๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6  (อ่าน 20493 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
ใครมาลักน้องไป เฮ้อ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :mew6:ถ้าในป่ามีฤาษีมาช่วยดึงดาบออกที  :hao5:

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ้ยยย โชคชะตาเล่นตลกอันใด ทำไมทำกับท่านพี่ของเราแบบนี้!! พรากของรักสิ่งเดียวไปแบบนี้ ไม่สงสารกันบ้างเหรอ คนอ่านสงสารนะ แงงง  :sad4:

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ขอให้ทั้งสองผ่านพ้นความทุกข์ยากไวๆด้วยเถอะะะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ทำอย่างนี้กับท่านพี่ได้ไง อุตส่าห์แลกกับทุกอย่างแล้วนะ อุปสรรคช่างมากมาย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อ้าว  :ling2: :ling3:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
น้องรวีถูกลักพาไป ไม่นะ!! ทำไมมันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ท่านพี่ี

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
พึ่งได้เข้ามาอ่านสนุกมากเลยครับ

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
สงสารร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
« ตอบ #129 เมื่อ: 15-05-2019 01:24:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mijimaria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ม่ายยยยยยยย  :ling1: :ling1: :fire: เธอเป็นใครอยู่ดีๆมาลักพาตัวน้อง สงสารสหัสเดชะ พึ่งสูญเสียพลังแลกกับรวี ได้อยู่กับรวีแค่แปบเดียวก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ตอนต่อมาแล้วนะคะ ขอโทษที่ทำให้รอนานเลยค่าาา  :hao7:


+++


บทที่ 11


สหเดชะสะดุ้งเฮือก ตื่นจากการหลับใหล ทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในหัวราวกับว่ามีเปลวเพลิงแรงร้อนคอยเผาไหม้ เขาสับสนกระวนกระวายอยู่ครู่ ก่อนจะนึกได้ว่ารวีน้องเจ้าไม่อยู่กับตนแล้ว

“รวี...”

เสียงเรียกชื่อยอดดวงใจโหยละห้อย เขาขยับตัวจะลุกขึ้นยืน ตั้งปณิธานหมายไว้ในใจ “พี่จะตามเจ้ากลับมา”

“จะตามอย่างไร”

เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล สหเดชะหันขวับ มองเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินเป็นเงาตะคุ่มๆ

“เจ้า...”

“อย่าเพิ่งขยับตัวมากนัก” ฝ่ายนั้นจุปากอย่างรำคาญ ลุกเดินออกมาจากเงามืด “แผลเจ้ายังไม่หายดี”

สหเดชะเพิ่งมารู้สึกก็เมื่อคนผู้นี้เอ่ยออกมานี่ละ ว่าเขารู้สึกเจ็บแปลบตรงช่วงท้อง ขยับทีก็ปวดที แม้ไม่ขยับก็ยังปวด ไม่แปลกสักนิด...ดาบเล่มนั้นของเจ้าคนสาธารณ์นั่นแทงทะลุตลอดร่างเขาเลยนี่นะ พอปวดมากๆ เข้าจึงต้องกัดฟันไม่ปล่อยให้เสียงใดๆ หลุดรอดออกมาให้ใครสมเพช

จากสิ่งที่เห็น บัดนี้สหเดชะและบุคคลปริศนาอยู่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง อากาศอบอุ่นด้วยกองไฟลุกโพลง ไฟกินฟืนเป็นเสียงเปรียะประ

ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้ กดไหล่ของสหเดชะให้นั่งลงตามเดิม เมื่อเห็นวิทยาธรหนุ่มกลับไปนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ บ้าง

แม้เมื่อครู่บุรุษลึกลับผู้นี้จะทำเสียงราวกับรำคาญอยู่บ้าง แต่บัดนี้กลับมองสหเดชะนิ่งอยู่ คล้ายจะอมยิ้มเล็กๆ ด้วยซ้ำ

“อย่าด่วนได้ใจเร็วนัก” ชายผู้นั้นเอ่ยห้ามปราม “ชีวิตเป็นของสำคัญ เจ้าจะมาทิ้งขว้างเช่นนี้ได้อย่างไร”

“เจ้าเป็นใคร”

สหเดชะจำได้ว่าเจ้าคนที่สังหารยักษ์โขมดนั้นเสือกดาบอันคมกริบใส่เขาจนร่างติดตรึงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พิษบาดแผลนั้นรุนแรงเหลือเกิน ชั่วร่างของรวีหายไปกับเจ้าคนสามานย์ผู้นั้น เขาก็ทนพิษความเจ็บปวดไม่ไหว ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นเพียงความมืดมิดอนธการ มาบัดนี้พอตื่นขึ้น กลับพบตนเองอยู่กับใครอีกคนในถ้ำสักแห่ง เขาควรระวังตัวไว้ ด้วยไม่รู้ว่าเจ้าคนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับคนชั่วนั้นหรือไม่

“อย่าว่าเราอวดโอ่เลย เราทำความดีไปด้วยใจเมตตา ย่อมไม่หวังสิ่งตอบแทน”

สหเดชะนิ่งงัน มองใบหน้ายิ้มกริ่มราวกับภูมิใจในตนเองอย่างยิ่งของคนผู้นี้ และไม่รู้จะกล่าวอะไร

“เราชื่อนกุล” เมื่อเห็นสหเดชะยังนิ่งเฉยอยู่จึงถอนหายใจ แล้วเอ่ยออกมาอย่างยอมจำนน “เราเดินทางผ่านมาพอดี เห็นเจ้าถูกตอกตรึงติดกับต้นไม้ ตรวจดูแล้วเห็นยังมีลมหายใจ นึกสงสารจึงได้ช่วยไว้”

“ท่านช่วยเราไว้หรือ”

แม้จะยังระแวงอยู่บ้าง แต่สหเดชะก็ลดท่าทีแข็งกระด้างลง

“ถูกละ กว่าจะดึงดาบนั่นออกมาได้ เราเหงื่อโทรมกายเชียวนะ ซ้ำเลือดเจ้ายังไหลอย่างกับน้ำ มากมายจริงๆ นี่ถ้าเราไม่พอมีความรู้ทางหยูกยาอยู่บ้าง เจ้าคงซี้แหงไปแล้ว”

สหเดชะก้มสำรวจร่างกายตนเอง ผ่านสาบเสื้อซึ่งแหวกออก มองเห็นผ้าขาวพันไว้รอบลำตัวอย่างเรียบร้อย มีรอยแดงๆ เปื้อนเป็นปื้นอยู่บนผ้าขาวนั้น คงเป็นเลือดจากบาดแผลนั่นเอง

เลือดสีแดงหรือ

ภมรธรา สหายวิทยาธรเอย...เรากับท่านคงมิใช่พวกพ้องเดียวกันแล้วเป็นแน่แท้

“เรานามว่าสหเดชะ เป็น...” เขาสะอึกไปครู่หนึ่ง “...ชาวไพรแถวนี้ เดินทางมากลางป่า โชคร้ายเจอกับยักษ์โขมดเข้า ถูกมันทำร้าย เราซาบซึ้งน้ำใจท่านที่ช่วยเหลือรักษาบาดแผล”

สหเดชะสงสัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือบาดแผลที่ถูกแทงทะลุร่าง แม้ตอนนี้จะยังรู้สึกปวดแปลบอยู่บ้าง ทว่าบาดแผลลึกเพียงนั้นเขาไม่ควรจะเจ็บเท่านี้ดอกหนา ไม่รู้นกุลผู้นี้ใช้ยาอะไรจึงมีฤทธิ์ชะงัดนัก เขาได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ มิได้กล่าวออกไป
บุรุษประหลาดนามว่านกุลยื่นน้ำเต้าขนาดเท่าท่อนแขนผู้ใหญ่มาตรงหน้า

สหเดชะขมวดคิ้ว มองอย่างสงสัย

“ดื่มนี่ก่อนเถิด”

“อะไรหรือ”

“เป็นยาแก้บาดแผลของเจ้าปะไร” สหเดชะมองนิ่ง ไม่ยื่นมือรับ นกุลหัวเราะออกมา “เจ้านึกว่าเป็นของมีพิษหรือ เราช่วยเจ้าขนาดนี้ ไม่คิดฆ่าเจ้าดอก จะทำเช่นนั้นให้เปล่าประโยชน์อันใด”

สหเดชะจำต้องรับมาดึงจุกปิดปากน้ำเต้านั้นออก กลิ่นแปลกๆ ลอยกระทบจมูก เขายกน้ำเต้าขึ้นแล้วเอียงให้สิ่งที่บรรจุด้านในไหลออกมาใส่ปากโดยระวังไม่ให้ปากน้ำเต้าสัมผัสปากของเขา

เพียงดื่มไปได้อึกเดียว สหเดชะก็หยุดมือ ส่งน้ำเต้านั้นคืนให้เจ้าของ สีหน้าของเขาบ่งบอกความสนเท่ห์ “นี่น้ำโสมมิใช่หรือ”

โสมเป็นน้ำเมาอย่างหนึ่ง ภมรธราชื่นชอบนักหนา ดื่มได้เช้าเย็น

“ถูกละ เป็นน้ำโสมรสดี”

“ไฉนท่านจึงให้เราดื่มน้ำโสมเล่า”

“เป็นโสมสูตรพิเศษ เราหมักเองกับมือ หมักจากน้ำผึ้งฉ่ำรวงเชียวนา”

แถบถิ่นนี้แม้ห่างจากพิทยานครมามาก ก็นับว่ายังอยู่ในแดนหิมพานต์ สหเดชะเริ่มรู้สึกว่า บุรุษนามนกุลผู้นี้อาจไม่ใช่มนุษย์เดินไพร เรื่องการรักษาก็ดี เรื่องน้ำโสมอันเป็นเครื่องดื่มของชาวสวรรค์ก็ดี หากถึงขนาดรู้วิธีหมักแล้วไซร้ ย่อมมิใช่คนเดินดินธรรมดา

“ดื่มเข้าไปอีกซี ดื่มมากๆ จะรักษาแผลเจ้า ไม่รู้หรือน้ำผึ้งนั้นเป็นยา”

“ท่านไม่ดื่มบ้างหรือ”

“ก็บอกแล้วว่าในน้ำเต้านั้นเป็นยา เราไม่บาดเจ็บอะไรจะดื่มทำไม ไม่ต้องกังวลไปดอก เรามีน้ำเต้าอีกอัน นี่อย่างไรล่ะ” ว่าแล้วก็คว้าเอาน้ำเต้าที่ผูกไว้กับเอวอีกลูกมาให้ดู เปิดจุกปิดปากน้ำเต้าแล้วก็ยกดื่มอั้กๆ ราวกับดื่มน้ำ “อย่าให้พูดเลย น้ำผึ้งนี่เราชอบนักละ”

ได้ยินเช่นนั้นสหเดชะก็ให้สะท้อนใจ ความร้อนรนผุดพรายขึ้นมาในหัวใจ สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเก น้องรวีเจ้าเอย...เจ้าเองก็ท่าจะชอบรับประทานน้ำผึ้งกับผลไม้มิใช่หรือ ป่านนี้เจ้าจะตกบ่วงชั่วร้ายอยู่หนใดหนอ คิดขึ้นมาแล้วเคียดแค้นให้อกแทบกลัดหนอง

“รวีคือใครหรือ”

อยู่ๆ นกุลก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“รวี?”

“ตอนเจ้าหลับ เจ้าเผลอละเมอเรียกชื่อรวีออกมา”

สหเดชะอึกอัก ไม่อยากเล่าอะไรเกี่ยวกับน้องน้อยให้คนผู้นี้ฟัง ด้วยยังปักใจไม่ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

ฝ่ายนั้นยกน้ำเต้าขึ้นดื่มอีก ก่อนจะเอ่ยออกมา “เป็นคนรักของเจ้าหรือ”

สหเดชะนิ่งเงียบ การวางเฉยเช่นนี้คงทำให้นกุลรู้สึกรำคาญมากโข ฝ่ายนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงระอา

“เอาละๆ ไม่ว่าคนชื่อรวีนี้จะเป็นอะไรกับเจ้าก็ตาม เราก็ได้ยินเจ้าร้องจะไปตามเขากลับมา แต่ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ หากออกเดินแม้เพียงสักน้อยก็คงล้มดิ้นกับดิน อย่าว่าแต่จะไปยื้อแย่งคนกลับมา”

นกุลยกน้ำเต้าขึ้นดื่ม ก่อนเอ่ยต่อ “ตอนที่ช่วยเจ้า เราเห็นซากร่างยักษ์โขมดนอนตายอยู่ตรงนั้น สภาพของมันคงตายทรมานยิ่งแล้ว เจ้าเองก็ถูกตอกตรึงกับต้นไม้หมดสติไป เราจึงรู้ได้ทันทีว่ามิใช่เจ้าที่ฆ่ามัน”

สหเดชะนิ่งรับโดยดุษณี

“คนที่ฆ่ายักษ์โขมดได้ย่อมถือว่ามีฤทธิ์มาก และเจ้าเองก็คงถูกคนผู้นี้แทงด้วยดาบนั้นใช่หรือไม่ ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บมาก จะตามไปเอาคนคืนมาได้อย่างไร อย่าว่าแต่เจ้าไม่รู้ว่าเขาอยู่แห่งหนตำบลใด”

“รวี...” สหเดชะสะกดอารมณ์ร้อนรุ่มในอก “เราต้องไปช่วยรวีให้ได้”

“อย่าดื้อรั้นนักซี” นกุลถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ระอากับความดันทุรังของสหายใหม่ “อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ลองคิดดูทีหรือ ยักษ์โขมดโฉดชั่วนั้นถูกฆ่าอย่างน่าสมเพช เจ้าเองก็ถูกแทงติดกับต้นไม้เพื่อปล่อยให้ตายอย่างทรมาน แต่รวีของเจ้ากลับถูกลักตัวไป ถ้าคนผู้นั้นคิดจะฆ่าก็คงฆ่าเสียที่นี่ ไม่พาไปด้วยให้เหนื่อยหรอก ถ้าคิดได้เช่นนี้ก็พอจะมั่นใจได้ว่ารวีของเจ้าจะยังปลอดภัย”

ปลอดภัยหรือ? เขาไม่อยากให้รวีมีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ

“อย่างไรเราก็ต้องตามเขากลับมา แม้ตัวต้องตายก็ยอม”

“แล้วจะช่วยกลับมาเพื่ออะไร ถ้าเจ้าตายก็สูญเปล่ามิใช่หรือ”

นกุลนึกอยากจะขว้างน้ำเต้าทิ้ง แต่เสียดายน้ำผึ้งรสเลิศนี้จึงกำไว้กับมือแน่น มองเจ้าหนุ่มตรงหน้าอย่างระอาใจ

“นี่เจ้า...” นกุลมองสหเดชะอย่างพิจารณา “เจ้ามิใช่ชาวไพรใช่หรือไม่”

สหเดชะไม่ตอบคำ

“ชาวไพรที่ไหนจะมาเดินท่อมๆ อยู่แถวนี้ให้ยักษ์โขมดจับกิน ที่นี่ยังอยู่ในเขตเทือกวินธัย นับว่าเป็นแดนจาตุมหาราชิกา เจ้าเป็นชาวสวรรค์ใช่หรือไม่”

สหเดชะส่ายศีรษะ

“อย่ามาปดเราเลย เรารู้สึกได้ว่าเจ้ามิใช่มนุษย์ เป็นนักสิทธิ์หรือวิทยาธรล่ะ คงเป็นวิทยาธรแน่ๆ”

คงไม่มีอะไรดีไปกว่ายอมรับสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมา “ท่านกล่าวถูกแล้ว แล้วท่านล่ะ มาอยู่ที่นี่ก็คงไม่ใช่มนุษย์เดินดินล่ะซี”

“เราเป็นมนุษย์” นกุลยิ้มกริ่ม ท่าทางอวดโอ่ “แต่ก็มีฤทธิ์พอตัว เพราะเรามีอาจารย์ดี”

“อาจารย์หรือ”

“ถูกละ เราฝึกวิชาอยู่กับท่านเทพฤาษีมฤควัจน์ อาศรมท่านอยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่ หะแรกเราว่าจะพาเจ้าไปหาพระอาจารย์ แต่ดูร่างกายเจ้าคงเดินทางไม่ไหว จึงพามาให้ไกลจากซากเจ้ายักษ์โขมดเสียก่อน ไว้วันพรุ่งรุ่งเช้า เจ้าพอจะเดินทางได้บ้างจึงจะพาเจ้าไป”

นกุลเห็นสหเดชะขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะพันกันยุ่ง จึงเอ่ยปลอบ “อย่ากังวลไปนัก พระอาจารย์ของเราท่านมีฤทธิ์มาก คงช่วยรักษาเจ้าได้เพียงชั่วอึดใจ ไปหาพระอาจารย์ก่อน...แล้วค่อยคิดอ่านว่าจะทำอย่างไร เจ้าเองก็ไม่รู้มิใช่หรือ ว่าคนที่ลักตัวรวีของเจ้าไปนั้นเป็นใคร แล้วจะหามันได้ที่ไหน”

แม้ในใจจะร้อนรุ่มเพียงใด สหเดชะก็รู้ว่านกุลพูดถูกทุกอย่าง ร่างกายตนในตอนนี้คงไม่อาจต่อกรกับคนที่ฆ่ายักษ์โขมดได้ด้วยหมัดเพียงครั้งเดียวหรอก ซ้ำคนผู้นั้นยังมี...

