อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑)
ทางด้านทรงกลดและอณูทั้งสี่ที่เหลือ หลังจากได้ฟังความจากมหาฤาษีแล้ว ก็ได้เห็นภาพสนามยุทธการที่วัดป่าจากปลายไม้เท้าของหลวงตามหาฤาษีที่ชี้เป็นลำแสงส่องเป็นภาพขึ้นฟ้า อันมิต่างอะไรกับกล้องฉายหนัง ถ้วนทุกคนที่ได้ดู ก็แทบจะนั่งไม่ติด คุมตัวเองแทบไม่อยู่ ยิ่งตอนที่เห็นศิษย์น้องของอัสดงถูกสังหาร แล้วธิดาพญามารกำลังจะจาบจ้วงหลวงตาพระคุณเจ้า ยิ่งแทบอยากจะเหิรลอยไปสมทบในทันใด อดนึกเสียดายอยู่ครามครันมิได้ ที่ศึกครั้งนี้หาได้มีโอกาสเข้าร่วม แล้วทั้งหมดก็ต้องระย่นระย่อกายเมื่อเห็นมหากาลีเทวีในร่างตระการตา ประทานทุกๆการสังหารแก่เหล่ามาร ภาพทุกภาพมันติดตา ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้ชายก็ยังอดประหวั่นพรั่นพรึงมิได้ ซากมารแต่ละตนดูน่าสยดสยองยิ่ง ชักไม่แน่ใจแล้วว่า นี่เป็นฝีมือของเทวะแน่หรือ หากก็บรรเทาได้ด้วยปรีติ ยามหลวงตาพระอาจารย์ของอัสดงบรรลุอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน
“สาธุ สาธุ สาธุ” ทรงกลดเป็นต้นเสียงกล่าวนำทุกๆคน น้ำตาแห่งปรีติรินไหล และนำกราบลงพื้น “เป็นบุญของเทวะแล้วที่พระอรหันต์บังเกิด”
“ใช่เป็นบุญของเทวะแล้ว แต่นี่ถ้าหากไม่ได้ มหากาลีเทวีเสด็จมา มันอาจจะเป็นหนังอีกม้วน” ธรรม์กล่าวเสริม เฉกเดียวกับเอราวัต
“ไอ้ธรรม์พูดถูก ว่าแต่สงสารศิษย์น้องของไอ้อัสดงว่ะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ” อณูแห่งพระพุธทอดน้ำเสียงเศร้า แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหันไปหาคืนฉายสุดที่รัก “ฉายจ๋า ฉายใช้สัญญชีวนีมนตรา ชุบชีวิตให้ไอ้เจ้าเด็กสองคนนั่นได้ไหม ถ้าได้จะได้รีบแจ้งอัสดงแล้วไปวัดป่ากัน”
“ไม่ได้หรอกครับคุณแฟน นายลืมไปแล้วหรือไงว่าสัญญชีวนีมนตราของฉายนั้น จะใช้ชุบชีวิตได้สำหรับผู้ที่ยังไม่หมดอายุขัย แต่เผอิญมีเหตุให้สิ้นชีพไปก่อน ฉายตรวจดูแล้วศิษย์น้องของไอ้พระอาทิตย์มันสิ้นอายุขัยวันนี้พอดี”
“แล้วถ้าเราใช้น้ำอมฤต ครั้งกวนเกษียรสมุทรล่ะ” ราหูเสนอเข้าท่า แต่มหาฤาษีก็รีบขัดขึ้นทันควัน ลดไม้เท้าหยุดฉายภาพ แล้วมาชี้หน้าราหูแทน
“อย่าเชียวนะโว้ยไอ้ราหู ถ้าเอ็งคิดจะขโมยน้ำอมฤตอีกรอบ เอ็งหยุดความคิดนั้นเลย เอ็งไม่เข็ดหรือไงที่ต้นกำเนิดเอ็งต้องเป็นครึ่งยักษ์ครึ่งนาคก็เพราะไปขโมยน้ำอมฤต”
“จริงด้วยครับหลวงตา ผมลืม”
ราหูยิ้มแหะๆ ไยจะมิรู้เรื่องราวของพระราหูต้นกำเนิด ยามแปลงเป็นเทวดา มาขโมยดื่มน้ำอมฤต จนพระจันทร์จับได้แล้วไปทูลฟ้องพระมหาวิษณุ จนถูกลงทัณฑ์ด้วยคมจักรบั่นร่างเป็นสองท่อน ต้องไปต่อท่อนบนกับหางนาคแทน ด้วยเหตุนี้จึงมีวรกายผิดประหลาดกว่าเทวะองค์ใดๆ ทำให้ชิงชังจันทรเทพจอมฟ้องยิ่งนัก... แล้วอณูของคนทูลฟ้องที่ฟังอยู่ก็ตัดบทเสนอขึ้นว่า
“ถ้างั้นเราก็คงต้องปล่อยไปตามลิขิต ฝืนไปเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ฉันว่าเรารีบติดต่อไปทางวัดป่ากันเถิด อยากรู้ด้วยว่ามีใครบาดเจ็บอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ก็ดีเหมือนกันนะไอ้กลด คุยกันเสร็จจะได้รีบเดินทางกันต่อ แล้วทางฝั่งนู้นมีใครเอามือถือไปบ้าง”
“น่าจะเป็นตระการตานะ เห็นแว่บๆว่าหยิบใส่กระเป๋ากางเกงก่อนไปเล่นน้ำตกกับน้องดื้อ อณูอย่างพวกเราไม่มีใครใช้โทรศัพท์สักคน นอกจากนายและก็ไอ้ฉาย” ทรงกลดตอบมาให้
“งั้นลองติดต่อดู”
เอราวัตพูดจบก็หยิบไอโฟนไร้สัญญาณขึ้นมา นี่ถ้ามีคนธรรมดาอยู่ด้วยคงคิดว่าเขาจะเดินหาสัญญาณแล้วกดเบอร์แล้วโทร.ออกเป็นแน่แท้ แต่สำหรับอณูแห่งพระพุธผู้นี้แล้ว คงไม่ต้องรอสัญญาณจากเครือข่ายใดๆ กลับใช้แค่มือสะบัดผ่านหน้าจอทัชสกรีน ก็บังเกิดแสงวูบวาบ ดึงภาพและเสียงทางฝ่ายตนส่งไปยังมือถือของตระการตา ที่ปลายทางวัดป่าตามต้องการสมใจ
ฝ่ายตระการตาที่สติคืนมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ได้ยินเสียงและแรงสั่นจากมือถือในกระเป๋ากางเกงตน อันเป็นเสียงแปลกประหลาดแก่เทวดาทุกผู้จนหันมามองกันเป็นตาเดียว พอหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นว่าโทรศัพท์ที่เปียกน้ำของตนนั้นนอกจากสั่นมาพร้อมเสียงแล้วยังส่องแสงวูบวาบ คันฉัตรที่อยู่ใกล้ๆ จึงบอกให้กดรับ และพอรับสายเท่านั้น แสงวูบวาบก็พุ่งออกมาจากหน้าจอ ฉายเป็นภาพกลางอากาศ อันเป็นร่างโปร่งใสของเอราวัตและพรรคพวก คมชัดเกินสามมิติ เฉกเดียวกับฝั่งที่ติดต่อมา ร่างของตระการตากับคันฉัตรก็ลอยออกมาจากหน้าจอในลักษณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายเจรจาถามความกันทันที น้ำเชี่ยวกับนลกุพรก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย คงขาดแต่อัสดงเท่านั้น
“สุดยอดไปเลยเพื่อนเรา ดูภาพทางนี้เป็นห่วงแทบแย่ แต่พวกนายเก่งมากๆ” ทรงกลดกล่าวชม ยิ้มแป้นให้นลกุพรเป็นพิเศษ จนถูกเพื่อนๆแซวไปทั่ววง แล้วถามขึ้นแก้เขิน “อ้าวแล้วไอ้แม่ทัพมันหายหัวไปไหนวะ”
“กูเห็นลากน้องดื้อเข้ากุฏิหลังวัดไป หน้าตาแม่งเอาเรื่องทีเดียว สงสัยคราวนี้น้องดื้อโดนแน่ๆ”
คันฉัตรเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น และก็น่าจะคาดการณ์ถูกเสียด้วย เพราะทั้งน้ำเสียงและสายตาของอัสดงในกุฏิยามนี้ มันเอาเรื่องจริงๆ ทั้งเร่งรัด ทั้งต้อน จนสีทันดรจนมุม ส่วนเจ้านาคน้อยเองก็ยังคงหลบเลี่ยงหรุบพระเนตรฟ้าครามลงอยู่อย่างเดิม จนอัสดงต้องถามย้ำเสียงเข้มมาอีกครา
“ทำไม...ตอบอัสสะมา”
“อย่าดุนักสิ คืออันที่จริงเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ” สุรเสียงใสตอบมาอ่อยๆ มิค่อยเต็มเสียงนัก แน่ฤาที่สีทันดรจะมิทรงรู้ ความชิงชังที่หายไป ไยจะมิใช่คำตอบ แต่ถ้าหากตอบไปตามจริง มีหวังวัดป่ากลายเป็นทะเลเพลิง
“เจ้าไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ จะตอบเราดีๆหรือไม่ ไอ้ดื้อ”
“ก็ได้ๆ ตอบก็ได้ คือเราเห็นว่าเขาไม่ได้จาบจ้วงรังแกเราเหมือนอย่างแต่เก่าก่อน อีกอย่างเราก็ต้องอาศัยเดชะของเขานำเสด็จมหาเทวีมาที่วัดป่า เราเลยคิดว่าเขาไม่มีพิษมีภัย มนตรามหาจักรเลยเสื่อมกระมัง อย่าโกรธเราเลยนะอัสสะ”
สีทันดรทรงเลือกที่จะบอกคร่าวๆ มิทรงลงลึกถึงความรู้สึกที่เริ่มมีในแง่ดีมาบ้าง ซึ่งมิได้เกินเลยทางใจกับเทวปักษีพระองค์นั้น เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงออดอ้อนกอดแขนเจ้าลูกไฟดวงใหญ่แน่น อันที่จริงบอกแค่นี้ก็ดีแล้วเชียว ยังพอทำใจให้ฟังขึ้นในความรู้สึกของอัสดงที่รู้เหตุผลดีอยู่แล้วบ้าง เจ้านาคน้อยหาควรต่อมาอีกไม่ แถมต่อมาดันมิต่อเปล่า คิดยังไงก็มิรู้ กลับดันไปใช้คำสมัยใหม่ ทั้งๆที่ปกติก็มิเคยใช้ ที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อวานตอนเดินเท้าอีกด้วย
แล้วคำๆเดียวนี้นี่เอง ก็ทำให้เรื่องที่ใหญ่สำหรับอัสดงอยู่แล้ว ...กลายเป็นมโหฬารเกินความจำเป็นในพริบตา
“เราแค่เห็นว่าเขาแซ่บ ก็แค่นั้น”
“อะไรนะ...แซ่บงั้นเหรอ”
อัสดงตะโกนลั่นกลั้นอารมณ์ไม่ไหวแล้ว กัดฟันกรอดๆขบกรามแน่น สะบัดแขนออกทันที แน่นอนคำว่า ‘แซ่บ’ มันไม่ใช่ ‘ก็แค่นั้น’สำหรับเขา คำว่าแซ่บที่สีทันดรกล่าว มันทับถมเพิ่มน้ำหนักให้ความไม่พอใจในเรื่องความชิงชังที่ห่างหาย อันสร้างโทสะให้กรุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งโหมกระพือเพิ่มขึ้นไปอีก โกรธจนชนิดที่ว่าไม่เคยโกรธ ถึงขนาดที่ร่างทั้งร่างกลายเป็นไฟลุกท่วมไปทั้งตัว นี่หละคงเป็นต้นตำรับของคำว่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่แท้ สีทันดรเห็นเข้าก็ตกพระทัยพระพักตร์เหวอ เพราะเพิ่งจะได้เห็นอัสดงโกรธตนขนาดนี้เป็นครั้งแรก
“ใช่แซ่บ ทำไมอัสสะต้องโกรธเราขนาดนี้ด้วยล่ะ”
“นี่เจ้า!!! เจ้ายังไม่รู้เหรอว่าพูดอะไรออกมาไอ้ดื้อ เจ้าพูดมาได้ไงว่ามันแซ่บ .... โธ่โว้ย”
เจ้าดวงไฟลูกใหญ่โมโหจนพูดอะไรต่อไม่ออกอีกแล้ว สองเรื่องรวมกันเป็นโกรธเดียว ทำให้ต้องสะบัดหน้าพรึ่ด หักใจหันหลังระบายอารมณ์กระทืบเท้าถีบประตูปึงปังเดินออกจากกุฏิทั้งๆที่ไฟยังลุกโชนท่วมตัว สีทันดรที่ยังทรงมิรู้อะไรก็ได้แต่งุนงงเหมือนเดิม
“เป็นบ้าเป็นบออะไรอีกล่ะ เรื่องที่ควรจะโมโหกลับไม่โมโห เราจะไม่ว่าเจ้าสักคำเลย ถ้าเจ้าจะโมโหเราเรื่องอัญเชิญเสด็จมหากาลี แต่นี่ดันมาโมโหเรื่องคำว่าแซ่บเนี่ยนะ มีเหตุมีผลหน่อยสิ ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์ ”
สีทันดรตะโกนไล่หลังอัสดง อัสดงก็มิสนใจจะต่อปากต่อคำ เดินกลับออกไปตามทาง ทิ้งเพลิงโทสะลูกย่อมๆ หลายลูกกระจายทั่วลานหน้ากุฏิ ประกายเพลิงเหล่านี้ ดับด้วยฤทธิ์นั้นแสนง่าย แต่เพลิงที่โหมกระหน่ำอยู่ทั่วตัวเขานั้น จะดับลงอย่างไร ยังมิทรงรู้เลย
“เราก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา ก็พี่ฉายบอกว่า แซ่บแปลว่าดี แซ่บมากแปลว่าดีเยี่ยม เราแค่เห็นว่าเขาดีเราผิดตรงไหน โมโหอะไรไม่เข้าเรื่อง หรือว่าเขาไม่พอใจที่เราไปชมผู้ชายคนอื่น เฮ้อ...จะง้อยังไงล่ะเนี่ย ”
เจ้านาคาตาสวยเปรยกับองค์เอง ระบายพระปับผาสะ เดินตามออกมาถึงกลางลานต้นสาละ ก็เห็นว่าไอ้ลูกไฟขี้โมโห เตะกองไฟรายรอบลานระเนระนาด จนบรรดาเทวทหารบางส่วนที่ยังไม่กลับขึ้นฟ้าและทหารนาคาราชองครักษ์แตกฮือ ไม่สนใจเพื่อนๆที่กำลังยืนใช้เทวฤทิ์ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ แยกไปลำพังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับยังศาลาริมธารข้างวัดคนเดียว อรุณศิษย์ผู้น้องเห็นเข้าก็ยังมิกล้าเข้าหา บรรดาฝ่ายอณูเทวะเห็นหัวหน้าตนเป็นดังนั้นก็เลิกติดต่อกัน แล้วหันไปหาสีทันดรที่เดินตามมา
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าน้องดื้อ” คันฉัตรถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ได้ทะเลาะหรอกพี่ฉัตร แต่เพื่อนพี่มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ช่างเถอะ” สีทันดรตรัสจบก็ระบายลมหายพระทัยยาวๆอีกระลอก ยังมิเล่ารายละเอียดให้คันฉัตรฟัง เริ่มเหนื่อยพระหฤทัยที่เริ่มตามอารมณ์ชายอันเป็นที่รักไม่ทัน
“รอให้เขาอารมณ์ดีกว่านี้ก่อน เราจัดการเอง เราไปดูพวกทหารเราก่อนดีกว่า”
แล้วสีทันดรก็แยกไปหาบรรดาราชองครักษ์ส่วนพระองค์กับของทูลกระหม่อมพี่ชาย ยังข้างวัดด้านหน้า ไถ่ถามอาการ ประทานพลังการรักษาแก่ทหารนาคาตนที่บาดเจ็บ มิสนใจอันใดกับลูกไฟในศาลาอีก จนเวลาล่วงเลยไปค่อนชั่วโมง เพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างอัสดงก็ซาลง แสดงให้รู้ว่าโทสะลดลงไปหลายระดับแล้ว ทว่าก็ยังไร้วี่แววที่สีทันดรจะเดินมาหา คงมีแต่คันฉัตรที่กล้ากว่าใครเดินเข้ามายังศาลาริมธาร
“ไงวะไอ้แม่ทัพ กูพอจะนั่งคุยด้วยได้ไหมวะ” คันฉัตรพูดพลางเอามือกุมอกพลาง เพราะยังเจ็บที่โดนมหาเทวีกระทืบอยู่มิหาย มิรอให้อัสดงอนุญาต ทรุดนั่งลงข้างๆ เปิดบทสนทนาต่อ “เมื่อกี้พวกทางโน้นติดต่อมา เลยได้คุยกับไอ้ฉาย ไอ้ฉายบอกว่า ศิษย์น้องสองคนของมึงชะตาขาดวันนี้พอดี เลยใช้สัญญชีวนีมนตราชุบชีวิตไม่ได้”
“อืม รู้นานแล้ว” อัสดงตอบรับสั้นๆ เสมือนว่ายังไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องการเรื่องงานสักเท่าไหร่นัก ยิ่งคันฉัตรพูดต่อ ก็ยิ่งฟังแค่เผินๆ
“เออนี่ พรุ่งนี้เช้าพวกมันจะเดินทางต่อ มันบอกว่าไม่เกินเที่ยงก็ถึงชัยภูมิฐานทัพใหม่ของพวกเราแล้ว”
“อืมก็ดี”
“เอ่อ กูว่า พรุ่งนี้ กูจะออกแกะรอยพวกมาร มึงจะว่าอะไรไหม เผื่อจะได้เบาะแสว่าพวกมันมีฐานทัพอยู่ที่ใด” คันฉัตรพูดซะยาว แต่อัสดงก็ตอบมาให้แค่สั้นๆ
“ตามใจ”
“เฮ้อออ” พระเสาร์น้อยถอนหายใจมาบ้าง รู้แล้วว่าเรื่องงานเรื่องการศึก หาได้ทำให้อัสดงดีขึ้นไม่ ยามนี้มันคงต้องการที่ปรึกษาทางใจ ยอมแพ้ยุติเรื่องงาน มาคุยเรื่องหัวใจกับเพื่อนรักที่สนิทกว่าใครในกลุ่ม ที่คาดว่าน่าจะง้างปากเพื่อนได้เป็นอย่างดี แล้วคันฉัตรก็ไม่ผิดหวังเลยสักนิด
“ไงวะ ทะเลาะอะไรกันอีก”
“ไม่ได้ทะเลาะ แค่โมโหนิดหน่อยว่ะ ไอ้ดื้อแม่ง”
“ไม่นิดละมังไอ้ห่า หน้าบูดเป็นตูดลิงอย่างนี้ แล้วมึงโมโหเรื่องอะไรวะ อย่าบอกกูนะเรื่องอัญเชิญเสด็จ ถ้าเรื่องนั้นน่ะ มึงคงต้องโมโหตั้งแต่มหาลักษมีเทวีเลยนะโว้ย พวกไอ้กลดเล่าให้กูฟังหมดแล้ว”
“เรื่องนั้นก็โมโหโว้ย แต่คงไม่เท่าเรื่องไอ้ดื้อมันเลิกเกลียดไอ้วายุภัค” อัสดงกำหมัดแน่น แล้วก็ยอมพูดยาวๆได้ซะที “มึงก็รู้ใช่ไหมว่า กูเสกมนตรามหาจักรครอบร่างไอ้ดื้อกันจากไอ้วายุภัคเอาไว้ แต่วันนี้พวกมึงก็เห็นนี่นาว่าไม่มีจักรเพลิงครอบร่างไอ้ดื้อตอนไอ้นกนั่นเข้าใกล้อีกแล้ว ไอ้วายุภัคเอาไอ้ดื้อนั่งบนมือได้อย่างสบาย อีกหน่อยก็คงจะจับนั่งตัก มนตราเสื่อมลงเพราะใจไอ้ดื้อเปลี่ยนไป”
“ไอ้ห่าคิดมากไปหรือเปล่าวะไอ้อัสดง ไปกันใหญ่แล้ว อาจจะเพราะพระมหาลักษมี มาประทับร่างน้องดื้อก็ได้”
“ไม่ใช่หรอก เมื่อกี้กูคุยกับไอ้ดื้อแล้ว ไอ้ดื้อบอกว่า ไม่ได้คิดว่าไอ้วายุภัคมีพิษมีภัย ไอ้ดื้อคงรู้สึกดีๆกับมัน ไอ้ฉัตร มึงรู้ไหมไอ้ดื้อยังบอกอีกว่า ไอ้วายุภัคแซ่บ”
“ห๊า” คันฉัตรมิได้แสร้งว่ามิเชื่อหู แต่มิอยากเชื่อจริงๆว่าสีทันดรจะพูดอย่างนั้น “เฮ้ย กูว่าปกติน้องดื้อก็ไม่ใช้คำสมัยใหม่นี่นา คงไปจำใครเขามาน่ะ ใจเย็นๆก่อนนะไอ้อัสดง เดี๋ยวกูถามแฟนกูให้ว่าก่อนมานี่ มีอะไรกันหรือเปล่า”
อณูน้อยแห่งศนิเทพนับว่าถี่ถ้วนกว่าลูกไฟร้อนๆอย่างอัสดงนัก ช่างสังเกตสังกาจนรู้ว่าใครเป็นยังไง และก็ช่างเข้าใจหาตัวช่วยคลี่คลายเรื่องให้เพื่อนได้ดีนัก เพราะคำว่าแซ่บที่เป็นปัญหานี้ไม่ใช่หรอกเหรอ ที่มาจากห้วงคำนึงของแฟนตัวเองที่ใช้ตอบวายุภัคว่าตนเป็นอย่างไร
“จะยังไงก็แล้วแต่ กูก็ไม่พอใจอยู่ดี”
“เอาน่ามึงไอ้พระอาทิตย์ แต่เอ หรือว่าน้องดื้อจะจำมาจากไอ้ฉาย ไอ้ห่าฉายมันยิ่งทะเล้นทะลึ่งอยู่ด้วย” คันฉัตรยิ่งพูด ก็ยิ่งถูกโดยมิรู้ตัว ...แฟนตัวเองกับคืนฉายเนี่ยแหละ รู้ดีที่สุดแล้ว
“ช่างแม่งเหอะ ...แต่กูถามหน่อย ถ้าแฟนมึงมาบอกว่าผู้ชายคนอื่นแซ่บ และก็เลิกเกลียดไอ้ผู้ชายคนนั้น มึงจะทำยังไงวะ”
“ไม่ยากเลยโว้ย ก็แค่ทำตัวเองให้แซ่บกว่าก็เท่านั้น เลิกคิดมากได้แล้ว ไอ้แม่ทัพ”
คันฉัตรทั้งขำทั้งเข้าใจและเห็นใจเพื่อนที่กำลังเป็นบ้าเป็นบอเพราะความรักคนนี้นัก ไอ้อัสดงนี่มันเก่งไปซะทุกอย่าง มันด้อยอยู่อย่างเดียวก็เรื่องรักนี่แหละ ใครจะคิดว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ ที่ลอกเลียนนิสัยหยิ่งทระนงองอาจมาจากต้นกำเนิด จะมาอ่อนข้อศิโรราบ กลายเป็นแค่ไฟจากแสงตะเกียงให้กับเทวนาคาตาฟ้าครามได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนทุ่มไปหมดทั้งใจ ไม่เหลือเผื่อใจกันไว้เผื่อเจ็บสักห้องเดียว
แต่จะว่าไป เรื่องของหัวใจนี่ มันพิสดารล้ำลึกนัก จับเข้าที่ใครก็เป็นบ้าเป็นบอทั้งนั้น เขาเองใช่ว่าไม่เคยเป็น แถมยังดันเป็นหนักกว่าอัสดงเสียด้วยซ้ำ ที่จริงเรื่องนี้มันนานมาแล้ว นานก่อนที่จะเจอตระการตา ทว่ากลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมากลางสมรภูมิ
‘รณพักตร์’ ชื่อบางชื่อลอยคว้างอยู่กลางห้วงคำนึง เจ้าของชื่อที่วันนี้หวนกลับมาเจอกันในฐานะศัตรู ขณะนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็มิรู้ ถึงได้ขออัสดงไปแกะรอยดู เผื่อจะได้เจอซากอดีตของหัวใจ
“เป็นอะไรวะไอ้เวร จู่ๆ มาเหม่ออะไรตอนนี้ กูต่างหากนี่ที่ต้องเหม่อ อย่าบอกกูนะว่าตระการตาเมียมึงก็ชมไอ้วายุภัคว่าแซ่บ” เสียงของอัสดง ทำลายภวังค์ทั้งหมดทั้งมวลของคันฉัตรขึ้น จนเจ้าตัวหันมายิ้มแก้เก้อ
“ไอ้บ้า ตระการตาไม่มีทางพูดอย่างนั้นหรอก แต่เออว่ะ กูเหม่อได้ไงก็ไม่รู้ ช่างแม่งเหอะ กลับไปรวมกลุ่มกับไอ้น้ำเชี่ยว และก็ไอ้ยักษ์นลกันเถอะ”
คันฉัตรพูดจบก็เดินกอดคออัสดงออกจากศาลา พอเดินมาถึงกลางลานต้นสาละ ก็เห็นสีทันดรประทับยืนคุยกับรุกขเทวา นางไม้ อีกทั้งกองราชองครักษ์นาคา อัสดงยังคงงอนอยู่ละมังจึงเดินเลี่ยงไม่เข้าไปหา แต่คันฉัตรก็ดันหลังมา ผลักไปข้างหน้าให้เข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะรัศมีสีดาวฤกษ์ปรากฏขึ้น ข้างๆพระวรกายสีทันดร
รัศมีสีอัปรีย์นี่ ...มันช่างน่ารำคาญ เกะกะ ลูกตาเสียเหลือเกิน
รัศมีสีนั้นพอสลายกลายเป็นวายุภัค คงมิน่าขัดใจเท่าเจ้าของรัศมีสีเขียวเจือทองแห่งเทวนาคาที่เริ่มมีสีชมพูกุหลาบจับเต็มขอบระเรื่อ รัศมีของเทวะบ่งบอกอารมณ์เจ้าของได้เสมอ สีชมพูหวานจับเข้าที่วรองค์สีทันดรอย่างนี้ มีหรือจะมิใช่ความรัก
อัสดงคงไม่ได้ตีความไปเอง เพราะเจ้านาคน้อยยอดดวงใจ กำลังส่งยิ้มใสๆให้วายุภัค เขาเห็น เห็นเต็มสองตา และยังเห็นอีกว่า สีทันดรกำลังรับกระบอกไม้ไผ่กระบอกหนึ่งจากนางไม้แล้วยื่นส่งให้ไอ้เทวปักษีที่ยกมาดื่มแล้วยิ้มกว้างทันใด เมื่อเป็นซะอย่างนี้ คงไม่ต้องตีความอันใดให้มากความอีกต่อไป
“อย่างนี้แล้ว มึงจะยังให้กูไม่คิดมากอีกได้ไหมวะ ไอ้ฉัตร”
อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ทิ้งภาพระรื่นเต็มสองตาไว้กลางลาน เดินไปหาน้ำเชี่ยว นลกุพรและตระการตา ที่ยืนคุยกันอยู่หน้ากุฏิหลวงตา คันฉัตรกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาติดๆ ไม่รู้จะช่วยอธิบายอย่างไร ในเมื่อภาพมันฟ้องชัดซะขนาดนี้ นี่ถ้าตนเป็นอัสดงก็คงคิดอย่างเดียวกันแน่นอน แต่ก่อนที่ภาพกลางลานจะดำเนินไปให้อัสดงเจ็บใจต่อ ทยุติธรก็ปรากฏกายขึ้น ฉุดข้อพระกรพระอนุชาออกมา แล้วลากหลุนๆ มาสมทบกับพวกอัสดงหน้ากุฏิทันที
“ไปญาติดีกับมันตั้งแต่เมื่อไร” ทยุติธรตรัสเสียงเข้มกับสีทันดรต่อหน้าทุกๆคน “แล้วไปยิ้มให้มันทำไม”
“ก็เขาช่วยงานหม่อมฉัน หม่อมฉันก็แค่ยิ้มขอบใจ แล้วก็แค่เอาน้ำเกสรดอกไม้ป่าจากนางไม้ให้เขาดื่ม เพราะเขา....” สีทันดรตรัสยังไม่ทันจบ ก็ต้องหยุดลง เพราะทูลหม่อมพี่ชาย ที่ยามนี้สีทันดรทรงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เป็นพี่ชายแท้ๆของใคร ขัดขึ้นสุรเสียงดัง
“ไม่ต้องมาอธิบายให้พี่ฟัง...แต่จงอธิบายให้อัสดงฟังซะ”
เทวนาคาพระเชษฐาตรัสจบ ก็พยักพระพักตร์ เสด็จจากไป พี่ชายนี่ก็น่าจะเป็นอีกพระองค์ที่โมโหโกรธาไม่เข้าเรื่อง เรื่องที่ควรจะใส่พระทัยโมโหกลับไม่ แต่กลับมากริ้วปังเอากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วทุกคนที่ยืนอยู่ก็รู้งานดี เดินตามกันออกมาเป็นพรวน ทิ้งอังสดงหน้าตาเศร้าสลดไว้กับสีทันดรสองต่อสอง ความเงียบจับนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าในที่สุดอัสดงก็ทนไม่ไหว โพล่งขึ้นก่อนเป็นคนแรก ด้วยคำถามจากน้ำเสียงเย็นชาขัดแย้งกับใจที่ร้อนรนอยู่ข้างใน
“ทำไมอัสสะไม่ได้ดื่มน้ำเกสรดอกไม้ แต่ไอ้วายุภัคได้ดื่ม”
“ก็เรากำลังจะเอาไปให้อัสสะพอดี แต่เผอิญวายุภัคเขามาพอดี นางไม้ก็เลยส่งให้เราให้เอาให้เขา” สีทันดรมิได้ทรงโป้ปด แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“เจ้าไม่มีเหตุผลที่ดีกว่านี้อีกแล้วเหรอไอ้ดื้อ” อัสดงพยายามฝืนเสียง ขับมาให้เรียบๆ ไม่อยากให้เหมือนคราวก่อนที่เคยระเบิดอารมณ์ใส่จนเป็นเรื่องเป็นราวกันมาคราหนึ่ง เจ้าลูกไฟทนนิ่งไปสักพัก แล้วกล่าวขึ้นต่อมาว่า
“ไม่เป็นไร ยังไม่มีดีกว่านี้ก็ไม่เป็นไร อัสสะว่าเจ้าคงต้องใช้เวลาหาเหตุผลนานกว่าปกติ คืนนี้เราต่างคนต่างนอนดีกว่านะ เจ้าก็นอนในกุฏิเราไปนั่นแหละ นอนคนเดียว เผื่อเจ้าจะคิดอะไรออก พรุ่งนี้เช้าก็มาบอกอัสสะแล้วกันว่าเจ้าจะเอายังไง จะเลือกใครก็บอกมา”
“โธ่ อัสสะ ไปกันใหญ่แล้ว”
สีทันดรถอนพระทัยตรัสขึ้นทันใด มิควรเล้ย มิควรเลย ที่ทรงทอดเวลาเนิ่นนาน เพียงให้เขาคลายอารมณ์ร้อนเพื่อที่จะปรับความเข้าใจ รู้อย่างนี้ไปคุยกับเขาเสียตั้งแต่ทีแรกก็สิ้นเรื่อง จะได้หายบ้าหายบอ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือตั้งใจจะโอบกอดอัสดงที่ตากำลังแดงเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆไว้ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว อัสดงดันสลายกลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้ามืดไปในก่อนจะได้กอด เจ้านาคน้อยไม่รอช้าตั้งท่าจะเหิรตาม ทว่าก็ต้องหยุดเสีย เพราะพระสุรเสียงใสที่ยามนี้แฝงความเฉียบขาด แห่งมหาลักษมีเทวี ขัดขึ้นดังก้องให้ได้ยินเพียงองค์เดียว สุรเสียงในท่วงทำนองนี้ นานๆจะมีมาสักที และเมื่อมีมาก็แสดงว่าทรงเอาจริง
“สีทันดรกลับไปเข้าฌานบัดเดี๋ยวนี้”
“ทำไมล่ะพะยะค่ะ พระแม่เจ้า อัสสะกำลังงอนและเข้าใจหม่อมฉันผิด หม่อมฉันจะรีบตามไปอธิบาย” สีทันดรทูลตอบ อย่างกับกำลังทูลขอพระมารดาให้ประทานอนุญาตอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าอัสดงเขาจะงอนและเข้าใจผิดโดยไม่มีเหตุผลอย่างนี้ เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับชายอื่นหมื่นแสนล้านอันมีอยู่ดาษดื่นทั้งสามโลก เจ้าหาควรสนใจไปไย เจ้าควรสนใจหน้าที่ของเจ้าดีกว่า หน้าที่แห่งอณูของเรา เรามิได้แบ่งอณูมาเพื่อให้แค่เล่นซนและมีคู่หรอกนะ เจ้าต้องเตรียมตัวได้แล้ว ลืมไปแล้วฤาไร ใกล้จะถึงวันแล้วหนา สีทันดร”
มหาเทวีทรงอดเอ็นดูอณูขององค์เองมิได้สักครา จึงผ่อนปรนพระสุรเสียงลง ประหนึ่งพระมารดาเฉกเคย สีทันดรฟังแล้วก็เบาพระทัย ทรงนิ่งคิดเพียงครู่ แล้วก็ทรงนึกขึ้นได้ แต่ก็ยังมิวายอ้อนพระแม่ต้นกำเนิดอยู่ดี “จริงด้วยพะยะค่ะ ทำไมมาถึงเร็วจัง เหมือนเพิ่งจัดที่บาดาลไปไม่นานนี้เอง แต่ตอนนี้หม่อมฉันอยากไปหาอัสสะ ขอไปคุยกับเขาก่อนได้ไหมพะยะค่ะ”
“ไม่ได้ เราตามใจเจ้ามามาก คราวนี้เจ้าต้องตามใจเราบ้าง วันนี้เราช่วยเจ้าทำงานได้สำเร็จ พิธีในปีนี้ก็เจ้าก็ต้องช่วยเราทำให้สำเร็จเช่นกัน ห้ามโกง ห้ามบิดพลิ้ว ห้ามมีเล่ห์เหลี่ยมกลลวง หรือแกล้งป่วยสารพัดอาการเหมือนปีก่อนๆเด็ดขาด ” มหาลักษมีเทวีทรงดักทางสีทันดรเสียสิ้น อาจจะเพราะทรงเข็ดหรือไม่ก็ทรงระอากับเจ้าอณูตัวแสบ ที่หาสารพันข้ออ้างเลี่ยงงานมาทุกปี โดนดักมาอย่างนี้ ทรงรู้ทางไปหมดอย่างนี้ สีทันดรจึงทำพระพักตร์แทบไม่ถูก
“พิธีในปีนี้จะเป็นครั้งสำคัญนะสีทันดร เพราะเหล่าเทวะจะจัดบนภพมนุษย์”
“ห๊า บนภพมนุษย์”
“ใช่บนภพมนุษย์ กลางฐานทัพที่ใหม่ของอณูน้อย”
“ทำไมต้องที่นั่นล่ะพะยะค่ะ ทำไมไม่จัดที่บาดาลเหมือนเดิม อีกอย่างมนุษย์ก็จัดกันเองอยู่แล้วทุกปี”
“แล้วตอนนี้เจ้าอยู่ในภพมนุษย์หรือบาดาลล่ะสีทันดร อีกอย่างมันก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับงานที่เจ้าทำวันนี้แหละ มนุษย์ก็จัดของมนุษย์ไป เทวะก็จัดของเทวะ....เจ้ากลับไปเข้าฌานได้แล้ว รัศมีของเราเริ่มจับตัวเจ้ามากขึ้นทุกที และนับแต่นี้ไปเจ้าต้องเข้าฌานปรับพลังทุกคืนจนกว่าเสร็จพิธี”
“พะยะค่ะ พระแม่เจ้า”
แม้จะยังไม่เข้าพระทัยเท่าไหร่ว่าทำไมเทวะต้องจัดที่ภพมนุษย์ ทว่าเจ้านาคน้อยก็ยอมรับพระเสาวนีย์ในที่สุด พระพักตร์เริ่มมุ่ย แต่ความสว่างเรืองรองของรัศมีมิได้ลดถอยลงเลยสักนิดเดียว ดูเหมือนจะสว่างขึ้นเสียด้วยซ้ำ สีเขียวเจือทองที่มีสีชมพูแซมอยู่ตรงขอบ เมื่อกี้สีชมพูยังแค่เล็กๆ แต่ตอนนี้เริ่มกินเนื้อที่เข้ามาอีกคืบข่มสีเขียวไปอีกหน่อย สีทันดรก็เพิ่งสังเกตเห็น ถ้าพระแม่เจ้ามิบอกก็คงมิได้เฉลียวมามองหรอก แล้วจึงถอนพระทัยมาอีกรอบ ซึ่งไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน
และในขณะที่จำใจเดินไปยังกุฏิของอัสดงนั้น ทยุติธรที่ยืนมองเหตุการณ์น้องชายที่รักทั้งสองคุยกันอยู่ตั้งแต่ต้น ก็เหิรลอยมาดักหน้าไว้ หะแรกก็ตั้งใจจะเอ็ดพระอนุชาว่าทำไมไม่ตามอัสดงไป แต่พอเห็นรัศมีรอบพระวรกายน้อง ก็ลืมเรื่องขัดใจในวันนี้กับน้องสิ้น เปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนพระทัยมายิ้มกว้างภายในเสี้ยววินาที
“เมื่อกี้ที่ไม่ตามไป เจ้าคงคุยกับมหาลักษมีเทวีอยู่ล่ะสิ”
“พะยะค่ะ”
“ครบปีอีกแล้วเหรอนี่ มาขอพี่หอมที เดี๋ยวอีกหน่อยพี่ก็จะกอดเจ้าไม่ได้ หอมเจ้าไม่ได้แล้ว ทำให้ดีที่สุดนะน้องน้อยจอมซนของพี่” ทยุติธรทรงดึงน้องเข้ามากอด แถมยังประทานจูบไปที่พระนลาฏแลข้างพระปราง พระสุรเสียงผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ
“โธ่พี่ชาย หม่อมฉันเบื่อ ไม่อยากทำเลย”
“ไม่ได้” ทยุติธรทรงปฏิเสธทันควันเหมือนมหาเทวีไม่มีผิด สุรเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ยังมิคลายกอดที่มีให้พระอนุชา “ มีใครทำแทนเจ้าได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งบนสวรรค์เขารู้กันไปทั่วแล้วว่าเจ้าเป็นอณูพระแม่เจ้า มิใช่เกิดแต่จากพรอย่างเดียว ”
“พระแม่เจ้าไม่น่าตรัสกลางเทวสภาเลย ให้เข้าใจว่าเกิดจากแค่พรก็ดีแล้ว ขนาดปีก่อนๆยังไม่รู้ว่าเป็นอณู ยังวุ่นวายกับหม่อมฉันเสียแทบแย่ ปีนี้รู้แล้วว่าเป็นอณู ไม่รู้จะยังไง” เจ้านาคน้อยบ่นกับพี่ชายกระปอดกระแปด
“ว่าแต่ตอนนี้หม่อมฉันอยากตามอัสสะเหลือเกิน แต่พระแม่เจ้าให้หม่อมฉันเริ่มเข้าฌานปรับพลัง”
“พระแม่เจ้าทรงตรัสถูกต้องแล้ว เจ้าต้องเข้าฌาน เรื่องอัสดงพักไว้ก่อน เดี๋ยวพี่กลับขึ้นมาจากบาดาลพี่ช่วยคุยให้ พี่จะรีบไปแจ้งข่าวสมเด็จแม่กับสมเด็จทวดก่อน พี่จะไปแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวพี่จะพามุจลินทร์ขึ้นมาช่วยเจ้าด้วยอีกแรง ไปเข้าฌานได้แล้ว เจ้าตัววุ่นวายแห่งบาดาล”
“พะยะค่ะ”
พอพระอนุชารับคำ ทยุติธรก็ประทานจูบไปที่กลางเศียรน้องอีกฟอด แล้วเดินไปส่งน้องถึงหน้ากุฏิที่พักเก่าของอัสดง พอส่งน้องเสร็จ ทยุติธรก็อำลาอณูน้อยพากองราชองครักษ์ส่วนตัวและของน้องกลับบาดาล ทิ้งคันฉัตร น้ำเชี่ยว นลกุพร และตระการตา ให้ยืนกังขากันว่า ทำไมสีทันดรถึงไม่เหิรลอยตามอัสดงไป แล้วไยต้องกลับเข้ากุฏิทั้งๆที่เรื่องยังค้างๆคาๆเช่นนี้กัน