ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ p.47 (29/12/56)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ p.47 (29/12/56)  (อ่าน 415827 ครั้ง)

ppmayuree

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักมากกกกกกกกกกกกก
คิดถึงมานานแล้ว....
แอบคิดว่า......ไอ้หนูหว้า ไมมันปิดเทอมนานจังวะ
เป้น่ารักตลอดเลยเน๊าะ
ส่วนวิว ก็รู้สึกว่า กล้าแสดงความรักมากขึ้น ... หวานซะ
:-[

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ไม่รู้ในเล้ายังมีใครจำคู่นี้หรือรอติดตามตอนพิเศษกันอยู่ไหม แต่ยังไงก็เขียนออกมาแล้ว ก็จะทู่ซี้เอามาลงให้อ่านกันละนะ อิอิอิ   :laugh:


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : ความกังวลของคนเป็นพี่

ในวันอาทิตย์หนึ่งหลังจากเปิดเทอมปีสี่ได้ไม่นาน อากาศช่วงกลางวันร้อนระอุเพราะท้องฟ้าใสกระจ่าง เมื่อมองออกไปนอกห้อง ผมก็ต้องหยีตากับแสงแดดที่แผดจ้าจนต้องรีบปิดม่านและหยิบรีโมทมาเปิดแอร์ให้อุณหภูมิในห้องเย็นขึ้น

ปกติแล้ว ต่อให้อากาศร้อนแค่ไหนผมก็จะเปิดแค่พัดลมถ้าอยู่คนเดียว แต่ไหนๆ วันนี้ก็ร้อนมากผิดปกติ แถมอีกสักพักจะมีคนขี้ร้อนมาที่ห้องหลังจากกลับไปค้างคืนที่บ้านเมื่อเย็นวันศุกร์ด้วย ผมก็เลยเปิดแอร์รอไว้ให้เสียเลย จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงบ่นว่าร้อนตอนที่เจ้าตัวมาถึง

Rrrrrr Rrrrrr Rrrrr…

เสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากที่ที่ผมวางไว้บนโต๊ะหน้ากระจก ผมที่กำลังหยิบถุงส้มเขียวหวานออกจากตู้เย็นเลยรีบไปหยิบมากดรับ และเห็นว่าคนที่โทรมาคือน้องชายของตัวเองที่นานๆ จะเจอกันที

“ว่าไงหว้า? มีอะไรเหรอ?”

ผมทักทายพลางเดินกลับมานั่งบนพื้นหน้าเตียง ขณะเดียวกันก็หยิบส้มลูกหนึ่งขึ้นมาปอกไปด้วย ตอนนี้หว้าอายุสิบสี่และอยู่มัธยมต้น ถือว่ากำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและกำลังจะเป็นหนุ่มแล้ว

“พี่วิว หว้าขอคำปรึกษาหน่อยดิ”

เสียงของเจ้าน้องชายจอมป่วนที่ปกติจะร่าเริงและชอบกวนฟังดูซีเรียสผิดวิสัย ผมที่กำลังใช้คอกับหูหนีบโทรศัพท์เพื่อจะได้ปอกส้มถนัดเลยกะพริบตาอย่างงงๆ

“อือ...ว่ามาสิ เรื่องอะไรล่ะ?”

ผมถามพลางหยิบส้มที่ปอกแล้วเข้าปากหนึ่งกลีบ โชคดีว่าส้มนี่ซื้อจากตลาดนัดมาแช่ตู้เย็นไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พอได้กินส้มหวานๆ เย็นๆ ในอากาศร้อนๆ แบบนี้เลยค่อยชื่นใจขึ้นมาหน่อย แต่น้ำเสียงคนที่คุยด้วยกลับฟังแล้วแห้งแล้งอย่างไรชอบกล

“คือ...ตอนนี้หว้าเป็นแฟนกับเพื่อนในห้องอยู่อะ”

“หา?!?”

ผมอุทานอย่างประหลาดใจ อาจเพราะสำหรับคนเป็นพี่ซึ่งอายุมากกว่าแปดปี ในสายตาผมแล้วหว้ายังคงเป็นเด็กชายวนัสที่ขี้อ้อน ติดพี่ แล้วก็ยังชอบทะลึ่งทะเล้นเป็นเด็กๆ อยู่เลย แถมที่ผ่านมาก็ไม่เห็นเคยมาเล่าหรือแสดงท่าทีว่าสนใจใครเลยสักครั้ง พอจู่ๆ เจ้าตัวมาบอกว่ามีแฟน ผมเลยนึกว่าตัวเองหูเฝื่อน

“อ้อ...เหรอ...ถ้างั้น....แล้วหว้าจะปรึกษาอะไรพี่ล่ะ?”

หลายอึดใจทีเดียวกว่าคำถามนั้นจะหลุดออกมา ผมรอคำตอบพลางแกะส้มอีกกลีบเข้าปากอย่างเหม่อๆ ในหัวยังมึนๆ อยู่นิดหน่อยกับความคิดที่ว่าน้องชายมีแฟน ถึงแม้จะรู้ว่าสมัยนี้เด็กอายุเท่าหว้าเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วก็เถอะ แต่ถ้าจากประสบการณ์ของผมเอง...ตอนอายุสิบสี่ผมยังไม่เคยชอบใครหรือมีใครมาชอบเสียด้วยซ้ำนี่นา ก็เลยไม่ได้นึกว่าคนใกล้ตัวจะไวไฟแบบนี้

เสียงลมหายใจหนักหน่วงดังมาจากปลายสาย “ก็...คือ...ตอนนี้หว้าอยากขอเลิกแล้วเพราะหว้าไม่ได้ชอบเขาน่ะ”

“อ้าว!? เดี๋ยวนะหว้า ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วไปคบกันตั้งแต่แรกได้ยังไงถ้าไม่ได้ชอบกัน ไหนเล่าให้มันละเอียดกว่านี้ซิ”

ผมชักจะงงกับบทสนทนานี้เข้าไปทุกที อาจเพราะผมยังไม่ได้บอกหว้าว่าจริงๆ แล้วผมคบกับเป้อยู่ อีกอย่างก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนด้วยว่าวันหนึ่งน้องชายจะมาขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาหัวใจ ผมที่อยากจะช่วยเหลือก็เลยชักไม่มั่นใจว่าตัวเองจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือยิ่งฟังที่หว้าเล่าก็ยิ่งมีแต่คำถาม

“คือว่าอย่างนี้ เพื่อนคนนี้เรียนห้องเดียวกับหว้านี่แหละ พอดีปีที่แล้วเคยถูกจับคู่ถือพานไหว้ครูด้วยกัน ตั้งแต่ตอนนั้นทุกคนก็ชอบแซวพวกเราสองคน แต่หว้าก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ทีนี้เมื่อสักสองเดือนก่อนพุดเขาก็มาบอกว่าอยากคบกับหว้า พวกเพื่อนๆ มันก็ยุส่ง หว้าเห็นว่าลองดูก็ไม่เป็นไรเลยตกลงไป แต่ตอนนี้หว้าชักเบื่อๆ แล้ว อีกอย่างหว้าเพิ่งมารู้ว่าเพื่อนคนนึงในห้องก็แอบชอบพุดอยู่ หว้าไม่อยากเป็นก้างขวางคอมันน่ะพี่วิว”

เสียงคนเล่าระบายลมหายใจยาวเหยียดหลังจากเล่าจบ ผมเลยต้องค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องที่ฟังใหม่ในหัว แล้วก็อดนึกอยากเขกกะโหลกน้องชายไม่ได้ที่ดันไปตกลงคบกับผู้หญิงเขาทั้งที่ไม่ได้ชอบตั้งแต่ต้น เลยกลายเป็นว่าเกิดเป็นปัญหารักสามเส้าให้ลำบากใจจนได้

แต่จะว่าไป ตอนที่เป้มาเริ่มจีบผมใหม่ๆ ตอนนั้นมันก็เหมือนจะเป็นรักสามเส้าเหมือนกัน...เพียงแต่รายละเอียดมันต่างจากเรื่องของหว้านิดหน่อย...

"พี่วิว ยังฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย?"

เสียงหว้าเรียกผมกลับจากภวังค์ ผมเลยรู้สึกตัวและหันมาสนใจเรื่องของน้องชายอีกครั้ง

“ฟังอยู่ นี่หว้าบอกว่าคบกับพุดมาสองเดือน แล้วตลอดสองเดือนนี่เราไม่รู้สึกชอบเขาขึ้นมาบ้างเลยเหรอ?”

อย่างน้อยถึงตอนแรกจะไม่ชอบ แต่ถ้าคนเราได้ทำความรู้จักกัน อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีความผูกพันเกิดขึ้นบ้างนี่นา ผมเองตอนเป้มาเทียวไล่เทียวขื่อแรกๆ ก็ยังไม่ได้รู้สึกพิเศษด้วยสักหน่อย

เสียงเดาะลิ้นเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน “จะว่าไงดี แรกๆ หว้าก็คิดว่าเขาน่ารักดีหรอก แถมพวกผู้ชายในห้องก็อิจฉากันน่าดู แต่พอคบๆ ไป หว้าไม่ค่อยชอบที่เขามาทำตัวจุกจิกเกินไปอะ เพื่อนๆ มันก็บอกว่านี่เรื่องปกติของผู้หญิง แต่หว้าไม่ชอบนี่นา แล้วยิ่งพอรู้ว่ามีเพื่อนในห้องก็ชอบพุดอยู่ด้วย เลยคิดว่าถ้าสองคนนี้ได้คบกันคงจะดีกว่า”

ผมฟังที่หว้าอธิบายก็พอจะเห็นภาพมากขึ้น แต่ขณะที่กำลังคิดตามหลักเหตุผลว่าจะให้คำแนะนำอย่างไรดี ก็พอดีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เลยกรอกเสียงบอกน้องชายพลางเดินไปเปิดประตูห้อง “รอแป๊บนะหว้า”

พอเปิดลูกบิดที่ล็อกไว้ก็เจอเป้ที่ยืนถือถุงขนมกับกระเป๋าที่ไปเอามาจากบ้าน ผมเลยผลักบานประตูให้กว้างขึ้นเพื่ออีกฝ่ายจะได้เข้าห้องได้สะดวก เป้หันไปปิดประตูแล้วก็ดึงผมไปจูบเบาๆ ก่อนจะยิ้ม

“อืม...หอมกลิ่นส้ม”

“เฮ้ย! ไอ้บ้า! คุยกับหว้าอยู่!!"

ผมรีบท้วงแต่ก็พยายามกดเสียงให้ต่ำไว้ รู้สึกว่าหน้าร้อนไปหมด ได้แต่หวังว่าเสียงจูบเมื่อกี้คงไม่ดังเข้าไปในโทรศัพท์ ผมก็ลืมซะสนิทว่าเวลามาที่ห้องหลังไม่เจอกันข้ามวันแล้วหมอนี่จะชอบทักทายแบบนี้

“โทษทีหว้า เพื่อนมาที่ห้องน่ะ คุยกันต่อเถอะ”

ผมตั้งใจหยิบมือถือขึ้นมาพูดต่อหน้าเป้ พ่อคุณชายจะได้รู้ว่าผมกำลังคุยติดพันกับน้องชาย เป้ขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้าเข้าใจว่าให้เงียบๆ จากนั้นก็ก้มลงหยิบกระเป๋ากับถุงขนมเพื่อเอาไปเก็บเข้าที่

“พี่เป้มาเหรอ?”

เสียงเจ้าน้องชายที่เมื่อครู่ฟังดูเบื่อโลกเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันควัน แถมผมว่ามันฟังแล้วเหมือนคนพูดกำลังกระดี๊กระด๊าพิกล เลยปรายตาไปทางคนที่กำลังก้มเปิดตู้เย็นแวบหนึ่งแล้วค่อยตอบ

“อือ”

“ว้า...ถ้างั้นหว้าค่อยโทรมาใหม่วันหลังดีกว่ามั้ง”

“ไม่ต้องเลยหว้า คุยกันให้เสร็จตอนนี้นี่แหละ”

ผมตอบเสียงเข้ม ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งสงสัยว่าน้องชายระแคะระคายเรื่องผมกับเป้หรือเปล่า แต่ก็ไม่อยากถามเพราะกลัวว่าจะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอก  เป้คงได้ยินเสียงผมดุขึ้นนิดหนึ่งเลยหันมาเลิกคิ้ว ผมเลยโบกมือว่าไม่มีอะไรแล้วเปิดประตูออกไปคุยนอกห้องแทน

“เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ? หว้าเบื่อพุดเพราะเขาชอบจุกจิกเกินไป แล้วก็สงสารเพื่อนที่ชอบพุดอยู่ใช่ไหม?”

ผมถามสรุปความใหม่อีกที ก่อนจะพยายามคิดถึงความรู้สึกของทุกคนแล้วให้คำแนะนำหว้าไป พวกเราคุยโทรศัพท์กันนานมากจนผมรู้สึกว่าแบตเตอรี่ร้อนจี๋กว่าจะได้วางสาย พอเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็เจอเด็กโข่งตัวใหญ่นอนเอกเขนกดูทีวีอยู่กลางเตียง กางเกงยีนส์ขายาวที่ใส่มาตอนแรกโดนเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเรียบร้อยแล้ว

ตาคนนี้ก็ชอบทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านตัวเองก็ไม่ปาน...

ผมคิดพลางยิ้มอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ แต่ความจริงก็ค่อนข้างชินเพราะเราคบกันมาเป็นปี อีกอย่างเพราะว่าเป้ชอบมาขลุกอยู่ที่นี่แทบจะทุกวันในหนึ่งสัปดาห์ กลายเป็นว่าวันไหนที่เป้ไม่มาหาสิที่ผมจะรู้สึกแปลกๆ มากกว่า

“เป้ปอกส้มไว้ให้แล้วนะ แต่เห็นวิวคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จสักทีเลยเอาไปแช่ตู้เย็นไว้”

เจ้าคนที่นอนกลางเตียงพูดพลางขยับตัวให้เหลือที่สำหรับผม ผมเลยเปิดตู้เย็นไปหยิบจานที่ใส่ส้มแล้วเอามานั่งทานบนเตียง และไม่ลืมหยิบกล่องทิชชู่มาวางข้างๆ เผื่อน้ำจากส้มหยดเลอะเทอะ

“เมื่อกี้หว้าโทรมาเหรอ?”

เป้ถามทั้งที่ยังนอนดูทีวี ผมที่นั่งพิงหมอนอยู่ข้างๆ เลยพยักหน้า “อือ โทรมาปรึกษาเรื่องแฟน คือว่ามีเด็กผู้หญิงในห้องมาขอคบกับหว้า แต่พอคบกันไปแล้วหว้าเบื่อเขา อีกอย่างมีเพื่อนอีกคนในห้องชอบเด็กคนนั้นอยู่ หว้าก็เลยอยากเสียสละให้เพื่อนมากกว่า”

“อืม แล้ววิวบอกน้องไปว่าไง?”

เป้ถามพลางดันตัวขึ้นนั่งแล้วหยิบส้มไปกินบ้าง ผมเลยดึงทิชชู่จากกล่องส่งให้สำหรับคายเมล็ดทิ้ง

“ก็บอกหว้าไปว่าให้คิดให้ดีๆ เพราะถ้าหากเลิกกันแล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าตัวเองก็ชอบเขา หว้าอาจจะเสียดายก็ได้ แล้วก็แนะนำไปว่าให้ลองคุยกับเด็กคนนั้นดูก่อนว่าให้ลดนิสัยจู้จี้จุกจิกได้หรือเปล่า"

พอเป้ฟังท้ายประโยคผมก็หัวเราะพรืด ผมเลยมองกลับด้วยสายตาเขม่น “หัวเราะอะไรเป้”

“เปล่าๆ แค่คิดว่าสมเป็นคำแนะนำของวิวจริงๆ ด้วย ถ้าหากเป็นเป้นะ เป้คงบอกว่าถ้าไม่ชอบก็รีบเลิกไปเลยเถอะ ไม่งั้นก็เสียเวลากันทั้งคู่ อีกอย่างหว้าก็อายุเท่านี้เอง ถ้าเลิกกับเด็กคนนั้นจะได้ลองคบคนอื่นให้รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหนกันแน่ไง”

“แต่น้องเพิ่งอายุสิบสี่...”

