ไม่รู้ในเล้ายังมีใครจำคู่นี้หรือรอติดตามตอนพิเศษกันอยู่ไหม แต่ยังไงก็เขียนออกมาแล้ว ก็จะทู่ซี้เอามาลงให้อ่านกันละนะ อิอิอิ ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : ความกังวลของคนเป็นพี่ในวันอาทิตย์หนึ่งหลังจากเปิดเทอมปีสี่ได้ไม่นาน อากาศช่วงกลางวันร้อนระอุเพราะท้องฟ้าใสกระจ่าง เมื่อมองออกไปนอกห้อง ผมก็ต้องหยีตากับแสงแดดที่แผดจ้าจนต้องรีบปิดม่านและหยิบรีโมทมาเปิดแอร์ให้อุณหภูมิในห้องเย็นขึ้น
ปกติแล้ว ต่อให้อากาศร้อนแค่ไหนผมก็จะเปิดแค่พัดลมถ้าอยู่คนเดียว แต่ไหนๆ วันนี้ก็ร้อนมากผิดปกติ แถมอีกสักพักจะมีคนขี้ร้อนมาที่ห้องหลังจากกลับไปค้างคืนที่บ้านเมื่อเย็นวันศุกร์ด้วย ผมก็เลยเปิดแอร์รอไว้ให้เสียเลย จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงบ่นว่าร้อนตอนที่เจ้าตัวมาถึง
Rrrrrr Rrrrrr Rrrrr…
เสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากที่ที่ผมวางไว้บนโต๊ะหน้ากระจก ผมที่กำลังหยิบถุงส้มเขียวหวานออกจากตู้เย็นเลยรีบไปหยิบมากดรับ และเห็นว่าคนที่โทรมาคือน้องชายของตัวเองที่นานๆ จะเจอกันที
“ว่าไงหว้า? มีอะไรเหรอ?”
ผมทักทายพลางเดินกลับมานั่งบนพื้นหน้าเตียง ขณะเดียวกันก็หยิบส้มลูกหนึ่งขึ้นมาปอกไปด้วย ตอนนี้หว้าอายุสิบสี่และอยู่มัธยมต้น ถือว่ากำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและกำลังจะเป็นหนุ่มแล้ว
“พี่วิว หว้าขอคำปรึกษาหน่อยดิ”
เสียงของเจ้าน้องชายจอมป่วนที่ปกติจะร่าเริงและชอบกวนฟังดูซีเรียสผิดวิสัย ผมที่กำลังใช้คอกับหูหนีบโทรศัพท์เพื่อจะได้ปอกส้มถนัดเลยกะพริบตาอย่างงงๆ
“อือ...ว่ามาสิ เรื่องอะไรล่ะ?”
ผมถามพลางหยิบส้มที่ปอกแล้วเข้าปากหนึ่งกลีบ โชคดีว่าส้มนี่ซื้อจากตลาดนัดมาแช่ตู้เย็นไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พอได้กินส้มหวานๆ เย็นๆ ในอากาศร้อนๆ แบบนี้เลยค่อยชื่นใจขึ้นมาหน่อย แต่น้ำเสียงคนที่คุยด้วยกลับฟังแล้วแห้งแล้งอย่างไรชอบกล
“คือ...ตอนนี้หว้าเป็นแฟนกับเพื่อนในห้องอยู่อะ”
“หา?!?”
ผมอุทานอย่างประหลาดใจ อาจเพราะสำหรับคนเป็นพี่ซึ่งอายุมากกว่าแปดปี ในสายตาผมแล้วหว้ายังคงเป็นเด็กชายวนัสที่ขี้อ้อน ติดพี่ แล้วก็ยังชอบทะลึ่งทะเล้นเป็นเด็กๆ อยู่เลย แถมที่ผ่านมาก็ไม่เห็นเคยมาเล่าหรือแสดงท่าทีว่าสนใจใครเลยสักครั้ง พอจู่ๆ เจ้าตัวมาบอกว่ามีแฟน ผมเลยนึกว่าตัวเองหูเฝื่อน
“อ้อ...เหรอ...ถ้างั้น....แล้วหว้าจะปรึกษาอะไรพี่ล่ะ?”
