรนลกุพร เจ้าคิดเหรอ ว่าเจ้าสามารถฝ่าฝืนกฎแห่งทิพยภพได้”

“ทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร!!”

“เจ้าจงรู้ไว้นล ....เทวะทุกพระองค์เปรียบได้ดั่งกับพลังงาน ที่พระมหาเทพทรงกำหนดให้ดูแลในส่วนต่างๆ พลังงานของเจ้าถูกกำหนดให้ดูแลสวรรค์ชั้นมหาจตุราชิกา พลังงานของมุจลินทร์จำต้องดูแลบาดาลเฉกเดียวกับพี่ หากมุจลินทร์ไปอยู่บนสวรรค์กับเจ้า พลังงานของทางบาลจะมีช่องโหว่ และพวกมารจะถือโอกาสเข้ามาได้ เหมือนกับพลังงานบนสวรรค์ก็จะไม่สมดุล มีรอยรั่วเช่นกัน เมื่อพลังงานไม่สมดุลทุกอย่างก็จะแย่ เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”

นลกุพรทรงกล่าวตอบอะไรไม่ถูก สิ่งที่พี่ชายทยุติธรทรงตรัสมาเป็นความจริงทุกประการ ดั่งที่พระบิดาองค์เองต้องพยายามอุดรอยรั่วแห่งสวรรค์และดูแลทั่วทิศเหนือ เพราะทรงดำรงตำแหน่งท้าวจตุโลกบาล ที่อีกสามทิศที่เหลือก็มีเทวะทรงกำกับดูแลเช่นกัน ทั้งท้าวธตรฐ ที่ดูแลทิศตะวันออก ทิศใต้คือท้าววิรูฬหก ตะวันตกคือท้าววิรูปักข์ ทั้งสี่พระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะให้พลังงานทุกพลังงานสมดุล แล้วตน.....จะมาฝ่าฝืนกระนั้นหรือ นลกุพรก็ทรงตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ทรงรู้เสียยิ่งกว่ารู้หากแต่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง

มุจลินทร์ทรงเบือนพระพักตร์ไปอีกทาง ยามที่รู้ว่าใครเสด็จเข้ามาแทรก นี่จะไม่ปล่อยให้มีเวลาส่วนตัวกันบ้างเลยหรือไร แล้วก็จำต้องหันพระพักตร์กลับมาเผชิญผู้ที่ประทับยืนตรงหน้า แวบแรกทรงคิดว่าเขาผู้นี้จะไม่พอพระทัย แต่ก็ผิดคาด พระพักตร์ของทยุติธรนั้นเรียบเฉย มิแสดงอาการใดๆ ยกเว้นสายพระเนตรเท่านั้น ที่บอกเป็นนัยๆว่า ทำไมแอบมาและควรถึงเวลาเสด็จกลับได้แล้ว

มุจลินทร์จึงค่อยๆ ถอยองค์ออกห่างนลกุพรมาเกินช่วงแขน ทรงรู้ดีว่าเป็นการมิเหมาะสม ก่อนที่องค์ทยุติธรจะทรงมิพอพระทัย


ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“นล....เรื่องระหว่างเรากับนล มันคงเป็นเพียงภาพฝัน ที่ผ่านมาวาสนาเราอาจจะต้องกันแค่ชั่วขณะ เรายอมรับว่าเรามีความประทับใจให้กับนลอย่างที่สุด แต่ถ้าจะถึงขั้นว่ารักแล้ว เราคงตอบได้อย่างไม่มั่นใจนัก ที่จริงวันนี้ เรามหานลเพียงเพื่อ มาอำลา เราคงจะได้เจอกันสองต่อสองเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเราจำต้องกลับไปทำหน้าที่ แห่งเทวนาคีของเรา และนลก็มีหน้าที่ของนลต้องกระทำเช่นกัน”

“เดี๋ยว มุจลินทร์ เจ้าพูดอะไร ...”

พระดำรัสสุดท้ายของมุจลินทร์มีเพียงแค่นั้น พระหัตถ์น้อยกุมพระหัตถ์แข็งแรงแน่น ก่อนจะถูกแยกออกด้วยพระหัตถ์แห่งเทวะนาคาที่แข็งแรงกว่า ภาพสุดท้ายในนิมิต นลกุพรทอดพระเนตรเห็นทั้งคู่ ประทับยืนเคียงข้าง รัศมีแห่งความสมดุลสอดประสาน นี่ใช่ไหม ที่เรียกว่าเหมาะสม รัศมีเขียวนวลเจิดจ้าสว่างไสว ก่อนจะจะดับวูบลง พร้อมๆกับพระสติที่กลับคืนมา

“ไม่จริง!!! มุจลินทร์เจ้าอย่าเพิ่งไป” นลกุพรตะโกนดังลั่นพร้อมลุกพรวดขึ้นมา ทำให้คนที่ยืนเฝ้า เอนพิงขอบหน้าต่างรีบหันกลับมาดู

“นลกุพร เป็นอะไร” ทรงกลดเข้ามาประชิดเตียง ถามด้วยความห่วง

“ฝะ ฝันหรือนี่..” นลกุพรเอ่ยกับองค์เองเบาๆ แล้วหันไปพูดกับทรงกลดว่า “เรา ฝันร้าย แล้วสีทันดรไปไหนเสียล่ะจันทรเทพ”

“น้องดื้อไปบาดาล ฝากนายไว้กับฉัน สั่งไว้ไม่ให้เจ้าตามไป ให้อยู่กับพวกเรา และพรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปฝึกอาคมกันทางภาคเหนือ นายไปกับพวกเราด้วยแล้วกัน เผื่อบางที มันอาจทำให้นายลืมความทุกข์ได้”

นลกุพรทรงแน่นิ่ง ความฝันที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นภาพกลับมาตอกย้ำ คล้ายวันที่มุจลินทร์ทรงบอกลาที่บาดาล วันนั้นเขาเจ็บเหลือเกินจะเจ็บความเหมาะสมบ้าบออะไรนั่น มันฆ่าเขาทั้งเป็น และตื่นมาคราวนี้ ก็ยังมิจางห่างหาย “ขอเหล้าหน่อย ได้ไหม จันทรเทพ”

“แต่......นายเพิ่งสร่างเมา”

“ถือว่าเราขอเถอะนะ เราไม่เคยขออะไรเจ้าเลย เราอยากเมาอยากลืมความทุกข์ จากการเสียคนที่เรารัก”

“ฉันก็เพิ่งเสียคนที่ฉันรักให้ไอ้อัสดง แต่ฉันก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องกินเหล้าให้เมา”

“ก็นั่นมันเจ้า...แต่นี่มันเรา”

“เหอะ...ยักษ์ก็ยังเป็นยักษ์อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเทวอสุราหรือยักษ์ชั้นต่ำ ขี้เมาหยำเป หลงแต่น้ำเมาจนโดนเทวดาหลอกให้กินเหล้า จนแพ้และไม่ได้น้ำอมฤตครั้งกวนเกษียรสมุทรก็ยังไม่เข็ดหลาบ ถึงได้โดนเทวดาดูถูกมาจนทุกวันนี้”

“นี่เจ้ากล้าว่าเราหรือจันทรเทพ” นลกุพรผลุดลุกขึ้นลงมายืนกำหมัดแน่น จ้องหน้าทรงกลดอย่างเอาเรื่อง เขี้ยวแก้วใส โผล่พ้นออกมา อยู่ริมโอษฐ์ แต่อณูน้อยแห่งจันทรเทพอย่างทรงกลดมิได้เกรงกลับยืนประจันหน้า อยู่อย่างนั้น เพียงขนตาที่หนาเป็นแพราวอิสตรีของทรงกลดกระพริบ โทสะของนลกุพรก็มลายหายลงฉับพลัน ทำไม ถึงโกรธมันไม่ลง

“ก็จริงไหมล่ะ...กินเหล้าแล้วมันช่วยอะไรนายได้บ้าง นลกุพร”

“ก็ลืมความทุกข์ไง” นลกุพรตอบด้วยอารมณ์ที่เป็นปกติแล้ว

“มีอีกหลายวิธี ที่ทำให้ลืมความทุกข์...ฉันเองก็อกหักเหมือนนาย ฉันจึงเข้าใจ ความเสียใจเจ็บใจ ส่งผลให้วู่วามได้เหมือนกัน ฉันว่าระหว่างนี้ นายไปกับฉัน ไปซ้อมอาวุธกันดีไหม” รัศมีสีเหลืองนวลเริ่มกำจาย อบอวลไปทั่วห้อง อำนาจที่ยามนี้โอนอ่อนผ่อนปรน ส่งให้หฤทัยที่รุ่มร้อนดั่งเปลวเพลิงเริ่มสงบลง นลกุพรก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมได้สงบลงเร็วยิ่งนัก

“แต่เราไม่มีกะจิตกะใจ จะทำอะไรทั้งนั้นจันทรเทพ”

“ไปดูกันก่อน ฉันมั่นใจว่านายต้องจับอาวุธลงซ้อมมือด้วยแน่ๆ ยิ่งคู่ต่อไปจะเป็นคู่ไอ้ฉัตรปะทะกับไอ้น้ำเชี่ยว คู่นี้ฤทธิ์แรงด้วยกันทั้งคู่ น่าดู พระเสาร์กับพระอังคารประลองฝีมือกันทั้งที เราไม่ควรพลาด นายจะได้ช่วยดูช่วยติ วิธีการรบและฝีมือของเราด้วย ดีไหม”

ทรงกลดนับว่าเป็นคนที่มีจิตวิทยาสูงชักจูงได้ดีเยี่ยม ไม่เสียแรงที่เป็นอณูแห่งจันทรเทพ  เขารู้ว่า ลักษณะอย่างนลกุพรน่าจะโปรดการรบเพียงใด น้ำเสียงที่สนุกฟังดูแล้วชวนให้อยากไปเห็นการซ้อมรบ ทำให้นลกุพรคล้อยตามได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“จริงเหรอ...อยากเห็นคู่นี้ ปะทะฝีมือกันนานแล้ว คงสนุกแน่ ไปดูกันเหอะจันทรเทพ”

“งั้นนายอาบน้ำให้หายเหม็นเหล้าก่อนดีไหมนลกุพร ...จะได้สดชื่น น้ำที่นี่พวกเราผสมน้ำจากอโนดาตไว้ด้วยนายคงชอบ แล้วฉันจะไปหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ จะได้แต่งตัวดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาหน่อย นายสูงพอๆกับฉันคงใส่ของฉันได้ แต่อาจจะแน่นไปนิดนึงนะ เพราะฉันไม่ล่ำเท่านาย แต่แก้ขัดไปก่อน” ทรงกลดวิจารณ์เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วมาอย่างเสร็จสรรพด้วยวิธีการปรายตารวดเดียว

“ขอบใจเจ้ามาก ....จันทรเทพ”

“อ้อ...ลืมบอกไป เรียกฉันว่า ทรงกลดดีกว่า อย่าเรียกฉันจันทรเทพเลย”

“ได้สิ ทรงกลด”

นลกุพรรับคำแล้วเตรียมตัวชำระร่างกายเดินเข้าไปหลังพรึงไม้แกะสลัก ซึ่งมีถังไม้ใสน้ำใบใหญ่ไว้ให้ลงไปแช่ ทรงกลดจึงเดินออกไป จัดการหาเสื้อผ้าให้ตามที่บอก สภาพจิตใจของนลขณะนี้เริ่มดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ที่จู่ๆกระแสพลังที่เย็นยะเยียบเข้ามาดับเพลิงในใจตนได้ อำนาจแห่งจันทรเทพ นุ่มนวล อ่อนโยน ผ่อนปรนอย่างนี้นี่เอง  ไม่น่าแปลกใจเลยที่เทพธิดาหลายนางจึงพยายามเสนอตัวเข้าไปเป็นชายา 

“ทรงกลดอำนาจของเจ้า ทำให้เราสบายใจขึ้นจริงๆ”

ภายในคูหาศิลาทิพย์ ยามนี้สว่างไสวไปด้วย รัศมีเขียวนวลเจือทองสองรัศมีที่พุ่งเข้ามาจากเบื้องบน การเสด็จกลับแห่งทิพยะภาวะนั้นได้ถึงจุดหมายปลายทางโดยดุษฎี แล้วรัศมีเขียวนวลหนึ่งในสองอันมิสว่างจ้าเท่าอีกรัศมี ก็สลายกลายเป็นพระวรกายแห่งเทวนาคีโฉมสะคราญ พระวรกายนั้นเตรียมเลี่ยงหนี แต่ไม่เร็วไปกว่าพระหัตถ์แข็งแรงที่ฉุดรั้งไว้ อันมาจากรัศมีสว่างจ้าซึ่งเดินทางกลับมาด้วยกัน

“เดี๋ยวคุยกันก่อน”

“ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ” ยิ่งมุจลินทร์แข็งขืนเท่าใด ทยุติธรก็ทรงยึดมั่นไว้เท่านั้น

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก มันไม่งาม หากพระพันปีทรงรู้เข้า เจ้าจะต้องโทษ และอีกอย่างเราไม่อยากเสียหน้า อย่างคราวนางบาทบริจาริกา จะทำอะไรก็ให้คำนึงถึงอิสริยยศที่นำหน้าเจ้าอยู่ด้วย”

“เหอะ....หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่แห่งเชื้อสายเทวนาคาบริสุทธิ์ หม่อมฉันก็ไม่มีวันยินดี ในตำแหน่งเอกอัครชายาของฝ่าบาท ทรงรู้ไว้เถอะ และก็ทรงปล่อยหม่อมฉันได้แล้ว”

“ไม่ปล่อย.....ทำไม เราแค่จับแค่ข้อมือ ทีไอ้นล มันเคยกอดเจ้าทั้งตัว เจ้ายังไม่เห็นว่าอะไรมันสักคำเห็นทีคงต้องแสดงให้เจ้ารู้ถึงความแตกต่างบ้างแล้วมุจลินทร์” ทยุติธรทรงอาศัยพละกำลังแลเดชะที่เหนือกว่าดึงวรองค์แน่งน้อยเข้าสู่อ้อมพระพาหา แล้วทาบทับพระวรกายบางลงไปบนพระยี่ภู่ฉับพลัน

“จะทรงทำอะไร...ปล่อยหม่อมฉันนะ นลกุพรไม่เคยล่วงเกินหม่อมฉัน”

“เหรอ เราคงเชื่อเจ้าหรอก เราจะแสดงให้เจ้ารู้ว่า เทวนาคาดีกว่าเทวอสุราอย่างไร”

ทยุติธรประกบโอษฐ์ลงไปบนริมโอษฐ์แดงสดที่พยายามสะบัดหนี แต่มุจลินทร์หรือจะมีแรงขัดขืน พระปรางและพระศอถูกระดมจูบทั่ว ทยุติธรมิยอมทำองค์เป็นนักรบและสุภาพบุรุษเช่นเคย ขณะนี้ทรงกลับกลายเป็นนักรัก ด้วยเพราะอารมณ์วู่วาม ทำให้ทรงลืมความต้องการของหัวใจลึกๆ ที่ทรงมีมาช้านาน ความต้องการที่จะได้รับรักตอบจากเทวนาคีผู้ทรงโฉมสะคราญ หากทรงทำเช่นนี้มุจลินทร์จะรับรักตอบหรือไร ทั้งที่เคยทรงตั้งพระทัยว่า คืนวันอภิเษกจะเชยชมให้สมใจ ....แต่ไฉนทรงทำเยี่ยงนี้

“ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ อีกไม่นาน หม่อมฉันก็ต้องเป็นของฝ่าบาท ถึงเวลานั้นจะทรงทำอย่างไรก็เชิญ” มุจลินทร์ทูลตอบปนกรรแสง ทยุติธรจึงได้พระสติชะงักงัน ยุติการเป็นนักรัก เบี่ยงพระวรกายออกทันใด

“มุจลินทร์ เราขอโทษ เราทำเจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พระหัตถ์แข็งแรงพยายามช่วยเช็ดพระอัสสุชลแต่มุจลินทร์ก็บ่ายเบี่ยง “เจ้าคงเกลียดเรามากสินะมุจลินทร์”

“หม่อมฉันมิได้เกลียด ฝ่าบาท เท่าๆกับที่หม่อมฉันยังมิได้รัก”

“แล้วเจ้ายอมตกลง อภิเษกกับเราทำไม”

“อย่างที่ทรงตรัสไงเพคะ....ความเหมาะสมและความสมดุลแห่งพลังงานเทวนาคา เทวะอย่างพวกเราดำรงได้ก็เพราะหน้าที่ หากหม่อมฉันเป็นเพียงแค่นางนาคา หม่อมฉันคงเลือกความรัก แต่หม่อมฉันเป็นเทวะนาคีและหม่อมฉันก็จำต้องปฏิบัติหน้าที่แห่งขัตติยนารีให้ดีที่สุด”

“เจ้ามิได้รักเราเลยใช่ไหม มุจลินทร์”

“แล้วฝ่าบาทรักหม่อมฉันไหมล่ะเพคะ  ทรงยอมรับความจริงมาเถอะว่า ฝ่าบาทก็ทรงถูกบังคับให้แต่งกับหม่อมฉันเช่นกัน”

“ไม่จริง”

ทยุติธรทรงตะโกนลั่นคูหา ด้วยเดชะแห่งโอรสาของพญานาคราชผู้เป็นใหญ่ ฤทธีจึงมีมาก ผนังแก้วกรุเพชรทุกด้านจึงสั่นสะเทือน ความอิ่มเอิบพระทัยนับแต่วันที่มุจลินทร์ตอบรับการอภิเษกสะดุดชะงักลง วันนั้นยังทรงจำได้ดี ถึงความสุขใจยามที่ได้เข้าเฝ้าทูลขอต่อสมเด็จแม่และสมเด็จทวด

“ต๊าย ใครกันนี่....ลูกชายใครกัน มาหมอบเฝ้า”

“โธ่ สมเด็จแม่....หม่อมฉันเอง ทยุติธร ลูกชายคนโตไง” น้อยครั้งที่ทยุติธรจะทรงทำเสียงออดอ้อนสมเด็จพระมารดา แถมยังทรงคลานเข่าเข้าไปประทับนอนหนุนพระเพลา

“อุ๊ย...แม่ลืมไปว่ามีลูกชายอีกหนึ่งคน นึกว่ามีแต่สีทันดร รายนั้นถึงแม้จะซนแต่ก็มาหาแม่ไม่เคยขาด....แล้วหายไปไหนมาเนี่ยตั้งสามเดือน ไม่เห็นหน้าค่าตา มา...ขอแม่หอมที” พระสมุทรเทวี กอดพระโอรสองค์โตแน่นประทับจูบที่ปรางซ้ายปรางขวา จนเจ้าตัวโอดครวญ

“แหม แค่สามเดือนเอง ...หม่อมฉันก็ไปซ้อมรบมาพะยะค่ะ ไปกับพวกราชองครักษ์ แล้วก็เลิกหอมหม่อมฉันแบบนี้ซะที อายเขา หม่อมฉันโตแล้ว”

“ตั้งสามเดือนนะลูก ไม่ใช่แค่สามเดือน”

“เหอะ มาอ้อนแม่ อย่างนี้ จะมาขออะไรแม่เขาล่ะสิ” พระนางกัทรุที่ประทับเหนือพระแท่นสูงทอดพระเนตรลงมามองพระปนัดดาองค์โต ทยุติธรย่นพระพักตร์ราวเด็กๆคลานเข่าไปหมอบแทบพระเพลาบ้าง

“โถ สมเด็จทวดล่ะก็ หม่อมฉันคิดถึง ทั้งสองพระองค์แหละเลยมาเฝ้า”

พระนางกัทรุหรือสมเด็จพระพันปีที่แม้แต่พญาอนันตนาคราชยังทรงเกรง แม้จะทรงดุ แต่พอเจอบทอ้อนของพระราชปนัดดาก็ทำให้ทรงดุไม่ลง

“ไหนว่าโตแล้ว มาอ้อนทวด อ้อนแม่เขาอย่างนี้จะเอาอะไร”

ทยุติธรทรงยันกายขึ้นมาแล้วอมยิ้มอยู่ริมพระโอษฐ์ พระพักตร์ขาวใสบัดนี้แดงระเรื่อ “หม่อมฉันจะมาทูล....เอ่อทูลขอให้จัดงานอภิเษกให้พะยะค่ะ”

“อะไรนะ...” สมเด็จทวดกับสมเด็จแม่ทรงอุทานขึ้นพร้อมกัน “ ใครที่ไหน ทำให้ลูกแม่ถูกใจ จนมาขอให้จัดงานอภิเษก เทวนาคีจากสายสกุลใด ทำไมแม่ไม่รู้เรื่องมาก่อน ”

พระสมุทรเทวีทรงแปลกพระทัยนักที่จู่ๆลูกชายองค์โตที่วันๆฝึกแต่การรบก็เข้ามาขอให้จัดงานอภิเษก ลูกชายที่มีทีท่าว่า สนแต่อาวุธ มิเคยมีข่าวกับอิสตรีใดๆ

“ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่หรอก สมเด็จแม่เคยจำได้ใช่ไหมพะยะค่ะว่า ตำแหน่งเอกอัครมเหสีหม่อมฉันจะขอเลือกเอง และหม่อมฉันก็เจอนางผู้นั้นแล้ว นางเป็นเทวนาคี ทรงนามว่า มุจลินทร์กัญญา”

“มุจลินทร์ น่ะเหรอ!!”

หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน มุจลินทร์ก็ถูกเรียกขึ้นเฝ้า พระสมุทรเทวีทรงโล่งพระทัยยิ่งนักที่ทยุติธรเลือกมุจลินทร์ ยิ่งสมเด็จพระพันปีกัทรุนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะทรงหมายพระเนตรมุจลินทร์ไว้ให้ทยุติธรนานแล้วซึ่งตรงกับพระทัยพอดิบพอดี

วันนั้นก่อนจะขึ้นเฝ้านั้นมุจลินทร์ก็ทรงเห็นว่า ใครบางคนที่ชอบทำตนวางท่า กำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าที่ประทับ ครั้นพอเขาสบเนตรมาเห็น ดวงหน้าจึงละไมขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ยังทรงทำไม่รู้ไม่ชี้

“มาเฝ้าสมเด็จแม่เหรอ”

“เพคะ”

“รีบเข้าไปเถิด ทรงรอนานแล้ว” ทยุติธรตรัสตอบ แต่ที่ว่าทรงรอนั้นใครรอกันแน่ สมเด็จพระมารดาหรือว่าองค์เอง

พอมุจลินทร์เสด็จกลับออกมา ทรงพบว่า คนที่พบตอนก่อนเข้าเฝ้ามิทรงไปไหนยังประทับอยู่ที่เดิม ครั้นเมื่อเขาพระองค์นั้นเห็นว่าเสด็จออกมาก็รีบเสด็จเข้ามาหา ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงละล่ำละลั่ก

“สมเด็จแม่ว่ายังไงบ้าง แล้วเจ้าตกลงไหม”

“ก็ไม่ทรงว่าอะไรนี่เพคะ ...ทรงถามสารทุกข์สุขดิบเฉยๆ เห็นว่าหม่อมฉันไม่ได้ขึ้นเฝ้านาน”

มุจลินทร์ทำไมจะไม่ทรงรู้ว่าทยุติธรทรงรอคำตอบเรื่องอะไร แต่มิทรงอยากบอก คนอะไร จะขอเขาแต่งงานก็ไม่มาขอมาคุยกับองค์เองก่อน เล่นไปทูลขอต่อผู้ใหญ่เลยซะได้  มิเคยได้มาถามความสมัครใจเลยสักนิด แต่ด้วยความเหมาะสมและการดำรงอยู่แห่งเทวนาคามุจลินทร์จำต้องตอบรับ แม้ตอนทูลตอบพระทัยอาจจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม

“คงไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบหรอก แหวนที่เจ้าใส่ตรงนิ้วนางข้างซ้าย เป็นแหวนที่ทูลหม่อมพ่อประทานให้สมเด็จแม่ในวันหมั้น ตอนเข้าไปเจ้าไม่ได้ใส่แหวนนี่ และแหวนนี้ก็จะมอบให้แด่พระอัครชายาในโอรสองค์โตของสายสกุลเราเท่านั้น อย่าคิดว่าเรารู้ไม่ทันเจ้า และเราก็ขอขอบใจที่เจ้ารับไมตรีและข้อเสนอจากเรา มุจลินทร์”

ทยุติธรทรงกล่าวมาอย่างรู้ทัน ทีท่าที่ทรงยิ้มน้อยๆวางท่า ทำให้มุจลินทร์รู้สึกขัดพระทัย แล้วทยุติธรก็ทรงพระดำเนินจากไป ในพระทัยนั้นอยากจะทรงไชโยโห่ร้องให้ดังไปทั่วสามโลก อยากดึงนางเข้ามากอดให้หายคิดถึงแต่ก็มิทรงกล้ากระทำ แม้จะเจอศัตรูยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ไม่เคยกลัว แต่ไฉนกับทรงกลัวที่จะเอ่ยคำว่ารักออกไป หากทรงย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นจะทรงสารภาพความในใจที่มีทั้งหมด ต่อหน้านาง ....แต่วันนี้นางก็ยังคงเข้าใจผิด และมิควรที่จะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ถึงเวลาแล้วมุจลินทร์ที่เราจะบอกว่ารักเจ้า

“มุจลินทร์ เจ้าฟังเรา เจ้าอาจพูดถูกที่เจ้ายังไม่ได้รักเรา แต่เจ้ากำลังเข้าใจผิดที่เรา...”

“พระธิดาเพคะ อุ๊ยย” นางนาคีข้าหลวง คลานเข่าเข้ามามิได้ดูตาม้าตาเรือพอเห็นว่าใครประทับอยู่บ้างก็พลันหน้าเสียถอยกรูดๆ เกรงอาญา มุจลินทร์ได้จังหวะ รีบขยับพระวรกายออก เป็นอิสระ

“ไม่เป็นไร มีอะไรเจ้าว่ามา”

“ทูลกระหม่อมเล็กเสด็จเพค่ะ ประทับรอที่อุทยาน มีรับสั่งให้เชิญเสด็จไปเฝ้าเพค่ะ”

“เราจะไปเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วมุจลินทร์ก็รีบเสด็จออกไปพลันพร้อมนางข้าหลวง ทิ้งทยุติธรที่กำลังจะกล่าวความในใจให้ค้างลง ประทับอยู่องค์เดียวเพียงเบื้องหลัง

“สีทันดร....เจ้าคงรู้เรื่องและคงมาช่วยเพื่อนเจ้าสินะ เรื่องนางนางคาพี่เสียหน้าได้ แต่ครั้งนี้พี่จะไม่ยอมเสียหัวใจของพี่ให้ใครเด็ดขาด”

ทางด้านนลกุพรที่สรงน้ำชำระพระวรกายเสร็จเรียบร้อย และทรงสวมฉลององค์แบบมนุษย์ที่ทรงกลดจัดมาให้ สลัดคราเทวอสุราทิ้ง บัดนี้ได้เดินเคียงคู่ออกมากับทรงกลดผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงดูแลได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งสองมุ่งตรงไปยังสนามซ้อมรบริมลำน้ำโขง เสื้อลายสกรีนและกางเกงยีนส์ขาเดฟทำให้เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วดูแปลกตา ใครเห็นก็ต้องนึกว่าเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาแถวๆสยาม ผมที่สั้นจนเกือบจะกลายเป็นสกินเฮด เหมือนของคันฉัตรกับน้ำเชี่ยวรับกับใบหน้ามนคมสัน พระนาสิกโด่งงามรับกับริมโอษฐ์หยักได้รูป เขี้ยวแก้วใสถูกซ่อนไว้ด้วยฤทธี แม้กระทั่งทรงกลดก็ยังอดชมในใจไม่ได้

‘ไอ้ยักษ์นี่แต่งตัวแบบนี้ดูหล่อเหมือนกันแฮะ หล่อคล้ายๆอัสดง แต่ไอ้อัสดงมันเหล่อแบบเจ้าชาย ส่วนไอ้นี่มันหล่อแบบทหาร แบบนักรบโดยแท้’

นลกุพรเองมิได้รู้สึกแปลกเท่าใดนัก เพราะเวลาหนีพ่อมาเที่ยวเมืองมนุษย์ ทรงแต่งฉลององค์แบบนี้มาเสียชินแล้ว ไม่เหมือนกับสีทันดร ที่ชอบแอบกลับไปสวมฉลององค์ตามแบบฉบับเทวะนาคา

เมื่อทั้งสองเดินมาถึง ทุกสายตาก็หันมามอง อัสดงรีบเดินเข้ามาทักอย่างดีใจ “ไงนล....ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

“ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่อัสดง....สีทันดรส่งข่าวมาบ้างไหม”

“ไม่มีเลย ....คงอีกสักพักแหละมั้ง มา ไปนั่งดูกันตรงนู้นเถิด ไอ้ฉัตรกับไอ้น้ำเชี่ยวกำลังจะประลองกันพอดี”

อัสดงกอดคอเพื่อนรักของยอดดวงใจพากันเดินไปยังกลุ่มเทวะน้อยที่เหลือ ทรงกลดเดินตามมาขนาบข้าง อัสดงจึงหันไปกล่าวขอบใจว่า “ขอบใจนะไอ้กลด ที่ช่วยดูแลนล”

“ไม่เป็นไรไอ้เวร น้องดื้อฝากไว้ ต้องดูให้ดีหน่อย”

“งั้นนาย....คงต้องได้ดูดีกว่าเดิมแน่ ไอ้กลด” อัสดงอมยิ้ม พาทั้งสองเข้ามายังกลุ่ม เอราวัตที่นั่งอยู่ก็เอ่ยปากชม เล่นเอาคืนฉายตาเขียวปั๊ด

“นล....นายแต่งชุดนี้ เท่ห์ไม่เบาเลยนี่นา หล่อว่ะ  เสื้อผ้าไอ้กลดใช่ไหม สงสัยอัสดงมีคู่แข่งแล้ว”

“ชมผู้ชายอื่นต่อหน้าเหรอ ฉายยังนั่งอยู่ตรงนี้นะ” คืนฉายนอกจากตาจะเขียวแล้วยังกระทุ้งศอกใส่พระพุธที่รักที่ชมผู้ชายคนอื่นจนออกนอกหน้า เรียกเสียงหัวเราะได้ทั่ว แต่นลกุพรเองก็แค่ยิ้มๆเท่านั้น

“หึงบ้าหึงบออะไรอีกฉาย ก็แค่ชม ทีเมื่อกี้ไปเดินตลาดกัน ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ กะทงกะเทย มองฉาย ยังไม่ว่าอะไรเลยนะ” เอราวัตซัดเจ้าพระศุกร์ไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ที่หึงอะไรไม่เข้าเรื่อง ทั้งสองยังเถียงกันไปเถียงกันมาจนธรรม์รำคาญเลยห้ามทัพ

“มึงสองคน เงียบได้แล้ว ....น้ำเชี่ยว กับฉัตร มันจะเสียสมาธิหมด โน่นมันมากันโน่นแล้ว”

แล้วรัศมีสีชมพูกับสีม่วงก็พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วสูงจากคนละฟากของลำน้ำโขง รัศมีทั้งสองเข้าโรมรันกันอย่างไม่รอช้า ทุกเสียงเงียบกริบ ทุกสายตาจ้องมองตาไม่กระพริบ เพราะจะได้ช่วยกันดูและช่วยวิจารณ์ว่าใครอ่อนใครด้อยตรงไหน บางจังหวะคันฉัตรเป็นฝ่ายได้เปรียบและบางจังหวะ น้ำเชี่ยวก็แทบจะซัดคันฉัตรตกลงมา การซ้อมรบที่ดูเสมือนจริงทำให้นลกุพรลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ กล่าวกระซิบบอกอัสดงกับทรงกลดว่า

“พระอังคารแรงเยอะมหาศาลแต่ไม่ไวเท่าพระเสาร์ พระเสาร์แม้จะไม่ ดุดันร้ายกาจเท่าพระอังคารแต่พลังที่แฝงไว้ สามารถฆ่ายักษ์ให้ตายเพียงแค่ตวัดปลายดาบ”

และสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น รัศมีสีชมพูและสีม่วงปะทะกันกลางอากาศอีกครั้ง แต่แทนที่จะกระเด็นไปคนละทาง รัศมีทั้งสองกลับพุ่งมายังทิศที่นลกุพรนั่งอยู่ อัสดง ทรงกลด และสหายที่เหลือ เหิรลอยหลบไปได้ด้วยความว่องไว แต่นลกุพรยังนิ่งเฉย ครั้นพอรัศมีทั้งสองลอยเข้ามาใกล้ เทวฤทธิ์แห่งเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วก็สำแดงเดช กระโจนพุ่งเข้าหารัศมีทั้งสองนั้นเสียเอง พร้อมกับดาบยาวแข็งแรงในพระหัตถ์ซ้าย และพระหัตถ์ขวาก็บังเกิดเป็นตรีศูล

พระหัตถ์ทั้งสองข้างราวกับทรงแยกประสาทได้ เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ประดุจดั่งจักรผัน นลกุพรทรงถนัดทั้งสองข้าง ข้างขวารับมือน้ำเชี่ยว ด้านซ้ายรับมือ คันฉัตร และที่สำคัญไม่มีช่องโหว่เลยสักนิด จนน้ำเชี่ยวกับคันฉัตรยังต้องเอ่ยปากชม

“ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายท้าวเวสสุวัณ มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะปกครองยักษ์ ภูตผี และทิศเหนือของสวรรค์แลโลกมนุษย์ได้”

ที่จริงพระอังคารกับพระเสาร์แอบนัดกันไว้แล้วว่าจะช่วยให้นลได้ระบายความทุกข์ออกทางการรบและก็เป็นดั่งคาด นลกุพรได้ทรงระบายสิ่งที่อัดอั้นตันพระทัยออกทางคมอาวุธ ก่อให้เกิดอสุนีบาตกัมปนาท สะเทือนเลื่อนลั่น แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมกับพลุสีทองแดงจากราหูเป็นสัญญาณว่า การประลองฝีมือนั้นสิ้นสุดลงแล้ว

รัศมีทั้งสามที่ลอยอยู่กลางฟ้า ขณะนี้ลดความสว่างลงมาจนเหลือเพียงกายมนุษย์ปกติ ทรงกลดแทบจะวิ่งเข้าไปหาเป็นคนแรก

“เฮ้ย เก่งว่ะนล นายทำได้ไง แยกประสาทใช้แขนสองข้างได้พร้อมๆกัน และทำได้ดี ไม่มีช่องโหว่เลยด้วย”

“ฉันฝึกเอา....เคยเห็นพี่วายุภัค...เอ่อพวกเจ้าคงไม่รู้จักหรอก เขาทำได้ก็เลยลองทำบ้าง แต่ก็ฝึกอยู่นานทีเดียว”

“นลจะว่าอะไรไหม ถ้าพวกเราจะให้นลสอนให้บ้าง” อัสดงถามขึ้นตรงกับใจของทุกๆคน

“ไม่หรอก เรายินดีอัสดง ....แต่คนที่จะฝึกได้ จิตต้องนิ่งจักราในร่างกายเปิดจนถึงจักรที่สี่เป็นอย่างน้อย ใช้โยคะศาสตร์เข้าช่วย”

นลกุพรอธิบายไปรวดเดียว เทวะน้อยทั้งหลายแม้จะเป็นเทวะที่มาจากเทวะชั้นสูง หากสัญญาคือการจำได้หมายรู้ นั้นยังมากันไม่ครบถ้วน เรียกกันง่ายๆตามภาษามนุษย์ว่า ข้อมูลยังอัพโหลดไม่ครบ จะมีก็แต่ทรงกลดคนเดียวละมัง ที่พอจะเข้าใจเพราะเขาเองไปเรียนวิชา อาคมและศาตราวุธกับพราหมณ์ที่อินเดีย และที่นั่น เขาก็ได้รู้จักโยคะศาสตร์จากคุรุชี

“โยคะศาสตร์ พูดง่ายๆ ก็คือศาสตร์ของพวกโยคีแหละ แต่ความหมายมันลึกซึ้งกว่านั้น ถ้าพวกนายฝึกได้ระดับหนึ่ง นายจะแยกใช้งานประสาทด้านซ้ายและด้านขวาได้ตามอำเภอใจ  พวกนายลองคิดดูหากเราตกอยู่ในวงล้อมของพวกมาร และเรารบได้เพียงแค่มือเดียวมันคงแย่ สู้เราใช้ทั้งสองข้างตีให้พวกมารมันแตกฮือไม่ดีกว่าหรือ อีกอย่างถ้าเราทำได้ ช่องโหว่เราจะไม่มี จริงไหม”

“ทรงกลดบอกได้ถูกต้องแล้ว” นลกุพรกล่าวสนับสนุน คราวนี้เขาเรียกทรงกลดว่าทรงกลดมิใช่จันทรเทพเช่นเคย “ถ้าเราแยกได้ เราจะเคลื่อนไหวได้อย่างไม่มีช่องโหว่”

“พวกนายอาจจะยังไม่เข้าใจ แล้วฉันจะอธิบายให้พวกนายฟังอย่างละเอียดอีกที ฉันว่าพวกนายคงต้องเรียนโยคะศาสตร์ก่อน ถึงจะฝึกกลยุทธ์ของนลได้”

“แล้วนายรู้ได้ไงวะไอ้กลด” ราหูช่างสงสัยถามขึ้น

“เพราะฉันไปเรียนวิชากับพราหมณ์ที่อินเดียตั้งแต่เด็กก่อนกลับมารวมกลุ่มกับพวกนายไงราหู นายอาจจะยังไม่รู้”

“ถูกต้องแล้ว ไอ้ราหู ไอ้กลดมันไปเรียนที่อินเดียมา” อัสดงหันไปสำทับให้แล้วกล่าวต่อหน้าทุกคนว่า “ ถ้างั้นนลจะเป็นคนสอนเรื่องการใช้อาวุธจากทั้งสองมือ ....ส่วนไอ้กลดจะสอนโยคะศาสตร์ให้พวกเราเพื่อที่เราจะแยกประสาทและฝึกกับนลได้ง่ายขึ้น....คงต้องรบกวนนายทั้งสองคนแล้วนะ นล ..ไอ้กลด นายสองคนคงต้องทำงานประสานกัน อาจจะหนักหน่อยเพราะลูกศิษย์แต่ละคนเฮี้ยวน่าดู”

“ได้สิ...อัสดง” นลกุพรกับทรงกลดรับคำพร้อมๆกัน และก็มิทันได้สังเกตว่ามีใครแอบอมยิ้มอยู่บ้าง ....โดยเฉพาะอัสดง

“เฮ้ย วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน หิวข้าวแล้วโว้ย”

“เออดี หิวเหมือนกัน แล้วคืนนี้พวกเราเลี้ยงฉลองกันหน่อยไหม ยังไม่ได้เลี้ยงฉลองที่มารวมตัวกันครบเลย” น้ำเชี่ยวเสนอขึ้นหลายๆคนเห็นด้วย แต่คันฉัตรกลับเสนอมาว่า

“ไว้ไปกินกันที่ปายดีกว่า ฉลองกันที่นั่น รับรองพวกนายต้องติดใจ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางแต่เช้ากันนี่ อดเปรี้ยวไว้กินหวานน่า ไอ้เวร”

“เออ โอเคอย่างนั้นก็ได้ ตามที่มึงว่า ไอ้ฉัตร งั้นคืนนี้พวกเราก็ไปลาคุณยาย คุณแม่ไอ้พระพุธเสียเลยแล้วกันพรุ่งนี้จะได้ออกแต่เช้า”

“โอเค ตามนั้น”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
แสงแดดยามบ่ายทอประกายจ้าแต่ก็มิได้ทำให้ทะเลหมอกจากลงแต่อย่างใด บรรยากาศความหนาวเย็นยังจับทั่วอยู่แทบทุกอณูทำให้ภายในรถตู้โดยสารที่ถูกเหมาคันโดยเทวะน้อยๆจำต้องลดอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในรถลง หนทางไต่ตามทิวเขาคดเคี้ยวลดเลี้ยว บางแห่งทั้งสูงทั้งชันและมีโค้งอัตรายอยู่หลายโค้ง แต่ทว่ายิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งหนาว  เทวะน้อยๆ ต่างก็ชื่นชมทัศนียภาพรายรอบด้าน โดยเฉพาะคืนฉายกับเอราวัต ตกลงกันไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาเหิรเล่นทะเลหมอกตามยอดเขา  อัสดงก็มัวแต่คิดถึงสีทันดร หากไอ้ดื้อของเขานั่งรถมาด้วยคงจะมีคนให้กอดหายหนาว เว้นแต่นลกุพรที่นั่งนิ่งเงียบ จนทรงกลดที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงต้องชวนคุย

“เป็นไงนล ไม่สนุกเหรอ วิวสวยดีนะ อาจจะสู้สวรรค์ไม่ได้ แต่ก็งามในแบบฉบับที่โลกมนุษย์พึงมี”

“สวย....เห็นแล้วคิดถึงมุจลินทร์ นลกับมุจลินทร์เคยเหิรลอยรอบๆเขาพระสุเมรุยามจับด้วยน้ำแข็ง นลยังจำได้ดี ...แล้วต่อไปข้างหน้านี้ ใครจะเหาะเป็นเพื่อนนล”

“อย่าเพิ่งเสียใจไปนล....พรุ่งนี้ เรามาเหาะแข่งกันไหม ใครทำให้หมอกแตกเป็นช่องได้คนนั้นชนะเอาป่าว”

“ขอบใจนะ ทรงกลด...แต่เราไม่รู้ว่า เราจะมีแรงลุกขึ้นอีกหรือเปล่าน่ะสิ”

“ต้องมีสินล ต้องมี ....เราเองก็เจ็บปางตาย เรายังลุกขึ้นได้เลย จำไว้นะนล นลต้องลุกขึ้นสู้มาให้ได้” แล้วรัศมีเหลืองนวลก็ทำงานมาอีกคำรบ นลกุพรที่กำลังท้อแท้ กลับชุ่มชื่นขึ้นถนัดตา ฤาพลังงานจากจันทรเทพ จะใช้เป็นโอสถรักษาบาดแผลทางหัวใจได้ชะงัดนัก....

เพียงรถตู้โดยสารเข้าจอดเทียบท่า คืนฉายกับเอราวัตก็รีบโผลงมาตะโกนเรียกเพื่อนลั่น “เฮ้ย....ลงมาเร็ว เมืองเขาสะอาดดีว่ะ อากาศก็สดชื่น ชื่นใจ๊ ชื่นใจ”

ที่ว่าชื่นใจของคืนฉายคือการโอบไหล่เอราวัตมั่น เจ้าพระพุธน้อยยังมิเคยชินต่อการแสดงความรักต่อหน้าสาธารณะชน จึงด่าไปด้วยความเขิน “ฉาย เล่นอะไร...ไอ้บ้าเอ๊ยยย อายเขาไหม”

“อายทำไม....อย่าลืมนะ คืนนี้....ฉายจะทำแฮตทริกให้ดู”

“มะเหงกแน่ะ สองรอบก็จะไม่ไหวแล้ว ยังจะมาทำแฮตทริก นี่แน่ะลามกดีนัก” เอราวัตหมั่นไส้แฟนสุดประมาณ จึงตั้งใจซัดไปเสียหนึ่งที ...แต่เจ้าแฟนตัวดีอณูน้อยแห่งพระศุกร์ก็ดันหลบได้ แต่ก็ไม่ทันระวัง เอนไปชนคันฉัตรที่เดินตามมาข้างหลังจนเซถลา ไปชนนักท่องเที่ยวแบกแพ็ค ที่เดินอยู่บริเวณนั้นพอดี

“มึงสองคนผัวเมียเล่นห่าอะไรกันวะ เดี๋ยวกูจะกระทืบให้ เห็นไหม ชนคนอื่นเขาด้วย”

คันฉัตรเอ็ดตะโรด่าเอราวัตกับคืนฉายต่อด้วยการหันไปกล่าวขอโทษนักท่องเที่ยวคนนั้น แต่แล้วทั้งสามก็ต้องตกตะลึง เพราะนักท่องเที่ยวที่หันมา เป็นคนที่ทั้งสามเคยเจอมาแล้ว และเหตุแห่งการนำมาสู่การพัวพันรู้จักกันครั้งนั้น ก็สืบเนื่องมาจากการเล่นกันแล้วไปชน ....เขาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก คนที่คืนฉายเคยตัดไมตรี และคันฉัตรเป็นคนให้นิยามรักในแบบฉบับที่เหมาะกับตัวเขาไว้นั่นเอง

 “ตระการตา!!”

“ฉะ ฉายยย กับแฟน และคุณ....คันฉัตรใช่ไหม”

ตระการตายืนตะลึงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก เคยคิดว่าที่ผ่านมามีบุญที่ได้เจอ แต่วาสนาไซร้ไยไม่เกื้อหนุน แต่วันนี้ วาสนากลับมาเข้าข้างเขาแล้ว แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรกันต่อ อณูเทวะน้อยทั้งสามก็ต้องตะลึงอีกคำรบ เพราะมองเห็นในสิ่งที่คนธรรมดาไม่มีทางเห็นนอกเสียจากสายตาแห่งเทวะ และภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ เหนือหัวของตระการตานั้น มีคมจักรที่หมุนวนจากขวาไปซ้าย และทั้งสามก็เคยคุ้นกับคมจักรคมนี้ดี

“จักราแห่งมหาวิษณุ มหาศาสตราวุธแห่งองค์พระนารายณ์ !! ”

ภายในวนอุทยานใต้น้ำอันตระการตา ระลอกน้ำจับแสงระยิบระยับเลื่อมพราย  จากหมู่พระมหาปราสาทของนครบาดาลหรือปตาล เหล่ามัจฉานานาพรรณแหวกว่ายต่างวิหค โผเข้าสู่ชะงอกหินต่างๆแทนคาคบไม้ บนพระแท่นศิลาหินอ่อนสีขาวพิสุทธิ์ วรองค์ทั้งสองประทับนั่งนิ่ง และเริ่มไหวตามแรงยวบในบางครั้งดุจดั่งพื้นทรายขาวละเอียด สีทันดรมิทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขัดจังหวะใดๆทั้งสิ้น ทรงรอให้มุจลินทร์ตรัสจนจบ

“ทั้งหมดคือเหตุผล ที่หม่อมฉันรับการอภิเษกเพคะ”

“แต่มันไม่ยุติธรรมสำหรับนลเลยนะมุจลินทร์ นลรักเจ้ามาก”

“บางครั้ง หน้าที่และความรับผิดชอบก็ต้องมาก่อนความรักเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงลูกพระสนมเอก ที่ผ่านมาก็นับว่าได้รับพระเมตตาจากสมเด็จฯเป็นอันมาก และถึงคราวที่หม่อมฉันจะได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณ อีกทั้งการอภิเษกครั้งนี้ จะได้เป็นการรวมกำลังที่สำคัญ จากสายสกุลวิรูปักข์ ซึ่งเป็นสายสกุลเสด็จแม่หม่อมฉัน เพื่อความสมดุลและความยิ่งใหญ่ อุดรอยโหว่ของบาดาลเพคะ”

สีทันดรทรงนิ่งอึ้งตรัสอะไรต่อไม่ถูก ทุกอย่างที่มุจลินทร์ทูลถวายคือคามจริงที่องค์เองก็รู้ดี แล้วจะเป็นไปได้ไหม ที่หน้าที่กับความรักจะดำเนินไปพร้อมๆกัน

“มันต้องมีทางอื่นสิ มุจลินทร์”

“ไม่มีหรอกเพคะ ทุกอย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว และหม่อมฉันก็ยินดีทำเพื่อบาดาลของเรา หากบาดาลอ่อนแอ สวรรค์และโลกมนุษย์ก็จะปั่นป่วนไปด้วย หม่อมฉันเป็นเพียงอิสตรี จะไปอออกรบเยี่ยงบุรุษก็คงทำมิได้ แต่จะให้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่วิสัยเทวนาคี เพราะฉะนั้นการที่หม่อมฉันอภิเษก ถือว่าเป็นการได้สนองพระคุณและทำประโยชน์ให้บ้านเกิดเมืองนอนเพคะ” พระวรกายงามระหงตั้งตรง พระพักตร์แห่งเทวนาคีมุ่งมั่น หนทางนี้เป็นหนทางที่ทรงเลือกเอง ทั้งๆที่พระสมุทรเททวีมิได้ทรงบังคับแต่ประการใด ด้วยเลือดขัตติยนารีที่เปี่ยมพระวรกาย มุจลินทร์ทรงเลือกเองแล้ว

“มุจลินทร์ เราละอายใจแก่เจ้าเหลือเกิน ที่เราเกิดใต้เศวตฉัตร แต่ไม่ได้ทำประโยชน์สิ่งใดเลย มัวแต่สาละวนเล่นซนไปวันๆ”

“อย่าได้ทรงคิดอย่างนั้นเพคะ การที่ทูลหม่อมได้เข้าร่วมศึกกับเทวะอวตาร ถือว่าเป็นตัวแทนแห่งบาดาลและได้ทำประโยชน์แล้วเพคะ แต่ทูลหม่อมทรงโชคดีเหนือใครๆ ที่หน้าที่ที่ทรงได้รับ สามารถดำเนินไปพร้อมๆกับหัวใจ อณูแห่งพระสุริยาทิตย์คงจะไม่ทำให้ทูลหม่อมทรงผิดหวัง ”

“เจ้ารู้ฤา” สีทันดรพระเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สงสัยทั้งบาดาลรู้กันหมดแล้วว่า อัสดงมีความหมายพิเศษลึกซึ้งเพียงไร

“รู้สิเพคะ มองปราดเดียวก็รู้ หม่อมฉันล่ะ อิจฉาทูลหม่อมนัก” มุจลินทรืเริ่มแย้มสรวลออกมาได้บ้าง แล้วทรงกล่าวต่อด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งหากทว่ามาจากใจจริง “ หม่อมฉันขอให้ทูลหม่อมเล็กของหม่อมฉัน ทรงมีความสุขในเส้นทางหัวใจตลอดไปเพคะ อย่าได้ทุกข์เหมือนหม่อมฉันเลย”

“เราขอบใจเจ้ามากนะ จะว่าไปเจ้าก็เปรียบเสมือนพี่สาวเรา นับแต่เด็กจนโตในบาดาลนี้ ในบรรดาพี่น้องพ่อเดียวกัน นอกจากทูลหม่อมพี่ชายก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เรารัก ถึงแม้ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เราก็อยากให้เจ้าลองตรองดูอีกครั้ง เราพร้อมจะช่วย”

“หม่อมฉันขอยืนยันคำตอบเดิมเพคะ”

“เราไม่อยากให้เจ้าทำร้ายตัวเอง แต่เอาเหอะถ้าเป็นทางที่เจ้าเลือกแล้ว เราก็คงทำอะไรต่อไปไม่ได้ เราขออวยพรให้เจ้าครองชีวิตคู่กับทูลหม่อมพี่ชายอย่างผาสุก เป็นที่พึ่งแห่งนาคาและนาคีทั้งหลาย ทูลหม่อมพี่ชายทรงโชคดีที่สุดแล้วที่ได้เจ้าเป็นนางแก้วคู่บัลลังก์ มุจลินทร์กัญญา พระสมุทรเทวีพระองค์ต่อไป พี่สาวสุดที่รักของเรา”

“ทูลหม่อมแก้วพระองค์น้อย”

มุจลินทร์ ตั้งพระทัยจะกราบลงด้วยศักติตนด้อยกว่าสีทันดร แต่เจ้านาคาพระองค์น้อยกลับโผเข้ากอด ดั่งอนุชาตัวน้อยๆ อยู่ในอ้อมอกภคินี ทั้งสองพระองค์ต่างสวมกอดกันแน่น ทรงมีหน้าที่ที่ต้องกระทำเหมือนกัน หน้าที่แห่งขัตติยวงศ์บาดาล ที่ไม่มีผู้ใดกระทำแทนกันได้ สีทันดรทรงโชคดีที่ได้ทำพร้อมหัวใจ แต่มิเกิดกับมุจลินทร์

ในพระทัยของสีทันดรขณะนี้ ประกอบขึ้นด้วยหลากหลายความรู้สึก ความรู้สึกแรกคือ ดีพระทัยที่ทูลหม่อมพี่ชายได้อภิเษกกับมุจลินทร์ ความรู้สึกที่สองทรงเสียพระทัยแทนนลที่มิทรงทำอะไรได้ทั้งๆที่ตกโอษฐ์ไปว่าจะช่วย ทรงละอายพระทัยนัก แล้วจะทรงบอกกับนลอย่างไรดี ฤาควรจะพามุจลินทร์ไปพบนลเป็นครั้งสุดท้าย

“มุจลินทร์ อยากไปหานลไหม ตอนนี้นลอยู่กับพวกอัสสะข้างบน สภาพแย่มาก ไปดูนลหน่อยเหอะนะ”

“โธ่นล!” มุจลินทร์ตกพระทัยยิ่ง แทบจะรับคำทันใด แต่ด้วยความที่ใครบางคนเคยห้าม จึงเกิดความลังเล ทอดพระสุรเสียงต่ำลง เกรงว่าเขาพระองค์นั้นจะเสียพระพักตร์ “ จะดีฤาเพคะ หากสมเด็จรู้หม่อมฉันคงต้องทัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูลหม่อมพี่ชายของฝ่าบาท คงไม่ทรงโปรด”

“สมเด็จแม่ทรงมีเหตุผลเจ้าไม่ต้องกลัว สำหรับทูลหม่อมพี่ชายน่ะเดี๋ยวเราพูดให้เอง ทรงร้ายไปอย่างนั้นแหละ จริงๆแล้วทรงน่ารักอ่อนโยนจะตายไป แม้พระทัยร้อนไปบ้าง” สีทันดรเองเริ่มไม่แน่พระทัย ว่าที่ตรัสเมื่อครู่ว่าจะช่วยให้มุจลินทร์ไปหานล หรือตรัสสนับสนุนพี่ชายกันแน่ แต่ที่ตรัสไปนั้น เพื่อปลอบใจมุจลินทร์และองค์เอง เพราะทรงรู้ว่า พระเชษฐาทรงรั้นเพียงใด

“แน่ฤาเพคะ นี่ขนาดอ่อนโยนนะ ยังทรงทำร้ายทูลหม่อมจนเจ็บ”

“ก็ทรงไม่ได้ตั้งพระทัย เอาเหอะ เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวเราจะไปข้างบนกัน ทูลหม่อมพี่ชาย เราจัดการเอง”
 
สีทันดรกับมุจลินทร์ มิทรงรู้ว่า ถ้อยรับสั่งทั้งหมดมีผู้ใดทรงแอบฟังอยู่ พระพักตร์หล่อเหลาที่ชอบบึ้งเฉยชาทำเกินชันษาเริ่มคลี่คลาย จริงๆแล้วก็มิอยากทำองค์เสียมารยาท หากแต่เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับพระทัย จะมิทรงยอม เลยจำต้องมาฟัง

“แล้วเราจะให้ไปดีไหม”

ทยุติธรทรงถามองค์เองไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ในพระทัยทรงมีคำตอบอยู่แล้ว “ก็ได้มุจลินทร์ หากครั้งนี้มันจะเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายระหว่างเจ้ากับนล”

ทางด้านคันฉัตร คืนฉาย เอราวัต ที่อุทานมาพร้อมๆกัน ต้องขยี้ตาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า ภาพที่เห็นมิใช่ตาฝาด ตระการตามีจักราแห่งมหาวิษณุอยู่เหนือหัวได้อย่างไร

“เป็นอะไรกันเหรอ อะไรคือจักราแห่งมหาวิษณุ”

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” คันฉัตรได้สติก่อนใครเพื่อน กล่าวตอบ จักราก็ยังไม่หาย พอดีกับที่อัสดงและสหายที่เหลือตามมาสมทบ ทั้งหมดจึงได้เห็นภาพนั้นกระแสจิตถูกส่งหากันทันใด

“เขาเป็นอณูแห่งพระมหาวิษณุเหรอ ...เป็นไปไม่ได้ ในเทวโองการมิได้ทรงบอกว่าจะอวตารลงมา”

“ไม่ใช่หรอก”

“แล้วทำไมมีจักราแห่งพระองค์ท่านลอยอยู่ล่ะ”

“นายลองดูดีๆ สิฉัตร ว่าเขาห้อยอะไรอยู่ที่คอ”

ธรรม์ที่นับว่าละเอียดถี่ถ้วนและช่างสังเกต บุ้ยปากให้สหายทั้งหมด ดูที่คอของตระการตา เชือกร่มเส้นยาวห้อยบางสิ่งอยู่และสิ่งนั้นก็เริ่มทอแสงระยิบล้อแสงตะวัน ตระการตาเมื่อเห็นสายตาทุกคู่จ้องมองมาที่ตน ก็สงสัยและบังเกิดความเขินยิ่ง และความรู้สึกแปลกๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ยามได้เจอเขากลุ่มนี้ตรงหน้า ความรู้สึกที่จะเรียกว่ากลัวก็ไม่ใช่ ควรจะเรียกว่ายำเกรงเสียมากกว่า ราวกับว่าสายตาทุกคู่มีอำนาจเหนือมนุษย์ยังไงยังงั้น

“ตามีอะไรแปลกประหลาดไปเหรอ” เจ้าตัวหน้าแดงหันไปถามคืนฉาย

“ เอ่อ ตาห้อยอะไรอยู่น่ะ สวยดี”

“ อ๋อ ..พอดีก่อนมานี่ ตาแวะเชียงใหม่ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพมาน่ะ ได้เจอพระรูปหนึ่ง ท่านก็เลยให้มา แถมยังบอกอีกว่า ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวจะมีคนมารับคืนที่ปาย ตาเองก็งง แต่ก็ไม่รู้ว่ารับมาได้ไง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แถมพระรูปนั้นยังรู้อีกว่าตาจะมาที่นี่”

อณูน้อยทั้งแปดแลหนึ่งยักษ์เขี้ยวแก้ว ต่างก็มองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย คมจักรแห่งมหาวิษณุบัดนี้สลายไปแล้ว พระรูปนั้นเป็นใคร แล้วมีศาตราวุธที่สำคัญของมหาเทวะได้อย่างไร ที่สำคัญ ฝากมาให้ใครกัน

“เออ ฉายมานี่ได้อย่างไร ตาดีใจมากๆเลยนะเหมือนฝันเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอฉายอีก ฉายสบายดีนะ”

คืนฉายกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ก็ต้องเงียบเพราะเสียงของคนข้างๆ ดันกล่าวตอบแทนมาเสียว่า “ ฉายกับเราสบายดี เราสองคนกับเพื่อนๆมาเที่ยวพักผ่อนกันน่ะตา”

เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าพระพุธน้อยยังคว้ามือคืนฉายมาจับไว้มั่น เหมือนกับเป็นสัญญาณย้ำให้รู้ว่า ‘ฉายมีเจ้าของแล้ว’ เอราวัตจากคนที่ไม่เคยชินกับการแสดงความรักต่อหน้าสาธารณะชน และแทบจะไม่ออดอ้อนให้ใครเห็น เริ่มงอแงเอากับคืนฉาย เพื่อกันเจ้าพระศุกร์เจ้าเสน่ห์ออกจากวงสนทนาที่มีตระการตาอยู่อย่างไม่สนใจใคร

“ฉาย ... หิวน้ำ ไปซื้อน้ำกันหน่อย”

อัสดง ทรงกลด และคันฉัตร ที่รู้เรื่องดีเพราะไปทะเลด้วยกันก็อดยิ้มไม่ได้ จากรักหลอกๆกลายเป็นรักกันจริงๆ  ‘ไอ้พระพุธมันหึง’ตระการเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ

“ว่าแต่ตาเถอะ มากับใคร”

“มาคนเดียวครับคุณคันฉัตร พอดีว่างๆ เหงาๆ เลยมาพักผ่อน ไม่คิดจะเจอพวกคุณที่นี่” ความรู้สึกเหงาถูกส่งผ่านออกจากแววตาเศร้าๆและน้ำเสียงได้อย่างเต็มที่ คันฉัตรจับความรู้สึกนั้นได้ และรู้ว่าภาพคืนฉายยังคงมีเหลืออยู่ในใจของตระการตา

“เรียกฉัตร เฉยๆดีกว่า ...เอางี้ตาเพิ่งมาถึงใช่ไหม คาดว่าคงไม่มีที่พัก มาพักกับพวกเราไหมล่ะจะได้ไม่เหงา อยู่คนเดียวไม่ดีหรอก จะได้ไม่ต้องคิดมากไง” ไมตรีที่คันฉัตรทอดมาให้ ทำเอาอัสดงกับทรงกลดแอบอมยิ้ม เอาละเว้ย...คราวนี้ ไอ้ฉายปวดหัวแน่ อยากรู้นักว่าไอ้พระพุธจะทำอย่างไรหากมันรู้

“จะดีเหรอ ...ฉายกับแฟนจะไม่ว่าอะไรเหรอ ตาว่า ตาไปอยู่คนเดียวดีกว่า ตาเกรงใจ”

“ก็ช่างไอ้ฉายกับแฟนมันสิ เราเป็นคนชวน ไม่ใช่ไอ้ฉายสักหน่อย ไปอยู่คนเดียวมันอันตราย เอาน่า เรารับผิดชอบเอง” คันฉัตรกล่าวตัดบทมัดมือชก มิถามความเห็นจากเพื่อนๆ ธรรม์ที่ยืนฟังรีบส่งกระแสจิตเตือนว่าตระการตามิควรมาพักด้วย เพราะจะทำให้การฝึกอาคมนั้นลำบาก แต่เจ้าพระเสาร์ก็ยังหนักแน่นยืนยันว่า

“ เอาน่า ฉันรับผิดชอบเอง”

“ให้มันจริงเหอะ ระวังไอ้พระพุธมันอาละวาดบ้านแตกก็แล้วกัน แต่ก็ดีแล้ว เอาเขามาอยู่ด้วย พวกเราจะได้รู้ว่า จักราแห่งมหาวิษณุเป็นของใคร และไอ้คนที่จะมารับไปนั้นมันจะใช้ทำอะไร ถ้าเป็นเทวะพวกเราจะได้ชวนออกศึกเสียเลย นายคอยดูตระการตาให้ดีเถิดไอ้ฉัตร ฉันว่ามันมีอะไรแปลกๆ ทำไมสวรรค์ ต้องฝากศาตราวุธที่สำคัญไว้กับเขา”

อัสดงกล่าวเสริมแล้วอนุญาตแทนกลุ่ม ส่วนเจ้าพระพุธพอกลับเข้ามาทราบเรื่องก็มีความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจเหตุผลจึงยอมแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก ‘คืนฉาย’ เสน่ห์แรงไว้ใจได้เสียที่ไหน แต่ในเมื่อคันฉัตรรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ จึงพอเบาใจลงบ้าง ส่วนคืนฉายเห็นเอราวัตวันนี้ งอแงกอดแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อยก็ยิ้มแก้มปริ

“ทำไม วันนี้ อ้อนจัง ...หรือเปลี่ยนใจจะให้ฉายทำแฮตทริก”

“จะกี่ครั้งก็ไม่ว่า ...แต่ตอนกลางคืนอย่าให้รู้เชียว ว่าแอบออกนอกห้องไปหาใคร ไม่งั้นฉันเอานายตาย”

คืนฉายแทบสำลักน้ำ ใครที่เอราวัตว่าคงไม่แคล้วตระการตา “หึงฉายใช่มะ”

“ เออ แล้วฉายก็ต้องทำตัวดีๆด้วย รู้ไหม”

“คร๊าบ ฉายรู้แล้วครับ ฉายไม่นอกลู่นอกทางหรอกน่า ยกเว้น...”

“ยกเว้นอะไร” เอราวัตถามเสียงเขียว

“ยกเว้น เขามาหาฉายเอง”

เท่านั้นแหละ กำปั้นหนักๆก็วัดไปที่ไหล่เจ้าพระศุกร์ดังพลั่ก ตามมาด้วยอีกหลายๆหมัด เจ้าตัวต้องวิ่งหนี หลบหลีกเป็นพัลวัน เพื่อนๆที่เห็นต่างก็ส่ายหน้า ว่าไอ้คู่นี้ตีกันอีกแล้ว

“เบื่อไอ้ผัวเมียคู่นี้จัง ...เฮ้ยไปกันเหอะ ไปที่พักกันเสียที ปะตาไม่ต้องคิดมาก เราจะคอยเป็นเพื่อนตาเอง”

“งั้นตาต้องรบกวน ฉัตรด้วยละกัน”

สายลมเย็นยะเยียบ พัดพาเอากลิ่นหอมแปลกๆจากคนตรงหน้า กลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นเดียวกันกับกระดาษที่บันทึกนิยามรักที่เขามอบให้ นับจนวินาทีนี้ กลิ่นนั้นก็ยังมิจางห่างหายไปไหนเลย อุ่นใจทุกครั้งยามสูดดม ‘คันฉัตร’ ชื่อนี้จำได้ และถูกฝังลงในหัวใจ อย่างเงียบเชียบ ค่อยมาแทนที่ ‘คืนฉาย’ มาโดยที่ตนเองไม่รู้ตัวมาก่อนเลย รอยยิ้มอ่อนๆคลี่คลาย ตอบรับในไมตรี เท้าทั้งสองข้างก้าวเดินตามกลุ่มเพื่อนใหม่ ที่เขารู้สึกว่า  ไม่ธรรมดา ทั้งหน้าตาและอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ ....ขอให้ชีวิตที่เมืองปายได้พบความสุขบ้าง แม้เล็กน้อยก็ยังดี

ทหารราชองครักษ์หน้าบานพระทวารแตกออกเป็นช่องทันทีที่เห็นว่าใครเสด็จเข้ามาพร้อมกับทรุดกายราบกราบถวายบังคม

“ทูลหม่อมพี่ชายประทับอยู่ไหม เราจะขอเข้าเฝ้าสักหน่อย”

“พี่อยู่นี่สีทันดร”

พระสุรเสียงห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง สีทันดรทรุดกายลงถวายบังคม แล้วพระหัตถ์แข็งแรง ก็ประคองพระอนุชาขึ้น ทรงโอบกอดไว้ในอ้อมพระพาหาทอดสุรเสียงอ่อนลงกว่าเดิม

“ไปคุยกันข้างใน”

เมื่อเสด็จเข้ามาถึง ทยุติธรก็ทรงประทับบนพระแท่นลูบพระเกศาดำดำมันขลับของอนุชามาอย่างเอ็นดู แม้ไม่กี่วันที่ผ่านมาสีทันดรจะทำให้ไม่สบพระอารมณ์ก็ตาม 

“เปลี่ยนใจจะกลับมาอยู่บาดาลกับพี่แล้วใช่ไหม” ทยุติธรไยไม่ทรงรู้ว่าพระอนุชา เสด็จมาหาด้วยเหตุอันใด แต่ทรงแสร้งถามไปอย่างนั้น

“เปล่าพะยะค่ะ หม่อมฉันทราบเรื่องมุจลินทร์มาจากนล ...เลยลงมาหา”

“เจ้าเลยจะพามุจลินทร์หนีไปหานลใช่ไหม”

“มิได้พะยะค่ะ หม่อมฉันเพียงแค่ อยากจะมาคุยกับมุจลินทร์ แทนนลให้รู้เรื่อง และตอนนี้ก็เข้าใจกันดีแล้ว ทรงสบายพระทัยเถิด อีกประเดี๋ยวก็ว่าจะกลับ นี่หม่อมฉันก็ต้องแอบทูลหม่อมปู่เข้ามาแทบแย่ เลยแวะมาเข้าเฝ้าแสดงความยินดี”

“สีทันดรเจ้าไม่สบายหรือเปล่า ฤาพี่ฟังเจ้าผิดไป” ทยุติธรรู้สึกแปลกพระทัย ยกหลังพระหัตถ์แตะพระนลาฏน้องน้อย ที่คอยสร้างแต่เรื่องวุ่นๆ ไฉนวันนี้ไยไม่ก่อเรื่องอีก

“โธ่ หม่อมฉันโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆอย่างเมื่อก่อนจะได้ก่อเรื่อง หม่อมฉันซึ้งใน น้ำใจและปณิธานของมุจลินทร์ สมแล้วที่ทรงเลือกเป็นนางแก้วคู่พระบารมี”

“สีทันดร ฟังพี่..พี่เองก็มิอยากบังคับจิตใจนางนักหรอก พี่เสียใจที่ไม่ได้ไปคุยกับนางให้รู้เรื่อง ผลีผลามไปทูลสมเด็จแม่จนนางเข้าใจผิดคิดว่าทำไปเพราะความเหมาะสม แท้ที่จริงพี่รักนางมาก รักมานานแล้วแต่ไม่กล้าบอก หากพี่กล้าสักนิด มันคงไม่เป็นแบบนี้”

พระเนตรฟ้าครามใส เฉกเดียวกับพระอนุชาหรุบต่ำลง พระสุรเสียงห้าวดังกังวานผ่อนลงอย่างไม่เคยเป็น ยามที่ประทับอยู่ด้วยกันลำพังสองพี่น้อง ทยุติธร มักอ่อนโยนลงเสมอ แลรัศมีสีเขียวเจือทองก็เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้ง

“ทรงรู้สึกอย่างนั้น ทำไม ไม่ทรงบอกนางเล่า”

“ก็อย่างที่บอกพี่ไม่กล้า”

“เฮ้อ ...ผู้ชายส่วนมาก มักขลาดในเรื่องที่ไม่ควรขลาด ทำไมตอนรบไม่ขลาดเช่นนี้บ้าง” สีทันดรทรงย่นพระพักตร์ใสพระเชษฐา แล้วทรงยึดพระเพลาแทนเขนยประทับนอนเช่นทุกครั้ง ความไม่พอพระทัยครั้งนางบาทบริจาริกาเริ่มจางหาย และพระเชษฐาก็กลับคืนมาเป็นพระเชษฐาองค์เดิมแล้ว

“พี่ไม่ใช่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ของเจ้านี่  ... แล้วลงมานี่พวกนั้นมันไม่ว่าเอาหรือไง ไม่กลัวว่าพี่จะกักตัวไว้เหรอ”

“พี่ชายไม่ทำหรอก เพราะขณะนี้ ทรงมีเรื่องให้ต้องทำสำคัญกว่า...เอาล่ะ หม่อมฉันเข้าเรื่องดีกว่า นอกจากจะมาแสดงความยินดีแล้ว หม่อมฉันจะมาทูลขอพระอนุญาต พามุจลินทร์ไปหานลเป็นครั้งสุดท้าย พี่ชายคงไม่ขัดนะพะยะค่ะ”

แม้คำตอบจะมีอยู่แล้วในพระทัย หากทยุติธรยังมิตกพระโอษฐ์รับคำ “ถ้าพี่ไม่อนุญาตล่ะ เจ้าจะพานางหนีไปไหม”

“ไม่หรอกพะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันทราบดีว่าพี่ชายคงให้ไป พี่ชายทรงเป็นสุภาพบุรุษ และมีน้ำพระทัยกว้างขวาง การไปบอกลาแค่นี้คงไม่ขัดข้อง แลยังจะทำให้ มุจลินทร์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยด้วย”

ทยุติธรทรงแย้มสรวลน้อยๆ สีทันดรเข้าใจทูลยิ่งนัก ที่ผ่านมาพระอนุชาทูลขอสิ่งใดก็ไม่เคยขัด เพราะเป็นน้องรักพระองค์เดียว “ได้สิพี่อนุญาต...แต่มีข้อแม้ว่าพี่จะต้องไปด้วย”

“ไชโย พี่ชายทรงน่ารักที่สุดในโลกเลย” สีทันดรด้วยความที่ดีพระทัยกอดพระเชษฐาแน่นแล้วก็ฉุกพระทัยคิดอะไรบางอย่างมาได้ “เอ๊ะ ทำไมทรงให้ไปง่ายจัง ว่าแต่หากพี่ชายเสด็จไปด้วย มุจลินทร์กับนลจะคุยกันสะดวกฤา”

“พี่อยากให้มุจลินทร์เข้าใจพี่และมองพี่ในแง่ดีบ้างก็เท่านั้น พี่สัญญาว่าพี่จะให้เขาทั้งสองล่ำลากันอย่างลำพังเป็นครั้งสุดท้าย พี่จะอยู่เฉยๆ ที่พี่ไปไม่ใช่เพราะพี่ไม่ไว้ใจเจ้า พี่ไม่ไว้ใจเทพพวกนั้นต่างหาก”

“โธ่ อัสสะไม่ใช่คนแบบนั้น”

“นี่พี่จะแตะต้องสุริยาทิตย์ของเจ้าไม่ได้เลยใช่ไหม ออกรับแทนมันตลอด”

“พี่ชายล่ะก็ ทรงเปิดพระทัยหน่อยสิ ลองสนทนาดีๆกับพวกอัสสะดู    พวกเขาน่ะก็อยากจะทูลขอคำแนะนำในด้านการรบอยู่นะพะยะค่ะ โดยเฉพาะอัสดงยังชมเลยว่าพี่ชายเก่ง” สิ่งที่เจ้านาคาตาสวยปรารถนามากที่สุด คือให้พี่ชายโปรดอัสดง การทูลปดเล็กๆน้อยๆย่อมทำได้ เพราะความจริงอัสดงมักบอกเสมอว่า....... “ พี่ชายเจ้ามันขี้แอ๊ค วางท่า”

“อย่ามาพูดให้พี่ใจอ่อน ยังไงพี่ก็ไม่เห็นด้วยที่อณูพระสุริยาทิตย์จะมาดูแลเจ้า นี่เป็นเพราะพระเสาวณีย์แห่งพระมหาลักษมีเทวีหรอกพี่ถึงยอมอยู่เฉยๆ เอาล่ะ จะพามุจลินทร์ขึ้นไปก็ขึ้นไป และไปรอพี่ตรงอุทยานด้านนอกให้ลับตาสมเด็จทวดกับทูลหม่อมปู่หน่อย พี่ขอสั่งความทหารนิดหนึ่ง แล้วจะตามไปสมทบ”

“พะยะค่ะ” เมื่อพระอนุญาตประทานลงมาเป็นมั่นเป็นเหมาะ สีทันดรก็ทรงยันพระวรกายผลุดขึ้นจากพระเพลา เสด็จปรู๊ดปานวายุ แต่ยังไม่ทันไรก็มีเสียงของพี่ชายรั้งไว้

“ทำเป็นดีใจ จนรีบวิ่งเชียว ...เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า”

“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ” เจ้านาคน้อยนึกได้ หันพระวรกายกลับมาคุกพระชงฆ์ลง แล้วถวายจูบที่พระปรางซ้ายขวา ยามที่พระเชษฐาประทานสิ่งใดให้ทุกครั้ง “หม่อมฉันรักพี่ชายที่สุดในโลกเลย”

“เวลานี้คงไม่ใช่แล้วมั้ง เพราะพี่คงเป็นรองอัสดง” ทยุติธรประทานจูบตอบที่พระนลาฏ ยามนี้ทรงอ่อนโยนยิ่งนัก

พระเนตรฟ้าครามใสฉายแววเขินอาย ทูลหม่อมพี่ชายทรงรู้ไปเสียทุกอย่าง ทรงคืนกลับมา น่ารักอ่อนโยนอย่างที่ทรงเคยเป็นแล้ว น่าเสียดายที่พระอารมณ์แบบนี้น้อยคนนักที่จะได้เห็น โดยเฉพาะ มุจลินทร์


ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
อณูแห่งเทวะน้อยทั้งหลายเมื่อเข้าที่พักได้ ต่างก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว โดยนัดกันว่าจะเจอกันตอนหกโมงเย็น เพื่อเดินเที่ยวรอบเมือง และซื้อของมาเลี้ยงสังสรรค์ตามที่ตั้งใจไว้ ที่พักแห่งนี้ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก สามารถเดินมาได้ แต่ถึงจะไกลแค่ไหน มีฤาจะเป็นอุปสรรค เพียงแค่พวกเขาเหิรลอยยังไม่ทันถึงอึดใจด้วยซ้ำก็สามารถไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ กระท่อมเล็กๆที่อยู่ริมน้ำถูกเทวะน้อยเหมาหมดทั้งห้าหลัง เพราะทิวทัศน์ดีและสวยงามกว่าส่วนอื่นๆ หลังแรกจับจองโดยอัสดงที่เจ้าตัวตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของไอ้ดื้อ หลังที่สองเป็นของทรงกลดกับนลกุพรซึ่งเจ้าพระจันทร์ทำหน้าที่พี่เลี้ยงได้ดีเยี่ยมไม่ขาดตกบกพร่อง หลังที่สามเป็นของคู่รักจอมเซี้ยวคืนฉายกับเอราวัต หลังที่สี่เป็นของน้ำเชี่ยวกับธรรม์ ส่วนหลังที่ห้าหลังสุดท้ายเป็นของคันฉัตรกับราหู ที่นี้ก็เหลือแต่ตระการตา ที่ไม่รู้ว่าจะแทรกลงไปตรงไหน

“พักกับอัสดงก่อนก็ได้นี่” ราหูเสนอ “น้องดื้อไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร ... น่าอัสดงดีกว่านายนอนคนเดียว ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ พญานาคไม่อยู่ ฉะนั้นเทวะรูปหล่อจงร่าเริง”

“แนะนำดีนักนะมึง เดี๋ยวโดนเตะ” อัสดงเสียงเขียวเข้าให้

“อะไรเหรอ พญานาคอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกตา ราหูมันเพ้อเจ้อ” คันฉัตรขมวดคิ้วใส่เพื่อนตัวแสบที่พูดอะไรไม่ดูเลยว่ามีคนธรรมดาอยู่ด้วย “ว่าไงอัสดงสะดวกไหม”

ระหว่างที่อัสดงกำลังคิดถึงความเหมาะสมอยู่ เอราวัตที่ยืนอยู่ด้วยก็กลัวว่าตระการตาจะโดนแหมะมาแปะลงที่ตรงบ้านเขากับคืนฉาย จึงพูดมาว่า

“ ฉายไปเหอะ ไปจัดของให้เข้าที่กัน”

แล้วเอราวัตก็จูงมือคืนฉายออกจากวงสนทนามาอีกครั้ง เล่นเอาทุกคนตาค้าง ไอ้พระพุธนี่ วันนี้มันเป็นอะไรของมัน

“เอางี้ดีกว่าไอ้ฉัตร ให้ไอ้ราหูมานอนกับฉันก่อน ส่วนนายก็นอนกับตระการตา  หากไอ้ดื้อกลับมา ค่อยให้ไอ้ราหูย้ายกลับไปนอนบ้านนายแล้วค่อยใส่เตียงเสริมเอา ดีไหม”

“เอาอย่างที่นายว่าแล้วกันอัสดง...ตาล่ะ นอนกับฉัตรโอเคไหม” คันฉัตรเกรงว่าตระการตาจะไม่สะดวกใจ เพราะตนไม่ใช่คืนฉายจึงถามออกไป แต่ที่ไหนได้ การชวนนอนด้วยกันของคันฉัตรนั้นมันทำให้แก้มเขามีเลือดขึ้นมาหล่อเลี้ยงสูบฉีดบริเวณใบหน้าได้ทันตา

“ขอบคุณนะฉัตร ...งั้นตารบกวนด้วยแล้วกัน”

“ไม่เป็นไร”

ตระการตา เดินตามหลังคันฉัตรต้อยๆ ในชั่วแวบแห่งความรู้สึก เขาจับสัมผัสได้อีกครั้งว่า ในตัวคันฉัตรมีอะไรบางอย่างน่ายำเกรงหากสิ่งที่น่ายำเกรงนั้น เขาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก รู้แต่ว่าภายใต้ความรู้สึกนี้ มีความอบอุ่นซ่อนอยู่ลึกๆ และความอบอุ่นนี้นั้นก็ลอบมาให้ได้สัมผัสอยู่เนืองๆ

เวลาผ่านไปสักพัก ทางด้านคืนฉายที่เข้าบ้านพักมาก่อนก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ฉีดน้ำหอมเสียหอมฟุ้ง จนคนใกล้ตัวและใกล้หัวใจอย่างเอราวัต อดแขวะไม่ได้

“นี่ฉาย ฉีดน้ำหอมเสียฟุ้งเชียว แล้วทำไมวันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ จะแต่งไปให้ใครดูหรือเปล่าวะ”

“โธ่เอ๊ย ฉายจะไปให้ใครดู ถ้าไม่ใช่เอราวัต ...หึงอีกแล้ว ว่าแต่นายนี่เวลาหึงก็น่าดูเหมือนกันนะ  ฉายล่ะดีใจที่เอราวัตหึงฉาย”คืนฉายหันมากอดเอราวัตจากทางด้านหลังใบหน้าขาวกระจ่างใสเริ่มซุกลงตรงซอกคอของเจ้าพระพุธน้อย

“จะไม่ให้หึงได้ไง รักมากนี่โว้ย เลยหึงมาก ตระการตาเล่นโผล่มาอย่างนี้ แถมยังมองฉายด้วย” เอราวัตมิเสียเวลาประดิษฐ์คำพูดอันใดอีก รู้สึกอย่างไรก็โพล่งออกมาอย่างนั้น เล่นเอาคนฟังยิ้มจนแก้มปริ    

“ชื่นใจฉายที่ซู๊ดดดด เหอะน่า เขามองก็ช่างเขาสิ เดี๋ยวเขาก็เลิกมอง”

“ทำไมเขาถึงจะเลิกมองล่ะ”

“ไอ้ฉัตรคือคำตอบ เดี๋ยวถ้าเอราวัตเจอมัน ลองอ่านความคิดมันดูสิ แล้วจะรู้ ที่นี้เราสองคนก็มีงานต้องทำหนักขึ้น นอกจากปราบอสูรแล้ว เรายังต้องทำหน้าที่แทนพระกามเทพด้วย”

“จริงเหรอ” เอราวัตยิ้มได้โดยทันที อารมณ์ขุ่นมัวจางหายรวดเร็ว จึงปล่อยตัวลงในอ้อมกอดของคืนฉายมาขึ้นกว่าเดิม “ถึงทีเราบ้างแล้วฉาย ไอ้ฉัตรมันเคยช่วยเรา คราวนี้เราต้องช่วยมันบ้าง”

“ไม่ใช่ไอ้ฉัตรคนเดียวนะ ..ยังมีไอ้กลดด้วย คู่นี้อัสดงมันสั่งมา”

“อ๋อได้สิ” เอราวัตรับคำ เข้าใจทุกอย่างดี โดยที่คืนฉายมิต้องบอกอะไรเพิ่มเติม ทั้งสิ้นว่าคู่ที่จะจับให้กับทรงกลดนั้นคือใคร “รับรองคู่นี้จะสมนาคุณให้หนักเลย”

“แล้วจะไม่สมนาคุณอะไรให้ฉายบ้างเลยเหรอ ก่อนไปกินข้าวก็ได้นะ นิดนึงก็ยังดี”

“ก็คืนนี้ไง รับปากไว้แล้วไม่ลืมหรอกไอ้บ้า” แม้จะเคยกันมาหลายครั้ง เอราวัตก็ยังไม่วายเขิน ยามคืนฉายขออย่างว่า

“วันนี้พระพุธของฉาย งอแงแต่ก็น่ารักที่สุด”

“วันนี้พระศุกร์ของเอราวัต ก็หล่อที่สุดเช่นกัน อย่าลืมนะทำตัวดีๆไม่งั้นคืนนี้อด”

“คร๊าบ ไปเหอะ ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพวกนั้นรอ” คืนฉายปล่อยเจ้าพระพุธออกจากอ้อมกอด แล้วจูงมือตั้งใจพาออกไปนอกห้อง แต่เจ้าพระพุธกลับดึงเขาเข้ามากอดไว้เองเสียนี่

“ขอโทษนะ ที่เอราวัต ทำตัวงี่เง่างอแง”

“ช่างมันเหอะ แล้วก็แล้วไปน่า อย่ารื้อฟื้นเลย ถึงเอราวัตจะงอแง แต่ทำไปก็เพราะรักฉาย ....น่าร้าก น่ารักไปอีกแบบ”

“ทำเป็นพูดดีไป จำได้ไหม ว่าหากไม่ต้องการฉันวันไหนให้บอก”

“เคยบอกแล้วไง ว่าจะไม่มีวันนั้น”

คืนฉายประกบปากลงทันที ไม่รอให้พรุพุธพูดสิ่งใดต่อ ริมฝีปากทั้งสองปิดสนิทแน่น มิยอมแยกจากกัน ดั่งหัวใจทั้งสองที่ถูกพันธนาการด้วยไยแห่งเสน่หา ยากจะมีสิ่งใดตัดขาดแน่นอน

บรรยากาศยามเย็น หนาวเสียยิ่งกว่าหนาว อณูน้อยทั้งแปด หนึ่งยักษ์และหนึ่งมนุษย์จัดการกับมื้อเย็นอย่างง่ายๆ แล้วพากันเดินซื้อเครื่องดื่มประเภทเหล้าไปเลี่ยงฉลองตามที่ตั้งใจไว้ น้ำเชี่ยวออกตัวเป็นพ่องานในครั้งนี้ ด้วยความที่เปรี้ยวปากมาเสียนาน โดยมีธรรม์กับราหูคอยช่วยถือ ส่วนอัสดง ทรงกลดและนลกุพร แยกไปสำรวจวัดบนภูเขาเพื่อจะใช้ฝึกอาคม คืนฉายกับเอราวัตเกี่ยวก้อยกันกระหนุงกระหนิง อยู่บริเวณถนนคนเดิน เฉกเช่นคันฉัตรและตระการตา ที่เดินย่อยดูนั่นดูนี่อย่างสบายใจ

เสียงระฆังใบใหญ่ดังเหง่งหง่าง เพียงริมโอษฐ์หยักได้รูปเป่าลมออกมาเพียงเบาๆ ก็ทำลายความเงียบสงัดยามสนธยามหมดสิ้น พระเนตรกว้างเคยซุกซนสดใส บัดนี้เหม่อลอย ทอดส่ายไปทั่วสารทิสจากยอดผาสูง ความมืดมิดค่อยๆโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็วเงียบเชียบ พระสุริยาทิตย์เสด็จกลับไปแล้ว แลขบวนเสด็จแห่ง จันทรเทพก็เสด็จเข้ามาแทนที่ เฉกเดียวกับที่อัสดงที่มาได้แป๊บเดียว ก็ขอตัวกลับลงไปก่อน ทิ้งอณูน้อยจันทรเทพฉายแสงแทนตน ยังเบื้องหลังของนลกุพร

“นลเรากลับลงไปกันเหอะ เริ่มมืดแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นจะรอ”

“อีกสักพักได้ไหมกลด”

“ตามใจสินล แต่อย่านานนัก ฉันเข้าใจนะว่ามันทำใจยาก ฉันเองก็รักสีทันดรมากไม่ต่างกับอัสดง พอผิดหวังก็เจ็บหนัก เราสองคนอกหักพร้อมๆกันนี่”

ทรงกลดถือวิสาสะกอดคอสหายใหม่ ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี กระพริบวิบวับ นลกุพรหันมาสบเข้าพอดี เพียงมองจากด้านข้างความรู้สึกชั่วแวบ เงาทับซ้อนบางเงาทำให้ทอดพระเนตรมองคล้ายเทพธิดาสะคราญโฉมแทรกอยู่ พอกระพริบเนตรบ้าง ภาพนั้นก็มลายหายไป เหลือแต่วงหน้ากระจ่างใส หวานซึ้ง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘น่ามอง’ แม้จะเป็นผู้ชายด้วยกัน

“มองอะไรเหรอนล”

“ปะป่าว ไม่มีอะไร แค่ตาฝาดนิดหน่อย แปลกใจเห็นหน้าเจ้า เหมือนเป็นผู้หญิงน่ะกลด”

ทรงกลดหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากแดงสด แย้มกลีบระเรื่อ นลกุพรแอบคิดไปไม่ด่า หากอณูแห่งจันทรเทพเป็นอิสตรี ก็คงไม่แคล้วประทับรอยจูบลงไป

“ มันไม่แปลกหรอก ที่นายจะเห็นอย่างนั้น เพราะต้นกำเนิดของฉันถูกพระมหาเทพสร้างมาจากเทวธิดางามเลิศสิบห้านาง”

“เออใช่ เราลืมไป” 

นลกุพรหรุบพระเนตรต่ำลง มิกล้าทอดพระเนตรใบหน้าของทรงกลดอีก รัศมีเหลืองนวลอบอุ่นเริ่มแผ่กระจายวาบ พร้อมกลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่ามะลิหอมใดๆ โชยชายเข้าพระนาสิก พระทัยแห่งโอรสาท้าวเวสสุวัณเริ่มเต้นแรง ทรงรู้สึกเหมือนกับว่าพระทัยที่เคยแตกเป็นเสี่ยงค่อยๆถูกสมานให้กลับคืน ด้วยกลิ่นหอมนั้น นี่น่ะฤา มนต์เสน่ห์แห่งจันทรเทพ มันวาบวับจับใจอย่างนี้นี่เอง เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ทรงสะบัดพระเศียรขับไล่ความคิดว้าวุ่น แต่ความวาบพระทัยก็มิจางหาย กลับพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด เพราะใบหน้าของคนที่ทำหน้าทีพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆ ครานี้กลายเป็นวงพักตร์งามเลิศที่ทรงคุ้นเคยแห่งเทวนาคี

“มุจลินทร์!!”

โดยมิต้องรอให้สมองสั่งการ ริมโอษฐ์ หยักได้รูปโผไปประกบกับริมฝีปากแดงสดนั้นพร้อมกับวงแขนแข็งแรงที่กอดพี่เลี้ยงหัวใจแนบแน่น ทรงกลดไม่ทันได้ร้องห้าม คำพูดติดอยู่แค่ลำคอ จะเบี่ยงตัวออกก็มิได้ เพราะแรงรัดของนลมากเหลือเกิน

“นะ นล ...นลจะทำอะไร”

“สำเร็จ!!”

เสียงดีดนิ้วดังเผาะ ด้วยความชอบใจ ดังขึ้นในพุ่มไม้ข้างๆ พร้อมๆกับเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าพระศุกร์กับพระพุธ ประสานเสียง อัสดงที่กลับไปตอนแรก บัดนี้ยืนบัญชาการอยู่เบื้องหลัง

“เยี่ยมไปเลย ไอ้ฉาย”

“งานถนัดน่ะ....อุตส่าห์ไปตามฉันสองคนมา นึกว่าจะให้ทำอะไร เมื่อกี้ยังคุยกับเอราวัตเลย ว่าคู่นี้จะสมนาคุณให้หนัก”

“แต่มันจะไปเร็วไปหน่อยเหรอ อัสดง...ให้มันจูบกันเลย”

“ไม่หรอกไอ้พระพุธ จำไม่ได้เหรอ ตอนฉันเจอไอ้ดื้อ วันแรกก็จูบกันแบบนี้แหละ” อัสดงยิ้มชอบใจ เมื่อนึกถึงอดีตของตน แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ซุกซนว่า “ไอ้ฉาย..นายช่วยเพิ่มดีกรี ความร้อนแรงให้อีกนิดได้ไหม”

“ซำบาย...ลูกพี่”

แล้วริมโอษฐ์ของนลกุพร ก็ขยี้หนักขึ้น เขี้ยวแก้วใสห่าหายชั่วครู่เพื่อจะได้ทำงานสะดวก ทรงกลดทีแรกก็พยามกันตัวเองออกแต่พระวรกายหนาหนักของเจ้าเทวอสุรา กลับรัดแน่นกว่าเดิมและอำนาจอะไรบางอย่างกลับตรึงเขาไว้กับที่ รัศมีเหลืองนวลสว่างไสวสมนามทรงกลดกระจ่างจ้าอย่างไม่เคยเป็น เริ่มหยอกล้อรัศมีสีแดงโกเมน ก่อเกิดประกายสีชมพูกุหลาบอ่อนหวานอยู่ตรงกลาง

ลมหายใจร้อนผ่าวระเรื่อยลิ่ว
แล่นผ่านพลิ้วบนใบหน้าอันแสนหวาน
จูบของเราจะประทับไว้เนิ่นนาน
เป็นสัญญาณแรกเริ่มรักนิรันดร์

เวลาแม้จะผ่านไปได้เพียงแค่นิดเดียว หากทว่าในความรู้สึกของทั้งสองมันช่างเนิ่นนานนัก  ริมโอษฐ์ที่หยักได้รูปยังคงตราตรึงประทับแน่นบนริมฝีปากแดงสด จากแรกเริ่มที่ทรงกลดขัดขืน ตอนนี้เขากลับปล่อยให้นลกุพรดำเนินอารมณ์วาบหามต่อไปไม่หยุดยั้ง เมื่อครู่พยายามผลักดันพระวรกายหนาออก บัดนี้แขนทั้งสองข้างกลับตกระเรี่ยเคลียร่างแล้วยกขึ้นมาลูบไล้แผ่นหลังกว้างอย่างถ้วนทั่ว จะว่าไปทรงกลดก็เปรียบเสมือนเชื้อไฟที่กำลังจะมอดไหม้ ครั้นพอได้น้ำมันชั้นดีอย่างนลกุพรเข้ามาราดลง ไฟสิเน่หาในตัวจึงกลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

นลกุพรเจ้ากล้าจุดไฟ ...เจ้าต้องดับด้วยตัวเจ้าเอง

รัศมีสีแดงโกเมนที่กำลังสอดประสานกับรัศมีสีเหลืองนวลลุกจ้าขึ้นมาจนถึงขีดสุดเช่นกัน อารมณ์ของเทวะมักแสดงออกทางรัศมีเสมอ รอบๆกายทั้งสองที่กำลังกอดกันกลมนั้น รัศมีสีฟ้าเจือขาวสว่างตา กำลังบังคับให้รัสมีทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว อัสดงยังคงยิ้มอย่างชอบใจ และเมื่อเห็นว่าหนำใจแล้ว จึงบอกว่า “ไอ้ฉาย นายคลายมนตร์เหอะ”

และแล้วรัศมีฟ้าครามใสก็จางหาย ดวงเนตรที่กว้างค่อยๆปรือขึ้นมาสบดวงตาสีน้ำตาล เงาทับซ้อนที่เคยปรากฏเป็นวงพักตร์ของมุจลินทร์ ค่อยๆจางลงที่ละน้อย ทีละน้อย จนไม่เหลือเค้าแม้แต่นิดเดียว พระสติค่อยๆกลับคืนมาครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่ออวัยวะบางส่วนจากแกนกลางของร่างกายจากคนที่โดนกอดเริ่มดันนูนแข็งสู้กับส่วนของพระองค์เอง

“เฮ้ย!!”

ร่างของทรงกลดถูกดันออกพลัน และเจ้าอณูน้อยก็ได้สติ ขาทั้งสองข้างที่เคยโดนอำนาจลึกลับตรึงไว้ เริ่มขยับได้ และถอยออกมาเช่นกัน

“นล”

ดวงหน้าใสแดงแปร๊ด กล่าวอะไรต่อไม่ถูก นลกุพรก็ตกใจในอารมณ์ชั่ววูบที่ทำลงไป ทั้งสองต่างยืนนิ่ง จวบจนระฆังใบใหญ่ ดังกังวานขึ้นเองนั่นแหละ จึงพูดออกมาพร้อมกัน

“ขอโทษนะ”

“เราเห็นเจ้าเป็นมุจลินทร์ เราสาบานได้”

“ช่างมันเหอะนล ฉันไม่ว่าอะไรหรอกที่นายตาฝาด แต่อย่าให้มันบ่อยแล้วกัน เพราะฉันไม่สามารถรับรองได้ว่า อารมณ์เมื่อสักครู่มันจะหยุดได้เหมือนครั้งนี้หรือเปล่า”

“เจ้าโกรธเราใช่ไหม ทรงกลด”

“เปล่าเลย ...ฉันจะโกรธนายทำไม เพราะฉันเองก็เป็นคนสานต่อ แม้จะรู้ว่านายเห็นฉันเป็นมุจลินทร์” เสียงของทรงกลดทอดออกมานิ่งๆ ยากที่จะจับความรู้สึกว่า ‘น้อยใจ’  แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นสดใสดังเดิม

“ไปกันเถอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย ป่านนี้พวกนั้นรอแย่แล้ว”

รัศมีสีเหลืองนวลกลายเป็นแสงโชตินาการทันทีที่กล่าวจบ ตามมาด้วยรัศมีสีแดงโกเมนที่พุ่งตามหลังมาติดๆ ในพระทัยของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ทรงเสียพระทัยที่ทำเกินเลย เทวบุตรอย่างองคืเองมิเคยพิสมัยในบุรุษเพศด้วยกัน แม้ที่ผ่านมาจะทรงเจอผู้ที่ทรงความงามพร้อมเกินเทวบุตรอย่างสีทันดร แต่ก็แค่เอ็นดู รักใคร่ฉันสหาย มิเคยเกิดอารมณ์วาบหวามอย่างเมื่อครู่ แต่สิ่งที่ทรงปฏิเสธไม่ได้คือจูบเมื่อสักครู่นั้น ...ร้อนแรงสะกิดพระทัยให้ซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็น

ทางด้านบริเวณถนนคนเดิน หนึ่งอณูเทวะน้อยและหนึ่งมนุษย์ ยังคงเดินทอดน่องดูนั้นดูนี่ไปเรื่อย เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ สายตาทุกคู่ จับจ้องอยู่ที่เขาทั้งสอง ตระการตาน่ามองอย่างมนุษย์ธรรมดา มองเพียงชั่วแวบก็เพียงพอ หากคันฉัตรนั้นน่ะสิ ทุกสายตายังคงจ้องและมิสามารถละไปจากเขาได้เลย แม้แต่ตระการตาเองก็เถอะ

“เขามองฉัตรกันใหญ่เลย ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย”

“ฉัตรมีอะไรแปลกไปเหรอ เขาถึงได้มอง...แต่ก็ช่าง มองได้มองไป ที่สำคัญ ตามองกับเขาด้วยหรือเปล่า”

แปลกนะที่คำถามธรรมดาๆ กลับสร้างรอยยิ้มเล็กได้ที่มุมปากของตระการตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ “ ไม่มองแล้วจะเห็นเหรอ..ตาว่าไม่แปลกหรอก พวกเขามองเพราะเขาชมว่า ฉัตรหล่อ หล่อกว่าพวกดาราหลายๆคน”

“ขนาดนั้นเชียว..แล้วตาล่ะ ตาว่าฉัตรหล่อไหม”เจ้าพระเสาร์หยุดเว้นวรรคชั่วครู่ แล้วกลั้นใจถามต่อไปว่า “ฉัตรหล่อสู้ไอ้ฉายมันได้ไหม”

คำถามนั้นเล่นเอาคนฟังนิ่งอึ้งตอบอะไรไม่ถูก ร่างสูงโปร่งเริ่มประชิดเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นอายหอมแปลกๆ เขาคนนี้ถึงแม้จะคล้ำกว่าคืนฉายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหล่อ น่ามอง ผมสั้นทรงสกินเฮดของเขาช่างรับกับใบหน้า ที่ได้รูป เป็นส่วนผสมที่ลงตัวยากจะหาใครเหมือน จะผิดไหมหากจะให้นิยามความน่ามองของเขาว่า............... “ดาร์ก ทอล แอนด์ แฮนด์ซั่ม”

และด้วยความสูงของเขานี่เอง ทำให้ศีรษะของตระการตา อยู่เสมอแค่ระดับอก เจ้าตัวอดคิดไปไม่ได้ว่า หากซบหัวลงไป ไออุ่นจากอกกว้างคงให้ความสุขได้ไม่มากก็น้อย และหากเขาคนนี้ก้มศีรษะลงมา ริมฝีปากของเขาคงจะจรดอยู่กึ่งกลางหน้าผากนั้นพอดี

“วัดกันไม่ได้หรอก มันหล่อคนละแบบน่ะ” ตระการตาพยายามหาทางตอบเลี่ยงไปทางอื่น แต่คันฉัตรก็ยังไม่วาย ก้มหน้าลงมาค้นหาเอาคำตอบ

“มันแบบไหนล่ะ ที่ว่าคนละแบบ ลองอธิบายมาสิ”

“ฉายเขาหล่อ น่ามอง ขี้เล่น อยู่ใกล้ทำให้หัวใจเต้นแรง แต่สำหรับฉัตรจะหล่อแบบนิ่งๆ และจะหล่อมากเวลายิ้ม อยู่ใกล้ ทำให้ใจอบอุ่นรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย” ตระการตาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงเพราะกลัวว่าคนฟังจะไม่ถูกใจ ที่ต้องมานั่งวิจารณ์ความหล่อของผู้ชายสองคน

“แล้วระหว่าง คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง กับคนที่ทำให้ใจอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย ตาจะเลือกแบบไหน”

คันฉัตรเบี่ยงตัวขึ้นมายืนประจันหน้า ดวงตาหวานซึ้งเป็นประกายทอดมองลงมา ทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงใบหน้าของตระการตาได้อย่างเต็มที่ และเขาก็มิกล้าสู้สายตาคู่นั้น สายตาที่เหมือนมีมนต์สะกดดั่งพญาราชสีห์ ตรึงเนื้อทรายตัวน้อยๆให้แน่นิ่งอยู่กับที่  ทางที่ดีควรหรุบตาลงเสีย

ด้วยความที่คนแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น หรือเป็นเพราะความบังเอิญบวกกับโชคชะตา ร่างของตระการตาถูกชนจากด้านหลังโผเข้าสู่อ้อมอกกว้างที่เหมือนจะกางรอรับพอดี คันฉัตรคล้ายจะรับรู้ความในใจที่ตระการตาคิดไว้ จึงก้มหน้าลงมาอีก ห่างจากหน้าผากของตระการตาเพียงแค่คืบ อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียว ระยะทางเพียงแค่ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารด ระหว่างริมฝีปากกับหน้าผากก็จะบรรจบกัน

“ยังไม่ต้องตอบก็ได้ตา  บางทีอาจต้องใช้เวลาคิด”

คนตัวสูงพูดเพียงแค่นั้น ก็หันกลับไปเดินนำหน้า พร้อมเอื้อมมือมาจับมือของตระการตา ให้เดินกันต่อไป แรกสัมผัสเหมือนมีประจุไฟฟ้าพิสดารวิ่งผ่าน ทำให้สะดุ้ง หากพอชินมันก็ทำให้อุ่นใจได้อย่างคาดไม่ถึง แต่เขาคนนี้จะมาทำดีกับตนทำไม ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังจีบ ....อาจจะเป็นเพราะเขาสงสาร ที่คืนฉายไม่เคยมองมา

อย่าหลอกใจ หลอกกัน เหมือนว่ารัก
อย่าชวนชัก ซ่อนซึ้ง สิเน่หา
อย่าสร้างฝัน ให้ฉันเพ้อ ทุกเวลา
อย่ามองมา เพียงเพราะว่า สงสารกัน

ตระการตาจึงดึงมือกลับแต่ไฉนคันฉัตรกลับฉุดเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย เขาหันมาบอกบางประโยคจนตระการตาหน้าแดงระเรื่อ

“ สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในมือฉัตร ย่อมไม่มีวันหลุดมือ”

ทั้งสองยังคงเดินเล่นกันอีกสักพัก มือที่จับมือตระการตาไว้ก็ยังไม่ยอมปล่อย เดินนำดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย จนกลิ่นกำยานหอมฟุ้งจากร้านขายวัตถุโบราณตรงหัวโค้งถนนหยุดให้คนถูกจูงอยู่กับที่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ตระการตาสนใจ เพราะยืนสูดดมจนเต็มปอด แล้วก็ได้คำตอบว่า กลิ่นกำยานที่หอมแสนหอมนั้น เหมือนกับกลิ่นกายของใคร

“กลิ่นน้ำหอมของฉัตร เหมือนกลิ่นกำยาน นึกตั้งนานว่าเหมือนอะไร”

ตระการตามองเข้าไปในร้าน ก็พบว่ามีวัตถุโบราณอยู่หลากหลายชนิด แต่สิ่งที่สะดุดที่สุด คือบรรดาเทวรูปในลักษณะหรือปางต่างๆ ที่ประดิษฐาน อยู่ในตู้ไม้สักลายรดน้ำ จัดแบ่งเป็นช่องชั้น เรียกว่าพระวิมาน งดงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“สนใจเหรอตา”

“อืม..เทวรูปสวยดี”

“แล้วรู้จักเหรอ ว่าพระองค์ไหนเป็นพระองค์ไหน”

“คิดจะลองภูมิเหรอ ได้สิ” ตระการตาหันมาเอียงคอยักคิ้วให้คนถาม แล้วกล่าวต่อให้สมภูมิ “ที่เห็นอยู่องค์แรกชั้นบนสุดทางด้านซ้าย คือ พระพรหม องค์กลางคือพระอิศวร และองค์ขวาคือพระนารายณ์”

“เก่งนี่ งั้นขออีกคำถามนึงจะได้รู้ว่าเก่งจริงไหม สัญลักษณ์ ที่อยู่ตรงฝ่าพระหัตถ์ของแต่ละพระองค์ล่ะคืออะไร”

“โธ่อันนี้ใครๆก็รู้..อ่านว่า โอมไง”

คันฉัตรปรบมือให้ พร้อมถามต่ออีกข้อหนึ่งว่า “แล้วโอม มาจากอะไร”

“ไหนว่าถามอีกข้อเดียวไง ฉัตรขี้โกง ไม่ตอบแล้ว ข้อนี้ตาไม่รู้” ครานี้ตระการตาจนมุม ขมวดคิ้วเบ้หน้าใส่ คันฉัตรมองภาพนั้นก็ต้องหัวเราะระคนเอ็นดู เพราะมันช่างไร้เดียงสาเสียจริง

“บอกให้ก็ได้ โอม มาจากภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า อะ อุ มะ อ่านออกเสียงสนธิคำรวมกันจึงเรียกว่า โอม” คันฉัตรหยุดเว้นวรรคชั่วครู่เพื่อให้คนฟังตามทัน แล้วกล่าวต่อไปว่า

“ อะ นั้นเป็นตัวแทนของพระมหาศิวะหรือพระอิศวร ผู้ทรงทำลายล้างความชั่ว อุ มาจากพระมหาวิษณุหรือพระนารายณ์ที่ตาเรียก เป็นผู้ทรงรักษา ส่วน มะ หมายถึงพระมหาพรหม ผู้ทรงสร้าง ดังนั้น โอม จึงเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เพราะรวมมหาเทวะสามพระองค์เข้าด้วยกัน ซึ่งเราเรียกกันว่า ตรีมูรติ”

คันฉัตรยกมือขึ้นพนมจรดหน้าผากยามกล่าวพระนามพระมหาเทพ   ตระการตา มองด้วยสายตาทึ่ง เขาไม่คิดว่าคันฉัตรจะรู้ และไม่รู้เปล่า ยังถ่ายทอดออกมาได้น่าฟัง เข้าใจง่าย

“เห็นเทวรูปอีกสามองค์ที่อยู่อีกซีกไหม นั่นคือมหาเทวีทั้งสามพระองค์ หรือศักติ หรือที่เรารู้กันว่า มเหสี รู้ไหมพระองค์ไหนคู่พระองค์ไหน”

“รู้สิ พระศิวะคู่พระอุมา พระนารายณ์คู่พระลักษมี พระพรหมคู่พระสรัสวดี” ตระการตามั่นใจว่าคราวนี้ตอบได้ ตอบถูก แต่ก็ต้องจนมุมอีกครั้งเมื่อคนตัวสูงรูปหล่อถามต่อมา “แล้วรู้ไหมล่ะ ทั้งสามพระองค์ ทรงอำนาจเยี่ยงไร”

“ไม่รู้..”

“พระมหาอุมาเทวี ทรงศักดิ์แลอำนาจเหนือสามโลก พระมหาลักษมีเทวี ทรงสิริหรือศรีความความงามเลิศสมบูรณ์ ส่วนพระมหาสรัสวดีเทวี ทรงปัญญาและความรู้ในทุกสรรพสิ่ง และมนุษย์จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ก็ต้องประกอบด้วยสิ่งสำคัญสามสิ่งนี้ คือ ศักดิ์ ศรี และปัญญา  เราจึงน้อมเคารพมหาเทวีทั้งสามดุจดั่งพระมหาเทพ เรียกทั้งสามพระองค์ว่า ตรีศักติ”

อำนาจแลรัศมีบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากตัวคันฉัตร ตระการตาสัมผัสได้ เกิดความรู้สึกยำเกรงลึกๆ เขาคนนี้ รู้ และรู้จริงความรู้ที่เขาถ่ายทอดมีค่ายิ่ง เขาไปร่ำเรียนที่ไหนมา “ เข้าใจแล้ว ฉัตรเก่งจัง เรียนเทววิทยาหรือโบราณคดีมาเหรอ”

คันฉัตรยากจะตอบว่าเรียนมาจากไหน หากจะบอกไปตรงๆว่า ได้เข้าเฝ้าแทบทุกพระองค์เสียจนนับครั้งไม่ถ้วน คนฟังก็คงจะช็อก จึงเลี่ยงๆไปว่า

“เห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ก็เลยรู้น่ะ”

“ยกนิ้วให้เลย” แล้วสายตาของตระการตา ก็มองเรื่องลงมาจนถึงชั้นกลางซึ่งมีเทวรูปกลุ่มหนึ่ง แปดองค์ตั้งเรียงรายอยู่ และคนช่างสงสัยก็ถามทันใด “เทวรูปพวกนี้ ทำไมไม่เคยเห็น”

“เทวดาอัฐเคราะห์ไง นี่ พระอาทิตย์ทรงราชรถเทียมม้าอุจไฉยศรพ พระจันทร์ทรงราชรถม้าขาว พระอังคารทรงกระบือ และนี่ก็พระพุธทรงพญาคชสาร ตาคงไม่ชอบท่านนักหรอก พระพุธเนี่ย”

“ทำไมถึงจะไม่ชอบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตา”

“เกี่ยวสิ เพราะพระพุธเป็นแฟนกับพระศุกร์”

“ยิ่งไม่เกี่ยวใหญ่ ฉัตรไม่เอาน่า อย่าล้อเล่น เล่าต่อสิกำลังเพลินและองค์ที่เหลือล่ะ”

“พูดจริง ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ .. ส่วนองค์อื่นก็ไล่ไปตามวันแหละ จนถึงองค์สุดท้ายพระราหูปางนี้ทรงครุฑ ทั้งแปดพระองค์คอยปกปักรักษามวลมนุษย์ให้พ้นภัย”

“รู้อีกแล้ว รู้ได้ไง”

“แล้วทำไม ไม่รู้ล่ะ” คันฉัตรถามกลับ แกมหยอกและถามทิ้งท้ายด้วยหัวใจตุ้มๆต่อมๆว่า “ถ้าต้องเลือกหนึ่งในแปดองค์ ตาจะเลือกองค์ไหน”

“ทำไมต้องเลือก”

“เหอะน่า ให้เลือกก็เลือกเหอะ ถูกใจองค์ไหนเร็ว”

“งั้น..” ตระการตาลังเลมองเข้าไปจนชิด แล้วก็ชี้ไปที่เทวรูปองค์หนึ่งซึ่งทรงโคอสุภราช ที่คนปั้นบรรจงสรรค์ขึ้นมาอย่างงดงาม ทันทีที่นิ้วชี้ไป คันฉัตรมีอันต้องหน้าเสีย หันหลังกลับตั้งใจเดินออกจากร้าน เพราะที่ตระการตาชี้ไปคือ........ “พระศุกร์”

“ถูกใจองค์นี้ตอนแรก แต่ถ้าจะให้เลือกจริงๆ ตาเลือกองค์นี้ดีกว่า” คันฉัตรหยุดชะงัก หันกลับมาดูแล้วหัวใจก็ต้องพองโตคับฟ้า เพราะเทวรูปที่ตระการตาเลือกนั้นคือ เทวบุตรรูปงามประทับเหนือพยัคฆราช พระหัตถ์ทรงศร

“องค์นี้ พระเสาร์ใช่ไหม”

“ ใช่แล้วตา พระเสาร์ ตาเลือกพระเสาร์” คันฉัตรยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาด บีบมือตระการตาแน่น

“อืม ในความรู้สึกบอกว่า หากเลือกท่าน ท่านจะปกป้องได้ ... เอ ตาว่า ทำไมใบหน้าท่านดูคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ” ตระการตาคิดอยู่ชั่วครู่ ประกอบกับใบหน้าคมเข้มจนบาดใจ จ้องมองอยู่แถวๆนั้น ทำให้มองกลับไปกลับมา ระหว่างหน้าเขากับเทวรูป แล้วก็ต้องอุทานออกมาได้โดยพลัน

“นึกออกแล้วเหมือนฉัตรเลย เป็นไปได้ไง”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็ฉัตรไปเป็นแบบมาน่ะสิ กลับบ้านพักกันเหอะ ฉัตรอยากกินเหล้าเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆแล้ว”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ทางด้านน้ำเชี่ยว ธรรม์ และราหู เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว ต่างก็มุ่งหน้าเดินกลับบ้านพัก ด้วยความที่ถือของกันพะรุงพะรังเต็มมือ แถมคนก็ยังเยอะและเจ้าน้ำเชี่ยวก็ดันเปรี้ยวปาก เลยแวะซื้อเบียร์สดรินใส่แก้วดื่มแก้หนาว แล้วเจ้าราหูที่เดินอยู่ข้างหลังก็ไม่ทันระวัง สะดุดขาตัวเองไปกระแทกหลังเจ้าน้ำเชี่ยว ทำให้อณูน้อยแห่งพระอังคารถลาไปชนคนที่เดินสวนมา เบียร์สดที่เต็มแก้ว จิบไปได้นิดเดียว กระฉอกเลอะหน้าคนคนนั้นทั่ว แถมแรงมหาศาลจากฝ่าเท้าของน้ำเชี่ยวยังเหยียบเข้าไปจนเต็มตีน ร่างของน้ำเชี่ยวก็ถูกผลักออกทันใด เจ้าคนนั้นรีบเช็ดหน้าเช็ดตา ตะโกนลั่น

“เฮ้ยยย อะไรกันนี่”

“เฮ้ย..ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ พอดี ไอ้คนข้างหลังมาชนน่ะ” น้ำเชี่ยว กล่าวขอโทษ เพราะเขาเป็นฝ่ายผิด อีกอย่างก็ไม่อยากมีเรื่องกับพวกมนุษย์ เดี๋ยวใครรู้จะหาว่ารังแกมนุษย์เสียเปล่า 

“พวกเรายินดี จ่ายค่าเสียหายให้ถ้าคุณต้องการ แต่พวกเราไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ” ธรรม์กล่าวเสริม แต่ไอ้เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น ดันมิยอมหายโกรธกลับตะเบ็งขึ้นด้วยโทสะยิ่งกว่าเดิม ผลักอกธรรม์ ออก

“ ไม่เอา....เพื่อนเจ้าต้องกราบเท้าเรา ที่บังอาจลบหลู่”

“มึงเป็นใครมาจากไหนวะ พวกกูบอกแล้วไง ว่าไม่ได้ตั้งใจ มึงจะเอาเหี้ยอะไรอีก ไสหัวไปซะ กูไม่อยากรังแกพวกมึง” ราหูทนไม่ไหวที่ให้ไอ้คนบ้านนอกที่เป็นใครจากไหนไม่รู้มาพูดจาสามหาวใส่พวกตน จึงเดินออกหน้าตะโกนลั่นออกไปบ้าง เสียงโวยวายนี้เองเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง เสียงเพลงและวงดนตรีต่างๆ ต่างหยุดบรรเลงคอยดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ นักท่องเที่ยวแตกฮือออกเป็นวงกว้าง........“สงสัยจะได้ดูมวยวัด”

“พูดอย่างงี้เหรอ”

แล้วกำปั้นหนัก ก็พุ่งเข้ามาสู่ใบหน้าของราหู เจ้าอณูน้อยก็หลบไปด้วยความไว ปล่อยหมัดสวนออกไป เจ้านักเลงบ้านนอกไม่ทันระวังจึงถูกต่อยคืนที่ท้อง เสียงพลั่กดังสนั่น ใครที่ได้ยิน ได้เห็น ก็ต้องคิดว่าไอ้นี่ไส้แตกตายแน่แล้ว เพราะหมัดที่ปล่อยไปทั้งหนักและทั้งกระทบท้องรุนแรง แต่ ...ไอ้เจ้าคนนั้นกลับแค่เซถลาเข้าไปในฝูงชนที่ยืนมุงดู แล้วกระเด้งตัวกลับขึ้นมา อย่างว่องไว รอยฟกช้ำไม่มี มีเพียงเลือดกระอักติดมุมปากเล็กน้อย

เมื่อทรงตัวได้ มันผิวปาก เป็นทำนองสูงต่ำแปลกๆ คล้ายเสียงกราดเกรี้ยวของนกใหญ่ พอสิ้นเสียง ก็มีชายฉกรรณ์ โผล่ออกมาจากฝูงชนห้าคน พวกนั้นหยุดยืนล้อมคนที่เรียกมันเอาไว้ เสมือนบ่าวคอยรอคำสั่งจากนาย

“พวกเจ้าจะมากราบเท้า ขอโทษเราไหม เราจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ”

“มึงนั่นแหละ ควรเข้ามากราบตีนกู มึงไม่รู้หรอก ว่ามึงบังอาจเพียงไหน” น้ำเชี่ยว เดินมายืนอยู่กลางวงพร้อมกับราหู ทั้งสองต่างเริ่มรับรู้ว่า ไอ้คนข้างหน้านี้มันคงไม่ธรรมดาแน่ คงมีดีอะไรสักอย่างเพราะโดนหมัดของราหูแล้วไม่เป็นไร  แม้ธรรม์มิต้องเตือน

น้ำเชี่ยวยังไม่ทันจะพูดจบด้วยซ้ำไอ้พวกนั้นก็กรูกันเข้ามา คนที่ยืนรายล้อมดูแตกออกเป็นวงกว้างขึ้นไปอีก เพราะกลัวโดนลูกหลง แต่ด้วยความเร็วปานพายุของน้ำเชี่ยวและราหู คนที่มองจึงจับภาพพวกเขาไม่ทัน สายตาของมนุษย์มิสามารถมองได้ แต่ไม่ใช่กับพวกศัตรูบ้านนอกประหลาดพวกนี้

“มันไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ไอ้ราหู ใช้เทวฤทธิ์เหอะ ไม่ต้องยั้งมือแม่งแล้ว”

“อย่าเพิ่ง ล่อมันไว้ ให้มันแสดงตัวออกมาก่อน”

ธรรม์ที่เพิ่งกระโจนเข้ามาช่วย ส่งกระแสจิตบอกทั้งสอง ไอ้เจ้าหัวหน้าที่โดนเบียร์สาด นั้นก็ใช่ย่อย รวดเร็วปานประหนึ่งพายุเช่นกัน ความชุลมุนจึงบังเกิดยกใหญ่ กลายเป็นม่านควันหนาทึบยิ่งกว่าไอหมอก และภายในใจกลางวงก็บังเกิดเสียงดังสนั่น บุรุษฉกรรณ์ลูกน้องไอ้นักเลงบ้านนอก ถูกเหวี่ยงออกมาคนเล่าคนเล่าสลบเหมือดคาพื้นถนน จากหกต่อสาม บัดนี้เหลือเพียงแค่หนึ่งต่อสาม

“เกิดอะไรขึ้น”

คันฉัตรที่พาตระการตาเดินมาถึงจุดชุลมุน กล่าวขึ้นเพราะเห็นกลุ่มควันหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นทาง คนหลายๆคนซบลงกับพื้นถนน เขาจึงรีบใช้กระแสจิตจับดู และก็รู้ได้โดยทันทีว่า ตรงใจกลางกลุ่มควันนั้นเกิดอะไรขึ้น

“ไอ้น้ำเชี่ยว ไอ้ธรรม์ ไอ้ราหู มึงหยุดก่อน มนุษย์กำลังเดือดร้อน หยุดสู้กับศัตรูแล้วกั้นเขตอาคมซะก่อนสิวะ”

“หยุดไม่ทันแล้วไอ้ฉัตร ตอนแรกกูนึกว่ามันเป็นมนุษย์ธรรมดา เลยไม่ได้กั้น แต่นี่มันไม่ใช่ กำลังล่อให้มันสำแดงตัวอยู่ เข้ามาช่วยพวกกูก่อนเดี๋ยวเล่ารายละเอียดให้ฟัง” ราหูกล่าวตอบ คันฉัตรถึงกับส่ายหน้า เพราะมนุษย์ที่อยู่รายรอบ เริ่มสำลักม่านควันหนาหนักนั้น คันฉัตรพยายามจูงมือตระการตาเลี่ยงเข้ามาในบาร์เหล้าข้างทาง แล้วสั่งว่า

“ตานั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ อย่าไปไหน และปิดตาไว้ อย่าให้ควันเข้าตา”

“ฉัตรจะไปไหน”

คันฉัตรไม่กล่าวตอบสิ่งใดทั้งสิ้น ภารกิจสำคัญตอนนี้คือหยุดการโรมรันให้ได้ มิฉะนั้นมนุษย์รอบด้านจะแย่กว่าเดิม ครั้นจะกระโจนเข้าไปกลางวงเดี๋ยวจะเผลอไปร่วมศึกด้วย แล้วฉับพลัน ในความเลือนรางแห่งไอหมอกและม่านควันนั้นเอง เขาก็เห็นแซ็กโซโฟนวางอยู่ จึงนึกได้ว่า นี่ไง สิ่งที่จะใช้หยุดพวกนี้ได้ชะงัด 

ทันใดนั้น ฝ่ามือแข็งแรง ก็หงายขึ้นกลายเป็นแซ็กโซโฟนคู่ใจเมื่อครั้งใช้ปราบนางผีเสื้อสมุทร แล้วเสียงดนตรีจากเครื่องเป่าทองเหลืองก็ดังกังวานขึ้น เพียงสามถึงสี่ห้องแรกเท่านั้น ผู้คนบริเวณถนนคนเดินและเหล่าไทยมุง กระเหรี่ยงมุงทั้งหลาย ก็ค่อยๆหายสำลักควัน  แล้วม่านตาก็เริ่มหนาหนักตาปรือลงทีละน้อยทีละน้อย จนปิดสนิทแน่น ถนนคนเดินและทั้งตัวเมืองเล็กๆ เริ่มหยุดชะงักอยู่กับที่ ส่วนน้ำเชี่ยว ธรรม์ ราหูและไอ้นักเลงบ้านนอกที่อยู่ใจกลางวง กำลังแลกหมัดกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงดนตรี หมัดแต่ละหมัดและเท้าแต่ละข้าง ก็ช้าลง ช้าลง อารมณ์โมโหค่อยๆมลายหาย อณูน้อยแห่งพระเสาร์ ใช้แซ็กแทนปี่ กลายเป็นพระอภัยเป่าแซ็กอีกคำรบ

ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช      จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน      ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา

ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ      อันลัทธิดนตรีนี้หนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์      จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง *

แล้วความรุนแรงทั้งมวลก็ยุติลง หมอกควันจางหาย เหลือแต่ร่างหลายๆร่างหลับสนิทแน่นิ่ง อณูน้อยทั้งสามสงบลงได้อย่างรวดเร็ว เหิรลอยมาอยู่ด้านหลังคันฉัตร ส่วนไอ้นักเลงบ้านนอกปริศนา กำลังพยายามเอามือปิดหูแต่ดูเหมือนว่า เสียงแซ็กโซโฟนที่ใช้ต่างแทนเสียงปี่ก็ยังสอดแทรกเข้ามาได้ ครั้นหันไปดูลูกน้องก็แน่นิ่งกันหมด  ก่อนจะมีอันสลบเป็นไป เจ้าอันธพาล ก็กระทืบเท้า สลัดหัวโดยแรงวาดแขนขึ้นด้วยความเร็วเสมอระดับหัวไหล่ พลันอัศจรรย์ก็บังเกิด เสียงร้องดังกังวานก้อง ถูกเปล่งออกมาพร้อมกับปีกสีเศวต กระพืออยู่ด้านหลัง กางเต็มที่ โผนทะยานขึ้นสู่เวหาที่มืดมน แล้วเริ่มฉายรัศมีดุจดาวฤกษ์ สายลมรุนแรงภายใต้การโบกสะบัดปีกแต่ละครั้งทำให้เทวะน้อยทั้งสี่ต้องใช้พลังสกัดกั้น เสียงแซ็กโซโฟนจำต้องหยุดลง ยาม ‘ครุฑสีหนาท’ สำแดงเดช

จากเด็กหนุ่มนักเลงบ้านนอกที่ถูกเบียร์สาดหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ คืนร่างสู่สภาวะเทวปักษี เจ้าแห่งเวหา พักตรางามหากทว่ากราดเกรี้ยว ริมโอษฐ์หยักคล้ายเป็นจะงอย วรกายกำยำ ห่มเพียงภูษาหยักรั้งจีบหน้า เพียงท่อนล่าง ท่อนบนเปล่าเปลือย ศิราภรณ์ที่คาดเศียรบ่งบอกถึงศักติ และเดชะดั่งเทวะ

“พญาครุฑ พวกเทวปักษี”

แล้วปีกสีเศวตก็เหยียดยาวขีดสุด ละอองทองจากการกระพือทำให้สมุนที่สลบไหลพื้นคืนสติ กลายร่างโผนทะยานบินอยู่หลังนาย ตบะและเดชะของพวกมันมิเทียมเท่า แรงลมจากปีกของพวกมัน มิครณามือเทพน้อยทั้งสี่หรอก ยกเว้นนายมัน ที่ปีกเริ่มลู่แนบพระวรกาย พุ่งลงมาทันที และทันใดนั้น ก็บังเกิดรัศมีสีเขียวเจือทองแรงกล้า พุ่งออกมาจากอีกฟากฟ้า การปะทะกันดังสนั่นลั่นยิ่งกว่าเสียงใดๆ ครั้นพอรัศมีสลาย ก็กลายเป็นพระวรกายงามดั่งรูปสลัก เทวนาคาที่พระอารมณ์กราดเกรี้ยวพอกัน เสด็จมาขวางการโจมตีนั้นไว้

“วายุภัค ไม่เจอกันหลายปี เจ้าก็ยังเป็นอันธพาลเหมือนเดิม”

“เหอะ นึกว่าใคร ที่แท้เจ้านั่นเอง ทยุติธร เจ้ามันก็ยังชอบแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนเดิม”

ที่ว่าแส่เรื่องชาวบ้านดังที่วายุภัคว่า คือการที่ทยุติธรเคยทรงแส่ครั้งเยาว์ชันษา ยามที่ตนทรงรังแกนางกินรีเป็นเหตุให้ปะทะกัน ครั้งนั้นยุติด้วยมหาอุมาเทวีเสด็จมาทรงห้ามและทรงเข้าข้างทยุติธรทุกกรณี

เบื้องหลังทยุติธรในขณะนี้ มีอีกสองรัศมีที่เพิ่งมาถึง หนึ่งในนั้นคือสีทันดรประทับยังเบื้องขวา ส่วนอีกหนึ่งคือมุจลินทร์กัญญาประทับยืนยังเบื้องซ้าย ส่วนเจ้ารักกับเจ้ายมที่กลับมาด้วย ปรากฏกายขึ้นข้างๆคันฉัตรที่ยืนตะลึงอยู่

“พี่ฉัตร รัก ยม มาแล้วครับ”

“มาก็ดีแล้วไอ้รัก ไอ้ยม จงเข้าไปยังร้านเหล้าตรงนู้น แล้วพาตระการตา หลบไปให้พ้นจากบริเวณนี้ก่อนเร็ว”

“ตระการตา” เจ้ารักทวนคำ ใช้ความคิดพยายามนึกว่าตระการตาคือใคร เจ้ายมที่ความจำดีกว่า ก็บอกมาให้อย่างยิ้มๆ “เด็กพี่ฉัตรเขาไง ไปเหอะรัก ยมจำได้”

เจ้ารักเจ้ายมไม่รอช้า หายวับไปทำตามคำสั่งของคันฉัตรทันที ส่วนคันฉัตรก็ไม่พูดอะไรมากหันไปบอกน้ำเชี่ยวเพียงว่า “นี่ไง พี่ชายน้องดื้อ”

แล้วทั้งหมดก็เหิรทะยานไปยืนอยู่กับเจ้านาคน้อย ทักขึ้นมาอย่างดีใจ  “น้องดื้อ นึกว่าจะไปนานกลับมาเร็วเหมือนกันนี่”

“รีบไปรีบกลับน่ะพี่ฉัตร ..แล้วอัสสะล่ะไปไหน”

“แหม มาถึงก็ถามหาพี่อัสสะเชียว ทำไมไม่ถามว่าพี่น้ำเชี่ยว นอนหลับสบายดีไหมบ้างล่ะ” น้ำเชี่ยวกล่าวแซวขึ้น ซ้ำยังหลอกเจ้านาคน้อยว่า “ป่านนี้ ไปจีบสาวที่ไหนอยู่ก็ไม่รู้”

“จริงเหรอ” พระสุรเสียงใสขึ้นสูงโดยพลัน

“ไอ้น้ำเชี่ยว ไอ้ห่า กำลังน่าสิ่วน่าขวาน เล่นไม่รู้เรื่อง” คันฉัตรหันมาปรามเจ้าพระอังคาร แล้วหันมาแก้แทนให้ว่า “ อัสดงไปกับนลและก็ทรงกลด พี่กำลังจะเรียกมานี่ เผื่อจะได้ช่วยจัดการกับพวกครุฑ”

“ไม่ต้องเรียกมาหรอก นกขี้เรื้อนพวกนี้เราสามคนเอาอยู่ ปล่อยให้เป็นเรื่องเทวนาคาเถอะ ..เห็นรักกับยมบอกว่าคืนนี้พวกพี่จะดื่มสุรากันนี่ เราจะได้ถือโอกาสนี้ หากับแกล้มเป็นเนื้อนกให้พวกพี่ด้วย”

คันฉัตรได้แต่ยืนนิ่ง มองตากับพวกน้ำเชี่ยวปริบๆ หวังว่า สีทันดรคงไม่ฆ่าครุฑพวกนี้แล้วเอาเนื้อมาให้กินหรอกนะ แต่ก็ไม่แน่เพราะแส้เพลิงในพระหัตถ์เริ่มกระชับมั่น ทีท่าซุกซนเริ่มจางหาย เจ้านาคน้อยเปลี่ยนพระลักษณะขึ้นมาจริงจัง พระเนตรฟ้าครามเริ่มเจือด้วยสีทอง ศักติแห่งเทวนาคากำจาย ทำให้อณูน้อยทั้งสี่ขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“น้องดื้อคงเอาจริง เทวนาคามักงามที่สุดและก็ร้าย น่าหวาดหวั่นที่สุดเช่นกัน”

สีทันดรนั้นคงเอาตัวรอดได้แน่เพราะเคยเห็นฝีมือกันมาแล้ว ส่วนมุจลินทร์ที่งามพร้อมล่ะ อ้อนแอ้นอรชร จะทานอำนาจครุฑไหวเหรอ ดีไม่ดี ถูกครุฑจับกินเสียเปล่าๆ และเหมือนมุจลินทร์จะทรงรู้ความคิดของคันฉัตร จึงตรัสว่า

“อณูแห่งศนิเทพ ท่านไม่ต้องกังวลกับเราหรอก แม้เราจะเป็นเพียงอิสตรี เราก็ไม่หวั่นพรั่นพรึงนกขี้เรื้อนพวกนี้ พวกมันจับเทวนาคาเป็นภักษาหารไม่ได้ พวกท่านหลบไปก่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเรารับช่วงต่อดีกว่า ครุฑต้องเจอกับนาคเท่านั้น”

“แต่พวกเรากำลังมีเรื่องกับพวกมันอยู่นะ ไม่ได้มีเรื่องกับพวกเจ้า ให้พวกเราจัดการเองเถอะ” น้ำเชี่ยวกล่าวแทรกบทสนทนาขึ้นหมายใจจะจัดการให้จบ

“ ถึงไม่มีเรื่อง ...พวกเราก็กำลังหาเรื่องไง นานๆจะเจอตัวเด็ดๆ ลงมาจากฟากฟ้าเสียที”

“เจ้าอย่ากำแหงหาญอวดดีไปนัก” วายุภัคแม้จะทรงลอยอยู่ไกลออกไปก็ยังทรงได้ยิน เปล่งสุรเสียงก้องกังวานปราม สีทันดรและมุจลินทร์ แม้จะไม่พอพระทัยเท่าไรนัก หากพอได้ทอดพระเนตรชัดๆ ก็ยังทรงอดชื่นชมในความงามพร้อมของทั้งสองไม่ได้  แล้วจึงทอดสุรเสียงอ่อนลงกว่าเดิมว่า 

“นึกว่าใคร เจ้าเองฤา สีทันดร ไม่เจอกันตั้งนาน งามกว่าเทพธิดา พี่ว่าเจ้า ไม่ควรเกิดเป็นเทวนาคาเลย ควรจะเกิดเป็นเทวนาคีดีกว่า”

“เรื่องของหม่อมฉัน ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฝ่าบาท และถ้าเป็นไปได้อย่าแทนองค์เองว่าพี่ เพราะหม่อมฉันไม่เคยนับญาติกับพวกนกสกปรก”

“ระวังคำพูดหน่อยสีทันดร เราเองก็ไม่อยากจะนับญาติกับเจ้านักหรอก แต่สมเด็จทวดวินตา กับสมเด็จทวดกัทรุทรงเป็นพี่น้องกัน เราจึงจำต้องเกี่ยวดองกันอย่างเลี่ยงไม่ได้” วายุภัคขึ้นเสียงกร้าวแล้วหันมาทางทยุติธรที่ประทับลอยประจันหน้าอยู่

“หัดสั่งสอนน้องชายเสียบ้างนะทยุติธร ถ้าสอนไม่เป็น ส่งมาให้เราที่ฉิมพลี เราจะจัดการสอนให้เช้ายันเย็นเลย เจ้าว่าพวกเราสกปรก พวกเจ้าเองนั่นแหละสกปรก เล่นขี้โกง กะอีแค่ทายสีม้าก็ทายไม่ถูก ทั้งสวรรค์ ใครๆ ก็รู้ถึงความชั่วร้ายของพวกเจ้า สมแล้วที่โดนไล่ลงไปอยู่บาดาล”

กรณีทายสีม้าครั้งเก่าก่อนถูกยกมาอีกครั้ง ครั้งนั้นนาคาเป็นฝ่ายผิด ทุกพระองค์รู้ดี แต่ใครเล่าที่เล่นไม่ซื่อก่อน ความจริงนี้สมควรถูกตีแผ่ให้สวรรค์ได้รับรู้

“ใครกันแน่ที่ชั่วร้ายก่อน ใครกันที่ไปทูลขอให้โอรสของตน มีพละอำนาจและเดชะเหนือกว่าโอรสของพระพันปีกัทรุ ถ้าไม่ใช่ สมเด็จพระพันปีวินตา ทวดของฝ่าบาท” มุจลินทร์ตรัสขึ้น ชี้พระดัชนีเรียวงามไปยังเทวปักษีหนุ่ม ข้อพิพาทระหว่างเทวปักษีและเทวนาคาถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

เริ่มต้นด้วย จากความเป็นพี่น้อง พระนางกัทรุและพระนางวินตา ธิดาแรกรุ่นในพระทักษะ ถูกส่งไปถวายเป็นพระชายารุ่นเล็กของพระกัศยปเทพบิดร ด้วยจริยวัตรอันงดงาม พระกัศยปเทพบิดร ทรงโปรดพระนางเธอทั้งสองยิ่งนัก จึงประทานพรให้คนละข้อ ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็ทูลขอพระโอรสอย่างไม่ต้องสงสัย โดยพระนางกัทรุทูลขอให้มีพระโอรสสองพระองค์ มีมหิทธานุภาพเกรียงไกร ได้ปกครองหนึ่งในสามโลก พระกัศยปทรงประทานพรนั้นให้ ส่วนพระนางวินตาเห็นไม่เข้าที บังเกิดจิตริษยาเพียงชั่วแวบ จึงทูลขอให้พระโอรสของตนมีเดชะและเทวฤทธิ์เหนือโอรสของพระนางกัทรุ พระกัศยปเทพบิดรทรงเห็นในจิตริษยานั้น ก็บังเกิดความผิดหวังแต่ในเมื่อทรงตกปากรับคำไปแล้วจึงต้องประทานพร แต่ก็สาปส่งท้ายไปว่า

“ในเมื่อเจ้ามีจิตคิดไม่ซื่อ เราขอสาปให้เจ้า ตกเป็นทาสของกัทรุเจ็ดวัน จนกว่า โอรสเจ้าจะมาไถ่ตัวเจ้าคืน”

นี่แหละ คือความจริงที่ฝ่ายไหนทรงร้ายก่อน !!

“บังอาจนัก นางเทวนาคีตนนี้ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นสตรี แล้วเราจะละเว้นเจ้า จงกราบขอโทษเรา และสมเด็จทวดเราบัดเดี๋ยวนี้”

“หม่อมฉันกราบไม่ลง โดยเฉพาะ ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากนางมนุษย์มากสามีนาม...กากี”

“เจ้ากล้าด่าแม่เรา”

วายุภัคทรงโกรธจนพระวรกายสั่น พระพักตร์แดงซ่านเสมือนโดนตบด้วยหัตถ์อย่างแรง  ปมด้อยที่พระองค์มีเชื้อสายนางมนุษย์ ถูกหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ พระโทสะระงับไม่อยู่ เรื่องนี้ถูกปิดไว้เป็นความลับเนิ่นนาน เป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะในหมู่เทพชั้นผู้ใหญ่ เหตุไฉนนางล่วงรู้ ความลับที่พระบิดาสดายุ ทรงลอบไปพานางมนุษย์กากีขึ้นมายังฉิมพลี การกระทำครั้งนั้น พญาเวนไตยเจ้าแห่งเทวปักษีกริ้วหนักเพราะมหาศิวะเรียกเฝ้า พญาเวนไตยทรงออกรับแทนโอรสทั้งหมดเพื่อ ไม่ให้โดนลงอาญา จนใครๆหลายคนคิดว่าผู้ที่ลักพานางกากีคือพญาเวนไตย และก็มีเหตุให้กริ้วจนฉิมพลีสะเทือนอีกคำรบคือนางกากีแอบคบชู้กับคนธรรพ์นาฏกุเวร จึงเนรเทศนางไปเสีย ทิ้งไว้แต่เทวปักษีพระองค์น้อย คือวายุภัค

ปีกสีเศวตทั้งสองกระพือสุดแรงเกิด ปีกที่กล่าวกันว่า กวักบินได้ทีละหลายร้อยโยชน์ กระพือสุดแรง สำแดงเดชแรงลมมหาศาล กลายเป็นรัศมีสีแดงพุ่งตรงมายังมุจลินทร์ ทยุติธรมิรอช้า ยื่นพระกรเข้าไปสกัด สะบัดปลายพระหัตถ์บังเกิดเป็นม่านน้ำกระจายวงกว้าง เข้าขวางแรงวายุ และถูกซัดกลับทันใดด้วยความรวดเร็ว วายุภัคหรุบปีกบังพระวรกาย ไว้ทันแต่บริวารทั้งหลาย ถูกซัดกลับกระเด็นร้องโอดครวญลั่น

“นางเทวนาคี เจ้าเป็นใคร เจ้ากล้าลบหลู่เรา ทวดเรา แม่เรา”

“หม่อมฉันมุจลินทร์กัญญา ราชธิดาในพระสมุทรรักษ์ เกิดแด่พระสนมเอกสายสกุลวิรูปักข์ เป็นหลานตาท้าววิรูปักข์ ท้าวจตุโลกบาลทิศตะวันตก ผู้ที่จะขึ้นเป็นเอกอัครชายาในทูลกระหม่อมทยุติธร และก้าวสู่ตำแหน่งพระสมุทรเทวีในอนาคตเพคะ”

สุรเสียงใสดุจระฆังแก้ว กังวานเสนาะและแฝงไปด้วยความหาญกล้าเกินอิสตรี ทยุติธรทรงยิ้มริมโอษฐ์ทันทีที่ได้สดับ ความพอพระทัยฉายวาบออกทางสายพระเนตร และพระเนตรก็ได้ประสานกันชั่วแวบ เพียงแค่นั้นทยุติธรก็ทรงบังเกิดความสุขพระทัยอย่างบอกไม่ถูก

“ เราเลือกไม่ผิดคนแล้ว มันต้องอย่างนี้สิ ว่าที่ชายาเรา”

“อ๋อ นึกว่าใคร เจ้าตาถึงมาก ทยุติธร ว่าที่ชายาของเจ้า ทั้งงามทั้งกล้า แต่น่าเสียดาย ที่เราพอทราบมาว่า นางเคยเป็นคนรักของนลกุพร เราคาดว่า นลกุพรคงไม่ปล่อยนางให้ผุดผ่องเท่าไรนักหรอก”

“บังอาจนัก วายุภัค อย่าคิดว่าอิสตรีคนอื่นจะเหมือนกับแม่เจ้าเสียหมด”

เท่านั้น แหละ วายุภัคหรุบปีกแล้วสะบัดออกสำแดงครุฑสีหนาท บังเกิดเป็นวายุโหมกระหน่ำ ที่ภายในเต็มไปด้วยดาบนับร้อยนับพันเล่ม พุ่งเข้ามาหมายปลิดพระชนม์ชีพ ม่านน้ำใสที่ทยุติธรใช้กางกั้น เริ่มกระจายออกกลายเป็นห่าธนูจำนวนมหาศาล พุ่งเข้าปะทะ ดาบและธนูดรมรันอยู่กลางฟ้า ก่อบังเกิดเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว น่าพรั่นพรึง ด้วยศักติและเดชะที่เท่าเทียมกัน ต่างฝ่ายต่างมิหักกันลงได้ แม้นาคมักจะแพ้ แต่ทยุติธรเป็นจอมนาค เป็นเทวนาคาเป็นหลานปู่ของพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีย่อมมีเดชะดั่งจอมนาคาทั้งสอง วายุภัคก็เช่นกันทรงเป็นหลานปู่ของพญาเวนไตย มีฤาเดชะจะมิเทียมเทียบจอมเทวปักษีแลฤาจะเพลี่ยงพล้ำแก่ทยุติธร

จากการที่ทั้งสองพระองค์ใช้เทวฤทธิ์เข้าปะทะกัน เมื่อเห็นว่ายังทรงทำอะไรกันไม่ได้ วายุภัคจึงเรียกดาบเข้ามาอยู่ในพระหัตถ์กระชับมั่นพุ่งเข้าหา ทยุติธรดึงสายน้ำเข้ามาเช่นกันกลายเป็นดาบสีสุกใสควงเป็นจักรผันเข้าฟาดฟัน ทั้งสองผลัดกันรุกและตั้งรับด้วยความว่องไว เทวะน้อยทั้งสี่ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง ยามได้ดู “ยอดนักรบ” โรมรัน องค์หนึ่งคือขุนพลสวรรค์ อีกองค์หนึ่งคือขุนพลแห่งบาดาล

ครุฑบริวารเห็นเจ้านายเข้ารบ จึงพุ่งตรงเข้ามาบ้าง เบนหน้ามาทางมุจลินทร์สองตน  ไอ้พวกนกหัวขี่เลื่อยพวกนี้ มันเห็นเพียงแต่ว่าเป็นอิสตรี คงไม่มีพิษสง จึงกางเล็บออกหมายขย้ำ แต่มันกำลังคิดผิดเสียแล้ว

มุจลินทร์ประทับยืนรออย่างสงบ พระเนตรส่องประกายวาบ ครั้นพอครุฑสองตนเข้ามาในระยะอันใกล้ ไม่เกินสองช่วงแขน จึงทรงสะบัดปลายพระเกศา ก่อเกิดรัศมีสีเขียวเจิดจ้า  เบื้องพระปฤษฎางค์ กลายเป็นอสรพิษนับร้อยนับพัน แผ่แม่เบี้ยอ้าปากจนเห็นคมเขี้ยวขาวพุ่งเข้าสวนทันที บริวารของวายุภัคจะหลบเลี่ยงก็ไม่ทันเสียแล้ว ถึงจะมีปีกบินก็ถูกพระนางตบด้วยเทวฤทธิ์จนตกลงมา เสมือนถูกหางนาคาฟาด ร่างของมันถูกคมเขี้ยวฝังลงไปแนบแน่น เสียงร้องโอดครวญโหยหวนดังลั่น แล้วอสรพิษนับร้อยนับพันก็กลายเป็นนาคาตัวใหญ่ รัดรอบกายมันไว้ ขดหางม้วนทั่วเป็นวงกลม ปีกกว้างสีน้ำตาลโทรมไปด้วยเลือดมิสามรถกระพือได้อีกต่อไป วงรัด ยังคงรัดแน่นขึ้นและซ้อนหนาขึ้นเรื่อยๆ  ทั่วทั้งตัว บัดนี้เหลือเพียงหัวกับปลายเท้า ที่โผล่พ้นออกมา เสียงกร๊อบดังสนั่น เสียงร้อง อ๊าก สุดท้ายออกจากปากดังลั่น ได้ยินแทบทุกคน เป็นสัญลักษณ์ว่ากระดูกทุกชิ้นมันทั้งสองตนถูกป่นเป็นภัสมธุลี

ครุฑที่มักทระนงตนว่าอย่างไรก็ชนะนาคอยู่วันยังค่ำสิ้นชื่อมานับพันนับหมื่น หากปล่อยให้นาครัดตัว และครุฑก็มักประมาทอยู่เสมอ และมักจะเลินเล่อเมื่อเห็นว่าเป็น นาคี!!

บริวารอีกสามตนที่เหลือ เห็นสหายถูกกำจัดลงในพริบตา จึงพุ่งเข้ามา หมายชำระแค้น สีทันดรจึงสะบัดแส้ในพระหัตถ์ ตวัดฟาดเข้าไป ปลายแส้จากแรกเริ่ม ก็เป็นแค่ประกายไฟ หากยามพุ่งออกไป กลับกลายเป็นนาคเพลิงที่อ้าปากแสยะคมเขี้ยวขาว พวกครุฑบินแตกออกเป็นช่องหลบหลีกพัลวัน เจ้านาคน้อยเหิรทะยานขึ้นไปกลางเวหา เข้าสกัดด้วยปลายแส้ที่พุ่งฉกด้วยความเร็วสูง ครุฑทั้งสามตัดสินใจบินรวมกลุ่มแล้วดาหน้าเข้มา พร้อมๆกัน

สีทันดรมิทรงยี่หระอะไร ตวัดข้อพระกรสวนเข้าโจมตี แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์สามต่อหนึ่ง ก็มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำ หนำซ้ำยังทรงได้เปรียบ  ทรงสบโอกาสหลายครั้งที่จะสังหาร แต่ยังมิทรงทำ ใช้แส้เพลิงนาคบาศสร้างความเจ็บปวดให้พวกมันไปเรื่อยๆ  ทรมานมันเล่นๆ ทยุติธรที่ยังรบติดพันกับวายุภัคเหลือบพระเนตรมาเห็น จึงทรงส่งกระแสจิตบอกพระอนุชาจอมซนว่า

“ อย่ามัวแต่เล่น สังหารมันเสียให้สิ้นซาก”

“แหม กำลังสนุก”

เมื่อมีพระราชบัณฑูรลงมา สีทันดรจึงควงพระหัตถ์ตวัดปลายแส้ ไปยังลำคอของครุฑตัวหนึ่ง แล้วทรงจับมันฟาดกับพื้นดินเสียงดังสนั่น เลือดแดงสดทะลักออกจากปากครุฑเคราะห์ร้าย ปลายแส้ถูกคลายด้วยความรวดเร็วไม่ให้มันตั้งตัวติด กระหน่ำฟาดลงมาเป็นครั้งสุดท้าย เสียงดังแหวกอากาศดังเฟี้ยวๆเหมือนเสียงขู่ฟ่อของพญาอสรพิษ เมื่อกระทบกับตัวมันเสียงตูมก็ดังสนั่นผสานเสียงร้องสุดท้าย  จากนั้น ทั้งหัว ปีก อก แขน ขา  แยกออกเป็นห้าส่วนพอดิบพอดี

“อาหารจานแรกของพวกพี่ฉัตรแกล้มสุราวันนี้คือ นกสับ”

อีกสองตัวที่บินอยู่กลางฟ้า เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อกร รีบโผนทะยานบินหนี แต่สีทันดรไม่เปิดโอกาสให้มันหลุดรอด จึงฟาดไปด้วยเทวฤทธิ์ตบจนร่วงลงมาทั้งสองตน แล้วมัดขาหนึ่งในนั้นฟาดสูงไปบนอากาศ จากนั้นดึงกลับลงมาด้วยความแรงยิ่งกว่าแรง เสียบร่างของมันเข้ากับยอดไม้โกร๋น ต้นหนึ่งกลางลำตัวพอดิบพอดี มันยังไม่สิ้นชีพในตอนแรก พยายามกระพือปีกสั่นพร่าบินออก เจ้านาคน้อย หันมาทางอณูน้อยทั้งสี่ที่ตะลึงงัน ตรัสว่า

“ อาหารแกล้มสุราจานที่สองคือ นกย่าง”

สิ้นพระดำรัสเท่านั้น เปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำ ทั่วแกนไม้ ร่างครุฑตนนั้นไม่ต่างอะไร กับนกหรือไก่ที่ถูกเสียบไม้ย่าง อณูน้อยมองด้วยความสยดสยอง น้องดื้อที่น่ารัก ไฉนกลายเป็นร้ายกาจ พวกตนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างครุฑกับนาคใครร้ายกาจกว่ากัน

ด้วยเสียงระเบิดกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่น อีกทั้งคันฉัตรส่งกระแสจิตเข้ามา ทำให้อัสดง ทรงกลด นลกุพร เอราวัตและคืนฉาย รีบเหิรลอยมาสมทบยังที่เกิดเหตุ และอัสดงก็มาทันได้เห็นภาพยอดดวงใจตาฟ้า สังหารครุฑตนที่สองพอดี ขนอ่อนตรงต้นคอลุกเกรียว ราหูรีบเข้ามายืนกระซิบบอกว่า

“อัสดง ที่ฉันแนะนำนาย ให้นอกใจเวลาแฟนไม่อยู่ นายลืมไปซะเถอะนะ ฉันไม่อยากเห็นนายโดนสับและโดนย่าง”

“ฉันก็ว่างั้นแหละว่ะ ไอ้ราหู”

“ส่วนจานสุดท้าย พี่ฉัตรอยากกินอะไรแกล้มสุรา” สีทันดรทรงถามขึ้นอย่างไม่ต้องการคำตอบ เหิรทะยานกระทืบบาทไปบนใบหน้า เจ้าครุฑบริวารตัวสุดท้ายที่ตะลีตะลานเหลือกเสือกกายหนี  แล้วเลื่อนมาเหยียบอยู่กลางหลังของมัน พระหัตถ์ทั้งสองจับปีกมันไว้มั่น แล้วกระชากออก เสียงแควกดังสนั่น ครุฑตัวนั้นร้องโหยหวนโอดครวญ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ สีทันดรทำเหมือนกับทรงเป็นเด็กน้อยเด็ดปีกผีเสื้อเล่นซะอย่างนั้น

“จานสุดท้าย เราจะตั้งชื่อว่าอะไรดีนะ...” สีทันดรทรงหันมาทางกลุ่มอณูน้อย แล้วก็ทรงหยุดชะงักทันที โยนปีกครุฑทิ้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  “ อัสสะ ...มาตั้งแต่เมื่อไร”

สุรเสียงที่ทักมานั้นใสก็จริง แต่อัสดงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เพราะรู้สึกขนลุกซู่เพิ่งเห็นนาคาจัดการเอาคืนครุฑ

“ไอ้ดื้อ อัสสะว่า เจ้าตวัดปลายแส้ฟาดมันตรงที่สำคัญมันก็ตายแล้ว เจ้าไปทรมานมันทำไม” อัสดงดึงเจ้านาคาตาฟ้าออกมา แล้วกล่าวต่อไปว่า “เจ้าชนะแต่ไม่ควรทารุณมัน”

“อัสสะ ไม่รู้หรอก ครุฑเวลาจับนาคได้ พวกมันทำอย่างไร พวกมัน ฟาดนาคลงกับพื้น แล้วจิกลงกินมันสมองของนาคทั้งเป็น แล้วพวกมันไม่โหดหรือไร เราว่าแค่นี้น้อยไปเสียด้วยซ้ำ”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ทางด้านวายุภัคที่กำลังปะทะกับทยุติธร เห็นบริวารตนถูกทำร้าย จนวายวอดหมด ก็เจ็บใจ บริวารพวกนี้เป็นองครักษ์ที่ล้วนกล้าแข็ง เหตุไฉนพ่ายไม่เป็นท่า พระโทสะดำเนินถึงขีดสุด  แล้วพระหัตถ์ช้าย ก็เรียกดาบมาอีกเล่ม เข้าควงประจันหน้ากับ ทยุติธร

จากคราแรกที่ผลัดกันได้เปรียบเสียเปรียบ ในเวลานี้ วายุภัคกลับทรงกล้าแกร่งขึ้นทันตา หัตถ์ทั้งสองข้างโหมฟันกระหน่ำอย่างไม่ยั้ง และที่สำคัญไม่มีช่องโหว่ ทยุติธรเริ่มถอยร่น เทวะน้อยๆ ชื่นชมในฝีมือทั้งคู่ น้ำเชี่ยว ธรรม์ ราหู และคันฉัตร แม้จะมีเรื่องกับวายุภัคก็ยังอดชื่นชมไม่ได้

“มันใช้สองมือสู้ โดยไม่มีช่องโหว่ เยี่ยมจริงๆ”

“คนนี้ใช่ไหมวายุภัคที่นลบอก”

ทรงกลดถามนลขึ้น แต่นลมิสนใจ ถลันกายเข้าไปหามุจลินทร์ อิสตรีผู้เดียวในพระทัย เสียงก้องกังวานเรียกพระนามลั่น “มุจลินทร์”

เสียงเรียกนั้นไม่ทำให้แต่มุจลินทร์ทรงหัน แต่ทยุติธรที่ถอยร่นกลับทรงหันมาด้วย และก็ทำให้ทรงรบอย่างไม่ถนัดนัก ยามเห็นเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วเข้าไปโอบกอดว่าที่พระอัครชายา พระทัยทยุติธรเริ่มสั่น จิตขาดสมาธิ แล้วคมดาบแห่งวายุภัคก็ฟาดลงมา ในชั่วแวบ ทรงคิดว่าพระเศียรจะถูกบั่นเสียแล้ว แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป สุรเสียงใสพร้อมพระวรกายงามระหง ก็สลัดออกจากอกของนลกุพร ตะโกนก้องเรียกพระสติ

“ ทูลหม่อมระวัง....ใช้จักรแห่งมหาทุรคาสิเพคะ”

ทยุติธรใช้เดชะเบี่ยงตัวหลบคมดาบได้อย่างหวุดหวิด แล้วเรียกจักราแห่งมหาทุรคามาใช้ คมจักรที่หมุนจากซ้ายไปขวา อันมหาอุมาเทวีประทานให้ พุ่งเข้าซัดวายุภัคอย่างรวดเร็ว เทวปักษีหนุ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทรงทำได้อย่างมากเพียงแค่ใช้ดาบทั้งสองกั้นไว้เท่านั้น

ภาพชุลมุนในไอหมอกควันแม้ตระการตา จะเห็นไม่ถนัด เพราะเลือนรางเต็มที แต่ก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงาดำๆ เงาใหญ่ๆ หลายเงา บินฉวัดเฉวียนน่าสะพรึงกลัว จากนั้นตามด้วยเสียงนกใหญ่ร้องโอดครวญชวนขนลุก ตามด้วยแสงสว่างแวบวาบแลบแปลบปลาบและเสียงครั่นครืนประหนึ่งฟ้าทลาย หนุ่มน้อยทรุดตัวปิดหู แต่มิได้ปิดตาตามคำสั่งของคันฉัตร เขาซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะเหล้าตัวสั่นราวลูกนก และก็ต้องตกใจขึ้นสุดตัว เมื่อมีมือเล็กๆเย็นๆ มาจับไหล่ พร้อมยื่นหน้าขาวๆ ยิ้มแป้น ห้อยลงมาจากบนโต๊ะประจันหน้า

“จะเอ๋...พี่ตระการตาหรือเปล่า”

“เฮ้ย...” ตระการตาร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ ผงะหนี และก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง ที่อีกหัวหนึ่งโผล่มาจากโต๊ะอีกด้าน ยิ้มแฉ่งเช่นกัน

“จะเอ๋ จะหนีไปไหน” เจ้ายมลอยหน้าลอยตา แล้วพูดกับสหายอีกฟากโต๊ะว่า “คนนี้แหละ พี่ตระการตา ยมจำได้ คนที่พี่ฉัตรให้พาหนี”

ตระการตา ค่อยๆสงบสติอารมณ์ ระงับความตกใจ ถามออกไปยามได้ยินชื่อของคันฉัตร “น้องรู้จักฉัตรด้วยเหรอ แล้วฉัตรไปไหน แล้วน้องมาได้ยังไง”

“โอ๊ย เรื่องมันยาว ...เอาน่าอย่าเพิ่งถาม ไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวโดนลูกหลง อยากรู้อะไรถามพี่ฉัตรเอา”

ว่าแล้วเจ้ารักเจ้ายม ก็ช่วยกันลากตระการตาหลุนๆ ออกจากที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่วายุภัค ใช้พละกำลังและเดชะทั้งหมดสลัดจักรแห่งมหาทุรคาออก คมจักรลอยกลางฟ้าหมุนคว้าง แล้วดันหักเหไปทางร้านเหล้าที่เจ้าโอปาติกะน้อยพากันออกมา ในช่วงวินาทีแห่งชีวิต ทุกสายตาหันมามองเป็นจุดเดียว เทวะน้อยทั้งแปดตะโกนลั่นให้หลบไป แต่ดูเหมือนเสียงนั้นจะไร้ผล หัวใจของหลายๆคนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โดยเฉพาะคันฉัตรที่รู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยกำลังจะโดนลูกหลงแล้ว และเกินอำนาจที่ตนจะหยุดยั้งได้ทัน

“ย้มมมม เราตายรอบสองแน่ ซวยแล้ว”

เจ้ารัก เจ้ายม ปิดตาแน่น เตรียมตัวตายรอบสอง ตระการตาก็ได้แต่ยืนตะลึง มองดวงไฟสว่างจ้าลูกใหญ่ ที่ลอยเข้ามาหา สายตาของมนุษย์จับภาพอย่างมากก็ได้แค่นั้น มิเห็นเป็นคมจักรอย่างใด ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแสงสว่างวาบดวงนั้นเข้าชนลำตัว แล้วลำแสงอะไรบางอย่างก็พุ่งออกไปหา จากนั้นทุกอย่างก็ดับสนิท ความมืดมิดครอบคลุมตระการตาทรุดฮวบลงทันใด

แล้วปาฏิหาริย์ ก็บังเกิด เมื่อแสงที่พุ่งออกมาจากตัวตระการตา กลายเป็นคมจักรสีทองอร่าม หมุนวนจากขวาไปซ้าย สวนทางกับจักราแห่งมหาเทวี จักราที่เทวะน้อยขนานาม ว่า จักราแห่งมหาวิษณุสำแดงเดช หมุนคว้าง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ศาสตราวุธทั้งสอง มิได้เข้าห้ำหั่นกัน กลับลอยประกบกันสนิทแน่น เสมือนจักราทั้งสอง ต่างรอคอยเรียกหาซึ่งกันและกันอยู่แล้ว

สายลมประหลาดโหมกระหน่ำ ครานี้มิได้มาจากปีกของวายุภัค หากแต่ว่า มาจากจักรทั้งสอง ระยะเวลานั้นจะผ่านไปเท่าใดไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้ทุกสายตายังมิยอมละสายตาไปไหน ต่างตกอยู่ในภวังค์ เสียงอสุนีบาตดังเป็นระยะๆ กึกก้อง ในฉับพลันวายุภัคก็ได้สติก่อนใคร ความคิดแรกที่แวบเข้าในพระเศียรคือ “การครอบครอง” อาวุธที่สำคัญแห่งมหาเทวะและมหาเวี จนลืมเรื่องรบและเรื่องบาดหมางที่ดำเนินอยู่ ไวเท่าความคิดนั้นเอง เทวปักษีหนุ่มน้อย เหิรทะยานเข้าไปยังจักรทั้งสอง พยายามใช้ฤทธานุภาพที่มีทั้งหมด ไขว่คว้ามาอยู่ในพระหัตถ์ และหากได้ทรงครอบครอง คาดว่า แม้แต่พญาอนันตนาคราช คงต้องศิโรราบให้

แต่วายุภัคนั้นหรือ จะเหมาะสม จักรานั้นกลับลอยขึ้นเหนือเศียร และครอบลงมายังพระวรกายด้วยความรวดเร็ว ความเจ็บปวดเหลือจะกล่าวบังเกิด ผิวพระวรกายมอดไหม้ และมิมีผู้ใดสามารถห้ามเพลิงนี้ได้  วายุภัคร่วงลงทันใด ปีกสีเศวตสว่างไสว หุบแนบกายมอดไหม้ ปานประหนึ่งลูกไฟ ตกจากฟากฟ้า

“วายุภัค”

นลกุพรเหิรทะยานเข้ามาเป็นคนแรกยังร่างของวายุภัคที่ร่วงลงมา เทวฤทธิ์ถูกใช้ประคองพระวรกายที่โหมกระหน่ำไปด้วยเปลวเพลิงแห่งมหาศาสตราวุธ แม้จะไม่สนิทกันเท่าไร เทวปักษีพระองค์นี้ก็นับได้ว่าพอรู้จักมักคุ้น หากนิ่งดูดาย ความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพญาเวนไตยคงคลอนแคลน ดังนั้นเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว จึงทรงหันไปยังผู้ทรงฤทธีที่สุด แม้เขาพระองค์นั้นจะเป็นศัตรูหัวใจ
 
“พี่ชายทยุติธร โปรดทรงเมตตาดับเพลิงนี้ทีเถอะ วายุภัคจะแย่แล้ว ขืนปล่อยไว้ อาจถึงการจุติ”

สุรเสียงแห่งความเจ็บปวดของวายุภัคยังคงดังก้อง เทวนาคาหนุ่มแม้จะเบือนพระพักตร์หนีทอดพระเนตรไปทางอื่นเสีย แต่แล้วก็ทรงอดมิได้ ที่จะหันกลับมา แม้ความรู้สึกแรกจะทรงสาแก่พระทัย ต่เมื่อคิดทบทวน วายุภัคคือศัตรูที่รบพุ่งกันมาตลอดและยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ ควรฤาที่จะปล่อยให้ดับสูญ วายุภัคต้องพ่ายด้วยฤทธีตนแลสยบแทบเบื้องบาทตนเท่านั้น

“สีทันดร เอาสมุทรมณีมาให้พี่หน่อย”

“อย่าตรัสนะว่า จะเอาไปช่วยวายุภัค เขาเป็นศัตรูเรานะพะยะค่ะพี่ชาย ถ้าเป็นอย่างที่หม่อมฉันคิด หม่อมฉันไม่ให้”

“วายุภัคต้องพ่ายด้วยฤทธีของพี่ ไม่ใช่คนอื่น” พระสุรเสียงแห่งโอรสาองค์โตกร้าว คงเป็นไม่กี่ครั้งในพระชนม์ชีพ กระมัง ที่ทรงขึ้นเสียงใส่พระอนุชา “เอาสมุทรมณีมา เร็วเข้า”

สีทันดรมิทรงตรัสอะไรตอบอีก จำพระทัยยื่นสมุทรมณีไปให้ พระเนตรจ้องพระเชษฐาอย่างไม่เข้าพระทัย หากพระเนตรงามของอิสตรีผู้เดียวในที่นี้เหมือนจะทรงเข้าพระทัยได้ดีกว่า ความชื่นชมแม้จะถูกแอบซ่อน แต่ก็ไม่วายฉายออกมาทางพระเนตรและสุรเสียงใสดั่งระฆังเงิน

“ทูลหม่อมพี่ชายของฝ่าบาท ทรงเป็นสุภาพบุรุษและมีหัวใจของนักรบเต็มองค์”

“เราไม่เข้าใจเลยมุจลินทร์ ทำไมพี่ชายทรงทำเยี่ยงนี้”

“เพราะพระอุปนิสัย ที่ชอบเอาชนะและต้องการให้ศัตรูมาสยบอยู่แทบเบื้องบาทด้วยฤทธีพระองค์ไงเพคะ วายุภัคจัดว่าเป็นเทวะในรุ่นชันษาเดียวกันกับทูลกระหม่อมใหญ่ เทวฤทธิ์ต่างไม่ด้อยไปกว่ากัน เคยสู้กันมาหลายครั้งตั้งแต่เยาว์ชันษา และยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ทูลกระหม่อมใหญ่เลยปล่อยให้วายุภัคสิ้นชีพไม่ได้”

มหาศาสตราวุธยังคงลอยตระหง่าน ฉาดฉายรัศมีเพลิงไปทั่ว จักราทั้งคู่หมุนคว้างด้วยความเร็วสูง จนเกิดประกายไฟและเริ่มตกลงมายังพื้นดิน ความโกลาหลจากการสกัดกั้นเพลิงของเหล่าเทวะน้อยบังเกิด ทุกคนต่างใช้พลังสกัดกั้นสุดกำลังก่อนที่ถนนคนเดินจะกลายเป็นทะเลเพลิง

อัสดงเห็นว่ายังครอบคลุมไม่ทั่วจึงร้องตะโกน ให้ ธรรม์ ราหู คืนฉายและเอราวัต แบ่งกำลังไปประจำทั้งสี่ทิศ ประสานม่านพลังกันเป็นตาข่ายอาคมขนาดใหญ่กั้นถนนไว้ ส่วน น้ำเชี่ยว กับคันฉัตร ให้มารวมกำลังกับตนเตรียมขึ้นไปแยกจักราทั้งสอง

ทยุติธรเมื่อทรงใช้สมุทรมณีดับเพลิงจากกายวายุภัคเสร็จ ก็ทรงปราดเข้ามา หมายพระทัยจะช่วย แต่อัสดงก็บอกไปว่า “เรื่องของเทวปักษีกับเทวะนาคาจบแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของเทวะที่จะจัดการกับมหาศาสตราวุธแห่งสวรรค์นี้เอง”

“แต่จักรมหาทรุคา เราเป็นผู้ซัดออกไปเราต้องรับผิดชอบ”

ทยุติธรไม่สนพระทัยใดๆทั้งสิ้น โอม อ่านพระเวทเรียกจักรกลับคืน แต่อาวุธที่พระมหาเทวีประทานให้ ไม่มีวี่แววจะกลับมา จึงตัดสินพระทัยซัดสมุทรมณีเข้าไปหมายแยกจักรทั้งสอง แต่ก็ไม่เป็นผล หนำซ้ำยังเพิ่มมหิธานุภาพให้เพิ่มขึ้น เพราะสมุทรมณีนอกจากไม่ลอยคืนกลับมาแล้ว ยังดันไปรวมเข้าเป็นประกายสุกจ้าอยู่ตรงกลาง ม่านพลังรุนแรงซัดกลับ ทยุติธรกระแทกพื้นดังสนั่น ดีที่ตบะและเดชะยังเข็มแข็งจึงไม่ทรงเป็นอะไรมาก ......ม่านตาข่ายทั้งสี่ทิศแทบจะทานอำนาจไม่ไหวแล้ว

“อัสดง จะทำอะไรก็ทำ พวกฉันสี่คนจะไม่ไหวแล้วนะ”

“หม่อมฉันบอกแล้ว ว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของเทวะ บทบาทของเทวนาคา ควรใช้น้ำหรืออาคมสกัดเพลิงไว้ดีกว่า เชื่อพวกหม่อมฉันสักครั้ง” อัสดงแม้จะหงุดหงิดกับเจ้าพี่ชายของสุดที่รักที่รั้นพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง แต่จำต้องสะกดอาการนี้ไว้ แล้วเขาก็หันไปบอกกับนลกุพรว่า

“ นลกับกลด ปล่อยเทวปักษีตนนั้นไว้ก่อน ไปเสริมกำลังกับพวกราหูเร็ว น้ำเชี่ยวนายก็ด้วย... ส่วนนาย ไอ้ฉัตร ยังไม่ต้องเป็นห่วงตระการตามากนัก เขาแค่สลบ ให้ไอ้รักยมดูแล พวกนายทั้งสี่คนไปเสริมอีกสี่ทิศเป็นแปดทิศ  ”

จู่ๆรอบๆกายของอัสดงขณะนี้ เริ่มมีรัศมีแดงเพลิงเจิดจ้าอย่างไม่เคยเป็น อะไรบางอย่างที่มีอำนาจบงการให้เขาออกคำสั่งกับสหาย และสหายทุกคนก็รับรู้ได้ ปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วไม่มีข้อโต้แย้ง แม้แต่ทยุติธรผู้ทรงเคยชินกับการออกคำสั่ง กลับทรงปฏิบัติตามทันทีที่แห็นรัศมีประหลาดจากกายอัสดงอย่างไม่เข้าพระทัยเหมือนกัน  ว่าแล้วก็ทรงคืนร่างสู่สภาวะนาคา พร้อมกับสีทันดรและมุจลินทร์พ่นน้ำดับเพลิง ทั่วถนนคนเดิน

อัสดงเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามต้องการ จึงสงบจิตลง เริ่มผสานพลังเข้ากับอำนาจแปลกๆที่พุ่งพล่านอยู่ในตัว อำนาจที่พุ่งลงมาจากศรีษะลงมาจรดฝ่าเท้าวิ่งวนผ่านทั่วกายสลับไปสลับมา แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ร่างของอัสดงก็กลายเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่ พุ่งเข้าหา มหาศาสตรวุธนั้นทันที

ขนาดเทวนาคามหิทธานุภาพสูงยังถูกซัดกระเด็น เทวปักษีฤทธีเกรียงไกรเหนือน่านฟ้ายังร่วงหล่น  แล้วอัสดงเป็นเพียงแค่อณูจะทานฤทธีมหาจักรานั้นไหวฤา!!

“อัสสะ อย่าปะทะ ระวัง!!” สีทันดรในสภาวะนาคาสีขาวเจิดจรัสส่งกระแสจิตก้อง แล้วกระแสจิตจากจักรเพลิงก็ส่งผ่านกลับมา

“อย่ากังวล สีทันดรยอดรัก...อัสสะไม่เป็นอะไรหรอก”

แล้วกระแสลมก็โหมกระหน่ำ อสุนีบาตพุ่งปราดจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย ม่านและตาข่ายอาคมจากเทวะทั้งแปดทิศแผ่ขยายกางกั้นเหนือเมืองๆเล็กๆแห่งนี้ ทยุติธรหยุดพ่นน้ำ คืนสู่สภาวะเทวนาคาสูงสุด แผ่ขยายพังพานจากเศียรทั้งห้า เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่เทียมขุนเขา เลื้อยรอบเป็นปราการขนาดยักษ์กั้นเมืองปายไว้ พังพานทั้งห้า ประหนึ่งเกราะกันเพลิงอีกชั้น ใต้ม่านอาคม

เสียงระเบิดดังกัมปนาทกึกก้อง เมื่อจักรเพลิงเข้ากระทบกับมหาศาสตราวุธ แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น  แสงโชตินาการกำจายวาบสว่างไสวดุจกลางวัน แล้วเปลวเพลิงทั้งหมด ก็มลายหายลงอย่างอัศจรรย์ กลายเป็นแสงระยับ ประดุจดารานับร้อยนับพัน จักรากลางฟ้าสงบลงส่องแสงเพียงอีกวาบเดียวก็สลาย กลายเป็นร่างของอัสดง ลอยลงมาอย่างช้าๆ รัศมีแดงเพลิงยังคงมีทั่วตัวแต่ครั้งนี้เจิดจ้าและงดงามยิ่งกว่าคราใดๆ ใบหน้าคมคายหล่อเหลาเกินกว่า จินตนาการของช่างฝีมือใดๆแย้มยิ้ม จนเห็นไรฟันขาวสะอาด ผิวสีหม้อใหม่ งามวับจับตา ร่างกายกำยำนั้นเมื่อแตะลงถึงพื้น ก็ผายมือข้างหนึ่งออก เปลวเพลิงกลุ่มน้อยพวยพุ่งบิดเป็นเกลียว เกลียวหนึ่งหมุนจากซ้ายไปขวา อีกเกลียวหมุนจากขวาไปซ้าย และตรงกลางคืออัญมณีดวงเล็กๆ เปลวเกลียวเพลิงทั้งสองหมุนวนเป็นจักรอีกครั้งขนาดใหญ่เกินฝ่ามือนิดเดียว และใจกลางก็เป็นสมุทรมณี

มหาศาสตราวุธมิทำอะไรอัสดง แต่กลับมาอยู่ในมือของอัสดง ฤาอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์จะเป็นผู้ถือครอง!!

เสียงสังวัธยายมนตราดังกระหึ่มกึกก้องจากทั่วสารทิศประสานเสียงทิพยดนตรี เป็นท่วงทำนองสูงต่ำ ที่อณูน้อยได้ยินต้องรีบคุกเข่าแทบพื้น และเทวนาคาทั้งสามคืนสู่สภาวะวรกายมนุษย์ หมอบราบกราบลงโดยพลัน

“โอม ชยันตี มงคลกาลี ภัทรันกาลี กปาลินี ทุรคา กัษมา สวาธาตรี สวะสุธา นะโมสะตุเต โอม อัมเพ อัมวิเก อัมพา ลิเกส มานัยติ ศัสจนัส สัตยสวัส สวภิ กัมกาเม บิลวาสินี ทุรคาเย นมัส โอม”

“พระมหาอุมาเทวีเสด็จ”

ตรงกลางแห่งแสงโชตินาการนั้นเอง บังเกิดเป็นรัศมีขาวสว่างไสวยิ่งกว่ารัศมีขาวใดๆ สมพระนาม อุมา หรือแสงสว่าง มหาเทวีทรงเสด็จมาในภาคแสงสว่างแห่งความเมตตา พลังเทวะของพระนางเย็นฉ่ำ มิได้เสด็จมาในภาคมหาทุรคา หรือมหากาลี ที่พลังจะร้อนจนไม่มีใครเข้าพระพักตร์ติด ทุกคนลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นแสงสว่างขาวใส เพราะถ้าเป็นรัศมีแดง หรือดำ เมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมัน 

พระมหาเทวีทรงยิ้มที่ริมพระโอษฐ์เล็กน้อย พระพักตร์ระยับไปด้วยดาวฤกษ์ ทอดพระเนตรลงมา “ พวกเจ้านี่มันชอบก่อเรื่องจริงๆ ด้วย อย่างที่พระมหาลักษมีเทวีท่านทรงว่าไว้ไม่มีผิด แล้วรบกันเนี่ย บ้านเมืองมนุษย์ได้รับความเดือดร้อน จะทำอย่างไร”

ไม่มีผู้ใดกล้าทูลตอบ ทุกคนนั่งเงียบ พระมหาอุมาเทวีจึงทรงโบกพระหัตถ์เพียงครั้งเดียว ทุกอย่างก็คืนสู่สภาพปกติ  แล้วทยุติธรที่นับว่าพระชนม์มากที่สุดก็ทูลมาว่า “หม่อมฉัน ผิดเองที่รบกับวายุภัค พะยะค่ะ แล้วใช้จักรที่พระแม่เจ้าประทานให้ สู้กับวายุภัค และไม่คิดว่า จะมีจักราแห่งมหาวิษณุรวมอยู่ ณ ที่นี้ด้วย”

“ เราตั้งใจกับมหาวิษณุแล้วว่า วันมีเทวราชโองการ เราจะมอบศาสตราวุธให้กับผู้ที่เป็นจอมทัพปราบอสูร แต่พวกเจ้าก็ดันก่อเรื่องจนได้ ช่างเหอะ ก็ดีไปอย่าง พระสุริยาทิตย์จะได้ซ้อมจนคล่องมือ และก็หมายความว่า อณูแห่งพระสุริยาทิตย์จะเป็นจอมทัพในครั้งนี้”

สิ้นพระเสาวนีย์ เสียงปรบมือระคนยินดีจากกลุ่มเทวะน้อยๆด้านหลัง ดังขึ้นพร้อมเสียงไชโย อณูทั้งเจ็ด เหิรลอยเข้ามารวมกลุ่มห้อมล้อมอัสดงไว้ กอดคอแน่น แต่แรงกอดจากเพื่อนหรือเล่า จะสุขใจเท่าแรงกอดและกลิ่นวรกายที่หอมจากเทวะนาคา

สีทันดรเหิรลอยละลิ่วเข้ามาโดยบังคับองค์เองไม่อยู่ มาประทับนั่งเคียงคู่อัสดงที่รออยู่แล้ว และทั้งหมดหมอบราบกราบพระมหาเทวีอีกครั้ง   “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ พะยะค่ะ”

“ หน้าบานเชียวนะสีทันดร เจ้าไม่ได้ครองจักรสักหน่อย” พระมหาอุมาเทวีตรัสขึ้นระคนเอ็นดู ทรงอดมิได้ยามเห็นพักตราเจ้านาคน้อย

“อัสสะครองก็เหมือนหม่อมฉันครองแหละพะยะค่ะ แถมสมุทรมณีของหม่อมฉันยังไปรวมด้วย หม่อมฉันก็ต้องมีส่วนยินดี” สีทันดรทูลตอบเสียงใสเพราะเป็นมหาอุมาเทวีที่ทรงพระทัยดียิ่ง หาใช่มหาทุรคา

“มหาลักษมีเทวี ท่านทรงเปรยกับเราว่า สงสัยจะให้พรผิดกับสมุทรเทวีแม่ของเจ้า กลายเป็นเด็กซนอย่างเจ้ามาเสียได้ ช่างพูด ช่างเจรจาเหมือนเดิม....เอาล่ะ เข้าเรื่องก่อน อัสดง วันมีเทวราชโองการ เราจะลงมาหาพวกเจ้าอีกครั้ง วันนั้นพวกเจ้าจะกระจ่าง ว่าทำไม พระมหาเทพจึงให้เจ้าอวตารกันลงมา และผู้ที่อยู่เบื้องหลังมารคือใคร วันนี้เรายังไม่สามารถบอกอะไรเจ้าได้ เราต้องรอมหาศิวะถอยฌาน และมหาวิษณุบรรทมตื่น” พระมหาเทวีทรงตรัสกับอัสดง แล้วหันมาทางทยุติธรผู้เป็นตัวโปรดตรัสว่า

“ทยุติธร...จักราของเรา จำต้องให้ผู้ที่จะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า เจ้าคงไม่ว่าอะไรนะ”

“พะยะค่ะ หม่อมฉันเข้าพระทัย”

“ดีแล้ว...แล้วเราจะหาศาสตราวุธให้ใหม่ถือเป็นของขวัญวันอภิเษก บอกกัทรุกับสมุทรเทวีด้วยว่า ให้มาหาเราด้วย เราจะจัดงานให้”

  “ขอบพระทัยพะยะค่ะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” ทยุติธรก้มลงกราบและโดยมิต้องบอกมุจลินทร์ก็ถวายกราบแนบพื้นด้วย นลกุพรเห็นภาพนั้น พระทัยก็เริ่มแยกเป็นเสี่ยง อัสสุชลเริ่มรินรด หากแต่พยายามกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด ทรงกลดที่นั่งข้างๆ แอบกระซิบ

“ ไอ้ฉัตรเคยบอกฉันว่า ถ้ามองแล้วเจ็บก็อย่าไปมอง”

“มันอดไม่ได้ มันจำเป็นต้องมอง เพราะมุจลินทร์คือรักแรกของเรา และไม่มีใครทำให้เราลืมนางได้”

ดวงตาสีน้ำตาลของทรงกลดหันมามองหน้านลกุพรเพียงชั่วแวบ ในใจของเขาความคิดเริ่มสับสน หากความคิดหนึ่งที่เด่นชัดและอยากจะแปรเป็นคำพูดถ่ายทอดให้นลกุพรทราบคือ “ นายแน่ใจเหรอ ว่าจะไม่มีใครทำให้นายลืมมุจลินทร์”

พระมหาเทวีไยจะไม่ทรงล่วงรู้ความคิด แต่ทรงทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามพระมหาพรหมท่านลิขิต ซึ่งไม่ควรก้าวก่าย หน้าที่ควบคุมความสมดุลแห่งพลังงานเทวะตลอดจนปกครองทั้งสามโลกต่างหาก คือสิ่งที่ต้องสนพระทัย นี่แหละ คือสิ่งที่ยากที่สุดของเทวะ คือ อุเบกขา วางองค์เฉย

“เราไปก่อน จงจัดการที่เหลือให้เรียบร้อย....และหากวายุภัคฟื้นเมื่อไร ให้กลับไปฉิมพลี แล้วมาหาเราพร้อมกับพญาเวนไตย” สิ้นพระเสาวณีย์ แสงโชตินาการสว่างจ้าก็เริ่มสลายหายไปเป็นลำดับพร้อมๆกับพระวรกาย แต่ก่อนที่จะเสด็จไป คันฉัตรก็รีบส่งกระแสจิตทูลขอพรขึ้นเป็นการส่วนตัว

“ขอพระแม่เจ้าทรงโปรด อย่าให้ตระการตาเป็นอะไรเลย”

“มนุษย์ผู้นั้นไม่เป็นอะไรหรอกอณูน้อยแห่งศนิเทพ เมื่อเขาฟื้นเขาจะเป็นปกติดีทุกอย่าง สวรรค์จะไม่ให้เขาเป็นอะไร เพราะ เราต้องใช้ประโยชน์และมีหน้าที่ให้เขาทำ”

คันฉัตรมิทูลตอบสิ่งใดต่อไปอีก แม้อยากจะทูลถามว่า หน้าที่อะไรที่มนุษย์พึงจะรับใช้สวรรค์ได้ แค่ทรงคุ้มครองตระการตา ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อพระมหาอุมาเทวีเสด็จกลับ คราวนี้อาการแสดงความดีใจอย่างลิงโลดขีดสุดหรือทโมน ก็สำแดงออกเก็บไว้ไม่อยู่ อณูน้อยทั้งเจ็ดต่างกรูกันเข้ามาหา“หัวหน้า” หรือ “จอมทัพ” หมาดๆ โยนขึ้นฟ้า ไชโยโห่ร้องดังลั่น มหาศาสตราวุธ คือของฝั่งเทวะ  โชคดีที่ไม่ตกไปอยู่ในมือใครอื่น

“ที่แท้จักราแห่งมหาวิษณุก็เป็นของไอ้อัสดงนี่เอง” น้ำเชี่ยวกล่าวขึ้นอย่างดีใจ คืนฉายเสริมมาว่า “ต่อไปเรียกมันว่า ลูกพี่ หรือ ท่านหัวหน้า หรือว่าเป็นท่านแม่ทัพดีวะ”

“เรียก กู อัสดง เหมือนเดิมแหละดีแล้ว” เสียงเฮสนั่นจากเหล่าเทวะน้อยดังมาอย่างชอบใจ ส่วนทยุติธรที่ทอดพระเนตรเห็นมิสามารถตรัสอะไรออกอีก เพราะศาสตราวุธที่มหาเทวีประทานให้ จะทรงเรียกคืนไปเมื่อไรก็ได้ เพื่อให้ผู้ที่เหมาะสมและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าตามพระเสาวณีย์

“ฉันสัญญา ว่าฉันจะใช้อำนาจจักรแห่งมหาเทวะและมหาเทวีอีกทั้งสมุทรมณีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อความผาสุข ของสวรรค์ มนุษย์และบาดาล โอม..” อัสดงทะยานตัวขึ้นจากการโยน เหิรลอยนั่งขัดสมาธิกลางฟ้า พนมมือกลางระหว่างอก แล้วเสียงโอมก็ดังกระหึ่มจากอณูน้อยทั้งหลาย อัสดงลอยอยู่สักพักและก็กลับลงมายืน คว้าพระวรกายของสีทันดรที่ยืนยิ้มพระพักตร์ชื่นบานเข้ามากอดแนบอกโดยมิอายสายตาใครและมิเกรงพระเชษฐาของเจ้านาคน้อยแต่อย่างใด

“อัสสะเก่งไหม..คืนนี้ต้องให้รางวัลอัสสะด้วยนะ” เจ้าพระอาทิตย์น้อยแอบกระซิบ

“จะมาเอารางวัลอะไร ไม่ได้บอกว่าจะให้สักหน่อย ขี้ตู่”

“ถ้าไม่ให้เห็นทีต้องปล้ำ ไม่คิดถึงอัสสะบ้างหรือไง เมื่อคืนก็ปล่อยให้อัสสะนอนคนเดียว”

ก่อนที่สีทันดรจะตรัสตอบทยุติธรก็เบี่ยงพระวรกายขึ้นมาดึงข้อพระกรพระอนุชาออกจากอ้อมอกอัสดงพลัน “ให้มันน้อยๆหน่อยสีทันดร ทำอะไรเกรงใจพี่บ้าง พี่ยังยืนอยู่ตรงนี้ อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก เจ้าก็เหมือนกันสุริยาทิตย์ แทนที่จะช่วยกันจัดการพื้นที่ให้เรียบร้อยดังเดิมกลับมากอดกันอยู่ได้ ไม่ได้เรื่อง”

“โธ่พี่ชาย” สีทันดรทรงครางอ่อยๆ ส่วนอัสดงหุบยิ้มถอยไปยืนรวมกับกลุ่มทรงกลด ราหูแอบกระซิบบ้าง “ ต่อยแม่งเลย”

“มันก็จริงอย่างที่ไอ้ขี้แอ็คว่า ช่างแม่งเหอะ อย่านักเลงนักเลยมึง ยังไงเขาก็พี่แฟนกู เอาวะช่วยกันเก็บพื้นที่ให้เรียบร้อย”
จากเมื่อสักครู่ทยุติธรต้องฟังอัสดง หากตอนนี้อัสดงต้องเกรงใจและฟังทยุติธร....เฮ้อ ไอ้ขี้แอ็คนี่ มันจะขึ้นมาด้วยทำไม เห็นทีชีวิตคู่คงอยู่ไม่สุขแน่

“อย่ามัวแต่เสียเวลาคุยกันอยู่เลย รีบจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย โดยเฉพาะซากครุฑ น้องดื้อเล่นซะจำสภาพพวกมันไม่ได้ แล้วไอ้นักเลงบ้านนอกนั่น มันตายห่าหรือยัง” น้ำเชี่ยวกล่าวขึ้น ขนอ่อนบริเวณท้ายทอยยังลุกซู่เพราะภาพของสีทันดรตอนสังหารครุฑยังติดตา

“ ยังมีชีวิตอยู่” ทรงกลดสังเกตจากรัศมีรอบกายของวายุภัค  แม้จะอ่อนแรงลงแต่ยังมิได้ดับ เขาถามความคิดเห็นเพื่อนๆต่อมาว่า “เราจะทำยังไงกับเขาดี”

“ช่วยรักษาวายุภัคได้ไหม” นลกุพรตอบแทนทุกคน แต่ก้มีเสียงค้านขึ้นมาแทบจะพร้อมกันของน้ำเชี่ยวกับราหู

“มันไม่ใช่เรื่องของเทวะอย่างเราเลยนะนล อีกอย่างไอ้บ้านนอกนี่ก็มาหาเรื่องพวกเราก่อน”

“หากช่วยมัน มันก็จะมาหาเรื่องพวกเราอีก”

หลายเสียงเริ่มสนับสนุนคามคิดของน้ำเชี่ยวกับราหูจนนลกุพรพระพักตร์เสีย ครั้นจะขอให้สีทันดรช่วยก็แทบจะไม่มีหวัง เจ้าสหายรักคงปฏิเสธ แล้วที่พึ่งสุดท้าย เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วหันไปรอบๆ จึงพบสายตาคู่หนึ่งที่งามราวกับอิสตรี ขนตาหนาปลายงอนกระพริบวิบวับมองตรงมาอยู่ก่อนแล้ว นี่ไงล่ะที่พึ่งสุดท้าย

“ กลดช่วยเราหน่อย ช่วยพูดกับอณูทั้งหลายช่วยรักษาวายุภัคเถิด หากพวกเราปล่อยเขาเป็นอะไรไป ฉิมพลีคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ พวกเจ้าคงต้องรับศึกเทวปักษีอีกด้านนอกจากอสูรและมาร”

นลกุพรถลันเข้ามาพลันอ้อนให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพช่วย ซึ่งทรงกลดเองก็ไม่ค่อยอยากจะช่วยเท่าไร เพราะจากเท่าที่ฟังน้ำเชี่ยวเล่า ครุฑพวกนี้อันธพาลนัก แต่ความรู้สึกประหลาดจากพระหัตถ์ของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วที่กำลังกำแขนตนแน่น กลับพุ่งพล่านบังคับจังหวะการเต้นของหัวใจผิดเพี้ยนไปจากเดิม

“ฉันว่า เราช่วยเจ้าครุฑนี่เถอะ บางทีเราอาจจะหาประโยชน์ได้จากเขา เช่นเป็นกองกำลังทางอากาศยามออกศึก หรือให้เขาช่วยนลถ่ายทอดวิธีการรบแบบสองมือให้ก็ได้นี่”

“ฉันเห็นด้วยกับไอ้กลด” อัสดงหันมาสนับสนุนทันที “ เราต้องการกำลัง จำต้องผูกมิตร ฉะนั้นไม่ควรมีศึกหลายด้าน เอาเป็นว่า พวกเราจะช่วย ส่วนเรื่องการเจรจาให้ไอ้พระพุธรับหน้าที่พิธีทางการทูตไปแล้วกัน”

“ได้สิ อัสดง” เอราวัตรับคำแล้วหันไปทางคืนฉายแฟนสุดที่รัก “งั้นเรื่องการรักษาคงต้องมอบให้ฉาย”

“คนที่เหลือ รีบเคลียร์พื้นที่ด่วน”
“ขอบใจทุกคนมาก” นลกุพรแทบจะกระโดดจนตัวลอย เผลอเลื่อนมือมากุมมือทรงกลดแน่น ครั้นพอรู้สึกองค์จึงรีบปล่อย และตรัสบางสิ่งออกมาโดยไม่ตั้งพระทัย

“งั้นเราฝากวายุภัคด้วยนะกลด เดี๋ยวเรามา เราขอไปหามุจลินทร์” 

เจ้ายักษ์นลผละไปด้วยความรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเพียงประเดียวสั้นๆ ทำให้หัวใจของทรงกลดที่พองโตอย่างไม่มีสาเหตุกลับแฟบลงอย่างทันตา ดุจคำพูดและการกระทำนั้นเป็นเข็มปลายแหลมเล่มน้อยสะกิดหัวใจ อณูน้อยพูดอะไรต่อไม่ออก ความรู้สึกเจ็บแปลบประหลาดๆ ห่างหายไปไม่ถึงอาทิตย์ ไยมันกลับมาอีกครั้ง

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
เสียงสังวัธยาย สัญชีวณีมนตราจากคืนฉายสิ้นสุดลง พร้อมๆกับอสุนีบาตก้อคำรามขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย พระวรกายที่เกรียมไปด้วยเพลิงจักร ก็กลับฟื้นคืนสภาพดังเดิม ปีกสีเศวตเริ่มขยับอย่างช้าๆ แล้วกระพือขึ้นด้วยความรวดเร็ว จนพระวารกายยืนหยัดได้ดังเดิม เดชะและศักติคืนสู่วายุภัคเรียบร้อยแล้ว

“ขอบใจมาก อณูน้อยแห่งคุรุอสูร เจ้ารักษาเรา หากมีสิ่งใดที่เราและฉิมพลีตอบแทนเจ้าได้ขอให้บอกมาเถิด” ทีท่าทระนงตนเริ่มจางหาย วายุภัคทรงกลับกลายเป็นเทวปักษีที่พระอารมณ์ปกติ ด้วยรัศมีเหลืองนวลจากทรงกลด

“ท่านควรขอบใจทุกคน”

วายุภัคทรงหันพระพักตร์ไปขอบใจตามคำบอกแม้กระทั่งพวกน้ำเชี่ยวที่มีเรื่องกัน “เราขออภัย”

น้ำเชี่ยว ราหู ธรรม์และคันฉัตรเพียงพยักหน้ารับ เอราวัตผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินวิธีทางการทูตจึงกล่าวว่า

“ให้มันยุติลงแค่นี้เถิด เราคือเทวะด้วยกัน จำต้องผสานกำลังต้านอสูรและมารไว้ เราควรพึ่งพาซึ่งกันและกัน และหากเป็นไปได้ เราก็อยากให้ท่านช่วย ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีฤทธีเกรียงไกรผู้หนึ่ง เราอยากให้ท่านช่วยถ่ายทอดวิธีการรบด้วยสองมือให้พวกเรา”

“ได้สิเรายินดี แต่เราคาดว่านลกุพรคงบอกพวกท่านแล้ว ว่าผู้ที่จะฝึกได้ ต้องเปิดจักราในร่างกายตนให้ได้อย่างน้อยจักรที่สี่ขึ้นไป โดยใช้โยคะสมาธิ”

“ข้อนั้นพวกเราทราบ และอณูแห่งจันทรเทพจะเป็นผู้ถ่ายทอด”

“ถ้าเป็นดังนั้น เราตกลง แต่เราขอให้ความเห็นว่า ผู้ที่จะถ่ายทอดโยคะศาสตร์ได้ดีนั้น ควรเป็นเทวนาคา ไม่ใช่ว่าเราจะดูถูกจันทรเทพว่าไม่สามารถ แต่เทวะนาคาคือผู้ที่รับศาสตร์นี้มาเผยแพร่จากมหาศิวะเทพโดยตรง และในเวลานี้ก็คงไม่มีใครเชี่ยวชาญเกินทยุติธร” 

ทุกสายตาหันขวับไปทางเทวนาคาหนุ่มรูปงามที่เพิ่งราพระหัตถ์จากการใช้อาคมเก็บกวาดสนามรบ  ถ้อยความที่สนทนาถูกส่งผ่านเข้าสู่กรรณด้วยฤทธี  โดยมิต้องทรงลังเลและพระมหาเทวีเคยมีพระเสาวณีย์ให้บาดาลช่วยการศึกอยู่แล้ว ทยุติธรจึงทรงตอบตกลงทันใด

 “เราตกลง”

“งั้นเจ้าก็ถ่ายทอด ให้พวกอณูน้อยก่อน แล้วเราจะมาต่อส่วนของเราให้ เราต้องกลับฉิมพลี เห็นว่ามหาอุมาเทวีทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า”

“ใช่ ไปพร้อมกับปู่เจ้า พญาเวนไตย”

วายุภัคพยักพักตร์รับ พยายามข่มอาการหวาดกลัว ยามพระมหาอุมาเทวีทรงเรียกให้เข้าเฝ้า ตอนเรียกอาจอยู่ในภาคมหาอุมา หากตอนเข้าเฝ้า ถ้าเสด็จออกเป็นมหาทุรคาใครจะรับผิดชอบ แต่เอาเหอะ ทูลหม่อมปู่เวนไตยเสด็จด้วยน่าจะไม่มีอะไรมาก วายุภัครีบปรับพระพักตร์ให้เป็นปกติแล้วเจ้าเทวะปักษีหนุ่มน้อยก็หันมากล่าวกับทยุติธรว่า

“ ขอบใจที่ช่วยดับไฟ เรารู้เจ้าช่วยเราเพราะอะไร”

“รู้ก็ดีแล้วรีบกลับไปรักษาตัว แล้วเราจะรอประลองฝีมือกับเจ้าอีก หมดธุระเจ้าที่นี่แล้ว”

“เหอะ ไม่ต้องมาไล่ เราไปแน่...เสร็จศึกเมื่อไร ฉิมพลีกับบาดาลคงได้ประลองกันอย่างเป็นจริงเป็นจังซะที”

“เราจะรอวันนั้น”

อณูน้อยทั้งหลายยิ้มขึ้นพร้อมกัน วันนี้แม้จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแต่ก็มีเรื่องที่น่ายินดีตามมา ประการแรกก็คงไม่พ้นที่อัสดงได้เป็นจอมทัพและได้มหาจักรามาครอบครอง ประการที่สอง คือการได้อาจารย์ใหม่เป็นยอดนักรบทั้งคู่ องค์หนึ่งมาจากบาดาล อีกองค์มาจากฉิมพลี และด้วยความเป็นศัตรูระหว่างทั้งสอง คาดว่าคงแสดงฝีมือเต็มที่ในการถ่ายทอดสรรพวิทยาให้ เพื่อจะได้รู้กันว่า ใครเก่งกว่าใคร และผลพลอยได้ทั้งมวลก็จะตกอยู่กับอณูน้อยทั้งปวงนั่นเอง

และก่อนเสด็จกลับ วายุภัคก็ทรงอดไม่ได้ ที่จะมองซากบริวารของตนที่ถูกจัดการอย่างสยดสยอง บริวารพวกนี้นับว่าคัดมาแต่พวกฝีมือดี หากพอเจอพวกเทวนาคา กลับถูกสังหารอย่างหมดท่า น่าเสียดายยิ่งนัก เอราวัตที่อ่านความคิดออกทราบทันทีว่าวายุภัคทรงต้องการสิ่งใด

“ถ้าท่านต้องการให้พวกเราชุบชีวิตบริวารด้วยก็ได้ แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า สัญชีวณีมนตราของพระศุกร์นั้น ทำให้ฟื้นได้ก็จริง แต่จะไม่เป็นอมตะเหมือนชุบด้วยน้ำอมฤต”

“ข้อนั้นเราทราบดี รบกวนท่านด้วย ท่านพระพุธ ท่านพระศุกร์”

“ฉายจ๋า จัดการให้เขาหน่อย”

คืนฉายรับคำแวจัดการให้ตามคำขอ ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกแยกออกจากกันกลับมารวมดังเดิม ชีวิตครุฑบริวารกลับคืนมาแล้ว หากวายุภัคยังคงทรงทอดพระเนตรนิ่ง มิอยากเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของสีทันดรกับมุจลินทร์

“ฝีมือไม่เลวเลย สีทันดร มิเสียแรงที่เป็นน้องของทยุติธรและเจ้ามุจลินทร์ว่าที่อัครชายา”

“แค่นี่ยังน้อยไป หากเป็นฝ่าบาท หม่อมฉันสัญญาว่า จะแยกให้ละเอียด และประณีตกว่านี้” สีทันดรที่ได้ยินรับสั่งหันพระพักตร์ทูลตอบทันควัน

“เหอะสีทันดร พี่ชายเจ้ายังทำอะไรเราไม่ได้ นับประสาอะไรกับเจ้า ระวังเทวนาคาที่ทระนงตนถูกเราจับมานักต่อนักแล้ว” วายุภัคโต้กลับ พระสุรเสียงทอดอ่อนสรวลเยาะในที น่าแปลกที่มิทรงกริ้ว

“ทรงลืมไปแล้วละมังว่าหม่อมฉัน มิได้อยู่ในเผ่าพันธุ์ที่จะทรงจับเป็นภักษาหาร และทรงรู้ไว้ด้วยว่า ครุฑชั้นต่ำที่ชอบทระนงตนหม่อมฉันลากลงบาดาล ให้เป็นเหยื่อมัจฉาบริวารมานักต่อนักเช่นกัน”

วายุภัคทรงสรวลลั่น ริมโอษฐ์ที่เคยเป็นจะงอย คืนเสภาพเหยียดกว้าง กลับสู่รูปกระจับยิ้มระเรื่อ พร้อมจ้องพระเนตรฟ้าครามใส ที่ฉายแววชิงชังเด่นชัดเฉพาะพระองค์ สีทันดรเจ้ามันร้ายและอวดดีอย่างนี้นี่เอง ค้านกับลักษณะที่งามดุจพระมหาลักษมี ถึงว่า ทยุติธรถึงได้หวงน้องนัก คงมีสักวันที่เราจะได้จับเจ้าสั่งสอนด้วยตัวของเราเอง

“เรารู้ว่านาคอย่างเจ้าจับกินไม่ได้ พวกเจ้าบอกเราหลายรอบแล้ว และเราก็ไม่คิดจะจับกินแต่อย่างใด ถึงแม้จะอดอยาก เพราะเกรงว่าหากกินไปเราอาจสอดท้อง เพราะพิษสงมันเยอะ ภาษามนุษย์เขาเรียกว่า อาหารเป็นพิษ”

“นี่ เจ้า”

“พอทีสีทันดร ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียง”  ทยุติธรดึงพระอนุชาพระองค์น้อยออกมา เพราะทรงเริ่มจับสัมผัสบางอย่างจากสายพระเนตรของวายุภัคได้ กระแสจิตถูกส่งถึงกันทันใด

“อย่ายุ่งกับน้องชายเรา”

“ก็น้องชายเจ้ามันน่ายุ่งนี่” วายุภัคตรัสตอบทางกระแสจิต พักตราเจ้าเล่ห์ชวดให้คิดว่ามีสิ่งใดแอบแฝงทิ้งท้าย ก่อนสะบัดปีกทะยานขึ้นสู่เวหา พร้อมครุฑบริวาร “แล้วเราจะกลับมา”

สายลมกรรโชกแรงวูบ แล้วร่างเทวปักษีก็อันตรธานหายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ มนุษย์ที่สลบไศลเริ่มได้สติ

“รีบกลับบ้านกันเถอะ มนุษย์รู้สึกตัวกันแล้ว” คันฉัตรที่ประคองร่างของตระการตา บอกกับทุกคนแล้วเหิรลอยไปเป็นคนแรก ตามด้วยอณูน้อยที่เหลือ ยกเว้นทรงกลดที่ยังรีไรอๆข้างนลกุพร เพราะหน้าที่พี่เลี้ยง จำต้องดำเนินต่อจะปล่อยให้ขาดตกบกพร่องมิได้

“กลด เจ้าไปก่อน เดียวเราตามกลับไป เราอยากอยู่กับมุจลินทร์ลำพัง”

นลกุพรมิได้ไล่ แต่ทรงกลดก็รู้สึกถึงความนัย ความน้อยใจมันห้ามกันไม่ได้ รัศมีเหลืองนวลจึงกำจายวาบ หายไปในพริบตา ส่วนทยุติธรเห็นนลกุพรยังประทับอยู่ ก็ทรงทราบโดยทันทีว่า ต้องการอะไร จึงตรัสขึ้น

“นี่คงเป็นครั้งสุดท้าย ที่เจ้าจะได้ใกล้ชิดมุจลินทร์ พี่ไม่ว่าหากเจ้าจะใช้เวลาร่ำลากันสองต่อสอง”

มุจลินทร์กับนลกุพร แทบไม่เชื่อพระโสตว่าสิ่งที่ได้สดับจะมาจากโอษฐ์ของทยุติธร “จงไปคุยกัน เราจะไปรอที่บ้านพักของอณูแห่งเทวะ”

ทยุติธรตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ พระเนตรหันไปสบกับพระเนตรมุจลินทร์ คำขอบพระทัยจากถูกส่งผ่านพร้อมหยาดอัสสุชล ภาพลักษณ์ที่เคยติดลบของ “ผู้ชายเอาแต่ใจ” ถูกเพิ่มคะแนนบวกให้โดยที่ไม่รู้องค์เอง

“สีทันดรเราไปกันเถอะ”

แล้วรัศมีเขียวเจือทองก็พลันสลาย เหลือแต่พระวรกายเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วและเทวะนาคีสะคราญโฉม สุรเสียงใสกล่าวขึ้นทันทีที่อยู่ลำพัง เป็นประโยคแรกวันนี้ที่ตรัสกับหนุ่มน้อยที่ประทับยืนตรงหน้า 

“เราคงต้องคุยเป็นจริงเป็นจังกันซะทีนะนล”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
วงเหล้าถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการฉลองที่รวมตัวกันครบและฉลองตำแหน่งใหม่ให้กับอัสดง เสียงหัวเราเฮฮาดังลั่นทำลายความเงียบยามค่ำคืน อัสดงชนแก้วกับสหายทั่ว ยิ้มด้วยความสดใส อณูน้อยทุกคนอยู่ในอารมณ์เป็นสุขและผ่อนคลายยกเว้นแต่บางคนเท่านั้น 

“เป็นอะไรอีกวะ ไอ้กลด”

“เปล่า มีอะไรเหรอฉาย”

“แล้วทำไมมึงนั่งเงียบ อย่าบอกนะว่ายังตัดใจจากน้องดื้อไม่ขาด” เอราวัตเสริมขึ้นมาทันใด

“นี่ไอ้พระพุธ เรื่องนั้นน่ะเลิกคิดไปนานแล้ว เหอะน่า ช่างกูเหอะ แค่กูไม่รู้จะพูดอะไรตอนนี้ มึงสองคนผัวเมียเลิกถามกูเสียที”

“งั้นก็ตามใจมึง เหอะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง ” คืนฉายตัดบทแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจร้องเพลงต่อแต่ในใจแอบใช้เทวฤทธิ์ติดต่อเอราวัต “พระพุธจ๋า ฉายว่า เราจัดการให้ไอ้กลดมันได้ฟีทเจอริ่งเลยไหม เห็นใจมันน่ะ ไม่รู้ว่าจะทนมนสิเน่หาได้เท่าไร “

“อย่าเพิ่งเลยฉาย มันเร็วไป เอาน่า รอก่อน รอดูท่าไอ้ยักษ์นลอีกที”

ส่วนอีกคน ที่อยู่ในข้อยกเว้นก็คือคันฉัตร ที่มัวแต่เดินไปเดินมาระหว่างบ้านพักกับวงเหล้า เพราะห่วงตระการตาที่ยังไม่ฟื้น จนคู่รักทั้งสองอดรำคาญไม่ได้

“ไอ้นี่ก็อีกคน จะเดินหาส้นตีนอะไรนักหนา ตระการตายังไม่ฟื้นหรอก ถ้าฟื้นเดี๋ยวไอ้รักไอ้ยมก็คงมาบอกเองแหละ”

“กูเป็นห่วงเขานี่ ไม่ใช่มึงนี่ไอ้ฉาย หว่านเสน่ห์เขาไว้แล้วก็ไม่รับผิดชอบ”

“ฉายมันเปล่าทำนะโว้ย ตอนนั้นแค่มันคุมพลังไม่อยู่ มึงก็รู้ ....เอาน่าอย่าเสือกเดินไปเดินมาเลย ไปเอาแซคมานั่งเป่านี่ เผื่อเด็กมึงได้ยินจะตื่น” เอราวัตออกรับแทน เพราะรู้กันดีอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร

“แตะต้องห่าอะไรไม่ได้เลย แฟนมึงนี่ไอ้พระพุธ ออกรับแทนหมดดดดด” คันฉัตรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนั่งลง แต่โดยดี ในใจยังกังวลว่าเมื่อไรตระการตาจะฟื้น แม้พระมหาอุมาเทวีจะทรงบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี “เขายังไม่ใช่เด็กกู”

“อ้าวแล้วที่มึงหายไปกันมาสองต่อสองเนี่ย ไม่ได้จีบกันเลยเหรอ” ราหูถามขึ้นบ้างเรียกความสนใจจากทุกคนมาเป็นตาเดียว ทุกคนต่างก็รู้ว่า คันฉัตรไม่เคยสนใจใคร และเอาใจใครเป็นพิเศษ ยกเว้นวันนี้ที่ใบหน้าคมคายยิ้มจนแก้มปริ  เมื่อเจอมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ท่ารถ และยังหุบยิ้มไม่หยุดเมือเขาคนนั้นมาพักที่บ้าน

“ก็มีบ้าง แต่เขายังตัดใจจากไอ้ฉายไม่ได้”

“แต่กูไม่เคยให้ความหวังอะไรเขาเลยนะ ....กูรักพระพุธของกูคนเดียว” สิ้นเสียงคืนฉายก็ปรากฏเสียงโห่ของเพื่อนๆดังลั่น เพราะประโยคเมื่อกี้ทั้งน้ำเน่าและเลี่ยน เว้นแต่เอราวัตที่ยิ้มจนหน้าแดงเป็นลูกตำลึง

“กูแค่พูดให้ฟัง” คันฉัตรถอนหายใจอีกเฮือก แม้ผลการลองใจเลือกเทวรูปวันนี้ตระการตาจะเลือกพระเสาร์แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ตระการตาจะตกลงปลงใจ หากมีการสารภาพรัก ธรรม์ที่นั่งถัดไปเห็นใจ จึงกอดไหล่พูดให้กำลัง

“มึงอย่าคิดไปเองไอ้ฉัตร ว่าเขายังตัดใจไม่ได้ รอเขาฟื้นมาแล้วหาโอกาสเหมาะๆ ลองบอกเขาดู”

“เหอะ ไอ้ธรรม์ ทำมาเป็นแนะนำคนอื่น เทพฤาษีอย่างมึงเคยรู้จักความรักเหรอ เคยรักใครหรือเปล่า ขนาดโดนพระจันทร์แย่งเมียยังไม่ไปตามเอาคืน”  ราหูจอมพลั้งปาก พูดออกมาทันใด เจ้าอณูน้อยแห่งคุรุเทพ จึงโต้ตอบรวดเร็วด้วยความลืมตัว

“ทำไมกูจะไม่เคยรักวะ”

“แล้วนายรักใครล่ะ ธรรม์”

ธรรม์เมื่อได้ยินคำถามนี้ ก็วาบไปทั้งตัว เพราะคนที่ถามคือเจ้าน้ำเชี่ยว ที่กำลังจ้องมองมาทางเขาเขม็ง เหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้นมิได้ถูกพูดถึงอันใดกันอีกและธรรม์คิดไปว่า น้ำเชี่ยวคงจะลืมและไม่ติดค้างสิ่งใดในหัวใจอีกต่อไป เสร็จแล้วก็คงเสร็จไป แต่ผิดคาด เพราะสายตาของน้ำเชี่ยวกำลังเป็นประกาย .. ‘นี่เขาคิดไปเองเหมือนกัน’ ดีแต่แนะนำคนอื่น ทำไมเราทำไม่ได้

“มีแล้วกันน่า ช่างกูเหอะ” 

ธรรม์มิเคยอึกอักแต่ยามนี้เขากำลังป็น จากเรื่องของคันฉัตรกลายเป็นเรื่องตนได้ไงไม่รู้ น้ำเชี่ยวเหมือนจะจับอาการผิดปกตินั้นได้ ก็ไม่ลดละที่จะเอาคำตอบ เหตุการณ์ในห้องน้ำ วันนั้นถูกทบทวนพร้อมกันโดยพลัน และทั้งสองก็ดันลืมคำนึงไปว่า เอราวัตผู้อ่านความคิดออกกำลังนั่งอยู่ ณ ที่นี้ด้วย

เพียงชั่วแวบ เอราวัตก็ต้องทำตาโต เผลออุทานยกมือทาบอก “คุณพระคุณเจ้า!! อกกูจะแตก ภาพคมชัดยิ่งกว่าหนังเอ็กซ์ที่เราเล่นเองกับฉายอีก”

เท่านั้นแหละ ความก็ถูกถ่ายทอดไปยังเจ้าพระศุกร์ คู่รักจอมเซี้ยว ต่างแอบลอบชำเลืองมองเจ้าพระอังคารและพระพฤหัส ทั้งสองรู้กันโดยไม่ต้องบอกว่า มีงานต้องทำเพิ่มแล้ว

แล้วธรรม์ที่นิ่งอึ้งก็ต้องหน้าแดงจนถึงขีดสุด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผลุดซึมขึ้นเต็มตรงตามไรผม เรื่อยลงมาหน้าผาก เพราะจู่ๆเจ้าพระพุธตัวแสบ ที่เก็บความลับอะไรไม่ค่อยอยู่ ดันท่องกลอนทำลายความเงียบขึ้นมา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ขณะนี้พอดี และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

แอบซบอกสนิทแนบยามเขาหลับ
แอบมองตาพราวระยับอันสดใส
แอบซ่อนรักลึกซึ้งตรึงหทัย
แอบซ่อนใจหวังเชยชู้......รู้คนเดียว

“ไอ้พระพุธมันรู้” ธรรม์ผลุดลุกขึ้นโดยพลัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเพื่อนกับบทกลอนที่เอราวัตยกมา ความรู้สึกที่ไม่อยากให้ใครรู้ยิ่งซ่อนก็ยิ่งถูกขุดคุ้ย ยิ่งกลบเกลื่อนก็ยิ่งฉายพิรุธ

“ไปไหน ธรรม์ นายยังไม่ได้ให้คำตอบฉันเลย นายรักใคร”

“เหอะน่า...ตอนนี้เมาแล้ว  ตอบอะไรคงไม่รู้เรื่อง ขอตัวไปนอนก่อน”

น้ำเชี่ยวตั้งใจจะลุกตาม แต่ราหูผู้ที่ไม่เคยประสีประสา ดันดึงมือให้นั่งต่อ แม้คืนฉายจะขยิบตาให้ปล่อยไปก็ตาม น้ำเชี่ยวจึงได้แต่มองธรรม์เดินจากกลับบ้านพักไปเงียบๆจนลับตา

“เดี๋ยวเรา คงต้องมีเรื่องคุยกับเขาบ้างแล้วล่ะธรรม์”
ทางด้านทยุติธร ที่เสด็จมาถึงก็ยังไว้องค์มิไปสังสรรค์กับบรรดาอณูน้อยแต่อย่างใด ยังคงประทับนั่งห้อยพระบาทเหนือสะพานไม้ยาวโดยมีพระอนุชาจอมดื้อประทับเคียงข้าง

“พี่ชาย ทำไมไม่ไปนั่งคุยกับพวกอัสดงล่ะพะยะค่ะ มานั่งรอมุจลินทร์ตรงนี้เหงาแย่”

“อยากจะลงไปหาเขาล่ะสิ ...จะไปก็ไปเหอะพี่ไม่ว่า แต่อย่าทำอะไรให้มันเกินงามเจ้าเป็นผู้ชาย” ทยุติธรไยจะไม่ทรงทราบว่าหากพระอนุชาอยู่ใกล้อัสดง อัสดงจะทำอะไรบ้าง จึงตรัสดักคอไว้อย่างนี้ดีแล้ว

ยังไม่ทันจะสิ้นพระดำรัส สีดันดรก็หายวับไปเสียแล้วและเพียงกระพริบพระเนตร พระวรกายของพระอนุชาก็ไปปรากฏตรงวงเหล้า และเป็นดังคาด ไอ้เจ้าพระสุริยาทิตย์ตัวแสบรีบเข้ามาคลอเคลีย หากเป็นเมื่อก่อนเห็นทีต้องเข้าไปห้ามแต่ยามนี้เล่า ทรงมีเรื่องที่ต้องกังวลในพระทัยอยู่ ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากมุจลินทร์

“สองคนนั่นคุยอะไรกันอยู่นะ ทำไมนานจริง”

ในพระทัย อยากจะไปแอบฟัง แต่ด้วยความไว้พระทัยและต้องการวัดพระทัย นางอันเป็นที่รัก จึงทรงรออยู่เงียบๆสงบๆ แต่นั่นมันก็เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น หากภายใน รุ่มร้อนดั่งทะเลเพลิง พระเนตรฟ้าครามมองทะลุไปในความมืด ริมโอษฐ์หยักงามได้รูปสีแดงสด เริ่มขยับแล้วระบายความในพระทัยเบาๆองค์เดียว ถ้อยความที่พร้อมจะถ่ายทอด ทุกถ้อยคำร้อยเรียงอยู่นานตั้งแต่เยาว์ชันษา แต่ไยมิทรงกล้าตรัสกับนาง

“มุจลินทร์ หัวใจของเราจะมีแต่ความจงรักและภักดี อย่างมิมีใครเทียมเท่า นับตั้งแต่วันแรกที่เจอ หัวใจของเราได้วางไว้แทบเบื้องบาทจากครั้งเยาว์วัย ตราบจนกระทั่งวันนี้”

แล้วจู่ๆเสียงห้าวดังกังวาน ก็ดังขึ้นจากทางเบื้องพระปฤษฎางค์ ทำลายภวังค์และความเงียบหมดสิ้น รัศมีสีแดงจ้าฉายสุกใสกำจายวาบ ไม่ต้องผินพระพักตร์ก็รู้ว่าเป็นใคร “ขอกระหม่อมนั่งด้วยนะพะยะค่ะ”

“อณูแห่งพระสุริยาทิตย์”

อัสดงมิรอคำตอบ ทรุดกายนั่งถัดไปเล็กน้อย พร้อมกับยื่นแก้วเหล้าที่ถือมาด้วยถวายแด่เทวนาคาหนุ่ม “ลองเสวยหน่อยไหม พะยะค่ะ”

“ขอบใจ”

ทยุติธรทรงรับไมตรีที่ยื่นผ่านแก้วเหล้า ทีท่าไว้องค์ยังคงมีอยู่ เพราะยังทรงไม่หายแค้นอัสดงครั้งคราวศึกนางบาทบริจาริกาเท่าไร และอีกอย่างยังทรงไม่พอพระทัยเรื่องที่อัสดงมาข้องแวะกับพระอนุชา

“รสชาติแปลก” ทยุติธรทรงดมเพียงเท่านั้นก็ทรงรับรู้ถึงรส ทรงมีวิธีเสพเยี่ยงพระอนุชา “แต่อย่างไรก็สู้น้ำโสมครั้งกวนเกษียรสมุทรไม่ได้ หากพวกเจ้าชอบที่บาดาลมีเก็บไว้เยอะ จะได้ให้ทหารเอามาให้”

“ขอบพระทัย...ว่าแต่ทำไมมาประทับอยู่องค์เดียว รังเกียจพวกกระหม่อมนักหรือ”

“เราไม่พอใจพวกเจ้าครั้งศึกนางนาคีกัณหาโคตมะ มิได้รังเกียจ และเราไม่ชอบที่เจ้าวอแวกับสีทันดร”

“กระหม่อมรักสีทันดรด้วยใจจริง เหตุไฉนไม่พอพระทัย”

“เรามีน้องชายคนเดียว และเราไม่อยากให้น้องชายเรารักผู้ชายด้วยกัน หากเจ้ามีน้องชายแล้วน้องชายเจ้าเป็นอย่างนี้ เจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน สุริยาทิตย์”

“เรียกกระหม่อมว่าอัสดงดีกว่า กระหม่อมก็จะเอาหน้าไว้ที่เดิมนั่นแหละ ไม่เห็นจะต้องอายอะไร ความรักไม้ควรปกปิด รักใครชอบใครก็ควรแสดงออก อย่างกระหม่อมรักสีทันดร จึงอยากแสดงออกมาให้สามโลกรับรู้ แม้จะมีใครไม่เห็นชอบ แต่มันก็เป็นความสุขใจอย่างล้นเหลือ ที่ได้แสดงให้คนที่เรารักเห็นว่าเรารักเขามากเพียงใด กระหม่อมว่าเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องกระหม่อมกับสีทันดรเลย เรื่องของฝ่าบาทเองเหอะ ได้ทรงเคยแสดงออกไปว่ารักบ้างหรือยัง ถ้ายังควรจะทำซะ อย่าหาว่ายุ่งเรื่องส่วนพระองค์เลย หากปล่อยไว้ คงไม่มีผู้หญิงที่ไหน จะเข้าพระทัยฝ่าบาทหรอก”

“อย่าบังอาจแนะนำเรา เรารู้ว่าต้องทำอย่างไร อัสดง”

“กระหม่อมมิได้บังอาจแนะนำ แค่ทูลให้ทรงทราบเฉยๆ หากทรงรักแต่ทรงนิ่งเงียบ คงไม่มีใครมารักฝ่าบาทตอบหรอก” อัสดงพยายามทำใจเย็น อันที่จริงเขาไม่อยากเข้ามานั่งคุยด้วยซ้ำหากแต่ไอ้ดื้อยอดดวงใจนั้นขอมา

“อัสสะ เป็นโอกาสดีแล้ว ไปนั่งคุยกับพี่ชายเราสิ จะได้ปรับความเข้าใจกัน”

“แล้วทำไมพี่ชายเจ้าถึงไม่เข้ามาคุยกับพวกเราเองล่ะ นั่งแอ็คท่าอยู่ได้”

“ทรงเป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาเลย ตอนนี้ทรงมีเรื่องไม่สบายพระทัยแหละ นะๆ อัสสะไปคุยเป็นเพื่อนพี่ชายหน่อย เราอยากให้พี่ชายกับอัสสะเข้ากันได้ เราไม่อยากกังวลใจเรื่องโน่นก็พี่ นี่ก็อัสสะอีก ทำเพื่อเราสักครั้งได้ไหม”

“เฮ้อ...ก็ได้” นั่นแหละอัสดงจึงมานั่งคุยเป็นเพื่อนเจ้าเทวนาคาขี้แอ็คตามคำขอของสุดที่รักตาสวย “พวกเทวนาคานี่ ยุ่งจริงเล๊ย พับผ่าสิ”

“ลองอีกแก้วหนึ่งไหมพะยะค่ะ กระหม่อมเอามาสองแก้ว” อัสดงยื่นแก้วที่สองให้ ทยุติธรรับมาดมเช่นเคย และทรงเริ่มรู้สึกว่า สุรามนุษย์ก็ทำให้พระวรกายและพระพักตร์ร้อนวาบขึ้นได้เช่นกัน

“เราไม่รู้ว่าเราควรจะใช้วิธีการใดอัสดง มุจลินทร์ถึงจะเข้าใจเรา เราเอาใจผู้หญิงและเอาใจใครไม่เป็น” ทยุติธรเริ่มตรัสขึ้นด้วยพระพักตร์ที่ผ่อนคลายกว่าเดิม อาการไว้พระองค์เริ่มเลือนหายพร้อมกับความรู้สึกไม่พอพระทัยอณูน้อยที่อยู่ข้างๆ การได้ระบายความอัดอั้นพระทัยกับใครคนหนึ่งคงเป็นวิธีการผ่อนคลายที่ดีที่สุด ที่ผ่านมาทรงเก่งไปแทบทุกเรื่อง หากเรื่องรักและการจีบ การเอาใจผู้หญิงแล้ว ทรงรู้องค์เองดีว่า ‘ทรงสอบตก’ ควรแล้วที่จะมีที่ปรึกษา

“แล้วเจ้าล่ะ เข้าหาสีทันดรอย่างไร เรามั่นใจว่า วิธีของเจ้าคงไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะสามารถปราบพยศสีทันดรลงได้เล่าให้ฟังหน่อย เผื่อเราอาจใช้วิธีเดียวกับเจ้าบ้าง”

อัสดงหัวเราะร่วน ทูลถามขึ้นทันควัน “ทรงแน่พระทัยนะพะยพค่ะว่า จะใช้วิธีเดียวกันกับกระหม่อม ขอทูลให้ทราบไว้ก่อนเลยว่า เสี่ยงต่อการถูกตบเป็นอย่างสูง”

“แล้วมันวิธีใดกันล่ะ ไหนลองเล่าสิ” ทยุติธรขมวดพระขนง ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ง่ายๆพะยะค่ะ ไม่มีอะไรมาก แค่ใจกล้าหน้าด้าน ก่อนเป็นอันดับแรก ที่สำคัญอย่ารุนแรง จากนั้นค่อย.....” ว่าแล้วอัสดงก็ปาฐกถาวิธีการที่ตนใช้จีบสีทันดรมาอย่างหมดเปลือก ไม่อาย แม้จะบอกกับผู้เป็นพี่ชายของสุดที่รัก ทยุติธรพอได้ฟัง พระพักตร์ที่แดงอยู่แล้วเพราะฤทธิ์สุราก็กลับแดงซ่านยิ่งขึ้น วิธีนี้นี่เองหรือที่อัสดงใช้ มิน่า...สีทันดรถึงได้ติดแจไม่ยอมห่างและไม่ยอมกลับบาดาล แล้วถ้าองค์เองทรงทำบ้างล่ะ มุจลินทร์จะใจอ่อนแล้วติดใจบ้างไหม ทรงสงสัยยิ่งนัก

ทางด้านอีกฟากของลำน้ำปายที่ทอดยาว ในความมืดมิดมีเพียงแต่แสงจันทร์สีซีดเท่านั้นที่สาดส่อง ดาราที่เคยพราวระยับสดใสนับร้อยนับพันหายไปไหนเสียก้ไม่รู้ ฤาดวงดาวเหล่านั้นจะทราบว่าหัวใจของใครบางคนกำลังแตกสลายจึงแอบลับเหลี่ยมเมฆทะมึนไปหลบมุมร้องไห้กับเขาบ้าง

รัศมีสีแดงโกเมนจากพระวรกายของนลกุพรเริ่มสั่นพร่าไหวเป็นระลอกยามที่สดับถ้อยคำจากมุจลินทร์จบลง ท่ามกลางความเงียบยิ่งกว่าเงียบ จนทิพยโสตได้ยินเสียงน้ำค้างกระทบยอดหญ้าดังกระหึ่มราวพายุฝน จนพระโสตเริ่มอื้ออึง หยาดน้ำค้างที่หนักเริ่มกระทบพระพักตร์ และไหลมาบรรจบกับพระอัสสุชลที่เพิ่งกลายเป็นผลึกแก้วใส ส่องแสงวิบวับล้อแสงจันทร์

“ นลเรามีบุญที่ได้เจอกัน แต่วาสนาเราไม่เกื้อหนุน เราทั้งสองต่างมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ” พระวรกายงามระหงประทับนั่งเหนือโขดหินระเกะระกะ พระพักตร์ที่งามเหยียบสามโลกเสร้าหมองลงเช่นกัน นลกุพรขยับพระวรกายหมายพระทัยจะเข้าไปกอด แต่มุจลินทร์ทรงห้ามไว้ 

“อย่านล เราจะทำเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว เรากำลังจะรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ และเราไม่อยากให้พระเกียรติยศของทูลหม่อมชายมัวหมอง หากใครมาเห็นเราสองคนกอดกัน เรามาวันนี้เพียงเพื่อมาอำลา”

“ไม่!! เราจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนมุจลินทร์ เราจะหนีไปด้วยกัน ไปอยู่ด้วยกัน เราไม่สนใจหน้าที่บ้าบออะไรนั่น”

“อย่าเขลานักเลยนล เจ้าคิดหรือว่าหากเราหนี เราจะหนีพ้น ...พระมหาอุมาเทวีทรงทราบเรื่องการอภิเษกแล้ว นลคิดว่านลจะรอดเงื้อมพระหัตถ์เหรอ ฟังนะนล เทวะทั้งหลายดำรงไว้ด้วยหน้าที่ และเราก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะเอาประโยชน์สุขส่วนตน”

“มุจลินทร์ เจ้าก็เอาแต่อ้างพระมหาเทวี อ้างหน้าที่ร้อยแปด เจ้าบอกเรามาตรงๆดีกว่าว่าเจ้าหมดรักเราแล้ว และเจ้าก็รักทูลหม่อมพี่ชายทยุติธรเป็นทุนเดิม เราไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำไปเพราะหน้าที่ เพราะเจ้าจะไม่มีวันทนได้ หากจำใจ”

มุจลินทร์ถึงกับวาบในพระทัย ประโยคที่นลกุพรตรัสมาเมื่อสักครู่แม้จะสิ้นสุดลงไป แต่ก็ยังดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาในพระโสต “จริงฤาอย่างที่นลกล่าวหา” เราทำไปเพราะหน้าที่ ฤาว่าเรามีใจให้เป็นทุนเดิม ไม่จริง! มันเป็นเพียงเพราะหน้าที่ต่างหาก ว่าแล้วจึงทรงสูดลมหายพระทัยเข้าลึกๆ ค่อยๆผ่อนออกยาวๆ เพื่อระงับความสับสน ข่มพระทัยตรัสตอบนลกุพรว่า

“นล ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวะ ต้องทนต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็นอยู่เสมอ แต่การทนนั้น มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละชีวิตและหน้าที่ ฉะนั้นถ้าเราจำต้องทนแล้ว เราควรทำใจให้ร่าเริงไว้ เพื่อจะได้เป็นผลดีต่อจิตใจและหน้าที่ที่เราต้องกระทำ นลเองก็มีหน้าที่ เราเองก็มีหน้าที่ เรามั่นใจว่า เราทนได้ และนลก็ต้องทนให้ได้เช่นกัน”

น่าแปลกใจยิ่งนักที่นลกุพรทรงนิ่งเงียบ มิโวยวายฟูมฟายอย่างที่เคยเป็น หากแต่พระชงฆ์ค่อยๆทรุดลงกับพื้นโดยไม่รู้องค์ รัศมีสีเขียวสดใสจากพระวรกายของมุจลินทร์เริ่มมีสีทองเจือระเรื่อ เฉกทยุติธรและสีทันดร มิต้องให้ใครบอกนลกุพรก็ทรงรู้ได้ทันทีว่า สวรรค์และบาดาล เห็นด้วยกับการอภิเษกครั้งนี้ ทุกอย่างคงเกินพระกำลังและสติปัญญาที่จะหยุดยั้ง จะดื้อรั้นยื้อยุดต่อไปพระทัยก็จะยิ่งป่นเป็นภัสมธุลี ทุกอย่างมันมาไกลเกินจะขัดขวาง อีกทั้งพระมหาอุมาเทวีก็ทรงออกหน้าเห็นชอบ วันนี้คงถึงกาลสิ้นสุดของรักแรกในพระชนม์ชีพ ที่กลายเป็นสีดำ ...นำสู่การอำลา

“มันไม่มีทางอื่นเลยใช่ไหม สรุปว่าเจ้าคงต้องไป”

“ฤาจะมีทางอื่นใด ที่ผ่านมาเรื่องระหว่างเราให้คิดเสมือนว่ามันเป็นภาพฝัน ที่บัดนี้เราสองคนได้ตื่นขึ้นมาและรับรู้ได้ว่ามันสูญสลายไปหมดแล้ว แต่นลจงรับรู้ไว้ว่า แม้ภาพฝันจะสลายแต่หัวใจของเราจะมีเจ้าเป็นสหายไม่เสื่อมคลาย หัวใจรักของเราจะเป็นดั่งปิยมิตร จะมิมีวันคลอนแคลนไปตามกาลเวลา”

“มุจลินทร์!!”

 “เราจะไม่มีวันลืมนลเราสัญญา ลาก่อน” มุจลินทร์สะกดพระทัยทิ้งนลกุพรไว้เบื้องหลัง ร้องไห้เสียตรงนี้ให้พอและต้องหยุดให้ได้ก่อนเสด็จกลับไป น้ำตาที่มีให้กับชายคนหนึ่ง มิควรให้ชายอีกผู้หนึ่งได้เห็นเพราะมันจะไม่เป็นการยุติธรรมสำหรับเขาพระองค์นั้น ที่ต้องเสียเวลามาเช็ดน้ำตา ศักติและขัตติยนารีต้องถึงพร้อม แม้พระทัยดวงน้อยอาจจะต้องแตกเป็นเสี่ยง แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองจึงกำจายวาบเป็นครั้งสุดท้าย พุ่งปราดฝ่าความมืดไปด้วยความรวดเร็ว เหลือไว้เพียงกลิ่นพระวรกายที่หอมกรุ่น รายรอบเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วเพียงเท่านั้น

“ลาก่อน นลกุพร”

***********************
รบกวนติดตามต่อใน บทที่๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ นะคะ
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอมา :mew1:

อ้างอิง * พระอภัยมณี - สุนทรภู่

Artemis ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2019 12:48:33 โดย Artemis »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :m25: จริงๆสนุกมากทั้งรบทั้งรักแต่ละคุ่กว่าจะเข้าใจและจับคู่ลงเอยได้ทั้งมนตราและจากดวงใจผสมกันไปภาษาสวยงามมากอภินิหารย์มาเพียบไม่อยากจะคิดถ้าตอนรบกับมารและอสูรจะยิ่งใหญ่เพียงไหนอ่านกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลยค่ะรอลุ้นไปกับนลทรงกลดน้ำเชี่ยวธรรม์คันฉัตรตระการตาเสด็จพี่ทยุติธรจะเอาวิธีจีบเจ้าดื้อไปใช้กับมุจลินท์บ้างก็ได้นะถ้าไม่กลัวถูกตบ555รอตอนต่อไปนะคะขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
สนุกมาก  สมกับการรอคอย
ค่อยๆอ่าน จะอินหนักมาก

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
 :m3:    พี่ชายใหญ่ญญญญญญญญญ.…

ทำไมทรงพระเท่เบอร์นั้น!?

ความทรงมาด ความปากแข็ง คือดจีย์…    :m1:



ตอนแรกว่าจะเป็น แอนตี้-แฟน มุจลินทร์กัญญา

แต่พอเห็นนางสะบัดบ๊อบใส่วายุภัคกับพวก… มันเลิศแม่!


ว่าบาป วายุภัคก็แอบแซบนะ ชั้นชอบผู้ชายกักขฬะ    :o8:


นน-กลด คือบั่บ ไอ้ต้าววววววว….   :give2:



รอตอนต่อไปนะครับ    o1

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒

ทันที่ที่รัศมีสีเขียวเจือทองกลับมาถึง ทยุติธรที่ทรงนั่งรออยู่แล้วก็รีบประทับยืนขึ้นทันใด ครั้นพอรัศมีสลาย มุจลินทร์ก็ประทับยืนตรงเบื้องพระพักตร์ อัสสุชลถูกเช็ดออกจนหมดสิ้น อัสดงจึงตั้งใจถอยฉากออกมาพลัน ทิ้งให้ทั้งคู่ประทับอยู่ลำพังสองพระองค์

“อย่าลืมนะพะยะค่ะ ตามที่กระหม่อมบอก”

“ได้ผลแน่นะอัสดง”

จากที่เคยไม่ชอบหน้าสุดที่รักของพระอนุชา บัดนี้ ทุกอย่างแปรเปลี่ยนรวดเร็ว ด้วยเพราะคำแนะนำบางอย่างที่อัสดงทูลถวาย อัสดงเองก็ไม่รู้สึกหมั่นไส้เจ้าพี่ชายของสุดที่รักมาแต่อย่างใดอีก กลับเห็นใจมาเสียด้วยซ้ำ

“แน่สิพะยะค่ะ อย่าทรงรุนแรง ต้องทำอย่างนุ่มนวลเท่านั้น จำไว้” 

เมื่อทั้งสองประทับอยู่กันลำพัง ต่างฝ่ายต่างก็ยังเงียบงัน หากเป็นเมื่อก่อนทยุติธรคงชิงตรัสก่อนและคงจะตรัสด้วยความเอาแต่พระทัยว่า ‘หายไปไหนมา ทำไมคุยกันนาน’ หากตอนนี้ทรงเปลี่ยนรับสั่งใหม่หมดสิ้น

“ เรียบร้อยแล้วใช่ไหม ถ้ายังไม่เรียบร้อย เรายินดีรอ”

“เรียบร้อยแล้วเพคะ กลับบาดาลกันเถิด มานานแล้ว เดี๋ยวพระพันปีจะทรงเรียกหา”

มธุรสวาจาที่ผ่านเข้าพระกรรณจากเทวนาคาหนุ่มทำให้เทวนาคีสะคราญโฉมเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงกังวานใสตอบไปเช่นกัน คะแนนความดีที่ผู้ชายเอาแต่ใจ ถูกบวกให้อีกหนึ่งอย่างเงียบๆ

ในพระทัยของทยุติธร เริ่มอดใจไม่ไหว อยากจะดึงนางเข้ามากอดแล้วระดมจูบให้ทั่ว  เห็นที วันนี้ต้องตัดสินใจทำอย่างที่อัสดงแนะนำแล้ว

“ได้สิ งั้นเรา บอกสีทันดรก่อน”  ทยุติธรส่งกระแสจิตเรียกพระอนุชาพลัน เพียงชั่วแวบสีทันดรก็มาประทับยืนหน้าพระพักตร์

“พี่กับมุจลินทร์จะกลับแล้ว อยู่ที่นี่ดีๆล่ะ อย่าซน อย่าดื้อ อีกสามวันพี่จะมาใหม่ จะมาสอนโยคะศาสตร์ให้บอกพวกอัสดงเตรียมตัวให้พร้อม”

“พะยะค่ะ...ว่าแต่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม พี่ชาย ..มุจลินทร์”

“เรียบร้อยแล้วเพคะ หากมีโอกาสหม่อมฉันจะขึ้นมาเฝ้า”

“ทำไมต้องรอโอกาส อยากขึ้นมาหาสีทันดรเมื่อไรก็บอก เราไม่ห้าม แต่ถ้าเราว่างเราจะพาเจ้ามาเอง เรายินดี”

สีทันดรเห็นทีท่าพระเชษฐาก็ต้องอมยิ้ม พี่ชายทรงเงอะๆงะๆกับเขาก็เป็นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าอัสสะมาคุยยังไง แต่ผลที่ออกมาก็ดูน่าพอใจ “ตรัสแค่นี้ ทำไมต้องทรงเขินด้วยพะยะค่ะ แต่ไม่ต้องทรงห่วง มุจลินทร์เขามียาแก้เขิน”

“สีทันดร เดี๋ยวเหอะ” ทยุติธรอยากจะดึงพระอนุชาเข้ามา แล้วประทานมะเหงกให้สักที แต่ก็คว้าวรองค์ไว้ไม่ทัน ส่วนมุจลินทร์ก็ได้แต่ทูลเบาๆ

“ทูลหม่อมเล็ก”

“ไปดีกว่า เสด็จกลับดีๆล่ะ ....อ้อพี่ชาย หากอัสสะทูลอะไรห่ามๆก็อย่าไปทรงเชื่อมากนักนะพะยะค่ะ หากทรงบ้าจี้ทำตาม ถูกมุจลินทร์ตบมาไม่รู้ด้วย”

“สีทันดร!!!”

เจ้านาคน้อยหายวับไปด้วยความว่องไว ทยุติธรถึงกับส่ายพระพักตร์ในความร้ายกาจของพระอนุชา ที่รู้ไปเสียทุกเรื่อง แล้วทยุติธรก็ปรับพระพักตร์แทบไม่ทันเมื่อได้ยินคำถามว่า

“ทรงนินทาอะไรหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ”

“ปะ เปล่านี่ สีทันดรก็พูดไปอย่างนั้น อย่าไปสนในเลยกลับกันเหอะ”

มุจลินทร์มิอยากจะทรงเชื่ออะไรนักแต่ก็มิตรัสอะไรต่อ แล้วทั้งสองก็สลายกลายเป็นรัศมีสีเขียวเจือทองแรงกล้า โผนทะยานคู่ขนานฝ่าความมืดมิดเคียงคู่ไปด้วยกันทันที

ฝ่ายนลกุพรยังคงประทับนั่งที่ริมน้ำอยู่ที่เดิม มิยอมเคลื่อนย้ายไปไหน พระอัสสุชลยังแห้งเหือด ไปแล้ว สายพระเนตรทอดมองออกไปในความมืดมิด ครั้นเห็นรัศมีสีเขียวเจือทองลอยเคียงคู่ขนานกันไปลิบๆ จึงทรงลุกขึ้น ตั้งพระทัยเตรียมกลับบ้าง ‘ทรงรอให้เขาทั้งสอง’ กลับไปกันก่อน เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดพระเนตร ...ครั้นพอประทับยืนเต็มองค์ และเอี้ยวพระปฤษฎางค์ ก็ทรงพบว่า มีพี่เลี้ยงคนเดิมมารอรับอยู่แล้ว

“ทรงกลด เจ้ามาเมื่อไร ทำไม เราไม่รู้สึกตัว”

“เพิ่งมาถึง ฉันเห็นนายอยู่ในภวังค์ เลยยังไม่อยากเรียก ว่าแต่นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม นล”

“ทุกอย่างมันจบแล้วกลด มุจลินทร์มาบอกลาเรา เราไม่เหลือใครอีกแล้ว” นลกุพรที่สามารถสะกดพระอัสสุชลได้กลับปล่อยโฮมาอีกคำรบ โผเข้าหาทรงกลดทันที รัศมีเหลืองนวลจึงกำจายวาบช่วยผ่อนคลายพระหทัยที่บีบคั้นโดยพลัน

“ไม่จริงนล นายขาดมุจลินทร์ไป นายก็ยังเหลือเพื่อนๆดูแลนายอีกตั้งหลายคน ไม่ว่าจะเป็นน้องดื้อ หรืออัสดง และโดยเฉพาะ....ฉัน ที่ยินดีดูแลนาย นลกุพร” ทรงกลดใช้น้ำเสียงเย็นระเรื่ออย่างที่ใช้ประจำ หากทว่าท้ายประโยคเมื่อครู่ไยเผลอสอดความรู้สึกพิเศษซ่อนไปด้วย และเจ้ายักษ์ก็ยังไม่รู้ตัว

“ เรากลับบ้านพักกันเถอะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่นายจะร้องไห้ ฉะนั้นจงร้องมาเสียให้พอ พรุ่งนี้อย่าให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของนายมาอีกเป็นอันขาด”

สิ้นคำของทรงกลด รัศมีเหลืองนวลก็กำจายชักนำรัศมีสีแดงโกเมนเหิรทะยานสู่บ้านพักริมน้ำ นลกุพรพยายามกลั้นน้ำตาอีกครั้ง และสติค่อยกลับคืน จนได้ทบทวนคำพูดของทรงกลดเมื่อครู่ ที่ตนเริ่มไม่แจ่มชัดและมิเข้าพระทัยความนัยนัก

‘ที่ว่ายินดีดูแลนั้น ..เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ทรงกลด’

รัศมีสีเขียวเจือทองพุ่งเป็นแสงโชตินาการเจิดจ้าที่เคยคู่ขนาน เริ่มตีวงแคบเข้ามาคลอเคลียใกล้ชิดรัศมีสีเขียวของเทวนาคีที่อยู่ภายในอีกชั้นซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่ทางกลับบาดาล ทยุติธรทรงจ้องพระเนตรมองพระวรกายงามระหงที่กำลังเหิรลอย พระหทัยเริ่มเต้นแรง......เอาล่ะ ถึงเวลาทำตามสิ่งที่พระทัยปรารถนาแล้ว

ทุกอย่างรวดเร็วดุจพายุพัด ก่อนที่รัศมีแห่งมุจลินทร์กัญญาจะพุ่งลงไปยังลำน้ำ ทยุติธรกลับทรงใช้อำนาจบังคับทิศทางให้อีกฝ่ายหนึ่งหันเห จากการที่คลอเคลียธรรมดากลายเป็นตระกองกอดทันใด

“ไปเที่ยวกันไหม เรายังไม่อยากกลับบาดาล”
 
“จะพาหม่อมฉันไปไหน ”

ฤทธิ์สุราที่เสวย เริ่มสำแดงผล วิธีการของอัสดงที่ทูลถวายถูกนำมาใช้ทันใด จากเมื่อครู่ทรงเป็นนักรบยามปะทะกับวายุภัค ทรงเป็นสุภาพบุรุษยามประทานอนุญาตให้ไปกับนล ยามนี้ทรงกลายเป็นนักรักที่เปี่ยมไปด้วยสิเน่หาท่วมท้นได้อย่างไรกัน ทยุติธรผู้สดับแต่ทฤษฎี หากมิได้เคยลองปฏิบัติ ทรงลืมไปแล้วถึงคำว่า......... ‘นุ่มนวล’

 แล้วรัศมีสองรัศมีกลายเป็นสีเขียวเดียวกันเจิดจ้ายิ่งกว่าของนาคาใดๆ ภายในคือวงแขนแข็งแรงที่โอบกอดพระวรกายงามระหงแน่น ประตูลงสู่บาดาลถูกหมางเมิน มุจลินทร์พยายามขัดขืนแต่ไฉนเลยจะสู้ เดชะจากคนสวมกอด

“ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันจะกลับบาดาล”

“บอกแล้วไงจะพาไปเที่ยว ทำไมต้องปล่อย นานๆเราจะมีโอกาสอย่างนี้เสียที เราปล่อยเราก็โง่แหละ” พระอุปนิสัยยามตรัสที่ชอบทรงตั้งคำถาม ทำให้คนฟังไม่สบพระทัยทุกครั้ง ที่ห่างหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง

ริมโอษฐ์แดงสีสดเริ่มโลดไล่คลอเคลีย บริเวณพระปรางและพระศอของมุจลินทร์ ซึ่งพยายามหลบเลี่ยงแต่มีฤาจะสู้แรงทยุติธรได้

“เหอะน่า จะพาไปเที่ยว ก่อนกลับบ้านของเรา”

ครานี้ทรงทอดเสียงอ่อนลง และด้วยเทวฤทธิ์หนทางจะพาไปเที่ยวนั้น กลับใช้เวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ แล้วทั้งสองพระองค์ก็เสด็จถึง ณ ภายใต้ร่มสาละใหญ่ริมอโนดาต ทยุติธรยังทรงรัดมุจลินทร์ไว้มั่น และพระนางก็ยังคงขัดขืน ถึงเวลาที่ความในใจที่มีต้องถูกถ่ายทอด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป การอภิเษกนั้นเป็นไปเพราะรักชักนำ มิใช่เพราะหน้าที่

“เมื่อเจ้าคุยกับนลแล้ว ถึงเวลาที่เราจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวบ้าง”

แต่วิธีคุยของเทวนาคาหนุ่มน้อยแทนที่จะทรงคุยอย่างปกติ กลับทรงใช้วิธีคุยวิธีเดียวกับอัสดงเวลาคุยกับสีทันดรมาเสียนี่ พระวรกายของมุจลินทร์ถูกดันเข้ากับโคนต้นสาละใหญ่ พระโอษฐ์ปิดสนิทแน่นลงไปทันใด

มุจลินทร์เมื่อทรงถูกทำเช่นนี้ เทวฤทธิ์ก็คล้ายจะเลือนหาย สิ่งที่ทรงทำได้เป็นการป้องกันจากการโดนรังแกตามสัญชาติญาณของอิตถีเพศทั่วไปกระทำคือ ใช้ปลายพระนขาทั้งหยิกทั้งข่วน บริเวณต้นพระพาหา แต่คนที่กำลังรังแกกลับมิทรงสะทกสะท้านอันใด ทรงดำเนินบทนักรักต่อไปไม่หยุดยั้ง จวบจนมุจลินทร์ทรงหยุดเอง และประทับแน่นิ่ง พระอัสสุชลไหลพราก คะแนนความดีที่บวกให้ทั้งหมดเหลือศูนย์

“จูบแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ เพราะเป็นเรา ไม่ใช่ไอ้นลใช่ไหม”

เอาอีกแล้วทยุติธรทรงตรัสแบบนี้อีกแล้ว ผู้หญิงที่ไหนเล่าจะอยากคุยด้วย มุจลินทร์มิทรงตอบอันใด สะอื้นหนัก พระเกียรติยศโดนย่ำยี  ทยุติธรเริ่มทรงพะวักพะวน ทำไรมิถูก ในพระทัยเริ่มบริภาษด่าพระอาจารย์ผู้ถวายบทเรียนการเจรจาให้

'ไอ้อัสดง ไหนว่าได้ผลไง'

“ทรงเป็นบ้าอะไรเพคะ”

แม้พระอนุชาจอมดื้อจะทรงเตือนมาแล้ว ให้คุยกันดีๆ อย่าใช้วิธีห่ามๆแบบอัสดงแต่กลับมิทรงเชื่อ ด้วยความที่ทรงโปรดการรบคลุกคลีอยู่แต่กับทหารราชองครักษ์ตั้งแต่เยาว์ชันษา จึงมิทรงรู้ว่า ‘ความนุ่มนวล’ ที่ทรงลืมไปนั้นต้องทำอย่างไร 

“ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นเมียยักษ์นัก งั้นเราจะพาเจ้าคืนบาดาล ไปเข้าเฝ้าสมเด็จแม่ด้วยกัน ให้ยกเลิกงานอภิเษกทั้งหมด แล้วเอาเจ้าไปส่งยังวิมานท้าวเวสสุวัณในฐานะพระสุณิสา พอใจหรือยัง”

มุจลินทร์สุดจะสะกดกลั้น จึงดันพระวรกายทยุติธรออกสุดพละกำลัง แล้วสะบัดปลายพระหัตถ์กระทบพระพักตร์ดังสนั่นแรงตบทำให้แสบๆคันๆและชาที่ผิวพระพักตร์จริง แต่ไยกลับมีอำนาจทำให้ซ่าลงไปยังขั้วพระทัย หากเป็นสตรีอื่นคงมิแคล้วโดนลงพระอาญาหนัก แต่นี่เป็นมุจลินทร์ โทษของพระนางสถานเดียวคือ จูบที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

แม้นปลายนิ้วเจ้าสะบัดโดนหน้าพี่    แต่ใจนี้หาชาตามหน้าไม่
กลับซาบซ่านคันระยับที่หัวใจ   จงตบพี่ให้สมใจเถิดแก้วตา

พระโอษฐ์แห่งเทวนาคาหนุ่มน้อยประทับลงแน่นสนิทอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดพระวรกายเพราะทรงรู้สึกได้ถึงรอยคมที่กรีดลงบนต้นพระพาหา พระหัตถ์รีบปล่อยพระวรกายแน่งน้อยพลัน แล้วรีบนำมาห้ามพระโลหิตพร้อมกับเบี่ยงพระวรกายออกทันที

“โอ๊ย”

กริชที่เสกขึ้นด้วยเทวฤทธิ์ ตกลงจากหัตถ์ที่งามดั่งเทียนขี้ผึ้ง พระสติกลับคืน ริมโอษฐ์สั่นพร่า ยามเห็นทยุติธรทรุดลง “ฝ่าบาท”

มุจลินทร์ถลันเข้ามาดูบาดแผลที่ฝากไว้แทนแรงตบ ทยุติธรเริ่มมีรอยรื้นแห่งพระอัสสุชล พระสุรเสียงสั่นพร่ามิแพ้กัน อยากจะจับความได้ว่า ‘น้อยพระทัย’ หรือ ‘เสียพระทัย’

“เจ้าคงเกลียดเรามากเลยสินะมุจลินทร์”

“อย่าเพิ่งตรัสอะไร ขอหม่อมฉันดูบาดแผลหน่อย”

“ไม่ต้องแผลแค่นี้ไม่ทำให้เราถึงตายหรอก แต่สิ่งที่จะฆ่าให้เราถึงตายก็คือใจของเจ้ามุจลินทร์”

“ทรงเลิกตรัสแบบนี้เสียที” มุจลินทร์มิสนพระทัยว่าเขาพระองค์นี้ จะตรัสพ้ออย่างไรสิ่งสำคัญคือเข้าไปช่วยดูบาดแผล แต่คนเจ็บก็ยังมิยอมหยุด หนำซ้ำยังหยิบกริชที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมายื่นส่งให้

“เอาสิ รอช้าอยู่ทำไม ฆ่าเราให้ตายเสียตรงนี้ เจ้าจะได้หมดพันธะเจ้าจะได้หมดพันธะที่จะต้องแต่งงานกับเรา แทงเราตรงกลางหัวใจนี่แล้วเจ้าจะได้เห็นว่า หัวใจของเรามิได้มีคำว่าหน้าที่ และความเหมาะสมอย่างที่เจ้าเข้าใจ มันมีแต่คำว่ารักเท่านั้น” ทยุติธรทรงหยุดเว้นวรรคเพื่อกลืนพระเขฬะ แล้วทรงกล่าวต่อด้วยพระสุรเสียงที่จับได้แล้วว่าน้อยพระทัย

“เราอุตส่าห์ตั้งใจพาเจ้ามาที่นี่ เพื่อมาคุย มาบอกความในใจทั้งหมด ความในใจ ของเราที่มีเต็มหัวใจว่า เราจะมีแต่ความจงรักและภักดี อย่างมิมีใครเทียมเท่า นับตั้งแต่วันแรกที่เจอ หัวใจของเราได้วางไว้แทบเบื้องบาทของเจ้าจากครั้งเยาว์วัย ตราบจนกระทั่งวันนี้”

“ฝ่าบาท”

“เราก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีหญิงสาวสุดที่รักคนหนึ่งสุดหัวใจ รักโดยไม่มีหน้าที่และฐานันดรศักดิ์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ณ ที่นี้เราเป็นเพียงแค่ทยุติธร มิใช่เทวนาคาและโอรสาองค์โต ทยุติธรผู้มีใจรักมั่นคง ทยุติธรผู้ขาดเขลา ไม่กล้าที่จะบอกและสารภาพว่ารักเจ้ามานานแล้วมุจลินทร์”

จากที่ไม่กล้าบอก ทยุติธรกลับบอกมาเสียหมดหัวใจ เป็นเพราะความเจ็บหรือความน้อยพระทัยที่ทำให้ทรงกล้าก็มิทราบได้

“ทำไมถึงไม่ทรงกล้าล่ะเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าเรื่องอื่นทรงกล้าไปเสียแทบทุกเรื่อง” มุจลินทร์ตรัสตอบและถือโอกาสเข้ามาดูบาดแผลโดยยังมิยอมสบพระพักตร์ด้วย โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกมาก พระโลหิตถูกห้ามด้วยทันท่วงที สไบหอมกรุ่นถูกนำมาใช้ต่างผ้าพันแผล  เหลือแต่พระภูษาเคียนพระอุระที่งามราวปทุมสวรรค์

“ยกเว้นเรื่องของหัวใจ เพราะเรากลัวว่าคำตอบที่ได้ มันอาจทำให้เราใจสลาย เราอาจจะเอาแต่ใจตัวเอง และเอาใจใครโดยเฉพาะผู้หญิงไม่เป็น แต่เราสาบานได้ว่า สิ่งที่เราทำกับเจ้าทั้งหมดนั้น มันคือความต้องการของหัวใจเราอย่างที่จริง”

จากพระโทสะชิงชังจนใช้เทวฤทธิ์ทำร้าย กลับมีอาการวาบพระทัยแผ่ซ่าน รัศมีสีชมพูกุหลาบกระจายเป็นวงกว้างจากชายที่คุกพระชงฆ์อยู่ตรงหน้า เสียงทิพยดนตรีเสนาะดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งผ่านเข้าพระโสต แต่จะมีความหมายอันใดเท่ากับสุรเสียงก้องกังวานของทยุติธรในเวลานี้ มุจลินทร์เริ่มปฏิเสธองค์เองไม่ได้แล้วว่า พระหทัยก็สั่นไหวระรัวเช่นกัน ...แล้วจู่ๆ ภาพของนลกุพรก็ปรากฏ ทำให้ทรงคำนึงได้ว่า ตรัสบอกกับนลกุพรว่าอย่างไร 

ในความคิดอันสับสนนั้น การแผ่กำจายของรัศมีสีกุหลาบยังคงเพิ่มขึ้น ความคิดอีกกระแสแทรกเข้ามาทำลายภาพของนลกุพรกระจัดกระจาย ‘เขารักเรา มิได้ทำด้วยหน้าที่อย่างที่เราเข้าใจ’ มุจลินทร์ไม่แน่พระทัยว่าทรงรู้สึกอย่างไรกันแน่ หากที่ทรงอยากรู้คือ สิ่งที่ทยุติธรบอกจะทรงมั่นใจได้เพียงไรว่าเขาตรัสจริง

แม้นชายใดใจประสงค์มาหลงรัก
ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น
อันความรักของชายนั้นหลายชั้น
เขาว่ารักรักนั้นประการใด

จงพินิศพิศดูให้รู้แน่
อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล
เปรียบเสมือนปริศนาอย่าไว้ใจ
มันมักใหญ่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง*

“หม่อมฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าทุกอย่างที่ตรัสเป็นความจริง” มุจลินทร์เปรยกับองค์เองในพระทัย พระเนตรคู่งามหลบหลีกพระเนตรฟ้าครามแรงกล้า ความรู้สึกวาบที่หทัยแผ่ซ่านเป็นระยะเรื่อยขึ้นสู่พระพักตร์จนเป็นสีแดงระเรื่อ รัศมีสีชมพูกุหลาบเข้มข้นเจือฟ้าครามขาบน้ำเงินสดใสตลบอบอวล เทวะทุกพระองค์ย่อมรู้ดี รัศมีจะแสดงความรู้สึก ปกปิดมิได้ หากสีกุหลาบบ่งบอกถึงความรักสิเน่หา แล้วสีฟ้าครามขาบน้ำเงินสดใสเล่าจะแสดงถึงอะไร ถ้าไม่ใช่ ‘ความหนักแน่นมั่นคง’

มุจลินทร์ไม่ใช่ไม่ทรงทราบ...แต่บัดนี้เวลานี้ นลกุพรยังเป็นภาพที่ติดในพระทัยยากจะลืมเลือน

ทยุติธรเองเหมือนจะทรงทราบความในพระทัย ‘ที่แท้ เจ้าก็ไม่มั่นใจนี่เอง’ วงแขนแข็งแรงที่เคยปล่อย จึงเริ่มทำงานนุ่มนวลกว่าเดิม อาการเจ็บแปลบที่ต้นพระพาหามลายหาย ทยุติธรอาศัยช่วงที่มุจลินทร์นิ่งงันโอบบั้นพระองค์เข้ามาช้าๆ จนพระวรกายงามระหงปานรูปสลักแนบชิดติดพระอุระ พระนลาฏถูกคลอเคลียด้วยริมโอษฐ์แดงสดยิ่งกว่ากลีบกุหลาบใดๆ

มุจลินทร์ทำองค์ไม่ถูกแต่ไม่ขัดขืนอีกต่อไป พระกรคู่งามทั้งสองข้าง โอบตอบพระปฤษฎางค์เทวนาคาหนุ่ม รอยแย้มสรวลกว้างผลุดขึ้นทันใด มุจลินทร์ทรงทราบแล้วว่าคนเอาแต่ใจพระองค์นี้ตรัสจริงหากอารมณ์ซับซ้อนยากแก่การเข้าใจตามธรรมชาติของอิตถีเพศทำให้ต้องทรงทูลถามย้ำ

“ทุกอย่างคือความจริง ฤาทรงหลอกเล่น หม่อมฉันจะแน่ใจได้อย่างไร”

“เราไม่เคยสาบาน เพราะศักดิ์แห่งโอรสาและราชนัดดาแห่งบาดาลย่อมเหนือคำพูดใดๆ ทว่าวันนี้ มุจลินทร์กัญญาจงสดับไว้ ทยุติธรขอสาบานว่าทั้งชีวิตจะมีแต่มุจลินทร์พระองค์เดียว”

ไม่มี ‘เจ้า’ ไม่มี ‘เรา’ ไม่มี ‘หม่อมฉัน’ ไม่มี ‘ฝ่าบาท’ สรรพนามทั้งมวลถูกแทนมาด้วยพระนามโดยไม่เกี่ยวข้องกับอิสริยยศ ณ เวลานี้ จะมีเพียง ‘ทยุติธรและมุจลินทร์’ ความประภัสสรแห่งหฤทัยฉายชัดแล้วและมุจลินทร์ก็หมดสิ้นข้อกังขา

“แม้วันนี้มุจลินทร์จะมิได้เอ่ยว่ารักตอบ หากทรงประทานเวลา มุจลินทร์ขอสาบานว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมีแต่ทยุติธรเพียงพระองค์เดียวและจะดำรงศักตินางแก้วคู่พระทัยมิให้มัวหมอง ให้สมพระนามทยุติธรที่แปลว่าผู้ทรงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่เรืองรอง ทยุติธรจะรอได้ไหม”

“ต่อให้รอจนพระศรีอารย์เสด็จ ทยุติธรก็จะรอ”

“ขอบพระทัยเพคะ ทรงรู้ไว้เถิดว่า หัวใจทั้งสี่ห้องของหม่อมฉัน บัดนี้เกือบครึ่งหนึ่งเริ่มเป็นของทยุติธรแล้ว”

“ยอดรัก จงจำไว้ว่า เพียงแค่เกือบครึ่งหนึ่งทยุติธรก็ยินดี แต่อยากให้มุจลินทร์รู้ไว้ว่า ทยุติธรมีมุจลินทร์ในหัวใจทั้งสี่ห้องนานแล้ว” สุรเสียงเอาแต่พระทัยเลือนหาย ความอ่อนโยนที่มิมีผู้ใดเคยเห็น นอกจะพระมารดาและพระอนุชา กลับมีนางอันเป็นที่รักเพิ่มเข้ามา ริมโอษฐ์ประทับกลางนลาฏอีกครั้งแผ่วเบาดุจปุยนุ่น ....นี่แหละวิธีที่อัสดงพร่ำบอก และทยุติธรก็เพิ่งทรงทำได้ เพิ่งเข้าพระทัย

“มุจลินทร์จะไม่ขอจำ เพราะจำย่อมมีวันลืม หากจะบอกทยุติธรว่ามุจลินทร์รู้ เพราะรู้แล้วจะไม่มีวันลืม ทยุติธรจะฉายฉานเรืองรองในใจตลอดไป...เพียงแค่...รอเท่านั้น”

รัศมีทิพยาสอดประสานทิพยทำนองก้องกังวานทั่วอโนดาต พระพายพัดโบกตฤณชาติงามหลากสีลอยอวล ทิพยภพที่งามอยู่แล้วกลับงามยิ่งขึ้นไปอีกด้วยเพราะรักพิศุทธิ์อุบัติ ความสมดุลแห่งพลังทางบาดาลเติมเต็มไร้ช่องโหว่ ทวยเทพน้อยใหญ่ประนมกรยินดีน้อมสักการะ

“ไชโย ทรงพระเจริญ”

หากเป็นมนุษย์ชายธรรมดาหรืออย่างวัยรุ่นสมัยนี้ ทยุติธรคงชูพระหัตถ์กำแน่นแล้วคงร้อง ‘เยส’ ออกมาดังๆ ทว่าทรงกลับกอดมุจลินทร์แน่นกว่าเดิมและมุจลินทร์ก็ทรงปล่อยพระองค์อยู่ในอ้อมกอดนั้น รอยแย้มโอษฐ์กว้างอย่างไม่เคยทรงเป็น  วันนี้ต่างองค์ต่างทรงรู้พระทัยกันแล้ว .....รอเพียงแค่เวลาเท่านั้น ที่สี่ห้องพระทัยจะมีแต่ทยุติธร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2019 08:35:52 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
วงเหล้ากว่าจะเลิกได้ก็ปาไปเกือบหลังเที่ยงคืน อณูน้อยทั้งหลายต่างสังสรรค์กันเต็มที่โดยเฉพาะเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วนลกุพรที่กระดกแล้วกระดกอีก จนคนที่จัดว่าคอแข็งอย่างน้ำเชี่ยวยังอึ้ง

“มันนึกว่าเป็นน้ำเปล่าหรือไงวะ บอกไว้ก่อนนะโว้ย ถ้าเมาเหมือนหมา กลับบ้านพักไม่ได้ มึงพยุงไปเองคนเดียวแล้วกันไอ้กลด”

และก็เป็นจริงอย่างที่น้ำเชี่ยวบอก เพราะทรงกลดต้องแบกร่างหนักอึ้งมาคนเดียว ในเมื่อรับปากว่าจะดูแลแล้วก็ต้องดูแลให้ถึงที่สุด โชคยังดีที่นลกุพรยังพอมีสติหลงเหลือบ้าง จึงพอที่จะโซซัดโซเซกลับมากันได้แต่ทุลักทุเลพอสมควร

“นอนซะนล นายเมามากแล้ว” วรกายหนาหนักถูกประคองลงบนเตียง แต่ด้วยความที่แรงนลนั้นมหาศาลการทิ้งตัวลงอย่างรวดเร็ววงแขนกำยำที่กอดคอทรงกลดจึงดึงเขาร่วงลงมาด้วย

“เฮ้ย”

อย่างมิทันได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น ทรงกลดร้องได้เพียงแค่นั้น และก็ร้องไม่ออก เพราะเมื่อตนร่วงลงมาทับพระอุระกว้าง เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วก็ดันเบี่ยงวรองค์ก่ายทับทันที ฤทธิ์เหล้า....สามารถทำให้อารมณ์สิเน่หาบังเกิด กับเจ้ายักษ์นี่หรือไร ฤานลจะแค่เมาเฉยๆ

“นลเราหายใจไม่ออก อย่าทับฉันสิวะ ลุกก่อนนล” ทรงกลดทั้งร้องทั้งดันแต่ก็ไม่เป็นผล นลกุพรทั้งทับทั้งก่ายใช้ร่างของทรงกลดต่างหมอนข้าง คงไม่ใช่แค่เมาอย่างเดียวแล้วล่ะ

“หอมดอกมะลิ ...ทรงกลด เจ้าหอมเหมือนดอกมะลิ” สุรเสียงอ้อแอ้ตรัสไม่ได้ศัพท์เท่าไรนัก

ถ้าตรัสอย่างเดียวก็ไม่เท่าไรนักหรอก แต่ลมหายใจร้อนผ่าวที่เจือด้วยกลิ่นเหล้านี้สิ ทำให้ทรงกลดร้อนไปจนถึงปลายเท้า บรรยากาศที่หนาวเหน็บคุกรุ่นด้วยไอร้อนบางอย่างฉับพลัน อณูน้อยแห่งจันทรเทพเริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะนลกุพรไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น ปลายพระนาสิก ซบอยู่ตรงซอกคอ แถมริมโอษฐ์ยังประกบลงมาอีกด้วย เหลือแต่ยังไม่ได้ซุกไซ้คลอเคลียเท่านั้น ตามธรรมชาติความร้อนเร่า ควรจะหลอมละลายทุกสิ่ง แต่บัดนี้ไม่ใช่ ไอร้อนนั้นกลับทำให้อะไรบางอย่างแข็งตัวอย่างรวดเร็ว พอๆกับคนที่กำลังกอดก็มีความรู้สึกเดียวกัน เพราะแขนของเจ้าอณูน้อยที่กำลังถูกเจ้ายักษ์รัดแน่น เริ่มสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงของอวัยวะกลางลำตัวเจ้ายักษ์น้อยเช่นกัน

แม้เทวะเองหากยังไม่ใช้พรหมชั้นสูง ความต้องการในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็มีเสมอเหมือนมนุษย์ปุถุชน หากจะลดน้อยลง แต่สำหรับเขาไม่ใช่ เชื้อไฟสวาทที่เคยเกือบจะมอดที่สวนปารุสกวัณ ยังคงมีอยู่ และบัดนี้ก็ถูกกระพือให้สว่างวาบ ด้วยแรงร้อนผ่าวแห่งลมหายพระทัย แลรุ่งโรจน์จนถึงขีดสุดเมื่อเขาพระองค์นั้นเห็นตนเป็นตน ตรัสเรียกชื่อ ‘ทรงกลด’ มิใช่ ‘มุจลินทร์’

จะทำอย่างไรดีเล่า ทางเลือกมีอยู่ให้สองทาง จะปล่อยให้เป็น อย่างนี้ต่อไป....หรือจะหายตัวออกมาจากอ้อมกอด เพื่อยุติเพราะการจะ ‘มีอะไรนั้น’ ควรมิใช่เหตุแห่งสุราเป็นตัวชักนำ ลมหายใจเฮือกใหญ่จึงถูกทอดถอน ก่อนที่ร่างแห่งอณูน้อยจะกลายเป็นรัศมีเหลืองนวลพุ่งออกมาสว่างวาบอยู่ปลายเตียง

“หักใจเสียดีกว่า หน้าที่ผู้ดูแล ไม่ควรเกินเลยกว่านี้”

อาการหายใจโล่งบังเกิดเมื่อไม่ได้ถูกกอดรัด แต่ไยดันมีอาการเจ็บจี๊ดที่หัวใจดั่งถูกเข็มเล่มน้อยสะกิดบังเกิดด้วย ฤาเพราะเมื่อหลุดออกมา นลกุพรก็นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น มิไขว่คว้า ใฝ่หาหมอนข้างที่มี ‘หัวใจ’ อีกต่อไป

“หลับให้สบายนะนล พรุ่งนี้เช้าเจอกัน”

น้ำเสียงนุ่ม เย็น ทว่าเจือรอยโศกกล่าวขึ้น พร้อมกับขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีที่ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ได้เห็นก็ต้องชื่นชมทุกคนกระพริบช้าๆ ไอรื้นบางอย่างเริ่มเจือระเรื่อแต่ก็ถูกสกัดไว้ได้ทัน ผ้านวมผืนหนาเพียงผืนเดียวที่ถูกจัดไว้ ถูกคลี่คลุมทับพระวรกายสหายเขี้ยวแก้ว สหายที่เขารับปากน้องดื้อว่าจะช่วยดูแลอย่างดี และเริ่มปฏิเสธใจตนเองไม่ได้แล้วว่า สหายใหม่คนนี้นั้น เริ่มเข้ามามีบทบาททางหัวใจ นับตั้งแต่ ‘จูบแรก’ ได้อุบัติ แม้ครั้งนั้นเขาจะเห็นตนเป็นคนอื่นก็ตาม

ภายใต้แสงสลัวจากโคมไฟหน้าบ้านพักผสานแสงจันทร์สีนวลทอสอดส่องทะลุม่านฉลุลูกไม้ขาวพลิ้วไหวต้องแรงลมเย็นยะเยียบยามดึก ค่อยๆปลุกคนที่สลบไสลตั้งแต่หัวค่ำลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ครั้นพอม่านตาเคยเชยกับแสง เจ้าตัวก็มองเห็นใครบางคนฟุบหลับอยู่ข้างเตียง แสงตกกระทบสีเหลืองผสมส้มอ่อนไล่ริ้วเป็นเงาทำให้สีผิวของเขาคนนั้นงามวับจับตา

“ฉัตร....ทำไมมานอนตรงนี้ หรือเขาเฝ้าเราโดยตลอด”

ความทรงจำเริ่มถูกทบทวน ตนจำได้ว่า ภาพครั้งสุดท้ายที่ปรากฏแก่สายตา คือแสงสว่างจ้าวิ่งเข้ามาหาตน พร้อมๆกับแสงอะไรบางอย่างพุ่งออกจากร่างกาย หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ มืดสนิท ตระการตารู้สึกว่า ตนอยู่ในที่ใดสักที่ที่อึดอัดลักษณะคล้ายเป็นอุโมงค์ดำกว้างใหญ่ ฤานี่คือ ความรู้สึกของผู้มรณากาลที่กำลังจะก้าวดิ่งลงสู่อเวจี ทุกอย่างเคว้งคว้าง จิตใจเริ่มมัวหมองเขาคงตายแล้วใช่ไหม ร่างบางเบาในขณะนั้นยังคงล่องลอยไปไร้จุดหมายจวบจนพบกับแสงสว่างสลัวๆปลายอุโมงค์ ทว่าเสียงใครบางคนที่คุ้นหูกลับดังขึ้นพร้อมๆกับแสงสว่างจุดเล็กๆระยิบระยับอีกด้านหนึ่งที่แหวกความมืดมิดเข้ามา แสงนั้นสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมเป็นงามพร้อม คราแรกคิดว่าคงเป็นยมทูต แต่ดวงหน้าที่ยิ้มทอดละไมนั้น ไม่ใช่ กลับเป็นดวงหน้าที่ตนเคยคุ้น ซึ่งจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก ‘คันฉัตร’

“อย่าไปทางนั้น ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”

“ฉัตร นี่ตาอยู่ที่ไหน ตาตายแล้วใช่ไหม”

“เราไม่ใช่คันฉัตร และคันฉัตรก็ไม่ใช่เรา หากจะพูดให้ถูก คันฉัตรมาจากส่วนหนึ่งของเรามากกว่า”

“ตาไม่เข้าใจ ฉัตรพูดอะไร”

บุรุษที่ถูกเรียกว่าคันฉัตรไม่กล่าวตอบอันใดอีก สะบัดมือเพียงน้อย ตระการตาก็รู้สึกว่าร่างของตนเบาหวิวลอยละล่องขึ้นมานั่งอยู่บนพรมหนานุ่มขนละเอียดสีทอง หากมองชัดๆ ก็ต้องตกใจ เพราะเส้นขนที่คิดว่าเป็นพรม แท้จริงคือเขานั่งอยู่บนหลังเสือโคร่งตัวใหญ่ ที่ขนงามยิ่งกว่าเสือตัวใดๆ คนที่บอกว่าไม่ใช่คันฉัตรนั่งซ้อนอยู่ทางด้านหลัง ดวงหน้ายังยิ้มระเรื่อ และเป็นวิธียิ้มแบบเดียวกับคันฉัตร แล้วทำไมยังถึงบอกว่าไม่ใช่คันฉัตรอีก

“นี่มันฉัตรชัดๆ”

“นึกดูดีๆ....ไปกันเถิด คันฉัตร รอเจ้าอยู่นานแล้ว เราจะพาเจ้าไปส่ง หน้าที่ของเจ้ายังมีต้องทำและต้องช่วยคันฉัตรอีกเยอะ”

แล้วภาพทุกอย่างก็พร่ามัว อุโมงค์สีดำบิดเบี้ยวคืนรูปสู่แสงสว่างโชตินาการ ร่างของเขาคนนั้นงามขึ้นอย่างไม่ต้องหันไปมองก็รู้ จริงอย่างที่เขาว่า เขาคงไม่ใช่คันฉัตร ถึงคันฉัตรจะหล่อและเสมือนมีอำนาจพิเศษในตัว แต่ก็ไม่ได้หล่อแบบเอื้อมไม่ถึงอย่างเขาคนนี้ อีกอย่างคันฉัตรคงไม่มีทางนั่งบนหลังเสือ.....เขาไม่ใช่เทวรูปนี่ เอ....หรือว่าเขา จะเป็น...

“นึกออกแล้วใช่ไหม กลับไปได้แล้ว อย่าให้อณูเราเป็นห่วง”

“พระเสาร์!! ท่านคือพระเสาร์”

แสงสว่าง สว่างจ้าขึ้นอีกคำรบแล้วทุกอย่างก็สลาย นั่นแหละตนจึงได้รู้สึกตัว “นี่เราฝันไป ...ทำไมมันเหมือนจริง”

ตระการตาค่อยๆลุกจากเตียงหนานุ่มช้าๆ เดินออกมาหน้าบ้านพัก ทำเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวจะรบกวนคันฉัตร ลมยามดึกที่ใกล้จะถึงเวลาเช้ามืดเย็นยะเยียบยิ่งกว่าความเย็นใดๆ ถ้อยคำในความฝันถูกทบทวนซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ

“เป็นไปไม่ได้ เราคงฝันเลอะเทอะ”

หากแต่อำนาจพิเศษบางอย่างที่ตนเองก็รู้สึกได้ ยามอยู่ใกล้ จึงไม่สามารถให้คิดเป็นอย่างอื่น “เขาไม่ใช่คันฉัตร และคันฉัตรก็ไม่ใช่เขา แล้วทำไมจึงเหมือนกันยิ่งนัก”

“เคยได้ยินคำว่าอวตารหรือแบ่งภาคไหม”

เสียงก้องกังวานทำให้ตระการตาที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งเฮือก กลิ่นหอมประหลาดที่เคยบอกว่าเหมือนกำยานจากคนที่ตัวสูงกว่าลอยมาเตะจมูกทันที่ที่หันหน้ามาพบ

“ทำไมแอบออกมาเงียบๆล่ะตา ทำไมตื่นแล้วไม่ปลุก”

“ฉะ ฉัตร” คราวนี้คงเป็นคันฉัตรจริงๆ ไม่ใช่คนที่เหมือนคันฉัตรอย่างในฝัน “ ตื่นตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็เมื่อกี้ แอบออกมาเงียบๆแบบนี้ มาหาไอ้ฉายเหรอ ฉัตรอุตส่าห์เป็นห่วงกลับออกมาหาคนอื่นเสียนี่” คันฉัตรรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าตระการตาคิดอะไรอยู่ แต่การแอบออกมาทำให้อารมณ์หรือตะกอนบางอย่างในหัวใจพวยพุ่งจนอดพูดออกไปไม่ได้

“มะ..ไม่ใช่นะ จะไปหาเขาทำไม ตาออกมาเดินเล่น”  ตระการตาแย้งขึ้นรวดเร็วจนลิ้นพันระรัว ทำไมหนอจึงกลัวว่าคันฉัตรจะเข้าใจผิดด้วยก็ไม่รู้

“เดินเล่นตอนตีสามครึ่งเนี่ยนะตา”

“ก็ตาตื่นแล้วนอนต่อไม่หลับ แถมยังฝันแปลกๆ” ดวงตากลมใส ไม่มีแววพิรุธใดๆ ทำให้คนตัวเตี้ยกว่า น่ามอง ดูไร้มารยา สมชื่อ ตระการตา

“ฝันถึงฉัตรไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่ ถ้าฝันถึงฉายสิแปลก”

คำถามนี้เล่นเอาตระการตาแปลกใจ คันฉัตรรู้ได้ไงว่าตนฝันถึงใคร และในความแปลกใจก็มีความไม่พอใจอยู่นิดๆ ที่เขาคนนี้ชอบพาวกไปหาคืนฉาย ใบหน้าที่เคยยิ้มจึงตูมลง ดวงตากลมแป๋วเริ่มฉายแววไม่สบอารมณ์ และคันฉัตรก็รู้ว่าตูมลงเพราะอะไร

“อย่าทำร้ายตาด้วยคำพูดอย่างนี้อีกนะฉัตร ตาลืมฉายได้เกือบหมดแล้วเชียว อย่าพาฉายเข้ามาอีก” ตระการตาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คันฉัตรที่เผลอปากไป รู้สึกผิด อยากเอามือตบปากตัวเองสักร้อยทีพันที โทษฐานที่ปากเสีย แต่ตอนนี้คนที่มือใหญ่อย่างเขาทำได้มากที่สุดแค่เพียงเข้ามากุมมือที่เล็กกว่าแนบแน่น

“ฉัตรขอโทษ....ฉัตรจะไม่พูดถึงไอ้ฉายอีก”

 “ช่างเถอะ แล้วฉัตรรู้ได้อย่างไร ว่าตาฝันถึงใคร แล้วอวตารกับแบ่งภาคมันคืออะไร”

“จะตอบคำถามไหนดีก่อนล่ะ เอาล่ะ ไหนๆก็ตื่นด้วยกันแล้ว เราสองคน ไปเดินเล่นกันริมน้ำตรงนู้นดีไหม”

“เดินเล่นตอนตีสามครึ่งเนี่ยนะฉัตร” เอาล่ะ คราวนี้ตระการตาย้อนมาให้บ้าง

“เหอะน่า ฉัตรรู้ว่าตาอยากรู้และกำลังสงสัยอะไรในตัวฉัตร จะได้ถือโอกาสตอบคำถามของตาด้วย”

คันฉัตรไม่รอคำตอบเพียงวูบเดียวเขาพาตระการตามาถึงริมน้ำดังใจหมาย สร้างความประหลาดใจให้ตระการตาอย่างล้นเหลือ

“ฉะ...ฉัตรทำได้อย่างไร”

การเหิรลอย และการย่นระยะทาง เป็นเพียงแค่ความสามารถเล็กๆ ตระการตายังประหลาดใจเสียยกใหญ่ นี่ถ้าหากรู้ว่า เขาสามารถทำได้มากกว่านี้ คงมิตกใจ จนล้มพับไปเหรอ

“อย่าเพิ่งสงสัยเรื่องนี้เลย ตาสงสัยเรื่องที่ฉัตรหน้าเหมือนเทวรูปพระเสาร์ไม่ใช่เหรอ”

“ชะ ใช่”

“งั้นฉัตรขอถามตาหน่อยว่า น้ำระเหยขึ้นไปแล้วตกลงมาเป็นฝนใช่ไหม”

ตระการตาขมวดคิ้วกับคำถามทันที.... เอ๊ะ ฉัตรถามอะไร นี่มันคำถามวิชาวิทยาศาสตร์ที่เด็กประถมสี่ก็ตอบได้ “ใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ตาอยากรู้”

“เกี่ยวสิไม่งั้นคงไม่ถาม เพราะฉัตรกำลังจะถามต่อไปว่า ฝนที่ตกลงมาเป็นน้ำหยดเดียวกับที่ระเหยไปหรือเปล่า”

“ไม่ใช่สักหน่อย น้ำในที่ต่างๆจะระเหยไปรวมกันเป็นเมฆ จากเมฆถึงลงมาเป็นฝน” ตระการตารีบแย้งทันใด

“ตาคงเข้าใจแล้วนะ ว่าน้ำฝนแต่ละหยด เป็นน้ำระเหยจากที่ต่างๆไปรวมกัน และตารู้ใช่ไหมว่าเมฆมีหลายระดับ”

“ก็ใช่อีก ตายังไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับที่ตาอยากรู้เลยนะ”

ตระการตาเริ่มกระเง้ากระงอดกับเขาก็เป็น ดึงมือตนออกจากการกุมของคันฉัตร แต่มีหรือที่นายคันฉัตรจะยอมปล่อย ดังคำที่เขาเคยบอก ‘สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในมือฉัตร ย่อมไม่มีวันหลุดมือ’ หนำซ้ำเวลานี้ คันฉัตรเริ่มทำอย่างที่ไม่เคยทำ คือโอบตระการตาไว้เสียแน่น และมีฤาที่ตระการตาจะขัดขืน หน้าแดงแน่ล่ะอย่างหนึ่งและใจก็เต้นแรงด้วย อำนาจบางอย่างในตัวคันฉัตรทำให้เขาไม่มีทางปฏิเสธได้ จำต้องปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น

“เกี่ยวละตอนนี้ เพราะจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ จะเป็นพลังงานเบาโปร่ง เสมือนเมฆบางๆที่ลอยอยู่ในชั้นสูง จิตวิญญาณเหล่านั้นมนุษย์เรียกหรือบัญญัติให้เป็นเทวะหรือเทวดา กลุ่มก้อนของเทวะจึงประกอบด้วยอณูมากมาย อณูแต่ละอณูจึงไม่ใช่เทวะแต่มาจากเทวะ ฉัตรก็เหมือนน้ำฝนหยดเดียวจากก้อนเมฆ นี่คือความหมายของอณูแห่งเทวะ มิใช่เทวะ หรือตาจะนึกถึงก้อนดินหุ้มทองไว้ก็ได้ นั่นคือ ฉัตร ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมที่พระเสาร์ท่านว่า ฉัตรไม่ใช่ท่าน ท่านไม่ใช่ฉัตร”

ตระการตาเข้าใจ คำว่า ‘อวตาร’  ได้อย่างแจ่มแจ้งทันทีที่คันฉัตรพูดจบ เสมือนมีภาพบางภาพปรากฏให้เห็นของการกำเนิดและการแบ่งลงมา นี่ไงคือสิ่งที่เขาสงสัย และบัดนี้ก็ได้กระจ่างแล้ว ถึงว่า ทำไมคันฉัตรหน้าตาละม้ายเทวรูป ที่ว่าไปเป็นแบบของเขามานั้น รู้ได้ชัดเลยว่า ไปเป็นแบบมาจริงๆ มิน่าล่ะ พวกเขากลุ่มนี้ถึงมีอำนาจน่ายำเกรงแปลกๆ ครั้งแรกสุด ตั้งแต่เห็นกระโดดลงเรือ เพราะดูเหมือน ‘เหาะ’ ลงกันมาเสียมากกว่า อีกทั้ง เหตุการณ์ที่คืนฉาย ช่วยตนไว้จากคลื่นยักษ์ และยิ่งเหตุการณ์ในตอนหัวค่ำวันนี้ แม้ภาพจะเลือนราง แต่มันก็ตอกย้ำความรู้สึกว่า คันฉัตรกับพวกไม่ใช่คนธรรมดาดังที่สงสัย

หากจะถามว่ากลัวไหม ....ตอบได้ทันทีว่าไม่กลัว แต่ยำเกรงในเทวราชอำนาจเสียมากกว่า ทุกอย่างเปรียบดั่งความฝัน ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง

“ฉะ ฉัตร คือ อณูแบ่งภาคมาจากพระเสาร์” ตระการตาพยายามเบี่ยงตัวออก เพราะรู้สึกถึงการไม่บังควรแล้ว ความรู้สึกด้อยค่า คิดว่าตนต่ำศักดิ์ วาบจับเข้าหัวใจแทนอารมณ์เขิน มิควรให้ผู้ที่มีกำเนิดสูงกว่ามากอดมนุษย์อย่างตนที่มั่นใจว่ามีกำเนิดปกติ

“ปล่อยตาเถอะฉัตร ...ตาเป็นแค่มนุษย์ ตาควรสักการะฉัตร”

“ฉัตรก็เป็นมนุษย์ หากแต่มีเกินมนุษย์ มิจำเป็นต้องสักการะฉัตร หากอยากสักการะ ไปสักการะเทวรูปพระเสาร์ท่านนู่น แต่ถ้าอยากจะสักการะฉัตร จะทำจริงๆ ก็ได้ ....แต่วิธีจะค่อนข้างแปลกหน่อย”

แล้ววิธีการสักการะ ก็ถูกถ่ายทอดเป็นเสียงกระซิบข้างหู เล่นเอาตระการตาหน้าแดงอีกครั้ง น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่คันฉัตรจะใช้น้ำเสียง ยียวน ทำหน้าทำตาทะเล้น แถมยังหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ

“เหอะ ฉัตรบ้า...ลามกเหมือนกันนะ งั้นไม่สักการะแล้ว” เสียงน้อยๆ สั่นระรัวกล่าวตอบก่อนเฉไฉเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่อง “มาเล่าให้ตาฟังนี่ ไม่กลัวตาเปิดเผยความลับเหรอ”

“กลัวทำไม เพราะตาเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเช่นกัน สวรรค์ได้กำหนดไว้ให้ตาแล้ว มิฉะนั้น มนุษย์อย่างตา คงไม่ได้มาเจอกับพวกฉัตรหรอก การที่เทวะอวตารลงมา นั่นย่อมแปลว่ามีหน้าที่ที่ต้องกระทำ ตาลองนึกดู ว่าทำไม ตาต้องมาที่นี่ ทำไมตาต้องเจอกับพระที่ดอยสุเทพ แล้วทำไมจี้ที่คอของตาหายไป ”

ตระการตาเพิ่งรู้สึกว่า คอตัวเองโล่งๆ ใช่แล้ว “จี้รูปจักร” หายไป “แล้วหายไปตั้งแต่เมื่อไร”

“เจ้าของเขามารับไปแล้วน่ะสิ เอาน่าไว้จะเล่าให้ฟังวันหลัง วันนี้รู้เพียงเฉพาะของฉัตรก่อน ส่วนคนอื่นๆถ้าอยากรู้ ไปถามเจ้าตัวเขาเอง”

“คนอื่นๆ ก็คงเป็นเทพทั้งหมด ตาเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม”

“ใช่แล้วตา ทีแรกเราตั้งใจจะปิดตาไว้ แต่ตอนที่ตาสลบ ฉัตรปรึกษากับอัสดงว่าควรจะต้องเล่าให้ตาฟัง และอัสดงก็อนุญาต เพราะตาก็มีหน้าที่ ที่มหาเทวีกำหนดไว้ซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไร พอแค่นี้ก่อนเถิด ค่อยๆรู้ไป รู้มากกว่านี้ร่างกายจะรับไว้ไม่ไหว เกือบตีสี่ครึ่งแล้ว ไปนอนต่อกันเหอะ ยังพอมีเวลาอีกตั้งนานกว่าจะเช้า เผื่อตาจะเปลี่ยนใจ มาสักการะ”

รอยลักยิ้มข้างแก้มปรากฏ ดวงตาอณูน้อย ส่อแววเจ้าเล่ห์ ก่อนรัศมีสีม่วงจะกำจายวาบ ตระการตารู้สึกถึงความอบอุ่น อย่างที่ไม่เคยได้รับ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เพียงชั่วแวบ ตนก็รู้สึกว่ากลับมานอนอยู่บนเตียงหนานุ่มโดยมีวงแขนของอณูน้อยรูปงามแห่งพระเสาร์ตระกองกอด ‘วีธีสักการะบูชา’ ถูกทบทวน เล่นเอาหน้าแดงไม่หาย  เพราะมันแปลกจริงดังที่เขาว่า ไม่จำเป็นต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน ไม่จำเป็นต้องไหว้ เพียงแค่ใช้ ‘ตัวกับใจ’ เท่านั้น  แล้วเจ้าอณูน้อยก็เอ่ยทำลายความเงียบมาอย่างทีเล่นทีจริงว่า

“จะไม่ยอมบูชาจริงๆเหรอ”

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย จะบูชาอย่างนั้นได้อย่างไร” เจ้ามนุษย์ตาแป๋วตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก หากเขาบังคับล่ะจะทำอย่างไร

“ก็ลองบูชาสิ จะได้เป็นอะไรกันไง ฉัตรอยากรู้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นไอ้ฉายขอ ตาคงยอมใช่ไหม” ด้วยฤทธิ์สุราที่ยังคาค้างอยู่กระมัง ทำให้คันฉัตร กล้าขอในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดกล้าทำกับคนที่ยังไม่ได้เอ่ยปากว่าจะคบกัน

“ไหนบอกว่าจะไม่พูดถึงฉายไง ฉัตร”

“มันอดไม่ได้ตา ฉัตรอยากรู้จึงต้องถาม”

“แล้วใครเขาขอตรงๆ ถามตรงๆกันอย่างนี้บ้างล่ะ”

“ฉัตรนี่ไง ตาจะบอกฉัตรตรงๆได้ไหมล่ะ ฉัตรไม่อยากรักใครข้างเดียวซึ่งมันเหนื่อยเปล่า”

จากที่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าคันฉัตรมีใจให้ หลอกตัวเองเพียงแต่ว่าเขาสงสาร  คำตอบกลับปรากฏอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความหมายนั้นครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ในตัวของมันเอง ความรู้สึกวาบจากหัวใจจุดเดียวแผ่ขยายไปทั่วร่าง วิ่งซ่านผ่านขึ้นใบหน้า จนรู้สึกถึงคำว่าร้อนผ่าว นึกๆแล้วก็น่าขัน โชคชะตาช่างเล่นตลก คราแรกชอบเพื่อนของเขา กลับกลายมาเป็นเขาเสียนี่ หากจะให้พูดจริงๆ ก็อยากจะบอกว่า ความรู้สึกที่มีให้ฉาย มันเริ่มจางลงตั้งแต่คันฉัตร ให้นิยามรักแก่เขาแล้ว มีเพียงบางแวบเท่านั้นแหละ ที่ภาพของคืนฉายเข้ามาวนเวียน อย่างเช่นตอนที่เจอกันวันนี้ ในเมื่อเขากล้าบอก กล้าพูด ไฉนเราจะไม่พูดไปบ้าง

 “ฉัตรจะไม่มีวันเหนื่อยเปล่า ตาสัญญา”

เพียงเท่านั้น ตระการตาก็รู้สึกได้ว่า ในความเลือนรางสลัวๆ ใบหน้างามคมคายที่ลอยอยู่ห่างเพียงแค่คืบ อีกทั้ง สายตาอันมีมนต์สะกดที่กำลังจ้องมองและรอฟังคำตอบ ฉายแววยินดีอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่เรืองโรจน์วาบดุจดาวฤกษ์แฝงแววเชื้อเชิญปนท้าท้าย มิควรที่จะปล่อยให้เขามองอย่างอย่างนั้นและปล่อยให้ลมหายใจรินรดใบหน้าอีกต่อไป แทนคำพูดทั้งมวล ริมฝีปากอิ่มฉ่ำเสียยิ่งกว่าฉ่ำจึงประกบลงไปบนริมฝีปากของอณูน้อยเสียเอง

ณ บัดนี้ เวลานี้ มันคงไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ หากจะยอมบูชาเขาตามที่เขาขอ เพราะ ‘ใจ’ ได้บูชาเขาไปบ้างแล้ว หากแต่ ‘ตัว’ เล่ายังไม่ได้บูชาอันใดเลย เขาดีกับเราและกล้าถึงขนาดนี้ ไฉนไยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ในสิ่งที่เขาขอเป็นการตอบแทน

เขาว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และคันฉัตรก็กำลังส่งรอยยิ้มผ่านดวงตาของเขา ริมฝีปากต่างฝ่ายต่างประกบสนิทแน่น บดขยี้กันจนแทบจะเป็นเส้นเดียว วงแขนแข็งแรงของอณูน้อยนอกจากจะกอดรัดแล้วยังลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังของตระการตาถ้วนทั่ว รู้สึกถึงความละเอียดของผิว ที่ยากจะหาในตัวผู้ชาย หากไม่เอาไปเทียบกับสีทันดร ผิวของตระการตาก็จัดว่าเป็นไหมเนื้อดี แต่ถ้านำมาเทียบเคียงกันเมื่อไร ผ้าไหมที่โลมไล้อยู่นี้จะดูด้อยค่าทันที แต่เขาก็สุขใจ

และไม่ต่างอะไรกับมือน้อยๆ ที่ว่องไวไม่แพ้กัน สำรวจไปทั่วเรือนร่างแข็งแกร่งเกินเด็กชายวัยสิบแปด นอกจากแผงอกกำยำที่ได้สัมผัส บริเวณท้องน้อยแบนราบก็ถูกละเลียดและไล่ลงไปลึกพอที่ปลายนิ้วจะรู้สึกว่า พบกับแนวป่าทึบที่ทอดไล่เป็นทางยาวอ่อนนุ่มตั้งแต่สะดือลงไป จวบจนพบกับท่อนซุงใหญ่แข็งแรง ที่บริเวณยอดของลำต้นฉ่ำเยิ้มไปด้วยยางหอมหวาน นิ้วมือน้อยๆ เขี่ยเล่นอยู่อย่างนั้น

ยิ่งเขี่ย ยางก็ยิ่งเยิ้ม!! ยิ่งเขี่ย ยิ่งบังเกิด เสียงสั่นพร่า !!  “ไม่ลองชิมดูล่ะตา”

ใครว่าตระการตาไม่ประสีประสา ....คันฉัตรยืนยันได้คนหนึ่งล่ะว่าไม่จริง!! ภายใต้อาการที่เรียกว่าแบ๊วๆเนี่ยแหละ อย่าคาดหวังว่าจะเจอกริยาสั่นเทิ้ม ตัวสั่นมือสั่นเป็นลูกนก  ทุกอย่างตรงกันข้าม ตระการตารู้งาน ทำเป็น และก็ทำได้ดี ซึ่งมันถูกใจเขาเสียยิ่งนัก

เพียงคันฉัตรยันกายขึ้นมาอยู่ในท่าที่ถนัด กางเกงยีนส์ขาเดฟที่ไม่ได้ตั้งใจจะใส่นอน ก็ถูกรูดลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือแต่เพียงปราการสีขาวด่านสุดท้ายที่ตระการตาแสนรู้งานกำลังจะก้มลงใช้ปากถอดให้ คันฉัตรจูบที่หน้าผากเบาๆ แล้วใช้มือช่วยประคองศรีษะของตระการตาอยู่ในระดับที่เหมาะสม แล้วในความคิดเพียงแวบหนึ่ง แวบหนึ่งเท่านั้น ภาพของคืนฉายดันเผลอหลุดเข้ามาในห้วงคำนึง ตระการตาคิดเพียงแค่ว่า........... “ หากเป็นฉาย คงไม่มีทางอ่อนโยนแบบฉัตรแน่ๆ”

เพียงเท่านั้น เท่านั้นเอง คันฉัตรสะบัดตัวออกพลัน ตระการตาหยุดชะงักทันใด

เกิดอะไรขึ้น ฉัตร”

“อย่าเพิ่งดีกว่าตา หากในห้วงคำนึงของตา ยังเอาฉายมาเปรียบเทียบกับฉัตร เราอย่าเพิ่งมีอะไรลึกซึ้งดีกว่า ฉัตรขอโทษที่จุดไฟขึ้น และยอมรับผิดที่เลิกเสียกลางคัน หากวันใดตาไม่เหลือไอ้ฉายในจิตใจแม้กระทั่งขนาดเท่าหัวไม้ขีด เมื่อไร วันนั้นเราค่อยมีอะไรกัน”

ตระการตาตัวชาวาบ ไม่ตกใจที่ฉัตรล่วงรู้ แต่เสียใจที่มิควรเลย มิควรจริงๆ ที่จะดึงฉายเข้ามา ทั้งๆที่ตนเป็นคนห้ามเขาไม่ให้พูดถึงเอง “ตา ขอโทษ ตาขอโทษจริงๆ”

“ช่างมันเหอะ ตา นอนกันเถิด พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า”

คันฉัตรเปลี่ยนกางเกงจากยีนส์ขาเดฟเป็นกางเกงนอนแล้วเอนกายลงที่เดิม แต่ก็ไม่ลืมที่จะดึงตระการตาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง ทำเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ตระการตารู้ซึ้งแล้วว่า ผู้ชายอย่างคันฉัตร หยิ่งและรักศักดิ์ศรีของตนมากเพียงไร ไม่ชอบที่ใครจะนำเขาไปเปรียบเทียบกับใครอีกคน หัวใจของผู้ชายคนนี้เป็น ‘นักเลงมีระดับ’ ควรแล้วหรือ ที่จะเอาคนอื่นมาไว้ในห้วงคำนึงยามที่อยู่กับเขา

“ฉัตร ตาสัญญา ว่าต่อไป ตาจะไม่มีฉายในห้วงคำนึงอีกแล้ว”

“มันต้องอย่างนี้สิที่รักของฉัตร มิเสียแรงที่ชอบตั้งแต่แรกเห็น” ริมฝีปากของคันฉัตรประทับลงกลางหน้าผากของตระการตาอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า “นอนเสียคนดี พรุ่งนี้เช้าเราจะเริ่มต้นกัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2019 08:40:57 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ในขณะที่บ้านของคันฉัตรเริ่มจะหลับลงอีกครั้ง บ้านของทรงกลดก็ปรากฏรัศมีสีแดงโกเมนระเรื่อ ซึ่งจะเป็นของใครไม่ไม่ได้นอกเสียจากนลกุพร ที่กำลังบิดกายสะบัดพระเศียรไล่ความมึนงง ‘น้ำตาลูกผู้ชาย’ เหือดหายไปแล้ว ดั่งคำสั่งของพี่เลี้ยง แล้วพี่เลี้ยงนามว่าทรงกลดบัดนี้ไปนอนอยู่ไหนเสียเล่าทำไมบนเตียงไม่มี

ภายใต้แสงสลัวเลือนราง ร่างสูงโปร่งที่ยามกระทบแสงจันทร์ก่อเกิดรัศมีสีเหลืองนวลจางๆ ทำให้เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วทอดพระเนตรเห็นร่างที่กำลังคุดคู้ห่อกายหลบความหนาวเย็นอยู่บนชุดโซฟา จึงรีบเสด็จเข้ามาใกล้ หมายพระทัยจะปลุกให้ตื่นพาไปนอนบนเตียง

“ทำไมทรงกลดมานอนอยู่ตรงนี้ เตียงก็มีนี่นา หรือว่าเมา ก็ไม่นี่ เราเองต่างหากที่เมา”

“ดูๆไป เวลาเจ้านอนหลับ เจ้าเหมือนเด็กนะทรงกลด ไม่เหมือนตอนตื่นชอบทำหน้าทำตาเศร้าๆ เทพอะไร นอนหลับ ปากจู๋ๆ แดงๆ” นลกุพรที่เพิ่งสร่างเมา ก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรใบหน้าของทรงกลดที่กำลังหลับจนชิด ชิดจนรู้สึกถึงลมหายใจของทรงกลด ความน่ามองสำแดงชัด

“จันทรเทพ เทวบุรุษที่สร้างมาจากเทวธิดาสิบห้านาง ขนาดหลับเสน่ห์ยังกำจาย หล่อนะ มิน่าถึงมีชายาตั้งยี่สิบเจ็ดนาง”

นลกุพรยังนั่งจ้องใบหน้าที่หลับใหลอย่างไม่วางพระเนตร โดยเฉพาะริมฝีปากสีแดงสดแม้ในความมืดนั้นก็เห็นชัด ตนจำได้ดีถึงความนุ่มนิ่มดุจกำมะหยี่ ฉ่ำดั่งลูกตาลหวานยามที่ได้สัมผัสแลก็ยากจะถอดถอนออก และเริ่มอดไม่ได้ที่จะสัมผัสอีกครั้ง ว่าแล้วจึงใช้ปลายดัชนีแตะลงไปเบาๆ

“ปากเจ้ายามเหมือนอิสตรี มันแดงเองหรือเจ้าใช้ชาดทา”

เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วไม่หยุดอยู่แค่นั้น เสมือนได้พระทัย จึงเลื่อนปลายพระดัชนีเรื่อยขึ้นไปยังเปลือกตาที่ปิดสนิทขนตาที่หนาเป็นแพยามกระพริบและทอดมองมาครั้งใด โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณก็ทรงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พระทหัยวาบตามจังหวะกระพริบทุกครั้ง กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมของมะลิโชยชาย แล้วคำพูดบางคำก็เผลอหลุดออกมา โดยที่ไม่รู้สึกองค์

“หอมจัง เจ้าหอมเหมือนมะลิ ทำไมเจ้า ไม่เป็นเทวธิดานะทรงกลด เราจะได้.......”

พร้อมๆกันนั้นดั่งเหมือนมีมนต์สะกด พระพักตร์ที่เพียงแค่จ้องก้มต่ำลงทันใด ริมฝีปากที่แดงสดเหมือนทาชาดคือจุดหมาย นลกุพรคุมองค์เองไม่อยู่อีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ประทับรอยจูบดั่งพระทัยหมาย เจ้ายักษ์นลก็ต้องหยุดชะงักโดยพลัน เพราะจู่ๆเปลือกตาและขนตาที่งามงอนก็กระพริบขึ้น พระพักตร์รีบเบี่ยงออกรวดเร็ว

“นล...จะทำอะไร”  ทรงกลดร้องถามออกไปทันที ดวงตาสีน้ำตาลกลมใสสว่างวาบแม้ในความมืด การก้มหน้ามาจนชิดหน้าตนนั้น ทำไมจะไม่รู้ ว่านลจะทำอะไร และในใจอยากจะพูดต่อไปว่า ‘อย่านะนล อย่าจุดเชื้อไฟอีกหน’

“เฮ้ยยยยย  กลดจู่ๆก็ตื่นๆ เราตกใจหมดเลย”

“นล นายยังไม่ได้บอกฉันเลย นายจะทำอะไร”

“เอ่อ....คือเราเห็นหน้าเจ้า เปลี่ยนไปเป็นหน้านางฟ้าอีกแล้วเลยก้มลงมาดู” ปกตินลจะไม่ค่อยมุสานัก แต่ความเขินทำให้จำต้องปดกลบเกลื่อน แต่ก็ทำได้ไม่ได้พอ

“นายแน่ใจนะนล”

“จริงสิโธ่ แล้วทำไมมานอนตรงนี้ เตียงก็มี” เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วถือโอกาสเบี่ยงประเด็นสนทนา

“ก็นายนอนเสียเต็มเตียง” ทรงกลดมิอยากบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ เหตุผลที่หนีการก่ายกอด จนสัมผัสได้ถึงการผงาดตัวของกันและกัน ...นี่เขาทำถูกแล้วใช่ไหม ที่ไม่ฉวยโอกาส ‘มีอะไร’ ตอนนั้น

“แล้วทำไมเจ้าไม่ปลุกล่ะ”

“นายเมา ปลุกแล้วนายไม่ตื่น”

“อ้าว เหรอ....งั้นเราขอโทษ” นลกุพรพระพักตร์เสียสำนึกผิด แล้วทอดเสียงกล่าวต่อมาว่า “ขบวนแห่งพระสุริยาทิตย์ยังไม่เสด็จ เจ้าจะนอนต่ออีกนิดก็ได้นะ มานอนที่เตียงเถิด จะได้สบายหน่อย”

“ขอบใจนล” ทรงกลดนั้นว่าง่ายเสมอ ที่ผ่านมาดื้อก็เพียงแค่ไม่กี่เรื่อง เช่น ‘เรื่องน้องดื้อ’ ว่าแล้วก็ยันกายเดินกลับมายังเตียงนอนในที่ของตน ผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวถูกนลหยิบยื่นให้

“แล้วนลไม่นอนต่อเหรอ”

“ไม่แล้ว เรานอนมาพอแล้ว และถึงเวลา ตื่น เสียที”

“นล....เก่ง ทำใจได้เร็ว”

“ก็เจ้าบอกเราเองไม่ใช่เหรอ เช้านี้อย่าให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชายอีก ขอบใจสำหรับทุกสิ่งในสองสามวันที่ผ่านมา”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรับปากน้องดื้อไว้ ฉันต้องทำให้ดีที่สุด”

“งั้นที่เจ้าบอกกับเราว่า ยินดีดูแล ....มันก็เป็นสิ่งที่เจ้ารับปากสีทันดร เป็นหน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำหรือ” สุรเสียงราบเรียบของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วเสมือนมีอำนาจสะกดให้ทรงกลดตัวแข็งเป็นหิน แถมพระพักตร์ยังจ้องมองนิ่งๆ  แต่แปลกนัก เพราะในความนิ่งนั้นดันบังคับให้เลือดในกายพลุ่งพล่าน วิ่งวนแล่นขึ้นสู่ใบหน้า

“นะ..นล! นายถามทำไม”

“อยากรู้เลยถาม ยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไร นอนต่อเหอะ เราก็จะเข้าฌานทูลบอกทูลหม่อมพ่อเสียหน่อยว่าอยู่นี่ หายมาหลายวันแล้วเดี๋ยวที่บ้านจะวุ่นวาย” สิ้นคำ นลกุพรก็ทรุดกายนั่งขัดสมาธิเพชร จิตดิ่งลงสู่ฌานระดับสูงรวดเร็ว พระวรกายแปรสภาพแข็งดุจศิลาหินอ่อน ทิ้งให้ทรงกลดงุนงัน กับคำถามและคำตอบอยู่อย่างนั้น

“เหอะ นลกุพร มันจะมีประโยชน์อันใด ถ้าเราบอกไป ที่ผ่านมา นายก็เผลอตัวทุกครั้ง ไม้ได้จงใจกับฉันเลยสักนิด บอกไป นายก็คงจะนิ่งเหมือนตอนนอน ไม่มีทางไขว่คว้า ใฝ่หาหมอนข้างอย่างฉันที่นายลืมไปแล้วว่า..... มีหัวใจ ”

เช้าแล้ว อณูน้อยทุกคนตื่นมาด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส แม้บางคนจะมีอะไรซ่อนไว้ในใจ แต่ด้วยความงามของธรรมชาติ มันก็สามารถทำให้สงบและทุเลาลงได้... คันฉัตรเดินจูงมือออกมาจากบ้านพักพร้อมตระการตา เพื่อนๆที่ได้เห็นต่างปรบมือเกรียวกราว เพราะภาพนั้นแทนคำพูดได้เป็นหลายร้อยล้านคำ กระแสจิตหรือโทรจิต ส่งบอกกันถ้วนทั่ว ‘การอวตาร’ ได้ถูกอธิบาย ให้แก่คนที่มีหน้าที่ ดังมหาเทวีรับสั่ง อณูน้อยทุกคนเข้าใจ แต่คันฉัตร ก็ขยักเรื่องส่วนตัวระหว่างเขากับตระการตาไว้ ....ให้เพื่อนๆรู้เพียงแต่ว่าคบกัน

“ยินดีด้วยนะครับ ตา....ตาโชคดีที่สุดที่ เอ่อ...คบกับไอ้ฉัตร” คืนฉายแทบจะเข้ามาเป็นคนแรกที่แสดงความยินดีกระมัง เขายิ้มอย่างจริงใจโดยไม่มีอะไรแอบแฝงจับมือแสดงความยินดี คันฉัตรเองก็รู้ แต่แกล้งกระแอมเป็นการเตือน

“ไอ้เชี่ย ฉาย มึงปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวตาไขว้เขวอีก”

และโดยที่ตระการตาไม่คาดคิด เอราวัต ที่ตนเคยคิดว่าไม่ค่อยชอบหน้าตน ก็กลับยิ้มเสียแก้มปริ แถมยังเข้ามากอดไหล่ตนแน่น ‘ยินดีด้วยนะตา’ คำพูดมีเท่านั้น แต่ในใจถ้าใครอ่านความคิดเอราวัตออกก็ต้องหัวเราะ เพราะเจ้าพระพุธน้อย ถอนหายใจมาอย่างโล่งอก........ “ หมดเสี้ยนหนาม หมดหอกข้างแคร่แล้วกู”

ตระการตาเริ่มทำตัวไม่ถูก รู้สึกตนเองด้อยค่าอีกครั้งยามยืนอยู่ท่ามกลางอณูน้อยทั้งหลาย คันฉัตรเริ่มแนะนำว่าใครเป็นใคร และก็ได้รู้ว่า ทำไมฉัตรถึงได้บอกว่าตนอาจจะไม่ชอบพระพุธนัก ที่แท้ ‘อณูแห่งพระศุกร์เป็นคู่รักกับอณูแห่งพุธ’ และเขาก็เคยหลงอณูแห่งพระศุกร์ อย่างคืนฉายมาหัวปักหัวปำ

“ทำตัวตามสบายเหอะ ตระการตา ยังไงพวกเราก็เป็นแค่มนุษย์ ไม่ใช่เทวะเต็มขั้น” ธรรม์บอกให้อย่างยิ้มๆ เพราะเห็นอาการเคอะๆเขินๆ ของที่รักพระเสาร์

“มันยังไม่ชินน่ะ....ฉัตรบอกว่า อยู่ใกล้ๆ พวกนายให้ระวังความคิด ยังทำไม่ได้เลย”

“ใช่..โดยเฉพาะถ้าใกล้เอราวัต ต้องระวัง ขานี้เขารู้และก็ชอบป่าวประกาศ เรียกว่าปากสว่างน่ะ พูดง่ายๆ” ธรรม์ยังแค้นเอราวัติเมื่อคืนที่เกือบทำให้ความลับแห่งหัวใจแตก จึงแขวะมาเสียทีหนึ่ง เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

“เดี๋ยวไอ้เทพฤาษี จะโดน” เอราวัตขู่ขึ้น ฝ่ายคันฉัตรก็ให้กำลังใจที่รักต่อ

“เอาน่าตา ค่อยๆฝึก ค่อยๆเรียนรู้ไป แต่มีบางคนนะ ที่ตาจะเห็นเขาหรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าเขาอยากให้เห็นหรือเปล่า”

“ยังไงเหรอฉัตร”

“ก็นอกจากพวกเราแล้ว ยังมี พญานาค ยักษ์ และอีกไม่กี่วัน จะมีครุฑตามมา พวกนี้ต้องระวังให้มาก อยู่ในสภาวะทิพย์เต็มขั้น หากตาอยู่ใกล้ต้องระวัง ร่างกายตาอาจจะทนรัศมีพวกเขาไม่ได้นอกเสียจากเขาจะปรับลงมา”

“อะไรนะ จะ จริงเหรอ”

“ไม่ต้องห่วงศนิเทพ เราไม่ทำอันตรายแฟนเจ้าหรอก” นลกุพรปรากฏกายขึ้น ตบไหล่คันฉัตรเบาๆ เล่นเอาตระการตาแทบผงะ เมื่อได้เห็นการปรากฏของสภาวะทิพย์ตรงหน้า

“เรานลกุพร โอรสาท้าวเวสสุวัณ เทวอสุรา หรือที่พวกมนุษย์ เรียกเราว่ายักษ์ไง”

ตระการตาแทบไม่อยากเชื่อสายตา เพราะคนที่ปรากฏตรงหน้า เป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา คมคาย มิมีเค้าว่าเป็นยักษ์เลยสักนิด แถมยังแต่งตัวแบบวัยรุ่นแถวสยามอีกด้วย

“นลเขาลดสภาวะทิพย์มาเป็นมนุษย์น่ะ ตาเลยมองเห็นเขา” คันฉัตรกระซิบบอก

“เป็นยักษ์ ทำไม ไม่เห็นมีเขี้ยว”

“อยากเห็นเหรอ” สิ้นคำเท่านั้น เขี้ยวแก้วโง้งใสสว่างวาบก็ผลุดออกจากริมฝีปากของนลกุพร ใบหน้าที่คมคายน่ามองกลายเป็นถมึงทึง ตระการตาผงะหงาย ซุกกายหลังคันฉัตรตัวสั่นเทิ้ม

“นี่ไงสิ่งที่เจ้าอยากเห็น เจ้าก็ได้เห็น จิตเจ้าคิดว่ายักษ์เป็นเช่นไร เจ้าก็จะได้เห็นเช่นนั้น เห็นที ศนิเทพต้องให้แฟนท่าน ฝึกจิต ฝึกสมาธิแล้วล่ะ ดีนะที่เป็นเรา หากเป็นสีทันดรล่ะก็ เอ่อ........ไม่อยากพูดเลย”

“นินทาอะไรเราอีก นล” สุรเสียงแว๊ด ดังมาก่อนองค์เสมอ ตระการตาจำได้น้องผู้ชายรูปหล่อผมยาวที่เจอที่ทะเลคนนี้ ชื่อสีทันดรหรอกเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็นยักษ์กับเขาด้วย

“จะบ้าเหรอ เราไม่ใช่ยักษ์”

“ได้ยินด้วยเหรอ” ตระการตาพึมพำ แต่สีทันดรก็สวนทันควัน

“ได้ยินสิ ไม่งั้นจะตอบได้เหรอ เหอะพวกมนุษย์อย่างเจ้า น่ารำคาญ ช่างสงสัย ช่างซัก ช่างถาม นี่ถ้าไม่ติดว่า เรามีภารกิจในโลกมนุษย์และอัสสะร้องขอ ต่อให้เจ้าถือศีลบำเพ็ญเพียรทั้งชาติ เจ้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเรา ถ้าเราไม่อยากให้เห็น บอกไว้ก่อน เราไม่ใจดีเหมือนนล”

ตระการตา อ้าปากค้างเพราะโดนเข้าเป็นชุด ตอนอยู่ที่ทะเลก็ไม่เคยได้คุยกัน เพราะน้องเขาเชิดหน้า หยิ่งไว้ตัวเสียเหลือเกิน พอได้คุย ก็ต้องอึ้ง หน้าพลันเสียจนคันฉัตรต้องปลอบ “ น้องดื้อก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสา”

“ไอ้ดื้อ ทำไมไปพูดกับเขาอย่างนั้น เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวโดนทำโทษ” อัสดงที่เงียบอยู่นานปรามแฟนตัวน้อยขึ้น “อย่าไปถือสามนุษย์เลย มหาเทวีทรงมีพระเสาวนีย์ให้เขาทำหน้าที่บางประการ เจ้าอย่ามีอารมณ์นักเลย”

“เห็นแก่พี่เหอะน้องดื้อ....” คันฉัตรเดินเข้ามาอ้อน เจ้านาคน้อยถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ก่อนจะตรัสตอบ

“ก็ได้ เห็นแก่พี่ฉัตรนะเนี่ย” ว่าแล้วก็เสด็จเข้าไปหามนุษย์น้อยที่ยืนหน้าเสีย “เราชื่อสีทันดร มาจากบาดาล ไม่ใช่ยักษ์อย่างที่เจ้าเข้าใจ ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก น้องสีทันดร เอ่อ น้องสีทันดร ชื่อเล่น ชื่อดื้อเหรอ ....ทำไมชื่อแปลกจัง”

ด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ของมนุษย์ จิตทุกคนจับได้ว่าไม่มีมารยาใดแอบแฝง เสียงหัวเราะก็พลันดังขึ้นพร้อมกัน ตระการตามิรู้ ว่าคำว่า “ดื้อ” เป็นแค่สมญานาม ที่ทุกคนพร้อมใจกันทูลถวาย

“จะไม่เมตตามนุษย์ ก็อีตรงนี้แหละ ฮึ ” สีทันดรสะบัดพระพักตร์พรึ่ด แล้วก็หันไปแว๊ดเอากับคนที่ยืนข้างๆ “ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ อัสสะ นลกับพี่กลดก็ด้วย”

อีกนานกว่าเสียงหัวเราะจะสงบ ตระการตาก็ยังทำหน้าเหรอหรา จนคันฉัตรต้องอธิบายความ ถึงที่มาที่ไป และก็รู้ได้ว่า สีทันดรเป็นใครมาจากบาดาล ความตื่นเต้นระคนนตกใจจนขนลุกซู่ เหมือนประจันหน้ากับพญาอสรพิษไม่ผิดแน่แล้ว โชคดีที่น้องเขายังอยู่ในร่างนี้ .....หากเป็นร่างแบบที่เห็นตามบันไดวัดคงวิ่งป่าราบ

“อยากเห็นแบบนั้นเหรอ”   

“อย่าน้องดื้อ ตระการตาจะตกใจเปล่าๆ แถมเขาจะทนพิษเจ้าไม่ได้ด้วย เอาล่ะๆ มากันครบแล้ว ไปกินข้าวเช้ากันเหอะ” คันฉัตรกล่าวตัดบทเดินจูงมือตระการตาพาทุกคนไปยังห้องอาหาร ซึ่งไม่มีใครอื่นใดปะปน แทบจะเรียกว่า รีสอร์ทแห่งนี้อณูน้อยเหมาไว้หมดเลยก็ได้

ครั้นพอเสร็จมื้ออาหารเช้า คืนฉายกับเอราวัต ก็จูงมือกระหนุงกระหนิง ขอแยกไปเที่ยวกันสองต่อสอง เฉกเช่นคู่รักใหม่อย่างคันฉัตรและตระการตา สีทันดรทรงนึกว่าอัสดงจะพาไปเที่ยวอย่างคู่อื่นๆบ้าง แต่ก็ต้องพระพักตร์ตูม เพราะอัสดง จะอยู่ซ้อมอาวุธบนยอดเขากับทรงกลด น้ำเชี่ยว ธรรม์ ราหู และนลกุพร แม้จะไม่ค่อยพอพระทัยเท่าไรนัก แต่ก็สะกดอาการไว้ได้ เทวะจำต้องดำรงด้วยหน้าที่ และหน้าที่ของอัสดงสำคัญยิ่ง จะให้เขามาเที่ยวเล่นได้อย่างไร

ในระหว่างที่อัสดงนั่งคุยวิธีการใช้จักรกับนลและอณูน้อยที่เหลือเพื่อเตรียมไปบนยอดเขา จะด้วยความที่คุยเพลินหรือติดพัน เลยมิได้สังเกตถึงอาการผิดปกติทางสีพระพักตร์ที่แสดงออกมา.... เจ้านาคน้อยตาสวยทนประทับนั่งเฉยๆสักพัก จึงเสด็จเลี่ยงออกมาประทับยืนเงียบๆ และก็ไม่มีวี่แววว่าอัสดงจะรู้สึกตัวและตามออกมา และก็ทรงอดไม่ได้ที่จะเปรยออกมาด้วยพระทัยหงุดหงิด

“เห็นอาวุธ ดีกว่าเราหรือไง คนบ้า”

แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองก็โผนทะยานเหิรลอยออกไป ขึ้นสู่ยอดเขาที่มีพยับหมอกขาวสะอาดตา ตั้งพระทัยจะเหาะเหิรระบายความน้อยพระทัย แต่ก็ต้องทรงหยุดชะงัก เพราะแรงลมกรรโชกวูบจนพระเกศาดำขลับปลิวไสว วรองค์ที่งามขึ้นเรื่อยๆราวรูปสลักจำต้องประทับหยุดยืนกลางฟ้า ด้วยเหตุแห่งรัศมีสีแดงที่มาขวางทางเสด็จไว้ แว่บแรกทรงคิดว่าเป็นอัสสะ แต่มิใช่ กลับเป็นใครอีกพระองค์ที่ทรงชิงชังยิ่งหนา แต่เขาพระองค์นั้นกลับมิอนาทรร้อนใจในความชิงชัง

“พี่แอบดูเจ้าอยู่ตั้งนาน สีทันดร”

“วายุภัค!!”

“เจ้าจะไปไหน”

วายุภัคทรงตรัสถาม รอยแย้มสำรวลเต็มพระพักตร์ละมุน ประทับยืนขวางหน้าทางเสด็จไว้เช่นนั้น รัศมีสีแดงรอบพระวรกายแปรเปลี่ยนเป็นสีดาวฤกษ์ พระอุระกว้างเปล่าเปลือยพาดไว้แค่ผ้าสีเศวตพลิ้วสะบัด ท่อนล่างภูษาทรงคาดทับสนับเพลาจับจีบหยักรั้งงามสมศักติเทวปักษี ปีกกว้างหุบแนบวรองค์

“เรื่องของหม่อมฉัน ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้ หลีกไป”

“ก็บอกพี่มาก่อนสิ ว่าจะไปไหน ท้องฟ้าคืออาณาเขตที่พี่ดูแลอยู่ และเจ้าก็กำลังลุกล้ำ ฉะนั้น พี่จำเป็นต้องรู้ ”

พระเนตรฟ้าครามใสของเจ้านาคาน้อยเริ่มเจือระเรื่อด้วยเพลิงโทสะแห่งความชิงชังในเทวปักษีเผ่าพันธุ์คู่อริ พอสดับทบทวนมันก็จริงอย่างที่เขาว่า มหาสมุทรแลท้องน้ำทั้งปวงคืออาณาเขตของตน หากแต่ท้องฟ้าและห้วงนภากาศคืออาณาเขตของเขา และก็เสด็จเข้ามาเอง

“งั้นหม่อมฉัน จะกลับ หวังว่าคงจะมีสักวันที่ฝ่าบาท เสด็จหลงไปในอาณาเขตหม่อมฉันบ้าง วันนั้นจะต้อนรับให้สมพระเกียรติยศเลยทีเดียว”

สิ้นพระดำรัส สีทันดรก็เหิรทะยานออกมาเลี่ยงเทวปักษีมาเสียให้พ้น ...ที่เลี่ยง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะทรงรู้ดีว่า หากปะทะกันจริงๆ ฝีพระหัตถ์แลเดชะยังมิสามารถเทียบเคียงวายุภัคได้ ...วายุภัคมิใช่ครุฑบริวารชั้นเลว ที่ทรงสังหารเมื่อคืน

วายุภัคทรงพระสรวลอย่างแจ่มใส ประทับนิ่ง ทอดพระเนตรดู ‘เทวนาคา’ พระองค์น้อยเหิรลอยกลับไปด้วยความรวดเร็วแต่แล้วรัศมีแห่งเทวนาคาก็ต้องสะท้อนกลับมากลางพยับหมอก ที่ทรงประทับรออยู่

“เหอะ...เจ้าคิดเหรอ ว่าเข้ามาในอาณาเขตพี่แล้ว จะออกไปได้ง่ายๆ”

“หม่อมฉันจะกลับ เปิดทางเดี๋ยวนี้”

“พี่ก็ไม่ได้ขวางทางเจ้าไว้นี่” วายุภัคทรงกล่าวตอบ พระพักตร์เลิศลักษณ์แกล้งทำไขสือ หากแท้จริงแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์

“แต่ฝ่าบาท ทรงปิดทาง”

สุรเสียงกราดเกรี้ยวตะโกนก้อง ที่ว่าปิดทางคือการที่สีทันดรทรงพุ่งเข้าปะทะ กับม่านอากาศหนุ่นเหนียว ฝ่าออกไปไม่ได้ และผู้ที่จะทำได้ ก็คงไม่ใช่ใครอื่นไกล ถ้าไม่ใช่ ‘เทวปักษี’ เจ้าของอาณาเขต

“เปิดทางเดี๋ยวนี้ ....หากไม่เปิดหม่อมฉันจำเป็นต้องสู้”

“ทั้งๆที่รู้ว่าสู้พี่ไม่ได้เนี่ยนะ เอาสิ ลองดู ถ้าคิดว่าเก่งนัก ก็ลองทำลายม่านอาคมพี่ดู”

สีทันดรกำพระหัตถ์แน่น หากยังทรงมีสมุทรมณี ต่อให้สิบวายุภัค ก็คงฝ่าออกไปได้โดยง่าย แต่บัดนี้สมุทรมณีหลอมรวมกับจักรามหาเทวะอยู่ที่อัสดง จะเรียกมาใช้งานก็ไม่ได้ ดังนั้น จำต้องฝ่าด้วยฤทธีแห่งพระองค์เอง ว่าแล้ว จึงทรงพนมหัตถ์ระหว่างพระอุระ เทวฤทธิ์ประสิทธิ์โดยพลัน บังเกิดเป็นละอองสีแดงทับทิมเม็ดเล็กๆนับร้อยนับพัน ระยับทั่ว แล้วจากจุดแดงๆเล็กๆนั้นก็ยืดยาวเป็นเส้นสีแดงพวยพุ่งออกไปเป็นนาคราชตัวน้อย เข้าปะทะ ม่านอาคมที่วายุภัคใช้ปิดทางเสด็จไว้

“ทำลายม่านอาคมให้สิ้น กาลอัคคี” พระสุรเสียงที่เคยใสกลับแข็งกร้าว พระเนตรแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงที่มีจุดทองสว่างจ้าภายใน พระโทสะดำเนินถึงขีดสุด

“โอ้ โห ถึงขนาดใช้ นาคกาลอัคคี ทำลายม่านอาคมของพี่เชียวเหรอ” วายุภัค มิทรงทุกข์ร้อนในความชิงชังและโทสะนั้น กลับยักพระอังสะอย่างยียวน สายพระเนตรที่คมวาวเกเรเจ้าเล่ห์แห่งเผ่าพันธุ์ บัดนี้ ฉายแววสนุก ที่ได้ ‘กักตัว’ ใครบางคนไว้ ความสุขพระทัยเล็กๆได้บังเกิด ยามได้ ‘ตอแย’

“สิตามัน!! จงขวางกาลอัคคีไว้”

แสงระยิบดั่งดาวฤกษ์จากฝั่งเทวปักษี กำจายวาบทันที่ที่สิ้นรับสั่งแล้วถลาออกไปกลายเป็น ‘สิตามัน’ หรือครุฑาสีขาวตัวน้อยนับร้อยนับพัน เข้าโรมรันกับ ‘นาคกาลอัคคี’ จากฝั่งเทวนาคา กาลอัคคีมีจำนวนเท่าไร สิตามันก็บังเกิดตามจำนวนนั้น

เทวอาคมจากเทวนาคา ต่อ เทวอาคมจากเทวปักษี ปะทะกันควรจะรุนแรง แต่ทำไมจากฝั่งเทวปักษีกลับมีกลิ่นอายความเอ็นดูเจือปน !!!

แม้จะมีความเอ็นดูจากเจ้าของสิตามัน แต่ด้วยศักติแลเดชะของสีทันดร ที่มิสามารถหักวายุภัคลงได้ กาลอัคคีก็ถูกสิตามันทำลายลงอย่างรวดเร็วในท้ายที่สุดพร้อมกับสายลมกรรโชกวูบใหญ่ที่ดึงพระวรกายงามเข้าไปสู่อ้อมพระพาหา แรงดึงดูดนั้นมหาศาลรุนแรง เจ้านาคน้อยทรงทราบทันทีว่าเฉกนี้เอง นาคบริวารจึงหลบไม่ค่อยจะพ้นจากกรงเล็บครุฑเท่าไรนัก แลเพียงวูบเดียว ก็ทรงรู้สึกได้ว่า วงแขนแข็งแรงพร้อมปีกใหญ่สีเศวตโอบรอบพระวรกายอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงไปทางไหนได้

“ปล่อย หม่อมฉันเดี๋ยวนี้ ฝ่าบาทมิสามารถจับหม่อมฉันเป็นภักษาหาร”

“เรื่องอะไร พี่จะปล่อย พี่รู้ว่ากินเจ้าไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้คิดจะกิน เจ้าเข้ามาในอาณาเขตของพี่ แล้วพี่ก็เปิดโอกาสให้เจ้ากลับออกไปแล้ว แต่เจ้ากลับออกไปไม่ได้เองต่างหาก เพราะฉะนั้น....พี่ก็เลยคิดว่าเจ้าอยากอยู่ที่นี่กับพี่”

“ อย่ามานับญาติกับหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีญาติเป็นนกขี้เรื้อน บอกไปไม่รู้กี่ครั้ง หม่อมฉันสัญญาว่าหากหลุดไปได้ ฝ่าบาทจะถูกแยกเป็นชิ้นๆ ยิ่งกว่าไอ้ครุฑสกปรกตัวเมื่อคืน”

สายพระเนตรฉายแววชิงชังจนถึงขีดสุด แต่วายุภัคกลับไม่สะทกสะท้านกลับผสานสายตาคมวาวลงมาจ้อง พระเนตรฟ้าครามที่ชิงชังคู่นี้เอง ที่เมื่อคืนได้เห็นก็ติดตาและพอกลับมาฉิมพลีก็ยากที่จะบรรทม จึงเรียกหาราชปุโรหิตคนสนิท มาช่วยไขบางสิ่งที่อยากรู้ให้กระจ่าง

“ดูให้เราหน่อย ว่าทำไม สีทันดร ถึงพระพักตร์ละม้ายและงามดุจพระมหาลักษมีเทวี”

“ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรอกฤา ว่าเทวนาคาพระองค์นั้น ทรงประสูติมาจากพรของพระมหาลักษมีเทวี”

“เรารู้.....แต่ทำไม เหมือนกันยิ่งนัก ถ้าเกิดจากพรก็น่าจะแค่คล้ายๆ แต่นี่ไม่ใช่ ถอดแบบพระแม่เจ้ามาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และอีกอย่างทำไมต้องทรงประทานพรไปทางฝั่งนาคาด้วย เรามั่นใจว่าต้องมีอะไรแอบแฝง ถึงอยากให้เจ้าช่วยตรวจดู”

“กระหม่อมเกรงว่า จะไม่ใช่เรื่องของทางเรา เทวนาคาพระองค์นั้นจะเป็นอย่างไร ประสูติจากไหน ทำไมต้องสนพระทัย”

“เราบอกให้เจ้าดูก็ดู อย่าบังอาจมาแนะนำเรา ท่านราชปุโรหิต” วายุภัคเริ่มกริ้วปัง

“พระเจ้าข้า” ราชปุโรหิตรับคำอย่างจำใจ ตรวจให้ตามรับสั่ง แล้วจู่ๆร่างที่หลับตาตรวจให้ก็ต้องพบกับแสงสว่างจ้า พร้อมพระสุรเสียงใสทว่ากราดเกรี้ยวทรงอำนาจ

“มันไม่ใช่กิจของเจ้า ครุฑปุโรหิต....อย่าแส่ไม่เข้าเรื่อง”

“พระมหาลักษมีเทวี ข้าพระพุทธเจ้ามิบังอาจ โปรด.......”

ครุฑปุโรหิตกราบทูลได้เพียงเท่านั้น แล้วร่างก็ถูกแสงสว่างจ้าแห่งพระมหาเทวีซัดกระเด็นจนสิ้นสติ นั่นแสดงว่าราชครูปุโรหิตมิสามารถดูได้ตามรับสั่ง แถมยังถูกซัดซะกระเด็นจนกระอักเลือด ยิ่งเพิ่มความสงสัยในเรื่องนี้เป็นทวีคูณ แต่นั่นก็ไม่เท่าทีท่าหยิ่งทระนง ไว้องค์อวดดี จนต้องแอบเสด็จมาดักดูอีกครั้งในตอนเช้า

“อวดดี จนแล้วจนรอดก็ยังอวดดี ถูกจับอย่างนี้ยังหยิ่งทระนง ปากกล้า เหอะ ทยุติธร ไม่เคยสั่งเคยสอนหรือไง พี่ว่า พี่พาเจ้าไปอบรมบ่มนิสัยเสียใหม่ที่ฉิมพลีดีกว่า”

วายุภัคยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ จนริมโอษฐ์ที่เคยเป็นจะงอย ซึ่งบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นรูปกระจับอยู่ห่างริมโอษฐ์แดงสดเพียงแค่คืบ กลิ่นดอกบัวหอมกรุ่นเจือด้วยกลิ่นท้องทะเลลึกสดใสถูกสูดเข้าเต็มพระปัปผาสะ

“หอมอย่างนี้ งามอย่างนี้ ใครจะกินเจ้าลง สีทันดร”

“อย่าเลวทรามนัก วายุภัค ปล่อยเรา”

เจ้านาคน้อยยังคงดิ้นพยายามสลัดพระวรกายให้หลุดรอดจากพระพาหา แต่มีฤาจะหลุด วายุภัคมิได้จิกตามธรรมชาติของครุฑ แต่กำลังจะใช้ริมโอษฐ์ทำอย่างอื่นตามธรรมชาติดั่งที่ชายทั้งโลกพึงกระทำยามเจอคนที่..... ‘ถูกพระทัย’

นี่คงเป็นเหตุผลสมควรแล้วใช่ไหมที่หมายพระทัยจะแยกเทวปักษีเกเรเป็นส่วนๆ ด้วยพระหัตถ์องค์เอง

แต่ก่อนที่ริมโอษฐ์รูปกระจับจะทำอะไรเกินเลย ครุฑบริวารสีน้ำตาล สองสามตนก็ปรากฏกายออกจากชะง่อนเขาสูง ทรุดกายหมอบราบกราบลงกลางฟ้า กราบทูลรวดเร็ว

“ สมเด็จพญาเวนไตย ให้มาทูลเชิญฝ่าพระบาทไปเข้าเฝ้าพะยะค่ะ เพราะถึงเวลาที่ต้องขึ้นเฝ้าพระมหาอุมาเทวีตามพระราชเสาวนีย์”

วายุภัคชะงักงันทันใด จังหวะนี้เอง สีทันดรจึงสลัดพระวรกายออกได้โดยง่าย คืนสภาวะสู่นาคาสีขาวเจิดจรัส อ้าพระโอษฐ์ฝังคมเขี้ยวลงไปบนต้นพระพาหาอย่างรวดเร็ว วายุภัคแม้จะทรงฤทธี มหิทธานุภาพสูง แต่มีฤาจะทนได้ วงแขนแข็งแรงและปีกสีเศวตกางออก เทวฤทธิ์ถูกใช้สกัดพิษร้ายแรงดั่งอสุนีบาตพลัน 

“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย จับทูลกระหม่อมสีทันดรไว้ เร็ว”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ครุฑบริวารที่หมอบราบมีหรือจะกล้าทำตามรับสั่ง แตกฮือ กระพือปีกหนี เพราะมิสามารถทนไอพิษที่กำจายรุนแรงโดยรอบ และไม่มีครุฑบริวารหน้าไหนกล้าขวางทางเสด็จ ม่านอาคมของวายุภัคที่ใช้กักไว้ คราวนี้ถูกทำลาย ได้โดยง่าย สิตามัน หลายร้อยตัว พยายามขวางไว้ แต่ก็ถูกเพลิงจากพระโอษฐ์ เผาเป็นจุณ เพียงกระพริบตา

“สีทันดรกลับมาก่อน พี่แค่ล้อเล่น มาคุยกันก่อน”

หากเป็นครุฑหรือเทวดาองค์อื่นที่ไม่ใช่ระดับสูง โดนพิษของเทวนาคาคงไม่แคล้วจุติ แต่วายุภัคทรงศักติเทวปักษีชั้นลูกท่านหลานเธอเหมือนทยุติธรและสีทันดร มีฤาจะไม่รู้วิธีกำจัดพิษ จึงฟื้นกำลังรวดเร็ว คืนสู่สภาวะเทวปักษีเต็มขั้นบินตาม ทว่าสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นกลางฟ้า สะกดพระวรกายอยู่กับที่ วายุภัคจำต้องหยุดทรุดหมอบถวายบังคม

“วายุภัค อย่ายุ่งกับเทวนาคาน้อยพระองค์นั้น จงกลับมาหาปู่ที่ฉิมพลี บัดเดี๋ยวนี้”

พญาเวนไตยทรงเรียกหาเองเช่นนี้อีกครั้ง หลังจากให้ทหารมาตาม แสดงว่า กริ้วเต็มที่และทรงรอชำระความอยู่ ก็คงไม่พ้นเรื่องที่ทรงก่อ จนพระมหาอุมาเทวีเรียกเฝ้า เหอะ!! แล้วใครจะกล้าขัดรับสั่ง

“พะยะค่ะ”

วายุภัคจำต้องเสด็จกลับทันที สายพระเนตรยังคงมองนาคาสีขาวเจิดจรัสที่งามยิ่งกว่านาคาใดๆทั้งมวลที่เคยพบเคยเห็นอย่างสุดแสนเสียดาย “เหอะ สีทันดร หนีได้หนีไป ยังไงเราก็เลี่ยงกันไม่พ้นแน่นอน”

สีทันดรเมื่อเสด็จหลบหลีกจากเจ้าเทวปักษีเกเร มาถึงบ้านพัก ก็คืนพระวรกายสู่สภาวะมนุษย์ วงพักตร์ขาวใสเคยกระจ่างบัดนี้ระเรื่อด้วยเลือดฝาดสีแดง โกรธน่ะใช่ แต่โกรธตอนไหน ตอนโดนกักตัวหรือตอนโดนเขากอด

“ครุฑสารเลว วันนึงเราจะฆ่าเจ้าด้วยมือเราเอง” พระวรกายที่เหนื่อยหอบและพระสุรเสียงที่สั่นพร่าเริ่มคืนสู่สภาพปกติ ก่อนที่ใครจะเห็น เรื่องนี้ต้องบอกอัสสะ ให้อัสสะจัดการ

“เอ๊ะ....แล้วนี่ไปไหนกันหมด”

สีทันดรเสด็จเข้าไปยังที่ทานอาหารเมื่อตอนเช้าหมายพระทัยว่าจะเจออัสสะกับพวกนั่งอยู่แต่ก็ผิดคาด ที่นี่ว่างเปล่าเหลือแค่พนักงานและคนทำความสะอาดเท่านั้น จึงเสด็จกลับมาประทับนั่งยังบ้านพักของตน 

“ไปไหน ของเขานะ รัก ยม มาหาเราหน่อย”

“อยู่นี่แล้วพะยะค่ะ พี่ดื้อ” เจ้าผีเด็กหัวจุกหมอบราบปลายพระบาท แล้วคลานเข่าเข้ามานวดเฟ้นอย่างเอาพระทัย

“อัสสะไปไหน เจ้าสองคนรู้ไหม”

“ขึ้นไปฝึกอาวุธบนเขาแล้วพะยะค่ะ พี่ดื้อ” เจ้ายมทูลตอบเสียงใส

“แล้วสั่งความอะไรถึงเราบ้างหรือเปล่า” สีทันดรคาดว่า อัสสะคงจะฝากถ้อยคำอะไรไว้ อย่างน้อย บอกให้รอที่นี่ สั่งว่าอย่าดื้อ อย่าซนก็ยังดี แต่คำตอบก็ทำให้พระพักตร์เสีย

“ไม่มีนี่พะยะค่ะ พอพี่พระอาทิตย์ กินข้าวเช้าเสร็จนั่งคุยกับพวกพี่น้ำเชี่ยวสักพักก็ไปบนเขากันทั้งกลุ่มเลย”

“แล้วเขาไม่ถามหาเราเลยเหรอ รัก”

“ไม่นี่พะยะค่ะ จะให้กระหม่อมสองคนไปตามกลับมาไหม”

“ไม่ต้องหรอก” พระพักตร์งามจากโกรธวายุภัค เปลี่ยนเป็นน้อยพระทัยกับอัสสะ ยามมีภัยเมื่อครู่คิดถึงแต่เขา กลับมาก็หวังจะซบอก แต่พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแผงอกกว้างรอรับพระพักตร์เฉกเคย

“ปล่อยให้เขาฝึกอาวุธ อาคมต่อไปเหอะ เราไม่มีอะไรสำคัญนักหรอก” 

“พี่อัสดง คงจะลืมกระมังพะยะค่ะ” สิ้นเสียงเจ้ายม เจ้ารักที่จับสังเกตจากสายพระเนตรที่เจือด้วยรอยรื้นใสๆได้ก่อน ก็เขกหัวสหายมาหนึ่งที่

“ไอ้ยม ไปทูลอย่างนั้นได้อย่างไร”

“ช่างเหอะรัก ยมมันพูดถูก ใช่...อัสสะคงจะลืม” คำว่าลืมคำเดียวสั้นๆ กลับทำให้วาบในพระอุระ หากเขากลับมาแล้วไม่เจอเราบ้าง อยากรู้นักว่าจะรู้สึกอย่างไร ว่าแล้วสีทันดรจึงพยายามปรับพระสุรเสียงให้สดใส มิให้ใครจับพระอารมณ์ได้อีก

“รัก ยม เราไปเดินเล่นกันบ้างเหอะ มืดๆค่อยกลับกัน”

“ควรจะบอกพี่อัสดงให้ทราบก่อนนะพะยะค่ะ เดี๋ยวพี่อัสดงกลับมาไม่เจอ จะเป็นเรื่องใหญ่” 

“ช่างเขาสิ....ไม่ต้องบอกอะไรทั้งสิ้น เราออกรับเองหากมีปัญหา ถ้าเขาถาม เราจะบอกเขาแค่ว่า เราลืม” เจ้านาคน้อยฝืนยิ้ม แล้วกล่าวต่อว่า

“เราไปกันได้แล้ว”

“พะยะค่ะ”

แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองระเรื่อก็กำจายวาบ เหิรทะยานเพียงแค่เหนือยอดไม้สูง มิขึ้นสูงเสียดฟ้าเทียมยอดเขาดั่งเคย เพราะเกรง ว่าจะเจอ นกขี้เรื้อนต่ำช้า ดักอยู่อีก ส่วนเจ้ารัก เจ้ายม ก็เหิรทะยานตามเสด็จลูกพี่ตาสวยโดยมิขัดอันใดอีก

คืนฉายกับเอราวัตที่แยกมาเที่ยวกันสองต่อสอง เจอกับคันฉัตรและตระการตาโดยบังเอิญที่หมู่บ้านสันติชนซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้ดูวิถีชีวิตของชาวยูนานและสถาปัตยกรรมจีนแบบชนบท ทั้งสี่ถือโอกาสทานอาหารกลางวันด้วยกัน และเดินย่อยถ่ายรูปกันไปทั่ว เอราวัตสิ้นความกินแหนงแคลงใจในตัวตระการตาแล้วจึงมีทีท่าที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม และตัวคันฉัตรเองก็ไม่ได้มีความกังวลว่าตระการตาจะหลงเสน่ห์คืนฉายอีก

เมื่อรักแล้วก็ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน มิควรให้ตะกอนความระแวงบั่นทอนหัวใจรักอันพิศุทธิ์

แต่บัดนี้เล่าใครบางคนกำลังมีความน้อยพระทัย และประทับนั่งอยู่กลางเก๋งจีน มีมหาดเล็กเป็นหนุ่มน้อยสองหน่อหมอบเฝ้าไม่ห่างพระวรกาย

“นั่นน้องดื้อนี่ ทำไมมานั่งอยู่กับใครอีกสองคนน่ะ” เอราวัตเห็นเป็นคนแรก และชี้ให้ที่เหลือดู

“เออใช่ นั่นสิมานั่งอยู่กับใคร หรือว่าน้องดื้อมีกิ๊ก แล้วอัสดงมันทำห่าอะไรอยู่ ปล่อยให้แฟนตัวเอง มาอยู่กับผู้ชายคนอื่นลำพังได้ไง”

“จะใครที่ไหน นายลองดูดีๆสิไอ้ฉาย นั่นมันไอ้รัก ไอ้ยม ไอ้สองคนนี่เวลามันไปไหนๆ หรือฉันใช้ให้ไปทำอะไร มันชอบแปลงกายเป็นร่างมนุษย์แบบนี้แหละ พวกนายอาจจะเคยชินกับร่างเด็กหัวจุกมากกว่า” คันฉัตรไขความกระจ่างให้เพื่อน พร้อมจูงมือตระการตาก้าวเดินนำหน้าไปหาคนที่กำลังนั่งเหงา

“เดี๋ยวฉัตร รักกับยม ที่ฉัตรบอก คือเด็กหัวจุกสองคนที่พาตาออกมาจากร้านเหล้าใช่ไหม  สองคนนั่น ไม่ใช่คนใช่ไหม” ตระการตาเริ่มทบทวนความจำและเริ่มขนลุกเกรียว ชื่อรักยมที่เคยได้ยิน มันเป็นชื่อของผีที่อยู่ในขวดไม่ใช่เหรอ

“ใช่แล้วตา รักยม เป็นโอปาติกะชนิดหนึ่ง ลูกน้องฉัตรเอง ไม่ต้องกลัวมันหรอก ไปกันเถอะ”

ทั้งสี่เดินมาจนถึงเก๋งจีน แต่คนที่กำลังนั่งเหม่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะผินพระพักตร์มาหา จนเจ้ารักยม ร้องทักขึ้นนั่นแหละ สีทันดรถึงได้รู้สึกองค์ “อ้าวพวกพี่ๆมาได้ยังไงกัน”

“พวกพี่ต่างหาก ต้องถามน้องดื้อ ว่าทำไมมานั่งเหม่ออยู่ที่นี่” คันฉัตรเดินเข้ามาเป็นคนแรก โอบพระอังสะด้วยความเอ็นดู

“เราไม่ได้เหม่อซะหน่อย แค่คิดอะไรเพลินๆ พอดีว่างๆ ก็เลยชวนรักยมมาเดินเล่น”

“แล้วพี่อัสสะของน้องดื้อไปไหนเสียล่ะ ปล่อยแฟนน่ารักๆ ให้อยู่คนเดียวได้ไง” คืนฉายเดินเข้ามาหาบ้างขยี้พระเกศาด้วยความเอ็นดูเช่นกัน หากเป็นยามปกติ สีทันดรคงยิ้มอย่างแจ่มใส แต่ตอนนี้ตะกอนความน้อยพระทัยทำให้รอยแย้มสรวลขุ่นมัว แลรัศมีรอบพระวรกายที่สามอณูเทวะน้อยมองเห็น ก็ไม่สดใสเช่นเคยเท่าไรนัก

“ไอ้อัสดงไอ้ห่า สนใจแต่อาวุธ ไม่สนใจแฟน” เจ้าพระพุธน้อยผู้ที่รู้และอ่านความในพระทัยออกเผลอโพล่งออกมา ยิ่งทำให้พระพักตร์ที่ตูมอยู่แล้วยิ่งเสีย คืนฉายซัดเจ้าแฟนตัวดีไปเสียหนึ่งที

“เอราวัต พูดอย่างนั้นได้ไง”

“อย่าไปสนใจปากไอ้เอราวัตเลย พี่ว่าน้องดื้อไปเดินเที่ยวกับพวกพี่ๆดีกว่าไหม” คันฉัตรพยายามหาทนทางให้เจ้านาคน้อยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะทรงสงบเงียบเป็นคนละคนกับเมื่อเช้า

“พวกพี่ๆ ไปกันเหอะ เราไม่เป็นไรหรอก เราไม่อยากเป็นส่วนเกิน พวกพี่ๆจะได้คุยกันโดยสะดวก ไม่ต้องห่วง เรามีรักมียมเป็นเพื่อน” สีทันดรพยายามปรับสีพระพักตร์และท่าทางให้สดใสคงเดิมมากที่สุด แต่อณูน้อยทั้งสามแม้แต่ตระการตาที่เป็นคนธรรมดาก็จับได้ว่า............... ‘ทรงทำเพียงเพื่อตบตาเท่านั้น’

“แต่พวกพี่ๆ ไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“อย่าเป็นห่วงอะไรเรานักเลย เราบอกว่าเราไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ เราว่าน่าสนุกออกที่นานๆจะได้เที่ยวลำพังโดยไม่มีผู้คุมซะที” สุรเสียงใสยังคงดำเนินเพื่อกลบเกลื่อน “ เราว่าเราจะไปนมัสการพระธาตุซะหน่อย ตอนขึ้นเขามา เห็นรัศมีสุกใสแว่บๆ พวกพี่ไปเที่ยวกันต่อเถิด ไม่ต้องห่วงเรา”

สิ้นพระดำรัส เจ้านาคน้อยก็สลายหายวับเป็นรัศมีเขียวเจือทองรวดเร็ว ทำเอาตระการตาที่ยังไม่เคยชินตาค้าง และก็ต้องตกใจจนตัวสั่นหลบไปอยู่หลังคันฉัตร เมื่อคันฉัตรสั่งให้เจ้ารักเจ้ายมรีบติดตาม เพราะเจ้าสองตนนั่นไม่รับคำอย่างเดียว ยังแกล้งทำตาโตขนาดลูกมะพร้าวใส่ตระการตาก่อนจะสลายหายวับไป

“ผะ ผี หลอกกลางวัน”

“เดี๋ยวเหอะ ไอ้รัก ไอ้ยม รีบตามลูกพี่จอมดื้อไปได้แล้ว ไอ้เวรตะไลเอ๊ย”

พลบค่ำแล้วอณูน้อยทุกคนกลับมารวมตัวเรียบร้อย และนั่งทานมื้อเย็นคุยกันอย่างสนุกสนาน อัสดงเล่าถึงการฝึกอาวุธของตนว่าก้าวหน้าไปเพียงไร ‘จักราแห่งมหาเทวะ’ อาวุธชิ้นใหม่มาพร้อมกับหน้าที่จอมทัพ ทำให้ทุกลมหายใจเข้าออกตอนนี้นั้น มีแต่ฝึกกับฝึก จนลืมนึกถึงหัวใจ พอเห็นคืนฉายตักกับข้าวให้เอราวัตเท่านั้นแหละ จึงนึกขึ้นได้ ว่ายังมีหัวใจอยู่

“เอ๊ะ.....ไอ้ดื้อไปไหน ใครเห็นไอ้ดื้อบ้าง ไอ้กลดนายเห็นหรือเปล่า”

“นายจะมาถามทำไม ฉันก็ไปฝึกอาวุธกับนายตลอด จะเห็นไหมล่ะ”

“หายเงียบไปอย่างนี้ เราล่ะกลัวนัก ...เพราะเวลาสีทันดรโผล่กลับมาทีไรชอบมีเรื่องทุกที” นลกุพรตรัสอย่างติดตลก เพราะทรงรู้พระอุปนิสัยสหายดี เรียกเสียงหัวเราะได้บ้าง “เดี๋ยวก็กลับมา เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก อัสดง”

“แต่นี่จะ สองทุ่มแล้วนา น่าจะมาได้แล้ว”

“คงเล่นซนอยู่แถวๆนี้แหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แฟนนายไม่มีใครทำอะไรได้หรอก ดูอย่างเมื่อคืนสิ ขนาดครุฑ น้องเขายังเล่นเอาซะกินนกกินไก่ไม่ลงเลย” ราหูพูดแล้วก็ขนลุกซู่ อัสดงจึงคลายความกังวลใจลงไปบ้าง เพราะประจักษ์จริงถึงฝีพระหัตถ์แฟนตัวน้อย

“เดี๋ยวก็กลับน่า กินเหล้ากันต่อเหอะคืนนี้ เหล้ายังเหลือ”

น้ำเชี่ยวตบไหล่อัสดงปลอบใจให้คลายกังวล แอบอมยิ้มนึกในใจ ถึงครั้งที่สีทันดรโดนมนตราของจันทรเทพแล้วหนีเที่ยว จนตนไปพบแล้วแอบแปลงตัวเป็นลมหอบหอมแก้มสีทันดรมาเสียหลายฟอด ความลับนี้มีเขากับธรรม์รู้เพียงเท่านั้น และก็ไม่มีใครจะสืบสาวราวเรื่องต่อเพราะความผิดครั้งนั้นทั้งมวลตกไปอยู่กับจันทรเทพแล้ว

เขายอมรับว่าเคยถูกใจสีทันดรยิ่ง ภาพที่วิ่งมาตามระเบียง งามอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็ต้องถอดใจ เก็บความรู้สึกนั้นและยอมยกธงขาวรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเพราะรู้ดีว่าตนไม่เหมาะสม และไม่มีทางสู้อัสดงได้ ....แล้วใครล่ะ ใคร จะมาเป็นคู่ของเขา

“ไอ้น้ำเชี่ยว ยิ้มส้นตีนอะไรวะ แทนที่มึงจะช่วยกันแนะนำให้ไอ้อัสดงไปดูแฟนกลับชวนมันกินเหล้า มึงนี่ไม่ไหวเลย” คืนฉายหันมาด่าน้ำเชี่ยว นานๆจะพูดจะจาเข้าท่าเป็นการเป็นงานกับเขาบ้างเหมือนกัน

“นายควรไปดูน้องดื้อหน่อยนะอัสดง วันนี้พวกฉันเจอน้องดื้อไปกับไอ้รักไอ้ยมที่หมู่บ้านสันติชน ดูท่าทางน้องเขาเหงาๆพิกล ชวนไปเที่ยวด้วยก็ไม่ยอมไป ดันอยากไปเที่ยวลำพัง เห็นว่าจะไปไหว้พระธาตุ”

“อ้าว ไอ้ห่า แล้วทำไมเพิ่งมาบอกวะ ทำไมพวกมึงไม่ตามไปด้วย”

“ไอ้เวรนี่ แฟนมึงนะโว้ย พวกกูชวนแล้วน้องเขาไม่ไป แล้วพวกกูจะทำยังไง มึงต่างหากควรสนใจเขาหน่อย ไม่ใช่มาถึงก็เอาแต่พร่ำเรื่องจักร เรื่องอาคม” คันฉัตรแก้แทนคืนฉาย โมโหอัสดงนิดๆ

อัสดงได้ฟัง ได้โดนเพื่อนด่าก็เพิ่งจะคิดได้กระมัง จึงยิ้มแหยๆ “เออๆๆ งั้นเดี๋ยวกูมา ไปตามหาไอ้ดื้อก่อน”

“แล้วนายรู้เหรอ ว่าอยู่ไหน”

“เออ นั่นสิ ไม่รู้ว่ะ” อัสดงหน้าหดเหลือสองนิ้ว ใช่สิ จะไปตามที่ไหน จับด้วยกระแสจิตก็ติดต่อไม่ได้

“ก็เรียกไอ้รัก ไอ้ยมมาถามสิ ไอ้เบื๊อกเอ๊ย” เอราวัตรำคาญ จึงด่ามาให้ แล้วเรียกรักยมมาถามความให้เจ้าหัวหน้า  เจ้าผีเด็กรีบปรากฏกายคราวนี้อยู่ในร่างเด็กหัวจุกดังเดิม “ลูกพี่จอมดื้อ เจ้าไปไหน”

“อ้าว พี่ดื้อ ยังไม่เสด็จกลับมาหรอกหรือ”

“อะไรนะ ไอ้รัก ไอ้ยม นี่เราสั่งให้เจ้าตามไป เจ้าไม่ได้ตามหรอกหรือ”

“ตามครับพี่ฉัตร แต่รักกับยม เข้าไปในอาณาเขตพระธาตุไม่ได้ พี่ดื้อก็เลยให้รักกับยมกลับมาก่อน”

“แล้วเจ้าก็เชื่อ.....เห็นทีเราต้องทำโทษเจ้าบ้างเสียแล้วรักยม”

คันฉัตรเสกหวายขึ้นมาทันที เจ้ารักเจ้ายมเห็นเข้าก็เบะปากยังไม่ทันจะโดนตีก็ร้องไห้ลั่นซะแล้ว ส่วนอัสดงก็เริ่มนั่งไม่ติด ลุกขึ้นเตรียมออกตามด้วยความกระวนกระวาย แต่ก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายไปมากกว่านี้ รัศมีสีเขียวเจือทองก็สว่างวาบ พร้อมพระสุรเสียงที่มาก่อนองค์เสมอ

“อย่าตีรักยมนะพี่ฉัตร ...เราอยู่นี่ พวกเจ้าจะวุ่นวายตามหาเราทำไม เราแค่ไปเที่ยว ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย”

เจ้ารักเจ้ายมหยุดร้องไห้หายวับมาหลบอยู่เบื้องหลังพระปฤษฏางค์ หลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะหมดห่วงเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้าย แล้วเจ้าพระอาทิตย์รูปงามก็ถลาเข้ามาหาทันใด

“ไปไหนมา ทำไมไม่บอก รู้ไหมอัสสะเป็นห่วงแทบแย่”

“เราลืม” นี่ไงคำพูดสั้นๆที่เตรียมไว้ ดูสิจะรู้สึกยังไร

“อะไรนะ ลืม....อัสสะสั่งแล้วตั้งไม่รู้กี่หนว่าจะไปไหนมาไหนให้บอกอัสสะ เจ้าลืมได้อย่างไร” อัสดงขมวดคิ้วหน้ายุ่งพลันเพราะคำตอบที่ได้ฟังแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

เจ้านาคน้อยเองก็เริ่มที่จะไม่สบอารมณ์เช่นกัน เหอะ คนบ้า ทีตัวเองไปฝึกอาวุธ โดยไม่สนใจเราสักนิดเรายังไม่ขึ้นเสียงกราดเกรี้ยวเอากับเจ้าเลย มันจะมากไปแล้ว แต่ก่อนที่จะโต้ตอบด้วยพระอารมณ์ รัศมีเหลืองนวลจากทรงกลดก็กำจายวาบทำให้อารมณ์ขุ่นมัว  จางลงรวดเร็ว คำพูดที่ตั้งพระทัยเตรียมซัดกลับจึงเหลือเพียงแค่ว่า

“เราขอโทษ พอใจหรือยัง”

“เอาน่า ใจเย็นๆกันก่อน” นลกุพรรีบเสด็จเข้ามาระหว่างกลาง เพราะเกรงว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆจะบานปลาย แล้วหันมาทางสหายสนิทตัวน้อยโอบด้วยอ้อมพระพาหาอย่างเอาพระทัย ตรัสเตือนพระสติปนสอนมาว่า “ อัสดงเขาเป็นห่วงเจ้านะสีทันดร เจ้าก็ไม่น่าดื้อ น่าซนอย่างนี้เลย เจ้าโตแล้วนะ จะเรียกร้องความสนใจเป็นแบบเด็กๆไม่ได้”

“เราไม่ได้เรียกร้องความสนใจนะนล เอาเป็นว่า ถ้าทุกคนเห็นว่าเราผิด ที่ไปไหนไม่บอก เราก็จะยอมรับผิด พอใจกันหรือยัง” สิ้นรับสั่งพระบาทหนักๆก็กระแทกปึงปังเสด็จจากไป อัสดงไม่รอช้าเดินตามมาทันที ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไอ้นิสัยดื้อเอาแต่ใจแบบนี้หายไปนานแล้ว ทำไม วันนี้กลับมาอีก

“กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนไอ้ดื้อ อย่าเดินหนีอัสสะแบบนี้”

สีทันดรไม่สนพระทัยใครๆทั้งนั้น เดินไปกลางสนามหญ้า ที่มีกระถางบัวหลวงกระถางใหญ่ตั้งไว้ แล้วทรงย่อพระวรกายเสด็จหายเข้าประทับ ณ ใจกลางเกสรดอกบัว กลีบบัวสีชมพูแกมแดงบัดนี้กลายเป็นปราการกั้นไม่ให้ใครบางคนตามลงมา เทวฤทธิ์ประสิทธิ์ขึ้นอีกชั้น พร้อมเส้นรัศมีสีแดง พวยพุ่งพันไว้ปานประหนึ่งสายสิญจน์ นาคกาลอัคคี อันเกิดจากพิษร้อนแรง เป็นกำแพงกั้นชั้นนอกสุด ยากที่จะทำลาย ถ้าไม่ใช่อาคม ครุฑสิตามัน จากผู้ทรงศักดิ์สูงกว่า

“ออกมาคุยกันดีๆ เดี๋ยวนี้นะไอ้ดื้อ”

“เราไม่มีอะไรจะคุยกับอัสสะ เราขอโทษไปแล้ว เลิกพูดเรื่องนี้เสียที คืนนี้เราจะนอนที่นี่ อัสสะนอนกอดจักรของอัสสะไปเหอะ”

“โธ่....ไอ้ดื้อ!!”

“ไง....งานเข้าแล้วมึงไอ้พระอาทิตย์ กูบอกแล้ว ว่าฝึกอาวุธน่ะ ว่างๆเว้นๆบ้างก็ได้ ใส่ใจแฟนมึงหน่อย แต่เอาเหอะ ง้อๆน้องเขาหน่อย เดี๋ยวก็หาย” คืนฉายที่ตามลงมาด้วยตบไหล่ กล่าวให้กำลังใจปนด่านิดๆ

“ที่ผ่านมากูไม่ใส่ใจตรงไหนไอ้ฉาย......เหอะ ถ้าไม่มีเหตุผลแบบนี้ ไม่ง้งไม่ง้อแล้วโว้ย”

อัสดงเดินปึงปังออกไปบ้าง คว้าขวดเหล้าที่น้ำเชี่ยวถือติดมือมากระดกพรวด แล้วเสียงใสๆเอาแต่ใจก็แทรกลอยมาตามลม อัสดงได้ยินก็แทบจะลงไปแหวกกลีบบัวแล้วคว้าตัวมาตีก้นให้หายโมโห

“เราก็ไม่อยากให้เจ้ามาง้อหรอก...........ไอ้ไฟนรก”

เพื่อนๆที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างตะลึง แต่ก็ไม่มีใครรำคาญหรือสะใจที่ทั้งคู่ไม่เข้าใจกัน สีทันดรนั้นถือว่าเป็นไข่แดงที่เหล่าอณูต่างนิยมชมชอบ เปรียบเสมือนน้องรัก ที่ไม่อยากให้ใครมารังแก แม้น้องคนนี้จะดื้อและเอาแต่ใจอย่างถึงที่สุด ส่วนอัสดงนั้นแม้จะเป็นเพื่อนก็อยู่ในฐานะหัวหน้า และเมื่อผู้นำกลุ่มมีปัญหา ก็พร้อมจะช่วยอย่างสุดความสามารถ

“เอาน่า อัสดง ปล่อยน้องดื้อสักพักก่อน เดี๋ยวช่วยพูดให้” ทรงกลดกอดคออดีตคู่แข่ง ช่วยปลอบใจ

“ขอบใจไอ้กลด....แต่ใครรู้บ้าง ว่าสรุปแล้ว ไอ้ดื้อโมโหกู โกรธกูเรื่องอะไร”

แล้วทุกสายตาก็หันมามองอัสดงเป็นจุดเดียว ทำหน้าฉงนอย่างไม่เชื่อหู ว่าจะเป็นคำพูดของเจ้าพระอาทิตย์น้อย จากนั้นพร้อมใจกันประสานเสียง

“นี่มึงไม่รู้จริงๆ หรือมึงฝึกอาวุธจนโง่วะ ไอ้ฟายเอ๊ย!!”

ดึกสงัดแล้ว วงเหล้าก็ยังไม่เลิก แต่คืนนี้อาจจะไม่เฮฮาเท่าคืนแรก เพราะอัสดงกับสีทันดรดันมีเรื่องไม่เข้าใจกัน และบัดนี้อัสดงก็เข้าใจหมดสิ้นแล้ว ว่าเจ้านาคายอดรัก ทรงงอนด้วยเหตุอันใด เจ้าพระอาทิตย์น้อยจึงถือแก้วเหล้าไปนั่งเฝ้าหน้ากระถางบัวอยู่คนเดียว

หากเป็นเมื่อก่อนทรงกลดคงสะใจ และสบโอกาสที่จะเสียบเข้าระหว่างกลาง ทว่าตอนนี้ เขาเห็นใจมากกว่า อัสดงอาจจะผิดที่สนใจแต่อาวุธใหม่ ...แต่ มันก็เป็นหน้าที่ ที่เขาต้องสนใจมิใช่หรือ เทวะดำรงด้วยหน้าที่ นี่ถ้าอัสดงสนใจแต่เรื่องรักอย่างเดียว สวรรค์ก็คงตำหนิ คิดๆไปก็น่าเห็นใจ

ทรงกลดถอนหายใจแทนสหายเฮือกใหญ่ กระดกเหล้าเข้าปากแก้วสุดท้าย แล้วเดินไปให้กำลังใจอัสดงอีกครั้งก่อนจะเดินกลับบ้านพัก ฤทธิ์สุรา ทำให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพมึนงงบ้าง แต่ก็ไม่กระไรนัก อาบน้ำเย็นๆก็คงจะหาย และเมื่อถึงบ้านเจ้าอณูน้อยจึงไม่รอช้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า พาร่างกายที่ครองด้วยพิษสุราไปอยู่ภายใต้ฝักบัวที่น้ำเย็นยะเยียบ ด้วยความที่เป็นอณูร่างกายจึงทนทานได้เกินมนุษย์

แสงจันทร์ต้นกำเนิดสาดส่อง กระทบผิวขาวนวลที่ระเรื่อด้วยกรอบรัศมีเหลืองอ่อนกลางห้องอาบน้ำแบเอาท์ดอร์ ที่แยกเป็นส่วนตัวติดกับห้องนอนของบ้านพักแต่ละหลัง ด้วยความสว่างของรัศมีในตัว โคมไฟจึงไม่จำเป็นต้องเปิด ละอองน้ำเม็ดใหญ่เริ่มแตกเป็นฝอยยามกระทบร่างสูงโปร่งได้สัดส่วน ไหลวนไปตามความโค้งมนของมวลกล้ามเนื้อและร่องท้องน้อยที่แบนราบแต่ด้านข้างเป็นวีเชพ เป็นร่องน้ำพาไปสู่ป่าทึบสีน้ำตาล ทรงกลดยังคงปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ฝัน ผ่านสายน้ำที่ช่วยขับไล่ฤทธิ์สุราและความเหนื่อยอ่อนที่สะสมมาทั้งวัน แต่แล้วอารมณ์นั้นก็ต้องชะงักงัน ตรึงร่างเขาให้อยู่กับที่เพราะสุรเสียงของใครบางคนที่ดังกังวาน ดังขึ้นกลบเสียงซู่ซ่าของน้ำทั้งมวล และจะเป็นของใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เจ้ายักษ์ที่มีรัศมีสีแดงโกเมน

“กลับมาทำไมไม่บอก ถ้าเราเมาใครจะพยุงเรากลับ” นลกุพรตรัสจบก็ก้าวฉับๆลงมา ในห้องอาบน้ำ โดยมิสนพระทัยว่าพี่เลี้ยงที่แสนดีจะมีเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกายหรือไม่ เพราะองค์เองนั้น ก็เตรียมพร้อมที่จะลงสรงยามดึกเช่นกัน

“นะ....นล มาได้ไง กินเหล้าอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“เมื่อกี้น่ะใช่ ...แต่กลัวเมาแล้วไม่มีใครพยุงกลับ เพราะคนพยุงหนีมาอาบน้ำ” นลกุพรหยุดเว้นวรรคตรัสชั่วครู่ แทรกพระวรกายเข้ามากลางสายฝักบัว แล้วตรัสว่า “ อาบน้ำด้วยคนนะกลด ไม่ต้องอายหรอก ผู้ชายด้วยกัน”

นลกุพรมิทรงสนพระทัยที่จะรอคำตอบ ทรงปล่อยให้พระวรกายอยู่ใต้สายน้ำจากฝักบัว พระฉวีสีหม้อใหม่คลับคล้ายอัสดงงามสะท้อนก่อประกายระยิบจากรัศมีสีแดงโกแมน พระวรกายเปล่าเปลือย สะกดให้อณูน้อยจ้องมองอย่างตาค้าง ร่างนิรมิตในรูปกายแห่งเทวอสุราหนุ่มน้อย ไม่ต่างอะไรกับประติมากรรมรูปสลักชั้นเลิศ มัดกล้ามงามสมส่วนต้นพระพาหา แนบชิดต้นแขนนวลลออ ด้วยความที่ฝักบัวมีอยู่เพียงแค่ฝักเดียว แลละอองน้ำก็มิได้กว้างนักทั้งสองจำต้องเบียดกายแนบชิด ชิดจนที่เรียกว่า หากเบี่ยงตัว อกกำยำนั้นก็จะแนบแผ่นหลังกว้าง หน้าท้องแข็งแรงแบนราบก็จะทาบเข้าสนิทติดพอดีกับบั้นท้าย

กลิ่นสบู่เหลวจากน้ำหอมสมัยใหม่ลอยกำจาย หากหอมไม่เท่ากลิ่นบางกลิ่น ที่นลกุพรทรงสูดแล้วสูดอีก “กลิ่นมะลิ” จากอณูน้อยข้างๆ ทำให้เผลอหลุดโอษฐ์ด้วยถ้อยคำเดิมอีกครั้ง ทำลายความเงียบ จนทรงกลดได้ยินชัด ตื่นจากภวังค์

“ตัวเจ้าหอม แม้จะไม่เท่าสีทันดรกับมุจลินทร์...แต่ก็หอมกว่าใครหลายๆคน”

นลกุพรทรงยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ ทว่าทรงกลดผงะกายถอยออกจนชิดติดข้างฝา ลมหายพระทัยระรัวกระชั้นกระทบใบหน้าแฝงไว้ด้วยความร้อนผ่าวจากฤทธิ์สุรา ขับไล่ความเย็นจากสายน้ำหมดสิ้น

“จะทำอะไรนล” ทรงกลดไม่แน่ใจว่านั่นคือเสียงตนเองแน่หรือ ทำไมมันสั่นระรัวเช่นนั้น

“ก็กลิ่นมันหอม เลยขอดมใกล้ๆ” เทวอสุราหนุ่มน้อย เผลอองค์ด้วยความเคลิ้ม ดำเนินดันอีกร่างถอยกรูดไปชิดมุม พระพาหาทั้งสองข้าง กางคร่อมยันผนัง ทรงกลดไม่มีทางหนีไปไหน จำต้องยืนประจันหน้า ดวงตาสีน้ำตาลตื่นตระหนกยามผสานกับดวงเนตรเริงโรจน์ดั่งดาวฤกษ์

ทรงกลดมิเคยกลัวกับการระเริงเล่นสวาทสิเน่หา เขาเคยไขว่คว้ารังแกสีทันดรด้วยรสจูบที่ร้อนแรง ฤาเขาจะรู้อนาคตกระมังว่า เขากำลังจะถูกรังแกโดยเจ้ายักษาหน้ามนนาม...นลกุพร “ไม่เล่นแบบนี้นะนล อย่า...ฉันขอร้อง”

“ไม่ได้เล่น แต่ขอดมจริงๆ ดมใกล้ๆ”

“แต่มันใกล้เกินไป ใกล้จน...” ทรงกลดไม่กล้ากล่าวต่อไปว่า ใกล้จน ไฟในหัวใจ ที่กำลังจะดับมอดลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง และหากมันกำจายวาบขึ้นมาอีก ....เจ้าต้องรับผิดชอบดับไฟนั้นด้วยตัวเจ้าเอง....นลกุพร

อย่าสุมไฟกระพือพัดซัดสวาท
อย่าหมายมาดราดน้ำมันสิเน่หา
อย่าสะกดด้วยดวงเนตรดุจดารา
อย่าคิดว่ามันดับง่าย....ดั่งตะเกียง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2019 08:50:21 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
 “ใกล้จนอะไร แล้วทำไมใจเจ้าเต้นระรัวอย่างกับกลองศึก เจ้ากำลังคิดอะไรหรือเปล่าบอกเรามา” นลกุพรนำหัตถ์ข้างขวาทาบลงไปตรงอกด้านซ้ายของทรงกลด แรงทาบนั้นหนักหน่วงคล้ายๆกับผลัก ไอร้อนจากฝ่าพระหัตถ์ถ่ายทอดพร้อมรัศมีแดงโกเมนซึมซ่านผ่านผิวหนัง รัศมีเหลืองนวลที่เป็นกรอบโครงร่างของทรงกลด วิ่งพล่านเข้ามาสอดประสานพลัน

รัศมีทั้งสองเข้ากันได้ และเข้ากันได้ดีเสียด้วย!!

ก่อนที่ทรงกลดจะหัวใจวาย จู่ๆนลกุพร  ก็หยุดพระพักตร์ไว้แค่นั้น คำถามที่ถามเมื่อกี้ว่าคิดอะไร ทรงได้คำตอบแล้ว เพราะรัศมีทั้งสองที่กำลังเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ แทนทุกอย่างได้เป็นอย่างดี จนประหลาดพระทัย และต้องเปรยกับองค์เองเงียบๆ ในหทัยนั้น

“เรามิเคยพิสมัยต้องการสังวาสกับชายด้วยกัน กับสีทันดรที่ว่างามเลิศเกินเทวบุตรทั้งปวง ก็เป็นแค่สหายรัก ยามกอดให้ความรู้สึกแบบพี่กอดน้อง แต่ทำไมกับอณูน้อยแห่งจันทรเทพจึงให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ...ทำไมยามนี้เราต้องการ ฤาจะเป็นเพราะเจ้าถูกสร้างมาจากเทวธิดาที่งามเลิศ ฤาเพราะตาสีน้ำตาลอมโศกและรอยจุมพิตเมื่อวานนั้น”
 
“นล ปล่อยเราดีกว่า เราอาบเสร็จพอดี”

“ยังไม่ปล่อย เพราะเจ้ายังไม่ตอบคำถามเรา และอีกอย่างเจ้าก็ยังล้างสบู่ไม่หมด” นลกุพรทรงดึงอณูน้อยออกมากลางฝักบัว ทรงกลดต้องจำยอมให้หัตถ์แข็งแรงลูบไล้ ไปทั่วร่างท่อนบน ช่วยชำระคราบและฟองสบู่ออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยสัมผัสนั้นทำให้เขาขนลุกชัน อกผายที่เลยวัยแตกพานมาไม่กี่ปีเริ่มสู้มือที่ลูบไล้ไล่ฟองไปมา แล้วอณูน้อยก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะคราบสบู่ที่ติดอยู่ตรงซอกหู ถูกนลกุพรเช็ดออกด้วยลมจากปาก

“นลทำอย่างนี้ทำไม อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เล่น มาๆ มาอาบต่อยังอาบไม่เสร็จ”

“พอแล้วฉันอาบเองได้” แม้ปากของพี่เลี้ยงจำเป็นจะบอกไปว่าอาบเองได้ แต่ขาสองข้าง...ไฉนไม่ยอมก้าวออกไป

“รู้ว่าอาบเองได้ แต่ให้เราช่วยอาบให้ดีกว่า ขัดหลังให้ก็ยังดี เราขัดเก่งนะ ขนาดพี่วรรณกวียังติดใจ”

“ใครกันวรรณกวี” ทรงกลดหลุดปากถามทันที คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถึงขนาดขัดหลังให้กัน คงต้องสนิทกันเป็นพิเศษ แล้ววรรณกวีเป็นเทวบุตรหรือเทวธิดา

“เสียงกับใบหน้าของเจ้าที่เจ้าถามเรา อย่างกับเจ้าหึงเรางั้นแหละกลด”

สุรเสียงของนลกุพรตรัสมาคล้ายๆจะเย้ายั่ว พระหัตถ์ยังคงช่วยขัดหลังให้อีกฝ่าย ด้วยความเคยชินและทรงลงมาเที่ยวโลกมนุษย์บ่อยๆกว่าใคร นลกุพรจึงทรงทราบวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกๆส่วน แม้การชำระร่างกาย หากผมเปียกก็จำต้องสระ และก็ทรงรู้อีกนั่นแหละว่าขวดไหนคือแชมพู จึงหยิบมาละเลงหัวอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าอณูน้อยก็ยินยอมโดยดี แม้จะจะกล่าวสวนตอบไปว่า

“ไม่ได้หึงนะนล แค่อยากรู้”

เหอะ....อณูน้อยแห่งจันทรเทพ แล้วตอนที่เจ้าเห็นนลกุพรวิ่งไปหามุจลินทร์จนลืมสนใจคำพูดเจ้า อย่าบอกนะว่าไม่ได้หึงและน้อยใจ

“โกหก....เทวดาถ้าโกหกรัศมีจะเปลี่ยนเป็นสีเทา และของเจ้ากำลังเป็นเช่นนั้น”

ทรงกลดหน้าแดงจนตอบอะไรไม่ถูก ชาวาบไปทั่วร่างที่ถูกเขาจับได้ ใช่สิ เพราะรัศมี กำลังเปลี่ยนเป็นสีเทาดังเขาว่า “ก็ได้ฉันโกหก แต่ฉันมั่นใจว่าฉันไม่ได้หึง”

“หลอกตัวเอง” นลกุพรตอกกลับแล้วใช้ฤทธิ์ปรับฝักบัวให้ละอองน้ำทั้งหมดมารดตรงศีรษะของทรงกลด จนฟองแชมพูถูกชะล้างไหลลงมาบนลำตัว นลกุพรจึงปรับละอองน้ำให้กว้างดังเดิม คราวนี้หัตถ์แข็งแรงเริ่มไล่ต่ำลงมาเหนือท้องน้อย

ละอองน้ำปรับวงกว้างได้ ด้วยฤทธี แต่ทำไมทั้งสองยังพอใจและพอพระทัยที่จะยืนเบียดกัน

“ไม่ได้หลอกตัวเองนะโว้ย” ทรงกลดหันมาประจันหน้า ก็พบว่าเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วยืนยักคิ้วให้อย่างยียวน ใบหน้าขาวๆที่กระจ่างใส ยังแดงอมชมพู ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้เหมือนกันว่าโกรธหรืออาย

“แน่ะ คนอย่างเจ้า โมโหเป็นกับเขาด้วยเหมือนกันเหรอ” นลที่เพิ่งหายเศร้า เริ่มตรัสมากกว่าปกติ เริ่มทรงสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับพี่เลี้ยงจำเป็นที่สีทันดรฝากฝังไว้ รอยยิ้มให้กำลังใจที่เย็นระเรื่อๆ ปากแดงสดดั่งทาชาดที่เห็นอยู่บ่อยๆ เวลาโมโหก็น่าดูไปอีกแบบ

“ก็นายใส่ร้าย”

“ขี้เกียจเถียงแล้ว สรุปไม่อยากรู้ใช่ไหม ว่าพี่วรรณกวีคือใคร”

“ก็แล้วใครล่ะนล นายก็บอกมาเสียที”

“พี่วรรณกวีคือพี่ชายเราเอง ทูลหม่อมพ่อของเรา มีแม่เราเป็นมเหสี อ่ะ อยากรู้อีกล่ะสิว่าแม่เราชื่ออะไร” นลกุพรเหมือนจะรู้ใจอีกฝ่ายจึงแกล้งถามขึ้นแล้วกล่าวต่อไปว่า “ พ่อเรามีแม่เราคนเดียว ไม่เหมือนจันทรเทพต้นกำเนิดเจ้า หลายใจ มีหลายชายา แม่เราเป็นเอกอัครมเหสี ชื่อพระนางจารวี เรามีพี่น้องสามคน พี่วรรณกวีเป็นโอรสองค์โต เราเป็นคนกลาง ส่วนน้องคนสุดท้องเราเป็นผู้หญิงชื่อมีนากษี สบายใจหรือยัง”

 “ถามนิดเดียว เล่ามาเสียหมดวงศ์” ทรงกลดกล่าวเหน็บยักษ์ช่างเล่า นึกในใจว่า นลคงไม่รู้ การที่ใครเล่าถึงคนในครอบครัวให้อีกฝ่ายฟัง ธรรมเนียมมนุษย์จะถือว่า เปิดรับคนฟังให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ....ทรงกลดมิอยากเข้าข้างตนเอง

“เอ๊าก็อยากรู้นี่ ....พี่วรรณกวีนะ ชอบใช้ให้เราขัดหลังให้ และบางทีมาใช้เราตอนขี้เกียจ เราเลยแกล้งซะนิดหน่อย” เท่าทีทรงกลดฟังพระสุรเสียง คาดว่าคงไม่นิดหน่อย แล้วสายพระเนตรของเจ้าเทวอสุราน้อยก็แอบฉายแววซุกซนและเจ้าเล่ห์ โดยที่ทรงกลดมิทันจับสังเกต

“แกล้งยังไงที่ว่านิดหน่อย”

“ก็แบบนี้ไงล่ะ” แล้วพระหัตถ์แข็งแรงก็คว้าหมับเอาพระจันทร์น้อยบีบให้เสียหนึ่งที ทรงกลดสะดุ้งเฮือกเพราะมิทันได้ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็โดนเขาจับเล่นเสียแน่นแล้ว

นลกุพรอาจแกล้งจับของพี่ชายเล่น แกล้งให้เจ็บ....แต่ไม่มีทางส่งสายพระเนตรคมวาวเจ้าเล่ห์มาแบบนี้เด็ดขาด
ไฟสวาทที่เกือบจะดับมอดริบหรี่ เริ่มสว่างขึ้น .....แต่ยังไม่ถึงขีดสุดที่เรียกว่าสว่างจ้า จนนลกุพรต้องรับผิดชอบ

“ไอ้บ้านล เล่นอะไรวะ พอแล้ว ขอบใจที่ช่วยขัดหลังและอาบน้ำให้” ทรงกลดแกะมือออกท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่นของอีกฝ่าย ตั้งใจจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแต่นลกุพรอีกนั่นแหละ ที่ฉุดข้อมือไว้

“อย่าขี้โกง ทรงกลด ....เจ้ายังไม่ได้อาบให้เราเป็นการตอบแทน”

“แต่ฉันไม่ได้บอกเลยนะ ว่าจะช่วยนายอาบน้ำ” ทรงกลดเถียงคล้ายจะไม่ทำ แต่ทำไมกลับวางผ้าเช็ดตัวไว้ที่เดิม อาการปากไม่ตรงกับใจ ไฉนบังเกิด

“ไหนว่าเจ้า จะยินดีดูแลเราไง .....ฤาคำที่เจ้ากล่าว มันแค่การกล่าวเล่นเพื่อปลอบใจเรา ให้เราหายร้องไห้ เรารึอุตส่าห์ไม่มีน้ำตาลูกผู้ชายให้ใครเห็นดั่งเรารับปาก แต่เจ้ากลับลืมสัญญา”  ประโยคที่ดูเหมือนตัดพ้อ หลุดโอษฐ์ออกไปรวดเร็ว นลกุพรแน่ชัดในพระทัยองค์เองแล้ว ว่ายามนี้ทรงต้องการคนดูแล และคนๆนั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เป็นพี่เลี้ยงที่แสนดีตลอดสามสี่วันที่ผ่านมา

ทรงกลดเถียงไม่ขึ้น นิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะยิ้มระเรื่อตามลักษณะนิสัย ยิ้มที่เจือรอยโศกเย็นๆ แบบนี้เอง ที่พระเนตรของนลกุพรเริ่มชิน  และ ณ เวลานี้เริ่ม.......ต้องการ

“ก็ได้ ถ้านายอยากให้ฉันดูแล”

สายตาทั้งคู่สอดประสาน โดยมิมีทีท่าที่จะหลบหลีกอีกต่อไป ฟองสบู่ถูกละเลงทั่วพระวรกายดั่งสัมฤทธิ์ มือแข็งแรงทว่าขาวนวลเริ่มขัด เริ่มถูคืนกลับไปบ้าง

นลกุพรแข็งแรง และก็เริ่มจะแข็งไปทุกส่วน และแข็งถึงที่สุด เมื่อทรงกลดสัมผัสตั้งแต่บั้นพระองค์ลงมา นลกุพรรู้องค์ทุกขณะและก็รู้ถึงความแข็งแรงของทรงกลดเช่นกัน

“นล ฉันว่าเราสองคน หยุดเล่น ....หยุดทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้เถิด” หากความรู้สึกลังเลดันเกิดชั่วแวบ ทำให้ทรงกลดหยุดเสียกลางคัน

“หยุดทำไมกลด....เจ้ากำลังต้องการในสิ่งเดียวกับเรา เรารู้” พระสุรเสียงกังวาน เริ่มทรงสั่นพร่าบ้าง ใบหน้าคมเริ่มลอยห่างประชิดใบหน้าหวานเพียงแค่คืบ

“แต่นล...ชอบผู้หญิง นลไม่ได้มีจิตพิศวาสกับชายด้วยกัน เราก็รู้”

“ใช่ทรงกลด......ความชอบกับความต้องการ บางครั้งก็ต้องแยกกันให้ออก มนุษย์มักมีความชอบ ความรัก แล้วจึงต้องการ แต่สำหรับเรา นลกุพร โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ ความต้องการ จะมาก่อนความรักความชอบเสมอ” นลกุพรดันพระวรกายจนแนบชิด อกกำยำต่ออกกำยำแนบชิดสนิทจนมิมีรอยช่องโหว่

“นลพูดไปเพราะนลกำลังเมา”

“เจ้าเองก็กำลังเมาทรงกลด” นลกุพรสวนขึ้น พร้อมยกพระดัชนีสัมผัสเปลือกตาที่มีขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นเบาจนแทบจะเรียกได้ว่า เบากว่า.....ตอนเด็ดดอกไม้ให้มุจลินทร์

“นลยังไม่ลืมมุจลินทร์”

“เจ้าก็ยังไม่ลืมสีทันดร”

บางครั้งความแตกต่างก็มีความเหมือนสอดแทรก คนหนึ่งรักอิสตรี  อีกคนหนึ่งรักบุรุษ นี่คือความต่าง ทว่าความเหมือนนั้นคือ ความผิดหวัง ที่โคจรมาพบกันจนกลายเป็นความต้องการ

“นลกุพร นายกำลังจะจุดไฟ ไฟที่นายไม่มีทางดับได้”

“หากเราไม่มั่นใจว่าเราดับได้ ......เราจะจุดทำไม”
 
ประโยคสุดท้ายที่ตรัส เปรียบประดุจน้ำมันชั้นดีที่ราดลงกองเพลิงสวาทที่เริ่มสว่าง ให้สว่างจ้า  ริมโอษฐ์งามประชิดติดริมฝีปากแดงสด ริมฝีปากที่ตกโอษฐ์ไปเมื่อตอนเช้ามืดว่า ปากจู๋ๆ กลับถูกบดและขยี้จนเป็นเส้นตรง ก่อนจะโลมไปทั่วส่วนอื่นบนใบหน้าซึ่งกันและกัน สุรเสียงสั่นพร่าที่ตรัสเรียก มิได้เรียกชื่อผิด พระเนตรวาบดั่งดาวฤกษ์มิได้มองทรงกลดเป็นเทวธิดาหรือมุจลินทร์อีกแล้ว
 
เพราะนลเห็นเจ้าวิไล สุดหักใจรักรัญจวน!!

หนึ่งเทวอสุราน้อยหน้ามนและอีกหนึ่งอณูน้อยแห่งจันทรเทพ  ยืนกอดรัดเกี่ยวกระหวัด ภายใต้สายฝักบัวที่น้ำเย็นยะเยียบซัดซู่ซ่าปานประหนึ่งม่านน้ำตก รัศมีเหลืองนวลกับสีแดงโกเมนสอดประสาน กลายเป็นสีกุหลาบชมพูอ่อนหวานไล่สีอ่อนแก่งามตระการ จนกลายเป็นกลีบกุหลาบจริงๆโปรยปรายรายรอบตัว

แล้วทั้งสองก็ล้มทาบลงใช้กลีบกุหลาบต่างพรม นอนสนิทชิดแนบกับพื้นที่เจิ่งไปด้วยน้ำ ทรงกลดที่ถูกจุดจนติด เบี่ยงตัวขึ้นมาทาบทับด้านบน ใช้ริมฝีปากแดงสด นุ่มดุจกำมะหยี่ หวานฉ่ำดั่งน้ำผึ้ง ขบเบาๆตั้งแต่ริมฝีปากของนลกุพร ไล่เลื่อยลงมาจนถึงแผงอกกว้าง นลกุพรมิทรงสามารถกลั้นสุรเสียงที่ภาษามนุษย์เรียกกระเส่า แลทรงเริ่มรู้สึกถึงความกระสันเกินจะกลั้นยามถูกขบเบาๆ บริเวณนาภีเรื่อยลงไปจนถึงท้องน้อย

“โอ”

“บอกแล้วอย่าจุดไฟ........ครางอย่างนี้น่ะหรือ จะดับลงได้”

ทรงกลดยิ่งขบ นลยิ่งร้อง ....ยิ่งเม้ม นลยิ่งคราง ยิ่งตวัดลิ้น นลยิ่งบิดกายเร่า

ขนตาหนาปรือขึ้นเป็นระยะ ทอดมองดูเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วแอ่นกายเร่าอย่างสะใจ ก่อนจะดำเนินการละเลงปากละลิ้นลงไปทั่วซอกขาด้านใน และจงใจละเว้นส่วนนั้นไว้ แกล้งให้ยักษ์ทรมาน “จะดูสิ จะแก้คืนอย่างไร”

แต่ก็ดูเหมือนว่าทรงกลดจะไม่จริงจังในการแกล้งเท่าไรนัก เพราะมือของเขาใช่ว่าจะปล่อยทิ้งให้เปล่าประโยชน์อยู่เสียเมื่อไร มือข้างหนึ่งจึงกำส่วนที่แข็งแรงที่สุดของนลรูดขึ้นรูดลงไปด้วย

มือที่ว่าใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะกำมิด ส่วนหัวสีชมพูจึงเลยออกมาเกือบคืบ ทรงกลดง้างให้ตั้งแล้วดีดลงกับท้องน้อย จนท่อนลำที่แข็งยิ่งกว่าเสาหินตีสนั่นกับหน้าท้องแบนราบดังเผี๊ยะๆ

“เจ้าแกล้งทรมานเรา”

แล้วนลกุพรก็มิทรงยอมทนนอนเฉยๆ ใช้ซอกขาแข็งแรงบีบหน้าหวานเยิ้มของทรงกลดไว้ เบี่ยงวรกายขึ้นคร่อมทับหน้า เป็นจังหวะและองศามุมพอดิบพอดีที่นลจะยัดท่อนลำนั้นผ่านทะลุริมฝีปากที่นุ่มเสียยิ่งกว่านุ่ม ทรงกลดแทบสำลักและหายใจไม่ออกเพราะถูกแก้เผ็ดเอาคืนอย่างทันท่วงที ความอึดอัดภายในปากถูกผ่อนคลายยามที่นลขยับหน้าท้องเข้าออก จนมีโอกาสหายใจกับเขาบ้าง

ทรงกลดเริ่มตั้งสติและใช้ลิ้นให้เป็นประโยชน์อีกครั้ง ลิ้นสากๆจึงเริ่มห่อรัดตวัดส่วนหัวและท่อนลำที่เข้าปากมาอย่างรวดเร็ว แถมยังใช้มือสามารถสอดมาเล่นกับลูกตุ้มทั้งสองข้างและคลึงเคล้าไปมาอยู่อย่างนั้น และมันก็ได้ผลนลกุพรแอ่นกายเร่าอีกครั้ง

นลไม่ใช่เทวะชั้นพรหม......สัมผัสทั้งห้ายังคงมี และมีประสิทธิภาพเกินมนุษย์เสียด้วย

แต่จู่ๆทรงกลดก็ต้องเผลอครางจนแทบสำลัก เพราะนลเองก็เอื้อมมือมาคลึงเคล้า อาวุธและพระจันทร์ลูกน้อยทั้งสองลูกจนหัวสีชมพูของเขา เริ่มเยิ้มไปด้วยน้ำใสๆ ที่คืนฉายเคยเดาะภาษาอังกฤษให้ฟังว่า ‘พรีคัม’ และตนก็รู้สึกว่าลิ้นของเขาสัมผัสของเหลวชนิดนี้ในปากได้เช่นกัน

จะว่าหวานก็สุดแสนจะหอมหวาน     
แม้น้ำผึ้งอ้อยตาลฤาเทียบได้
จะกลืนกินทุกหยาดทุกหยดไว้
ภมรไซร้อย่ามาดหมายแย่งลิ้มลอง

นลกุพรถอนท้องน้อยออก หัตถ์แข็งแรงดึงข้อมือทรงกลดให้ลุกขึ้น เพียงกระพริบตา ทรงกลดก็รู้สึกว่าตนมานอนคว่ำหน้าอยู่บนฟูกสีขาวกลางห้อง ต้นขาและปราการด้านหลังถูกแหวกออกรวดเร็ว และถูกยกให้โด่งขึ้น รองด้านล่างไว้ด้วยหมอนที่ใช้หนุนนอน

“นล....ฉันไม่เคยโดนแบบนี้ ปกติฉันทำคนอื่น”

“ ไม่เคยก็เคยซะ....เราก็ไม่เคยทำแบบนี้กับผู้ชายเหมือนกัน แต่มันก็มีทางนี้ที่จะเข้าทางเดียวไม่ใช่เหรอ”

“ใช่แต่ฉันกลัว ....กลัวเจ็บ” ทรงกลดเคยทำกับคนอื่น แต่มิเคยโดนคนอื่นกระทำ หากเป็นทหารก็ต้องเรียกว่าประจำอยู่สังกัดหมู่ “ทะลวงฟัน” ความรู้สึกกลัวแวบวับเข้าจับใจทันใด  ร่างทั้งร่างสั่นพร่า อาการนี้และอารมณ์นี้ใช่ไหม ที่สีทันดรเคยหวาดกลัวตนจนกันแสงไห้ที่สวนปารุสกวัณ นี่เขาคงหนีไม่พ้นผลกรรมนั้น.....กรรมที่รังแกน้องดื้อและคนอื่นๆไว้คงจะหนัก สวรรค์ถึงได้ส่งยักษ์ มาเอาคืน

“กลัวทำไม ในเมื่อเรากำลังจะดับไฟให้เจ้า”

นลกุพรไม่ตรัสอะไรอีก สอดใส่ท่อนลำประจำกายทะลวงผ่านประตูที่ปิดสนิดแน่น นลมิเคย และมิรู้ ว่าต้องมีการนำทางนำร่องให้ช่องฉ่ำก่อนดันเข้าไป  เพียงแค่ส่วนหัวกระทบผนังประตูเข้าไปสำรวจได้นิดเดียว อณูน้อยแห่งจันทรเทพก็ร้องลั่น

“โอ๊ยยยยยยย  ฉันเจ็บ นลฉันเจ็บ”

“เบาๆสิกลด เดี๋ยวพวกนั้นก็แห่มาดูหรอก”

เท่านั้นแหละทรงกลดจึงพยายามกัดฟันเก็บเสียง แต่ก็ยังไม่ไหวจึงใช้อำนาจที่ยังไม่ถูกอารมณ์หวามครอบจนหมดเรียกผ้าเช็ดตัวมากัดไว้กันเสียงเล็ดรอดหลุดออกไป... ใจจริงอยากลุกขึ้นมาปฏิเสธ แต่อำนาจอะไรบางอย่างมิสามารถให้เขาทำเช่นนั้นได้ หรือเดชะและศักติแห่งนลกุพร ทำให้ใจและกายเขายอมศิโรราบอย่างที่ไม่เคยยอมให้ใคร

เสมือนเทวะสร้างอวัยวะมนุษย์บางส่วนขึ้นมาให้ซับซ้อนพิสดารทำได้หลายหน้าที่ ปราการด้านหลังปราการนั้น นอกจากจะขับออกยังสามรถรับบางสิ่งเพิ่มเติมเข้ามาได้ เมื่อส่วนหัวเข้าไปได้เพียงนิด มีฤา ส่วนลำตัวจะไม่มุดตามมา แม้ความจุกเสียดจะพุ่งปราดขึ้นจากท้องน้อยแล่นขึ้นสู่อก ความแน่นอึดอัดยังมีอยู่เต็มที่ หากพอนลกุพรขยับบั้นองค์ จากช้าๆจนกลายเป็นถี่ยิบ จากถี่ยิบก็ลดความเร็ว และเร่งระรัวขึ้นใหม่ สลับไปสลับมาเช่นนี้  ทุกๆอาการก็เสมือนว่าจางหายลงไปในพริบตา

เสียงหฤหรรษ์แห่งเนื้อกระทบเนื้อเคล้าคลอเสียงครวญที่พยายามสะกดไว้ แต่สะกดอย่างไรก็ไม่อยู่ ท่วงท่าและลีลาของนลกุพรเกินธรรมดา จากคว่ำหน้าเปลี่ยนเป็นนอนหงาย และท่าที่ผ่อนคลายก่อกำเนิดความอิ่มเอมให้กับทรงกลดมากที่สุดจนมีเสียงครางมากกว่าครั้งใดๆ ก็คือยามที่นลยกขาอณูน้อยมาพาดบ่าไว้ และระรัวตอกเสาลงไปอย่างถี่ยิบ

ทางด้านนลกุพรเองที่ได้สัมผัสลงไปถึงก้นบึ้งแห่งความลึกล้ำ ก็รู้สึกถึงความฉ่ำตลอดหัวจรดโคน อาการตอดหรือบีบรัดเกร็งแน่น ถูกผ่อนปรนโดนการเว้นจังหวะ และบดขยี้ริมโอษฐ์ลงไปบนปากอณูน้อยจนลิ้นต่อลิ้นสัมผัส แม้จะเว้นจังหวะแต่ก็มิได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะยุติ เพราะบั้นองค์ยังขยับอยู่เรื่อยๆ แถมยังสนุกเมื่อกระแทกทางขวาทรงกลดก็ร้องอีกเสียงหนึ่ง ยามกระแทกซ้ายก็ร้องอีกเสียงหนึ่ง และเมื่อกระแทกตรงๆ เสียงร้องก็เหมือนจะดังเสนาะทรวงกว่าการเลาะเลี้ยว

หนำซ้ำ นลยังไม่ยอมราหัตถ์จากการกุมท่อนลำของทรงกลด รูดเข้ารูดออก เป็นการช่วยอีกฝ่ายผ่อนปรนความเจ็บได้อย่างแยบยล ทรงกลดแอ่นตัวเด้งรับตามจังหวะการชัก และขยับบั้นท้ายสอดประสานการกระแทก ช่วงจังหวะนี้และเวลานี้จะผ่านไปนานเท่าไรมิมีใครทราบ รู้แต่เพียงว่า เริ่มตั้งแต่ทั้งคู่เข้ามาอาบน้ำ จันทรเทพทรงประทับกลางนภมณฑลพอดี หากเวลานี้ ทรงเสด็จคล้อยไปแล้ว

“นล นายกำลังจะฆ่าฉัน ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว”

บั้นพระองค์ที่กระแทกอย่างระรัว และมือที่ช่วยกันทำงานอย่างเป็นระวิง ทำให้ทรงกลดแอ่นตัวขึ้นเป็นเฮือกสุดท้าย แลรู้สึกถึงสายน้ำสีขาวพุ่งเป็นสาย ดุจสายนทีที่เกษียรสมุทร พุ่งปรี๊ดขึ้นสูงกระจายกว้างดั่งดอกไม้ไฟและร่วงหล่นดั่งห่าฝนเต็มอก บางหยาดหยดทะยานขึ้นไปเปรอะเปื้อนเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ซึ่งไม่มีทีท่าที่จะยอมเช็ด สายตาละมุนส่งยิ้มหวานออกมา พร้อมสุรเสียงสั่น

“เสร็จแล้วใช่ไหม....ถึงทีเราบ้างแหละ โอ” แล้วพระวรกายสูงใหญ่กำยำที่ทาบทับก็กระเด้งขึ้นสุดตัว ทรงกลดรู้สึกถึงการกระตุกของท่อนลำที่แข็งแกร่งอยู่หลายที ก่อนจะสงบราบคาบ สายน้ำพุ่งแรงกระแสอุ่นๆมากกว่าสิบสายถูกฉีดเข้าสู่ภายใน จนร้อนผ่าวไปหมด เพียงเท่านั้น ใบหน้างามคมสันก็ฟุบลง จูบอันแสนหวานถูกส่งท้ายไฟสวาทที่สงบลงราบคาบ

หากนี่ถือเป็นการสอบ นลกุพรก็ถือว่าสอบผ่าน

“เห็นหรือยังกลด เราสามารถดับไฟให้เจ้าได้” รอยแย้มสรวลดีพระทัย ฉายชัด ดั่งยามชำนะศึก

“มันแค่ดับไปชั่วขณะ ไฟในตัวฉันมันถูกจุดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่จะลุกโหมตลอดที่ฉันมีลมหายใจ”

“เราก็ไม่มีปัญหา ที่จะดับให้เจ้าต่อไปนี่....แล้วเป็นไง ฝีมือเรา” นลถามขึ้นด้วยสุรเสียงสั่นพร่าเพราะความเหนื่อย

“นายก็ทำได้ดี  แต่นายเสร็จได้ด้วยเหรอ นายอยู่ในสภาวะทิพย์”

“เรายังอยู่แค่ฉกามาพจร....ทุกอย่างยังเหมือนมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องเมื่อกี้” นลกุพรตรัสขึ้นยิ้มยียวน ก่อนจะทอดเสียงกล่าวต่อมาว่า “ขอบใจนะกลด...ขอบใจจริงๆ ความต้องการคืนนี้หากไม่ถูกระบาย เราคงแย่ ”

“ไม่เป็นไรนล” สายตาจากเมื่อครู่ที่มีความสุข บัดนี้เจือด้วยรอยโศก เพียงเพราะคำพูดที่ตีความได้ว่า “เขาใช้ตนเป็นเครื่องระบาย” สมน้ำหน้าตัวเองนัก

ชอกช้ำรำพัน ....เสียพรหมจรรย์  นับวันหมองไหม้ระกำ!!!

“ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น เจ้าน้อยใจเหรอกลด ที่เราพูดอย่างนั้น” นลกุพรตกพระทัย เชยหน้าทรงกลด ลูบไล้แผ่วเบา เหอะ...นลกุพรเป็นใครบ้างจะไม่น้อยใจ เมื่อได้ยินเจ้าพูดอย่างนั้น

“ปะ เปล่า ฉันมีสิทธิ์น้อยใจด้วยเหรอ ฉันก็สมัครใจยอมนายเองนี่” ถ้อยคำที่เจียมตัว ทำให้นลกุพรระบายลมหายพระทัยเฮือกใหญ่  วงแขนแข็งแรงสอดไปข้างใต้ ช้อนไหล่ทรงกลดเข้ามาไว้ในอ้อมพระพาหา ทรงกลดขยับตัวออก ไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องระบายอย่างเมื่อกี้ ทว่าก็หลบไม่พ้นเทวอสุราที่แรงเยอะกว่าอยู่ดี

“เจ้าโกหกไม่เก่งอีกแล้ว ฟังเรานะ ที่เราพูดอย่างนั้น เพราะเราคงแย่จริงๆ หากไม่ถูกระบาย เราสาบานได้ว่า ผู้ที่เรานึกถึงคนแรก คือเจ้า ทรงกลด  เพราะเจ้าได้เคยบอกไว้ว่าจะดูแลเรา รัศมีของเราสองคนมันเข้ากันได้ และเข้ากันได้ดีเสียด้วย และเราก็เพิ่งมั่นใจเมื่อครู่ ว่าคำว่าดูแลของเจ้า มันครอบคลุมถึงสิ่งใดบ้าง”

“ไม่จริง นล...นลคงยังไม่หายเมา นลรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

“เจ้าเป็นอณูแห่งเทวะ ไยไม่เชื่อรัศมีและรู้ใจของตนเอง” นลกุพรยันพระวรกายขึ้นประทับกึ่งนั่งกึ่งนอน และไม่วายที่จะโอบไหล่ทรงกลดแน่น สุรเสียงดังทว่าอ่อนโยนยิ่งนัก เอื้อนเอ่ย และทรงกลดก็สดับได้ชัดทุกคำ  “เวลานี้เรามีสติพร้อม และเราก็อยากมีคนดูแลอย่างเจ้า เจ้าล่ะจะดูแลเราได้ดั่งที่เคยบอกไว้ไหม”

“มันไม่เร็วไปเหรอนล”  ทรงกลดถามมาอย่างนี้ทำให้นลกุพรสรวลขึ้นได้ เพราะไม่ได้มีความหมายเชิงปฏิเสธ

“งั้นเราสองคนจะทดลอง ดูแลซึ่งกันและกันก่อนก็ได้ หากเจ้าว่ายังเร็วไป เราเคยมีแต่อิสตรีดูแล และนางก็ทำให้เราเจ็บ เราอยากลองดูว่า หากเรามีคนดูแลเป็นบุรุษด้วยกันบ้าง มันจะดีกว่าไหม”

“หากฉันไม่ตกลง” ทรงกลดถามหยั่งเสียงเพียงเท่านั้น แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับมีรอยรื้นแห่งความยินดี ที่จะบอกเขาพระองค์นี้ว่า ‘ตกลง’ แต่เขาพระองค์นี้ ก็ทรงรู้ทันไปเสียทุกอย่าง ไหนน้องดื้อเคยบอกว่า นลกุพรทึ่ม...ท่าทางจะทรงแกล้งทึ่มเสียละมัง 

“เจ้าตกลงแหละเรารู้ ฟังไว้นะทรงกลด เราอาจจะไม่ได้หวือหวาอย่างพระพุธกับพระศุกร์ อาจจะไม่น่ารักเท่าคู่ของพระเสาร์กับมนุษย์น้อย และอาจจะไม่ร้อนแรงเท่าสุริยาทิตย์กับสีทันดร หากตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้น เราสองคนจะดูแลกันในแบบฉบับของเราตกลงไหม”

ทรงกลดไม่คิดไม่ฝัน ว่าวันของตนจะมาอย่างรวดเร็ว วันที่ตนมีความสุขทางหัวใจเหมือนคนอื่นๆ แม้มาเยือนพร้อมกลับบทบาทที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญ เท่ากับความสุขใจ ที่จะได้ใช้ใจดูแลพระทัยใครสักคนสักที ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพริบวิบวับแลเริ่มพัดพาเอาหทัยของนลกุพรมาด้วย 

“ตกลง....ฉันตกลง”

น้ำเสียงอ่อนนุ่มเย็นชื่นใจกล่าวตอบ สิ้นความกังขาในบทบาทหน้าที่ ที่จะดูแลกันทั้งสองฝ่าย นลกุพรกระชับอ้อมพระพาหามั่นพร้อมกอดอณูน้อยแน่นกว่าเดิม ทรงกลดมิขัดขืนอันใดเพราะมั่นใจในอุ้งหัตถ์แห่งนลกุพรแล้ว

การเริ่มต้นบางสิ่ง....มิจำเป็น จะต้องเกิดจากความรักความชอบก่อนเสมอไป
หากความต้องการอันแรงกล้านั้นเล่า นำพาไปสู่ความรักลึกซึ้งได้โดยไม่ยาก

สุรเสียงใสดั่งระฆังแก้วก้องสะท้อนกังวานผสานทิพยทำนองอ่อนหวาน ผ่านเข้าสู่โสตของนลกุพรกับทรงกลดที่ยังนอนเปลือยเปล่า ทั้งสองรีบนำผ้าห่มมาคลุมร่างไว้ เพราะรู้ดีถึงความไม่บังควร แม้พระมหาเทวีแห่งสิริจะเสด็จมาแค่สุรเสียง

“ทรงกลด...เจ้าเคยขอพร ให้คนที่เจ้ารักสุดหัวใจ มีความสุขกับคนที่เขาเลือก เรารู้สึกชื่นชมเจ้านัก เพราะเป็นการขอที่ประเสริฐที่สุด หากวันนั้นเจ้าจะขอให้อัสดงเลิกกับสีทันดร หรือขอพรให้พรที่อัสดงเคยได้รับเป็นโมฆะก็ย่อมได้ แต่เจ้าไม่ทำ .....นลกุพร โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ คือของขวัญอันวิเศษยิ่งกว่าพรของเราที่จะมอบให้เป็นการตอบแทนน้ำใจ นลกุพรจะดูแลเจ้าและให้เจ้าดูแล จากนี้เป็นต้นไป”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“พระแม่เจ้า มหาลักษมีเทวี...มันจะไม่เป็นการบังคับฝืนใจนลกุพรเหรอพะยะค่ะ”

“เราสมัครใจให้เจ้าดูแล...ทรงกลด” สุรเสียงนลกุพรดังก้องหนักแน่น แทนคำตอบแห่งพระมหาเทวี

“เจ้าได้ยินชัดแล้วนะทรงกลด หากเราไม่ให้เจ้าวันนี้ อณูแห่งพระสุริยทิตย์ กับพวกก็หาทางจับคู่จัดฉากให้เจ้าสองคนอยู่ดี แต่พวกนั้นชักช้าน่ารำคาญมัวแต่ใส่ใจเรื่องความรักของตัว มิช่วยเจ้าซะที เราเลยออกหน้าเสียเอง” พระมหาเทวีตรัสเหน็บ อัสดงกับพวกคืนฉาย ก่อนจะตรัสเป็นกระแสสุดท้าย

“จงบอกพวกเจ้าทุกๆคน เตรียมตัวให้พร้อม ใกล้จะถึงเพ็ญหน้า วันมีเทวราชโองการแล้ว”

“พะยะค่ะ”

ทรงกลดกับนลกุพร รับพระเสาวณีย์พระมหาเทวีพร้อมกัน เมื่อทราบได้ว่า เสด็จกลับไปแล้ว ทรงกลดกับนลจึงนอนอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกันอีกครั้ง ทั้งคู่มิมีคำพูดใด เจรจากันอีก แต่เพียงมองตาทั้งคู่ก็เข้าใจกันดีแล้วว่า

แม้จะตัดสินใจตกลงดูแลกัน แม้คำว่ารักยังไม่ออกจากปาก ก็ไม่เป็นไร

ความรัก ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ‘รัก’  เสมอไป และไม่ควรจะมีการแลกเปลี่ยน ร้องขอ หรือต่อรองใดๆ หากเพียงแค่ ‘ตกลงกัน’ เมื่อรักแล้ว ก็จะรักให้เป็น จึงจะได้ชื่อว่ารักที่แท้จริง

เช้าแล้ว เจ้าของดวงตาสีอำพันที่ฉายแววอิดโรย นั่งจิบกาแฟอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ริมน้ำพร้อมกับอณูน้อยคนอื่นๆยกเว้นทรงกลด  บรรยากาศในขณะนี้ ไอหมอกหนายังแผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว อากาศแบบนี้น่าซุกตัวต่อไปในผ้าห่มนวมผืนใหญ่ๆ หรือได้นอนกอดใครสักคนคลายหนาว คงจะมีความสุขที่สุด ... แต่เมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอนและไม่มีใครให้กอด เพราะนั่งเฝ้า ใครบางคนที่เคยกอดอยู่ริมกระถางบัว แต่ใครคนนั้น ก็ไม่มีทีท่าว่าจะแหวกกลีบบัวออกมาหา

คนใจร้อนอย่างเขา อดทนรอได้นาน เสียเมื่อไร......จนน้ำค้างเม็ดใหญ่พรมหนาหนัก ความอดทนจึงสิ้นสุด

“จะออกมาคุยกันดีๆ ไหมไอ้ดื้อ ความอดทนของอัสสะมีจำกัด”

แม้จะไม่เข้าใจในพระอารมณ์ หากน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกว่า “ไอ้ดื้อ” และแทนตัวเองว่า “อัสสะ” ก็ยังหวานอยู่ดี ทว่าความเงียบ คือคำตอบที่ได้ กลีบบัวสีชมพูมิไหวติง เหล้าที่เต็มแก้ว ที่เพื่อนๆทยอยเดินมาเติมให้แล้วเติมให้อีก  ถูกกระดกรวดเดียวจนหมด ฤทธิ์สุราช่วยกระพืออารมณ์ขุ่นมัวอยู่แล้วให้คุกรุ่นยิ่งขึ้น จนพลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

“ถ้าอยากจะอยู่ในนั้น ก็อยู่ไป  อัสสะจะไม่เสียเวลา กับความเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ ของเจ้าอีก เราจะคุยกันก็ต่อเมื่อ เจ้ามีภาวะเป็นผู้ใหญ่และเหตุผลพอ”

เท่านั้นแหละ ร่างงามกำยำดั่งรูปสลักชั้นเลิศ จึงกระแทกเท้าเดินปึงปังออกไปบ้าง และเสียงนี้เองก็ทำให้พระทัยของคนตาสวยที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนกลางเกสรดอกบัว เต้นรุนแรงด้วยความโมโห

“ถ้าอยากคุย แล้วทำไม เจ้าไม่ทำลายกาลอัคคีเข้ามา ไอ้ไฟนรก” นานแล้วที่ไม่ได้ตรัสเรียกอัสสะว่าอย่างนี้ พระกรน้อยๆทุบลงกับเกสรบัวอย่างขัดใจ “มีจักรก็ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ แค่เอาออกมา ฉายแค่รัศมี กาลอัคคีก็พินาศแล้ว ทำไมเจ้าทึ่มอย่างนี้....ไอ้บ้าเอ๊ย”

เจ้านาคน้อยตรัสกับองค์เองอย่างไม่สบพระทัย จากความงอนน้อยๆ กลายเป็นกริ้วเล็กๆ รอให้เขาเข้ามาง้อ ....แต่เขาคนนั้นก็ช่างตามไม่ทันพระทัยเอาเสียเลย ตอนนี้จึงกริ้วเสียยิ่งกว่ากริ้ว

“อย่าหวัง ว่าเราจะแหวกกลีบบัวออกไปหาเจ้า”

แต่ก็ทรงทำไม่ได้ตามรับสั่ง พออรุณสายฉายฉาน กลีบบัวก็ขยายออก พร้อมกับรัศมีสีเขียวเจือทองที่ลอยละล่องลงมาอยู่เหนือริมฝั่ง ไกลจากเจ้าของดวงตาสีอำพันไม่เกินร้อยเมตร ตาทั้งคู่สอดประสาน คนที่นั่งอยู่ก่อน ฉายแววยินดีขึ้นทันใด ผลุดลุกวางแก้วกาแฟรวดเร็ว เตรียมปรี่เข้าไปหา แต่เจ้าของพระเนตรฟ้าคราม ก็สะบัดพระพักตร์พรึ่ด ค้อนมาเสียหนึ่งขวับ ก่อนเสด็จกระแทกพระบาทออกไป

“ตามไปสิอัสดง ท่าทางแบบนี้ เข้าไปง้อหวานๆด้วยการประกบปากเบาๆ เดี๋ยวก็หายงอน” คืนฉายผู้เป็นอณูแห่งคุรุอสูรรีบยุทันใด แต่ก็มีเสียงขัดขึ้นจากอณูแห่งพระพฤหัสผู้เป็นคุรุแห่งเทวะ

“ฉันว่าเข้าไปคุยดีๆด้วยเหตุผลน่าจะดีกว่านะ ตอนนี้น้องดื้อยังไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อวานนายเอาแต่ฝึกอาวุธ นายจะทำเหมือนละครน้ำเน่าไม่ได้”

ทั้งสองไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ทว่าการแบ่งภาคลงมามาปราบมารครั้งนี้จำต้องสมานสามัคคีกันชั่วขณะ แต่ชั่วขณะที่ว่าคงต้องเอาไว้ก่อน เพราะคืนฉายที่ได้ยินวางแก้วกาแฟตั้งท่าจะเอาเรื่องจนเอราวัตสุดที่รัก ต้องเข้ามาแยก “ฉายไม่เอา...”

“ก็ไม่ได้จะเอา ...แค่จะต่อยปาก”

“เอ๊ะ ฉายนี่ยังไงนะ” เอราวัตขึ้นเสียงเขียว คืนฉายจึงสงบลงบ้าง แล้วเจ้าอณูน้อยแห่งพระพุธจึงหันไปพูดกับอัสดงว่า “ตามไปเร็วๆเหอะอัสดง ชักช้าเดี๋ยวมันจะบานปลาย นายก็รู้ฤทธิ์แฟนนายดีนี่”

อัสดงเตรียมสาวเท้าก้าวตาม ป้องปาก เป่าลม ตรวจสอบลมหายใจ ว่าหอมไหม เผื่อต้องใช้ริมฝีปากประกบง้อ แต่แล้ว ‘ไอ้ไฟทึ่ม’ เหมือนจะนึกอะไรได้ จึงหยุดนั่งลงอยู่กับที่ แสร้งทำเหมือนไม่เห็นว่าใครบางคนมาประทับยืนแล้วเดินหนี เสียงเข้มๆด้วยทิฐิจึงกล่าวตอบเพื่อนๆว่า 

“เรื่องนี้ฉันไม่ผิด ไอ้ดื้อต่างหาก ต้องเข้ามาคุยกับฉันก่อน”

“อ้าว เฮ้ย ไอ้พระอาทิตย์”

เมื่อไม่มีวี่แววว่าใครบางคนจะตามมา ความโมโหจึงเพิ่มขึ้นมาอีก อุตส่าห์เสด็จมาไกลถึงแนวป่า หมายพระทัย ที่ใครบางคนจะเดินตามมาง้อ แต่ก็ผิดคาด

“โอ๊ย.....ไอ้บ้า ทำไมไม่เดินตามมาล่ะ” สุรเสียงใสตรัสลั่น ก่อนประทับนั่งเหนือโขดหิน ที่สะบัดหน้าหนี ค้อนให้หนึ่งขวับก็เพื่อให้รู้ว่ายังงอนอยู่และที่เดินเลี่ยงหนีมานี่ก็เพื่อให้มาง้อกันอย่างลำพังสองต่อสอง ทำไม....ไอ้ทึ่มนี่ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย

“ดีล่ะ......ไม่ง้อ ก็อย่าง้อ ไม่พูดก็อย่าพูด แล้วเจ้าจะเสียใจ ไอ้บ้าอัสสะ”

เจ้านาคน้อยทรงบ่นอย่างหัวเสียและในช่วงที่พระอารมณ์ขุ่นมัวนี้เองจึงมิสามารถทรงจับได้ว่า มีดวงเนตรคมวาวเกเรคู่หนึ่งจากฉิมพลีจับจ้องอยู่เหนือยอดไม้สูง เจ้าของดวงเนตรคู่นั้นเริ่มคลี่รอยแย้มสรวลมาเต็มพักตร์ ในพระทัยเริ่มคิดหา ‘อุบาย’

“คงจะเป็นโอกาสของพี่แล้วสินะ ...ถ้าเจ้าอยากให้ใครเดินตามนัก พี่นี่แหละจะเดินตามเจ้าเองสีทันดร”

อาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ ถูกตักใส่จานมาเต็มโต๊ะ อณูน้อยต่างกินกันไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน ภาพของตระการตาที่คอยหั่นไส้กรอกวางไว้ในจานให้คันฉัตร และคันฉัตรคอยรินกาแฟให้ ทำให้อัสดงรู้สึกเหงาๆ หากไอ้ดื้อไม่งอนและนั่งอยู่ในที่นี้ รับรองว่า ไอ้ดื้อของเขาจะน่ารักและเด่นที่สุด ซึ่งเป็นความภูมิใจ ยามพาไปไหนมาไหนและใครได้เห็น

“สมกันจัง” ประโยคนี้ได้ยินทีไรก็ภูมิใจ ใครเล่าจะหาแฟนเป็นผู้ชายงามเลิศได้เท่าเขา

แก้วนมทรงสูงถูกซ่อนด้วยฤทธี....ก่อนคนซ่อนจะบัญชามากับรักยมว่า “เอาไปให้เจ้านายจอมดื้อของเจ้าด้วย”

“ทำไม พี่พระอาทิตย์ไม่เอาไปให้เองล่ะครับ”

“ไม่ว่าง.....เดี๋ยวต้องไปฝึกอาวุธบนเขาตรงด้านตะวันตกที่เป็นชะง่อนหินเยอะๆ” ที่จริงอัสดงมิจำเป็นจะต้องอธิบายให้มากความกับเจ้าโอปาติกะ หากแต่ต้องการฝากสานส์ไปให้ใครบางคนต่างหาก จึงสาธยายมาเสียละเอียด เผื่อจะได้ตามมาถูก

“คร๊าบ งั้นเดี๋ยวยมบอกพี่ดื้อให้นะครับ ว่าพี่อัสดงฝากนมมาให้”

“ไม่ต้อง บอกไปว่าเป็นของเจ้าสองคน”

หากบอกว่าเป็นเขาก็เท่ากับว่าเสียฟอร์ม เรื่องอะไรจะต้องง้อก่อน เรื่องอะไรจะต้องให้รู้ว่าห่วงแสนห่วง เหงาแสนเหงา.....ท่องไว้เราไม่ผิด เจ้าเองต่างหากที่ไม่มีเหตุผล

ทางด้าน นลกุพรกับทรงกลด กลายเป็นหัวข้อการสนทนาทันทีที่เดินมาถึง เอราวัตเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกพิเศษจึงเดินเข้ามาจนใกล้ทำจมูกสูดดมฟุดๆฟิดๆ จนทรงกลดต้องยันหน้าออกไปด้วยความหมั่นไส้กึ่งระอา ในความมีสาระ(แน) ของเจ้าเพื่อนช่างพูด

“ดมห่าอะไรวะ กูอาบน้ำแล้วนะโว้ย” ใช่สิอาบน้ำและท่าจะอาบกันนานเสียด้วย

“มีกลิ่นผิดปกติ มีอะไรปิดบังหรือเปล่า” เอราวัตหยุดดมชั่วครู่ แล้วกวักมือเรียกแฟนจอมเฮี้ยว “ฉายจ๋า...มาช่วยดมหน่อยเร็ว”

คืนฉายรีบวางจานไส้กรอกถลันเข้ามาตามคำเรียก แต่ทรงกลดก็ยันหน้าออกไปอีกคน “พอๆเลย มึงสองคนผัวเมียอย่าให้มันล้นให้มากนัก เดี๋ยวจะโดนกระทืบทั้งคู่ กูรู้นะโว้ย ว่ามึงวางแผนจะทำอะไรกับกู แต่ไม่ต้องแล้ว กูขอบใจในความหวังดี”

คู่รักจอมเซี้ยวแกล้งทำหน้าเหรอหรายามถูกจับได้ นลกุพรก็ได้เพียงแต่ยิ้ม ยักคิ้วให้กับเหล่าอณูน้อย ก่อนจะกอดคอเจ้าสหายหน้าตูมนามพระอาทิตย์ “เป็นไงวะอัสดง....สีทันดรยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”

แทนที่อัสดงจะกล่าวตอบ กลับมีเสียงยียวน กวนแสนกวนจากเจ้าเอราวัตช่างพูด(ทุกเรื่อง)ว่า “งอนเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงติดต่อได้รวดเร็วมากขยายตัวเป็นวงกว้างในแนวราบ ผู้ป่วยจะมีอาการหน้างอและบางรายที่อาการหนักจะมีอาการหน้าดำแทรกซ้อน หูแข็งฟังอะไรขัดหูขัดใจไปหมด ตาขวางน้ำลายไหลเล็กน้อยพองาม ยังไม่พบหลักฐานว่า โรคชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผู้ใดเอาโรคนี้มาปล่อยไว้ โรคนี้ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูง บางรายอาจถึงขั้นชักดิ้นชักงอ ลงไปกลิ้งกับพื้น”

“มีวิธีรักษาไหมจ๊ะที่รัก เผื่อที่รักของพี่ฉายงอน พี่ฉายจะได้รักษาถูก” คืนฉายแกล้งโอบไหล่เอราวัต ทำท่าพะเน้าพะนอ ใครๆได้เห็นก็แทบจะปล่อยก๊าก เพราะรู้ดีว่าสองผัวเมียคู่นี้ จงใจกระทบใคร ธรรม์ที่นับว่ายิ้มยากยังต้องแอบหลบมุมหัวเราะข้างเสา เพราะกลัวว่าหากหัวเราะดังๆ จะถูกอัสดงเตะ

“ยังไม่พบวัคซีนหรือยารักษาให้หายขาดมีแต่วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือควรสังเกตอาการผู้ป่วยว่าอยู่ในระดับไหน ถ้างอนน้อยๆให้ควรรีบง้อ ผู้พบเห็นทั่วไปควรเอาใจใส่ต่อผู้ป่วยโรคนี้ หากเป็นในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายได้โดยง่าย แต่ถ้าอาการหนัก ผู้ง้อควรได้รับการฝึกสอนและชำนาญต่อการง้อเป็นพิเศษ หลังจากได้รับการรักษาผู้ป่วยที่หายแล้วยังสามารถมีอาการกำเริบได้ทุกเวลา ผู้ใกล้ชิดต้องให้ความรัก ความเข้าใจ หากลดน้อยลงเมื่อไร อาการงอนจะกำเริบทันที”

“โรคนี้ น่ากลัวจัง แต่โชคดีนะ ที่ยังไม่มีใครในกลุ่มเราเป็น” คืนฉายแกล้งพูดใกล้ๆอัสดง ซึ่งยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“โรคนี้มักพบในกลุ่มคนที่มีความน่ารัก อย่างเช่นใครดีล่ะ....น้องดื้อไง  สำหรับผู้ที่ไม่น่ารัก โรคนี้จะเรียกว่า น่าเบื่อ น่ารำคาญควรปล่อยไปตามยถากรรม......โอ๊ยยยยย”

แล้วเสียงร้องลั่นของคู่รักทะเล้นก็ดังขึ้น เพราะอัสดงลุกขึ้นประเคนส้นเท้าหนักๆให้ดังพลั่ก สองผัวเมียหน้าคะมำหัวแทบทิ่ม คราวนี้เสียงหัวเราะไม่มีใครกั้นไว้แล้ว เฮฮาดังลั่น แต่ก็ต้องเงียบโดยฉับพลันทันใดเพราะสายตาพิฆาตเริ่มมองรายรอบ

“แดกกันให้เร็วๆ.........แล้วไปเจอกูบนยอดเขา เพื่อฝึกสมาธิ อย่าชักช้า วันนี้ห้ามใครเที่ยวเด็ดขาด!!”

ทางฝ่ายสีทันดรเมื่อทรงรับแก้วนมที่เจ้ารักยมนำมาทูลฯถวาย ก็ยกขึ้นดมเช่นเคยเพียงเท่านั้นก็ทรงอิ่ม สีทันดรทรงเสพรสแบบเทวะขนานแท้ ต่างจากนลกุพร แก้วนมที่มีปริมาณเต็มแก้วจึงถูกส่งคืนพร้อมพระดำรัสตอบขอบใจ

“ขอบใจนะ รัก ยม ที่อุตส่าห์นึกถึงเรา”

“พี่พระอาทิตย์สั่งให้นำมาถวายต่างหาก”

“แล้วทำไมเขาไม่เอามาให้เอง” สิ้นพระดำรัส แก้วนมก็ถูกเขวี้ยงใส่ก่อนหินข้างๆแตกกระจาย น้ำนมสีขาวประหนึ่งผิวพระวรกายกระจายไหลนองและซึมซับลงพื้นดิน เหอะ...หากรู้ว่าเป็นของคนงี่เง่า จะมิทรงเสียเวลาเสวยเลยสักนิด

“พอดี พี่พระอาทิตย์รีบไปฝึกสมาธิกับพวกพี่ๆอณูพะยะค่ะ เลยฝากรักกับยมมา”

“งั้นเจ้าสองคนก็ไปบอกพี่พระอาทิตย์ของเจ้าว่า ถ้าลมหายใจเข้าออกมีแต่ฝึกกับฝึก ก็ไม่ต้องมาห่วงเราให้เสียเวลา”

ดูเถอะคนอะไร จะง้อสักนิดก็ไม่มี กะอีแค่เดินตามมา พูดเพียงแค่ว่า “อัสสะขอโทษ” แค่นี้ทำไม่ได้หรือไง หรือเพียงแค่กอดอย่างที่เคยทำ เราก็พร้อมจะยอมอภัย เจ็บใจนักเราไม่เคยถูกใครละเลยจนถึงขนาดนี้ “เราจะไปเดินเล่นสักพัก ไม่ต้องตามมา”

พระพักตร์งาม หวาน ที่มองเท่าไรก็ไม่รู้จักเบื่อยังคงคว่ำเป็นม้าหมากรุกตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงบัดนี้ พระหัตถ์กำแน่น ริมโอษฐ์บางแดงสด เม้มจนเป็นเส้นเดียว ก่อนจะสลายกลายเป็นรัศมีเขียวเจือทอง พวยพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

“ตามไปเร็วรัก”

“จะตามไปทำไม...ยมไม่ได้ยินรับสั่งเหรอว่าไม่ต้องตาม”

“เดี๋ยวพี่พระอาทิตย์ถาม เราสองคนก็ซวยทั้งขึ้นทั้งร่องอีก ไปเหอะเร็ว”

เย็นย่ำค่ำแล้ว สีทันดรยังคงเดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย พัสตราภรณ์สีเขียวอ่อนก้านมะลิแบบยุวกษัตริย์ แปรเปลี่ยนเป็นแบบมนุษย์ธรรมดา ยามเสด็จยังถนนคนเดินที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับร้อย เจ้ารักเจ้ายมตามเสด็จด้านหลัง อยู่ในชุดมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน มันสองคนวันนี้ได้แต่เดินตาม ตาม แล้วก็เดินตาม มิกล้าชวนคุยใดๆทั้งสิ้นเพราะรู้ดีว่า เจ้าลูกพี่จอมดื้อพระอารมณ์ไม่ทรงปกติ

ด้วยความที่คนแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น เจ้านาคน้อยที่ทำองค์เฉกมนุษย์ จึงต้องดำเนินฝ่าฝูงชนไปอย่างยากลำบาก และการเดินฝ่าไปนั้น ก็เรียกร้องให้สายตาทุกคู่หยุดจ้องมองในพระลักษณะที่จัดได้ว่า มองได้จนไม่รู้เบื่อ และต้องเหลียวมองจนเดินลับสายตา

“น่ารักจัง จะมองว่าสวยก็สวยมาก จะมองว่าหล่อก็หล่อบาดใจ เป็นดาราหรือเปล่า”

“มีแฟนหรือยัง เข้าไปจีบดีไหม” หรือบางเสียงบางกลุ่มถึงขนาดจะเข้ามาขอ เบอร์โทร แต่หารู้ไม่ว่าสีทันดรไม่มีโทรศัพท์ ทรงมีแต่โทรจิต “เข้าไปขอเบอร์สิ”

เสียงซุบซิบที่ทรงได้สดับด้วยทิพยโสตนั้น หากเป็นยามปกติ คงสร้างรอยแย้มสรวลได้บ้าง หากยามนี้พระพักตร์เชิดตั้งตรงฉายแววเอาเรื่องหากใครเข้ามาวอแว มนุษย์พวกนั้นได้แต่กล้าๆกลัวๆ แต่มีคนหนึ่งนั้นเล่าที่กล้าพาตัวเองแทรกเข้ามาเดินจนใกล้ และร่างสูงกำยำของหนุ่มน้อยราวยี่สิบต้นๆที่เข้ามานั้น ก็น่ามองไม่แพ้กัน

“ว้าย ตาย หล่อจัง....เขามาด้วยกันหรอกเหรอ” ใครๆที่ได้เห็นเจ้าคนนี้เดินตามอยู่ด้านหลังต่างก็คิดเช่นนั้น แต่คนน่ามองที่เดินนำหน้า ไม่ยักรู้ว่ามีคนเดินตาม

เขาคนนั้นใส่เสื้อกล้ามตามแบบวัยรุ่นชายที่นิยมโชว์กล้าม แขนแข็งแรงมีผ้าพันแผลรัดไว้ เจ้ารักเจ้ายม ที่จับสังเกตได้ รีบสาวเท้าเข้ามาหมายเดินแทรกกลางกันลูกพี่ออกจากการถูกเดินตาม แต่เจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองก็มีอันต้องลอยละลิ่วภายในพริบตา เพราะเจ้าคนเดินตามใช้มือที่ไขว้หลังกันอยู่นั้นแอบซัดอาคมใส่กระแทกอกมันสองคนเต็มๆ

“โอ๊ย”

ด้วยเสียงร้องนี้เอง สีทันดรทรงหันกลับมาทันที และก็ทรงพบว่า พระพักตร์อยู่เสมอเพียงอกกำยำของใครบางคน แผงอกที่ไม่เคยคุ้นในเสื้อกล้ามสีดำขับสีผิวของคนปริศนาที่เดิมตามให้น่ามอง จนจำต้องแหงนพระพักตร์ขึ้นไปทอดเนตร แล้วก็ต้องทรงผงะ

“วะ.... วายุภัค”

“สงสัยจะเป็นบุพเพสันนิวาส เราสองคนเจอกันอีกแล้วนะสีทันดร”

แน่ฤา ที่ว่าเป็นบุพเพสันนิวาส บุพเพประเภทไหนกันเล่าที่ทรงใช้ให้ครุฑบริวารคอยแอบตามเงียบๆ ครั้นพอพ้นจากรัศมีเขตอาคมของพวกอณูน้อยนั่นแหละ ไอ้พวกบริวารนั้นจึงรีบไปกราบทูลยังยอดไม้สูงที่ทรงประทับอยู่ “ทางสะดวกแล้วพะยะค่ะ ทูลกระหม่อมสีทันดร ทรงประทับลำพังอยู่กับเพียงโอปาติกะเท่านั้น”

“ขอบใจ” เท่านั้นแหละ วายุภัคจึงเหิรลอยเสด็จมายัง ถนนคนเดิน ที่บัดนี้มีเทวนาคาพระเนตรฟ้าครามทรงแอบมาดำเนินอยู่

“หลีกไป” สีทันดรถอยพระวรกายออก แต่ด้วยความที่คนแน่นนักจึงถอยไม่ได้หนำซ้ำพระวรกายยังถูกดันกลับเข้าไปเสียแทบจะแนบชิดติดกับอก “รัก ยม อยู่ไหน... มานี่เดี๋ยวนี้”

“เจ้าผีเด็กมันกลับไปแล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่กับพี่เพียงลำพัง” วายุภัคแอบเอาพระดัชนีไขว้กันไว้ มิได้ทรงโกหกแต่อย่างใด เพียงแค่ตรัสไม่หมดเท่านั้น ว่าโอปาติกะสองตนถูกซัดให้กลับ มิได้กลับไปเอง

“งั้นหม่อมฉันจะกลับ”

“งั้นพี่จะไปส่ง” วายุภัคตรัสขึ้นทันควัน

“แต่หม่อมฉันกลับเองได้  ถอยไป ที่นี่เป็นสถานที่สาธารณะไม่ใช่อาณาเขตของฝ่าบาท ฉะนั้นจะมาขวางทางหม่อมฉันอย่างเมื่อวานไม่ได้ หากยังทรงทำ คราวนี้จะไม่มีแค่รอยเขี้ยว” พระเนตรฟ้าครามจากที่ไม่สบพระอารมณ์อยู่แล้วเริ่มกร้าว ทอดมองอย่างชิงชัง รอยคมเขี้ยวที่ฝากฝังไว้บนต้นพระพาหาสร้างความสาพระทัยนัก

“เจ้าบอกพี่เองนะว่าที่นี่เป็นที่สาธารณะ  ฉะนั้นพี่จะยืนตรงไหนก็ได้ หากเจ้าพาลอยากจะกัดพี่อีก พี่ก็ไม่ห้าม แต่พี่ขอจิกเจ้าคืนเบาๆ ทบต้นจากเมื่อวาน...ได้ไหม ” วายุภัคสรวลระเรื่อ

เมื่อวาน....ยังทรงจำได้ ....ที่เขาพระองค์นี้จะจิก แต่วิธีการจิกก็ทำให้พระพักตร์ระเรื่อ เพราะทรงเกือบโดนจิกด้วยริมโอษฐ์หยักงาม ผิดวิสัยครุฑสามัญที่ใช้จะงอยปากแหลมคม

สีทันดรพยายามกลั้นพระโทสะ เทวปักษีตนนี้ พยายามยั่วให้โมโห หากทรงหลงกล จะทรงถูกรังแกเป็นแบบเมื่อวานทางที่ดีเลี่ยงเสียดีกว่า เจ้านาคน้อยจึงไม่ตรัสตอบใดๆทั้งสิ้น สะบัดพระพักตร์พรึ่ด เป็นฝ่ายออกมาเสียให้พ้นทาง แต่มีฤาที่วายุภัคจะไม่ตาม

“จะตามหม่อมฉันมาอีกทำไม”

“พี่ก็เดินของพี่ มิได้ตามสักหน่อย”

“ทรงต้องการอะไร หากจะทรงต้องการปะทะฝีมือ หม่อมฉันยอมรับก็ได้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ขอยอมแพ้ จะได้พอพระทัยและเลิกเดินตามหม่อมฉันเสียที”

“ทำไมถึงเห็นพี่เป็นคนเกเรชอบท้าตีท้าต่อยเช่นนั้น ทยุติธรกับบรรพบุรุษเจ้าคงเป่าหูให้ครอบครัวพี่เสียหายไม่มีดี”

ครอบครัวที่วายุภัคทรงตรัสคงไม่แคล้ววงศ์วานเทวปักษีที่ฉิมพลี ความเป็นศัตรูนั้นถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เจอกันทีไรมักมีเรื่อง ....แต่ไฉนสองวันมานี่ วายุภัคทำองค์แปลกๆ ซึ่งเจ้านาคน้อยก็ทรงจับสังเกตและรู้สึกองค์ได้

สีทันดรเจ้าจะรู้องค์ไหม เพราะกลิ่นเจ้าที่หอมแสนหอม เนตรงามดั่งท้องทะเลลึกที่เทวปักษีมิมีทางได้ลงไปแหวกว่าย และพักตราที่ถอดแบบมาจากพระมหาลักษมีเทวีที่ทรงงามที่สุดในสามโลก .....ทำให้พี่ต้องร่อนลงมาจากฉิมพลี

“ไม่ต้องมีใครเป่าหู หม่อมฉันก็รู้ ว่าพวกฉิมพลีเลวทรามแค่ไหน” พระสุรเสียงที่กราดเกรี้ยวนั้นเอง เรียกความสนใจจากมนุษย์ให้หันมามอง

“แล้วพวกบาดาล ดีพร้อมนักหรือไง เห็นทีพี่ต้องจับเจ้าสั่งสอนเสียใหม่” วายุภัคขึ้นพระสุรเสียงมาบ้าง โดนด่าจนกริ้วน่ะใช่ แต่ไยมีอาการคันยิบๆที่พระทัยและอาการก็กำเริบหนักขึ้นจนควบคุมไม่ได้

สีทันดรเห็นว่าวายุภัคทรงเอาเรื่องแน่ แต่วายุภัคก็ไม่ได้โจมตีดังคาด แค่ประชิดกายจับต้นพระพาหาแน่น เจ้านาคาตาสวยสะบัดออกด้วยความรวดเร็ว  หากปะทะกันตอนนี้ ที่นี่ มนุษย์จะลำบาก เลี่ยงไปเสียให้พ้นๆ ในพระทัยหมายเรียกให้อัสสะมาช่วย...แต่อีกแว่บก็ทรงหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะทรงคิดว่า ‘เขาคงไม่สนใจ’  จึงใช้เทวฤทธิ์องค์เอง แทรกหลบลัดเลาะไปตามกลุ่มคนด้วยความรวดเร็ว เพียงชั่วแวบเท่านั้น ก็สามารถพาพระวรกายออกมาพ้นจากบริเวณถนนคนเดิน ประทับยืนเหนือริมฝั่งแม่น้ำปาย

“พวกครุฑชั่วช้า อันธพาล รอให้เราโตว่านี้อีกหน่อยเหอะ เราจะเด็ดปีกเจ้าให้ดู”

“ อย่าเหมารวมว่าครุฑจะชั่วช้าไปเสียทั้งหมด ทำไม.... เจ้าถึงเห็นว่าพี่เกเร เป็นอันธพาล”

สีทันดรหันขวับทันใดโดยมิรู้ว่า เจ้าเทวะปักษีมาปรากฏวรกายประทับอยู่เบื้องปฤษฎางค์อย่างรวดเร็วและยื่นพักตร์เข้ามาใกล้ และในวินาทีที่หันไป พระปรางกระจ่างใสก็สัมผัสกับริมโอษฐ์หยักงาม อย่างไม่ทันตั้งตัว และตั้งพระทัย

ระเรื่อยรินกลิ่นกรุ่นจากพวงแก้ม ....โฉมแฉล้มฉ่ำหทัยเป็นนักหนา

วายุภัคมิได้ลวนลาม แค่เอาพระพักตร์เข้ามาใกล้ แต่องค์เองต่างหากเล่า ที่เข้าไปหา ริมโอษฐ์เทวปักษีเสียเอง

แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วแวบ วายุภัคก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุขพระทัยเหลือคณา โดยมิทรงรอให้สมองสั่งการ พระทัยจึงใช้กำกับ อ้อมพระพาหาให้ทำงานกอดรัดวรองค์ปานรูปสลักด้วยความรวดเร็ว  คราวนี้วายุภัคทรงจิก ....และจิกไม่ยอมปล่อย ทั้งพระปราง ริมโอษฐ์และซอกพระศอเศวตถูกจิกถ้วนทั่ว คราวนี้วายุภัคไม่พลาด ใช้ครุฑสีหนาทกำกับมิให้เจ้านาคน้อยคืนร่างสู่สภาวะนาคาอย่างเมื่อวาน แถมยังกั้นมิให้กระแสจิตถูกส่งออกไปขอความช่วยเหลือ

“ถึงเวลาพี่ต้องจับเจ้าสั่งสอน....โทษทีนะทยุติธร น้องชายเจ้ามันน่ายุ่งจริงๆ”

พระวรกายเล็กๆ จึงไม่มีทางเลี่ยงหนีไปไหนได้ จะร้องก็ร้องไม่ออก เพราะพระโอษฐ์ถูกปิดสนิทแน่น แล้วปีกสีเศวตก็กางออกกว้าง ปีกที่กล่าวกันว่ากวักทีบินได้ทีละโยชน์ กระพือขึ้น พาเทวนาคาน้อยขึ้นสู่ยอดไม้สูง เสมือนยามครุฑจับนาคที่เวลาจะจิกกินก็จะพาบินขึ้นฟ้า จิกกินบนยอดไม้เหมือนกัน....แต่วายุภัคมิทรงจิกกินแบบนั้น

“พญาเวนไตยเสด็จ”

เสียงก้องตะโกนขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบได้ วายุภัคตกพระทัยยุติการกระทำจาบจ้วงทันที แล้วทรงรู้สึกว่า พระวรกายถูกซัดด้วยพลังงานอะไรบางอย่าง แม้จะไม่ระคายผิวและทำให้บาดเจ็บ ทว่าก็ทำให้ซวนเซ แลพลังนั้นก็รวมตัวกันดึงพระวรกายเจ้านาคน้อยที่ยังทรงตะลึงออกมาและหายวับไปด้วยความรวดเร็ว

“โธ่โว้ย” วายุภัค ร้องลั่นฟ้าด้วยความขัดพระทัย ที่เสียรู้ ทรงนิ่งสักพัก ก่อนจะตรัสเรียกราชครูปุโรหิตคนสนิทพร้อมบริวาร “พวกเจ้าจงไปทูล ทูลหม่อมปู่ว่า เราตัดสินใจแล้วว่า เราจะร่วมรบกับพวกอณูเทวะทั้งแปด ให้เตรียมกองกำลังให้พร้อม”

“พะยะค่ะ แต่ฝ่าบาททรงแน่พระทัยแล้วเหรอว่า ทรงอยากรบจริงๆ หรือทรงมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง” ราชครูกล้าทูลถามขึ้น เพราะรู้พระอุปนิสัยดี

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” วายุภัคขมวดขนงตรัสถามด้วยสุรเสียงกร้าว

“อย่าหาว่าหม่อมฉันบังอาจ ...ทรงเลิกสนพระทัยเสียเถิดกับเทวนาคาพระองค์นั้น สิ่งที่ฝ่าพระบาททรงทำมันเกินคำว่าสั่งสอน.....แลอีกอย่าง ถึงแม้พระลักษณะจะเหมือนพระมหาลักษมีเทวี แต่ก็ทรงเพศเทวบุตร ที่สำคัญที่สุด ทรงเป็นเทวนาคาศัตรูเรา”

“บังอาจ!!” วายุภัคทรงตวาดก้อง แล้วทรงกล่าวต่อว่า “ แล้วยังไงราชครู เป็นเพศเทวบุตรกับศัตรูแล้วมีปัญหาตรงไหน ....อย่าให้เราได้ยินเรื่องนี้อีก และหากใครแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เราจะตัดหัวมันเสียบประจานหน้าฉิมพลี ...ไปได้แล้ว”

วายุภัคขบกรามกำพระหัตถ์แน่นกล่าวคาดโทษกับราชครูและบริวารยามถูกเตือนพระสติ .....ใช่ การร่วมรบ เรามีวัตถุประสงค์แอบแฝง และมันผิดด้วยหรือ หากเราจะทำเพื่อแลกกับการได้ใกล้ชิด “หัวใจ” ของเรา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2019 08:48:25 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
เสียงโครมดังสนั่น พร้อมๆกับกระถางบัวกลางสนามหญ้าของบ้านพักแตกกระจาย อณูน้อยทั้งหลายที่นั่งคุยกันอยู่เรื่องผลการฝึกวันนี้ ต่างก็รีบรุดมาดูทันใด และก็พบว่า กลางเศษกระเบื้องและกอบัวที่ยับเยินนั้น มีเจ้าลูกพี่จอมดื้อที่กำลังถ่ายพลังให้เจ้ารักเจ้ายมอยู่

เจ้ารักเจ้ายม ใช้อำนาจเกินตัวเข้าสกัดวายุภัคและชิงตัวตนออกมา ด้วยเดชะและศักติของวายุภัค ทำให้พลังของเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองเกือบสลาย โชคดีที่ไม่โดนเทวปักษีซัดซ้ำเมื่อกี้ ไม่งั้นดวงวิญญาณมันคงแหลกเหลว “ดีขึ้นไหม...รักยม เราเป็นต้นเหตุ เราขอโทษ”

“อย่าตรัสอย่างนั้น พะยะค่ะ หากพี่ดื้อโดนรังแกไปมากกว่านี้ รักยมคงรู้สึกผิดที่ถวายงานปกป้องไม่ได้”

“โธ่....รัก ยม” สีทันดรทรงตรัสอะไรไม่ออกอีก ซึ้งในน้ำใจเจ้ามหาดเล็กจำเป็น ดูเถอะ รักยมเป็นแค่โอปาติกะ ซ้ำยังไม่ใช่บริวารโดยตรง ยังมีจิตห่วงตนถึงขนาดนี้ แล้วคนที่เคยพร่ำบอกว่าตนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาล่ะหายไปอยู่เสียที่ไหน คนที่ทูลบอกพระมหาลักษมีเทวีว่า จะดูแลตนด้วยชีวิตทั้งชีวิต บัดนี้ทำอะไรอยู่

“น้องดื้อ ไอ้รัก ไอ้ยม ไปทำอะไรกันมา ไหงสภาพถึงเป็นแบบนี้” คันฉัตรที่วิ่งมาคนแรก เห็นสีทันดรกำลังถ่ายทอดพลังทิพย์ให้กับรักยมอยู่ ก็ตกใจถามขึ้นอย่างระรัว

“เกิดอะไรขึ้นครับน้องดื้อ ทำไมรักยมถึงบาดเจ็บ”

ทรงกลดถามมาอีกคน แต่สีทันดรก็ยังไม่ตอบอะไรรอจนการถ่ายพลังเสร็จ จึงเตรียมตอบ แต่ใครบางคน ที่ทรงคาดว่าจะวิ่งเข้ามาหาโอบกอดด้วยความเป็นห่วง กลับฉุดข้อพระกรขึ้นเสียโดยแรง พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เป็นประโยคแรกที่พูดกันในวันนี้

“ไปไหนมา ไปทำอะไรมาอีก คงก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหม บอกมาเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นไอ้รักไอ้ยมมันคงไม่สะบักสะบอมขนาดนี้ อัสสะตามใจเจ้ามามาก วันนี้อัสสะคงต้องทำโทษเจ้าจริงๆจังๆซะที”

น้ำเสียงห้วนๆ ชวนให้หฤทัยช้ำชอก หลุดจากวายุภัคมาได้ก็หมายพระทัยจะให้ปลอบ หมายจะซบอก บอกว่าถูกคนอื่นเขารังแก แต่กลับมาเจอแบบนี้ นี่หรือคนรักเขาทำกัน ....สีทันดรรู้สึกเจ็บที่พระอุระเหลือเกินจะเจ็บ ไหนจะพระเกียรติยศที่โดนวายุภัคย่ำยี ไหนจะถ้อยคำที่หลังไหลร้ายกาจจากปากของเขาคนนี้

นลกุพรเห็นท่าไม่ดี และเห็นสีพระพักตร์ของสหายที่เคยดื้อรั้นเอาแต่พระทัยเริ่มสลด ทรงเห็นรอยรื้นใสๆตรงขอบพระเนตรฟ้าคราม ซึ่งหากสีทันดรปกติ อัสดงคงไม่แคล้วโดนแว๊ดกลับ มันต้องมีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้น “อัสดง ใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวเราถามให้”

“สีทันดรจ๋า บอกนลนะ ว่าไปทำอะไรมา อย่าเงียบแบบนี้เลยนะคนดีของนล” นลกุพรทรงดึงข้อพระกรออกมาจากมืออัสดงแล้วโอบพระวรกายไว้แน่นอย่างที่เคยทำ

“นล....ทำไมไปโอ๋อย่างนั้น เด็กดื้อก็ต้องโดนทำโทษ”

อัสดงดึงพระวรกายกลับ ลากหลุนๆ ไปด้วยความโมโห เหอะ...เด็กดื้ออุตส่าห์รออยู่บนเขาทั้งวัน เจ้าก็ไม่ขึ้นมา กลับมาหวังจะเห็นหน้าให้ชื่นใจคลายเหนื่อย เจ้าก็ไม่อยู่ หนำซ้ำกลับมาเสียมืดค่ำ แถมทีท่าก็ยังเหมือนว่าไปก่อเรื่องมาอีก

“สร้างแต่เรื่อง ไม่มีจบสิ้น ทำไมไม่ทำตัวน่ารัก ว่าง่ายเหมือนแฟนคนอื่นเขาบ้าง ดูตระการตาสิ เขาเป็นมนุษย์เขายังไม่งอแง ไอ้ฉัตรให้รอที่นี่ก็รอ ไอ้ฉัตรให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีปริปากบ่นสักคำ เราทั้งเหนื่อย ทั้งหนักใจ ไม่รู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะตายกลางสนามรบหรือไม่ หวังเพียงแค่มีใครสักคนคอยดูแล แต่กลับมาหวังกอดให้ชื่นใจก็ไม่เห็นแม้แต่เงา”

“เฮ้ยยยย ไอ้อัสดง อย่าเอาฉันกับแฟนเข้าไปเกี่ยวสิวะ” คันฉัตรเห็นท่าไม่ดีรีบพาตระการตาออกไปจากที่เกิดเหตุ เพราะกลัวจะโดนลูกหลงหากระเบิดจากเทวะนาคาลง

สิ้นคำจากอัสดงเท่านั้น พระเนตรฟ้าครามก็ฉายวาบขึ้นทันใด พอกันทีสิ้นสุดความอดทนแล้ว ทำไมต้องเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

รักยมที่ยังฟื้นกำลังยังไม่เต็มที่ เห็นสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ พยายามยันกายเข้ามาไกล่เกลี่ย เมื่อเห็นลูกพี่โดนฉุดไปอย่างนั้น 

“พี่พระอาทิตย์ฟังก่อนครับ คือพี่ดื้อ...ทรง..”

“ไม่ต้องบอกเขา รักยม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ปล่อยให้เขาเข้าใจไปแบบนี้แหละ”

แล้วสีทันดรก็แข็งขืนสะบัดข้อพระกรสุดแรงเกิด จนหลุดจากมือของเจ้าพระอาทิตย์ ผลักเจ้าพระอาทิตย์สุดแรงเกิดด้วยฤทธีจนกระเด็นไปติดต้นไม้ใหญ่ แล้วตวัดพระหัตถ์ตบกลางฟ้า ยามเจ้าพระอาทิตย์ลุกขึ้นมา จนหน้าหันเซถลาไปอีกรอบ ก่อนจะตรัสขึ้นทั้งพระอัสสุชลที่รินหลั่งเป็นสาย

“เราก็เป็นของเราอย่างนี้ เราก็ดื้อของเราอย่างนี้ มาตั้งนานนม แล้วตัวเจ้าล่ะคิดว่าดีนักหรือไง เจ้ามันก็ใจร้อน เอาแต่ใจเหมือนกัน จะถามเราดีๆสักนิดไหม ว่าเราเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มาถึงก็กราดเกรี้ยวขึ้นเสียง ในเมื่อเจ้ากล้าเปรียบเทียบเรากับคนอื่น เราก็จะเปรียบเทียบบ้าง เจ้าเองก็สู้ พี่กลดกับนลไม่ได้ที่ถามเราดีๆ เป็นห่วงเรา” สีทันดรหยุดเว้นวรรคเพื่อกลั้นสะอื้น พระกรน้อยๆ พยายยามเช็ดพระอัสสุชล แต่เช็ดเท่าไรก็เช็ดไม่หมด เสียงสะอื้นที่กลั้นก็ยังไม่ยอมหยุด จึงพยายามฝืนตรัสต่อมาว่า

“เราไม่เคยถูกละเลย เราเคยมีคนดูแล ขนาดทูลหม่อมพี่ชายเรา ที่ลมหายพระทัยเข้าออกมีแต่ฝึกศาสตารวุธ ยังเสด็จมาหา มาคุยกับเราตลอด ไม่เคยที่จะทอดทิ้ง และปล่อยให้เราถูกรังแกเช่นวันนี้ เรากลับมาก็เพื่อหวังว่าจะมีอ้อมกอดของเจ้ารอรับ ลูบผมกอดเราเช่นเคย แต่เจ้ากลับกระชากเราขึ้นจากพื้น......เจ้าเป็นใคร ไอ้ไฟบ้า ถึงกล้าทำอย่างนี้กับเรา เราน้อยใจ เจ้ารู้ไหม ”

ต่างฝ่าย ต่างมีเหตุผลส่วนตัวถ้าไม่คุยกัน ปรับความเข้าใจกันแต่แรกก็จะไม่มีทางเข้าใจ เสมือนภูเขาไฟที่รอเวลาปะทุ และหากปะทุขึ้นมาเมื่อใด ก็รุนแรง ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของอัสดงและสีทันดร

หากแต่ตอนนี้อัสดงตะลึงงัน มิคิดว่าจะโดนตอกกลับเป็นชุด แลประโยคที่ว่าโดนรังแกทำให้ได้สติรีบถามด้วยหัวใจและน้ำเสียงสั่นพร่าไม่แพ้กัน

“ใคร ใคร รังแกเจ้า”

สีทันดรมิตรัสตอบเสด็จเข้าไปใกล้ กำพระหัตถ์ทุบลงไปบนอกเจ้าพระอาทิตย์รูปงามอย่างไม่มียั้ง เสียงร้องสะอื้นร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นเสียพระทัยอย่างไม่เคยเป็น ดังลั่นและดังกว่าคราวที่เจอกันครั้งแรกที่บ้านทรงกลด พระเนตรฟ้าครามเริ่มช้ำ ผิวน้ำที่เคยไหลเรื่อยสงบของลำน้ำปายเริ่มเกิดระลอกหมุนวน ปลาน้อยใหญ่ต่างแย่งกันกระโดดขึ้นมาดู เหมือนจะช่วยเข้ามาปลอบพระทัยและรู้ว่าเจ้านาคากำลังโศกาอาดูร

อณูน้อยทุกคนต่างก็ตื่นตะลึงไม่แพ้อัสดง รัศมีสีเขียวเจือทองเริ่มสั่นไหว ตรงขอบปลายแซมไว้ด้วยสีดำ ....สีแห่งความโศกเศร้ามัวหมอง ทรงกลดกับนลกุพรพี่ชายและสหายที่แสนดีขยับกายเข้าหมายปลอบ แต่สีทันดรก็สะบัดออก เวลานี้ใครก็เข้าพระพักตร์ไม่ติด

“ในเมื่อเจ้าเห็นว่าเราสร้างแต่เรื่อง ทำตัวไม่น่ารัก เหมือนคนอื่นๆ เราก็จะไป เจ้าจะได้ไม่ต้องทนรำคาญเราอีก” สิ้นพระสุรเสียง รัศมีสีเขียวเจือทองก็สว่างวาบพวยพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว อัสดงหมายจะใช้วงแขนกอดรัด อย่างที่เคยทำก็ช้าไปเสียแล้ว

“ไอ้ดื้อ.....เดี๋ยวก่อน อัสสะขอโทษ”

อัสดงตะโกนลั่น ก่อนจะรีบสลายกลายเป็นรัศมีสีแดงเพลิงแรงกล้าตามไปติดๆ ทว่ารัศมีสีเขียวเจือทองนั้นกลับซัดแส้เพลิงฟาดลงมากลางอกจนเขาร่วงลงมาจากฟ้า ก่อนจะสลายหายวับไปในพริบตา
 
คำขอโทษ...ของเจ้า มันไม่ช้าไปหรอกฤา อณูแห่งพระสุริยาทิตย์

“พี่พระอาทิตย์ใจร้าย”

เจ้ารักเจ้ายม กล่าวขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะสลายหายวับตามลูกพี่จอมดื้อของมันไป ทิ้งไว้แต่เหล่าอณูน้อยทั้งหลายที่ยืนทำตัวไม่ถูกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คืนฉายกับเอราวัต เข้ามาประคองอัสดงที่ร่วงลงมากับพื้น ในจังหวะเดียวกับที่ทรงกลดปราดเข้ามาขย้ำคอเสื้ออัสดง แล้วเหวี่ยงหมัดหนักๆลงไปบนใบหน้าของเจ้าพระอาทิตย์รูปงาม ดังพลั่ก ก่อนตะโกนลั่น

“กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าให้ดูแลน้องดื้อให้ดีๆ กูสู้อุตส่าห์ทำใจยอมยุติบทบาท ปล่อยดวงใจของกูให้มึงเอาไปดูแล เพราะกูมั่นใจว่ามึงจะดูแลอย่างดี แต่ทำไมมึงกลับทำกับน้องดื้ออย่างนี้” ทรงกลดเงื้อหมัดอีกระลอก ตั้งใจซัดให้อีกเสียทีแต่นลกุพรก็เข้ามาห้ามไว้

“พอได้แล้วกลด....แค่นี้อัสดงก็ย่ำแย่พอแล้ว”

“ช่างเหอะนล ...เรื่องนี้ฉันผิดเอง นายจะต่อยฉันอีกกี่ทีก็ได้นะไอ้กลด” อัสดงกล่าวตอบพร้อมกับเช็ดเลือดที่ค้างคาอยู่ที่มุมปาก ทรงกลดถลันกายจะเข้ามาอีก ราหูกับน้ำเชี่ยว รีบเข้ามาช่วยขวาง

“ไอ้ห่า....เพื่อนกันนะโว้ย” ราหูยันอกทรงกลดไว้ก่อนจะหันไปบอกนลกุพรกับน้ำเชี่ยวว่า “พาไอ้กลดแยกไปก่อน”

แต่ทรงกลดก็ไม่ยอมไปขัดขืนจะพยายามปรี่เข้ามาให้ได้ ทรงกลดพี่ชายที่แสนดีกลายเป็นพระจันทร์ที่กำลังทอแสงแห่งความกราดเกรี้ยวเฉกครั้งก่อนเกิดเหตุจันทรคราส ตะโกนลั่นไม่หยุด

“นายทำน้องดื้อเสียใจ....ไหนว่าจะดูแลอย่างดีไงวะ”

“แล้วจะให้กูทำอย่างไร  มีใครเข้าใจความรู้สึกกูบ้าง กูเป็นอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ แบ่งภาคลงมาครั้งนี้ก็เพื่อปราบมารปราบอสูรเป็นหลัก ไม่ได้ลงมาเป็นนักรัก หน้าที่สำคัญของกูก็ควรเอาเวลามาใส่ใจเรื่องศึกต่างหาก กูก็อายุสิบแปดและเป็นอณูแห่งเทวะเหมือนๆกับพวกมึง แต่ความรับผิดชอบกูมีมากกว่า กูต้องนำทัพ หากกูทำได้ไม่ดีสวรรค์กับโลกมนุษย์ก็จะฉิบหาย”  อัสดงสวนกลับมาบ้างทำให้อณูแห่งจันทรเทพและทุกคนในบริเวณนั้นยืนฟังนิ่งและพอเริ่มเข้าใจในเหตุผล

“แต่นายก็ควรจะแบ่งเวลาให้ถูก” ทรงกลดเริ่มอารมณ์เย็นลงบ้าง หากก็ยังไม่วายกล่าวแย้ง

“ไอ้ดื้อ คือทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตของกู เป็นยอดดวงใจ กูเองก็อยากจะอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืน แต่เทวะต้องดำรงไว้ด้วยหน้าที่ ใช่ว่ากูจะไม่เสียใจ และก็ขอบอกไว้เลยว่าเสียใจมากที่สุดที่คนที่กูรักไม่เข้าใจกูเลยสักนิด เอาแต่งอน หากพวกมึงลองมาสลับหน้าที่กับกูพวกมึงก็จะรู้ ว่าความเหนื่อยยากมันอยู่ตรงไหน มีใครจะเข้าใจกูบ้างไหม”

อณูน้อยทั้งหมดและนลกุพรได้ฟังก็เงียบกริบ เริ่มเข้าใจในเหตุผล ทรงกลดไม่มีอะไรโต้แย้งมาอีกยอมจำนนเข้ามาขอโทษที่เผลออารมณ์ต่อยหน้า แล้วสุรเสียงดังกังวานก็ดังขึ้นพร้อมๆกับรัศมีสีเขียวเจือทอง สว่างวาบสลายกลายเป็นวรองค์งามสง่าของทยุติธร

“เราเข้าใจเจ้าอัสดง ถึงแม้เราจะมิเคยเห็นด้วย ในความรักของเจ้าที่มีต่อน้องชายเรา  แต่เจ้าทำถูกต้องแล้ว น้องเราเองก็มีส่วนผิด”

“ฝ่าบาท”

ทยุติธรทรงดำเนินเข้ามาตบไหล่แล้วกอดคออัสดงเสมอเป็นสหายคนหนึ่งไม่เหลือเค้าทีท่าไว้องค์เฉกเคย “ปล่อยสีทันดรไปสักพักก่อน เดี๋ยวเราช่วยพูดให้ พวกเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อนเหอะ เราขึ้นมานี่ก็เพื่อจะขึ้นมาช่วยถ่ายทอดโยคะสมาธิให้ตามสัญญา เจ้าจะได้ใช้ฝึกให้เป็นประโยชน์ต่อไป ทำใจให้สบายก่อน และอีกอย่าง เราจะช่วยนำทัพจากบาดาลเข้าร่วมรบ ทูลหม่อมปู่อนันตฯ ให้สิทธิขาดเราแล้ว”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ แต่ตอนนี้กระหม่อมอยากออกตามไอ้ดื้อ อยากจะรีบไปปรับความเข้าใจ ไม่รู้สึกอยากจะทำอะไรทั้งนั้น รู้สึกเป็นห่วงกลัวจะโดนใครรังแกอย่างวันนี้อีก” อัสดงทูลตอบมิอายที่จะบอกว่ารักและห่วงน้องชายต่อหน้าพี่ชายที่ทรงหวงน้องอย่างยิ่ง

ทยุติธรขมวดพระขนงโดยพลันหลับเนตรนิ่ง ชั่วแวบแล้วก็ทรงลืมขึ้นด้วยความรวดเร็ว ตรัสลั่น “วายุภัคบังอาจนัก....อัสดงรีบตามมาเร็ว”

สิ้นรับสั่งและทันทีที่พระนามวายุภัคหลุดออกมา ทยุติธรก็ทรงพุ่งปราดเป็นรัศมีสีเขียวไปพร้อมกับรัศมีสีแดงเจิดจ้าของอัสดงและเหล่าอณูน้อยที่เหิรทะยานตามมาติดๆ อัสดงรู้ดีว่าวายุภัคคือใครและเข้าใจได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้เรื่องบาดหมางระหว่างเทวะกับเทวปักษีจะจบแล้ว หากเรื่องระหว่างเทวนาคาและเทวปักษีมิเคยจบสิ้น....และไอ้ดื้อก็เสด็จไปเพียงลำพังกับเจ้ารักเจ้ายมที่ยังสะบักสะบอม....มีฤาจะทานอำนาจวายุภัคไหว

“วายุภัค เจ้านี่เองหรอกเหรอ...เหอะอุตส่าห์ช่วยรักษาและสานไมตรี ไม่คิดเลยว่าพวกครุฑจะคบไม่ได้” อัสดงรำพึงกับตนเอง ขบกรามแน่น ก่อนจะส่งกระแสจิตทูลบอกทยุติธรว่า

“หากวายุภัคทำร้ายสีทันดรแม้แต่ปลายเล็บ กระหม่อมถวายสัญญาว่า ฉิมพลีจะพินาศด้วยมือกระหม่อมเอง”

อัสดงจะรู้ไหมว่า....วายุภัคมิได้ทรงทำร้ายสีทันดรอย่างครุฑทั่วไป หากแต่วายุภัคทรงทำร้ายด้วยวิธีที่ไม่เคยมีครุฑตนไหนหาญกล้ากระทำมาก่อนนับเป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว และหากได้รู้ว่าวายุภัคทรงทำอย่างไร วิมานฉิมพลี....จะเพียงพอสำหรับการเผาฤา

“รอก่อนนะสีทันดรยอดรัก....อัสสะกำลังจะไปหาเจ้าแล้ว”

**********************************
รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๔ ส่วนที่๓ นะคะ

ขอบคุณ คุณAkuaPink คุณOooy คุณmaemix คุณblanchard คุณLadySaiKim นะคะที่ชื่นชอบและร่วมแสดงความเห็นและเป็นกำลังใจให้กันตลอด  :กอด1:
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดตามกันเสมอมา Merry X'Mas ค่ะ

อ้างอิง * สุภาษิตสอนหญิง สุนทรภู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2019 08:49:02 โดย Artemis »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :impress2: :katai2-1: นนกุพรกับทรงกลดเขาได้กันแล้ว คู่อื่นเขาหวานชื่นแต่คู่อักสะกับเจ้าดื้อกับมีปัญหาเพราะวายุพัคเข้ามาแทรก สงสารน้องดื้อเหมือนกันนะแต่ก็เข้าใจอัสสะ ยังไม่ทันจะรบกับอสูรเลยกลับมารบกันเองซะแล้ว วายุพัคก็ดื้อด้านรู้ว่าจะดื้อเป็นของใครยังกำแหงต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง รอตอนต่อไปนะคะเรื่องราวกำลังเข้มข้นเป็นกำลังใจและจะรอติดตามค่ะ รอเรื่องน้องมอสด้วยนะคะกำลังสนุก

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓

ท่ามกลางความมืดสนิท ของป่าบนยอดเขาสูงที่เคยมีเสียงร้องระงมของบรรดาสรรพสัตว์หากินกลางคืน  ทว่าบัดนี้เสียงเหล่านั้นถูกกลบจนหมดสิ้นด้วยเสียงกันแสงสะอื้นร่ำไห้ดังลั่น จากวรองค์ที่กำลังประทับนั่งเหนือโขดหินชันพระชานุและซบพระพักตร์ลงไป

บรรดารุกขเทวาและเหล่านางไม้ ต่างออกมาเมียงๆมองๆ แต่ก็ไม่มีหน้าไหนกล้าเข้ามาปลอบเพราะรู้ฤทธิ์ของเทวนาคาน้อยพระองค์นี้ดี ว่าทรงร้ายเพียงใด หากเสนอหน้าเข้าไปกันตอนนี้ มีหวังเกรียมเป็นตอตะโก จึงได้แต่หลบๆซ่อนๆแอบดู แต่ก็ยังไม่วายมีพระสุรเสียงกริ้วแหวออกมา

“มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนร้องไห้หรือไง ไปเสียให้พ้นๆ”

เท่านั้นแหละเหล่าผู้ที่แอบดูจึงกระเจิดกระเจิงแตกฮือหนีเข้าต้นไม้ไปคนละทิศละทาง ทว่ายังเหลือสองรัศมีที่กล้าเข้ามาใกล้ๆ แนบชิดติดปลายพระบาท

“พี่ดื้อ อย่าทรงกันแสงเลยนะพะยะค่ะ”

“พี่พระอาทิตย์ใจร้าย พี่ดื้อไม่ต้องสนใจ”
 
สีทันดรทรงเงยพระพักตร์ขึ้น พอทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นใครก็เปิดอ้อมพระพาหาโผเข้าโอบเจ้ารักเจ้ายมไว้แน่น “อัสสะเขาไม่รักเราแล้วใช่ไหม รัก ยม ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้กับเรา”

“โธ่พี่ดื้ออย่าร้องไห้สิ เดี๋ยวรักก็ร้องไห้ตามหรอก” เจ้ารักยังพูดไม่ทันจบ เจ้ายมก็ดันร้องไห้นำหน้ามาเสียแล้ว และเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองก็ผสานเสียงร้องไห้กันลั่นขึ้นมาทันใด เพราะสงสารลูกพี่ของมันจับใจ

“โอ๋ๆ....พี่ดื้ออย่าร้องนะ อย่าร้อง”

เสียงนั้นยังคงดังลั่นไปทั่วแนวป่า และดังขึ้นไปยังเหนือยอดไม้สูง ทำให้พระพักตร์บางพระพักตร์ที่แอบทอดพระเนตรดูอยู่นานที่สลดอยู่แล้วกับสลดลงไปอีก...อยากจะเสด็จลงไปปลอบและโอบกอดยิ่งนัก แต่ก็กลัวว่า คนที่กันแสงอยู่จะกันแสงหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม  และยิ่งเห็นความไม่ได้เรื่องของเจ้ามหาดเล็กจำเป็นทั้งสอง ที่แทนจะช่วยกันปลอบนาย ดันมาช่วยประสานเสียงร้องไห้ ก็ทำให้พระขนงขมวดด้วยความไม่สบพระอารมณ์จนต้องตัดสินพระทัยเสด็จลงมา

“โถ.....เจ้าคงเกลียดพี่มาก พี่แค่กอดแค่จูบเจ้าก็มาร้องไห้ลั่นอยู่นี่”

วายุภัคเอ๋ย.....จะเข้าใจไหมหนอว่าเจ้าเข้าใจผิดถนัดแล้ว

เทวปักษีหนุ่มน้อยบัดนี้กลับมาทรงภูษาสีเศวตตามแบบฉบับเทวะ เสด็จเข้ามาจนเกือบประชิดโขดหินที่สีทันดรประทับอยู่ เจ้ารัก เจ้ายม เห็นว่ารัศมีวาบดุจดาวฤกษ์นั้นเข้ามาใกล้และรู้ว่าเป็นใครก็หยุดร้องไห้ เอากายของมันทั้งสองกำบังพระวรกายลูกพี่มันไว้ทันที

“อย่าเข้ามานะพะยะค่ะ ....ถึงพวกเราจะเป็นผีชั้นต่ำ แต่เราก็จะสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องพี่ดื้อ”

“เจ้าจะสู้ทั้งๆที่รู้ว่า เราเพียงแค่สะบัดมือ วิญญาณเจ้าสองคนก็แตกสลายแล้วกระนั้นฤา เจ้าโอปาติกะ”

“พะยะค่ะ....” เจ้ารัก เจ้ายม ทูลตอบพร้อมกับหงายฝ่ามือเตรียมซัดพลังที่มีอยู่อันน้อยนิดของพวกมันใส่ หากวายุภัคล้ำเส้นเข้ามาอีกนิดเดียว

“น้ำใจของเจ้าน่านับถือนัก เจ้าโอปาติกะ กล้าหาญ ไม่กลัววิญญาณสลาย...เอ๊า เอาพลังเจ้าคืนไป  แถมเรายังเพิ่มให้ด้วย ต่อไปจะได้เลื่อนขั้นจากมหาดเล็กเป็นองครักษ์ จะได้ดูแลถวายงานรับใช้เบื้องยุคลบาทเจ้านายเจ้าได้” วายุภัคทรงสรวล มิกริ้วเจ้าโอปาติกะทั้งสองแถมยังทรงชื่นชมในความกล้าหาญของมัน ซึ่งถูกพระทัยนัก จนเพิ่มฤทธีให้ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้รักยมยิ่งนัก

“วายุภัค ทรงต้องการอะไรอีก ตอนนี้หม่อมฉัน ไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง มาทางไหน จงเสด็จกลับไปทางนั้น แล้วเรื่องวันนี้หม่อมฉันจะมิเอาเรื่อง” สีทันดรเงยพระพักตร์ขึ้นตรัส เมื่อรู้ว่าใครเสด็จมา ทรงเตรียมพร้อมเข้าโรมรันหากเขาพระองค์นี้ จะรังแกตนอย่างที่ทรงทำ...แม้พระทัยจะไม่พร้อมรบ

“ทำไมถึงมองพี่ด้วยสายตาชิงชังอย่างนั้น ดูสิ ร้องไห้จนตาสวยๆของเจ้าบวมไปหมดแล้ว” วายุภัคทรงตรัสอย่างอ่อนโยน ถือวิสาสะประทับนั่งยังโขดหินใกล้ๆ พร้อมกับยื่น ผ้าซับพระพักตร์ส่วนพระองค์ประทาน “ เช็ดน้ำตาเสียเถิด พี่ขอโทษ ที่วันนี้ พี่เผลอล่วงเกินเจ้า หากมันทำให้เจ้าเสียใจ”

“หามิได้ หม่อมฉันไม่ได้ร้องไห้ด้วยเรื่องนั้น อย่าสำคัญองค์ผิด” สีทันดรทรงกล่าวตอบพร้อมกับปัดพระหัตถ์แข็งแรงที่ถือผ้าซับพระพักตร์เบนออก จนคนที่ยื่นให้พระพักตร์เสียยิ่งกว่าเดิม

“แล้วเจ้าร้องไห้ด้วยเหตุอันใด บอกพี่ได้ไหม” วายุภัคมิได้ทรงแสแสร้ง สุรเสียงเครือเจือความเป็นห่วงสุดซึ้งตรัสถามทันใด

“ไม่ใช่เรื่องของฝ่าบาท หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียว ออกไปให้พ้น”

แม้จะโดนตวาดไล่ วายุภัคก็ยังไม่เสด็จจากไป และมิถือโกรธ ซึ่งหากเป็นผู้อื่นกระทำกับตนเช่นนี้ โทษอย่างเดียวของมันคือต้องฑัณฑ์ ....เว้นแต่สีทันดรองค์เดียวเท่านั้น และพระทัยก็ประจักษ์แน่ชัดแล้ว ทว่าเวลานี้ หาใช่เวลาสำรวจความรู้สึกในพระทัย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำ คือทำให้เจ้านาคน้อยพระองค์นี้หยุดกันแสงต่างหาก เจ้านาคน้อยที่งามแสนงามจับใจ ได้เห็นเพียงสองครั้งก็ทำให้ประทับไม่เป็นสุข อีกทั้งกลิ่นกายที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม กอดแล้วติดตัว....จนต้องร่อนลงมาจากฉิมพลีมาดมใกล้ๆด้วยนาสิกแลสัมผัสด้วยริมโอษฐ์อีกครั้ง

“เราจะทำอย่างไรดี ให้เจ้าหยุดร้องไห้” วายุภัคทรงเปรยกับองค์เอง ในพระชนม์ชีพแทบจะมิเคยต้องทรงปลอบใคร ญาณวิเศษที่เคยใช้ทรงใช้แต่ในการศึก การปกครอง มิเคยต้องใช้หาวิธีซับน้ำตา วายุภัคยังทรงคิดไปเรื่อยๆ จวบจนรอยแย้มสรวลใสปรากฏและมิเหลือเค้าเจ้าเล่ห์แต่อย่างใด

ฉับพลันไวเท่าความคิด ดวงแก้วสุกใสส่องประกายรัศมีสีรุ้งก็บังเกิดกลางพระหัตถ์ แล้วลอยละลิ่วลงมาแตกกระจายหน้าพื้นดิน สีทันดรเบนพระพักตร์มาดูก็ทรงพบว่า แสงสว่างจากดวงแก้วที่แตกกระจัดกระจายนั้น กลายเป็นเทวบุตรและนางอัปสรตัวน้อยนับสิบขนาดเท่าตุ๊กตา กำลังเริงระบำรำฟ้อน ด้วยทีท่าอันสดใส สอดประสานกับทิพยดุริยางค์ จากเหล่าคนธรรพ์ขนาดเดียวกันที่บรรเลงเป็นมโหรีวงใหญ่ 

ระบำจากเหล่าตุ๊กตานี้ แสดงถวายหน้าที่ประทับโดยเฉพาะ....ด้วยอุ้งหัตถ์แห่งวายุภัค

ท่วงทำนองอันวิเศษ และท่วงท่างดงามรื่นเริง ทำให้พระอัสสุชลเริ่มเหือดแห้ง อารมณ์คับแค้นพระทัยเริ่มผ่อนคลาย จนเผลอทอดพระเนตรระบำนั้น จนสีทันดรเผลอตกโอษฐ์

“น่ารักจัง”

“ตอนพี่เด็กๆ เวลางอแง พ่อพี่ชอบเสกให้ดู เจ้าชอบไหม”

“ชอบสิ”

“ถ้าชอบ เดี๋ยวพี่เสกให้ดูอีก แต่เจ้าต้องหยุดร้องไห้ และก็พักผ่อนเสียที บรรทมสักตื่นดวงเนตรของเจ้าจะได้หายช้ำ” วายุภัครับสั่งอย่างพระอารมณ์ดี แล้วคณะเทพตุ๊กตา ก็ค่อยๆรางเลือนจางหาย จนเหลือเพียงหมอกควันพร้อมๆกับพระเนตรบอบช้ำฟ้าครามที่ค่อยๆปรือปิดลงจนทรงฟุบกับก้อนหินนั้นตามรับสั่งแห่งเทวปักษี

“ฝ่าพระบาททรงทำอะไรพี่ดื้อ พะยะค่ะ” เจ้ารักเห็นลูกพี่บรรทมแน่นิ่งเขย่าพระวรกายยังไงก็ไม่ตื่น รีบถามขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ

“เจ้านายเจ้าร้องไห้เสียตาบวม เราอยากให้พักผ่อน”

“ทรงพระแอบร่ายมนต์” เจ้ายมกล่าวขึ้นมาบ้างแต่รู้ว่าใช้ราชาศัพท์ผิดจึงแก้เสียใหม่ “ทรงแอบร่ายมนต์”

“ถ้าไม่ทำ ลูกพี่เจ้าจะหยุดร้องไห้และได้พักผ่อนเหรอ ลำพังเจ้าสองคนจะทำอะไรได้ เราดูอยู่นานแล้ว” วายุภัคเสด็จลุกจากโขดหิน มายังโขดหินที่สีทันดรประทับนอนอยู่ และรับสั่งกับเจ้าโอปาติกะว่า “ ถอยไปได้แล้ว เราจะดูแลสีทันดรเอง”

“อย่าแตะต้องพระวรกายพี่ดื้อนะพะยะค่ะ” เจ้ารักเจ้ายมที่กำลังวังชาและฤทธาเพิ่ม ตั้งท่าเอาเรื่อง

“เก็บกำลังเอาไว้สู้กับพวกอสูรเหอะ หลีกไป” วายุภัคทรงตวาดด้วยครุฑสีหนาทตัดความรำคาญ เจ้ารักยม โดนสุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเดชะกำราบก็ตัวสั่นเป็นลูกนก ...แล้ววรองค์ที่งามเกินกว่ารูปสลักใดๆในสามโลกก็ตกอยู่ในอ้อมพระพาหาอีกครั้ง

ทันทีที่ได้โอบอุ้ม กลิ่นพระวรกายหอมกรุ่นก็กำจาย ส่งผลให้แว่บแรกในความคิด....นึกถึงพระแท่นบรรทมกับพระเขนยที่สุดแสนจะนุ่มในตำหนักส่วนพระองค์ที่ฉิมพลีเป็นจุดหมาย หวังจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน ทว่าหากทรงนำเสด็จไป...ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า ขืนใจให้เสด็จ ทูลหม่อมปู่ย่อมทรงกริ้ว เพราะทรงสั่งห้ามนักห้ามหนา

“ปู่ไม่ว่า.....หากเจ้าจะสนใจใคร แต่ขออย่างเดียว อย่ายุ่งกับเจ้านาคาน้อยสีทันดร”

“ทำไมพะยะค่ะ ทำไมหลานจะยุ่งไม่ได้”

“เพราะปู่ไม่อยากเห็นเจ้าโดนพระมหาลักษมีเทวีท่านกริ้ว พระแม่เจ้าทรงพระทัยดีเสมอ หากกริ้วผู้ใดเข้า ผู้นั้นจะหาความสุขในชีวิตต่อไปอีกไม่ได้เลย จงอย่ากระทำการอันใดที่ฝืนกับพระเสาวนีย์   แม้แต่พระมหาวิษณุพระสวามีก็ทรงช่วยเจ้าไม่ได้หากเจ้าลุกล้ำพระราชอำนาจแห่งพระแม่เจ้า”

ด้วยเหตุผลประการฉะนี้แหละ จึงทำให้มิทรงกล้า และตัดสินพระทัยได้ว่าจะพาไปส่งคืน

“เจ้าโอปาติกะ จงนำทางเราไป เราจะพาเจ้านายเจ้าไปส่ง”

เจ้ารักยมได้ยินรับสั่งก็ยังรีๆรอๆ จนวายุภัคตรัสย้ำ นั่นแหละ ถึงได้เตรียมนำเสด็จ แต่แล้วดันมีรัศมีสีเขียวเจือทอง พร้อมกับรัศมีสีแดงเพลิง ลอยลงมาจากฟากฟ้าขวางกั้นทางเสด็จนั้นเสียนี่ ตามมาด้วยเหล่าอณูน้อยที่เตรียมพร้อมหากจำเป็นต้องรบกับครุฑ

“เจ้าทำอะไรน้องเรา วายุภัค เราบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับน้องเรา ปล่อยสีทันดรบัดเดี๋ยวนี้” ทยุติธรตรัสขึ้นร้อนรน พระทัยวาบตกลงไปอยู่ที่ข้อพระบาท

“ปล่อยไอ้ดื้อเดี๋ยวนี้...ไม่งั้นกระหม่อมไม่เกรงใจ” อัสดงทูลด้วยเสียงกร้าว แต่วายุภัคมิทรงสะทกสะท้านกลับตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงยียวน

“เจ้าสองคนพูดเบาๆหน่อยได้ไหม สีทันดรหลับอยู่ เราเพิ่งจะกล่อมให้หลับไปได้เมื่อกี้ หากตื่นขึ้นมาร้องไห้อีก รับผิดชอบกันเองแล้วกัน”

“เราไม่เชื่อ”

“เหอะ....ทยุติธร ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ถามเจ้าโอปาติกะสองตนนี้ดู” วายุภัคทรงเบนพักตร์ไปยังรักยม ซึ่งมันทั้งสองก็ทูลความจริงว่าวายุภัคทรงกล่อมให้หลับจริงๆและจะพาไปส่ง ทยุติธรจึงโล่งพระทัย รับสั่งตอบไปว่า

“ ถ้างั้นก็ขอบใจ ....แต่หมดหน้าที่เจ้าแล้ว จงส่งสีทันดรคืนมาให้กับเรา”

วายุภัคยักพระอังสะ แต่ก็ส่งสีทันดรคืนไปให้กับทยุติธรโดยดี ทยุติธรเมื่อรับพระวรกายพระอนุชามาก็ตรัสฝากกับอัสดง ก่อนจะประกาศเป็นเชิงเตือนหมายจะให้เข้าไปในพระทัยของเจ้าเทวปักษี

“สีทันดรคือเกียรติยศสูงสุดแห่งบาดาลและผองเหล่าเทวนาคาที่พระมหาลักษมีเทวีทรงพระเมตตาประทานให้ เป็นความภูมิใจอันยิ่งใหญ่หาใดเหมือน และหากวันใดที่ใครหน้าไหนชั่วช้ากล้าล่วงเกินเกียรติยศอันสูงสุดนี้ วันนั้นโลกบาดาลจะนำน้ำจากมหาสมุทรทั้งมวลโผนทะยานขึ้นจนถึงยอดพระสุเมรุ”

วายุภัคขบกรามแน่น กำหัตถ์ พยายามระงับพระโทสะ การที่เหล่านาคาจะนำน้ำท่วมถึงยอดพระสุเมรุ มิใช่เป็นเพียงแค่คำขู่ ทว่าทางฝั่งบาดาลนั้นทำได้จริง และเมื่อน้ำท่วมถึงยอดพระสุเมรุเมื่อไหร่ เมื่อนั้นฉิมพลีก็จะไม่มีเหลือ เหล่าเทวปักษีต่อให้มีปีกก็จะไม่มีทางรอดแม้แต่องค์เอง ยกเว้น ทูลหม่อมปู่ ทูลหม่อมลุง ทูลหม่อมพ่อ เท่านั้น บาดาลทรงอำนาจ มานาน เป็นหนึ่งในสามโลก ที่มหาเทวะยังต้องให้เกียรติ....และจะคุ้มกันไหม หากทุกอย่างพังพินาศ เพียงเพื่อแลกกับดวงหทัยของตน

“เรารู้ดี....ไม่ต้องมาขู่ เราแค่เป็นห่วงน้องเจ้า หาได้ล่วงเกิน”

“สีทันดรไม่เป็นอะไรแล้ว อณูแห่งพระสุริยาทิตย์จะคอยดูแล เชิญกลับไปที่ฉิมพลีได้”

“อย่าหมายบังอาจมาสั่งเราทยุติธร เราจะไม่กลับฉิมพลีอีกแล้ว พระมหาอุมาเทวีมีรับสั่ง ให้เรานำทัพจากฉิมพลีเข้าร่วมกับเหล่าอณูนอกจากการถ่ายทอดยุทธวิธีรบ เราจะกลับได้ก็ต่อเมื่อ สิ้นศึก หรือไม่ก็ สิ้นใจ”

คำว่า สิ้นศึก ความหมายย่อมชัดแจ้ง ทว่าคำว่า สิ้นใจ ของวายุภัคนี่สิ ทรงหมายถึงอะไร  หากหมายถึงสิ้นพระชนม์ ชีพหยุด จนต้องจุติ .....ไยมีรอยโศกปรากฏที่ดวงเนตร

“อะไรนะ!!”

ทุกเสียงกล่าวขึ้นพร้อมกัน อย่างไม่เชื่อหู ....ความจริงก็ควรจะน่าดีใจ อย่างที่อัสดงเคยปรารถนาอยากได้กองกำลังครุฑเข้าร่วมดั่งที่เคยหมายให้เอราวัตเจรจา หากทว่าเวลานี้ ไยทั้งหมดรู้สึกดีใจระคนหนักใจโดยไม่มีสาเหตุ ....สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าแม่ทัพจากฉิมพลีพระองค์นี้ น่าจะนำความยุ่งยากมาให้เสียมากกว่า

ทัพครุฑจากฉิมพลี กับ ทัพนาคจากบาดาล จะอยู่ด้วยกันได้ฤา น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่เหล่าอณูน้อยต้องแก้ ....และความหนักใจทั้งหมดก็คงไม่พ้นตกอยู่กับอัสดง

อรุณรุ่งขบวนเสด็จแห่งพระสุริยาทิตย์เสด็จผ่านพ้นขอบฟ้ากว้างเรื่อยขึ้นสู่นภมณฑลไล่ความขมุกขมัวอันธกาลให้จางหาย พร้อมๆกับพระเนตรฟ้าครามใสที่ลืมขึ้นมา เต็มเปี่ยมไปด้วยความแปลกพระทัย ทรงจำได้ว่าหนีคนใจร้ายไปนั่งร้องไห้อยู่กลางป่ากับรักยมจนเจอวายุภัค และได้ดูระบำตุ๊กตา จากนั้นก็ทรงไม่ได้พระสติ ตื่นมาอีกทีไฉนมาอยู่ที่นี่ได้

“รัก ยม อยู่ไหน เรากลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

สิ้นพระสุรเสียง แทนที่จะเป็นรักยมปรากฏกาย กลับกลายเป็นไอ้ไฟบรรลัยกัลป์มาเสียนี่

“ตื่นแล้วเหรอ” อัสดงทักเสียงใส ทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะนั่งลงข้างๆพระวรกาย หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองยามปกติ สีทันดรคงเลื่อนมาประทับนอนบนตักหรือบางทีก็ผลัดกันนอนหนุน หากแต่ตอนนี้ ความไม่เข้าพระทัย ทำให้หมางเมิน

สีทันดรทรงสะบัดหน้าพรึ่ดไปอีกทาง เบี่ยงพระวรกายหนี แต่ความไวก็แพ้อัสดงที่โอบกอดเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ปล่อยนะ”

“ไม่ปล่อย....อัสสะอยากบอกว่า อัสสะขอโทษ”

“มันไม่ช้าไปหน่อยเหรออัสดง”

“ยังโกรธอัสสะอยู่เหรอ....ถึงได้เรียกอัสสะว่า อัสดง” ดวงตาสีอำพันหวานซึ้ง ฉายแววสำนึกผิดเต็มที่ ทว่าพระเนตรฟ้าครามมิยอมชายตาแล ทำให้อัสดงรู้สึกเจ็บแปลบยิ่งนัก ที่ “อัสสะ” กลายเป็นแค่ “อัสดง” มาเสียแล้ว

เหอะ คนบ้า.....ไหนว่าเราสร้างแต่เรื่องไม่มีจบสิ้น ทำตัวไม่น่ารัก สู้ตระการตาไม่ได้ ยังจะมายุ่งกับเราอีกทำไม

“โกรธ โกรธมาก....ออกไปนะ ออกไป” พระสุรเสียงกริ้วปังดังออกไปถึงข้างนอก อณูน้อยคนอื่นๆที่กำลังนั่งทานกาแฟและอาหารเช้าสะดุ้งกันเป็นแถว แสดงความคิดเห็นกันเซ็งแซ่

“กูว่าไอ้อัสดง มันต้องตายห่า แบบพวกครุฑพวกนั้นแน่เลย”

“กูว่ามันรอด....แต่อาจจะเดี้ยง”

“พอทีมึงสองคนไอ้ราหู ไอ้น้ำเชี่ยว แช่งเพื่อนอยู่ได้ อุตส่าห์กล่อมให้มันไปง้อแฟนมันได้ทั้งทีแทนทีจะช่วยให้กำลังใจ มึงนี่ยังไงกัน” ที่ว่ากล่อมของคันฉัตร คือต้องนั่งพูดกันเป็นวรรคเป็นเวรเกือบทั้งคืนกว่าอัสดงจะยอมมาง้อ ถึงแม้เมื่อคืน จะเป็นฝ่ายอุ้มสีทันดรมานอนที่เตียง และยอมรับว่าผิด แต่ก็ยังไม่ยอมง้อ แถมยังจะไปนอนเบียดที่บ้านน้ำเชี่ยวกับธรรม์และราหูด้วยเหตุผลที่ว่า

“เค้าตื่นมา คงไม่อยากเจอหน้ากู”

“มึงก็เสือกคิดเสียอย่างนี้ ถึงได้ไม่เข้าใจกัน ไหนมึงบอกว่าน้องดื้อ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมึงไง เลิกงี่เง่าและยอมไปนั่งคุกเข่าง้อเขาได้แล้ว ไป๊”

หนำซ้ำทยุติธรที่ตอนนี้กลายเป็นพี่แฟนที่ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อยังทรงให้กำลังใจด้วย นั่นแหละอัสดงถึงยอมมา “สีทันดรง้อง่าย....เวลางอนเรา เราพาไปเที่ยวแป๊บเดียวก็หาย”

“แล้วถ้าไม่หายล่ะพะยะค่ะ”

“เดี๋ยวเราช่วยหาวิธีให้ใหม่ ลองไปง้อตามวิธีเจ้าก่อน” ทยุติธรทรงทำหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนตรัสตอบ มิทำตัวเกินชันษาเฉกเคย ที่ทรงเต็มพระทัยช่วยจนลืมไปว่าเคยจะขัดขวางความรักของพระอนุชา เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาอัสดงเป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้จนชนะใจมุจลินทร์ ....ยามนี้อัสดงมีปัญหา ถึงคราวที่ต้องทรงช่วยเป็นการตอบแทน

ฉับพลันเสียง โครม ก็ดังสนั่น อณูน้อยทุกคนวางอาหารในมือทันใด โผนทะยานลอยละลิ่วมายังหน้าบ้านพักของอัสดง ทยุติธรรีบปรากฏพระวรกายขึ้น สะบัดพระหัตถ์จนประตูเปิดออก แล้วทั้งหมดก็ต้องหลบกันพัลวัน เพระสีทันดรเล่นคืนร่างสู่สภาวะนาคา สะบัดอัสดงจนกระเด็นติดผนังก่อนจะเหิรลอยพุ่งออกนอกประตู

“หยุดแผลงฤทธิ์เดี๋ยวนี้นะสีทันดร” ทยุติธรที่ตั้งองค์ได้ ตรัสเรียกพระอนุชาเสียงเข้ม “คืนร่างสู่สภาวะทิพย์แล้วลงมาคุยกันดีๆ”

สีทันดรเมื่อทรงเห็นว่าใครประทับอยู่ด้วยก็รีบคืนสู่สภาวะทิพย์ตามรับสั่ง โผเข้าหาพระเชษฐาพลัน หมายจะทูลฟ้อง หากทว่า ทยุติธรชิงตรัสมาเสียก่อน “ ไม่ต้องฟ้องอะไรพี่ทั้งนั้น ....พี่เห็นด้วยกับอัสดง มานี่เราต้องคุยกันซะหน่อย”

“พี่ชาย!!”

แล้วทยุติธรก็ลากพระกรพระอนุชาหลุนๆ ไปนั่งเทศนาเสียยกใหญ่ ริมลำน้ำลำพังสองพี่น้อง สุรเสียงของสีทันดรดังลั่นมาถึงบ้านพัก แสดงว่ากับพระเชษฐาก็ไม่ทรงเว้น นลกุพรกับทรงกลดจึงได้โอกาสรีบเข้าไปช่วยแงะอัสดงออกจากข้างฝาพอลากออกมาได้อณูน้อยที่เหลือก็ถามกันลั่น

“เป็นไงบ้างวะ เจ็บเท่าโดนตบเมื่อคืนไหม”

“มึงลองโดนเองสิไอ้ฉาย” อัสดงตอบอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก นี่น่ะหรือง้อง่ายของทยุติธร

“กูบอกแล้วว่าให้รีบง้อเสียแต่เนิ่นๆ ไอ้โรคงอนเนี่ย เป็นแล้วหายยากมักลุกลาม มัวแต่ทิฐิส้นตีนอยู่นั่นแหละ แล้วเป็นไง”

“เดี๋ยวมึงสองคนผัวเมียจะโดนตีน ไอ้พระพุธ ไอ้พระศุกร์ ตอกย้ำกูอยู่นั่นแหละ ไป๊” 

ทางด้านสีทันดรที่ถูกทยุติธรซักไซร้ถึงเรื่องเมื่อคืนก็ยังทรงยืนกรานว่าตนไม่ผิดในเรื่องนี้ อัสดงต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ทยุติธรจึงต้องเสียงเข้มอีกครั้ง “พี่รู้ว่าเจ้าน้อยใจ แต่ถ้าเจ้ามัวแต่จะให้อัสดงมานั่งห่วง มานั่งเอาใจเจ้า มากกว่าฝึกอาวุธ อาคม พี่ว่าคงไม่เหมาะ เจ้าอย่าลืมนะว่าหน้าที่ของอัสดงสำคัญกว่าคนอื่นๆ หากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว มันหมายถึงอนาคตของทั้งสามโลก”

“หม่อมฉันก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้เขามาอยู่กับหม่อมฉันทั้งวัน แค่แบ่งเวลาให้เป็นบ้าง ไปไหนมาไหนบอกหม่อมฉัน สนใจหม่อมฉันบ้างก็เท่านั้น นี่อะไร มาถึงไม่ถามสักคำ แถมยังมาแว๊ดๆใส่”

“แต่เท่าที่พี่ฟัง.....มันไม่ใช่แค่ “บ้าง” มัน “มาก” ต่างหาก เจ้าเองก็โตแล้ว ชันษาถ้านับการเจริญเติบโตของร่างกายเทียบแบบมนุษย์ก็ปาเข้าไปสิบหก ควรจะเลิกเอาแต่ใจตัวเองซะที ที่เขากราดเกรี้ยวเอากับเจ้า ก็เพราะเจ้ามันดื้อ  หากเจ้ารักอัสดงอย่างที่เจ้าเคยบอกพี่ครั้งก่อนจริง เจ้าก็ต้องเข้าใจเขาและอย่าทำให้เขาห่วงหน้าพะวงหลัง ควรจะให้กำลังใจเขา ทำให้เขาชื่นใจ จริงๆแล้วพี่ไม่ควรมาสอนเจ้าเรื่องนี้ เพราะใจจริงพี่ไม่ได้สนับสนุนความรักในแบบเจ้า แต่พี่ขัดโองการแห่งมหาเทวีไม่ได้ พี่อยากบอกเจ้าว่า ถ้าเจ้ารักที่จะเป็นยอดดวงใจของนักรบ จงดูสมเด็จแม่ และมุจลินทร์เป็นตัวอย่าง”

“หม่อมฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นน้องแท้ๆของพี่ชาย ระหว่างหม่อมฉันกับอัสดง”

“เอาละ งั้นพี่จะไปฆ่าอัสดงให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้ โทษฐานที่ทำให้น้องพี่เสียใจ ดีไหม” ทยุติธรเสกดาบยาวในพระหัตถ์ขึ้นทันใด แกล้งมุ่งหน้าลุกไปทางกลุ่มอณูน้อย

“อย่านะพะยะค่ะ ...อย่าทำอะไรอัสสะ” สีทันดรพระพักตร์เสีย ตรัสลั่น รีบขวางไว้ทันที

“ก็ไหนโกรธเขาอยู่ มาห่วงอะไรเขา”

“ก็ได้ๆ สรุปว่าหม่อมฉันผิดใช่ไหม ผิดหมดฝ่ายเดียวเลยใช่ไหม”

“เฮ้อ ไม่รู้ .....โตแล้วคิดเอาเองก็แล้วกัน” ทยุติธรถอนพระปับผาสะเฮือกใหญ่ จนแล้วจนรอดพระอนุชาก็ยังไม่เข้าพระทัยจึงเสด็จลุกพรวด แต่แล้วก็เหมือทรงนึกอะไรได้ จึงหันกับมาตรัสว่า “ อ้อ...เดี๋ยวพี่จะพาอัสดงกับพวกอณูไปฝึกโยคะสมาธิเปิดพลังจักราในร่างบนยอดเขา เพื่อเตรียมฝึกยุทธวิธีขั้นสูง จะกลับก็คงจะเย็น และจะเป็นอย่างนี้ทุกวัน พี่เลยบอกเจ้าไว้ก่อน เดี๋ยวพี่จะถูกหาว่าไปไหนมาไหนไม่บอกไม่สนใจ ถ้าอยากไปก็ตามมาล่ะ แล้วอีกอย่าง ระวังวายุภัคไว้ให้ดี เพราะเทวปักษีจะร่วมศึกครั้งนี้ด้วย หากเจอก็เรียกพี่หรือไม่ก็เลี่ยงซะ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่ห่วง”

“พี่ชาย!!”

ทยุติธรเสด็จจากไปเข้ารวมกลุ่มกับอณูน้อยที่ยืนคอยตรงกลางสนาม แล้วเสด็จเหิรทะยานนำละลิ่ว ทิ้งพระอนุชากระทืบพระบาทด้วยความกราดเกรี้ยวที่โดนทูลหม่อมพี่ชายย้อนเข้าให้อย่างจัง

สถานที่ฝึกของเหล่าอณูน้อยเป็นลานดินโล่งกว้างกลางป่าเหนือยอดเขาเทียมฟ้า คราครึ้มไปด้วยไอหมอกกำจาย รายล้อมด้วยไม้ใหญ่เป็นปราการกางกั้นเผื่อว่ามารจะมากวน บรรดาเหล่ารุกขเทวาและนางไม้ต่างกำลังช่วยจัดการให้สถานที่ให้สะอาด  พอเห็นขบวนเสด็จที่นำโดยทยุติธร เสด็จมาถึง ต่างก็ทิ้งงานในมือหมอบราบกราบแทบบาท

“ขอบใจมาก....ที่ช่วยจัดการสถานที่ให้เสียจนน่าฝึก ฝากขอบใจท่านเจ้าเขาด้วย พวกเจ้าไปได้แล้ว”

“พระเจ้าค่ะ”

เมื่อรุกขเทวาและนางไม้ไปหมด ทยุติธรก็ทรงเริ่มบทบาทหน้าที่พระอาจารย์ทันที โดยตรัสสั่งให้อณูน้อยทั้งแปดนั่งล้อมกันเหนือโขดหินมันราบที่เนรมิตรจัดเป็นวงกลม ส่วนองค์เองประทับนั่งอยู่ใจกลาง มีรับสั่งให้นลกุพรเป็นผู้ช่วยสอน ซึ่งนลก็มิได้ขัด ความกินแหนงแคลงใจเรื่องมุจลินทร์ได้จางหายไปแล้ว เพราะนลมีผู้ดูแลใหม่ ....และผู้ดูแลก็ทำให้นลแย้มสรวลได้ทั้งวัน

“การจะฝึกศาสตราวุธและเทวฤทธิ์ขั้นสูงนั้น ไม่ว่าจะเป็นในแนวทางที่เจ้าจะได้ฝึกกับวายุภัคหรือกับเรา จำต้องมีการควบคุมพลังงานในร่างกาย วิธีการควบคุมเราเรียกว่าโยคะ ผู้ควบคุมโยคะเรียกโยคี อย่างที่พวกเจ้ารู้ๆกันว่าพลังงานในธรรมชาติมีสองส่วน คือร้อนกับเย็น พลังร้อนจะเป็นขั้วบวก พลังเย็นจะเป็นขั้วลบ พลังทั้งสองนอกจากจะต้องสมดุลกันแล้วยังโคจรหมุนเวียน และการโคจรนี้เองก่อให้เกิดชีวิต ขั้วลบของพลังงานในร่างกายจะอยู่ตรงปลายกระดูกสันหลังในปรัชญาโยคะเรียกว่า มูลธารหรือบัลลังก์แห่งพระนางกุณฑาลิณี ....ภาษามนุษย์ เรียกว่า...เอ่อ”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
ทยุติธรทรงหยุดเว้นวรรค เพื่อกำลังนึกถึงศัพท์ที่มนุษย์ใช้เรียก ซึ่งนลก็ช่วยตอบมาให้ว่า  “ก้นกบ พะยะค่ะ”

“ใช่ ก้นกบ ขอบใจมากนล” ทยุติธรทรงหันไปขอบใจแล้วตรัสต่อว่า “ส่วนขั้วบวกจะอยู่ตรงกลางกระหม่อมเรียกสหัสราระหรือวิมานพระวิษณุ ในฐานะที่พวกเจ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ และเคยศึกษาวิชาที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพลังงานใดจะวิ่งไปหาพลังงานใด”

“พลังงานขั้วลบจะวิ่งไปหาขั้วบวกเสมอพะยะค่ะ” ธรรม์ทูลตอบ

“ถูกต้อง....และการที่จะให้พลังงานในร่างเคลื่อนที่ โคจรได้สมบูรณ์ เราจึงต้องใช้โยคะ เข้ามาช่วยและดึงพลังปราณจากจักรวาลมาใช้ เพื่อเพิ่มเทวฤทธิ์”

“แล้วปราณ...นี่ใช่อากาศที่เราสูดเข้าไปไหมพะยะค่ะ” ราหูทูลถามขึ้นบ้าง ลืมความบาดหมางครั้งทยุติธรจะสังหารตนกับแม่แทบหมดสิ้น

“ปราณอยู่ในอากาศ แต่มิใช่อากาศ อยู่ในน้ำหากมิใช่น้ำ ปราณคือพลังที่แทรกซึมอยู่ในทุกๆส่วน ทั้งในตัวมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง....ทางโยคะจึงใช้การควบคุมที่เรียกว่า ปราณยาม คือการจัดระเบียบปราณ ฉะนั้น เจ้าจึงเห็น ฤาษีและโยคีที่เป็นมนุษย์ธรรมดากลายเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ทรงใช้วิธีนี้มาก่อน ก่อนจะทรงใช้พุทธสมาธิ”

“อ๋อ” เสียงร้องอ๋อดังขึ้นจากอณูน้อยทุกคน ทำให้ทยุติธรพระพักตร์ละมุน แสดงว่าอณูน้อยทุกคนเข้าใจสิ่งที่ทรงอธิบาย

“พวกเจ้า...ส่วนใหญ่ใช้วิธีพุทธสมาธิเข้าฌาน หลายๆคนที่เราทราบถูกส่งไปฝึกวิชากับพระอริยสงฆ์ เช่นอัสดง  ยกเว้นอณูแห่งจันทรเทพที่มีอาจารย์เป็นพราหมณ์  สิ่งที่เราสอนวันนี้อาจจะยาก แต่ถ้าหากพวกเจ้าทำได้ เทวฤทธิ์พวกเจ้าจะเพิ่มมหิทธานุภาพเกินเท่าตัว .....เทวะทุกพระองค์จะใช้วิธีนี้ เพิ่มเทวฤทธิ์ แต่ถ้าหากจะใช้ชำระกิเลศจะใช้พุทธสมาธิ”

“แล้ววิธีการเป็นอย่างไรพะยะค่ะ” น้ำเชี่ยวใจร้อนรีบทูลถามเข้าเรื่อง เพราะอยากเพิ่มฤทธีให้ตน

“เราต้องใช้ปราณยามเปิดพลังกุณฑาลิณีผ่านตำแหน่งจักราทั้งเจ็ดในร่างกายของพวกเจ้าน่ะสิ พูดอย่างนี้เจ้าอาจจะยังไม่เห็นภาพ เราจะใช้ร่างกายนลเป็นตัวอย่างให้ดูแล้วกัน”

“พะยะค่ะ” นลกุพรทรงรับคำทันทีแม้ทยุติธรจะยังไม่ได้ตรัสให้ทำอะไร แต่นลกุพรก็ทรงทราบว่ามีพระประสงค์สิ่งใด จึงประทับนั่งขัดสมาธิเพชรหลับเนตรนิ่ง แล้วพระวรกายที่ทรงสมาธิก็ลอยเหนือขึ้นเสมอระดับสายตาอณูน้อยทุกคน

ทยุติธรประทับยืนเหยียบอากาศขึ้นไปลอยอยู่ใกล้ๆ วางพระหัตถ์เหนือพระเศียรของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ฉับพลันวรกายของนลก็บังเกิดเป็นแสงโปร่งใส  พร้อมกับจุดสีชมพูดอกบัวหลวงขนาดย่อมเท่ากำปั้นทั้งหมดเจ็ดจุด ประจำอยู่ตามตำแหน่งต่างๆของร่างกาย และตรงไขสันหลัง มีช่องเล็กๆอยู่สามช่อง แบ่งเป็นทางซ้ายหนึ่ง ทางขวาหนึ่ง และตรงกลางหนึ่งซึ่งทะลุผ่านจุดสีชมพูทั้งเจ็ด

“เส้นพลังปราณในร่างกายคนเรามีอยู่ทั้งหมด เจ็ดหมื่นสองพันเส้น” ทยุติธรเพียงแค่ตรัส ร่างกายของนลก็บังเกิดเส้นระยิบระยับทั่วพระวรกายเหลือคณานับ “เมื่อสูดปราณจากการหายใจเข้า และการขับปราณเสียจากการหายใจออกอย่างสม่ำเสมอพลังปราณจะเดินทางเข้าสู่ช่องสามช่องที่เจ้าเห็น ทางช้ายเรียกว่า จันทรนาฑี เป็นพลังเย็น ทางขวา เรียกว่าสุริยนาฑีเป็นพลังร้อน เจ้าจะเห็นว่า เมื่อนลหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอพลังร้อนและเย็นจะโคจรได้อย่างสมดุลและไหลผ่านช่องตรงกลาง เรียกว่าทางเดินแห่งกุณฑาลิณี ดึงพลังงานขั้วลบขึ้นไปหาบวก ผ่านจุดปัทมะหรือจักราทั้งเจ็ด ที่เจ้าเห็นเป็นสีชมพูบัวหลวง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” อัสดงเหิรลอยมาดูจนใกล้ ตามด้วยอณูน้อยคนอื่นที่เริ่มลอยรายล้อมทั่ว

“จักรแรกอยู่ปลายก้นกบ เรียกว่า มูลธาร เป็นดอกบัว สี่กลีบ” ทยุติธรตรัสจบ ดอกบัวในจุดแรกก็บานเป็นสี่กลีบตามรับสั่งแล้วแปรเปลี่ยนสีเป็นดอกบัวแดง “ จักราที่สองอยู่เหนืออวัยวะเพศ เรียกสวาธิษฐาน ดอกบัวหกกลีบ ส่วนจักราที่สาม เรียกว่า มณีปุระ ดอกบัวสิบกลีบ ผู้ที่ฝึกพุทธสมาธิจนเห็นจุดกึ่งกลางลำตัวเป็นแสงสว่าง ก็คือจักราอันเดียวกันนี้แหละ”

“แล้วจักราต่อไปที่อยู่กลางทรวงอกล่ะพะยะค่ะ”

“จักรานี้เรียกว่า อนาหะตะ ดอกบัวสิบสองกลีบ จักรานี้มีฤทธิ์อำนาจด้านความรัก ...พวกเจ้าดูสิ ของนลบานแฉ่งรวดเร็วเชียว แสดงว่าความรักสมบูรณ์ บานพอๆกับจักราที่สองตรงต่อมเพศเลย ...เจ้าว่าไหมจันทรเทพ”

ทยุติธรไม่ถือองค์แถมยังตรัสเล่นหัวทำให้บรรยากาศการเรียนที่เริ่มตึงเครียดผ่อนคลายขึ้นด้วยเสียงหัวเราะลั่น ทรงกลดเองก็หน้าแดงแป๊ดยิ่งกว่าลูกตำลึง จึงเบี่ยงประเด็นทูลถามแก้เขิน “ แล้วจักราที่ห้า ตรงกระเดือกล่ะพะยะค่ะ”

“วิสุทธะ ดอกบัวสิบหกกลีบ ซึ่งของนลบานถึงแค่จุดนี้ ส่วนกลางหน้าผากเป็นจักราที่หกเรียก อาชญะ คือดวงเนตรที่สาม ดอกบัวสองกลีบ  เทวะขั้นสูงและมหาเทพและมหาเทวี ท่านใช้พลังงานจากจุดนี้แทบทั้งนั้น ส่วนจักราสุดท้ายคือกลางกระหม่อม สหัสราระ ดอกบัวพันกลีบ หากเจ้าผ่านจุดนี้ อำนาจเจ้าจะไม่มีที่สิ้นสุดแต่นั่นก็หมายความว่ากายเนื้อของมนุษย์จะทานทนไม่ได้ จงใช้ผ่านเวลาที่จะขึ้นไปรวมกับต้นกำเนิดของเจ้า  เพราะฉะนั้น แรกเริ่มที่เจ้าตั้งใจจะเปิดให้ถึงแค่จักราที่สี่ เราเห็นว่ามันน้อยไป พวกเจ้าต้องขึ้นมาให้ได้ถึงจักราที่หก นี่คือจุดมุ่งหมายในการสอนของเรา และเป็นภารกิจของพวกเจ้าที่ต้องกระทำให้ลุล่วง.....แยกย้ายกันฝึกได้แล้วเดี๋ยวเราจะไปเดินดูทีละคน”

“พะยะค่ะ”

สีทันดรเดินไปเดินมาทั่วบริเวณบ้านพัก โดยมีเจ้ารัก เจ้ายม หมอบเฝ้าอยู่ข้างๆ ในพระทัยก็นึกถึงพระดำรัสของทูลหม่อมพี่ชายที่ตรัสเมื่อเช้า พระอารมณ์ ขุ่นมัวน้อยพระทัย เริ่มจางเพียงทรงเริ่มใช้พระสติจับ  แต่เรื่องอะไรที่จะยอมอ่อนข้อให้ก่อน ไอ้คนบ้านั่นทำตนร้องไห้ถึงสองครั้งสองครา  ในระหว่างที่ทรงคิดอะไรเพลินๆ สายพระเนตรก็เห็นตระการตาเดินถือของพะรุงพะรังเข้ามา  จึงเสด็จเข้าไปหา

“ตระการตาไปไหนมา”

“เฮ้ยยย  น้องดื้อตกใจหมดเลยพะยะค่ะ มาเงียบๆ”

ตระการตาสะดุ้งพรวดตะโกนลั่น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกใหญ่ เพราะเจ้ารักยมดันปรากฏกายห้อยหัวลงมาจากต้นไม้แลบลิ้นทักทาย

“จ๊ะเอ๋....พี่ตระการตา ไปไหนมาจ๊ะ”

“ผะ ผี.....” ตระการตาแม้จะรู้ว่ารักยมเป็นอะไรแต่ก็อดกลัวไม่ได้ แถมมาแบบไม่ปกติ ทิ้งของลองกับพื้นวิ่งหนี เจ้ารักกับเจ้ายมก็ดันหายตัวไปดักสกัดหน้าสกัดหลัง แกล้งเล่นอยู่อย่างนั้น จนสีทันดรต้องเอ็ด

“พอที รัก ยม เดี๋ยวตระการตาก็หัวใจวายตายกันเท่านั้น เลิกเล่นได้แล้ว” สีทันดรช่วยหยิบของที่ตกเดินเข้าไปหาตระการตา ตรัสปลอบ “ อย่าไปถือสารักยมมันเลย....มันล้นๆ เกินๆ ขี้เล่นอย่างนี้แหละ แล้วนี่ไปไหนมา”

“ไปซื้อของมาน่ะ...แต่รักกับยมทำเอากลัวทุกทีเลย เอ๊ะ แล้วนี่อารมณ์ดีแล้วเหรอ”

“เอ๊ะแล้วเห็นเราเป็นคนอย่างไรกัน ใครจะอารมณ์เสียกราดเกรี้ยวได้ตลอด แล้วไปซื้ออะไรมา เยอะไปหมด”

“ซื้อขนมปังกับแฮมมาทำแซนด์วิชให้ฉัตร กลับมาเหนื่อยๆจะได้กิน และก็ซื้อเสื้อกันหนาวให้ด้วย อากาศเริ่มเย็นลงทุกทีใกล้จะติดลบ เห็นฉัตรไม่มีเสื้อกันหนาว กลัวจะไม่สบาย” ตระการตาทูลตอบพร้อมกับรอยยิ้มระเรื่อ รู้สึกสุขใจที่ได้ทำอะไรให้คันฉัตร

“พี่ฉัตรเขาไม่ต้องใช้ หรอกเสื้อกันหนาว เขาใช้เตโชกสิณดับความเย็น”

“เตโชกสิณคืออะไรเหรอ”

“ช่างถามอีกแล้ว....มนุษย์นี่น่าเบื่อ น่ารำคาญ” 

ตระการตาไม่โกรธเพราะรู้แล้วว่าสีทันดรทรงแหวไปอย่างนั้น แล้วก็ได้คำอธิบายทันใจ “เตโชกสิณหรือกสิณไฟก็คือการเพ่งไฟจนเกิดอิทธิอำนาจ เอาพลังงานความร้อนมาใช้ ของง่ายๆ ถ้าอยากเรียนเดี๋ยวจะสอนให้”

“จริงๆนะ”

“อืม.....ถ้าอารมณ์ดีๆ จะแถมอาโปกสิณหรือกสิณน้ำให้ด้วย ว่าแต่ พี่ฉัตรไปฝึกวิชาทิ้งให้เจ้ารออยู่อย่างนี้ เจ้าไม่เบื่อเหรอ ”

“เบื่อทำไม....ก็เข้าใจนี่ว่าฉัตรเขามีหน้าที่ มีภารกิจที่สำคัญ เขาไม่ได้นอกใจพี่ไปหาคนอื่นซะหน่อย พี่อยู่นี่ก็ดีแล้วตามไปจะไปเกะกะเขาเปล่าๆ อยู่สิดี ได้ทำนู่นทำนี่ มีเวลาเตรียมขนมให้ฉัตร ฉัตรกลับมาจะได้กิน มีเวลาส่งเสื้อผ้าฉัตรไปซัก ฉัตรจะได้มีเสื้อผ้าสะอาดๆหอมๆใส่ ฉัตรกลับมาจะได้ชื่นใจ”

สีทันดรได้ฟังก็พระพักตร์ชาวาบ มนุษย์ผู้นี้มิได้แสแสร้งแกล้งกล่าว เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มนุษย์ยังมีความคิด ความอ่านมากกว่าองค์เองอีกเหรอ เข้าใจในคนรัก....สมแล้วที่อัสสะเอาความดีของมนุษย์คนนี้มาเปรียบเทียบ แต่นิสัยส่วนองค์ไม่ใช่คนอย่างตระการตาจะให้ลอกเลียนเหมือนกันหมดทุกอย่างก็คงจะไม่ได้ หากอัสสะรักจริงก็ต้องรักที่ตนเป็นตนและยอมรับนิสัยของตนให้ได้ .....แต่เอาเหอะ ถ้าพี่ชายและใครหลายๆคนเห็นว่าเราควรปรับเราก็จะลองดู

“เห็นว่าจะทำอาหารนี่ มีอะไรจะให้เราช่วยไหม”

ตระการตารู้ได้ทันทีว่าสีทันดรต้องการหาเพื่อนคุยคลายเหงาซึ่งตนก็ยินดี จึงตกปากตกลง “เอาสิ....จะได้เสร็จเร็วๆ”

“ถ้าอย่างนั้นเราทำเยอะๆ จะได้เผื่อคนอื่นๆด้วยดีไหม” สีทันดรทรงกล่าวว่าเผื่อคนอื่นๆ แต่ตระการตารู้ดีว่าหมายถึงใครก็ได้แต่อมยิ้มในอาการเล่นตัวของเจ้านาคาน้อย ก่อนกล่าวตอบว่า

“ก็ได้....งั้นเราไปซื้อของเพิ่มกัน”

แล้วมินานแซนด์วิชตะกร้าใหญ่ก็ถูกรักยมช่วยกันยกเอามาให้ยังสนามฝึก ซึ่งอณูน้อยต่างก็ปรี่กันเข้ามาด้วยความหิว ในตะกร้าใหญ่นั้น มีสามตะกร้าเล็กซึ่งแยกออกไว้เป็นพิเศษเจ้ารักเจ้ายมรีบแจกแจงแถลงไขทันใดว่าเป็นของใครบ้าง

“อันนี้เป็นของพี่ฉัตร พี่ตระการตาฝากมาโดยเฉพาะ” เจ้ารักกล่าวขึ้นส่งให้คันฉัตรที่เข้ามารับพร้อมรอยยิ้มจนแก้มปริ แถมยังจูบตะกร้าต่างแก้มตระการตาเสียฟอดใหญ่ เพื่อนๆที่ได้เห็นก็โห่ลั่น

“พวกมึงอิจฉากูล่ะสิ...แน่จริงหาแฟนให้ได้แบบกู”

“แหม นึกๆไปก็เสียดาย....รู้งี้จีบตระการตาเสียก็ดี ใครจะนึกว่าเพียบพร้อม ทำแซนด์วิชอร่อยอีกต่างหาก” คืนฉายกล่าวขึ้นทั้งๆที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆเต็มปาก แต่ก็แทบสำลักเพราะหมัดหนักๆจากเอราวัตทุบเข้าให้กลางหลัง “โอ๊ยยยยยยยยย”

“แล้วมาจีบกูทำไม ไอ้ห่าฉาย มานี่เลย” เอราวัตขึ้นกูขึ้นมึงทันทีแถมยังซัดไปอีกเสียหลายตุบ คืนฉายก็ได้แต่ร้องลั่นวิ่งหนี เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ ทว่ายกเว้นอัสดงที่นั่งทำหน้าละห้อย ...เพราะยังไม่วายคิดวนเวียนถึงเรื่องตนกับสีทันดร

“เราน่าจะจี๋จ๋าน่ารักเหมือนคู่อื่นๆบ้างนะไอ้ดื้อ หากเพียงเจ้าหายโกรธ อัสสะสัญญา อัสสะจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

ส่วนอีกสองตะกร้าที่เหลือ เจ้ายมก็คลานเข่าเอาเข้าไปถวายทยุติธร ทูลรายงานขึ้นว่า “พี่ดื้อสีทันดร ฝากมาถวายพะยะค่ะ”

“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าโอปาติกะ แล้วเอามาให้เรานี่ทั้งสองตะกร้าเลยเหรอ”

“เปล่าพะยะค่ะ อีกตะกร้าเป็นของพี่พระอาทิตย์”

“จริงเหรอ” อัสดงเหิรลอยมารับทันใด ใบหน้าละห้อยอยู่ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง กอดตะกร้าแน่นปานว่ากอดคนที่ฝากมา แสดงว่าสีทันดรเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว จากนั้นจึงถามเจ้ายมว่า  “แล้วลูกพี่ขี้งอนของเจ้า...สั่งความอะไรถึงเราหรือเปล่า”

“สั่งครับ” เจ้ายมรีบบอก “พี่ดื้อ สั่งว่า ไม่ให้บอกว่าเป็นของพี่ดื้อฝากมา”

เจ้ารักที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเข้าก็ตบกบาลสหายทันใด “ไอ้ยม...ไอ้ฟายยยยยยยยเอ๊ย .เดี๋ยวก็โดนพี่ดื้อฆ่าหรอก พี่ดื้อสั่งไว้อย่างไร”

“เอ๊า....พี่ดื้อสั่งไว้ว่าไม่ให้บอกพี่อัสดง ว่าเป็นของพี่ดื้อทรงฝากมา แล้วยมพูดผิดตรงไหน” เจ้ายมพูดขึ้นมาอย่างซื่อๆ เจ้ารักก็ได้แต่ส่ายหน้า “งั้นก็ตามใจยมเห๊อะ ซื่อได้โล่ห์เลยนะเนี่ย ....เฮ้อ”

นลกุพรทรงเห็นอัสดงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบแซนด์วิชมาดมอยู่อย่างนั้นไม่กินซะที ด้วยความหมั่นไส้จึงอดที่จะแซวไม่ได้ว่า
“แหม....หายเศร้าเลยนะ อย่างนี้มีหวังแล้วสิ เชื่อเหอะไม่พ้นคืนนี้หรอก ไปง้อๆ อีกรอบเดี๋ยวสีทันดรก็หายโกรธแล้ว”

 “สาธุ....ให้มันจริงเหอะว่ะนล จักรที่สี่ในร่างกายจะได้เปิดอย่างสมบูรณ์เสียที”

ที่อัสดงกล่าวอย่างนี้ก็เพราะว่า มีเขาเพียงคนเดียวที่จักราที่สี่หรืออนาหะตะ ที่ควบคุมพลังงานความรักในร่าง ยังเบ่งบานไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นๆ ดอกบัวสิบสองกลีบจึงแค่แย้มๆและยังไม่เปลี่ยนสีเหมือนของนลกับกลดที่กลายเป็นสีเขียวและแย้มบานเต็มที่

อัสดงคืออณูแห่งพระสุริยาทิตย์และเป็นผู้นำทัพ หากจักราที่สี่นี้เปิดไม่สมบูรณ์ จักราที่ห้าและที่หก อย่าหมายว่าจะเปิด และเทวฤทธิ์ก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ....จอมทัพและผู้ครองจักรแห่งมหาเทวะและมหาเทวี จะมีฤทธิ์เพียงเท่านี้ได้อย่างไร

เมื่อเสร็จสิ้นมื้อกลางวัน วายุภัคก็เสด็จมาถึงสนามฝึกมารับช่วงต่อในการสอนอาวุธ แม้วายุภัคจะไม่ถูกกับทยุติธร แต่ก็อดชื่นชมในฝีมือการสอนไม่ได้ของทยุติธรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวตรงๆ ได้แต่กล่าวกับอณูน้อยว่า “พวกเจ้าได้ครูดี”

วายุภัคเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้เรื่อง เพราะทรงสอนให้อณูน้อยเอาพลังที่ทยุติธรช่วยเปิดจักราให้มาใช้ ทยุติธรเองก็ยังทรงเผลอตกโอษฐ์กับอัสดง “หากฉิมพลี มีนักรบอย่างวายุภัคเพิ่มมาอีก บาดาลเห็นทีจะเหนื่อย”

“กระหม่อมเห็นด้วย....และมีความเห็นว่า วายุภัคไม่น่าจะคบได้ ไม่ใช่เพราะต้องการทูลเอาใจ แต่กระหม่อมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

“เราเข้าใจอัสดง...และเรากำลังจะเตือนเจ้าอยู่พอดีว่าอย่าไว้ใจวายุภัคนัก โดยเฉพาะเรื่องสีทันดร เราสังหรณ์ว่า วายุภัคมีอะไรซ่อนอยู่”

“กระหม่อมทราบตั้งแต่เห็นวายุภัคอุ้มสีทันดรเมื่อคืนแล้ว แต่วายุภัคจะไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นอีก”

“อย่าประมาทไป”

“พะยะค่ะ กระหม่อมจะไม่ประมาท แต่จะขอใช้ประโยชน์จากวายุภัค ไหนๆ ก็ลงมาจากฉิมพลีแล้ว ว่าแต่วันนี้กระหม่อมมีเรื่องอยากจะทูลขอพระเมตตาสักหน่อย”

“หือ..เรื่องอะไร.” ทยุติธรเบนพระพักตร์มาที่อัสดงพลัน กระแสจิตถูกส่งถึงกันทันใด แล้วรอยแย้มสรวลจากเทวนาคาชันษาประมาณยี่สิบกับอณูน้อยวัยสิบแปดก็เกิดขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย....

เย็นย่ำค่ำแล้ว ทยุติธรและเหล่าอณูน้อยกลับมายังบ้านพัก สีทันดรที่นั่งเล่นอยู่กับตระการตา ผลุดลุกขึ้นไปรับทันทีที่เห็นว่าเหิรลอยเข้ามา ตระการตายิ้มกว้างเสียยิ่งกว่ากว้าง เพราะคันฉัตรมีของฝากเป็นลูกกระต่ายป่าน่ารักขนฟูสองตัวมาให้ตระการตาเลี้ยงแก้เหงายามอยู่ที่นี่ สีทันดรทอดพระเนตรเห็นก็อดถอนพระทัยไม่ได้ ที่ตนไม่มีของฝากอะไรกับใครเขาเลย แถมเขาคนนั้นก็ดันหายหัวไปไหน ทำไมไม่กลับมาพร้อมกัน

“ไปไหนของเขานะ” สีทันดรทรงทำเป็นเพียงเมียงๆมองๆ แต่ไม่ได้ตรัสถามใคร เปรยกับองค์เองเท่านั้น กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเริ่มจะใจอ่อน ทว่านลกุพรดันรู้ทัน ตะโกนถามลั่น

“มองหาอัสดงเหรอ.....นู่นยังอยู่บนเขานู่น โดนทูลหม่อมพี่ชายกริ้ว รับสั่งทำโทษหนักเชียว”

“เปล่าซะหน่อย แค่นับจำนวนคนเล่นๆ” สีทันดรแม้จะตกพระทัยที่นลรู้ แต่ก็ยังทรงแกล้งไม่สนใจ ทำเป็นเดินจากไป ฝ่าวงอณูน้อยที่ตามอย่างยิ้มๆ ทว่าพอลับตาพวกอณูเท่านั้นแหละ ก็รีบเสด็จฉับๆไปเอาเรื่องกับทูลหม่อมพี่ชายทันที

“ทำไมจะต้องลงโทษกันถึงเย็นย่ำค่ำมืดด้วย เขาเป็นมนุษย์ ยังไม่ได้กินข้าวกินปลาเขาจะทนได้ไหมพะยะค่ะ”

“ไหนว่าโกรธเขา เกลียดเขา แล้วนี่มาห่วงเขาทำไม”  ทยุติธรมิทรงเดือดร้อนในพระสุรเสียงกริ้วปังของพระอนุชา แถมยังทรงตรัสอย่างไม่รู้ไม่ชี้ นั่งทอดพระอารมณ์ริมน้ำอย่างสบายพระทัย

“เปล่า....หม่อมฉันไม่ได้ห่วง แค่สงสัย... ว่าแต่ อัสสะทำอะไรผิด” หากอัสดงได้ยินคงจะดีใจ เพราะอัสดงได้กลับมาเป็นอัสสะแล้ว

“ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมาย แค่ไม่ตั้งใจฝึก มัวแต่นั่งเหม่อลอยคิดอะไรไร้สาระ พี่เลยลงโทษ ให้ฝึกปราณยามะ กลางนาคกาลอัคคี”

“พระทัยร้าย...แล้วเขาจะทนได้ไหม หากร่างเขาสลายมา น่าดู” สีทันดรสะบัดพระพักตร์ใส่พระเชษฐา เสด็จปึงปังออกมา พระทัยเริ่มร้อนรน ที่ว่าอัสสะคิดเหม่อลอยไร้สาระนั้นอัสสะคิดเรื่องใด จนไม่ตั้งใจฝึกและถูกทำโทษ แต่ยังโกรธเขาอยู่นี่จะไปสนใจทำไม ว่าแล้วก็หักพระทัยเข้าไปประทับยังในกลางดอกบัวที่เหลืออยู่อีกกระถาง สีทันดรจะทรงรู้ไหมว่าทุกกริยาอาการมีหลายๆสายตา เฝ้ามองอยู่

“จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่อยากจะสนใจ” สีทันดรกึ่งนั่งกึ่งนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมากลางเกสรดอกบัว ยังรำพึงกับองค์เองเช่นนั้น ใช่ในพระทัยยังคงยอมรับว่าโกรธ น้อยใจ แต่ความเป็นห่วง มันเป็นคนละเรื่องกัน  “ไม่ได้การ ไปแอบดูเสียหน่อย”

เมื่อทรงหาเหตุผลเข้าข้างตนเองให้สบายพระทัยได้แล้ว เทวฤทธิ์จึงประสิทธิ์ขึ้นด้วยความรวดเร็ว รัศมีสีเขียวเจือทองเจิดจ้าโผนทะยานขึ้นจากดอกบัว ลอยสู่เหนือยอดไม้มุ่งหน้าไปยังทิศทางของสถานที่ฝึกบนหุบเขา  บรรยากาศมืดมิดรอบข้างถูกแหวกออกเป็นช่องด้วยรัศมีอันสุกใสนั้น พร้อมๆกับรอยยิ้มของทุกๆใบหน้าที่ค่อยๆโผล่ออกมาจากบ้านพักของตนในแต่ละหลัง เสียงตะโกนลั่นอย่างดีใจถูกตะโกนส่งผ่าน ซึ่งกันและกัน

“ได้ผลโว้ย....น้องดื้อไปแล้ว รีบส่งกระแสจิตบอกอัสดงเร็ว”

สถานที่ฝึกบัดนี้เงียบเชียบไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตแถมมืดมิดยิ่งนัก ทว่ารัศมีสีเขียวเจือทองที่เพิ่งมาถึงก็ทำให้สว่างได้ขึ้นอย่างถนัดตา

เหอะสีทันดร ไหนว่าจะทรงมาแอบดู แต่เสด็จมาอย่างโจ่งแจ้งเหมือนตอนบุกบ้านทรงกลดอีกแล้ว

“ไปอยู่ไหน ของเขานะ” สีทันดรทรงชะเง้อชะเง้อแลหา แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่จะทรงมาแอบดูและนาคกาลอัคคี จึงตรัสเรียกรุกขเทวาที่ประจำอยู่แถบนั้นมาถาม “ เห็นอัสสะไหม”

“ใครหรือพะยะค่ะ”

“ก็อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไง”

“ไม่เห็นนี่พะยะค่ะ”

“จะไม่เห็นได้ยังไง...ก็พี่ชายเราบอกว่าถูกทำโทษอยู่ที่นี่ พวกเจ้าเป็นรุกขเทวาประสาอะไร ท่าทางคงจะอยู่สุขสบายกันนักถึงได้ละเลยหน้าที่ ไม่คอยสอดส่องดูแลความเป็นไปในป่า เห็นทีต้องให้เร่ร่อน ” สีทันดรกริ้วปังกระทืบพระบาท จนรุกขเทวาตัวลีบกันเป็นแถวๆ ท้ายสุดก็เหมือนว่าจะระงับพระโทสะได้ จึงไล่ๆไปให้พ้นเสีย

“ไป ไป๊ ไปให้หมด ไม่ได้เรื่องเลยพวกเจ้า”

เมื่อบรรดารุกขเทวาไปกันหมดแล้ว สีทันดรจึงทรงหาเองรอบๆ เรื่อยเข้ามาถึงใจกลางลานฝึก แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว พระปับผาสะจึงถูกถอนมาเสียเฮือกใหญ่ “ไปไหนของเขานะ....ชักเป็นห่วงแล้วสิ คอยดูนะทูลหม่อมพี่ชายต้องรับผิดชอบ”

แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองก็กำจายวาบ เตรียมเสด็จกลับ พวยพุ่งออกไปจากลานฝึก แต่ก็บังเกิดเปลวเพลิงสีแดงร้อนแรงขวางทางเสด็จไว้ฉับพลัน แล้วเปลวเพลิงเหล่านั้น แตกตัวกระจายออกไปรอบๆ รวดเร็ว จนลานฝึกสว่างไสวไปทั่ว

ดอกกล้วยไม้ป่าหลากสีสรร ถูกโปรยปรายจากด้านบนด้วยมือลึกลับ ราวกับหยาดฝนที่ไหลลงมาซัดซู่สู่วรองค์ที่ประทับลอยทำอะไรมิถูก สายลมวูบใหญ่วูบหนึ่งพัดมากระทบ จนรู้สึกว่าร่างทั้งร่างซวนเซตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง ซึ่งเคยคุ้นอบอุ่นและโหยหา เพียงติ่งพระกรรณโดนขบเบาๆเท่านั้น พระวรกายที่กึ่งจะแข็งขืนครึ่งจะโอนอ่อน ก็ยวบยาบลงทันใด

สีทันดรเพิ่งรู้องค์ ว่าทรงหลงอุบายติดกับเอาเข้าให้เสียแล้ว และกับดักนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าอัสดง

“อัสสะ.....ปล่อยนะ คนเจ้าเล่ห์”

สุรเสียงน้อยๆสั่นพร่ากึ่งกริ้วกึ่งเขินอายดังขึ้น แม้จะตรัสว่าให้เขาปล่อย แต่เจ้านาคน้อยก็รู้องค์ดีว่าพระหทัยที่หดหู่เริ่มพองโตคับฟ้ามาอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะครับ.....ให้อภัยอัสสะเถิดนะไอ้ดื้อคนดี ยอดรักของพี่” อัสดงบรรจงละเลียดริมฝีปากลงไปที่พระปรางขวาทันที แล้วเงยหน้ามากล่าวต่อด้วยเสียงกังวานหวานซึ้งว่า “ จูบแรก เป็นการขอโทษที่ทำให้ไอ้ดื้อน้อยใจและเป็นของขวัญที่อัสดงได้คืนมาเป็นอัสสะ ดั่งที่เจ้าเรียกเมื่อกี้”

“ส่วนจูบที่สองนี้.....” อัสดงหยุดกล่าวชั่วครู่บรรจงจูบลงไปตรงพระปรางซ้าย “จูบนี้ใช้ขอโทษไอ้ดื้อสำหรับความงี่เง่าของอัสสะ”

“เราไม่รับการขอโทษอะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ ไม่งั้นเราจะเรียกพี่ชาย” สีทันดรพยายามแข็งขืนแต่ใครดูก็รู้ว่าทรงแกล้งทำไปเป็นพิธีอย่างนั้น....ลองสิ ลองอัสดงซื่อบื้อปล่อยไปจริงๆ มีหวังเรื่องใหญ่กว่าเดิม

“เรียกก็เรียกไปสิ...แต่ขอให้จูบให้เสร็จก่อน” แล้วอัสดงก็เบี่ยงกายมาอยู่ด้านหน้าถวายจูบลงไปตรงที่กลางนลาฏเกลี้ยงเกลาก่อนจะเรื่อยลงมาตรงพระเนตรฟ้าครามทั้งสอง “จูบนี้ใช้ไถ่โทษที่ทำให้ไอ้ดื้อร้องไห้”

มิรู้ว่าอัสดงใช้มนตราอันใดหรือเปล่า เพราะเพียงจูบนี้ประทับลงไปพระกรน้อยๆ จากที่ทำเป็นดันร่างอัสดงออกก็กลับกลายเป็นกอดเขามาเสียแน่น พระพักตร์ซบลงตรงอกกำยำของเจ้าอณูน้อยนักรบที่กำลังกลายเป็นนักรัก อัสดงจำต้องเชยพระพักตร์ขึ้น ก่อนจะประทับจูบที่สี่ ที่หวานที่สุดลงไปบนพระโอษฐ์แดงสดที่เสมือนว่าเผยอรอรับอยู่แล้ว

“จูบนี้ใช้ขอโทษไอ้ดื้อสำหรับทุกสิ่ง...ที่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยได้ยังไงหมด”

รัศมีสีเขียวเจือทองอันเป็นรัศมีประจำพระองค์เทวนาคาน้อย ไหลพันเกี่ยวกระหวัดกับรัศมีสีแดงเพลิงของอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ทันใด ก่อเกิดประกายสว่างจ้าเป็นรัศมีสีชมพู จักราที่สี่ของอัสดงเปิดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ สัญลักษณ์ดอกบัวสิบสองกลีบเบ่งบานเต็มที่

วรองค์ที่งามปานรูปสลักถูกร่างกายที่งามเลิศดั่งรูปสัมฤทธิ์ตระกองกอดกลางฟ้าก่อนจะลงมาทาบทับเหนือพื้นดินที่บัดนี้มีกล้วยป่าโปรยทั่วดั่งพรม อัสดงถอนริมฝีปากที่ฉ่ำหวานออกช้าๆ ก่อนจะโลดไล่ลงไปตามซอกพระศอสีเศวต ลมหายใจร้อนผ่าวดั่งไอเพลิงคลอเคลียทั่วพระกรรณ ทำให้สีทันดรรู้สึกประหนึ่งว่ามิทรงเหลือฤทธีอันใดทั้งนั้น

“ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ...จูบที่เหลือเหล่านี้ ใช้ถามไอ้ดื้อว่า ควรค่าที่จะอภัยให้อัสสะได้หรือยัง”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
พระกรน้อยยกขึ้นลูบไล้อยู่บนใบหน้าคมคายหล่อเหลาดั่งรูปสลักชั้นเลิศและหล่อที่สุดในพระทัยของเจ้านาคาน้อย ดวงเนตรฟ้าครามดั่งน้ำทะเลสอดพระสานกับดวงตาสีอำพันหวานซึ้งก่อนพระสุรเสียงใสแฝงแววเขินอายก่อนจะตรัสมาว่า

“คนบ้า....เราหายโกรธเจ้า ตั้งแต่จูบแรกแล้ว”

ทันทีที่ตรัสออกไป พระวรกายก็ถูกรัดแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น พระพักตร์งามละมุนกระจ่างใสเกินเทวบุตร ซุกลงกับแผงอกกว้างของอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ นี่ใช่ไหมที่เรียกกันว่าเขินอาย และเวลานี้ก็มิได้ทรงเขินอายธรรมดา ทว่าทรงอายม้วน

อัสดงที่เพิ่งได้รับอนุญาตหวนคืนกลับมาเป็นอัสสะในพระทัย ยิ้มเสียจนเห็นรอยลักยิ้มข้างแก้ม ประโยคที่ยอดดวงใจตรัสมาเมื่อสักครู่ไฉนจะไม่ได้ยิน หากแต่เสแสร้งเสมือนมิได้ผ่านเข้าหู

“พูดว่าอะไรนะครับ...อัสสะไม่ได้ยิน”

“ทำไมจะไม่ได้ยิน อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง อัสสะหูหนวกไปแล้วหรือไง” พระสุรเสียงใส แย้งทันควัน

“ก็ได้ยินไม่ชัด พูดให้ฟังอีกที ให้พี่อัสสะชื่นใจเถิดน่า...นะครับ” ดวงตาสีอำพันฉายแววออดอ้อน น้ำเสียงของเจ้าพระอาทิตย์น้อยแปรเปลี่ยนเป็นออเซาะราวกับตนเป็นเด็ก

“เราบอกว่า เราหายโกรธตั้งแต่จูบแรกแล้ว”

“ชื่นใจและดีใจยิ่งกว่าได้จักรมหาเทวะ ...แต่อัสสะจะเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้าจะหายโกรธจริงๆ พิสูจน์ให้อัสสะดูหน่อยสิ” อัสดงทำหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วพูดต่อมาว่า

“ จูบอัสสะคืนบ้างสิ อัสสะจะได้รู้ว่าเจ้าหายโกรธจริงๆ”

“คนบ้า”

สีทันดรทรงตรัสไปอย่างนั้น แต่ครั้นพอตรัสจบก็ประกบริมโอษฐ์แดงสดลงไปทันใด

“เชื่อแล้วใช่ไหม”

สุรเสียงใสแฝงแววเขินอายตรัสถามอย่างมิต้องการคำตอบแล้วตรัสต่อไปว่า “เราเองก็ต้องขอโทษด้วยนะที่เราเอาแต่ใจ เราถูกตามใจเสียเคย  เราไม่เคยรักใครมากเท่านี้ เราก็แค่อยากให้คนที่เรารักที่สุด เอาใจใส่ดูแลเราก็เท่านั้นเองจึงทำตัวงี่เง่า อัสสะไม่โกรธเราใช่ไหม” 

“ถ้าจะบอกว่าอัสสะไม่โกรธเลยก็ไม่ได้ อัสสะทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ที่คนที่อัสสะรักมากที่สุดในชีวิตไม่เข้าใจอัสสะเลยสักนิด อัสสะกลับมาเหนื่อยๆก็หวังเพียงแต่ได้เห็นหน้าเจ้า หวังเพียงอยากกอด อยากให้เจ้าจูบแก้มปลอบขวัญให้ชื่นใจ แต่เจ้าก็ไปไหนไม่รู้ แถมยังงอนอีก แต่อัสสะก็รู้ตัวว่าอัสสะผิดมหันต์ที่ละเลย แบ่งเวลาไม่เป็น สนใจแต่อาวุธมากเกินควร แต่อัสสะมีเหตุผลนะ”

“เราเข้าใจเหตุผลของอัสสะแล้ว เราถึงได้บอกว่า เราเองก็งี่เง่าเอาแต่ใจ” 

“อัสสะเองก็งี่เง่าเอาแต่ใจ ด้วยเพราะความที่ไม่เคยรักใคร ครั้นพอมีความรัก และได้รักอย่างสุดหัวใจ หากก็ยังไม่รู้วิธีดูแล จึงโง่ในเรื่องนัก แต่เจ้าไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ความไม่เข้าใจของเราครั้งนี้ ให้ถือว่าเป็นบทเรียนของเราทั้งคู่แล้วกัน” อัสดงเว้นวรรคชั่วครู่แล้วทอดเสียงพูดต่อมาว่า

 “เรื่องงี่เง่า มันผ่านไปแล้วยอดรัก อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย แต่ต่อไปมีอะไรขอให้เราคุยกันตรงๆ ให้สัญญาได้ไหม”

“เราให้สัญญา” สีทันดรเลื่อนพระหัตถ์มาลูบใบหน้าของเจ้าพระอาทิตย์ และจูบลงไปกลางหน้าผากเขาบ้าง “เราจะเรียนรู้ไปด้วยกันนะอัสสะ”

“สีทันดรยอดรัก อัสสะดีใจที่สุดที่มีเจ้าเคียงข้างในวันนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า เจ้านาคน้อยจอมดื้อจะน่ารักได้อย่างสุดหัวใจ สมแล้วที่รักตั้งแต่แรกเห็น อัสสะสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี เอาใจใส่ให้มากกว่าเดิม และจะไม่ยอมให้วายุภัคมันมารังแกเจ้าอีก”

“อัสสะรู้แล้วใช่ไหมว่าเขารังแกอะไรเรา”

“รู้แล้ว...ถึงได้อยากจะเผาฉิมพลีให้มันวอดวาย วายุภัคมันต้องชดใช้ ไว้รอเสร็จศึก เราค่อยคิดบัญชีกับมันทีหลัง” อัสดงขบกรามแน่นยามนึกถึงว่าสีทันดรโดนวายุภัครังแก แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เปลี่ยนสีหน้า กลับมาหวานซึ้งดังเดิม

 “เรากลับที่พักกันเถอะ....อัสสะหิวแล้ว”

สีทันดรพยักพระพักตร์รับ โดยมิโต้แย้ง ยามนี้อัสสะจะบอกว่าอะไรก็ทรงยอมทำตามทั้งนั้น จะมิดื้ออีกเป็นอันขาด แล้วหนึ่งนาคาตาสวยกับหนึ่งอณูน้อยก็โผทยานขึ้นสู่ฟากฟ้ากลายเป็นรัศมีสีเขียวเจือทองกับแดงเพลิงเจิดจ้า พุ่งผ่านแหวกความมืดมิด รัศมีทั้งสองยังคงเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ ยามกระทบซึ่งกันและกัน ก่อบังเกิด รัศมีงามเป็นชมพูกุหลาบสีเดียว

รัศมีของเทวะ จะแสดงความรู้สึกเสมอ
และรัศมีที่แสดงความรู้สึกในครั้งนี้นั้น.....ก็เป็นสีชมพูยิ่งกว่าครั้งใดๆ

การเดินทางของทิพยภาวะนั้นใช้เวลาเพียงแค่ชั่วแวบ และทันที่ที่พุ่งปราดลงมาถึงสนามหญ้าหน้าที่พัก เสียงหัวเราะคิกคักระคนยินดีก็ดังกำจาย รายรอบออกมาจากบ้านพักแทบทุกหลัง

“นี่รู้กันหมดเลยใช่ไหม” สีทันดรทรงสะบัดพระพักตร์ค้อนลมค้อนแล้งไปตามบ้านพักหลังต่างๆ ด้วยทรงมั่นใจแล้วว่า พี่อัสสะพระอาทิตย์เกเร ชอบทำงานกันเป็นหมู่คณะ  “เจ้าเล่ห์ตั้งแต่แม่ทัพยันขุนศึก นี่ถ้ามีพวกทหารเลว ก็คงไม่แคล้วร่วมด้วย”

“พวกมันหวังดี...อย่าไปว่าพวกมันเลย มันเห็นใจแม่ทัพ กลัวจะขาดใจตายกลางสนามรบน่ะ ถ้าออกไปรบทั้งอย่างนี้”

“เหอะ ร้ายนัก ... ใครเป็นคนวางแผน” เจ้านาคน้อยตรัสถามยิ้มๆ ถึงแม้จะทรงเสียรู้ แต่มิได้ทรงกริ้วอันใดแล้ว

“อัสสะกับพี่ชายเจ้า....ตอนแรกตั้งใจวางแผนกันว่าให้อัสสะบาดเจ็บแล้วล่อให้เจ้าไปดู แต่ธรรม์มันแย้งว่าใกล้จะรบแล้วมันเป็นลางไม่ดี เดี๋ยวเป็นจริง เลยใช้วิธีนี้กันแทน”

“พี่ชายเราเนี่ยนะ” สีทันดรตรัสถามเสียงสูง เพราะมิอยากจะทรงเชื่อ

“ใช่พี่ชายเจ้านั่นแหละตัวดี”

“ทรงเจ้าเล่ห์ดีนัก ฝากไว้ก่อน” สีทันดรค้อนขวับอีกทีไปยังริมน้ำปายเพราะทรงรู้ดีว่า ทูลหม่อมพี่ชายกำลังประทับอยู่ตรงนั้นหากแต่บังพระวรกายไว้มิให้เห็น และก็ทรงรู้ว่าทรงแอบดูอยู่เช่นกัน

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้....เจ้าจะออกมาหาอัสสะเหรอ”

“อัสสะก็ด้วย” สีทันดรทรงซัดไปเสียหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะทรงจูงมือแข็งแรงพาอัสดงไปยังที่ทานอาหาร

“อัสสะหิวไปกินข้าวเหอะ ไม่ใช่ว่าไปถึงไม่มีอะไรให้อัสสะกินนะ พวกพี่ๆพวกนั้นยิ่งกินจุอยู่ด้วย”

“ไปไหน...ใครบอกว่าอัสสะหิวข้าว” อัสดงดึงมือกลับแล้วโอบพระวรกายเจ้านาคน้อยแน่น

“อ้าว ก็เมื่อกี้บอกเราว่าหิว”

“ใช่.....แต่ไม่ได้บอกว่าหิวข้าวสักหน่อย อัสสะหิวเจ้าต่างหาก” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มมีมาทันใดและพอสิ้นเสียงเท่านั้น เสียงโห่ก็ดังมาจากทั่วสารทิศ แถมยังมีเสียงพูดสอดแทรกอันเคยคุ้น

“แหวะ....น้ำเน่าฉิบหาย แม่ทัพพวกเรา เลี่ยนที่สุด เสี่ยวได้โล่ห์”
 
ถ้าประสาทหูของอัสดงกับสีทันดรสดับฟังไม่ผิด เสียงนั้นคงไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกเสียจากเจ้าพระศุกร์จอมเซี้ยว และยังมีอีกเสียงสอดแทรกลอยตามลม ซึ่งไม่แคล้วเป็นเจ้าพระพุธ

“หมดเรื่องเสียที ไอ้โรคงอนห่าเหวเนี่ย ดีนะที่ฉายไม่เป็น”

“จะเป็นคืนนี้แหละ ถ้าเอราวัต ไม่ยอม”

“บ้า มาขออะไรตอนนี้ฉาย.....แล้วทำไมต้องพูดสียงดังด้วย เดี๋ยวมันรู้ว่าเราสองคนแอบดู”

แล้วเสียงต่อล้อต่อเถียงก็ลอยมาอีกเนืองๆจนอัสดง ต้องสะบัดมือเป็นลูกไฟขนาดย่อมพุ่งเข้ากระทบบ้านพักของสองอณูน้อย บังเกิดเป็นเสียงโครมดังลั่น พร้อมกับเสียงร้อง โอ๊ย จากนั้นทุกสรรพสำเนียงก็เงียบโดยดุษฎี

บรรยากาศยามสายที่ลานฝึกวันนี้ช่างน่าอภิมย์ ทยุติธรเริ่มทรงเป็นกันเองกับเหล่าอณูน้อยมากขึ้น และเหล่าอณูน้อยก็เปลี่ยนเป็นนับถือทยุติธรเป็นอาจารย์ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะอัสดงที่ออกอาการนอกหน้ากว่าใคร แลทยุติธรเองก็โปรดกลับยิ่งนัก ถึงขนาดกับให้อัสดงเรียกองค์เองว่าพี่ชายอย่างที่สีทันดรทรงกระทำ ....สีทันดรถึงกับกระโดดตัวลอยยามได้ยิน

“หม่อมฉันรักพี่ชายที่สุดในโลกเลย” สีทันดรถวายจูบที่พระปรางเสียฟอดใหญ่

“ทีหลังมีอะไรก็ค่อยๆคุยกันดีๆนะ ....อัสดงเจ้าอาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะน้องชายของพี่มันดื้อ แต่พี่มั่นใจว่าเจ้าเอาอยู่ ต่อไปพี่ฝากน้องพี่ด้วยแล้วกัน”

“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”

“เจ้าเรียกเราว่า อะไรนะ” ทยุติธรจ้องหน้าอัสดง ตรัสถามย้ำ

“เอ่อ....พี่ชาย กระหม่อมจะดูแลสีทันดรให้ดีที่สุด พี่ชายไม่ต้องทรงห่วง กระหม่อมขอขอบพระทัยพี่ชายที่ทรงเมตตา”อัสดงยิ้มกว้างขึ้นทันใด ยกมือกราบลงบนพระอุระ ดีใจที่เอาชนะพระทัยของทยุติธรได้

“ต่อไปเราก็เป็นคนกันเองแล้วนะ” ทยุติธรโอบพระอนุชาทั้งสองแน่น ทอดพระสุรเสียงตรัสว่า “ เอาล่ะ อัสดงน้องพี่ ไปฝึกซ้อมได้แล้ว เป็นน้องพี่ห้ามขี้เกียจ”

“พะยะค่ะพี่ชาย” อัสดงรับคำ ลุกขึ้นเตรียมไปฝึกซ้อม สีทันดรจะตามไปด้วยหากแต่ทยุติธรดันตรัสรั้งไว้

“สีทันดร....อย่าไปกวนอัสดงนัก ตอนนี้เป็นเวลาฝึก พี่ว่าเจ้า ไปสอนมนุษย์คนนั้น ทำสมาธิให้ถอดกายทิพย์ให้ได้ดีกว่า เพราะอณูแห่งศนิเทพเคยบอกพี่ว่า พระมหาอุมาเทวีจะมีพระเสาวณีย์โปรดให้มนุษย์ผู้นั้นมีภารกิจกระทำงานบางอย่าง เขาจำเป็นต้องขึ้นเฝ้ากับพวกเรา ณ เทวสภา”

“จะให้หม่อมฉันเนี่ยนะไปเป็นครูสอนมนุษย์ หม่อมฉันทำไม่ได้หรอก หม่อมฉันไปดูอัสสะฝึกดีกว่า” สีทันดรทรงหันไปทอดพระเนตรดูมนุษย์คนนั้นตามที่พี่ชายตรัส จึงรู้ว่าเป็นใคร

“ทำได้สิ ไอ้ดื้อ....เชื่อพี่ชายเหอะ ดูอัสสะฝึกไม่สนุกหรอก สู้เจ้าสอนตระการดีกว่าสนุกกว่าเยอะ หากเจ้าไม่สอนใครจะสอน ไอ้ฉัตรมันก็ต้องฝึก มันคงไม่มีเวลาสอนแฟนมัน” อัสดงกล่าวเสริมทยุติธร เริ่มเรียกว่าพี่ชายคล่องปาก แต่สีทันดรก็ยังไม่วายลังเล

“อีกไม่กี่วัน ก็จะถึงคืนเพ็ญ เราเกรงว่าจะไม่ทัน เพราะมนุษย์ธรรมดา ยากนักที่จะถอดกายทิพย์ได้ บางคนฝึกสมาธิมาจนตลอดชีวิตก็ยังทำไม่ได้เลยนะ ยิ่งไม่มีพื้นฐานอย่างตระการตาแล้ว คงจะยาก ถ้าบุญบารมีแต่อดีตชาติไม่มีเกื้อหนุน คงจะหมดหวัง”

“อย่างที่เจ้าพูดมันก็ถูก....งั้นอัสดงน้องพี่ เจ้าไปตามมนุษย์ผู้นั้นกับศนิเทพมาหน่อยสิ”

“พะยะค่ะ พี่ชาย”

อัสดงเหิรลอยละลิ่ว กลับเข้ามารวมกลุ่มอีกครั้ง นลกุพรถามทันใด “มีอะไรหรือเปล่า”

“พี่ชายทยุติธร ทรงเรียกตระการตาขึ้นเฝ้า”

“อะไรนะ...เรียกทำไมวะ มีอะไรเกี่ยวกับตาเหรอ” คันฉัตรที่นั่งฉอเลาะกับตระการตาผลุดลุกขึ้นพลัน กุมมือตระการตาแน่น ตระการตาเองก็ทำสีหน้างุนงง เพราะมิรู้ว่าใครคือทยุติธร

“ไม่มีอะไรหรอก...ไปเถอะไอ้ฉัตรรีบไปเฝ้า แล้วนายก็รีบตามมาฝึก”

คันฉัตรรับคำแล้วจูงข้อมือตระการตาไปตรงแท่นหินเรียบประหนึ่งบัลลังก์กลางลานฝึก ซึ่งสายตาของมนุษย์อย่างตระการตา จับภาพได้แต่สีทันดรที่ประทับนั่งอยู่เพียงขอบหินนั้น หากแต่คนชื่อทยุติธรไม่เห็นมีวี่แวว

“คุกเข่านะครับตา แล้วกราบลงตรงแท่นหิน ที่น้องดื้อนั่ง พี่ชายน้องดื้อเรียกตามาเฝ้า ไม่ต้องกลัวฉัตรอยู่ตรงนี้”

“พี่ชายน้องดื้อ ใช่คนที่อัสดงเรียกว่า พี่ชายทยุติธรใช่ไหม ถ้างั้นก็เป็นพญานาคล่ะสิ แล้วทำไมตามองไม่เห็นเหมือนเห็นน้องสีทันดรล่ะ”

“โอ๊ยยยยยย พี่ตระการตา จะให้เราบอกกี่ครั้ง ว่าที่เห็นเราเพราะเรายอมให้เห็น” สีทันดรถอนพระปับผาสะเฮือกใหญ่ แล้วตรัสต่อมาว่า “ ตั้งใจดีๆ พี่ชายเรากำลังลดสภาวะทิพย์ลงเพื่อให้เจ้าเห็น”

สิ้นพระสุรเสียงแสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นกลางลานหิน ค่อยๆรวมเป็นร่างมนุษย์หนุ่มน้อยวัยยี่สิบเศษๆปรากฏแก่สายตาของตระการตา แว่บแรกที่เห็นก็อดชื่นชมในใจไม่ได้ “หล่อจัง หล่อกว่าดาราอีก”

“เราทยุติธร ...และขอบใจที่เจ้าชมว่าเราหล่อกว่าดาว”

คันฉัตรหัวเราะก๊าก ไม่โกรธที่ตระการตาชมคนอื่นว่าหล่อ เพราะมีเรื่องน่าหัวเราะมาแทนที่ ด้วยลืมบอกให้ตระการตา ระวังความคิดและขันที่ทยุติธรมิทรงรู้จักดารา “ระวังความคิดหน่อยตา”

“ไม่เป็นไรศนิเทพ.....ที่เราเรียกมานี่ ก็อยากดูลักษณะของมนุษย์ผู้นี้ให้ชัดๆว่า พอจะมีหวังถอดกายทิพย์ทันก่อนจะถึงคืนเพ็ญไหม อย่างที่เจ้ารู้ศนิเทพ เขาต้องขึ้นเฝ้ายังเทวสภากับพวกเราด้วย เพราะมหาเทวีจะมีพระเสาวนีย์โดยตรงกับเขามิใช่หรือ”

“ใช่แล้วกระหม่อม ....กระหม่อมเองก็มัวแต่ยุ่งๆ เลยลืมเรื่องนี้มาเสียสนิท”

“ไม่เป็นไร เรายังพอมีเวลา” ทยุติธรตรัสขึ้นกับคันฉัตร แล้วหันไปตรัสกับตระการตาว่า “ไหนลองยื่นมือเจ้ามาหน่อยสิ ไม่ต้องกลัวเรา เราจะไม่กลายร่างเป็นงูมีหงอนตามบันไดโบสถ์อย่างที่เจ้ากำลังคิด”

ตระการตาหัวเราะแหะๆ เพราะดันเผลอคิดอีกแล้วแม้คันฉัตรจะได้กล่าวเตือนไปเมื่อสักครู่ และด้วยความที่เริ่มกลัวในพระลักษณะอันทรงอำนาจจึงลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปจนคันฉัตรต้องบอกว่าไม่ต้องกลัว นั่นแหละจึงได้ยื่นเข้าไป ครั้นพอยื่นไปแล้วพระหัตถ์แข็งแรงก็กำมือไว้แน่น ความรู้สึกที่บังเกิดตอนนี้ เสมือนเอามือแช่ไปในกลุ่มก้อนน้ำแข็งอันเย็นเฉียบจนแทบอยากจะดึงออก

“เย็นจัง....ตะ ตาหนาว”

ทยุติธรทรงจับไว้ อีกเพียงครู่ก็ตรัสกับพระอนุชาและคันฉัตรว่า “พอมีหวัง เขาสะสมบุญมามากอยู่ และพระมหาเทวีก็จะทรงช่วยให้การฝึกของเขาลุล่วง.... เราเลยมีดำริจะให้สีทันดรสอนมนุษย์ผู้นี้ฝึกสมาธิและถอดกายทิพย์ เพื่อที่เขาจะได้ขึ้นเฝ้ายังเทวสภาพร้อมกับพวกเรา เจ้ามีอะไรจะขัดข้องไหม”

“ไม่มีพะยะค่ะ ....แต่จะทันเหรอ”

“ทัน...ยังไงก็ต้องทัน สีทันดรจะดูแลอย่างใกล้ชิด”

“ถ้างั้นพี่ต้องฝากน้องดื้อด้วย” คันฉัตรหันมากล่าวกับสีทันดร แล้วหันไปบอกคนรักว่า “ตาจำที่ฉัตรบอกว่า พระมหาอุมาเทวีมีภารกิจที่จะให้ตาทำได้ไหม บัดนี้ถึงเวลาที่ตาต้องฝึกสมาธิถอดกายทิพย์เพื่อรับพระเสาวนีย์แล้ว ตารู้ใช่ไหมว่ากายทิพย์คืออะไร”

“รู้สิ เคยอ่านหนังสือเจอ จำได้ว่ามีแต่พระอริยสงฆ์กับคนฝึกสมาธิขั้นสูงเท่านั้นทำได้ แล้วตาต้องฝึกกี่วันจะสำเร็จ ตาจะทำได้เหรอ”

“พี่ตระการตาต้องทำได้ เราจะคอยดูแล คอยสอนอย่างสุดความสามารถ” สีทันดรตรัสขึ้นอย่างยิ้มๆ ให้กำลังแทนคันฉัตร เห็นใจตระการตาด้วยเพราะตาแป๋วๆ ใสซื่อ ทำให้พระทัยอ่อน จึงตกโอษฐ์จะสอนให้ “พี่ฉัตรไปฝึกกับอัสสะเถอะ เราจะพาพี่ตระการตาไปฝึกบ้าง”

“พี่ฝากด้วยแล้วกัน...เจอกันตอนพักนะตา”

คันฉัตรกล่าวอำลาแล้วโผนทะยานออกไปรวมกลุ่มกับพวกอัสดงทันใด แล้วสีทันดรก็ฉุดแขนตระการตาขึ้น ตะโกนเรียกเจ้ามหาดเล็กลั่น

“รัก ยม....มาช่วยเราหาที่ฝึกให้พี่ตระการตาหน่อยเร็ว”

“พะยะค่ะพี่ดื้อ.....เสด็จตามมาทางนี้เลย”  เจ้ารัก เจ้ายม โผล่หัวพรวดมาจากพื้นดินแล้วพุ่งปราดขึ้นฟ้าตีกรรเชียงแหวกว่ายไปในอากาศนำหน้าไป เสียงหัวเราะสดใสของเจ้าโอปาติกะน้อยดังลั่น เสมือนรู้ว่าลูกพี่จะพาไปหาเรื่องสนุกให้เล่นอีก

ตระการตาที่กำลังตกใจ เมื่อเห็นรักยมโผล่พรวดขึ้นมา ก็ต้องตกใจขึ้นไปใหญ่ เพราะตัวของเขากำลังลอยละลิ่ว ปลิวสบัดไปพร้อมกับสีทันดรที่เหิรทะยานออกไปรวดเร็ว ทยุติธรกับเหล่าอณูน้อยเห็นเข้าต่างก็ส่ายหน้า นึกขึ้นในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“จะได้เรื่องไหมนี่ คิดผิดหรือคิดถูกที่ให้สีทันดรสอน หวังว่าคงจะไม่มีเรื่องปวดหัวตามมานะ สาธุ ”

*******************************

รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๔ ส่วนที่ ๔ ค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามกันเสมอมา  :pig4:

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
กำลังสนุกเลย รออ่านตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ดีใจกับคู่อัสสะสีทันดร โตขึ้นแล้วน้องดื้อ

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔

รัศมีสีเขียวเจือทองสว่างวาบ ครั้นพอสลายกลายเป็นพระวรกายงามดั่งรูปสลักประทับยืนตั้งวรองค์ตระการตระหง่านมั่นคง ข้างๆกันนั้น คือตระการตา มนุษย์เพียงผู้เดียว ที่กำลังปล่อยเข่าอ่อนๆทรุดฮวบลงกับพื้น ท่ามกลางสุรเสียงสรวลใส ของพระอาจารย์จอมดื้อแลมหาดเล็กหัวจุกทั้งสอง

“ถึงกับเข่าอ่อนเลยเหรอพี่ตระการตา เราไม่ได้เหาะมาเร็วกันสักหน่อย แค่มาเรื่อยๆ มนุษย์นี่รำคาญจริง นิดก็กลัวหน่อยก็กลัว”  สีทันดรทรงโน้มพระองค์ลงมาตรัสถาม เสมือนการเหาะเหินเดินอากาศเป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องเคยชิน แล้วจึงเบือนพระพักตร์ไปตรัสกับเจ้ารักเจ้ายมว่า

“จะฝึกกันที่นี่หรือ”

“พะยะค่ะ พี่ดื้อ ที่บริเวณนี้เหมาะที่สุดแล้ว เงียบดี”

ที่ว่าเงียบของเจ้าโอปาติกะน้อย คือเงียบจริงๆ ไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไร และวิหคขับขาน คงไว้แต่เพียงเสียงลำธารเสนาะโสตยามไหลผ่านซัดเซาะแก่งหินน้อยใหญ่ ที่ทอดยาวเบื้องหน้า พระเนตรฟ้าครามใสเปล่งประกาย ฉายชัดว่าถูกพระทัย

“เก่งมาก เจ้าสองคนเข้าใจเลือก ทีนี้เราค่อยมีอารมณ์จะสอนหน่อย ดีแล้วลำธารจะให้กระแสความเย็นแก่พี่ตระการตา การฝึกจะง่ายและรวดเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว”

ตระการตาไยจะจับกระแสเย็นนั้นมิได้ ด้วยสภาพอากาศที่เมืองปายยามนี้ก็นับว่าเย็นอยู่แล้ว ยิ่งมายืนใกล้กับลำธารที่ใสดังกระจก ยิ่งทำให้ความหนาวเย็นจับกายทบเท่าทวีคูณ อาการมือเย็น ตีนเย็นจากการถูกพาเหาะครั้งแรก ยังมิจางห่างหาย หากความสวยงามทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าได้ลงไปแหวกว่าย คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย หัวใจมนุษย์อย่างเขา พลันวาบไปถึง อณูน้อยคมเข้มผู้ครองหัวใจทั้งสี่ห้อง ภาพในห้วงคำนึงตอนนี้ จึงมีแต่ตนกับคันฉัตรเปลือยเปล่า คลอเคลีย ในห้วงกระแสธาร

 “อยากลงไปเล่นน้ำกับฉัตรจัง ไว้ว่างๆ ชวนฉัตรมาดีกว่า”

“หมั่นไส้....ให้มาฝึกถอดกายทิพย์ ดันคิดถึงผู้ชาย”  สุรเสียงใสๆ แกมรำคาญนิดๆ ดังขึ้น เพราะทรงรู้ว่า ตระการตา คิดถึงสิ่งใด สภาวทิพย์ที่เหนือกว่าทำให้เห็นภาพที่ตระการคิดอย่างแจ่มชัด จนพระพักตร์ลออใส เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง

ที่แดง....แดงเพราะเขิน ด้วยตระการตา ดันไม่คิดถึงการ “ว่ายน้ำเล่น” กันอย่างเดียว
หากมีบางท่า บางกริยา....ที่ตระการตาสร้างจินตนาการ วาบหวาม ให้การแหวกว่ายในกระแสลำธาร....ล้ำลึก

ลึกจนกระทั่ง พระหฤทัยสั่นสะท้าน ด้วยเพราะเสียงคราง ที่สอดแทรกในภวังค์สวาท  และที่สำคัญภาพนั้น....ก็กำลังเป็นภาพเดียวกันกับขององค์เอง ที่ทรงเผลอคำนึงถึงอัสดงเช่นกัน

 ‘บ้าจริง ว่าแต่เขา เราก็เป็นเอง’ สีทันดรเปรยในพระทัย ก่อนจะสะบัดพระพักตร์กลบเกลื่อน แกล้งทำพระพักตร์ดุ สุรเสียงเสนาะเริ่มเข้มขึ้น“อยากว่ายน้ำนักเหรอ งั้นก็ลงไปว่ายเสียซะเลยสิ”

สิ้นพระดำรัส พระกรน้อยซึ่งเคยวางเหนือไหล่ ก็กลับผลักร่างของตระการตาลอยละลิ่ว ตกลงไปกลางลำธาร แรงที่ทรงใช้ หากเป็นเทวะด้วยกันคงไม่ครณามือ ทว่าสำหรับมนุษย์อย่างตระการตา นับว่า มหาศาล

ตระการตาที่ยังมัวคิดถึงแต่ภาพวาบหวามระหว่างตนกับคันฉัตรเลยมิได้ตั้งตัว ครั้นพอรู้สึกตัวอีกที เสียงตูมบังเกิดดังสนั่น วงน้ำกระเพื่อมกระจายเป็นวงกว้าง  ร่างทั้งร่างบัดนี้ลอยแช่อยู่ในน้ำเสียแล้ว ความเย็นทำให้ภวังค์ฝันพลันสลาย ร่างกายถูกความเย็นยะเยือก กัดกร่อนเข้าทุกอณูผิวหนัง

“โอ๊ย น้องสีทันดรเล่นอะไร พี่เปียกหมดแล้ว หนาวเป็นบ้า”

“ไม่ได้เล่น เอาจริง” เจ้านาคน้อยตรัสตอบ พร้อมๆกับเสียงปรบมือหัวเราะชอบใจของเจ้ารัก เจ้ายม พระสุรเสียงแสร้งดุยิ่งกว่าเคย ยามทอดพระเนตรเห็นสัญชาตญาณ เอาตัวรอดของมนุษย์ที่กำลังพยายามแหวกว่ายตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง “อย่าขึ้นมาเป็นเด็ดขาด อยู่ในน้ำนั่นแหละ”

“อะไรนะ ....โธ่ พี่หนาว พี่ไม่ใช่พญานาคอย่างน้องสีทันดร นี่” ตระการตาทูลตอบปากคอสั่นตัวสั่นพั่บๆ เสียงฟันกระทบกันจนได้ยินชัด มนุษย์น้อยเริ่มว่ายมาจนใกล้ฝั่ง หากก็มีเหตุให้กระเด็นไปอีกครั้ง เพียงพระหัตถ์จากวรองค์บนฝั่งสะบัดเบาๆ

“โอ๊ย”

“ไม่ได้ยินเราสั่งหรือไง ว่าอย่าขึ้นมา” สีทันดรตรัสพร้อมกับสะบัดพระหัตถ์อีกหน ตระการตาก็ลอยไปไกลยิ่งกว่าเดิม “รักยม เจ้าสองคนลงไปยึดร่างเขาไว้ อย่าให้เขาขึ้นมาเป็นเด็ดขาด”

“พะยะค่ะ” เจ้าผีเด็ก รับคำพร้อมกัน หากแต่ก็ไม่วายแย้ง จากคราแรกเห็นตระการตาโดนซัดตกน้ำเป็นเรื่องน่าขบขัน ทว่าอาการสั่นเทิ้มแลตื่นตระหนก กลับทำให้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นน่าเห็นใจ

“พี่ตระการตาเป็นมนุษย์จะทนความหนาวเย็นนี้ได้หรือ พะยะค่ะ”

“ทนไม่ได้ก็ต้องทน ....ถ้าทนไม่ไหวก็ตายอยู่ในน้ำนั่นแหละ บทเรียนแรกวันนี้ เขาต้องฝึกเตโชกสิณกับอาโปกสิณ และต้องสำเร็จ กสิณทั้งสองกองจะทำให้การถอดกายทิพย์ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำให้เขาพอมีฤทธีเกินมนุษย์ เผื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวจากอสูรและมาร อย่าเสียเวลากันอีกเลย ไปจัดการได้แล้ว พระมหาอุมาเทวี มีพระเสาวนีย์ จะใช้งานเขา คงไม่ปล่อยให้เขาเป็นอะไรหรอก”

เจ้าโอปาติกะหัวจุกทั้งสอง แม้จะยังรีรอ แต่ในท้ายที่สุด จึงปฏิบัติตามพระกระแสรับสั่งทันใด เหิรทะยานลงไปฉุดแขน ฉุดขา ตรึงตระการตาไว้กับก้อนหินกลางน้ำ ความหนาวเย็นในขณะนี้ ดุจคมมีดกรีดเนื้อหนังขาดวิ่น อุณหภูมิความร้อนของเลือดตามธรรมชาติในร่างเริ่มต่อต้านความเย็นรายรอบ ส่งผลให้ควันสีขาวเริ่มพุ่งเป็นไอออกจากปากที่กำลังตะโกนร้องเรียกให้คันฉัตรช่วย

“ฉัตร...ช่วยตาด้วย ตาไม่ฝึกแล้ว ตาหนาว ตากำลังจะตาย”

“เงียบซะที หยุดร้อง หยุดแหกปาก เราอุตส่าห์ตั้งใจสอนให้ อย่ามาทำใจเสาะให้เราเห็น จงสวดกายตรีมันตราบูชาพระมหาเทวีตรีศักติตามเรา”

พระดำรัสเฉียบขาดตวาดลั่น ตระการตายุติการร้องเรียงอณูน้อยแห่งศนิเทพฉับพลัน ม่านตาใสเริ่มมีรอยรื้นคลอหน่วย หากพระเนตรสีครามน้ำทะเลกับพุ่งมาประสานกลับไม่ยินดียินร้าย พระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจแรงกล้า สะกดตราตรึงให้ร่างกายทั่วทั้งร่างชาดิก ความรู้สึกในขณะนี้ ไม่เหลือแม้แต่แรงที่จะใช้ขัดขืน หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นช้าลง พร้อมๆกับปากเริ่มอยู่นอกเหนือการควบคุมของสมอง...เปล่งเสียงท่องมันตราที่ไม่เคยคุ้น ตามพระบัญชา

“โอม ศรี คเณสา ยะนะมะฮา ด้วยบารมีแห่งองค์พระมหาพิฆเนศวร เทวะแห่งชยะความสำเร็จ โปรดจงขจัดอุปสรรคและโปรดประทานพร ข้าฯขอนมัสการ”  สีทันดรทรงกล่าวนำ พนมหัตถ์ระหว่างพระอุระ รัศมีจากพระวรกายกลายเป็นสีทอง สว่างอร่ามทั่วทั้งบริเวณ

เดชะก่อกำเนิดฉายชัด....ศักติแห่งพระหลานเธอในพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีนาคราช สำแดงจนมนุษย์น้อยแม้แต่มหาดเล็กหัวจุกทั้งสองยังยั่นเยง...ยำเกรง

“โอม บูบูวา สะวะฮา  ตัตสะวิทู วาเรนยัม
บาโกดีวา สะยา ดีมาฮี  ดีโย โยนะ ปราโชดายาท”

“โอม ด้วยบารมีแห่งพระมหาอุมาเทวี พระมหาเทวีผู้ทรงศักดิ์ พระมหาลักษมีเทวี พระมหาเทวีผู้ทรงศรี และพระมหาสรัสวดีเทวี พระมหาเทวีผู้ทรงปัญญา ขอได้โปรดประทานศักดิ์ ศรี และปัญญา ทั้งชยะและแสงสว่าง ข้าฯขอน้อมนมัสการ”

“มันตราศักดิ์สิทธิ์บทนี้ เจ้าสามารถใช้สังวัธยายได้ทุกครั้ง ยามอ่อนล้า หรืออ่อนแรง และก่อนการฝึก เพื่อขอพระพร พระมหาเทวีทั้งสามพระองค์ อีกทั้งยังทำให้จิตเจ้าสงบลงได้อย่างรวดเร็ว ดีกว่าท่องมันตราบทอื่นๆ ที่มนุษย์ทั่วไปใช้กัน  จงจารจำไว้ให้ดี เราจะช่วยบรรจุให้ไว้ในสมองของเจ้า” สีทันดรทรงชี้พระดัชนีทันทีที่ตรัสจบ ลำแสงสีทองยิ่งกว่าดาวฤกษ์สุกใสพวยพุ่ง เข้าสู่กึ่งกลางหน้าผากที่ยังดำรงสีซีดแห่งความหนาวเย็น

ตระการตามิรู้ตัวเองว่าท่องตามทันได้อย่างไร หากแต่รู้ว่า เมื่อท่องจบม่านลำธารรายรอบตัว ที่คมกริบดั่งมีด เสมือนจะลดทอนความรุนแรง แต่ก็ไม่เสียทั้งหมด มันตราที่สีทันดรทรงถ่ายทอดให้ ทรงอำนาจเหลือคณา ลำแสงสีทองที่เข้ามากระทบทำให้ตรงกลางหน้าผากรู้สึกถึงกระแสพลังงานวิ่งปราดขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น และตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่า

อีกมากไม่เคยรู้จะได้รู้ อีกมากไม่เคยดูจะได้เห็น

สีทันดรแม้จะทรงร้าย ทรงเกรี้ยวกราด หากในพระทัยคือความกรุณา ที่พร้อมจะถ่ายทอดสรรพความรู้ให้จนหมดสิ้น ขึ้นอยู่กับว่า ตนจะรับกระแสนั้นได้มากน้อยเพียงใด

“เราจะตั้งใจฝึก ให้สมกับที่น้องสีทันดรตั้งใจสอน จะไม่ทำให้ฉัตรและทุกๆคนผิดหวัง”

“ดีมากพี่ตระการตา เอาล่ะ ทีนี้ต่อไป จงมองลูกไฟ ลูกนี้ให้ดี มองเข้าไปที่ตรงกลาง มองจนรู้ได้ถึงความร้อนที่จับขึ้นทั่วใบหน้า จนน้ำตาเจ้าเกือบไหล เมื่อนั้นจงหลับตาลง แล้วเจ้าจะมองเห็นลูกไฟที่ติดตา ลอยสว่างอยู่ภายใน พระมหาเทวีทั้งสามพระองค์ ทรงประทานพร และความช่วยเหลือให้แก่พี่แล้ว”  ลูกไฟที่เจ้านาคน้อยว่า คือลูกไฟขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือพระหัตถ์ลออ เดชานุภาพยังคงจับทั่วทุกกระแสแห่งรับสั่ง

ตระการตาทำตามรับสั่งทันที ตาทั้งสองของเขาเริ่มจ้อง และจ้องจนน้ำตาเกือบไหล ครั้นพอหลับตา ก็น่าแปลกใจ ที่พบว่าลูกไฟลูกนั้นลอยอยู่ท่ามกลางห้วงคำนึงที่มืดมิด”

“นี่เรียกว่า อุคหนิมิต เป็นภาพนิมิตที่ติดตา ยังมิใช่ภาพนิมิตที่เกิดจากจิตเป็นสมาธิที่จะเรียกกันว่า ปฏิภาคนิมิต ซึ่งภาพจะแน่นิ่ง แจ่มชัดไม่ไหวติง หากจะเคลื่อนไหวได้ด้วยอำนาจจิตที่มั่นคงเท่านั้น....กสิณกองแรกที่เราจะเรียนกันคือเตโชกสิณหรือกสิณไฟ จงใช้จิตของพี่จับ ไปที่ลูกไฟนั้นได้แล้ว”

เจ้ามนุษย์น้อยแม้หลับตา หากก็รู้ได้ว่า สีทันดรยังประทับอยู่ และพระสุรเสียงเริ่มโอนอ่อนผ่อนลง เป็นเสนาะโสตดั่งเคย ในความมืดมิดนั้นลูกไฟที่มองเห็นทีแรกเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ครั้นพอเขาคิดว่า ทำไมมันเล็ก ลูกไฟลูกนั้นก็กลับใหญ่โต จนแทบผงะหงาย อีกทั้งความหนาวเย็นยังคงเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำร้าย ทำให้กายสั่น

“คุมสติให้ดี....ใช้จิตจับที่ดวงไฟ บังคับให้อยู่ในขนาดที่พอดี เราต้องควบคุมมัน มิใช่มันควบคุมเรา ใช้กายตรีมันตราแห่งพระแม่เจ้าเข้าช่วยกำกับให้จิตใจสงบมองเข้าไปตรงกลางให้ได้ ...และลองบังคับอีกครั้ง ด้วยใจที่ว่างและปล่อยวาง”

ตระการตาลองทำตาม หากก็ไม่วายบริภาษพระอาจารย์ว่าพระทัยร้าย ดวงไฟหรือลูกไฟ ทำอย่างไรก็ไม่เล็กหรือใหญ่ตามใจปรารถนา แถมยังวูบวาบวิ่งไปวิ่งมาทั่ว จนตนเองเริ่มรำคาญ ครั้นพอใช้มันตรากำกับ ท่องทบทวนไปหลายหน จิตจึงเริ่มสงบนิ่ง นิ่งเสียจนคิดว่า “ ช่างมัน จะวิ่งก็ช่างมัน ไม่สนใจแล้ว”

เพียงคิดได้ดังนี้ ดวงไฟที่กำลังวิ่งวนไปรอบๆก็หยุดลงแน่นิ่ง นี่ใช่ไหม ที่สีทันดร บอกให้ปล่อยวาง ...เสียงร้องอ๋อดังขึ้นกลางสมอง ตระการตาเริ่มรู้และเข้าใจในวิธีการบังคับแล้ว คราวนี้คิดว่าเล็ก ลูกไฟก็เล็กตาม คิดว่าใหญ่มันก็ใหญ่ตาม คิดแปรเปลี่ยนเป็นรูปอะไร มันก็เป็นไปตามรูปนั้นๆ

“อย่างนี้นี่เอง”

“จับจิตได้แล้วใช่ไหม ปฏิภาคนิมิตบังเกิดแล้ว...ดวงไฟก็คือตัวแทนแห่งจิตของพี่ ...ที่นี้ พี่ลองใช้จิตจับความร้อนของมัน จับอย่างปล่อยวาง ให้รู้ว่าร้อนเท่านั้น...อย่าให้ถึงร้อนกับเผาผลาญ”

ตระการการทำตามขั้นตอนต่อไปตามรับสั่ง จิตเริ่มใช้จับความร้อนแทน และความร้อนจากลูกไฟนั้นก็เริ่มจับไปทุกๆอณูและความหนาวเย็นที่กัดกร่อน เริ่มห่างหายทีละน้อยทีละน้อย จนเขามั่นใจว่าต่อให้แก้ผ้าแช่กลางลำธารอีกเป็นชั่วโมงก็อยู่ได้ ....นี่ใช่ไหม เตโชกสิณ ที่น้องดื้อเคยตรัสว่า คันฉัตรใช้ดับความหนาวเย็น

“ใช่แล้ว” สรุเสียงใสยังคอยกำกับอยู่ทุกขณะจิต “ระวังอย่าเหลิงไป และอย่าให้ร้อนกว่านี้ มิฉะนั้น ร่างพี่จะไหม้เป็นจุณ เอาล่ะ ตอนนี้ลองนึกถึงความหนาวเย็นของน้ำ ที่อยู่ในลำธารรอบๆตัวพี่ มันเคยเย็นอย่างไรให้รู้สึกอย่างนั้น เร็วเข้า ระวังอย่าให้หนาวจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง”

ความชำนาญที่เริ่มเพิ่มขึ้น ทำให้จิตจับรับความเย็นได้รวดเร็ว กระแสเย็นของน้ำเริ่ม รู้สึกตามปลายนิ้ว จากนั้นค่อยซึมซาบอาบไปทั่วร่าง เข้ามาแทนที่ความร้อนได้ทันท่วงที

“เอาล่ะ ทีนี้จงใช้ความเย็นของน้ำดับลูกไฟลูกนั้นซะ โดยคิดว่า น้ำกำลังม้วนตัวใช้กระแสและความเย็นดับไฟ”

ตระการตาคิดตามรับสั่ง แล้วม่านน้ำรายรอบตัวก็แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ดับลูกไฟลูกนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

“พี่ตระการตา เก่งมาก ไม่เสียแรงที่พระมหาอุมาเทวีทรงเลือก ตอนนี้พี่สำเร็จขั้นแรกแล้ว เราจะพักกันแค่นี้ คืนนี้เราค่อยมาฝึกกันใหม่ พี่ไปได้เร็วมากอย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึง อาจจะเพราะบุญเก่าเกื้อหนุน เอาล่ะ ทีนี้ค่อยๆถอนจิตออกช้าๆ ตัดความรู้สึกร้อนเย็นออกให้หมด ใช้จิตจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกแทน สำคัญอย่าเพิ่งใจร้อนผลีผลามลืมตา มิฉะนั้นจะอันตราย”

ตระการตาไม่รู้หรอกว่าถอนจิตคืออะไร หากแต่คำว่า “ไม่คิด” ความร้อนกับความเย็นก็มลายหาย และเสมือนร่างทั้งร่างพุ่งออกจากอุโมงค์มืด จวบจนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทะแยงม่านตาที่ปิดสนิทนั่นแหละ มนุษย์น้อยจึงได้ลืมตา และพบว่าแทนที่ตนจะแช่อยู่ในน้ำ กลับขึ้นมานอนแผ่หราบนริมฝั่ง โดยมีสีทันดรประทับนั่งเท้าคางแย้มสรวลใสอยู่ข้างๆ และเจ้ารักเจ้ายมนั่งปรบมือให้ด้วยความชื่นชม

“พี่มานอนตรงนี้ได้ไง พี่ควรอยู่ในน้ำนี่”

“ขี้เกียจตอบแล้ว ฝึกไปอีกหน่อยก็จะรู้เอง จะแช่น้ำหรือจะนอนบนฝั่งมันจะสำคัญอันใด สิ่งสำคัญคือพี่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนรู้เมื่อกี้ได้อย่างไรต่างหาก พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหว อย่าลืมคืนนี้ เราจะฝึกกันใหม่ ไปกันเถอะ เราอยากจะไปหาอัสสะ เอ๊ย พี่ชายเราจะแย่แล้ว”

“แหม น้องสีทันดร ก็คิดถึงแต่ผู้ชาย แล้วมาว่าแต่พี่” ตระการตาย้อนเข้าให้อย่างยิ้มๆ ทีนี้สีทันดรแหวไม่ออก เพราะทรงขว้างอสรพิษไม่พ้นพระศอ

“โอ๊ย พี่ดื้อทรงคิดถึงอยู่ทุกขณะจิตแหละพี่ตระการตา พี่อัสดงเขาหล่อออกซะขนาดนั้น”

ตระการตาไยจะไม่เห็นด้วยว่าในกลุ่ม อัสดงนั้นหล่อที่สุด หล่อจนบางทีตนก็แอบชำเลือง แต่หล่อยังไง ก็ไม่เท่าคันฉัตร ...ที่ตนยกยอเข้าข้างจนสุดหัวใจ

“สู่รู้” สีทันดรกำพระหัตถ์ประทานมะเหงกกลางกบาลของเจ้ายม แล้วพาลต่อมาที่ตระการตา “เอ๊ะพี่ตระการตานี่ หัวเราะตามไอ้รัก ไอ้ยมทำไม ....ย้อนดีนัก เดี๋ยวปล่อยให้กลับเองเสียเลย”

“แซวเล่นน่า เอาเป็นว่าเราสองคนคิดถึงพวกนั้นกันทั้งคู่ เนอะ.....ไปกันเถอะ เพราะฉัตรคงกำลังรอกินข้าวแล้วป่านนี้”

“พี่ตระการตา บ้า...เดี๋ยวเราจะบอกพี่ฉัตรว่าพี่ตานึกถึงเรื่องอะไรตอนฝึก อยากแหย่เราดีนัก”

“อย่านะ  พี่อายเขา” ตระการตาท่าจะอายจริง และรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่า สีทันดรคงจะบอกกับทุกๆคนแน่ๆ โดยเฉพาะคันฉัตร “ อย่าพูดไปนะครับ เดี๋ยวฉัตรจะหาว่าพี่ลามก”

“ไม่พูดก็ได้ ...แต่อยากจะบอกไว้ว่า ถึงเราไม่พูดพี่ฉัตรเขาก็รู้ว่าพี่คิดอะไร ฉะนั้นต่อไป พี่ต้องระวังจิตตนเองให้ดี ยิ่งอีกไม่กี่วันพี่ต้องขึ้นเฝ้ายังเทวะสภา ที่นั่นพี่ต้องระวังให้หนัก”

“พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เจอฉัตรกับพวกน้องดื้อจะเป็นความจริง อย่างกับมันเป็นความฝันซะงั้นแหละ”

“จะว่าฝันก็ฝัน จะว่าจริงก็จริง โลกนี้ จริงๆเท็จๆ เท็จๆจริงๆ สลับกันไปทั้งนั้น ”  สีทันดรตรัสตอบยิ้มๆ แล้วประทับยืนฉุดข้อมือตระการตายืนขึ้น เตรียมพากันกลับ แต่ต้องชะงักงัน เพราะมีบางสิ่งทำให้เปลี่ยนพระทัยกะทันหัน

“เอ...เราว่า อยู่ตรงนี้กันอีกสักพักดีกว่า ว่าแต่พี่ตระการตาอยากเล่นอะไรสนุกๆไหม”

“เล่นอะไรล่ะครับ อย่าบอกพี่นะว่า จะชวนพี่เล่นน้ำ”

“จะให้ลองใช้วิชาที่เรียนมาเมื่อครู่ต่างหาก” พระสุรเสียงที่จัดว่าซุกซน ชวนให้มนุษย์น้อยเริ่มนึกสนุกไปด้วย ทั้งๆที่ก่อนมา คันฉัตรสุดที่รัก แอบกระซิบนักกระซิบหนาว่า “ ถ้าน้องดื้อชวนเล่นอะไรแผลงๆ อย่าทำเด็ดขาด”

“เอาสิ ทำไงล่ะ”

“ใช้ความร้อนของเตโชกสิณบันดาลให้เกิดไฟเหนือยอดไม้ ยอดที่เราชี้ไปยอดนั้นเร็วเข้า ใช้จิตคิดถึงความร้อนและเปลวไฟที่พวยพุ่ง เอาให้เป็นกองเพลิงใหญ่ๆเลยนะ เอาให้ลุกพรึ่บเลย”

“เฮ้ย พี่จะทำได้เหรอ”

“สบายอยู่แล้ว มหาเทวีทั้งสามพระองค์ทรงประทานพรให้แล้วนี่” เจ้านาคน้อยคล้ายจะประทานกำลังใจ หากแต่ใครจะรู้ว่า ทีท่าแย้มสรวลใส ซ่อนอะไรไว้อยู่ พระเนตรฟ้าครามสีน้ำทะเล แฝงไว้ด้วยพระลักษณะเจ้าเล่ห์ เจ้ารัก เจ้ายมที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบอ้าปากจะร้องห้าม แต่ก็ถูกขัดขึ้น

“เฉยๆ ไว้”

ตระการตาเริ่มท่องมันตราในใจ ดวงตากลมแป๋ว เริ่มแน่นิ่งเพ่งไปตรงยอดไม้ ตามที่สีทันดรบอก กลางหน้าผากของเขาขณะนี้เสมือนมีพลังงานความร้อนแฝงไว้ และรู้สึกว่า พลังนั้นพุ่งเป็นเปลวเพลิงออกไปทันที ที่สีทันดรยกพระหัตถ์แตะหลัง
“อยากสอดรู้ แอบดูดีนัก ต้องโดนแบบนี้”

คำว่าเพลิงโหมกระหน่ำยังคงน้อยไปที่จะใช้บรรยายภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของตระการตา มนุษย์น้อยอย่างเขาได้แต่ตะลึงงัน ไม่คิดว่าวิชาที่เรียน จะได้ผลทันใจ ทำให้ตนเป็นผู้วิเศษภายในชั่วพริบตา สีทันดรทรงพระสรวลลั่น แสดงว่าถูกพระทัย เจ้ารัก เจ้ายมเอง ก็เผลอปรบมือ ไชโยโห่ร้องตามเจ้านายจอมซน

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่พวยพุ่ง ร่างบางร่าง กลับเหิรละลิ่วออกมา ตวัดไม้เท้าที่อยู่ในมือจ้าละหวั่น ทิพยอำนาจ ดับกองอัคคีราบคาบ และไม้เท้านั้น ก็ชี้มาที่พระพักตร์ ตวาดด่าลั่นขโมงโฉงเฉง

“ ไอ้สีทันดร ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน จะเผาข้าเลยเรอะ มาให้ข้าแพ่นกบาลซะดีๆ มันบาปนะโว้ย เอ็งรู้ไหม”

ร่างนั้น นุ่งหุ่มผ้าที่คาดว่าเคยขาว หากแต่ความที่คงใช้มานาน สีเศวตภูษาจึงลาหาย แถมยังขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่มิได้ขาดด้วยเปลวเพลิง สิ่งที่ขาวอย่างเดียวในตอนนี้คือผมและเคราที่กำลังปลิวสยายตามแรงลม สีทันดรจากที่ทรงสำราญพระอารมณ์ ต้องอ้าพระโอษฐ์ค้างทันใด เจ้ารัก เจ้ายม ก็เช่นกัน

“ซวย...แล้ว พี่ดื้อ จะ จะ ทำยังไงดี เจอตัวเด็ดด้วย”

“หนีสิวะ ...จะยืนอยู่ทำไม” สีทันดรคว้าแขนตระการตาเหิรลอยละลิ่ว รักกับยม ตามมาติดๆ หนึ่งนาคา และสองมหาดเล็ก ต่างพาตระการตาหลบหลีก ไม้เท้าที่พุ่งมาจากชายชราแต่งกายประหลาดพัลวัน แล้วจึงพร้อมใจกัน พุ่งปราดลับหาย โกยแน่บ พร้อมเสียงด่าขรมระงมไปทั่วแนวป่าไล่หลัง

“หลงตา ...หลานไม่ได้ตั้งใจ หลานนึกว่าเป็นไอ้ครุฑเกเร วายุภัค”

“เอ็งจะไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง เอ็งแกล้งใช้ร่างไอ้มนุษย์นั่นเป็นสื่อกลาง ส่งกสิณไฟมาเผาข้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้ ไอ้นาคอันธพาล ไอ้เวรตะไล ”

“พี่ชาย ช่วยหม่อมฉันด้วย หลงตารังแกเด็ก” สีทันดรเหิรลอยละลิ่วเต็มเหยียด เป็นครั้งแรกในพระชนม์ชีพ หลังจากที่ทรงก่อเรื่อง ครานี้ทรงหนีพลางตะโกนพลาง “หลงตา” มิใช่ “หลวงตา” ก็เหิรตามมาไม่หยุดยั้ง เสียงด่ายังคงลั่นแนวป่าที่เงียบสงบ

“เอ็งพูดดีๆนะ ใครรังแกเอ็ง ไอ้ฉิบหาย”

“ก็หลงตานั่นแหละ จะมีใคร ไม่งั้นจะเหาะจีวรปลิวตามหลานมาทำไม....อัสสะช่วยเราด้วย มหาฤาษี รังแกเด็ก”

สุรเสียงที่ดังลั่น พร้อมแสงโชตินาการ ที่ไล่เรียงกันมา ทำให้ทุกคนและทุกพระองค์ที่อยู่บริเวณลานฝึกต้องแหงนหน้าขึ้นมามอง แล้วก็ต้องพร้อมใจกันถอนหายใจอย่างหน่ายอารมณ์ พูดแทบจะพร้อมกันอีกครั้งว่า 

“เห็นไหมล่ะ ก่อเรื่องจนได้ ผิดคำพูดเสียที่ไหน น้องดื้อนะน้องดื้อ”

ทันทีที่พระบาททั้งสอง เหยียบลงบนพื้นดิน เจ้านาคาตาสวยก็ปล่อยพระหัตถ์ตระการตา ถลาพระวรกาย ถลันไปทรงใช้พระพระปฤษฎางค์ของทูลหม่อมพี่ชายและแผ่นหลังหนากว้างของอัสดงเป็นที่กำบัง

ชายอันเป็นที่รักทั้งสอง จะช่วยเหลือให้ทรงรอดพ้นไม้เท้าของหลงตาได้แน่หรือ สีทันดรไม่ทรงแน่พระทัย หากแต่ยังดีกว่าไม่มีคนช่วยเจรจา ผู้ร่วมอุดมการณ์ที่เหลือทั้งสามเองต่างก็กลับไปหายังผู้ที่จะปกป้องคุ้มครองได้เช่นกัน “คันฉัตร” อณูน้อยแห่งศนิเทพ จึงเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของตระการตาแลเจ้าโอปาติกะหัวจุกทั้งสอง

ณ เวลานี้ สีทันดรทรงตรัสได้แต่เพียงว่า “ตัวใครตัวมัน”
ทั้งสามที่เหลือไยจะไม่รู้ดี และต่างฝ่ายต่างหาทางเอาตัวรอดเช่นกัน

“ไปก่อเรื่องอะไรมาอีก” ทยุติธรทรงตรัสอย่างเหนื่อยหน่ายพระราชหฤทัย และเป็นที่แน่นอนว่า ไยพระอนุชาจะมิทรงแย้ง

“หม่อมฉันเปล่านะ แค่ให้พี่ตระการตา ลองกสิณไฟที่ฝึกเท่านั้น จริงๆนะ พะยะค่ะ...แต่....” พระสุรเสียงใสทูลตอบ พระพักตร์งามเริ่มย่นลงเล็กน้อยเมื่อคำตอบที่ทูลถวาย ทูลหม่อมพี่ชายทำพระพักตร์มิทรงเชื่อ เฉกเช่นชายผู้เป็นที่รักอีกคน

“แต่อะไร ไอ้ดื้อ....บอกอัสสะมา ไปก่อเรื่องอะไรมาอีก” อัสดงยังคงมีบทเรียนจากคราวที่แล้ว จึงใช้ระดับเสียงดังพอสมควรถามขึ้นอย่างระมัดระวัง ไม่กระแทก กระชากกระชั้น เกรงสุดที่รักตาสวยจะแว้ดใส่ และคราวนี้สีทันดรก็ไม่ทำเช่นนั้น กลับกอดเอวอัสดงแน่น อย่างออดอ้อน วอนให้ช่วย

“เปล่านะ...เราไม่ได้ก่อเรื่อง ใครจะไปรู้ว่าหลงตาจะแอบอยู่ ตรงนั้น ช่วยเราด้วยนะ อัสสะจะปล่อยให้เราโดนรังแกเหรอ” สีทันดรตรัสเสมือนไม่ทรงรู้

เจ้านาคน้อยจะมิทรงทราบเลยเหรอ ว่ารัศมีของ “ผู้ทรงศีล” กับ “เทวปักษี” นั้นแผกแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทรงทำไป เพียงอยากจะให้ ท่านผู้แอบดูเผยตัว แต่เรื่องอะไรจะทรงออกหน้า

ตระการตา....จึงเป็นเครื่องมือชั้นดีและท่านผู้แอบดูผู้นั้น ดันรู้ทันและตามมาทันเสียนี่
ที่สำคัญดันเป็นมหาฤาษีชั้นผู้ใหญ่ระดับตำนานเสียด้วย

“ซวยของแท้และแน่นอนเลยละพี่ดื้อ” เจ้ารัก เจ้ายม ประสานเสียงให้กำลังใจลูกพี่มันดีแท้ “พวกเราโดนสาปแหงๆ”

“ทำไมเจ้าสองคน ไม่รู้จักห้ามเราล่ะ ไอ้รัก ไอ้ยม เจ้าก็รู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจนี่เนอะ”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
“เอ็งอย่ามาโกหก...มาให้ข้าแพ่นกบาลซะดีๆ ปู่เอ็ง พ่อเอ็ง รวมถึงพี่เอ็ง ต่างก็เป็นสานุศิษย์ข้า พวกมันเคยกล้าทำอย่างนี้กับข้าเสียที่ไหน” หลงตาที่สีทันดรตรัสเรียกปรากฏกายเบื้องหน้าพระพักตร์ หนวดเคราและผมขาวปลิวไสว ยกเว้นแต่ผ้าคากรองที่นุ่งห่ม ขมุกขมัวกะรุ่งกะริ่ง ไม้เท้าที่จะใช้แพ่นกบาล เงื้อหราเหย็งๆ

“และเรียกข้าให้มันถูกๆ หลวงตา ไม่ใช่หลงตา หลวงตาแปลว่า ยกย่องเคารพนับถือข้าให้เป็นตา ไม่ใช่ หลงตา ที่หลงมาเป็นตาของเอ็ง”

“หลวงตา” ทยุติธรคุกพระชงฆ์ลงทันใด คลานเข่าหมอบราบกราบลงกับพื้น และเมื่อทยุติธรกราบลงเสียคนเดียว อณูน้อยที่เหลือมีหรือจะไม่ทำตาม  “หลานดีใจนัก นี่ตั้งใจว่า หากเสร็จภารกิจ จะไปกราบนมัสการพอดี”

“เอ็งจะแต่งเมียล่ะสิ ...ข้ารู้แล้ว พ่อกับแม่เอ็งมาบอกข้าตั้งแต่เมื่อวานซืน เดี๋ยวว่างๆ คุยเรื่องนี้กัน แต่ตอนนี้ขอข้าฟาดกบาลน้องชายเอ็งหน่อย ไอ้นาคพ่อแม่ปู่ย่าตายายพี่ชายมันไม่สั่งสอน” หลงตาหรือหลวงตายังคงแผดเสียงลั่น ดังสนั่นไปทั่วแนวป่า ด่ามาเกือบทั้งโคตร หากใบหน้าเคียดขึ้งเริ่มคลายลง ยามได้เจรจากับทยุติธรผู้ทรงเป็นศิษย์โปรด

“อ้าว ไหงมาลงที่หลาน ว่าแต่ สีทันดรไปก่อเรื่องอะไรเหรอหลวงตา”

“ถามมันดูเองสิวะ ชิชะ มันถือว่ามันเป็นตัวโปรดของพระแม่เจ้ามหาลักษมีเทวี ถึงได้ก่อเรื่อง...มันมีจิตไม่ซื่อคิดจะแกล้งเผาผู้ทรงศีลอย่างข้า”

“หลานไม่รู้นี่ว่าหลวงตาไปแอบอยู่ตรงนั้น หลานจะให้ตระการตาเขาลองกสิณ หลวงตานั่นแหละมีจิตไม่ซื่อ ไปแอบอยู่ตรงนั้นทำไม” สีทันดรแม้จะทรงเกรงว่าไม้เท้าของหลงตาจะฟาดพระเศียร หากก็ยังไม่วายเถียง 

“แน๊ ไอ้เวรนี่ ใส่ร้ายข้า แถมยังเผาข้า มันบาปนะไอ้สีทันดร ไอ้ฉิบหาย ข้าไม่ได้แอบดู ข้าแค่ไปดู” มหาฤาษีที่มีอารมณ์โมโหอยู่ปลายจมูก แทบจะเขวี้ยงไม้เท้าใส่เจ้านาคจอมดื้อพลัน

“ หลวงตาพูดไม่เพราะ เป็นฤาษี ดันมีโมหะ ” สีทันดรแม้จะเกรง ทว่ายังทรงสนุกที่ได้เถียงพระศอเป็นเอ็น “แหม มันก็เหมือนกันแหละ หลงตาก็ยอมรับมาซะเถอะว่า หลงตาไปแอบดูอยู่ตรงนั้น....เป็นมหาฤาษี โกหกไม่ได้นะหลวงตา เดี๋ยวโดนลดขั้นไม่รู้ด้วยนา”

“ทยุติธร...ดู๊ ดูน้องเอ็ง เถียงข้าคำไม่ตกฟาก เอ็งอบรมสั่งสอนน้องเอ็งยังไงห๊า พวกเอ็งนี่ก็แปลก นาคทั้งมหาสมุทร ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำปกครองกันได้ แต่เอาไอ้สีทันดรไม่อยู่ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวข้าก็สาปเสียหรอก”

“บาปนะหลวงตา ขี้โมโหอยู่ปลายจมูกอย่างนี้สิเล่า ถึงติดแหง็ก ...อยู่กับที่ ไม่ได้ไปไหนกับเขาเสียที รุ่นเดียวกับหลวงตา เขาไปถึงไหน ถึงไหน หมดแล้วนะ ”

“ข้าพอใจที่จะอยู่อย่างนี้ต่างหากโว้ย ถ้าข้าจะทำ ข้าก็ทำได้”

ทยุติธรและทุกๆคน อดที่จะยิ้มเบาๆกันไม่ได้ สีทันดรเข้าใจเถียงและเถียงได้ดี อดคิดไม่ได้ว่า ยิ่งหลวงตาโมโห ยิ่งสนุก ทว่าด้วยความที่ทยุติธรทรงเป็นผู้ใหญ่ ชันษามากที่สุดในเวลานี้ จำต้องเล่นบทดุห้ามปราม

“พอทีสีทันดร หยุดดื้อ หยุดพูด แล้วกราบขอขมาหลวงตาได้แล้ว” ทยุติธรแสร้งทำพระสุรเสียงเข้มขึ้น ดึงพระกรน้อยๆที่กอดรัดเอวอัสดงแน่นออกมา ดันพระวรกายออกมานั่งด้านหน้า

“พี่ชาย เดี๋ยวหม่อมฉันโดนฟาดกบาล ...อัสสะจ๋า ช่วยเราด้วย” สีทันดรร้องลั่น และอัสดงก็ปราดเข้ามาแต่ไม่ได้ปราดเข้ามาช่วยสีทันดร กลับเข้ามาช่วยทยุติธร พาพระวรกายของจอมดื้ออยู่ใต้ไม้เท้าพอดิบพอดี “อัสสะใจร้าย จะยอมเห็นเราโดนรังแกเหรอ”

“โดนซะบ้าง ดื้อนัก” อัสดงเองก็เสียงเข้มไม่แพ้กัน ฟังจากที่ต่างฝ่ายต่างเล่า จากวีรกรรมที่ผ่านๆมา เขาก็ลงความเห็นได้ทันทีว่า สุดที่รักคงจะไปก่อเรื่องจริง “กราบขอโทษท่านมหาฤาษีเดี๋ยวนี้ไอ้ดื้อ”

“ กราบก็ได้ แต่อย่าฟาดกบาลหลานนะ....หลานกลัวหัวแตก”

“ฟาดเลยหลวงตา จะได้หายดื้อ หายซน” นลกุพรตะโกนลั่น สะพระทัยเล็กๆ ที่สีทันดรสหายรัก จะโดนทำโทษเสียที ส่วนทรงกลดพี่ชายที่แสนดี ก็นั่งอมยิ้ม หัวเราะที่เห็นอดีตคนเคยหลงรักนั่งทำพระพักตร์ไม่ถูก อณูน้อยที่เหลือเองก็ปรบมือเชียร์หลวงตาลั่น เพราะนานๆจะเห็นสีทันดรหมดท่าเสียที

“เอาเลยหลวงตา”

“เดี๋ยวเหอะ นล อย่าให้ถึงทีเราบ้างนะ พวกพี่ๆ นี่ก็ด้วยเหมือนกัน ทำเป็นหัวเราะเราดีนัก  ”

ตระการตาตอนนี้นั้น อยู่เฉยเสียยิ่งกว่าเฉย เพราะเกรงจะโดนลูกหลง แต่ก็คาดว่าคงไม่พ้น เพราะมหาฤาษีเองก็เมียงๆมองๆมา  แว่บแรกเมื่อเห็น หลงตา ที่น้องสีทันดรตรัสเรียก ความรู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยเห็นชายชราผู้นี้ทีไหนก็บังเกิด .... “หลวงตา ทำไมคุ้นๆหน้าจัง”

“เอ็งจำข้าได้หรือยังล่ะ”

ตระการตาเสมือนได้ยินเสียงของหลวงตาคุยกับเขา อยู่เพียงผู้เดียว เสียงนั้นดังอยู่กลางสมอง และภาพหลวงตาที่เห็น ก็กลายร่างเป็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง...รูปเดียวกับที่เคยเห็นที่ดอยสุเทพ และพระภิกษุรูปนี้แหละ ที่ให้จี้เป็นรูปจักรเขามา แถมยังบอกว่า

“ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวจะมีคนมารับคืนที่ปาย”

“ละ หลวงตา คือพระรูปนั้น” ตระการตาครางแทบไม่เป็นภาษา สมองประมวลคำตอบให้ทันใด หากเป็นเมื่อก่อน คำถามมากมายคงเกิดขึ้นในหัว ทว่าบัดนี้ ตนเริ่มรู้แล้วพยายามวาง

“เก่งมาก เริ่มบังคับจิตได้” เสียงกังวาน สอดแทรกขึ้นกลางหัวอีกเสียง และคงไม่แคล้วเป็นคันฉัตรอมยิ้มจับมือที่นั่งอยู่ข้างๆ

จี้รูปจักร แท้จริงนั้นคือมหาศาสตราวุธแห่งมหาเทวะ ที่หลวงตา ฝากอัญเชิญมา ดังที่ฉัตรเคยอธิบายให้ฟังคร่าวๆ และความสงสัยก็บังเกิดกับตัวอีกครั้ง ว่าทำไมต้องเป็นเขา

“จำข้าได้แล้วสิ”เสียงของหลวงตายังดังก้องอยู่ในหัว และยังดังต่อมาว่า “ นั่นแค่ภารกิจแรก ที่เจ้าได้กระทำ หากแต่ภารกิจต่อไปเจ้าต้องขึ้นไปรับพระราชเสาวณีย์เอาเอง ...ไอ้พวกนี้มันถึงเคี่ยวเข็ญให้เจ้าฝึกถอดกายทิพย์ แต่ดันให้ใครสอนไม่สอน ดันให้ไอ้สีทันดร ไม่รู้หรือไง ว่ามันเป็นตัวยุ่ง แถมยังสาระแนไปสอนกสิณมาเสียก่อนนี่ ไม่รู้มันคิดอะไร ข้าถึงต้องมาดู”

ตระการตาไม่แน่ใจว่า ตนได้ยินคนเดียวหรือเปล่า เพราะทุกๆคนตอนนี้นั้นพยักหน้ารับกันหมด และความสงสัยก็คลาย เพราะสีทันดรตรัสออกมา ทำให้รู้ว่า ทุกคนได้ยินทั่วถึงกัน

“หลานมีเหตุผลของหลาน เขาเรียกหลักสูตรเร่งรัด ถ้าหลงตา เอ๊ย หลวงตา คิดว่าสอนได้สอนดีก็เอาไปสอนเองเสียสิ” สีทันดรลอยพระพักตร์พูด และยิ่งพูดก็ยิ่งยั่วโมโห มหาฤาษีจนเต้นเร่าๆ

“ลูกศิษย์ของหลวงตาแต่ละองค์ดีๆทั้งนั้น ไม่เอาแต่ใจ ก็อันธพาลเกกมะเหรกเกเร”

สีทันดรไยไม่ทรงรู้ว่าลูกศิษย์ของมหาฤาษีนั้นมีใครบ้าง หากแต่ทรงลืม ว่าลูกศิษย์ของหลงตาประทับอยู่ ณ ที่นี้หนึ่งพระองค์ และพระองค์นั้นก็สำแดงพระสุรเสียงเข้มทันใด

 “เจ้าด่าพี่ประชดหลวงตาเหรอสีทันดร เดี๋ยวเหอะ กราบขอโทษหลวงตาได้แล้ว”

“เอ่อ....หม่อมฉันหมายถึงวายุภัคพวกเทวปักษีต่างหาก”

สีทันดรทรงเสด็จเลี่ยงไปได้ในน้ำขุ่นๆ มหาฤาษีผู้นี้ ทรงฤทธีและเป็นที่เกรงพระทัยและเป็นพระอาจารย์ของเทวะชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ รวมถึงทูลหม่อมปู่ทั้งสอง แลพญาเวนไตย เมื่อมีรุ่นปู่ ก็ต้องตามมาเป็นรุ่นพ่อ และท้ายที่สุดก็เป็นรุ่นลูก คือทยุติธรจากฝั่งเทวนาคา และวายุภัคจากฝั่งเทวปักษี

 “ดีใจ ที่เจ้าเห็นว่าพี่ดีกับเขาเสียที”

รัศมีสุกใสดุจดาวฤกษ์ส่องประกายกระจ่างสว่างวาบขึ้นทันใด และรัศมีนี้เอง ทำให้ดวงตาสีอำพันของอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ฉายแววเคียดขึ้ง ชิงชัง จนแทบผลุดลุกขึ้นมาซัดกำปั้นใส่ ด้วยเพราะแค้นใจที่เจ้านาคายอดหฤทัยถูกรังแก นับว่ายังดีที่ทยุติธรทรงยับยั้งไว้ มิฉะนั้น สนามฝึก คงกลายเป็นสนามรบของจริง

ครั้นเมื่อรัศมีสลาย พระวรกายสมชายชาตรี ทรงภูษาเศวตหยักรั้งตามแบบเทวปักษี ก็คุกพระชงฆ์ลงเบื้องหน้ามหาฤาษีหมอบกราบ แทบจะเคียงคู่กับสีทันดรที่ประทับนั่งอยู่ก่อน เจ้านาคาตาสวย เบือนพระพักตร์ ถอยพระวรกาย กลับไปหาอัสดงทันใด

“เราด่าประชด....ที่อื่นก็มีเยอะแยะไม่นั่ง”

“พี่ไม่นั่งตักเจ้าก็บุญโขแล้วสีทันดร เอ.....แต่ถ้าจะให้ถูกจับเจ้านั่งตักดีกว่า รับรองพี่เหนือชั้นกว่าสุริยาทิตย์ของเจ้าเป็นไหนๆ”

“หยาบช้า!!”

เมื่อถูกเหน็บทางจิตจากเทวนาคา ทางฝั่งเทวปักษีไยจะไม่โต้ตอบกลับไป บทสนทนาคงจะดำเนินไม่หยุดยั้ง หากมหาฤาษีไม่ขัดขึ้นเสียก่อน

“นึกว่าใคร ลูกไอ้ช่างยุนี่เอง ไม่เห็นหน้าค่าตาหลายปี” น้ำเสียงของหลวงตาที่มีให้ นับว่าเอ็นดูวายุภัคพอควร หากมิเทียมเท่าทยุติธร

“พ่อหลานชื่อสดายุ” สุรเสียงกังวานตรัสตอบหลวงตาได้ยินกันถ้วนทั่ว

“แต่ข้าเรียกมันว่าไอ้ช่างยุ ตอนมันมาเรียนกับข้า มันยุให้คนนู้นคนนี้ตีกันไปหมด แล้วนี่เอ็งไปทำอะไรไอ้สีทันดร มันถึงได้คิดว่าข้าเป็นเอ็งถึงกับจะเผาข้าให้วายวอด ข้าละเบื่อพวกเอ็งจริงๆ ตั้งแต่รุ่นปู่ ยันรุ่นหลาน ไอ้ครุฑ ไอ้นาคเนี่ย”

“แค่รักดอก จึงหยอกน้องเล่นน่ะหลวงตา แต่น้องสีทันดรเขาโกรธจริง”

สีทันดรตั้งพระทัยจะอ้าพระโอษฐ์ตอบแต่ก็ต้องชะงักเพราะสุดที่รักออกหน้ามาแทน ขัดขึ้น ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนทยุติธรสรวลน้อยๆที่มุมพระโอษฐ์อย่างสาแก่พระทัย ทว่าวายุภัคทรงหันขวับพระพักตร์ตึง ดวงเนตรคมปานวัชระเคียดขึ้ง

“งั้นก็ทรงระวังพระองค์และฉิมพลีไว้ให้ดี เพราะการที่ทรงหยอกเล่นมากๆ พระสุริยาทิตย์อาจจะเสด็จขึ้นกลางฉิมพลีก็ได้ ท่านสดายุคงจะไม่ต้องบินไปจิกท่านอีก ”

วายุภัคทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ เมื่อยามพระบิดาสดายุทรงเยาว์ชันษา ทรงกระทำการอาจหาญเกินพระกำลังเพียงใด และการนั้น ก็ทำให้องค์พระบิดา และทูลกระหม่อมลุงแทบสิ้นพระชนม์และจุติลงจากสวรรค์

พระสุริยาทิตย์ที่พญาเวนไตยยังต้องทรงเกรง.... ทว่ามิได้บังเกิดกับพระโอรสพระองค์เล็ก

มณีสีแดงดั่งทับทิม ที่ลอยเด่นอยู่กลางนภากาศเหนือเทือกเขาอัสสกัณณะ ฉายรัศมีงามร้อนแรง เจิดจ้า ชวนให้พระบิดาเสด็จเข้าไปใกล้ ปีกสีแดงปลายขนสีทองจึงกระพือกว้างกางทั่วทั้งนภมณฑล โผนทะยานจนลืมศักติแห่งตน หมายพระทัยครอบครองมณีดวงใหญ่ดวงนั้น ...หากมันก็เป็นได้แค่ในความคิด เพียงแค่ปลายรัศมีร้อนแรงสะบัดใส่พระวรกายเพื่อสั่งสอน พระบิดาถึงกับกระเด็นร่วง อีกทั้งเปลิวอัคคีร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวใดๆ ยังตามพุ่งเข้าซัด พระสัมปาตีในขณะนั้น ด้วยความที่ห่วงพระสดายุอนุชาทรงกางปีกกว้างป้องกัน ทว่าเดชะมีฤา เทียมเท่า ทั้งสองพระองค์ร่วงลงสู่ ยอดเขาเหมติรัน

โอรสาแห่งพญาเวนไตยผู้เกรียงไกร...พ่าย อับอายขายพระพักตร์ ทั่วทั้งสวรรค์!!!
ทูลกระหม่อมลุงพระอาการหนัก ขนที่ปีกร่วงลงหมดทั้งองค์

แค่รัศมีแห่งพระสุริยาทิตย์ ทูลหม่อมลุงกับพระบิดา ยังมิสามารถต่อกรได้ นับประสาอะไร ถ้าเสด็จขึ้นที่ฉิมพลีเต็มพระองค์ กาลนั้น......  ฉิมพลี คงไม่แคล้วอวสาน

ไหนจะพระเพลิงจากพระสุริยาทิตย์   ไหนจะทยุติธรที่เคยขู่ ว่าจะนำน้ำจากบาดาลมาท่วม หาก แตะต้อง “สีทันดร”

วายุภัค จะทรงมหิทธานุภาพ ต้านทานได้ไหวฤา

“อย่าบังอาจนัก อณูน้อย” ครุฑสีหนาทถูกสำแดง ลั่นแนวป่า มิเกรงใจมหาฤาษีผู้เป็นอาจารย์ สุรเสียงกัมปนาทกึกก้อง พระอารมณ์เริ่มคุมไว้ไม่อยู่ “อย่าเอาต้นกำเนิดเจ้ามาขู่เรา”

“เราไม่ได้ขู่ แต่เราเอาจริง” อัสดงโต้ตอบด้วยเสียงดังกังวานไม่แผกกัน แขนแข็งแรงโอบพระวรกายสีทันดรแน่นอย่างไม่อายสายตาใคร และเป็นการตอกย้ำให้วายุภัคทรงรู้องค์ “ระวังองค์ให้ดี ถ้าทรงล้ำเส้นมาอีกนิดเดียว”

“หยุดเสียทีทั้งสองตัว ข้าปวดหัว” มหาฤาษีปรามขึ้น แล้วยกไม้เท้าชี้ไปที่พระพักตร์เจ้าเทวปักษี กล่าวเตือนด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง ว่า “  ไอ้วายุภัค เอ็งอย่าล่วงเกินพระราชอำนาจของพระมหาเทวีเชียวนา ข้าเตือนไว้ก่อน ไม่มีใครช่วยเอ็งได้”

อัสดงกับวายุภัคเงียบลง โดยเฉพาะวายุภัค ที่ทรงเงียบเสียยิ่งกว่าเงียบ เพราะผู้ใหญ่ เตือนมาสองคนแล้ว ทั้งพญาเวนไตยและมหาฤาษี พระอาจารย์

“ส่วนเอ็ง ไอ้อณูน้อย ของไอ้ดวงไฟ ....เอ็งอย่าใจร้อนนัก เพราะความใจร้อนของเอ็งนี่แหละ มันถึงทำให้หลายๆพระองค์วุ่นกันไปหมด”

“อย่าบอกนะว่าหลวงตา ยุ่งกับเขาด้วย ถึงว่า....”

“ถึงว่าอะไร เอ็งพูดให้จบ ไอ้สีทันดร”

“เพราะยุ่งกับทางโลก เลยอยู่แค่ขอบพาน ยังไม่ถึงนิพพาน เหมือนพระนารทที่ทรงยุ่งไปทั่ว”

“เอ็งฟังน้องเอ็งนะ ไอ้ทยุติธร ฟังมันพูดเข้า ลามปามข้ายังไม่พอ ยังลามไปถึงพระนารทท่าน” มหาฤาษีเริ่มหายโมโห คลายหน้าเคียดขึ้งลงกับสีทันดร และภายใต้ทีท่านั้น ทุกคนรับรู้ได้ว่า ท่านปากร้ายแต่ใจดี

“เหอะ เมื่อกี้เอ็งว่าข้าสอนลูกศิษย์ข้าไม่ดี เอ็งเอาไอ้มนุษย์นั่นมาให้ข้าสอนไหมล่ะ รับรองพรุ่งนี้มันถอดกายทิพย์ได้ เร็วกว่าหลักสูตรเร่งรัดของเอ็งเป็นร้อยเท่าพันเท่า ”

“หลวงตาจะทำได้เหรอ....อย่าคุยไปเชียวนา หากทำไม่ได้ ขายหน้าไปทั่วสวรรค์ คราวนี้ถูกปลดจริงๆนะ” พระสุรเสียงใสยานคาง จงใจยั่ว

“สีทันดร ทำไมพูดอย่างนั้นกับหลวงตา ท่านเป็นอาจารย์พี่นะ เจ้านี่ชักจะไม่รู้ที่ต่ำที่สูงใหญ่แล้ว” ทยุติธรทรงเอ็ดพระอนุชาจริงจังแล้ว แต่หลวงตากลับไม่ถือสา แถมร้องท้าเหย็งๆราวกับอายุรุ่นราวคราวเดียวเท่ากับสีทันดร จะว่าไปทั้งมหาฤาษีและเจ้านาคน้อย ก็พอกัน
 
“ทุด...ไอ้นี่ ถ้าข้าทำได้ล่ะ”

“ทำได้ก็ดีไงหลวงตา แสดงว่าหลวงตาสมเป็นมหาครุจริงๆ เก่งกาจ แต่ถ้าทำไม่ได้ นี่สิ.....หุ หลานไม่อยากจะคิด” สีทันดรทรงเอียงพระพักตร์อมยิ้ม ความคิดบางความคิดแล่นปราดในพระทัย และมีหรือที่มหาฤาษีจะไม่รู้

“แล้วเอ็งเสือกคิดทำไม เหอะ จะให้ข้ากลับไปเป็นฤาษีตามโคนต้นไม้เหรอ.... งั้นคอยดู ข้าจะพิสูจน์ให้เอ็งเห็น ไอ้นาคเวร” หลวงตาสะบัดหน้าพรึ่ด ควงไม้เท้า ชี้ไปที่ตระการตาว่า

“คืนนี้มาหาข้าที่นี่ตอนเที่ยงคืน ข้าจะสอนแทนไอ้สีทันดรเอง”

“ครับ” ตระการตากราบลงโดยไม่มีใครต้องบอก ความยินดีจับทั่วใบหน้าหลายๆคน โดยเฉพาะคันฉัตร ยามคนรักได้ครูดีที่มีแต่ศิษยาสานุศิษย์เป็นระดับเทวะชั้นสูงเท่านั้น...ซึ่งก็รวมถึงต้นกำเนิดแห่งเขา

“คืนนี้หลานพามาเอง”

“เออดี ไอ้อณูน้อยศนิเทพ” หลวงตากล่าวพร้อมพยักหน้าก่อนสลายกลายเป็นรัศมีเจิดจ้า สีทันดรอมยิ้ม และไม่ทรงลืมที่จะกราบลงที่พื้น แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นมากล่าวลั่น “ หลงตาจ๋า หลานกราบนมัสการขออภัยด้วยนะจ๊ะ”

“กองไว้ตรงนั้นแหละ  อย่าลืมเรียกข้าให้มันถูกๆ หลวงตา ไม่ใช่หลงตา หากคราวหน้าเอ็งเผลอเรียกอีก ข้าฟาดกบาลเอ็งแน่ๆ... ข้าไปก่อนล่ะ”

ทยุติธรและวายุภัคนำกราบลงพร้อมอณูที่เหลือ เมื่อหลวงตาไปแล้ว ทยุติธรก็คว้าข้อพระกรพระอนุชาที่เตรียมจะเสด็จปรู๊ดไปกับอัสดง แล้วตรัสอย่างรู้ทันในพระอุปนิสัยมาว่า

“เจ้าใช้อุบายหาทางเลี่ยง ที่จะไม่สอนมนุษย์ผู้นั้นใช่ไหม จะได้ใช้เวลาไปเที่ยวเล่น”
 
“หม่อนฉันเปล่านะ ท่านอยากสอนเองต่างหาก คงเปรี้ยวปาก อยากถ่ายทอดมานาน หม่อมฉันเลยสนอง”

ถ้าเป็นคนอื่นทูลตอบ ทยุติธรคงทรงเชื่อ แต่สำหรับพระอนุชาพระเนตรฟ้าคราม ยากนักที่จะปักพระทัย “อย่าคิดว่าพี่รู้ไม่ทัน”

“โอ๊ย พี่ชาย อย่าเพิ่งมาสนพระทัยอะไรหม่อมฉันเลย นู่น สนพระทัยคนมาหาดีกว่า”

สิ้นรับสั่ง รัศมีสีเขียวเจือทองก็สว่างวาบเบื้องพระพักตร์ ครั้นพอจางลง พระวรกายแน่งน้อยของเทวนาคีสะคราญโฉม ก็ปรากฏลงตรงเบื้องบาท ทยุติธรพระพักตร์ชื่นบาน และเลิกสนพระทัยพระอนุชาทันที

“มุจลินทร์”

“หม่อมฉันแอบพระพันปีขึ้นมาเพคะ เป็นห่วงเห็นทูลหม่อมหายไปหลายวัน”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ไปหาที่เงียบๆ คุยกันเถิด คิดถึงเจ้าจะแย่อยู่แล้ว”

ระยะหลัง ทยุติธรทรงเริ่มหวานเป็นกับเขาเหมือนกัน และมิทรงรอช้า อ้อมพระพาหาเปิดกว้าง พอๆกับพระโอษฐ์รับร่างระหงมาตระกองกอดแน่น ก่อนรัศมีสีเขียวเจือทองที่ขอบปลายเป็นชมพูอ่อนหวานดั่งสีกุหลาบ สว่างใสพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว

หลายๆสายตามองด้วยความชื่นชม ในความเหมาะสม  หากแต่ดวงเนตรดุจดาราคู่หนึ่ง ยามได้ยล รอยรื้นน้อยๆของพระอัสสุชลกลับคลอหน่วย นลกุพรเทวอสุราโอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ จำต้องเบือนพระพักตร์มองไปอีกทาง และเสด็จวับลับหายสลายเป็นรัศมีสีแดงโกเมนทะยานออกไปในแนวป่าทางเดียวกันนั้น มิบอกกล่าวผู้ที่ยืนหยัดอยู่ข้างๆแต่อย่างใด

“คงจะตามไปหากันล่ะสิ ไหนว่าทำใจได้แล้วไง” ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพริบวิบวับ ดวงตาสีน้ำตาล มองตามรัศมีสีแดงโกเมน ปลายรัศมีสีนวลของตนเองเริ่มสั่นพร่า เท้าทั้งสองข้างพาหลีกเร้น ไปนั่งหลบมุมอย่างเดียวดาย

“วิธีดูแลซึ่งกันและกันในแบบฉบับของนาย...มันก็แปลกดีนะนล”

ทรงกลดมั่นใจ ว่าไม่น้อยใจ หรืองอน...เฉกสีทันดร
หากในเวลานี้ เขาอยากอยู่คนเดียวบ้าง....เท่านั้น จริงๆ

เมื่อขบวนแห่งพระสุริยาทิตย์ เสด็จลับหายขอบฟ้า จึงเป็นสัญญาณว่าเวลาการฝึกของวันนี้สิ้นสุด วายุภัคเสด็จกลับไปตามทาง แม้จะไม่ค่อยพอพระทัยจอมทัพอณูน้อยนัก หากก็ทรงแยกเรื่องส่วนพระองค์กับภารกิจออก ความยินดีที่ได้ถ่ายทอดจึงจับทั่วและอณูน้อยทุกคนก็ก้าวหน้า จนไม่มีอะไรจะสอนแลถ่ายทอดแล้ว

“ที่เหลือ คือการซ้อมอย่างเดียว เราจะอยู่เหนือยอดไม้สูงบนเขา ถ้ามีอะไรข้องใจไปถามเราได้ตลอด”

“ขอบพระทัย ถ้าพวกเราไม่ได้ฝ่าบาท คงแย่” เอราวัต จำต้องรับหน้าที่ พิธีทางการฑูต เพราะรู้ดีว่าจอมทัพนามอัสดง คงไม่อยากจะเจรจาด้วยเทวปักษีเท่าไร

“อีกไม่กี่วัน เราจะขึ้นเฝ้าที่เทวสภาแล้ว ฝ่าบาทจะเสด็จหรือเปล่า”

“ไปสิอณูน้อย เราจะไปพร้อมกับพวกเจ้า เพราะเราก็ต้องรับราชโองการ อย่างเป็นทางการเหมือนกัน ทัพของเราจะไม่ได้อยู่ภายใต้การบัญชาการของสุริยาทิตย์ ทัพของเราจะเป็นอิสระ ภายใต้การควบคุมของเราเท่านั้น”

“ทรงเปลี่ยนพระทัย ไหนเคยตรัสว่า จะร่วมรบ มีราชโองการลับมาถึงฝ่าบาทเหรอยังไง ถึงได้ตรัสอย่างนี้” ธรรม์ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยฑูต ถามขึ้น อณูน้อยคุรุแห่งเทวะ ได้ฟังดำรัสของวายุภัคเมื่อครู่ ก็ไม่ค่อยจะพอใจแทนอัสดงนัก

“ใช่เราบอกว่าจะร่วมรบ แต่ไม่ได้บอกว่าจะฟังคำสั่งอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ เราจะทูลขอพระอนุญาตพระมหาวิษณุ”

วายุภัคตอบพระพักตร์เฉยชา ไม่ยินดียินร้าย และอาการนี้แหละที่ทำให้คนสุขุมอย่างธรรม์ยังแทบจะทนไม่ไหว ปราดเข้าไปกระชากสั่งสอน โชคดีที่เอราวัตยืนอยู่ด้วยจึงยั้งไว้ทัน และออกหน้ามาเสียเอง

“ เรื่องนั้นแล้วค่อยว่ากัน แต่อยากจะทูลให้ทราบไว้ข้อหนึ่งว่า จักราแห่งมหาวิษณุและจักราแห่งมหาทรุคา อยู่ในมือ อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ และจักราทั้งสองนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ซัดฝ่าบาทจนร่วง ขนาดพวกเราเองได้เห็นยังไม่กล้าหือกับอัสดง ลำพังพระมหาวิษณุอาจจะทรงรับฟัง หากมหาอุมาเทวี คงจะไม่ และยิ่งถ้าเสด็จมาในภาคมหาทุรคา อย่าได้ทรงหวัง ....ขอทูลลา”

เอราวัตกับธรรม์ เดินจากมา ไม่สนใจอันใดอีก แล้วความทั้งหมด ก็ถูกถ่ายทอดให้กับอัสดงฟังกลางโต๊ะอาหารยามค่ำ

“พวกครุฑนี่มันคบไม่ได้จริงๆ นี่ยังไม่ทันไร มันกล้าแข็งข้อ” น้ำเชี่ยวเป็นเดือดเป็นร้อนแทนจอมทัพที่นั่งถอนหายใจอย่างไม่ค่อยสบายอารมณ์

“กูว่า ไปกระทืบแม่งเลยดีกว่า เอาให้สลบคาตีน สั่งสอนให้รู้เสียมั่งว่าอย่ายุ่งกับอณูแห่งเทพชั้นผู้ใหญ่อย่างเรา” ราหูเสนอขึ้นมาบ้าง และก็คงมีแต่น้ำเชี่ยวเท่านั้นที่เห็นดีเห็นงาม

“ ดีเหมือนกันนะอัสดง ท้าดวลแม่งเลย เอาให้มันรู้กันไปว่าเทวะอย่างเราเหนือกว่ามัน”

“มึงสองคนนี่แนะนำแต่ละอย่างดีๆทั้งนั้น มึงสองคนอย่าชวนอัสดงมันเสียคน เป็นนักเลงตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก” คันฉัตรท้วงขึ้น แล้วกล่าวต่อมาว่า “ วายุภัคคงต้องถูกกำราบลงแน่ หากมันยังอวดดี”

“เราควรดูท่าทีมันก่อน มันอาจจะไม่มีอะไรเหมือน พี่น้องดื้อก็ได้”

“อย่าเพิ่งมั่นใจไปฉาย แววตาของวายุภัคมันมีอะไรซ่อนอยู่ เดาว่า มันคงรู้ว่าฉันอ่านใจออก มันจึงใช้เทวฤทธิ์ปิดกั้นเอาไว้” เอราวัตท้วงแฟนสุดที่รัก และคืนฉายก็เริ่มเห็นด้วย คล้อยตาม

“ชักหนักใจแทนเสียแล้วสิ”

“คงต้องดูทีท่า อย่างที่นายว่า..ไอ้ฉาย ฉันเองก็มีบางเรื่องที่จะสะสางกับมัน”