บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก
เอราวัตเมื่อเข้าห้องนอนมาได้ ก็ยังคงนอนกระสับกระส่าย อาการนอนไม่หลับเช่นนี้ นานๆจะเกิดขึ้นเสียที และหากเกิดขึ้นเมื่อใดนั่นก็หมายถึงว่า เขามีเรื่องที่ต้องคิดมากเป็นพิเศษก็เหมือนๆกับคนทั่วไปนั่นแหละ เพราะโดยปกติแล้ว ตัวเขาเองแทบจะไม่เคยมีเรื่องที่ต้องคิดเท่าไรนัก และยามนี้เรื่องที่คิดอยู่นั้น คงมิใช่เรื่องอื่นไกลอันใด มันคือเรื่องของคำตอบที่ต้องหาให้คืนฉายนั่นเอง
“เราไม่ได้รังเกียจความรักระหว่างชายกับชาย ไม่ได้รังเกียจคืนฉาย เราแค่ยังไม่มั่นใจและสับสนตัวเองเท่านั้นว่าเราชอบผู้ชายด้วยกันจริงหรือ”
อณูน้อยเปรยกับตัวเอง ตนไม่เคยชิงชังในความรักระหว่างชายกับชาย และยังเคยบอกอัสดงกับทรงกลดไปด้วยว่า ‘สมัยนี้ชายชอบชาย’ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่เมื่อเกิดขึ้นกับตัวเขา ยากนักที่จะยอมรับ มันเข้าข่ายดีแต่พูด ที่ผ่านมาเขาเคยมีสาวๆ คบไว้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ และได้สุขสมกันเป็นบางครั้ง แต่สาวๆพวกนั้นก็มิได้ทำให้ต้องใจเลยสักนิด เทียบไม่ได้เลยกับรอยจูบเมื่อตอนเย็น จูบนั้นแม้ ‘ตั้งใจ’ จะทำเพื่อตบตาเกด แต่ไปๆมาๆ กลายเป็น ‘พร้อมใจ’ กันทำไปได้ยังไงไม่รู้ และตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ติดใจ’ เสียจริงๆ
เอราวัตยังคิดทบทวนไปมาอีกหลายตลบ จวบจนกระทั่งสมองเริ่มล้าม่านตาเริ่มหนาหนัก อีกทั้งบรรยากาศยามนี้ยังหนาวเย็นไปด้วยสายฝนที่ซัดกระหน่ำ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงรวดเร็ว หลับเสียดีกว่าเผื่อพรุ่งนี้จะคิดอะไรออก และในสภาวะแห่งการครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง เขามั่นใจว่าเขาได้เห็น รัศมีสีเขียวสีเดียวกับของเขา พุ่งผ่านทะลุบานหน้าต่างมายังใจกลางห้อง รัศมีสีนั้นสว่างไสวและเริ่มจับเป็นตัวคน รัศมีอันเคยคุ้น พอสลายก็จำได้ทันทีว่า เป็นใคร
“ท่านพระพุธ”
เอราวัตพยายามยันกายขึ้นมาบังคม แต่ร่างกายก็เสมือนถูกตรึงเอาไว้อยู่บนเตียงหนานุ่ม บุรุษเลิศลักษณ์ผู้นั้นเริ่มแย้มเยื้อนตอบ รัศมีเขียวสดเจือทองสดใสอยู่ทั่วรอบกรอบโครงร่าง ใบหน้าดุจหล่อมาจากพิมพ์เดียวกับเขา แต่ถ้าจะพูดให้ถูกเขาเองต่างหากที่ถอดแบบมาจากบุรุษผุ้นั้น ร่างกายสูงใหญ่งามสง่าในพัสตราสีเขียวครึ่งท่อน แผงอกแข็งแรงถูกพาดทับด้วยภูษาสีขาวพลิ้วไหวปลิวสะบัด ร่างแห่งเทวะมักงามพร้อมเช่นนี้เสมอเมื่ออยู่ในสภาวะเทวะเต็มขั้น
“ไง...เอราวัต ถึงกับคิดไม่ตกเชียวหรือ แค่อณูแห่งพระศุกร์มาบอกรัก” สุรเสียงใสดังกังวานตรัสถาม แม้องค์พระพุธผู้เป็นต้นกำเนิดจะงามสง่าเท่าใด หากก็ยังแฝงไปด้วยลักษณะขี้เล่นเช่นเดียวกับเอราวัต
เอราวัตเริ่มอึกอักกล่าวตอบแทบไม่ถูก เพราะรู้สึกแปลกที่ตัวเองต้องมาคุยกับตัวเองเสมือนคุยกันผ่านหน้ากระจก พระพุธยังกล่าวต่อมาอีกว่า “ เหอะ มันก็แปลกจริงๆอย่างที่เจ้ากำลังคิดแหละ เจ้าก็เปรียบได้ดั่งเรา เราก็เปรียบได้ดั่งเจ้า มันไม่บ่อยครั้งหรอกนะที่ต้นกำเนิดจะมาคุยกับอณูของตนที่แบ่งภาคลงมา เพราะเทวะเมื่อแบ่งภาคลงมาแล้วก็ต้องเข้าฌาน แต่วันนี้เราแอบลงมา เพราะเป็นห่วงและรู้ว่าอณูแห่งเรากำลังมีปัญหา”
“พะยะค่ะ .....ทรงทราบหมดแล้วนี่ แต่กระหม่อมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะตอบรับหรือปฏิเสธ”
“แล้วระหว่างตอบรับกับปฏิเสธ อันไหนเจ้ามีความสุขมากกว่ากัน คิดดูให้ดีๆ เจ้าถูกแบ่งลงมาเพื่อปราบอสูรเป็นเทวโองการที่เลี่ยงไม่ได้ เจ้ามีโอกาสมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และชีวิตมนุษย์ก็สั้นนัก อีกทั้งเมื่อเสร็จศึกก็ยังไม่ทรงมีเทวโองการลงมาว่าจะให้ทำอย่างไร เรียกเจ้าคืนขึ้นมารวมอยู่กับเราหรือก็ยังไม่ชี้ชัด เราว่าสู้เจ้าทำตามใจ....ตนเองดีกว่า ลองทบทวนเหตุผลดูอีกครั้งก่อนจะให้คำตอบเขา นิสัยพระศุกร์ท่านน่ะก็เหมือนกับอณูท่านนั่นแหละ ถึงแม้จะทรงร้ายไปบ้าง ขี้เบื่อและรักสนุก หากแต่เมื่อยกย่องใครขึ้นมาแล้ว เขาผู้นั้นก็ควรจะดีใจ ที่เทพแห่งความรักยอมหยุดที่ตน”
“หมายความว่า กระหม่อมควรตอบรับ”
“สิทธิ์อยู่กับเจ้า...เราไม่มีอำนาจตัดสิน ได้แค่ชี้นำเท่านั้น จำไว้พระศุกร์ท่านไม่ชอบคอยใครนานๆ” สิ้นพระดำรัสแห่งพระพุธ รัศมีสีเขียวก็สว่างวาบพลันสลายพุ่งคืนสู่ท้องฟ้า เอราวัตสะดุ้งเฮือกขึ้นมา นั่งอยู่บนเตียง ครานี้ร่างกายเริ่มขยับได้เป็นปกติ เขานั่งทบทวนบนเตียงอยู่ชั่วครู่
“เมื่อกี้พระพุธเสด็จ ....เทพผู้เป็นต้นกำเนิด เสด็จจริงหรือว่าเราฝัน จะอย่างไรก็แล้วแต่ ท่านคงเสด็จมาให้คำตอบเราเรื่องคืนฉายโดยเฉพาะ....ฉายเห็นทีเราคงจะเลี่ยงกันไม่พ้นแล้ว ว่าแต่เสด็จมาด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ ยังไม่ได้ทูลถามเลยว่าเรื่องนางนาคกับพี่คชาจะทำอย่างไร โธ่เอ๊ย”
ภายในห้องนอนที่ถูกจัดเป็นห้องบรรทมของสีทันดร ขณะนี้เจ้าของห้องยังคงเดินวนเวียนไปมารอบๆร่างของอัสดงที่นั่งทำสมาธิเพื่อติดต่อหลวงตาอยู่ อัสดงนั่งอยู่เป็นนานสองนานแล้ว จนเขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่นั่นแหละแสดงถึงการทำสมาธินั้นสิ้นสุด สุรเสียงใสกล่าวถามโดยพลัน
“เป็นไงบ้างอัสสะ ติดต่อพระคุณเจ้าได้ไหม”
“ติดต่อไม่ได้เลย วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรไม่สามารถเข้าสมาธิได้ลึก” อัสดงบิดกายไล่ความเมื่อยขบ ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายมีรอยกังวลใจ “สงสัยอัสสะกังวลเรื่องเจ้ามากไป”
“กังวลใจเรื่องเรา เรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พี่ชายเราจะพาเรากลับบาดาล”
“แล้วจะเรื่องอะไรซะอีก ....อัสสะยังไม่อยากจะขาดใจตอนนี้” อัสดงคว้าวรองค์ที่ประทับนั่งข้างๆเข้ามากอดใบหน้าซบอยู่ตรงซอกพระศอ
“โธ่ ....อัสสะอย่ากังวลไปเลย ถึงพี่ชายเราจะบังคับให้เรากลับ แต่เราก็จะไม่กลับ พี่ชายถึงจะทรงร้ายทรงดุอย่างไร แต่ก็ทรงตามใจเราตลอด อย่าเพิ่งคิดมากเลย”
