ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : ความลับที่ไม่บอกใครเย็นวันนี้อากาศร้อนสมกับที่เป็นกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ค่อยได้สัมผัสฤดูอื่นไม่ว่าเวลาจะหมุนเวียนเข้าช่วงไหนของปี กระนั้นก็ดูเหมือนสภาพอากาศจะไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกที่วิ่งไล่เตะลูกฟุตบอลกันอย่างสนุกสนานอยู่กลางสนามหญ้า ส่วนตัวผมเองไม่ได้ลงไปร่วมเล่นด้วยเพราะมีแววว่าจะได้อับอายกับความไร้ทักษะด้านกีฬาที่มีค่อนข้างน้อย อีกอย่างตอนที่โบ้ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเป้ถามผมว่าจะลงไปเล่นบอลด้วยกันก่อนกลับบ้านหน่อยไหม พ่อคุณชายที่มักตัวติดกับผมตลอดก็รีบขัดขึ้นทันที
"ไม่ต้องชวนโว้ย! พวกมึงตัวยังกับหมีควายแถมถนัดเล่นกันแต่แรงๆ เกิดวิวเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง"
ตอนนั้นผมคันปากอยากเถียงว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่เพราะรู้ว่าโบ้ก็แค่ชวนตามมารยาท และหน้าที่เฝ้าของก็ดูจะเหมาะกับผมที่เป็นเด็กเรียนมากกว่า สุดท้ายก็เลยได้มานั่งที่โต๊ะประจำริมสนามพลางทำการบ้านไปด้วย นานๆ ทีก็หันไปมองพวกในสนามบ้างเวลาได้ยินเสียงเฮเหมือนใครทำประตูได้ แต่ก็ไม่ได้นึกอยากเร่งรัดให้เป้เลิกเล่นเพื่อจะได้รีบกลับห้องไปพักผ่อน พวกที่พลังงานเหลือเฟืออย่างหมอนี่ปล่อยให้ออกกำลังที่เสียเหงื่อเยอะๆ นอกจากกิจกรรมในห้องบ้างก็ดีเหมือนกัน
"เฮ้ย!! วิว!!!"
จู่ๆ เสียงตะโกนลั่นจากกลางสนามก็ทำให้ผมรีบหันขวับไปทางต้นเสียง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นลูกบอลกลมๆ ลอยลิ่วเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง จังหวะนั้นตกใจก็ตกใจ แต่สัญชาตญาณป้องกันตัวทำให้รีบยกแขนขวาขึ้นปกป้องศีรษะเป็นอย่างแรก ก่อนจะได้ยินเสียง 'ตุ้บ' พร้อมกับความเจ็บที่แล่นจี๊ดมาตรงแขนที่ถูกลูกบอลกระแทก
ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตรงเข้ามาหา และแน่นอนว่าคนแรกที่มาถึงคือพ่อคุณชายขายาวที่ทำสีหน้าไม่สู้ดีขณะที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคว้าแขนขวาผมไปดู
"ขอโทษที เจ็บรึเปล่า?"
ประโยคนั้นทำให้ผมรู้ทันทีว่าตัวการที่ทำลูกบอลพุ่งออกนอกสนามก็คือหมอนี่เอง แต่เพราะหน้าตาคนทำดูแย่ยังกับเห็นผมเลือดออกแทนที่จะเป็นแค่รอยฟกช้ำ ผมเลยรีบชักแขนกลับมาแล้วพยายามทำสีหน้าเหมือนไม่เป็นไร ...ทั้งที่ก็เจ็บอยู่เหมือนกันเพราะฝีเท้าเป้ไม่ใช่เบาๆ เลย
"ไม่เป็นไรหรอก แค่นิดเดียวเอง"
โบ้กับเพื่อนๆ อีกสามสี่คนพากันล้อมเข้ามาดูว่าผมเป็นอะไรมากไหม ผมไม่แน่ใจว่าที่ทุกคนทำหน้าตกใจจนเลิ่กลั่กนี่เพราะเห็นผมโดนบอลกระแทกหรือเพราะท่าทางของเป้กันแน่ แต่หลังจากผมพูดย้ำให้ทุกคนสบายใจและกลับไปเล่นต่อได้ เป้กลับหันไปบอกโบ้ว่าจะขอตัวกลับก่อน
"ไปเล่นต่อก็ได้นะเป้ วิวยังอ่านหนังสือไม่จบเลย ให้รอต่อก็ได้"
ผมเอ่ยทักหลังพวกเพื่อนๆ ของเป้วิ่งกลับไปไล่ลูกฟุตบอลกันในสนาม แต่เป้กลับส่ายหน้าพลางหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองมารูดซิปออก
"ไม่เอาล่ะ เหนื่อยแล้ว วันนี้กลับกันดีกว่า เป้ก็มีการบ้านต้องทำเหมือนกัน"
โชคดีวันนี้ในกระเป๋าของเป้มีเสื้อยืดใส่เล่นอยู่ตัวหนึ่ง พ่อคุณชายเลยถอดเสื้อเชิ้ตที่ชุ่มเหงื่อออกก่อนจะหยิบเสื้อยืดตัวนั้นมาใส่แทน แต่ชั่วขณะไม่กี่วินาทีที่เจ้าตัวอวดผิวกายท่อนบนซึ่งเป็นประกายเพราะเหงื่อ ผมพอจะทันเห็นสายตาของสาวๆ ที่เดินผ่านมาแถวนั้นแล้วทำตาวิบวับพลางหันไปป้องปากกระซิบกระซาบกันเหมือนถูกใจ ในขณะที่บางคนก็หน้าแดงแล้วรีบหลบสายตาหนีเหมือนเขิน
เอาล่ะ...ก็รู้หรอกนะว่าหมอนี่ดึงดูดสายตาผู้คนเป็นปกติ แล้วไอ้ที่ถอดเสื้อไปเมื่อกี้ก็คงไม่ได้ตั้งใจจะอวดเรือนร่างยั่วใคร เพราะเป็นผมก็คงไม่ชอบที่ต้องใส่เสื้อเปียกเหงื่อในอากาศร้อนๆ อย่างนี้เหมือนกัน
แต่ไอ้ความรู้สึกจี๊ดที่พุ่งทะลักขึ้นในอกตอนนี้สำหรับคนที่เป็นแฟน...มันคงห้ามกันไม่ได้ใช่ไหม?
"วิวเป็นอะไร โกรธที่เป้เตะบอลไปโดนเหรอ?"
"เปล่า เป้ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งนี่ จะโกรธทำไม"
"ถ้างั้นก็โกรธที่รถเสีย? แต่คนที่อู่โทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ก็ไปเอารถคืนได้แล้วนะ"
ผมกลอกตาก่อนจะตอบเสียงต่ำโดยไม่หันไปมองคนข้างหลัง "รถเสียก็ไม่ใช่ความผิดของเป้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้ไม่โกรธหรอกน่า"
ตอนนี้พวกเรากำลังเดินเลียบทางริมแม่น้ำเพื่อกลับหอ เนื่องจากเมื่อสองวันก่อนจู่ๆ รถของเป้ก็มีปัญหาสตาร์ทไม่ติดเลยต้องส่งซ่อม ทำให้สองวันมานี้พวกเราต้องใช้บริการรถเมล์บ้าง แท็กซี่บ้างแล้วแต่ความรีบร้อนในตอนนั้น แต่เพราะวันนี้ตั้งใจกันว่าจะแวะหาอะไรกินกันก่อนก็เลยเลือกจะเดินกลับ
"ถ้างั้นนี่งอนเป้เรื่องอะไรล่ะ?"
พ่อคุณชายสาวฝีเท้ามาจนทันแล้วกระตุกข้อมือผมให้หันไปหา แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไปทุกทีทาบลงบนเสี้ยวหน้าที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่สบายใจ พอผมเห็นสีหน้าแบบนั้นก็เลยชักละอายในความไร้สาระของตัวเองขึ้นมา ทั้งที่ไม่ชอบการแสดงออกเหมือนคนช่างคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้แท้ๆ
แต่ก็ไม่อยากบอกนี่นาว่าไม่ชอบแววตาของคนที่มองหมอนี่ถอดเสื้อเมื่อกี้ แล้วเลยอดจะพาลไปถึงคนถอดด้วยไม่ได้ ทั้งที่จะว่าไปแล้วเป้ก็ไม่ผิดอีกนั่นแหละ ในเมื่อหมอนี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องหาที่ลับตาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย
ทำไมผมถึงเป็นพวกชอบหาเหตุผลให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็แก้ตัวให้ทั้งตัวเองและคนอื่นได้เสร็จสรรพอยู่เรื่อยแบบนี้ด้วยนะ
"ง้าววววววว...."
เสียงแหลมเล็กที่ดังเข้าหูทำให้ผมมุ่นคิ้วพลางเหลือบตาขึ้นสบตากับเป้ อีกฝ่ายเองก็มองหน้าผมงงๆ เหมือนกัน แต่แล้วเสียง 'แง้ววววววววว' ที่ดังอย่างเร่งเร้าขึ้นกว่าเดิมก็ดึงสายตาของเราทั้งคู่ให้พยายามมองหาต้นเสียง เพราะมันฟังแล้วเหมือนเจ้าของเสียงกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
"เสียงเหมือนมาจากข้างล่างนี้นะ"
ผมย่อตัวลงเมื่อจับทิศทางของเสียงได้ จากนั้นก็เห็นขาเล็กๆ ของลูกแมวสีขาวตัวหนึ่งกำลังตะกุยเสาปูนอย่างเอาเป็นเอาตายโดยที่ครึ่งตัวล่างติดอยู่ในกอผักตบชวา นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะกอผักตบนั่นลอยมาติดเสา สงสัยลูกแมวตัวนี้อาจจะลอยไปกลางแม่น้ำหรือไม่ก็จมน้ำไปแล้วก็ได้
"เฮ้ย! วิวจะทำอะไร!"
เป้รีบรั้งเอวผมไว้เมื่อเห็นผมทำท่าจะปีนข้ามราวทางเดินเพื่อลงไปช่วยลูกแมว เนื่องจากถึงแม้ระหว่างราวจับกับพื้นทางเดินริมแม่น้ำจะมีช่องว่างระหว่างเสาต้นเล็กๆ แต่ระยะแค่นั้นผมคงยื่นแขนลงไปไม่ถึงอยู่ดีเพราะติดไหล่ วิธีเดียวที่จะช่วยลูกแมวได้โดยไม่ต้องโดดลงน้ำคือปีนไปยึดราวจากด้านนอกแล้วก้มคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นมา
"ลงไปช่วยลูกแมวตัวนั้นไง ถ้าปล่อยไว้มันอาจจะจมน้ำตายก็ได้นะเป้"
ดูเหมือนเจ้าแมวน้อยจะรับรู้ว่ามีคนได้ยินเสียงจึงยิ่งร้องขอความช่วยเหลือมากขึ้น ผมเองต่อให้ไม่ใช่คนที่รักสัตว์มากมายนักเพราะที่บ้านไม่ได้เลี้ยงอะไร แต่จะให้ทำใจแข็งแล้วทิ้งมันไว้อย่างนั้นก็ทำไม่ลง
"ไม่เอา แขนวิวยังช้ำอยู่เลย เป้ลงไปเอง"
เป้ยังพูดไม่ทันจบก็ปล่อยกระเป๋าสะพายลงกับพื้นแล้วเหวี่ยงตัวข้ามราวไป ผมใจหายวูบเมื่อเห็นเท้าอีกฝ่ายวางบนช่องระหว่างเสาที่เชื่อมราวจับกับพื้นทางเดินอย่างหมิ่นเหม่ เป้หันมาสบตาผมแล้วก็ยิ้มก่อนจะค่อยย่อตัวลงโดยใช้มือข้างหนึ่งจับราวไว้เพื่อจะได้ยืดแขนอีกข้างลงไปให้ถึงเจ้าตัวน้อยได้ ผมชะโงกตัวข้ามราวไปดูเมื่อได้ยินเป้สบถเบาๆ ก่อนจะใช้มือเดียวคว้าลูกแมวตัวเล็กจ้อยขึ้นมาได้ในที่สุด
"ดิ้นชะมัด อยู่เฉยๆ สิไอ้ตัวเล็ก"
"สงสัยมันจะหนาวนะเป้ ไม่รู้แช่น้ำมานานแค่ไหนแล้ว"
ผมมองเจ้าตัวเล็กที่ดูเหมือนจะเริ่มสงบลงบ้างหลังรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในน้ำอีกต่อไป แต่พอยกมือขึ้นลูบหัวของมันที่กำลังสั่นเทา ผมก็เห็นว่าบนมือใหญ่ข้างหนึ่งมีรอยขีดสีแดงเป็นเส้นเล็กๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป้คงได้รอยนี้มาตอนกำลังพยายามจะช่วยเจ้าหนูนี่ขึ้นจากน้ำนี่เอง
"เอ๊ะ โดนข่วนนี่เป้ เจ็บรึเปล่า?"
คราวนี้เป็นผมที่หน้าเสียบ้างเมื่อเห็นว่าเป้เลือดออก เป้มองรอยบนมือข้างนั้นก่อนจะยักไหล่ จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างจับลูกแมวแทนแล้วทำท่าจะยกมือข้างที่โดนข่วนขึ้นเลียแผล
"นี่! หยุดเลยนะ! ขืนเลียแล้วเชื้อโรคเข้าแผลจะทำไง รีบไปหาที่ล้างมือเดี๋ยวนี้เลย!"
ผมเผลอตีมือเป้ไปก่อนเจ้าตัวจะทันยื่นลิ้นออกมาโดนแผล รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดุหว้าอยู่ก็ไม่ปาน ผมก้มลงหยิบกระเป๋าบนพื้นแล้วจูงมือข้างที่มีรอยข่วนของเจ้าเด็กโข่งออกเดินเพื่อกันไม่ให้เป้ได้เลียแผลอีก โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนที่เดินตามหลังเหลือบตาลงมองมือของผมที่กุมมือตัวเองไว้ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองแผ่นหลังของผมแล้วก็ยิ้มชอบใจตลอดทาง
พวกเราแวะมาหยุดที่ร้านอาหารซึ่งตั้งใจจะมาทานข้าวเย็นกันตั้งแต่แรก หลังจากเป้ผละไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมือแล้วผมก็ขอผ้าเก่าแต่สะอาดจากพนักงานเพื่อเอามาห่อเจ้าตัวน้อยที่ยังสั่นเพราะความหนาว ขณะมองตากลมโตสีฟ้าของลูกแมวในมือพลางตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี เด็กหญิงอายุราวๆ หกเจ็ดขวบถักผมเปียคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาผม
"อ๊า ไวท์ช็อก ไวท์ช็อกจริงๆ ด้วย"
"อื๋อ?"
ผมเหลือบมองลูกแมวสีขาวปลอดในอุ้งมือที่มีผ้าขนหนูเก่าห่อตัวแล้วมองกลับไปที่แม่หนูน้อยคนนั้น เด็กหญิงยื่นแขนขึ้นมายื้อมือผมแล้วก็ทำตาแดง
"ไวท์ช็อกค่ะ เมื่อกี้ไวท์ช็อกหายไป แม่มันร้องหาใหญ่เลย หนูนึกว่ามีใครขโมยมันไปแล้วซะอีก"
พอเป้เดินออกมาจากห้องน้ำก็ทำหน้าแปลกใจที่เห็นเด็กหญิงกำลังพยายามยื้อลูกแมวออกจากมือผม ขณะที่พวกเรายังงงๆ กันอยู่ เจ้าของร้านอาหารก็เดินออกมาจากห้องด้านในแล้วช่วยอธิบายว่าลูกเหมียวในมือผมเป็นลูกของแมวที่ทางร้านเลี้ยงไว้ พอดีเมื่อตอนเย็นนั้นแม่หนูน้อยอุ้มเจ้าไวท์ช็อกออกไปเดินเล่นตรงริมน้ำ แต่แล้วก็ปวดฉี่เลยวิ่งกลับมาเข้าห้องน้ำโดยลืมเอาลูกแมวกลับมาด้วย พอออกไปอีกครั้งก็ไม่เจอเจ้าไวท์ช็อกแล้ว สงสัยว่าระหว่างที่ไม่มีใครเห็น เจ้าตัวเล็กคงจะซุกซนจนพลัดตกน้ำ แล้วก็ลอยไปจนติดกอผักตบชวาตรงที่ผมกับเป้ช่วยขึ้นมานั่นเอง
"ขอโทษด้วยนะคะ ลูกพี่ก็ไม่ไหวเลย ดูแลแมวไม่ดีจนปล่อยให้ตกน้ำได้"
หลังรู้ว่าผมกับเป้ช่วยลูกแมวตัวโปรดของลูกสาวไว้ คุณพี่เจ้าของร้านก็หันมาเอ่ยขอบคุณอย่างเกรงใจที่ทำให้พวกเราต้องลำบาก แต่ผมกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อย่างโล่งอก
"ไม่หรอกครับ มันปลอดภัยก็ดีแล้ว นี่ถ้าไม่เจอเจ้าของผมก็คงหนักใจเหมือนกันว่าจะเอาไปฝากใครเลี้ยงดี เพราะที่หอก็ห้ามเลี้ยงสัตว์ซะด้วย"
"ถ้างั้นเพื่อเป็นการขอบคุณ มื้อนี้พี่ลดค่าข้าวให้พวกคุณ 50% ก็แล้วกันนะคะ ตามสบายเลยค่ะ"
ตลอดมื้อนั้น แม่หนูลูกสาวเจ้าของร้านมานั่งคุยกับพวกเราที่โต๊ะพร้อมกับอุ้มเจ้าไวท์ช็อกมาป้อนนมไปด้วย ดูท่าทางเธอคงจะชอบเจ้าลูกแมวน้อยเอามากๆ ดูเหมือนแม่หนูจะคุ้นหน้าพวกเราสองคนเพราะเคยเห็นมาทานข้าวที่ร้านบ่อยๆ เพียงแต่ไม่เคยได้เข้ามาคุยด้วยเพราะปกติจะอยู่ชั้นบนของร้านมากกว่า
หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเราก็ออกจากร้านมาโดยให้สัญญากับแม่หนูน้อยว่าถ้าว่างจะมาดูเจ้าไวท์ช็อกอีก ระหว่างทางกลับครั้งนี้พวกเราเรียกรถแท็กซี่ไปส่งที่หอ พอถึงแล้วและต่างคนต่างอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมก็หยิบยาเบตาดีนออกจากกล่องใส่ยาแล้วเอามาหยดใส่แผลให้เป้อีกทีเพื่อความมั่นใจ
"ไม่เจ็บแล้วใช่มั้ยเป้?"
ผมเผลอตัวเป่าแผลให้เป้เหมือนกำลังทำแผลให้เด็กตัวเล็กๆ เจ้าเด็กโข่งที่กำลังนั่งยิ้มแป้นเลยส่ายหน้า "ไม่เจ็บหรอก เล็บลูกแมวมันเล็กนิดเดียวเอง แขนวิวต่างหากเป็นไงบ้าง"
เป้ถามพลางดึงแขนผมข้างที่โดนบอลกระแทกเมื่อตอนเย็นขึ้นมาดู และคราวนี้ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังระบายด้วยรอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
"เริ่มเขียวแล้วนี่นา เรามียาหม่องอยู่ใช่มั้ย เดี๋ยวเป้นวดให้"
เป้พูดแล้วก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม หันไปคุ้ยหายาหม่องในกล่องยาแล้วเอาขึ้นมาปาดบนรอยช้ำเขียวบนแขนผมแล้วนวดให้อย่างเบามือ
"ขอโทษทีนะ ตอนนั้นเป้มัวแต่แย่งบอลกับไอ้พวกนั้นจนลืมว่าเตะบอลไปทางที่วิวนั่งอยู่เฉยเลย"
"ไม่เป็นไรหรอกน่า เวลาเล่นกันมันก็ติดพันแบบนั้นแหละ เป้ไม่ได้ตั้งใจนี่นา"
ผมเอ่ยพลางยิ้มให้คนที่กำลังทำหน้ามุ่ย ความอุ่นจากขี้ผึ้งที่ถูกนวดลงบนผิวค่อยๆ ระเหยออกไปและทิ้งสัมผัสเย็นซ่านอ่อนๆ เอาไว้แทน หลังนวดจนยาหม่องซึมเข้าผิวหมดแล้ว เป้ก็ปิดฝากระปุกยาหม่องแล้วถามขึ้นมา
"แล้วตกลงเมื่อเย็นวิวงอนเป้เรื่องอะไร?"
พอโดนถามผมเลยได้แต่ก้มหน้าอมยิ้ม ให้ตายสิ นี่ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงลูกแมวตกน้ำ แต่หมอนี่กลับยังจำเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อีกเหรอเนี่ย
"ไม่ได้งอน"
"งอนสิ ก็เอาแต่เดินนำหน้าลิ่วๆ แล้วไม่ยอมหันมามองเวลาคุยกัน จะไม่งอนได้ยังไง"
"งั้นตอนนี้หายงอนแล้ว เลยลืมแล้วว่างอนเรื่องอะไร พอใจหรือยัง?"
ผมถามพลางหยิบกล่องยาไปวางบนชั้นเพื่อจะได้นอนอ่านหนังสือบนเตียงได้ แต่พอหันกลับมาเห็นเป้ทำปากยื่นเพราะยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ผมเลยแกล้งเอามือบีบจมูกโด่งๆ นั่นด้วยความมันเขี้ยวไปทีหนึ่ง
"ไหนบอกจะรีบกลับมาทำการบ้านไง ทำไมไม่เอาออกมาทำล่ะ ไม่เสร็จห้ามมานอนนะบอกก่อน"
"โห....ใจร้าย เป้กะให้วิวช่วยสอนให้นะ"
ผมฟังแล้วได้แต่ย่นจมูกใส่คนโอดครวญ เพราะฟังก็รู้ว่ากำลังพยายามอ้อน "จะสอนได้ไง เทอมนี้ไม่ได้เรียนด้วยกันสักตัว ไปทำการบ้านที่โต๊ะโน่น วิวจะนอนแล้ว"
เป้เดาะลิ้นเมื่อเห็นผมเอนหลังบนเตียงพลางหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน แต่ก็ยอมลุกไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบการบ้านออกมาทำแต่โดยดี ดูจากท่าทางเมื่อครู่แล้ว อดจะชวนให้สงสัยไม่ได้ว่าเวลาอยู่ที่บ้านนี่พ่อเจ้าประคุณต้องให้คนอื่นมาเคี่ยวเข็ญให้ทำการบ้านเหมือนเวลาอยู่กับผมหรือเปล่า
แต่เมื่อนึกถึงวีรกรรมช่วยลูกแมวเมื่อตอนเย็นแล้วก็ เอาเถอะ...วันนี้ถือว่าพ่อคุณชายเขาเป็นฮีโร่ล่ะนะ...
"เอ้า"
"...หือ?"
เป้เงยหน้ามามองเมื่อเห็นผมวางถ้วยโอวัลตินที่เพิ่งชงให้บนโต๊ะ จากนั้นก็เอามือเกาท้ายทอยให้เบาๆ
"รางวัลที่ช่วยเจ้าไวท์ช็อกเมื่อเย็นนี้ แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน"
เป้เหลือบลงมองชีทการบ้านตรงหน้าสลับกับถ้วยโอวัลตินที่มีควันลอยกรุ่น จากนั้นก็เงยหน้ามองผมแล้วฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์จนน่าทุบ "พวกนี้น่ะเป้ทำพรุ่งนี้เช้าก่อนเข้าห้องก็ยังทันนะ"
"ไม่ต้องมาขี้โกงเลย ทำให้เสร็จแล้วเอามาให้ดูก่อนด้วย"
ผมเอ่ยสำทับทิ้งท้ายพลางเดินกลับมาที่เตียง เป้เลยเท้าแขนข้างหนึ่งบนพนักแล้วเอี้ยวตัวมาเบ้ปาก "แล้วถ้าวิวเกิดหลับไปก่อนจะให้รางวัลจะทำไงล่ะ การบ้านเป้มีตั้งหลายแผ่น"
"ให้เวลาครึ่งชั่วโมง ถ้ายังทำไม่เสร็จก็คุยกันอีกทีพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน"
ผมตอบโดยไม่หันหน้าไปหา แต่ก็เห็นได้จากหางตาแว้บๆ ว่าเป้เลิกคิ้วแล้วรีบหันกลับไปจัดการการบ้านบนโต๊ะทันที ทำเอาต้องพยายามกลั้นหัวเราะแทบตาย เพราะตาฮีโร่คนนี้บทจะโดนหลอกล่อด้วยของรางวัลก็ว่าง่ายเสียเหลือเกิน
เสียงปากกาขีดเขียนบนกระดาษผสานไปกับเสียงจากเข็มนาฬิกาที่กำลังเดิน เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งผมก็ลดหนังสือในมือลงแล้วนอนตะแคงชันศอกมองคนที่กำลังตั้งใจทำการบ้าน บางครั้งที่ดูเหมือนเป้ติดขัดตรงไหนก็จะหยิบหนังสือข้างตัวมาเปิดหาคำตอบ แผ่นหลังหนาใต้เสื้อยืดสำหรับใส่นอนอวดเส้นสายของกล้ามเนื้อแข็งแรงให้เห็นลางๆ ยามเจ้าตัวขยับร่างกาย แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเจ้าของแผ่นหลังนี้ทำอะไรได้อีกบ้างนอกจากอ้อนแฟนและช่วยลูกแมวที่กำลังตกน้ำ แต่เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นความลับของผมคนเดียวก็พอแล้ว
ส่วนสาเหตุที่ผมงอนเป้เมื่อตอนเย็นนั้นมาจากอะไร....อย่าบอกให้เจ้าตัวรู้แล้วได้ใจเลยคงจะดีกว่า...
++---End---++
A/N: ตอนนี้มีแรงบันดาลใจมาจากแมว ใช่ค่ะ แมวเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา (มั่ง ไม่มามั่ง) นี่แหละ คือช่วงไม่นานมานี้มีโอกาสแวะเวียนไปเที่ยวคาเฟ่แมวมาหลายครั้ง แล้วก็มีโอกาสเม้าท์กับเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งตั้งคำถามว่าถ้าหากเป้ วิว อ๊อฟ นะ มาเที่ยวคาเฟ่แมวด้วยกันแล้วจะเป็นยังไง ซึ่งเราก็ขอให้พี่เขาเขียนให้อ่านนี่แหละเนื่องจากตัวเองนึกภาพไม่ออก (ฮา) แต่พอคุยกันไปหลายครั้งหลายหนเข้า มันก็นึกอยากเขียนตอนพิเศษให้เป้กับวิวที่มีสัตว์ตัวน้อยๆ มาเอี่ยวเหมือนกัน เลยได้เป็นเนื้อหาชีวิตประจำวันที่ย้อนกลับไปสมัยเรียนอีกแล้ว เขียนตอนนี้ไปก็นึกขำภาพตอนเป้โดนแมวข่วนไป ก็น่าจะเป็นตอนสั้นๆ ที่ถูกใจแฟนๆ คู่นี้นะ แล้วพบกันใหม่เมื่อมีตอนใหม่มาให้อ่านค่า
แถมภาพประกอบ: เหมียวๆ กำลังนัวเนียกันที่คาเฟ่แมวซึ่งหลายคนบอกว่าเหมือนเวลาเป้ชอบไปกระแซะวิวค่ะ หุหุหุ