พิมพ์หน้านี้ - ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Wordslinger ที่ 25-02-2019 14:44:50

หัวข้อ: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 25-02-2019 14:44:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



* * * ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด * * *


หลังจากไม่ได้ลงเรื่องยาวนานมาก ๆ (ในคำพูดคือมีน้ำตาของเรื่องที่เข้าไหดอง) วันนี้ขอมาเปิดเรื่องใหม่นะคะ เรื่องนี้น่าจะไม่ยาวมาก อยู่ระหว่าง 15-25 ตอน จะพยายามเขียนบทอัศจรรย์ให้ออกมาละมุนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นแนวเรื่องที่ชอบและอยากเขียนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเพื่อน ๆ ชอบจะดีใจมาก ๆ เลยค่ะ

แป้งจี่ฯ


* * * * * *


สารบัญ

อารัมภ์

หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทนำ [25-02-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 25-02-2019 14:52:13
มณีพิทยาธร


ฝนตกอีกครั้ง

ละอองฝนสาดเข้ามาถึงใต้ต้นไม้นี้ เราชอบมองสายฝนเต้นระบำกับสายลม ฝนมาเมื่อไร ลมก็มาด้วยเมื่อนั้น 

เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นมานั้น เราเห็นความมืดก่อน แล้วจึงเห็นแสงสว่าง แสงนั้นสว่างจนตาพร่าทว่าเพียงไม่นานเราก็พบกับโลกอันแปลกประหลาดอยู่รอบ ๆ

เราได้ยินเสียงต่าง ๆ ดังเซ็งแซ่ เสียงนี้กระมังที่ปลุกเราให้ตื่นจากการหลับใหล เริ่มแรกเสียงเหล่านั้นเป็นเพียงเสียงพึมพำ แล้วจึงค่อย ๆ ดังขึ้น กระทั่งโหมกระหน่ำจนคล้ายกับเสียงตะโกนก้อง อึกทึกโกญจนาทดั่งเสียงคำรามของพญาไกรศรี

ในโลกใหม่อันแปลกประหลาดนี้ เราเห็นสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ความรู้สึกของหญ้าอ่อนนุ่มใต้ฝ่าเท้า ความรู้สึกของสายฝนสาดต้องผิวกาย เสียงเจ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ร้องเจื้อยแจ้วอยู่บนคาคบไม้บ้าง อยู่ในพงหญ้าตรงนั้นตรงนี้บ้าง สิ่งเหล่านี้คือความสนุกสนานเดียวที่เราจะหาได้

เมื่อยามตะวันส่องแสง แสงอุ่น ๆ ของท่านจะสาดส่องลงมาสู่ผืนป่า ความอุ่นนั้นค่อยซึมซับเข้าสู่ผิวของเรา ทำให้เรายิ้มด้วยเปี่ยมสุข แสงแดดที่ไม่เริงร้อนจนเกินไป กำซาบอยู่กับผิวกายของเรา แดดอุ่น ๆ นี้แหละ ทำให้รอบกายของเราราวกับจะมีกลิ่นหอม ๆ ลอยอวลอยู่ตลอด

นับแต่เราลืมตาตื่นขึ้นมา ฝนก็ตกเป็นครั้งที่สองแล้ว เมื่อแรกสัมผัสกับละอองใสเย็นเหล่านี้ซึ่งตกลงมาจากแผ่นผืนเวิ้งว้างข้างบนศีรษะเรา มันช่างน่าประหลาดใจนัก เพื่อนของเราบอกว่ามันคือสายฝน ฝนหลั่งจากฟ้า เราชอบนักยามฝนสาดต้อง...เรามักยื่นมือออกไปรองละอองฝนเหล่านั้น รองไว้ในกอบฝ่ามือ ก่อนจะลิ้มลองรสชาติของมัน ยามที่น้ำฝนเย็น ๆ ใส ๆ นั้นล่วงผ่านลำคอลงไป ทำให้ร่างกายเราตื่นกล้า อยากจะออกวิ่งไปบนผืนหญ้าเขียวขจีซึ่งขึ้นอยู่รอบ ๆ นั้น อยากจะออกวิ่งราวกับวิหคโบยบินเพื่อสัมผัสกับความอุ่นของแดด ความหอมของมวลดอกไม้ แต่เมื่อทำไม่ได้เช่นใจปรารถนา...เราก็จำต้องพอใจแค่เพียงเอาเท้ายื่นออกไปสัมผัสเบา ๆ กับหญ้าซึ่งขึ้นอยู่ไม่ไกลนี้นัก 

เรามีเพื่อนมากหลาย บ้างก็เพิ่งตื่นก่อนเราไม่นานนี้ บ้างก็ตื่นก่อนเรามานานแล้ว เพื่อนที่สนิทกับเราคนหนึ่งเขาตื่นก่อนเรามานานเหลือเกิน เขาบอกว่าเขาเฝ้ามองเราหลับใหลมาหลายเพลา เฝ้ามองจนชมชอบ ชิดเชื้อ และเมื่อเรากะพริบตาตื่น เขาจึงดีใจอย่างยิ่ง

เขามักจะยิ้มเสมอ ยิ้มแม้กระทั่งเมื่อตอนเอ่ยกับเราว่า เวลาของเขาใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานเขาก็ต้องจากไป ไปสู่แห่งหนใดหรือ เขาไม่บอกเรา เพียงแต่จับมือเราแล้วบอกว่า สิ่งนี้เราจะรู้ได้เอง

เมื่อความมืดมาเยือน ฝนก็หยุดพรำ พวกเราตกอยู่ในอนธการ มองเห็นเพียงเงาตะคุ่มของแมกไม้โดยรอบ เราเฝ้ามองแสงดาวระยิบระยับบนเวิ้งฟ้ากว้าง ก่อนจะถูกความหลับใหลเข้าครอบงำ

แล้วแสงสว่างก็กลับมาอีกครั้ง เรามองออกไปสู่ผืนป่าอันอุดม มองเห็นสัตว์น้อยใหญ่ออกจากรวงรังเพื่อหาอาหาร เราเห็นเจ้าสัตว์ตัวน้อยวิ่งรอกมองหาบางอย่างบนพื้นทั่วไป เราเห็นเจ้าสัตว์ขนปุยทว่ามีร่างปราดเปรียวกระโจนตะครุบตัวอะไรสักอย่างในพุ่มพฤกษ์ ยังเจ้าสัตว์สง่างามตัวหนึ่ง ซึ่งมีกิ่งไม้อันงามอวดเด่นอยู่บนศีรษะ มันออกมาเดินนวยนาดราวกับจะอวดเบ่งความงดงามของตนต่อสัตว์ป่าอื่น ๆ

นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับเราอีกแล้ว สัตว์ป่าเป็นเพื่อนกับพวกเรา พวกมันไม่กลัวเราเลยจนนิดเดียว เจ้าสัตว์ขนปุยตัวน้อยกระโดดแผล็วมาหาเรา เมื่อเรายื่นมือไปจับมัน มันก็กระโจนแผล็วออกไป แล้วก็จึงกลับเข้ามาเราอีก

เมื่อยามแดดอุ่น น้ำค้างเริ่มเหยระหาย จึงเริ่มมีคนแปลก ๆ ปรากฏกายจากป่าใหญ่

บางคนมาปรากฏกายอย่างทันทีทันใดในจุดที่เมื่อก่อนหน้ายังว่างเปล่า บางคนค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างระแวดระวัง บางคนเดินอาด ๆ วางมาดราวกับเป็นเจ้าของทุกสิ่ง คนเหล่านี้บ้างสวมเครื่องนุ่งห่มประหลาด มีระยิบระยับในแสงแดด บ้างเปลือยกายเกือบล่อนจ้อนเหลือเพียงผ้าปิดบาง ๆ ณ กึ่งกลางลำตัว บ้างสวมใส่เครื่องแต่งกายโอ่อ่าน่าประหลาดใจ

เราระแวงสงสัยต่อคนเหล่านี้ เราเฝ้ามองพวกเขา เพื่อนของเราจับมือเราไว้มั่น บอกเสียงเบา ๆ ว่าอย่ากลัวไปเลย

‘พวกเขา’ เหล่านี้เข้ามาดู...พวกเรา

มาดูด้วยเหตุผลกลใดเราไม่รู้แจ้ง ทว่าในใจของเรานั้นตระหนกจนอกผวา อยากจะลุกขึ้นวิ่งไปให้พ้นจากสถานที่นี้ ทว่าก็กระทำอย่างใจอยากไม่ได้

เพื่อนของเราบุ้ยใบ้ให้ดูคนผู้หนึ่ง

บุคคลผู้นี้แต่งกายงดงาม เขาถือวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ มันเป็นวัตถุยาว ส่งประกายวิบวับยามต้องแสงแดด เขามองพวกเราทีละคนอย่างพิจารณา พร้อมรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปาก ดวงตาของเขาเต้นระยิบด้วยเปลวเพลิงลุกโหม เมื่อเขาหันมาทางเรา เราเห็นสายตาเขาเบิกกว้างราวกับประหลาดใจเหลือประมาณ

เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเราด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภายในดวงตาอันเบิกกว้างนั้นเราเห็นแววหมายมาด และความกระสันอยาก เขาไม่มองเพื่อน ๆ ของเราอย่างนี้เลย ความจริง...นับแต่เขาเห็นเรา เขาก็ไม่มองไปทางอื่น มุ่งแต่จะสืบเท้าเข้ามาหาเรา บางที...อาจเพราะเราไม่เหมือนคนอื่น ๆ

เมื่อยามเราแรกตื่นจากหลับใหลนั้น เพื่อนของเราบอกว่า เจ้านี่แปลกจริง

เราถามว่าแปลกอย่างไรหรือ เขายิ้มด้วยรอยยิ้มขี้เล่น แล้วเอ่ยว่า...ร่างกายเจ้าแปลกกว่าใครอื่น เจ้าไม่เหมือนพวกเรา แต่เจ้าเหมือน...‘พวกเขา’

เราไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนบอกเมื่อแรกเริ่มนั้นเลย แต่ความทรงจำนั้นก็แล่นเข้ามา และทำให้เราคล้ายจะเข้าใจได้ราง ๆ

‘พวกเขา’ สินะ

พวกเขาที่ว่า ก็คงเป็นคนเหล่านี้เอง

ชายคนนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่เรา เขาก้มตัวลงมา มือข้างที่ไม่ได้ถือวัตถุยาว ๆ นั้นก็ค่อย ๆ เอื้อมมาหาเรา พลางเอ่ยพึมพำ “ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ”

ยิ่งเข้ามาใกล้ เราก็ยิ่งเห็นว่าประกายในดวงตาของเขานั้นลุกไหม้ฮึกเหิมเพียงไร มันราวกับจะกลืนกินเราให้มอดไหม้ไปกับเปลวเพลิงนั้น

คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังของเขา เอ่ยขึ้นมาด้วยใคร่รู้ “ท่านวิทยาธร นารีผลคนนี้แปลก ๆ อยู่นา”

“ไม่ดอก ท่านนักสิทธิ์ ไม่แปลกสักนิด”

“ไม่แปลกได้อย่างไร นารีผลคนนี้เป็น...บุรุษนี่นา”

เขายกมุมปากยิ้ม รอยยิ้มนั้นหวานเชื่อมอยู่ในดวงตาของเขา “ถูกละ เป็นบุรุษ...ทว่าก็พึงใจเราเหลือเกิน”

สัมผัสของปลายนิ้ววิทยาธรคนนั้นบนผิวแก้มเรา...ช่างต่างกับความเย็นสดชื่นของสายฝน และความอบอุ่นของแสงแดดยิ่งนัก

...มันร้อนเหลือเกิน ร้อนราวกับตะวันแผดจ้า


จบอารัมภ์


เจอกับตอนใหม่ในวันจันทร์หน้านะคะ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่แง้มกระทู้เข้ามาอ่านค่า ^_____^
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทนำ [25-02-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-02-2019 19:44:36
จะมีศึกชิงนายไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทนำ [25-02-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 25-02-2019 20:32:41
จากนารีผล เป็นบุรุษผล เป็นการกลายพันธุ์ที่ดูเร้าใจดีนะนี่
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทนำ [25-02-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-02-2019 21:57:17
 :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทนำ [25-02-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-02-2019 00:18:21
มาแนวนี้ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 04-03-2019 23:24:55
มาตามนัดแล้วค่า วันนี้มาช้าเพราะเพิ่งเสร็จงาน  :ling1:
ขอให้เพื่อนๆ อ่านอย่างเป็นสุขนะคะ


++++++++++




บทที่ 1



เขาค่อยกวัดแกว่งพระขรรค์สีเงิน แล้วร่างจึงค่อยๆ ล่องลอยขึ้นไปบนอากาศ พื้นเบื้องล่างลอยห่างออกไปไกล

สหเดชะลอยเรี่ยยอดไม้สูงเทียมเมฆแห่งหิมพานต์ ก่อนจะพุ่งตัวลับลิ่วหายไปกับปุยเมฆ ยามกวัดแกว่งพระขรรค์กระชับมั่นในมือคราใด ร่างลอยละลิ่วจะปลิวเล่นกับสายลมตีต้าน เขามองพระขรรค์เล่มนั้นด้วยรอยยิ้มพอใจ พลางประหวัดไปถึงโมงยามครั้งนั้นเมื่อเพิ่งเริ่มเหาะด้วยพระขรรค์เล่มนี้ 

สหเดชะเป็นวิทยาธรพวกหนึ่ง เป็นพวกกึ่งเทพ มีวิมานอยู่กลางอากาศ อิทธิฤทธิ์มากน้อยขึ้นกับตบะแก่กล้าหรือไม่ เขามาอุบัติในจาตุมหาราชิกานี้ได้ไม่นานเท่าใดนัก เพียงสองร้อยปีมนุษย์เท่านั้น กระนั้นเอง...เขาก็นับว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ด้วยสั่งสมบุญญามามากหลาย แม้มิได้ไปถึงดาวดึงส์ แต่ก็ได้เป็นข้าท้าวจาตุมหาราชทั้งสี่

เมื่อยามได้เหาะครั้งแรก เขาไม่ขึ้นไปสูงนัก ด้วยความตื่นกลัวและอกใจเต้นโครมครามเพราะเห็นสิ่งแปลกใหม่หลายอย่าง ความจำครั้งเป็นมนุษย์ยังติดตามเพียงเศษชิ้น ทว่าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตระหนักว่าบัดนี้ตนได้มาอุบัติในอีกโลกหนึ่ง มีวิมานน้อยๆ ของตน มีอาวุธวิเศษคู่มือซึ่งคือพระขรรค์เงินอันส่องแสงราวกับสีหมอกยามเช้า

ครั้งนั้น สหายวิทยาธรซึ่งมีวิมานอยู่ใกล้ๆ กันบอกข่าวมาว่าต้นมักกะลีได้ออกผลแล้ว ไม่นานลูกเหล่านั้นก็จะสุกงอม พร้อมสำหรับ ‘เด็ดดอม’

‘มักกะลีผลหรือ’

‘ถูกต้อง สหเดชะสหายเรา หากไม่รีบเร่ง เกรงว่าพวกนั้นจะปลิดไปหมด’

เมื่อเขายังไร้ซึ่งท่าทางอันพึงแสดงออกมายามเอ่ยถึงมักกะลีผล สหายผู้นั้นจึงกล่าวหัวเราะๆ ‘ก็นารีผลนั่นปะไร ท่านจะเรียกอย่างใดก็ได้ ท่านเพิ่งอุบัตินี่นะ คงมิเคยลิ้มลองนารีผลเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย...มากับเราเถิด เราจะสอนท่านเอง’

ครั้งนั้น สหเดชะได้ ‘เด็ดดอม’ นารีผลเป็นครั้งแรก และได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง แม้จะได้รับความสุขมากเพียงใด แต่การสังวาสกับนารีผลทำให้ฤทธิ์เดชลดลงกึ่งหนึ่ง สหเดชะชาวเทพผู้อุบัติใหม่ได้แต่นึกเสียใจ เกรงว่าตนจะด้อยฤทธิ์กว่าใครเขา จึงหันมาบำเพ็ญตบะเพื่อเพิ่มฤทธิ์ให้กล้าแข็งกว่าเดิม

อนิจจา...อันว่าบ่วงแห่งกาเมนั้นเหนียวนัก มันมักผูกติดคนซึ่งใจไม่กล้าแข็งพอให้กลับไปหาแหล่งกามนั้นอีกครั้ง สหเดชะเองแม้พอใจกับการรู้รสเมื่อยาม ‘กอด’ นารีผล ทว่าเขากลับคล้ายรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหาย เป็นช่องว่างซึ่งอยู่ในหว่างใจ แม้เติมความปรารถนาเข้าไปเท่าไรก็ราวกับจะไม่มีวันเต็ม

เขากลับไปหาดงไม้นั้นอีกครั้งและอีกครั้ง ด้วยหวังจะได้พบเจอกับอะไร ‘บางอย่าง’ ที่ตนโหยหา

หากเทียบกับเมื่ออุบัติใหม่ สหเดชะยามนี้ฤทธิ์กล้า เป็นผู้กว้างขวางในหมู่พิทยาธร วิมานน้อยๆ เมื่อแรกเริ่ม บัดนี้ก็กว้างขวางโอ่โถง ไม่แพ้แม้เทพวิมานใดๆ ก็ด้วยฤทธิ์แรงแห่งตบะซึ่งเขาหมั่นบำเพ็ญเพียรนั่นแล

กระนั้น สหเดชะเป็นวิทยาธรหนุ่มอันมีลักษณะแปลกกว่าวิทยาธรอื่นๆ แม้เขาจะแกล้วกล้าเช่นวิทยาธรอื่น อาจหาญไม่แพ้ใคร ทว่าเขาพึงใจในทางสันโดษ ไม่คบหาวิทยาธรีอันเป็นนางวิทยาธร อิ่มใจกับการบำเพ็ญตบะ ทว่าการทำตบะก็เป็นเช่นไฟ ด้วยมีคราบราคะในหัวใจ เช่นนั้นแล้วจะคงตบะไว้นานก็หามิได้ นิ้วมือที่ยื่นเข้าไปจ่อกับเปลวไฟร้อนแรงต้องชักออกฉันใด การบำเพ็ญตบะของสหเดชะก็เป็นฉันนั้น

พอออกจากตบะ ความว่างโหวงอันลึกสุดหยั่งจึงโอบรอบกายเขาในทันที

แม้นเป็นชาวฟ้า ทว่าก็ยังไม่ถึงซึ่งนิพพาน หากจะยังติดในบ่วงกามก็ไม่แปลกอันใด เช่นนี้แหละจึงได้ชื่อว่าเป็นชาวฟ้าชั้นฉกามาพจร

สหเดชะกวัดแกว่งพระขรรค์อีกครั้ง มองเห็นยอดไม้สูงยิ่งกว่าไม้ใด เป็นดงไม้ขึ้นเป็นกลุ่ม มีลานดอกไม้บานสะพรั่งอยู่โดยรอบ ณ กึ่งกลางดงไม้นั้นเองคือต้นมักกะลีผล หรือต้นนารีผล

กลิ่นหอมบางอย่างกระทบนาสิก เป็นกลิ่นหอมซึ่งกระตุ้นให้ความปรารถนาลุกตื่น ในใจของสหเดชะกระตุกเต้น เขารู้ว่าวันนี้เอง...บางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

เมื่อเขาเดินผ่านหมู่ไม้ซึ่งขึ้นเรียงกันเป็นวงแหวนล้อมรอบต้นมักกะลีผลนั้นเอง เขาก็เห็นว่าบุรุษชาวฟ้าอื่นๆ ได้เริ่มมาถึงกันบ้างแล้ว ทั้งวิทยาธรเช่นตนเอง นักสิทธิ คนธรรพ์ แม้ฤๅษีบางตนยังเดินกระย่องกระแย่งเข้าไปหาต้นกำเนิดกลิ่นหอมรัญจวนใจในยามนี้

...ดังเช่นสหเดชะนี่ปะไร

เขาเดินเข้าไปยังโคนต้นนารีผลต้นนั้น

นารีผลบางนางยืนเต็มความสูงแห่งร่างกาย มือหนึ่งปกปิดตรงเบื้องล่าง อีกมือประคองทรวงอกอิ่มอล่างฉ่างไว้ ดวงตาแม้คล้ายหลับพริ้มหากแท้จริงแล้วเป็นการชะม้ายชายตามองเมียงเหล่าบุรุษชาวฟ้าผู้มาเยือน ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มยั่วเย้า

นารีผลที่ลุกขึ้นยืนตรงได้แล้วนี้ นับว่า ‘สุกงอม’ เหมาะอย่างยิ่งที่จะ ‘ถูกปลิด’ จากขั้วเพื่อนำกลับไปกกกอดยังถิ่นแห่งใครมัน หากนางใดยังนั่งกอดเข่าหรือนั่งทอดกายพิงลำต้นละก็...แสดงว่ายังไม่ถึงเวลาปลิดจากขั้วผล

สหเดชะมิได้สนใจนารีผลนางใดทั้งสิ้น ดวงตาเขาจับจ้องแต่เพียงนารีผลผู้หนึ่งซึ่งนั่งกอดเข่า รอบๆ เท้าอันเล็กเรียวขาวนวลราวกับหยวกกล้วยนั้นมีดอกไม้สีสันงดงามขึ้นอยู่เต็มไปหมด แม้จะก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายพยายามปิดหน้าตัวเอง ทว่าเขาก็เห็นว่าดวงหน้านั้นขาวผ่อง ริมฝีปากแดงสวย รูปร่างแตกต่างจากนารีผลนางอื่น จะว่ายังไม่โตเต็มที่ก็ไม่ใช่ หากนารีผลนั่งกอดเข่าเช่นนี้แล้วก็เป็นที่แน่ชัดว่ากำลังจะลุกขึ้นยืนตรง ซึ่งแสดงว่าไม่นานก็พร้อมสำหรับการปลิดจากขั้ว นารีผลลูกนี้รูปร่างผอมบาง มิใช่อรชรทว่าก็บอบบาง ทรวงอกแบนราบ ไม่เต่งตึงเต็มเต้าเช่นนางอื่นๆ

มองอย่างไรก็เป็นมักกะลีผลบุรุษชัดๆ เรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นด้วยหรือ

ทว่าเรื่องนั้นมิใช่สิ่งที่ทำให้สหเดชะรีบสาวเท้าเข้าไปหามักกะลีผลลูกนั้น เหตุผลที่เขาไม่สนว่าสหายนักสิทธิ์ของเขาผู้หนึ่งกำลังเดินตามมาด้วย ก็คือแรงเต้นในหัวใจยามเห็นเพียงเสี้ยวหน้าหวานแฉล้มนั้น เขาเห็นพวงแก้มแดงเรื่อ และเห็นการหลุบของเปลือกตาขณะเสียงหัวเราะใสราวกระดิ่งออกมาจากปากเล็กๆ จิ้มลิ้มนั้น ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังพอใจกับสิ่งใดบางอย่าง

ลำแขนกล้องแกล้งราวกับเกลา ผิวเรื่อด้วยสียามอุษาสาง อันแต้มไว้ด้วยสีจางๆ แห่งแสงอาทิตย์ แล้วทันใดนั้นเอง ร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับรับรู้ถึงการมาของเขา สหเดชะเห็นดวงตาดำสุกใสราวกับกลิ้งไว้ด้วยหยดน้ำ ดวงตานั้นเบิกกว้าง ตื่นตระหนก...ฉายแววกริ่งเกรง ครั้นแล้วกลับกลายเป็นความประหลาดใจ พวงแก้มสีชมพูนั้นแดงเรื่อ

สหเดชะมองเห็นดวงหน้านั้นเบี่ยงหลบสายตาของเขา อกใจเขาเต้นโครมครามประหนึ่งกลองบรรเลงทำนองศึก

ความเปล่าโหวงในใจ ราวกับมีสายน้ำอบอุ่นไหลถะถั่งลงไปจนใกล้จะเต็ม สิ่งนี้ละหรือที่เขาเฝ้าตามหา

มักกะลีผลอันแปลกแตกต่างจากเผ่าพงศ์เดียวกันนี้ใช่หรือไม่

พลันเขาก็รู้สึกอุ่นวาบในอก ริมฝีปากยิ้มด้วยเป็นสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สุขนั้นลามมาถึงดวงตา ทำให้ดวงตาของเขายิ้มตามไปด้วย

เขาเอ่ยตอบคำถามของสหายนักสิทธิ์โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตอบอะไรไปบ้าง สิ่งที่เขาจดจ่อจิตใจอยู่ ณ ขณะนี้คือมือของตนเองที่กำลังยื่นออกไปเบื้องหน้า

ยามมือของเขาค่อยๆ แตะลงบนผิวแก้วแดงเรื่อของมักกะลีผลผู้นั้น ราวกับว่ามีกระแสไฟเริงแรงลุกโหม ส่งความร้อนมาสู่ปลายนิ้ว ความร้อนนั้นแล่นไปตามร่างกายของเขา สหเดชะร่างกายเกร็งขึ้นด้วยอารมณ์ฮึกเหิม

กระแสความร้อนคือชีวิต ช่างน่าเศร้าอะไรเช่นนี้...เมื่อยามสุกงอมเต็มที่แล้ว ในเวลาเจ็ดวัน นารีผลเหล่านี้ก็จะแห้งเหี่ยวไปเอง

สหเดชะวางทาบฝ่ามือลงไปบนแก้มอุ่นๆ นั้น ความนุ่มเนียนนั้นทำให้เขายิ้มแล้วยิ้มอีก อยากจะโอบใบหน้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง
เวลาเพียงเจ็ดวันจักเพียงพอหรือ

ด้วยความคิดนั้น สหเดชะกระชับพระขรรค์แน่นในมือ

“ท่านวิทยาธร...ช้าก่อน ท่านจะทำอะไร”

เขาวาดพระขรรค์ผ่านอากาศ ความคมของพระขรรค์คู่มือนั้นมีมากเหลือ เพียงวาดผ่านขั้วของมักกะลีผลก็ขาดฉับ

มักกะลีผลในรูปเด็กหนุ่มส่งเสียงออกมาหนึ่งคำ คลับคล้ายเสียงสำลักน้ำ เขาไม่รอช้า ขณะเสียงรอบกายเริ่มดังขึ้น ด้วยเหล่าบุรุษชาวฟ้าเริ่มแย่งชิงนารีผลซึ่งสุกงอมแล้ว

“ท่านวิทยาธร!”

เขาไม่สนเสียงนักสิทธิ์ตนนั้น วงแขนกำยำโอบรอบร่างอ่อนปวกเปียกซึ่งนอนกลิ้งอยู่กับพื้นหญ้า หายใจหอบหนัก

“ไม่เคยมีใครปลิดมักกะลีผลก่อนสุกงอมนะท่าน” เสียงนั้นประหลาดใจ

“มักกะลีผลคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น”

สหเดชะอุ้มมักกะลีผลหนุ่มน้อยนั้นไว้ในอ้อมแขน กระโดดครั้งเดียวกระโจนผ่านทุ่งดอกไม้ ทะลุออกจากแนวต้นไม้ซึ่งโอบล้อมดงไม้นั้น กระโดดอีกครั้งก็ลอยละลิ่วไปกับแนวป่า

เขาก้มลงมองร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมอก รับรู้ถึงแววตาตระหนกฉายจากดวงตานั้น ก่อนเปลือกตาจะเลื่อนลงมาปิด ใบหน้าเล็กๆ ทิ้งลงมาซบกับแผงอกแข็งแกร่งของเขา

แม้ในใจจะหวาดหวั่นเพียงใด แต่เขาก็ได้ทำลงไปแล้ว เขาตัดขั้วของมักกะลีผลผู้นี้จากต้นแม้ยังไม่สุกงอมเต็มที่ แต่เขาก็เห็นกับตาตัวเอง มักกะลีผลผู้นี้ไม่เหมือนมักกะลีผลอื่นๆ ดังนั้น...แม้จะถูกปลิดจากขั้วก่อนถึงกาลอันเหมาะ ก็คงจะไม่เป็นไรดอก เขาเฝ้าบอกตนเองเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

สหเดชะหัวเราะขื่น รู้สึกขมในอกขึ้นมา ด้วยรู้ว่ากำลังหลอกตนเอง มือที่วาดพระขรรค์ออกไปนั้นกระทำไปด้วยวูบเดียวแห่งอารมณ์ มิได้ใช้สติหยุดยั้งมือไว้เลยสักนิด

เมื่อพ้นออกจากชายป่า สหเดชะร่อนลงยืนกับชะง่อนหินใหญ่ ลมเย็นจากยอดผาเผือกอันเป็นที่สถิตแห่งองค์สยมภูวนาถพัดวูบแรง เขามองผืนหิมวันต์พงไพรอันนอนราบแผ่ออกไปไกลจนสุดสายตา มองดวงหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มหลับพริ้มราวกับจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเขาจึงกุมมือกระชับกับด้ามพระขรรค์ โอมอ่านพระเวทในใจ เมื่อยามคมพระขรรค์เปลือยฝักสว่างวาบด้วยฤทธิ์พระเวท สหเดชะก็โผนเผ่นจากชะง่อนหินลูกนั้น ลมเย็นปัดผ่านใบหน้า เขาเย็นวาบในอก อ้อมแขนแข็งแรงกระชับร่างนอนสงบนิ่งไว้แน่น

ในเมื่อทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สิ่งที่เขาจะทำได้ก็คือป้องกันความเลวร้ายที่สุดไม่ให้เกิด

ในสามโลก นอกจากองค์ตรีมูรติแล้ว สหเดชะเชื่อว่าในสามโลกนี้มีเพียงองค์เทพผู้กำเนิดในยุคพระเวท...องค์เทพผู้มีอายุเก่าแก่องค์นี้เท่านั้นจะช่วยเขาได้ เขาต้องไปหาท่าน

สหเดชะพุ่งตัวไปในอากาศกว้าง เวิ้งฟ้ายามนี้เริงแรงด้วยแสงแห่งพระอาทิตย์เทพ เขากลายเป็นเพียงแสงสีเขียวพุ่งวาบหายไปในเปลวอากาศ


+++++

เจอกันตอนต่อไปในวันจันทร์นะคะ ^____^
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 05-03-2019 00:11:46
คงไปขอให้เทพบิดรผู้ให้กำเหนิดชุบชีวิตแน่ๆคงมเงื่อนไขแลกเปลี่ยนแน่ๆ. รอวันจันทร์ต่อ
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 05-03-2019 12:21:58
 o13
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-03-2019 12:48:09
สนุกกกกกกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รออ่านอย่างใจจดใจจ่อเลย  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ShinrinYoku ที่ 05-03-2019 14:56:46
อ่านแล้วชอบมากค่ะ
ขอให้สหเดชะไปทันนะคะ
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 05-03-2019 14:59:03
บำเพ็ญเพียรมานานจนอดอยากปากแห้ง จิตใจมันร้อนรุ่มมมมมมมมมมมมมมม เห็นบุ๊ปถึงกับไร้สติตัดขั้วมักกะลีผ :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-03-2019 20:57:20
น้องเขายังไม่พร้อมนะท่าน ใจร้อนจริง
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 05-03-2019 21:36:25
เห็นชื่อคนเขียน
คลิกเข้ามากว่าความไวแสงอีกค่ะ

ภาษาสวยมาก และมีคำยากเยอะด้วยเช่นกัน

เนื้อเรื่องก็ละเอียดอ่อนน่าติดตามค่ะ เป็นห่วงบุรุษผลที่แสนไร้เดียงสาตนนั้นจริง :ling3:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 05-03-2019 23:16:14
อ้าวท่านวิทยาธร ชิงสุกก่อนห่ามของจริง
น้องยังเด็กกก ไม่รอเลย ใจรุ่มร้อนแค่ได้เห็นหน้าน้อง
พ่อคุณ โถ่ถัง ตบะที่อุตส่าบำเพ็ญมา
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-03-2019 03:18:16
ม่ายยยย มันค้างงงง
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-03-2019 14:59:49
จะไปทำอะไรรร
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 07-03-2019 03:20:29
กิเลส หนอ กิเลส พ่อสหเดชะ    :try2:



ตื่นเต้ลลลลลล… รอติดตามต่อ    :oni2:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 1 [04-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 11-03-2019 22:16:40
มารอพี่ที่ตีนเขาพระสุเมรุแล้วนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 11-03-2019 22:42:33
^
^
^
^
ว้าย ไปรอที่เดียวกันเลย  :ling1:
มาแล้วนะคะ พอดีเขียนแก้ไขหลายรอบ เลยมาช้า ต้องขอโทษจริงๆ นะค้า




บทที่ 2



มักกะลีผลเป็นเพียงผลไม้ มนุษย์ หรือเป็นชนกึ่งเทพกันแน่ ไม่อาจมีใครบอกได้แน่ชัด สิ่งที่รู้และเล่าต่อกันมาคือ มักกะลีผลจะเริ่มเหี่ยวและเน่าไปเองนับได้เจ็ดวันหลังจากสุกงอม

พวกเขาไม่ต่างอันใดกับหญิงสาวโฉมสะคราญ เมื่อยามสัมผัสถูกผิวอันผ่องพรรณ ก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับการจับต้องมนุษย์ผู้หญิง จึงเป็นที่น่าฉงนยิ่งนักว่าพวกเขาเป็นเพียงบุตรีของพฤกษาจริงหรือ นางกลางไพรใดจึงจะงดงามและมีกลิ่นกายหอมจรุงเช่นนี้

หรือเป็นเพราะบุญกรรมปั้นแต่งให้ต้องมาสิงอยู่ในรูปโฉมโนมพรรณของหญิงสาว ตกเป็นคู่เคียงของเหล่าชาวฟ้าเพียงไม่กี่ค่ำคืนก็ต้องลาจากโลกไป ตายลงในรูปลักษณะของผลไม้ ยามกำเนิดก็มาจากต้นไม้ ยามมรณะก็กลายกลับเป็นเช่นผลไม้อันปลิดจากขั้วนานวัน มีเพียงยามที่ร่างกายสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้นที่พวกนางดำรงอยู่เยี่ยงมนุษย์

มิพักต้องพูดถึงมักกะลีผลเพศชาย หากมิใช่เพราะลิขิตสวรรค์ ก็คงเป็นปริศนาดำมืดน่าค้นหาโดยแท้

นับแต่กำเนิดในโลกแห่งชาวฟ้าได้สองร้อยกว่าปี สหเดชะเพิ่งเคยเจอ นี่อาจเป็นลิขิตบรรจงจารจากหัตถ์ของพระพรหมธาดาเองนั่นเทียว อย่างไรก็ตาม มักกะลีผลในรูปเด็กหนุ่มนี้อาจมีรูปโฉมธรรมดาเหลือเกินเมื่อเทียบกับนารีผลนางอื่นๆ จึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่า นางอื่นๆ นั้นงามเกินไป งามจนเขาพบว่ามันน่าเบื่อหน่าย และทำให้รูปโฉมธรรมดาของมักกะลีผลหนุ่มน้อยต้องตาเขา เมื่อต้องตาแล้วจึงต้องใจ 

คงปฏิเสธไม่ได้ดอกว่า สหเดชะนั้นหลงในรูปของเด็กหนุ่มมักกะลีผลผู้นี้ กระนั้นเมื่อได้มองจ้องเข้าไปในแววตาตื่นตระหนกราวกับกวางน้อยตื่นนายพราน ก็ทำให้เขารู้สึกราวกับตนเองนี่แหละเป็นนายพราน นายพรานผู้วางบ่วงแร้วไว้ดักจับกวางน้อยผู้ทะเล่อทะล่าเข้ามาให้จับคร่า โดยไม่ตระหนักแม้สักน้อยว่าผู้ถูกบ่วงแร้วรัดตรึงกลับเป็นผู้วางบ่วงนั้นเอง

***

ยามทินกรอ่อนแสง สหเดชะมองเห็นเทือกผาสูงทะมึนยิ่งใหญ่อยู่ในระยะไกล เทือกผานั้นราวกับถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกลุ่มแสงสว่างพรรณราย ประกอบไปด้วยแสงสีต่างๆ ประสมกันเป็นรัศมีโอบล้อมเขาทั้งลูก

นี่ละหรือคือเขาพระสุเมรุ ที่สถิตแห่งองค์อินทรา ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพทั้งหลาย

สหเดชะกวัดแกว่งพระขรรค์คู่กาย เร่งเหาะเข้าไปใกล้มากขึ้น ขณะเห็นแสงพระอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ พื้นโลกบางแห่งเริ่มถูกห่มคลุมอยู่ในม่านสลัวรางของสายัณห์

วิทยาธรหนุ่มร่อนลงกับพื้นดิน ณ เชิงเทือกภูอันสูงลิบนั้น เบื้องหน้าคือบันไดแก้วทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา อันเป็นที่ตั้งแห่งนครไตรตรึงษ์

สหเดชะมองร่างในอ้อมกอดซึ่งบัดนี้กำลังหลับตาพริ้ม เงียบสงบกว่าเมื่อสักครู่ใหญ่ๆ นี้มากนัก ลมหายใจแม้จะอึกอักราวกับมีบางอย่างทำให้ไม่สบายตัว แต่ใบหน้าก็ไม่ซีดเผือดแล้ว ทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่งว่าอย่างไรเสียก็ยังพอมีเวลา

เขากอดกระชับร่างในอ้อมแขน ก้าวเดินเข้าไปสู่ประตูโค้งอันแกะสลักจากเสาหินเป็นลวดลายวิจิตรของรูปสัตว์หิมพานต์ต่างๆ ประดับประดาด้วยแก้วเก้าประการ ส่องแสงระยิบระยับจับตา สหเดชะก้าวเข้าไปใกล้ทวารบถนั้นเพียงไม่กี่ก้าว ก็ต้องชะงักเท้า ด้วยเสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนในอากาศโพล้เพล้ขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้ามีกิจธุระใด พิทยาธร”

ณ เบื้องหน้าทวารบถอันเป็นประตูสู่ไตรตรึงษ์ซึ่งเมื่อครู่ยังว่างเปล่า บัดนี้สหเดชะมองเห็นร่างใหญ่โตยืนถือพระขรรค์ทองคำอยู่ทั้งสองฟาก

“พระทวารบาล” สหเดชะเอ่ยอย่างนอบน้อม ค้อมศีรษะให้กับเทพบุตรสององค์ ซึ่งยืนเฝ้าประตูทางเข้าสู่บันไดสวรรค์นั้น

“เว้นแต่เจ้ามีกิจบรรเลงดนตรีถวายองค์เทพ เราคงให้เจ้าผ่านเข้าไปไม่ได้ จงหันกลับไปเสีย”

“ข้าแต่พระทวารบาลผู้เจริญ ข้ามีเรื่องต้องเข้าเฝ้า...”

“จงหันกลับไปเสีย พิทยาธร อย่าเอ่ยให้มากความ” พระทวารบาลอีกองค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงคุกคาม วาดพระขรรค์เทพมาประสานไขว้กันไว้กับพระทวารบาลอีกด้านเป็นราวกั้นประตู

“ได้โปรดเถิด”

ยามนี้แม้สหเดชะมีฤทธิ์มาก ทว่าเขาก็เป็นเพียงวิทยาธร หากเทียบกับพระทวารบาลอันเป็นเทพแห่งดาวดึงส์แล้วก็ยังห่างชั้นกันนัก จึงต้องทรุดกายลงคุกเข่า ฟ้าเริ่มอ่อนแสงลงทุกขณะ ราตรีกำลังมาเยือน เวลางวดเข้ามาทุกที เขาเริ่มสวดวิงวอนถึงองค์เทพผู้ประเสริฐ องค์เทพผู้กำเนิดในยุคพระเวทผู้นั้น

เขาไม่แน่ใจสักนิดว่าเสียงสวดอ้อนวอนจะดังไปถึงองค์เทพหรือไม่ จึงด้วยอารมณ์อันร้อนรนที่ควบคุมเขาอยู่ในขณะนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจกระทำการอุกอาจอีกครั้ง

สหเดชะกัดฟันกรอด กระโจนร่างไปในอากาศโพล้เพล้นั้น หวังจะแทรกตัวผ่านประตูใหญ่เข้าไป ทว่าพระทวารบาลทั้งสองก็วาดพระขรรค์ออกมา ชี้ตรงใส่ร่างวิทยาธรหนุ่ม ประกายสีขาวพุ่งวาบออกมาจากปลายพระขรรค์เทพอาวุธ ซัดกระหน่ำเข้าใส่ร่างของสหเดชะที่กำลังพุ่งเข้ามา เขายกพระขรรค์ของตนเข้ารับไว้ กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานแรงกระแทกอันมหาศาล จึงกระเด็นกลับมาจุดเดิม ร่างของมักกะลีผลหลุดจากอ้อมแขนลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นดินด้วยกันทั้งสองคน

หนึ่งในพระทวารบาลซัดพระขรรค์ออกจากมือ มันพุ่งตรงเข้ามาราวกับติดปีก สหเดชะเหวี่ยงตัวหลบ ทว่าช้าเกินไปเสียแล้ว พระขรรค์เทพพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว จ่ออยู่กับลำคอของเขา โดยห่างเพียงองคุลีเดียว อาวุธเทพเล่มนั้นหยุดทุกการเคลื่อนไหวของสหเดชะ องค์เทพกำมือนิ่งราวกับกำลังควบคุมพระขรรค์นั้นจากระยะไกล หากขยับมือเพียงนิดเดียว ปลายพระขรรค์คมกริบก็จะดื่มเลือดวิทยาธรหนุ่มเป็นแน่

“เจ้าบังอาจคิดบุกไตรตรึงษ์รึ”

“ข้าจำเป็นต้องช่วยคน”

“ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ขึ้นไปยังไตรตรึงษ์ไม่ได้ เจ้าเป็นข้าท้าวจาตุมหาราช หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านท้าวเราก็ให้เจ้าเข้าไปไม่ได้ดอก”

ทันใดนั้นเอง แสงสว่างเจิดจ้าลูกหนึ่งพุ่งพาดผ่านเหนือศีรษะไป เป็นแสงสว่างราวกับแสงแห่งพระอาทิตย์นั่นทีเดียว แสงนั้นมุ่งตรงสู่ยอดเขาพระสุเมรุ เมื่อมันพุ่งหายไป โลกทั้งโลกก็ตกอยู่ในความมืด

พระสูรยะเทพคืนกลับนครแล้วงั้นหรือ อีกไม่นานองค์พระโสมก็จะเสด็จขึ้นสู่ฟากฟ้าโพยมบน ส่องแสงนวลสว่างลงสู่โลก

“ข้าแต่องค์พระอัศวินผู้ประเสริฐ!”

สหเดชะร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง ขณะความมืดย่างกรายเข้ามาโอบรอบเขาพระสุเมรุ แม้บนยอดเขาจะยังสว่างด้วยแสงอันเป็นทิพย์แห่งปวงเทพ ทว่าเบื้องล่างนี้ก็มืดมิดเสียแล้ว ร่างอันเล็กกระจ้อยร่อยของมักกะลีผลตัวน้อยนอนกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่อย่างน่าเวทนา ส่วนสหเดชะเองก็ขยับกายไม่ได้ด้วยมีปลายพระขรรค์จ่อติดกับลำคอ

เขาร้องเรียกนามองค์เทพอีกครั้ง ก่อนจะสวดอ้อนวอนด้วยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน กำหนดใจให้แน่วแน่ในคำขอ แล้วทันใดนั้นเอง แสงอร่ามเรืองกลุ่มหนึ่งก็สว่างขึ้น ณ เบื้องหน้าสหเดชะ พระทวารบาลค้อมกายลงถวายคำนับ ขณะที่แสงกลุ่มนั้นรวมกันกลายเป็นองค์เทพสององค์ยืนเด่นอยู่ในท่ามกลางม่านอากาศราตรี แสงเรืองรองส่องจากร่างกายองค์เทพทั้งสอง

“พระอัศวิน!”

สหเดชะรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งอินทรีย์ มองเห็นองค์เทพที่ตนเพิ่งสวดพระนามอ้อนวอนมาปรากฏกายตรงหน้า พลังอำนาจอันประกอบกันขึ้นเป็นเทพนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก ข่มให้ร่างกายอ่อนยวบ วิทยาธรหนุ่มทนไม่ไหวต้องค้อมศีรษะลงทำความเคารพ ทว่าลืมไปเสียสนิทว่ามีพระขรรค์จ่อติดลำคอ คมพระขรรค์จึงแทงเข้ากับลำคอของเขา โลหิตสีแดงไหลออกมาดั่งทำนบกั้นน้ำพังทลาย

พระนาสัตยะ หนึ่งในพระอัศวิน เทพฝาแฝด ก้าวเข้ามาใกล้ ท่านเอื้อมมือมาจับพระขรรค์เทพออกห่าง เพียงรัศมีของท่านเข้าใกล้สหเดชะ รอยแผลอันเกิดจากพระขรรค์ของพระทวารบาลก็หายวับไปทันที ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลอยู่ตรงนั้น

พระอัศวินเป็นแพทย์เทวะแห่งสวรรค์ มีรูปกายเป็นหนุ่มงดงามหล่อเหลาเป็นนิรันดร์ โด่งดังในทางมีเมตตาจิต มนุษย์หรือสัตว์โลกตกในที่ร้อนหากร้องหาท่าน ท่านก็จะช่วยเหลือ องค์หนึ่งคือพระนาสัตยะ อีกองค์คือพระทัศระ ท่านเป็นเทพแฝด เรียกกันในนามว่าพระอัศวิน

ด้วยท่านเป็นโอรสของพระสูรยะ หรือพระอาทิตย์เทพ จึงต้องทำหน้าที่ขับรถม้านำหน้ารถทรงพระอาทิตย์ออกมอบแสงสว่างให้โลกมนุษย์ การจะพบพระอัศวินได้ต้องรอกระทั่งท่านพักผ่อนจากหน้าที่แล้ว หรือก่อนท่านจะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น มิเช่นนั้นหากทะเล่อทะล่าเข้าไปอาจถูกแสงพระอาทิตย์อันเริงแรงแผดเผาเป็นจุณได้

ดังนี้ การจะเฝ้าพระอัศวิน ต้องรอก่อนยามอุทัยของพระอาทิตย์ หรือเมื่ออาทิตย์อัสดงเท่านั้น และในยามร้อนใจเช่นนี้ก็จำต้องมาเฝ้า ณ ถิ่นพำนักของท่าน แต่การเป็นเพียงวิทยาธรกึ่งเทพเช่นเขา จึงไม่สามารถผ่านเข้าไปในเขตแดนเขาพระสุเมรุได้ ต้องอยู่เพียงเชิงเขาเท่านั้น ก็อย่างที่เห็นนี่ปะไร ว่าเมื่อครู่พระทวารบาลไม่ยอมให้เขาผ่านประตูเข้าไป

“เราได้ยินเสียงสวดอ้อนวอนของเจ้า วิทยาธรหนุ่ม”

“ข้าแต่พระอัศวินพระเจ้าข้า” สหเดชะกระพุ่มมือไว้กับอก นมัสการองค์เทพ “ข้าพระองค์มีเรื่องทุกข์ร้อน ในไตรโลกนี้เห็นแต่พระองค์เท่านั้นจะช่วยได้”

พระทัศระ อีกหนึ่งเทพอัศวิน ขยับเข้ามายืนเคียงพระนาสัตยะ ท่านพิศดูสหเดชะแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเสนาะหวานดั่งสกุณาร่ำร้อง “ไฉนเจ้าไม่สวดอ้อนวอนพระพรหมธาดาเล่า”

“พระพรหมธาดาเป็นพระตรีมูรติ ไหนเลยข้าพระองค์จักกล้าเรียกขานพระนามของมหาเทพผู้สร้างโลก”

พระนาสัตยะหันไปมองร่างมักกะลีผลหนุ่มน้อย ภายในดวงตาของท่านเกิดประกายสว่างแวบหนึ่ง สีหน้าประหลาดใจฉายวาบ ก่อนท่านจะยกมุมปากยิ้มขึ้นราวกับจะซ่อนอารมณ์สนเท่ห์นั้นไว้ แล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา

“เจ้าสวดอ้อนวอนเราเพราะเด็กหนุ่มผู้นั้นหรือ”

“พระเจ้าข้า” สหเดชะเอ่ยตอบ ภายในใจเต็มไปด้วยความหวัง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหากตนสารภาพไปว่าทำสิ่งใดไว้ มิรู้องค์เทพจะลงโทษเขาหรือไม่ “ข้าพระองค์...”

“อย่ากังวลเลย สหเดชะ” พระทัศระเอ่ยปลอบ “เรื่องที่เจ้าทำลงไปแล้วก็ปล่อยไปเสีย มิใช่กงการอะไรของเราจักเข้าไปยุ่งเกี่ยว หากเจ้าต้องได้รับการตัดสินโทษการกระทำก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายเหนือหัวเจ้าเถิด เจ้าสวดอ้อนวอนเราด้วยเรื่องใด เราก็จักช่วยเจ้าในเรื่องนั้น”

ในคำพูดขององค์เทพ สหเดชะสัมผัสรู้ว่าท่านอ่านเข้าไปถึงในความคิดเขา ล่วงรู้ว่าเขาทำสิ่งใดลงไป รู้ว่าเหตุใดเขาจึงตัดสินใจกระทำเช่นนั้น และรู้อีกว่า...สิ่งใดทำให้เขาเป็นกังวลอย่างที่สุด สิ่งใดจะรอดพ้นญาณทิพย์ของท่านไปได้ ท่านจะไม่รู้หรือว่าเด็กหนุ่มที่นอนพับอยู่บนพื้นนั้นเป็น ‘สิ่งใด’ กันแน่ และหากต้องการทำตามคำขอของวิทยาธรผู้ต่ำต้อยเช่นเขา องค์เทพก็ต้องทรงรู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง

เมื่อได้ยินคำเอ่ยปลอบประโลมเช่นนั้น เขาจึงรู้สึกปลอดโปร่งเหลือจะกล่าว

“เป็นพระมหากรุณาล้นพ้นพระเจ้าข้า”

พระอัศวินทั้งสองขยับกายเพียงนิดเดียวก็ไปโผล่อยู่เบื้องหน้าร่างเล็กกระจ้อยร่อยของมักกะลีผลหนุ่มน้อยแล้ว พระนาสัตยะยื่นมือออกไป หงายฝ่ามือขึ้น พลันร่างของเด็กหนุ่มที่นอนหลับไร้สติอยู่ก็ค่อยๆ ขยับเคลื่อนขึ้นยืนตรง โดยที่ดวงตายังปิดสนิท

พระนาสัตยะวางนิ้วชี้จ่อไว้บนหน้าผากของมักกะลีผล เอ่ยด้วยเสียงเสนาะฟังชัด สหเดชะได้ยินชัดทุกถ้อยกระบวนความ ราวกับเป็นเสียงนกโกกิลาร้องอยู่ใกล้หู

“ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไร้ต้นเหตุดอกหนา สหเดชะ”

พระทัศระเองก็ยื่นมือเข้าไปใกล้หน้าผากมักกะลีผล แตะนิ้วชี้ไว้เคียงคู่กับพระเชษฐา “แม้จักฝืนกฎ แต่เห็นแก่ความปรารถนาแรงกล้าของเจ้า พวกเราเองก็จักช่วยเท่าที่ทำได้”

ลำแสงสีทองสว่างวาบขึ้นจากปลายนิ้วของพระอัศวินทั้งสอง มันโอบรอบร่างของมักกะลีผลหนุ่มน้อยไว้ราวกับเป็นอาภรณ์เครื่องห่มอันอบอุ่น

คิ้วอันขมวดกันยุ่ง และสีหน้าซึ่งแสดงความไม่สบายกายค่อยคลายลง แล้วใบหน้านั้นก็หลับพริ้มราวกับมีฝันอันบรมสุข ดวงหน้าเปล่งปลั่งไร้ความเจ็บใดๆ เขาไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด ทว่าหลับต่อไปเช่นนั้น ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ มั่นคง

“ขอบพระทัยองค์เทวะ” เมื่อเห็นว่ามักกะลีผลหนุ่มไม่เป็นอันตรายอันใดแล้ว สหเดชะจึงกระพุ่มมือไหว้พระอัศวินผู้โอบอ้อม “ข้าพระองค์จักขอเป็นข้ารับใช้องค์เทวะทุกวาร หากพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ถ้าสหเดชะผู้นี้จักช่วยได้ แม้ต้องสิ้นชีวิตก็ไม่เกี่ยงงอน”

“อย่าลำบากถึงเพียงนั้นเลย วิทยาธร” พระนาสัตยะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับบิดามองบุตรน้อย “หากเจ้าสวดอ้อนวอนเราด้วยใจจริง เจ้าก็จะถึงซึ่งพรที่ปรารถนา แต่หากเจ้าสละชีวิตให้เราแล้วไซร้ ก็จะเป็นบาปตกสู่เราเสียน่ะสิ”

พระทัศระเอ่ยเสริม “จงกลับสู่ถิ่นที่อยู่ของเจ้าเถิด ยามพระโสมเสด็จสู่ท้องโพยมเช่นนี้ ไม่เหมาะควรที่เจ้าจะมาเดินเที่ยวอยู่ใกล้นครไตรตรึงษ์ กลับสู่จาตุมหาราชิกเสีย เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีกแล้ว” องค์เทพวาดมือหนึ่งครั้ง ร่างมักกะลีผลก็เปลี่ยนจากยืนเป็นนอนราบทันที ร่างนั้นลอยไปในอากาศ ค่อยๆ ลอยต่ำลงไปนอนอย่างสงบอยู่ตรงหน้าของสหเดชะผู้กำลังกระพุ่มมือเพียบแต้

พระนาสัตยะมองใบหน้าเปี่ยมด้วยความโล่งใจของวิทยาธรหนุ่มแล้วก็สรวญออกมาเบาๆ “สหเดชะ จงจำไว้ด้วยนะ ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ยืนยง สิ่งใดเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ใจของมนุษย์นั้นหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าสายน้ำไหลในธาร ไม่มีอะไรให้เจ้ายึดติดได้หรอก”

ด้วยคำกล่าวนั้น พระอัศวิน แพทย์แห่งสรวงสวรรค์ก็กลายร่างเป็นกลุ่มพลังอร่ามเรือง พุ่งขึ้นสู่ยอดเขาพระสุเมรุในทันใด

สหเดชะครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดขององค์เทพ ก่อนจะก้มลงมองร่างอันนอนสงบเรียบร้อยของมักกะลีผลหนุ่มน้อย แม้ใจจะรู้สึกว่ายังคงมีบางอย่างถ่วงไว้ ทว่าการได้เห็นร่างอันต้องตาพึงใจพ้นอันตรายแล้วนี้ก็ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างเป็นสุข

วิทยาธรหนุ่มหันไปกระทำการไหว้สมาพระทวารบาลที่ได้ล่วงเกินไปเมื่อครู่ องค์พระทวารบาลมิได้เอ่ยคำใด ทว่าหันกลับไปยืนประจำที่แห่งตน แล้วร่างของเทพผู้เฝ้าประตูสู่ไตรตรึงษ์ก็เลือนหายไป แต่สหเดชะมั่นใจเหลือเกินว่าท่านก็ยังคงสถิตอยู่ที่นั่นเอง ไม่ได้ไปไหน คอยเฝ้าระวังมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปสู่นครหลวงแห่งดาวดึงส์สวรรค์

สหเดชะมองใบหน้าหลับพริ้มนั้นแล้วรู้สึกห้ามใจไม่อยู่ ก้มลงแตะริมฝีปากกับหน้าผากมนสวย เมื่อยามผละออกมานั้นอกใจก็ให้เต้นกระหน่ำยิ่งนัก รีบช้อนร่างมักกะลีผลขึ้นยืน กวัดแกว่งพระขรรค์คู่มือ แล้วเหาะขึ้นสู่ฟ้าราตรีซึ่งนวลสว่างด้วยแสงอบอุ่นจากดวงแขไข


+++++++

เจอกันตอนต่อไปในวันจันทร์หน้านะคะ คราวนี้ขอให้พี่สหเดชะได้ 'ลิ้มลอง' มักกะลีผลนี้บ้างเถิด
แป้งจี่ต้องขอบคุณเพื่อนๆ มากที่เข้ามาอ่านและทิ้งคอมเมนต์ไว้ อาจจะยังไม่ได้ตอบแต่ก็อ่านของทุกคนนะคะ ^____^
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-03-2019 23:11:14
รอค่ะ :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 11-03-2019 23:18:23
 :hao7: อร้ายยยยยย ตอนหน้าจะเป็นยังไงต่ออออ รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-03-2019 00:12:34
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 12-03-2019 00:31:04
5555 ใจตรงกับคุณพระเอกซะด้วย นั่งชิดขอบเวทีกันเลย
คุณเทพอัศวินพูดแบบนั้น คงจะไม่ดราม่ามากใช่มั้ยคะ มีพบก็มีจาก แต่คงไม่ใช่ 7วันใช่มั้ย
แบบนั้นคงสงสารสหเดชะแย่
น่าจะเสกน้องให้เป็นคนซะเลย
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-03-2019 01:55:09
คือชอบที่นำเอาไทยแฟนตาซีมาแต่ง รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-03-2019 06:55:45
แววดราม่า.....เริ่มมาและ  o22 :mew2: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-03-2019 07:30:01
ท่านอัศวินทั้งสองใจดีจังเลย
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-03-2019 11:44:09
อยู่ด้วยกันไปเลยได้มั้ย ;-;
หัวข้อ: Re: [ [ มณีพิทยาธร ] ] บทที่ 2 [11-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 13-03-2019 07:57:36
อยากให้ถึงจันทร์หน้าเร็ว ๆ    :serius2:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 18-03-2019 20:04:18
มาแล้วนะคะ ทีแรกวางไว้ว่าจะให้เขาได้ลิ้มลองกัน
แต่ปรากฏว่าเขียนไปแล้วน้องน่ารักเกิน เก็บน้องไว้ก่อนไม่ให้พี่สหเดชะได้กิน
แต่ก็หวังว่าเพื่อนๆ อ่านตอนนี้แล้วจะชอบนะคะ


***



บทที่ 3



ศึกชิงนางระหว่างชาวฟ้าจาตุมหาราชิกานั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ครานี้ราวกับโชคเข้าข้าง สหเดชะพามักกะลีผลหนุ่มน้อยกลับมาสู่วิมานของตนได้โดยสวัสดิภาพ หรืออาจเป็นด้วยบารมีของพระอัศวินบันดาลมิให้สิ่งใดมากล้ำกรายพวกเขาได้กระมัง

มักกะลีผลหลับสบายไม่รู้สึกตัวตลอดทางจากแดนดาวดึงส์มาถึงเขตแดนจาตุมหาราชิกา ใบหน้าหลับพริ้มนั้นถูกอาบด้วยแสงสว่างนวลละมุนของพระโสมจากท้องโพยมบน พิศคราใดก็พึงใจครานั้น

วิมานของชาวฟ้าแห่งสวรรค์ชั้นแรกเป็นเกาะขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ลอยอยู่ในเวิ้งฟ้าอากาศ บนเกาะเหล่านั้นมีวิมานเอกเทศของชาวฟ้าตั้งอยู่ รัศมีที่เปล่งออกมาจากวิมานเหล่านี้เป็นสีต่างๆ กันแล้วแต่บารมีของเจ้าของวิมาน

วิมานของสหเดชะเป็นสีเขียวดังเช่นรัศมียามที่เขาใช้อิทธิฤทธิ์นั่นละ เขาแลเห็นวิมานตนอยู่ไม่ไกล จึงเร่งเหาะเข้าไปหาด้วยอยากจะวางร่างของมักกะลีผลน้อยให้ได้พักผ่อนบนเตียงนุ่มๆ ของตน

นับแต่เขาบำเพ็ญเพียรสั่งสมตบะบารมี เกาะและวิมานของเขาก็เพิ่มขนาดขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บัดนี้นอกจากวิมานอันเป็นปราสาทซึ่งมีห้องหับอยู่มากมาย โดยรอบตัวปราสาทก็เป็นสวนขวัญอันดาษดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ มีธารน้ำผุดจากตาน้ำไม่ไกลจากตัวปราสาทนัก

ถัดจากสวนดอกไม้นั้นเป็นป่าไม้ผลซึ่งให้ลูกดกดื่นทุกฤดูกาล ผลไม้สุกส่งกลิ่นหอมอบอวลลอยมาถึงปราสาททีเดียว ผลไม้เหล่านี้มีรสชาติหวานฉ่ำ ยามกัดกินจะได้รสหวานลิ้นและมีน้ำหวานไหลออกมาชุ่มปากทีเดียว สหายวิทยาธรจะชอบใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อสหเดชะชวนมาสนทนาพาทีที่วิมานแห่งนี้ เพราะจะมีโอกาสลิ้มลองผลไม้รสเลิศดังว่า

สหเดชะค่อยๆ ร่อนลงแตะพื้นหญ้าอ่อนนุ่มของสวนดอกไม้ ลมกลางคืนพัดให้ไม้ดอกก้านยาวทั้งหลายร่ายระบำกับลมรำเพย กลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้จากในสวนป่าลอยมากับลมนั้น พระขรรค์คู่มือกลายเป็นเพียงละอองสีเงินหายไป เขาค่อยก้าวย่างเข้าไปใกล้วิมานของตน มองใบหน้าหลับพริ้มเป็นสุขนั้นด้วยอกใจไหวเต้น ราวกับกวางหนุ่มออกวิ่งในคืนจันทร์เพ็ญ หัวใจระรื่นเริงลิงโลดด้วยเห็นท้องทุ่งกว้างไกลแผ่ออกไปจนสุดสายตานอนราบอยู่เบื้องหน้า

ภายในปราสาทของสหเดชะนั้น ล้วนแล้วไปด้วยเครื่องเรือนอันประกอบด้วยแก้วมณีล้ำค่าหลายประการ หากมนุษย์คนใดได้เห็นก็คงเต้นเร่าด้วยความละโมบ

บัดนี้เสียงแก้วระย้าซึ่งห้อยอยู่ตรงบานหน้าต่างกำลังส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง เขาเดินอย่างคุ้นเคยกับสถานที่เข้าไปในส่วนโถงหลับนอนซึ่งอยู่ด้านหลังของปราสาท ผนังโถงนอนติดไว้ด้วยผ้าปักลงดิ้นทองเป็นลวดลายของสัตว์ป่าและผืนพนาจนรู้สึกราวกับว่าหากก้าวเข้าไปในห้องนี้เมื่อใดก็ราวกับกำลังเดินท่องอยู่ในพงไพรเลยทีเดียว

บรรจถรณ์หรือเตียงนอนตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าต่างนัก สหเดชะค่อยๆ วางร่างผอมลงบนเตียงอ่อนนุ่ม ร่างน้อยๆ ราวกับจะจมลงบนผ้าซึ่งปูลาดไว้บนเตียงนอนหลายชั้น

มักกะลีผลผู้อาภัพอยู่ในชุดห่อกายง่ายๆ เป็นผ้าสีเขียวตองอ่อน สหเดชะเสกขึ้นมาเพื่อห่อกายให้เพื่อปิดร่างกายนี้จากสายตาผู้อื่น

ใบหน้าของมักกะลีผลน้อยบัดนี้ไม่ซีดเผือด มองซ้ำๆ ก็จะเห็นเลือดฝาดอยู่บนผิวแก้ม สหเดชะยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ก็ราวกับจะได้กลิ่นหอมเบาๆ นึกว่าเป็นกลิ่นดอกไม้และผลไม้ป่า ทว่ายิ่งจมูกใกล้กับผิวแก้มของมักกะลีผลน้อยก็ยิ่งมั่นใจว่ากลิ่นหอมพิสุทธิ์นี้มาจากร่างนอนสงบบนเตียงนี่เอง

วิทยาธรผู้ตกในห้วงอารมณ์ยื่นมือแตะบนผิวกายของมักกะลีผลพลางร่ายพระเวท ทำให้คราบฝุ่นหรือความสกปรกใดๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อยามเข้าเฝ้าพระอัศวิน ณ เชิงเขาพระสุเมรุก็หายไปอย่างอัศจรรย์ ทิ้งไว้เพียงผิวกายอันขาวผ่อง มองเห็นความเรียบลื่นสะอาดราวกับผิวกายของนางเทพอัปสร

สหเดชะหยิบผ้าผืนใหญ่ บาง ลื่นมือ มาห่มให้กับมักกะลีผลน้อย ด้วยเกรงว่าลมกลางคืนแห่งแดนฟ้าจักหนาวเกินกว่าร่างนี้จะทนได้ 

พิศดูใบหน้าหลับพริ้มก็เห็นริมฝีปากอิ่มปิดกันสนิทแนบ ให้รู้สึกว่ามันช่างยั่วยวนให้ลิ้มลองเหลือเกิน สหเดชะหักใจเสีย แล้วแตะจมูกเข้ากับผิวแก้มนุ่มๆ นั้นแทน เขาสูดความหอมนั้นเข้าไปนาน กลิ่นหอมราวจะตรึงเขาไว้ตรงนั้นมิให้ละจมูกออก แต่การเสพสิ่งใดก็ต้องมีการยับยั้งใจ ดังนั้นไม่นานจึงผละใบหน้าออกมาจากแก้ม

แม้ใจจะปรารถนาได้กอดมักกะลีผลนี้เท่าใด ก็ยังต้องรอให้เจ้าของร่างฟื้นขึ้นมาเสียก่อน อีกอย่างหนึ่ง...มักกะลีผลหนุ่มน้อยนี้ยังไม่ถึงวันสุกงอมด้วยซ้ำ อย่างไรเสียเขาก็คงต้องรอดูท่าทีของเจ้าตัวก่อน

เขาจะใจไม้ไส้ระกำพรากพรหมจรรย์จากคนที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติเช่นนี้ได้อย่างไร หากทำเช่นนั้นเขาก็คงถูกเนรเทศจากแดนฟ้านี้เป็นแน่

สหเดชะแตะนิ้วเข้ากับแก้มขาวๆ นั้น มองจ้องดวงหน้าหลับพริ้มอย่างอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากจะละสายตาจากใบหน้านี้ไปแม้สักชั่วหายใจเดียว แล้ววิทยาธรหนุ่มก็ขยับออกห่าง มองน้องน้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนั้น

***

ไม่รู้ว่าเสียงนกร้องดังมาจากที่ใด แต่มักกะลีผลหนุ่มน้อยก็คุ้นชินกับการถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงธรรมชาติจำพวกนี้เสียแล้ว พอสดับเสียงร้องเจื้อยแจ้วของสกุณาห่างออกไปไม่ไกล เขาก็ลืมตาตื่น สติรับรู้ว่าแสงอุ่นส่องเข้ามา

มักกะลีผลมองเห็นสถานที่แปลกตา จึงขยับแขนขา พาตนเองลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ มองเห็นสภาพแวดล้อมไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

เขาอยู่ในสถานที่แปลกยิ่งนัก มองไม่เห็นท้องฟ้า ไม่เห็นหมู่เมฆขาว มีสิ่งของแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด แล้วเขายังนั่งอยู่บนสิ่งแปลกๆ อย่างหนึ่งด้วย

พื้นหญ้าเขียวขจีไปไหนเสียแล้วล่ะ

ชายป่าใหญ่ตั้งตระหง่านในท่ามกลางแสงแดดและสายฝนไปไหนเสียแล้ว

เขามองหาเจ้าสัตว์ที่มีกิ่งไม้บนหัว และเจ้าสัตว์ตัวน้อยที่กระโดดแผล็วตามพื้นหญ้า ไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว

แล้วสหายของเขาล่ะ เหล่านารีผลที่บ้างยืนบ้างนั่งอยู่ด้วยกันนับแต่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในป่าแห่งนั้น บัดนี้ไม่มีแม้แต่เงา ปล่อยเขาให้อยู่เปลี่ยวดายในสถานที่แปลกตานี้ เขาเกิดความรู้สึกตระหนก ในอกเย็นวาบด้วยเกรงว่าตนจะตกมาอยู่ในกำมือของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายเสียแล้ว

จริงซี บุรุษผู้นั้น คนผู้นั้นเดินเข้ามาหาเขา แล้วก็ยกวัตถุที่มีสีราวก้อนเมฆนั้นขึ้นมาตัดขั้วบนศีรษะของเขา

เราอยู่ที่ไหนกัน มักกะลีผลหนุ่มน้อยรู้สึกเย็นวาบในอก มิใช่เรา ‘จาก’ พวกพ้องมาแล้วหรือ ไฉนเพื่อนๆ ของเขาบอกว่าตอนจากไปนั้นจะไม่เจ็บปวด เป็นเพียงการละจากสถานที่เกิดไปในอ้อมกอดของคน ‘เหล่านั้น’

มักกะลีผลน้อยกระหวัดถึงโมงยามที่คมพระขรรค์ตัดผ่านขั้วบนศีรษะ เขายกมือขึ้นไปกุมไว้ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อไม่พบแม้ร่องรอยของขั้วมักกะลีผลใดๆ ตรงศีรษะบริเวณนั้นมีเพียงกลุ่มผมนุ่มๆ มิพักเขาจะพยายามขยุ้มหาปุ่มปมใดๆ ก็เปล่าประโยชน์ ซ้ำยังเครื่องนุ่งห่มบนกายเขาอีก มักกะลีผลน้อยลูบมือไปตามอาภรณ์บนกาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วคนผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว

เสียงนกร้องดังขึ้นอีก เขาจึงหันกายไปทางทิศนั้น ก้าวขาลงจาก...

ก้าวขาหรือ?

เขาสามารถขยับกายอย่างอิสระได้แล้วหรือนี่?

ใช่สิ เขาถูกตัดจากขั้วต้นมักกะลีผลแล้วนี่ แล้วก็คงถูกพามาไกลจากต้นแม่เสียแล้วละซีนะ ไม่ทราบว่าไกลเพียงไหนกันแน่ สถานที่จึงแปลกตาเช่นนี้

มักกะลีผลน้อยนั่งห้อยเท้าอยู่ขอบเตียงเช่นนั้น มองที่เท้าของตนเอง แล้วลองแกว่งไปมา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้ามีแต่ความประหลาดใจ เขาขยับขาอีกสองสามครั้ง จึงลองเอาเท้าแตะพื้น

พอเท้าสัมผัสพื้นอันเย็นสบาย ดวงตาก็เบิกโพลง มักกะลีผลปล่อยเท้าวางไว้บนพื้นเช่นนั้นอยู่สักชั่วเวลาหนึ่ง จึงค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนขาข้างนั้น มือหนึ่งจับยึดขอบเตียงไว้ ค่อยๆ พยุงกายยืดขึ้น แล้วทันใดนั้นเอง เจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อยก็ยืดตัวได้ตรงได้อย่างเพื่อนๆ นารีผลเหล่านั้น!

“ฮ้า!”

เขาส่งเสียงประหลาดออกมา ดวงตาเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ กระนั้นริมฝีปากก็คลี่เป็นรอยยิ้มกว้าง ดวงหน้าราวกับจะสว่างจ้า ดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับเห็นโลกใหม่อยู่เบื้องหน้าตน

เสียงนกร้องขึ้นมาอีกครั้งเป็นเสียงเสนาะ

เขาหันไปมอง เห็นเจ้านกสีสวยเกาะอยู่ตรงช่องนั้น มันเอียงคอมองเขาราวกับจะถามว่าเจ้ามักกะลีผลเอ๋ย เจ้าทำสิ่งไรอยู่กันเล่า

ลมกำลังพัด ทำให้เจ้าวัตถุที่ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งอยู่ตลอดนั้นร่ายรำ เบื้องหลังม่านแก้วระย้านั้น...เป็นทุ่งดอกไม้และผืนป่า!

มักกะลีผลยิ่งเปิดยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายระยิบ

ด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง เจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อยก็เริ่มก้าวขาออกไปข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงก้าวขาอีกข้างตามไป

ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ค่อยย่องย่าง ก้าวสาม ก้าวสี่ ค่อยเตาะแตะ ก้าวห้า ก้าวหกค่อยเร่งฝีเท้า

ร่างผอมๆ ถลาไปข้างหน้าอย่างคนไม่คุ้นกับการเดิน เซไปทางนั้น เฉียงไปทางนี้ จะล้มมิล้มแหล่ กางแขนออกอย่างกับนกแล่นลม

แม้จะทุลักทุเลเพียงใด สุดท้ายก็ไปถึงช่องหน้าต่างนั้นจนได้

ใบหน้าอ่อนเยาว์อาบไปด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกว่าต้องจากเพื่อนพ้องมาโดยกะทันหันก็อย่างหนึ่ง ความไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ ณ หนไหน แล้วจะมีอันตรายหรือไม่ก็อย่างหนึ่ง แต่ขณะนี้สิ่งที่ทำให้อกพองราวกับจะระเบิดก็คือการที่ตนเองสามารถยืนสองขา และก้าวขาทั้งสองพาร่างจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้!

ผืนป่านั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่หรือ ทุ่งดอกไม้นี้มีดอกไม้ใดบ้างหรือ แล้วจะมีเจ้าสัตว์ตัวน้อยขนปุยคอยวิ่งจากพงหญ้านี้ไปยังพงหญ้านั้นหรือไม่

นกน้อยจอมกะล่อนส่งเสียงร้องเสนาะหูมาอีกครั้ง คราวนี้มันเกาะอยู่กับกิ่งไม้ไม่ไกลจากช่องบัญชรนัก มันเอียงหัวไปข้างหนึ่งแล้วมองร่างขาวสว่างที่กำลังยิ้มกว้างราวกับเสียสติ

เจ้ามักกะลีผลผู้เพิ่ง ‘ตื่น’ มาสู่โลกอีกครั้งยื่นหน้าออกไปมองโลกกว้างภายนอก แสงสีมากมายปนเปกันไปหมด แต่สีเดียวที่เป็นหนึ่งกว่าสีใด คือสีเขียวแห่งพืชพันธุ์ นี่คือสวนสวรรค์ที่เพื่อนของเขาเคยบอกเล่าไว้หรือ

มักกะลีผลยงโย่ยงหยกอยู่ตรงหน้าต่าง ทิ้งน้ำหนักไปด้านหน้า มือจับขอบหน้าต่างกระชับมั่น พยายามยกตัวให้สูงขึ้นจากพื้น เพื่อจะออกไปจากหน้าต่างตรงนั้นไปสู่ความเขียวขจีภายนอก

***

“เดี๋ยว!”

สหเดชะทิ้งเจ้ามักกะลีผลน้อยไว้บนเตียงนอนของตน เขาผละจากไปสู่โถงอื่นๆ อันว่างเปล่าและเย็นเยียบเงียบเหงา

ขณะก้าวเดินไปตามโถงทางเดินของปราสาทอันกว้างใหญ่ เขาก็เพิ่งตระหนักได้บัดนี้เองว่า ตนเองโดดเดี่ยวเพียงใด การรักสันโดษของเขานั้นสรุปว่าดีหรือไม่ กระนั้นเขาก็ไม่ต้องการสหายมากมีหรอกนะ วิมานของเหล่าวิทยาธรที่อยู่ไม่ไกลจากเขาก็มีมากมาย ทว่าเขาก็ไม่รักจะพาทีด้วยเท่าไร ยามเมื่อเขานึกสนุกจึงเชิญสหายวิทยาธรมาที่วิมานของตนบ้างสักที มิฉะนั้นก็ไปเยี่ยมเยือนสหายอื่นๆ บ้าง

มาบัดนี้เมื่อกระหวัดไปถึงความหอมของแก้มมักกะลีผลหนุ่มน้อย ความนุ่มของผิวอันไร้จุดกระดำกระด่าง เขากลับพบว่าหัวใจกำลังเริงร้อนด้วยเปลวระอุบางอย่าง แม้นว่าเคยกอดนารีผลมาบ้าง ก็มิใช่ด้วยความรู้สึกอันโหมกระหน่ำด้วยคลื่นแห่งเปลวร้อนเช่นนี้ ความรู้สึกนี้แหละ...ยิ่งทำให้เขาตระหนักว่าวิมานแห่งนี้ หรือความรักสันโดษก็มิใช่สิ่งน่าพิสมัยอีกแล้ว

ราตรีนั้นผ่านไปด้วยการนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญตบะให้กล้าแข็ง ทว่าแทนที่การกำหนดใจในสมาธิจะสุขสมดังเช่นเคย เขากลับรู้สึกราวนั่งอยู่บนกองถ่านแดงเริงกล้า มันร้อนราวกับจะย่างร่างของเขาให้สุก จิตเขาขยับเข้าใกล้และออกห่างสมาธิอยู่ทั้งราตรี ภาพผุดขึ้นมาในห้วงมโนนึกคือร่างกายขาวผ่อง ลำแขนกล้องแกล้งดังเทพเกลา ดวงหน้าพิสุทธิ์ราวกับอาบไว้ด้วยนวลแห่งแสงจันทร์

มักกะลีผลผู้นั้นช่างร้ายเอาการ!

เมื่อยามโกกิลาร่ำร้อง ชายป่าก็พรั่งพร้อมด้วยเสียงสกุณาฟื้นตื่นออกหากิน สหเดชะลืมตาขึ้นมาจากสมาธิอันไม่สงบ ผันกายก้าวเดินฉับๆ กลับไปยังโถงนอนของตนทันที

เมื่อก้าวมาถึงตรงประตูโถงนอนเท่านั้น เขาก็เห็นร่างผอมๆ กำลังยักแย่ยักยันอยู่กับช่องหน้าต่าง ราวกับจะกระโจนออกไปเสียให้ได้

เหมือนมีใครเอากริชมาคว้านดวงใจของเขาออกไปจากอก มันว่างโหวง และวูบหาย จนเขาต้องตะโกนออกไปสุดเสียง

“เดี๋ยว!”

ร่างนั้นชะงัก จับยึดขอบบัญชรไว้มั่น ค่อยๆ หันกลับมามองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ท่าน” ร่างนั้นเอ่ยคล้ายไม่แน่ใจ

สหเดชะกระโจนเข้าไปในโถงนอน พริบตาเดียวก็ถึงตัวมักกะลีผล เขาจับแขนฝ่ายนั้นไว้

“จะไปไหน”

เขาเอ่ยรวดเร็ว ร้อนรน จนน้ำเสียงดุดัน ฝ่ายนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันหน้าหนี พยายามจะขืนกายออกจากเกาะกุม “ปะ...ปล่อยเรา”

“ประเดี๋ยวก่อน เจ้ามักกะลีผล” แทนที่จะปล่อย เขากลับจับแขนอีกข้างแล้วดึงให้หันมามองหน้ากัน “เจ้าจะไปไหน”

“เรา...เรา...จะออกไปทุ่งดอกไม้”

“อย่างนั้นหรือ” เห็นสวนขวัญอันอาบด้วยแสงสว่างแห่งพระสูรยาทิตย์แล้ว เขาก็เข้าใจ สวนดอกไม้คงคล้ายกับ ‘บ้านเกิด’ ซีนะ เขาหัวเราะออกมา “เช่นนั้นก็มาทางนี้เถิด”

เขาจับจูงเจ้าหนุ่มน้อยออกมาจากโถงนอน เดินผ่านห้องหับอันมากหลายล้วนแปลกตาแก่มักกะลีผลน้อย พอออกพ้นปราสาทมาได้ สวนขวัญแห่งสหเดชะก็นอนราบอยู่เบื้องหน้า ธารน้ำไหลตัดผ่านสวนนั้น มีสะพานหินข้ามผ่านธารน้ำ นกน้อยต่างๆ ขยับปีกขณะดื่มกินน้ำหวานเลิศรสจากดอกไม้นานาพันธุ์

สหเดชะชำเลืองมองใบหน้าของมักกะลีผล เห็นดวงตาของน้องเจ้าเบิกกว้าง แววตาเป็นประกายสว่างเจิดจ้า ปากอิ่มอ้ากว้าง ก่อนจะก้าวเท้าวิ่งออกไปสู่ความสว่างและสดชื่นนั้น

“อย่าวิ่งสิ ประเดี๋ยวจะหกขะล้ม”

แปลกจริง สหเดชะคิดในใจ นารีผลหรือมักกะลีผลที่เขาเคย ‘กอด’ ไม่เคยวิ่ง อาจแค่เดินกระย่องกระแย่ง ด้วยไม่คุ้นกับการเดินเช่นมนุษย์ ทว่าเจ้าน้องน้อยผู้นี้กลับออกวิ่งราวกับเป็นเด็กน้อยซนๆ คนหนึ่ง เพิ่งเห็นโลกใหม่อันสดใสและน่าค้นหา จึงออกวิ่งไปเพื่อให้เท้าสัมผัสกับพื้นหญ้า กับความชุ่มชื้นของธารน้ำและอากาศอวลอบด้วยกลิ่นบุปผาจรุง

หรือเพราะเป็นมักกะลีผลผู้ชาย? หรือเพราะอิทธิฤทธิ์ของพระอัศวิน?

สหเดชะส่ายศีรษะ ขณะมองเจ้าหนุ่มน้อยร่างเล็ก วิ่งไปรอบสวนดอกไม้ ใบหน้าเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม เส้นผมอ่อนนุ่มปลิวไปกับสายลม กางแขนวิ่งไปอย่างไม่กังวลต่อสิ่งใดในโลก คงลืมไปแล้วกระมังว่าเมื่อครู่นี้เองยังทำหน้าหวาดกลัวเขาอยู่เลย

วิทยาธรหนุ่มเปิดรอยยิ้มอ่อนละมุน แล้วออกเดินไปยังร่างเล็กผอมที่กำลังวิ่งวนไปวนมา

***

มักกะลีผลน้อยรับรู้ถึงความนุ่มของผืนดิน ความรู้สึกดียามต้นหญ้าเหล่านั้นสัมผัสเท้า และอากาศอันปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์อุ่นไม่ทำให้แสบตาสักนิด เขากางแขนออก หมุนร่างวนเป็นวงกลมคล้ายกับเจ้าลูกไม้ชนิดหนึ่งที่ปลิดจากต้นแล้วหมุนคว้างกลางอากาศลงสู่พื้นดิน

สถานที่แห่งนี้ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้

มักกะลีผลปล่อยเสียงประหลาดๆ ออกมาอีก เขาเคยได้ยินเหล่านารีผลทำเสียงเช่นนี้ยามบอกว่าเขาแปลก แล้วก็มองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ทว่ายามนี้แม้จะเป็นเสียงเช่นนั้นแต่มันแปลกออกไป ดังกว่าและทำให้ภายในอกของเขาโล่งสบายดีเหลือเกิน

“ชอบที่นี่หรือ? หัวเราะเสียงดังเชียว”

คนผู้นั้นมาปรากฏกายข้างๆ เขาอีกแล้ว มักกะลีผลหยุดเสียงหัวเราะไว้ แต่รอยยิ้มยังประดับบนใบหน้า ยืนนิ่งปล่อยให้ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ตัว คนผู้มีร่างกายสูงใหญ่ยืนไม่ห่างจากเขา กอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เสียงหัวเราะของเจ้าช่างไพเราะนัก”

“เรา...” ด้วยไม่รู้อะไร จึงหันรีหันขวาง รู้สึกประหลาดจริงๆ เมื่อครู่ตอนอยู่ภายในที่แห่งนั้นถูกเขาจับแขนแล้วรู้สึกร้อนจริงๆ ร้อนไม่ต่างกับตอนนั้นเลย...ตอนที่เขาสัมผัสแก้มก่อนจะยกวัตถุยาวขาววับขึ้นมาตัดขั้ว...

มักกะลีผลเบิกตากว้าง ถอยห่างจากวิทยาธรหนุ่ม “ท่านจะทำอะไรเรา”

“ไม่ต้องกลัว” คนตัวสูงใหญ่ทำท่าจะปราดเข้ามาจับตัวอีกแล้ว “พี่ไม่ทำอะไรเจ้าดอก”

“พี่?” มักกะลีผลเอียงคอมอง

สหเดชะคลี่ยิ้ม เอ็นดู “ใช่แล้ว พี่” พอเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ถอยหนีอีกจึงกล่าวสืบไป “อย่ากลัวพี่เลย พี่ไม่ทำอันตรายเจ้าดอก มาเถอะ มานั่งตรงริมธารนี้สิ แล้วพี่จะเอาผลไม้มาให้”

ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาจับแขนน้อยกล้องแกล้งของมักกะลีผล ก่อนจะจูงนำทางไปที่ริมธารใสช่วงหนึ่ง

มักกะลีผลยอมตามอย่างว่าง่าย คงเพราะความอุ่นจนร้อนซึ่งส่งผ่านมาทางสัมผัสฝ่ามือนั้นกระมัง ที่ทำให้เขาไม่สะบัดออกแล้ว อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้มิได้มุ่งหวังอันตรายใดๆ ต่อเขา

ในอกของมักกะลีผลนั้นอุ่นวาบ ยิ่งยามมองใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ ของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่าแสงอาทิตย์นี้คงไม่มีวันหายไป

ร่างสองร่างนั่งลงกับริมธาร ตลิ่งช่วงนี้ไม่สูงนัก จึงไม่ต้องเกรงว่าจะตกลงไปในน้ำได้

มักกะลีผลปล่อยให้คนผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นจับมือทั้งสองข้างของเขา ฝ่ายนั้นกุมมือเขาไว้หลวมๆ ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ เอ่ยถามเสียงไม่ดังนัก

“เจ้ามีนามว่ากระไรรึ?”

“นาม?”

“มักกะลีผลไม่มีนามเรียกกันและกันหรือ?”

เจ้าร่างน้อยส่ายศีรษะ “ทำไมต้องมีนาม?”

“เจ้าเรียกดอกไม้นี้ว่ากระไร แล้วต้นไม้ตรงนั้นเล่า? พื้นหญ้าเขียวขจีอีก เจ้าไม่มีนามเรียกมันหรือ”

มักกะลีผลส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “ไม่...ไม่รู้”

“เช่นนั้นฤๅ”

มักกะลีผลมองหน้าอีกฝ่ายด้วยฉงน ขณะฝ่ายนั้นกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด พึมพำเบาๆ “นารีผลก่อนๆ ก็ไม่เคยบอกนามแก่เราสักคนนี่นะ” แล้วทันใดก็ยิ้มกว้างออกมา “เช่นนั้นพี่จะให้คำเรียกนามแก่เจ้าเอง เจ้าบอกพี่มาซิ เจ้าเห็นสิ่งใดแล้วเป็นสุข”

มักกะลีผลเอียงคอมองอีก

คนผู้นั้นขมวดคิ้ว “พี่เห็นเจ้าวิ่งเล่น หัวเราะ มีความสุข”

“แดด...แสงแดด อุ่น” ใช่ว่ามักกะลีผลจะไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ นั้นเรียกว่าอะไร อำนาจบางอย่างทำให้รู้ว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเรียกว่าอะไร แต่ก็ใช่จะรู้ทั้งหมด “เราชอบ ตอนเราตื่น...เราเห็นฝน สายฝนตกจากฟ้า แล้วเราก็เห็น...แสงแดด”

“แสงแดดหรือ”

“แล้วเราก็เห็นทุ่งดอกไม้ หญ้า เจ้าสัตว์ตัวน้อยขนปุยกระโดดแผล็วไปมา”

“สัตว์อะไรหรือ”

“หูมันยาว...” ว่าพลางก็จับหูตนเองยืดออกราวกับจะให้ยาวอย่างที่จินตนาการ “แล้วก็ตาสวย”

“กระต่ายป่าหรือ?”