“มันมีเขี้ยว” สหเดชะโพล่งออกมา

“เขี้ยว?”

“มันเป็นยักษ์...”

“ตายละวา” นกุลพรูลมหายใจ “อย่างนี้เจ้ายิ่งต้องไปหาพระอาจารย์”

นกุลศิษย์พระเทพฤาษีมฤควัจน์แอบลอบครวญในใจ ยักษ์หรือ? เจ้าหนุ่มคนนี้จะรู้หรือไม่...ว่าถ้ากล่าวถึงยักษ์ละก็ คงต้องเป็นยักษ์ที่อยู่อาศัยแถบถิ่นนี้ เขาเองก็ได้เจออยู่บ้าง แม้จะถือว่าตนเองมีฤทธิ์แต่ก็หลบได้เป็นหลบ ไม่อยากสู้รบปรบมือให้ต้องเจ็บตัว

แล้วยักษ์ที่อาศัยอยู่แถบถิ่นนี้คงหนีไม่พ้นยักษ์พวกนั้นน่ะซี เป็นยักษ์ประเภทมีฤทธิ์กึ่งเทพ เป็นบริวารของท้าวโลกบาลนั่นแหละ ยักษ์พวกที่เรียกว่ากุมภัณฑ์

นกุลแอบใคร่ครวญอยู่ในใจ หากถูกพวกกุมภัณฑ์แถวนี้พาตัวไป คงไม่พ้นกลับไปที่นั่นน่ะแหละ

...นครโลหะของชาวกุมภัณฑ์นั่นปะไร!

แค่คิด...น้ำผึ้งที่รสยังติดลิ้นก็แทบจะเปลี่ยนเป็นขมปร่าเสียแล้ว

+++

ถ้าอ่านแล้วชอบอย่างไรก็บอกกันได้เลยนะคะ เจอกันตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มาต่อแล้วดีใจจัง  ขอให้ช่วยน้องได้นะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โถ่ ขอให้ตามน้องกลับมาได้นะ  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
กลับมาอัพแล้ววว คิดถึงค่าาา

พี่เจ้ารีบรักษาตัว แล้วไปช่วยน้องรวีเร็ว
พานกุลไปช่วยด้วยก็ดี ดูเป็นฮาดี ขำความกรุ้มกริ้มภูมิใจในตัวเองแบบอวดๆ  :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2019 15:36:05 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
อย่าให้น้องเป็นอะไรเลย ฮือออออ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พี่กับน้องทำกรรมอะไรกันมา ลำบากแท้

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
มาแล้วค่า


บทที่ 12


พระดาบสชรานั่งอยู่ท่ามกลางมฤคชาติน้อยใหญ่ กวางป่าเหล่านี้บ้างก็กำลังเคี้ยวยอดหญ้าอ่อนรสดี บ้างก็ยืดคอขึ้นไปใช้ลิ้นตวัดกินใบไม้อ่อนจากกิ่งอันหย่อนปลายลงมาต่ำเตี้ยอย่างเอร็ดอร่อย ด้านหนึ่งเป็นแม่กวางกำลังให้นมลูกน้อยจากพวงถันของนาง มีลูกกวางน้อยๆ กำลังวิ่งตุปัดตุเป๋ด้วยยังไม่คุ้นชินกับขายาวเก้งก้างของตน ทว่าก็ยังอยากรู้อยากเห็นและไม่เกรงกลัวมนุษย์สักนิด

หากรวีพิรุณได้มาเห็นภาพนี้คงจะตาลุกวาว แล้วรีบวิ่งตุเลงๆ เข้าไปหากวางน้อยๆ เหล่านี้พร้อมกับร้องว่า ‘เจ้ากวางน้อย’ จนสุดเสียงเป็นแน่ คิดขึ้นมาดังนี้แล้วให้ในอกสหเดชะเจ็บร้าวเสียจริง

ในท่ามกลางฝูงกวางเหล่านี้พระเทพฤาษีมฤควัจน์กำลังป้อนผลไม้ให้กับกวางหนุ่มๆ สาวๆ หลายตัวจากมือของท่านเอง พวกมันดูคุ้นชินกับท่านอย่างยิ่ง มองจากไกลๆ นับว่าเป็นภาพที่แปลกตามาก กระนั้นสหเดชะก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนามของท่านจึงเป็นมฤควัจน์ คือวาจาแห่งกวาง ไม่แปลกที่ท่านจะมีสหายเป็นฝูงกวางน้อยใหญ่เช่นนี้

สหเดชะและนกุลเดินทางออกจากถ้ำที่พักรักษาบาดแผลก่อนพระสูรยเทพจะเยี่ยมฟ้า สำหรับสหเดชะนั้นเขาอยากจะเดินทางให้เร็วที่สุดโดยการใช้พระขรรค์ของสหายที่ได้มา เพื่อจะไปถึงพระเทพฤษีโดยไว ทว่าเพียงแค่เริ่มร่ายพระเวทก็ให้ปวดแปลบที่แผลอย่างแรง แน่ชัดแล้วว่าในสภาพร่างกายอ่อนแอเช่นตอนนี้เขาไม่อาจใช้พระขรรค์เหาะเหินเดินอากาศได้

นกุลได้แต่มองแล้วส่ายหน้าด้วยระอากับความหุนหันพลันแล่นของ ‘ชาวฟ้า’ ผู้นี้ ไม่รู้บุญนำกรรมส่งใดจึงทำให้มาระหกระเหินเดินกลางป่าเช่นนี้ กระนั้นด้วยหัวใจอันเปี่ยมด้วยมนุษยธรรมและความรักเพื่อนร่วมไตรโลก นกุลจึงช่วยเหลือบุรุษผู้นี้ให้หายจากทุกข์ ก็มิใช่พระอาจารย์ดอกหรือที่พร่ำบ่นให้เขาฟังเช้าเย็นว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์นั้นเป็นบุญอย่างหนึ่ง จะช่วยหนุนส่งให้ตนได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์

ศิษย์พระเทพฤษียื่นน้ำเต้าบรรจุน้ำยาโสมให้สหเดชะ พลางมองเจ้าพิทยาธรหนุ่มกุมมือกับบริเวณบาดแผล พร้อมหอบหายใจฮุบเอาอากาศอยู่เฮือกๆ

นกุลเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจว่า ‘อย่าฝืนตัวเองนักเลยเจ้า ดื่มน้ำโสมนี่เสียก่อน จะได้มีแรงขึ้น หากยังดันทุรังอีก ฉวยเจ้าแดดิ้นไป ก็ไม่ได้ไปช่วยรวีผู้นั้นกันพอดี’

นกุลผู้รักน้ำโสมดุจชีวิตกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อสหเดชะผู้นี้ยอมคว้าเอาน้ำเต้าไปดื่มอั้กๆ แต่ก็ต้องร้องห้ามออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าหนุ่มนี่แทบจะดื่มจนหมด ‘เหวยๆ เหลือไว้บ้างทีหรือพ่อ จะกินหมดนั่นหรือ ประเดี๋ยวก็ล้มเปลี้ยเพลียแรงดอก’

ยานี้มิใช่ไม่แรง หากดื่มมากมายเพียงนั้นเกรงว่าอาจล้มหลับพับไปได้

แล้วด้วยลักษณาการเช่นนี้ ทั้งนกุลและสหเดชะก็ประคับประคองกันผ่านป่ามาจนได้ เมื่อดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกก็ลุถึงผืนป่าแห่งหนึ่งซึ่งอากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าโชยมารวยรินไม่ขาด เสียงน้ำจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักเป็นดั่งดนตรีคอยขับกล่อม สหเดชะได้ยินเสียงนกร้องมาจากคาคบไม้อันครึ้มรกไปด้วยใบบัง ชะรอยเจ้านกน้อยที่กำลังร้องเพลงนี้จะซ่อนอยู่ในระหว่างกิ่งไม้กิ่งใดกิ่งหนึ่งเป็นแน่ เขาจึงมองไม่เห็น...จะได้ยินก็แต่เสียงร้องเสนาะหูเท่านั้น

นกุลเอ่ยอธิบายขณะเดินนำหน้า

“ป่าแห่งนี้เป็นถิ่นของพระอาจารย์ มีพระเวทคอยคุ้มกันมิให้สัตว์ร้ายมาย่ำกราย หากเจ้ามิได้มากับเรา รับรองว่าจะถูกมนต์พระอาจารย์จนเดินเลยผ่านไปแน่ๆ นี่ก็เป็นความดีความเด่นของเราอีกนั่นละ” นกุลเอานิ้วโป้งชี้อกตนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

ความอวดโอ่ของนกุลก็ดี ความเป็นผู้รักการเจรจาปสาทะก็ดี ทำให้ระหว่างเดินทางมานี้สหเดชะไม่เบื่อเลยสักนิด ซ้ำยังเป็นการช่วยให้เขาใจเย็นกับเรื่องของรวีลงได้มากโข เพราะต้องมาใส่ใจกับสิ่งที่นกุลเล่าให้ฟัง

นกุลเอ่ยเล่าเรื่องราวต่างๆ อย่างไม่ปิดบัง กระทั่งทั้งสองเดินทางเข้าสู่ที่โล่งกลางหมู่ไม้แห่งหนึ่ง ณ สถานที่นี้ปรากฏกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรง มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากกระท่อมหลังนี้นัก ในสระแห่งนั้นขึ้นอุดมไปด้วยกุมุทชาติดาษดา และในระหว่างหมู่ไม้ที่ขึ้นหนาช่วงหนึ่งพระดาบสชรากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงกวางมากมี

พระเทพฤษีละจากการป้อนผลไม้ให้แก่ฝูงกวาง หันมามองทางบุรุษทั้งสองซึ่งกำลังเดินออกจากชายป่าลัดลานหญ้ามาหาท่าน
นกุลบุ้ยใบ้ให้สหเดชะนั่งลงตรงหน้าท่าน กวางหลายตัวกระดิกหูและเดินออกห่างไปเล็กน้อย ทว่าหลายตัวก็ยังอยู่ที่เดิม ด้วยมันไม่สัมผัสถึงอันตรายใดๆ จากบุรุษที่มาใหม่นี้แม้สักน้อย

สหเดชะกระทำความเคารพพระดาบสด้วยความยำเกรงอย่างยิ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท่าน ก็เห็นใบหน้าของพระเทพฤษีเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มการุณย์

ใบหน้าของท่านแม้แก่ชรา ทว่าก็ราวกับจะอาบไว้ด้วยความอิ่มเอิบบางอย่าง นับว่าเป็นดวงหน้าอันสว่างสดใสใบหน้าหนึ่ง สิ่งที่ทำให้สหเดชะประหลาดใจเหลือคือดวงตาอันคมกริบของท่าน มันคล้ายกับจะเปล่งประกายแห่งเปลวไฟออกมา คล้ายกับว่ามีเปลวร้อนแห่งพระสูรยาทิตย์อันนับเวลาได้โกฎิหมื่นปีรวมไว้ข้างในนั้น นี่คงเป็นตบะอันเกิดจากการปฏิบัติมั่นถือมั่นของท่านเป็นแน่

“มายังไรล่ะพ่อ ทุกข์ร้อนอันใดหรือ” เสียงของท่านนุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งนัก สหเดชะรู้สึกราวกับถูกชโลมด้วยแสงแดดอุ่นๆ ยามสาย

“กระผมเดินทางมากลางป่า พันเอิญเจอะเข้ากับอ้ายยักษ์โขมดไพร ถูกมันเข้ามาทำร้าย แต่เหมือนทุกข์ซ้ำกรรมซัด...ยังมีเจ้ากุมภัณฑ์ตนหนึ่งเข้ามาฆ่าเจ้ายักษ์โขมดนั้น แล้วใช้ดาบคมกล้าแทงกระผมหวังให้ตายตก”

“พ่อมาในป่าคนเดียวละหรือ”

“หามิได้ขอรับ กระผมมากับคนอีกผู้หนึ่ง เป็นน้องน้อยของกระผมเอง ความจริงแล้ว...กระผมผูกจิตเสน่หาปฏิพัทธ์กับเขา มาบัดนี้กลับถูกเจ้ากุมภัณฑ์จัณฑาลผู้นั้นฉุดคร่าไปเสีย เป็นคราวโชคได้นกุลผู้ประเสริฐช่วยรักษาแก้ไขให้ดีขึ้น” สหเดชะยกมือขึ้นพนมเพียบแต้ ขณะนกุลนั้นกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะถูกเอ่ยชม “กระผมตอนนี้ก็เหมือนกวางน้อยตัวหนึ่งผู้ซึ่งมีขาติดอยู่ในบ่วงของนายพราน ไม่อาจสลัดให้หลุดไปได้ เดือดเนื้อร้อนใจเป็นกำลัง เมื่อตกอยู่ในกองทุกข์เสียแล้วชีวิตก็ไร้สุขเหลือแสน หนีร้อนมาพึ่งเย็นหวังว่าพระคุณเจ้าจักช่วยชี้ทางให้กระผมได้ตามน้องน้อยกลับมาได้ หากมิได้มาพบพระคุณเจ้าวันนี้แล้วไซร้ ก็คงไม่แคล้วถูกพรานไพรใจโฉดบั่นคอเลาะเนื้อจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่”

“อ้ายหนุ่มนี่มันพูดจาสำคัญนัก” นกุลบ่นพึม แต่เมื่อถูกพระอาจารย์มองด้วยสายตาตำหนิก็เสไปเหลือบดูไม้ดูหญ้าแทน

พระฤษีมองสหเดชะนิ่งอยู่ คล้ายกับดวงตาของท่านจะส่องประกายจ้า

“ทุกข์ครั้งนี้หนักอยู่นะพ่อเอ๋ย จะแก้ไขให้รอดพ้นได้ยากแท้”

“ยากเข็ญนักหรือขอรับ”

“ยากเข็ญแท้ แต่ก็มีทางแก้ไขอยู่บ้าง”

“ต้องทำเช่นไรหรือขอรับ”

“สหเดชะมิใช่หรือคือนามพ่อ?”

“ขอรับ กระผมมีนามว่าสหเดชะ”

พระฤษีวางมือเหี่ยวย่นลงกับหน้าขาซึ่งห่มไว้ด้วยผ้าคากรอง

“พ่อเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

สหเดชะจนต่อคำพูด เมื่อมองสบกับนัยน์ตาของพระเทพฤษี คล้ายกับท่านจะมองเห็นเข้าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องที่เกิดแก่เขาเองหรือแก่คนเกี่ยวข้องกับเขา

“สหเดชะเอย พ่อยึดติดกับหนุ่มน้อยผู้นั้นมากถึงเพียงนี้ก็ด้วยกรรมจากชาติปางก่อนปั้นแต่ง ฝ่ายนั้นเองก็มีบุญมีกรรมผูกติดกับพ่อไว้แน่นหนาเหลือเกิน อันว่ารักคือกาวเหนียว ยึดติดพ่อไว้กับโลกียะ จักเวียนว่ายตายเกิดอีกนานเท่าใดล่ะพ่อ ชีวิตนี้พ่อไม่หวังจะถึงซึ่งโมกษะทางสว่างดอกหรือ กรรมนี้ก็จักหยุดได้หากพ่อเอาใจใฝ่เพื่อเข้าถึงเป็นหนึ่งกับพระปรมาตมัน”

สหเดชะก้มหน้านิ่งโดยดุษณี

“กระผม...รักเขาเหลือเกิน ชีวิตคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีรวี”

“ฉันเองก็พูดประสาคนแก่นะพ่อ พ่อจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่พ่อเถิด บุญกรรมเกิดเพราะการกระทำของเราเอง หากจะตัดเยื่อไม่ให้เหลือใยก็จะดี แต่ถ้าตัดไม่ได้ก็ดำรงตนให้ดี อย่าก่อกรรมใดอีก นั่นละจึงจะลดทุกข์ลงได้บ้าง”

“กระผมไปพรากเขามาจากแม่...ก่อนเวลาเหมาะควร ทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งทุกข์ หากได้ทำให้เขามีความสุขแม้เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งก็ยังถือว่าดีมากแล้ว บัดนี้เขาถูกคร่าไปไกลจากกระผมเสียแล้ว ใจร้อนรนอยากไปตามกลับมา แต่ก็จนใจด้วยตนเองนั้นไร้กำลัง ไม่อาจต่อกรกับฝ่ายนั้นได้”

ดวงตาของสหเดชะร้อนผ่าว ประหวัดไปถึงโมงยามที่ตนใช้พระขรรค์ตัดน้องออกจากขั้วต้นแม่ มักกะลีผลมิใช่มีจิตใจหรือดวงวิญญาณหรือ แม้เกิดมาเพื่อสุกงอมเพียงเจ็ดวันแล้วเหี่ยวแห้งไป ทว่าปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้มีชีวิตอยู่ในระยะเวลาเจ็ดทิวาราตรีนั้น แม้นับว่าสั้นเหลือเกินหากเทียบกับอายุขัยชาวฟ้า แต่ก็นับเป็นชีวิตอันมีค่าเช่นกัน เขาถืออำนาจอันใดจึงไปฉุดคร่าน้องมาจากต้นแม่ เช่นนี้เขาเองก็ไม่ต่างจากเจ้ากุมภัณฑ์ผู้นั้นน่ะสิ

เขาเม้มปากแน่น ยอมรับคำสอนของพระเทพฤษีแต่โดยดี ด้วยรู้ว่าพระคุณเจ้าท่านเอ่ยมาก็เพื่อให้เขาได้คิด แม้ท้ายที่สุดแล้วเขาจะคิดได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง

“ตัวทุกข์นี้สำคัญนัก มันอยู่ในใจของเราเอง พ่อก็เห็นอยู่แล้ว...ว่ามันกัดใจพ่อให้ทรมานเพียงใด”

“ขอรับ กระผมรู้ซึ้งดียิ่งแล้ว”

“รู้เช่นนี้พ่อยังจะตามไปอีกหรือ”

“เมื่อพรากเขามาจากแม่ กระผมก็ผูกติดไว้กับเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วขอรับ มาบัดนี้รู้ว่าใจของกระผมก็คือเขา หากขาดเขาไปก็คงมีแต่จะแดดิ้นดับสิ้นไป”

“พ่ออุบัติขึ้นในจาตุมหาราชิกา มาบังเกิดในเหล่าพิทยาธรชาวฟ้า บัดนี้เพราะกรรมนำส่งแต่ชาติปางก่อนพ่อจึงสูญเสียพระขรรค์คู่กาย ซ้ำวิมานก็ทลายลงเป็นผงธุลี พ่อมิได้อยู่ในหมู่พิทยาธรอีกแล้ว หรือพ่อเป็นเพียงมนุษย์เดินดินเท่านั้น”

สหเดชะเม้มริมฝีปากแน่น “มิใช่ทั้งพิทยาธรหรือมนุษย์ขอรับ”

“เป็นคนแปลกเหล่าแปลกพวก ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ใดทั้งสิ้น มักกะลีผลผู้นั้นก็ด้วยซีนะ”

เขากระอึกกระอัก “ขอรับ รวี...มักกะลีผลผู้นั้นก็ด้วยขอรับ”

“พ่อผ่านทุกข์ผ่านโศกมามากนัก มีบุญได้มาเกิดยังโลกชาวฟ้า กลับต้องร่วงหล่นลงดินอีกครา”

พระเทพฤษีมฤควัจน์นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ก่อนท่านจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เอาละพ่อ ฉันจักช่วยพ่อหนุ่มก็แล้วกัน”

สหเดชะก้มกราบราบกับดิน

“พระคุณเจ้าเมตตายิ่งแล้ว”

“อุเบกขาเป็นธรรมของพรหม เห็นพ่อมาด้วยใจร้อนเพราะทุกข์เข็ญ ฉันก็วางเฉยไม่ได้หรอกหนา” ท่านมองดูสหเดชะด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยได้ยินเสียงสะอื้นฮักๆ ดังมาไม่ขาดและทำท่าจะดังขึ้นเรื่อยๆ พอหันไปมองก็เห็นนกุลกำลังเช็ดน้ำตาป้อยๆ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ช่างไม่น่าดูเสียจริงๆ

“อะไรของเอ็งหา นกุล ร้องห่มร้องไห้อย่างกับหญิงผัวตาย”

“พระอาจารย์” นกุลฟูมฟาย “ไม่ร้องได้หรือ ก็ชีวิตของสหเดชะผู้นี้เศร้าอย่างกับอะไร ศิษย์สงสารเขา”

“มันใช่เรื่องของเอ็งเรอะ” ท่านเอ็ด “ตุ่มน้ำที่กระท่อมแทบไม่มีน้ำเหลือแล้ว ไปไป๊...ไปตักน้ำมาใส่ให้เต็มเสีย”

คนกำลังร้องไห้หยุดน้ำตาโดยพลัน “โธ่ ศิษย์เดินทางมาเหนื่อยๆ พระอาจารย์ยังจะใจร้ายใช้งานศิษย์อีกหรือ”

“เอ็งจะให้ข้าแพ่นกบาลเอ็งด้วยไม้เท้านี่ไหม ไปเดี๋ยวนี้เจียวนะ อย่ามัวพิรี้พิไร”

เห็นพระอาจารย์ฉวยเอาไม้เท้ามาถือมั่นไว้กับมือ นกุลก็ตาเหลือก รีบแจ้นไปทางกระท่อมทันที เรียกว่าวิ่งแทบไม่เห็นฝุ่น

พระดาบสหันมามองสหเดชะที่ก้มหน้านิ่งเฉยอยู่ ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

“พ่อหนุ่ม ฉันช่วยพ่อหนุ่มได้ไม่มากหรอกนะ จะทำได้ก็เพียงมอบวิชาความรู้ฝีมือให้ติดตัวพ่อเท่านั้น อย่างอื่นก็ขึ้นกับพ่อหนุ่มเองหนา”

“เท่านี้ก็นับเป็นพระคุณมากแล้วขอรับ กระผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณเจ้าอย่างไรดี”

“ไม่ต้องตอบทงตอบแทนอะไรหรอก ถือเสียว่ามาตักน้ำผ่าฟืนช่วยเจ้านกุลมันก็แล้วกัน เท่านี้ก็นับเป็นค่าบูชาครู ฉันจะสอนวิชาให้พ่อ แต่พ่อจะเรียนเร็วเรียนช้าก็แล้วแต่พ่อละนะ”

“กระผมจะเรียนให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ไปช่วยเขาโดยไว อีกอย่าง...ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“พ่อเร่งฝึกวิชาเข้าเถิด ทางมักกะลีผลผู้นั้นยังปลอดภัยดี ไม่มีเรื่องร้ายเร็วๆ นี้หรอก”

สหเดชะได้ยินเช่นนั้นก็ใจชื้นขึ้น เขาก้มกราบพระเทพฤษีอีกรอบ

รวี...รอพี่นะ พี่จะมาช่วยน้องในไม่ช้านี้แหละ

+++

รวีพิรุณฟื้นคืนสติ รับรู้ถึงลมเย็นพัดใบหน้า เมื่อลืมตาเห็นชัด ก็พบว่าตนเองกำลังลอยไปในอากาศ ถึงแก่งงงวยว่าวิชาฝึกบินที่เรียนมากับท่านพี่นั้นทำให้เขาเหาะได้เชียวหรือ

แต่แล้วรวีเจ้าก็หัวใจหล่นไปอยู่ที่ท้อง เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดวาบขึ้นมาในหัว บัดนี้สภาพโดยรอบห่มคลุมไว้ด้วยม่านราตรี ภาพจำสุดท้ายก่อนจะหมดสติคือร่างของท่านพี่กระเด็นไปด้วยแรงมหาศาลไปติดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ฝ่ายตัวเขาเองถูกคนผู้หนึ่งดึงร่างไปโดยแรง เขาดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง ทว่าคนผู้นั้นก็ฟาดกำปั้นเข้ากับท้องอย่างแรง จนรวีเจ้ารู้สึกว่าโลกมืดลงฉับพลัน มาฟื้นตื่นอีกทีก็ลอยอยู่ในอากาศนี้แล้ว

“ปล่อยเรานะ!”

รวีแผดเสียง พลางดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เขาถูกโอบรัดไว้ด้วยแขนแข็งแรงข้างหนึ่ง ส่วนอื่นของร่างกายนั้นเป็นอิสระ เจ้ามักกะลีผลจึงทั้งทุบทั้งถอง อนิจจา...เรี่ยวแรงอันน้อยนิดนี้แทบไม่ระคายผิวของบุรุษปริศนาผู้นี้เลยจนนิดเดียว

“นางมักกะลีผลผู้นี้ จะขัดขืนไปไย เราไม่คิดร้ายกับเจ้าหรอก”

เสียงนั้นทรงอำนาจยิ่งนัก ทว่าด้วยอารามร้อนรน รวีพิรุณมิได้ฟังคำใดๆ ทั้งนั้น

“ปล่อยเรานะ เราจะไปหาท่านพี่ ท่านพี่กำลังเจ็บ”

“หุบปากเสีย อย่าเอ่ยอะไรอีก”

จะทุบตีเช่นไรคนผู้นี้ก็ราวกับสร้างขึ้นจากหินผา ไม่สะทกสะท้านใดๆ

“เจ้า...เจ้า...เจ้าคนเลว!” รวีร้องออกมา

“คนเลวรึ?” ฝ่ายนั้นฉงน

“เจ้าทำท่านพี่เจ็บ เจ้าเป็นคนเลว”

“หึๆ” บุรุษผู้นั้นหัวเราะชอบใจ “มันผู้นั้นไปเด็ดเจ้ามาจากต้นนารีผลละซี ตกเป็นเมียมันมากี่มากน้อยแล้วล่ะ จึงเรียกขานกันเป็นท่านพี่ท่านน้องอย่างนี้”

“เราไม่ชอบเจ้า เจ้าเป็นคนไม่ดี!”

“หึ ดิ้นตามใจเจ้าเถิด ไว้กลับไปถึงบ้านเราเมื่อไร จะได้เห็นดี”

“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ จะพาเราไปไหน”

“ไปไหนน่ะหรือ ก็บ้านเราน่ะซี”

“บ้าน...บ้านที่ไหน เราไม่อยากไป”

“เราจะบอกอะไรเจ้าไว้ พอไปถึงบ้านของเราแล้วเจ้าอย่าได้แหกปากเอ็ดตะโรเช่นนี้ ประเดี๋ยวพวกร้ายๆ ที่บ้านของเราก็แห่กันมาหาเจ้า”

“พวกร้ายๆ หรือ”

“พวกยักษ์กุมภัณฑ์ยังไงล่ะ”

“กุ...กุมภัณฑ์หรือ กุมภัณฑ์คืออะไร”

คล้ายท่านพี่จะเคยเอ่ยถึงนามนี้มาก่อน อา...ใช่แล้ว ท่านพี่เคยบอกว่าแถบถิ่นนี้มีชนมากหลาย หนึ่งในนั้นคือชาวกุมภัณฑ์ คนผู้นี้เป็นกุมภัณฑ์หรือ คนผู้นี้เป็นคนไม่ดี ฉะนั้นชาวกุมภัณฑ์ก็ต้อง...

“พวกเจ้าเป็นคนไม่ดี!”

“ปากเก่งนัก ใครว่าเราเป็นคนไม่ดี เราแค่เห็นเจ้าอยู่ตรงนั้น...กลิ่นของเจ้าหอมดี เราเลยพามาด้วย จะว่าเป็นคนไม่ดีได้อย่างไร”

“ปล่อยเราลงนะ เราจะกลับไปหาท่านพี่”

“ท่านพี่ของเจ้าคือวิทยาธรที่เราแทงด้วยดาบตรึงไว้กับต้นไม้น่ะหรือ เฮอะ...ป่านนี้มันตายไปแล้วกระมัง ยังจะกลับไปหามันอีกทำไม”

ได้ยินเช่นนี้หัวใจรวีพิรุณแทบหล่นหาย ห่วงนักว่าท่านพี่จะตายตกเช่นคำพูดของกุมภัณฑ์ใจบาปผู้นี้ แต่ในใจก็เชื่อมั่นว่าท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไร ก็ท่านพี่เก่งกาจมากนี่นา ท่านพี่เหาะได้ ท่านพี่หาผลไม้มาให้กิน หาน้ำผึ้งมาให้กิน ท่านพี่เตะยักษ์โขมดจนกรามหลุด ท่านพี่เก่งอย่างนี้เลย

รวีไม่เชื่อคำพูดเจ้ากุมภัณฑ์จอมโป้ปดนี้หรอก ท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไร

ท่านพี่จะต้องมาช่วยรวีอยู่แล้ว!

คิดได้ดังนั้นแล้ว รวีพิรุณก็ตัดสินใจเงียบเสียง ตนรู้บางอย่างบอกให้เขาเงียบไว้ ไม่ว่าเจ้าคนนี้จะทำหรือว่าอะไรก็ให้เงียบไว้เป็นดีที่สุด เว้นแต่ว่าหากมันจะทำอะไรไม่ดีขึ้นมารวีก็จะขัดขืนอย่างสุดกำลัง จะปากกัด เล็บข่วน ขาถีบ เข่าถอง น่องเตะ

“สงบได้แล้วหรือ”

เจ้ากุมภัณฑ์หยาบช้าหัวเราะ “อีกเดี๋ยวก็จะถึงบ้านเราแล้ว”

หลังจากนั้นรวีพิรุณก็ปิดปากเงียบ ในเมื่อขัดขืนใดๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องขัดขืนแล้ว ถึงจะข่วนจะทุบถองอย่างไรก็ไม่ระคายผิวหยาบๆ ของเจ้าคนนี้ รวีก็ต้องเลิกทำให้ตัวเองเสียแรงเปล่า เขาไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้างในเพลาข้างหน้า กระนั้นก็ขอออมแรงไว้ก่อน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถวิ่งไปได้ไกลๆ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะขอวิ่งกลับไปหาท่านพี่ให้ได้เชียวละ

แสงทองเริ่มอาบขอบฟ้า ผืนป่ายังตกอยู่ในความมืด ทว่าอีกไม่นานก็จะสว่างแล้ว รวีพิรุณรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่ามีสิ่งทะมึนอันใหญ่โตกำลังใกล้เข้ามา และเจ้าสิ่งนั้นคล้ายกับน้ำหนักอันหนักอึ้งยิ่งกว่าขุนเขาหรือบรรพตใดๆ มันราวกับจะทาบทับลงมาบนร่างของเขา แล้วกดให้เขาจมลงไปกับดิน

คนผู้นั้นวาดมือไปข้างหน้า แล้วลอยพุ่งตรงไป

เกิดประกายวูบวาบครั้งหนึ่ง แล้วก็คล้ายกับว่าพวกเขาลอยผ่านเยื่อบางๆ เข้าไป

“นั่นปะไร บ้านของเรา”

คนผู้นั้นเอ่ยอย่างผยอง

“โลหะนคร”

ไม่เหมือนกับป่าแห่งมักกะลีผลแม้สักน้อย ไม่เหมือนวิมานของท่านพี่แม้แต่นิด ที่นี่อึดอัด...ราวกับว่าพงไพรได้หายไปจากโลก ราวกับว่าพืชพันธุ์สีเขียวมากมีจะอันตรธานหายไปสิ้น ไม่มีความเขียวขจี ไม่มีความสดชื่นของป่าไม้ใดๆ รวีพิรุณรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ออก

สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้เป็นชั้นช่องสูงใหญ่ทะมึน ราวกับว่ามีขึ้นไว้เพื่อกางกั้นโลกด้านในไว้จากภายนอก มันดำมืดไม่สว่างสดใสเช่นปราสาทของท่านพี่ ในสิ่งปลูกสร้างที่สูงเทียมเมฆและยาวออกไปจนสุดตานี้เอง มีช่องว่างช่องหนึ่งอยู่ตรงนั้นราวกับปากถ้ำ รวีเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าต้นไม้ที่สูงที่สุดสองคนยืนขวางช่องทางนั้นไว้

“ประตูสู่โลหะนคร” คนที่อุ้มรวีพาดไหล่เอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิ

เขาลอยตัวลงต่ำ เมื่อเท้าแตะพื้นจึงเดินอาดๆ เข้าไปหาร่างสูงใหญ่ทั้งสองนั้น รวีใจเต้นระทึก เพราะใบหน้าของคนอีกสองคนนี้น่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน พวกมันมีเขี้ยวใหญ่ๆ โผล่ออกมาจากมุมปากทั้งสองด้าน ซ้ำผิวหน้าก็แดงดั่งเลือด ดวงตาจ้องเขม็งไม่กะพริบ ลิ้นสีแดงแลบออกมายาวถึงคาง

คนที่พารวีมาเดินไปหยุดตรงหน้าร่างใหญ่ยักษ์สองตนนี้ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “เรากลับมาแล้ว”

