“พี่วิวอยู่ไหนอะพี่เป้?” (เดาได้อยู่แล้วแหละ แต่ถามไปงั้น)
“เพิ่งลงไปอาบน้ำเมื่อกี้เอง เดี๋ยวกลับขึ้นมาเมื่อไหร่พี่ก็จะไปอาบมั่งเหมือนกัน”
พี่เป้ตอบพลางเอาเสื้อผ้ามาม้วนแล้วยัดลงกระเป๋า เอ่อ...ไม่พับหน่อยจะดีเหรอเพ่? แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากชี้แนะเรื่องวิชาการเรือนเท่าไหร่ เพราะปกติแม่ก็ชอบทำให้เพราะทนดูผมทำเองไม่ไหวประจำ หลังจากนั่งเงียบๆ มองพี่เป้ม้วนเสื้อยัดลงกระเป๋าได้สักครู่ ผมเลยถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“ขอถามหน่อยดิ พี่เป้เป็นอะไรกับพี่ผม?”
“หือ?”
พี่เป้เลิกคิ้วมองผม มือที่กำลังจะรูดซิปปิดกระเป๋าชะงักไปนิดหนึ่ง สองตามองผมที่กำลังจ้องเป๋งแบบคาดคั้นแล้วก็ยิ้มแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“คิดว่าเป็นอะไรล่ะ ก็เป็นเพื่อนกันน่ะสิ”
อู๊ยยยย ผมคงเชื่อลงหรอกถ้าไม่ได้เห็นอะไรอย่างที่เห็นมาตลอดทั้งวันน่ะ แต่จะมัวพิรี้พิไรร่ายให้ฟังก็กลัวพี่วิวจะกลับขึ้นมาซะก่อน ผมเลยพูดออกไปตรงๆ เลย
“เพื่อนกันเขาคงไม่หอมแก้มกันตอนนอนหรอกนะพี่เป้ หรือถ้าพี่เป้ยังจะยืนยันว่าเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ เดี๋ยวผมไปถามพี่วิวแทนก็ได้ พี่ผมโกหกไม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ”
“เฮ่ยๆๆ เดี๋ยวๆ เข้าใจแล้ว ไม่ต้องไปถามวิวหรอก อยากให้พี่เราโกรธหรือไง”
พี่เป้ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อผมจากด้านหลังหมับก่อนที่ผมจะทันลุก ผมเลยได้แต่หันไปมองแบบเคืองๆ ก็ถ้าคอเสื้อย้วยขึ้นมาจะทำไงล่ะเว้ย! ผมละอยากรู้นักว่าที่ไม่อยากให้พี่วิวโกรธน่ะหมายถึงโกรธผมหรือโกรธตัวเองกันแน่ แต่ก็พยายามข่มใจไม่ย้อนแล้วกลับลงไปนั่งฟังคำอธิบายดีๆ พี่เป้นั่งขัดสมาธิกอดอกทำท่าคิดอยู่แป๊บหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นมองผมตรงๆ
“พี่กับพี่วิวเป็นแฟนกัน แต่เพิ่งจะตกลงคบกันก่อนจะกลับมาเยี่ยมบ้าน เพราะงั้นเขาเลยบอกพี่ไว้ว่ายังไม่อยากให้ที่บ้านรู้ ไหนๆ หว้ารู้แล้วก็ช่วยปิดด้วยก็แล้วกัน”
ผมเลิกคิ้วสูง เพราะไม่คิดว่าพี่เป้จะยอมรับแบบไม่อิดเอื้อนหรือตะบิดตะบอยแบบนี้ ตอนแรกผมนึกว่าจะได้คำตอบเป็นการแกล้งเฉไฉไปว่าตอนนั้นละเมอเสียอีก (แต่ถ้าบอกมายังงั้นลูกหมาที่ไหนมันจะเชื่อ) ผมเลยจ้องตาพี่เป้แล้วก็รีบถามต่อ เพราะต้องฉวยโอกาสระหว่างที่พี่วิวยังไม่ขึ้นมา เก็บข้อมูลจากคู่กรณีให้ได้เยอะที่สุด
"แล้วทำไมผมต้องช่วยพี่ด้วย มีเหตุผลอะไรไม่ทราบ?"
“พี่คิดว่าถ้าหากกล้าถามกันตรงๆ แบบนี้ หว้าก็น่าจะเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรับฟังความจริงแล้วก็ช่วยปิดพ่อกับแม่ให้ได้ ยกเว้นว่าเราอยากจะเห็นพี่วิวเขาเสียใจ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็คงต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเพราะมองหว้าผิดไป”
อ้าวเวร ไหงโยนความรับผิดชอบมาให้อย่างงี้อ้ะ!? ไอ้ช่วงแรกๆ ก็ฟังดีอยู่หรอกว่าพี่เป้แมนพอที่จะตอบคำถามของผมตรงๆ แต่ไอ้ช่วงท้ายๆ นี่เหมือนลากผมเข้าวงศ์ไพบูลย์ไปด้วยยังไงไม่รู้
“นี่พี่เป้ขู่ผมเหรอ?”
“ไม่ได้ขู่ แค่บอกว่าเดี๋ยววิวจะเสียใจถ้าเกิดพ่อกับแม่รู้แล้วรับไม่ได้ขึ้นมา จริงๆ พี่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องที่จะปิดเท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่าไม่อยากขัดใจให้เขาโกรธ หรือหว้าอยากจะลองดูล่ะ?”
พี่เป้พูดไป ยิ้มบนมุมปากก็ชักสูงขึ้นเรื่อยๆ และดูการณ์จะกลับกลายเป็นว่าผมเริ่มตกเป็นเบี้ยล่างเข้าไปทุกที เพราะถ้าหากผมไม่ช่วยพี่เป้ นอกจากจะไม่มีทางรู้ว่าพ่อกับแม่จะมีปฏิกิริยายังไงหากความแตก ที่แน่ๆ ก็คือพี่วิวคงไม่สบายใจ เพราะว่ารายนั้นเป็นเด็กดีที่อยู่ในลู่ทางที่พ่อแม่อยากให้เป็นมาตลอด แล้วผมก็ไม่อยากเห็นพี่ผมไม่มีความสุขซะด้วยสิ
เพื่อพี่วิว...เพื่อพี่วิว...เพื่อพี่วิว...
ในหัวผมมีแต่คำนี้วนอยู่ในหัว และพาลให้แววตาที่กำลังมองหน้าพี่เป้ตอนนี้เต็มไปด้วยความหมั่นไส้อย่างไม่รู้จะบรรยายยังไง เพราะเท่ากับว่าตอนนี้ผมกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ต้องช่วยเหลือพี่ทั้งสองคนไปเสียแล้ว แต่จะให้ไอ้หว้าถูกทำเหมือนเป็นลูกไล่โดยไม่มีค่าตอบแทนน่ะหรือ รอไปจนถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะ....
เอาวะ พี่เป้เจ้าเล่ห์มา ผมก็เจ้าเล่ห์กลับได้ ให้มันรู้กันไปว่าผมน่ะเคี้ยวไม่ลงง่ายๆ นะเฟ้ย และไอเดียที่แว้บขึ้นมาก็ทำให้สีหน้าผมเปลี่ยนไปเป็นกระหยิ่มยิ้มย่องทันที
“ผมจะช่วยปิดเรื่องนี้กับพ่อแม่ก็ได้ แต่ถ้าจะให้ร่วมมือแบบไม่มีเงื่อนไขเลยก็ไม่ยุติธรรม...เพราะงั้นผมต้องการค่าตอบแทน”
พี่เป้มองผมแล้วก็เลิกคิ้ว แววตาดูมีแววครุ่นคิดขึ้น “ว่ามาสิ”
ปลากินเบ็ดละเฟ้ย เหอะๆๆ “ก็แบบว่า...ค่าขนมผมเดือนๆ นึงมันน้อยยย...น้อยน่ะพี่เป้ แถมพ่อกับแม่ให้งบค่าโทรศัพท์แค่เดือนละสองร้อยเอง บางเดือนมันก็ต้องมีทำรายงาน โทรคุยกับเพื่อนยาวๆ หรือเมสเสจหากันงี้ใช่ม้า ผมก็เลยคิดว่าถ้าหากมีสปอนเซอร์มาช่วยรองรับส่วนต่างพวกนี้ อนาคตทางการเรียนของผมคงสดใสขึ้นอีกเย้ออออออ...เลย ถึงอาจจะไม่ได้เท่าพี่วิวก็ตามเถอะ”
ผมพูดแล้วก็ยิ้มแบบที่น่าเอ็นดูที่สุด (อย่างน้อยมุกนี้ก็ใช้กับทุกคนในบ้านได้ผลแหละวะ) ได้แต่คิดในใจว่ายังไงก็ไม่ปล่อยพี่เป้ไปง่ายๆ แบบไม่มีค่าแรงตอบแทนแน่ พี่เป้มองผมแล้วทำหน้างงๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าหว้าเป็นน้องของวิว ทำไมพี่เราเขาไม่เห็นจะงกเข้าเส้นแบบนี้เลย”
พี่เป้พูดไปหัวเราะไป แล้วก็ยื่นมือมาขยี้หัวผมอย่างแรงด้วย (กำลังหาที่ระบายอารมณ์หรือเปล่าเนี่ย?) ผมเลยทำหน้าหงิกแล้วปัดมือพี่เป้ออก
“เออเดะ นอกจากหน้าแล้วใครๆ ก็บอกว่าผมไม่มีอะไรเหมือนพี่วิวกันทั้งนั้นแหละ แล้วพี่เป้จะยอมรับข้อเสนอไหมล่ะ รีบตอบเร็วๆ เดี๋ยวพี่วิวขึ้นมาซะก่อน”
ผมเร่งเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมาแล้ว และถ้าพ้นตอนนี้ไปก็อาจจะหาโอกาสเจรจากับพี่เป้สองต่อสองไม่ได้อีก คราวนี้โครงการของผมก็ล่มสิ นี่มันเกี่ยวพันกับเรื่องทุนการศึกษาในอนาคตของไอ้หว้าเลยนะ!!
พี่เป้ยังนั่งกอดอกมองหน้าผมโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าก็ใกล้ห้องเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
“พี่เป้! ถ้าไม่ตกลงผมไม่ช่วยนะ!”
“เอางั้นก็ได้ ตกลงตามนั้น”
พี่เป้ตอบแทบจะในวินาทีเดียวกับที่พี่วิวเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หลังอาบน้ำเสร็จแล้วพี่วิวใส่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้น แล้วก็มีผ้าขนหนูคล้องรอบคอโดยที่ผมยังชื้นอยู่ ดูเหมือนพี่ผมคงจะทันได้ยินที่พี่เป้พูดเมื่อกี้ เลยมองพวกเราสลับกันแล้วถามอย่างสงสัย
“ตกลงเรื่องอะไรกัน?”
พี่เป้หันไปยิ้มให้คนถามที่กำลังยกชายผ้าขึ้นขยี้ผม จากนั้นก็พยักเพยิดมาทางผม “ตกลงว่าหว้าจะกลับไปนอนห้องตัวเองน่ะ เห็นว่าวันนี้แม่เอาฟูกไปตากให้เมื่อกลางวันจนแห้งแล้ว”
เฮ้ย!! ใครพูดอะไรอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่!!! ไอ้พี่เป้จะมั่วนิ่มก็อย่ามากระทบถึงที่หลับนอนคืนนี้ของผมสิว้อย!!!!
พี่วิวฟังแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันมาทางผม “ฟูกแห้งแล้วเหรอหว้า?”
“อ่า...จริงๆ มันก็...เอ่อ...แห้งแล้วแหละมั้ง ดูเหมือนจะแห้งแล้วนะ ก็แม่บอกมาอย่างนั้นนี่ เมื่อกี้ผมพูดเองใช่ไหมพี่เป้?”
ผมยิ้มตอบพี่วิว ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเขม่นให้พี่เป้ที่กำลังยิ้มด้วยแววตาสาแก่ใจสุดๆ หนอยๆๆๆ อยากจะนอนกับพี่วิวสองคนในห้องโดยไม่มี กขค. ล่ะสิ อย่านึกว่าผมจะตามไม่ทันเชียว แต่ถ้าผมปากโป้งกับพี่วิวไปว่าที่จริงแล้วเราตกลงกันเรื่องอะไร นอกจากจะชวดลาภระยะยาวแล้วยังมีหวังจะเจอปัญหาครอบครัวด้วย เลยได้แต่ทดไว้ในใจแล้วกะว่าจะหาโอกาสเอาคืนจากพี่เป้ทีหลังให้สาสมเลย คอยดู๊!!
“ถ้างั้นเดี๋ยวหว้ากลับห้องเลยดีกว่า ไหนๆ แล้วก็ขออาบน้ำต่อจากพี่วิวเลยละกัน พี่เป้รอต่ออีกนิดหน่อยคงไม่มีปัญหาหรอกนะ?”
ผมพูดไปพลางก็พยายามระงับความรู้สึกอยากชี้หน้าไอ้ว่าที่พี่เขยจอมเจ้าเล่ห์สุดชีวิต ถึงจะแก้ลำกลับตรงๆ ไม่ได้ แต่ได้แกล้งคืนนิดๆ หน่อยๆ แบบนี้ก็เอาวะ อย่างน้อยก็ถือว่าผมตกลงจะรักษาคำพูดของตัวเองแล้ว ทีนี้ถึงตาพี่เป้ต้องรักษาคำพูดมั่งล่ะ ว่าแต่คืนนี้ไอ้หว้าก็ต้องปูเสื่อนอนกับพื้นกระดานในห้องตัวเองน่ะสิ ฮึ่มๆๆๆ
++------++
วันถัดมา ช่วงสายๆ พ่อพาทั้งบ้านไปทำบุญถวายสังฆทาน แล้วก็แวะกินมื้อกลางวันกันข้างนอกพร้อมกับพาพี่เป้ไปซื้อของฝาก ก่อนที่จะกลับมาบ้านตอนบ่ายเพื่อให้พี่ทั้งสองเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย พี่เป้ซื้อหมูยอกับผ้าไหมไปเยอะเหมือนกัน เห็นว่าจะเอาไปฝากแม่แล้วก็พี่สาวกับน้องสาว ท่าทางบ้านเขาจะลูกดกเหมือนกันนะเนี่ย เพราะเห็นว่ามีพี่ชายอีกคนที่กำัลังจะไปเรียนอังกฤษด้วย
พอสมควรแก่เวลา พวกเราก็ยกโขยงออกจากบ้านอีกครั้งเพื่อไปส่งพี่ทั้งสองที่สถานีขนส่ง ระหว่างนั่งเบียดกันบนเบาะหลังสามคนโดยที่พี่วิวคั่นกลางระหว่างผมกับพี่เป้ ผมก็ทำเนียนขอยืมมือถือพี่วิวมากดเล่น แต่จริงๆ แอบเปิดหาเบอร์พี่เป้เพื่อจะได้ส่งเมสเสจเข้าเครื่องตัวเอง ตอนแรกก็นึกว่าพี่วิวจะเมมเบอร์พี่เป้ด้วยชื่อเล่นแบบ 'darling' หรือ ‘boyfriend’ อะไรงี้ ปรากฏว่าดันเจอชื่อเล่น ‘Pae’ ทื่อๆ เลย (จริงๆ ก็ไม่ควรคาดหวังว่าพี่วิวจะทำอะไรคิกขุแบบนั้นอยู่แล้วล่ะนะ) ผมเลยแกล้งถามอีกทีให้แน่ใจว่า “นี่เบอร์พี่เป้เหรอ?” พี่วิวก็เลยหันมามองหน้าจอแล้วพยักหน้า ส่วนพี่เป้ที่นั่งริมสุดถัดไปก็ยิ้มมุมปากแต่ไม่ได้หันมา ชิชะ รู้แกวล่ะสิว่าผมจะได้เอาไว้โทรหาเวลาจะขอตังค์ แต่รู้อยู่แล้วก็ดี เวลาผมโทรไปจะได้ไม่ต้องอารัมภบทกันมาก หึหึหึ
หลังจากพ่อหาที่จอดรถได้แล้ว ผมก็ช่วยพี่วิวถือของฝากไปส่งที่รถบัสที่จะกลับกรุงเทพฯ คราวนี้พี่วิวได้กลับมาบ้านมาแค่ไม่กี่วันเพราะต้องกลับไปฝึกงาน แล้วก็คงอีกหลายเดือนกว่าจะได้เจอกันอีก พอคิดแบบนี้แล้วผมก็ใจหายหน่อยๆ ตอนที่ทั้งสองคนเอากระเป๋าเก็บไว้ที่ช่องเก็บของใต้ท้องรถแล้ว ผมเลยเดินเข้าไปกอดพี่วิวแน่นๆ ซะทีนึง พี่วิวทำท่างงๆ แต่ก็กอดผมตอบแน่นๆ เหมือนกันแล้วลูบหัวให้
“เป็นอะไรเนี่ย กลับไปติดพี่เหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้วเรอะเรา”
พ่อแซวขึ้นมา ผมเลยหันไปทำหน้าบูดใส่ ไอ้เรื่องสมัยเด็กที่เราไม่ค่อยอยากจำเนี่ย คนรอบตัวมักจะชอบช่วยจำให้ดีนักแหละ แถมพอสบโอกาสเมื่อไหร่ก็จะฟื้นฝอยขึ้นมาคอยเตือนความจำให้ซะอีกด้วย พี่วิวหัวเราะแล้วก็จับไหล่ผมไว้ตอนผมปล่อยแขนออก
“ไว้โตกว่านี้อีกหน่อย พอปิดเทอมแล้วหว้าไปอยู่หอกับพี่ก็ได้จะได้เปิดหูเปิดตา ตอนนี้ก็ทำเกรดดีๆ ไว้ก่อนแล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวพ่อกับแม่ไม่ให้ไป”
ผมเห็นพี่เป้เลิกคิ้วข้างหนึ่งตอนพี่วิวพูดว่า ‘พอปิดเทอมแล้วหว้าไปอยู่หอกับพี่ก็ได้’ แต่จะเพราะอะไรไม่รู้ล่ะ เมื่อพี่ชายเสนอมาให้อย่างนี้ผมก็ต้องรับไว้ก่อนสิ
“สัญญานะพี่วิว งั้นเดี๋ยวปีนี้หว้าจะสอบให้ติดอันดับหนึ่งในห้าของห้องเลย ปิดเทอมเมื่อไหร่จะได้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ กับเขามั่ง”
พี่วิวพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็ตบบ่าผม จากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับพี่เป้ก่อนจะไหว้ลาพ่อกับแม่ พอขึ้นรถแล้วพี่วิวที่นั่งติดหน้าต่างก็โบกมือให้พวกผมอีกที ผมเลยโบกมือลาก่อนจะเดินตามพ่อกับแม่กลับไปที่รถบ้าง ระหว่างที่พ่อขับรถออกจากสถานีขนส่ง ผมก็เปิดมือถือขึ้นมาเช็คเบอร์พี่เป้แล้วบันทึกเข้าเครื่อง จากนั้นก็เอนหลังลงนอนหนุนหมอนอิงบนเบาะหลังแล้วพิมพ์เมสเสจไปหา ถือซะว่าเป็นของขวัญส่งท้ายก่อนจะได้เจอกันใหม่ก็แล้วกัน
“ถ้าทิ้งพี่ผมล่ะน่าดู”
ผมกดส่งข้อความแล้วก็ขยับหาท่าให้ตัวเองนอนสบายขึ้น แล้วความที่ติดนิสัยชอบยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นมา เลยยันเท้าไปบนกระจกหน้าต่างจนแม่ต้องหันมาเอ็ดให้เอาลง ก็แหม เด็กมันกำลังโต ขามันก็เริ่มจะยาวนี่นา แต่สรุปผมก็ต้องเอาขาลงแหละไม่งั้นเดี๋ยวมีบทลงโทษอื่น แต่ยังไม่ทันจะได้เคลิ้มหลับเนื่องจากเหนื่อยที่วันนี้โดนพาไปท่องเมือง หูก็ดันได้ยินเสียงจากมือถือว่ามีเมสเสจเข้า พอเปิดดูก็เห็นว่าเป็นข้อความจากพี่เป้ ส่งมาเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ และโชคดีว่าง่ายพอที่มันสมองระดับผมอ่านเข้าใจ
“No way.”
อารามที่ตอนนั้นกำลังเบลอๆ ผมเลยงงว่าตอนแรกตัวเองส่งข้อความไปว่าอะไรหว่า (คนกำลังง่วงๆ ก็มึนแบบนี้แหละ) แต่พอนึกออก คราวนี้ผมเลยยิ้มยิงฟัน อย่างน้อยพี่เป้ก็น่าจะเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักษาคำพูดล่ะวะ เลยพิมพ์ข้อความตอบไปอีกทีแบบสั้นๆ ให้รู้ว่าผมรับรู้แล้ว และห้ามกลับคำด้วยนะเฟ้ย
“Good!”
พอส่งข้อความเสร็จ ผมก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมแล้วเตรียมจะนอนต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เป้จะส่งเมสเสจตอบมาอีกไหม แต่คิดว่าแค่นั้นเราก็คงเข้าใจในสัญญาลูกผู้ชายกันทั้งคู่แล้ว แต่ว่าก็ยังไม่วาย แม่ไม่ยอมให้ผมได้หลับสบายๆ จนได้
“ว่าแต่เนี่ย ถ้าหว้าขยันได้อย่างพี่วิวเขามั่งก็ดีนะ ไม่งั้นสงสัยอดเข้ากรุงแหงๆ เกรดเทอมที่ผ่านมายังแทบจะหลุดอันดับสิบของห้องอยู่แล้วเลย พ่อคิดเหมือนแม่หรือเปล่า?”
“โธ่แม่ ปิดเทอมทั้งที อย่าทับถมหว้าเรื่องเรียนได้ไหมคร้าบบบบบบบ”
++------++
เอาล่ะ นั่นคือที่มาที่ไปของสาเหตุว่าผมรู้เรื่องพี่เป้กับพี่วิวได้ยังไง และทำไมผมถึงทำตัวขูดรีดพี่เป้ซะขนาดนี้ แต่ถ้าเอากันจริงๆ ผมว่าผมก็ไม่ค่อยได้ขูดอะไรเท่าไหร่นะ ก็เฮียเขาเงินเหลือกินเหลือใช้ออกจะตาย อีกอย่างก็ไม่ใช่้ว่าพี่เป้ให้เงินผมทุกครั้้งที่ขอ หรือให้ตามจำนวนที่อยากได้ทุกทีเสียหน่อย แล้วยิ่งรู้จักกันไปนานๆ พี่เป้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมีพี่ชายอีกคนเข้าไปทุกที เพียงแต่คนนี้นอกจากจะบอกให้ผมตั้งใจเรียนกับประหยัดอดออมเหมือนพี่วิวแล้ว ยังคอยย้ำเตือนให้ผมเป็นเด็กดี ไม่ให้พี่ชายต้องคอยเป็นกังวลแทนพ่อกับแม่ไปด้วย ซึ่งหลักใหญ่ใจความของสิ่งที่พี่เป้สอนผม ก็คงเพราะว่าอยากให้พี่วิวสบายใจก็เท่านั้นแหละ
ผมยอมรับว่าช่วงแรกๆ ผมน่ะหมั่นไส้พี่เป้มาก (แบบโคตรมาก) แต่หลังๆ นี้ก็ไม่ค่อยมากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะผมสังเกตได้ว่า อย่างน้อยการที่พี่เป้มาคบกับพี่วิวก็ไม่ได้ทำให้พี่วิวเปลี่ยนไป พี่ผมยังคงเป็นคนเดิม แถมบางครั้งก็ดูละเอียดอ่อนและใส่ใจกับบางเรื่องที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจมากขึ้นด้วย และถ้าหากจะให้บรรยายความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ผมก็คงได้แต่ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องเสีย และที่ำสำคัญที่สุด ผมคิดว่าพี่วิวมีความสุขมากกว่าตอนที่ไม่คบกับใคร ซึ่งที่ผ่านมาพี่ผมเขาก็คงไม่ได้ขวนขวายอยากจะมีคนรู้ใจอย่างคนอื่นเขาหรอก แต่พอมีกับเขาแล้วสักคน ผมว่ามันช่วยให้พี่วิวยิ่งเห็นเป้าหมายในชีวิตชัดเจนขึ้นกว่าก่อนเยอะเลย ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าควรจะบอกพ่อกับแม่เรื่องที่คบกับพี่เป้เมื่อไหร่ดีก็ตามเถอะ
จากที่เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าจะสอดแนม แอบดูไปเรื่อยๆ ว่าสุดท้ายพี่เป้จะทำให้พี่วิวเสียใจหรือเปล่า พอเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มละวางความคิดนั้น เพราะดูจากท่าทางแล้ว ผมว่าพี่เป้ไม่ปล่อยพี่วิวไปง่ายๆ แน่ ก็ขนาดกับผมที่เป็นน้องพี่วิวแท้ๆ ยังมาทำทีหึงหวงเป็นบางครั้งเลยนี่นา นี่ถ้าผมไม่ได้รู้จักพี่เป้มาตั้งแต่ตอนที่สองคนนี้เขาเริ่มคบกัน ผมคงคิดว่าผู้ชายคนนี้เพิ่งมาตามจีบพี่ผมแหงๆ เพราะดูเหมือนยิ่งคบกันไปนานเท่าไหร่ อัตราความหลงของพี่เป้ที่มีในตัวพี่ิวิวกลับยิ่งมีแต่จะเพิ่มขึ้น และดูแล้วท่าทางจะไม่มีวันลดซะด้วยสิ ผมก็เลยได้แต่ต้องยอมทำใจ ปล่อยพี่วิวไปให้กับคนที่รักเขาจริงๆ เพราะว่าพี่ผมก็คงไม่มีทางรักใครได้อีกนอกจากตาคนนี้แล้วเหมือนกัน
แต่สรุปทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเห็นดีเห็นงามที่พี่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันนะ เพียงแต่ผมก็ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้มากขึ้นว่าใครจะรักกับใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา และตราบใดที่พวกเขาสองคนมีความสุข ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็ไม่ควรจะไปขัดขวางด้วยเหตุผลงี่เง่าๆ ว่ามันไม่ถูกต้องตามมาตรฐานของสังคม และที่สำคัญที่สุด สำคัญมากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นทั้งหมดทั้งปวงเลย ก็คือพี่วิวเป็นพี่ชายเพียงคนเีดียวที่ผมมี
และภารกิจพิทักษ์ความสุขให้พี่ชาย...ก็ย่อมจะเป็นหน้าที่ของน้องชายผู้แสนดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?
++---End ความในใจของน้องชาย---++