ผมอดท้วงไม่ได้ ถึงแม้ตอนคุยโทรศัพท์จะให้คำแนะนำไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมอยากบอกหว้าด้วยซ้ำว่าอายุเท่านี้ยังไม่ต้องคิดเรื่องมีแฟนหรอก แต่ก็กลัวว่าหากพูดไปจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยจนหว้าไม่อยากมาปรึกษาอีก

นี่ผมหัวโบราณเกินไปหรือเปล่านะ...

“วิว...ตอนเป้อายุเท่าหว้าน่ะ เป้มีแฟนสามคนแล้วนะ”

เสียงเป้ดังขัดความคิดขึ้นมา ผมเลยเหล่ตามองคนพูด “นั่นเป้นี่ แต่นี่หว้า มันคนละกรณีกัน”

ถ้าเป็นพ่อคุณชายนี่ละก็ อะไรก็แก่แดดแก่ลมกว่าคนอื่นเขาหมดล่ะ ตอนมัธยมหนีออกจากบ้านไปเที่ยวกลางคืนกับพี่ชายบ้าง มีแฟนเร็วกว่าเพื่อนๆ บ้าง คบแฟนที่เป็นเพื่อนพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าตั้งเจ็ดปีตั้งแต่ยังอยู่ ม.ปลายบ้าง...

มันโชคชะตาหรืออะไรกันนะที่พัดพาหมอนี่เข้ามาในชีวิตผมเนี่ย

“วิวหึงเหรอ?”

เจ้าคนที่นั่งข้างๆ ถามพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมเลยยักไหล่พลางแกะส้มเข้าปากอีกกลีบ "เปล่า จะหึงไปทำไม อีกอย่างนี่เราพูดเรื่องหว้ากันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

เป้ป่วนได้ ผมก็ป่วนได้เหมือนกัน อีกอย่างผมก็ไม่ได้หึงจริงๆ เพราะคิดเสมอว่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปนานแล้วไม่ควรถูกเอามาใช้เป็นสาเหตุให้ต้องทะเลาะกัน ที่สำคัญเป้ก็ไม่เคยเอ่ยถึงแฟนเก่าพวกนั้นหรือเอามาพูดเปรียบเทียบให้ผมรู้สึกว่าตัวเองขาดตกบกพร่องอะไรด้วย ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหึงเลยนี่นา

“ไม่หึงกันเลยจริงๆ น่ะ?”

เป้ถามอีกด้วยน้ำเสียงที่ติดจะงอนนิดๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ เรื่องเรียกร้องความสนใจล่ะเก่งนัก กลายเป็นว่าจากที่กังวลเรื่องน้องชาย ผมต้องเปลี่ยนมาเอาใจหมอนี่แทนใช่ไหมนี่

“แล้ววิวจำเป็นจะต้องหึงไหมล่ะ?"

ผมถามพลางแกล้งทำสายตาหาเรื่องบ้าง นี่ผมพยายามคอยเตือนตัวเองแล้วนะว่าถึงยังไงก็เพิ่งรู้จักเป้ก่อนจะคบกันไม่นาน ดังนั้นจะมัวไปหึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่เราจะพบกันน่ะมันไร้สาระ แต่ในเมื่อหมอนี่อยากให้หึงนัก เดี๋ยวผมจะลองหึงจริงๆ ให้ก็ได้

พวกเราจ้องหน้ากันอย่างหยั่งเชิงอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเป้ก็หัวเราะออกมาก่อน

“เอ้า ไม่หึงก็ไม่หึง สงสัยถ้าวิวหึงต้องง้อกันนานแน่เลย"

“ก็รู้อยู่แล้วนี่"

ผมทำเสียงขึ้นจมูกพลางปลิ้นเมล็ดส้มออกทิ้งก่อนจะหยิบเข้าปาก เป็นไปไม่ได้ที่เป้จะไม่รู้ว่าอารมณ์หึงหวงน่ะผมก็มี แต่ไม่ใช่กับพวกแฟนเก่าในอดีตที่ไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว แต่เป็นคนอื่นที่มาแสดงความสนใจหมอนี่เวลาเราไปไหนมาไหนด้วยกันต่างหาก อาจเพราะผมไม่ชอบให้เป้ทำรุ่มร่ามเวลาอยู่ข้างนอก คนที่ไม่รู้จักมองมาก็เลยนึกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน แต่จะให้ผมไปแสดงท่าทางว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมก็ทำไม่เป็น อีกอย่างแค่ผมเจอเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจแล้วเงียบผิดปกติขึ้นมาเมื่อไหร่ แค่นั้นเป้ก็ชอบฉีกยิ้มทำท่าดีใจจะแย่แล้ว เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้ได้ใจมากไปกว่านั้นอีกล่ะ

“อื้อ...”

ขณะกำลังใช้ความคิดอยู่เพลินๆ เป้ก็จับคางผมให้หันไปจูบ ยังดีว่าผมเพิ่งกลืนส้มที่เคี้ยวลงไป ไม่งั้นคงได้มีสำลักติดคอกันบ้าง ปลายลิ้นของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาในริมฝีปากผมที่เผยออยู่แล้วก็เคลียไล้ไปทั่ว เรียวลิ้นอุ่นเย้าแหย่กับลิ้นผมจนไหล่ผมสั่นทั้งที่อากาศไม่ได้หนาว

ครู่ใหญ่กว่าตาคนเจ้าเล่ห์จะยอมถอนริมฝีปากออกไปได้ ทำเอาผมหอบหายใจแรงเพราะถูกครอบครองริมฝีปากอยู่ตั้งนาน พอสบตากันอีกครั้งก็เห็นว่าเป้กำลังยิ้มมุมปาก

“ส้มเย็นๆ นี่ก็หวานดีนะ...เดี๋ยวคราวหน้าเป้ซื้อลิ้นจี่มาแช่เก็บไว้มั่งดีกว่า”

เจ้าคนตัวโตพูดพลางหยิบส้มเข้าปากอีกชิ้น ผมที่ยังมึนๆ เลยต้องใช้เวลาอึดใจใหญ่กว่าจะเข้าใจความหมาย พอคิดตามได้ก็เลยทุบไหล่หนาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้จนเป้หัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแวววาวเพราะสบอารมณ์จนน่าถีบลงจากเตียงตงิดๆ

"ไอ้ทะลึ่ง!"

"ทะลึ่งแต่แฟนหายงอนก็โอเคล่ะน่า"

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหยิบจานส้มออกจากตักผมแล้วหนุนหัวลงมาแทน จากนั้นก็หยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่องทีวีเหมือนตัดบทกลายๆ ด้วย ผมเลยได้แต่ต้องย้ายจานส้มไปวางบนโต๊ะข้างเตียง เพราะถ้าขืนกินต่อคงได้หยดใส่ผมหมอนี่แน่ แต่ถึงจะหมั่นไส้แค่ไหน พอก้มมองคนที่กำลังหนุนตักจากมุมสูงกว่าแบบนี้ ผมก็ห้ามมุมปากไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้

สุดท้ายเป้ก็ง้อผมสำเร็จก่อนที่ผมจะได้โกรธจริงๆ จังๆ ทุกที

ผมขยี้ผมเป้เบาๆ เหมือนกำลังเล่นกับเด็กซนๆ คนหนึ่ง เจ้าตัวเลยจับมือผมไปซุกคอตัวเองไว้ กิริยาออดอ้อนที่เป็นธรรมชาตินั้นทำให้ผมอดนึกไปถึงน้องชายไม่ได้ ว่าถ้าหากวันหนึ่งหว้าได้เจอคนที่จะทำให้รู้สึกสบายใจและสามารถเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่ใกล้ๆ ได้แบบผมก็คงจะดี เมื่อถึงตอนนั้นหว้าคงเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจความสำคัญของการมีใครบางคนอยู่เคียงข้างมากขึ้น

แต่ถึงจะยังไงก็ตาม...ผมก็ไม่อยากให้น้องชายแก่แดดเกินวัยเหมือนเจ้าคนที่หนุนตักตัวเองตอนนี้อยู่ดีละนะ...



++---End ความกังวลของคนเป็นพี่---++



ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ sugarrock

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ว้าว เซอร์ไพรช์
ขอบคุณมากคะ
  :pig4:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ว้าว เจาะไข่คุณ sugarrock เลยนะนี่ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อายุเท่าน้องหว้า แต่มีแฟนไปตั้งหลายคนแล้ว แบบนี้น้องหว้าต้องโทรหาพี่เป้แล้วนะ โทรหาพี่วิว อะผิดคนล่ะ  :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
 
เจ้าเด็กแสบ ปรึกษาผิดคนซะแล้ว
 :กอด1:

ออฟไลน์ พระสนมฝ่ายซ้าย

  • ❤วั ง ว น ว า ย เ วิ่ น เ ว้ อ❤
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +283/-2
อ๊ายยยยย เป้ล่ะก้อ  :-[
ขอให้หว้าเจอกับความรักดีๆเหมือนพี่นะคะ ^^

ออฟไลน์ pdolphin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
ว๊าววว  แอบมาไม่ให้เรารุ้ตัวแฮะ

LiTTlE [A]

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจจัง
นักเขียนใจดี มีตอนพิเศษออกมาให้อ่านเรื่อยๆๆด้วย
น่าจะมีรวมเล่มตอนพิเศษด้วยนะ จะได้อุดหนุนต่อ
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
จำได้ว่าตอนนั้นดิฉันยังบ้าอ่านเรื่องรามเกียรติ์อยู่เลยค้า ไม่ได้แม้แต่จะแลมองหาผู้ชาย (ความจริงก็คือไม่มีใครมอง!) แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยน ค่านิยมก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย น้องวิวอย่าไปกังวลเรื่องน้องหว้าเลยค่ะ เผลอๆ น้องหว้าอาจจะเหมือนพี่ชายตัวเองก็ได้ (เหมือนอย่างไรนั้น ไม่ต้องบอกก็คงรู้ อิอิ) เอาเป็นว่ากังวลเรื่องไอ้คนที่มันอยู่ใกล้ๆ มากกว่านะคะ ดีไม่ดี ต่อไปคุณชายเขาจะขยันซื้อสาระพันผลไม้มาเก็บไว้แล้วคุณน้องวิวจะแย่เอานา!

 :laugh:

ขอบคุณเพื่อนสาวสำหรับตอนน่ารักๆ แบบนี้ค่า.

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
ยอมรับว่าความแก่เแดดแต่เล็กแต่น้อยนี่พ่อพระเอกคงได้ไปจากคนเขียนค่ะเพื่อนสาว (แต่ในระดับความเข้มข้นล้ำหน้าคนเขียน) ความจริงวิวก็น่าเห็นใจนะ คนรอบตัวตะละคนชอบมาแกล้งทั้งน้าน ขนาดน้องชายยังชอบแซวเลย ถ้าพี่วิวรู้เมื่อไหร่ว่าเอ็งอมพะนำมาตลอดล่ะไม่รอดแน่น้องหว้าเอ๋ย ระหว่างนี้พี่วิวคงต้องปวดเฮดเพราะคอยเอาใจพ่อคุณชายไปก่อนละ 5555+

ออฟไลน์ kataiyai

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
จะห้ามได้หรือ
พี่เป้เป็นไอดอลของหว้าไปซะแล้วนิ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
จะห้ามได้หรือ
พี่เป้เป็นไอดอลของหว้าไปซะแล้วนิ

ไม่แน่ใจว่าน้องหว้าเห็นพี่เป้เป็นไอดอลหรือคลังสมบัติให้รีดไถมากกว่ากันนะคะ ไอ้ตัวแสบยิ่งงกๆ อยู่ เอิ๊กส์

ออฟไลน์ DEMON3132

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
ว้าว ตกข่าวไปได้ไง เพิ่งเห็นเลยเพิ่งได้เข้ามาอ่าน คิดถึงวิว เป้และน้องหว้ามากมาย
เป้ยังน่ารักและอ้อนวิวเก่งเหมือนเดิมเลย หว้าก็เจ้าเล่ห์เช่นกัน เด็กน้อยจะเริ่มมีความรัก
แล้ว เข้ามหาวิทยาลัยก่อนดีมั้ยลูก เก็บความสดใสไว้ให้ป้า ๆ ในบอร์ดชื่นชมไปก่อน
 :L1: สามหนุ่ม และ  :pig4:น้องรินค่ะ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เกือบพลาดตอนพิเศษไปแล้ว

ยังงุ้งงิ้ง น่ารักกันเหมือนเดิม

ออฟไลน์ kamikame

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สนุกมากมายเลยฮ๊าฟฟฟฟ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟ

ออฟไลน์ you13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ยังน่ารักเหมือนเดิม
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
ดีใจ รีบวิ่งเข้ามาเลย ตอนพิเศษ
คิดมากเนอะน้องเป้
อย่ากังวลเกินเหตุกับวัยรุ่น :laugh:
+1

ออฟไลน์ Number1_90

  • 넘버원~
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 631
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-0
สนุกมากเลยค่ะ

หวานน้ำตาลเรียกพี่

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






zetsubo

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ย อ่านแล้วเขิน  ชอบคู่เป้กับวิวจังเลย >w<  คู่อ๊อฟกับน้องนะ ก็ชอบนะ ><

แต่เห็นหนูหว้าแล้วอยาก... :z13: แบบว่าหมั่นไส้ปนเอ็นดู 555  ไม่น่าเชื่อว่าหว้าจะเป็นเมะ *[]*

แต่อยากอ่านคู่เป้กับวิวต่ออะ >\\<

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
โอ๊ย อ่านแล้วเขิน  ชอบคู่เป้กับวิวจังเลย >w<  คู่อ๊อฟกับน้องนะ ก็ชอบนะ ><

แต่เห็นหนูหว้าแล้วอยาก... :z13: แบบว่าหมั่นไส้ปนเอ็นดู 555  ไม่น่าเชื่อว่าหว้าจะเป็นเมะ *[]*

แต่อยากอ่านคู่เป้กับวิวต่ออะ >\\<

น้องหว้ายังเด็กเลยดูน่ามันเขี้ยวยังงั้นละค่ะ แต่รับรองว่าโตมาไม่เคะแน่นอน 5555+
ถ้ามีโอกาสจะเขียนตอนพิเศษของเป้กับวิวให้อ่านกันอีกนะคะ ^^

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 ดีใจจังที่มีตอนพิเศษ

 :pig4:

koraorni

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมาค่ะชอบเป้กะวิว แบบว่าเรื่อยๆๆแต่น่าติดตามพัฒนาการของวิว
บางมุมก็น่ารักซะไม่มีแล้วจะไม่ให้เป้รักได้ยังไงกัน
โชคดีมากๆๆที่ยังมีเหลือไว้ให้ได้ครอบครอง
ปล.รอรวมเล่มตอนพิเศษเป้วิวนะคะ
 :pig4:

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4
อ่าๆ เป้กับวิวมาเเล้ว

หว้ายึดเเบบเป้เป็นเเบบเดี๋ยวได้3หรอก

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ยังน่ารักอยุเหมือนเดิมเลย  :-[
คนแต่งก้อยังแต่งสนุกอยุเช่นเคย
ขอบคุนนะคะที่เอาตอนพิเศษมาลงเพิ่ม :pig4:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนพิเศษ ลำนำรักสีรุ้ง ในคืนฝนพรำ

เสียง ‘แปะ’ เบาๆ ตกลงกระทบหน้าต่าง เสียงนั้นทิ้งระยะห่างจนแทบไม่มีใครสนใจในตอนแรก ก่อนที่กลุ่มเสียงจะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นมวลเสียงหนาทึบที่ถูกเสริมด้วยเสียงฟ้าร้องและเสียงลมกรรโชก ผมละสายตาขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เห็นมู่ลี่ที่แขวนอยู่เหนือกระจกหน้าต่างสั่นอย่างแรง ทั้งๆ ที่หน้าต่างถูกปิดล็อคไว้อย่างแน่นหนาแท้ๆ

“ตายแล้ว! ทำไมต้องตกตอนเลิกงานด้วยเนี่ย ครึ้มมาทั้งวันแต่ดันเพิ่งจะตกตอนนี้ บ้าจริงๆ เลย!”

เสียงพี่ก้อยซึ่งนั่งทำงานอยู่ในห้องเดียวกันดังขึ้นอย่างขัดใจ พี่ศิลป์ที่นั่งอยู่อีกมุมได้แต่ถอนหายใจพลางยกนาฬิกาขึ้นดู

“รถติดมหาโหดแน่คืนนี้ ว่าจะรีบกลับบ้านสักหน่อย วันนี้ไม่ได้เอารถมาซะด้วยสิ”

“อ้าว ที่บอกว่ารถเสียเลยต้องส่งซ่อมน่ะเหรอ งั้นพี่ศิลป์จะกลับด้วยกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวก้อยแวะส่งแถวรถไฟฟ้าให้ก็ได้ จะรีบกลับไปดูตัวเล็กหน่อย เห็นยายเขาบอกว่าตัวรุมๆ เหมือนไม่สบาย”

พี่ก้อยเอ่ยชวน น้ำเสียงท้ายประโยคสะท้อนความกังวล ซึ่งหากใครได้ฟังก็คงจะเข้าใจเพราะลูกของพี่ก้อยยังเป็นทารกอายุไม่กี่เดือน แต่ผมก็เพียงแต่ทำงานคีย์ข้อมูลตามที่ได้รับมอบหมายไปเงียบๆ โดยไม่ได้ร่วมวงสนทนา จนกระทั่งพี่ก้อยหันมาถามระหว่างที่เก็บกระเป๋าและปิดคอมพิวเตอร์แล้ว

“แล้ววิวล่ะ? จะกลับยังไง? ติดรถออกไปด้วยกันกับพี่มั้ย?”

รุ่นพี่สาวเดินมาถามอย่างเอื้อเฟื้อ เพราะตัวเองเป็นคนที่ติดต่อให้ผมมาฝึกงานช่วงปิดเทอมที่นี่เอง ผมเลยละสายตาจากหน้าจอแล้วหันไปส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ

“ไม่เป็นไรครับพี่ก้อย ขอบคุณครับ”

พี่ศิลป์โบกไม้โบกมือพลางยิ้มยิงฟัน “ของคนนี้ไม่ต้องห่วงเขาหรอก มีราชรถมาคอยรับทุกวันอยู่แล้วล่ะ”

พอถูกแซวผมก็มุ่นคิ้วนิดหนึ่งก่อนจะหันไปมองพี่ศิลป์ อีกฝ่ายเลยทำทีเป็นกระแอมแล้วลุกขึ้นปิดคอมพิวเตอร์บ้าง จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดใครเรื่องที่มีแฟน แต่ยังไงก็ไม่ชอบที่คนอื่นมาแซวแบบนี้อยู่ดี

พี่ก้อยเอียงคอ เพราะว่าไม่เคยรู้เรื่องเป้มาก่อนเนื่องจากกลับบ้านก่อนใครเพื่อนเสมอ “อ้าว เหรอ เอ....แล้วเขาได้โทรมาหรือยังล่ะ? ฝนตกแบบนี้อาจกำลังรถติดอยู่ก็ได้นะ”

พี่ก้อยยังถามอย่างเป็นห่วง แต่ท่าทางที่สะพายกระเป๋าไว้และเบี่ยงตัวไปทางประตูก็บ่งบอกความรีบร้อนได้เป็นอย่างดี ผมเลยช่วยตัดปัญหาจะได้เลิกพะวักพะวน “คุยกันแล้วครับ เดี๋ยวอีกสักพักคงมาถึง พี่ก้อยกับพี่ศิลป์กลับกันก่อนเถอะ เดี๋ยวผมปิดห้องให้”

“ฝากสวัสดีให้พี่ด้วยล่ะ”

พี่ศิลป์หันมายักคิ้วให้ก่อนจะเดินตามพี่ก้อยออกไป ผมเลยได้แต่ยิ้มอย่างระอา ก่อนจะหันกลับมาหาปึกเอกสารที่คีย์ค้างไว้ จากนั้นก็เช็คดูว่ามีเอกสารชุดไหนที่ถูกทำสัญลักษณ์ว่าต้องเอาไปถ่ายเอกสารบ้าง

จู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงและวางไว้บนโต๊ะก็สั่นขึ้นจนผมสะดุ้ง แต่พอเหลือบไปเห็นหน้าจอว่าเป็นชื่อใครก็ไม่ได้กดรับ แล้วลุกขึ้นพร้อมกับหยิบแฟ้มเอกสารที่ต้องซีร็อกซ์ไปยังเครื่องถ่ายเอกสารที่อยู่อีกด้านของออฟฟิศ

ชื่อของคนโทรเข้ามาก็คือเป้ และผมก็ไม่ได้รับสายที่ฝ่ายนั้นโทรมารวมได้สองวันแล้ว

สาเหตุก็มาจากการทะเลาะกันด้วยเรื่องที่แสนจะไร้สาระนั่นแหละ...

‘ไม่สบายก็พักอยู่บ้านเฉยๆ ไปสิเป้ วิวไม่ได้บอกให้มารับทุกวันนะ’

‘เป้ก็ไม่เป็นอะไรมากสักหน่อย แค่ไข้ขึ้นนิดเดียวเอง อีกอย่างวิวต้องต่อรถตั้งหลายสายกว่าจะกลับถึงหอไม่ใช่เหรอ’

คนพูดทำเสียงไม่แยแสกับคำเตือนของผม อาจเพราะช่วงปิดเทอมนี่พวกเราฝึกงานกันคนละที่ เวลาที่จะได้เจอกันก็เลยมีแค่หลังเลิกงานกับวันหยุด ก็เข้าใจว่าคนเพิ่งเริ่มคบกันก็ต้องอยากใช้เวลาด้วยกัน แต่ถ้าจะต้องถึงกับฝืนสังขารตัวเองแบบนี้ ผมก็ไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่

‘เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เป้ก็รอให้หายก่อนค่อยมารับก็ได้ ดีกว่ามาคอยเทียวรับเทียวส่งตอนเย็นๆ ทุกวัน ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายล่ะ’

‘เป้...’ คนพูดชะงักเพราะไอ จากนั้นก็ตามด้วยเสียงสูดน้ำมูกฟืดใหญ่ ‘ไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่ะ’

ประโยคนั้นทำให้ผมกลอกตา รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องคนหนึ่งจนชักจะหงุดหงิด

‘ไม่ได้เป็นอะไรงั้นเหรอ เสียงแหบขนาดนี้จะไม่เป็นอะไรได้ไง หรือเป้อยากให้วิวติดหวัดบ้างจะได้ป่วยเป็นเพื่อนกัน’

ผมเผลอทำเสียงแข็งโดยไม่ตั้งใจ แต่นั่นก็เพราะรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้หมอนี่ต้องฝืนร่างกายมาทำภารกิจที่เจ้าตัวเชื่อว่าสำคัญนักหนาแบบนี้ทุกวัน แล้วถึงผมจะไม่ใช่เด็กกรุงเทพฯ แต่กำเนิด แต่ก็ใช้ระบบโดยสารมวลชนของที่นี่เป็นหรอกน่ะ ไม่ได้ถนัดเป็นตุ๊กตาหน้ารถใครอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนคนฟังจะตีความหมายผิดไป เพราะสีหน้าของเป้เคร่งเครียดขึ้นทันที

‘วิวเห็นความตั้งใจของเป้ว่าเป็นการอยากให้วิวติดหวัดเหรอ?’

ขีดความโมโหของผมพุ่งปรี๊ดทันทีกับคำถามนั้น ในเมื่อพูดจากันด้วยเหตุผลไม่ได้ ความห่วงใยของผมก็โดนตีความหมายไปอีกทาง ถ้างั้นก็เลิกพูดกันเสียดีกว่า เพราะมีแต่จะเปลืองเวลากันโดยเปล่าประโยชน์

‘ใช่ กับคนที่ไม่ดูสังขารตัวเองแล้วดันทุรังน่ะ วิวคิดแบบนั้นแหละ’

ผมเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมาทันทีโดยไม่สนใจคนขับอีก จากนั้นก็เดินฝ่าการจราจรที่คับคั่งบนถนนมาขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อจะไปต่อรถเมล์แทน ทิ้งเจ้าคนที่คงอึดอัดขัดใจเอาไว้คนเดียวเพราะจะจอดรถลงมาตามผมก็ไม่ได้ แต่ตอนนั้นผมอารมณ์ขึ้นจนไม่อยากแม้แต่จะนั่งอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยโอ๋คนหัวแข็งที่พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

คืนนั้นเป้เพียรพยายามจะโทรหาและส่งเมสเสจมาขอโทษ แต่ผมเพียงแต่ตอบกลับไปว่า ‘หายป่วยเมื่อไหร่ค่อยคุยกัน’ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกเลยเวลาอีกฝ่ายโทรมา เพราะจากอาการขนาดนั้น ไม่ต้องให้หมอบอกผมก็รู้ว่าไม่ได้สร่างไข้กันง่ายๆ ในวันสองวันแน่

ผมอยากให้เป้รู้ว่าผมมีเหตุผลในสิ่งที่พูด และที่ผมพูดไปก็เพราะความเป็นห่วง ถ้าเป้เอาแต่ดึงดันโดยไม่ฟังคำแนะนำทั้งที่กำลังทำลายสุขภาพตัวเอง ผมก็ใจแข็งพอจะปล่อยให้หมอนั่นทบทวนการกระทำและคำพูดของเราทั้งคู่เหมือนกัน ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นกันแน่

แต่พอเวลาผ่านเลยมาถึงวันที่สาม ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าใจร้ายและปากไวกับเป้ไปหน่อย

อาจเพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมก็มีแต่ตัวเองที่เป็นที่พึ่ง ถึงแม้จะมีเพื่อนๆ แต่ก็ไม่เคยทำตัวเป็นปัญหาให้ใครมาห่วง หรือเคยห่วงใครมากมายจนเอามาเป็นอารมณ์แบบนี้เลย เพราะถ้าเป็นคนอื่น เวลาไม่สบายก็มักจะเจียมเนื้อเจียมตัวกันเองว่าต้องพักผ่อนโดยไม่ต้องมีใครบอก แต่กับคนหัวดื้อไม่ฟังใครแบบเป้ ผมที่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่มีอิทธิพลกับหมอนั่นที่สุดเลยเพิ่งตระหนักถึงภาระหนักอึ้งทางอารมณ์ที่ตามมา และทำให้รู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องสอนเป้ให้ห่วงตัวเองก่อนผมไปโดยปริยาย

ทำไมจะต้องเอาตัวเองมาผูกติดกับเราขนาดนี้ด้วยนะ...ดูแลตัวเองให้หายดีก่อนก็สิ้นเรื่องแท้ๆ...

ผมคิดแบบหน่วงๆ ในใจ ขณะเดียวกันก็ยังพลิกหน้าเอกสารที่ต้องซีร็อกซ์บนเครื่องถ่ายเอกสารไปด้วย บางทีก็นึกทึ่งตัวเองเหมือนกันที่เป็นคนแยกสมองส่วนความคิดกับการทำงานจากกันได้แบบนี้ ตั้งแต่เริ่มคบกับพ่อคุณชายเอาแต่ใจ ดูเหมือนผมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเองเพิ่มขึ้นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความใจร้อน ขี้จุกจิก ไม่ชอบให้ใครขัดใจแบบไม่มีเหตุผล หรือกระทั่งความหงุดหงิดที่นอกจากจะรู้สึกกับตัวต้นเหตุแล้ว ก็เผื่อแผ่มาถึงตัวเองที่ดันหงุดหงิดง่ายกับเรื่องแบบนี้ไปด้วย ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นแท้ๆ

ถ้าจะโทษใครที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วเป็นคนนิสัยแบบนี้ ก็คงจะต้องเป็นเจ้าคนตัวโตที่กำลังนอนพักฟื้นอยู่ที่บ้านนั่นแหละ

ไม่ได้รู้ใจบ้างเลยว่าคนเขาบ่นเพราะเป็นห่วง ดันมาหาเรื่องชวนทะเลาะให้เสียอีก...

ผมคิดพลางถอนหายใจแล้วส่ายหน้าแรงๆ เพื่อสะบัดความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรหนักๆ ถ่วงในใจ จากนั้นก็หอบกองเอกสารทั้งหมดกลับไปที่ห้องทำงานเหมือนเดิม ในส่วนของห้องทำงานใหญ่นั้นเหลือพนักงานคนอื่นอยู่เบาบาง เมื่อผมมองออกไปนอกกระจกก็เห็นว่าพายุเริ่มซาความรุนแรงลงจากเมื่อครู่แล้ว กระนั้นก็ยังเห็นสายน้ำที่ไหลอยู่นอกกระจกหน้าต่างได้อย่างชัดเจน

ผมหยิบเอกสารที่เพิ่งซีร็อกซ์มาเย็บเข้าด้วยกันตามหมวดหมู่ จากนั้นก็จัดเข้าแฟ้มไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในวันรุ่งขึ้น ความเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ไม่มีความสามารถเฉพาะทำให้ต้องทำงานจิปาถะทั้งหมดแล้วแต่ใครจะสั่ง แต่ตอนนี้มีอะไรให้ทำฆ่าเวลาก็ยังดีกว่ารีบลงไปเผชิญการจราจรที่ยังติดแน่นเป็นแพจากพายุฝน

กระทั่งผ่านไปอีกหลายนาที ไม่มีงานอะไรที่ผมจะทำได้อีกแล้วในคืนนี้ และพนักงานประจำที่นั่งอยู่ในส่วนออฟฟิศหลักก็เหลืออยู่เพียงสองคน ผมจึงคิดว่าคงได้เวลาสมควรที่จะกลับสักที ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากออกไปยืนบนรถเมล์อีกเป็นชั่วโมงๆ ก็ตาม

ผมปิดไฟและปิดประตูห้องก่อนจะหันไปไหว้ลาพนักงานทั้งสองที่ยังทำงานอยู่ จากนั้นก็ลงลิฟต์จากชั้นสี่สิบลงไปชั้นล่าง บริเวณล็อบบี้ของตึกยังคงมีไฟสว่าง แต่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไม่มีใครอยู่แล้ว ความโอ่โถงของสถานที่เลยทำให้บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยววังเวงมากขึ้นไปอีก

เนื่องจากทางเข้าอาคารมีสองด้าน และทั้งสองด้านก็มีป้ายรถเมล์เหมือนกัน ผมจึงพยายามคิดว่าออกทางไหนจึงจะใกล้ป้ายรถเมล์ของฝั่งนั้นมากกว่าโดยที่ผมไม่ต้องโดนฝนมากนักไปด้วย เพราะว่าถ้าต้องไปนั่งบนรถเมล์เป็นชั่วโมงๆ ทั้งที่ตัวเปียก ผมอาจจะโดนบาปกรรมเล่นงานที่ไปตำหนิเป้จนตัวเองป่วยบ้างขึ้นมาก็เป็นได้

ถ้าออกประตูซ้ายจะเดินน้อยกว่าแต่ไม่มีหลังคากันฝนเลย แต่ถ้าออกทางประตูขวายังพอมีชายคาจากตึกข้างๆ ให้เดินหลบฝนก่อนจะไปถึงป้ายรถเมล์ได้บ้าง...

ผมชั่งน้ำหนักระหว่างตัวเลือกทั้งสองในใจ จากนั้นก็ตัดสินใจว่าออกไปทางที่ต้องเดินเลียบอาคารข้างๆ ดีกว่า ถึงระยะทางจะไกลกว่าหน่อยแต่ก็เสี่ยงตัวเปียกน้อยกว่า

พอคิดได้แล้วผมก็เดินออกจากประตูอาคารด้านขวาทันที จากตรงนี้มีถนนเส้นเล็กๆ ซึ่งเป็นทางออกสำหรับรถที่จอดในอาคารเป็นตัวกั้นระหว่างตึกผมกับตึกข้างๆ แต่เนื่องจากตึกนั้นเป็นแค่ตึกแถวพาณิชย์ พอกลางคืนก็ปิดไฟมืด เวลามองออกไปจากตึกผมเลยดูน่าขนลุกอยู่เหมือนกัน

จู่ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งลึกลับที่รุ่นพี่ในบริษัทบอกว่าเคยเจอ และถึงแม้ผมจะไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้มากมายนัก แต่บรรยากาศวังเวงที่มีเพียงสายฝนตกลงมาก็ชวนให้จินตนาการเตลิดได้ ผมเลยกระชับสายสะพายกระเป๋าแน่นขึ้นเพื่อเตรียมจะวิ่งตัดถนนเส้นเล็กๆ เพื่อเข้าไปหลบฝนใต้ชายคาของตึกนั้น พลันเสียงสวบสาบที่ดังจากมุมหนึ่งของอาคารซึ่งไม่ห่างจากตัวเท่าไหร่ก็ทำเอาสะดุ้งโหยง

“วิว จะไปไหน?”

หัวใจผมเต้นรัวราวกับกลองที่โดนกระหน่ำตีจนหน้ากลองเกือบแตก ความตกใจทำให้หันไปทางต้นเสียงพร้อมกับเบิ่งตากว้างโดยไม่ทันสำเหนียกสักนิดว่าเสียงนั้นคุ้นเคยเพียงใด พอจู่ๆ ได้ยินเสียง ‘พึ่บ!’ ของร่มที่กางออกพร้อมกับมีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมนั้น ผมเลยได้แต่ยืนตัวแข็ง กระทั่งร่มคันนั้นถูกยื่นขึ้นมาเหนือหัวและทำให้เห็นหน้าของคนถือชัดๆ ผมถึงค่อยผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้อย่างโล่งอก

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
“เป้หรอกเหรอ โธ่เอ๊ย”

ไหล่ที่แข็งเกร็งเมื่อครู่ค่อยคลายตัวลงเพราะความโล่งใจ ดูเหมือนท่าทางของผมคงแสดงออกชัดเจนไปหน่อย เป้เลยหัวเราะเบาๆ แล้วใช้แขนข้างที่ว่างดึงผมเข้าไปหา

“ขวัญเอ๊ยขวัญมา เพิ่งเคยเห็นวิวตกใจแบบนี้นะเนี่ย”

เป้พูดพลางกอดผมแล้วลูบหลังขึ้นลง เสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้แผ่นอกที่แนบกันอยู่สั่นไหว ผมเลยขมวดคิ้วทันที ต่อให้คนขวัญแข็งแค่ไหน จู่ๆ มาเจอแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงเล่า ไอ้บ้า!

“พอเลย ก็ใครล่ะที่ทำให้ตกใจ แล้วมายืนทำอะไรมืดๆ ตรงนี้? ถ้าจะรอก็ขึ้นไปข้างบนก็ได้นี่”

ผมดันตัวเองออกจากอกเป้ แต่อีกฝ่ายยังรั้งเอวผมไว้ อาจเพราะถ้าผมถอยหลังมากไปจะเปียกฝนเนื่องจากร่มบังไม่ถึงเอากระมัง

“ตอนแรกก็ว่าจะขึ้นไปเหมือนกัน แต่ไม่รู้วิวต้องทำอะไรอีกเยอะแค่ไหน เป้ไม่อยากขึ้นไปเร่ง”

เสียงทุ้มห้าวอันคุ้นเคยค่อนข้างเบาและแหบ ผมจึงเลิกคิ้วเพราะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสองวันก่อนนั้นเราทะเลาะกัน และที่ทะเลาะกันก็เพราะเป้ไม่สบายและไม่ยอมฟังคำผมว่าให้นอนพักอยู่บ้าน พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ คิ้วผมเลยขมวดขึ้นมาอีก

“แต่มายืนข้างนอกตอนฝนตกแบบนี้เนี่ยนะ! เป้ ที่วิวพูดไปน่ะเคยฟังบ้างมั้ย?”

ผมรู้สึกถึงอะไรร้อนๆ ที่ล้นขึ้นมาจุกอยู่ในอกขณะพูดประโยคนั้น ใจหนึ่งก็เสียใจที่พลั้งปากว่าเป้อีกแล้ว แต่อีกใจก็อึดอัดที่เป้ทำเหมือนคำแนะนำของผมไม่สำคัญอะไรเลย ทั้งที่ผมเคยพูดออกไปแบบนั้นเพราะอยากให้หายป่วยไวๆ แท้ๆ

“เป้ดีขึ้นแล้วนะ จริงๆ ไม่มีไข้แล้วด้วย ไม่เชื่อจับดูสิ”

เจ้าคนตัวโตตอบแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่นกว่าเก่า ผมที่กำลังจะอ้าปากว่าเลยหน้าชนเข้ากับไหล่หมอนั่นเต็มๆ นี่ยังดีนะว่าฝั่งนี้ของตึกไม่มียามเฝ้าอยู่ ไม่งั้นให้ตายผมก็ไม่ยอมให้หมอนี่หาเศษหาเลยแบบนี้ในที่แจ้งแน่ๆ

“เห็นมั้ย? ตัวไม่ร้อนแล้วนะ เป้กินยาแล้วนอนพักตามที่วิวบอกมาสองวันเต็มๆ เลย”

เป้ก้มลงกระซิบข้างหู แขนทั้งสองข้างโอบกอดผมไว้โดยที่มือหนึ่งยังคงถือร่ม ความใกล้ชิดกันแบบนั้นทำให้พวกเราต่างก็ปลอดภัยจากเม็ดฝนที่ตกลงมาบนร่มแล้วไหลกลิ้งลงไปข้างๆ

ผมยืนนิ่งครู่หนึ่งขณะที่เป้กอดผมไว้ ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วยกมือสองข้างขึ้นทาบแผ่นหลังกว้างช้าๆ จากนั้นจึงค่อยเลื่อนขึ้นลงอย่างแผ่วเบาเพื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่ซึมผ่านเนื้อผ้าขึ้นมา

ไออุ่นของร่างอีกฝ่ายห่อหุ้มจนผมลืมเลือนความหนาวของสายฝน และถึงแม้จะรู้สึกได้ว่าตัวของคนที่ยืนตรงหน้านั้นค่อนข้างอุ่น แต่ถ้าหากเทียบกับเมื่อสองวันก่อนที่แค่ยืนใกล้ๆ โดยไม่แตะตัวก็รู้สึกถึงไอร้อนจากเป้ได้แล้ว วันนี้ก็นับได้ว่าอาการของอีกฝ่ายดีขึ้นเยอะทีเดียว เสียงก็แหบน้อยลงกว่าวันนั้นมากจนเกือบเป็นปกติแล้วด้วย

“...สองวันนี้นอนพักอย่างเดียวเลยใช่มั้ย?”

ผมถามพลางหยุดมือที่เลื่อนไปมาบนหลังอีกฝ่ายและเพียงทาบไว้นิ่งๆ จากนั้นก็เอียงหน้าลงซบซอกคออุ่นเบาๆ ความผ่อนคลายจากอ้อมแขนและสัมผัสของมือใหญ่ทำให้อารมณ์ผมเริ่มเย็นลง และเรียกความโหยหาที่พยายามเก็บซ่อนไว้ให้ผุดขึ้นจนตระหนักว่าคิดถึงคนตรงหน้าแค่ไหน

“อื้อ ก็ทำตามที่วิวบอกน่ะแหละ ปกติเป้ไม่ใช่คนป่วยง่ายๆ เพราะงั้นถึงไม่สบายก็เป็นแค่ไม่กี่วันหรอก”

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว....”

ผมเผลอตัวเกลือกหน้ากับไหล่เป้เบาๆ พลางระบายลมหายใจยาว อีกเรื่องหนึ่งที่เป้ทำให้ผมรู้ตัวก็คือ ความจริงผมก็เป็นคนที่อ้อนคนอื่นเป็นเหมือนกัน

“เมื่อวันนั้น...ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นเลยแท้ๆ”

ผมเอ่ยพลางถอยตัวออกหน่อยหนึ่งจะได้มองตาเป้ได้ ยังดีว่าตรงนี้อยู่ใต้อาคารผม เลยยังพอมีแสงจากด้านบนส่องลงมาให้เห็นหน้ากันได้บ้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเป้ดูลึกล้ำขึ้นขณะมองตอบมา แต่มุมปากทั้งสองข้างหยักเป็นรอยยิ้ม

“เป้ก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ตอนนั้นน้อยใจเลยถามประชดไป รู้อยู่แล้วล่ะว่าวิวเตือนเพราะเป็นห่วง แต่มันหยุดปากไม่ทัน”

เป้ยอมรับแต่โดยดี ผมเลยยิ้มบางๆ ให้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าเรื่องที่พวกเราทะเลาะกันมันช่างเล็กน้อย แต่ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รู้ตัวและขอโทษกันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องถือทิฐิแล้วโกรธกันต่อ

“ช่างมันเถอะ ดีขึ้นก็ดีแล้วล่ะ ว่าแต่มาตากละอองฝนแบบนี้เดี๋ยวไข้กลับหรอกเป้ รีบกลับกันดีกว่า”

เป้พยักหน้า จากนั้นก็เลื่อนมือที่ไม่ได้ถือร่มลงมากุมมือผมข้างหนึ่งไว้ “เป้จอดรถไว้หน้าตึกฝั่งโน้น”

พวกเราเดินกลับเข้าไปในตึกเพื่อไปออกอีกประตู เพราะว่าประตูด้านนั้นเป็นจุดที่ทางอาคารจัดไว้สำหรับรถที่มารับส่งคน ตอนดึกๆ แบบนี้เลยสามารถจอดรถตรงที่ว่างได้โดยไม่ต้องกลัวจะถูกยามไล่

“แล้วเป้รู้ได้ยังไงว่าวิวยังอยู่บนออฟฟิศ? อาจจะติดรถใครกลับไปแล้วตั้งแต่เลิกงานก็ได้นะ”

ผมถามขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในรถและดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด เป้ที่กำลังบิดกุญแจสตาร์ทรถเลยตอบง่ายๆ “ก็พอโทรเข้ามือถือวิวไม่ได้ เป้เลยโทรเข้าเบอร์ออฟฟิศแทนแล้วถามว่าวิวยังอยู่หรือเปล่า แล้วก็เลยฝากเขาว่าถ้าวิวออกจากออฟฟิศเมื่อไหร่ให้โทรมาบอกด้วย”

ระหว่างที่เป้รอให้เครื่องยนต์วอร์มอัพก็หันมายิ้มให้ ส่วนผมได้แต่นึกอยากเอามือกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยใจ สงสัยต้องเป็นหนึ่งในสองคนที่ยังนั่งอยู่บนออฟฟิศเมื่อกี้แน่ๆ ที่ได้คุยกับหมอนี่ แล้วพรุ่งนี้ผมจะเอาหน้าไปไว้ไหนดีละเนี่ย

“ช่างคิดซะจริงนะ”

“ก็มีแฟนเป็นคนชอบคิด เป้ก็ต้องคิดตามไปด้วยสิ”

เป้พูดเรื่อยๆ พลางเหยียบคันเร่งเพื่อออกไปสู่ถนน แต่ผมฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกำลังถูกเหน็บยังไงบอกไม่ถูก

ผมเหล่ตามองเจ้าคนขับรถขณะที่อีกฝ่ายยื่นมือไปเปิดเครื่องเล่นซีดี ภายนอกสายฝนเริ่มซาลงแม้จะยังไม่หยุดสนิท เสียงเพลงแนวฟังสบายๆ กับอากาศเย็นๆ รวมทั้งรถบนท้องถนนที่ค่อนข้างโล่งทำให้ผมไม่ค่อยอยากถือสาหาความให้มากนัก เพราะถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเป้มารับ ผมถึงไม่ต้องวิ่งตากฝนไปยืนรอรถเมล์ที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหนจะได้กลับถึงหอ ดังนั้นถ้าหมอนี่อยากเอาคืนบ้างก็ปล่อยไปเถอะ ผมไม่ใช่เด็กนี่นาจะได้ชวนหาเรื่องไม่หยุดหย่อน

ที่สำคัญ...ได้เห็นว่าเป้ยอมเชื่อผมและพักผ่อนจนอาการดีขึ้นมาปากเก่งได้เหมือนเดิม ผมก็พอใจแล้ว

“เป้หิวมั้ย? วิวยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย”

ผมถามขึ้นมาระหว่างที่รถติดไฟแดง แม้จะรู้ดีว่าจริงๆ แล้วเป้ยังไม่หายสนิท แต่ไหนๆ เราก็ไม่ได้เจอกันมาสองวันเต็มๆ ถ้าผมจะขอยื้อเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคืนนี้ออกไปอีกหน่อย....มันคงไม่เป็นการเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรอกนะ

“เอาสิ เป้ก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ถ้างั้นกินอะไรกันดี?”

“เป้เลือกสิ ชั่วโมงนี้ตามใจคนป่วยก็แล้วกัน เผื่อได้กินของที่ชอบจะได้หายไวขึ้น”

ผมตอบพลางยกมือบีบต้นแขนแข็งแรงเบาๆ เป้เลยหันมายิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปเหยียบคันเร่งเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“งั้นอะไรดีล่ะ ติ่มซำเป็นไง? จะได้กินหลายๆ อย่างด้วย หรือวิวอยากกินพวกอาหารจานเดียวมากกว่า?”

เป้ทำท่าคิดถึงตัวเลือกอื่นไปพลางก็ดึงมือขวาผมไปคลึงเล่น สุดท้ายถึงจะบอกว่าให้เลือกเองได้ตามใจ หมอนี่ก็ยังอุตส่าห์จะขอความเห็นชอบจากผมอยู่ดี แต่ก็คงเพราะจุดนี้ละมั้งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เจ้าคนตัวโตนิสัยเด็กนี่ก็มีแง่มุมน่ารักอยู่

และถึงต่อให้สุดท้ายคืนนี้เราจะไปจบการตัดสินใจที่ร้านไหนก็ตาม แต่เป้ก็ทำให้ผมมั่นใจแล้วล่ะ ว่าถ้ามันเป็นมื้อที่เรานั่งกินหลังจากได้ปรับความเข้าใจกัน แค่นั้นก็คงเป็นมื้อง่ายๆ ที่ดีที่สุดสำหรับผมในคืนนี้แล้ว


++---End---++



ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
A/N:ตามสัญญาในเฟสบุ๊คว่าจะมีตอนใหม่มากำนัลให้แฟนๆ ของเป้กับวิวระหว่างรอตอนใหม่ของคุณเชษฐ์กับภัทร ในที่สุดก็เสร็จแล้วค่ะ เนื้อเรื่องตอนนี้จะเป็นช่วงปิดเทอมหลังจากทั้งคู่เพิ่งเริ่มคบกันก่อนขึ้นปีสาม และวิวไปฝึกงานที่บริษัทที่รุ่นพี่แนะนำ ส่วนเป้ไปฝึกงานที่บริษัทของพ่อ ช่วงเวลาก็หลังจากตอน  “แรกเปิดใจ" นั่นเอง ความจริงแล้วเนื้อหาตอนนี้ไม่มีอะไรมาก แต่มาจากภาพในหัวที่เห็นเป้ยืนกางร่มรอใต้ตึกขณะวิวกำลังเดินออกมา จากนั้นก็เลยมาสร้างเรื่องต่อจากภาพนั้น ตอนแรกก็ปวดหัวกับการคิดหาหัวข้อทะเลาะให้สองคนนี้เหมือนกัน เพราะเป็นคู่ที่ไม่ค่อยมีเรื่องผิดใจกันแรงๆ นานๆ เท่าไหร่ แต่คิดว่าเหตุผลที่ให้ไว้ในเรื่องนี้ก็เหมาะสมกับนิสัยของทั้งคู่ช่วงที่เพิ่งคบกันและยังไม่รู้ใจกันดีแล้วละเนอะ หวังว่าแฟนๆ ที่ได้อ่านตอนนี้จะมีความสุขและอ่านไปยิ้มไปเหมือนคนเขียนนะคะ

ปล. ช่วงนี้ฝนฟ้าอากาศเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ พกร่มติดกระเป๋าไว้ปลอดภัยที่สุดเน้อ

ออฟไลน์ EunSung87

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-2
จิ้มจองพื้นพี่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด