บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก)
จันทร์เอ๋ยเคยสว่าง ...... ไยจางแสงฤาจันทร์แกล้ง เย้าว่าเราอก หมองไหม้
ฤาลมเจ้าเอ๋ย เคยโชยชื่น....รื่นหัวใจ
เป็นอะไรจึงสงัดไม่พัดเลย
ดาวเอ๋ยดาว.....พราวพร่างไกล เห็นไหวระยิบ
ดาวกระพริบ ต่างเยาะเรา ฤาดาวเอ๋ย
จักจั่น สนั่นเพรียก.....เรียกคู่เชย
ราวจะเย้ย ว่าเราไม่........... “มีใครปอง”
“เรามีดีอะไร สู้ไอ้พระอาทิตย์มันไม่ได้” อณูน้อยแห่งจันทรเทพเปรยกับตนเอง หลังจากอัดควันบุหรี่แน่น โพยพ่นออกมาอย่างช้าๆ ควันสีขาวลอยอวลไปตามลม เบื้องบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ต้นกำเนิดแห่งเขาสีนวลกระจ่างใส กลับซีด ประดุจหัวใจเขายามนี้
‘เจ้านาคน้อย’ หรือน้องดื้อที่เคยเรียก คือเหตุแห่งอารมณ์ขุ่นมัวทั้งปวง ยามที่ได้ประสบพบพักตร์ครั้งแรก หัวใจเขาก็บอกกับตนเองไว้แล้วว่า ‘คนนี้แหละใช่’ พระเนตรฟ้าครามใส ทีท่าดื้อรั้น ทำให้หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ยามนั้น อัสดงทำเจ้านาคน้อยร้องไห้และเขาเองก็คือผู้เช็ดน้ำตา แต่ใยเจ้านาคน้อยมิเห็นคุณค่า เขาเองเป็นถึงอณูแห่งจันทรเทพ เทวะผู้ทรงเป็นประธานยามราตรี ศักดิ์และศรี เทียมเท่าพระสุริยาทิตย์ หรือเขาจะรุกหน้าช้าไป รู้อย่างงี้จัดการเสียตั้งนานก็ดี
ขนตาหนางามงอนราวอิสตรี เริ่มมีหยาดน้ำใสๆ เกาะพราว แลยามกระพริบคราใด หยาดน้ำตานั้นก็หล่นลงกระทบแขน พระสุรเสียงที่กังวานก้องยังคงดังสลับซ้ำไปมาในโสต ‘หม่อมฉันรักอัสดง’ อีกซ้ำทีท่าที่โผเข้าหากัน ทำให้หัวใจแตกเป็นเสี่ยง .....สงครามหัวใจ เขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น
อณูแห่งจันทรเทพเริ่มรู้ หากแต่ไม่ยอมรับ
“มานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวตรงนี้แล้วจะได้อะไร ไอ้น้องชาย”
เสียงนุ่มเสนาะดังขึ้นทางด้านหลังพร้อมๆกับบุรุษผู้หนึ่ง ผู้มีรัศมีเหลืองนวลรายล้อมรอบกรอบโครงร่าง ใบหน้าดุจหล่อมาจากพิมพ์เดียวกันกับทรงกลดที่นั่งอยู่ก่อน ลักษณะท่วงท่าดุจฝาแฝด หากแต่บุรุษผู้นั้นอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรณ์ งามพร้อม ต่างกับทรงกลดที่คงอยู่ในสภาวะมนุษย์วัยสิบแปดต้นๆ
ทรงกลดหันขวับแล้วกราบลงกับพื้นทันใด “จันทรเทพ”
“ทรงกลด เจ้าน้องชาย เจ้าผู้เป็นอณูแห่งเรา เจ้าจะยอมแพ้เอาง่ายๆแค่นี้กระนั้นหรือ อณูแห่งจันทรเทพนั้นต้องไม่อ่อนแอ”
“แต่หม่อมฉันคงสู้อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไม่ได้ และอีกอย่าง น้องดื้อก็บอกมาแล้วว่ารักมัน”
“เจ้าเลยยอมแพ้.....เหอะ ไม่มีสิ่งใดที่เราปรารถนา แล้วจะไม่ได้ อณูของเราก็ต้องคิดอย่างนั้นเช่นกัน” แน่นอนแหละ ทรงมีชายาตั้งหลายนางและหนึ่งในนั้นก็ทรงไปแย่งมาจากพระพฤหัส และก็แย่งสำเร็จเสียด้วย
“แล้วจะให้หม่อมฉันทำยังไง ไอ้พระอาทิตย์มันหล่อแถมน้องดื้อก็มีใจ” ทรงกลดทูลถามพลางเช็ดน้ำตาให้เหือดหาย ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในหน้าตาของตน เพราะเขาเองนั้นที่ผ่านมาใครได้เห็นก็ต้องมองเหลียวหลังทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สาวน้อยใหญ่หรือกระทั่งผู้ชายด้วยกัน เขามั่นใจว่าเพียงแค่เขาขยิบตาให้ คนพวกนั้น ก็พร้อมจะเดินตามมาเป็นแม่นมั่น แต่ที่ทำให้ท้อแท้คือน้องดื้อ ‘มีใจให้อัสดง’ นั่นเอง
“เราเองก็หล่อไม่แพ้ใคร....เทพธิดาหลายนางต่างเสนอตัวเข้ามาเป็นชายาไม่เว้นวัน เจ้าถอดแบบเรามาทั้งดุ้น ทำไมไม่มั่นใจในตนเอง ...เอาละเรามานี่ก็เพื่อจะช่วยทำให้เจ้าสมหวัง เห็นอณูของเราเศร้า เราก็ไม่อยากดูดาย”
ทรงกลดแปรเปลี่ยนจากสีหน้าเศร้า แช่มชื่นได้โดยพลัน “จริงหรือพะยะค่ะ”
“หลอกเล่นมั้ง.....เอ๊าเจ้าเอาสิ่งนี้ไปมอบให้เจ้านาคน้อยของเจ้า รับรอง ต่อไปจะเป็นทีของเจ้าบ้าง”
จันทรเทพทรงแบพระหัตถ์แล้วก็บังเกิดประกายระยิบระยับดุจแสงดาว พราวพร่าง รัศมีพร่างพรายนั้นครั้นพอสลายก็กลายเป็นมาลัยดอกมะลิที่ดูเผินๆ เหมือมะลิธรรมดา หากแต่พอพิจารณาให้ชัดทุกดอกที่นำมาร้อยเรียง ประดับประดาด้วยประกายเพชร สอดแซมด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเจือชมพูด้วยรัตนชาติเป็นลวดลายงดงามยิ่ง ส่วนปลายเป็นอุบะดอกรัก พลิ้วไสว ซ่อนความนัยได้แยบยล ว่า ‘รักเจ้า’
“มาลัยจากดอกไม้สวรรค์ รีบเอาไปให้เขาไป๊ เดี๋ยวจะไม่ทันการ ไปตอนนี้แหละ”
ทรงกลดรับพวงมาลัยที่หอมกรุ่นนั้นมาแล้วกราบลงเพื่อขอบพระทัย ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมา จันทรเทพก็ไม่อยู่เสียแล้ว เขาไม่รอช้ารีบมุ่งหน้าไปห้องพระบรรทมทันที ก่อนจะไม่ทันการอย่างที่ทรงตรัส ในใจพลันสงสัย ฤาอัสดง จะเผด็จศึกน้องดื้อเป็นแน่แท้ ถึงได้ให้รีบไปนัก........ไม่มีทาง ตนจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นแน่นอน
ภายในห้องพระบรรทม เจ้านาคน้อยยังคงตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงแนบแน่น ร่างกายของทั้งสองยังคงแช่อยู่ในถังน้ำใบใหญ่ อัสดงยังระดมจูบไปทั่วทุกสัดส่วนของพระวรกายที่โผล่พ้นน้ำ เท่าที่จะมีพื้นที่ให้จูบได้ สีทันดรนั้น สั่นสะท้านไปทั่วเสียงกระซิบหวานแผ่วเบาพร้อมๆกับลมหายใจกระเส่าเร่าร้อนผ่านเข้าพระกรรณอีกครา
“เป็นของอัสสะเถิดนะ..... คนดี”
สีทันดรหลับพระเนตรพริ้ม นี่คงจะถึงวาระแล้วใช่ไหม ที่จะยอม ตกเป็นของอัสดง หลังจากที่เขาเพียรขอมาหลายครั้งหลายครา ในพระทัยกำลังว้าวุ่น เพราะอนุสติเริ่มสอดแทรกเข้ามาว่า “อย่าเพิ่งเลย ไม่งาม” แต่อัสดงก็ไม่รอคำตอบ ใช้วงแขนแข็งแรงโอบอุ้มพระวรกายขึ้นมาจากถังไม้ที่ลงไปแช่กันอยู่ ถึงเจ้าจะไม่พร้อม แต่เรานั้น พร้อมแล้ว “ไอ้ดื้อของพี่ ไปที่เตียงกันดีกว่า”
สีทันดรเสมือนถูกมนตร์สวาทสะกด ถูกเขาอุ้มขึ้นจากน้ำ พระวรกายเปล่าเปลือยเริ่มสั่นสะท้าน จากลมเย็นๆที่ผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง แต่ก็ไม่เท่าสายลมสวาท ที่พัดโชยอบอวลในห้องพระบรรทม พระเนตรฟ้าครามที่หลับพริ้มเริ่มเผยอขึ้น ทำให้ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า พระวรกายถูกหนุ่มน้อยรูปงามนามอัสดงตรึงแน่นไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว ตัวอัสดงเองก็เปล่าเปลือยเช่นกัน และเขาคนนี้นั้นก็พร้อมรบเสียแล้วด้วย ....อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ ตนเองคงจะโดนอาวุธแห่งสุริยเทพ ซัดเข้าใส่เป็นแน่แท้
อาวุธที่คาดว่าจะร้ายแรงยิ่งกว่าคมจักรที่เขาเคยใช้ แม้จะไม่ทำให้พระวรกายขาดเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็แข็งแกร่งและน่าจะทำให้เจ็บได้พอดู
ทันทีที่พระปฤษฎางค์ สัมผัสเตียงขาวสะอาด พระสติก็ฟื้นคืนมาในบัดดล พระกรน้อยรีบยันอกกำยำไว้ ก่อนจะทาบทับลงมา “เดี๋ยวก่อน อัสสะ......อย่าเพิ่งเลย เรากลัว”
“กลัวอะไร....”
“ก็เรายังไม่เคย”
“อัสสะก็ยังไม่เคยเหมือนกัน.....เจ้าเป็นคนแรก และจะเป็นคนเดียว” อัสดงกล่าวตอบแล้วทาบทับลงมา พระกรน้อยฤาจะทานแรงนั้นไหว อัสดงเริ่มดำเนินการรบตามยุทธสวาทวิธีที่คืนฉายเคยถ่ายทอด เจ้านาคน้อยทรงบิดพระวรกายเร่า พยายามดันร่างชายผู้ที่เป็นที่รักออกอีกครั้ง
“อัสสะ อย่าเพิ่งเลยนะ เรายังไม่พร้อมจริงๆ” สุรเสียงน้อยๆทรงวิงวอน
“สีทันดร ไม่รักอัสสะแล้วหรือ” ยามที่อัสดงจะอ้อนทีไร จะไม่เรียกยอดรักว่าไอ้ดื้อ แต่จะกล่าวพระนามสีทันดรได้หวานเสียยิ่งกว่าหวาน “ไหนวันนี้ใครบอกว่ารักอัสสะ”
“แต่อัสสะก็ไม่เคยบอกว่ารักเรา ....แล้วอัสสะมาทำอย่างนี้ เราก็มัวหมอง” ทีท่าที่เคยซุกซนจางหาย พระสุรเสียงเขินอาย อัสดงหัวเราะน้อยๆในทีท่านั้น ‘ไอ้ดื้อ’ ของเขาเวลาเขินอาย ทำอย่างกับตนเองเป็นดรุณี
“ก็กำลังจะบอกคืนนี้ นี่ไง ถ้าอัสสะไม่รักใคร อัสสะจะไม่มาตอแยและมาทำแบบนี้หรอก สีทันดรจ๋า.....เจ้ารู้ไหมว่า วันแรกที่เราเจอกัน ในห้องนอนที่บ้านไอ้กลด อัสสะจำได้ว่าวันนั้น เจ้ามาแอบดู และอัสสะก็แกล้งหลับ” อัสดงหยุดรบชั่วขณะเบี่ยงตัวนอนข้างๆ แต่ก็ยังกอดสีทันดรไม่ยอมปล่อย
“คนเจ้าเล่ห์” สีทันดรทรงจำได้เพราะวันนั้น ทรงโดนจูบแรกจากเขาคนนี้
“ทันที่ที่อัสสะลืมตาขึ้น มันก็ยังเหมือนว่าอัสสะอยู่ในฝัน ที่มีใครก็ไม่รู้ตาฟ้าๆ มาชะโงกหน้ามอง เลยห้ามใจไม่อยู่เผลอใจไปกอดเข้า ....ความรู้สึกของอัสสะตอนนั้นบอกว่าใช่เลย เจ้านี่แหละคือคนที่อัสสะรอคอย และก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นตอนที่เราขี่อุจไฉยศรพไปหิมพานต์ด้วยกัน”
“อัสสะฉวยโอกาส” สีทันดรทรงจำได้อีกเพราะโดนเขากอดตลอดทาง ทั้งขาไปและขากลับ
“อยากบอกว่ารักเสียตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่กลัวจะเร็วไป หากวันนี้อัสสะพร้อมแล้ว ที่จะบอกคนดีของอัสสะว่า อัสสะรักเจ้าอย่างที่สุด รักยิ่งกว่าชีวิตของอัสสะเอง ”
“อัสสะพูดเพื่อที่จะให้เรายอมเป็นของอัสสะใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ....สีทันดรเจ้ารู้ไหมว่า ชื่อเจ้าพยางค์ท้าย มันพ้องเสียงกับคำภาษาอังกฤษที่เรียกว่าดอว์น แปลว่ารุ่งอรุณ และในทุกๆรุ่งอรุณนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อถูกฉายแสงด้วยพระอาทิตย์ แค่ภาษาก็พ้องกันแล้ว ใยอัสสะจะไม่คู่กับเจ้าและรักเจ้าจริง หากเจ้ายังไม่มั่นใจ อัสสะขอสาบานต่อมหาลักษมีเทวี เลยก็ได้ว่า อัสสะจะรักและดูแลเจ้าให้อย่างดีที่สุด ให้สมกับเป็นรุ่งอรุณเดียวในชีวิตของอัสสะ ด้วยเกียรติยศแห่งสุริยาทิตย์”
“ขี้ตู่ โมเม ไม่มีใครเกิน”
สีทันดรแม้จะไม่ทรงรู้ว่าภาษาอังกฤษที่อัสสะยกมากล่าวอ้างเป็นอย่างไร แต่ทิพยอำนาจก็ทำให้ทรงรู้ได้โดยพลันว่าเขาคนนี้พูดจริง ความรู้สึกบางอย่างวาบวับจับพระหทัยทันที พระอารมณ์โหยหา ต้องการผลุดขึ้นมาเป็นลำดับ พระเศียรน้อยๆจึงซบเข้าไปบนต้นแขน กอดอัสดงแนบแน่น แล้วพระหัตถ์น้อยพลันเลื่อนลงมาสัมผัสอาวุธชนิดแปลกที่ไม่มีปลายแหลม พระหัตถ์นั้นสั่นพร่ายามแตะต้อง เพราะมิทรงเคย ครั้นพอได้สัมผัส ก็ทรงเริ่มกำเอาไว้ในอุ้งหัตถ์แน่น และสัญญาณนี้เองอัสดงจึงรู้ว่าสีทันดรทรงพร้อมแล้ว อัสดงไม่รอช้า ดำเนินการบต่อและพร้อมจัดการเจ้านาคน้อยด้วยอาวุธที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แม้จะใช้อาวุธชนิดนี้แสดงฤทธิ์เป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยซ้อมด้วยมือมานาน แต่ครั้งนี้ได้ใช้จริงๆ แล้วเขาก็จะพยายามบรรจงใช้ให้ได้อย่างดีเยี่ยม ให้สมกับที่รอคอยมาช้านาน
“รอก่อน สีทันดรอย่าเพิ่งเป็นของมัน” ทรงกลดแทบจะเหิรลอยมาสู่หน้าห้องพระบรรทม ‘มาลัยจากดอกไม้สวรรค์’ จำต้องยื่นให้ถึงหัตถ์ดั่งบัญชา พอมาถึงก็เห็นบานพระทวารถูกปิดสนิทแน่น ครั้นพอจะเอื้อมมือไปเคาะเรียกเจ้าของห้อง ก็พลันบังเกิดแรงซัดประหลาดจนเขาเซถลา
“ไอ้อัสดง มันกั้นม่านอาคมไว้ในห้องนี้”
อัสดงไม่ใช่คนโง่ เขาเตรียมพร้อมไว้แล้วก่อนเข้ามากั้นม่านอาคมไว้ กันผู้มารบกวน และก็เป็นดังคาด ผู้มารบกวนยืนหน้าแดงด้วยความโมโห ที่เสียรู้และมาช้า ทรงกลดหรือผู้มารบกวนในขณะนี้จึงใช้อำนาจแห่งจันทรเทพสลายม่านอาคมนั้น ปากก็ตะโกนเรียกเจ้าของห้อง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงอึงอลสวาทซ่านได้ยินโดยทิพยจักษุ เร่งเร้าให้ใจตนเองเร่าร้อนดั่งโดนไฟเผาไหม้ ด้วยจิตที่แรงกล้าม่านอาคมม่านแรกถูกทำลาย หากแต่ยังมีม่านที่สอง คือจักรเพลิงกางกั้นประตูไว้ และเขาก็ไม่สามารถทลายลงไปได้ เงาทับซ้อนบางเงา ทาบทับลงกับร่างของเขาแล้วพลันอำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้น รัศมีสีนวลหากรุนแรงเริ่มขยายวงกว้างซัดสู้จักรเพลิงหน้าประตู เปลวไฟเริ่มพลันสลาย แต่จู่ๆ ก็กลับจ้าขึ้นมาใหม่พร้อมกับดวงหน้าที่ถอดแบบมาจากอัสดง อยู่ตรงวงกลางจักร ใบหน้านั้นดุจหล่อมาจากเทวรูปชั้นดี หากแต่กราดเกรี้ยว
“จันทรเทพ เจ้ามันขี้โกง เจ้าคิดจะใช้มายาทำเสน่ห์ด้วยมาลัยสวรรค์ แย่งคู่ของอณูแห่งเราเหรอ”
“เจ้ามันก็เจ้าเล่ห์ สุริยาทิตย์ แอบไปขอพรพระมหาลักษมีเทวีไว้ เหอะเราไม่มีทางยอมให้อณูเราเจ็บปวดเราจะทำทุกทางให้อณูเราสมหวัง” ทรงกลดมั่นใจว่าเขาไม่ได้กล่าวตอบ หากแต่เสียงเจรจาที่กล่าวโต้ตอบนั้น มันดังมาจากกลางอก ฤาจะเป็นเงาทับซ้อนที่เข้ามาทับทาบเจรจาตอบ ‘สุริยเทพและจันทรเทพ’ ได้เผชิญหน้ากันแล้ว
“หากเจ้ากล้าฝ่าเข้ามาก็ลองดู” ดวงหน้ากลางจักรเพลิงกล่าวขู่ ทรงกลดบังคับร่างตนเองมิได้ อีกแล้ว เทวฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ซัดเข้าใส่อีกคำรบพร้อมๆกับเปลวเพลิงหน้าบานประตูที่ต่างก็โต้ตอบซัดกระหน่ำ
เพียงแค่บานประตูไม้กั้น “การรบ” แบ่งเป็นสองแบบ หน้าบานประตูคือการรบพุ่งหมายเอาชนะเป็นการรบจริงๆ หากแต่หลังบานประตู คือการรบด้วย ยุทธสวาท ที่อัสดงเพิ่งลงสนามครั้งแรก และเขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม สัญชาติญาณบ่งบอกว่าต้องรบอย่างไร ตำราพิชัยสงครามหรือถ้าจะให้ถูก ‘พิชัยสวาท’ ที่คืนฉายเคยปาถกถาให้ฟังอยู่บ่อยๆถูกพลิกแพลงดัดแปลง จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
“ ว่าพลางอุ้มองค์เจ้านาคไว้
ขึ้นไว้เหนือตักสะพักห่ม
อิงแอบแนบชิดเชยพักตร์
แรกรักร่วมห้องสองสม
กรสอดกอดเกี่ยวเกลียวกลม
ประคองเคียงบรรทมประทับกาย
อัศจรรย์บันดาลไหวหวาด
อัสนีกัมปนาทคะนองสาย
เปรี้ยงเปรี้ยง เสียงสนั่นลั่นแลบพราย
พระพิรุณโปรยปรายอายละออง
ผกาแก้วโกสุมปทุมมาลย์
ก็เบ่งบานรับแสงสูรย์ส่อง
แมลงภู่ผึ้งภุมรินทอง
ร่อนร้องเชยรสเจ้านาคี...”
พระหัตถ์น้อยจับแผ่นหลังเปล่าเปลือยของอัสดงไว้มั่น ยามที่อัสดงกระตุกร่างทั้งร่างเป็นครั้งสุดท้าย เสียงร้องสอดประสานดังทะลุประตูไม้ ริมฝีปากของอัสดงไล่เลื่อนลงมาบดขยี้อยู่บนริมโอษฐ์แดงสดก่อนจะซบหน้าลงไปบนซอกพระศอ เสียงกระซิบแหบพร่า ไล่ลอดเข้าสู่พระกรรณ
“ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว”
“ถึงกับยอมตายเลยเหรอ”
สีทันดรเองก็กระซิบตอบ พระพักตร์งามซบลงกับซอกคอของอัสดงเช่นกัน แล้วอัสดงก็พลิกกายที่โทรมไปด้วยเหงื่อลงนอนข้างๆจับพระวรกายสีทันดรขึ้นมาอยู่บนด้านบน เขายิ้มมุมปากจนเห็นเขี้ยว หน้าแดงจนถึงใบหูกล่าวกับเจ้านาคน้อยด้วยประโยคที่คนฟังก็ต้องเขินอายจนแทบจะม้วนลงไปกับเตียง “สีทันดรยอดรัก ลองขี่ม้า แบบขี่อุจไฉยศรพดูไหม ....ขออีกครั้งนึงนะ คนดี!!!”
“บ้า!!”
แม้จะทรงกล่าวบอกปัดไปอย่างนั้น แต่การรบภายในห้องเริ่มต้นอีกครั้งมาจนได้ หากภายนอกขณะนี้นั้น ยามที่เสียงสอดประสานดังขึ้นถึงขีดสุด จันทรเทพก็กระเด็นผงะออกมา คราวนี้เองเป็นเสียงของทรงกลดร้องลั่น
“ไม่จริง ....น้องดื้อต้องไม่เป็นของอัสดง”
เงาทับซ้อนกระเด็นออกเช่นกัน มาลัยสวรรค์พลันสลายและเหี่ยวเฉา แถมยังถูกเปลวเพลิงเผาจนมอดไหม้ จัทรเทพเสด็จกลับทันใด แต่ก่อนไป ก็กล่าวกับทรงกลดว่า “ไอ้น้องชาย เราจะหาทางช่วยเจ้าให้สมหวังเอง....”
“เราจะคอยดูจันทรเทพ ว่าเจ้าจะช่วยอณูเจ้าอย่างไร แต่บอกไว้ก่อนหากเจ้าเล่นไม่ซื่ออีก เราก็จะช่วยอณูของเราแบบนี้เช่นกัน” พระสุริยาทิตย์ทรงกล่าวขึ้นแล้วเสด็จกลับไปเฉกพระจันทรเทพ บริเวณหน้าประตูห้องจึงเหลือแต่ทรงกลดที่ค่อยๆยันกายอันปวดร้าวขึ้นมา ขนตาหนาๆเป็นแพราวอิสตรีกระพริบหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็เจือไปด้วยหยาดน้ำตาที่เริ่มพรั่งพรู
“สักวันเจ้าจะต้องมาอยู่ในห้องกับพี่บ้าง สีทันดร!!”
บรรยากาศยามเช้าหลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น ช่างสดใสเสมือนฟ้าหลังฝนและฝนที่เคยโหมกระหน่ำก็ซาลงแล้วจริงๆ ณ ยามนี้ฟ้าจึงสว่างสดใส สุริยเทพจึงสามารถทอแสงประกาย มายังพื้นพิภพ ขับไล่ความมืดมนและบรรยากาศที่ขมุกขมัวได้อย่างหมดสิ้น เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว โผผินบินตามกิ่งไม้และคาคบไม้ใหญ่ดุจเสียงดนตรีเสนาะที่เข้ามาปลุกพระบรรทมเจ้านาคาน้อย ทันทีที่ลืมพระเนตรฟ้าครามใสขึ้นก็พบว่าข้างๆพระวรกายว่างเปล่า ไออุ่นๆจากคนที่กอดตนแน่นเมื่อคืนจางห่างหายไปจากฟูกที่แสนนิ่ม แสดงว่าเขาคนนั้นลุกไปนานเสียแล้ว
สีทันดรรีบเช็ดพระพักตร์ชำระพระวรกาย แล้วเสด็จออกสู่ด้านนอก มุ่งตรงมายังนอกชานตามหาเจ้าของพระวรกายและพระทัยแห่งตน และก็เป็นดั่งทรงคาด คนที่ลุกมาเสียแต่เช้านั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่กับผองเพื่อน รอยยิ้มสดใสจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มแสดงว่าวันนี้เขาคนนั้นอารมณ์ดี แน่ล่ะจะไม่ดีได้อย่างไรเล่า เพราะสิ่งที่เขาเคยมุ่งมาดปรารถนาอยากจะได้ เขาก็ได้ไปจนครบ มิน่าละ พระอาทิตย์วันนี้ช่างสดใสและทอแสงได้อบอุ่นยิ่งนัก และจะเป็นไปได้ไหม ที่พระอาทิตย์จะทอแสงอบอุ่นไปอย่างนี้ทุกวัน
“ตื่นแล้วเหรอ...มานั่งด้วยกันสิ” อัสดงหรือเจ้าบ่าวหมาดๆร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่ายอดดวงใจเสด็จมาแต่ไกล แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามารับ มือใหญ่ๆของเขารีบกุมพระหัตถ์น้อยแน่น ผองเพื่อนที่เห็นต่างก็อมยิ้มในที ร้องแซวลั่น เสมือนรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น กระแสจิตหลากหลายกระแสถูกส่งหากันทันใด รวดเร็วยิ่งกว่าคลื่นระบบโทรศัพท์มือถือเสียอีก
“มึงว่ากี่ยก” คืนฉายเป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาลับๆ หรือถ้าจะเรียกให้ตรงกับภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ จะเรียกว่าแชทก็ได้
“กูว่าหลายอยู่ อัสดงมันคงจัดหนัก เล่นเอาน้องดื้อตื่นสายเลย”
คันฉัตรโต้ตอบได้รวดเร็วยิ่งกว่าใช้นิ้วจิ้มลงบนโทรศัพท์แบบหน้าจอสัมผัส พร้อมๆกับส่งภาพในจินตนาการมาให้ ชัดเจนยิ่งกว่าอัพโหลดขึ้นบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เล่นเอาเอราวัต คืนฉายและราหูที่รับกระแสจิตพร้อมภาพนั้นได้ต่างก็พากันหัวเราะร่วน
สีทันดรที่เดินมาถึงเห็นพวกเทพน้อยๆต่างพากันหัวเราะก็สะดุดพระทัย ‘ไอ้เทพบ้าพวกนี้หัวเราะอะไรกัน’ แต่ตนก็ยังสงวนท่าทีไว้ ฤาเทพทะลึ่งพวกนี้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเมื่อคืน อัสดงเองก็เหมือนรู้นัยแห่งการหัวเราะซ่อนยิ้มนั้น ก็ได้แต่กล่าวแก้เขินไปว่า
“พวกมึงอย่าปากหมา เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวโดนเตะ”
“คร้าบบบบบบบบ ผมกลัวแล้วครับพี่อัสดง บอกแล้ว.....นานๆใช้ทีก็เขื่อนแตกแบบนี้แหละ” เอราวัตรับคำพร้อมๆกับแสดงหน้าตาทะเล้น สีทันดรด้วยความหมั่นไส้ จึงซัดไปเสียหนึ่งที แล้วรีบเปลี่ยนบทสนทนาไปอีกเรื่องเสีย
“ทำไมไม่มีใครไปปลุกเราเลย....เห็นไหมเราเลยตื่นสาย”
“ก็อยากให้นอนพัก...เห็นเมื่อคืนบ่นว่าเหนื่อย” อัสดงตอบแทนเพื่อนๆ เพราะรู้ดีว่า ยอดรักของเขานั้นบ่นว่าเหนื่อยเมื่อเขาขอต่อเป็นครั้งที่สาม แต่เขานั้นไม่เหนื่อยเลยสักนิดเดียวทั้งๆที่เขาเป็นผู้เผด็จศึก แล้วเจ้าคืนฉายตัวดี ก็ถามทะลุกลางปล้องมาว่า
“แล้วทำอะไรกันถึงได้เหนื่อย เมื่อคืนนายไม่ได้กลับมานอนที่ห้องนี่ใช่ไหมอัสดง หรือว่าพี่อัสสะของน้องดื้อชวนทำอะไรที่พิสดาร ไหนลองเล่าให้พวกพี่ฟังสิ”
สีทันดรพระพักตร์แดงแป๊ดยิ่งกว่าลูกตำลึงตอบอะไรไม่ถูก เพราะทรงรู้นัยแห่งคำถาม และเมื่อคว้าเบาะรองนั่งได้ก็ขว้างใส่เจ้าพระศุกร์จอมทะเล้น “พี่ฉายลามกอีกแล้ว....ไม่คุยด้วยแล้ว ไปหาคุณยายของพี่ดีกว่า”
สีทันดรวิ่งออกไปด้วยความเขิน เทพพวกนี้ต้องรู้แล้วแน่ๆเลย ว่าเมื่อคืนตนได้ตกเป็นของอัสดงอย่างสมบูรณ์แบบ อัสดงเองก็เริ่มเขินเหมือนกัน เพราะตนก็ถูกเพื่อนๆแซวแต่เช้า ทันทีที่เจอหน้า พวกนั้นต่างก็ถามกันเซ็งแซ่ และก็เริ่มแซวอีกระลอกเมื่อสีทันดรออกมาจากห้องบรรทม แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟังแม้จะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม ปล่อยให้พวกนั้นคาดเดาและสงสัยและแซวไปอย่างนี้แหละดีแล้ว พอมันเหนื่อยก็หยุดเห่ากันไปเอง
“แหมๆ น้องดื้อกลับมาคุยกันก่อน....แค่นี้ก็ต้องเขินกันด้วย”
“มึงพอได้แล้วไอ้ห่าฉาย.....ถ้ามึงไม่หยุดเดี๋ยวกูจะประเคนส้นตีนให้ เมียกูเขาเขินหมดแล้ว” อัสดงหลุดปากออกไปโดยไม่ตั้งใจ เรียกเสียงวี้ดวิ้วดังลั่นได้จากเพื่อนๆทั้งกลุ่ม
“ฮั่นแน่ ยอมรับออกมาแล้ว ไอ้พระอาทิตย์ปากแข็ง ..... ไหนๆลองสาธยายสิว่า เป็นไงบ้าง”
“ไอ้บ้า กูไม่เล่าหรอก ใครเขาเล่ากัน ....แล้วถ้ากูลองถามว่า มึงสองคนกี่ยกเมื่อคืน มึงจะตอบกูไหม ไอ้ห่าฉาย ไอ้เวรพระพุธ” คราวนี้ความสนใจของทั้งกลุ่ม เบนมาอยู่ที่พระพุธกับพระศุกร์ อัสดงก็แค่ถามเบี่ยงประเด็นไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อคืนเอราวัตกับคืนฉายดันทำกันจริงๆ และคนจอมทะเล้นอย่างพระศุกร์มีเหรอจะเขิน จึงตอบด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “สองยก”
“ไอ้บ้ายกเดียว....เอ๊ะ แล้วอีกยก นายไปได้กับใคร” เอราวัตหันขวับทันที เอาแล้วงานเข้าคืนฉายเข้าแล้วไง คืนฉายยิ้มแหะๆ ตอบอ้อมๆแอ้ม แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ดังลั่น
“เปล่านะ ....พอดีฉายนับยกที่ใช้มือผลัดกันด้วยอ่ะ”
เสียงหัวเราะยังคงดังลั่นไล่หลัง สีทันดรยังทรงนึกว่าตนเป็นหัวข้อบทสนทนา จึงทรงวิ่งหลุนๆ โดยมิได้มองทางแล้วจึงทรงชนเข้ากับใครบางคน ที่เดินสวนมาพอดี คนๆนั้นก็เลยถือโอกาสกอดพระวรกายนั้นแน่นให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน
“วิ่งหนีอะไรมาครับน้องดื้อ หรือโดนไอ้อัสดงมันแกล้งเอา”
“เอ๊ยยย ขอโทษทีพี่กลด เราไม่ทันมอง” สีทันดรรีบเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดนั้นทันทีที่เห็นว่าใครกำลังกอดตนอยู่ แต่ทรงกลดมีหรือจะยอมให้โอกาสงามๆที่เหยื่อวิ่งเข้ามาหาอ้อมกอดหลุดรอด
ในที่สุด เจ้า......ก็วิ่งมาสู่อ้อมกอดของพี่แล้ว สีทันดร!!!
ภายใต้ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อน จ้องมองพระเนตรฟ้าครามระยับ จากวันแรกที่พบกันจนถึงวันนี้ พระเนตรฟ้าครามคู่นั้นมิเคยทอแสงเจิดจ้าลดลงเลย แถมยังกลับงามยิ่งขึ้นทุกๆทีที่ได้จ้อง และเมื่อหลับตาลงครั้งใด พระเนตรฟ้าครามนั้นก็ติดตามิมีเลือน
ดวงตา...ดุจดวงดารา
กระจ่างเจิดจ้าสุกใส
สุบินพบแต่ครั้งใด
ฝังแน่นตรึงหทัย......ไม่มีเลือน
ยิ่งโดยเฉพาะเช้านี้ ....ความโหยหาเริ่มจับหัวใจตนอีกครั้ง เพราะทรงกลดรู้ดีว่า พระเนตรที่สดใสยามเช้านี้นั้น สืบเนื่องมาจากเหตุผลใด ....และเหตุนั้นมันก็ทำให้เขาหัวใจแทบสลายตลอดทั้งคืน
“พี่กลดมาทำอะไรตรงนี้” สีทันดรตรัสถามพร้อมๆกับเบี่ยงพระวรกายออกอีกครา แต่ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุดเพราะทรงกลดรัดแน่นเสียเหลือเกิน “ปล่อยเราพี่กลด...เดี๋ยวใครมาเห็น”
“พี่กำลังจะเดินไปหาไอ้พวกนั้น เจ้ากลัวอัสดงมาเห็นล่ะสิ พี่ขอถามหน่อย ทำไม เจ้าไม่ให้โอกาสพี่ได้พิสูจน์ความจริงใจที่พี่มีให้กับเจ้าบ้าง นานแล้วนะที่น้องดื้อพยายามหลบพี่ ไม่ให้พี่ได้กอด ...พี่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พี่กอดเจ้าคือตอนที่ไปเฝ้าดักเวตาลที่บ้านไอ้พระศุกร์”
“พี่กลดก็รู้เหตุผลนี่....ว่าเราไม่ได้คิดกับพี่อย่างนั้น ปล่อยเรา”
“ไม่ปล่อย....และพี่ก็ไม่สนใจเหตุผลว่าเจ้าจะคิดกับพี่อย่างไร พี่รู้แต่ว่าพี่รักเจ้า รักตั้งแต่แรกเห็น สีทันดรเจ้าได้ยินไหม” ทรงกลดพูดจบก็ไม่ฟังสิ่งใดๆทั้งสิ้น ประกบริมฝีปากลงบนริมโอษฐ์คู่งามที่กำลังจะตรัสร้องห้ามทันใด สีทันดรดิ้นสุดแรงเกิด แต่พละกำลังฤาจะสู้อณูแห่งจันทรเทพผู้ทรงเป็นประธานยามราตรีได้
รสจูบที่ต่างกัน ความรู้สึกที่ก่อกำเนิดก็ต่างกัน จูบรสนี้นั้นมิได้ทำให้ทรงวาบหวามเลยสักนิด ต่างกับรสจูบของอัสดงลิบลับ จูบของทรงกลดแผ่วเบานุ่มนวลอ่อนหวานก็จริง แต่พระทัยของตนถูกครอบงำด้วยจูบที่ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงของอัสดงเมื่อคืนเสียมากกว่า หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จะเจออัสดงและตกเป็นของเขา สีทันดรคงจะหลงเคลิบเคลิ้ม .....แต่ยามนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นแน่นอน