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่ายอดไม้นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละน้อย พวกมันค่อยลดขนาดร่างกายลง ความสูงจากยอดไม้เหลือเพียงสูงเท่าระดับกิ่งก้าน ก่อนค่อยๆ หดตัวลงมาเรื่อยๆ รวีเจ้ามองพลางอ้าปากค้าง ช่างน่าประหลาดเหลือ
ในเวลาไม่นาน ร่างสูงใหญ่นั้นก็กลายมาเป็นบุรุษความสูงไม่ต่างกับคนที่อุ้มรวีพิรุณอยู่นี้เอง เจ้าสองคนนั้นถือดาบไว้ในมือมั่น แล้วคุกเข่าลงกับพื้น ทำความเคารพด้วยเกรงบารมี

“น้อมรับเสด็จกลับโลหะนครพระเจ้าค่ะ”

เขาผู้นี้ไม่แม้แต่จะเอ่ยตอบ เมื่อบุรุษสองคนนั้นลุกขึ้นยืน กลับไปเปิดบานประตูที่ปิดแง้มนั้น เขาก็ก้าวขาไปข้างหน้าสองก้าว แล้วก็พุ่งตัวไปในอากาศอย่างแรง ผ่านช่องประตูนั้นเข้าไป

ทุกอย่างราวกับพร่ามัวลง เมื่อมารู้สึกตัวอีกที รวีพิรุณก็เห็นปราสาทใหญ่โตยิ่งกว่าปราสาทใดๆ ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ความใหญ่โตน่ายำเกรงยิ่งกว่าขุนเขาอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆ คนผู้นั้นพาเขาร่อนลงกับพื้น ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน รวีเจ้ารู้สึกราวกับถูกบีบอัดจากทุกทิศทาง คล้ายกับลมหายใจจะถูกดูดหายไปหมด

ขณะพารวีพิรุณเข้าไปในปราสาทอันใหญ่โตหลังนั้น เจ้ากุมภัณฑ์ใจหยาบก็พลันหยุดนิ่ง หันไปทางด้านหนึ่ง

ณ ระเบียงทางเดินอันทอดยาวออกไปนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เป็นชายร่างสูงยิ่งกว่าคนผู้นี้ ชายคนนั้นมองจ้องพวกเขาทั้งสอง ในสายตานั้นอ่านไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์เช่นไร ทว่าความกดดันรุนแรงก็ส่งผ่านออกมาจากร่างนั้น ทำให้รวีพิรุณแทบจะกระอักไอ

คนผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “กลับมาแล้วหรือ จตุรเศียร”

“พระเจ้าค่ะ เสด็จพี่สัตตพักตร์”


++++

เจอกันตอนใหม่นะคะ มาดูกันว่าใครจะหมู่จะจ่า น้องรวีก็ไม่ยอมใครนะเออ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เจ้าพี่เก่งอย่างนี้เลย น้องลู๊กก อวยเจ้าพี่เก่งงง
น้องก็สู้คนนะเออ แต่ตอนนี้ขอเงียเก็บเเรงไว้ก่อน5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 12:20:02 โดย Ac118 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
« ตอบ #139 เมื่อ: 23-09-2019 16:20:01 »





ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
รวีก็ตัวแค่นี้  :ling2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มีแต่ตัวบอสทั้งนั้น  เอาใจช่วยรวี

ออฟไลน์ PJansam

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
ไม่ได้อ่านนิยายนานเลย. หาอะไรอ่านนึกถึงคุณแป้งจี่เป็นคนแรก ยังรอติดตามเสมอนะคะ

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
เข้ามาต่อเงียบๆ ขอโทษนะคะหายไปนานเลย กลับมาแล้วน้าาา  :mew6:



บทที่ 13


จตุรเศียร เจ้ายักษ์หยาบช้าที่ทำร้ายท่านพี่และลักพาเขามาที่นี่ กำลังจับเขาพาดบ่าเดินเข้าไปหายักษ์อีกตนที่ยืนอยู่ห่างออกไป เดินเข้าไปพลาง สนทนาโต้ตอบไปพลาง น่าแปลกอย่างยิ่งที่เสียงซึ่งสนทนากันกลับได้ยินชัดเจนเหลือเกิน

“พี่บอกเจ้าว่าให้ทหารสอดแนมออกไปตรวจดูก็ได้ เจ้าไม่ต้องออกไปเอง”

“มิได้พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันอยากออกไปด้วยตัวเอง หม่อมฉันมีฤทธิ์มากกว่าทหารใดๆ หากมีพวกรากษสฤทธิ์ร้ายลอบกัดจะได้จัดการเสีย ถือว่าได้ฝึกฝนวิชา อีกทั้งไม่ต้องให้เสด็จพี่เดือดร้อนใจ”

“เหอะ...เดือดร้อนรึ เจ้าพวกรากษสไพรเหล่านั้นหรือจะสำคัญขนาดให้พี่ต้องประหวั่น แล้วเป็นอย่างไร เจ้าเจออะไรบ้างล่ะ”

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เจ้ายักษ์นามว่าสัตตพักตร์มากเท่าใด รวีก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกัดทับอันมากมาย ราวกับว่าหิมาลัยบรรพตกำลังทิ้งตัวลงมาบนร่างของเขา มักกะลีผลหนุ่มหายใจหอบเอาอากาศเข้าไปอย่างลำบาก

“เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะเจอทหารรากษสสักกลุ่มสองกลุ่ม แต่ไม่รู้พวกมันไปอยู่ที่ไหนเสียหมด เจอะก็แต่เจ้ายักษ์โขมดไพรไร้สังกัดตัวหนึ่งเท่านั้น ขวางหูขวางตาหม่อมฉันจึงฆ่ามันทิ้งเสีย”

“ไปฆ่ามันทำไม ไม่เก็บมันกลับมาเลี้ยงดูเล่นล่ะ”

“มันคิดทำร้ายหม่อมฉัน”

“อย่างนั้นรึ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ” สัตตพักตร์แค่นหัวร่อ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ หางตาปรายมองร่างผอมๆ บนบ่าของจตุรเศียร “แล้วนั่นเจ้าหอบอะไรมาด้วยล่ะ”

“มักกะลีผลพระเจ้าค่ะ”

“มักกะลีผลรึ” ใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่สนใจ ทว่าจมูกโด่งงามนั้นกลับทำราวกับดมกลิ่นในอากาศ “กลิ่นมักกะลีผลไม่จางไปหน่อยหรือ”

“เป็นเช่นนั้นพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ใคร่แน่ใจนัก จึงพากลับมาดู หากเป็นมักกะลีผลจะได้ร่วมภิรมย์สักครา แต่หากเป็นสิ่งอื่นก็คงจะฆ่าทิ้งเสีย”

“มักกะลีผลยิ่งวันยิ่งหอมชวนหลง ยิ่งงอมยิ่งส่งกลิ่นโชยชายไปไกล เจ้าไปไกลถึงป่ามักกะลีผลเชียวหรือ ถ้ากลิ่นจางถึงเพียงนี้ก็คงเพราะเจ้าเพิ่งเด็ดมากระมัง แต่มักกะลีผลสุกงอมพร้อมเด็ดนั้นหอมฟุ้งนักมิใช่รึ แต่เจ้านี่กลับเพียงส่งกลิ่นจางๆ”

“มิได้ เสด็จพี่ หม่อมฉันชิงมาจากคนผู้หนึ่ง” เอ่ยเช่นนั้นแล้วจตุรเศียรก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมา ด้วยนึกสะกิดใจบางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นั้น แต่แล้วก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป ฝ่ายสัตตพักตร์จอมยักษากลับไม่สนใจสักนิดว่าอนุชาของตนได้ไปช่วงชิงมักกะลีผลมาจากใคร เพราะในความทรนงแห่งชาติภุมภัณฑ์นั้น จอมยักษ์ตนนี้เห็นว่าสิ่งใดๆ ในประเทศเขตป่าแห่งนี้ล้วนเป็นของนครโลหะทั้งสิ้น ทั้งตนเองและอนุชาจะช่วงชิงหรือได้มาโดยเปล่าดายก็ไม่เป็นเรื่องผิดอะไร

“เอ...” สัตตพักตร์ยักษาเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคมหรี่มอง “นี่...มิแปลกหน่อยหรือ”

“แปลกอันใดหรือเสด็จพี่”

“ก็มักกะลีผลผู้นี้...เป็นบุรุษมิใช่รึ”

รวีพิรุณสีหน้าซีดเผือด เบี่ยงหน้าไปมองดูบุรุษผู้มีพลังอำนาจกดดันยิ่งใหญ่ผู้นี้ เมื่อดวงตาสบเข้ากับสายตาคมกริบนั้น และเห็นใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ รวีก็ต้องเบิกตากว้าง

สิ่งที่เห็นตรงหน้าคล้ายกับภาพทับซ้อน เพราะบัดเดี๋ยวก็เห็นว่าคนผู้นี้มีใบหน้าอันหล่อเหลาราวปั้นแต่งเพียงใบหน้าเดียว แต่เพียงเสี้ยวหายใจต่อมาก็เห็นว่าใบหน้าของคนผู้นี้ปรากฏเพิ่มขึ้นมาอีกหลายหน้า แต่ละหน้าล้วนแสดงอารมณ์ต่างๆ กันออกไป หน้าหนึ่งขึ้งโกรธ หน้าหนึ่งพึงผยอง หน้าหนึ่งลำพองตน หน้าหนึ่งอวดโอ่ หน้าหนึ่งยิ้มเยาะ หน้าหนึ่งหัวเราะร่า หน้าเหล่านี้ล้วนน่าหวาดกลัว ด้วยมีเขี้ยวขาวโง้ง ผิวขาวเผือดราวไร้เลือด ดวงตาแดงก่ำอย่างลูกไฟ ทว่าเมื่อรวีหลับตาลงแล้วลืมขึ้นมองอีกครั้ง ใบหน้าเหล่านั้นก็หายไป สิ่งที่จ้องกลับมาสบกับดวงตาของเขามีเพียงสองตาคมเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาอวดเบ่งศักดานี้เท่านั้น

“มิใช่งามเช่นสตรี ทว่าก็ชวนมอง แม้มิได้งามหยาดฟ้ามาดินพอให้พี่ต้องสนใจ ทว่าก็พอกล้อมแกล้มได้บ้าง” สัตตพักตร์ทำราวกับไม่สนใจ มองเหยียดก่อนจะหันหลังเดินห่างออกไป “แต่พี่ว่าสนมนางในมีถมไป เจ้าอย่าได้สนใจมันเลย ปล่อยให้มันเหี่ยวเฉาเน่าเปื่อยไปตามเวลาเถิด มิเช่นนั้นก็ให้พวกทหารเอาไปเล่นแก้ขัดดีกว่า”

จตุรเศียรมิได้ตอบคำ สัตตพักตร์จอมยักษาจึงเอ่ยต่อ

“ช่วงนี้พี่จะต้องประกอบพิธีบูชาองค์ศิวะเป็นเจ้า เจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลนครแทนพี่ด้วย หากพวกอันธพาลจากนครกลางหาว หรือพวกรากษสชาวไพรมาก่อเรื่องในเขตแดนของเรา ก็ให้เจ้าจัดการตามสมควรเถิด”

“พระเจ้าค่ะ เสด็จพี่”

คล้อยหลังสัตตพักตร์จอมยักษาผู้เป็นจ้าวนครโลหะไปแล้ว แรงกดดันจากขุมพลังบางอย่างก็ราวกับถูกยกออกไป รวีพิรุณหายใจคล่องขึ้น แต่แม้ไม่กดดันเท่าตอนคนผู้นั้นยังอยู่ แต่ในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เหมาะกับรวีอย่างยิ่ง

ไม่มีสวนสวยเช่นบ้านท่านพี่

ไม่มีผลไม้อร่อยๆ อย่างในป่าดีน้ำอุดมบนเกาะวิมานของท่านพี่ ไม่มีกระต่ายน้อยวิ่งเล่นในกลุ่มหญ้า ไม่มีฟ้าสวยให้มองเห็น มีแต่สิ่งปลูกสร้างใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่ละสิ่งแต่ละอย่างล้วนมีสีหม่นทึม ราวกับว่าทุกอย่างกำลังบีบเข้ามาจากรอบด้าน มักกะลีผลหนุ่มไม่ชอบเลยจริงๆ

เขาอยากพบท่านพี่ แต่เมื่อใจกระหวัดถึงอีกฝ่าย ก็เห็นภาพที่ท่านพี่ถูกเจ้ายักษ์เกเรคนนี้ใช้อาวุธตอกตรึงกับต้นไม้ใหญ่ แม้ใจจะเชื่อมั่นว่าท่านพี่จะต้องปลอดภัย แต่ไหนเลยจะห้ามหัวใจตนเองได้ ไหนเลยจะห้ามมิให้รู้สึกกังวลได้เล่า

เขายังจำได้เมื่อคราวท่านพี่สหเดชะสอนให้เขาเหาะไปด้วยฤทธิ์พระขรรค์ เขาเผลอเหาะเร็วจนเกินไป และท่านพี่ก็ร้องเรียกชื่อเขาเสียงดัง รวีพิรุณยังแว่วกระแสตระหนกในน้ำเสียงของท่านพี่ได้ดี

‘อย่าจากพี่ไป อยู่กับพี่’

ท่านพี่เอ่ยเช่นนั้น ท่านพี่อยากอยู่กับรวี ท่านพี่กลัวรวีจากไกล

รวีพิรุณเองก็...อยากอยู่กับท่านพี่

เจ้ามักกะลีผลรู้สึกเสียวแปลบในอก นี่เป็นความรู้สึกใดกัน เหตุใดจึงเกิดขึ้นเมื่อยามประหวัดถึงท่านพี่เล่า?

“นี่...เจ้ามักกะลีผล เจ้าตายแล้วหรือ”

เสียงหนักๆ เอ่ยขึ้น รวีพิรุณหลุดจากอารมณ์ปวดหน่วงในอก เขาเม้มปากแน่น นึกอยากจะสลัดให้หลุดจากยักษ์ตนนี้ ทว่าก็รู้ว่าสู้แรงไม่ได้แน่ๆ

“หึ เมื่อแรกเจ้าพยศอย่างม้าป่า ทว่าบัดนี้กลับเงียบราวกับหนูเชียวนะ”

รวีราวกับจะเห็นสีอย่างอาทิตย์ยามเย็นพุ่งขึ้นมาที่หัว ส่งเสียงดังออกไป “เราไม่ใช่หนู! เราเป็นรวี!”

“อ้อ...” จุตรเศียรส่งเสียงพอใจ “ชื่อว่ารวีหรอกหรือ”

“เจ้าปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!”

“เรานึกว่าเจ้าจะตายเสียด้วยอำนาจของเสด็จพี่สัตตพักตร์เสียแล้ว ตบะเดชะท่านมีมากเหลือ ใครอ่อนแอเมื่อเข้ามาใกล้ท่านย่อมถูกอำนาจนั้นกดข่ม...บางคนถึงตายก็มี”

“ระ...เราไม่ตาย”

“อ้อ ทำไมล่ะ”

“ก็เราเก่ง!”

รวีรู้สึกว่าร่างนี้สั่นกึกๆ ทีเดียว “เจ้าเก่งอย่างนั้นรึ? ดี...ดีแล้วละ”

“เจ้า...เจ้าหัวเราะรึ?”

น้ำเสียงจอมยักษ์คล้ายนึกสนุก “เจ้ามักกะลีผลเอ๋ย...เจ้านี่น่าสนใจกว่าที่เราคิดไว้เสียอีกนะ”

จตุรเศียรประหวัดไปถึงเมื่อยามออกเดินท่อมๆ อยู่กลางไพรใหญ่กว้าง ยามเท้าย่างเหยียบลงไปในช่องว่างระหว่างไม้ขึ้นหนา จมูกของเขาก็กระสากลิ่นบางอย่าง

คราแรกเป็นกลิ่นสาบสางเหม็นคาวเลือดของยักษ์ไพร เมื่อสูดดมอีกคราก็แน่ใจว่าเป็นยักษ์โขมดที่คอยแอบลอบกินสิ่งมีชีวิตที่หลงมาเดินในป่านี้ แล้วพลันนั้นเอง...อนุชาจอมยักษ์ก็รู้สึกถึงอีกกลิ่นหนึ่ง คราวนี้เป็นกลิ่นแปลกออกไป กลิ่นนี้เรียกให้เท้าทั้งสองเปลี่ยนทิศทางแล้วเดินเข้าไปหา

หอม...

หอมเหลือเกิน...

หอมราวกับลูกไม้สุกงอม เรียกให้คนได้กลิ่นเอื้อมมือขึ้นไปปลิดจากขั้ว

เพียงเท่านั้นจตุรเศียรก็รู้แล้วว่าใกล้ๆ นี้มีอะไร หากทายไม่ผิดคงเป็นมักกะลีแน่ๆ

เมื่อเขากำจัดเจ้าแมลงน่าสมเพชเช่นยักษ์โขมดนั้นแล้ว เขาก็เห็นที่มาของกลิ่นหอมนี้ เป็นคนร่างผอมๆ ตัวเล็ก จะว่าเป็นหญิงหรือชายก็บอกได้ยาก เขาจึงคิดว่าเจ้านี่เป็นหญิงแน่ ก็มักกะลีผลไม่ใช่ว่ามีแต่หญิงหรอกหรือ?

เสด็จพี่สัตตพักตร์นั้นเคยคุยโอ่ว่าได้ลิ้มลองมักกะลีผลมาแล้วมากหลาย ทว่าเขาก็ไม่เคยเห็นแก่ตาตนเองสักที มาบัดนี้เมื่อเจอเข้ากับมักกะลีผลที่พระเชษฐาเคยคุยโวไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นหนุ่มก็นึกอยากจะลองสักครา จึงคิดลักพามา ทว่าเมื่อได้สัมผัสร่างกายจริงๆ และจับร่างเจ้าไว้กับตัวเช่นนี้นานเข้า ก็แน่ใจว่ามักกะลีผลผู้นี้เป็นชาย ซ้ำร้ายเมื่อพิจารณาให้ดี กลับพบว่า...

“ไฉนเจ้ามีกลิ่นวิทยาธร?”

จตุรเศียรเอ่ยขึ้นเมื่อปล่อยให้เจ้ามักกะลีผลลงยืนกับพื้น ฝ่ายนั้นกระโจนออกห่างจากเขาราวรังเกียจเหลือทน ก้าวเท้าตุปัดตุเป๋ไปซุกอยู่มุมหนึ่งของห้อง

พอยืนได้มั่นคงก็ตั้งท่าราวกับว่าหากเขาเข้าไปใกล้เพียงนิดเดียวก็พร้อมจะกระโจนเข้าขย้ำให้เนื้อขาด จตุรเศียรนึกขำท่าทางขึงขังนั้น ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตาของเจ้ามักกะลีผล เขาก็ชะงักไป

เหตุใดมักกะลีผลตัวเล็กๆ เช่นนี้จึงมีแววตาเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จตุรเศียรอยากจะเอ่ยว่ามีประกายตาโชนแสงแห่งความกล้าด้วยซ้ำ กระนั้นก็ไม่อยากจะเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้ มักกะลีผลเมื่อสุกงอมแล้วนับจากนั้นเจ็ดทิวาราตรีก็เหี่ยวเฉาและตายไป จะไปมีชีวิตมากกว่าเป็นเพียง ‘ลูกไม้’ ได้อย่างไร

“เราได้กลิ่นวิทยาธรจางๆ จากร่างเจ้า ตกลงเจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่” เขาเอ่ยขึ้นอีกด้วยหลากใจ

ฝ่ายนั้นปิดปากเงียบ ไม่ยอมเอ่ยคำกับเขาจนนิดเดียว ทีเมื่อครู่ยังต่อปากต่อคำเสียดิบดี “เจ้าไม่เก่งแล้วหรือ?”

“เราเก่งสิ เราเก่งอยู่แล้ว แต่เราไม่พูดกับเจ้า!”

แล้วที่ทำอยู่นี่เรียกว่าอันใดกัน จอมยักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็เผลอปล่อยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา “เจ้าเป็นเพียงมักกะลีผล เราจับเจ้ากินได้หมดในคราเดียว”

“เจ้า...เจ้าจะกินเราหรือ”

สายตาเด็ดเดี่ยวเริ่มวูบไหว ทว่าในอึดใจต่อมาก็กลับมาโชติช่วงอีก

“เราไม่กลัวเจ้าหรอก! ท่านพี่จะต้องมาช่วยเรา!”

รวีพิรุณเอ่ยออกมาเสียงดัง ราวกับจะตะโกนก้องให้ได้ยินไปทั่ว ราวกับจะฝากความคะนึงหาไปกับสายลมให้ไปถึงท่านพี่

“โฮ่” จตุรเศียรแค่นเสียง “เราชอบความเด็ดเดี่ยวของเจ้านัก หวังว่า ‘ท่านพี่’ ของเจ้าจะมาช่วยเจ้าได้ทันนะ”

จตุรเศียรใช้สายตาคมกริบมองจ้องใบหน้านั้น พบว่ายิ่งมองยิ่งพึงใจ ยิ่งประกอบกับสายตาห้าวหาญเด็ดเดี่ยวนี้แล้วยิ่งกระตุ้นให้จอมยักษ์รู้สึกสนุก...เจ้ามุสิกน้อยเอ๋ย เจ้าตกมาอยู่ในโลหะนครแห่งนี้แล้ว อย่าคิดแม้จะหนีออกไป เข้ามาว่ายากแล้ว ออกไปยิ่งยากกว่า ‘ท่านพี่’ อะไรของเจ้านั้นไม่มีหวังแม้แต่จะเข้ามาใกล้ประตูเมืองหรอก

เราจะให้เจ้าทำใจเสียก่อนหนึ่งราตรี ก่อนเราจะจัดการเจ้า

เจ้าจงวิ่งพล่านอยู่ในห้องนี้ หาทางออกให้หมดแรง แล้วเหนื่อยซบสลบไป

เพราะตอนนี้เจ้าเป็นเพียงมุสิกตัวน้อยๆ ไร้ซึ่งกำลังจะมาสู้รบกับเรา

อนุชาจอมยักษ์แค่นหัวร่อ แล้วผันกายจากไป บานประตูโลหะบานใหญ่หนาหนักเลื่อนเข้ามาปิดเสียงดัง เสียงนั้นสะท้อนเข้าไปในอกของเจ้ามักกะลีผล


เจ้าหนุ่มสะทกสะท้าน ราวกับเสียงนั้นได้ลั่นดาลกุมขังเขาไว้ในที่แห่งนี้

แม้จะฮึกเหิมเท่าใด แต่พอถูกปล่อยให้อยู่เดียวดาย ความกล้าหาญใดๆ ก็เริ่มหดหาย ห้องแห่งนี้เย็นเยียบยิ่งนัก พื้นที่เหยียบอยู่เล่าก็เย็นราวกับจะทำให้เท้าแข็งเสียให้ได้

รวีพิรุณทรุดกายลง สองแขนกอดรัดตนเองไว้

ท่าที ‘สู้คน’ เช่นที่แสดงต่อหน้าเจ้ายักษ์เกเรนั้นมลายหายไปแล้ว เหลือเพียงมักกะลีผลผู้เดียวดายในโลกกว้าง...ไม่สิ...ในห้องขังใหญ่โตทว่ามืดทึมแห่งนี้

มักกะลีผลผู้ลืมตามาเห็นต้นหญ้าเขียวขจีส่งประกายพราวด้วยน้ำค้างยามเช้า เห็นสายฝนโปรยปรายลงมาจากฟ้า เห็นกิ่งก้านต้นแม่ส่ายไหวยามลมค่ำคืนรำเพย มองเห็นแสงพระจันทร์เจ้าอาบชโลมทุกสิ่ง มองเห็นเจ้ากระต่ายป่าหูตั้งหางจุกวิ่งซุกซนอยู่ในพุ่มไม้ตรงนั้น แล้ววิ่งพล่านไปที่พุ่มไม้ตรงโน้น

มักกะลีผลผู้ได้ลิ้มลองรสชาติน้ำผึ้งป่าหอมหวาน ได้วิ่งเล่นไปในทุ่งหญ้าและสวนดอกไม้ ได้สัมผัสผิวดินอุดมด้วยหญ้าเขียวนั้นด้วยเท้าของตนเอง ได้สัมผัสชีวิต...ความสว่างไสวแห่งโลก และการได้มีชีวิตอยู่

ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของใครบางคน

ได้รับรู้ถึงสัมผัสร้อนผ่าวจากมือใหญ่แข็งแรงของคนผู้นั้น

รวีพิรุณชันเข่าขึ้นมา แล้วซบหน้าลงไป สองแขนกอดขาเข้ามาชิด ซุกซบใบหน้าเพื่อให้อกที่วูบโหวงหนาวเหน็บนั้นได้อุ่นขึ้นบ้าง
รวีจำได้

ในโมงยามที่ความมืดมิดคล้ายจะดูดดึงให้เขาตกลงไป ตกลงไปในสถานที่ที่มืดมนและลึกสุดหยั่ง ในโมงยามนั้นเขาไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่รู้ว่า...ท่านพี่ทำอะไรบางอย่าง แสงสว่างอบอุ่นนั้นจึงฉุดดึงให้เขากลับมาที่ร่างนี้

...และท่านพี่ก็ทำอะไรบางอย่างเช่นกัน จึงต้องสูญเสียวิมานของท่านไป

หัวอกหัวใจของรวีพิรุณยิ่งปวดแปลบเมื่อนึกไปถึงใบหน้าเด็ดเดี่ยวของท่านพี่ มองเห็นแววตามีประกายวูบไหวเมื่อยามพาเขาเหาะพุ่งลัดเลาะก้อนหินใหญ่น้อยที่กำลังร่วงกราวลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง มองเห็นสันกรามอันเครียดเกร็ง ในประกายวูบไหวของดวงตาท่านพี่นั้น รวีรู้...ว่าท่านพี่เสียใจ

แต่ก็เพียงเท่านั้น ยามมองหน้าหรือสบตากับเขา ท่านพี่มีรอยยิ้มละไมในดวงตา มีรอยยิ้มอบอุ่นบนริมฝีปาก รอยยิ้มที่ส่งผ่านมาที่ดวงตาของเขา ส่งผ่านมาที่ริมฝีปากของเขา และทำให้เขายิ้มออกมาด้วยเช่นกัน

ท่านพี่ไม่เอาเรื่องวิมานมาว่ากล่าวเขา ไม่เอาเรื่องใดๆ มาเอ่ยถึงอีก นอกจากจับมือของเขา แล้วก้าวเดินไปด้วยกัน ท่านพี่และเขาเดินทางกลางเถื่อน

ในยามที่มือสัมผัสกัน เกาะเกี่ยวกันไว้นั้น รวีพิรุณมั่นใจว่าจะไปได้ถึงไหนๆ ทีเดียว

และแม้จะแพ้ให้แก่เจ้ายักษ์เกเรนี่ แต่ท่านพี่จะไม่พ่าย

ท่านพี่จะเข้มแข็ง

ท่านพี่จะไม่ท้อถอย

ท่านพี่ไม่ยอมแพ้

ท่านพี่จะไม่จากไปไหน เหมือนที่ท่านพี่เคยบอกว่า...รวี อย่าจากพี่ไป

มือขาวๆ ของรวีพิรุณบีบไหล่ตนเองแรงขึ้น

ท่านพี่จะต้องมาช่วยรวี

...และทำโทษเจ้ายักษ์เกเรผู้นี้!


รวีพิรุณสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความเงียบและหนาวเย็น

เขางุนงงไปชั่วขณะ มองเขม้นไปทั่วพื้นที่แปลกๆ นั้นด้วยดวงตาพร่ามัว ก่อนจะเริ่มเห็นทัศนียภาพรอบๆ ชัดเจนขึ้น เริ่มจำได้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เขาหลับไปหรอกหรือ

หลับไปทั้งอย่างนั้นหรือ

รวีไม่รู้แน่ชัดว่าพระสูรยาทิตย์ได้ทรงรถออกส่องพื้นโลกหรือยัง เพราะในที่แห่งนี้ราวกับว่าแสงสว่างจะส่องเข้ามาไม่ได้ เขารู้สึกเมื่อยขบอย่างยิ่ง ปวดยอกตามร่างกายไปหมด เขาเหยียดแขนเหยียดขาออกไป ก่อนจะชะงักด้วยนึกสงสัยว่าตนเองตื่นเพราะอะไร

“โอ๊ย...”

รวีสะดุ้งโหยง สะบัดมือโดยแรงเพราะรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกของแหลมทิ่มแทง เมื่อยกมือขึ้นมาดูก็เห็น...ของเหลวสีแดงไหลซิบจากหลังมือ

ท่านพี่ก็เคยมีเจ้าของเหลวนี้ไหลชโลมกายมิใช่หรือ

รวีพิรุณหันซ้ายแลขวา แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน และเขาก็เห็น...

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

เจ้านกน้อย!


+++

เจอกันตอนหน้านะค้า มาลุ้นให้น้องหนีออกไปให้ได้นะคะ เอ...หรือให้พี่สหะมาช่วยดี?




ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
รวีต้องปลอดภัยยย  :katai1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
น้องรวีมาแล้ววว
รวีคนเก่ง อดทนนะลู้กก รวีต้องได้กลับไปท่านพี่

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
 :hao5: มาแล้วนะคะ ต้องขอโทษที่ใช้เวลานานกว่าจะมา

+++


ตอนที่ 14


นกน้อยร้องจิ๊บๆ อยู่ตรงนั้น กำลังตีปีกพั่บๆ ราวกับขัดใจอย่างยิ่ง

เจ้าสัตว์ปีกตัวจ้อยตีปีกเร็วขึ้น พร้อมกับส่งเสียงร้องดังสับสน คล้ายพยายามบอกอะไรบางอย่าง

ทว่ารวีก็ไม่เข้าใจสักที ด้วยมัวแต่ดีใจปนประหลาดใจ ก็ไม่ใช่เจ้านกน้อยตัวนี้หรือที่คอยปลุกเขาในทุกๆ เช้าเมื่อตอนอยู่ที่วิมานของท่านพี่ มันมักจะมาโผล่ให้เขาเห็นบ่อยๆ หรือว่า...เจ้านกน้อยจะชอบรวีมากจริงๆ! ชอบจนต้องตามมาหากัน

“เจ้านกน้อย! เจ้าตามเรามาหรือ” รวีหน้าบาน ยิ้มแฉ่งอวดฟันสวย

จิ๊บ! เสียงร้องเจ้านกน้อยสูงปรี๊ด ราวกับจะบอกอารมณ์ของเจ้าตัว รวีหุบยิ้มฉับ มองเจ้านกอย่างฉงน “เจ้าไม่ได้ตามมาหรือ แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่บ้านเจ้าหรือ”

คล้ายกับเจ้านกน้อยจะหมดความอดทน จึงกระพือปีกแล้วพุ่งเข้ามาหารวีโดยพลันและจิกเข้าไปที่กลางหน้าผากอย่างแรง

“โอ๊ย!” รวีลูบหน้าผากป้อยๆ น้ำตาเล็ดหน่วยตา

“...เจ้าคนโง่เง่า!”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว รวีหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบที่มาของเสียง จึงได้แต่อ้าปากหวอ อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ข้ากำลังพูดกับเจ้า!” เสียงดังมาอีก คราวนี้ชัดกว่าเดิม รวีพิรุณหันขวับไปมองเจ้านกน้อยที่กำลังกระพือปีกอยู่ทันที

“จะ...เจ้าพูดได้!”

“พูดได้สิ” วิหคตัวจ้อยกระพือปีกทรงตัวกลางอากาศ หากมองชัดๆ ราวกับจะเห็นว่ามันยืดอกออกมาด้วยความภาคภูมิ “ก็ข้าเป็นนกวิเศษ”

“นะ...นกวิเศษหรือ!”

“อือ วิเศษมากทีเดียวละ”

“ทำไมนกจึงพูดได้ล่ะ”

“ก็บอกว่าเป็นนกวิเศษไง”

“แล้วกวางน้อย กระต่ายน้อยขนนุ่มฟูล่ะ พูดได้ไหม”

“ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ไม่ใช่นกวิเศษเหมือนข้านี่”

“แล้ว...”