หลายอึดใจทีเดียวกว่าคำถามนั้นจะหลุดออกมา ผมรอคำตอบพลางแกะส้มอีกกลีบเข้าปากอย่างเหม่อๆ ในหัวยังมึนๆ อยู่นิดหน่อยกับความคิดที่ว่าน้องชายมีแฟน ถึงแม้จะรู้ว่าสมัยนี้เด็กอายุเท่าหว้าเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วก็เถอะ แต่ถ้าจากประสบการณ์ของผมเอง...ตอนอายุสิบสี่ผมยังไม่เคยชอบใครหรือมีใครมาชอบเสียด้วยซ้ำนี่นา ก็เลยไม่ได้นึกว่าคนใกล้ตัวจะไวไฟแบบนี้
เสียงลมหายใจหนักหน่วงดังมาจากปลายสาย “ก็...คือ...ตอนนี้หว้าอยากขอเลิกแล้วเพราะหว้าไม่ได้ชอบเขาน่ะ”
“อ้าว!? เดี๋ยวนะหว้า ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วไปคบกันตั้งแต่แรกได้ยังไงถ้าไม่ได้ชอบกัน ไหนเล่าให้มันละเอียดกว่านี้ซิ”
ผมชักจะงงกับบทสนทนานี้เข้าไปทุกที อาจเพราะผมยังไม่ได้บอกหว้าว่าจริงๆ แล้วผมคบกับเป้อยู่ อีกอย่างก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนด้วยว่าวันหนึ่งน้องชายจะมาขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาหัวใจ ผมที่อยากจะช่วยเหลือก็เลยชักไม่มั่นใจว่าตัวเองจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือยิ่งฟังที่หว้าเล่าก็ยิ่งมีแต่คำถาม
“คือว่าอย่างนี้ เพื่อนคนนี้เรียนห้องเดียวกับหว้านี่แหละ พอดีปีที่แล้วเคยถูกจับคู่ถือพานไหว้ครูด้วยกัน ตั้งแต่ตอนนั้นทุกคนก็ชอบแซวพวกเราสองคน แต่หว้าก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ทีนี้เมื่อสักสองเดือนก่อนพุดเขาก็มาบอกว่าอยากคบกับหว้า พวกเพื่อนๆ มันก็ยุส่ง หว้าเห็นว่าลองดูก็ไม่เป็นไรเลยตกลงไป แต่ตอนนี้หว้าชักเบื่อๆ แล้ว อีกอย่างหว้าเพิ่งมารู้ว่าเพื่อนคนนึงในห้องก็แอบชอบพุดอยู่ หว้าไม่อยากเป็นก้างขวางคอมันน่ะพี่วิว”
เสียงคนเล่าระบายลมหายใจยาวเหยียดหลังจากเล่าจบ ผมเลยต้องค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องที่ฟังใหม่ในหัว แล้วก็อดนึกอยากเขกกะโหลกน้องชายไม่ได้ที่ดันไปตกลงคบกับผู้หญิงเขาทั้งที่ไม่ได้ชอบตั้งแต่ต้น เลยกลายเป็นว่าเกิดเป็นปัญหารักสามเส้าให้ลำบากใจจนได้
แต่จะว่าไป ตอนที่เป้มาเริ่มจีบผมใหม่ๆ ตอนนั้นมันก็เหมือนจะเป็นรักสามเส้าเหมือนกัน...เพียงแต่รายละเอียดมันต่างจากเรื่องของหว้านิดหน่อย...
"พี่วิว ยังฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย?"
เสียงหว้าเรียกผมกลับจากภวังค์ ผมเลยรู้สึกตัวและหันมาสนใจเรื่องของน้องชายอีกครั้ง
“ฟังอยู่ นี่หว้าบอกว่าคบกับพุดมาสองเดือน แล้วตลอดสองเดือนนี่เราไม่รู้สึกชอบเขาขึ้นมาบ้างเลยเหรอ?”
อย่างน้อยถึงตอนแรกจะไม่ชอบ แต่ถ้าคนเราได้ทำความรู้จักกัน อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีความผูกพันเกิดขึ้นบ้างนี่นา ผมเองตอนเป้มาเทียวไล่เทียวขื่อแรกๆ ก็ยังไม่ได้รู้สึกพิเศษด้วยสักหน่อย
เสียงเดาะลิ้นเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน “จะว่าไงดี แรกๆ หว้าก็คิดว่าเขาน่ารักดีหรอก แถมพวกผู้ชายในห้องก็อิจฉากันน่าดู แต่พอคบๆ ไป หว้าไม่ค่อยชอบที่เขามาทำตัวจุกจิกเกินไปอะ เพื่อนๆ มันก็บอกว่านี่เรื่องปกติของผู้หญิง แต่หว้าไม่ชอบนี่นา แล้วยิ่งพอรู้ว่ามีเพื่อนในห้องก็ชอบพุดอยู่ด้วย เลยคิดว่าถ้าสองคนนี้ได้คบกันคงจะดีกว่า”
ผมฟังที่หว้าอธิบายก็พอจะเห็นภาพมากขึ้น แต่ขณะที่กำลังคิดตามหลักเหตุผลว่าจะให้คำแนะนำอย่างไรดี ก็พอดีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เลยกรอกเสียงบอกน้องชายพลางเดินไปเปิดประตูห้อง “รอแป๊บนะหว้า”
พอเปิดลูกบิดที่ล็อกไว้ก็เจอเป้ที่ยืนถือถุงขนมกับกระเป๋าที่ไปเอามาจากบ้าน ผมเลยผลักบานประตูให้กว้างขึ้นเพื่ออีกฝ่ายจะได้เข้าห้องได้สะดวก เป้หันไปปิดประตูแล้วก็ดึงผมไปจูบเบาๆ ก่อนจะยิ้ม
“อืม...หอมกลิ่นส้ม”
“เฮ้ย! ไอ้บ้า! คุยกับหว้าอยู่!!"
ผมรีบท้วงแต่ก็พยายามกดเสียงให้ต่ำไว้ รู้สึกว่าหน้าร้อนไปหมด ได้แต่หวังว่าเสียงจูบเมื่อกี้คงไม่ดังเข้าไปในโทรศัพท์ ผมก็ลืมซะสนิทว่าเวลามาที่ห้องหลังไม่เจอกันข้ามวันแล้วหมอนี่จะชอบทักทายแบบนี้
“โทษทีหว้า เพื่อนมาที่ห้องน่ะ คุยกันต่อเถอะ”
ผมตั้งใจหยิบมือถือขึ้นมาพูดต่อหน้าเป้ พ่อคุณชายจะได้รู้ว่าผมกำลังคุยติดพันกับน้องชาย เป้ขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้าเข้าใจว่าให้เงียบๆ จากนั้นก็ก้มลงหยิบกระเป๋ากับถุงขนมเพื่อเอาไปเก็บเข้าที่
“พี่เป้มาเหรอ?”
เสียงเจ้าน้องชายที่เมื่อครู่ฟังดูเบื่อโลกเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันควัน แถมผมว่ามันฟังแล้วเหมือนคนพูดกำลังกระดี๊กระด๊าพิกล เลยปรายตาไปทางคนที่กำลังก้มเปิดตู้เย็นแวบหนึ่งแล้วค่อยตอบ
“อือ”
“ว้า...ถ้างั้นหว้าค่อยโทรมาใหม่วันหลังดีกว่ามั้ง”
“ไม่ต้องเลยหว้า คุยกันให้เสร็จตอนนี้นี่แหละ”
ผมตอบเสียงเข้ม ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งสงสัยว่าน้องชายระแคะระคายเรื่องผมกับเป้หรือเปล่า แต่ก็ไม่อยากถามเพราะกลัวว่าจะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอก เป้คงได้ยินเสียงผมดุขึ้นนิดหนึ่งเลยหันมาเลิกคิ้ว ผมเลยโบกมือว่าไม่มีอะไรแล้วเปิดประตูออกไปคุยนอกห้องแทน
“เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ? หว้าเบื่อพุดเพราะเขาชอบจุกจิกเกินไป แล้วก็สงสารเพื่อนที่ชอบพุดอยู่ใช่ไหม?”
ผมถามสรุปความใหม่อีกที ก่อนจะพยายามคิดถึงความรู้สึกของทุกคนแล้วให้คำแนะนำหว้าไป พวกเราคุยโทรศัพท์กันนานมากจนผมรู้สึกว่าแบตเตอรี่ร้อนจี๋กว่าจะได้วางสาย พอเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็เจอเด็กโข่งตัวใหญ่นอนเอกเขนกดูทีวีอยู่กลางเตียง กางเกงยีนส์ขายาวที่ใส่มาตอนแรกโดนเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเรียบร้อยแล้ว
ตาคนนี้ก็ชอบทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านตัวเองก็ไม่ปาน...
ผมคิดพลางยิ้มอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ แต่ความจริงก็ค่อนข้างชินเพราะเราคบกันมาเป็นปี อีกอย่างเพราะว่าเป้ชอบมาขลุกอยู่ที่นี่แทบจะทุกวันในหนึ่งสัปดาห์ กลายเป็นว่าวันไหนที่เป้ไม่มาหาสิที่ผมจะรู้สึกแปลกๆ มากกว่า
“เป้ปอกส้มไว้ให้แล้วนะ แต่เห็นวิวคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จสักทีเลยเอาไปแช่ตู้เย็นไว้”
เจ้าคนที่นอนกลางเตียงพูดพลางขยับตัวให้เหลือที่สำหรับผม ผมเลยเปิดตู้เย็นไปหยิบจานที่ใส่ส้มแล้วเอามานั่งทานบนเตียง และไม่ลืมหยิบกล่องทิชชู่มาวางข้างๆ เผื่อน้ำจากส้มหยดเลอะเทอะ
“เมื่อกี้หว้าโทรมาเหรอ?”
เป้ถามทั้งที่ยังนอนดูทีวี ผมที่นั่งพิงหมอนอยู่ข้างๆ เลยพยักหน้า “อือ โทรมาปรึกษาเรื่องแฟน คือว่ามีเด็กผู้หญิงในห้องมาขอคบกับหว้า แต่พอคบกันไปแล้วหว้าเบื่อเขา อีกอย่างมีเพื่อนอีกคนในห้องชอบเด็กคนนั้นอยู่ หว้าก็เลยอยากเสียสละให้เพื่อนมากกว่า”
“อืม แล้ววิวบอกน้องไปว่าไง?”
เป้ถามพลางดันตัวขึ้นนั่งแล้วหยิบส้มไปกินบ้าง ผมเลยดึงทิชชู่จากกล่องส่งให้สำหรับคายเมล็ดทิ้ง
“ก็บอกหว้าไปว่าให้คิดให้ดีๆ เพราะถ้าหากเลิกกันแล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าตัวเองก็ชอบเขา หว้าอาจจะเสียดายก็ได้ แล้วก็แนะนำไปว่าให้ลองคุยกับเด็กคนนั้นดูก่อนว่าให้ลดนิสัยจู้จี้จุกจิกได้หรือเปล่า"
พอเป้ฟังท้ายประโยคผมก็หัวเราะพรืด ผมเลยมองกลับด้วยสายตาเขม่น “หัวเราะอะไรเป้”
“เปล่าๆ แค่คิดว่าสมเป็นคำแนะนำของวิวจริงๆ ด้วย ถ้าหากเป็นเป้นะ เป้คงบอกว่าถ้าไม่ชอบก็รีบเลิกไปเลยเถอะ ไม่งั้นก็เสียเวลากันทั้งคู่ อีกอย่างหว้าก็อายุเท่านี้เอง ถ้าเลิกกับเด็กคนนั้นจะได้ลองคบคนอื่นให้รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหนกันแน่ไง”
“แต่น้องเพิ่งอายุสิบสี่...”
ผมอดท้วงไม่ได้ ถึงแม้ตอนคุยโทรศัพท์จะให้คำแนะนำไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมอยากบอกหว้าด้วยซ้ำว่าอายุเท่านี้ยังไม่ต้องคิดเรื่องมีแฟนหรอก แต่ก็กลัวว่าหากพูดไปจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยจนหว้าไม่อยากมาปรึกษาอีก
นี่ผมหัวโบราณเกินไปหรือเปล่านะ...
“วิว...ตอนเป้อายุเท่าหว้าน่ะ เป้มีแฟนสามคนแล้วนะ”
เสียงเป้ดังขัดความคิดขึ้นมา ผมเลยเหล่ตามองคนพูด “นั่นเป้นี่ แต่นี่หว้า มันคนละกรณีกัน”
ถ้าเป็นพ่อคุณชายนี่ละก็ อะไรก็แก่แดดแก่ลมกว่าคนอื่นเขาหมดล่ะ ตอนมัธยมหนีออกจากบ้านไปเที่ยวกลางคืนกับพี่ชายบ้าง มีแฟนเร็วกว่าเพื่อนๆ บ้าง คบแฟนที่เป็นเพื่อนพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าตั้งเจ็ดปีตั้งแต่ยังอยู่ ม.ปลายบ้าง...
มันโชคชะตาหรืออะไรกันนะที่พัดพาหมอนี่เข้ามาในชีวิตผมเนี่ย
“วิวหึงเหรอ?”
เจ้าคนที่นั่งข้างๆ ถามพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมเลยยักไหล่พลางแกะส้มเข้าปากอีกกลีบ "เปล่า จะหึงไปทำไม อีกอย่างนี่เราพูดเรื่องหว้ากันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
เป้ป่วนได้ ผมก็ป่วนได้เหมือนกัน อีกอย่างผมก็ไม่ได้หึงจริงๆ เพราะคิดเสมอว่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปนานแล้วไม่ควรถูกเอามาใช้เป็นสาเหตุให้ต้องทะเลาะกัน ที่สำคัญเป้ก็ไม่เคยเอ่ยถึงแฟนเก่าพวกนั้นหรือเอามาพูดเปรียบเทียบให้ผมรู้สึกว่าตัวเองขาดตกบกพร่องอะไรด้วย ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหึงเลยนี่นา
“ไม่หึงกันเลยจริงๆ น่ะ?”
เป้ถามอีกด้วยน้ำเสียงที่ติดจะงอนนิดๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ เรื่องเรียกร้องความสนใจล่ะเก่งนัก กลายเป็นว่าจากที่กังวลเรื่องน้องชาย ผมต้องเปลี่ยนมาเอาใจหมอนี่แทนใช่ไหมนี่
“แล้ววิวจำเป็นจะต้องหึงไหมล่ะ?"
ผมถามพลางแกล้งทำสายตาหาเรื่องบ้าง นี่ผมพยายามคอยเตือนตัวเองแล้วนะว่าถึงยังไงก็เพิ่งรู้จักเป้ก่อนจะคบกันไม่นาน ดังนั้นจะมัวไปหึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่เราจะพบกันน่ะมันไร้สาระ แต่ในเมื่อหมอนี่อยากให้หึงนัก เดี๋ยวผมจะลองหึงจริงๆ ให้ก็ได้
พวกเราจ้องหน้ากันอย่างหยั่งเชิงอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเป้ก็หัวเราะออกมาก่อน
“เอ้า ไม่หึงก็ไม่หึง สงสัยถ้าวิวหึงต้องง้อกันนานแน่เลย"
“ก็รู้อยู่แล้วนี่"
ผมทำเสียงขึ้นจมูกพลางปลิ้นเมล็ดส้มออกทิ้งก่อนจะหยิบเข้าปาก เป็นไปไม่ได้ที่เป้จะไม่รู้ว่าอารมณ์หึงหวงน่ะผมก็มี แต่ไม่ใช่กับพวกแฟนเก่าในอดีตที่ไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว แต่เป็นคนอื่นที่มาแสดงความสนใจหมอนี่เวลาเราไปไหนมาไหนด้วยกันต่างหาก อาจเพราะผมไม่ชอบให้เป้ทำรุ่มร่ามเวลาอยู่ข้างนอก คนที่ไม่รู้จักมองมาก็เลยนึกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน แต่จะให้ผมไปแสดงท่าทางว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมก็ทำไม่เป็น อีกอย่างแค่ผมเจอเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจแล้วเงียบผิดปกติขึ้นมาเมื่อไหร่ แค่นั้นเป้ก็ชอบฉีกยิ้มทำท่าดีใจจะแย่แล้ว เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้ได้ใจมากไปกว่านั้นอีกล่ะ
“อื้อ...”
ขณะกำลังใช้ความคิดอยู่เพลินๆ เป้ก็จับคางผมให้หันไปจูบ ยังดีว่าผมเพิ่งกลืนส้มที่เคี้ยวลงไป ไม่งั้นคงได้มีสำลักติดคอกันบ้าง ปลายลิ้นของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาในริมฝีปากผมที่เผยออยู่แล้วก็เคลียไล้ไปทั่ว เรียวลิ้นอุ่นเย้าแหย่กับลิ้นผมจนไหล่ผมสั่นทั้งที่อากาศไม่ได้หนาว
ครู่ใหญ่กว่าตาคนเจ้าเล่ห์จะยอมถอนริมฝีปากออกไปได้ ทำเอาผมหอบหายใจแรงเพราะถูกครอบครองริมฝีปากอยู่ตั้งนาน พอสบตากันอีกครั้งก็เห็นว่าเป้กำลังยิ้มมุมปาก
“ส้มเย็นๆ นี่ก็หวานดีนะ...เดี๋ยวคราวหน้าเป้ซื้อลิ้นจี่มาแช่เก็บไว้มั่งดีกว่า”
เจ้าคนตัวโตพูดพลางหยิบส้มเข้าปากอีกชิ้น ผมที่ยังมึนๆ เลยต้องใช้เวลาอึดใจใหญ่กว่าจะเข้าใจความหมาย พอคิดตามได้ก็เลยทุบไหล่หนาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้จนเป้หัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแวววาวเพราะสบอารมณ์จนน่าถีบลงจากเตียงตงิดๆ
"ไอ้ทะลึ่ง!"
"ทะลึ่งแต่แฟนหายงอนก็โอเคล่ะน่า"
ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหยิบจานส้มออกจากตักผมแล้วหนุนหัวลงมาแทน จากนั้นก็หยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่องทีวีเหมือนตัดบทกลายๆ ด้วย ผมเลยได้แต่ต้องย้ายจานส้มไปวางบนโต๊ะข้างเตียง เพราะถ้าขืนกินต่อคงได้หยดใส่ผมหมอนี่แน่ แต่ถึงจะหมั่นไส้แค่ไหน พอก้มมองคนที่กำลังหนุนตักจากมุมสูงกว่าแบบนี้ ผมก็ห้ามมุมปากไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้
สุดท้ายเป้ก็ง้อผมสำเร็จก่อนที่ผมจะได้โกรธจริงๆ จังๆ ทุกที
ผมขยี้ผมเป้เบาๆ เหมือนกำลังเล่นกับเด็กซนๆ คนหนึ่ง เจ้าตัวเลยจับมือผมไปซุกคอตัวเองไว้ กิริยาออดอ้อนที่เป็นธรรมชาตินั้นทำให้ผมอดนึกไปถึงน้องชายไม่ได้ ว่าถ้าหากวันหนึ่งหว้าได้เจอคนที่จะทำให้รู้สึกสบายใจและสามารถเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่ใกล้ๆ ได้แบบผมก็คงจะดี เมื่อถึงตอนนั้นหว้าคงเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจความสำคัญของการมีใครบางคนอยู่เคียงข้างมากขึ้น
แต่ถึงจะยังไงก็ตาม...ผมก็ไม่อยากให้น้องชายแก่แดดเกินวัยเหมือนเจ้าคนที่หนุนตักตัวเองตอนนี้อยู่ดีละนะ...
++---End ความกังวลของคนเป็นพี่---++