มาอัพเสียหน่อยก่อนไปนอน มีลางสังหรณ์ว่าคนอ่านตอนนี้ต้องโวยไอ้เจ้าอ๊อฟกันแน่ๆ 5555 Jeremy_F จะรักกันไหมน้าคู่นี้ หึๆๆๆ
Newykung อ่านตอนนี้แล้วจะเห็นว่านะยังขี้อายอยู่ไหมน้า
The Living Rive ตอนนี้นะเมาและได้เรื่องจริงๆด้วยแหละเพื่อนสาว วะฮะฮ่า
<Ju!_Ju!> หลงรักน้องนะอีกคนแล้ว เย่
watermoonj ขอบคุณคับ
krappom ฮี่ๆๆ เพราะป๋อมแป๋มมาตามนะเนี่ยเลยรีบปั่นมาให้
19NT เอาจริงเหรอ เอาคนเขียนไปก่อนม้ายยยย ก๊าก
dahlia นะ นักปีนมืออาชีพจ้ะ อิๆ
mist ติดใจเป้วิวขนาดนั้นเลย
palpouverny น้องนะคนหลงเยอะจัง
pickki_a นู๋ใหญ่ เบาหวานลงตับไปยางงงง
BeePed อ่านตอนนี้แล้วอาจเห็นอ๊อฟทึ่มกว่าเดิม ก๊ากกก
muhan ระวังโดนจิ้มคืนมั่งนะตัว
nana มาต่อให้แล้วจ้าขอบพระคุณเสียงตอบรับจากทุกท่านเจ้าค่า ไปติดตามต่อตอนที่ 3 กันเลยนะ 3. ความไม่เข้าใจ“อยากจะขอปาฏิหารย์ขีดชะตาชีวิตฉันใหม่
ขอให้พบและได้เจอกับบางคน คนที่รู้ใจ
ขออธิษฐานต่อ ดวงดาวทำให้ฉันไม่ต้องอยู่เดียวดาย
และทำให้เราเจอใครซัก...คน
เหม่อมองความรักที่มันหลุดลอย
ปล่อยใจดวงน้อยเฝ้าคอยความหวัง
กี่คนหมื่นล้านที่เดินผ่านไป จะมีใครมั้ยที่ฉันเฝ้ารอ
อยู่กับความเหงามานาน มันทรมาน เหมือนอยู่บนทางแสนไกล
ก่อนมันจะสายเกินไป ทุกลมหายใจ มันอยู่เพื่อรอใครซักคน”ผมยังร้องไม่ทันจบเพลงก็โดนตบหัวเสียก่อน พอจะหันไปหาเรื่องว่าใครเป็นคนมาลอบทำร้ายก็ปรากฏว่าเจอพี่หล่งซึ่งเป็นประธานชุมนุมยืนกอดอกทำหน้าเซ็งอยู่ข้างหลัง
“อะไรพี่ อยู่ดีๆมาตบหัวผมทำไมเนี่ย”
“ถ้าไม่เล่นแบบนี้มึงจะหยุดเหรอ รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่านั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงเดิมมากี่รอบแล้ว”
ผมหันไปมองเติ้ลซึ่งเป็นรุ่นน้องชุมนุมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านการ์ตูนอยู่ที่กรอบประตูแล้วถามให้แน่ใจ “เฮ้ยเติ้ล พี่เล่นเพลงนี้ซ้ำหลายรอบแล้วจริงเหรอวะ”
คนถูกถามชำเลืองมองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจหนังสือการ์ตูนต่อ “เออดิพี่ ผมได้ยินพี่เล่นเพลงนี้ตั้งแต่ผมอ่านการ์ตูนเล่มแรกจนตอนนี้จะขึ้นเล่มที่สามแล้วเนี่ย รอบแรกๆผมก็รำคาญอะนะแต่ขี้เกียจทัก เป็นบุญจริงๆที่พี่หล่งเข้ามา”
ผมเขวี้ยงกล่องกระดาษทิชชูใกล้มือใส่รุ่นน้องปากดีแต่เจ้าตัวยกหนังสือการ์ตูนขึ้นปัดทัน “เฮ้ยพี่อ๊อฟ ผมพูดความจริงเฉยๆแค่นี้ต้องประทุษร้ายกันด้วยเหรอวะ”
“นี่พวกมึง จะทำร้ายร่างกายกันก็ไปนอกห้องแต่ห้ามเอาทรัพย์สินชุมนุมไปเล่นโว้ย ไอ้เติ้ลเอากล่องทิชชูมานี่”
พี่หล่งว่าแล้วก็เอาเท้าเขี่ยข้าวของที่กองสุมรกเต็มพื้นออกจนพอนั่งได้ ผมวางกีตาร์พิงข้างผนังแล้วก็เขยิบหลบไปนั่งพิงล็อคเกอร์ขณะที่ไอ้เติ้ลเดินเข้ามาช่วยพี่หล่งกินข้าวเหนียวหมูทอดที่ซื้อมา นอกจากพี่หล่งจะเป็นประธานชุมนุมแล้วแกยังนับเป็นสวัสดิการย่อยๆด้วยเพราะมักซื้อของกินติดไม้ติดมือขึ้นมาเผื่อแผ่คนอื่นในชุมนุมประจำ
“กำลังมีความรักหรือไงวะอ๊อฟ นานทีปีหนไม่เคยเห็นร้องเพลงจนเหม่อได้ขนาดนี้”
“โอ้ยพี่! มีใครหลงมาให้รักก็ดีดิ ผมแค่นึกเพลงอื่นที่จะเล่นไม่ออกหรอก”
ทั้งไอ้เติ้ลและพี่หล่งมองผมแบบไม่เชื่อ ก็น่าอยู่หรอก ผมฟังที่ตัวเองพูดแล้วยังรู้สึกเลยว่าเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นสิ้นดี แต่ให้บอกว่ากำลังมีความรักอยู่หรือเปล่ามันก็ไม่ใช่อีก ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าการที่รู้สึกดีกับใครคนหนึ่งเฉยๆนี่จะเรียกว่าผมรักคนคนนั้นไปแล้วหรือยัง ก็คนที่ว่าเป็นผู้ชายที่อยู่ข้างห้องนี่นา
“เสียงโทรศัพท์ใครวะ เติ้ลใช่ของมึงเปล่า”
“เปล่าพี่ ของผมอยู่ในกระเป๋ากางเกงนี่ ของพี่อ๊อฟล่ะมั้ง”
เจ้ารุ่นน้องตัวดีเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของผมที่วางอยู่ข้างกระเป๋าสะพายแล้วยื่นให้ พอผมเห็นเบอร์โทรเข้าก็ถอนหายใจก่อนกดรับ
“ว่าไงมุ้ย”
“อ๊อฟจ๋า บ่ายนี้แกว่างมั้ย ชั้นขอเอาหนังแผ่นไปดูที่ห้องแกได้มั้ยอะ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่กลับไปดูที่ห้องตัวเองล่ะ เครื่องเล่นดีวีดีที่ห้องแกก็มีไม่ใช่เหรอ”
“ก็ตอนนี้เครื่องมันเสียเลยเอาไปซ่อมอยู่ นะๆๆๆขอไปอาศัยห้องแกดูหน่อย อีกสามแผ่นชั้นก็จบซีรีส์แล้วเนี่ย ไม่ได้ดูให้จบเร็วๆแล้วคาใจว่ะ”
ผมฟังเพื่อนแล้วก็ชักเริ่มสงสัยว่าวันๆเพื่อนผมเข้าเรียนบ้างหรือเปล่า มันน่าโทรฟ้องน้าเหมียวแม่ยายมุ้ยซะให้เข็ดจริงๆ
“เอ้าๆ บ่ายนี้เราเรียนเสร็จตอนบ่ายสาม ซักสามครึ่งเดี๋ยวเจอกันตรงป้ายรถเมล์แล้วกัน”
ผมกดวางสายแล้วก็รู้สึกถึงสายตาสองคู่ที่มองตัวเองอยู่เลยถามงงๆ
“เป็นไร มองอะไรกัน”
พี่หล่งมองผมยิ้มๆระหว่างยกกระป๋องเป๊ปซี่ขึ้นดื่ม “ไหนบอกไม่มีความรักไง แล้วโทรศัพท์เมื่อกี้อะไรวะ มีนัดด่งนัดเดทกันที่ป้ายรถเมล์ด้วย”
ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง “โอ้ยพี่ ฟ้าผ่ากันพอดี เมื่อกี้นี่เพื่อนผมตั้งแต่สมัยเด็กๆต่างหาก เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออกให้เป็นแฟนกันไม่ไหวหรอก”
“แหมพี่ ผมเห็นเยอะแยะไปพวกที่ปากบอกเป็นเพื่อนๆแต่สุดท้ายก็เป็นแฟนกันน่ะ ยกเว้นว่าพี่จะยืนยันเสียงแข็งได้เพราะมีคนอื่นอยู่แล้วนั่นแหละ” เติ้ลเสนอความเห็นบ้างทั้งที่เคี้ยวข้าวเหนียวอยู่เต็มปาก
จู่ๆผมก็นึกถึงใบหน้าของคนข้างห้องขึ้นมา แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าขึ้นพาดไหล่ก่อนจะเดินออกจากห้อง
“ยังไงผมไปเรียนก่อนแล้วกันพี่หล่ง แล้วก็เย็นนี้คงไม่ขึ้นมานะพี่”
++------++
ผมนอนอ่านหนังสือบนเตียงขณะที่มุ้ยนั่งดูแผ่นละครซีรีส์ที่เช่ามาอยู่หน้าทีวี เรื่องที่เพื่อนผมกำลังติดตามดูอย่างขะมักเขม้นเป็นซีรีส์หนังเกาหลีที่มีนักร้องชื่อดังเป็นพระเอก ขนาดผมไม่ค่อยสนใจแต่ก็พอจะรู้ว่าละครเรื่องนี้กำลังเป็นที่นิยมเพราะขนาดเพื่อนที่คณะยังชอบพูดถึงกันบ่อยๆ
“จบแล้วๆ ว้า เสียดายจัง อยากให้มีภาคต่อว่ะ”
ผมหัวเราะระหว่างที่มุ้ยเอาแผ่นซีดีออกจากเครื่องกลับใส่กล่อง “ชอบดูละครรักหวานแหววจริงๆนะแกนี่”
“แหม เรียนก็เครียดแล้วนี่แก เรื่องรักๆของตัวเองให้ตื่นเต้นก็ไม่มี ก็ต้องมาดูละครแบบนี้แหละให้ชุ่มชื่นหัวใจ”
ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเพื่อนผมไม่มีคนมาจีบ แต่เพราะมุ้ยเป็นคนขี้รำคาญเลยทนผู้ชายที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชอบโทรตามหรือขอให้มุ้ยเปลี่ยนตัวเองไปเป็นแบบที่ชอบไม่ได้ สุดท้ายจนป่านนี้เพื่อนผมก็เลยยังโสดสนิท
“จะว่าไป เดี๋ยวนี้คนข้างห้องแกเป็นไงบ้างอะ ไม่มาเคาะห้องแล้วเหรอ”
“ช่วงนี้ไม่ค่อยว่ะ ก็เดินสวนกันที่มหา’ลัยบ้าง แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“เหรอ...ว้า”
ผมทำเป็นอ่านหนังสือเรียนที่วางอยู่บนตักจะได้เลี่ยงสายตาเพื่อน จะให้บอกได้ไงว่าตั้งแต่วันที่นะมาช่วยดูแลผมที่ห้อง ตอนไม่สบายบางครั้งผมก็ชวนนะทานข้าวด้วยกันตอนเจอกันแถวตลาดหน้าหอสองสามครั้ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ยังไม่สนิทใจยอมพูดคุยเรื่องราวของตัวเองให้ผมฟังมากนักอยู่ดี
ผมยอมรับว่าผมอยากทำความสนิทสนมกับคนข้างห้องให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ยิ่งได้พูดคุยด้วยก็ยิ่งอยากรู้จักให้มากขึ้น แต่กระนั้นผมก็ยังไม่อยากรีบตัดสินว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกเดียวกับความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ชอบ’ แล้วหรือยัง อีกอย่างนะเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษกับผมเลย
“ชักหิวข้าวแล้วว่ะอ๊อฟ ไปหาอะไรกินกันมะ เดี๋ยวชั้นจะได้กลับหอเลยด้วย”
ผมปิดหนังสือแล้วพยักหน้า “ก็ดี สองทุ่มกว่าแล้ว ระวังเหอะแกเป็นสาวเป็นนางกินข้าวดึกๆเดี๋ยวก็อ้วนหรอก”
มุ้ยค้อนผมระหว่างปิดประตูล็อกห้องแล้วก็แกล้งทำเป็นเข้ามาควงแขน “แหม ถ้าวันไหนที่มุ้ยทำท่าจะอ้วนจนขายไม่ออกจริงๆมุ้ยจะให้แม่ไปขอน้องอ๊อฟมาเป็นเจ้าบ่าวแล้วกันนะคะ ไหนๆก็เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก หรือน้องอ๊อฟว่าไงจ๊ะ”
“โอ้ย ไอ้บ้า คงแต่งกันลงหรอกนะ”
เราหัวเราะกัน แต่ขณะกำลังจะออกเดินประตูห้องข้างๆผมก็เปิดออกพอดี
“อ้าวนะ อยู่ที่ห้องหรอกเหรอเนี่ย”
ผมหันไปยิ้มให้คนตัวเล็กข้างห้อง นะมองผมแล้วก็หันไปมองมุ้ย แต่ผมยังไม่ทันจะแนะนำเพื่อนให้รู้จักคนหน้าหวานก็หลบตาผมแล้วเดินหนีไปเสียก่อน มุ้ยกระตุกเสื้อผมเบาๆ
“เฮ้ยอ๊อฟ นั่นคนข้างห้องที่แกบอกว่าชอบมาขอปีนหน้าต่างใช่ปะ หน้าตาน่ารักนี่หว่า แต่ทำไมดูไม่ค่อยพูดค่อยจาเลยแฮะ”
ผมไม่ได้ตอบความเห็นของมุ้ยขณะมองตามหลังร่างเล็กบางที่เดินหลบเข้าลิฟต์ไป อะไรบางอย่างในแววตากลมโตคู่นั้นตอนที่สบตากับผมเมื่อกี้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในใจยังไงพิกล
++------++
ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงคนคุยกันจากหน้าห้อง พอเหลือบดูนาฬิกาหัวเตียงแล้วก็ต้องขยี้ตาเพราะตีสองเข้าไปแล้ว อุตส่าห์เช่าหนังมาดูเพราะตั้งใจจะรอคนข้างห้องกลับมาแต่สุดท้ายก็เผลอหลับไปจนได้ ผมกดรีโมตปิดโทรทัศน์ก่อนจะเปิดประตูออกไปเพื่อดูว่าใช่นะหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าคนที่ผมรออยู่กำลังโดนประคองในอ้อมแขนของผู้ชายอีกคนก็รู้สึกหน้าตึงขึ้นมาทันที
“เอ้า นะ ยืนดีๆสิ แล้วตกลงหากุญแจห้องเจอมั้ย”
คนตัวเล็กดูท่าจะเมามากจนถ้าไม่ได้ยืนพิงคนข้างตัวอยู่คงล้มลงไปนั่งบนพื้นแล้ว ใบหน้าหวานที่ปกติขาวใสแดงก่ำ นัยน์ตากลมโตเหลือบขึ้นมองผมนิดหนึ่งหลังได้ยินเสียงผมเปิดประตูห้องก่อนจะหลบตาแล้วพยายามล้วงหากุญแจในกระเป๋ากางเกง
“หาไม่เจอน่ะเชน สงสัยเราลืมไว้ในห้อง ถ้ายังไงคืนนี้เราไปนอนที่หอเชนได้มั้ย”
หืม!!?? ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ที่ยืนประคองนะอยู่ทำเป็นถอนหายใจทั้งที่นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายมันวาวจนผมเริ่มหงุดหงิด
“ก็บอกแล้วให้ไปนอนหอเราตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อจะได้ไม่ต้องวนมาที่นี่ งั้นกลับไปที่รถกัน”
ขณะที่นะถูกประคองเดินผ่านห้องผมไปตามทางเดินแคบๆผมรู้สึกเหมือนเห็นนัยน์ตาฉ่ำเยิ้มคู่นั้นตวัดมองผมอย่างตัดพ้อก่อนจะหันหนีเหมือนเดิม ผมรู้สึกเหมือนขาสองข้างถูกตอกหมุดตรึงอยู่กับที่ขณะหูแว่วเสียงสัญญาณประตูลิฟท์ปิดจากด้านหลัง ประโยคที่นะพูดกับเพื่อนเมื่อครู่ยังดังอยู่ในหัวแต่อะไรบางอย่างบอกผมว่ามันไม่ถูกต้อง
จริงๆแล้วการที่นะจะไปนอนไหนมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมหรอก แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่ที่ห้องของคนที่มองนะด้วยตาเป็นประกายแบบนั้น!
ผมหันหลังแล้วก็ตัดสินใจวิ่งลงทางบันไดไปที่ลานจอดรถหลังหอ พอไปถึงก็ทันเห็นไอ้หนุ่มคนที่พานะมาส่งกำลังจะเดินอ้อมรถไปขึ้นฝั่งคนขับพอดี ผมเลยรีบก้าวเร็วๆไปกระชากประตูฝั่งผู้โดยสารเปิดออกแล้วก็ดึงแขนของนะออกมา คนตัวเล็กมองผมอย่างตกใจพอๆกับคนขับที่ก้าวลงจากรถแล้วตรงเข้ามาหาผมอย่างหาเรื่อง
“เฮ้ย! ทำอะไรวะ”
“ไม่ทำอะไร ก็แค่จะพานะกลับห้อง หอเค้าอยู่นี่เค้าก็ต้องนอนที่นี่สิ”
ผมให้เหตุผลแบบกำปั้นทุบดิน ตรรกกะพรรณไหนไม่รู้ละ ผมรู้แต่ว่ายังไงคืนนี้ผมไม่ยอมให้นะไปนอนห้องไอ้หมอนี่แน่ๆ!
“ตลกแล้วมึง นะเค้าบอกเองว่าจะไปนอนหอกู มึงเป็นใครแล้วจะมาเสือกทำไม”
ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ถ้าโดนผมชกทีเดียวก็คงปลิว ผมอาจไม่เกิดอาการเหม็นขี้หน้าหมอนี่ขนาดนี้ถ้าหากไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยกับนะแค่ไหน ผมเลยปล่อยมือที่จับแขนผอมเรียวอยู่เป็นโอบเอวของนะไว้แทนแล้วดึงมาใกล้ตัว
“ปกติเวลานะเข้าห้องไม่ได้ก็มานอนห้องกูอยู่แล้ว ดังนั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องรบกวนคนอื่นหรอก นะ เรากลับขึ้นห้องกันดีกว่า”
ท้ายประโยคผมก้มลงไปพูดกับคนข้างตัวที่อ้าปากค้างมองผมทั้งหน้าแดงๆ ผมมองตรงเข้าไปในตาฉ่ำเยิ้มคู่นั้น หวังแต่ว่าความเป็นห่วงของผมจะส่งไปถึงและนะจะไม่ปฏิเสธ ก่อนที่เพื่อนของนะจะได้อ้าปากเถียงคนในอ้อมแขนก็หันเข้าซุกอกผมแล้วพูดเสียงอู้อี้กับเจ้าของรถที่ยืนรออยู่
“...ขอโทษนะเชน เดี๋ยวคืนนี้เรานอนที่หอนี่แหละ”
ไอ้หนุ่มตี๋ทำหน้าเจื่อนขณะที่ผมยิ้มยิงฟันอย่างสะใจก่อนจะรีบประคองนะเดินผ่านหมอนั่นกลับไปในหอเพราะกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียก่อน
ถ้าให้สารภาพตรงๆผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรู้สึกหวงคนตัวเล็กคนนี้นัก แต่แค่คิดว่าจะมีคนอื่นได้ใกล้ชิดหรือเอาเปรียบนะตอนที่เมามายไม่มีแรงสู้แล้วก็รู้สึกเหมือนจะทนไม่ได้ขึ้นมา
“ปล่อยได้แล้ว...”
พอเราสองคนออกจากลิฟต์มาถึงชั้นที่พวกเราอยู่นะก็สะบัดตัวออกจากแขนผมก่อนจะเดินเซๆนำไปแล้วรอให้ผมเปิดประตูให้ แต่พอเข้ามาในห้องแล้วคนตัวเล็กก็ทำท่าจะเดินตรงไปที่หน้าต่างทันทีผมเลยรีบคว้าแขนเรียวไว้จนเจ้าตัวหันกลับมาแล้วทำเสียงหงุดหงิด
“มีธุระอะไรอีก เดี๋ยวเราจะกลับไปนอนห้องตัวเองเหมือนทุกครั้งแหละ ไม่อยู่รบกวนหรอก”
ผมขมวดคิ้วกับเสียงของนะที่หายอ้อแอ้กว่าตอนแรกไปเยอะ แต่ท่าทางที่ยืนได้มั่นคงกว่าตอนอยู่ที่ลานจอดรถทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวคงสร่างเมาขึ้นบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
“นะ...คืนนี้นอนห้องนี้แล้วกัน ได้มั้ย”
คราวนี้คนที่ทำท่าโมโหผมยืนตัวแข็งทื่อแล้วมองผมตาโต ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของนะไว้ รู้สึกเหมือนร่างกายเล็กๆสั่นสะท้านขณะที่ผมก้มลงไปมองคนที่ก้มหลบสายตาผม
“ได้มั้ย อย่ากลับไปนอนห้องตัวเองเลยคืนนี้”
“แล้ว...แล้วทำไมต้องให้นอนห้องนี้ด้วยล่ะ”
นะถามเสียงสั่นๆขณะช้อนสายตาที่วาวเยิ้มขึ้นมองผมจนผมแทบหยุดหายใจ ไหล่บางใต้มือผมสั่นน้อยๆจนผมเริ่มไม่มั่นใจว่าผมทำให้นะกลัวอยู่หรือเปล่า แต่คืนนี้ผมไม่อยากให้นะปีนหน้าต่างกลับไปห้องตัวเองจริงๆนี่นา ผมเอามือข้างหนึ่งประคองแก้มเนียนไว้ก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ก็เป็นห่วง คืนนี้นะเมากว่าทุกครั้งเลยนะ ถ้าเกิดหล่นจากกันสาดลงไปแล้วบาดเจ็บจะทำยังไง”
คนตรงหน้าผมเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้าแล้วเอ่ยถามเสียงเบา
“อ๊อฟแค่อยากให้เรานอนที่นี่เพราะเป็นห่วงเรื่องนั้นเหรอ”
นัยน์ตากลมโตคู่นั้นฉายแววปวดร้าวจนผมเผลอมองนิ่ง ก็ผมเป็นห่วงจริงๆนี่นา แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่คนตรงหน้าอยากฟัง แล้วผมควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ในเมื่อผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้บอกกับนะไปแบบนั้น
ท่าทางละล้าละลังของผมที่เงียบไปนานทำให้นะก้มหน้านิ่งจนผมเริ่มใจเสีย แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหยดน้ำใสๆไหลจากหางตากลมโตนั่นจนผมต้องรีบยกปลายนิ้วขึ้นปาดออกให้
“นะ! เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?”
“ปล่อย! ไม่ต้องมายุ่ง ตกตึกไปได้ก็ดี ตกลงไปให้มันคอหักตายไปเลย!”
นะผลักอกผมล้มลงบนเตียงก่อนจะเดินจ้ำอ้าวไปที่หน้าต่าง ผมรีบลุกตามคนตัวเล็กไปทว่าอีกฝ่ายกระโดดลงไปที่กันสาดแล้ว
“เฮ้ย! นะ อย่าอยู่ๆก็กระโดดไปพรวดพราดอย่างนั้นสิ คนเค้าเป็นห่วงจริงๆนะ!!”
“ไม่ต้องมาห่วง ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาทักกันอีกเลยด้วย ไปคอยดูแลแฟนตัวเองโน่นไป ไอ้งี่เง่า!”ผมขมวดคิ้ว จะไม่ให้งงได้ไง ก็แฟนเฟินอะไรที่นะพูดถึงเนี่ยผมมีเสียที่ไหนกัน
“เดี๋ยวสิ แฟนอะไรเข้าใจผิดแล้ว นะ ออกมาคุยกันก่อน!”
ตะโกนไปก็เท่านั้น คนตัวเล็กไม่ฟังเสียงผมแล้วก็ปีนเข้าห้องตัวเองแถมเลื่อนหน้าต่างปิดเสียงดัง ผมชะโงกหน้าออกไปหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมโผล่หน้าออกมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากห้องข้างๆอีกเลย แล้วตกลงคราวนี้ผมทำอะไรผิดล่ะเนี่ย!?
++------++