“พอที! เลิกถามได้แล้ว ถ้ารู้ว่าพูดกับเจ้าแล้วเจ้าจะถามมากขนาดนี้ ข้าเงียบไว้เช่นเดิมจะดีกว่า”

รวีพิรุณไม่นำพาต่ออารมณ์เคืองขุ่นของเจ้าวิหคแม้แต่น้อย ยังคงพูดต่อไป “นกน้อยเก่งจัง บินได้แล้วยังพูดได้อีก รวีอยากเก่งแบบนี้บ้าง รวีพูดได้ แต่บินไม่ได้ ท่านพี่สอนแล้วแต่ก็ยังบินไม่ได้”

“เป็นนกวิเศษก็ต้องเก่งอยู่แล้ว เจ้านี่ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ”

“แล้วรวีจะเป็นรวีวิเศษแบบเจ้าได้ไหม” มักกะลีผลหนุ่มเอ่ยถามเสียงสดใส ดวงตาเป็นประกาย

วิหคผู้เอ่ยอ้างว่าตนเป็นนกวิเศษได้แต่ถอนหายใจเยี่ยงอย่างกิริยามนุษย์ มันเห็นใบหน้าขาวทว่ามอมแมมเล็กน้อยนั้นราวกับจะส่องประกายความอยากรู้อยากเห็นออกมา ดวงตาของเจ้าหนุ่มนี้เล่าก็ใหญ่ราวกับไข่วิหคฟ้าซ้ำยังมีประกายระยิบระยับอีกด้วย คล้ายกับมองเห็นมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเคยเจอ

“เจ้าอย่าเพิ่งอยากเป็นสิ่งวิเศษอะไรตอนนี้เลย ตอนนี้เจ้าอยู่ในโลหะนคร พวกกุมภัณฑ์ด้านนอกนั่นก็ร้ายเหลือ พวกมันจะเข้ามาจับเจ้ากินเสียเมื่อไหร่ก็ได้ มิสู้หาทางหนีเอาตัวรอดก่อนหรือ”

“อา...แต่ท่านพี่จะต้องมาช่วยเราซี”

“โอย...” นกน้อยทำเสียงระอา “ตอนนี้เจ้าตัวคนเดียวเปลี่ยวดาย ยังจะรอใครมาช่วยอีกเล่า คนจะมาช่วยเจ้าอยู่ที่ใด ที่นี่เป็นเมืองยักษ์ เจ้าคิดว่าใครจะมาหาเจ้าก่อน คนที่มาช่วย หรือคนที่จะจับเจ้ากิน”

รวีอ้าปากหวออีกรอบ พอคิดตามคำของเจ้าวิหคผู้รู้ภาษาจำนรรจาก็เริ่มตระหนักดังคำของมัน “เจ้ายักษ์เกเรจะกินเรา”

“ก็ถูกน่ะซี”

รวีพิรุณจนแก่คำพูด ได้แต่ปิดปากสนิท พอคิดหนักเข้าก็ก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

แล้วอยู่ๆ เจ้านกน้อยก็เริ่มร้องเพลง จากเสียงจิ๊บ จิ๊บ กลายเป็นทำนองสูงต่ำ ประกอบกันขึ้นเป็นบทเพลงไพเราะยิ่งนัก ฉับพลันนั้นเอง...ห้องที่มืดทึมก็คล้ายจะสว่างเรืองรองขึ้นมา

รวีมองเห็นสภาพห้องที่ไร้เครื่องเรือนอย่างชัดเจนกว่าเก่า พื้นเย็นเฉียบเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนรวีไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว รวีมองเจ้านกน้อยอย่างเลื่อมใสเพราะในความคิดของเจ้าหนุ่มนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ถูกเสกสร้างจากเสียงร้องของสกุณาตนนี้นั่นเอง

สมกับเป็นนกวิเศษจริงๆ!

เจ้านกน้อยนี้เขาเคยเจอมันที่วิมานท่านพี่ มันคงจะตามพวกเขามาล่ะซี หรือไม่อย่างนั้น... ความคิดบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในหัว รวีพิรุณเบิกตากว้างขึ้น

“ท่านพี่ให้เจ้ามาอยู่กับเราหรือ”

“อะไรล่ะนั่น”

“ท่านพี่ให้เจ้ามาอยู่กับเราระหว่างที่ท่านพี่กำลังมาช่วย”

“เจ้าคิดเพ้อฝันอันใด...”

ขณะที่วิหคน้อยจะพูดต่อไปอีก เสียงประตูเหล็กบานใหญ่ก็ดังกึง คล้ายกับมีอะไรเลื่อนเปิดออก รวีหันไปมองที่ประตูนั้นพลางขยับกายลุกขึ้นไปหลบอยู่มุมห้อง เขาเหลียวหาเจ้านกน้อยเพื่อจะให้มาหลบด้วยกัน ทว่ากลับมองไม่เห็นเจ้าสกุณาตัวนั้นเสียแล้ว อีกทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นภายในห้องก็เริ่มจางหายไป จนกระทั่งกลับสู่ความสลัวและเย็นเยียบเช่นเดิม แล้วประตูบานนั้นก็เลื่อนเปิดออก

บุรุษร่างกำยำยืนอยู่ตรงช่องประตู มองเข้ามาเห็นร่างผอมบางเบียดตัวเข้ากับมุมห้องอันมืดทึม เห็นดังนั้นก็ให้นึกกระหยิ่มในใจ จนต้องเอ่ยสัพยอกออกมา

“เจ้าทำอะไรอยู่ล่ะนั่น”

“เจ้ายักษ์เกเร!”

“เอ่ยคำรื่นหูแต่เช้าเชียวรึ ไม่เคยมีใครว่าเราเป็นยักษ์เกเรแล้วรอดชีวิตหรอกนะ”

“เราไม่กลัวเจ้าหรอก”

“ปากกล้าเหลือเกินนะเจ้า”

จอมกุมภัณฑ์ย่างสามขุมเข้ามาหารวีพิรุณซึ่งพยายามกระถดหนีออกห่างไปเรื่อยๆ ทว่าก็ทำไม่ได้ด้วยมีผนังห้องอันเย็นเยียบขวางกั้นไว้

เรือนกายใหญ่สูงเข้ามาใกล้ ราวกับจะคร่อมร่างเล็กๆ ของรวีไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ใบหน้าของรวีซีดเผือด ทำใจกล้าเงยหน้าสู้กับคนตรงหน้า อีกฝ่ายแค่นหัวร่อครั้งหนึ่ง

ครั้นแล้วรวีก็รู้สึกถึงแรงกระแทกอันรุนแรง อุ้งมือแข็งแกร่งดุจเหล็กฟาดเข้ากับลำคอเล็กๆ ของเขา ท้ายทอยของรวีกระแทกกับผนังหินเย็นเยียบ มือนั้นกำรวบเอาลำคอของเขาไว้ บีบแน่นเข้าจนเริ่มหายใจไม่ออก รวีดิ้นรนขัดขืน มือขาวปัดป่ายเปะปะ ก่อนจะใช้เล็บขีดข่วนลงบนท่อนแขนตรงหน้า

รวีอ้าปากกว้าง เสียงวี้ดๆ ดังออกมาจากลำคอราวกับเสียงร้องอ้อนวอน

“เจ้าเป็นเพียงแมลงเม่าตัวน้อยๆ เราจะบี้เจ้าให้มอดด้วยมือ หรือขยี้ให้ม้วยด้วยเท้าก็ง่ายดายนัก อย่าทำตัวเหิมเกริมกับเราอีกเด็ดขาด”

“รวี...เกลียด...เจ้า”

รวีจิกเล็บลงกับมือใหญ่นั้น เท้าก็เตะซ้ายป่ายขวาเปะปะมั่วซั่วไปหมด ทว่ายิ่งทีก็ยิ่งหมดแรง คล้ายกับว่าชีวิตน้อยๆ นี้กำลังค่อยๆ เหือดหายไปจากร่างของเขา

“แต่เราไม่เกลียดเจ้า เราออกจะ...ชอบเจ้า”

มันหัวร่อฮาๆ คล้ายสมใจนักหนาที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของตน

รวีพิรุณทรมานอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าสมองพร่าเบลอ อุปาทานไปว่ายินเสียงอื้ออึงอยู่ในหู แสงสว่างวาบขึ้นในหัวแล้วก็ขาวโพลน คล้ายกับว่าร่างกำลังจะล่องลอยออกไปไกลๆ แต่แล้วทันใดนั้นเอง ก็เกิดความเจ็บแปลบแทรกขึ้นมา เป็นความรู้สึกเช่นตอนถูกเจ้านกน้อยจิกหน้าผาก พลันเจ้ามักกะลีผลก็รู้สึกถึงความอุ่นซ่านบางอย่าง พร้อมกับพละกำลังลึกลับแล่นขึ้นมา

เรี่ยวแรงที่คล้ายจะเหือดหายกลับมาเติมเต็มอีกครั้ง เท้าที่เตะปะป่ายไปอย่างมั่วซั่วก็แน่วแน่ขึ้นอีก รวีส่งเสียงร้องดังออกมา แล้วเตะป้าบออกไปอีกครั้งโดยแรง การเตะครั้งนี้ฟาดเข้าอย่างจังตรงกลางลำตัวของจตุรเศียร

อนุชาจอมยักษ์ถึงกับนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกแปลกแปร่งเสียววาบตรงกลางลำตัว แม้มิใช่เจ็บปวดเพราะเตะนั้นนับว่าอ่อนแรงมาก ทว่าความรู้สึกวูบหนึ่งก็แล่นปราดขึ้นมา จนต้องคลายมือออกจากลำคอระหงที่กำรวบไว้ แล้วผละออกมาเล็กน้อย

จตุรเศียรคิ้วกระตุก มองเจ้ามักกะลีผลผู้นี้อย่างเคือง เมื่อครู่เขาเพียงลองเชิงดูเท่านั้น ไม่นึกว่าเจ้าเด็กน้อยนี่จะเล่นกันขนาดนี้ ถึงกลับกล้าเตะ ‘ตรงนั้น’ ของเขาเชียวหรือ?!

รวีหล่นลงไปนั่งกองกับพื้น กระอักกระไออย่างแรง ใบหน้าแดงเถือก ดวงตาแดงก่ำกบด้วยน้ำตาเอ่อล้น มือกุมลำคอตนเองไว้

เสียงแหบโหยขาดห้วงเอ่ยเบาๆ “รวี...ตีเจ้าบ้าง”

ตีเจ้าบ้าง!?

คำพูดประโยคนั้นคล้ายก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของจตุรเศียร นี่เจ้ามักกะลีผลผู้นี้นึกว่าได้เอาคืนเขาบ้างแล้วหรือ? ด้วยการเตะตรงจุดนั้นของเขาน่ะหรือ?

จตุรเศียรนิ่งงัน ก่อนจะเริ่ม...ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“เจ้า...เจ้านี่ช่าง” อนุชาจอมยักษ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ มองร่างเล็กๆ นั่งกับพื้นนั้นด้วยอารมณ์หลากหลาย

“อย่า...อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาเราจะตีเจ้าอีก”

“...”

“ไม่เห็นหรือ เมื่อกี้...เราเตะเก่งอย่างนั้น”

ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว จตุรเศียรก็อับจนหนทาง ได้แต่แหงนหน้ามองเพดานห้องอันมืดทึมนั้น ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไรกันแน่

อยู่ๆ ริมฝีปากของจตุรเศียรก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เขาก้มหน้าลงมามองร่างเล็กนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ต้นแขนของรวี พร้อมดึงให้ลุกขึ้นมา

“ปะ...ปล่อยเรานะ”

จตุรเศียรไม่สนใจต่อแรงขัดขืน “เจ้าจะเตะจะตีเราอีกก็ได้ แต่ตอนนี้เราหิวแล้ว”

“เรา...เราไม่ไปกับเจ้านะ”

จอมยักษ์ไม่ฟังเสียง ลากรวีพิรุณตามไปแถดๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เราตัดสินใจไม่กินเจ้าแล้ว ไม่ฆ่าเจ้าด้วย...ไม่ต้องกลัว”

+++

หวังว่าเพื่อน ๆ อ่านแล้วจะชอบกันนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ต่อตอนใหม่กันเลยเจ้า

+++


บทที่ 15


“ข้าแต่มานพผู้เจริญ” นกุลเอ่ยเสียงระรื่น “ไฉนจึงจ้องข้าอย่างกับนายพรานจ้องสมันน้อยเช่นนั้นเล่า เนื้อข้าไม่นุ่ม ไม่หวานน่ากินดอกหนา อีกมีดพร้าในมือท่านก็สนิมเกรอะเช่นนั้น เห็นจะฟันข้าไม่ตายในครั้งเดียวแน่ ท่านจะเงื้อจะง่าก็ระวังบ้างเถิด ฉวยฟาดเข้ากับกบาลข้าละก็...ได้เลือดเลยนะท่าน”

นกุลพาทีคำหนึ่ง ชำเลืองมองหน้าสหเดชะคราหนึ่ง น้ำเสียงอันเอื้อนเอ่ยนั้นทั้งหยอกล้อทั้งลองเชิง

สหเดชะทำสีหน้านิ่งเฉย มือกำด้ามพร้าเก่าสนิมเขรอะไว้แน่น สายตาจ้องหน้าของนกุลแน่วแน่ พอจ้องเช่นนั้นนานเข้า เจ้าศิษย์เอกของพระดาบสก็เหงื่อแตกพลั่ก คิดในใจว่าเจ้านี่มันสำคัญนัก ขนาดยังไม่ได้เรียนวิชาจากพระอาจารย์สักเท่าไร ยังน่า ‘เกรงขาม’ เพียงนี้ หากมันเรียนนานไปจะมิฉวยพร้าวิ่งไล่ฟันเราหรือ

นกุลพลันรู้สึกยอกแสยง แผ่นหลังหนาวยะเยือก ค่อยๆ ถดหนีออกห่างสหเดชะ

ผ่านไปเพียงวันเดียว นกุลก็เริ่มสนิทสนมกับสหเดชะแล้ว คำแทนตนว่า ‘เรา’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘ข้า’ ราวกับเป็นมิตรชิดใกล้มาแต่ก่อน
ส่วนคำเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่า ‘มานพผู้เจริญ’ นั้นก็เพียงต้องการยั่วโมโหอีกฝ่ายเท่านั้นดอก โดยการเลียนแบบภาษาพาทีของพระอาจารย์ ใครใช้ให้เจ้าหนุ่มนี่นั่งผ่าฟืนไป ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปกันเล่า นกุลนึกหมั่นไส้นัก จึงเอ่ยเย้าออกมา ไม่นึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะฉวยพร้าไว้ในมือแน่น ยกขึ้นมาคล้ายกับจะสับหน้าผากเขาให้แบะเสียนี่ บรื๋อออ...คนอะไรน่ากลัวอย่างกับยักษ์กับมาร แบบนี้เห็นจะมีก็แต่พระอาจารย์เท่านั้นแหละ

“ผ่าฟืนไปถึงไหนกันแล้วล่ะ มิใช่นกุลมันชวนเหลวไหลหรอกหนา”

นี่ก็ด้วย...มีหูทิพย์หรือไรกัน นกุลลอบทำหน้าเบ้ เหล่ตามองก็เห็นพระอาจารย์มอง ‘ศิษย์ใหม่’ ด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู แหม...ทีมองเขานะ อย่าให้พูดเลย ตาเขียวปั๊ด คำก็ไอ้นกุลไม่นั่น สองคำก็ไอ้นกุลไม่นี่ สามคำก็เจ้าคนสันหลังยาว สี่คำห้าคำก็ไม่ต้องพูดแล้ว พระอาจารย์เอาไม้ตะพดไล่ฟาดเขาอย่างเดียว พอตัวเองวิ่งไล่เขาจนเหนื่อยแล้ว ก็ยืนหอบแฮกๆ ยังบอกเขาว่า ‘บ๊ะ...ไอ้นี่ เอ็งหยุดบัดเดี๋ยวนี้นะ มาให้ข้าตีเสียดีๆ’ นกุลคนเก่งจะอยู่ให้โง่รึ ก็เผ่นเสียซี

“ศิษย์น่ะรึจะพาเหลวไหล พระอาจารย์เคยเห็นศิษย์เกียจคร้านการงานด้วยหรือ”

“บ๊ะ จะไม่เคยเห็นได้ยังไร นี่ถ้าข้าไม่เคี่ยวเข็ญเอ็งให้ร่ำเรียนเขียนอ่านศึกษาพระคัมภีร์ประดามี เอ็งมิกลายเป็นอาหารผีโขมดยักษ์ไพรไปแล้วรึ ไม่ได้มานั่งทำหน้าเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่อย่างนี้หรอก ขี้เกียจตัวเป็นขนเกินใครอื่นเขา อีกหน่อยข้าคงนึกว่าเอ็งเป็นลิงไพรที่ไหนเสียละวา”

นกุลได้ฟังคำของพระเทพฤษีแล้วก็จะโกรธแม้สักน้อยก็หาไม่ เพียงแต่นึกขันอยู่ในใจ พระอาจารย์ละก็...รักนกุลจะตายไป ที่ด่าจิกหัวอยู่ทุกวันนี่ก็เพราะรักเพราะเอ็นดูลูกศิษย์คนนี้ล่ะซี

พระเทพฤษีมฤควัจน์ลอบสำรวจหน่วยก้านเจ้าครึ่งวิทยาธรครึ่งมนุษย์ พยักหน้าอย่างพอใจ เจ้าคนนี้มิใช่หมดหวังเสียทีเดียว ยังสามารถสอนสั่งให้เก่งกล้าขึ้นกว่านี้อักโข ท่านไม่สนเจ้านกุลที่นั่งเรียงท่อนฟืนเป็นกองอย่างนวยนาดราวกับมันกำลังกรองมาลัย เอ่ยกับสหเดชะว่า

“พ่อหนุ่มสหเดชะ ยามพ่ออุบัติขึ้นในแดนวิทยาธรนั้นก็ด้วยผลบุญปั้นแต่งแต่ชาติปางก่อน ส่งให้พ่อมีพละ บุญญะ และวิชามากล้น หากต้องการเพิ่มพูนกำลังแห่งตนก็เพียงนั่งบำเพ็ญตบะสวดพระนามองค์มหาเทพเท่านั้น หากมุ่งมั่นหมั่นเพียรพอก็จะได้เพิ่มพูนในตบะและกำลังกล้าแข็ง ทว่าบัดนี้พ่อมิใช่วิทยาธรเสียแล้ว ไม่ต่างกับมนุษย์ผู้หนึ่ง หนทางเส้นนั้นของพ่อจะยากลำบากนัก เราจึงจะให้พ่อฝึกเช่นเจ้านกุลที่ครั้งหนึ่งเคยฝึกมา”

ท่านหยุดพูด เดินกระย่องกระแย่งไปนั่งลงที่ก้อนหินใหญ่ใกล้ๆ นกุลรีบไปยกกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำเย็นๆ มาให้ท่านทันที ทำท่าประจบสอพลออย่างเหลือร้าย

พระเทพฤษีถอนหายใจอย่างระอา ทว่าก็รับน้ำนั้นไปดื่มแก้คอแห้ง แล้วเอ่ยสืบไป

“คนแต่ละคนย่อมมีร่างกายแตกต่างกันไป ความอดทนแตกต่างกันไป ความถนัดก็ย่อมแตกต่างกัน ดูอย่างนกุลนั่นปะไร เมื่อแรกมาอยู่กับฉันก็ถูกเคี่ยวเข็ญเช้าเย็นให้ฝึกทางฝีมือต่อสู้ แต่หัวมันไม่เอาเลยจริงๆ ฉันก็คร้านจะบังคับจึงให้เรียนไปทางหยูกยาสมุนไพร ปรากฏว่าเรียนได้เร็วเหลือเกิน ซ้ำยังไปคิดทำน้ำเมาเสียอีก แต่ฉันก็ไม่ห้ามนกุลมันหรอกนะ ขอแค่ร่ำเรียนได้ดี จะทำน้ำเมาด้วยก็ว่าไม่ได้”

ท่านวางมือลงบนยอดไม้เท้า สายตาเปี่ยมเมตตามองตรงยังดวงตาของสหเดชะ “เอาละ ฉันรู้ว่าถ้าให้พ่อหนุ่มฝึกทางฝีมือต่อสู้ก็เห็นจะไปได้ดี ด้วยเคยเชี่ยวชาญในทางนี้มาก่อน แต่การต่อยตีกับผู้อื่นในพงไพรใหญ่กว้าง หรือในโลกหล้าอันมหึมาแห่งนี้จะใช้เพียงคาถาอาคม หรือพลังตบะอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ฉันจึงอยากจะให้พ่อฝึกพลังทางกาย ให้กายแกร่งดังเพชร แต่ก็ให้อ่อนโยนดุจเดียวกับดอกไม้ที่ขึ้นตามตลิ่งน้ำไหลเอื่อยๆ เช่นกัน”

พระเทพฤษีบอกว่า พิทยาธรก็ดี ฤษีชีไพรก็ดี หรือรุกขเทวาใดๆ ประดามีในหิมวันต์แห่งนี้ ย่อมมีความผูกพันใกล้ชิดกับต้นไม้ใบหญ้า ย่อมสนิทชิดชอบธรรมชาติสีเขียวที่เติบโตงอกงามในแสงแดด สายลม ต้นหญ้าที่ขึ้นเป็นหมู่นั้นเล่า ยามลมพัดแรงพวกมันก็ลู่เอนไปตามลม ยามฝนชะมาก็เอนไปตามแรงฝน ทว่าจะหลุดไปจากพื้นก็หาไม่ ส่วนต้นไม้นั้นเล่าก็ยืนหยัดสู้แดดลมฝน ยืนต้นแข็งแกร่งราวกับผู้กล้า หากทำตัวเช่นพวกมันได้ก็ย่อมจะดียิ่งแล้ว

ด้วยสหเดชะเป็นผู้ที่เรียนรู้เร็ว จึงคิดตามคำของพระเทพฤษีมฤควัจน์ และค่อยๆ เข้าใจว่าท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ตน

“สหเดชะเอ๋ย พ่อจงเดินไปรอบๆ อาศรมฉัน สังเกตสังกาสิ่งต่างๆ รอบกาย มองดูต้นไม้ใบหญ้า หรือห้วยละหานธารน้ำไหล พิจารณาพวกมันให้ถี่ถ้วน ไตร่ตรองทีแล้วทีอีก ให้พ่อมองหาสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียวที่เกาะเกี่ยวจิตใจพ่อไว้ เมื่อพบแน่แล้ว...เมื่อแน่แก่ใจตนแล้ว ก็จงฝึกทำตนให้เป็นอย่างสิ่งนั้น ให้คุ้นเคยกับสิ่งนั้น ให้เข้าใจสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วน...ให้กระจ่างแก่ใจพ่ออย่างสว่างแจ้งแทงตลอด”

แม้จะเป็นศิษย์ที่เชื่อฟัง แต่สหเดชะก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“แล้วกระผมจะรู้ได้อย่างไรขอรับ ว่าสิ่งที่มองหาคือสิ่งใด สิ่งใดคือสิ่งที่เกี่ยวใจกระผมที่สุด”

ท่านไม่ว่ากล่าวเขาสักนิด เพียงแต่ยิ้มบางๆ “ก็ฉันบอกไปแล้ว ใจพ่อนั่นปะไร ฉันไม่รู้ดอกว่าใจของชายผู้มีนามว่าสหเดชะนั้นเกี่ยวพันกับสิ่งใด แต่ถ้ามองให้ดี มองอย่างถ้วนถี่ไม่มองเลยไป ก็ย่อมจะค้นพบมันเอง”

สหเดชะยังมีความสงสัยเล็กๆ อยู่ในใจ ทว่าเขาก็ก้มลงกราบท่าน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นพระเทพฤษีไปยืนอยู่ที่ชายป่าห่างออกไปไกลๆ เสียแล้ว ท่านกำลังลูบศีรษะของแม่กวางนางหนึ่ง ลูกน้อยของมันคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง แล้วไม่นานจากนั้นท่านก็เดินหายเข้าไปในราวป่า

“พระอาจารย์นี่ละก็ ชอบแวบไปแวบมาจริงเชียว” นกุลบ่นอุบ “สหเดชะ เจ้าไปฝึกตามที่พระอาจารย์บอกเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดการผ่าฟืนตักน้ำเอง เห็นอย่างนี้ก็อย่าดูถูกนกุลเชียวนะ ถ้าไม่ได้ข้าปรนนิบัติพัดวีพระอาจารย์มาในหลายปีนี้ ท่านไม่ได้ไปเดินเล่นที่นั่นที่นี่ในป่าอย่างนี้หรอก”

นกุลยิ้มพึงใจกับตัวเองแล้วก็ฉวยเอาพร้าที่วางกับพื้นไปผ่าฟืนต่อ ปล่อยให้สหเดชะนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง

+++

คืนวันที่ผ่านเลยหลังจากนั้น สหเดชะเที่ยวเดินท่อมๆ ไปในป่ากว้างซึ่งขึ้นอยู่โดยรอบอาศรมของพระเทพฤษีมฤควัจน์

อาจด้วยมนตร์อันลึกลับแห่งพระดาบส หรืออำนาจตบะของท่านก็เป็นได้ ทำให้บริเวณโดยรอบในระยะเดินเท้าได้ครึ่งวันนั้นไม่มีสัตว์ร้ายใดๆ เข้ามาป้วนเปี้ยนแม้แต่น้อย ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในละแวกป่านี้มีลำต้นสูงใหญ่ ใบบังก็ไม่หนาทึบจนเกินไป

ขณะก้าวย่างไปตามพื้นป่าในวันแดดออก อันวางทับถมไว้ด้วยใบไม้ปลิดขั้วจากกิ่ง เขาสังเกตเห็นแสงสีรูปเงาซึ่งเกิดจากแสงแดดอุ่นๆ สาดส่องลอดใบหนาและคาคบลงมาสู่พื้นดิน

ในวันพระพิรุณมาเยือน สายฝนสาดซัดลงจากฟ้าสีทึม ทว่าสหเดชะก็มิได้ย่นระย่อ เขายังคงเที่ยวเดินไปมุมนั้นมุมนี้ของป่า บ้างก้าวเดินมั่นคง บ้างออกวิ่งไปตามทางเดินที่สัตว์ป่าทำไว้ และยามฝนตกเช่นนี้เขาก็จะยืนหลบอยู่ใต้ใบบังอันหนาแน่นของต้นไม้ใหญ่ต้นใดต้นหนึ่ง เม็ดฝนละเอียดปานใดก็ไม่อาจแตะต้องผิวกายเขาได้

สหเดชะเดินอยู่เช่นนั้นวันแล้ววันเล่า ทั้งยามเช้า ยามสาย พอตกบ่ายเจ้ากวางรุ่นเด็กที่กีบเท้าแข็งแรงพอจะเหยาะย่างไปตามหว่างไพร ก็จะเห็นมนุษย์ผู้นี้ค่อยๆ ก้าวไปในระหว่างต้นไม้ใหญ่น้อย บางครั้งมนุษย์ผู้นี้จะหยุดยืนเงียบๆ มองไปทางนั้นทางนี้ บางครั้งก็เดินเข้าไปหาต้นไม้ใหญ่ๆ สักต้น แล้วยื่นมือไปสัมผัสกับเปลือกไม้บนต้น ยืนหลับตาพริ้มราวกับกำลังนึกคิดอะไรบางอย่าง

บางครั้งมนุษย์ประหลาดผู้นี้ก็จะแหงนมองขึ้นไปที่ยอดไม้ ราวกับจะเพ่งมองผ่านหมู่ใบอันหนาทึบนั้นให้เห็นท้องฟ้าสีครามด้านบน

แมวป่าเพศผู้ตัวหนึ่งผ่านมาเห็นระหว่างออกหาอาหาร มันชะงักไปครู่ ก่อนจะแยกเขี้ยวขู่คำราม เมื่อเห็นว่ามนุษย์ผู้นี้คือคนเดียวกับเมื่อเย็นวานที่มันเจอ มันจึงค่อยเผ่นแผล็วหายไปในสุมทุมหนึ่ง

ราวกับว่าสหเดชะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าแห่งนี้ไปแล้ว คล้ายว่าเขากลืนเข้ากับเงาไม้ที่พาดไปกับลำประโดงเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ผ่านชายป่า คล้ายกับว่าเขากลายร่างเป็นหยาดฝนที่หล่นจากปลายใบของต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วร่วงลงมาตกกระทบกับใบไม้อีกใบของพุ่มไม้เล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ใต้ต้น คล้ายกับว่าเขาเป็นเกสรของดอกไม้ เฝ้ามองโลกภายนอกผ่านกลีบดอกที่ค่อยๆ แย้มบานรับแดดอรุณ และในไม่ช้า...ส่ำสัตว์นานาในป่ากว้างโดยรอบอาศรมพระเทพฤษีต่างก็ละความสนใจจากเขา ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ ปล่อยให้เขาเดินผ่านราวกับเป็นเพียงต้นไม้หรือเครือเถาเครือหนึ่งเท่านั้น

...แต่เขาก็ยังหาสิ่งที่เกี่ยวพันกับจิตใจไม่พบ

ในระหว่างการตามหาสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาอยู่นี้ สหเดชะไม่อาจลืมรวีพิรุณแม้สักชั่วตื่น ภาพเจ้าน้องน้อยคล้ายกับจะอยู่ในเงาไม้ คล้ายจะเกาะติดอยู่กับหลืบของเปลือกไม้ต้นนั้นต้นนี้ ครั้นแล้วก็คล้ายกับจะเห็นน้องเจ้าวิ่งเล่นผ่านหางตาไป ยิ่งวันสหเดชะก็ยิ่งเห็นเงาร่างของรวีพิรุณขยายใหญ่ขึ้นในหัวใจ แม้จะหมั่นท่องถ้อยคำของพระเทพฤษีที่ว่า...รวีพิรุณยังไม่มีอันตรายในเร็ววัน แต่ก็ยังอดห่วงจนอกโหยไม่ได้

แต่ก็เพราะหัวใจที่แผดเผาด้วยรักและโหยหา ทำให้เขาไม่อาจคว้ามือไปจับได้เสียที ว่าสิ่งใดคือตัวตนและจิตใจของเขา

หลายวันผันผ่าน นกุลผู้เพื่อนยากสังเกตเห็นแววตาอมทุกข์ของสหเดชะ จะชวนกินน้ำเมาให้สหายคลายเศร้า เพื่อนก็ไม่เอาด้วย หรือจะชวนไปผ่าฟืนพระอาจารย์ก็หันมามองตาเขียวปั๊ดว่าหน้าที่เอ็งมิใช่หรือ นกุลจึงต้องล่าถอยไป หลบไปต้มน้ำเมาอยู่เงียบๆ คนเดียว ปล่อยให้สหเดชะออกเดินท่องไปในป่าตามลำพังต่อไป

ลุเข้าถึงวันที่เจ็ดหลังจากเริ่มเดินท่องป่า ในเพลาสายนั้นสหเดชะกำลังเดินไปบนทางหว่างต้นไม้ เขาก้มลงมองหอยทากตัวหนึ่งกำลังค่อยๆ เคลื่อนไป เขาไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของมันคือที่ใด แต่ก็ช่างคล้ายกับเขาเหลือเกินที่ค่อยๆ คืบคลานไป ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะลุถึงจุดหมาย

แต่การกระทำใดๆ ก็ตามย่อมมีวันเดินทางถึงจุดจุดหนึ่ง

แรกเริ่มเป็นเสียงคล้ายกับหยดน้ำหล่นลงกระทบใบ แล้วพลันสหเดชะก็ได้ยินเสียงคล้ายกระดิ่งใส เขาหันไปมองทางทิศที่ได้ยินเสียงทันที

บนกิ่งของต้นไม้หนึ่งมีวิหคสีแดงเพลิงเกาะอยู่อย่างมั่นคง มันกำลังไซ้ขนอยู่ด้วยความสบายใจ ราวกับว่าไม่สังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมันอย่างประหลาดใจ

วิหคตัวนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สีสันบนร่างกายของมันนั้นผิดแผกไปจากสัตว์ป่าหรือสกุณาการ้องในป่าแห่งนี้อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงยืนนิ่งจ้องมองมันไม่วางตา

มันเชิดคอขึ้นสูงเช่นชาติพญายูง ราวกับหยิ่งผยองว่าตนเป็นเจ้าแห่งวิหคทั้งปวง แล้วทันใดมันก็โก่งคอ อ้าจะงอยปากออกกว้าง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

เสียงนั้นราวกับเครื่องดนตรีสวรรค์อันบรรเลงจากนิ้วของคนธรรพ์ ช่างสดใส ก้องกังวานหาใดเปรียบ เสียงนั้นดังสะท้อนไปในราวป่า แล้วก็แทรกซึมเข้ามาในร่างกายอันสิ้นหวังของสหเดชะ

ทันทีที่ยินเสียงสวรรค์จากวิหคตัวนี้ คล้ายกับมีพลังร้อนแรงบางอย่างแผ่พุ่งขึ้นมาจากปลายเท้า แล้วอาบไปทั่วร่างกายของเขา จุดเปลวเพลิงบางอย่างในร่างให้ลุกโชติช่วงขึ้นมา

แล้วเจ้าวิหคสีเพลิงนั้นก็กางปีกออกบิน

สหเดชะรีบก้าวขาออกตามทันที

+++

วิหคเพลิงตัวนั้นหายวับไปในอากาศเมื่อเขาวิ่งตามมาได้จนตะวันอยู่เหนือหัว สหเดชะหยุดเท้าแล้วหันมองไปรอบๆ เขาไม่พบเจ้านกตัวนั้นอยู่บนกิ่งหรือคอนไม้ใดๆ เลย และสังเกตว่าต้นไม้บริเวณนี้เบาบางลง เขาได้ยินเสียงนกร้อง แต่มิใช่เสียงไพเราะดุจปักษาสวรรค์เช่นนกเพลิงตัวนั้น เป็นเพียงเสียงนกร้องตามธรรมชาติ

เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปเบื้องหน้า ไม่นานนัก สหเดชะก็เห็นว่าด้านหน้าของตนเป็นพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง ไม่นับเป็นที่โล่งกลางป่าที่ใหญ่เท่าไรนัก และก็มิใช่ที่ ‘โล่ง’ เสียทีเดียว

เพราะ ณ กึ่งกลางของที่โล่งนั้น มีต้นไม้ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง

มันเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงชะเงื้อมขึ้นไปกว่าต้นไม้โดยรอบ มันยืนต้นอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นราชาแห่งพงไพร กิ่งก้านแผ่กว้างออกมา มีระย้าด้วยเครือเถาห้อยย้อยลงเรี่ยดิน

เขามองต้นไม้นี้อยู่นาน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเคลื่อนผ่านไปตามกาลเวลา แต่เขาก็จะยังยืนนิ่งมองมันอยู่เช่นนี้

แล้วทันใด...ภาพรวีน้องน้อยที่นั่งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้บนวิมานของเขา นั่งอยู่ไม่ไกลจากร่มไม้ใหญ่ก็กระจ่างแจ้งแก่ใจเขา
อา...ที่แท้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและใกล้ใจเขามาโดยตลอด

เขาเกิดมาก็มีวิมานบนฟ้า บนวิมานของเขามีป่าใหญ่ ชีวิตหลังอุบัติบนโลกชาวฟ้าก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าและธรรมชาติงามตา
แล้วสิ่งที่อยู่ในใจของเขาในระยะนี้มิใช่รวีพิรุณหรอกหรือ

หะแรกเมื่อเขามองเห็นต้นไม้ต้นนี้ เขายืนตะลึงอยู่นาน มิใช่เพราะสาเหตุอื่นใดนอกจากว่าต้นไม้ต้นนี้ช่างคล้ายเหลือเกิน คล้ายกับต้นไม้ ‘ต้นนั้น’ ที่น้องเจ้าถือกำเนิดขึ้น เขายืนตะลึงเพราะเผลอคิดไปว่าตนเองถูกวิหคเพลิงตัวนั้นพาผ่านห้วงอากาศไปสู่ป่าแห่งมักกะลีผลหรือไร

แต่ต้นไม้ต้นนี้จะเป็นต้นนั้นไปได้อย่างไร เขาไม่มีทางข้ามผ่านระยะทางไกลเช่นนั้นได้ด้วยสภาพที่เป็นอยู่นี้ และวิหคเพลิงตัวนั้นก็อาจเป็นเพียงความคิดฟุ้งซ่านของเขาเอง ต้นไม้นี้ยังอยู่ในเขตป่าของพระเทพฤษีมฤควัจน์

บัดนี้เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว ว่าไม้ต้นนี้แหละคือคำตอบ

เพราะต้นไม้ต้นนี้เป็นพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันกับต้นแม่ของรวี และสิ่งที่เกี่ยวใจของเขาก็คือรวีน้องเจ้า

รอยยิ้มบนใบหน้าของสหเดชะยามนี้กว้างยิ่งกว่ายิ้มของรวีตอนเห็นกระต่ายป่าหรือทุ่งดอกไม้แล้วออกวิ่งเล่นเสียอีก แววตาราวกับอาบด้วยสิ้นหวังของเขานั้นพลันกระจ่างใส ทั้งพราวระยิบราวกับมีดาวประกายพรึกกล่นเกลื่อนอยู่ด้านใน

ขณะนี้เขาอยู่เพียงลำพัง และขณะนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น สหเดชะอกใจเต้นรัว ในห้วงมโนสติมองเห็นใบหน้าอันอาบยิ้มของรวีพิรุณ

แล้วเขาก็ออกวิ่ง

+++

พระเทพฤษีมฤควัจน์กำลังนั่งสมาธิ ท่านค่อยๆ ออกจากการเพ่งดวงแก้วมณีในใจของท่าน หูอันชราทว่ายังได้ยินเสียงชัดเจนนั้นแว่วเสียงนกุลกำลังผ่าฟืนอยู่เลยอาศรมออกไป

เบื้องหน้าของท่านพลันปรากฏดวงแก้วดวงหนึ่ง เป็นดวงแก้วใสกระจ่าง

ภายในนั้นปรากฏที่โล่งกว้างกลางป่า

ณ ใจกลางที่โล่งกว้างนั้นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง บัดนั้นพระดาบสก็อุทานอ้อในใจ เป็น ‘เจ้าไพร’ น่ะเอง ดวงชีวิตของเจ้าหนุ่มสหเดชะนี้ก็ช่างมาต้องกันกับยอดแห่งพฤกษาในป่าของท่านเสียจริง

ผ่านดวงแก้วแววไว พระดาบสมองเห็นแสงแดดส่องจ้าลงมาอาบเจ้าไพร และ ณ โคนต้นของเจ้าไพร สหเดชะยืนกระทำสมาธิอยู่ตรงนั้นเอง

หลายวันมานี้เจ้าหนุ่มไม่กลับมาที่อาศรมเลย แต่ด้วยญาณวิเศษของท่าน พระฤษีจึงรู้ว่าเขายังอยู่ในละแวกป่านี้เอง ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใด

เจ้าหนุ่มยืนตรงแน่วอย่างกับลำต้นของเจ้าไพร ขาข้างหนึ่งยกขึ้นงอพับไขว้ไปอีกด้าน ปล่อยให้เท้าเพียงข้างเดียวเหยียบไว้บนดิน มือข้างหนึ่งยกในท่าพนมหว่างอก ส่วนมืออีกข้างเหยียดตรงออกไปขนานกับพื้นดิน ฝ่ามือหงายขึ้นราวกับว่ารองรับน้ำฝนที่หยดจากใบของต้นเจ้าไพร

ใบหน้าของชายหนุ่มผ่องใส หลับตาพริ้มราวกับตกอยู่ในห้วงฝันอันแสนสุข

ชายหนุ่มสงบนิ่งราวกับได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ใหญ่ไปแล้ว

ทว่าชั่วขณะหนึ่งมือข้างที่ยืดตรงออกไปก็ค่อยขยับ ฝ่ามือที่กางออกก็ค่อยๆ โบกขึ้นลงคล้ายกับเป็นใบไม้ยามต้องลม ร่างกายตรงแหน็วค่อยๆ โยกไปทางซ้าย ทางขวา คล้ายกับลำต้นยามลมโหม แต่แล้วเขาก็กลับมายืนนิ่งในท่าเดิม โดยเท้าข้างที่เหยียบพื้นดินไว้ก็ไม่ละไปจากพื้นตรงนั้นเลย

ดวงตาสว่างโชติช่วงด้วยตบะกล้าของพระเทพฤษี ที่เฝ้ามองโลกมาแล้วไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี ก็พลันเห็นประกายทองระยับอยู่รอบกายของสหเดชะ ก่อนที่ประกายเหล่านั้นจะรวมตัวกัน ค่อยๆ คลุมร่างของสหเดชะไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสว่างเรืองรอง เป็นรัศมีสีเขียวแห่งผืนพงไพรโดยแท้

รัศมีดั่งหนึ่งรุกขเทวดากระนั้น

+++

เจอกันตอนใหม่เจ้า  :mew1:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมว่าแล้วว่าสไตล์การเขียนของคุณแป้งจี่ต้องเหมาะกับโทนเรื่องแบบนี้ (ใช้ภาษาไทยแบบสละสลวย, เน้นการบรรยายพื้นเรื่อง ซึ่งส่วนมากจะเจอกับนวนิยายที่มีฉากหลังเป็นป่าเขาลำเนาไพร ต่างจังหวัด รวมไปถึงแฟนตาซีไทยโบราณด้วยเช่นกัน)

แค่อ่านภาษาอย่างเดียว ในฐานะนักเสพวรรณกรรม ก็ปลื้มปริ่มอิ่มเอมมากแล้วครับ ชื่อทุกชื่อมีความหมาย และผู้เขียนก็บรรยายอธิบายมันออกมาได้อย่างไหลลื่น ใช้ภาษาสวยงามมาก ทั้งชื่อตัวละคร ทั้งฉากการบรรยาย ทั้งข้อมูลพื้นเรื่อง ผู้เขียนหาข้อมูลมาดี ผสมผสานมันเข้ากับจินตนาการแล้วอธิบายให้ผู้อ่านเห็นภาพ ทำให้อ่านได้อย่างไหลลื่น ไม่มีจุดสะดุดหรือติดขัดใดๆ

พอมาดูที่พล็อตเรื่อง ผมก็ชอบมากอีกเช่นกัน ปัญหาของแฟนตาซีไทยสมัยก่อนคือ โทนเรื่องจะติดมาแนว Heroism คือพระเอกเก่งที่สุดในเรื่องมาตลอด (ซึ่งเป็นจุดที่พอเล่นแล้วจะเกิดแนวฮาเร็มขึ้นมาก) ซึ่งโทนเรื่องแบบนี้ใช้ได้กับแนวนิทานพื้นบ้านเล็กๆน้อยๆ หรือนิทานเด็กสอนใจ ไม่เหมาะกับพล็อตโครงเรื่องสเกลใหญ่ เพราะจะทำให้สมดุลของเรื่องเสียไปหมด ซึ่งเรื่องนี้จะเห็นว่าเปิดเรื่องมาก็ตัดฉับโทน Heroism ออกไปหมดเลย จะเห็นว่าผู้เขียนย้ำผ่านบทบรรยายบ่อยมาก แต่พูดออกมาได้ลื่นไหลให้กลมกลืนกับเนื้อเรื่อง ว่าสหัสเดชะเป็นแค่วิทยาธร อีกทั้งยังติดบ่วงกามอยู่ ดังนั้นฤทธิ์มีจำกัด (ซึ่งนี่เป็นเหตุผลในเรื่องที่ดีมากอันดับหนึ่งเลย เนื่องจากตัวเดินเรื่องหลักต้องไม่เก่งเวอร์จนเกินไป)

การที่สหัสเดชะฤทธิ์ไม่สูง มันเลยทำให้เราเห็นหลายๆมุมของตัวละครนี้ มากกว่ามุมของการ ‘อวย’ ที่มักจะเห็นในนวนิยายแนว Heroism เราจะเห็นมุมมองของความรักความอ่อนหวานระหว่างสหัสเดชะกับรวีพิรุณ ซึ่งเขียนออกมาได้อ่อนช้อยมาก เราเห็นความนอบน้อมของสหัสเดชะต่อเหล่าเทพยดาที่มีฤทธิ์สูงกว่า ซึ่งเขียนแล้วแนบนัยยะของความเคารพต่อผู้อาวุโส ความมีสัมมาคารวะได้อย่างงดงาม ไม่แค่เทพอัศวินเท่านั้น กระทั้งทวารบาล คุณแป้งจี่ก็ยังเคร่งครัดกับสเกลข้อมูล ว่าทวารบาลที่ปกปักษ์ประตูนั้นต้องมีความสามารถสูง จุดนี้ผมประทับใจมากครับ ผู้เขียนไม่เอาความอวยพระเอกมากดทับข้อมูลอ้างอิงของเรื่อง วิทยาธรไม่อาจบุกขึ้นเขาพระสุเมรุได้อย่างอุกอาจอยู่แล้ว ทวารบาลทำหน้าที่ของเขาได้ดี ไม่ใช่ตัวประกอบอ้างอิงที่เหมือนไม่มีบท เพราะแม้จะมีบทแค่ 3-4 บรรทัด แต่ว่าก็สำแดงให้ผู้อ่านรู้ถึงข้อมูลอ้างอิงของเรื่อง และแสดงความสมดุลและสมจริงของพื้นเรื่องได้ นี่เป็นสิ่งที่ดีมากๆ

การที่พล็อตเรื่องไม่ใช่ Heroism นี่ก็ได้ใจผมไปมากกว่า 60% แล้วนะครับ แถมคุณแป้งจี่ยังหาข้อมูลมาได้แน่น ใช้ภาษาได้อย่างสวยงาม ที่สำคัญคือ ควบคุมสมดุลและความสมจริงของท้องเรื่องที่มาจากข้อมูลอ้างอิงปกรณัมไทยโบราณไว้ มีการอธิบายข้อมูลอ้างอิงด้วยกลวิธีเล่าผ่านเหตุการณ์ หรือตัวละคร ไม่ใช่บรรยายเขียนมาทื่อๆ ทำให้ได้เสน่ห์ของการบรรยายนวนิยาย อันนี้ผมต้องบอกเลยว่าเยี่ยมยอดมากๆ เอาใจผมไปเกิน 90% เลย คุณแป้งจี่มาถูกทางแล้วครับ

มาพูดถึงเนื้อหาเรื่องกันหน่อย ผมชอบฉากที่สหัสเดชะโดนกุมภัณฑ์เอาดาบปักมาก นอกจากจะเป็นฉากที่บ่งบอกว่าสหัสเดชะแลกตบะและกำเนิดของตัวเอง เพื่อให้เขาและรวีพิรุณกลายเป็นมนุษย์ที่มีอายุขัยจำกัด แต่กำเนิดนั้นก้ำกึ่ง ไม่อาจนิยามได้ว่าถือเป็นอะไร สหัสเดชะยังมีฤทธิ์เดชของวิทยาธรอยู่บ้าง แต่ผมคาดว่าน่าจะลดลงไปมาก อาจจะเหลือแค่หนึ่งในสามของเดิม ถ้าเปรียบก็น่าจะมีฤทธิ์พอแค่ครึ่งหนึ่งของวิทยาธรทั่วไป ทำให้ไม่อาจต่อกรกับเหล่าชาวสวรรค์หรืออมนุษย์ที่เทียบเชิงชาวสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งการสู้กับรากษสในเรื่องชนะ เป็นจุดที่ยืนยันได้ชัดเจนมาก เพราะรากษสเป็นอสูรชั้นต่ำ ฤทธิ์ไม่มาก และการที่กุมภัณฑ์ผู้นั้นเอาดาบปักสหัสเดชะ ก็เป็นการเดินเรื่องที่ถูกต้องตามหลักข้อมูลอ้างอิง เพราะชาวกุมภัณฑ์นั้นถือเป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในท้าวจตุรโลกบาลผู้คุมสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา กุมภัณฑ์ถือเป็นเทวดาประเภทหนึ่ง แต่รูปกายเป็นยักษ์ มีฤทธิ์มาก ปัญหาของกุมภัณฑ์ที่ไม่อาจกำเนิดขึ้นเป็นตัวตนที่สูงขึ้นได้ เนื่องจากติดในกิเลสคือความดุร้าย เด็ดขาด ไม่ค่อยปราณี กุมภัณฑ์ชั้นสูงจะมีหน้าที่เช่นอารักขาทวารบาล อารักขาสถานที่ ตัดสินคดีความในขุมนรก บางตนที่ฤทธิ์มากก็จะได้รับตำแหน่งพระยมในนรก หรือแม้แต่ยมบาล ที่มีการสร้างภาพเป็นยักษ์สีแดง ก็เป็นรูปเดียวกับการจำแลงภาพของกุมภัณฑ์

ดังนั้นการที่กุมภัณฑ์จะกำจัดรากษสที่ออกสร้างความเดือดร้อน ก็ถือเป็นปกติวิสัย และการที่โจมตีสหัสเดชะด้วย และเอาชนะได้อย่างง่ายๆ ก็ถือว่าเหมาะสมถูกต้องตามข้อมูลอ้างอิงเลย ผมประทับใจมากครับ ฉากนั้นฉากเดียว ตอบโจทย์นัยยะวรรณกรรมได้หลายข้อ ทั้งตรรกะข้อมูลอ้างอิง ทั้งบ่งบอกโทนเรื่องและความสมจริงของพื้นเรื่อง ทั้งเป็นตัวขับเคลื่อนเนื้อเรื่องต่อ

น่าติดตามครับผม คุณแป้งจี่เขียนได้ดีมากๆ ถ้าจะมีอะไรอยากรีเควสต์เพิ่ม ก็คงเป็นอยากให้เพิ่มแหล่งอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลอ้างอิงของเรื่อง เพราะคาดว่าคนที่อ่านนวนิยายเรื่องนี้แล้วติดงอมแงม น่าจะอยากอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลอ้างอิงปกรณัมไทยที่คุณแป้งจี่ได้หาอ่านและทำการบ้านมาก่อนเขียนเรื่องนี้ ถ้ามีแหล่งอ้างอิงที่ให้ผู้อ่านไปอ่านเพิ่มเติมได้ ก็อาจทำให้สามารถซ่อนนัยยะในเรื่อง หรือเขียนไปตามสมดุลและความสมจริงของข้อมูลอ้างอิงได้อีกโดยที่ไม่ต้องอธิบายในเรื่องมากขึ้น (แต่จากที่อ่านมา ผู้เขียนก็อธิบายได้อย่างไหลลื่น กลมกลืนกับการดำเนินและบรรยายเรื่องครับ ผมไม่ห่วงเรื่องนี้เลย)

หรือถ้ายังไง 2 ลิ้งค์เพิ่มเติมด้านล่างนี้ ผู้อ่านท่านอื่น ถ้าหากอยากหาข้อมูลปกรณัมไทย และวรรณคดีไทยอ้างอิงกัน ก็ลองอ่านกันได้เพลินๆครับ
https://writer.dek-d.com/zennee/writer/view.php?id=1279933
https://www.facebook.com/dakini.naga/notes

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด