ตอนที่ 13: แผนง้อคนขี้งอน“อีกสี่วันหมอขอนัดมาตัดไหม แล้วก็เดี๋ยวจะสั่งยาแก้ปวดให้ ยังไงช่วงนี้ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ”ผมพยักหน้าให้คุณหมอท่าทางวัยสามสิบต้นๆที่พูดไปเขียนอะไรขยุกขยิกไปบนฟอร์มสั่งยา เห็นแล้วก็อดนึกถึงพี่อิมไม่ได้ ถึงจะไม่เคยเห็นเวลาพี่อิมทำงาน แต่ในสายตาคนไข้ที่ได้รับการรักษา พี่สาวผมก็คงดูท่าทางทรงภูมิน่าเชื่อถือแบบนี้เหมือนกัน หลังคุณหมอเขียนสั่งยาเสร็จก็หันไปเรียกนางพยาบาลให้มารับแบบฟอร์มไปก่อนจะหันกลับมามองผมยิ้มๆ
“เมื่อกี้ท่าทางน้องชายจะเป็นห่วงมากเลยนะคะ”
ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินหมอชวนคุยเรื่องนอกเหนือการรักษา ผมเลยอดทวนคำด้วยความงงไม่ได้
“น้องชายเหรอครับ?”
คุณหมอยิ้มหวานให้ แต่แววตาหลังแว่นกรอบเหลี่ยมทรงเก๋ดูฉาบไปด้วยประกายของคนรู้ทัน
“ค่ะ น้องชายที่เข้ามาด้วยกันเมื่อกี้ไง หมอเห็นเค้าท่าทางเป็นห่วงคนเจ็บมากเลย ยังไงต่อไปอย่าทำน้องชายใจเสียแบบนี้บ่อยๆนะ เดี๋ยวก่อนกลับอย่าลืมจ่ายเงินและรับยาที่ด้านหน้าก่อนด้วยนะคะ”
หลังจบประโยคคุณหมอก็ผายมือไปทางประตูห้องฉุกเฉินทั้งที่ยังอมยิ้มแปลกๆไม่หยุด แต่สายตานั่นก็ทำให้ผมอดเขินไม่ได้ เพราะฟังจากคำพูดแฝงนัยแล้วก็พอจะเดาได้ว่าคุณหมอคงไม่ได้พูดถึง “น้องชาย” ในความหมายที่เป็นน้องชายร่วมสายเลือดแน่ๆ
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
ผมเอ่ยลาแล้วก็เดินผลักประตูออกจากห้องฉุกเฉิน พอคนตัวเล็กที่นั่งรออยู่ตรงม้านั่งเห็นเข้าก็รีบลุกมาหาทันที
“พี่อ๊อฟ เป็นไงบ้าง”
“ก็ชาๆตึงๆแต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ยังไงไปจ่ายเงินแล้วรับยาก่อนดีกว่า”
ผมพูดไปอย่างนั้น แต่ก็ยังยืนจ้องหน้าคนตัวเล็กที่สูงแค่ไหล่ตัวเองนิ่งจนคนถูกมองเริ่มขมวดคิ้ว
“มองอะไรพี่อ๊อฟ จะไปจ่ายเงินกับรับยาไม่ใช่เหรอ จะยืนอยู่ทำไมล่ะ”
“หือ...อ้อ ไปสิ”
ผมโอบไหล่บางไว้แล้วพาเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินด้วยกัน นะเงยหน้ามองงงๆแต่ก็ไม่ได้ขืนตัวหนี โชคดีว่าผมกดเงินสดติดกระเป๋าไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากกรุงเทพฯเลยมีเงินพอจ่ายค่ารักษา แต่เนื่องจากวันนี้คนมาใช้บริการโรงพยาบาลเยอะเลยต้องรอคิวเรียกรับยาก่อน
ระหว่างนั่งรอกันอยู่ที่ม้านั่งผมก็ไพล่นึกถึงสิ่งที่คุณหมอพูดด้วยตอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน พอหันไปมองคนข้างตัวที่ตาจับจ้องรายการซิทคอมบนโทรทัศน์ก็อดหัวเราะในคอไม่ได้ ก็ท่าทางของคนตัวเล็กเมื่อกี้ชวนให้สงสัยน้อยอยู่เมื่อไหร่ เพราะตอนมาถึงโรงพยาบาลนะยืนยันว่ายังไงก็จะอยู่เป็นเพื่อนผมในห้องฉุกเฉินทั้งที่เจ้าหน้าที่ขอแล้วขออีกว่าให้รอด้านนอก ผมเห็นว่าแค่เย็บแผลไม่กี่เข็มเลยช่วยพูดให้จนเจ้าหน้าที่ยอม ตอนแรกก็เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่พอนางพยาบาลเริ่มลงมือทำแผลบนหน้าผากด้วยการเช็ดคราบเลือดออกจนเห็นรอยแตกชัดๆ จากนั้นก็ใช้กรรไกรเล็มแต่งขอบแผลผมก็รู้สึกว่ามือตัวเองโดนบีบแน่น พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นคนเก่งที่ออกปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนยืนหน้าซีดหลับตาปี๋ สุดท้ายเลยต้องขอร้องแกมบังคับให้นะออกไปรอด้านนอก แต่ท่าทางอิดออดไม่เต็มใจจนผมต้องจูงมือออกไปส่งถึงหน้าประตูห้องฉุกเฉินก็ทำให้เราเป็นเป้าสายตาพอดู สงสัยที่ทุกคนยิ้มให้ตอนผมเดินกลับเข้าไปรอเย็บแผลจะเพราะเหตุผลเดียวกับคุณหมอเสียกระมัง
ผมหันไปสนใจโทรทัศน์บ้างเพราะรายการนี้เราสองคนก็ดูด้วยกันเวลาอยู่ที่หออยู่แล้ว ถึงหลายๆมุขจะเสี่ยวไปหน่อยแต่ดูฆ่าเวลาไปก็เพลินดี พอถึงช่วงพักโฆษณานะก็หันมาสะกิดแขนผม นัยน์ตากลมโตใสแป๋วจ้องหน้าผากของผมตรงที่โดนผ้าก๊อซปิดทับรอยเย็บไว้เขม็ง
“เจ็บแผลมากมั้ยพี่อ๊อฟ”
พอโดนทักนิ้วผมเลยเผลอไปแตะหน้าผากตัวเองโดยอัตโนมัติ “ตอนที่โดนกระแทกใหม่ๆมันก็เจ็บแหละ แต่ตอนนี้โดนยาชาเข้าไปเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้ว”
“ขอนะจับหน่อยได้มั้ย”
คนตัวเล็กถามผมแบบกล้าๆกลัวๆ ผมเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นนั่นเลยยิ้มให้ก่อนจะอนุญาต “ได้สิ เบาๆก็แล้วกัน”
ผมเอี้ยวหน้าด้านที่มีแผลให้คนข้างตัวเห็นได้ถนัด ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาชาหรือเพราะอีกฝ่ายเบามือมากจริงๆจึงแทบไม่รู้สึกถึงสัมผัสจากปลายนิ้วเรียวเล็กที่ลูบไปมาบนผ้าก๊อซเหนือแผลเลย
“ทีหลังพี่อ๊อฟอย่าขับรถไม่ระวังแบบนี้อีกนะ”
สัมผัสอ่อนโยนที่แตะลงบนหลังมือทำให้ผมเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นว่าคนตัวเล็กกำลังจ้องหน้าผมนิ่ง ผมเลยพลิกมือที่โดนจับอยู่ขึ้นกุมมืออีกฝ่ายไว้แทน
“แค่ครั้งเดียวก็เข็ดแล้วครับ แต่จะว่าไปใครกันล่ะทำให้พี่ร้อนใจจนขับรถประมาทแบบนั้น”
คิ้วเรียวเหนือดวงตากลมโตขมวดมุ่นก่อนจู่ๆเจ้าตัวจะชักมือออกแล้วก็หันหน้าหนีจนผมงง
“ใช่สิ นะผิดเองแหละ ทำอะไรก็ไม่ถูกใจใครสักอย่าง”
...........................................
........เอ่อ.........
….ซวยแล้วไง....
ทั้งที่แค่ตั้งใจว่าจะแซวเล่นเฉยๆแต่สงสัยจะไปแทงใจดำแฟนตัวเองเข้าให้ ผมก็ลืมไปสนิทว่าวันนี้นะเพิ่งหนีออกจากบ้านเพราะทะเลาะกับแม่มา อารมณ์เลยอ่อนไหวง่ายกว่าปกติเป็นทุนอยู่แล้ว พอได้ยินที่ผมพูดเลยเกิดอาการน้อยใจขึ้นมาอีก
“นะครับ พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ”
“คุณอรรถพล รับยาที่ช่องหมายเลขสามด้วยค่ะ”เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ออกไมค์ทำเอาผมสะดุ้ง แต่พอจะลุกไปที่เคาน์เตอร์คนที่นั่งข้างกันก็ลุกพรวดขึ้นแล้วเดินตรงดิ่งออกไปที่ทางเข้า ด้วยความพะวักพะวนผมเลยรีบฉวยถุงใส่ยาโดยไม่รอฟังคำแนะนำแล้วก็รีบเดินกึ่งวิ่งตามคนที่ยังเดินหนีจนไปทันที่หน้าประตูโรงพยาบาลแล้วก็ฉุดข้อมือผอมเล็กไว้
“เดี๋ยวสิ เมื่อกี้พี่แค่ล้อเล่น นะโกรธพี่เหรอ”
“ไม่ได้โกรธ พี่อ๊อฟไม่ได้พูดอะไรผิด นะจะโกรธทำไม”
ปากพูดอย่างนั้นก็จริง แต่น้ำเสียงกับสีหน้าไม่ได้ไปด้วยกันกับคำพูดเลย ใบหน้าหวานหงิกงอแถมยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย ท่าทางจะโดนงอนเข้าเต็มๆเลยงานนี้
คนตัวเล็กสะบัดมือตัวเองจนเป็นอิสระแล้วก็เดินนำไปที่รถที่จอดอยู่ อาจจะเพราะลักษณะของรถผมที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าโดนชนมาทำให้ไม่มีใครกล้ามาจอดข้างๆ ผมรีบปลดล็อครถแล้วเปิดประตูให้นะขึ้นไปนั่งก่อนจะเดินอ้อมกลับไปขึ้นรถฝั่งตัวเอง แต่พอจะหันไปง้อ พ่อหนูน้อยก็เท้าคางกับขอบหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก ท่าทางมึนตึงนั่นบอกให้รู้ชัดเจนว่าเจ้าตัวยังไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย
“นะครับ...”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เรียก แต่กลับได้ยินเสียงเรียกเข้าจากมือถือของตัวเองแทน พอเห็นว่าใครเป็นคนโทรมาก็อดจะถอนหายใจไม่ได้
“ฮัลโหลมุ้ย ว่าไง”
“ว่าไงกับผีอะไรล่ะ! ไหนแกบอกว่าเจอน้องนะแล้วไม่ใช่เหรอ นี่มันเป็นชั่วโมงแล้วนะยะ พาน้องเค้ากลับบ้านซักทีสิไอ้อ๊อฟ!”เสียงแหลมๆของมุ้ยแหวดังออกมานอกโทรศัพท์จนแม้แต่คนตัวเล็กที่หันหน้ามองไปนอกกระจกยังสะดุ้ง
“เอ่อ...ก็มันมีธุระต้องทำก่อนนี่หว่า แต่ว่าเรากำลังจะพากลับแล้วล่ะ”
“ธุระอะไรของแกถึงรอไม่ได้ อาจารย์เค้าเป็นห่วงน้องนะจะแย่อยู่แล้วเนี่ย! อะไรนะคะอาจารย์?...เดี๋ยวแป๊บนึงนะอ๊อฟ”
ผมได้ยินเสียงอู้อี้จากปลายสายเหมือนคนกำลังคุยกันแต่จับความไม่ได้เท่าไหร่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงแหลมๆของมุ้ยอีกครั้ง
“อ๊อฟ เดี๋ยวแกคุยกับอาจารย์เองแล้วกันนะ”
เสียงกุกกักดังขึ้นเหมือนโทรศัพท์โดนเปลี่ยนมือก่อนจะได้ยินเสียงอาจารย์ดังมาตามสาย
“อ๊อฟเหรอ เจอน้องนะแล้วใช่มั้ย ทำไมยังไม่กลับบ้านกันอีกล่ะลูก”
“ขอโทษครับอาจารย์ ผมพาน้องมาแวะโรงพยาบาลก่อน แต่เดี๋ยวจะกลับแล้วครับ”
พอได้ยินคำว่าโรงพยาบาลเสียงอาจารย์ก็เปลี่ยนทันที “อะไรนะ! น้องนะเป็นอะไร ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาล?!”
“นะปลอดภัยดีครับอาจารย์ แต่พอดีผมได้แผลนิดหน่อยเลยต้องแวะมาทำแผลก่อน เดี๋ยวจะพากันกลับแล้วล่ะครับ อาจารย์ไม่ต้องห่วงนะครับ”
ผมรีบอธิบายให้อีกฝ่ายสบายใจเพราะกลัวว่าอาจารย์จะตกใจจนเป็นลมอีก ปลายสายเลยถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ “ค่อยยังชั่ว ว่าแต่อ๊อฟไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ยลูก? ยังไงขอครูคุยกับน้องนะได้หรือเปล่า?”
ผมหันไปหาคนข้างตัวที่ตอนนี้เลิกมองนอกหน้าต่างฝั่งตัวเองแล้ว แต่กำลังนั่งกอดอกตามองตรงไปข้างหน้าแทน ท่าทางเจ้าตัวจะได้ยินบทสนทนาของผมแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“นะครับ แม่เค้าอยากคุยด้วยแน่ะ”
คนตัวเล็กเม้มปากเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “นะยังไม่อยากคุยตอนนี้”
“ได้ยังไง แม่เค้าเป็นห่วงเรามากเลยนะ อย่างน้อยก็พูดทักทายสักคำสองคำก็ยังดี”
“...ไม่เอา กลับบ้านไปเดี๋ยวก็ได้คุยอยู่แล้ว ถ้าพี่อ๊อฟอยากคุยก็คุยเองแล้วกัน”
ผมกลอกตา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่านอกจากนะจะยังไม่หายงอนอาจารย์แล้ว แม้แต่ผมก็โดนหางเลขไปด้วย แถมเวลาอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์นี้ต่อให้พูดอ่อนด้วยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ผมอดถอนหายใจเบาๆก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูไม่ได้
“อาจารย์ พอดีนะเค้าเพลียๆอยู่น่ะครับ ยังไงค่อยคุยตอนถึงบ้านเลยดีกว่า ครับ...เข้าใจแล้วครับ สวัสดีครับ”
ผมกดตัดสายก่อนจะหย่อนมือถือกลับลงกระเป๋ากางเกง พอชำเลืองมองคนข้างตัวก็เห็นคนตัวเล็กยังนั่งนิ่งไม่ยอมหันมามองหน้าอยู่เหมือนเดิม ผมเลยสตาร์ทรถแล้วก็ขับออกจากลานจอดแบบไม่รีบร้อนเพราะยังไงก็บอกอาจารย์กับมุ้ยไว้แล้ว
ผมขับรถไปก็ชำเลืองมองคนข้างตัวไปด้วย เหมือนนะจะรู้ดีว่าโดนผมมองอยู่แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมพูดอะไรจนผมต้องหาเรื่องชวนคุย
“นะครับ หิวหรือยัง”
ไม่มีเสียงตอบ แถมพ่อหนูน้อยยังยื่นมือไปปรับโวลุมเสียงวิทยุเพิ่มเสียอีกจนผมต้องรีบปรับเสียงลงให้เท่าเดิมไม่งั้นคงหูแตก
“เอ้า ไม่หิวก็ไม่หิว แต่พี่หิว งั้นขอแวะหาอะไรกินก่อนค่อยกลับบ้านแล้วกันนะ”
นัยน์ตากลมโตแค่ตวัดมองผมแว่บหนึ่งแล้วก็หันไปมองหน้ารถเหมือนเดิม ผมเลยขับรถไปจอดที่ตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก แล้วก็อ้อมลงไปเปิดประตูให้คนที่ยังนั่งกอดอกนิ่งไม่ยอมลุกท่าเดียว
ให้มันได้งี้สิแฟนผม บทจะดื้อก็ดื้อขาดใจจริงๆเลย
“นะครับ ไปกินข้าวกันเถอะ”
“นะไม่หิว พี่อ๊อฟหิวก็ไปกินสิ ต้องกินยาไม่ใช่รึไง”
คนตัวเล็กว่าแล้วก็หันหนีผมอีก แต่ถึงจะทำเสียงสะบัดใส่แค่ไหน คำพูดท้ายประโยคก็บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง
...ขนาดงอนอยู่นะเนี่ย เชื่อเค้าเลยเด็กคนนี้...
ผมไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะทำหน้าบึ้งใส่เด็กจอมดื้อดี พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่อยู่ติดกับตลาดจนเกิดไอเดียขึ้นมา
“ถ้านะไม่กินพี่ก็ไม่กิน แต่เดี๋ยวขอแวะเซเว่นแป๊บนึง นะล็อกประตูรถดีๆนะครับ ถ้าใครมาเคาะเรียกห้ามตามไปนะ”
ใบหน้าหวานหันมาค้อนให้แต่ก็ยอมกดล็อคประตูรถแต่โดยดี ผมเลยยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีกขณะเดินไปที่เซเว่น ในหัวก็เริ่มคิดว่าจะปฏิบัติการง้อพ่อหนูน้อยตามแผนที่เพิ่งคิดขึ้นยังไงดีให้อีกฝ่ายไม่งอนผมหนักเข้าไปอีก
ความจริงแล้วเวลานะงอนก็น่ารักดี แต่ปล่อยให้งอนนานๆก็ไม่ไหว ยังไงผมก็ชอบเวลาคนตัวเล็กทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนมากกว่านี่นา
ผมใช้เวลาซื้อของไม่นานก็เสร็จ พอกลับมาที่รถนะก็เอื้อมมาปลดล็อกประตูฝั่งผมให้ก่อนจะกลับไปนั่งพิงพนักตัวเองนิ่งๆเหมือนเดิม หลังเข้านั่งประจำที่แล้วผมก็หยิบขนมปังไส้ถั่วแดงกับนมเปรี้ยวแบบที่เจ้าตัวชอบออกจากถุงยื่นให้ แต่คนรับแค่รับไปแล้วก็เอาวางไว้หน้ารถจนผมต้องแอบส่ายหน้า เอาเถอะ ยังไม่กินตอนนี้ เดี๋ยวสักพักก็คงทนหิวไม่ไหวต้องกินอยู่ดี
ผมเลี้ยวรถออกจากเส้นทางที่ตรงกลับบ้านอาจารย์ ตาก็มองหาที่ที่จำได้ว่าเคยผ่านตอนขับรถมารับแม่เมื่อวันก่อนไปด้วย เหมือนคนข้างตัวจะเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่ได้กำลังพากลับบ้านเลยนั่งยุกยิกไปมาแล้วก็เหลือบมองผมเป็นระยะ พอเห็นป้ายชื่อสถานที่ที่ผมหักเลี้ยวเข้าไปคนตัวเล็กก็ทำตาโตก่อนจะหันมาขมวดคิ้วใส่ผม
“พี่อ๊อฟ พาเข้ามาที่นี่ทำไม” ++------++
เอามาลงให้ก่อนคนเขียนหนีเที่ยว ตอนต่อไปคงราวๆอาทิตย์หน้าเน้
ปล. +1 ให้กับคนอ่านที่น่ารักทุกคนคร้าบบบบบบบบ
ปล.2 ใครอยากอ่านตอนหวานๆ ติดตามตอนหน้าเด้อค่า 