แบบว่า ไหนๆ คนอ่านหลายคนก็สงสัยเหมือนน้องหว้าว่าทำไมวิวถึงไข้ขึ้น บวกกับคนเขียนเองก็บ้าจี้ พอโดนถามมากๆ เข้าก็เลยทนไม่ไหว ต้องเขียนออกมาเฉลยปริศนาจนได้ แต่คิดว่าคนอ่านที่ติดตามกันประจำก็คงชินแล้วกับอิป้าที่นึกจะเขียนเรื่องราวตอนไหนของตัวละครก็เขียน ก็หวังว่าได้อ่านตอนพิเศษนี้กันแล้วคงจะกระจ่างขึ้นนะจ๊ะ++------++
ลำนำรักสีรุ้ง ตอนพิเศษ: คืนจันทร์อิงดาว (หลังจากง่อยกับชื่อตอน “หนึ่งเดือน” ในคราวที่แล้ว คราวนี้เลยขอชื่อตอนแบบสวยๆ หน่อย

)
RRRrrrrr….
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะเงียบไป เป็นสัญญาณที่รู้กันดีระหว่างผมกับคนที่มารับว่าอีกฝ่ายมาถึงบริษัทแล้ว ผมจึงปิดคอมพิวเตอร์และหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็หันไปไหว้ลารุ่นพี่ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน
“ผมกลับก่อนนะครับ พี่ก้อย พี่ศิลป์”
รุ่นพี่ทั้งสองหันมายิ้มให้แล้วโบกมือลา เนื่องจากตั้งแต่ปิดเทอมครั้งก่อนๆ ผมก็มาฝึกงานที่นี่ประจำ ทำให้ค่อนข้างคุ้นเคยกับทุกคนในบริษัทดี โดยเฉพาะกับสองคนนี้ซึ่งคอยช่วยสอนงานให้ผมตลอด
พอเดินออกมาถึงโถงด้านหน้าบริษัท ผมก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยกำลังนั่งอ่านนิตยสารฆ่าเวลาอยู่ตรงโซฟา พอเป้เงยหน้ามาเห็นผมก็วางนิตยสารในมือลงแล้วลุกขึ้นยิ้มให้ ผมเลยไหว้ลารุ่นพี่ตรงเคาน์เตอร์รีเซปชั่นก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไปพร้อมกับคนที่มารับ
“เมื่อตอนบ่ายหว้าโทรมาบอกว่าเย็นนี้จะไปกินข้าวกับติวหนังสือที่บ้านเพื่อน คงจะมากินข้าวด้วยไม่ได้นะ”
ผมบอกระหว่างที่พวกเรากำลังลงลิฟต์ไปยังชั้นจอดรถใต้ดิน เป้ที่ยืนล้วงกระเป๋ามองแผงไฟเหนือประตูเลยส่งเสียงรับในคอ
“อืม...งั้นคืนนี้พวกเราก็อยู่ด้วยกันจนถึงดึกได้สิ?”
พ่อคุณชายหันมาพูดยิ้มๆ พร้อมกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผมเลยขมวดคิ้วมองคนที่เดินนำออกไปก่อนแบบไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
“คงไม่ค่อยดีมั้งเป้ เดี๋ยวกินข้าวแล้วกลับเลยดีกว่า ไม่อยากให้หว้าอยู่หอคนเดียว”
ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราขึ้นรถและออกมาจากอาคารสำนักงานแล้ว แต่เป้กลับยักไหล่ทั้งที่ไม่ได้หันมาหา “หว้าก็โตแล้วนะวิว อีกอย่างเด็กวัยนี้อย่าไปคอยเฝ้ามากนักเลย ตอนเป้อายุเท่าหว้ายังเคยหนีออกไปเที่ยวตอนกลางคืนกับปูมด้วยซ้ำ”
เป้พูดยังกับเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยหนีเที่ยวตอนกลางคืนต่างหากที่ผิดปกติ ผมเลยรู้สึกเหมือนกำลังโดนกระทบชอบกลทั้งที่เจ้าตัวคงไม่ตั้งใจ ก็ตอนผมยังเด็กเท่าหว้าน่ะ แถวบ้านผมมันไม่มีอะไรให้ไปออกไปดูเลยยกเว้นเวลามีงานวัดนี่นา ดังนั้นถ้าหากไม่ทำการบ้านหรืออ่านหนังสือล่ะก็ ไม่เกินสี่ทุ่มผมก็กางมุ้งเข้านอนแล้ว
“แล้วทั้งเป้ทั้งพี่ปูมก็โดนทำโทษทุกครั้งที่พากันหนีเที่ยวใช่ไหมล่ะ?”
ผมช่วยต่อให้ คราวนี้คนขับรถหัวเราะแทนคำตอบ ผมเลยได้แต่เก็บความหมั่นไส้ไว้แล้วหันไปมองนอกหน้าต่างซึ่งเต็มไปด้วยรถราแทน ถึงแม้ช่วงนี้จะยังปิดเทอม แต่เพราะย่านที่ผมทำงานนั้นเป็นย่านสำนักงานที่รถติดเป็นประจำ เวลานี้ถนนทั้งเส้นจึงมีแต่ผู้คนที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านทั้งด้วยรถส่วนตัวและรถสาธารณะติดกันยาวเป็นแพ รถของเราก็เลยแทบจะไม่ขยับเขยื้อนไปด้วยทั้งที่ออกจากออฟฟิศมาได้พักใหญ่
ดูเหมือนเป้เองก็ไม่ได้รีบร้อนจะพาผมไปไหน เพราะดูหมอนี่จะไม่ทุกข์ร้อนเลยกับการที่ต้องนั่งอยู่ในรถเฉยๆ ท่ามกลางการจราจรที่ย่ำแย่ นอกจากจะนั่งฮัมเพลงตามแผ่นซีดีเวลาได้ยินเพลงที่ชอบ ก็มีแต่ดึงมือขวาผมไปคลึงเล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเอง บางทีที่เป้ไม่บ่นก็คงเพราะเราสองคนแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ตั้งแต่หว้ามาอยู่ด้วย แต่จะทำไงได้ จะให้ผมไล่น้องชายที่ปีนึงเจอกันไม่กี่ครั้งให้ไปหาข้าวเย็นกินเองในขณะที่ตัวเองมากินข้าวกับแฟนทุกวันได้ยังไงกัน
กว่าพวกเราจะหลุดพ้นจากการจราจรที่แทบเป็นอัมพาตเพราะมีไฟแดงทุกๆ ระยะไม่กี่สิบเมตร เป้ก็ขับรถพาผมไปที่สวนอาหารย่านชานเมืองซึ่งอยู่ไกลจากใจกลางเมืองพอสมควร เนื่องจากละแวกนี้ไม่ค่อยมีตึกสูงหรือโครงการหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ๆ สวนอาหารจึงมีพื้นที่กว้างขวาง ตรงกลางร้านมีการขุดทะเลสาบเอาไว้โดยมีน้ำพุกับหินสลักประดับ แต่ทั้งๆ ที่ทางร้านมีโต๊ะอาหารเกือบร้อยโต๊ะไว้บริการทั้งในส่วนกลางแจ้งและในห้องแอร์ พวกเราก็ยังต้องรอคิวกันหลายนาทีเพราะว่ามีคนมาทานอาหารที่นี่กันเยอะ
หลังจากที่รับบัตรคิวจากพนักงานต้อนรับและได้รู้ว่ามีคิวที่มาก่อนอีกกี่คิว พ่อคุณชายก็ทำหน้ามุ่ยขณะที่พวกเรานั่งรอกันบริเวณหน้าร้าน
“โทษทีเป้พลาดไปหน่อย ไม่นึกว่าวันธรรมดาคนจะแน่นเลยไม่ได้โทรมาจองไว้”
ผมฟังแล้วก็เพียงแต่ส่ายหน้าแล้วยิ้มอ่อนๆ ให้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเป้เสียทีเดียว ถือว่าหมอนี่โชคดีด้วยที่ผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไม่งั้นระหว่างรอผมอาจหงุดหงิดก็ได้ว่าทำไมต้องพามากินไกลถึงที่นี่
ราวสิบห้านาทีพวกเราก็ได้โต๊ะว่างในโซนกลางแจ้งที่ไม่มีหลังคา ทำให้สามารถมองเห็นท้องฟ้าและบรรยากาศโดยรอบได้ชัด นอกจากนั้นโต๊ะนี้ยังอยู่ข้างทะเลสาบที่อยู่ตรงกลางสวนอาหารด้วย ไอเย็นจากน้ำพุบวกกับลมที่พัดมาอ่อนๆ ทำให้อากาศไม่อบอ้าวทั้งที่ไม่ได้นั่งในห้องแอร์
พวกเราสั่งอาหารสามอย่างกับข้าวเปล่าอีกหนึ่งโถ เพราะว่าตัวใหญ่อย่างเป้กินข้าวจานเดียวไม่เคยพออยู่แล้ว และอาหารที่นี่ก็อร่อยแถมให้เยอะอีกต่างหาก สุดท้ายเราสองคนก็เลยผลัดกันเติมทั้งข้าวและกับข้าวจนทุกอย่างหมดเกลี้ยงในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง
หลังจากจัดการมื้อเย็นเรียบร้อย พวกเราไม่ได้เรียกพนักงานเก็บเงินทันที เพราะว่าบรรยากาศที่ร่มรื่นกับเสียงดนตรีเบาๆ ที่ทางร้านเปิดไว้ทำให้อยากนั่งเล่นไปเรื่อยๆ ก่อน โชคดีที่พอเริ่มดึกขึ้น คนที่มาทานอาหารตั้งแต่หัวค่ำก็ทยอยกลับกันไปบ้าง เราสองคนเลยไม่รู้สึกกดดันว่าต้องรีบลุกเพราะอาจจะมีคนรอคิวอยู่
ผมพยายามไม่เร่งเป้ให้รีบพากลับ นอกจากเพราะชอบบรรยากาศของที่นี่แล้ว ส่วนหนึ่งผมก็พอจะเข้าใจด้วยว่าเป้คงอยากใช้เวลากับผมให้นานขึ้น ก็เลยชวนคุยเรื่องที่ฝึกงานไปเรื่อยๆ แต่เพราะว่าปิดเทอมทีไรผมก็ไปฝึกงานที่เดิมทุกครั้ง ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ เล่าให้เป้ฟังสักเท่าไหร่ ต่างจากพ่อคุณชายที่คราวนี้เลือกจะไปฝึกงานที่อื่นซึ่งไม่ใช่บริษัทของพ่อ แต่เป็นบริษัทที่ทำด้านการส่งออกเครื่องแก้วเจียระไนไปต่างประเทศ ผมเลยได้ฟังเป้เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังมากกว่า
กว่าเราสองคนจะได้เรียกพนักงานมาคิดเงิน เวลาก็ล่วงผ่านไปอีกพักใหญ่ อุณหภูมิในยามดึกลดต่ำลงเล็กน้อยเพราะลมที่พัดแรงกว่าเมื่อหัวค่ำ ส่วนจันทร์ครึ่งดวงบนฟ้าก็ลอยขึ้นสูงลิบ ผมจึงหันไปคว้าข้อมือเป้ขึ้นมาดูนาฬิการะหว่างที่เดินออกจากร้านด้วยกัน เพราะว่านาฬิกาของผมถ่านหมดและยังไม่มีเวลาไปเปลี่ยนถ่านใหม่เสียที ทำให้เห็นว่าตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว
“ดึกป่านนี้แล้วสิ ไม่รู้หว้าอยู่คนเดียวจะเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวเรากลับหอกันเลยดีกว่าเป้”
ผมบอกพลางปล่อยข้อมือใหญ่ลงอย่างเดิม แต่กลับได้เห็นหัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันน้อยๆ ของคนที่หยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกง
“ตั้งแต่หว้ามาอยู่หอกับวิว เป้รู้สึกเหมือนตัวเองโดนลดขั้นยังไงไม่รู้สิ”
พ่อคุณชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ หลังจากพวกเราขึ้นรถกันและออกมาจากร้านแล้ว ผมเลยหันไปเลิกคิ้วแบบไม่ค่อยเข้าใจ “หมายความว่าไง?”
เป้เงียบไปนิดนึงก่อนจะตอบโดยไม่หันมาหา “ก็...เหมือนโดนลดขั้นให้เป็นกิ๊กแทนที่จะเป็นแฟนทำนองนั้น”
คนพูดไม่พูดด้วยเสียงธรรมดา แต่เหมือนจะมีกลิ่นความน้อยใจเล็กๆ เจืออยู่ในน้ำเสียงด้วย คราวนี้ผมเลยยกมือขึ้นบีบไหล่หนาอย่างให้กำลังใจ เพราะเดาได้ว่าคงกำลังโดนหมอนี่งอนเข้าให้แล้ว
“คิดมากน่ะเป้ ก็น้องยังเด็กแถมไม่เคยมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องเป็นห่วงสิ อีกอย่างหว้าก็จะมาอยู่ด้วยเดือนเดียวเอง ลองคิดในมุมกลับกันดูนะ ถ้าสมมติว่าเป้ออกไปอยู่นอกบ้านแล้วน้องปอนด์ตามไปอยู่ด้วย เป้ก็ต้องห่วงน้องสาวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
เป้ยกมือซ้ายขึ้นมาดึงมือผมไปจับโดยที่สองตายังมองถนน แต่คราวนี้ส่งเสียงหึขึ้นจมูกด้วย “ถ้าเป็นแบบนั้น หัวเด็ดตีนขาดยังไงยายปอนด์ก็ไม่มีทางขอมาอยู่กับเป้หรอก ไม่งั้นมีหวังได้ทะเลาะกันทั้งวันแน่”
ผมฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ เพราะในขณะที่น้องชายผมจะชอบเข้ามาอ้อนเวลาอยากได้นั่นได้นี่ แล้วก็ไม่ค่อยกล้าเถียงเวลาที่โดนผมดุหรือตักเตือน แต่ที่บ้านเป้จะเลี้ยงลูกมาอีกแบบ พี่น้องแต่ละคนก็เลยค่อนข้างจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แถมเป้กับน้องปอนด์ยังนิสัยคล้ายๆ กันเสียอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากอยู่ด้วยกันนานๆ แล้วจะอดเถียงกันไม่ได้ ถึงแม้นั่นจะไม่ได้หมายความว่าสองพี่น้องไม่รักกันก็ตามที
แต่ว่า...การได้ยินเป้พูดออกมาแบบนั้น ก็เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหรือผมจะละเลยความรู้สึกของคนข้างตัวเกินไปหน่อยจริงๆ...
“ความจริงเป้มีที่ที่อยากพาวิวไปดูคืนนี้ แต่ถ้าวิวยังยืนยันว่ายังไงก็อยากจะกลับไปอยู่กับน้องล่ะก็ เป้ก็จะพากลับ”
ผมยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไรให้คนข้างตัวรู้สึกดีขึ้น เป้ก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คำพูดที่ใช้กลับทำให้รู้สึกว่าหมอนี่คงกำลังงอนชัดเจนกว่าไอ้ประโยคก่อนหน้านี้เสียอีก คราวนี้ผมเลยได้แต่กลอกตา เพราะดูเหมือนผมคงต้องให้ความสนใจเจ้าเด็กคนนี้ก่อนเด็กที่ห้องเสียแล้ว
“...เอางี้ ถือซะว่าไหนๆ เราก็อยู่ข้างนอกกันจนดึกป่านนี้แล้ว ถ้าหากวิวจะกลับดึกกว่านี้อีกหน่อยก็คงไม่ต่างกันหรอก เป้อยากพาไปไหนก็ตามใจเถอะ”
คราวนี้คนขับรถเลี้ยวแฉลบเข้าข้างทางก่อนจะเข้าเกียร์จอด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่หันมามองทางผมเป็นประกายวาวอย่างดีใจ
“สัญญาแล้วนะ”
“หา? สัญญาอะไร??”
ท่าทางของหมอนี่ที่จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาผมตกใจหน่อยๆ เป้คงเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าผม เลยยิ้มแล้วก็บีบมือผมแน่นขึ้น
“สัญญาว่าคืนนี้ยอมอยู่กับเป้แล้วไง เมื่อกี้วิวก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าถึงกลับดึกกว่านี้ก็ไม่เป็นไรน่ะ?”
ผมสบตาคนที่ขอคำยืนยันอย่างงงๆ ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่เมื่อกี้พูดเปิดทางแบบนั้นไป แต่ในเมื่อออกปากไปแล้ว ถ้าเกิดกลับคำตอนนี้คงได้ต้องมาง้อทีหลังกันยาวแน่ ก็เลยพยักหน้ารับเพื่อตัดปัญหา เป้เลยยิ้มกว้างก่อนจะหันไปเข้าเกียร์ออกรถ
“ถ้างั้นไปกันเลยดีกว่า เป้น่ะรอจะพาวิวไปที่นี่มาตั้งหลายวันแล้ว”
เป้พูดแล้วก็ไม่ได้ขยายความต่อ ส่วนผมเองก็คร้านจะถามว่า ‘ที่นี่’ ที่ว่ามันคือที่ไหน เพราะถึงแม้จะอ่านพฤติกรรมหรือนิสัยของเป้ได้มากกว่าตอนที่เริ่มคบกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้หมดทุกเรื่อง ผมก็เลยปล่อยให้เป้ขับรถพาไปแบบไม่ถามจู้จี้อีก
ขากลับครั้งนี้เป้ใช้เส้นทางคนละเส้นกับตอนขามา ถนนตัดใหม่ที่ไม่คุ้นเคยทอดยาวไปสู่ย่านชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองซึ่งนานครั้งผมถึงจะนั่งรถผ่านสักที แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าแถวนี้เป็นแหล่งสำนักงานกับที่พักอาศัยสำหรับคนที่พอจะมีฐานะ ถนนที่ว่างโล่งในยามดึกทำให้เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคอนโดแห่งหนึ่งซึ่งยังดูค่อนข้างใหม่ รั้วด้านหน้าซึ่งทำจากหินสีเข้มที่เรียงกันเป็นชั้นๆ สูงประมาณหนึ่งเมตร ส่วนป้ายชื่อโครงการทำจากโลหะที่แกะเป็นตัวหนังสือให้นูนขึ้นและมีแสงไฟสีส้มส่องจากด้านล่าง หลังจากเลี้ยวผ่านรั้วเข้ามาจะพบกับทางเข้าที่มีต้นปาล์มผอมเรียวเรียงกันเป็นระยะห่างๆ ขนาบสองข้างทาง เป้หันมาเปิดเก๊ะหน้ารถหยิบบัตรใบหนึ่งออกไปแสดงให้ยามตรงป้อมดู จากนั้นพวกเราก็ถูกปล่อยให้ขับรถเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย
ทางขึ้นที่จอดรถของที่นี่แบ่งทางสำหรับรถวิ่งขึ้นและลงไว้คนละฝั่ง และเนื่องจากเส้นทางที่ใช้สำหรับวนขึ้นอาคารนั้นมีผนังเปิดโล่ง จึงทำให้สามารถมองออกไปเห็นสภาพบรรยากาศรอบๆ ได้ด้วย โชคดีที่คอนโดแห่งนี้มีพื้นที่โดยรอบพอสมควร ทำให้ถึงแม้จะอยู่ในตึก แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัดคับแคบจากการที่รอบด้านมีแต่ตึกอาคารสูงๆ รายรอบเท่าไรนัก
“วิวไม่ถามหน่อยเหรอว่าเป้พามาที่นี่ทำไม?”
เป้หันมาถามหลังจากเอารถเข้าจอดที่ชั้นสี่ ผมเลยส่ายหน้าระหว่างลงจากรถและเดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน
“ขี้เกียจถาม ถ้าคนพามาอยากเฉลยเขาก็คงบอกเอง”
ผมตอบตามที่คิด และที่บอกว่าขี้เกียจถามก็เพราะขี้เกียจจริงๆ ซึ่งคงเป็นเพราะเริ่มเพลียจากการที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน เป้ฟังแล้วก็หัวเราะ พอลิฟต์มาถึงก็ดึงมือผมแล้วจูงเข้าไปข้างใน
“งั้นก็รอให้ไปถึงที่ค่อยเฉลยก็แล้วกัน”
คนพูดยังคงใช้คำกำกวมชวนให้หมั่นไส้ แต่ผมก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียงเลยได้แต่เงียบ พอเป้กดเลขชั้นที่ต้องการ ไม่นานพวกเราก็ขึ้นมาถึงชั้นที่ยี่สิบแปด และเนื่องจากไม่มีใครกดใช้ลิฟต์ระหว่างที่พวกเราขึ้นมาเลย ความเร็วของการถูกดันขึ้นสู่ที่สูงในเวลาสั้นๆ เลยทำเอาผมหูอื้อจนต้องกลืนน้ำลาย พอประตูลิฟต์เปิดปุ๊บ เป้ก็จูงมือผมออกไปบนทางเดินปูกระเบื้องสีครีมที่เรียงกันเป็นลายตารางถี่ๆ ทันที
“ทางนี้ อยู่สุดทางเดินเลย”
เจ้าคนตัวใหญ่ก้าวขายาวๆ แบบแทบจะไม่รอให้ผมได้ปรับจังหวะตาม แต่พอมาถึงประตูห้องที่อยู่สุดปลายทางเดิน คนที่เดินนำอยู่ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหันจนผมเกือบจะสะดุด พอผมขมวดคิ้วแล้วเหลือบตาขึ้นมองแบบฉุนๆ เป้ก็ยิ้มแบบไม่สำนึกผิดสักนิดให้
“เป้ว่าวิวหลับตาก่อนดีกว่า”
“หือ?”
ผมขมวดคิ้วทันที เอาล่ะ ผมยอมรับว่าตั้งแต่ตกปากรับคำว่าคืนนี้จะให้เป้พาไปไหนก็ได้ ผมก็ทำใจไว้แล้วว่าต่อให้โดนพาไปที่แปลกประหลาดขนาดไหนก็จะไม่บ่น แต่จู่ๆ ตอนนี้ก็จะมาบอกให้หลับตาโดยไม่อธิบายสักคำว่าเรากำลังมาเยี่ยมใครเนี่ยนะ...
ผมกำลังจะอ้าปากถามให้สมกับที่สงสัย แต่เป้ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาปิดปากผมไว้ก่อนราวกับเดาปฏิกิริยาไว้แล้ว
“เถอะน่า เป้เคยหลอกวิวไปทำอะไรไม่ดีหรือไง?”
พอโดนถามแบบนี้ ไอ้ที่ผมตั้งใจจะบ่นก็เลยต้องกลืนคำพูดลงคอไป หลังจากถอนหายใจดังๆ เสียทีหนึ่งให้เจ้าคนตรงหน้ารู้ว่าผม ‘จำยอม’ ผมถึงค่อยหลับตาลงตามที่ถูกขออย่างไม่มีทางเลือก
“แล้วก็ห้ามลืมตาจนกว่าเป้จะบอกนะ”
เป้สำทับอีก ผมเลยส่งเสียงคำรามในคอให้รู้ว่าจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ เพราะตอนนี้ผมแทบจะไม่มีพลังงานเหลือสำหรับโวยวายแล้ว และได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ในคอของอีกฝ่ายก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้าที่หมุนตัวไปทางประตู
เสียงฟืดต่ำๆ เหมือนเสียงรูดการ์ดดังขึ้น ตามด้วยเสียงหมุนลูกบิดประตูและความรู้สึกว่าลมวูบผ่านเพราะบานประตูถูกผลักเข้าไป ผมยังหลับตาอยู่ก็จริง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเป้ถึงมีกุญแจห้อง และตกลงแล้วห้องนี้เป็นห้องของใครกันแน่
ผมไม่ทันได้เอ่ยคำถามออกไป เป้ก็หันมาจับมือทั้งสองข้างของผมไว้แล้วจูงเข้าไปในห้องช้าๆ พอพ้นประตูเข้ามาและเป้เลื่อนตัวไปผลักประตูปิดอย่างเดิม คนตัวโตกว่าก็ก้มลงมากระซิบข้างหูผม
“เดี๋ยววิวถอดรองเท้าออกก่อน ห้ามลืมตาหรือหรี่ตาดูด้วยนะ”
เสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่ยังจับมือผมอยู่ทำให้รู้ว่าเป้ก็กำลังถอดรองเท้าเหมือนกัน ผมจึงยอมทำตามเงียบๆ ถึงแม้ว่าจะอยากแกล้งหมอนี่ด้วยการลืมตาขึ้นให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำและเพียงแต่ยอมให้เป้จูงมือต่อ
“โอเค ตรงนี้พื้นมันต่างระดับ วิวก้าวสูงขึ้นอีกนิดนึง”
เป้ยังคงใช้วิธีบอกทางด้วยปากและจูงผมด้วยมือทั้งสองข้าง เวลาเดินไปตรงไหนที่มีสิ่งกีดขวางหรือต้องเลี้ยวก็จะคอยบอกหรือใช้มือหนึ่งจับเอวผมให้เบี่ยงตัวไปทางที่ต้องการ จนผมชักอยากจะบอกว่าอุ้มผมไปเลยจะเร็วกว่าไหมเพราะเริ่มเหนื่อยกับการเล่นเกมปิดตานี่เต็มที แต่ก็ยังพยายามทำใจเย็นแล้วปล่อยให้เป้ทำอย่างที่ต้องการต่อไป
“ยังไม่ถึงอีกเหรอเป้ วิวจะหลับทั้งยืนอยู่แล้วนะ”
ผมบ่นขึ้นในที่สุดหลังจากรู้สึกเหมือนโดนจูงมานาน เลยได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนจูง แล้วก็เพราะว่าเป้จูงผมแบบไม่ยอมปล่อยมือห่างนัก ผมเลยรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ระอยู่บนหน้าผากนี่เอง
“ตรงนี้พอแล้วล่ะ วิวหันหลังแล้วลืมตาสิ”
เป้ค่อยๆ ปล่อยมือทั้งสองข้างก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจับไหล่ผมแทนแล้วดันเบาๆ ให้หันหลังกลับ ผมถึงค่อยลืมตาขึ้นทีละนิด แต่เนื่องจากแสงไฟในห้องสว่างจ้ามาก บวกกับผมหลับตาเอาไว้มาชั่วขณะหนึ่ง พอเจอแสงสว่างเต็มๆ เข้าเลยตาพร่าจนแสบตาไปหมด
ผมกะพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาจนกระทั่งไม่เห็นจุดสีดำกับสีขาวที่ิวิ่งวนจนน่าเวียนหัวอีก ถึงค่อยเห็นว่าตอนนี้พวกเราสองคนกำลังยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรับแขก ซึ่งเท่าที่วัดจากสายตาคร่าวๆ ก็น่าจะใหญ่กว่าห้องนอนผมที่หอเสียด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งของห้องคือประตูกระจกที่กินที่เกือบทั้งผนังและสามารถเลื่อนเปิดออกไปยังระเบียงได้ ส่วนด้านในห้องมีโทรทัศน์แบบจอแบนที่ฝังไว้ในผนัง ตรงข้ามกันคือชุดโซฟายาวบุกำมะหยี่สีแดงเข้มน่านั่งซึ่งคงเป็นจุดที่เป้ให้ผมเลี้ยวอ้อมเมื่อครู่จะได้ไม่เดินชน ถัดจากบริเวณห้องนั่งเล่นออกไปมีห้องครัวแล้วก็เคาน์เตอร์สำหรับทำอาหาร และเยื้องกันไม่ไกลนักมีประตูห้องคู่กันอยู่สองประตู ซึ่งผมเดาเองว่าคงเป็นประตูห้องนอนหรือไม่ก็ห้องน้ำ
เครื่องเรือนในห้องนั่งเล่นดูเหมือนผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในสภาพดีและสะอาดเอี่ยม ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจคือการที่ห้องนี้ดูเหมือนเป็นห้องเปล่าๆ ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ เพราะที่อ่างล้างจานไม่มีถ้วยชามหรือแก้วน้ำคว่ำเลย ตรงชั้นวางรองเท้าด้านหลังประตูก็มีแต่รองเท้าของผมกับเป้ ส่วนระเบียงภายนอกก็ไม่มีราวตากผ้าหรือกระถางต้นไม้ประดับนอกจากเถาไม้เลื้อยบางๆ ที่พันอยู่กับขอบระเบียง ผมเลยเอี้ยวคอไปหาคนข้างหลังอย่างไม่เข้าใจ