“แต่พี่ชายเจ้าไม่ชอบหน้าเรา อัสสะดูก็รู้”
“ก็ช่างพี่ชายเราสิ ....พี่ชายเราไม่ชอบก็ส่วนพี่ชาย แต่ไม่ใช่เรา”
“พูดอย่างนี้หมายความว่าหลงรักอัสสะแล้วใช่ไหม ฮะฮ่า”
อัสดงยิ้มออกมาได้ทันที หอมแก้มเจ้านาคาน้อยไปฟอดใหญ่ สีทันดรพอรู้ว่าเผลอโอษฐ์ตรัสอะไรออกไปก็พระพักตร์แดงระเรื่อ หันมาสะบัดพระวรกายออกด้วยความเขิน
“อัสสะบ้า ... ไม่พูดด้วยแล้ว นอนดีกว่า” สีทันดรเสด็จขึ้นเตียงทันที ทีท่าเขินอายยังคงมีอยู่ อัสดงนะอัสดง ที่ยอมให้กอดให้จูบที่ผ่านมาเนี่ยยังไม่ได้หมายความว่าตนมีใจให้อีกหรือไง ส่วนอัสดงก็มิรอช้ากระโดดขึ้นเตียงเข้ามานอนข้างๆทันที วงแขนแข็งแรงโอบกอดเจ้านาคาน้อยไว้มั่น
“นอนด้วยคนนะคืนนี้”
“ไม่เอา เจ้าไปนอนห้องของเจ้าสิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”สีทันดรดันอัสดงออกแต่ก็ไม่เป็นผลพระวรกายถูกเขาโถมทับมาทั้งตัว คืนนี้อัสดง เกเรมาอีกแล้ว
“ช่างมันสิ มันก็รู้ว่ากันหมดแล้ว จะต้องอายอะไร อัสสะขี้เกียจไปนอนเบียดกับไอ้ฉายมัน ....นะๆ ขออัสสะนอนด้วยคนนะ สัญญาว่าจะนอนเฉยๆ นะครับคนดี ไล่อัสสะไปไม่สงสารอัสสะเหรอ ที่ต้องนอนหนาว ไม่มีใครให้กอด ดีไม่ดี เผลอไปกอดไอ้ฉายเข้า เดี๋ยวมันก็ลวนลามอัสสะมาเท่านั้นเอง”
เอาอีกแล้วไงอัสดงนี่ เวลาอ้อนก็อ้อนเก่งใช่เล่นพูดเพราะมาเสียด้วย แถมยังมาทำตาหวานซึ้งใส่อีก เหอะใครว่าผู้ชายไม่มีมารยา ไม่จริง ดูอัสดงเป็นตัวอย่าง เจ้าเล่ห์ที่สุด ....แต่ก็เพราะความที่อัสดงเป็นอย่างนี้นี่แหละ ถึงได้ตรึงพระทัยเสียยิ่งนัก
“เฮ้อ ก็ได้ ....แต่สัญญาแล้วนะว่าจะนอนอย่างเดียว ห้าม.....” สีทันดรแกล้งถอนพระทัย ปากก็ตรัสไปแสร้งเหนื่อยใจ แต่ในพระทัยกับพระวรกายดันซุกองค์เข้าไปในอ้อมแขนเขาเสียแล้ว แล้วที่บอกว่าห้ามอย่างว่านั้น หากอัสสะจะทำก็คงจะขัดขืนมิได้ ....แต่โชคดีที่ผู้ชายคนนี้มิเอาเปรียบ ฤาอยากจะให้เขาเอาเปรียบจริงๆซะแล้ว
“น่ารักที่สุด แฟนใครก็ไม่รู้” หากเป็นเมื่อก่อนคำว่าแฟนคงทำให้ฉงนพระทัยว่าคืออะไร แต่เดี๋ยวนี้ตอนนี้ทรงเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะนลกุพรสหายสนิทขยายความให้เมื่อตอนอยู่หิมพานต์
“เราไม่ใช่แฟนเจ้าสักหน่อย ....เจ้ายังไม่เคยบอกเราชัดๆ ว่าเจ้ารักเรา”
“ไอ้ดื้อคนดี หากเจ้าอยากจะฟังคำว่ารัก อัสสะจะบอกเจ้าทั้งคืนก็ยังได้ แต่มันจะมีความหมายอะไร ถ้ามันเป็นแค่ลมปากมิได้กล่าวมาจากใจจริงแท้ๆ อัสสะอยากให้เจ้าดูการกระทำของอัสสะมากกว่า”
อัสดงพูดจบก็ประกบริมฝีปากลงไปบนริมโอษฐ์ที่คล้ายว่าจะเผยอรอรับอยู่แล้ว ไออุ่นๆจากร่างกายถูกถ่ายทอดซึ่งกันและกันผ่านริมฝีปากทั้งสอง โคมไฟกลางห้องถูกดับลงแล้วเหลือเพียงแต่แสงสว่างของฟ้าแลบแปลบปลาบที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง หนึ่งเทวะและหนึ่งนาคาต่างก็อยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกัน ใจจริงของอัสดงอยากจะเผด็จศึกมาเสียแล้ว เพราะตอนนี้เขาพร้อมไปเสียทุกส่วน แต่เนื่องจากสัญญาไว้ จึงได้แค่เพียงจูบ สีทันดรเองใช่ว่าจะไม่รู้เพราะบางส่วนที่ดันนูนแข็งแกร่งจากกลางลำตัวของอัสดงมันบ่งชี้ว่าเขาต้องการ
“อัสสะ คงไม่โกรธเรานะ ที่เรายัง เอ่อ....ไม่พร้อม”
“ไม่หรอก ...อัสสะรอได้”
“เราสัญญาว่าเราจะยอมอัสสะเพียงผู้เดียว” พระเศียรน้อยๆ เลื่อนมาประทับบนต้นแขนของอัสดงเพื่อให้เขาได้กอดได้แนบชิดยิ่งขึ้น คืนนี้อัสดงมีหมอนข้างที่หอมเสียยิ่งกว่าหอมไว้ในอ้อมอกแล้ว หากเป็นไปได้เขาอยากหยุดเวลาไว้เท่านี้ตรงนี้เสียเหลือเกิน ช่วงเวลาที่ยอดดวงใจไม่ดื้อแถมยังน่ารักจนถึงขีดสุด
“ขอบคุณครับ อัสสะก็สัญญาว่าอัสสะจะมีเจ้าแต่เพียงผู้เดียว....เออนี่เจ้าอยากฟังนิทานก่อนนอนไหม”
“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมจะต้องมาฟังนิทานก่อนนอน ชอบเห็นว่าเราเป็นเด็ก อย่างกับพี่ชายไม่มีผิด”
“พี่ชายเจ้าก็ชอบเล่านิทานให้เจ้าฟังเหรอ” เอ๊ะ แปลก ไอ้ขี้แอคนั่น มันอ่อนโยนกับเขาก็เป็น เล่านิทานให้น้องฟังด้วย
“พี่ชายทรงมีเรื่องสนุกๆเล่าให้เราฟังเยอะ ตอนเรายังเด็กกว่านี้ ทรงเสด็จมาเล่นกับเราทุกวันพอทรงโตขึ้นมาหน่อยทรงห่างหายไปบ้าง พี่ชายเราเห็นอย่างนั้นเหอะ ภายนอกอาจจะดูเย็นชาแต่ภายในพระทัยทรงอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษนะ เราจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเราเด็กๆ พี่ชายเราพาเราขี่คอไปเที่ยวหิมพานต์ครั้งแรก และครั้งนั้นเองพี่ชายเรามีเรื่องกับหลานชายพญาเวนไตย จนถึงขั้น ยังไงดีล่ะ ...ใช้กำลัง” สีทันดรทรงหยุดนิดหนึ่งเพื่อหาคำที่เหมาะสม
“เรียกว่าต่อยแหละง่ายๆ ภาษามนุษย์” อัสดงแก้มาให้
“เออนั่นแหละ เหตุก็เพราะว่า หลานชายพญาเวนไตยรังแกพวกกินรี”
“เหอะเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกันนะนี่”
“นั่นแหละ ต่อยกันใหญ่เลย จนมหาอุมาเทวีที่ประทับอยู่แถวนั้นพอดี เสด็จมาห้ามถึงได้เลิกรากัน แล้วก็ทรงตัดสินให้พี่ชายเราถูกแถมยังทรงชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษด้วย พี่ชายเราให้เหตุผลแก่มหาเทวีว่า สุภาพบุรุษพึงให้ความช่วยเหลือแก่สุภาพสตรี นับแต่นั้นมาพี่ชายเราก็เลยกลายเป็นตัวโปรด”
“เหอะ แล้วสุภาพบุรุษที่ไหนถึงรังแกสุภาพสตรี มาตามจับเอาเขากลับไปทำเมีย”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอกอัสสะ เหตุที่พี่ชายเราทำเช่นนั้น ก็เพราะว่า การจัดระบบการปกครองของบาดาลนั้นเราจำต้องรวมอำนาจของนาคาสี่สายสกุลใหญ่ๆเอาไว้ หากรวมไม่ได้ บาดาลคงปั่นป่วน และนางนาคที่หนีมา นางทำให้สกุลของนางถูกตราหน้าว่าไม่จงรักภักดี ถือว่าเป็นกบฏกลายๆ”
“เหอะไม่ยุติธรรม ...ความจงรักภักดีไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยวิธีนี้ แต่เอาเหอะ มันเป็นเรื่องทางบาดาลเราจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เราก็จะยึดวิธีเดียวกับที่พี่ชายเจ้าทำ คือ สุภาพบุรุษพึงให้ความช่วยเหลือแก่สุภาพสตรี เราจะช่วยนางนาคผู้นั้น”
“แล้วมันคุ้มกันเหรออัสสะ” สีทันดรส่ายพระพักตร์ อัสสะนี่ก็รั้นพอๆกับพี่ชาย รั้นกับรั้นมาเจอกัน มิน่าถึงได้ดูไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไรนัก หนักใจเหลือเกินโน่นก็พี่ นี่ก็คนรัก หากมีเรื่องกันจะเข้าข้างใครดี
“คุ้มสิ อัสสะจะได้แสดงให้เห็นว่า คนอย่างอัสสะก็มีดีเหมือนกัน พี่ชายเจ้าจะได้เลิกวางตนข่มคนอื่นเสียที”
“อัสสะ พี่ชายเราไม่ใช่คนแบบนั้น เราเชื่อว่าหากอัสสะยอมเจรจาคุยกับพี่ชายดีๆ เราคาดว่าเรื่องคงจะไม่บานปลาย พรุ่งนี้เราลองติดต่อหลวงตาใหม่ ให้หลวงตาช่วยพูดให้แล้วส่งนางนาคคืนไปเสีย”
“แล้วเด็กหลานไอ้พระพุธล่ะ อย่าบอกนะว่าเด็กไร้เดียงสาจะต้องโทษด้วย”
“มันก็แล้วแต่พระเมตตาของทูลหม่อมปู่ พี่ชายคงให้ทูลหม่อมปู่ทรงตัดสิน”
“อัสสะบอกไว้ก่อนนะว่าถ้าผลการตัดสินออกมาไม่ยุติธรรม อัสสะรบแน่ และถ้าพี่ชายเจ้าพาลจะพาเจ้ากลับบาดาล อัสสะจะบุกบาดาลเอาให้พินาศกันไปข้างหนึ่งเลย”
คำพูดและน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจังของอัสดงทำให้สีทันดรเริ่มหวั่นพระทัย อัสดงคงทำตามที่พูดแน่ๆ และหากอัสสะพลาดพลั้งแพ้พี่ชายมาจะทำอย่างไร สาธุอย่าให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเลย
“เอาละ..เราอย่าคุยเรื่องที่ไม่สบายใจกันต่ออีกเลย ไว้ค่อยปรึกษาคุยกับไอ้พวกนั้นพร้อมๆหน้ากันวันพรุ่งนี้ดีกว่า นอนเสียเถิดคนดี”
“แล้วจะไม่เล่านิทานให้ฟังแล้วเหรอ” พระเนตรฟ้าครามใสแป๋วจับจ้องมาที่อัสดง พระสุรเสียงตรัสอ้อนมาบ้าง ดุจเยาว์ชันษายามรบเร้าต้องการสิ่งใด
“อ้าวไหนบอกว่าไม่ใช่เด็กแล้ว จะฟังทำไม อีกอย่างอัสสะขี้เกียจเล่าแล้วด้วย ให้อัสสะร้องเพลงกล่ออมให้ฟังก่อนนอนดีกว่านะ”
“ก็ได้ หากไม่เพราะอย่างคราวที่แล้วล่ะ น่าดู”
สิ้นรับสั่งอัสดงก็ขยับลูกคอมาเสียหนึ่งทีแล้วก็เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำร้องหวานซึ้งดังว่า
ล่องลอยเอ๋ย ...เจ้าล่องลอยเอ๋ย....จากบาดาล
นามสีทันดร ตระการ.....มาสู่อกพี่เอย
กลิ่นเจ้าจอมขวัญ ปักใจพี่มั่น ตรึงหมาย
กี่ชาติกี่ภพ ไม่มีคลอนคลาย
รักเจ้าไม่หน่ายไม่คลายจากกัน
แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า ขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุข สองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักเจ้านานนาน จวบจนรักนั้น นิรันดร์กาลเอย*
น้ำเสียงของอัสดงดุจมีมนตราสะกดทำให้เจ้านาคาน้อยนอนแน่นิ่งหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขน เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งจนยกลืมขึ้นแทบไม่ไหว พระหทัยตอนนี้ล่องลอยไปตามเสียงเพลงที่จากดังอยู่ข้างๆหูเมื่อแรกเริ่ม กลายเป็นดังอยู่ไกลแสนไกล แต่ก็ยังพอที่จะได้สดับรับฟังเอาบทสุดท้าย ที่ทำให้คืนนี้ทรงบรรทมได้พร้อมรอยยิ้ม
“พี่ขอรักเจ้านานนาน จวบจนรักนั้น นิรันดร์กาลเอย............สีทันดรจ๋า เรารักเจ้า รักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
ถ้อยคำที่สีทันดรอยากได้ยินถูกกล่าวออกมาแล้วในท้ายที่สุด แต่สีทันดรดันบรรทมอยู่ในห้วงนิทราไปเสียก่อน อัสดงเมื่อกล่าวออกมาก็ได้แต่นอนยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อเห็นว่าคนที่ก่ายกอดอยู่ในอ้อมแขนหลับ จึงหลับตาลงบ้าง สีทันดรยอดรัก ขอให้พรุ่งนี้ยังมีเราและเราอย่าให้ใครมาพรากเจ้ากลับบาดาลไปเลย เจ้าดื้อ เจ้าตัวร้ายของเรา
เช้าแล้วสายฝนยังคงไม่ซาเม็ด ยังตกหนักอยู่อย่างนั้น ทำให้บรรยากาศเช้านี้ขมุกขมัวแต่เย็นฉ่ำไปด้วยน้ำฝน เอราวัตเมื่อลุกขึ้นมาจากเตียงได้ก็รีบทำภารกิจส่วนตัว แล้วไปหยุดยืนรออยู่หน้าห้องของคืนฉาย หวังจะมาปลุกเพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าคืนฉายนี้นอนขี้เซาเสียยิ่งกระไร เขาเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พอดีกับจังหวะที่คันฉัตรเดินมาเห็นเข้า เอราวัตนั้นยังไม่รู้ความจริงว่าเพื่อนๆรู้กันหมดแล้วถึงเรื่องเมื่อคืน เขาจึงร้อนตัวกลัวว่าเพื่อนจะสงสัย จึงแสร้งกลบเกลื่อนทักเจ้าพระเสาร์แก้เก้อ
“อ้าว ไอ้ฉัตรมึงตื่นเช้าเหมือนกันนี่”
“เช้าห่าอะไร นี่จะแปดโมงแล้ว แล้วนี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ หรือว่าจะมาหาแฟน” คันฉัตรทำหน้าทะเล้นอย่างรู้ทันใส่เอราวัต ที่ยืนทำหน้าทำตามิถูกเพราะถูกจับได้ว่ามาทำอะไร
“ปะ เปล่า ก็แค่เดินมาดูว่าไอ้ฉายตื่นหรือยัง มันยิ่งนอนขี้เซาอยู่”
“เป็นห่วงกันจริง.....ไอ้ฉายมันตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว โน่นมันไปช่วยแม่มึงทำกับข้าวอยู่ในครัวกับไอ้กลดนู่น”
“อ้าวเหรอ มึงพูดจริงอ่ะ” มิน่าล่ะฝนฟ้าถึงได้ตกห่าใหญ่คนขี้เซาดันตื่นแต่เช้าแถมยังมาช่วยแม่ทำกับข้าวอีก
“กูจะไปโกหกทำไม ....ไม่เชื่อมึงก็ไปดูสิ แม่มึงปลื้มใหญ่สงสัยจะได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้ก็ไม่รู้” คันฉัตรตอบมาแล้วก็หัวเราะลั่น เพราะคุณแม่ของเอราวัตนั้นดูท่าจะปลื้มคืนฉายอยู่ไม่น้อยที่ขยันขันแข็งตื่นมาช่วยทำนั่นทำนี่แต่เช้า
“นี่กูจะมาปลุกไอ้อัสดงมันนี่เหมือนกัน ไม่รู้ตื่นหรือยัง เป็นพระอาทิตย์แท้ๆ เสือกนอนขี้เซา แทนที่จะตื่นมาฉายแสงแต่เช้ามืด”
ว่าแล้วทั้งสองก็เปิดประตูเข้าไปในห้องแต่ก็พบความว่างเปล่า บนเตียงไม่มีอัสดง “อ้าวแล้วอัสดงมันไปนอนที่ไหนกันนี่ มึงจัดห้องให้มันนอนกับไอ้ฉายไม่ใช่เหรอ”
“เออ ....นั่นสิ หรือว่ามันตื่นแล้ว”
“แต่กูยังไม่เห็นมันตั้งแต่เช้าเลย”
ทั้งสองต่างกำลังสงสัยว่าอัสดงไปนอนอยู่ไหน พอออกมาจากห้องนอนเท่านั้นแหละ ประตูห้องตรงข้ามที่ถูกจัดไว้เป็นห้องของสีทันดรก็เปิดออกและคนที่ก้าวออกมาคนแรกก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล อัสดงที่กำลังตามหาอยู่นั่นเอง ตามมาด้วยเจ้านาคาน้อย สีทันดรทำพระพักตร์ไม่ถูก อัสดงก็ได้แต่ยิ้มแก้เขิน
“ตายห่าเพื่อนๆเห็นหมดแล้ว”
“ฮั่นแน่!!!! ไอ้อัสดง ร้ายนักนะมึง แอบดอดมานอนในห้องนี้นี่เอง ท่าทางคงจะจัดหนักเลยสิท่าเล่นเอาตื่นสาย”
คันฉัตรกับเอราวัตช่วยกันกล่าวแซวทันทีที่เห็น อัสดงเดินออกมาจากห้องนอนของสีทันดร สภาพของเขาพึ่งตื่นก็จริงแต่บริเวณเป้ากางเกงนอนของเพื่อนชายนี้สิ ดูท่าจะตื่นมาตั้งนานแล้ว สีทันดรด้วยความเขินจึงเลี่ยงออกไป บอกว่าจะไปห้องพระไปดูนางนาคกับลูก ก่อนไปทรงถองอัสดงเบาๆมาหนึ่งทีตรัสด้วยสุรเสียงเขินอาย
“เห็นไหม ...เราบอกแล้วเดี๋ยวใครมาเห็น ทีนี้เข้าใจผิดกันหมดเลย”
เมื่อสีทันดรเสด็จลับตาไปแล้ว เอราวัตก็ยิงคำถามเป็นคนแรก “กี่ยกวะ”
“ไอ้บ้านอนกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร”
“กูไม่เชื่อ.....อย่าเลยมึง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มึงปล่อยให้หลุดไปได้ไง เขาน่าฟัดน่ากอดขนาดนั้น ไอ้ฟายเอ๊ย เป็นกูหน่อยไม่ได้” คันฉัตรกล่าวมาอย่างเสียดายแทนเพื่อน “กูจะจัดให้หายดื้อไปเลย”
“ไอ้ทะลึ่งกูจะทำก็ต่อเมื่อเขาพร้อม ไม่ใช่พวกมึงนี่ เอะอะ อะไรเป็นเรื่องอย่างว่าไปหมด แล้วนี่ไอ้ฉายกับไอ้กลดไปไหน”
“โน่นอยู่ในครัวนู่น นี่ถ้าไอ้กลดมันมาเห็น มันคงน้ำตาตกเป็นเผาเต่า”
คันฉัตรนึกเห็นใจเจ้าพระจันทร์ แต่เรื่องหัวใจใช่ว่าบังคับจะให้รักกันง่ายๆ ไม่ใช่แบบเอราวัตกับคืนฉาย ที่ช่วยจนเกือบจะสำเร็จแล้ว นั่นเพราะทั้งสองมีใจให้กันเป็นทุนเดิม แต่สำหรับสีทันดรจะช่วยให้มารักทรงกลดแล้วสมหวังกันคงยาก เพราะดูสายพระเนตรก็รู้ว่า มีแต่เจ้าพระอาทิตย์รูปงามนี่เท่านั้น
“มึงก็อย่าไปบอกไอ้กลดมันสิไอ้พระเสาร์ เห็นใจมัน ....แล้วนี่เมื่อคืนเห็นว่าจะนั่งสมาธิติดต่อหลวงตา เป็นไงได้เรื่องไหม?” เอราวัตถามขึ้นมองเพื่อนชายอย่างยิ้มๆ “หรือว่านายจะมัวแต่ขายขนมจีบ”
“ติดต่อไม่ได้เลยวะ เช้านี้ว่าจะลองใหม่...เดี๋ยวพวกเรามาคุยเป็นการเป็นงานกันดีกว่าว่าจะเอาไงกันต่อไปดี จะได้หมดเรื่องวุ่นๆเรื่องนี้เสียที ขอฉันอาบน้ำอาบท่าก่อน”
“เออ...เดี๋ยวเจอกันที่โต๊ะกินข้าวแล้วกัน ตามมาเร็วๆล่ะ อย่ามัวแต่ชักว่าว เอ๊ยชักช้าอยู่” คันฉัตรกล่าวปนหัวเราะเพราะเขากับเอราวัตสังเกตเห็นแล้วว่าอัสดงนั้นตื่นมาด้วยอาการพร้อมรบเพียงใด เอราวัตกล่าวเสริมมาอีกว่า
“เอาออกบ้างเสียก็ดีนะ ไอ้อัสดง ....ค้างๆคาๆไว้ ไม่ดีนะ ออกมาเดี๋ยวเป็นแบบเขื่อนแตกไม่รู้นะโว้ย”
“ไอ้ห่า กูไม่ใช่มึงกับไอ้ฉายนี่ ที่จะช่วยผลัดกันเอาออก อย่าคิดนะว่ากูไม่รู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงศาลาท่าน้ำบ้านไอ้กลด มีคนรายงานกูหมดแล้ว” อัสดงกัดพระพุธทิ้งท้ายเล่นเอาเจ้าพระพุธสะดุ้ง คันฉัตรได้ฟังก็ได้แต่หัวเราะกิ๊วก๊าวหันมาแซวพระพุธแทน
“มึงไปทำกันตอนไหนวะ....ทำไมกูไม่รู้ไม่เห็น มิน่าเล่า...ถึงได้แกล้งเป็นแฟนกันโคตรเหมือน ที่แท้ก็มีอะไรกันแล้วนี่เอง”
“บ้าเหรอ...อัสดงมันพูดไปอย่างนั้นแหละ มึงก็ไปเชื่อมัน ไปเหอะ ไปในครัว ดูเผื่อมีอะไรให้ช่วยบ้าง” เอราวัตทำหน้าทำตาไม่ถูก รีบตัดบทก่อนจะถูกแซวไปมากกว่านี้ แล้วจึงดันหลังพาคันฉัตรออกไปมุ่งหน้าสู่ห้องครัวให้เร็วที่สุด คันฉัตรเองนั้นก็ยังไม่วายถามเรื่องนั้นมาอีกระลอก
“ของใครใหญ่กว่ากันวะ มึงหรือไอ้ฉาย”
“ไอ้บ้า!!! ไม่รู้โว้ย รู้แต่ว่าแข็งจนพอฟาดหัวฟาดปากมึงแตกแล้วกัน หากยังไม่หยุดแซว ไอ้เวร”
ครั้นเมื่อเอราวัตกับคันฉัตรเมื่อเดินมาถึงห้องครัวก็พบว่าอาหารเช้าถูกเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย แม่ของเอราวัตพอเห็นหน้าเจ้าลูกชายตัวดีโผล่หน้าเข้ามาก็เรียกใช้ทันที
“อ้าวตาหนู มาก็ดีแล้ว ช่วยฉายกับกลดยกอาหารเช้าไปหน่อยสิลูก”
“โห แม่ทำไมเช้านี้ทำตั้งหลายอย่าง ของโปรดทั้งนั้นเลย” ของโปรดที่เอราวัตว่าคืออาหารฝรั่งหรือที่เรียกกันว่าเบรคฟาสท์ ทั้งแฮมทั้งเบคอนและไส้กรอกถูกอบและย่างรมควันมาอย่างดี แถมยังมีมันฝรั่งบด ไข่ดาว โถกาแฟเตรียมพร้อมและยังมีสิ่งที่เขาประหลาดใจไม่คิดว่าแม่จะทำให้เขาทานได้ เพราะหน้าตาอย่างกับถอดแบบมาจากเมนูร้านอาหารชั้นนำในกรุงเทพ นั่นก็คือสปาเกตตี้ครีมซอสเห็ดอีกโถเบ้อเร่อ
“แม่ครับ น่ากินมาก ของโปรดผมเลยนะเนี่ย แม่ไปเอาสูตรมาจากไหนเหมือนร้านในกรุงเทพเลย”
“โฮ๊ยยย ลำพังแม่จะไปทำอะไรได้ ...โน่น ฉายนู่น เขาอุตส่าห์ทำให้เห็นว่าหนูชอบ ตาหนูก็รู้ว่าแม่ไม่ถนัดอาหารฝรั่งแม่ทำเป็นแต่อาหารไทย เช้านี่ แม่ดูแต่ของเช้าให้คุณยายกับคุณพ่ออย่างเดียว นอกนั้นฉายกับกลดทำให้หมด”
“จริงเหรอแม่ ไอ้กลดน่ะพอเชื่อเพราะเคยชิมฝีมือ แต่ไอ้ฉายเนี่ยนะ มันจะทำเป็น”
เอราวัตทำหน้าแปลกใจเพราะไม่เชื่อว่าคนอย่างคืนฉายจะทำได้ ตอนอยู่ที่บ้านของทรงกลด คืนฉายเคยทำอะไรให้กินเสียที่ไหน แถมยังนอนตื่นสายเป็นประจำ แต่วันนี้ดันตื่นเช้า สงสัยคงจะกระวนกระวาย อยากเอาคำตอบ
“อ้าวเฮ้ย ดูถูกกันนี่หว่า ....งั้นอย่ากินมันเลย เอามานี่” จู่ๆเจ้าพ่อครัวนามว่าคืนฉายก็เดินออกมาจากหลังครัวแย่งโถสปาเกตตี้ไปจากมือของเอราวัตแล้วทำเดินหน้าตาเฉยเหมือจะยกเททิ้ง “ไอ้บ้าอุตส่าห์ทำให้ ยังจะมาดูถูกกันอีก”
“กูพูดเล่น เอามานี่ไอ้ห่า ทำเป็นน้อยใจไปได้” เอราวัตแย่งโถเจ้ากรรมคืนไปจากมือของคืนฉาย คนอะไรว่านิดว่าหน่อยทำเป็นน้อยใจ เหอะไม่สนใจหรอก แต่ด้วยความน่ากินและกลิ่นหอมฟุ้งมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วหยิบบางส่วนเข้ามาใส่ปาก
“ก็ใช้ได้ ดีกว่ากินมาม่า”
“เอ๊ะ ตาหนูนี่อย่ามาใช้นิ้วหยิบกินอย่างนี้ ไปไป๊ ยกไปกินข้างนอกนู่น” คุณแม่ตีแขนลูกชายทันทีที่เห็นว่าทำกริยาไม่งาม แถมยังพูดไม่เพราะด้วย
“แล้วพูดกับเพื่อนน่ะพูดกับเขาให้เพราะๆหน่อย กูๆมึงๆไปเอามาจากไหน ดูอย่างฉายสิเขาพูดออกจะเพราะ”
สงสัยคืนฉายคงจะแอบดอดมาทำคะแนนไว้ เพราะแม่เขาขณะนี้ดูจะชื่นชมคืนฉายมาเสียหมด เอราวัตคงกลายเป็นหมาหัวเน่า แม่คงจะมีลูกชายคนใหม่อีกคน แต่ลูกชายคนใหม่คนนี้ อยากเป็นแค่ลูกชายเท่านั้นเองเหรอ