Jewelry Design
#อัญมณีที่รัก
ผมออกแบบแหวนแต่งงานให้คนอื่นมามากมาย
คงมีแค่คนเดียวที่ผมจะไม่ได้ออกแบบแหวนแต่งงานให้
คนๆ นั้นก็คือตัวผมเอง…
- นพจินดา วรโชติเมธี –
- CH.3 Emerald –
มรกต
“ลูกค้าหรือศัตรูวะ”
“อย่ารักในรอยแค้นก็พอ”
“มีคนเห็นหน้าไอ้ทิมแล้วยังไม่ยอมแพ้ถือว่าแข็งแกร่งพอสมควร”
“ถ้ามันจีบทับทิมของเรา รามิลมึงต้องเตรียมตัวเลยนะ”
“ต้องถึงมือกูเลยเหรอวะพวกมึงฝีมือตกหรือไงแค่ไอ้คินคนเดียวก็พอแล้ว”
“ไอ้พอร์ชนี่ดูอันตรายกว่าที่คิดเสนอหน้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเราได้ขนาดนี้ นี่กูจะเริ่มวางแผนรับมือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“พวกมึงสามคนช่วยทำตัวปกติกันหน่อยได้ไหมไม่งั้นกูจะบอกให้ไม้กับคีย์จัดการพวกมึงนะ”
เพียงแค่ประโยคเดียวจากทิม สามคนที่กำลังสุมหัวกันอยู่เขยิบตัวออกจากกันทันที ก่อนจะแกล้งทำเป็นกระแอมแก้เก้อ เมื่อแขกทั้งสามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเขาทั้งสามคนแล้วยิ้มออกมา คนแรกคือคนที่พวกเขาคุ้นหน้ากันอยู่แล้ว พอร์ช พชร.. ซึ่งพักนี้เห็นหน้ามันบ่อยเหลือเกิน ยังกะสมาชิกแก๊งลูกเพื่อนแม่คนที่ห้า
ส่วนคนที่สองคือ เพื่อนของพอร์ชชื่อ มีน หน้าตาก็ดูหล่อดีเป็นสถาปนิกเหมือนกัน ส่วนคนสุดท้าย...
“เพิ่งเคยได้เจอคุณเบนจามินใกล้ๆ แพรเคยเห็นแต่ในงานไกลๆ”
คุณแพรวา..ใครก็ไม่รู้สถาปนิกชื่อดังแนะนำว่าคือลูกค้า แต่ท่าทางลูกค้าคนสวยคงไม่ได้อยากเป็นแค่ลูกค้าเพราะมือนี่แทบจะกอดแขนพอร์ชที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะในช่วงเวลากลางวันร้านอาหารที่รายล้อมไปด้วยตึกออฟฟิศทำให้ที่นั่งในร้านไม่พอ แก๊งลูกเพื่อนแม่ทั้งสี่คนบวกด้วยเพื่อนสะใภ้อันดับหนึ่งและสอง ต้นไม้และคีตา บังเอิญเหลือบไปเห็นคนสามคนที่ยืนรอพนักงานหาโต๊ะให้อยู่หน้าร้าน ทิมเลยเป็นฝ่ายทักขึ้นมาว่า
“นั่งด้วยกันไหมครับ”
และนั่นก็ทำให้โต๊ะเรากลายเป็นโต๊ะใหญ่กลางร้านและดูจะเป็นที่น่าสนใจของทุกคนมากทีเดียว
คีตา นันทสกุล มีคนรู้จักเป็นเรื่องปกติและไอ้เบนแยกเขี้ยวใส่ผู้ชายทุกคนคนที่เข้ามาขอถ่ายรูปคีตาแบบใกล้ชิด
“คุณแพรจะเปิดร้านเสื้อผ้าเหรอครับ”
“ค่ะ ทำเป็นโฮมออฟฟิศด้วยพอร์ชเก่งมากเลยค่ะ ออฟฟิศแพรสวยปิ๊งเหมือนที่คิดไว้”
“อย่างนี้ได้ออกแบบบ้านตัวเองด้วยหรือเปล่าครับคุณพอร์ช”
“ครับ บ้านหลังที่อยู่ตอนนี้ผมก็ออกแบบเอง มันเป็นสไตล์แบบที่ผมชอบแต่คนอื่นจะบอกว่าแปลกๆ หน่อย”
“แล้วคนที่อยู่ด้วยล่ะครับ”
“คุณคินหมายถึง...แฟน ? ภรรยา?”
พอร์ชเพียงแค่ยิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ คุณทิมนั่งเท้าคางมองเขาอยู่ตอนนี้และดูเหมือนคนทั้งโต๊ะจะรอฟังคำตอบของเขาเพราะทุกสายตามองมาที่เขาคนเดียว พอร์ชหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอก
“ยังไม่มีหรอกครับ”
“จริงเหรอครับ”
ว่าแล้ว..คุณทิมจะต้องไม่เชื่อแต่จะให้เชื่อง่ายๆ ก็คงไม่ได้เพราะตอนที่เจอกันครั้งแรกก็เจอช็อตเด็ดที่ผับ ครั้งต่อมาและครั้งไหนๆ ก็เจอเขาอยู่กับผู้หญิงตลอดเวลา อยากจะอธิบายให้ฟังว่าทั้งหมดนั่นไม่รวมที่ผับเป็นลูกค้าของเขา แต่ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย จะทำอะไรได้ในเมื่อเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว
“คุณทิมไม่เชื่อผมเหรอครับ”
“แค่คิดว่าอย่างคุณพอร์ชไม่น่าจะโสด”
“ทำไมล่ะครับ”
“เห็นคุณพอร์ชบอกว่าอยากให้ผมออกแบบแหวนแต่งงานให้นึกว่ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว”
“มันก็..เป็นเรื่องของอนาคตครับอะไรๆ ก็ไม่แน่นอนอย่างเช่น..”
“เช่น?”
“คนออกแบบแหวนอาจจะได้ใส่เอง”ปึก!
ปัก!
โครม!
ทันทีที่จบประโยคนั้นแก๊งลูกเพื่อนแม่ทั้งสามคนก็โยนส้อมในมือ กระแทกแก้ว ตบโต๊ะ พอร์ชหันไปมองคุณรามิลกำลังโดนคุณต้นไม้ดุเรื่องที่โยนส้อมใส่จาน มีหันมาจ้องเขาเขม็งแต่พอโดนคุณไม้ตีแขนก็ทำท่าหงอย ส่วนคุณเบนจามินกำลังนั่งกอดอกทำท่าอยากต่อยเขาเต็มทนคุณคีตาที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องยกมือขึ้นมาพัดๆ ให้ และแน่นอนว่าคนสุดท้ายคือคุณคินที่เดาไว้ว่าไม่มีแฟนมาคุมเลยมองเขานิ่งๆ แต่เหมือนมีประโยคขึ้นมาบนศีรษะว่า
เดี๋ยวมึงเจอ...นี่รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังมาเฟียจริงๆ เถอะให้ตาย
เป็นมื้อกลางวันที่ตื่นเต้นมากไม่เคยเจอกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันขนาดนี้มาก่อน แก๊งลูกเพื่อนแม่ทะเลาะกันแทบทุกประโยค มีเถียงกับเพื่อนแล้วก็หันไปตักอาหารให้แฟนหลากหลายอารมณ์จนตามไม่ทัน แต่ที่พอร์ชสังเกตคือคุณทิมไม่ค่อยกินข้าวเท่าไหร่ถึงแม้ในจานจะมีกับข้าวที่คุณมิล คุณเบน คุณคิน ตักใส่จานจนล้นแต่ก็ยังกินไม่หมด แต่สิ่งที่กินหมดและขอสั่งเพิ่มคือขนมหวานพานาคอตต้าสองสามถ้วยวางอยู่บนโต๊ะ
กินขนมเก่งจริงๆ
“ขอบคุณนะครับที่ให้ร่วมโต๊ะ ไม่งั้นผมคงไม่ได้ทานข้าวกลางวันแน่ๆ ”
“ไม่เป็นไรครับเรื่องเล็กน้อย หวังว่าต่อจากนี้เราคงได้เจอกันบ่อยๆ นะครับคุณพอร์ช”
ไม่รู้ว่ามันเป็นประโยคแบบไหนแต่ที่แน่ๆ ไม่น่าจะใช่ในทางที่ดีเหมือนประโยคขู่ให้กลัวซะมากกว่า ถึงแม้ใบหน้าของคุณคินจะยิ้มอยู่ก็ตามเถอะ แก๊งลูกเพื่อนแม่แยกย้ายกันไปแล้ว เพิ่งรู้ว่าแฟนคุณมิลเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ SECRET GARDEN ตอนที่คุณไม้ยื่นนามบัตรมาให้คุณมิลนี่มองตาขวาง ส่วนคุณเบนพอบอกว่าเป็นแฟนคลับของคุณคีตาก็โดนจ้องแล้วจ้องอีก
ขี้หวงกันทั้งแก๊ง
“พอร์ชรอแพรแป๊บเดียวนะคะแพรไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“เดี๋ยวครับคุณแพร”
งานเสร็จหมดแล้วแบบก็คุยกันเรียบร้อยแล้วข้าวก็กินแล้วด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะต้องอยู่กับคุณแพรต่อทำไมกัน ไอ้มีนยืนหัวเราะก่อนจะขอตัวไปซื้ออาหารให้หมา เออ..ทิ้งกันไปให้หมด
“คุณพอร์ชไปเดทต่อเหรอครับ”
“เดทกับใครล่ะครับ”
“ลูกค้าสาวสวยของคุณไง”
“คุณทิม..อย่าเพิ่งไป”
พอร์ชเหลือบมองคุณแพรที่กำลังเดินกลับมาหา ทิมเลยหันไปมองก็พอรู้สถานการณ์อยู่บ้างเขาเจอเหตุการณ์แบบนี้จนชินแล้วอย่างน้อยแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็เจอจนนับไม่ถ้วยก่อนจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ไอ้โดนลูกค้าจีบเนี่ยเรื่องปกติ เขาเองก็เหมือนกัน
“แค่นี้ก็จัดการไม่ได้เหรอครับ”
“ปากท้องก็สำคัญนะคุณ นั่นลูกค้ายกเลิกสัญญาขึ้นมาผมอดตายเลยนะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน”
“นี่ผมเป็นคนที่ทำธุรกิจกับคุณ เป็นคู่แข่งและยังต้องเป็นคนช่วยกันผู้หญิงไม่ให้เข้าใกล้อีกเหรอ”
“นับหนึ่งถึงสิบคุณแพรกำลังจะเดินมาถึงแล้วนะ”
ทิมยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปมองคุณแพรที่กำลังเดินเข้ามาหา ทิมเลยเขยิบเข้ามาใกล้พอร์ชที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใกล้ซะจนพอร์ชเองเลือกที่จะเงียบ ถ้ามองไกลๆ ก็เหมือนคู่รักที่ยืนหยอกล้อกันอยู่ ทิมเห็นว่าคุณแพรที่กำลังเดินเข้ามาหาหยุดชะงักไปเหมือนกัน ทิมเงยหน้ามองพอร์ชที่ก้มหน้าลงมาหามือที่ตกข้างลำตัวเฉียดกันไปมาก่อนที่นิ้วก้อยจะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ
“รู้หรือเปล่าว่าใช้วิธีนี้มันเด็กมาก”
“จริงๆ ผมก็ยังเด็กกว่าคุณทิมนะเมื่อวันก่อนคุณยังเรียกผมว่าน้องพอร์ชอยู่เลย”
“อยากให้เรียกอีกเหรอครับ”
“ไม่อยากให้ผมเรียกพี่ทิมบ้างเหรอครับ แต่ก็ไม่โอเคเท่าไหร่ผมไม่อยากดูเด็กในสายตาคุณ”
“ตอนนี้คุณก็ดูเด็กมาก”
“ผมจะงอแงมากกว่านี้เพราะผมไม่อยากไปไหนกับคุณแพรต่อ..อย่าเพิ่งปล่อยครับ”
นิ้วก้อยที่กำลังจะผละออกโดนเกี่ยวเอาไว้อีกรอบท่าทางเหมือนลูกหมาแต่ตัวโตทำหน้าอ้อนๆ ทำให้ทิมหลุดหัวเราะออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่พอร์ชเห็นมันเหมือนครั้งที่สนามยิงปืน และมันก็ทำให้เขาเองยิ้มออกมาเหมือนกันต่างคนต่างยิ้มอยู่อย่างนั้น เมื่อคุณแพรเดินมาถึง ท่าทางของทั้งคู่ทำให้ลูกค้าสาวสวยได้แต่ยืนขมวดคิ้ว สายตามองไปยังนิ้วที่เกี่ยวกันอยู่และก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย แพรวาเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับ
“ก็ไม่เห็นยากนี่”
“เดี๋ยวคุณแพรก็มาใหม่ผมปฏิเสธไปรอบที่ร้อยแล้ว”
“คุณพอร์ชไม่เด็ดขาดเองช่วยไม่ได้นะ”
“ร้านคุณแพรใกล้เสร็จแล้วครับ ถ้าเสร็จงานแล้วก็คงปฏิเสธจริงจังสักที”
“ผมคงช่วยแค่ครั้งเดียวไม่ได้มีน้ำใจขนาดนั้นไม่ชอบมีเรื่องกับใครถ้าไม่จำเป็นมันน่าปวดหัว ผมคงต้องไปแล้ว”
“วันนี้คุณทิมยิ้มบ่อย”
“ไม่ดีเหรอครับ”
“หมายถึงยิ้มที่ไม่ใช่ยิ้มธุรกิจหรือยิ้มเวลาวางแผนแกล้งใครอยู่”
“รู้สึกเหมือนโดนด่า”
“หมายถึงยิ้มแล้วน่ารัก”พอร์ชพูดออกไปตามที่คิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทิมเงียบลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดๆ ไอ้คนพูดเหมือนเพิ่งรู้ตัวเลยยกมือลูบต้นคอไปมาคล้ายกับว่าทำอะไรไม่ถูก ทิมบอกอีกครั้งว่าต้องไปแล้วแต่ก่อนที่จะผละออกไปเลยเอียงตัวเข้ามาหาพร้อมกับมือที่ตบลงบนอกกว้างของพอร์ชเบาๆ
“หน้าแดงนะเรา”ก็ยังแสบอยู่เหมือนเดิม
นพจินดา
“สถาปนิกชื่อดังไฮโซร้อยล้านปฏิเสธลูกค้าสาวสวยเพราะกำลังกิ๊กกั๊กกับคุณชายแห่งวงการจิวเวลรี่”
“อะไรของมึงวะ”
“กอซซิบกระซิบ”
มีนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นยอมรับว่าเห็นครั้งแรกนี่ใจตกไปถึงตาตุ่มโคตรตกใจ เพื่อนเขากับคุณนพจินดายืนใกล้กันแทบจะจูบกันอยู่แล้ว แต่พอยืนมองอยู่นานก็เริ่มรู้แล้วว่าทั้งเพื่อนเขาและคุณนพจินดากำลังทำอะไรกันอยู่ ก็พอดูออก..ก็แค่แสดงให้คุณแพรหนีกระเจิงแล้วดูเลือกแผนอย่างกับละครแต่มันก็ได้ผลแปลกแต่จริง....
“ถ้าเพื่อนคุณนพจินดามาเห็นภาพเมื่อกี้มึงโดนกระทืบตายแน่พอร์ช แค่ในร้านอาหารที่มึงแกล้งหยอดกูยังนึกว่าจาน ชาม ช้อน ส้อมจะเขวี้ยงใส่หัวมึงแล้ว”
“เออ เพื่อนหวงฉิบหายถ้ากูหายเกินห้าชั่วโมงมึงสงสัยแก๊งลูกเพื่อนแม่นี่ก่อนเลยนะ”
“เขาก็ดูไม่ธรรมดามึงก็ร้ายใช่ย่อยแต่..”
“แต่?”
“เมื่อกี้กูรู้ว่าต่างคนต่างแสดงไม่ใช่เรื่องจริงแต่มีแค่แวบหนึ่งที่กูคิดว่าไม่ใช่...”
“ตอนไหน”
“ตอนที่คุณนพจินดายิ้ม มึงมองหน้าเขาแล้วก็ยิ้ม ตอนนั้น...กูยังคิดเลยมึงแม่งยิ้มแบบนี้ก็เป็น แบบที่เอ็นดูใครสักคน แบบเขาน่ารักเลยต้องยิ้มออกมาความสัมพันธ์มึงกับเขานี่อะไรวะ”
“เล่นเกมกันอยู่”
มีนได้ยินคำตอบเพื่อนก่อนจะหัวเราะออกมา ก็ไม่รู้ว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรแต่ก็ไม่เบากันทั้งคู่ต่างคนต่างไม่ยอมขิงก็ราข่าก็แรง แต่ที่เขาเห็นเมื่อกี้เพื่อนเขาเองน่าจะเสียคะแนนไปหลายแต้มอยู่เหมือนกัน
“ถามจริงชนะเขาสักครั้งยังคุณพชร”สัด..ตอบไม่ถูกเลยว่ะ
Jewelry Design
“ทิม พี่ต่ายโทรมาตามแบบสร้อยข้อมือกับตุ้มหูเจริญกิจธารา ทิมแก้แบบเสร็จหรือยังเดี๋ยวจะทำไม่ทันนะ”
พลอยลองเคาะประตูเรียกน้องชายคนเล็กที่วันนี้บอกว่ายกเลิกนัดลูกค้าไปเพราะว่ารู้สึกไม่สบาย พอไม่มีเสียงตอบกลับมาพลอยเลยเปิดประตูเข้าไป คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ได้ขยับไปไหน ท่าทางไข้หวัดจะเล่นงานเข้าให้แล้วจริงๆ
“ทิม ทับทิมไหวหรือเปล่า”
“ปวดหัว”
“นี่รับงานเพิ่มอีกแล้วใช่ไหม พี่บอกแล้วไงปฏิเสธไปบ้างทิมทำหมดนี่ไม่ไหวหรอก”
“เกรงใจเขา เขาบอกทิมไว้ตั้งนานแล้วว่าอยากให้ออกแบบแหวนแต่งงานให้”
“แล้วก็ป่วยเห็นไหมเนี่ย..เสียงแทบไม่มี งานของเจริญกิจธาราทิมเป็นยังไงบ้างพี่ต่ายโทรมาตามแล้ว”
“พรุ่งนี้ทันไหมพี่พลอย”
“พี่ต่ายบอกเร็วสุดคืนนี้ ได้ตกลงแบบกับคุณพอร์ชหรือยัง”
ทิมส่ายหน้าไปมาก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ มันเป็นความผิดของเขาเองที่รับงานเยอะจนทำไม่ทันขนาดนี้ จริงๆ ก็อยากทิ้งความเกรงใจไปบ้างแต่เอาเข้าจริงเวลาลูกค้ามาตื้อเพราะชอบผลงานมันก็ใจอ่อนอีกตามเคย ทิมพยักหน้าตอบรับตั้งใจจะลุกไปอาบน้ำแล้วโทรนัดพอร์ชแต่แค่ลุกขึ้นยืนก็เซจนพลอยร้องลั่น
“เอายังไงดี”
“ทิมไหว”
“ให้คุณพอร์ชมาที่บ้านดีไหม พี่ว่าทิมเดินไม่พ้นห้องเป็นลมแน่ตัวร้อนขนาดนี้”
“เฮ้ย...ให้ลูกค้ามาบ้านได้ไง”
“ต้องได้แล้ว เอาเบอร์คุณพอร์ชมาให้พี่”
บ้านวรโชติเมธีหลังใหญ่ดี ออกแนวปราสาทกรีกโรมันเสาต้นเบ้อเร่อ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์แบบบ้าน..ตอนนี้ต้องตั้งสติก่อนพอร์ชนึกไปถึงตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณพลอยว่าให้มาตกลงเรื่องแบบเครื่องประดับที่บ้านวรโชติเมธีได้ไหม ในใจนี่มีคำถามร้อยแปดอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วคุณทิมไปไหนทำไมถึงเป็นคุณพลอย
“รอตรงนี้ก่อนนะคะ ทิมกำลังลงมาไม่สบายหนัก”
อ้อ..ป่วยนี่เอง
แค่เพียงไม่นานคนที่เขาคุ้นเคยก็เดินลงมาจากบันได หอบของเต็มสองแขน ทั้งๆ ที่สภาพคนป่วยดูอ่อนเพลียจนเขาสังเกตได้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคุณทิมในแบบที่ไม่ใช่ชุดทำงานเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงวอล์มสามส่วนยิ่งใส่แบบนี้ตัวเล็กลงไปเยอะ ผมสีน้ำตาลอ่อนไม่ได้เซ็ทเหมือนกันทุกวัน ปล่อยหน้าม้าให้ตกลงมาแต่ที่เขาเห็นแล้วต้องอมยิ้มคือบนหน้าผากขาวๆ มีแผ่นลดไข้แปะอยู่
“ขอโทษด้วยนะครับไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ จะอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วแต่พี่พลอยไม่อนญาต”
“ไม่เป็นไรหรอกครับผมไม่ได้ถืออะไร แล้วแบบสร้อย..”
“ไปทำงานข้างนอกตรงสวนได้ไหมครับ”
“แต่คุณทิมป่วย”
“แค่ไข้หวัดเอง”
“ผมยังไงก็ได้”
สุดท้ายเขาก็เดินมาที่ศาลาที่อยู่ตรงสวนดอกไม้เขาพอเดาได้ว่าคอนเซ็ปต์บ้านของวรโชติเมธีนี่ต้องเกี่ยวกับเทพนิยายแน่ๆ คุณทิมดึงเอาแผ่นลดไข้ที่แปะอยู่ออกก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงาน วันนี้ดูไร้พิษสงเพราะป่วยจนตัวขาวซีด ตากลมๆ ก็มีน้ำตาคลอคงเพราะไข้ที่ขึ้นสูงเสียงก็แหบจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“งานเร่งเหรอครับ ที่จริงคุณทิมน่าจะนอนพัก”
“ต้องส่งแบบคืนนี้แล้วครับ”
“ถ้าไม่ไหวบอกผมนะครอบครัวผมไม่โกรธคุณทิมหรอก ถ้างานเสร็จไม่ทัน”
“ไม่เอา มันเป็นงานของผม”
คุณทิมส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่าจะทำให้เสร็จ พอร์ชได้แต่นั่งมองคนที่ยกขาขึ้นมาชันเข่าวางไอแพตแล้วขีดๆ เขียนๆ อยู่แบบนั้น มืออีกข้างก็ยกขึ้นมาเสยผมที่ตกลงมาปิดหน้าปิดตาท่าทางรำคาญเต็มทน แต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย ทิมเหลือบตามองคนที่เอาแมคบุ๊คขึ้นมาทำงานบ้างก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ที่จริง..ผมรับงานแหวนแต่งงานมากะทันหัน”
“เรื่องปกติของสายออกแบบผมเองยังรับงานซ้อนจนหัวหมุนไปหมด แต่คุณทิมดูมีดวงกับแหวนแต่งงานนะครับ”
“มันมีความสุข..”
“ความสุข?”
“ทุกคู่ที่มาให้ผมออกแบบแต่งงานให้เขามาด้วยความรัก เวลาที่แหวนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเขาจะดีใจกันมากๆ เอ่ยขอบคุณผมไม่หยุด เวลาที่ผมเห็นแหวนที่ผมออกแบบอยู่บนนิ้วของทั้งคู่ ผมมีความสุขมากจริงๆ”
“อย่างนี้ได้ออกแบบแหวนแต่งงานของตัวเองไว้บ้างไหมครับ”
มือที่กำลังทำงานอยู่หยุดชะงัก
ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่คิดว่าจะได้แต่งเลยไม่ได้ออกแบบไว้”
“รู้ได้ยังไงครับ”
“ตัวผม ผมก็ต้องรู้อยู่แล้ว คุณพอร์ช…อยากได้แหวนแบบไหนคิดไว้เลยนะครับ ถึงตอนนั้นพาว่าที่ภรรยามาด้วยก็ได้ยังไงแหวนแต่งงานก็ต้องออกแบบไว้สองวงอยู่แล้ว”
“ก็หวังว่าจะมีวันนั้นนะครับ”
ทั้งๆ ที่คำพูดอาจจะเป็นแค่ประโยคตอบรับธรรมดาๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมทิมถึงต้องเงยหน้าขึ้นมามอง แววตาของพอร์ชไม่ได้เศร้ามากนักแต่มันก็ไม่ใช่แววตาที่ดูมีความสุขเท่าไหร่
รอใครอยู่เหรอไง?
“ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณ คุณพอร์ชวางแผนชีวิตรักไว้ดีมากนะทั้งเรื่องครอบครัวและบ้าน”
“ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่หรอกครับ บ้านที่ผมอยู่ทุกวันนี้ก็อยากให้ภรรยาผมได้ออกแบบด้วย อยากให้เป็นยังไง แบบไหน ห้องนอนของเรา ห้องทำงานของเขา สวนหน้าบ้าน หรือแม้กระทั่งห้องของลูกๆ ผมอยากให้เขามีส่วนร่วม”
“…………………………………………………………………………..”
“ส่วนเรื่องแหวนแต่งงานผมไม่ได้โกหก ผมนึกภาพตัวเองใส่แหวนแต่งงานให้คนที่ผมรักเป็นฉากๆ เลยบางคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่เครื่องประดับแต่สำหรับผมมันคือ ตัวแทนความรัก ผมถึงให้ความสำคัญกับแหวนมาก”
“…………………………………………………………………………..”
“ถ้าถึงคิวของผมแล้ว รบกวนคุณทิมช่วยออกแบบแหวนแต่งงานของผมอย่างสุดฝีมือเลยนะครับ”
“…………………………………………………………………………..”
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างพอร์ช พชร จะจริงจังกับเรื่องความรักขนาดนี้ ทิมเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะเพราะต้องออกแบบแหวนแต่งงานเลยต้องฟังเรื่องราวความรักของทุกคู่รัก และมันก็นำมาใช้ในการออกแบบแหวน ทิมไม่ได้ออกแบบตามใจตัวเอง แต่เอาเรื่องราวความรักของคู่รักมาใส่ลงในแหวนแต่งงาน และนั่นคือเหตุผลที่แหวนแต่งงานที่ออกแบบโดย นพจินดา แห่ง Pure Jewelry แตกต่างจากที่อื่น
และสิ่งที่เขารู้ก็คือ ผู้ชายทุกคนอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
รวมถึงพอร์ช พชร เจริญกิจธารา ผู้ชายที่นั่งอยู่กับเขาตอนนี้ด้วยเช่นกัน
พอร์ชหันมามองเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไร สายตาที่มองเหม่อกับมือที่หมุนเม้าส์ปากกาไปมาเหมือนใช้ความคิด สายลมอ่อนๆ ที่พัดไปมาทำให้เส้นผมสีน้ำตาลปลิวไปตามลม บางส่วนก็ตกลงมาตรงข้างแก้มแต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่ารู้สึกตัวเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พอร์ชเอื้อมมือไปสัมผัสกับเส้นผมสีน้ำตาลลื่นมือก่อนจะค่อยๆ ทัดไว้ตรงหลังใบหู ทิมรู้สึกตัวแล้วหันมาสบตากับคนที่ยังไม่ละมืออกไป ต่างคนต่างเงียบอยู่อย่างนั้น
สายตาที่มองกันอยู่มันไม่ใช่แววตาที่อยากจะเอาชนะเหมือนทุกครั้ง
และสัมผัสตรงข้ามแก้มมันอุ่นจนทิมเองไม่ได้ขยับตัวหนีไปไหน…
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนรู้สึกตัว พอร์ชชักมือกลับมาหยิบโทรศัพท์ก่อนจะบอกเบาๆ ว่าขอไปรับโทรศัพท์ก่อน ทิมเองก็พยักหน้ารับแล้วก้มหน้าทำงานต่อเหมือนเดิม พอร์ชลุกออกมาจากศาลากลางสวนก่อนจะกดรับเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือมีน
“พอร์ชอยู่ไหนวะ เข้าบริษัทไหมคุณแพรวาแวะมาเนี่ยมีแก้แบบอีกเหรอ”
“แก้อะไรไม่มีแล้ว แก้อีกร้านเขาเสร็จไม่ทันแน่”
“แล้วมึงจะเข้าบริษัทอีกป่ะวะกูจะออกไปหาลูกค้าอีกสองคนแล้วกลับบ้านเลย”
พอร์ชยกนาฬิกาขึ้นมาดูจริงๆ มันก็เหลือเวลาอีกตั้งเยอะตอนนี้เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงกว่าๆ เองด้วยซ้ำ สายตามองไปยังทิมที่ยังคงนั่งทำงานอยู่ ท่าทางป่วยหนักแต่ก็ยังตั้งใจทำงานทำให้พอร์ชได้แต่ปล่อยให้มีนพูดต่อไปเรื่อยๆ โดยที่จับใจความไม่ได้สักนิดว่าเพื่อนพูดเรื่องอะไร
คงเพราะรำคาญผมที่ปลิวจนปิดหน้าปิดตา ทิมเลยเอาหนังยางขึ้นมามัดเป็นจุกน้ำพุไว้ด้วยความเคยชิน คงลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้นั่งทำงานคนเดียว พอร์ชยิ้มออกมาก่อนจะเอาโทรศัพท์ออกจากหูเมื่อมีนตะโกนเรียกชื่อดังลั่น
“กูอยู่บ้านคุณทิมมาตกลงเรื่องแบบสร้อยข้อมือ คงไม่ได้กลับเข้าบริษัทแล้วว่ะ”
“สู้กันอีกไหมคราวนี้”
“เออ..เวลากูเจอคุณทิมเหมือนฝึกวิทยายุทธ์ ต้องมีสมาธิ สติและความอดทนและตอนนี้กูเหนื่อยมาก”
“เขาเล่นงานมึงหนักเหรอวะมึงถึงเหนื่อยขนาดนี้”
พอร์ชยังไม่ทันได้ตอบคำถามของเพื่อนคนที่กำลังพูดถึงอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็ก้มลงทำงานต่อ เพิ่งรู้ว่าเวลาที่ตั้งใจทำงานคุณทิมก็ดูมีเสน่ห์ดี ยิ่งมองจากตรงนี้คุณทิมดูเด็กกว่าทุกครั้งที่ได้เจอทั้งเสื้อผ้า ทรงผม พอร์ชเห็นคุณพลอยเอาน้ำชาร้อนๆ มาให้เจ้าตัวน่าจะไม่ชอบเพราะเห็นว่าทำหน้าเบ้ใส่ พอโดนบังคับให้กินก็หลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ
“เออเล่นงานกูหนักมาก เหนื่อยฉิบหายน่ารักจนกูเหนื่อยไปหมด”สิ่งที่ได้ยินจากไอ้มีนคือ
มึงพูดบ้าพูดอะไรวะไม่รู้เรื่องเลยพอร์ช..
เออ..มึงอย่ารู้เรื่องเลยให้กูรู้เรื่องคนเดียวพอ
ในที่สุดงานก็เสร็จ พี่ต่ายคือผู้จัดการของ Pure Jewelry ที่ตรงดิ่งจากบริษัทมายืนรอแบบด้วยตนเอง แต่ท่าทางจะสนิทกันดีพอเดินเข้ามาหาก็ดึงจุกผมคุณทิมซะหัวแทบคว่ำ มีดุเบาๆ ว่าห้ามรับงานซ้อนอีกไม่ได้กลัวทำงานไม่ดีแต่กลัวว่าคุณทิมจะทำงานจนป่วยเหมือนอย่างวันนี้
เวลาหกโมงเย็นเสียงรถที่ดังขึ้นหน้าบ้านพร้อมกับคุณกาญจนาเดินหอบของพะลุงพะลังเข้ามา แม่บ้านเลยวิ่งเข้าไปช่วยถือพอร์ชเองก็เพิ่งเคยเห็นตัวจริงเพราะเขาไม่ค่อยออกงานเท่าไหร่ ทันทีที่คุณกาญจนาเห็นหน้าหลานชาย ชื่อเล่นที่คุ้นเคยก็ถูกเอ่ยออกมาหลังจากหลานชายคนเล็กพยายามส่งสัญญาณห้ามแล้วก็ตาม
“ทับทิมหลานย่าไม่สบายเหรอคะเห็นพี่ต่ายโทรมาบอก”
ทับทิม…พอร์ชแอบกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นว่าคุณทิมทำหน้าเซ็งสุดชีวิตทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง ก็ว่าแล้วว่าทำไมชื่อเล่นของคุณนพจินดาถึงไม่ได้เป็นอัญมณีเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ก็พอเข้าใจว่าชื่อมันค่อนข้างเหมือนผู้หญิงเจ้าตัวคงไม่ค่อยอยากบอกใครด้วยชื่อนี้สักเท่าไหร่
เป็นมื้อเย็นที่สนุกสนานคุณกาญจนาคุยเก่งหยิบเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคุยได้ไม่รู้จบ แต่หลานชายคนเล็กน่าจะไม่เอนจอยเท่าไหร่เพราะไข้ขึ้นจนตัวแดงหน้าแดงไปหมด โดนบังคับให้กินข้าวต้มก็กินไปแค่สองสามคำก็นั่งจิบน้ำเปล่า พอร์ชเห็นว่าควรจะให้คุณทิมได้พักผ่อนเลยขอตัวกลับก่อนเพิ่งรู้ตัวว่าเขาอยู่บ้านวรโชติเมธีตั้งแต่เช้าจนเกือบจะสองทุ่มอยู่แล้ว
“ขอโทษนะครับคุณพอร์ช คราวหน้าคงไม่นัดคุณกะทันหันแบบนี้อีก”
“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจครั้งนี้มันเหตุสุดวิสัย”
ขนาดเขาบอกแล้วว่าไม่ต้องเดินมาส่งแต่คนป่วยก็ยังดื้อไม่เลิก สิ่งที่เขารู้วันนี้คุณทิม นพจินดาจริงจังกับงานพอสมควรไม่สิเรียกว่าทุ่มเทกับงาน 100% ก็ว่าได้ จะไม่ยอมเลิกถ้าไม่เสร็จหรือไม่ได้ดั่งใจมีความรับผิดชอบเกินร้อย นี่ก็คงเซ็งตัวเองเหมือนกันที่ทำงานเสร็จไม่ตรงตามเวลาถึงได้ดูเครียดๆ ทั้งวัน ไหนจะป่วยหนักอีก
พอร์ชยืนพิงรถที่จอดอยู่ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาหาทิมที่ยืนอยู่ตรงหน้า มือใหญ่ยกขึ้นมาสัมผัสตรงหน้าผากก่อนจะค่อยๆ ทาบทับลงบนแก้มขาวเพื่อวัดอุณหภูมิ
“ตัวร้อนจี๋เลยหายเร็วๆ นะครับ”
“……………………”
“ทับทิม”“……………………”
พอร์ชละมือออกไปก่อนที่จะก้มหน้าลงมาหาคนป่วย
ดวงตากลมโตมองเขาไม่วางตาเมื่อเขาตั้งใจเขยิบเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม
“ชื่อน่ารักจัง”ท้ายรถ Porsche สีขาวพ้นสายตาไปจากบ้านวรโชติเมธีไปแล้วแต่ทับทิมยังคงยืนอยู่ไม่ได้ขยับไปไหน มือยกขึ้นมาทาบลงบนหน้าผากตัวเองรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายมันร้อนมากกว่าเดิมเขารู้ตัวเองดีว่ามันไม่ได้เกิดเพราะไข้หวัดที่เขากำลังเป็นอยู่
ท่าทางเกมครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดไว้เลยTO BE CON
ไม่รู้ว่าใครจะแพ้ก่อนกัน 55555
#อัญมณีที่รัก #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo