ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ - ของขวัญวันปีใหม่"ได้ๆ เอาเป็นว่าหยุดยาวคราวหน้าพี่จะกลับบ้านนะ โดนัทคริสปี้ครีม? โอเค ไว้จะกลับแล้วจะซื้อไปฝากก็แล้วกัน"
ผมวางสายก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ หลังโดนเจ้าน้องชายโทรมาตัดพ้อที่ไม่กลับบ้านช่วงปีใหม่ แต่เพราะว่าผมทำงานธนาคารซึ่งได้หยุดเพียงไม่กี่วัน ก็เลยคิดว่าจะเก็บวันลาไว้กลับช่วงสงกรานต์ทีเดียวดีกว่า
หลังวางสายแล้วผมก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งตัวออกไปข้างนอก อากาศในกรุงเทพฯ ปลายปีนี้ค่อนข้างหนาวกว่าปีก่อนๆ ก็เลยต้องเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อหนากว่าปกติ หลังหยิบผ้าพันคอไหมพรมที่เป้ซื้อให้จากถนนคนเดินที่เชียงใหม่เมื่อปีก่อนขึ้นมาคล้องคอ ผมก็หยิบของจำเป็นใส่กระเป๋าสะพายแบบพาดบ่าแล้วเดินออกจากห้อง
ปีนี้ก็เป็นปีใหม่ครั้งที่สามแล้วสิที่เราจะได้ฉลองด้วยกัน...
ผมยิ้มบางๆ ขณะเดินไปที่ริมถนนเพื่อเรียกแท็กซี่ หลังจากได้ขึ้นรถแล้วก็มองไปยังแสงอาทิตย์อันริบหรี่ริมขอบฟ้าสีเทาครึ้ม การจราจรในวันสุดท้ายของปีไม่โล่งนักแต่ก็ไม่ถึงกับแย่ หลังมาถึงที่หมายแล้วผมก็จ่ายเงินให้คนขับแท็กซี่ก่อนจะเดินเข้าไปในห้าง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขณะที่ผมกำลังจะหยิบมาโทรออกพอดี พอเห็นชื่อคนที่โทรมาก็เลยรีบกดรับสาย
"ไงเป้ อยู่ไหนแล้ว?"
"ยังกินมื้อเย็นกันอยู่เลย วิวออกจากห้องรึยัง?"
"นั่งแท็กซี่ออกมาได้พักใหญ่แล้ว เพิ่งจะถึงเลยเนี่ย"
"อ้าว! งั้นเดี๋ยวเป้รีบออกไปหาดีกว่า วิวรอก่อนนะ"
ผมฟังเสียงคนคุยกันรอบๆ ตัวเป้ที่ดังแทรกมาในสายแล้วก็หัวเราะ "ไม่ต้องรีบหรอกเป้ ไว้กินข้าวกับที่บ้านเสร็จค่อยออกมาก็ได้ เดี๋ยววิวเดินเล่นรอไปเรื่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก"
เนื่องจากปีนี้ครอบครัวของเป้ต้องไปกินเลี้ยงรวมญาติกันที่บ้านคุณปู่ พวกเราสองคนก็เลยนัดเจอกันที่ห้างตอนกลางคืนเพื่อจะได้นับถอยหลังวันสิ้นปีด้วยกัน ตอนแรกเป้ก็ชวนผมให้ไปกินข้าวกับที่บ้านด้วย แต่พอได้ยินว่างานนี้จะเป็นการรวมญาติครั้งใหญ่ในรอบหลายปี ผมก็เลยขอตัวไม่ไปร่วมดีกว่า
เมื่อนัดแนะกันเสร็จแล้วผมก็เดินไปยังแผนกขายหนังสือ จากนั้นก็เลือกดูหนังสือแนะนำบนชั้นวางไปเรื่อย กระทั่งผ่านไปราวชั่วโมงกว่าก็เริ่มอยากหาที่นั่งพัก เลยเดินไปหาร้านกาแฟระหว่างรอให้เป้มาถึง
ผมสั่งชาเขียวปั่นเพราะไม่อยากดื่มกาแฟตอนค่ำ หลังหาเก้าอี้ว่างได้แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดส่งข้อความบอกเป้ว่านั่งอยู่ที่ไหน ระหว่างรอก็หยิบนิตยสารมาอ่านฆ่าเวลา ภายในร้านมีคนเดินเข้าออกขวักไขว่ไม่หยุด ซึ่งผมเดาว่าคงล้วนแต่มาหาที่นั่งรอก่อนจะถึงเที่ยงคืนเหมือนกัน
หลังอ่านนิตยสารไปได้ราวครึ่งเล่ม ผมก็เหลือบตามองจอมือถือว่ามีข้อความใหม่จากเป้บ้างหรือเปล่า พอไม่เห็นฝ่ายนั้นพิมพ์อะไรมาเลยทั้งที่ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเพราะชักเบื่อการนั่งรอเฉยๆ
"เป้ ออกมาหรือยัง?"
"อ๋อ มาถึงแล้วก็จอดรถได้สักพักแล้วล่ะ ตอนนี้อยู่ข้างหน้าตรงที่มีคนมาถ่ายรูปไฟคริสต์มาสกันเยอะๆ วิวลงมาได้เลย"
ผมได้ยินแบบนั้นก็เลยหยิบแก้วชาเขียวที่กินหมดแล้วไปทิ้งถังขยะ จากนั้นก็เดินลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง ด้านหน้าห้างมีลานเบียร์ซึ่งแต่ละซุ้มก็ล้วนมีนักร้องมาเล่นคอนเสิร์ตกันเสียงดังกระหึ่ม ผมเดินเลาะบริเวณทางเดินไปยังส่วนที่ประดับตกแต่งด้วยไฟหลากสีและตุ๊กตาสำหรับถ่ายรูป แต่เนื่องจากมีคนมาเดินถ่ายรูปตรงนี้กันเยอะมาก ผมซึ่งมองไม่เห็นว่าเป้อยู่ไหนก็เลยโทรหาอีกครั้ง
"เป้ นี่อยู่ข้างล่างแล้วนะ เป้อยู่ไหนน่ะ?"
"อ๋อ วิวเดินมาตรงข้างๆ ต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ได้เลย เป้อยู่แถวๆ นั้นแหละ"
"เดี๋ยวนะ"
ผมไม่ได้กดวางสายและเดินไปยังต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่เป้บอก แต่เดินวนรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นร่างสูงที่คุ้นตาเลยกรอกเสียงถาม
"ไม่เห็นเลยเป้ อยู่ตรงไหนของต้นคริสต์มาสน่ะ?"
"พอดีคนเบียดถ่ายรูปกันเยอะก็เลยเดินหลบออกมาน่ะ วิวเห็นเพนกวินตัวสีน้ำเงินใส่หมวกสีขาวมั้ย? เดินมาตรงข้างหลังเพนกวินตัวนั้นก็แล้วกันนะ"
ผมฟังแล้วก็มองหาเพนกวินตัวที่ว่า เนื่องจากบริเวณนี้มีเพนกวินตั้งอยู่หลายตัวเหลือเกินแถมคนก็มายืนถ่ายรูปกันแน่นขนัด ยังดีที่เพนกวินที่สวมหมวกสีขาวมีตัวเดียว ผมเลยพยายามเบียดผู้คนไปทางด้านหลังเพนกวินตัวนั้น
"อยู่ไหนล่ะเป้ นี่ยืนอยู่หลังเพนกวินที่ว่าแล้ว ไม่เห็นจะเห็นเป้เลย"
เสียงผมเริ่มมีอารมณ์นิดหน่อยเพราะเบื่อการเล่นซ่อนแอบแล้ว ดูเหมือนเป้ก็จะรู้ตัวเหมือนกันเลยหัวเราะเบาๆ
"รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวเป้เดินไปหา"
พูดจบแล้วพ่อตัวดีก็วางสาย ผมเลยได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วพยายามมองไปรอบๆ เพราะถึงจะมีคนมาถ่ายรูปกันเยอะแค่ไหน แต่ส่วนสูงของหมอนั่นก็น่าจะโผล่เลยหัวคนอื่นมาให้ผมสังเกตเห็นได้บ้างล่ะน่า
"พี่คะ เอ่อ..."
เสียงเล็กๆ จากใกล้ตัวดึงให้ผมหันไปมอง แล้วก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ ม.ปลายหรืออย่างมากสุดก็มหาวิทยาลัยปีต้นๆ ถือกุหลาบช่อหนึ่งมายื่นให้ ผมจึงยิ้มบางๆ แล้วโบกมือปฏิเสธ
"ไม่เอาครับน้อง ขอบคุณครับ"
"เปล่าค่ะพี่ หนูไม่ได้ขาย พอดีมีพี่ผู้ชายบอกให้หนูเอากุหลาบช่อนี้มาให้ค่ะ"
ผมเลิกคิ้วขณะรับกุหลาบช่อนั้นมาอย่างงงๆ ตรงด้านล่างของช่อมีกระดาษโน้ตพับสอดไว้ในริบบิ้น พอผมหยิบออกมาคลี่อ่านก็เห็นข้อความสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา
'Look at the X'mas tree'
ผมหันมองไปทางต้นคริสต์มาส พลันก็เห็นลูกโป่งสีขาวลูกหนึ่งลอยขึ้นไปบนฟ้า ถึงแม้ลมจะแรงจนพัดลูกโป่งนั้นลอยไปไกลในเวลาอันสั้น แต่ก็ทันเห็นตัวอักษร P&V ที่เขียนด้วยเมจิกเส้นหนาบนลูกโป่งก่อนที่มันจะลอยจากไปได้ถนัดตา
ขณะที่ยังไม่หายงงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เด็กสาวคนเมื่อกี้ก็เดินหายไปเสียแล้ว ผมเหลือบตาลงมองช่อกุหลาบในมืออีกครั้ง แล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านข้าง
"สนใจไปเค้าท์ดาวน์ที่ห้องผมคืนนี้มั้ยครับ?"
ผมเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยซึ่งก้มลงมาใกล้ นัยน์ตาของคนพูดพราวเป็นประกายอย่างที่น่าโดนดีดกกหูเป็นที่สุด ด้วยความหมั่นไส้ผมก็เลยแกล้งทำสีหน้าครุ่นคิด
"ไม่รู้สิครับ ผมคงต้องไปถามแฟนก่อน"
"แฟนขี้หึงเหรอครับ?"
หึ...กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้องแล้วยังจะถาม
"เท่าที่ผมรู้...ก็ขี้หึงพอๆ กับที่ชอบทำให้คนอื่นเขาหมั่นไส้น่ะครับ"
เป้หัวเราะแล้วก็จับมือผมที่กำลังถือช่อกุหลาบให้ตั้งขึ้นบังหน้า จากนั้นก็ก้มลงมาแนบริมฝีปากกับผมเร็วๆ ก่อนจะลดมือลงเหมือนไม่เกิดเรื่องอะไร ทิ้งให้ผมทำหน้าเหวอเพราะนึกไม่ถึงว่าหมอนี่จะกล้าทำแบบนี้กลางที่สาธารณะ
"ไม่หึงก็แย่สิครับ แฟนน่ารักซะจนแค่เห็นก็มันเขี้ยวแล้วนี่นา"
"ไอ้บ้า ตกลงจะเอาไงเนี่ย? ไหนคืนนี้ชวนให้ออกมาเพราะกะจะเค้าท์ดาวน์กันที่นี่ไง"
ผมท้วงทั้งที่รู้สึกว่าผิวหน้าร้อนผ่าว ฝ่ายเจ้าเด็กโข่งมองไปรอบๆ แล้วก็ย่นจมูก "ตอนแรกก็ตั้งใจแบบนั้นหรอก แต่พอเห็นคนเยอะๆ แล้วก็ชักอยากกลับไปเค้าท์ดาวน์กันที่ห้องมากกว่า"
จริงอย่างที่เป้ว่า เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ฉลองวันสิ้นปีที่ผู้คนนิยมมารวมตัวกัน นอกจากนั้นก็ยังมีคอนเสิร์ตเสียงดังอีกด้วย ความจริงแล้วผมก็คงไม่นึกอยากมาถ้าไม่ใช่เพราะเป้ชวนตั้งแต่แรก พอได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากกลับไปฉลองที่ห้องก็เลยคล้อยตามไม่ยากนัก
"ก็ดีเหมือนกัน ถ้างั้นเรากลับกันเลยเถอะ วิวมาเดินเล่นตั้งแต่หัวค่ำจนชักเมื่อยแล้ว"
พวกเราเดินกลับเข้าไปในลานจอดรถของห้างแล้วก็ขับรถกลับคอนโด พอถึงห้องแล้วก็ช่วยกันทำอาหารง่ายๆ อย่างสลัดแฮมกับไส้กรอกทอดมานั่งกินแกล้มไวน์ในห้องนั่งเล่น ครู่หนึ่งเป้ก็เอนหัวมาพิงไหล่ผมระหว่างดูข่าวการฉลองปีใหม่ของประเทศที่ก้าวผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว
"ความจริงฉลองกันแค่สองคนก็ดีนะ ปีหน้าก็ทำแบบนี้อีกดีกว่า"
คนพูดบีบกระชับมือของพวกเราที่กุมกันไว้ ผมเลยพยักหน้าแล้วก็จิ้มไส้กรอกทอดป้อนให้ จากนั้นก็หยิบแก้วไวน์ส่งให้เป้ดื่มล้างปาก
"แล้วนึกยังไงถึงให้น้องเขาเอาดอกกุหลาบมาให้เนี่ย?"
ผมถามพลางบุ้ยคางไปทางช่อกุหลาบที่ตอนนี้เสียบอยู่ในแจกัน เป้เลยชำเลืองตามามองผมยิ้มๆ
"เซอร์ไพรส์ไง จะเค้าท์ดาวปีใหม่ครั้งที่สามด้วยกันก็น่าจะมีอะไรพิเศษบ้างใช่ไหมล่ะ?"
ผมหัวเราะเมื่อได้ฟังคำตอบ เรื่องช่างคิดต้องยกให้พ่อเจ้าประคุณเขาล่ะ ไม่ว่าจะกุหลาบเอย ลูกโป่งเอย ความจริงแล้วผมไม่เคยมองหาเรื่องเซอร์ไพรส์ตราบใดที่เราได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่ในเมื่อขานี้เขาชอบทำก็เลยไม่อยากขัด ขอแค่อย่าให้มันเว่อร์จนรับไม่ได้ก็พอ
"ว่าแต่อีกเดี๋ยวก็จะเที่ยงคืนแล้วนะเนี่ย"
"อืม อีกครึ่งชั่วโมงเอง เร็วเหมือนกันแฮะ"
ผมเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังพลางพึมพำตอบ ยังไม่ทันได้นึกถึงว่าปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เป้ก็ลุกขึ้นจากท่าที่นั่งพิงไหล่แล้วโน้มตัวมาคร่อมจนผมกะพริบตามองด้วยความงง
"มีอะไรเหรอเป้?"
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันคุ้นตาปรากฏขึ้นให้เห็น ก่อนที่เป้จะลุกจากโซฟาแล้วช้อนตัวผมขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน พอเห็นว่าอีกฝ่ายพาเดินไปห้องนอนก็เลยหันไปเลิกคิ้วถาม
"เดี๋ยวสิ ไหนว่าคืนนี้จะเค้าท์ดาวน์กันไม่ใช่เหรอ?"
"นี่แหละเค้าท์ดาวน์ เพราะนี่จะเท่ากับเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้เลยนะ จะพลาดโอกาสส่งท้ายปีเก่าแล้วเริ่มฉลองวันขึ้นปีใหม่ได้ยังไง"
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ทุบไหล่คนพูด จะมีใครเขาเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ในวันพิเศษที่สามร้อยหกสิบห้าวันถึงจะเวียนมาสักรอบแบบหมอนี่มั่งไหมเนี่ย!? แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทักท้วงเมื่อเป้โน้มตัวลงมาจูบทันทีที่วางผมลงบนเตียง ความหนาวของไอเย็นในห้องค่อยๆ หายไปเมื่อร่างกายของเราถ่ายทอดอุณหภูมิให้กันและกัน และเสียงหอบของพวกเราแทบจะกลบเสียงนับถอยหลังของรายการโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นจนมิด
ราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไปกว่าผมจะได้รวบรวมลมหายใจอีกครั้ง พอร่างกายของเป้ผละไปก็ทำให้ผมรู้สึกหนาวจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่ สัมผัสจากปลายนิ้วที่เสยผมบนหน้าผากทำให้ผมปรือตาขึ้นมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ บนใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ชวนให้หมั่นไส้เหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว
"แฮปปี้นิวเยียร์"
ผมยิ้มพลางดึงมือของเป้ข้างที่สวมแหวนของพวกเราขึ้นมาจูบ ถึงแม้เมื่อครู่จะบ่นกระปอดกระแปดไปบ้าง แต่ผมก็ตระหนักดีว่าการที่เราคบกันมาจนถึงปีนี้นั้นนับเป็นสิ่งพิเศษแค่ไหน
"พรุ่งนี้พ่อกับแม่เป้อยู่บ้านรึเปล่า? วิวอยากซื้อกระเช้าไปสวัสดีปีใหม่ ไหนๆ ก็ไม่ได้กลับบ้านตัวเองแล้ว"
"เอาสิ พ่อกับแม่ก็บอกเหมือนกันว่าถ้าว่างก็แวะไปกินข้าวที่บ้านก็ได้"
พวกเราคุยกันเรื่องกิจกรรมที่จะทำวันรุ่งขึ้นต่ออีกนิดหน่อยผมก็เริ่มง่วง แต่แล้วตาที่เกือบจะปิดก็ลืมขึ้นอีกครั้งเมื่อมือใหญ่เลื้อยใต้ผ้าห่มเข้ามาลูบแผ่นหลัง หมอนี่เป็นพวกที่พอเครื่องติดแล้วจะไม่ค่อยหยุดง่ายๆ เสียด้วยสิ
"เค้าท์ดาวน์ไปแล้วไงเป้ ยังไม่พออีกเหรอ? วิวง่วงแล้วนะ"
ผมแกล้งทำเสียงดุใส่ แต่เป้กลับยิ้มแล้วก็ก้มลงมาหอมแก้ม "งั้นวิวนอนเฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวเป้จัดการให้เอง ถือเป็นสเปเชี่ยลเซอร์วิสช่วงปีใหม่"
"ไอ้บ้า!"
ผมหัวเราะพลางหยิบหมอนขึ้นมาตีพ่อคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็เปลี่ยนเป็นเสียงอื่นเมื่อเราเล่นยื้อหมอนกันแล้วเป้ชนะ และผมก็พบว่าตนถูกร่างสูงใหญ่เข้าทาบทับอย่างถือสิทธิ์อีกครั้ง
จำนวนปีที่พวกเราคบกันอาจดูเหมือนน้อยในสายตาคนอื่น แต่ผมก็รู้ดีว่าแต่ละวันที่ผมกับเป้ได้อยู่ด้วยกันล้วนมีความหมาย มันเป็นสิ่งที่แม้เวลาจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรก็ไม่อาจลดทอนความผูกพันที่เรามีให้กันได้เลย
ปีเก่าผ่านพ้นไปแล้ว และปีใหม่ที่กำลังผ่านเข้ามาก็จะเป็นอีกปีที่เราสองคนจะใช้ทุกวันร่วมกันอย่างมีคุณค่า ผมไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ในทุกครั้งที่ได้รับการสัมผัส ได้จูบ และได้อยู่ในอ้อมแขนของเป้
สำหรับผม...ปีใหม่จะสวยงามที่สุดก็ต่อเมื่อมีพ่อคุณชายจอมเจ้าเล่ห์คนนี้อยู่ใกล้ๆ และเพียงเท่านั้นก็เป็นของขวัญที่มีความหมายมากพอที่จะทำให้ผมไม่ต้องการอะไรอื่นอีกแล้ว
++---End---++
A/N: กว่าจะเขียนตอนพิเศษนี้ออกมาได้ ยอมรับว่าเกือบหมดมุกแน่ะค่ะเพราะเคยเขียนตอนปีใหม่ให้เป้กับวิวไปสองครั้งแล้ว แต่เห็นมีคนถามถึงคู่นี้บ่อยๆ + อยากเขียนอะไรเลี่ยนๆ บ้างหลังจากช่วงนี้เจอแต่ความซึนขั้นเทพของกฤตภาสในเล่ห์ลวงใจ (แต่แปลกที่คนเขียนกลับหมั่นไส้ตากฤตน้อยกว่าคุณชายเป้ 555) ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงหยุดยาวแบบนี้จะคนอ่านเยอะไหมหนอ ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคน มีความสุขกันมากๆ นะคะ