“กระต่าย” ดวงตาโต สีดำสุกใส ยิ่งโตขึ้นอีก “เจ้ากระต่ายน้อยนั่นเอง” รอยยิ้มน้อยๆ แผ่กว้างสว่างจ้า มือของมักกะลีผลจับเข้าที่แขนของวิทยาธรบ้าง เขย่าอย่างเด็กดีใจ “กระต่ายน้อยน่ารัก กระโดดแผล็วไปมา”

“เจ้าชอบกระต่ายหรือ?”

“ชอบ เราชอบ มีอีก...มีสัตว์ตัวใหญ่ๆ ขายาว มันมีกิ่งไม้อยู่บนหัวด้วย กิ่งไม้ยาวๆ มากหลาย” ว่าพลางก็เอามือตัวเองไปชี้โบ๊ชี้เบ๊เหนือศีรษะ “บางตัวก็มีกิ่งเยอะๆ บางตัวก็มีกิ่งน้อย บางตัวก็ไม่มีกิ่ง”

“กวางป่านั่นเอง”

“ใช่ๆ กวางป่า กวางป่าตัวโต กับกิ่งไม้บนหัว”

“กิ่งไม้บนหัวของกวางเรียกว่าเขา”

“ใช่ๆ บางตัวมีเขา บางตัวก็ไม่มีเขา” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็สลดลง

วิทยาธรหนุ่มเอ่ยถามอย่างเอ็นดู “เจ้าชอบกวางมีเขาหรือไม่มีเขา”

“ชอบทั้งสอง แต่ชอบแบบมีเขามากกว่า”

“เช่นนั้นหรือ?”

กวางตัวผู้นั่นเอง

“แล้วมีสัตว์อะไรอีก”

“มี...มีนก นกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว” เอ่ยถึงตรงนี้เจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อยก็คล้ายกับนึกถึงเรื่องบางอย่างออก จึงหันซ้ายหันขวามองหาอะไรบางอย่าง

“อะไรหรือ อยากได้อะไร”

“นก เจ้านกน้อย...”

“ที่นี่มีนกในป่ามากมาย ในสวนนี้ก็มีนก เจ้าอยากได้หรือไม่ พี่จะจับให้”

“ไม่ ไม่เอา เมื่อครู่...เมื่อครู่มีนกน้อยร้องจิ๊บๆ”

วิทยาธรหนุ่มยิ้มอ่อนหวาน จับมือของเจ้ามักกะลีผลไว้มั่น “พี่จะหานกร้องเพลงมาให้เจ้า แต่ตอนนี้พี่รู้ละว่าจะเรียกเจ้าด้วยนามใด”

เจ้าน้องน้อยมองหน้าอีก

คนตัวใหญ่จึงเอ่ยคำ

“รวี...รวีพิรุณ”

คนตัวผอมทวนคำ “รวี...พิรุณ”

วิทยาธรดวงตาเป็นประกายระยับ “ใช่แล้ว รวี...คือพระอาทิตย์ พิรุณ...คือสายฝน รวีพิรุณ...เจ้าเป็นทั้งความอบอุ่นและเย็นสดชื่น เช่นผิวกายเจ้า...และรอยยิ้มของเจ้า”

มักกะลีผลหนุ่มน้อยมองหน้าบุรุษผู้มีแผ่นอกผึ่งผายผู้นี้ มองเห็นประกายบางอย่างในดวงตา มันเป็นประกายอบอุ่น ทำให้ภายในอกของเขาเต็มตื้น แล้วสีหน้าอันเจือด้วยความฉงน ลังเล ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นยินดี เปลือกตาเคลื่อนลงมาเล็กน้อย ปากอิ่มฉีกยิ้มกว้าง แล้วใบหน้านั้นก็ระบายขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดยิ่งกว่าใครในไตรโลก

“เรา...นามว่า รวีพิรุณ”

****

เจอกันตอนใหม่ในวันจันทร์หน้านะคะ (ถ้าเขียนได้เร็วกว่านี้ก็จะพยายามเอามาลงให้อ่านก่อนวันจันทร์ค่ะ ตอนนี้กำลังพยายามตุนสต็อกอยู่)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-03-2019 21:02:19
หวังว่าน้องรวีจะได้พรวิเศษที่มีอายุยาวเกินกว่าเจ็ดวัน ไม่งั้นเศร้าแน่
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-03-2019 21:42:00
ความน่ารักของรวีพิรุณทำเอาใจพี่พองโต
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 19-03-2019 05:47:20
อ่านแล้วเหมือนพี่มันเลี้ยงต้อย หลอกเด็ก ยังไงชอบกล ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 19-03-2019 06:46:36
รวี… ใสอะ   ตั๊ลล๊ากกกก…   :m1:


อีพี่ แกอย่าพึ่งทำอะไรน้องนะ     o12
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-03-2019 09:36:42
นว้้้้องงงงงง จะน่ารักไปไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-03-2019 16:53:10
น่ารักมากเจ้ามักลีผล  :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-03-2019 19:57:30
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-03-2019 01:07:59
สิ่งที่ตามหามานานนน น้องน่ารักบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ แง ขอให้น้องมีอายุขัยยาวนานนะคะ รอวันที่นังพี่จะได้ลิ้มลอง อยากอ่านตอนน้องอยู่กับธรรมชาติเยอะๆ เกาะอันนี้คงสวยมาก จินตนาการเราแบบก้าวไกลเป็นปกหนังสือแล้วค่ะ ฮือๆๆๆ ติดตามนะคะคุณแป้งจี่ รอตอนต่อไปค่าา  :L2:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: yumsonteen ที่ 22-03-2019 11:52:41
 :katai2-1: รอยู่นะครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: s_sisters19 ที่ 22-03-2019 15:35:40
นุ่มฟูเหลือเกินลู้กกกก แล้วพี่สหะจะทนได้กี่วันเนี่ย วงวารเหลือเกิน 555555
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 22-03-2019 20:45:28
น้องงงงงงง
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 22-03-2019 22:12:18
เป็นกำลังใจให้นะคะ ชอบแนวนี้มากๆ เลย ภาษาสวยมาก แล้วยัยน้องก็น่ารักมากกก
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: poliya ที่ 23-03-2019 08:33:03
ชอบเรื่องแนวนี้มากเลยค่ะ
ภาษาก็สวย  :o8:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 23-03-2019 17:50:10
ละมุนนนนนมากกกกก      ชอบการบรรยายของคุณนักเขียนมากๆ 
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: iNklaNd ที่ 23-03-2019 20:04:29
ภาษาดีมาก แต่ศัพท์ยากก็เยอะ 555
ชอบแนวนี้มาก แต่มีคนแต่งน้อย
ชอบนะคะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-03-2019 00:31:50
มาตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 3 [18-03-2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ntpmay ที่ 25-03-2019 19:03:58
เอ็นดูเหลือเกินลูกกกกก รอวันที่พี่เขาได้กอดน้องนะคะ อิๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 25-03-2019 23:12:48
กอดดดดทุกๆ คนที่เข้ามาอ่าน
เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟแล้วค่ะ
เนื้อหาตอนนี้อารมณ์พี่สหะแกจะเหวี่ยงนิดนึงนะคะ  :ling2:


***



บทที่ 4



ด้วยเป็นชนกึ่งเทพ วิทยาธรจึงอยู่ได้โดยไม่อยากอาหาร จะกินหรือไม่กินก็ไม่ตาย ดำรงอยู่ด้วยการบำเพ็ญตบะและอิ่มในผลแห่งสมาธิ แต่ด้วยยังมีรัก โลภ โกรธ หลง จึงยังติดในรส ทั้งรสดนตรี รสรัก หรือรสอาหาร

สหเดชะเกรงว่าน้องน้อยจะหิวโหย ด้วยเวลาผ่านมานาน ซ้ำยังถูกตัดขั้วจากต้นแม่มาก่อนเวลาอันควร แม้จะได้รับการรักษาจากพระอัศวินแพทย์แห่งสวรรค์ ทว่าเขาก็ไม่แน่ใจนักว่า ‘การรักษา’ นั้นรักษาอย่างไร และให้ผลอย่างไร มักกะลีผลผู้นี้แค่เพียงหายจากความเจ็บปวดทุกข์ร้อนอันเป็นผลจากการที่ถูกตัดจากต้นเท่านั้นหรือ หรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น

มักกะลีผลอยู่ได้เพียงเจ็ดวันหลังจากสุกงอมและปลิดจากขั้ว แต่มักกะลีผลผู้นี้ถูกเขาตัดมาโดยความหุนหันไม่ยั้งคิด เชื่อว่าหากไม่ถูกตัดมาก็คงอีกไม่กี่วันก็จะสุกงอม ดังนั้นช่วงเวลาที่น้องน้อยจะคงความเยาว์แห่งรูปและสัมผัสก็คงนับไม่เกินสิบวัน นี่เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจ ทว่าความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่

พระอัศวินได้มอบวันเวลาให้ร่างกายนี้มากกว่านี้หรือไม่หนอ? สหะเดชะไม่ฝันแม้สักน้อยว่าจะกล้าเอ่ยถามท่านเทพในเรื่องนี้ หวังก็เพียงว่าด้วยญาณทิพย์แห่งองค์เทพทั้งสอง พระองค์จะช่วยให้ชีวิตของน้องน้อยยืนยาวมากกว่านี้

***

ร่างสูงใหญ่กำยำลอยเรี่ยพื้นดินมุ่งสู่สวนผลไม้ทางอีกด้านหนึ่งของเกาะลอยฟ้า สวนอยู่ไม่ไกลแล้ว ได้กลิ่นหอมของผลไม้สุกลอยแตะจมูก สหเดชะลอบยิ้มเอ็นดูเมื่อนึกถึงตอนเขาจะมาที่สวนนี้

เจ้ามักกะลีผลน้องน้อย ผู้ที่บัดนี้มีนามว่า รวีพิรุณ มองคล้ายจะเอ่ยอะไรออกมาเมื่อเห็นเขาขยับกายลุกขึ้นยืน

“พี่จะหาผลไม้มาให้เจ้า เจ้าท่าจะเหนื่อยและหิว หลังจาก...” ผ่านเรื่องไม่ดีมา ประโยคท้ายนั้นไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ก็ผ่านผุดขึ้นมาในหัว “เจ้ารอพี่อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”

“ไปหาผลไม้หรือ”

“ถูกต้อง เจ้ากินผลไม้ได้ใช่ไหม” แม้มักกะลีผลผู้นี้จะเป็น ‘ลูกไม้’ แต่ถ้าจะกินอะไรได้ ก็คงมีแต่อาหารบริสุทธิ์เช่นผลไม้เท่านั้นละ

“กิน?”

สหเดชะใช้มือลูบท้องตนเองเป็นเชิงสาธิต “มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เทพจะหิว เวลาหิวก็ต้องกิน เวลากินก็ต้องหยิบใส่ปาก” คนพี่ทำท่าหยิบลมใส่ปากแล้วเคี้ยวหยับๆ ให้น้องดู เคี้ยวนานจนลมละเอียดแล้วจึงกลืนลงไป “แต่เจ้าเป็นมักกะลีผล พี่ว่าคงกินเนื้อไม่ได้”

“ไม่เคยกิน” น้องน้อยตอบด้วยใบหน้าซื่อ ขณะในใจกำลังนึกไปถึงช่วงที่อยู่กับต้นแม่มักกะลีผล เขาจำได้ว่าเวลาฝนตกชอบกอบมือแล้วยื่นออกไปรองน้ำฝนมาใส่ปากเหมือนกัน นึกถึงความเย็นของน้ำไหลล่วงลงคอแล้วก็เผลอยิ้มเปี่ยมสุข ทำให้พี่ต้องเผลอยิ้มตาม

“ถ้าเช่นนั้นก็ลองกินดูสักหน่อย เดี๋ยวพี่จะไปเก็บผลไม้มาให้ พี่จะเลือกผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ จะได้อิ่มนานๆ”

เอ่ยจบแล้ว สหเดชะหันหลังเตรียมกระโดดข้ามลำธาร ทว่าก็ต้องชะงัก ด้วยรู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลัง เขาหันกลับไปมอง เห็นรวีพิรุณกำลังยึดชายเสื้อของเขาอยู่ พลางมองเขาด้วยดวงตากลมโตสุกใส

“อะไรหรือ”

“ไป...ผลไม้”

“เจ้าอยากมากับพี่หรือ”

พยักหน้า

“อย่าเลย เจ้าอยู่ที่นี่เถิด พี่ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”

ส่ายหัว ก้มหน้างุด มือที่จับเสื้อของเขาก็ยิ่งจับแน่นเข้า

สหเดชะรู้สึกหัวจิตหัวใจแทบละลาย

“พี่ไม่อยากให้เจ้าขยับมาก...” แล้ววิทยาธรหนุ่มก็ต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ ด้วยอีกฝ่ายเงยหน้ามอง ใช้สายตากลมโตสวยใสราวกับมีน้ำคลออยู่นั้นจ้องเข้ามาในตาเขาอย่างอ้อนวอน เอ จะว่าไป...เมื่อครู่เจ้าน้องน้อยก็วิ่งไปมารอบๆ สวนนี้โดยไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยเลยไม่ใช่หรือ

“ได้ ถ้าเจ้าอยากมากับพี่ก็ได้”

เขาขยับจะย่อตัวลงเพื่ออุ้มรวีพิรุณขึ้นไว้ในอ้อมแขน ทว่าเจ้าตัวกลับถอยออกห่าง วิทยาธรหนุ่มถึงคราวจนแต้ม ด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรดี ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงย่อกายลงนั่งยองๆ หันหลังให้ เอี้ยวศีรษะมาบอก

“ขี่หลังพี่ก็แล้วกัน”

พูดพลางตบไหล่ตนเองดังปุๆ

เมื่อฝ่ายนั้นไม่แสดงท่าทีว่าจะขึ้นมาเสียที เขาจึงเอ่ยสำทับไปอีก “ถ้าเจ้าไม่ขี่หลังพี่ พี่จะทิ้งเจ้าไว้ตรงนี้แล้วนะ”

รวีพิรุณค่อยขยับกายเข้ามาใกล้ แล้วยกขาขึ้นมาวางพาดอยู่บนไหล่ของสหเดชะอย่างทุลักทุเล น้องน้อยทิ้งน้ำหนักตัวซึ่งก็ไม่ค่อยหนักเท่าใดนักนั้นลงโถมใส่สหเดชะเพื่อเตรียมจะยกขาอีกข้างขึ้นไปวางบนไหล่อีกด้านในลักษณะของเด็กขี่คอผู้ใหญ่ นี่มิใช่การขี่หลังแล้วนะเจ้า!

เห็นการณ์เป็นดังนั้นวิทยาธรหนุ่มถึงกับร้องห้ามแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวๆ ประเดี๋ยวก่อนเจ้า”

รวีพิรุณออกอาการงุนงง รีบผละออกทำให้เสียการทรงตัว ล้มผลึ่งก้นจ้ำเบ้า ร้อนถึงสหเดชะต้องพยุงให้ลุกขึ้น อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

“มิใช่ให้เจ้าขี่คอพี่ เจ้าต้องกอดคอพี่” เขาจับแขนของน้องไปคล้องคอตน ใบหน้าสองคนเข้าใกล้กัน ตาจ้องตา สหเดชะเห็นความสุกใสของดวงตาน้อง มองเห็นแก้มอิ่มนุ่มนิ่มน่าสัมผัส มองใกล้แล้วใจเต้น ต้องกระแอมออกมา “พี่จะนั่งลง แล้วเจ้ากอดคอพี่นะ”

ว่าพลางทางนั่งลงหันหลัง แล้วรวีพิรุณก็ขยับเข้ามากอดคอ ร่างนุ่มๆ กดแนบเข้ากับแผ่นหลัง สหเดชะวาดแขนมาคล้องเอาท่อนขาของมักกะลีผลไปรวบตรงเอวของตนเอง แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของฝ่ายนั้นว่า “เย้ย”

ร้องแปลกจริง

สหเดชะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยจากร่างที่เกาะติดกับแผ่นหลังของเขา เป็นกลิ่นหอมสดชื่น ไม่แรง ไม่ฉุนเกินไป หากผลไม้ยังไม่สุกบางชนิดจะมีกลิ่นหอม ก็คงจะเป็นกลิ่นเช่นนี้นี่เอง

ขณะใบหน้าเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากเปื้อนเสียงหัวเราะเบาๆ สหเดชะก็แบมือออก พลันพระขรรค์ตีจากเหล็กกายสิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นมา เขากวัดแกว่งพระขรรค์นั้นเบาๆ แล้วร่างของเขากับรวีพิรุณก็ค่อยๆ ลอยเลื่อนขึ้นจากพื้นดิน รวีพิรุณสูดลมหายใจดังเฮือก กอดคอเขาแน่นด้วยกลัว

นับแต่เขาอุ้มเจ้ามักกะลีผลเหาะเหินกลางอากาศมาหลายครั้ง เจ้าตัวไม่เคยมีสติรู้ตัวเลย สลบบ้าง หลับบ้าง ครานี้เป็นคราวแรกที่รวีพิรุณได้ลอยขึ้นไปในอากาศกว้างกับเขาขณะยังมีสติสำนึกรู้ตัวเต็มที่

สหเดชะลอยเลื่อนอย่างอ่อนโยน ไม่โจนทะยานไปด้วยใจร้อน ค่อยๆ ลอยเรี่ยเหนือยอดหญ้า เข้าไปใกล้ธารน้ำใสเรื่อยๆ พลางเอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงรื่นหู

“ไม่ต้องกลัวนะรวีน้องเจ้า เจ้ากอดคอพี่ไว้ พี่ไม่ทำเจ้าหล่นดอก”

“ท่าน...ท่าน...ลอยได้!”

วิทยาธรหนุ่มหัวเราะหึๆ “พี่เป็นอากาศเทวดา เป็นพวกอยู่แดนฟ้าชั้นต้น ต้องลอยได้อยู่แล้ว เจ้าเห็นพระขรรค์นี่ไหม พิทยาธรจะไปไหนมาไหนต้องใช้พระขรรค์ กวัดแกว่งทีเดียวก็ลอยขึ้นฟ้าได้”

“พิทยาธร...” น้องเอ่ยตามอย่างกับนกแก้วนกขุนทอง

“อืม พิทยาธรหรือวิทยาธรก็เรียกได้ พี่เป็นพิทยาธรผู้ชาย ส่วนวิทยาธรผู้หญิงนั้นเรียกวิทยาธรี”

“วิทยาธรีหรือ”

“ถูกต้อง วิทยาธรผู้หญิง อย่างนารีผลนั่นปะไร มีแต่ผู้หญิง ส่วนเจ้าเป็นชาย...เหมือนพี่”

แม้ไม่เห็นหน้า แต่สหเดชะกลับรู้สึกได้จากอาการเกร็งของร่างกายเด็กหนุ่มว่าการกล่าวถึงพวกพ้องของรวีพิรุณคือการเปิดปากแผล จึงรีบเอ่ยอธิบายต่อไป

“ไปไหนมาไหนพี่ใช้พระขรรค์เหาะไป ส่วนวิทยาธรีจะติดปีกติดหางเหาะไปเหมือนนางกินรีเพราะไม่มีพระขรรค์”

“กินรี?” น้ำเสียงตอนท้ายคำออกจะสูง

“เจ้าสนใจหรือ คราวหลังพี่จะพาไปเที่ยวเมืองชาวกินรี”

“รวี...อยากไป”

ยินคำน้องแทนตัวเองด้วยนามที่เขาเพิ่งตั้งให้ หัวใจมันออกจะพองๆ อยู่นา “เจ้าอยากไปพี่ก็จะพาไป อยู่กับพี่นานๆ พี่จะพาดูให้ทั่วแดนฟ้า”

รวีพิรุณไม่ตอบคำ สหเดชะมิได้ซักไซ้ ปล่อยให้ความเงียบเป็นเอก รับรู้เสียงลมพัดกิ่งไม้ในสวนป่าเสียดสีเป็นสำเนียงกระซิบกระซาบอ่อนโยน เขาค่อยๆ ลอยเลื่อนไปสู่กลางธารน้ำ

สหเดชะเอ่ยกระซิบกับใบหน้าของรวีพิรุณซึ่งยื่นเข้ามาใกล้

“รวี พี่จะพาเจ้าเหาะขึ้นไปสูงๆ เจ้าจะได้เห็นแดนฟ้ากว้าง กอดพี่แน่นๆ นะ”

สิ้นคำพี่ น้องจึงเพิ่มแรงกอดที่คอ กระชับช่วงขาเข้ากับเอว

“เอาละนะ”

สหเดชะควงพระขรรค์เป็นวงกลม ทันใดนั้นก็ราวกับมีกระแสลมอันรุนแรงกระแสหนึ่งพุ่งเข้ามาพยุงใต้เท้า ลมพัดอู้ ยอดหญ้าลู่ไปเป็นแถบ ผิวน้ำกลายเป็นคลื่นกระจายออกไปสู่ตลิ่งธาร

แล้วร่างสองร่างก่ายซ้อนก็พุ่งทะยานเป็นแนวตั้ง ตรงดิ่งขึ้นไปสู่เวิ้งฟ้าอากาศเบื้องบน

***

ราวกับกระแสน้ำสายหนึ่งพุ่งจากตาน้ำขึ้นไปบนอากาศเป็นเส้นตรง ร่างสองร่างก็พุ่งขึ้นไปในเวิ้งฟ้า ราวกับลูกธนูถูกปล่อยจากแล่ง รวีพิรุณกอดคอวิทยาธรแน่น แนบใบหน้าเข้ากับคอของอีกฝ่าย หลับตาปี๋ไม่มองสิ่งใดทั้งสิ้น

“อื๊อ” นี่คือเสียงเดียวที่ออกมาจากปากของมักกะลีผลหนุ่มน้อย

ลมพัดเอาผมนุ่มยาวให้ปัดป่าย ลมนี้ยิ่งขึ้นสูงไปยิ่งเย็น

รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าการพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจะไม่สิ้นสุดเอาง่ายๆ มันช่างยาวนานเสียจริงๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือกอดร่างของอีกฝ่ายให้มั่นที่สุด ขืนปล่อยแม้แต่น้อยนิดมีหวังร่วงลงไปแน่ๆ อกใจของเขาแทบจะกระดอนออกมาด้านนอกเสียให้ได้

แล้วรวีพิรุณก็รู้สึกว่าการ ‘เหาะ’ ของวิทยาธรผู้นี้ค่อยๆ ช้าลงๆ สุดท้ายจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ กระนั้นเขาก็ยังกอดอีกฝ่ายไว้แน่นไม่ยอมคลาย

ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ อยู่ข้างหู จึงค่อยๆ หยีเปลือกตาเปิดขึ้นดูหน่อยหนึ่ง เห็นเสี้ยวหน้าคมสันกำลังยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นแบะให้ปากเปิดเล็กน้อย เห็นฟันขาวสะอาดสวย

“ไม่ต้องหลับตาแล้ว” ฝ่ายนั้นเอ่ยออกมา ราวกับจะรู้ว่าเขาหลับตาปี๋มาตลอดทางจากด้านล่าง “ลองมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าสิ”
รวีพิรุณลืมตาขึ้นเต็มตาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คางที่วางกับไหล่วิทยาธรค่อยๆ ยกขึ้น แล้วเขาก็มองไปทางทิศหนึ่ง

“ทางนี้คือที่พระสูรยาทิตย์ท่านทรงรถออกส่องแสงให้โลก”

คนบอกไม่ได้ชี้ให้ดู ทว่าหันร่างไปมองอยู่แล้ว ทิศนั้นสว่างโพลงด้วยแสงแห่งตะวันกล้า เมฆขาวลอยเรี่ยอยู่ทั่วไป แสงส่องกระทบหมู่เมฆจนคล้ายกับเกลี่ยไว้ด้วยทองคำ มันช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน ผู้ชื่นชอบแสงแดดเช่นมักกะลีผลนั้นมองเมฆเกลี่ยสีทองด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ส่วนด้านนี้” คนพี่หันร่างไปตามทิศ พอหันมาด้านนี้ วิทยาธรหนุ่มก็ก้มศีรษะกระทำความเคารพอย่างสูง “เจ้าเห็นแสงสีขาวไกลลิบๆ นั่นหรือไม่”

“อื้อ แสง...สว่างกว่าแสงแดด”

“หึๆ แน่ละว่าสว่างกว่าแสงแดด ตรงนั้นเป็นยอดเขาไกรลาส ผาเผือกที่ประทับองค์อิศวรกับพระแม่อุมา พระอิศวรหรือพระศิวะ...ท่านเป็นหนึ่งในพระตรีมูรติ”

“พระตรีมูรติ”

“ท่านเป็นมหาเทพสามองค์ พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม”

“ทำไมแสงอยู่ไกลจัง”

“ฮ่าๆ เจ้าเข้าใจถามนะ แสงอยู่ไกลเพราะผาเผือกอยู่ไกลจากที่นี่มาก ผาเผือกอยู่ที่หิมาลัย เป็นขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์”

“หิมาลัยหรือ”

“ถูกต้อง หิมาลัยอยู่ไกลจากที่นี่มาก” สหเดชะชี้ปลายพระขรรค์ลงล่าง แล้วร่างทั้งสองก็ค่อยๆ ลอยต่ำลงไปทีละน้อยโดยไม่ทำให้คนเกาะหลังรู้สึกตัว

รวีพิรุณยังคงมองแสงสว่างสีขาวเรืองอันไกลลิบนั้นอยู่ด้วยความยำเกรง แล้วทันใดนั้นเองพวกเขาก็หายเข้าไปในกลุ่มเมฆใหญ่ มองไปทางใดก็มีแต่สีขาว เขาจึงหลับตาปี๋อีกรอบ

คนตัวใหญ่ราวกับจะหัวเราะทุกครั้งยามเขาปิดตา พอได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ทุ้มขึ้นมา รวีพิรุณจึงเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วเขาก็เห็นภาพบางอย่างที่ทำให้ต้องเบิกตากว้าง มองไปทางนั้นทางนี้ด้วยตะลึง

บัดนี้พวกเขาลอยตัวอยู่เหนือเทือกเขาสูง ทอดตัวทะมึนอยู่ด้วยความเขียวครึ้มของป่าเขา ไอสีขาวลอยขึ้นมาเกาะกันเป็นกลุ่มอยู่เหนือยอดเขาบางแห่ง มักกะลีผลมองตามไปก็ไม่เห็นว่าเทือกเขานี้จะไปสิ้นสุดที่ใด

“นี่คือยอดเขาวินธัย แดนฟ้าชั้นต้น หรือจาตุมหาราชิกา”

รวีพิรุณมีดวงตากลมโตราวกับผลไม้ลูกใหญ่ๆ ทีเดียว อ้าปากหวอมองภาพที่เห็นด้วยไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

“เจ้าเห็นใช่ไหม” บุรุษผู้นั้นเอี้ยวหน้าพยายามมองเขา “นี่ละคือนครแห่งพิทยาธร พิทยานคร”

นี่อาจเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยแห่งแรกที่เจ้ามักกะลีผลหนุ่มได้มาพบเห็น ในแสงแดดอันอาบอยู่ในทุกอณูอากาศ รวีพิรุณมองเห็นเกาะใหญ่บ้าง ย่อมบ้าง ลอยอยู่ในที่ต่างๆ กัน ในระดับความสูงต่างๆ กัน บนเกาะนั้นบ้างก็มีปราสาทใหญ่โตสวยงามปลูกสร้างไว้ บ้างก็เป็นเพียงปราสาทเล็กๆ ทว่ามีหมู่ไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด บ้างก็เป็นพื้นที่โล่งปลูกดอกไม้นานาพันธุ์

เกาะเหล่านี้มิได้อยู่ใกล้ชิดกันเท่าใดนัก ทว่าเมื่อมองจากกึ่งฟ้าเช่นนี้ก็สามารถมองเห็นพิทยานครแผ่ขยายออกไปจนสุดตามองเห็น รวีพิรุณไม่ทราบว่าจะมีเกาะอยู่จำนวนเท่าใดแน่ คงจะมากกว่าจำนวนเพื่อนๆ ของเขาที่โคนต้นแม่มักกะลีผลแน่ๆ มองไปทางนั้นก็มีแต่เกาะ มองไปทางนี้ก็มีแต่เกาะ อยู่ไกลกันบ้าง อยู่ใกล้กันบ้าง แทบว่าจะเต็มน่านฟ้าเหนือยอดเขาวินธัยนี้

“เทือกวินธัยนี้ใหญ่กว้าง พิทยานครเป็นเพียงนครเล็กๆ เท่านั้นหนา แดนนี้ยังมีนครกลางหาวของชาวยักษ์ และนครโลหะของชาวกุมภัณฑ์ ยังชนรากษสอีกเล่า...พวกเขามีนครซ่อนเร้นอยู่กลางป่าลึกที่ใดสักแห่ง มิมีผู้ใดรู้ที่ตั้งแน่นอน แต่ที่ไม่ไกลจากพิทยานครก็คือนครแห่งชาวกินรีนี่อย่างไร หากเจ้าพร้อมเมื่อใดพี่จะพาเจ้าเหาะไปชม”

วิทยาธรผู้นี้แม้น้ำเสียงจะทุ้ม ทว่าก็พูดได้เรื่อยเจื้อย...ทอดน้ำเสียงน่าฟัง ยามใดเอ่ยวาจากับรวีพิรุณก็จักใช้น้ำเสียงเช่นนี้ทุกคราวไป ราวกับว่ามักกะลีผลเป็นเด็กตัวน้อยที่ฟังภาษาไม่เข้าใจ ยามนี้รวีพิรุณฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ได้ยินคลับคลาว่ารากษส กุมภัณฑ์ ชาวยักษ์ จดจำใส่ใจไว้ว่าอยากจะไปดูชมเสียให้ได้ ทว่าตอนนี้ขอชมเมืองชาวพิทยาธรก่อนก็แล้วกัน

ด้วยแสงทิพย์หรือพระสูรยาทิตย์ส่องสว่างกระจ่างตา จึงทำให้พิทยานครราวกับจะส่องแสงมลังเมลือง ยามหนึ่งคล้ายเป็นแสงสีขาว อีกยามคล้ายมีประกายทองระยิบระยับอยู่กลางอากาศ เป็นภาพที่งดงามที่สุดที่รวีพิรุณเคยเห็นมา สองคนก่ายกายซ้อนอาบอยู่ในแสงอุ่นและลมเย็นสบาย มองนครซึ่งลอยตัวอยู่ด้านล่างอยู่นานหลายอึดใจ ภาพนี้จะจารไว้ในทรงจำของรวีพิรุณ หลับตาลงเมื่อใดก็จะยังเห็นภาพอันวิเศษนี้อยู่ไม่คลาย

***

(อ่านต่อคอมเมนต์ล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 25-03-2019 23:31:57
ธารน้ำใสเย็น ไหลคดเคี้ยววกวนไปตามทุ่งดอกไม้ แล้วตัดเลาะเข้าไปในสวนป่าอันล้วนแล้วไปด้วยไม้ผล ซึ่งออกลูกอยู่ทุกฤดูกาล

สวนป่าของสหเดชะถูกปกป้องด้วยพระเวทมนตรา จึงไร้ซึ่งสัตว์ปีกใดๆ จะมารบกวนหรือจิกผลไม้บนต้นทิ้งเล่น ผลไม้ในสวนนี้ประหลาดยิ่ง เมื่อยามสุกงอมเต็มที่แล้วก็มักปลิดจากขั้ว หล่นลงพื้น แล้วจมหายไปกับพื้นดินนั้นเลยทีเดียว ไม่เหลือทิ้งไว้ให้เน่าเช่นผลไม้ในโลก

สหเดชะพารวีพิรุณเหาะลัดเลาะมาตามธารน้ำไหล

การทัศนาจรบนอากาศกว้าง หรือการท่องเที่ยวแดนฟ้าจบลงด้วยการทิ้งตัวลงมาตามอากาศ ครั้งนี้มักกะลีผลก็หลับตาปี๋อีกเช่นเคย กระทั่งลงมาเรี่ยยอดไม้แล้วจึงยอมเปิดตา มองขึ้งเขาราวกับกล่าวโทษว่ากลั่นแกล้งให้อกสั่น

สายตามองขึ้งนั้นกลับทำให้วิทยาธรหนุ่มหัวเราะออกมา กลั้นยิ้มแทบไม่ไหว มองกลุ่มใบเขียวครึ้มของหมู่ไม้แทบว่าจะกลายเป็นสีกลีบบัวชมพู

ธารน้ำที่ไหลเข้ามาในสวนป่านี้ ไม่ไกลนักก็ไหลลงสู่แอ่งน้ำแห่งหนึ่ง เป็นแอ่งน้ำไม่ลึกมาก มีโขดหินอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ยามน้ำไหลจากตลิ่งลงสู่แอ่งมีเสียงคล้ายบรรเลงเพลงดนตรี น้ำในแอ่งนี้ใสสะอาด มองเห็นพื้นแอ่งเป็นหินชัดเจน

สหเดชะมิได้สนใจแอ่งน้ำนี้ด้วยใฝ่ใจกับการหาผลไม้เหมาะๆ เพื่อให้มักกะลีผลได้ลิ้มลอง จึงเหาะผ่านเลยไป ทว่ารวีพิรุณกลับมองแอ่งน้ำใสๆ นั้นด้วยตาเป็นมัน เจ้าตัวยังจำความรู้สึกยามน้ำเย็นล่วงผ่านลำคอได้ดีว่าเย็นสดชื่นไปทั้งร่างเพียงใด

ดวงตาสุกใสหมายมาด วาดภาพจำไว้ในใจ

ป่าไม้คือบ้าน เป็นเคหสถานอันเคยคุ้น รวีพิรุณสูดกลิ่นป่า กลิ่นใบไม้ สดับเสียงกิ่งไม้ไหว ใบไม้พลิกใบ เสียงซ่าของลมผ่านคาคบ เหล่านี้กระทำให้ใจของมักกะลีผลโหยหาต้นแม่ที่จากมายิ่งนัก ไม่รู้เพื่อนๆ จักเป็นเช่นไร จะกำลังคิดถึงมักกะลีผลน้อยผู้นี้หรือไม่

แต่แล้วกลิ่นผลไม้ในสวนป่าอันตรลบอยู่ทั่วไปหมดก็ทำให้ใจน้อยๆ กลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ลูกไม้หลายหลากดกดื่นอยู่บนต้นนั้นต้นนี้ พวกมันมีสีหลากๆ กันไป ผลใหญ่บ้างเล็กบ้าง ล้วนแล้วไปด้วยไม้ผลอันน่ารับประทาน แม้นไม่เคยรับประทานสิ่งใด นอกจากลิ้มลองน้ำฝนบ้าง กระนั้นมักกะลีผลหนุ่มก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอเพราะมันมาสออยู่เต็มปากเสียเต็มทีแล้ว

“เอาละ” สหเดชะร่อนลงเหยียบพื้น นั่งยองๆ ให้น้องเจ้าลงจากหลังตน “พี่จะเก็บผลไม้เนื้อหวานๆ ฉ่ำน้ำให้เจ้าได้ลิ้มลองก่อน ผลไม้อย่างอื่นพี่ค่อยหามาให้เจ้าทีหลัง”

เขาเดินไปเด็ดใบไม้ใบใหญ่จากต้น เอามาวางซ้อนกันเป็นถาดรอง หะแรกจะให้น้องเจ้าเฝ้าไว้ พอเขาเก็บผลไม้แล้วก็จะนำมาวางบนถาดใบไม้นี้ แต่พอใคร่ครวญอีกครากลับเปลี่ยนใจ ด้วยไพล่นึกไปว่าการที่เจ้ามักกะลีผลเป็น ‘ลูกไม้’ ชนิดหนึ่ง หากได้เห็นการปลิดลูกไม้จากต้น จะไม่นึกไปถึงภาพเมื่อครั้งเขาปลิดเจ้าตัวจากต้นแม่หรือ แม้เจ้าตัวยังจะต้องกินผลไม้แต่อย่างน้อยก็อย่าให้เห็นตอนเขาปลิดลงจากต้นจะดีกว่า อย่ากระนั้นเลย สหเดชะเดินเข้าไปหารวีพิรุณซึ่งกำลังยืนมองไปรอบๆ ตัว ออกตกตะลึงกับภาพไม้ผลอันละลานตา

“รวี มากับพี่หน่อยเถิด”

สหเดชะไม่รอฟัง รีบคว้าเอวบางได้ก็ลอยตัวเรี่ยพื้นดิน ไม่นานจึงมาถึงซึ่งแอ่งน้ำใสเย็น เขาวางร่างเจ้ามักกะลีผลลง

“เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ พี่ได้ผลไม้แล้วจะกลับมา”

สิ้นสั่งคำ สหเดชะปล่อยรวีพิรุณอยู่ที่ริมแอ่งน้ำนั้น เขาลอยตัวหายไปในระหว่างหมู่ไม้ เหลียวหลังกลับไปมองก็เห็นน้องเจ้ายืนมองตามมา แต่เพียงไม่นานก็กลับไปสนใจกับแอ่งน้ำนั้นเสียแล้ว เห็นดังนั้นวิทยาธรหนุ่มให้รู้สึกอกใจไหม้ขม นี่เห็นแอ่งน้ำนั้นดีกว่าเราละหรือ

***

รวีพิรุณเห็นแอ่งน้ำใสที่หมายมาดไว้เมื่อครู่ มองน้ำใสๆ ไหลเย็นเห็นพื้นแอ่งเป็นหินแน่นหนา จึงค่อยย่างเท้ากระย่องกระแย่งลงไปริมน้ำก่อน ยามเท้าแตะน้ำเย็นก็สะดุ้งโหยงเสียทีหนึ่ง ถอยห่างออกมาเพราะน้ำนั้นเย็นเหลือเกิน ครั้นแล้วก็ก้าวลงไปอีกราวกับไม่เข็ดหลาบกับความเย็นนั้น เจ้ามักกะลีผลหย่อนเท้าลงน้ำอีกครั้ง คราวนี้กัดฟันทนความเย็น เอาเท้าเหยียบนิ่งแช่น้ำไว้ กระทั่งคุ้นเคยดีแล้ว จึงเดินย่องย่างลงไปลึกกว่าเดิม

โขดหินหนึ่งไม่ไกลจากริมแอ่งมากนัก ด้านบนหินนั้นแห้งดี มักกะลีผลจับยึดกับโขดหินนั้น โยนตัวขึ้นไปนั่งได้อย่างคล่องแคล่ว ดูทีจะเป็นผู้ปราดเปรียวทีเดียว เพียงหัดเดินได้วันเดียวก็เที่ยววิ่งเล่นไปทั่วแล้ว

รวีพิรุณหย่อนเท้าลงแช่ในน้ำใสสะอาด พื้นแอ่งมีหินกรวดก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้างนอนก้นอยู่ใต้นั้น ดูสีสวยสด กระนั้นก็มิได้สนใจเก็บ นั่งหย่อนเท้าผ่อนคลาย แกว่งเท้าวัดน้ำเล่นอยู่อย่างนั้น ปากบ่นพึม “น้ำเย็นดีจัง เย็นเหมือนน้ำฝน รวีชอบน้ำอย่างนี้”

ไม่นานคนผู้นั้นก็กลับมา หอบเอาลูกไม้มาด้วย

“รวี พี่เอาผลไม้มาแล้ว ขึ้นมาที่ฝั่งเถิด”

รวีพิรุณไม่ว่ายาก ฝ่ายนั้นเรียกก็กระโดดผล็อยลงจากโขดหิน เดินย่ำน้ำจ๋อมๆ กลับขึ้นฝั่ง คนผู้นั้นเอ่ยถาม “ชอบเล่นน้ำหรือ”

“รวี...ชอบ”

“ดีแล้ว” วิทยาธรวางถาดใบไม้ลงกับพื้น นั่งตามลงไปโดยไม่รังเกียจพื้นอันเต็มไปด้วยใบไม้หล่นปกคลุม เชื้อเชิญให้มักกะลีผลนั่งลงด้วยกัน

บนถาดใบไม้มีผลไม้อยู่ไม่มากเท่าใด รวีพิรุณเห็นมีเพียงสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกเป็นแท่งยาว เปลือกออกเหลืองราวกับพระจันทร์เพ็ญ อย่างที่สองเปลือกเป็นสีเดียวกับใบไม้อ่อน มีแถบสีเข้มแล่นผ่านเป็นแนวตั้งตลอดลูกกลมๆ

วิทยาธรหยิบลูกกลมๆ นั้นก่อน มันใหญ่เสียยิ่งกว่าศีรษะของรวีพิรุณอีก เขาหยิบพระขรรค์มาทำท่าจะฟันลงไปที่ผลไม้นั้น ทว่าพระขรรค์ตีจากเหล็กกายสิทธิ์จะเอามาผ่าผลไม้หรือ จึงวางพระขรรค์ลง แล้วเอาสันมือฟาดตรงกลางลูก จนแยกออกเป็นสองเสี่ยง เขาวางเสี่ยงหนึ่งลงกับถาดใบไม้ แล้วบิเสี่ยงนั้นให้เล็กลงไปอีก น้ำผลไม้ฉ่ำๆ สีออกแดงไหลลงกับพื้นเปื้อนมือของผู้ผ่า ยื่นส่งให้น้องรับไป

“ลองดูซี ผลอุลิดนี้อร่อยนัก เนื้อหวาน ฉ่ำน้ำทีเดียว”

ว่าพลางหยิบเอาชิ้นเล็กอีกชิ้นหนึ่งมาใกล้ปาก กัดกินเนื้อสีแดงฉ่ำนั้นทันที

มักกะลีผลมองวิทยาธรรับประทานผลอุลิดอย่างเอร็ดอร่อย รู้สึกน้ำลายสอขึ้นมาอยู่ที่ปากอีกครั้ง จึงจับปลายเปลือกทั้งสองด้าน อ้าปากออกเล็กน้อย ขณะตามองอีกฝ่ายรับประทานหมดไปแล้วหนึ่งชิ้น กำลังหยิบเอาอีกครึ่งลูกมาบิแบ่งอีก น้องเจ้าทนมองไม่ไหวแล้ว จึงรีบก้มลงไปตามอย่างพี่ทำ กัดชิ้นเล็กหนึ่งคำ

รสหวานแล่นทั่วปาก น้ำอันฉ่ำหวานสดชื่นไหลอยู่ในปาก ไหลล่วงลงไป รู้สึกทั้งหวาน ทั้งเย็นฉ่ำยิ่งนัก ดวงตาซึ่งมองอย่างแคลงใจในทีแรกพลันเบิกกว้าง ปลื้มในรสที่ได้รับ ครานี้อ้าปากกว้างกว่าเดิม กัดกินชิ้นอุลิดนั้นอีกอย่างเอร็ดอร่อย

“ดี...ดีจริง”

“เจ้าชอบพี่ก็ดีใจ”

สหเดชะมองน้องเจ้ารับประทานผลอุลิดอย่างถูกใจ ยิ้มบางๆ แต่ครั้นเมื่อเจ้ามักกะลีผลเงยหน้าจากชิ้นอุลิดซึ่งหมดเนื้อไปแล้วโดยสิ้นซาก เขาก็ต้องตกตะลึง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

บัดนี้มักกะลีผลเจ้าเอร็ดอร่อยกับผลอุลิดมากเหลือ ไม่เพียงให้ปากกิน แต่ให้จมูกเอย แก้มเอย คางเอยกินไปด้วย น้ำฉ่ำหวานไหลเปื้อนเปรอะไปหมด บางส่วนไหลลงกับลำคอขาวผ่อง เหนือริมฝีปากด้านหนึ่งมีเมล็ดสีเข้มของผลอุลิดติดแปะอยู่

หะแรกยังหัวเราะด้วยเอ็นดู ทว่าพอมองน้ำหวานแดงฉ่ำเปรอะอยู่กับแก้มกับคางน้องเจ้า ผู้พี่กลับสะอึกในอก สะทกในทรวง สะท้านในดวงใจไปหมด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ใบหน้าเลื่อนประชิดใบหน้าของน้องแล้ว

“รวี ปาก แก้ม คางเจ้าเปื้อนน้ำอุลิด...”

ละไว้ไม่กล่าวคำต่อ น้องมองอย่างหวาด กระนั้นพี่กลับไม่หวั่น สิ่งลิ้นแตะเบาๆ ที่มุมปากของน้อง ลิ้มรสหวานฉ่ำของน้ำผลอุลิดที่เปรอะอยู่ตรงนั้น น้องสะดุ้งแต่พี่ไม่ยอมสะดุด คว้าต้นแขนผอมๆ ไว้มั่นไม่ปล่อยให้ถอยหนี

จูบเบาๆ ซ้ำๆ ตรงมุมปากนั้น จัดการจนไม่เหลือคราบน้ำหวานผลไม้อีก แล้วจึงเลื่อนใบหน้าลงตามแนวกราม ซึ่งเปรอะฉ่ำไปด้วยน้ำสีแดงจางๆ วิทยาธรหนุ่มฉกลิ้นรับน้ำเข้าปาก รสฉ่ำหวานของมันราวกับมิใช่รสแห่งผลอุลิดอีกแล้ว มันมีกลิ่นหอมหวานกลั้วมาอย่างกลมกล่อม ลิ้นแตะซ้ำ แตะย้ำ เมื่อผ่านแนวสันกรามลงไปแล้ว จึงเม้มริมฝีปากอุกอาจนี้เพื่อบีบเน้นเอาเนื้อนุ่มๆ ไว้ พลางใช้ปลายลิ้นสากแตะเนื้ออ่อนบอบบางตรงลำคอนั้น ราวกับจะรับรู้ว่าผิวเนื้อตรงนั้นเกิดสั่นระริกขึ้นมา ความจริง...ทั้งร่างของรวีพิรุณก็สั่นด้วยอารมณ์บางอย่าง เขาส่งเสียงในลำคอราวกับจะประท้วง ทว่าก็ทำได้เท่านั้น ด้วยวิทยาธรไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ

คนตัวใหญ่กดจูบซ้ำๆ เม้มริมฝีปากย้ำๆ เพื่อดูดผิวเนื้อบางนุ่มอย่างย่ามใจ หลงระเริงไปกับกลิ่นของมักกะลีผล มัวเมาไปกับรสของผิวเนื้ออันหอมหวานยิ่งกว่าผลไม้ที่เพิ่งรับประทานไปเสียอีก

แล้วมนตร์อารมณ์ร้อนระอุก็สะบั้นไป รวีพิรุณสะบัดใบหน้าออกห่าง พลางดึงแขนสุดแรงจนหลุดจากพันธนาการของวิทยาธรหนุ่ม ฝ่ายพราก ‘จูบ’ สูดลมหายใจเรียกสติตนเอง ฝ่ายถูกชำเรา ‘จูบ’ ถอยออกห่างเล็กน้อย หอบหายใจแรง แววตาสุกใสบัดนี้ดูฉ่ำเยิ้มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง คล้ายกับฉงนนักว่าวิทยาธรผู้นี้เพิ่งทำอะไรลงไป กระนั้น...แววในดวงตาก็บ่งชัดว่าเจ้ามักกะลีผลคล้ายจะพึงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

“รวี อภัยพี่เถิด พี่ทำไปเพราะใจหุนหัน...”

น้ำเสียงทอดหวาน อ้อยอิ่ง ออดอ้อน

รวีพิรุณมองอีกฝ่ายนิ่งด้วยแววตาเชื่อมปรอย ไม่นานก็หลุบตาลง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็กลับเต็มไปด้วยความสดใสอย่างดอกไม้แรกแย้มเช่นเดิม

บัดนี้ราวกับสหเดชะตัวหดกลายเป็นเพียงวิทยาธรเด็กตัวน้อยๆ นั่งจ๋องอยู่ตรงหน้ามักกะลีผลเจ้าไพร ด้วยรู้ผิดในสิ่งที่ตนทำ รวีพิรุณเอื้อมมาหยิบเอาผลไม้อีกอย่างซึ่งวางอยู่บนถาดใบไม้ จับพลิกคว่ำพลิกหงายดูแล้วจึงมองหน้าหนูน้อยวิทยาธรด้วยดวงตาใสแจ๋ว เป็นเชิงเอ่ยถาม

เมื่อวิทยาธรยังไม่แสดงท่าทีเช่นไร จึงเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

“เจ้าผลไม้นี้คืออะไรหรือ จะกินอย่างไร”

“ผลไม้นี้เรียกว่ากล้วย”

“กล้วย...หรือ”

“กล้วยที่พี่ปลูกในสวนป่านี้ ลูกใหญ่ เห็นหรือไม่ว่ารวีกำแทบไม่รอบ”

วิทยาธรหนุ่มเผลอกลืนน้ำลาย เฝ้ามองน้องเจ้ากำมือขาวๆ นุ่มๆ นั้นรอบกล้วยลูกใหญ่บะเลอะเทอะทะ แล้วในบัดนั้นเอง...สหเดชะผู้แก่ตบะ ก็มีอันต้องตบะแตกอีกครา เมื่อมักกะลีผลเจ้าอ้าปากกว้าง กำกล้วยในมือแน่น แล้วอ้าปากรับกล้วยลูกใหญ่นั้นเข้าปาก เพราะขนาดของผลไม้ทำให้รวีพิรุณงับปากลงตรงส่วนปลายได้เท่านั้น

สหเดชะมองใบหน้าใสซื่อไร้เดียงสานั้นอย่างเหลือจะกล่าว ดวงตาใสแจ๋วของเด็กหนุ่มมองตอบกลับมา

วิทยาธรหนุ่มยื่นมือสั่นน้อยๆ ไปจับข้อมือขาวๆ ไว้ ฉุดให้ดึงกล้วยลูกนั้นออกมา ได้ผล...น้องเจ้ายอมถอนกล้วยออกจากปาก บัดนี้ปลายผลกล้วยเปียกไปด้วยน้ำใสๆ จากปากของเจ้ามักกะลีผล

สหเดชะเอ่ยเสียงอันแทบจะควบคุมให้เป็นปรกติมิได้ 

“กล้วย...ก่อนเขากิน...ต้องปอกเปลือกก่อน ปอกจากปลาย...อย่างนี้”

โธ่...แล้วตบะที่บำเพ็ญมาจะมีประโยชน์อันใด

***

ขอบคุณสำหรับการเข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้นะคะ
แป้งจี่ฯ มีความสุขมากค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ป.ล. จากลักษณะของผลไม้นั้น และการกิน ผลอุลิดก็คือแตงโมนั่นเองค่ะ ^____^
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 26-03-2019 00:16:30
น้องยั่วแบบไม่ได้ยั่ว อิพี่แหละคิดไม่ดีกับน้อง คิดเองตบะแตกเอง โถ่พ่อคุณ 555555 แต่ชอบที่ใส่ใจน้องนะ อย่างตอนคิดเรื่องอาหารให้น้องแบบหิวมั้ย ให้กินอะไรดี หรือตอนจะปลิดผลไม้ ก็กลัวน้องไปคิดถึงเรื่องนั้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: canterlot ที่ 26-03-2019 06:13:51
นี่ลุ้นตาม หุหุ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-03-2019 08:59:22
รวี.........ชอบน้ำมากกกกกกกกกก  :katai2-1:
อย่างนี้ สหเดชะน่าจะเนรมิตน้ำตก แอ่งน้ำให้แช่น้ำเล่น รวีจะได้ถูกใจดีไหม  :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-03-2019 10:34:54
ตายแล้ว นี่เขาแค่กินผลไม้จริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-03-2019 11:12:15
อันตรายมากรวี
ตบะพี่เขาจะแตกเอาซักวัน  o22
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-03-2019 17:35:03
อิพี่แบบบาปมากค่ะ น้องคือใสบริสุทธิ์ แง้ ตลก 5555555555 ขอน้ำตกใสแจ๋วให้น้องเล่นน้ำด้วยคนค่าาา ฉากอาบน้ำต้องมา 55555555
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 26-03-2019 18:38:48

สนุกมาก ชอบๆๆๆค่ะ

ตามมาอ่านจากชื่อคนเขียนค่ะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 26-03-2019 21:15:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-03-2019 21:48:08
ตบะแตกตู้ม!!!!5555
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 28-03-2019 00:11:24
เจ้ามักกะลีผลน้อย เอ็นดูน้องงงงง
น้องนั้นใสซื่อจะกินกล้วย  แต่พี่เจ้าน่ะคนบาปปปปปปป!!!

ชอบบบบบบแนวนี้ ฮือออ นั้มตาาา ดีจัยยกดมาอ่าน  :pig4:

หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 29-03-2019 22:24:24
โหหห พี่แกจ้องเอาๆจากินๆตลอดเลยอ่า555555 น้องก็น่ารัก นุ่มนิ่ม อยากบีบแก้มน้องงงงง
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 29-03-2019 22:36:13
เอ็นดูน้องงง น้องตัวเร้กๆ อยากรู้จังว่าน้องจะอยู่ได้เกิน 10 วันไหม แล้วจะโดนพี่กินเมื่อไหร่ ฮือ หวงน้องได้ไหม ไม่อยากให้กินแล้ว น้องใสซื่อมากเกินไป
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 01-04-2019 21:40:09

บทที่ 5


แม้ร่างกายจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม แต่นิสัยบางอย่างของรวีพิรุณก็คล้ายกับเด็กคนหนึ่ง พอวิ่งเล่นมากๆ ได้ทำเรื่องที่ชอบใจมากๆ เข้า ก็จะเหนื่อยและหิว พอได้กินอิ่มท้องก็จะหล่นในนิทรา เจ้ารวีก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

สหเดชะนั่งมองร่างผอมๆ ของมักกะลีผลนอนเหยียดสบายอยู่บนเตียงของเขา ใบหน้านั้นหลับพริ้มเป็นสุข หลับสนิทหลับลึกเสียจนแม้เขาแกล้งจิ้มแก้มนุ่มๆ ก็ยังไม่รู้สึกตัว

ผิวของเจ้ามักกะลีผลผู้นี้ช่างนุ่ม เนียน ลื่นมือเสียจริงๆ ยามจับแล้วก็รู้สึกอยากจะสัมผัสอีกไม่รู้แล้ว เขาประหลาดใจเหลือเกินว่าตั้งแต่อุ้มพาน้องเจ้ามาจากดงไม้มักกะลีผลแล้ว เขาก็ดูจะตกอยู่ในหล่มแห่งอารมณ์ของมนุษย์เสียเหลือเกิน ตบะก็ดี สมาธิก็ดี ราวกับจะถูกเปลวร้อนบางอย่างแผดเผาเสียจนป่นปี้ ความคิดความอ่านก็คล้ายจะกระเกิดกระเจิงไปหมด

นี่หากเขาเร่งบำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี เพิ่มพูนตบะได้มากพอแล้วไซร้ เมื่อสิ้นบุญจากจาตุมหาราชิกา อาจได้ไปจุติบนดาวดึงส์ หรือยามาก็เป็นได้ แล้วนี่กระไร...มัวแต่หลงระเริงกับอะไรอยู่ คิดแล้วก็ให้ว้าวุ่นยิ่งนัก ทำอย่างไรจึงจะสลัดภาพต่างๆ ในมโนนึกนี้ออกไปได้ ภาพดวงตาเบิกกว้างด้วยตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ที่เห็น ภาพน้ำระริกใสกลิ้งอยู่ในแววตานั้นยามได้รับนามเรียกขานของตน ท่าทางสดใสยามวิ่งเล่นอยู่บนพื้นหญ้า ยังดวงตากระจ่างใสยามได้รับประทานผลไม้เลิศรสนั้นอีก ในความนึกคิดของสหเดชะยามนี้มีแต่ภาพของเจ้ามักกะลีผลหนุ่มน้อย ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร ก็ไม่อาจลบหรือกลบบังไปได้

ดูซี ดูใบหน้ายามหลับนั้นซี ปากนิด จมูกหน่อย แก้มนิ่ม...นุ่ม...หอม ขนตาเป็นแพโค้งงอ

สหเดชะจับแขนผอมๆ นั้นขึ้นมาพิศ ไม่เห็นแม้ตำหนิใดที่อาจทำให้ลำแขนขาวๆ นั้นน่ามองน้อยลงกว่าเดิม ครั้นพินิศมือของน้องเล่า ก็เห็นนิ้วสวยเล็กเรียว เล็บเป็นสีชมพูสะอาด

เล็บนี้มิใช่หรือ มือนี้มิใช่หรือ ที่น้องเจ้ากำรวบเอากล้วยผลนั้น เพื่อส่งเข้าปาก...

สหเดชะกัดฟันกรอด ข่มอารมณ์พลุ่งพล่านให้สงบลง นึกอยากจะกระโดดจากวิมานของตนลงไป ‘โหม่ง’ เทือกวินธัยเสียให้สิ้นเรื่อง แต่อย่าเลย...วินธัยเป็นเทือกเขาสำคัญของแดนฟ้านี้ จึงแข็งแกร่งยิ่งนัก หากเขาพุ่งลงไปกระแทกก็คงถึงกาลม้วยมรณา หากเขาไม่อยู่แล้ว ใครจะสอนเจ้ามักกะลีผลล่ะ ใครจะพาออกไปวิ่งเล่น ใครจะพาเหาะดูแดนฟ้าในห้วงอากาศ ใครจะพาเจ้าไปกินผลไม้อร่อยๆ ใครจักพาเจ้าไปนครกินรี ไปนครโลหะของชาวกุมภัณฑ์...

สุดท้าย ความนึกคิดก็วนเวียนกลับมาหาเจ้าผู้หลงอยู่ในหลับบนเตียงนอนนี้เอง เจ้าช่างโหดร้ายนัก น้องเอ๋ย...หรือเจ้าขึ้งเคียดที่พี่อุ้มสมลักพาเจ้ามาจากแม่และเพื่อนพ้อง เจ้าคงโกรธที่พี่ปลิดเจ้ามาจากขั้ว เจ้าจึงได้จำฝังใจ...และเด็ดหัวใจของพี่ไปเช่นนี้

เมื่อแรกปลิดเจ้าจากขั้ว พี่หวังเพียงได้กอดเจ้าไม่กี่ราตรี

บัดนี้ เมื่อได้อยู่ใกล้เจ้า พี่กลับหักใจให้ข่มเหงน้ำใจเจ้าไม่ลง แม้อกพี่จะหมกไหม้ด้วยไฟราคะเพียงใด ทว่าเจ้าก็เป็นดังดอกไม้สีขาว ออกดอกเบ่งบานอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน จะให้พี่เด็ดเจ้ามาบดขยี้ให้กลีบช้ำได้เยี่ยงไร

ดอกไม้ริมทางซึ่งแปลกตากว่าดอกไม้อื่นๆ คิดว่าเป็นดอกไม้ดาดๆ ไม่พิเศษอันใด

แต่เมื่อหันกลับไปมองซ้ำ...

กลับเป็นยอดแห่งดอกไม้ในสายตา มีค่ายิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ

***

ราตรีนั้นผ่านไปด้วยอารมณ์ร้อนระอุ สมาธิใดที่สงบเย็นดับร้อนก็กลับเย็นไม่พอ เขาไม่อาจเพ่งไปที่สมาธิอันเป็นดวงแก้วสว่างนั้นได้เลย ตบะใดที่ว่ากล้าแข็งก็กลับอ่อนยวบลงเมื่อนึกถึงภาพ ณ ริมแอ่งน้ำในสวนป่า มันเป็นสมาธิอันกระสับกระส่ายเกินกว่าจะเรียกว่าสมาธิ จิตใจว้าวุ่นถึงเพียงนี้หากขืนผูกมัดตนกับการเพ่งจิตมากเกินไปอาจเกิดจิตระส่ำได้ คราต่อไปไม่เพียงไม่อาจรวมจิตแน่วแน่ แต่ยังอาจจะไม่เข้าถึงสมาธิด้วยซ้ำ

เมื่อมิรู้จะทำเช่นไร สหเดชะจึงลุกจากสมาธินั้นเสีย เดินดุ่มออกไปนอกปราสาท เสกพระขรรค์คู่กายออกมา กวัดแกว่งมันเพียงครั้งเดียวก็ลอยตัวขึ้นจากพื้นดิน

ยามอากาศเย็นปะหน้า จึงค่อยคลายประสาท เหาะไปตามอากาศด้วยจิตใจสงบขึ้นบ้าง มองเห็นเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่งอยู่ต่ำกว่าเกาะของตนลงมาไม่มากนัก สหเดชะนึกถึงอะไรบางอย่าง ก็จึงมุ่งหน้าไปหาทันที

สหเดชะรู้สึกราวกับว่ามีม่านบางใสขวางเขาไว้ แต่เมื่อเขาแตะปลายดาบกับม่านนั้นเขาก็ผ่านเข้าไปได้ทันที ม่านนี้เป็นอาคมอันเจ้าของวิมานร่ายไว้เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูหมู่ปัจจามิตรลอบเข้าไปได้ แต่เมื่ออาคมนี้ปล่อยให้เขาผ่านเข้าไป แสดงว่าเจ้าของวิมานนี้มิได้เห็นเขาเป็นศัตรู

วิมานเกาะแห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าเกาะของสหเดชะ แต่ราวกับมีพื้นที่มากกว่า ด้วยพื้นที่ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ มีป่าละเมาะเล็กๆ อยู่ตรงด้านหนึ่ง ชายป่านั้นปลูกกระท่อมเล็กๆ จากไม้หลังหนึ่ง เป็นกระท่อมเรียบๆ ราวกับมิใช่วิมานของวิทยาธรกระนั้น

“ราตรีนี้พระโสมส่องช่างงดงามนัก สหเดชะท่านมีกิจใดจึงมาหาเราหรือ”

ร่างหนึ่งยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้หลากพันธุ์

“ภมรธรา เราไม่คิดรบกวนการนั่งสมาธิของท่าน...”

“หามิได้” ฝ่ายนั้นตอบ “ราตรีนี้เราไม่เข้าสมาธิดอก”

สหเดชะมิได้เอ่ยถามว่าด้วยเหตุใด แต่มองดูดอกไม้ที่ขึ้นสวยอยู่กลางแสงจันทร์

ภมรธรานั้นมีอาภรณ์เป็นสีเหลือง เป็นวิทยาธรผู้หลงในรสน้ำเมา ดอกไม้เหล่านี้ของเขาเป็นแหล่งอาหารของฝูงผึ้งจำนวนมาก เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว เขาก็จะทำเป็นน้ำเมาอย่างหนึ่ง

วิทยาธรผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่ยิ่งกว่าสหเดชะเสียอีก ทว่าในด้านพละกำลังและคุณวิเศษอื่นๆ แล้ว สหเดชะนับว่าเหนือกว่า กระนั้น...เขาผู้นี้เองเป็นคนสอนให้สหเดชะได้กอดนารีผลครั้งแรก รีบเร่งพาเขาไปยังต้นมักกะลีผล ด้วยกลัววิทยาธรหรือชาวฟ้าอื่นๆ จะแย่งปลิดไปหมด

“เราเคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือ สหเดชะ ท่านมาที่วิมานเราได้ทุกวาร เอ...แล้วราตรีนี้ท่านมีเรื่องร้อนใจใดหรือ จึงได้มาเพลานี้”

“ร้อนใจ? ไม่ใช่เรื่องร้อนใจดอก เราเพียงอยากจะมาชมทุ่งดอกไม้ของท่าน”

“นั่นซี ทุ่งดอกไม้เรานี้นับว่าเป็นเยี่ยมกว่าใครๆ ในพิทยานคร คงทำให้ผู้ได้ชมรู้สึกชื่นบานไม่น้อย เอ้อ...สหเดชะ ท่านได้ยินมาบ้างหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องน่าแปลกบางอย่าง”

“เรื่องน่าแปลกใดหรือ”

ภมรธราเดินเข้ามาใกล้สหาย พลางเอ่ย “ก็ที่ต้นแม่มักกะลีผลน่ะซี นักสิทธิ์ตนหนึ่งเกิดโวยวายขึ้นว่ามีคนแอบตัดเอามักกะลีผลไปจากต้น”

หากจะมีอาการใดในร่างของสหเดชะที่ผิดปรกติ ก็คงเกิดขึ้นเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น เขายังคงมองดอกไม้ตรงหน้าต่อไป

“นักสิทธิ์ตนนั้นร้องป่าวไปทั่วว่าวิทยาธรผู้หนึ่งตัดลูกมักกะลีผลจากต้น ตัดไปทั้งที่ลูกนั้นยังไม่สุกงอมดีนัก”

“ยังไม่สุกงอมดีหรือ จะตัดได้อย่างไร มักกะลีผลไม่ตายเสียหรือ” ปากเอ่ย ตามองดอกไม้นิ่งอยู่

วิทยาธรผู้สหายเดินเข้ามาใกล้แล้ว “สหเดชะ แม้ดอกไม้ของเราจะงดงามแค่ไหน แต่ท่านก็คุยโวว่าชอบดอกไม้บนวิมานท่านมากกว่า ไฉนคืนนี้จึงดูท่านจะชอบดอกไม้ของเรามากนักเล่า”

“เรา...”

“เราก็เพิ่งไปที่ต้นมักกะลีผลมา เจอนักสิทธิ์ตนนั้น เราเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สุงสิงกับชาวฟ้าพวกอื่นๆ ยิ่งพวกนักสิทธิ์ด้วยแล้วเราเป็นหนีห่าง แต่นักสิทธิ์ตนนี้...ไม่ได้หวังร้าย ท่านรู้ใช่ไหม...”

ในที่สุด สหเดชะจึงเงยหน้ามองตอบสหายเจ้าของวิมาน

ฝ่ายนั้นไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง ทว่ามองตรง แน่วแน่ “นักสิทธิ์ตนนี้เป็นสหายท่าน เราจำได้ ไม่มีวิทยาธรคนไหนจะคบหากับนักสิทธิ์ หรือกระทั่งคนธรรพ์ หรือพวกแทตย์ ท่านแปลกกว่าพวกเราชาววิทยาธรอื่นๆ ท่านเป็นมิตรกับใครเขาไปทั่ว”

“...”

“ต้นมักกะลีผลเป็นต้นไม้ที่องค์อินทร์ทรงเสกไว้ เมื่อคราวพระโพธิสัตว์ออกบำเพ็ญบารมี ณ ป่าแห่งนั้น หลังจากพระโพธิสัตว์ละจากโลกและขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอไปเกิดและตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้นมักกะลีผลก็กลายเป็นที่ที่เหล่าชาวฟ้าผู้ใฝ่ในรสแห่งกายมาชุมนุม ท่านก็รู้ว่าเราสามารถปลิดมักกะลีผลได้เมื่อสุกงอมเต็มที่ ไม่เคยมีใครตัดขั้วมักกะลีผลเมื่อยังห่ามอยู่ดอกหนา”

สหายต่อสหาย สหเดชะไม่หลบสายตา ขณะเอ่ย “เราไม่นึกเสียใจแม้สักน้อย หากจะมีอะไรเกิดขึ้นจากนี้...เราก็ยินดีรับ”

“ฟังว่ามักกะลีผลผู้นี้แปลกกว่ามักกะลีผลอื่นหรือ?”

“ท่านได้ยินอะไรมาอีก”

“เขาว่า...มักกะลีผลนี้มิใช่...นารีผล”

สหเดชะเงียบไป แล้วเอ่ย “เป็นเช่นนั้น”

“สหเดชะ ไม่ว่าเป็นนารีผลหรือผลบุรุษ...ก็ไม่เป็นปัญหาใด อีกเรื่องท่านตัดมักกะลีผลนั้นตอนยังห่ามก็ไม่น่าจะมีเรื่องราวใดใหญ่โต ท้าวจาตุมหาราชท่านปกครองชาวเราด้วยเมตตา ซ้ำตัวท่านเองก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก นับว่าเป็นข้าใต้บาทท่านท้าวอันสำคัญผู้หนึ่ง เรื่องเพียงเท่านี้อย่าวิตกไปเลย ที่เกิดเป็นเรื่องแตกตื่นกันขึ้นมาก็เพราะท่านบุ่มบ่ามกระทำการนั้นโดยหุนหันเท่านั้นดอก”

ภมรธราวางมือลงบนไหล่หนาของสหาย “เราชาววิทยาธรแม้มุ่งหวังการหลุดพ้น แต่ก็ยังยึดติดอยู่กับโลกมนุษย์ยิ่งกว่าชาวสรรค์อื่นๆ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงรัดเราแน่นเหนียวเจียวท่านเอ๋ย ฉะนั้น...หากท่านกลัดกลุ้มนัก ก็จงให้น้ำเมาที่เราบ่มไว้นี้ช่วยคลายใจท่านให้สบายเถิด”

“ภมรธรา เราไม่ดื่มน้ำเมาท่าน”

ผู้ชอบน้ำเมาส่ายหัว “น่าเสียดายจริงๆ เราจะบอกท่านว่า เราได้นารีผลมาสองนาง ก่อนท่านมา เราเพิ่ง...” บัดนี้วิทยาธรเจ้าของวิมานกระแอมหนึ่งที “นั่นละ น้ำเมาเรานี้ดีหลาย นารีผลทั้งสองนางดื่มกินแล้วเป็นสุขยิ่งนัก เรา...ก็เป็นสุขเช่นกัน แล้วมักกะลีผลผู้นั้นเล่า งามมากหรือ”

สหเดชะมองใบหน้ายิ้มแย้มเป็นสุขของภมรธราแล้วชักไม่ชอบใจ “งาม”

“ท่านชอบมากหรือ”

“พึงใจเรามากทีเดียว”

“เช่นนั้นเราก็ควรจะได้ยลโฉมบ้าง”

“ไม่ดีหรอก”

วิทยาธรผู้รักในน้ำเมาหัวเราะเสียงดังลั่น “รู้หรือไม่ ท่านยังไม่เปลี่ยนไปจากตอนอุบัติใหม่ๆ ในพิทยานครนี้สักเท่าใดเลยนะ ตอนเราเห็นแสงสีเขียวสว่างโร่ขึ้นเหนือศีรษะเราไป เรารีบเหาะขึ้นไปดู ก็ได้รู้จักกับท่าน ตอนนั้นท่านช่างเดียงสาไปเสียทุกอย่าง” ภมรธรายกยิ้ม “แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปจนนิดเดียวคือเอ่ยวาจาไม่มีน้ำใจเช่นนี้แหละ มักกะลีผลนั้นมิกลัวท่านแย่หรือ”

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ จับวิทยาธรผู้นี้โยนให้โหม่งเขาวินธัยคงดีไม่น้อย

“อ้า เรารู้ละ” ภมรธรายังไม่หยุดพูด สหเดชะคิด...วิทยาธรผู้นี้คงจะปรารถนา ‘โหม่ง’ เทือกวินธัยจริงๆ “ท่านรักป่าผลไม้ของท่าน หวงสวนขวัญของท่านยิ่งกว่าสิ่งใด อะไรที่เป็นของท่าน...ท่านจะรักราวกับเป็นร่างกายตนเอง ท่านคงอ่อนโยนกับมักกะลีผลผู้นี้มากล่ะซี”

“ท่านช่างรู้มาก”

ภมรธราหัวเราะลั่นอีกครั้ง ด้วยรู้ว่ามิใช่คำชม

“เขาคงน่ารักมากล่ะซี ตอนที่...”

บัดนี้ สหเดชะคิดจะจับสหายทุ่มลงจากวิมานแล้วจริงๆ แต่ก็ทำเพียงเงียบไว้ ฝ่ายนั้นอ้าปาก แล้วส่งเสียงราวกับไม่เชื่อ

“นี่ท่านยังไม่... จริงหรือ สหเดชะ เหตุใด...” ภมรธรามองสหายราวกับเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก “เอาน้ำเมาเราไปให้เขาดื่มเสียซี จะได้ง่ายขึ้น หรือท่านจะดื่มเองก็ยิ่งดี”

“เห็นจะไม่ดีนัก”

สหเดชะเห็นว่าควรกลับไปที่วิมานตนเสียที จึงรีบหันกายจะเดินผละมา

“จะไปแล้วหรือ” เจ้าของวิมานท้วง

สหเดชะชะงักเท้า หันกลับมาหาสหายเจ้าของวิมาน “ท่านพอมีน้ำผึ้งบ้างหรือไม่”

“น้ำผึ้ง? เอาน้ำผึ้งไปทำไม น้ำเมาดีกว่ามาก”

“น้ำผึ้งนั่นละ ท่านมีใช่ไหม”

“มีสิ ท่านจะเอาไปทำอะไร”

“น้ำเมาไม่ดื่มหรอก แต่น้ำผึ้งนั้นดีทีเดียว”

สหเดชะเผลอยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มสว่างสดใสของรวีพิรุณ

หากน้องเจ้าได้ดื่มน้ำผึ้งรสหอมๆ กับผลไม้ละก็ คงชอบน่าดู

“เราขอสักคนโทหนึ่งได้หรือไม่”

***

รวีพิรุณตื่นเพราะเสียงนกร้องจิ๊บๆ อีกแล้ว อากาศยามเช้าหนาวเย็น ทว่าเจ้านกน้อยก็ราวกับจะไม่ยี่หระต่อความเย็นนั้นเลย มันเกาะอยู่ตรงช่องบัญชรนั้น ส่งเสียงจิ๊บๆ แล้วก็จิ๊บๆ อยู่ไม่แล้ว ราวกับจะบอกว่า เจ้าคนขี้เกียจ ลุกฟื้นตื่นขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้ สวนดอกไม้เพรียกหา สายธารากวักมือคอยเจ้าอยู่แล้วนา

คราวจะลุก เจ้ารวีก็ลุกพรวดขึ้นมา ยกมือถูๆ ตรงใบหน้าสองสามครั้ง แล้วหย่อนเท้าลงจากเตียง ความรู้สึกตอนได้หยัดกายลุกยืนตรงนี้ช่างวิเศษจริงๆ

รวีพิรุณเปิดยิ้ม ดวงตาพราวระยับ “เจ้านกน้อย เจ้าน่ะเอง เจ้าหายไปไหนมา”

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

สกุณาชาติตัวน้อยเอียงหน้ามองมักกะลีผลที่สวมใส่ผ้าเนื้อบางลื่นสีขาวสะอาด ผ้านั้นคลุมลงมาถึงหัวเข่า เปิดให้เห็นแข้งสวยเรียว เท้าเล็กๆ นั้นหยัดยืนอย่างมั่นคง

แล้วเจ้านกน้อยก็บินเข้ามาภายในโถงนอน

“อ๊ะ จะไปไหนน่ะ รอก่อนสิ”

ตอนจะก้าวขาตามยังเซนิดหน่อย แต่พอตั้งหลักได้ก็ออกวิ่งปร๋อ ตามเจ้านกน้อยไปติดอยู่ที่ประตูห้องที่หับไว้อย่างดี แต่พอมักกะลีผลน้อยยื่นมือไปผลักเบาๆ มันกลับแง้มออกอย่างง่ายดาย ทั้งนกทั้งมักกะลีผลเห็นสิ่งกีดขวางเปิดออกแล้ว ทางโล่งดี นกก็ขยับปีกบินไป มักกะลีผลก็ก้าวขาออกวิ่งตาม

รวีพิรุณออกวิ่งเหย่าๆ ตามเจ้านกน้อยแสนฉลาดออกไป ผ่านทางเดินมากหลาย ผ่านห้องหับมากเหลือ กระทั่งลุถึงลานโล่งด้านนอกซึ่งต่อกับสวนดอกไม้นั่นเอง

“เจ้านก รอก่อน”

นกไปแล้ว มักกะลีผลเล่า? ก็ต้องตามไปน่ะซี

รวีพิรุณส่งเสียงหัวเราะสดใสยามเมื่อเท้าสัมผัสหญ้านุ่มๆ สูดกลิ่นหอมของอากาศอันบริสุทธิ์ น้ำค้างยอดหญ้ายามเช้านั้นเย็นจัด กระนั้นน้องรวีเจ้าก็ไม่หวั่น ย่ำเท้าไปตามนกน้อยตัวนั้น แต่เพราะใจมันโลดแล่นกับความงามของธรรมชาติยามเช้า มองหาเจ้านกน้อยนั้นแล้วก็ไม่เห็นว่าอยู่ไหน

“นกจิ๊บๆ เจ้าไปไหนเสียแล้ว นกน้อยจิ๊บๆ”

รวีพิรุณผ่อนฝีเท้าลง พร้อมกับหันกายมองหาสกุณาชาติตัวนั้นไปด้วย ขณะนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

ไม่ไกลจากปราสาทใหญ่โตนั้นนัก มีหมู่หินสีขาวโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน รวีพิรุณค่อยก้าวเข้าไปใกล้ มองเห็นน้ำผุดขึ้นมาจากช่องเล็กๆ ระหว่างหินเหล่านั้น

สายน้ำใสสะอาดผุดขึ้นมาแล้วไหลลงไปที่แอ่งน้ำเล็กๆ ด้านล่าง ก่อนจะไหลออกจากแอ่งน้ำนั้น...แล้วไหลเรื่อยออกไป

มักกะลีผลผู้อยากรู้อยากเห็นค่อยๆ ย่างเท้าเดินตามสายน้ำเล็กๆ นั้น จากแอ่งน้ำไปสู่ร่องน้ำ แล้วทันใดนั้นเอง...เจ้ามักกะลีผลก็เริ่มออกวิ่งอีกครั้ง

ช่างน่าอัศจรรย์ ร่องน้ำเล็กๆ นี้เริ่มขยายใหญ่ออกกว้างกลายเป็นธารน้ำใส ธารน้ำใสนี้เองสินะที่เรานั่งอยู่กับวิทยาธรผู้นั้น เขาเป็นวิทยาธร...มีพระขรรค์ด้วย

รวีพิรุณวิ่งตามธารน้ำใสนั้นไป มันคดเคี้ยวไปทางซ้าย รวีเจ้าก็วิ่งซ้าย มันเลี้ยวป่ายไปทางขวา รวีเจ้าก็ไปขวา เจ้าวิ่งไป เส้นผมนุ่มยาวเลยไหล่ก็สยายออกด้านหลัง

“รวี!”

ขณะกำลังวิ่งไปและเริ่มมองเห็นสวนผลไม้อยู่ลิบๆ นั้นเอง ก็มีเสียงเรียกนามของเขาดังก้อง พอมองไปจึงเห็นวิทยาธรผู้นั้นกำลังหอบอะไรมาเต็มแขน เดินมาจากสวนผลไม้นั้นเอง

“ตื่นแล้วหรือ”

รวีพิรุณหยุดเท้า ยืนนิ่งอยู่ริมธารน้ำ อืม ตรงนี้หญ้านุ่มจริงๆ

พอหันไปมองอีกที ก็เห็นวิทยาธรนั้นลอยอยู่เหนือผิวน้ำของลำธารแล้ว รวีพิรุณผงะถอยเล็กน้อย

“ยังไม่ชินอีกหรือ พี่เป็นวิทยาธร...ก็ต้องเหาะได้”

น้องไม่ตอบคำแต่มองของในอ้อมแขน “ผลไม้”

“พี่เอากล้วยมาให้ เจ้าชอบมิใช่หรือ”

“เราชอบ”

ในที่สุดเขาก็แน่ใจ น้องเจ้ากินลูกไม้ได้ และไม่รังเกียจที่จะกินสักนิด

“งั้นนั่งลงเถอะ พี่มีของอร่อยมาฝาก”

“ของอร่อย อะไรหรือ ผลอุลิดหรือ?”

วิทยาธรนั่งลงก่อน รวีพิรุณจึงต้องนั่งตาม

คนผู้นั้นแกว่งมือในอากาศแล้วทันในนั้นก็มีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ เขามองอย่างสนใจ

“นี่คือคนโท” ฝ่ายนั้นอธิบาย “พี่ใส่น้ำผึ้งมาฝากเจ้า”

“น้ำผึ้ง? ผึ้งบินว่อนน่ะหรือ”

“ใช่ ผึ้งบินว่อน ผึ้งกินน้ำหวาน แล้วเอากลับไปที่รัง ทำน้ำผึ้งออกมา เราก็ได้กินน้ำผึ้ง”

“กินน้ำผึ้ง เราแย่งผึ้งหรือ”

สหเดชะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ไม่แย่งหรอก รวี ผึ้งแบ่งให้เราต่างหาก เขามีน้ำผึ้งเยอะ จึงแบ่งให้เรากิน เอาไว้กินกับกล้วยนี้ไง”

“ผึ้งใจดีจัง”

“เช่นนั้นรวีก็กินเสีย ผึ้งจะได้ดีใจ”

“รวีกินแล้วผึ้งจะดีใจหรือ”

“นั่นซี” สหเดชะมองสีหน้ากระตือรือร้นของน้องเจ้าแล้วก็ยิ้มกริ่ม เอียงคนโทเพื่อเทน้ำผึ้งลงกับกระเปาะทำจากใบไม้ น้องมองหน้าเขาเช่นกัน เขาจึงเอานิ้วชี้จุ่มกับน้ำผึ้ง แล้วยื่นไปจ่อตรงหน้าน้องเจ้า “ลองชิมดูซี”

ดวงตาที่มองมานั้นดูอยากรู้อยากลองเสียจริงๆ รวีพิรุณค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ แล้วอ้าปากน้อยๆ ครอบลงกับนิ้วที่ยื่นไว้รอซึ่งเยิ้มไปด้วยน้ำผึ้งหอมหวาน

ทันทีที่มักกะลีผลครอบปากลงบนนิ้วนั้น สหเดชะก็เม้มปากแน่น ส่งเสียงฮึมในลำคอ จ้องปากของน้องที่อมนิ้ว จ้องนิ้วที่อยู่ในปากน้องซึ่งบัดนี้กำลังออกแรงดูดเบาๆ ลิ้นเล็กๆ ตวัดถูกปลายนิ้วเพื่อลองชิมรสน้ำผึ้ง สหเดชะเริ่มเห็นว่าภมรธราก็เป็นสหายที่ดีเช่นกัน

ไม่นานรวีพิรุณก็อ้าปาก ถอยกลับไป ปากน้องเจ้าวาวใส เปื้อนเยิ้มด้วยคราบน้ำผึ้ง

ปากคอพี่ราวกับจะสั่น “อะ...อร่อยไหม”

น้องยิ้มทั้งปากเยิ้ม “อร่อย! รวีชอบ!”

“พี่ก็ชอบ...เอ้อ...ที่เจ้าชอบ”

รวีพิรุณยิ้มหวานเช่นเดียวกับน้ำผึ้งที่กิน “รวีกินแล้วชอบ ผึ้งจะดีใจไหม”

“ดีใจซี ผึ้งดีใจแน่ๆ”

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าภมรธราเรียกผึ้งทุกตัวที่อยู่ในบริเวณนี้ไปที่วิมานของเจ้าตัวหมดละก็ คงจะมีผึ้งสักฝูงบินตอมดอกไม้ให้รวีพิรุณได้ดูอยู่หรอก คิดแล้วสหเดชะก็เห็นว่าภมรธราไม่น่าจะใช่สหายที่ดีสักเท่าไหร่

แม้จะชอบผลไม้มากเพียงไร รวีพิรุณก็รับประทานกล้วยไปเพียงสองลูกเท่านั้น แค่นี้ก็อิ่มแปล้แล้ว ส่วนน้ำผึ้งนั้นเจ้ามักกะลีผลรับประทานด้วยมือจนเปรอะไปหมด จึงเลียนิ้วเพื่อทำความสะอาด ทว่าสหเดชะเห็นการไม่ดี จึงพาไปล้างมือในธารน้ำใส

วิมานแห่งสวนไม้ดอกและไม้ผลของสหเดชะราวกับถูกอวยพรโดยพระสูรยาทิตย์ เพราะมีแสงแดดอุ่นๆ ส่องลงมาทุกวาร ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป

น้องมักกะลีผลนั่งมองน้ำไหลในธารใส พี่วิทยาธรนั่งมองหน้าเปื้อนยิ้มของน้อง ครั้นแล้วสหเดชะก็ร้องขึ้น

“เจ้าอยากเหาะได้ไหม”

รวีพิรุณหันหน้ามามอง “เหาะหรือ”

“เจ้าชอบใช่หรือไม่ ที่พี่พาเจ้าชมเมืองเมื่อวานนี้”

“รวีชอบ”

“รวี...พี่สอนให้เจ้าเหาะดีไหม?”

“สอนเราเหาะหรือ”

“ถูกต้อง พอเจ้าเหาะได้ ก็พาพี่เหาะไปดูเมืองบ้าง”

“อยาก...รวีอยากเหาะ สอนรวีเหาะ”

มักกะลีผลกระโดดผึงขึ้นแล้วเขย่งเท้าเหย็งๆ ใบหน้าเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม มองสีหน้าเช่นนี้แล้วใครจะทนไหว

“เจ้าเป็นมักกะลีผลจึงไม่มีอำนวจวิเศษอะไร พี่เอง...แม้เป็นวิทยาธรแต่หากไม่มีพระขรรค์คู่กายก็ไม่อาจเหาะได้ ดังนั้นวิธีการเหาะที่พี่จะสอนคือเหาะโดยใช้พระขรรค์กายสิทธิ์นี้”

สหเดชะตวัดมือในอากาศ แล้วพระขรรค์สีเงินก็ปรากฏในมือ “พี่จะบอกเจ้าบางอย่าง พระขรรค์นี้ปรากฏขึ้นพร้อมพี่ เมื่อพี่อุบัติขึ้นในแดนฟ้านี้ เรียกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพี่เอง แต่หากพี่ปรารถนาจะมอบมันให้ใครก็สามารถทำได้ แล้วจึงค่อยบำเพ็ญตบะสร้างมันขึ้นมาใหม่ กระนั้นมันก็สำคัญกับวิทยาธรอยู่มากทีเดียว เพราะไม่มีพระขรรค์ก็เหาะไม่ได้ วิทยาธรจึงไม่ให้ใครแตะต้องพระขรรค์ตน หากมิใช่คนสำคัญจริงๆ ในอดีตก็เคยมีวิทยาธรมอบพระขรรค์ให้แก่คนที่ช่วยชีวิตตนเอง สำหรับเจ้าแล้ว รวี พระขรรค์ของพี่...พี่มอบให้เจ้าใช้ได้ตามใจ”

สหเดชะมองสบกับดวงตากลมโตสีดำสนิทนั้น รู้สึกราวกับมีอะไรอุ่นวาบอยู่ในอก “ก่อนอื่น เจ้าต้องยืนให้มั่น สองขาแยกจากกันพอประมาณ...อย่างนี้ กำพระขรรค์ให้แน่น แกว่งพระขรรค์หนึ่งครั้งคือเหาะขึ้น หากอยากจะเหาะให้เร็วต้องควงพระขรรค์เป็นวง แล้วชี้ไปด้านหน้าหรือตรงทิศนั้นๆ ที่เราอยากไป...”

ขณะพี่อธิบาย น้องก็รับฟัง ดวงตานั้นสุกใสบ่งบอกสติปัญญา “หากเจ้าอยากจะลอยเรี่ยดินก็ตวัดพระขรรค์จากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย...เช่นนี้”

พอทำดังพูด ร่างของสหเดชะก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นหญ้า ร่างลอยค้างอยู่เหนือพื้นดินเช่นนั้น “แล้วก็ชี้ปลายพระขรรค์ไปแล้วแต่เจ้าอยากไป”

สหเดชะชี้ปลายพระขรรค์มาหารวีพิรุณ ร่างจึงค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้กับเจ้ามักกะลีผล กระทั่งอยู่ใกล้กันไม่เกินหนึ่งฝ่ามือขวาง วิทยาธรหนุ่มก้มหน้าลงมามองเข้าไปในดวงตาของน้องเจ้า “เจ้าเข้าใจที่พี่สอนหรือไม่”

มักกะลีผลมองพี่เฉย แล้วทันใดก็เปิดยิ้มกว้าง พยักหน้า แล้วยื่นมือมาขอพระขรรค์ “ให้รวีลองเหาะบ้าง”

“เอาซี”

สหเดชะลงแตะพื้นหญ้า เขายื่นพระขรรค์กายสิทธิ์ให้เจ้ามักกะลีผล ฝ่ายนั้นเอื้อมมือมาหยิบเอาไป พอมือขาวๆ นั้นจับด้ามพระขรรค์แล้ว ก็เบิกตากว้าง ราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง

***

(อ่านต่อรีพลายด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 01-04-2019 21:43:05

กระแสอุ่นร้อนบางอย่างแล่นผ่านจากด้ามพระขรรค์เข้าสู่ฝ่ามือของเขา รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาเริ่มเบาหวิว คล้ายมีลมอ่อนๆ พัดอยู่ที่เท้า จึงก้มลงมอง แม้ไม่เห็นอะไรแต่ความรู้สึกนั้นก็ยังอยู่

วิทยาธรเอ่ยบอกเขามาอีก “ลองดูสิ ตวัดเบาๆ”

รวีพิรุณลองตาม โดยตวัดพระขรรค์สีเงินจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ทันใดลมอ่อนๆ นั้นก็เริ่มแรงขึ้น แล้วรวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ค่อยพยุงตัวของเขาให้ลอยขึ้นจากพื้นทีละน้อย ลอยเรี่ยอยู่เหนือพื้นดิน รวีพิรุณมองที่ฝ่าเท้าตนเอง มองไปที่วิทยาธรผู้นั้น มองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ แล้วจึงมองไปที่พระขรรค์กายสิทธิ์นั้น

วิทยาธรปรบมือเสียงดัง “อย่างนั้นซี เจ้าเก่งมาก”

“รวีเก่ง”

คนพูดเอ่ยออกมาราวกับพอใจในตนเองยิ่งนัก

“ชี้ปลายพระขรรค์มาหาพี่ซิ” วิทยาธรบอก

มักกะลีผลเจ้าก็ลอยมาหา

“ชี้ปลายพระขรรค์ไปทางลำธาร”

มักกะลีผลก็ลอยไปทางลำธาร

เจ้าของวิมานเอ่ยปากชมเปาะ “เจ้าเก่งจริงๆ รวี เพียงครั้งแรกก็ทำได้ถึงเพียงนี้”

“รวีเก่ง” เสียงหัวเราะพออกพอใจในตนเองนั้นราวกับเป็นเสียงกระดิ่ง มันใสและสะอาด ส่งผ่านเข้าไปถึงในใจวิทยาธรทีเดียว
ขณะสหเดชะกำลังยิ้มบานอยู่นั้นเอง รวีพิรุณก็เอ่ยออกมาว่า “ถ้าอยากเหาะเร็ว จะต้องหมุนพระขรรค์ใช่หรือไม่”

ด้วยกำลังอยู่ในอารมณ์สุข วิทยาธรจึงเอ่ยตอบไปว่าใช่

“รวีอยากเหาะเร็วๆ”

เจ้ามักกะลีผลเอ่ยออกมาเช่นนั้น ครั้นแล้วก็ควงพระขรรค์รวดเร็วยิ่ง พอชี้พระขรรค์ไปด้านหน้าก็พุ่งออกไปทันที ราวกับลูกธนูปล่อยจากแล่ง

“รวี!”

ตายละวา สหเดชะหน้าซีด ในใจร้องออกมา อย่าเพิ่งหนีพี่ไป!

เขากระโดดตามไปทันที แม้เมื่อไม่มีพระขรรค์จะเหาะไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถกระโดดข้ามพื้นที่ได้ระยะไกล เขากระโดดตามเจ้ามักกะลีผลไป ฝ่ายนั้นเหาะพุ่งไปในอากาศ พุ่งฉวัดเฉวียนไปมา เขาตามจนแทบเวียนหัว

รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นนกน้อยร้องจิ๊บๆ เจ้านกน้อยตัวนั้นบินไปมาในอากาศได้อย่างอิสระเสรี แล้วเขาเล่า ยามนี้ก็บินไปมาในอากาศได้อย่างอิสระเช่นเจ้านกน้อยนั้นแล้ว สายลมแรงปัดเส้นผมยาว อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นแนบกับร่าง

เขาเห็นโลกตรงหน้านี้แปลกออกไป ต้นไม้ ต้นหญ้า ธารน้ำใส ดอกไม้นานาพันธุ์ลอยผ่านไปด้วยความรวดเร็ว ลมอุ่นที่หมุนวนอยู่ที่ปลายเท้านั้นพัดแรงขึ้น เร็วขึ้นจนเขาควบคุมแทบไม่ไหว

รวีพิรุณเริ่มตระหนก ในหูแว่วเสียงร้องเรียกนามจึงพยายามหมุนพระขรรค์ให้กลับไปยังทิศนั้น ร่างน้อยๆ พุ่งเป็นวงโค้ง แล้วจึงเห็นวิทยาธรผู้นั้นกำลังกระโดดตัวลอยข้ามพื้นที่กว้างมาหา ดวงตาฉายแววร้อนรน

“รวี! ช้าลงหน่อย เจ้ายังไม่คุ้น!”

รวีพิรุณเองก็มิใช่กล้าหาญขนาดนั้น พอมองเห็นคนตัวใหญ่กระโดดเข้ามาหา จึงพุ่งเข้าไปทันที ใจที่กำลังตระหนกนั้นเริ่มมาเป็นกอง ราวกับคนหิวโซเจออาหาร

คนผู้นี้เคยแทนตัวเอง...พี่

รวีพิรุณเห็นใบหน้าของวิทยาธรชัดเจนยิ่งนัก ในขณะที่ร่างกำลังพุ่งเข้าหากัน จึงร้องออกมา

“ท่าน...ท่านพี่!”

ดวงใจของสหเดชะลิงโลด

ก่อนร่างจะปะทะกัน สหเดชะกระโดดขึ้นสูง หมุนตัวดังจักรผัน จับต้นแขนผอมๆ ไว้ พลิกตัวไปเพื่อซ้อนเข้าด้านหลัง มือที่ว่างจับทับเข้ากับมือของน้องที่กระชับพระขรรค์อยู่ มือของน้องสั่นน้อยๆ

ดีเท่าไหร่ไม่ปล่อยพระขรรค์เสียก่อน

เขาฉวยพระขรรค์นั้นมาไว้เสียเอง ตวัดมันขึ้นแล้วร่างสองร่างก็พุ่งจากพื้นขึ้นไปกลางอากาศ รวีพิรุณพลิกร่างเข้ามาหา ซบใบหน้าลงกับแผ่นอกแกร่ง แขนผอมๆ กอดเขาแน่น

สหเดชะวาดพระขรรค์เป็นแนวราบกับพื้น ร่างทั้งสองจึงค่อยๆ ช้าลงก่อนหยุดกลางอากาศ เขากอดน้องไว้แน่น ฝังจมูกลงกับกลุ่มผมหอมๆ กลิ่นลูกไม้นั้น

“อย่าหนีพี่ไป รวี อย่าไปจากพี่”

สหเดชะปล่อยมือจากพระขรรค์ มันลอยตัวอยู่ใกล้ๆ กับเขานั่นเอง ปลายชี้ลงดิน แล้วทันใดส่วนปลายก็ค่อยๆ กลายเป็นผงสีเงิน กระจายหายไป ลามจากส่วนปลายขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละน้อยๆ

วิทยาธรกอดร่างมักกะลีผลแน่นเข้าขณะร่างสองร่างลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ นุ่มนวล

“แม้เจ้าเหาะได้แล้ว...ก็อย่าหนีพี่ไป”

สหเดชะกระซิบถ้อยคำ รวีพิรุณผละใบหน้าจากอกของเขา ช้อนหน้าขึ้นมองสบกับดวงตาสั่นไหวของเจ้าของวิมาน “ท่านพี่”

“พี่นึกว่าเจ้าจะหนีพี่ไป”

“รวีไม่หนี รวีอยากเหาะได้เท่านั้น”

ริมฝีปากอิ่มๆ นี้อย่าเจื้อยแจ้วจำนรรจาอีกเลย ว่าแล้วสหเดชะก็จับใบหน้าของรวีพิรุณไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ก้มหน้าลงไป มุ่งหมายที่ริมฝีปาก

น้องเบิกตากว้างขณะใบหน้าของพี่ใกล้เข้ามา แล้วความอ่อนนุ่มก็ประกบเข้าด้วยกัน

ร่างทั้งสองลอยสู่เบื้องล่างอย่างช้าๆ ราวกับขนนกค่อยๆ ตกลงสู่พื้นดิน

สหเดชะสัมผัสริมฝีปากของเจ้ามักกะลีผล ช่างหอมหวาน ช่างอ่อนนุ่ม กลิ่นน้ำผึ้งอวลอยู่ภายใน น้องเจ้าเองก็ตอบรับกลับอย่างดี เมื่อเขาส่งลิ้นเข้าไป ฝ่ายนั้นก็ส่งลิ้นเล็กๆ ต้อนรับ

ร่างของพวกเขาค่อยๆ หมุนคว้าง ฝ่ายพี่อยู่บน แล้วเปลี่ยนมาอยู่ล่าง สลับกันไป รสจูบหอมหวาน พานให้หูตามืดบอด แม้กระทั่งเท้าแตะพื้นแล้วรสจูบก็ยังทำให้มัวเมา

บัดนี้พระขรรค์เงินได้สลายไปหมดแล้ว ร่างของพวกเขาลงถึงพื้นดิน สหเดชะนอนราบลงกับพื้นหญ้า แผ่นหลังสัมผัสหญ้านุ่ม ร่างของน้องทับทาบตามลงมา

สหเดชะขบริมฝีปากล่างอันอวบอิ่มของน้องเบาๆ จูบซ้ำที่มุมปากฉ่ำเยิ้มด้วยน้ำใส นิ้วมือจับติ่งหูเล็กๆ อ่อนนุ่มนั้นอย่างถนอม จับปอยผมทัดหูน้องให้

เอาแก้มแตะแก้มอ่อนโยน อ้อยอิ่ง กระซิบกระซาบคลอเคลีย “รวีเจ้าเอ๋ย...รู้ไว้เถิดหนา...”

เขาเลื่อนใบหน้าออกมา สบตากับดวงตาฉ่ำน้ำหรี่ปรือนั้น มองสบแน่วแน่ไม่หลีกหลบ

“...เจ้าเป็นดวงใจของพี่ เป็นดวงมณีของใจพี่”

ดวงตาของรวีพิรุณสว่างสดใส กระจ่างชัดราวกับดวงดาวประดับฟ้ากลางคืน

น้องเจ้าโน้มใบหน้าเข้ามาหา ประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของสหเดชะเสียเอง

***

เช้าแล้วหรือ สหเดชะลืมตาขึ้น ละจิตจากสมาธิที่ค่อนข้างสงบลงกว่าคืนก่อนๆ จูบของรวีช่วยได้ดีจริง นกตัวหนึ่งจับอยู่ตรงช่องบัญชร มันเอียงหัวมองดูเขา พลางส่งเสียงร้องจิ๊บๆ เขารู้สึกว่าสกุณชาตินี้แปลกกว่านกอื่นๆ เมื่อมันกระพือปีกออกบิน จึงลุกขึ้นเดินตามไป

โถงนอนหรือ?

เจ้านกน้อยบินพาเขากลับมาที่โถงนอน สหเดชะเร่งฝีเท้า มองเห็นประตูโถงนอนเปิดแง้มอยู่ไม่ไกล เขากระโจนพรวดเข้าไปผ่านประตูเปิดค้าง

ภายในห้องว่างเปล่า ไร้สัญญาณชีวิตใดๆ บนเตียงนอนนั้นไม่มีร่างของรวีพิรุณอยู่เลย รอยยับของผ้าแสดงว่าเจ้ามักกะลีผลนอนที่นี่ แล้ว...รวี...เจ้าหายไปไหนเสียแล้ว?


***

แป้งจี่ฯ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เอ็นดูน้องรวี
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
รัก ^____^
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 01-04-2019 22:33:55
น้องแอบเอาพระขรรคไปเล่นรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 02-04-2019 00:06:17
ดูท่าแล้วน้องก็แสบไม่เบานะเนี่ย อิพี่จะทนได้แค่ไหนเชียว :laugh:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-04-2019 11:33:47
ไปซนที่ไหนลูกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 02-04-2019 11:37:53
รวีลู๊กก แอบหนีท่านพี่ไปเที่ยวซุกซนที่ไหนแล้วว
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 02-04-2019 11:52:02
อ่านแล้วใจจะขาดแทนคนพี่  :ling1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-04-2019 20:12:40
ตายแล้ว หลงเด็กหนักมาก ไม่ทันไรก็ติดปีกติดหาง จะบินไปถึงไหนหนอ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-04-2019 02:47:43
แอบไปเล่นซนนะสิ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 4 [25-03-2562] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-04-2019 21:50:51
กลัววว
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Night Show Opera ที่ 05-04-2019 20:39:45
 :o8: ซนจริงๆเจ้ารวี! หายไปอีกแล้ว เหนื่อยคนพี่ตร้องตามหาอีกแน่ เจ้าเด็กแสบน่ารักเอ้ย!
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-04-2019 22:29:39
 :katai2-1:
ไปไหนๆ
 :3123:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 5 [01-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-04-2019 22:56:53
นกนั้นมาล่อลวงน้องหรือเปล่า แต่นกก็มาเตือนสหเดชะ
เอีะ ยังไง
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 09-04-2019 19:41:51


บทที่ 6


ร้อนใจดังไฟเผาเป็นเช่นนี้เอง

สหเดชะมองเตียงนอนอันว่างเปล่าด้วยใจตระหนก วานนี้มิใช่หรือที่เขาเพิ่งกระซิบบอกยามผละจูบแผ่วเบา ว่าอย่าหนีพี่ไป แล้วน้องเจ้าก็รับคำเสียดิบดี ไฉนจึงจากไปโดยไม่ลาพี่

ไม่...ภายในจิตใจของวิทยาธรหนุ่มนั้นสับสนปั่นป่วนยิ่งแล้ว รวีบอกแล้วว่าจะไม่หนีมิใช่หรือ จูบย้ำสัญญากันแล้วว่าจะอยู่ด้วย น้องบอก...รวีไม่หนี...เพียงอยากเหาะเท่านั้น

น้องเอ่ยชัดเจน

แล้วน้องเจ้าจะบินไปได้เช่นไร ในเมื่อพระขรรค์ปั้นเสกขั้นมาก็ด้วยฤทธิ์ของสหเดชะ น้องไม่มีทางจะเหาะออกไปจากเกาะได้ การจะหายไปเช่นนี้โดยเขาไม่รู้ตัวจะต้องเป็นเพราะเจ้าแอบออกไปเที่ยวเล่นเป็นแน่ เพราะไม่มีใครจะลักเข้ามาในเขตวิมานได้โดยเขาไม่สำเหนียก

รวีพิรุณ...เจ้าจะต้องยังอยู่ที่ใดบนวิมานนี้เป็นแน่ ขอให้เป็นเช่นนั้นด้วยเถิด

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

สำเนียงเสียงนกตัวนี้ช่างเสนาะกังวานแปลกๆ คล้ายกับมิใช่สกุณชาติทั่วๆ ไป สหเดชะหรี่ตามองเจ้านกน้อยซึ่งเกาะอยู่ที่ช่องบัญชร มันกำลังไซ้ขนอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน

เขาเดินเข้าไปใกล้ หวังจะพินิจสกุณชาติตัวนี้ให้ชัดกว่าเดิม ทว่ามันกลับขยับปีก แล้วโผบินออกไปจากช่องบัญชรนั้นเสีย

สหเดชะเจ้าวิมานไม่รอช้า รีบโผนจากที่ ตามออกไปทันที

***

เจ้านกน้อยตัวนี้ช่างบินเร็วผิดกว่าเผ่าพันธุ์ตนเหลือเกิน

สหเดชะจำต้องเสกพระขรรค์ออกมาเพื่อเหาะไล่ตามมันไป เขาเก็บความสงสัยไว้ก่อนว่าเจ้านกตัวนี้มีความลับบางอย่างซ่อนไว้หรือไม่ ตอนนี้สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือตามหาตัวรวีพิรุณให้พบ

นกน้อยบินนำวิทยาธรผ่านสวนดอกไม้อันงดงาม ตัดผ่านลำธารและทุ่งหญ้าขจี ไม่นานก็เห็นชายป่าเคลื่อนเข้ามาหาอยู่ไม่ไกล

สวนผลไม้หรือ?

บัดนี้ มิทราบด้วยญาณใด สหเดชะกลับพบว่าใจอันเต้นเร่าด้วยร้อนรนเมื่อชั่วครู่ก่อน กลายเป็นเหิมฮึกครึกโครมขึ้นมาด้วยความคิดบางอย่าง

เขามุ่งตามเจ้านกน้อยเข้าไปในสวนป่านั้น

ทั้งนกทั้งวิทยาธรลอยลิ่วไปกับอากาศ เลียบธารน้ำอันคดเคี้ยวและไหลเรื่อยลึกเข้าไปในป่า ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำไหลแรง พร้อมกับเสียงบางอย่างที่ทำให้ใจสหเดชะโลดเต้น

เสียงหัวเราะสดใสราวกระดิ่ง

สหเดชะมองหาเจ้านกน้อย กลับพบว่ามันหายไปไหนเสียแล้ว เขากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว พลางค่อยๆ ลอยเลื่อนเข้าไปใกล้บริเวณนั้น

ธารน้ำซึ่งมีต้นกำเนิดจากตาน้ำใกล้ๆ กับปราสาทของสหเดชะนั้น ไหลตัดทุ่งหญ้าเข้ามาในป่า และเมื่อถึงระยะหนึ่งก็ไหลลงในแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง บัดนี้สหเดชะเข้าไปใกล้แอ่งน้ำแห่งนี้แล้ว เขาได้ยินเสียงคนพุ้ยน้ำ เสียงกระโดดตูมตาม เสียงผิวน้ำแตกกระจาย เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจซึ่งกลั้นไว้นั้นออกมาทีละน้อย

ไม่น่า...

เสียงนั้นเป็นรวีพิรุณแน่ละ เขารู้แล้วว่าน้องเจ้าแอบลักออกมาก่อนเขาออกจากสมาธิเสียอีก

นี่แอบมาเล่นน้ำหรอกหรือ!

น่าตีนัก

ทำให้เขาเสียขวัญไปได้

สหเดชะบังคับริมฝีปากตนเองไม่ได้ มันรังแต่จะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอยู่ไม่รู้แล้ว ความโล่งโปร่งใจโถมถั่งเข้ามา ดีแล้วที่เจ้ามิได้หนีหายไปที่อื่นไกล เจ้ายังอยู่กับพี่

เขาพอจะรู้บ้างว่ารวีพิรุณมองแอ่งน้ำแห่งนี้อย่างหมายมาดเช่นไร เขาน่าจะคิดออกตั้งนานแล้ว ว่าน้องเจ้าอยากมาเล่นน้ำ...

...เล่นน้ำ?!

แม้สีหน้าของวิทยาธรหนุ่มจะยังเปื้อนรอยยิ้ม ทว่าในใจกลับลั่นดังราวกลองมโหระทึก

วิทยาธรหนุ่มผู้อหังการ รีบเร้นกายลอยเลื่อนเข้าไปใกล้โดยไม่ให้กระโตกกระตาก ไม่ไกลจากริมแอ่งน้ำนั้นมีโขดหินใหญ่ตั้งอยู่ ซ้ำยังมีพุ่มไม้ขึ้นสูง เขาลอบเข้าไปตรงนั้นขณะเสียงพุ้ยน้ำกำลังดังไปทั่วบริเวณ

อยู่ๆ เสียงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะสดใสของรวีพิรุณก็เงียบหาย จากมุมหลังโขดหินริมแอ่งน้ำ สหเดชะมองเห็นร่างของเจ้ามักกะลีผลยืนอยู่กลางแอ่งนั้น

แสงแดดยามสายส่องลอดคาคบไม้ลงมา แดดอุ่นอาบไปทั้งแอ่งน้ำราวกับจะส่องแสงออกมาเป็นแก้วระยับ

แอ่งน้ำนี้ไม่ลึกมาก สหเดชะลอบกลืนน้ำลายลงคอ ขณะสายตามองจ้องภาพตรงหน้าอยู่ด้วยลักษณาการราวกับตนเองเป็นตาแก่ตัณหากลับ

รวีพิรุณยืนอยู่ ณ กลางแอ่งน้ำ

อาภรณ์ใดที่เขาเคยเนรมิตขึ้นมาให้เพื่อน้องเจ้าได้สวมใส่ บัดนี้กลับอันตรธานหายไป

เจ้ามักกะลีผลยืนตรงแน่วอยู่กลางน้ำ หันหลังมาทางริมตลิ่งที่สหเดชะแอบซ่อนอยู่ ร่างนั้นขาวโพลนราวกับถูกแสงอันสว่างไสวใดๆ มีในโลกนี้อาบไว้ ร่างนี้ขาวใสยิ่งกว่าเมื่อตอนนั่งกอดเข่าอยู่โคนต้นมักกะลีผลเสียอีก สว่างสดใสราวกับจะเปล่งแสงออกมาได้

ร่างผอมบางนั้นยืนนิ่ง สหเดชะมองดูแผ่นหลังขาวเนียนเกลี่ยอยู่ด้วยหยดน้ำ มองลำคอระหงขาวผ่อง หากได้วางจุมพิตลงไปที่ผิวนุ่มๆ ของลำคอนั้นจะเป็นเช่นไรหนอ

เขามองลำแขนกล้องแกล้งราวกับเกลา มองเอวผอมๆ นั้น...ซึ่งหากเขาได้ใช้สองแขนโอบก็คงจะรวบกอดได้อย่างสบาย

มองลาดไหล่กลึงเกลี้ยง เหมาะแก่การซบหน้า หรือแนบคางลงไปวางพัก เพื่อให้จมูกได้สูดดมกลิ่นหอมหวานของแก้มเจ้า

อีกสะโพกกลมกลึงนั้นเล่า

สะโพกขาวผ่อง เต็มแน่นด้วยเนื้อเนียนๆ แม้ไม่อยู่ใกล้สหเดชะยังมองเห็นว่ามันสะอาดหมดจด ไร้ซึ่งร่องรอยไม่น่ามองใดๆ มือของเขาสั่นขึ้นมาโดยควบคุมไม่อยู่ ปรารถนาเหลือเกินที่จะใช้มือนี้ลองแตะเบาๆ ที่หนั่นเนื้อนั้น แล้วลูบไล้แผ่วเบาอย่างกับปีกผีเสื้อสัมผัส

กลุ่มผมยาวเคลียไหล่บัดนี้ถูกเจ้าตัวรวบไว้เป็นมวย วางพาดไปด้านหน้ากับลาดไหล่

รวีพิรุณโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยขณะใช้มือกอบเอาน้ำเย็นใสสะอาดขึ้นมาลูบไล้กับแขนตนเองอย่างเชื่องช้า พลางหัวเราะเบาๆ ราวกับพออกพอใจเหลือเกิน

“ชอบจริง...ชอบน้ำเย็นๆ อย่างนี้”

เสียงรวีบ่นพึมกับตนเอง ขณะสหเดชะกำลังจ้องสะโพกขาวผ่องนั้นไม่วางตา เมื่อน้องโน้มตัวไปกอบน้ำขึ้นมา สะโพกก็จะเคลื่อนขึ้นเหนือน้ำ ยิ่งทำให้ฝ่ายที่ซ่อนตัวอยู่มองเห็นอะไรๆ มากขึ้น

ความร้อนรุ่มอันแปลกกว่าเคย พลุ่งพล่านอยู่ในกายของวิทยาธรหนุ่ม ใช่ว่ามิเคยสัมผัสรสการร่วมรัก ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้...ไม่เหมือนสิ่งใดที่ใจฝันหาเลย

รวีพิรุณย่อกายลงในน้ำ ผินหน้ามาเล็กน้อย จึงเห็นเสี้ยวหน้าอันอาบด้วยความสุขเปี่ยมล้น แก้มขาวๆ นั้นบัดนี้เรื่อราวกับสีกุหลาบ
เสียงบางอย่างในใจโพล่งขึ้นมา หากร่วมสังวาสกับมักกะลีผล จักเสียตบะไปกึ่งหนึ่งเจียวหนาท่าน

สหเดชะแค่นเสียง

ตบะหรือ? ตอนนี้สำคัญที่ไหนกัน

เขายืดกายขึ้นยืน ก้าวขาออกมาจากหลังก้อนหินใหญ่นั้น พอถึงริมตลิ่งก็ก้าวขาลงไปในน้ำด้วยฝีเท้าอันมุ่งมั่นและแน่วแน่
รวีพิรุณชะงักมือที่กำลังวักน้ำเล่น ยืดร่างขึ้นยืนตรง ค่อยๆ หันกลับมามองใครบางคนซึ่งกำลังเดินแหวกสายน้ำเข้าไปหา

รวีเห็น...ภายในดวงตาของเขาแผดเผาด้วยอารมณ์

สหเดชะเดินลุยน้ำไปด้วยใจฮึกเหิมปนวาบหวาม เครื่องนุ่งห่มบนร่างค่อยๆ กลายเป็นละอองสีเขียวลอยปลิวกับอากาศอวลกลิ่นลูกไม้ อาภรณ์เขาค่อยๆ ป่นเป็นผงไปทีละน้อยๆ เริ่มจากไหล่แข็งแกร่ง ลงมาถึงแผ่นหลังอันกำยำ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือ ปล่อยให้ตัวเปล่าล่อนจ้อน ไหล่ของสหเดชะนั้นกว้าง ก่อนจะค่อยแคบลงเมื่อไล่มาถึงร่างกายท่อนล่าง รูปร่างเช่นนี้คือลักษณะยอดขุนพล ผู้เป็นหนึ่งในเรื่องรัก 

เจ้ามักกะลีผลผู้หันหน้ามามองพลันรู้สึกประหลาดในอก เบิกตากว้างมองร่างเปล่าเปลือยของท่านพี่ค่อยๆ เดินเข้ามาหา เรือนกายของคนผู้นี้แม้เป็นไปในทางเดียวกับร่างของเขา ทว่ามันกลับแตกต่างกันเหลือเกิน

รวีพิรุณมองตาค้างอยู่เช่นนั้น มนต์ใดอันก่อให้มักกะลีผลกำเนิดขึ้นมาในสามภพนี้ ก็ได้ใส่ความรู้สึกอันเป็นเนื้อแท้แห่งสิ่งมีชีวิตไว้กับตัวของเขาด้วย รวีพิรุณรู้สึกวูบวาบภายในราวกับว่าจะหายใจไม่ทัน ราวกับจะล้มลงไปเสียให้ได้ ร่างกายกำยำซึ่งกำลังย่ำเดินลุยน้ำมุ่งตรงมาหานั้นราวกับจะปรากฏอยู่เต็มคลองสายตา แอ่งน้ำแห่งนี้ก็ดี ป่าผลไม้รอบด้านก็ดี กลิ่นหอมของมวลลูกไม้ก็ดี ล้วนอันตรธานไปจากการรับรู้ของเจ้ามักกะลีผลแล้ว เขาเห็นแต่ร่างกายของสหเดชะซึ่งเดินแหวกสายน้ำเข้ามาหาเรื่อยๆ

ร่างกายของบุรุษผู้นี้กำยำแข็งแกร่ง ยามมองกล้ามเนื้อขยับเคลื่อนก็ราวกับจะเปล่งมนต์เสน่ห์บางอย่างออกมา ทำให้น้องเจ้ารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งมองเห็นร่างกายบางส่วนของสหเดชะซึ่งกำลังสำแดงความองอาจเยี่ยงชายชาตรีออกมาอยู่ทุกอณู ก็ราวกับจะทำให้ร่างกายของรวีพิรุณโงนเงนล้มลงเสียให้ได้

ภาพตรงหน้าราวกับจะปลุกให้สำนึกแห่งความเป็นมักกะลีผลฟื้นตื่นขึ้นมา สหายของเขาเคยบอกไว้มิใช่หรือ ว่าการเกิดมาเป็นมักกะลีผลหรือนารีผลนั้นย่อมมีจุดหมาย สักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้อง ‘จากไป’ เพื่อกระทำเรื่องบางอย่างให้สมกับที่กำเนิดมา

“ทะ...ท่าน...ท่านพี่...”

รวีพิรุณส่งเสียงแผ่วโหย ใบหน้าแดงเรื่อ พยายามจะผินหน้าไม่มองร่างกายที่กำลังเดินเข้ามาตรงๆ แต่ก็ไม่อาจห้ามตนเองได้ สายตามันก็จะมองอยู่นั่นแล้ว

ท่านพี่ ใจของรวีพิรุณอยากจะกล่าวเช่นนี้ บัดนี้ท่านเองก็เปล่าเปลือยหมดจด ไม่ต่างอันใดกับเมื่อรวีเพิ่งฟื้นตื่น ณ โคนต้นแม่มักกะลีผลแม้สักน้อย!

***

“รวี”

เสียงของสหเดชะนั้นแผ่วโหยไม่ต่างกัน

เขาจับไหล่ทั้งสองข้าง ออกแรงดันให้รวีพิรุณขยับเข้ามาใกล้อีก ยิ่งเข้ามาอยู่ใกล้เขายิ่งควบคุมตนเองไม่ได้

เรือนกายผอมเพรียวนี้ขาวผ่อง เส้นผมบนศีรษะเป็นสีดำเหลือบเขียว ยามต้องแสงอาทิตย์คล้ายกับเห็นประกายระยิบระยับบางอย่าง ท่อนแขนกลมกลึงดังเทพแกล้งเกลา ผิวพรรณเกลี้ยงขาวสะอาด ไร้ตำหนิใด

สหเดชะมองแผ่นอกแบนราบทว่าประดับไว้ด้วยยอดอกสีอ่อน บัดนี้แผ่นอกนั้นสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ มองจุดสองจุดสีสวยนั้นเนิ่นนาน แผ่นอกสะท้อนขึ้น แผ่นอกสะท้อนลง เขามองเช่นนั้นและกล่าวเช่นนั้นในใจตนจนไม่ต่างอันใดกับการท่องบ่นมนตรา ฝืนกลืนน้ำลายซึ่งสออยู่เต็มปากให้กลับลงไป ก่อนจำต้องละสายตาจากมาอย่างเสียดาย

เขามองหน้าท้องขาว เนียนเรียบ แอ่งสะดือเล็กๆ ดูน่ารัก และจุดซึ่งบ่งบอกความแตกต่างจากนางนารีผลทั้งหลาย

นี่ปะไรคือสิ่งที่ทำให้สหเดชะสนใจ

วิทยาธรหนุ่มผู้เตลิดอยู่ในโลกแห่งอารมณ์ เลื่อนสายตากลับไปมองที่หน้าท้องแบนราบนั้นอีกครั้ง มองสะดือเล็กๆ น่ารัก พลางจินตนาการไปว่าหากตนเองจรดปลายจมูกลงกับผิวนุ่มตรงเหนือสะดือนั้น คงพบกับความอ่อนนุ่มเนียนละมุนอย่างเหลือจะกล่าว กลิ่นอันหอมรัญจวนคงเร่งให้ใจของเขาเต้นระรัว จำต้องพ่นลมหายใจร้อนผ่าวออกมาราดรดผิวตรงนั้นจนน้องต้องแขม่วท้องไป เขาคงจะจุมพิตลงไปบนสะดือนั้น ลากลิ้นผ่านผิวเนียนเรียบ ลิ้มรสชาติซึ่งทำให้เขาต้องลากลิ้นสัมผัสอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนจะพบ ‘ร่างกาย’ ไร้เดียงสารอคอยอยู่เบื้องล่าง

‘ไร้เดียงสา’ ด้วยไม่เคยสัมผัสฤทธิ์แห่งดำฤษณา

มักกะลีผลรุ่นหนุ่มเช่นนี้มีหรือจะเคยผ่านมือใคร ดังนั้นจึงบริสุทธิ์ สะอาด และกระตุ้นให้ใจเขาเหิมฮึกอึกทึกไปทั้งอกทั้งใจ หากได้ครอบครองความไร้เดียงสานี้จะเป็นเช่นไร

อวัยวะซึ่งแปลกแยกจากเหล่านารีผลนางอื่นๆ นั้นช่างน่าเอ็นดู สหเดชะจ้องมองด้วยพึงพอใจว่าเนื่องจากมีผิวกายขาวสะอาด ‘มักกะลีผลหนุ่มน้อย’ จึงมีสีชมพูระเรื่อ ไม่ขัดสายตาสักนิดเดียว

สหเดชะยิ้มกระหยิ่ม เลื่อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าของรวีพิรุณ ฝ่ายนั้นกำลังมองจ้องเขากลับมาเช่นกัน ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ราวกับกำลังประหลาดใจต่อสิ่งที่พบเห็น

เขายิ้มหวานเชื่อม มองใบหน้าของรวีอันพึงใจเขายิ่งนัก หนุ่มน้อยผู้นี้มีเครื่องหน้าโดดเด่น คิ้วคางชัดเจน ขนตายาวหนาเป็นแพสวย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเกินชาย ผิวแก้มก็ออกชมพูระเรื่อราวแก้มฝาดของสาวรุ่น เขามองแล้วมองอีก ดั่งว่ากำลังจะจมลงไปในมวลแห่งอารมณ์ซึ่งกำลังพลุ่งพล่านอยู่นี้

สหเดชะเอ่ยคำ

“รวี พี่ปรารถนาเจ้าเหลือเกิน...”

ถ้อยสำเนียงอันซ่านไปด้วยหวามแห่งอารมณ์นี้ ทำให้เจ้ามักกะลีผลคล้อยตามและไม่ปฏิเสธจนนิดเดียวเมื่อสหเดชะเลื่อนมือแข็งแรงลงไปโอบสะโพกนุ่มเต็มกำมือ แล้วยกให้ร่างนั้นมาประชิดแนบ

ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณ รวีพิรุณอ้าขาออกเพื่อกระหวัดรัดเอาช่วงเอวอันกำยำของพี่ไว้ ลำแขนผอมกอดรอบลำคอของพี่

ดวงตาของสหเดชะยามนี้เชื่อมไปด้วยอารมณ์หวิวสะท้าน เขามองใบหน้าของน้อง แล้วมองริมฝีปากเผยอยั่ว

ก่อนจะก้มใบหน้าลงไป

สองกายกอดกระหวัด ฝ่ายหนึ่งรุกไล่ ฝ่ายหนึ่งต้านรับ สอดประสานกันด้วยอารมณ์หวามไหวในใจ

สหเดชะมือหนึ่งโอบเอวผอมของน้องไว้ อีกมือจับตะโบมโลมลูบกับหนั่นสะโพกอันเต็มมือ ผิวของเจ้าช่างเย้ายวนใจพี่ กลิ่นของเจ้าช่างกระตุ้นให้ใจพี่ลุกเต้น ริมฝีปากและลิ้นของเจ้าช่างปลุกเร้าให้พี่โลดทะยานขึ้นสู่เวิ้งฟ้าอากาศ

ความองอาจของสหเดชะร้อนผ่าว ผงาดกล้าเหยียดตรง แนบติดอยู่กับร่องสะโพกขาวนุ่ม เต้นตุบเป็นจังหวะกับหัวใจเต้นรัว ผิวเนื้อนุ่มเนียนสัมผัสเสียดสีกับความปรารถนาของวิทยาธรอยู่ไม่รู้แล้ว เขาคำรามลึกในคอ ขณะตักตวงเอารสจูบจากริมฝีปากเจ้า พร้อมขยับร่างกายท่อนล่างเพื่อให้สัมผัสน้องเจ้าได้แนบแน่นยิ่งขึ้นไป

สหเดชะถอนริมฝีปากออก แล้วขยับไปลิ้มรสผิวเนื้อตรงลำคอขาวผ่อง ผิวน้องเจ้าช่างนุ่มนวล สัมผัสตรงไหนหอมรัญจวน ขบฟันลงไปที่ใดก็ให้เพริดไปด้วยแรงปรารถนา กระตุ้นให้เขาย่ามใจ ลิ้มลองผิวกายนี้แทบทุกอณูสัมผัส

สหเดชะค่อยๆ ก้าวขาออกเดิน ทั้งร่างกายแนบชิดเช่นนั้น ตลิ่งอยู่ไม่ไกลแล้ว เขาก้าวขึ้นจากน้ำ รวีซบหน้าลงกับไหล่ของเขา หอบหายใจเร็วแรง กระนั้นน้องก็ยังรัดเอวของเขาไว้แน่นหนา

เขาวางร่างขาวโพลนลงกับพื้นหญ้านุ่ม ตนเองคุกเข่าอยู่ระหว่างท่อนขาขาวโพลนของรวีซึ่งถูกจับแหวกออกจากกัน
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในมโน พี่จักหักใจข่มเหงเจ้าได้เช่นไร

เสียงนั้นแผ่วเบา ไหนเลยจะอาจหาญต่อรบกับเสียงแห่งความปรารถนาซึ่งกำลังร้องคำรามอยู่ในใจของเขาในขณะนี้

“รวี...พี่ปรารถนาเจ้า”

แววตาของมักกะลีผลบัดนี้ช่างเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ที่เห็นเด่นชัดคือความตื่นตระหนก ดวงตานั้นเต้นระริกจ้องร่างอันกำยำเปลือยเปล่าของสหเดชะราวกับกวางน้อยมองพญาพยัคฆ์เจ้าไพรยืนค้ำเหนือร่าง

แววระริกในดวงตานั้นช่างกระตุ้นให้วิทยาธรอยากจะเด็ดกลีบดอกไม้อันบริสุทธิ์นี้เพื่อสัมผัสให้เกิดรอยช้ำ เขาจับสองขาของน้อง แบะให้กว้างออกอีก เลื่อนตัวลงไปเพื่อจ้องมองหนทางแห่งอารมณ์หวามหวิว

ราวกับว่าร่างกายของรวีพิรุณกำลังหลั่งอะไรบางอย่างออกมา สหเดชะได้กลิ่นหอมแรงของลูกไม้บางอย่าง สติอันมืดบอดของเขายิ่งราวกับมีม่านอะไรมาบังไว้ มิให้รู้ตื่น ยื่นใบหน้าเข้าไปสัมผัสช่องทางนั้นอย่างย่ามใจ...ด้วยปากด้วยลิ้นของเขา

วิทยาธรผู้หลงในสวาท มัวเมาอยู่กับเรือนร่างของมักกะลีหนุ่มน้อย ฝ่ายนั้นบิดเร่าร่างกายด้วยไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน รวีพิรุณส่งเสียงบางอย่างออกมา ไม่ใช่เสียงหัวเราะสดใส ไม่ใช่เสียงหวานๆ ไพเราะยามบอกว่าชอบผลไม้อย่างนั้นอย่างนี้

ทว่าเป็นเสียงซึ่งกลั่นออกมาจากอารมณ์ร้อนเร่าภายใน

“ทะ...ท่านพี่”

สหเดชะหยุดการกระทำ ก่อนหยัดกายลุกขึ้นมาคร่อมร่างผอมบางไว้ เขาเอ่ยด้วยเสียงเมาอารมณ์

“รวี ให้พี่ได้รักเจ้าด้วยเถิด”

รัก...หรือ

รักคือสิ่งใดกัน

กลีบดอกไม้อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง บัดนี้เปื้อนแล้วซึ่งรอยกาเม พร้อมแล้วกับการดำดิ่งสู่ห้วงหฤหรรษ์แห่งอารมณ์มนุษย์

“รวีน้องเจ้า...พี่จะอ่อนโยน...”

สหเดชะจับขาข้างหนึ่งของรวีพิรุณให้แยกออก อีกมือจับความองอาจของตนให้มั่น ก่อนจะเคลื่อนสะโพกเข้าไปเบาๆ ขณะเขาค่อยๆ ชำแรกกายเข้าไปในร่างของรวีพิรุณทีละน้อยๆ นั้น สหเดชะรู้สึกราวกับความรู้สึกทุกอย่างมารวมอยู่ ณ จุดนั้นแห่งเดียว เขากัดฟันด้วยว่ามันคับแน่น กระนั้นก็ยังสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างไม่ลำบาก

“ท่าน...ท่านพี่” น้องประท้วงเสียงอ่อนระโหย กระนั้นก็มิได้ห้ามปราม

ราวกับว่าเป็นเวลายาวนานชั่วกัลปาวสาน ก่อนสหเดชะจะพบว่าพวกเขาสองคนได้แนบชิดกันเป็นหนึ่งแล้ว ณ บัดนั้นเอง...วิทยาธรหนุ่มก็เริ่มขยับสะโพก กระดกเอวเบาๆ ก่อนเคลื่อนกายไปตามอารมณ์ปรารถนาที่ค่อยลุกโหมราวกับเปลวไฟ

***
ไม่ได้ตัดจบนะคะ แต่เอาไว้ให้ผู้อ่านจินตนาการต่อ  :ling1: (กระโดดหลบหม้อไหที่ปลิวมา)
คิดว่า ตอนนี้รวีของเราก็เติบโตไปอีกขั้น แม้จะเร่งรัดไปหน่อยแต่น้องก็พร้อมเสมอสำหรับพี่  :hao7:

ขอบคุณเพื่อนๆ มากๆ นะคะสำหรับคอมเมนต์และการเข้ามาติดตาม ขณะเขียนก็กลับมาอ่านคอมเมนต์หลายๆ รอบ เพื่อเป็นกำลังใจเขียน แป้งจี่ฯขอก้มกราบงามๆ หลายๆ ทีเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-04-2019 20:08:48
แหม่ ตามตัวเจอก็จับกินเลยนะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-04-2019 20:40:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-04-2019 21:53:01
  พี่ช่างกินผลไม้น้อยร้อนแรงเหลือเกิน.....
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-04-2019 21:59:56
อ้ากกกกก
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-04-2019 00:16:04
กี๊ดดดดดดด น้องโดนกินแล้ว  :ling2:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 11-04-2019 00:12:22
รวีตัวน้อย โดนเจ้าพี่จับกินแล้ววว  :-[
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥ believeinme ที่ 11-04-2019 09:07:52
อ่านแล้วเขินนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 11-04-2019 09:32:05
เลือดในกายสูบฉีดร้อนแรงมากแม่จ๋าาาาาาา :pighaun:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 11-04-2019 10:18:08
เจ้ารวีโดนพี่จับกินแล้ว :m25: คุณแป้งจี่บรรยายได้สวยมาก จินตนาการเราจะไม่หยุดแค่ริมน้ำ  :z1: ขอบคุฯมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 11-04-2019 18:09:12
แล้วความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรต่อนะ :katai4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 6 [09-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-04-2019 01:25:14
อยากปาหม้อไห ใส่ไรท์จริงๆ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 15-04-2019 23:43:36


บทที่ 7



อากาศเย็นเมื่อยามรุ่งอรุณเปลี่ยนเป็นอบอุ่นเมื่อยามสาย ลมเย็นพัดมาเป็นระยะ กิ่งไม้ส่ายไหวกับลมนั้นเกิดเสียงราวกับใครกระซิบถ้อยคำขับกล่อมลำนำ

รวีพิรุณนอนหลับตาพริ้มอยู่กับอ้อมกอดของเขา

สหเดชะนอนอยู่กับพื้นหญ้านุ่มริมแอ่งน้ำ มักกะลีผลตัวผอมนอนทาบทับบนร่างเขา ผิวกายขาวผ่องเนียนเรียบดูแล้วช่างตัดกันกับท่อนแขนกำยำของเขายิ่งนัก

แขนกอดน้อง ฝ่ามือก็ลูบแผ่นหลังลื่นมือนั้นอยู่ไม่ขาด เขายิ้มยามได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของน้องเจ้า ใบหน้าหวานแฉล้มนั้นซุกอยู่กับซอกคอของเขา นึกหมั่นเขี้ยวจึงหอมกลุ่มผมกรุ่นด้วยกลิ่นลูกไม้นั้นเสียทีหนึ่ง นึกย่ามใจไม่เพียงพอ...แตะปลายจมูกเข้ากับแก้มนวลของเจ้า

รวีน้องน้อยดูท่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการสนองปรารถนาของพี่ เมื่อความร้อนรุ่มแห่งอารมณ์ดับมอดลง จึงปิดเปลือกตาลงทันที

ฝ่ายสหเดชะเองก็อิ่มเอมเปรมปรีดิ์กับความรู้สึกที่ได้รับเสียยิ่งแล้ว จึงล้มลงนอนกับพื้นหญ้าตรงนั้นทีเดียว แล้วโอบเอารวีเข้ามาอยู่ในอ้อมอก

แน่ละว่าเขาเสียพลังตบะไปแล้วกึ่งหนึ่ง ก็การร่วมรักกับมักกะลีผลมิใช่ว่าจะทำลายตบะไปหรือ? จึงต้องหลับตาพักผ่อนเอาแรงเช่นกัน

เขาคงนอนไปได้ไม่นานเท่าใด เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งยามเช้าก็เป็นยามสายในตอนนี้นั่นเอง สหเดชะรู้สึกราวกับว่าความสุขในสามโลกมารวมอยู่ในกายเขาเพียงผู้เดียว ต่อให้ต้องเสียตบะเพราะกอดน้องเจ้า เขาก็คิดว่ามันคุ้มค่ายิ่งแล้ว ต่อให้พี่ต้องเสียตบะไปจนไม่เหลืออะไร แต่หากได้กอดน้องเจ้าเช่นนี้ต่อไป...พี่ก็ยอม

สหเดชะเสกอาภรณ์สีเขียวบางให้รวีพิรุณ ปกปิดความน่าหลงใหลจากทุกสิ่ง เวิ้งฟ้าอากาศยามนี้อาจจดจ้องมองลงมาดูน้องเปลือยเปล่า

ต้นไม้เองก็อาจชำเลืองลอบมองน้องเจ้า

หมู่หญ้าและดอกไม้ต่างๆ เอยก็อาจลอบลักดูน้องแม้เพียงสักกระผีก

ผิวขาวใต้ร่มผ้าของเจ้า...จักมีเพียงพี่ได้ยล ความหอมแห่งกายเจ้า จักมีเพียงพี่ได้ดอมดมใกล้ชิด

ความอุ่นของกายเจ้า และดวงหน้าอันภิรมย์นั้นจักมีเพียงพี่ได้แนบชิดเสน่หา

นี่สิหนา...บ่วงรัดอันแข็งกล้าของหัวใจ

เขาลุ่มหลงรักใคร่มักกะลีผลผู้นี้เสียจนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

ความอบอุ่นอัดแน่นเต็มอก ความหวานแห่งอารมณ์หวามนั้นซ่านกำซาบอยู่ในอก

ดวงหน้านี้ ร่างกายนี้ รอยยิ้มยามหลับพริ้มนี้...เขาไม่อาจแบ่งให้ใครได้เชยชมแม้แต่นิด

***

สหเดชะอุ้มรวีพิรุณอยู่ในอก ค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากป่าผลไม้ เขาเดินสูดกลิ่นหอมของลูกไม้ กลิ่นดินชอุ่มฝน กลิ่นหญ้าอุดม และกลิ่นดอกไม้ซึ่งกระจายไปในอากาศ ยิ้มราวกับว่าโมงยามแห่งความสุขนี้จะเป็นนิรันดร์

ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่ริมธารน้ำ มีหญ้าขึ้นเขียวนุ่มน่านอน เขาวางรวีไว้ตรงนั้น ค่อยบรรจงวางร่างน้องให้นอนทับลงไปกับหญ้านุ่ม ร่ายเวทป้องกันภัยมิให้สิ่งใดมารังควาน แล้วเขาก็กระโจนออกไปจากบริเวณนั้น

***

รวีพิรุณได้ยินเสียงนกร้อง

พลันลืมตาขึ้น รับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างยังคงอ้อยอิ่งหลงเหลืออยู่ภายในช่องทางด้านล่าง ขยับกายลุกนั่งก็ยังรู้สึกหนึบๆ อยู่ ณ ที่ตรงนั้น

อา...ท่านพี่

รวีพิรุณมิรู้ดอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เพียงแต่ความรู้สึกใจเต้นนั้นก็ยังคงอยู่ ยามพี่ตระกองกอดพร้อมกระซิบถ้อยคำด้วยเสียงกระเส่าหวาน ยามพี่กระชับกายเข้ามาแนบชิด...

ชั่วยามนั้นรวีพิรุณรู้เพียงว่าตนเองปรารถนาจะคล้อยตามกอดของพี่

ยามเห็นท่านพี่เปล่าเปลือยอย่างกับมักกะลีผลแล้วก็ให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย ฝ่ามือของท่านพี่ที่สัมผัสจุดใดบนร่างกายเขานั้นก็ราวกับเป็นเชื้อไฟอันดี ทำให้ร้อนวาบขึ้นมา จนต้องสะดุ้งทุกทีไป

ในยามที่สติของรวีเจ้าพร่ามัวด้วยอารมณ์ร้อนระอุนั้น เขาคล้ายจะมองเห็นบางอย่างของท่านพี่ที่ตั้งตระหง่าน

รวีอ้าปากเผยอน้อยๆ ยามกระหวัดไปถึงภาพจำต่างๆ

แล้วทันใดภาพบางอย่างก็สว่างวาบในหัว

ใช่แล้ว มิผิดแน่ ‘ที่ตรงนั้น’ ของท่านพี่มีขนาดเดียวกับกล้วยที่เขากินเมื่อวานก่อนเลย จำได้ว่าเขากำแทบไม่รอบ

ตกมาถึงยามนี้ รวีพิรุณผู้เพิ่งตื่นจากหลับ มีภาพนั้นในหัว ก็พลันเอื้อมมือไปกำกระชับรอบข้อมือของตัวเอง

“อือ...ใหญ่กว่าข้อมือเรา” ดวงตาสดใสนั้นเป็นประกาย “ท่านพี่ก็มีกล้วยใหญ่!”

เจ้ามักกะลีผลหัวเราะคิกคักกับตนเอง เสียงนั้นใสราวกระดิ่ง

รวีพิรุณมองสายน้ำอันไหลเอื่อยๆ ในธารน้ำนั้น ในใจลอบคิดถึงดวงตาคมกล้าของสหเดชะ ยามกอดกระชับร่างเขาด้วยท่อนแขนกำยำ ยามประทับจูบลงมาตรงซอกคอ ยามใช้ลิ้นลิ้มรสผิวกายของเขา ถ้า...ถ้า ‘กอด’ ของท่านพี่รู้สึกดีเช่นนี้ รวีก็ไม่เกี่ยงหากท่านพี่จะกอดอีก

แล้ว รัก...ของท่านพี่คือสิ่งนี้หรือ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

รวีพิรุณหันซ้ายหันขวา แล้วจึงเห็นสกุณชาติตัวน้อย ยืนอยู่บนพื้นซึ่งมีหญ้าขึ้นบางๆ ไม่ไกลนัก มันเอียงคอมองมักกะลีผลครู่เดียว แล้วจึงจิกหาแมลงในดินกินเป็นสำราญ

“นกน้อย!”

รวีเอื้อมมือจะไปจับเอาเจ้าสกุณชาตินั้น ทว่ามันร้องจิ๊บราวกับไม่พอใจ แล้วตีปีกบินหายไป

“อย่าเพิ่งไปสิ รอรวีก่อน”

รวีพิรุณคุกเข่ากับพื้นหญ้า มองหานกน้อยด้วยสายตาละห้อย ปากก็บ่นพึมพำ

“ท่านพี่ไปไหนเสียแล้วล่ะ”

ในขณะนั้นเอง ไม่ไกลจากพื้นหญ้าที่รวีพิรุณนั่งคุกเข่าอยู่นั้นมีพุ่มไม้ใหญ่พุ่มหนึ่งขึ้นอยู่ พุ่มไม้นั้นสั่นไหวราวกับมีอะไรมาจับสั่น รวีพิรุณหันไปมองอย่างใคร่รู้ ทันใดนั้นเอง...ก็มีใบหูยาวๆ คู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาก่อน แล้วตามด้วยจมูกเล็กๆ หัวเล็กๆ และปากซึ่งเคี้ยวกินพืชใบเล็กๆ ขึ้นเกลื่อนบนพื้น เจ้าสัตว์ตัวนั้นมีดวงตาสีแดงสวยสด แววตาละห้อยอ่อนแสงของรวีค่อยเกิดประกายกล้าขึ้น เขาอ้าปากน้อยๆ มองมันแทบไม่เอาตาหนี

“กระ...กระต่ายน้อย!”

ดวงหน้ายามนี้สว่างสดใสยิ่งนัก รวีพิรุณจำได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเองเอื้อมมือเข้าไปจับนกน้อย มันจึงบินหนีไป ต่อให้ดีใจเท่าใดตอนนี้จึงนั่งอยู่กับที่เฉยๆ ทำได้เพียงร้องเรียกออกไป ด้วยความหวังว่าเจ้ากระต่ายน้อยจะกระโดดเข้ามาหา

กระต่ายป่าตัวนั้นเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย มันค่อยๆ กระโดดแผล็วออกมาจากพุ่มไม้ ร่างกายภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายนี้เป็นสีขาวสว่าง

รวีพิรุณมองเจ้ากระต่ายป่าด้วยตาโตเบิกกว้าง รู้สึกในอกพองโตด้วยความดีใจ แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็ค่อยแนบตัวลงกับพื้น ยื่นมือขวาไปด้านหน้า ยกมือซ้ายตาม แล้วคลานเข้าไปหาเจ้ากระต่ายนั้นด้วยอารามดีใจ ลืมไปเสียสิ้นว่าการเข้าไปหาเจ้าสัตว์ตัวน้อยนี้อาจทำให้มันกลัวได้

เขาค่อยๆ คลานตอดเข้าไปอย่างไร้เสียง เงียบกริบ ประดุจเงาของสัตว์นักล่าตัวน้อยหัดล่า แล้วก็โดยที่กระต่ายตัวนั้นเพิ่งจะรู้สึกถึง ‘ภัย’ คุกคาม และเพิ่งผงกหัวขึ้นมา หูยาวคู่นั้นลู่ไปด้านหลัง จ้องอะไรบางอย่างแน่นิ่งอยู่ ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเจ้า ‘ภัย’ คุกคามได้กระโจนเข้าไปหาโดยทันทีทันใด ทว่า...ก่อนที่มือขาวผ่องจะจับตัวกระต่ายป่าได้ เจ้าสัตว์ตัวเล็กก็กระโดดแผล็วหลบหลีกได้ทัน คราวนี้การเล่นไล่จับก็เริ่มขึ้น สัตว์ตัวเล็กกับมักกะลีผลตัวผอมกำลังเล่นแมวจับหนู ตัวหนึ่งกระโดดแผล็วไปด้วยความปราดเปรียว อีกคนก็ลุกขึ้นวิ่งสุดฝีเท้าเช่นกัน ปากเปล่งเสียงร้องดังโหวกเหวก

“เจ้ากระต่ายน้อย รอก่อน รอเราก่อนนนนน”

ฝ่ายถูกร้องเรียกไม่สำเหนียกใดๆ เพราะเอาแต่วิ่งจนดินกระจุยกระจาย ยิ่งดินซึ่งชุ่มด้วยน้ำอุดมเช่นนี้ยิ่งร่วนซุยดีเหลือเกิน ซ้ำยังลื่นอีกด้วย ไม่นานกระต่ายป่าก็กระโดดผลุบหายเข้าไปในหมู่พุ่มพฤกษ์สักอย่าง ขณะที่รวีพิรุณนั้นเหยียบพลาด พุ่งถลาหน้าเริดไปข้างหน้าอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ แขนสองข้างกางออกอย่างกับปีกนก ปัดแถดๆ แต่ก็ไม่อาจหยุดแรงที่วิ่งมาได้ ในที่สุดก็พุ่งถลาลงไปเอาหน้าคลุกดิน ส่งเสียงอย่างกับเป็นลูกสุนัขตัวน้อย แล้วไม่นานก็ผงกหัวขึ้นมา ถ่มเอาเศษดินและหญ้าออกจากปาก ทำหน้าแหยอย่างไม่ชอบรสของมัน 

“หึหึ”

เสียงหัวเราะดังขึ้น รวีพิรุณหันขวับไปมองด้านหลัง

“ท่านพี่”

ร้องเรียก พร้อมทำหน้าแหย

“ทำไมจึงได้ซุกซนเช่นนี้เล่า”

สหเดชะมองน้องเจ้าด้วยแววตาเป็นประกายเอ็นดู แม้แก้มขาวๆ นั้นจะเปื้อนเป็นปื้นไปด้วยดิน ทว่ากลับยิ่งดูสดใสและน่ารักขึ้นไปอีก

เขายื่นมือมาให้น้องได้จับ แล้วจึงดึงให้ลุกขึ้นมา จับจูงกันไปที่ริมน้ำ สหเดชะกอบน้ำขึ้นมาให้น้องได้บ้วนปาก เสร็จแล้ววักน้ำขึ้นมาเช็ดใบหน้าเปื้อนดินให้สะอาด แก้มของน้องแดงเรื่อขึ้นเพราะความเย็นของน้ำ

“รวีชอบกระต่ายไม่ใช่หรือ”

“รวีชอบกระต่าย แต่กระต่ายไม่ชอบรวี”

“มันเพียงตกใจเท่านั้นหรอก”

“ทำไมถึงตกใจล่ะ”

ดวงตาโตๆ ใสแป๋วมองหน้าพี่อย่างรอคำตอบ สหเดชะหันหน้าหนี พยายามเม้มปากกลั้นเสียงไม่ให้หลุดออกมา พอคลายอารมณ์ได้แล้วจึงหันกลับมามอง

“ก็น้องวิ่งไล่มันนี่”

“รวีอยาก...อยากอุ้มกระต่าย” คนพูดแก้มป่อง ดังจะกล่าวหาว่าเหตุใดกระต่ายไม่ให้อุ้ม

“หือ...”

“ขนกระต่ายสีขาว นุ่ม น่าอุ้ม”

“อย่างนั้นหรือ”

รวีพิรุณผงกหัวขึ้นลงเป็นคำตอบรับว่าใช่แล้วๆ สหเดชะมองใบหน้าเปี่ยมสุขนั้นแล้วก็นึกดีใจที่ตนเองอุตส่าห์ผละจากไปหาเจ้าภมรธราในเกาะวิมานของฝ่ายนั้น แล้วขอกระต่ายที่มีอยู่มากมายบนเกาะนั้นมาที่วิมานของตน

ถ้าน้องเจ้าจะยิ้มหวานขนาดนี้ ก็นับว่าสหายภมรธรายังมีข้อดีอยู่บ้าง

“รวี” สหเดชะเอ่ยเรียก “ดูนั่นซี”

เขาผายมือไปยังอีกฝั่งของธารน้ำ ณ ลานหญ้าอันเต็มไปด้วยไม้ดอกสีสวยนั้น มีกระต่ายป่าสีขาวบ้าง สีน้ำตาลบ้าง สองสามตัว กำลังหาอะไรกินอยู่ที่พื้นหญ้า

“ฮ้า...” รวีอ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกโต “กระต่ายยยยยยย”

“รวี อย่าเพิ่ง ให้พี่อุ้มเจ้าข้ามน้ำ อย่าลงน้ำ”

ช้าไปเสียแล้ว คนตัวผอมกระโดดลงน้ำ วิ่งฝ่าน้ำจ๋อมแจ๋มไปอย่างกระตือรือร้น ไม่สนว่าจะเปียกแค่ไหน สหเดชะมองตามอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาถอนหายใจออกมา

“ดอกไม้แรกแย้มของพี่ เจ้าเป็นเช่นนี้...พี่จะกอดเจ้าอีกครั้งได้หรือ”

สหเดชะ...วิทยาธรผู้ป้ายคราบกาเมใส่ดอกไม้อันบริสุทธิ์ เอ่ยคำออกมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

***

สหเดชะนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง บนต้นสล้างอยู่ด้วยดอกเล็กๆ สีขาว กลิ่นหอมอ่อนๆ ฟุ้งกำจายยามลมโชย

วิทยาธรหนุ่มก้มหน้ามองคนบนตักด้วยสายตาอ่อนโยน

รวีพิรุณนอนหนุนตักของเขา มือใหญ่ลูบผมนุ่มบนศีรษะเล็กๆ นั้น

หลังจากวิ่งเล่นไล่จับกระต่ายป่าจนเหนื่อยแล้ว สหเดชะก็สอนให้นั่งอยู่นิ่งๆ ไม่ทำให้กระต่ายป่าตื่นกลัว จนพวกมันเริ่มเข้ามาหา ความจริงแล้วเขาแอบใช้เวทมนตร์เล็กน้อยทำให้พวกมันเชื่อง

เขาเอาผลไม้จากป่ามาให้น้องกิน รวีพิรุณมองกล้วยหวีใหญ่ด้วยสายตาแปลกๆ กระนั้นเจ้าตัวก็ยังหยิบมาปอกเปลือกกินตามอย่างที่เขาสอน

ให้เทือกเขาวินธัยเป็นพยานเถิด...เขามิได้คิดไกลแม้สักน้อยเมื่อยามมองน้องส่งกล้วยปอกเปลือกแล้วเข้าปาก ไม่คิดไกลเลยจริงๆ

รวีพิรุณกินผลไม้จนอิ่ม แล้วเขาจึงให้น้องหนุนตักเขาเพื่อพักผ่อน จนกระทั่งตอนนี้น้องเจ้าก็ยังหลับตาพริ้ม อิ่มในหลับไม่ยอมตื่น
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วซีนะ ที่รวีมาอยู่กับเขา เวลาเพียงไม่นานนี้กลับผูกมัดเขาไว้กับมักกะลีผลน้องน้อย บ่วงใยอันใดจึงแน่นหนาเช่นนี้หนอ ทำให้หัวใจเขาปักหลักมั่นคง เกี่ยวไว้กับน้องเจ้าอย่างไม่มีวันคลาย

เขาเกือบลืมไปแล้วว่าน้องเป็นเพียงมักกะลีผล เป็นลูกไม้ของต้นไม้วิเศษแห่งป่าหิมพานต์ หลังจากสุกงอมแล้วจะถูกปลิดขั้วจากต้น เพื่อเป็นคู่กับชาวฟ้า แต่ด้วยเป็นเพียงลูกไม้ จึงอยู่ได้เพียงเจ็ดวัน แล้วก็แห้งเหี่ยวไป

แล้วรวีพิรุณของพี่เล่า?

เจ้าถูกพี่ตัดขั้วมาจากต้น แม้พระอัศวินได้ช่วยไว้แล้ว กระนั้น...ก็จะอยู่ได้กี่วัน

ความหวั่นกลัวนี้หลับลึกอยู่ในใจของเขา หลอกตนเองว่าไม่มีอะไร แต่มันก็อยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นกองไฟเล็กๆ ที่ลุกไหม้ไม่ยอมมอด นับวันยิ่งจะโหมแรงลุกโพลงขึ้นมาเผาใจเขา ใจที่ปรารถนาให้โมงยามที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับยอดดวงใจนี้เป็นนิรันดร์ แต่ในสามโลกนี้...มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์บ้างเล่า?

“อือ...”

มักกะลีผลตัวผอมส่งเสียงอืออา เขารู้สึกถึงความร้อนบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างผอมๆ บนตักของเขา ใบหน้าหวานๆ ซึ่งเขาเฝ้ามองมาตลอดนี้กลับซีดขาวลง เปลือกตาหลับพริ้มกลับเต้นกระตุกราวในฝันนั้นเป็นเรื่องร้าย

“อะ...อือ...”

ทันใด...รวีพิรุณก็ลืมตาโพลงขึ้นมา อ้าปากกว้างราวกับจะสูดอากาศเข้าไป แล้วหอบหายใจครืดคราด อะ...อะไรกัน!
สหเดชะตะลึงพรึงเพริด จับร่างซึ่งกระตุกสั่นอย่างกับคนจับไข้นั้นไว้ด้วยมือสั่นเทา

“รวี รวี...เจ้าเป็นอะไร”

น้องไม่ตอบคำ ทว่าพลิกกายไปมา ราวกับว่ากำลังทรมานร่างกายอย่างเหลือจะทน

“รวี! รวี! ตอบพี่ซี เกิดอะไรขึ้น”

รวียังคงพลิกกายไปมา แม้เขาจะพยายามเรียกชื่อเท่าใดก็ไร้ผล ใบหน้าซีดเผือดบัดนี้มีเหงื่อจับเต็มไปหมด

พลัน...จิตรู้บางอย่างก็กระซิบขึ้นมาในหัว หัวใจของเขาเย็นวาบ

เพลานี้มิใช่หรือ

ณ โคนต้นมักกะลีผลวันนั้น

เพลานี้เอง...ที่เขาจับพระขรรค์ขึ้นตัดขั้วน้องเจ้าจากต้นแม่

อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย

พระเป็นเจ้า...ในใจของสหเดชะร่ำร้อง

องค์พระอัศวิน ท่านเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดเถิด...

เสียงสวดอ้อนวอนองค์เทพดังขึ้นในใจเขา พร้อมกับความปั่นป่วนแห่งอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

“รวี...พี่จะช่วยเจ้า”

ครู่หนึ่ง...พี่ยังลูบผมเจ้า มองจมูกเล็กๆ ของเจ้า มองใบหน้าขาวเนียนสวยของเจ้า

ครู่หนึ่งเจ้ายังนอนหนุนตักพี่ หลับพริ้มเป็นสุข

แล้วไย...ไยจึงเป็นเช่นนี้!

หัวใจของวิทยาธรหนุ่มกู่ร้องขึ้นราวกับพยัคฆ์ติดบ่วงเหล็กของนายพราน

รวีพิรุณ อยู่กับพี่นานๆ พี่จะให้เจ้าวิ่งเล่น พี่จะให้เจ้าได้ลิ้มรสผลไม้อร่อยๆ พี่จะพาเจ้าลอยไปบนแดนฟ้า ให้เจ้าได้เห็น ได้สัมผัส
รวีคือพระอาทิตย์

พิรุณคือสายฝน

เจ้าจะได้สัมผัสแสงอาทิตย์ในแดนฟ้า หรือป่าหิมพานต์

เจ้าจะได้สัมผัสสายฝนเย็นฉ่ำจากฟ้า

เจ้าเป็นดวงใจของพี่ เป็นดอกไม้ล้ำค่าของพี่

หากไม่มีเจ้าแล้วพี่จะทำอย่างไร

หรือเพราะพี่ ‘กอด’ เจ้า ร่างกายจึงรับไม่ไหว

หรือเพราะพี่ผิดคำตนเอง

เพียงเพราะพี่รักเจ้าเกินไปดอกหรือ

เจ้าจะอยู่กับพี่ไปตราบชั่วชีวิตพี่มิได้หรือ

เจ้าจะไปจากพี่แล้วใช่ไหม ไยไม่อยู่กับพี่นานๆ เล่า

เจ้าไม่รู้หรือ...เพียงคิดว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่กับพี่

ข้างกายพี่จะไม่มีเจ้าคอยวิ่งเล่นบนทุ่งดอกไม้เช่นนี้...

อกพี่ก็รานรอนไหม้ขมแล้ว 


รวีพิรุณกระอักกระไอรุนแรงขึ้น มีของเหลวใสๆ เช่นเดียวกับยามผลไม้ฉ่ำน้ำถูกเอามีดผ่าไหลออกมาจากปากของเจ้ามักกะลีผล

“อะ...อะไรกัน”

สหเดชะเอ่ยละล่ำละลัก คนเคยเคร่งขรึมไม่มีเสียแล้ว

เขากอดกระชับร่างของคนรักไว้ กอดไว้แน่นเท่าที่จะสามารถกอดได้ แล้วจึงลุกขึ้นทั้งที่กอดอีกฝ่ายไว้เช่นนั้น ในใจหมายมุ่งยังพระสุเมรบรรพต ที่สถิตแห่งองค์พระอิศวิน

ในใจของเขาสวดพระนามองค์เทพไม่หยุดหย่อน

แต่ก่อนวิทยาธรหนุ่มจะเสกพระขรรค์คู่กายออกมา พลันก็รู้สึกถึงกลุ่มพลังอันยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ด่านพระเวทอันมีหน้าที่ป้องกันวิมานของเขายอมผ่อนปรนปล่อยผ่านแต่โดยง่าย กลุ่มพลังนั้นพุ่งตรงเข้ามาหาสหเดชะด้วยความรวดเร็ว แผ่ไอเริงร้อนรุนแรง

+++


สวัสดีวันปีใหม่ไทยนะคะ ขอให้เพื่อนๆ มีความสุขมากๆ และเล่นสงกรานต์ด้วยความระมัดระวัง ^____^
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-04-2019 02:16:27
อะไรกัน ใครมา แล้วน้องเป็นอะไร
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-04-2019 08:19:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-04-2019 14:52:51
ใครมาา เพิ่งสามวันเอง อย่าเอาน้องไปนะ แงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-04-2019 16:31:02
สุขทุกข์สลับวันยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-04-2019 18:14:06
รวีเป็นอะไรอ่ะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-04-2019 21:44:32
น้องเป็นอะไร ฮืออออ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 17-04-2019 18:28:19
รวีเป็นอะไรลู๊กก
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 7 [15-04-2562] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 21-04-2019 11:19:39
ผู้ใดมา กรี๊ดดด น้องอย่าเป็นอะไรนะลูก
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 28-04-2019 23:46:41


บทที่ 8


เหงื่อกาฬไหลโซมทั่วร่าง รวีพิรุณใบหน้าซีดเผือดชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้งผุดเต็มไปหมด เขาหอบหายใจหนักหน่วง ส่งเสียงครวญราวกับกำลังตกอยู่ในความเจ็บปวดเหลือแสน

สหเดชะอุ้มร่างของมักกะลีผลไว้แน่นกับอ้อมกอด มองกลุ่มแสงสว่างเจิดจ้านั้นลอยอยู่เหนือพื้นตรงหน้าของตน รังสีเริงร้อนราวกับว่าพระอาทิตย์ได้มาลอยอยู่ ณ เบื้องหน้า พลันบัดนั้น...สหเดชะรู้โดยไม่คลางแคลงใดๆ ว่ากลุ่มพลังนี้คือผู้ใด

เขาค่อยๆ ย่อกายลงกับพื้น วางร่างน้อยๆ ลงตรงหน้า แล้วจึงค้อมศีรษะลงแสดงความเคารพอย่างสูง

“พระอัศวิน”

บัดนี้คำสวดอ้อนวอนของเขาเป็นผลแล้ว พระอัศวินได้ยินคำสวดพระนาม ท่านรีบรุดมาจากราชรถของพระอาทิตย์เพื่อมาฟังคำร้องอ้อนวอนของเขาแล้ว ไม่แปลกเลยจึงมีรัศมีร้อนแรงราวกับไฟ

กลุ่มแสงสว่างเจิดจ้านั้นรวมกันเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามเลิศล้ำผู้หนึ่ง ประทับยืนตรงหน้าสหเดชะ ท่านคือพระนาสัตยะ หนึ่งในพระอัศวินซึ่งเป็นเทพแฝด ด้วยการเป็นเทพของท่าน ดำรงอยู่ในภาวะของพลังงานอันละเอียดสูงส่ง หากจะฝ่าเข้ามาในวิมานของสหเดชะย่อมทำได้โดยง่าย ทว่าเมื่อพระเวทปกป้องวิมานยอมให้ท่านผ่านเข้ามาได้โดยไม่ขัดขวางย่อมแสดงว่าสหเดชะมิได้เห็นท่านเป็นศัตรู

“เราได้ยินคำสวดของเจ้าแล้ว วิทยาธร”

สหเดชะมิได้เอ่ยถามว่าเหตุใดท่านจึงเสด็จมาเพียงองค์เดียว พระทัศระเสด็จไหนเสียเล่า เขาเพียงแต่ค้อมศีรษะไว้เช่นนั้นเพื่อแสดงความเคารพ กระนั้นท่านเทพก็ราวกับจะล่วงรู้ถึงความคิดภายในใจของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

“ข้าแต่องค์เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดช่วยชีวิตของรวีพิรุณ...มักกะลีผลผู้นี้...” สหเดชะเอ่ยตะกุกตะกัก ร้อนรน

“เราจะช่วยหยุดความทรมานของเขาไว้ก่อน” น้ำเสียงของพระนาสัตยะเปี่ยมด้วยเมตตา ท่านเสด็จเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นระดับอก แล้ววาดมือเหนือร่างของรวีพิรุณจากศีรษะไปหาปลายเท้า จากปลายเท้ากลับมาจรดศีรษะ แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของเจ้ามักกะลีผลก็ส่องแสงสีเขียวแมลงทับ ก่อนจะค่อยๆ สงบลง ราวกับว่าอาการแสดงความเจ็บปวดเมื่อครู่นั้นไม่เคยมี

สหเดชะมองร่างซึ่งนอนสงบอยู่ตรงหน้านั้นด้วยแววตาเศร้าหมอง เอ่ยถามเสียงสั่น

“รวีพิรุณ...มักกะลีผลผู้นี้ เขาจะอยู่ต่อมิได้แล้วหรือพระเจ้าค่ะ”

พระนาสัตยะแย้มยิ้มราวกับว่าแสดงความเอ็นดูต่อชื่อรวีพิรุณฉะนั้น

“สหเดชะ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่ามักกะลีผลก็ดี นารีผลก็ดี เขามีธรรมชาติและช่วงเวลาของเขา”

“ข้าพระองค์ทราบดี”

“เช่นนั้น เราจะบอกให้เจ้ารู้อีกอย่าง” ท่านค่อยๆ ย่อกายลงราวกับจะนั่งลงบนพื้นหญ้าตรงหน้า ทว่าทันใดนั้นเองก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากหน้าดิน กลายเป็นบัลลังก์ให้ท่านได้ประทับลงไป

“มักกะลีผลนั้นนับแต่ถือกำเนิดขึ้นมาที่ต้นแม่ ก็ใช้เวลาเจ็ดทิวาราตรีจึงเติบใหญ่สุกงอม แล้วจากนั้นภายในเจ็ดวันหากไม่ถูกปลิดจากขั้วไปก็จะเหี่ยวแห้งไปเอง ดังนี้ มักกะลีผลจึงมีเวลาชีวิตเพียงสิบสี่ทิวาราตรี หรือปักษ์หนึ่ง” ท่านพิจารณาใบหน้าอันอมทุกข์ของวิทยาธรหนุ่ม แล้วเอ่ยสืบไป “แต่หากมักกะลีผลลูกใดไม่ได้ดำเนินชีวิตเช่นที่เรากล่าวไปนี้” ท่านพยักหน้าเมื่อเห็นดวงตาของสหเดชะแสดงความเข้าใจอะไรบางอย่าง “ถูกต้องแล้ว หากมีใครไปเด็ดมักกะลีผลจากต้นก่อนเวลาอันควร...มักกะลีผลลูกนั้นก็จะสิ้นอายุขัยไปในวันที่ถูกปลิดจากขั้วนั้นเอง”

“ถ้าเช่นนั้น...”

“มักกะลีผลน้อยผู้นี้ยังไม่สุกงอมดีนัก เมื่อเจ้าตัดขั้วเขาจากต้นแม่ เขาจึงจะต้องสิ้นอายุขัยภายในวันนั้นเอง”

“แต่พระองค์ก็ได้ช่วยเขาไว้แล้ว...”

“ถูกละ เรากับพระทัศระได้ช่วยเขาไว้ ทว่าสหเดชะเอย...การจะยื้อยุดเอาดวงวิญญาณผู้ใดจากพระยมนั้นยากยิ่งกว่าจับเขาไกรลาสที่เอนเอียงให้ตั้งตรงเสียอีก เรากับพระทัศระรวมกำลังกันก็จึงทำให้เจ้ามักกะลีผลผู้นี้มีชีวิตอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น บัดนี้ก็ใกล้หมดสิ้นเวลาที่ยื้อไว้นั้นแล้ว เขาจึงแสดงอาการทรมานเช่นนี้ออกมา”

ถ้อยคำขององค์เทพราวกับมืออันทรงฤทธิ์คว้านเข้ามาในแผ่นอกของเขาแล้วกระชากเอาดวงใจออกไปทั้งยวง

“สะ...สามวันหรือ พระองค์มิได้บอกให้ข้าพระองค์ได้รู้เลย...”

แม้แววตาจะมีประกายบางอย่างทว่าน้ำเสียงของพระนาสัตยะก็ราบเรียบไร้อารมณ์ใด “ก่อนเจ้ากลับมาวิมาน เราได้บอกสิ่งใดแก่เจ้าหรือ”

“พระองค์ตรัสว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้ยืนยง สิ่งใดเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ใจมนุษย์หมุนเวียนเปลี่ยนผัน...”

“...ไม่มีสิ่งใดให้เจ้ายึดติดได้” ท่านนิ่งไปสักครู่ แล้วจึงเอ่ยต่อ “แม้เป็นเทวดาหรือชาวฟ้าก็จิตใจโลเลเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ยามนี้เจ้ามีจิตปฏิพัทธต่อมักกะลีผลผู้นี้ นานไปภายหน้าเล่า เจ้าจะยังมั่นใจอยู่หรือว่าความรู้สึกเจ้าจะคงเดิม”

“ทูลองค์เทพ หัวใจรักหรือพิศวาส อาศัยเพียงมองตาก็รู้แล้วว่าล้ำลึกยืนยงเพียงใด ข้าพระองค์ปักใจใกล้ชิดมักกะลีผลน้อยผู้นี้แล้ว ย่อมผูกใจไปอีกนาน”

“เจ้ากล่าวคำจริงแท้ แม้ไม่ถามให้กระจ่างเราก็แจ้งใจดี เพราะคำสวดอ้อนวอนอันออกมาจากหัวใจของเจ้าเท่านั้นจึงทำให้เรามาอยู่ที่นี่ เอาละ...สหเดชะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือความสมัครใจของเจ้าเอง เรามิได้บังคับขู่เข็ญให้เจ้ากระทำ บอกเรามาเถิด...สิ่งที่เจ้าปรารถนานั้นคือสิ่งใดกันแน่”

“ขอพระองค์จงช่วยทำให้มักกะลีผลผู้นี้มีอายุยืนยาว แม้ไม่เท่าชาวฟ้าชาวสวรรค์ ก็ขอเพียงเท่าอายุขัยมนุษย์โลกผู้หนึ่งก็พอแล้ว”

ดวงตาของสหเดชะปรากฏประกายเจิดจ้า มีแววมุ่งมั่นจริงใจ ดวงตาขององค์เทพฉายแสงเรืองรองของพลังทิพย์ พลันบัดนั้น พระนาสัตยะตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง

“สหเดชะเอย แม้นเราเป็นแพทย์สวรรค์ ทว่าเรื่องนี้เกินกำลังของเราจริงๆ การมอบชีวิตให้แก่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีเพียงพระพรหมผู้สร้างกับองค์ศิวะเท่านั้นที่ทำได้”

วิทยาธรหนุ่มก้มลงมองใบหน้าหลับพริ้มของรวีพิรุณ เขากุมเอามือบอบบางนั้นไว้ในมือตน บัดนี้ไม่เหลือความองอาจแห่งวิทยาธรผู้เกรียงไกรอีกแล้ว “รวี...รวีพิรุณจะต้องตายหรือพระเจ้าค่ะ”

“สิ่งนี้ได้ถูกลิขิตไว้แล้ว”

สหเดชะก้มหน้าลงต่ำ ริมฝีปากขบเม้มกันเป็นเส้นตรง ไหล่กว้างกำยำสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำ อดกลั้นไว้มิให้น้ำตาไหลออกมา ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมององค์เทพ

“ไร้...ไร้ซึ่งหนทางแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”

พระนาสัตยะถอนพระปัสสาสะยาว ก่อนตรัสออกมา

“มีอยู่หนทางหนึ่ง”

ประโยคนั้นจากโอษฐ์องค์เทพ ราวกับน้ำอมฤตราดชโลม ประกายยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาของวิทยาธร

องค์เทพอัศวินตรัส “หนทางนี้มีราคาสูงนัก”

ท่านชี้นิ้วตรงหน้าผากของสหเดชะ ประกายแสงสีทองเล็กๆ พุ่งเข้าใส่ตรงจุดนั้น สหเดชะพลันเห็นภาพต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัว จริงซี...ยังมีวิธีนี้อีกนี่นา

เขาเห็นแล้ว

สหเดชะก้มลงมองน้องน้อยด้วยแววตาเปี่ยมหวัง กุมมือแน่นเข้า มือของน้องยังอุ่น ชีวิตยังไม่ละจากร่างนี้ แต่ก็คงอีกไม่นาน

“เจ้าเห็นหรือยัง”

“ข้าพระองค์เห็นแล้ว”

“เช่นนั้นก็ยังยินดีจะทำหรือ”

“ยินดีพระเจ้าค่ะ”

“แม้ต้องพานพบความลำบากภายหน้าหรือ”

“พระเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเราจะช่วย...”

พระนาสัตยะวาดพระหัตย์ขึ้นไปด้านบน พลันวิมานของสหเดชะก็กลับสลัวลง ราวกับว่าเหนือเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ถูกกลุ่มเมฆฝนอันมหึมามาคลุมไว้เสียจากพระอาทิตย์

องค์เทพมองสหเดชะนิ่งอยู่

เจ้าวิทยาธรหนุ่มกำลังกุมมือมักกะลีผลแน่น เจ้าหนุ่มผู้นี้กำลังเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตามุ่งมั่นไม่ยั่นระย่อใดๆ แม้นพระองค์จะเอ่ยคำใดทัดทานยามนี้ก็ไร้ผล

“เจ้าไม่เสียใจภายหลังหรือ”

“หากเขาต้องจากไป...ข้าพระองค์จะเสียใจยิ่งกว่า”

“เช่นนั้น...ก็เป็นดั่งเจ้าปรารถนาเถิด”

***

ภมรธรา...วิทยาธรผู้หลงใหลในน้ำเมาและนารีผล กำลังอยู่ในอ้อมกอดของพวกนาง ศีรษะของเขาวางอยู่บนตักอ่อนนุ่มของนารีผลนางหนึ่ง พลางอ้าปากรอรับน้ำเมาจากจอกซึ่งนารีผลอีกนางบรรจงป้อนถึงปาก

อีกมือซึ่งว่างงานก็ฟอนเฟ้นเรือนร่างหนั่นแน่นนุ่มนวลของอีกนาง อา...ถ้านี่มิใช่สวรรค์แล้วจะเป็นที่ไหนเสียล่ะ

ภมรธราหลับตาอย่างเป็นสุข แทบกระอักกับความหอมของเนื้อกายนางทั้งหลาย ทว่า...ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ เจ้าหนุ่มสหเดชะนั่นจะได้กอดน้องน้อยของมันแล้วบ้างหรือยัง

เจ้าผู้นี้ช่างเป็นวิทยาธรที่ประหลาดดีแท้ วันก่อนก็มาขอน้ำผึ้งจากวิมานของเขา มาวันนี้ก็แอบมาเดินท่องไปทั่วทุ่งดอกไม้ จนเขาต้องหลีกจากอกนุ่มๆ ของน้องๆ นี้ไปหา พอเขาอ้าปากปราศรัย มันก็ถามว่า...เจ้ามีกระต่ายบ้างหรือไม่

ขอไหว้องค์หิมวันต์เจ้าข้า มีวิทยาธรที่ไหนตามหากระต่ายกันเล่า? เขาจึงตอบกลับไปด้วยอารมณ์ฉิวว่า ลองมองหาตามสุมทุมพุ่มไม้ดูซี โพรงปล่องช่องตามพื้นต่างๆ ก็ลองก้มหาดู เผื่อจะเจอสักตัวสองตัว ก็แล้วเจ้าจะเอากระต่ายไปทำอะไร คำตอบสำหรับคำถามของภมรธราคือ ริมฝีปากยกยิ้มของสหเดชะ แววตาเต้นระริกเป็นประกาย ท่าทางประหลาดผิดหูผิดตาเช่นนั้นทำเขาส่ายหัวด้วยไม่เข้าใจ 

มาบัดนี้เขาก็ชักอยากจะรู้ว่าเหตุผลกลในมีอะไรบ้าง ตักน้องๆ ก็ไม่อุ่นแล้ว อกน้องๆ ก็ฟอนเฟ้นจนเบื่อแล้ว ลิ้มรสอ้อมกอดพวกนางจนตบะแทบหมดเกลี้ยงแล้ว อย่ากระนั้นเลย ขอโอกาสไปเยี่ยมเยือนสหายรักที่วิมานของฝ่ายนั้นบ้าง

ภมรธราผละจากอ้อมกอดของนารีผลมาภายนอก เขามองไปทั่วๆ วิมานของตนแล้วก็ให้ประหลาดใจยิ่งนัก โดยปรกติแล้วในแดนฟ้ามักอากาศเย็นสบายตลอดวาร ทว่ายามนี้กลับมีไอร้อนแปลกๆ ลอยวนไปทั่ว เขามองหาอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าไอร้อนเหล่านี้มาจากที่ใด

“มาจากวิมานเจ้าสหเดชะหรอกหรือ ชะรอยจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล”

ว่าแล้วก็วาดมือออกไป ปรากฏพระขรรค์เงินในมือ ภมรธรายกพระขรรค์นั้นขึ้นเหนือศีรษะ แล้วร่างอันกำยำก็พุ่งทะยานขึ้นไปสู่เกาะวิมานซึ่งอยู่เหนือกว่าตนไปทันที

***

“แปลก”

ภมรธราขมวดคิ้ว นึกประหลาดใจอยู่ครามครันว่าไอร้อนนั้นหายไปเสียแล้ว ขณะเขาผ่านม่านพระเวทของวิมานสหายเข้าไปภายใน ก็เห็นทุ่งหญ้าอันเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีกำลังเต้นรำกับสายลมอ่อนๆ ข้างป่าผลไม้ซึ่งเจ้าของวิมานหวงแหนนักนั้นเล่าก็มีเสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันออกมา

เหตุการณ์ก็ปรกติดีมิใช่หรือ

ภมรธราร่อนลงไปใกล้พื้นดินมากขึ้น แล้วลอยเลื่อนไปกับพื้นอันเต็มไปด้วยดอกไม้สวยงามสดชื่น ไม่นานก็มองเห็นร่างคุ้นตานอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง จึงเร่งเหาะเข้าไปหา

“เจ้าสหเดชะนอนทำอะไรอยู่ใต้ต้นไม้ล่ะนั่น เอ...นอนกอดใครอยู่รึ? เห็นจะเป็นมักกะลีผลผู้นั้นไม่ผิดแน่”

ภมรธรายิ้มกริ่ม เร่งเหาะเข้าไปหาสหาย เมื่อลุถึงจุดหมายจึงร่อนลงแตะพื้น เขาเห็นร่างสองร่างนอนชิดจนแทบจะก่ายร่างกันอยู่ เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น

งามแท้

ภมรธราสะดุดกึก จ้องใบหน้าที่ซุกอยู่กับไหล่กว้างของสหายตน ชีวิตการเป็นวิทยาธรอันยาวนานนี้ผ่านการกอดนารีผลมาก็มาก กล่าวได้ไม่กระดากปากเลยว่านารีผลนั้นงามหยาดฟ้าทุกนาง ทว่าคนผู้นี้...มักกะลีผลผู้นี้...งามจับตาจริงๆ

งามแปลกกว่าชาติมักกะลีผลอื่นๆ

มิน่าล่ะ ไม่แปลกสักนิดที่สหเดชะสหายเขาต้องวิ่งโร่มองหากระต่ายเอย ขอน้ำผึ้งเอย ก็เพื่อมาปรนเปรอ...คนงามผู้นี้เองหรือ
ภมรธราย่อกายลงนั่งยองๆ กับพื้น พิจารณาใบหน้าของมักกะลีผลร่างผอม โดยไม่สนใจจะมองสหายตนสักนิด อืม...


เจ้ามักกะลีผลเอย

งามพริ้ง งามพิศ ยิ่งหนา

ดวงหน้า เอวองค์ อ่อนหวาน

ผิวกาย ผมเจ้า เยาวมาลย์

นงคราญ เจ้างาม ไปทั้งกาย


ภมรธราถอนหายใจด้วยเสียดาย ดูหรือ...สหเดชะกอดน้องน้อยไว้เต็มอ้อมแขน

ยามได้มาเห็นโฉมเจ้ามักกะลีผลแล้ว เขาไม่แปลกใจจนนิดเดียวว่าเหตุใดสหายผู้นี้จึงรีบตัดขั้วจากต้นแม่แล้วพาหนีมา ก็เจ้างามเช่นนี้ยังไรเล่า

เฮ้อ...แต่น่าเสียดายที่เจ้ามีเนื้อหนังน้อยไปหน่อย ไม่เปรมใจเช่นน้องๆ หุ่นเต็มมือที่วิมานของเขา ก็นับว่าเจ้าสหเดชะโชคดีแล้วที่เขาจะไม่คิดแย่งชิงมา

อา...สหเดชะสหายเรา เจ้าช่างมีความสุขจนน่าอิจฉาเสียจริง

ภมรธราละตาจากร่างผอมบางของมักกะลีผลนั้น หันมามองใบหน้าหลับตาเป็นสุขของสหายตน แล้วก็พลันสังเกตเห็นบางอย่าง

วิทยาธรหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตัดสินใจยื่นมือออกไปสัมผัสกับแขนของสหาย เขาจับนิ่งอยู่ตรงผิวอุ่นๆ ของฝ่ายนั้น จับนิ่งนาน ดวงตาซึ่งหรี่ลงด้วยสงสัยกลับเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แล้วทันใดก็รีบละมือออกมา

ผ่อนลมหายใจเป็นเสียงประหลาด

เขามองไปรอบๆ วิมานแห่งนี้ มองทุ่งดอกไม้อีกครั้ง มองธารน้ำไหล มองป่าผลไม้และสวนขวัญ แล้วมองปราสาทอันเป็นที่พำนักของสหาย

“สหเดชะ เจ้าทำสิ่งใดลงไป?”

ภมรธราครุ่นคิดฉับไว ก่อนหย่อนก้นลงนั่งกับพื้น ยกขาขึ้นมาเตรียมท่าขัดสมาธิ เมื่อพร้อมแล้วจึงหลับตาลง ท่องบ่นพระเวทอันยืดยาวซับซ้อน

แสงสว่างส่องออกมาจากร่างของภมรธรา มันสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะดับหายไป เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น บนพื้นดินเบื้องหน้าของเขา บัดนี้มีพระขรรค์สีเงินสองด้ามวางอยู่

ภมรธราหอบหายใจเหน็ดเหนื่อย นึกหน่ายใจที่ตนเองเสียกำลังไปเพราะเสพรักจากนารีผลเหล่านั้นมากเกินไป กำลังตบะจึงถดถอย เรียกพระขรรค์ออกมาหนึ่งด้ามก็พอทน แต่ให้เรียกพระขรรค์ออกมาอีกด้ามเช่นนี้แทบทำให้หมดแรงทีเดียว

เขายื่นมือออกไปจับแขนของสหายสั่นแรงๆ “สหเดชะ ตื่นเถิดท่าน”

สหเดชะขยับกาย คล้ายกับตื่นจากฝันยาวนาน ใบหน้านั้นสลึมสะลือ ราวกับงงงวยยิ่งนักว่ามาอยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้เช่นไร ขณะที่ฝ่ายนั้นขยับ มักกะลีผลผู้งามพิศก็ขยับเช่นกัน

“ตื่นได้แล้วท่าน”

“ท่าน...ภมรธรา”

“เราเองละ” ภมรธรากลืนก้อนแข็งๆ ในคอลงไป เอ่ยลำบากยิ่ง “ท่าน...ไฉนจึงนอนอยู่ที่โคนไม้นี้เล่า”

“เรา...เราเพียง...” สหเดชะนิ่งไปนิด แล้วดวงตาเบิกโพลง ร้องลั่น “รวี รวีน้องพี่!”

ท่าทางร้อนรนนั้นทำภมรธราแทบพูดไม่ออก แต่เมื่อฝ่ายนั้นมองเห็นว่าคนที่ตนเรียกหากำลังใช้หลังมือขยี้ตาอยู่ ก็อ่อนลง ผวาไปกอดร่างผอมๆ นั้นอย่างแรง

“รวี เจ้า...เจ้าฟื้นแล้ว!”

“ท่าน...ท่านพี่”

ภมรธรามองสองคนกอดกันด้วยประกายตาแรงกล้า เห็นพี่ลูบคลำตามตัวน้องเจ้าตรงนั้นตรงนี้ราวกับเพื่อทำให้ตนแน่ใจว่าร่างนั้นอยู่ตรงนั้นจริงๆ หรือไม่

เขากระแอมไอ “เอ้อ...อย่าว่าเรารบกวนท่านเลยนะ สหเดชะ”

พอได้ยินเสียงเขา สหเดชะจึงได้หันมามอง “ท่านว่าอะไรนะ”

“เราไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่วิมานท่าน แต่...เราคิดว่าท่านควรออกไปจากที่นี่ก่อน”

“ออก...ออกไปจากที่นี่หรือ”

“ถูกต้อง” ภมรธราคว้าพระขรรค์เงินด้ามหนึ่งมาไว้ตรงหน้าสหาย “ต้องออกไปจากวิมานนี้...ตอนนี้เลยทีเดียว”

“เรา...”

“มากับเราเถิด”

ภมรธรายื่นพระขรรค์ให้แก่สหาย แล้วดึงแขนฝ่ายนั้นให้ลุกขึ้น สหเดชะลุกขึ้นได้แล้วจึงช่วยพยุงร่างผอมของมักกะลีผลให้ยืนได้มั่นคง

สหเดชะมองพระขรรค์ของภมรธราที่อยู่ในมือตน

สหายผู้ชื่นชอบดื่มน้ำเมาเอ่ยเสียงเร่งร้อน “ใช้ของเราไปก่อน เร็วเถิด”

ขณะภมรธราควงพระขรรค์เพื่อเหาะขึ้นไปในอากาศนั้น เขาก็ครุ่นคิดอย่างสับสนในใจ สหเดชะ นี่เจ้าทำอะไรเข้าอีกแล้ว!

ร่างของภมรธราลอยละล่องขึ้นจากพื้น เขาหันหลังไปมอง และเห็นสหเดชะตระกองกอดมักกะลีผลนั้นไว้แน่น ก่อนจะควงพระขรรค์ที่เขามอบให้ เขาจึงออกตัวพุ่งขึ้นจากพื้นดิน และเห็นจากหางตาว่าสหเดชะก็พุ่งตามมาติดๆ

พวกเขายังไปไม่พ้นขอบข่ายพระเวทด้วยซ้ำ เกาะวิมานของสหเดชะก็สะเทือนสะท้านเยือก ราวกับมีอะไรมาพุ่งชนอย่างแรง แล้วข่ายพระเวทคุ้มครองเกาะก็สลายวับหายไปทันที

***

หวังว่าเพื่อนๆ จะอ่านแล้วชอบตอนนี้นะคะ
มาลุ้นตอนใหม่กันวันอังคารนี้ค่ะ ^____^
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-04-2019 00:22:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-04-2019 01:21:59
เกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-04-2019 01:33:04
คุณพี่ทำอะไรไปคะ ฮื่ออออ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-04-2019 10:16:39
เอ่าเกิดอะไรขึ้น
หรือเป็นผลกระทบ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-04-2019 21:57:07
ฮือออ เกิดอะไรขึ้น ต้องกลับไปเป็นมนุษย์ป่าว หรืออะไรยังไง แลกอะไร


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 30-04-2019 13:47:59
อะไร ยังไง คุณพี่สละบุญบารมีเพื่อแลกกับอะไรบ้างอย่างใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 30-04-2019 15:29:11
สนุกดีค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-04-2019 21:10:18
หรือสหเดชะหมดพลังกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-04-2019 21:30:21
ไม่ค้าง
ไม่ค้างงงงงงงง
ไม่ค้างงงงงงงงงงง แง๊!
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 30-04-2019 23:40:53
OMG!  :sad4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 01-05-2019 00:02:47




บทที่ 9



เมื่อแรก รวีพิรุณรู้สึกถึงความร้อนอันมากล้นแผ่ซ่านไหลเวียนไปทั่วร่างกาย แล้วความว่างเปล่าอันกะทันหันก็โผล่ขึ้นมากลางอก ราวกับว่าหัวใจและความรู้สึกทั้งปวงถูกมือยักษ์แทงเข้าไปในอกแล้วกระชากเอาดวงใจออกมา

ในอนุสติอันเลือนราง รวีพิรุณรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนของสหเดชะ สัมผัสถึงอ้อมกอดอันสั่นสะท้าน อกใจไหวหวั่น   

ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ

รวีกลัว ท่านพี่ ทำไมในอกของรวีจึงร้อนเช่นนี้ มีแรงบางอย่างกำลังพยายามฉุดดึงให้รวีตกลงไป...ลงไปในที่ว่างกว้างใหญ่นั่น
ที่ว่างมีเสียงร้องโหยหวน เหมือนมีใครกำลังส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน เป็นจำนวนมากยิ่งกว่าใบหญ้าในทุ่งดอกไม้ของท่านพี่ มากมายเสียยิ่งกว่าใบของต้นไม้ในสวนป่า

ท่านพี่ อย่าปล่อยให้รวีตกลงไปในปล่องนั้น รวีไม่อยากไปอยู่กับพวกเขา!

มักกะลีผลรู้สึกถึงหยาดน้ำไหลจากหน่วยตา ร่ำร้องอ้อนวอนเป็นเสียงอันสั่นเทา ขณะเสียงร้องโหยหวนราวกับภูตผีนับแสนล้านโกฏินั้นก็เริ่มดังขึ้น จนกึกก้องกลบทุกเสียงราวกับจะกลืนกินร่างน้อยๆ ของรวีพิรุณไป

เขารู้สึกราวกับว่าได้กลับไป ณ จุดที่ทุกอย่างเริ่มขึ้น ราวกับว่าจะกลับไปสู่ความมืดมิดก่อนตัวเขาจะตื่นขึ้นจากหลับใหล ณ โคนต้นมักกะลีผลฉะนั้น

รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าสัมผัสของสหเดชะค่อยเคลื่อนห่างหายไป

........
....

นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในความรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกแรงมหาศาลบางอย่างดูดลงไปยังปล่องอันว่างเปล่านั้น รวีพิรุณคล้ายจะเห็นแสงสว่างส่องวาบ ครั้นแล้วก็เจิดจ้าขึ้นมา ความร้อนใดๆ ที่ห่อหุ้มร่างของเขาและแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์อยู่นั้นก็พลันค่อยๆ ลดน้อยถอยลง กระทั่งหลงเหลือเพียงความเย็นสบาย คล้ายลมรำเพยอ่อนๆ ที่ทุ่งหญ้าของท่านพี่

ความเย็นสบายนั้นขยับเคลื่อนจากศีรษะลงไปปลายเท้า แล้วค่อนเคลื่อนกลับขึ้นมาที่ศีรษะอีกครั้งหนึ่ง

ริ้วแสงสีทองบางอย่างลอยเลื่อนเข้ามาใกล้ เกาะเกี่ยวเอาแขนขาของมักกะลีผลไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะฉุดดึงให้ลอยขึ้นสูงจากปล่องอันมหึมานั้น เสียงร่ำร้องโหยหวนน่าหวาดแสยงนั้นค่อยๆ เงียบลง เมื่อรวีพิรุณรู้สึกราวกับตนเองเคลื่อนผ่านม่านบางๆ คล้ายตอนโผล่ศีรษะขึ้นมาพ้นผิวน้ำนั่นแหละ...เสียงน่าหวาดกลัวนั้นก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

รวีพิรุณกำลังนั่งอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เขาเห็นแสงระยิบระยับสีทองเป็นประกายลอยเกลื่อนอากาศ มีเสียงเพลงราวกับบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีบางอย่างดังคลออยู่ไม่ขาด แล้วทันใดนั้นเอง เจ้ารวีก็มองเห็นป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มองเห็นผืนป่าลอยเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงเห็นที่ว่างกลางป่าแห่งนั้น สถานที่ซึ่งเขาถือกำเนิดขึ้น มองเห็นใบไม้บนกิ่งส่ายไหวในสายลม เห็นร่างขาวโพลนหลายๆ ร่างติดอยู่กับขั้วของต้นไม้ใหญ่

ต้นแม่มักกะลีผลนั่นเอง

สายลมแรงพัดวูบหนึ่ง ใบไม้หลายใบปลิดปลิวจากต้น ใบหนึ่งตกต้องกายของมักกะลีผลเจ้า อีกใบนั้นรวีพิรุณคว้าไว้ได้ ครั้นแล้วร่างผอมก็ลอยเข้าไปใกล้อีก มองเห็นใบหน้างามพริ้มหลับตาอยู่ ณ โคนต้น พวกนางเป็นนารีผลนั่นเอง

อยู่ๆ นารีผลซึ่งบ้างนั่ง บ้างยืนอยู่ ณ โค้นต้นแม่ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันแล้วหันมามองเขาเป็นจุดเดียว รวีพิรุณผงะไป ก่อนจะมองเห็นว่าพวกนางมิได้ทำสิ่งใดนอกจากมองเขาเงียบๆ แล้วเปิดรอยยิ้มอันเป็นมิตรให้เขา รวีพิรุณยื่นมือออกไปคล้ายกับจะสัมผัสร่างของหนึ่งในพวกนาง ทว่าคล้ายกับมีบางอย่างฉุดรั้งเขาไว้ เมื่อก้มลงมองจึงเห็นริ้วสีทองนั้นยังพันตามร่างเขาอยู่

รวีพิรุณขยับปากจะเอ่ยคำ ทว่าคล้ายมีใครจับลิ้นเขาไว้ ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ แล้วริ้วสีทองนั้นก็ค่อยๆ ฉุดดึงเขาให้ลอยเลื่อนออกห่างจากต้นมักกะลีผลนั้น ลอยตัวพุ่งผ่านม่านอากาศอันเย็นสบาย มองเห็นหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย มองเห็นท้องโพยมอาบด้วยสีกุหลาบ ครั้นแล้วเทือกผาใหญ่กว้างก็ปรากฏตรงหน้า

รวีพิรุณมองเห็นภาพตรงหน้าก็จำได้ขึ้นใจ

มิใช่ท่านพี่หรอกหรือ ที่พาเขาเหาะขึ้นกลางอากาศแล้วจึงทัศนาภาพนี้

พิทยานครมิใช่หรือ นครแห่งชาววิทยาธรน่ะเอง

เกาะวิมานแห่งหนึ่งลอยเลื่อนสูงยิ่ง บนเกาะนั้นเขาเห็นป่าไม้โปร่ง เห็นธารน้ำใส เห็นทุ่งหญ้าดอกไม้ เห็นปราสาทสวยงาม นี่เป็นวิมานท่านพี่มิใช่หรือ

รวีพิรุณมองเห็นร่างของตนนอนแน่นิ่งกับพื้น ใกล้ๆ กันนั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่งมีรัศมีสว่างเรืองรอง บุรุษนั้นหันมามองเขาครู่เดียว แต่เพียงเท่านั้นรวีก็เห็นถึงความเมตตาเปี่ยมล้นแผ่ออกมาจากดวงตาเป็นประกายจ้านั้น แล้วรวีพิรุณก็เห็นใครอีกคนอยู่ใกล้กัน

โอ...นั่นท่านพี่มิใช่หรือ

ท่านพี่นอนแน่นิ่งเคียงข้างกับรวี ท่านพี่เป็นอะไรไปแล้ว

รวีพิรุณขยับจะเข้าไปหา แต่แล้วกลับสัมผัสถึงม่านบางๆ ทว่าแข็งแกร่งยิ่งเหลือกั้นไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้ได้

เสียงอบอุ่นเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้น

“มักกะลีผลหนุ่มน้อยเอ๋ย อย่าเพิ่งร้อนใจ จงยืนดูอยู่ตรงนั้นเถิด”

บัดนี้รวีพิรุณไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งนั้น เหตุไฉนเขาจึงมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วเหตุใดจึงมีร่างของเขานอนอยู่ตรงนั้น นอนอยู่เคียงข้างท่านพี่ ท่านพี่กำลังหลับตาพริ้มเชียว รวีอยากไปหาท่านพี่

บุรุษผู้นั้นวางมือลงบนหน้าอกของท่านพี่ รวีพิรุณมองเห็นไม่ชัดนักว่าเขาทำอะไร แต่แล้วบุรุษผู้นั้นก็ยกฝ่ามือขึ้น แล้ววางลงบนหน้าอกของร่างรวีที่นอนเคียงกับท่านพี่

“อ๊ะ...”

รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าถูกแรงมหาศาลผลักให้ถลาไปด้านหน้า ผ่านม่านแข็งแกร่งนั้นเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

พลันบัดนั้น...เจ้ามักกะลีผลก็รู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่าง กลิ่นบางอย่าง สัมผัสบางอย่าง

อะไรบางอย่างซึ่งเป็นอื่นไปไม่ได้...นอกจากท่านพี่

ความอุ่นของกอดท่านพี่ กลิ่นของท่านพี่ มันมีความสดชื่น ปลอดโปร่งดั่งเช่นวิมานของท่านพี่นี่ไง รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าตนกำลังฝังใบหน้าลงไปบนแผ่นอกของท่านพี่ เกลือกใบหน้าอยู่ในความกำยำนั้น สูดดมกลิ่นอันอบอุ่นของท่านพี่ สัมผัสถึงความแข็งแกร่ง และใจดีนั้น

***

ลมเย็นปะทะใบหน้า รวีพิรุณมองเสี้ยวหน้าคมสันของสหเดชะ อดรู้สึกมิได้ว่าคนผู้นี้ดูแปลกไปกว่าเก่า แต่ไม่รู้ว่าแปลกอย่างใด อย่างไรก็ตาม...รวียิ้มกว้างเต็มใบหน้า โผเข้าไปโอบรอบคอของท่านพี่ด้วยความดีใจ

ขอเพียงได้อยู่กับท่านพี่ ขอเพียงไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนน่าแสยงเกล้าเช่นนั้นก็พอแล้ว

เขาจำได้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ก็ดีใจยิ่งแล้วที่ได้เห็นสหเดชะ ความรู้สึกว่างโหวงในอกหายไปหมดแล้ว และยิ่งเต็มตื้นมากขึ้นเมื่อสหเดชะพุ่งเข้ามากอดไว้แน่น ถ่ายทอดความรู้สึกให้รับรู้ผ่านอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น

มาบัดนี้พวกเขาพุ่งตัวออกมาจากวิมานลอยฟ้าของสหเดชะ รวีพิรุณหันกลับไปมอง จึงเห็นความน่าตกใจบางอย่าง

เกาะวิมานของสหเดชะยามนี้สั่นสะเทือน เศษหินเศษดินเริ่มแตกกะเทาะออกจากตัวเกาะ มีรอยปริแยกปรากฏขึ้นมากมาย ราวกับถูกบางสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าเกาะนั้นพุ่งชน มันสั่นสะเทือนอยู่นาน กระทั่งขอบเกาะด้านหนึ่งเริ่มเอียงกะเท่เร่เค้เก้อยู่อย่างนั้น แล้วเกาะอันใหญ่โตก็ค่อยๆ ลอยต่ำลงไป

“ท่านพี่...บ้านท่านพี่” รวีพิรุณร้องออกมาเสียงดัง

สหเดชะมิได้เอ่ยคำ เพียงแต่กอดกระชับน้องไว้แน่น กัดกรามเป็นสัน จ้องมองเกาะวิมานของตนค่อยลอยต่ำลงไปสู่พื้นดินเรื่อยๆ ดวงตาของเขาแข็งกร้าวแดงก่ำ

“บ้านของเรา...” สหเดชะเอ่ยเสียงเครือ

“ทำไม บ้านถึง...” รวีเสียงแผ่ว

“สหเดชะ” ภมรธราเอ่ยแทรกขึ้นมา “ไปวิมานเราก่อนเถิด”

“ไม่”

วิทยาธรหนุ่มเอ่ยปฏิเสธ อีกฝ่ายถอนฉิวยิ่งแล้ว “เหตุใดท่านจึงดื้อด้าน หุนหันพลันแล่น ไม่คิดก่อนทำ เชื่อคำเราสักครั้งเถิด ไปที่วิมานเราก่อน จะทำอะไรค่อยคิดอ่านกันต่อไป”

“ไม่ได้ ภมรธรา เราจะไม่ไปวิมานท่าน เราจะไม่กวนท่านมากกว่านี้”

สหเดชะเพ่งมองเกาะอันเคยใช้เป็นที่พักพิง บัดนี้ค่อยๆ ปริแยกออกจากกัน ปราสาทของเขาก็ดี ทุ่งดอกไม้ก็ดี ป่าผลไม้อันหวงแหนก็ดี บัดนี้ป่นปี้กลายเป็นภัสมธุลีหมดเสียแล้ว

เกาะวิมานของวิทยาธรนี้เป็นของทิพย์ หากจะสลายลงไปก็ต้องคืนสู่ความว่างเปล่านั่นเอง ดังนั้นเมื่อเศษหินเศษดิน ต้นไม้ใบหน้าอันหาดินสำหรับเกาะรากไว้ไม่ได้เสียแล้วนั้น จึงร่วงหล่นลงไปสู่พื้นดิน ทว่าก่อนจะแตะพื้นดิน...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเกาะแห่งวิทยาธรสหเดชะก็กลายสภาพเป็นเพียงเถ้าธุลี ลอยหายไปกับสายลม

“กระต่าย...กระต่าย!”

รวีพิรุณร้องออกมา พร้อมกับชี้นิ้วใหญ่

เห็นร่างเล็กๆ หลายตัวกำลังพุ่งลงไปด้านล่าง พวกมันกระเสือกกระสนเต็มที สหเดชะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพุ่งร่างออกไป
“รวี พี่จะเหาะเข้าไปนะ เจ้ารับพวกมันที”

“ดะ...ได้”

น้องพยักหน้า พี่จึงพุ่งเข้าไปหาร่างที่พยายามขยับกายต่อต้านแรงดึงลงสู่พื้นโลกนั้น สหเดชะพุ่งร่างพาน้องหลบหลีกก้อนหินใหญ่น้อยทั้งหลาย เข้าไปหาเจ้ากระต่ายที่อุตส่าห์ไปขอมาจากวิมานของภมรธรา

รวีพิรุณเอื้อมมือออกไปเมื่อเข้าไปใกล้ และด้วยความอัศจรรย์ เขาก็สามารถโอบรับเอาพวกมันเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้ เจ้าสัตว์ตื่นภัยตัวสั่นงันงก เมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดนี้ก็ราวกับจะตะลึงไป

สหเดชะพุ่งลงสู่พื้นโลก พอเท้าแตะพื้นเจ้ารวีก็รีบปล่อยให้กระต่ายที่ช่วยไว้นั้นลงไปอยู่กับพื้น พวกมันตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอหลุดพ้นเจ้าคนร่างผอมมาได้ก็พากันกระโดดแผล็วหายไปในพุ่มรกพงชัฏด้วยความรวดเร็ว

“อ๊ะ...เดี๋ยว เจ้ากระต่ายน้อย จะไปไหน”

ผวาร่างจะตามไป ทว่าสหเดชะก็คว้าแขนไว้ได้ก่อน รวีหันมามองราวกับจะวิงวอนท่านพี่ แต่แล้วก็เห็นแววตาเศร้าหมองในดวงตาท่านพี่ รวีพิรุณจึงเงียบเสียงลง ขยับเข้าไปหาโดยดุษณี

สองร่างยืนอยู่ ณ ที่สูงแห่งหนึ่ง มองดูเกาะวิมานอันใหญ่โตแตกสลายกลายเป็นเพียงหินก้อนเล็กน้อย ไม่เหลือภาพความใหญ่โตเช่นเคยเป็นอีกแล้ว

บัดนี้วิมานที่เคยลอยฟ้า ก็กลับลอยลงสู่ดิน

กลับไปเป็นหนึ่งกับทุกสรรพสิ่งเช่นเดิม

รวีพิรุณมองเสี้ยวหน้าและสันกรามอันแข็งแกร่งของสหเดชะ คล้ายกับเข้าใจถึงความรู้สึกบางอย่าง จึงก้มลงมองมือของวิทยาธรซึ่งกำไว้แน่นเป็นกำปั้น บัดนี้กำลังสั่นระริก

รวีพิรุณเงยขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจบางอย่าง แม้ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็คงไม่ผิดแน่ที่อีกฝ่ายกำลังเศร้าอย่างเหลือแสน รวีเจ้าจึงกอบกำมือของพี่ไว้ในมือตนทั้งสองข้าง เอามือเล็กๆ ขาวนวลนั้นวางทาบกับกำปั้นพี่ ก่อนจะค่อยๆ คลายมันออก แล้วสอดมือข้างหนึ่งของตนเข้าไปสอดประสานนิ้วทั้งห้ากับท่านพี่ จากนั้นจึงวางทาบมืออีกข้างไว้อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับบีบเบาๆ

สหเดชะก้มลงมองคนตัวเล็กที่มอบรอยยิ้มบางๆ ตอบกลับมา

รวีขยับเข้าไปใกล้ ขณะมือกุมมือพี่ไว้ และเอียงตัวเข้าไปหา พิงร่างไว้กับร่างกำยำนั้น ก่อนจะมองซากสุดท้ายของวิมานแห่งวิทยาธรนามว่าสหเดชะสลายกลายเป็นละอองธุลีสู่พื้นดิน

***

“สหเดชะ ท่านจะไปไหน”

ภมรธราลอยตัวตามไป เมื่อเห็นสหเดชะจูงมือมักกะลีผลคนนั้นเดินเข้าไปในระหว่างต้นไม้ใหญ่

“ตอนนี้เรามิใช่พวกพ้องพงศ์เดียวกับท่านแล้ว เราอยู่พิทยานครอีกต่อไปไม่ได้”

ภมรธราถอนหายใจ “ไฉนไม่ปรึกษาเราก่อน ท่านไม่คิด...”

“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วคงกลับไปแก้ไขไม่ได้”

“ท่านช่างหัวแข็งนัก สหเดชะ” ภมรธราลอยไปขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ “แล้วจากนี้จะคิดอ่านทำการใด”

“เราจะออกไปจากที่นี่ก่อน”

“แล้วจากนั้นเล่า...”

“...”

สหเดชะเงียบคำ ชำเลืองมองมักกะลีผลแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ภมรธรา ท่านเป็นสหายเรานับแต่เราลืมตาตื่นในพิทยานคร มาบัดนี้...วิมานเราสูญสิ้น ท่านยังอาทรเรามิต่างอันใดกับพี่น้อง หากวันใดมีโอกาสตอบแทน เราจะยินดีนัก ท่านดีต่อเรายิ่งแล้ว”

“โธ่...สหเดชะ”

ภมรธราครวญคำออกมาด้วยระท้อในใจ สิ้นคำทัดทาน

“ท่านไปที่วิมานเราก่อนมิดีกว่าหรือ”

“เราอิ่มใจที่ท่านช่วยเหลือ แต่เราไม่อยากให้ท่านเดือดร้อนไปกับเราด้วย จำต้องขอลาแล้ว”

“หมู่เทือกวินธัยใหญ่กว้าง อันตรายจากสัตว์ป่าดุร้ายมีมากเหลือ เกลือกว่าท่านเดินทางท่อมๆ กลางป่าเช่นนี้ ไปปะกับสัตว์วิเศษดุร้ายเข้า มิเป็นอันตรายหรือ”

“เรามีพระขรรค์...ของท่าน...จักเป็นอาวุธคอยคุ้มครองกาย”

ภมรธราไม่อยากเห็นสหายผู้น้องต้องจากไปเช่นนี้ คิดหาถ้อยคำห้ามปราม ทว่าเมื่อมองใบหน้าเจ้าสหเดชะก็เห็นเพียงแววตาแน่วแน่ไม่ระย่อต่อภยันตรายใด จึงจนแก่คำพูด ต้องเงียบเสียงไว้ นอกจากสัตว์วิเศษดุร้ายนานาแล้ว ในป่านี้ยังมีสิ่งอื่นที่น่ากลัวกว่าสัตว์อีก ซ้ำยังวิมานที่ลอยเลื่อนสู่ดิน และผิวตรงแขนของสหเดชะที่ภมรธราได้ลองสัมผัสดู บอกให้ภมรธรารู้แน่ว่าหากเจอกับ...สิ่งอื่น...ที่มีฤทธิ์เข้าละก็ ไม่ตัวตายก็เต็มกลืน

“เช่นนั้นให้เราไปกับท่านและหนุ่มน้อยผู้นี้เถิด”

“เราขอรับความหวังดีของท่านไว้ ภมรธรา แต่เราไม่อยากให้ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่านี้ ท่านมิเห็นหรือ...” สหเดชะกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ “วิมานเราเป็นเช่นไร เรากับท่านอยู่กันคนละโลกแล้ว อย่าเอาตัวท่านมาเกี่ยวกับปัญหาของเราเลย”

ภมรธรามองนิ่งอยู่ มองสหเดชะทีหนึ่ง มองหนุ่มน้อยมักกะลีผลนั้นทีหนึ่ง ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยคำ “ขอพระวิษณุช่วยอำนวยชัยให้ท่าน”

แล้วภมรธราก็หลีกทางให้ สหเดชะจูงมือรวีพิรุณให้เดินเคียงกันเข้าไปในหมู่ไม้ใหญ่สูง เฝ้ามองอยู่เช่นนั้นจนเห็นแผ่นหลังของสองคนหายลับไปกับหมู่ไม้ ภมรธราจึงหันหลังเหาะกลับวิมานตน ได้แต่เฝ้าสวดอ้อนวอนองค์พระนารายณ์ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองมิให้สองคนนั้นมีภัยตกต้องถึงตัว

***

สองพี่กับน้องเดินทางตามด่าน แม้หัวใจจะหนักอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งประสบ ทว่าก็ยังดียิ่งแล้วมิใช่หรือ ที่น้องไม่เป็นอะไร สหเดชะค่อยฟื้นคืนความสุขในอก แม้ต้องแลกด้วยสิ่งใด ก็ขอให้ได้มีน้องเคียงใกล้

เขาเห็นน้องเงียบไปก็กังวล เกรงว่าตนจะเป็นต้นเหตุให้เจ้าต้องหม่นหมอง น้องเพิ่งผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสมาเขาจะต้องคอยคุ้มครองให้น้องไม่เป็นอะไร

ทางด่านกลางป่านี้เกิดจากสัตว์ป่ามากมีเดินท่องมาเพื่อหาดินโป่งซึ่งเป็นแหล่งเกลือ จึงพออาศัยเส้นทางนี้ลัดเลาะผ่านไปท่ามกลางไม้ใหญ่ไพรสูงขึ้นแน่นขนัดได้

สหเดชะเดินพลางชี้ชวนให้น้องเจ้าได้ชมดอกไม้ป่านานาพรรณ ซึ่งขึ้นอยู่ในพงหญ้าบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง หรือเป็นดอกของไม้ใหญ่ต่างๆ ชูช่อออกมาล่อภู่ผึ้งให้ลิ้มรสน้ำหวาน ปะเหมาะเข้ากับต้นไม้ใดออกลูกสล้างดูหวานฉ่ำ ก็กระโดดคว้าเอามาป้อนให้ถึงปากน้อง เจอะเข้ากับห้วยละหานธารน้ำก็ปลิดใบไม้มาทำเป็นจอกตักน้ำเย็นใสขึ้นมาให้น้องได้ดื่มชุ่มคอ เหลือเท่าใดตนจึงได้กิน น้องอิ่มท้องแล้วตนจึงกินบ้าง

รวีพิรุณตื่นใจกับป่าใหญ่นี้ ทว่าบางครั้งก็ก้มหน้างุด คล้ายจะซ่อนสีหน้าอึดอัดกังวลจากพี่ แต่แล้วก็ทำเสียงดีใจยามเห็นสัตว์ป่าตัวน้อยบ้าง ตัวใหญ่บ้าง ยามหนึ่งขณะพวกเขากำลังเดินไปอย่างเงียบเสียง เพราะไม่ได้คุยอะไรกัน สหเดชะก็เหลือบไปเห็นสัตว์บางอย่างกำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งนัก จึงสะกิดรวีให้หยุดเดิน เมื่อฝ่ายนั้นหันมามองอย่างสงสัยเขาก็เอานิ้วแตะริมฝีปาก เป็นเชิงบอกให้ไม่กระโตกกระตาก แล้วพยักพเยิดให้น้องมองไปทางเจ้าสัตว์ตัวนั้น

น้องมองตาม แล้วดวงตาสงสัยก็เบิกกว้างขึ้น

เจ้าสัตว์ตัวนั้นเป็นกวางหนุ่มตัวหนึ่ง กำลังก้มลงเคี้ยวหญ้าเขียวที่พื้น แล้วสักหน่อยก็ยืดคอขึ้นไปกินใบไม้อ่อนที่ต่ำพอลิ้นจะกวัดเข้าปากได้ บนหัวของมันมีเขาเป็นกิ่งก้านสาขามากมาย มองดูเช่นนี้งดงามยิ่งนัก

รวีพิรุณสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วร้องออกมา “กะ...กวางน้อย!”

น้อยเสียเมื่อไรล่ะ สหเดชะส่ายหัว

กวางตัวนี้ไม่ได้น้อยเลยสักนิด ยืนเต็มเหยียดแล้วสูงเท่าสหเดชะด้วยซ้ำ

เขาเห็นน้องร้องออกมาก็จะเอ่ยห้ามไม่ให้ส่งเสียงอีก ทว่าช้าเกินการณ์เสียแล้ว ด้วยยินเสียงร้องแปลกประหลาด เจ้ากวางไพรจึงโกยอ้าว เปิดแนบหายไปตรงทางด่านสายหนึ่ง

“อ้าว” น้องทำเสียงเสียดมเสียดาย “ไปซะแล้ว”

“พี่บอกไม่ให้รวีทำเสียงดังไม่ใช่หรือ กลัวมันจะตื่น”

“ท่านพี่ไม่ได้บอกเสียหน่อย” น้องเถียง

“พี่บอกซี พี่เอานิ้วแตะปากอย่างนี้ๆ” สหเดชะทำท่าทางให้ดู

รวีพิรุณทำปากยื่น “ก็น้องดีใจนี่ กวางน้อยตัวนั้นมีกิ่งไม้อยู่บนหัวด้วย กิ่งไม้เยอะแยะไปหมดเลย”

สหเดชะส่ายหัวอย่างระอา ยังจะกวางน้อยอีกหรือ? เขาเอ่ยออกมาอย่างจนใจปนเอ็นดู “เอาเถอะ ป่าใหญ่ไพรกว้างเช่นนี้ ขี้คร้านเจ้าจะได้เห็นจนเบื่อ”

แล้วสองน้องพี่จึงออกเดินอีกครั้ง ทว่าพอเดินได้สักระยะหนึ่ง สหเดชะก็สังเกตว่ารวีพิรุณเริ่มเดินกะเผลก จึงจับไหล่น้องให้หยุด เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ จับพิจารณาเท้าของน้องเจ้า แล้วจึงเห็นว่ามีแผลจากหญ้าคมบาด และหนามไหน่ปักแทงจนเลือดซิบ

“เจ็บเท้าหรือไม่”

“รวีเจ็บ”

“แล้วไยจึงไม่บอกพี่เล่า ฝืนเดินทำไม”

“รวีเดินได้”

“อย่าดื้อสิ มา...พี่จะให้เจ้าขี่หลัง”

“ท่านพี่จะหนักนะ รวีตัวนั้กหนัก”

“เจ้าน่ะหรือตัวหนัก เบาอย่างนี้พี่อุ้มได้ทั้งวันทั้งคืน”

เขามองหน้าน้องพลางเอ่ยประโยคนั้น รวีอ้าปากหวอน้อยๆ มองใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่ แล้วก็พลันเกิดสีแดงเรื่อตรงแก้มขาว ปากเล็กๆ เป็นกระจับก็ยื่นออกมา หันหน้าหนีไม่มองหน้าพี่ราวกับแหนงหน่ายกันเสียแล้ว

“พี่พูดอะไรไม่ถูกใจหรือ”

“ท่านพี่...ท่านพี่...” รวีอึกอัก

“ท่านพี่อะไร” สหเดชะดวงตาเป็นประกาย

“ท่านพี่...บ้า!” น้องแหวออกมา

“อ้าว ทำไมล่ะ”

เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ขณะนั่งหันหลังยองๆ ให้น้องขึ้นมาขี่หลังก็ยังหัวเราะหึๆ กับตัวเองเบาๆ รวีพิรุณนึกหมั่นไส้นัก จึงฟาดเข้าที่ไหล่กำยำทีหนึ่ง

“ตีพี่ทำไม รวีเป็นคนใจร้ายแล้วหรือ”

“ไม่ร้าย ท่านพี่นั่นแหละร้าย”

สองพี่กับน้องเดินทางกลางเถื่อนไปไกล หนทางไกลเพียงใดไม่ย่อระยั่น ไม่น่ากลัวสำหรับสหเดชะสักนิด เขายอมบากบั่นฟันฝ่าความยากลำบากเพื่อท้ายที่สุดแล้วจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับรวีพิรุณเพียงสองคน

เขาไม่ห่วงแล้วละเรื่องอายุขัยของรวีพิรุณ ก็มิใช่ว่าคำสวดอ้อนวอนของเขาเป็นจริงแล้วล่ะหรือ พระนาสัตยะได้ทำให้สิ่งที่เขาขอเป็นจริงแล้ว เขารู้ในอก เขาสะทกสะท้อนในใจ สิ่งที่เสียไปก็คุ้มแล้วกับสิ่งที่ได้มา เขาจับขาน้องให้กระชับเข้ากับสะบักเอวของตนให้แน่นขึ้น เร่งเดินไปตามทางด่าน หรือลัดเลาะไปตามหมู่ไม้ใหญ่สูง

ทั้งพี่และน้องไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลว่าทำไมสหเดชะจึงเลือกจะใช้วิธีเดินท่องป่าแทนที่จะร่ายพระเวทใช้พระขรรค์เหาะไป ซึ่งจะต้องเร็วกว่ามาก ยามนี้พระขรรค์เงินด้ามนั้นซึ่งภมรธรามอบให้ก็ยังเหน็บอยู่ข้างเอวของสหเดชะ แต่เจ้าตัวดูจะไม่อยากใช้มันเสียเลย

รวีพิรุณสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดท่านพี่จึงไม่เหาะไป แต่มีอะไรบางอย่างในใจที่กล่าวเตือนว่าอย่าเอ่ยถามเลย เงียบไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นการดี รวีพิรุณซึ่งในยามปรกติจะโพล่งถามเรื่องที่สนใจหรืออยากรู้ทันที แต่ครานี้กลับเลี่ยงจะเอ่ยถึง

ช่วงหนึ่งรวีพิรุณกอดกระชับวงแขนรอบลำคอพี่แน่นเข้า วางแก้มลงแนบกับลำคอแข็งแกร่งของพี่ ลมหายใจร้อนๆ พ่นใส่ผิวของพี่

สหเดชะตั้งหน้าตั้งตาเดิน ทว่าในใจนั้นตื้นตันยิ่งนัก

ลมหายใจของน้องนี่ปะไร บอกว่ามันยิ่งใหญ่เพียงไหนที่ตอนนี้พวกเขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็เถอะ

***

ไกลเข้าไปในป่าใหญ่แห่งเทือกวินธัย พระสูรยาทิตย์ได้ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว สหเดชะและรวีพิรุณก็ลุถึงพื้นที่โล่งกลางหมู่ไม้แห่งหนึ่ง มันไม่ไกลจากลำธารสายหนึ่งนัก สหเดชะพบว่าตนไม่อาจเดินต่อได้อีกแล้ว จึงหาฟืนมาก่อไฟ และร่ายพระเวทบางบทที่ยังใช้ได้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเข้ามาย่ำกราย

หาผลหมากรากไม้เพื่อกินอิ่มหนำดับหิวแล้ว ก็ชวนมานั่ง เขาแบะขาออกเล็กน้อย แสดงท่าทางให้น้องมานั่งที่ตักของเขา เสร็จแล้วจึงใช้แขนโอบรอบเอวน้องไว้ กอดกระชับให้อุ่นอยู่ข้างกองไฟ กระซิบหยอกเย้าเล่นหัว

ค่ำคืนในป่าเย็นเยียบ น้ำค้างตกลงต้องใบไม้ ความเย็นยิ่งเย็นหนักเข้า กระนั้นน้องพี่ก็อุ่นอยู่ข้างกองไฟ

สหเดชะหล่นหลับเมื่อใดไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ค่อนคืนเสียแล้ว ด้วยได้ยินเสียงหนึ่งในโสต

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

เสียงนี้ปลุกให้เขาตื่นจากหลับ เสียงนกน่ารำคาญนี้ไม่เท่าใดดอก เพียงแต่บางอย่างทำให้เขาไม่อาจนอนต่อไปได้ สัญชาตญาณร้องขึ้นให้เขาต้องระวังตน

มีกลิ่นสาบสางรุนแรงฉุนจมูก ราวกับมันจะโอบคลุมกลุ้มรุมอยู่โดยรอบ ขณะนี้เขากอดน้องนอนหันหน้าเข้าหากองไฟ สหเดชะรู้สึกว่ากลิ่นนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน ขนอ่อนหลังคอลุกตั้ง จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปคว้าพระขรรค์กระชับมั่นไว้ในมือ แล้วผละจากตัวน้อง พลิกตัวไปอีกด้านซึ่งมืดดำไร้แสงไฟ

ใบหน้าหนึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงช่วงสุดแขนยื่น กำลังจ้องมองพวกเขา

สหเดชะแทบผงะ ทว่ามิได้แสดงอาการใดให้รู้ว่าตื่นตระหนก เขาจ้องมองใบหน้านั้นเขม็ง สู้สายตาไม่หลบหลีก

ใบหน้านั้นใหญ่โตโอฬารเหลือเกิน ใหญ่ราวกับหนองน้ำแห่งหนึ่ง มันมีดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากแดงราวกับเปียกไปด้วยเลือด เขี้ยวขาวโง้งราวกับเขี้ยวหมูป่างอกออกมาจากมุมปากทั้งสองด้าน สหเดชะเห็นร่างกายใหญ่โตด้านหลัง มันกำลังหมอบอยู่กับพื้น ร่างกายเอนไปกับแนวราบของพื้นดิน มือใหญ่มหึมาสองข้างยันพื้นไว้มั่น ใบหน้าต่ำเรี่ยดิน จ้องมองมาที่พวกเขาเขม็งอยู่ กลิ่นสาบสางยิ่งรุนแรงขึ้นอักโข

มันอ้าปากกว้างขึ้น ราวกับว่าปากของมันเป็นปากถ้ำ ภายในดำมืด คล้ายกับจะสามารถกลืนกินสัตว์ใดๆ เข้าไปได้ในคำเดียว เสียงร้องตกใจดังขึ้นจากทางด้านหลัง

รวีตื่นแล้ว!

น้องขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา ร่างสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ร่างกายของน้องเจ้าขาวโพลนในความมืด ใบหน้ามหึมานั้นนิ่งอยู่ ทว่าดวงตาหลุกหลิกกลับกลอกกลิ้งลงมาจับจ้องอยู่ที่ร่างตื่นตระหนกของรวีพิรุณ เสียงประหลาดคล้ายกับก้อนหินหลายร้อยลูกกลิ้งลงจากเขาสูงดังขึ้นมาจากภายในปากของสิ่งมีชีวิตใหญ่โตนี้

“เหะ เหะ เหะ” มันหัวเราะชอบใจ “เนื้อ...เนื้อหวานฉ่ำน่าอร่อย”

เพียงคืนแรกที่เข้าป่ามา ก็เจอะเข้ากับยักษ์โขมดแล้วหรือ!

****

ติดตามตอนต่อไปในวันจันทร์หน้านะคะ
แป้งจี่ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้นะคะ เลิฟเลย
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-05-2019 00:33:32
ยอมสละทิพย์วิมานกับบุญที่สั่งสมมาเพื่อน้อ :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-05-2019 15:03:44
จะร้องไห้เลย สงสารทั้งคนพี่คนน้อง แงงง ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยกันนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-05-2019 23:34:02
เขาคงมีบุญมีกรรมร่วมกันมา
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mijimaria ที่ 02-05-2019 01:23:05
ความรักของคนพี่ที่มีต่อน้องช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ยอมสละทุกอย่างเพียงเพื่อ ให้มักกะลีผลน้อยๆอย่างน้องรวีมีชีวิตอยู่ต่อ เอาใจช่วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-05-2019 11:51:19
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-05-2019 14:35:06
ขอให้ทั้งคู่สนุกกับการผจญภัยและรอดพ้นอันตราย
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-05-2019 00:30:46
มีความ เพชรพระอุมา สนุกดีจ้า
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-05-2019 07:27:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 06-05-2019 23:49:43
 o22

ยักษ์ ท่านพี่ตอนนี้ไม่รู้จะสู้ไหวหรือเปล่า

ปกป้องน้องรวีด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 07-05-2019 00:20:03
ึสนุกมากก
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวสวย ที่ 07-05-2019 07:10:47
 o18 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 13-05-2019 21:39:19




บทที่ 10



เสียงหัวเราะ เหะ เหะ ของยักษ์โขมดดังเสียดเข้ามาในโสต ไกลออกไปยินเสียงฝูงนกแตกฮือออกจากรังนอน

รวีพิรุณมือเย็นเฉียบด้วยน้ำค้างกลางดึก มือเล็กๆ นั้นสั่นเทา กอดกระชับกับแขนของสหเดชะราวกับจะคว้าไว้เป็นที่พึ่ง

สหเดชะมิได้หันกลับไปมอง ทว่าใช้มือข้างที่ว่างจากการกุมพระขรรค์ประสานมือกับรวีพิรุณ บีบเบาๆ ให้รู้ว่าอย่ากลัวไปเลยน้องรัก อยู่กับพี่ พี่จะคุ้มครองเจ้าเอง

รวีน้องเจ้ากำเนิดมาในแดนฟ้าป่าหิมพานต์ก็เป็นเขตอันเคยเป็นที่พระโพธิสัตว์ทรงเคยมาบำเพ็ญเพียร ไฉนจะเคยเจอกับสิ่งมีชีวิตที่เสพเลือดเนื้อเป็นมังสาหารเช่นนี้เล่า ไม่แปลกเลยที่น้องเจ้าจะกลัวจนตัวสั่น สหเดชะให้อกใจอ่อนยวบ ด้วยสงสารน้องต้องมาเจอกับเจ้ายักษ์ป่าจอมตะกละเช่นนี้

ยักษ์โขมดเป็นรากษสพวกหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าเพียงเดียวดาย คอยจับคนหรือสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร หากมีสิ่งมีชีวิตใดหลงมาย่อมตกเป็นเหยื่อโดยไม่อาจหลบหนี ด้วยยักษ์โขมดมีอำนาจมนตราของผีป่า และมีพละกำลังของยักษ์ การจะรับมือกับพวกมันได้จำต้องเป็นผู้มีพระเวทพอประมาณ

สหเดชะจ้องใบหน้าใหญ่โตของยักษ์โขมดโดยไม่กะพริบตา ยามนี้เจ้ายักษ์จ้องใบหน้าหวาดกลัวของรวีพิรุณเขม็งอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสหเดชะแม้แต่น้อย แต่เขารู้ว่าในอึดใจนี้แหละมันจะต้องลงมือ

แล้วทันใดนั้นเอง หน่วยตาใหญ่โตราวกับไข่สัตว์เลื้อยคลานบางอย่างก็พลิกกลอกกลับมาจับอยู่ที่ใบหน้าของสหเดชะด้วยความรวดเร็ว ชั่วอึดใจนั้น สหเดชะก็ปล่อยมือน้องเจ้า แล้วกอดเข้าที่เอวน้อง กอดกระชับให้แน่น แล้วกระโดดขึ้นสูงจากพื้น ทันเวลาพอดีกับที่วัตถุบางอย่างพุ่งเข้ามาหา

เจ้ายักษ์โขมดฟาดฝ่ามือเข้าใส่สองร่างตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว เสียงดังสนั่นครื้นครั่นเมื่อมือของมันฟาดเข้ากับพื้นดิน ฝุ่นหินเศษดินปลิวกระจายฟุ้ง มันมองพื้นดินว่างเปล่าตรงนั้นอย่างฉงนก่อนจะหันหลังกลับไปมอง จึงเห็นร่างสองร่างลอยอยู่กลางอากาศ มันคำรามลั่น

“เนื้อ...มาให้ข้ากินเสียดีๆ”

สหเดชะเม้มปากเป็นเส้นตรง แม้ฝืนไม่ใช้พระขรรค์ของภมรธราเท่าใด ทว่ายามนี้ศักดิ์ศรีไม่อาจป้องกันตัว ยิ่งมีคนต้องปกป้องด้วยแล้ว เขาก็จำต้องใช้อาวุธวิเศษที่มี

เขาร้องบอกรวีพิรุณด้วยน้ำเสียงซึ่งพยายามทำให้มั่นคง

“เกาะหลังพี่ไว้ รวี...เกาะให้แน่น”

น้องราวกับจะเข้าใจสถานการณ์ จึงรีบเอื้อมมือมาวางบนไหล่แข็งแรงของสหเดชะ แล้วโถมตัวเข้ามาแนบกายกับแผ่นหลังพี่

“ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามปล่อยเด็ดขาด”

สหเดชะคิดใคร่ครวญ แม้ว่าในลักษณะนี้อาจขลุกขลักในการรับมือบ้าง ทว่าเขารู้ว่าในชั่วอึดใจที่ปล่อยให้รวีห่างจากกายเขา เจ้ายักษ์โขมดรากษสตนนี้จะต้องพุ่งเข้าไปหารวีแน่ๆ

เขาท่องบ่นมนตราที่ยังตรึงอยู่ในความจำ พระขรรค์พลันเรืองแสงขึ้นมา เป็นสีแดงเจิดจ้าราวกับติดไฟลุก

ยักษ์โขมดหมุนร่างราวกับแล่นลม มันวาดมือออกมาเป็นวงกว้าง กวาดเอาต้นไม้ต้นไร่ในบริเวณนั้นกระจุยกระจายไปหมด เสียงการเคลื่อนไหวตัวของมันราวกับพายุใหญ่พัดผ่านป่า ในเมื่อมันเสียงดังขนาดนี้ สหเดชะประหลาดใจเหลือเกินว่าเหตุใดตนจึงไม่ทันสังเกต เอาแต่หลับเฉย กระทั่งมันเข้ามาใกล้แล้ว

ฝ่ามือใหญ่ราวกับโขดหินยักษ์ฟาดเข้าหาร่างสองร่างลอยอากาศ สหเดชะเบี่ยงตัวหลบเร็วพลัน แล้วฟาดพระขรรค์โชติแสงเพลิงออกไป

ฉัวะ

คมพระขรรค์ฟาดเข้ากับฝ่ามือของมัน เลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมา นับเป็นแผลที่ลึกเอาการ เจ้ายักษ์โขมดร้องโฮกราวกับเสือเจ็บ

“กิน...ข้าจะกินเจ้า”

มันร้องอย่างโกรธแค้น ไฟในดวงตาลุกพรึบ อ้าปากกว้าง เขี้ยวขาวโง้งยิ่งน่ากลัว มันกระโดดขึ้นจากพื้น ราวกับว่าร่างมหึมานั้นเบาหวิวเสียเหลือเกิน

ความรวดเร็วของร่างใหญ่โตนั้นทำให้สหเดชะประหลาดใจ ไม่นึกว่ายักษ์โขมดซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงในแดนฟ้าจะเก่งกาจและเคลื่อนไหวไปมาได้ปราดเปรียวเช่นนี้

เจ้ายักษ์โขมดอ้าปากกว้าง พุ่งเข้าใส่สหเดชะ หวังจะเขมือบกินร่างสองร่างนั้นให้หมดในคำเดียว ทว่า ‘เนื้อ’ สองร่างนี้ก็ไวเหลือเกิน เจ้ายักษ์โขมดจึงงับได้เพียงอากาศ มันพุ่งชนเข้ากับหมู่ไม้แห่งหนึ่งจนกระจุยไป ในชั่วพริบตามันก็หันกายกลับมา แววตามุ่งร้ายหรี่เล็ก แล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง ปากสีแดงเปรอะไปด้วยเลือดอ้ากว้างหมายมุ่งที่สองร่างเล็กจ้อย

สหเดชะรออยู่แล้ว ในชั่วพริบตานั้นเอง เขาก็วาดขาออกไป แล้วฟาดเข้าใส่ใบหน้าใหญ่โตนั้นเต็มแรง

ขาของสหเดชะฟาดเข้ากับเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของยักษ์โขมดสุดแรง เขาได้ยินเสียงลั่นกร๊อบครั้งหนึ่ง แต่รู้ว่ามิใช่ขาของตน ราวกับช่วงเวลานั้นหยุดนิ่ง แล้วใบหน้าเจ้ายักษ์โขมดเริ่มบิดเบี้ยว ปากซึ่งอ้ากว้างนั้นเผละออก ใบหน้าทั้งหน้าหันไปอีกทาง แล้วร่างอันใหญ่โตของมันก็ลอยละลิ่วไปกระแทกกับหมู่โขดหินด้านหนึ่ง

หินภูเขาร่วงกราวแหลกเป็นจุณ ผงคลีคลุ้งไปหมด เจ้ายักษ์โขมดนอนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับกาย ส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดออกมา มันลูบคลำใบหน้าตนเองด้วยรู้สึกราวกับว่าบางอย่างหายไป แล้วทันใดนั้นเอง มันก็แผดเสียงด้วยความโกรธแค้น ปรากฏว่าเขี้ยวขาวโง้งของมันหักไปข้างหนึ่ง ก็ด้วยแรงเตะของสหเดชะนั่นเอง

มันไม่รอช้าสักนิด พอแผดเสียงคำรามโกรธแค้นแล้วก็พุ่งร่างออกมาราวกับธนูหลุดจากแล่ง ฟาดฝ่ามืออันมีกรงเล็บแหลมคมออกมาด้วย

“จับให้มั่นนะรวี” สหเดชะเอ่ยออกมา และรับรู้ถึงแรงกอดของน้อง

เขาพุ่งเข้าไปหามือใหญ่ของยักษ์นั้น แล้วเบี่ยงลงด้านล่างด้วยความรวดเร็ว มือเจ้ายักษ์พุ่งออกมาแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนทิศทางได้ จังหวะที่มันเห็นว่าสหเดชะเปลี่ยนทิศทางนั้นเอง มันก็รู้สึกถึงความร้อนวูบหนึ่งวาดผ่านใกล้ๆ แล้วเห็นร่างของสหเดชะลอยสูงขึ้นไปในอากาศ มันคิดจะตามไป ทว่ากลับต้องร้องออกมา ด้วยรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

มือข้างหนึ่งของมันขาดบิออกมาตรงบริเวณข้อมือ หล่นลงไปคลุกอยู่กับพื้น เลือดสีขุ่นข้นพุ่งกระฉูดออกมาราวกับสายธาร มันกุมแขนกุดด้วนข้างนั้นพลางแผดเสียงร้องโหยหวน น้ำหูน้ำตาไหลออกมาจนเปื้อนใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวนั้น

มันคู้ตัวลงพลางกุมแผลบนแขนกุดด้วนข้างนั้นไว้ สะอื้นฮักๆ ราวกับเป็นเด็กตัวน้อยๆ

สหเดชะลอยตัวอยู่ห่างออกมา เขาตะเบ็งเสียงให้มันได้ยิน

“ยักษ์ป่า จงไปเสียจากที่นี่เสีย เราไม่อยากเอาชีวิตเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังขืนคิดร้ายกับพวกเราอีก อย่าหาว่าเราไม่เตือน จงไปเสีย!”

เจ้ายักษ์โขมดป่าสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด มันส่งเสียงครืดๆ จากในร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าเกรอะน้ำตาขึ้นมามองหน้าสหเดชะอย่างพยาบาท แล้วใบหน้าซึ่งเหลือเพียงเขี้ยวข้างเดียวก็หันไปอีกทาง ก่อนกระโดดหายเข้าไปในป่า กลิ่นสาบสางของมันก็หายไปด้วย

สหเดชะเห็นเหตุการณ์คลี่คลายลงบ้าง จึงรีบพารวีพิรุณเหาะออกมาจากบริเวณนั้น เพื่อมองหาที่แรมคืนที่ใหม่

ห่างออกมาจากที่แห่งนั้นระยะหนึ่ง มีพื้นที่โล่งเล็กๆ ในระหว่างหมู่ไม้ ด้านหนึ่งเป็นเนินสูงขึ้นไปล้วนอุดมด้วยโขดหิน สหเดชะเห็นว่าพอจะใช้เป็นที่กำบังได้บ้าง จึงร่อนกายลงไป ณ ที่ตรงนั้นทันที

“รวี เป็นอย่างไรบ้าง”

เขาดึงร่างน้องเข้ามาใกล้ รวีใบหน้าซีดเผือด ร่างไม่สั่นแล้ว ทว่าก็ยังเห็นได้ชัดว่ายังกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ตัว...ตัวอะไรน่ะ ท่านพี่”

น้องเอ่ยออกมาเสียงสั่น

“ยักษ์ป่า ยักษ์อันธพาล”

“ยักษ์หรือ เป็นยักษ์ไม่ดีหรือ”

“เป็นยักษ์ไม่ดี” เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา มองหน้าน้อง พลางปัดเศษดินออกจากดวงหน้าขาวผ่องนั้น “พี่สั่งสอนมันไปแล้ว”

“ยักษ์...จะกินเราหรือท่านพี่”

“ไม่หรอก ตอนนี้กินไม่ได้แล้ว พี่อยู่ทั้งคน...จะปล่อยให้มันกินเราได้อย่างไร”

เขามอบรอยยิ้มอบอุ่นให้น้อง หยิบปอยผมกลุ่มหนึ่งทัดหูน้องให้ นิ้วลูบไล้ผิวแก้มนวลนั้นเล่นอย่างเอ็นดู “พี่ไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรรวีเด็ดขาด”

เขาจับจูงน้องให้มานั่งใต้ต้นไม้หนึ่ง แสงจันทร์สาดส่องพอมองเห็นได้รางๆ เขาจับตรงนั้น ดูตรงนี้ ด้วยกลัวว่าในระหว่างที่ต่อสู้กับเจ้ายักษ์โขมดไพรอยู่นั้นจะพลั้งพลาดให้น้องได้รับบาดเจ็บ ทว่าพอเห็นน้องเจ้าไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ ก็เบาใจ

สหเดชะเด็ดใบไม้ใบใหญ่มาวางปูให้รวีได้นั่งลงพักผ่อน เขาก่อไฟขึ้นมาเพื่อให้ความอุ่น ก่อนจะนั่งลงด้วยกัน ดึงร่างน้องให้มานั่งกอดก่าย ซุกร่างเพื่อแบ่งปันไออุ่นในคืนหนาว

เขากลับมาคิดดูแล้ว การเดินทางในป่าแถบถิ่นวินธัยนี้อาจไม่ปลอดภัยสำหรับรวีพิรุณนัก หากเขามาตัวคนเดียวคงไม่ห่วงอะไรมาก แต่น้องไม่มีวิชาใดๆ ไว้ป้องกันตัวเลยสักนิด

เขานี่ช่างไม่เอาไหนจริงๆ ไม่รู้ว่าจะปกป้องคุ้มครองน้องได้มากเท่าใด

นี่หากเขายังมี...

เพียงความคิดนั้นผุดขึ้นในหัว เขาก็รีบปัดมันออกไป จะมานึกเสียดายอะไรตอนนี้ แม้ว่าจะมีเพียงสองมือเปล่า เขาก็จะปกป้องรวีพิรุณมิให้สิ่งใดเข้ามาทำร้ายได้ แม้ต้องปกป้องจนตัวตายก็ยอม

เขากอดกระชับร่างของน้องไว้แน่นในอก ซุกหน้าลงกับซอกคอขาวผ่อง สูดดมกลิ่นหอมคล้ายลูกไม้ของน้อง เกลี่ยจมูกและปากร้อนๆ คลอเคลียอยู่กับผิวเนียนนุ่มนั้น น้องขยับตัวยุกยิก หัวเราะออกมาหลายคำ

“ท่านพี่ มันจั๊กจี้นะ”

“พี่ชอบหอมเจ้า”

“อย่าสิ ท่านพี่”

น้องยิ่งห้าม เขายิ่งซุกไซ้หน้าลงไปกับซอกคอนั้น น้องย่นคอด้วยรู้สึกแปลกๆ ครั้นแล้วพี่ก็นิ่งเฉย พานให้น้องหยุดขยับกายด้วย

สหเดชะเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบๆ

“รวี...ตอนนี้เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง”

“รู้สึกหรือ รู้สึกอะไรหรือ”

“ตอนนี้...” เขากระอึกกระอักในลำคอ “...เจ้าไม่เหมือนก่อนแล้ว เจ้ารู้สึกมีอะไรผิดแปลกในร่างกายหรือไม่”

รวีเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยออกมา “รวีไม่รู้สึกอะไร รวีแข็งแรงดี”

น้องเอี้ยวหน้ามามองเขา รอยยิ้มวาดเต็มใบหน้านั้นจนสว่างไสวไปหมด รอยยิ้มหวานๆ ของน้องไม่เคยทำให้เขาเศร้าซึมได้นานจริงๆ

“เช่นนั้นหรือ” สหเดชะถอนหายใจ “ดีแล้วละ”

สิ่งที่เขาแลกกับชีวิตของรวีพิรุณนั้นล้ำค่าอย่างยิ่ง...ล้ำค่ายิ่งชีวิตของเขาเชียวละ ขอแค่ไม่ต้องกังวลว่าน้องจะต้องจากไปในเร็ววันนี้ก็เพียงพอแล้ว ขอให้อายุขัยของเจ้ายาวนานเท่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งก็พอแล้ว เมื่อกำเนิดมาพวกเรามาจากต่างที่ ต่างเวลา ทว่ายามต้อง ‘จากไป’ เราก็จะจากไปด้วยกัน...พร้อมกัน

โฮกกกกกกกก!!!

เสียงคำรามระเบิดก้องขึ้นในท่ามกลางความเงียบ สหเดชะและรวีพิรุณต่างสะดุ้งกันทั้งสองคน

หมู่ไม้ด้านหน้าของพวกเขาแตกกระจายออกไปราวกับเป็นเศษไม้ สหเดชะรีบผุดลุกขึ้นพร้อมฉุดให้รวีมาอยู่ด้านหลังตน

ยังไม่จบอีกหรือ

สหเดชะสบถในใจ ขณะมองเห็นเงาร่างทะมึนใหญ่โต สูงกว่ายอดไม้ ยืนอยู่ตรงหน้า กลิ่นสาบสางคลุ้งไปทั่วบริเวณ

“เนื้อ! ข้าจะกินพวกเจ้า!”

เสียงคำรามเคียดแค้นของเจ้ายักษ์โขมดเจ้าเก่าดังขึ้นในความโกลาหลนั้น

“แกฟันแขนข้า ข้าจะเคี้ยวแกให้แหลก!”

มันย่างสามขุมเข้ามา ในดวงตานั้นลุกเป็นไฟด้วยความโกรธแค้น มือข้างหนึ่งกุดด้วนไปด้วยคมพระขรรค์ของสหเดชะ มันยกมือข้างที่ยังดีอยู่นั้นขึ้นมาตรงหน้า เล็บสีดำน่าเกลียดของมันค่อยๆ ยืดยาวออกมา ปลายแหลมคมดุจมีด

“ข้าจะฉีกร่างแกเป็นชิ้นๆ กัดกินแกขณะแกยังเป็นๆ ข้าจะสูบเลือดแกตอนแกยังหายใจ...”

คำพูดของเจ้ายักษ์สะดุดไป มันหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปมองที่บริเวณไม่ไกลจากเท้าตนเองเท่าไหร่ สหเดชะเองก็เพิ่งสัมผัสได้ว่าบัดนี้มีขุมพลังหนึ่งปรากฏขึ้น ณ บริเวณนี้

ณ ที่ไม่ไกลจากเท้าของเจ้ายักษ์โขมดนั้นเอง มีบุรุษร่างสูงกำยำผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสูงกว่าสหเดชะเพียงไม่มาก ทว่าความกำยำของร่างกายนั้นอาจทำให้สหเดชะดูตัวเล็กไปทีเดียว

ชายผู้นี้มีเครื่องแต่งกายหรูหรา มิใช่ชาวไพรทั่วไปจักมีได้ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายออกดุดันเคร่งขรึม ตรงมุมปากของเขามีเขี้ยวขาวเล็กๆ โผล่ออกมา ทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูดุดันน่าเกรงขาม เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วจึงแหงนหน้าขึ้นไปมองดูร่างใหญ่โตของยักษ์โขมดไพร

เจ้ายักษ์โขมดราวกับจะกำลังตกอยู่ในอารามตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าผู้มาขัดจังหวะตนเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตร่างเล็กน้อยเท่านี้ มันจึงคำรามอีกรอบ แล้วฟาดมือข้างที่มีกรงเล็บยาวใส่ร่างของบุรุษนั้นอย่างรวดเร็ว

พลั่ก

เสียงเนื้อกระทบเนื้อ บุรุษผู้นั้นยืนเฉย ไม่สะทกสะท้านสักนิด เขาเพียงยื่นแขนข้างหนึ่งออกมาเพื่อรับฝ่ามือของเจ้ายักษ์โขมด เพียงมือเดียวเท่านั้นก็จับให้มันอยู่นิ่งได้

“อั้ก!”

เจ้ายักษ์โขมดร้องออกมา บุรุษผู้นั้นเผยรอยยิ้มตรงมุมปากด้านหนึ่ง เขาจับนิ้วของมันหนึ่งนิ้ว แล้วหมุนด้วยความรวดเร็ว พลันบัดนั้นเอง แขนข้างที่ดีของเจ้ายักษ์ก็ขาดสะบั้นออกมาจากไหล่ทันที เขาโยนแขนข้างนั้นทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

“อ๊ากกกกก” มันร้องเสียงโหยหวน เลือดสีข้นกระฉูดออกมาราวกับธารน้ำ มันทรุดกายลงกับพื้นราวกับไม้ใหญ่โดนพายุล้มครืน
บุรุษผู้นั้นไม่ปล่อยให้เสียงร้องของมันรบกวนโสตได้นาน เขาขยับรวดเร็วราวกับจักรผัน ครู่หนึ่งก็ไปปรากฏอยู่ที่ร่างซึ่งกำลังทรุดกับพื้น ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา เขาค่อยๆ ยืดแขนออกไป เหวี่ยงหมัดอันแข็งแกร่งของเขาวางแหมะอยู่กับส่วนท้องอันใหญ่โตโอฬารของยักษ์โขมด แล้วจึงมีเสียงราวกับก้อนหินใหญ่นับร้อยๆ ก้อนถูกบดขยี้

“โอ้กกก”

เจ้ายักษ์ร้องออกมาได้เพียงเท่านั้นก็ส่งเสียงอึกอักในปาก ด้วยเลือดในกายพุ่งออกมาทางปากจนสิ่งกลิ่นคาวคลุ้งไปหมด หมัดของชายหนุ่มคนนั้นยังติดอยู่ที่ท้องของมัน แต่สังเกตได้ว่าผิวเนื้อบริเวณนั้นเริ่มกระเพิ่มคล้ายกับยามโยนก้อนหินลงผิวน้ำนิ่ง

ท้องของเจ้ายักษ์โขมดกระเพิ่มเป็นวงน้ำ แล้วทันใดร่างของมันก็โย้ไปในทิศทางตรงข้ามกับบุรุษผู้นั้น เกิดเสียงโพละขึ้นมาหนึ่งครั้ง ร่างอีกด้านหนึ่งของเจ้ายักษ์โขมดแตกโพละออกมาราวกับแตงโมถูกตี เลือดเอย เครื่องในเอย พุ่งกระจายออกมาราวกับห่าฝน

เจ้ายักษ์ส่งเสียงร้องน่าสงสารเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะล้มคว่ำลง สิ้นใจตายตรงนั้นเอง

เกิดความเงียบขึ้นในสถานที่แห่งนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

คล้ายกับว่ามีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงตามแผ่นหลังของสหเดชะ

เขามองไปที่ร่างบุรุษผู้นั้น เห็นฝ่ายนั้นยืนนิ่งอยู่ ไม่สนใจสักนิดว่าตนเพิ่งสังหารยักษ์โขมดไปด้วยมือเปล่า บุรุษผู้มีเขี้ยวตรงมุมปากหันมามองทางนี้นิ่งอยู่ แล้วทันใดดวงตาของเขาก็เลิกขึ้นคล้ายกับประหลาดใจ ก่อนจะหรี่ตาลง เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขายื่นมือออกมา สหเดชะเห็นแสงแวบหนึ่งเป็นประกายขึ้นมาในมือของฝ่ายนั้น

ชั่วอึดใจหนึ่งสหเดชะกำลังจะชักพระขรรค์ออกมาบ้าง แต่แล้วเมื่อผ่านไปเพียงชั่วหายใจเข้า ก็พลันเห็นใบหน้าดุดันนั้นโผล่ขึ้นมาในระยะประชิด ห่างเพียงช่วงแขนเดียว แล้วความเจ็บปวดแสบร้อนก็เสียดวาบขึ้นตรงแผ่นอก สหเดชะสะอึกไป ร้องออกมาได้เพียงคำเดียว

“รวี!”

แล้วร่างของวิทยาธรหนุ่มก็ถูกแรงกระแทกผลักให้ลอยละลิ่วออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ พระขรรค์ที่ถือมั่นกลับหลุดออกจากมือ ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นเชื่องช้าราวกาลเวลาเคลื่อนคล้อยชั่วนิรันดร์ เขาเห็นบุรุษผู้มาใหม่นั้นค่อยๆ เอื้อมมือออกมาจับไหล่ของรวีพิรุณ บุรุษผู้นั้นจับเอาร่างของมักกะลีผลที่กำลังจะล้มลงกับพื้นเข้าไปใกล้ แล้วกอดกระชับไว้กับตัว จากนั้นพุ่งทะยานออกไป ชั่วพริบตานั้น สหเดชะเห็นรวีพิรุณหันกลับมามองตน ดวงตาของน้องเจ้าเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ปากเล็กๆ อ้ากว้างออกมา ร้องเป็นคำหนึ่ง “ท่านพี่!”

คำนั้นออกมาพร้อมกับที่ร่างของสหเดชะกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านหลัง เขากระอักเลือดออกมาคำโต ร่างติดแนบกับต้นไม้นั้น “ระ...วี”

“ท่านพี่!”

“รวี!”

แม้กระอักกระไอลิ่มเลือดออกมา กระนั้นสหเดชะก็ยังร้องเรียกชื่อน้องด้วยหัวใจร้าวราน มองร่างของน้องในวงแขนของชายผู้นั้นค่อยๆ ห่างออกไป

เขามองร่างรวีพิรุณที่กำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุม จนกระทั่งร่างทั้งสองหายลับไปในฟ้ากลางคืน

สหเดชะรู้สึกราวกับว่าน้ำตาร้อนๆ ไหลลงมาจากดวงตา เขาก้มลงไปมองที่แผ่นอกของตน และเห็นว่ามีดาบใหญ่เล่มหนึ่งปักไว้แน่น ดาบนี้เองที่ปักร่างเขาตรึงไว้กับต้นไม้

“ระ...วี ระวีของพี่”

เขาเอ่ยปนสะอื้น โหยไห้ในใจ...เห็นดวงหน้าหวาดกลัวของรวีพิรุณแล้วก็ได้แต่เจ็บในอกราวกับจะพังภินธุ์ลงมาเสียให้ได้

รวี...เจ้าถูกพาไปเสียแล้ว


***

พระเอกสายรันทด น่าสงสารพี่สหะ
เจอกันตอนหน้านะคะ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-05-2019 22:39:11
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 13-05-2019 22:53:10
ใครมาลักน้องไป เฮ้อ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 13-05-2019 22:58:50
 :mew6:ถ้าในป่ามีฤาษีมาช่วยดึงดาบออกที  :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 13-05-2019 23:09:49
โอ้ยยย โชคชะตาเล่นตลกอันใด ทำไมทำกับท่านพี่ของเราแบบนี้!! พรากของรักสิ่งเดียวไปแบบนี้ ไม่สงสารกันบ้างเหรอ คนอ่านสงสารนะ แงงง  :sad4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 13-05-2019 23:44:07
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ขอให้ทั้งสองผ่านพ้นความทุกข์ยากไวๆด้วยเถอะะะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-05-2019 00:21:10
ทำอย่างนี้กับท่านพี่ได้ไง อุตส่าห์แลกกับทุกอย่างแล้วนะ อุปสรรคช่างมากมาย
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-05-2019 00:28:53
อ้าว  :ling2: :ling3:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 14-05-2019 12:25:19
น้องรวีถูกลักพาไป ไม่นะ!! ทำไมมันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ท่านพี่ี
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-05-2019 14:48:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 14-05-2019 22:01:16
พึ่งได้เข้ามาอ่านสนุกมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 15-05-2019 01:24:56
สงสารร
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 10 [13-05-2562] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mijimaria ที่ 16-05-2019 22:49:39
ม่ายยยยยยยย  :ling1: :ling1: :fire: เธอเป็นใครอยู่ดีๆมาลักพาตัวน้อง สงสารสหัสเดชะ พึ่งสูญเสียพลังแลกกับรวี ได้อยู่กับรวีแค่แปบเดียวก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 11 [16-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 16-09-2019 20:43:42
ตอนต่อมาแล้วนะคะ ขอโทษที่ทำให้รอนานเลยค่าาา  :hao7:


+++


บทที่ 11


สหเดชะสะดุ้งเฮือก ตื่นจากการหลับใหล ทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง ภายในหัวราวกับว่ามีเปลวเพลิงแรงร้อนคอยเผาไหม้ เขาสับสนกระวนกระวายอยู่ครู่ ก่อนจะนึกได้ว่ารวีน้องเจ้าไม่อยู่กับตนแล้ว

“รวี...”

เสียงเรียกชื่อยอดดวงใจโหยละห้อย เขาขยับตัวจะลุกขึ้นยืน ตั้งปณิธานหมายไว้ในใจ “พี่จะตามเจ้ากลับมา”

“จะตามอย่างไร”

เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล สหเดชะหันขวับ มองเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินเป็นเงาตะคุ่มๆ

“เจ้า...”

“อย่าเพิ่งขยับตัวมากนัก” ฝ่ายนั้นจุปากอย่างรำคาญ ลุกเดินออกมาจากเงามืด “แผลเจ้ายังไม่หายดี”

สหเดชะเพิ่งมารู้สึกก็เมื่อคนผู้นี้เอ่ยออกมานี่ละ ว่าเขารู้สึกเจ็บแปลบตรงช่วงท้อง ขยับทีก็ปวดที แม้ไม่ขยับก็ยังปวด ไม่แปลกสักนิด...ดาบเล่มนั้นของเจ้าคนสาธารณ์นั่นแทงทะลุตลอดร่างเขาเลยนี่นะ พอปวดมากๆ เข้าจึงต้องกัดฟันไม่ปล่อยให้เสียงใดๆ หลุดรอดออกมาให้ใครสมเพช

จากสิ่งที่เห็น บัดนี้สหเดชะและบุคคลปริศนาอยู่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง อากาศอบอุ่นด้วยกองไฟลุกโพลง ไฟกินฟืนเป็นเสียงเปรียะประ

ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้ กดไหล่ของสหเดชะให้นั่งลงตามเดิม เมื่อเห็นวิทยาธรหนุ่มกลับไปนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ บ้าง

แม้เมื่อครู่บุรุษลึกลับผู้นี้จะทำเสียงราวกับรำคาญอยู่บ้าง แต่บัดนี้กลับมองสหเดชะนิ่งอยู่ คล้ายจะอมยิ้มเล็กๆ ด้วยซ้ำ

“อย่าด่วนได้ใจเร็วนัก” ชายผู้นั้นเอ่ยห้ามปราม “ชีวิตเป็นของสำคัญ เจ้าจะมาทิ้งขว้างเช่นนี้ได้อย่างไร”

“เจ้าเป็นใคร”

สหเดชะจำได้ว่าเจ้าคนที่สังหารยักษ์โขมดนั้นเสือกดาบอันคมกริบใส่เขาจนร่างติดตรึงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พิษบาดแผลนั้นรุนแรงเหลือเกิน ชั่วร่างของรวีหายไปกับเจ้าคนสามานย์ผู้นั้น เขาก็ทนพิษความเจ็บปวดไม่ไหว ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นเพียงความมืดมิดอนธการ มาบัดนี้พอตื่นขึ้น กลับพบตนเองอยู่กับใครอีกคนในถ้ำสักแห่ง เขาควรระวังตัวไว้ ด้วยไม่รู้ว่าเจ้าคนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับคนชั่วนั้นหรือไม่

“อย่าว่าเราอวดโอ่เลย เราทำความดีไปด้วยใจเมตตา ย่อมไม่หวังสิ่งตอบแทน”

สหเดชะนิ่งงัน มองใบหน้ายิ้มกริ่มราวกับภูมิใจในตนเองอย่างยิ่งของคนผู้นี้ และไม่รู้จะกล่าวอะไร

“เราชื่อนกุล” เมื่อเห็นสหเดชะยังนิ่งเฉยอยู่จึงถอนหายใจ แล้วเอ่ยออกมาอย่างยอมจำนน “เราเดินทางผ่านมาพอดี เห็นเจ้าถูกตอกตรึงติดกับต้นไม้ ตรวจดูแล้วเห็นยังมีลมหายใจ นึกสงสารจึงได้ช่วยไว้”

“ท่านช่วยเราไว้หรือ”

แม้จะยังระแวงอยู่บ้าง แต่สหเดชะก็ลดท่าทีแข็งกระด้างลง

“ถูกละ กว่าจะดึงดาบนั่นออกมาได้ เราเหงื่อโทรมกายเชียวนะ ซ้ำเลือดเจ้ายังไหลอย่างกับน้ำ มากมายจริงๆ นี่ถ้าเราไม่พอมีความรู้ทางหยูกยาอยู่บ้าง เจ้าคงซี้แหงไปแล้ว”

สหเดชะก้มสำรวจร่างกายตนเอง ผ่านสาบเสื้อซึ่งแหวกออก มองเห็นผ้าขาวพันไว้รอบลำตัวอย่างเรียบร้อย มีรอยแดงๆ เปื้อนเป็นปื้นอยู่บนผ้าขาวนั้น คงเป็นเลือดจากบาดแผลนั่นเอง

เลือดสีแดงหรือ

ภมรธรา สหายวิทยาธรเอย...เรากับท่านคงมิใช่พวกพ้องเดียวกันแล้วเป็นแน่แท้

“เรานามว่าสหเดชะ เป็น...” เขาสะอึกไปครู่หนึ่ง “...ชาวไพรแถวนี้ เดินทางมากลางป่า โชคร้ายเจอกับยักษ์โขมดเข้า ถูกมันทำร้าย เราซาบซึ้งน้ำใจท่านที่ช่วยเหลือรักษาบาดแผล”

สหเดชะสงสัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือบาดแผลที่ถูกแทงทะลุร่าง แม้ตอนนี้จะยังรู้สึกปวดแปลบอยู่บ้าง ทว่าบาดแผลลึกเพียงนั้นเขาไม่ควรจะเจ็บเท่านี้ดอกหนา ไม่รู้นกุลผู้นี้ใช้ยาอะไรจึงมีฤทธิ์ชะงัดนัก เขาได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ มิได้กล่าวออกไป
บุรุษประหลาดนามว่านกุลยื่นน้ำเต้าขนาดเท่าท่อนแขนผู้ใหญ่มาตรงหน้า

สหเดชะขมวดคิ้ว มองอย่างสงสัย

“ดื่มนี่ก่อนเถิด”

“อะไรหรือ”

“เป็นยาแก้บาดแผลของเจ้าปะไร” สหเดชะมองนิ่ง ไม่ยื่นมือรับ นกุลหัวเราะออกมา “เจ้านึกว่าเป็นของมีพิษหรือ เราช่วยเจ้าขนาดนี้ ไม่คิดฆ่าเจ้าดอก จะทำเช่นนั้นให้เปล่าประโยชน์อันใด”

สหเดชะจำต้องรับมาดึงจุกปิดปากน้ำเต้านั้นออก กลิ่นแปลกๆ ลอยกระทบจมูก เขายกน้ำเต้าขึ้นแล้วเอียงให้สิ่งที่บรรจุด้านในไหลออกมาใส่ปากโดยระวังไม่ให้ปากน้ำเต้าสัมผัสปากของเขา

เพียงดื่มไปได้อึกเดียว สหเดชะก็หยุดมือ ส่งน้ำเต้านั้นคืนให้เจ้าของ สีหน้าของเขาบ่งบอกความสนเท่ห์ “นี่น้ำโสมมิใช่หรือ”

โสมเป็นน้ำเมาอย่างหนึ่ง ภมรธราชื่นชอบนักหนา ดื่มได้เช้าเย็น

“ถูกละ เป็นน้ำโสมรสดี”

“ไฉนท่านจึงให้เราดื่มน้ำโสมเล่า”

“เป็นโสมสูตรพิเศษ เราหมักเองกับมือ หมักจากน้ำผึ้งฉ่ำรวงเชียวนา”

แถบถิ่นนี้แม้ห่างจากพิทยานครมามาก ก็นับว่ายังอยู่ในแดนหิมพานต์ สหเดชะเริ่มรู้สึกว่า บุรุษนามนกุลผู้นี้อาจไม่ใช่มนุษย์เดินไพร เรื่องการรักษาก็ดี เรื่องน้ำโสมอันเป็นเครื่องดื่มของชาวสวรรค์ก็ดี หากถึงขนาดรู้วิธีหมักแล้วไซร้ ย่อมมิใช่คนเดินดินธรรมดา

“ดื่มเข้าไปอีกซี ดื่มมากๆ จะรักษาแผลเจ้า ไม่รู้หรือน้ำผึ้งนั้นเป็นยา”

“ท่านไม่ดื่มบ้างหรือ”

“ก็บอกแล้วว่าในน้ำเต้านั้นเป็นยา เราไม่บาดเจ็บอะไรจะดื่มทำไม ไม่ต้องกังวลไปดอก เรามีน้ำเต้าอีกอัน นี่อย่างไรล่ะ” ว่าแล้วก็คว้าเอาน้ำเต้าที่ผูกไว้กับเอวอีกลูกมาให้ดู เปิดจุกปิดปากน้ำเต้าแล้วก็ยกดื่มอั้กๆ ราวกับดื่มน้ำ “อย่าให้พูดเลย น้ำผึ้งนี่เราชอบนักละ”

ได้ยินเช่นนั้นสหเดชะก็ให้สะท้อนใจ ความร้อนรนผุดพรายขึ้นมาในหัวใจ สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเก น้องรวีเจ้าเอย...เจ้าเองก็ท่าจะชอบรับประทานน้ำผึ้งกับผลไม้มิใช่หรือ ป่านนี้เจ้าจะตกบ่วงชั่วร้ายอยู่หนใดหนอ คิดขึ้นมาแล้วเคียดแค้นให้อกแทบกลัดหนอง

“รวีคือใครหรือ”

อยู่ๆ นกุลก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“รวี?”

“ตอนเจ้าหลับ เจ้าเผลอละเมอเรียกชื่อรวีออกมา”

สหเดชะอึกอัก ไม่อยากเล่าอะไรเกี่ยวกับน้องน้อยให้คนผู้นี้ฟัง ด้วยยังปักใจไม่ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

ฝ่ายนั้นยกน้ำเต้าขึ้นดื่มอีก ก่อนจะเอ่ยออกมา “เป็นคนรักของเจ้าหรือ”

สหเดชะนิ่งเงียบ การวางเฉยเช่นนี้คงทำให้นกุลรู้สึกรำคาญมากโข ฝ่ายนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงระอา

“เอาละๆ ไม่ว่าคนชื่อรวีนี้จะเป็นอะไรกับเจ้าก็ตาม เราก็ได้ยินเจ้าร้องจะไปตามเขากลับมา แต่ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ หากออกเดินแม้เพียงสักน้อยก็คงล้มดิ้นกับดิน อย่าว่าแต่จะไปยื้อแย่งคนกลับมา”

นกุลยกน้ำเต้าขึ้นดื่ม ก่อนเอ่ยต่อ “ตอนที่ช่วยเจ้า เราเห็นซากร่างยักษ์โขมดนอนตายอยู่ตรงนั้น สภาพของมันคงตายทรมานยิ่งแล้ว เจ้าเองก็ถูกตอกตรึงกับต้นไม้หมดสติไป เราจึงรู้ได้ทันทีว่ามิใช่เจ้าที่ฆ่ามัน”

สหเดชะนิ่งรับโดยดุษณี

“คนที่ฆ่ายักษ์โขมดได้ย่อมถือว่ามีฤทธิ์มาก และเจ้าเองก็คงถูกคนผู้นี้แทงด้วยดาบนั้นใช่หรือไม่ ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บมาก จะตามไปเอาคนคืนมาได้อย่างไร อย่าว่าแต่เจ้าไม่รู้ว่าเขาอยู่แห่งหนตำบลใด”

“รวี...” สหเดชะสะกดอารมณ์ร้อนรุ่มในอก “เราต้องไปช่วยรวีให้ได้”

“อย่าดื้อรั้นนักซี” นกุลถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ระอากับความดันทุรังของสหายใหม่ “อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ลองคิดดูทีหรือ ยักษ์โขมดโฉดชั่วนั้นถูกฆ่าอย่างน่าสมเพช เจ้าเองก็ถูกแทงติดกับต้นไม้เพื่อปล่อยให้ตายอย่างทรมาน แต่รวีของเจ้ากลับถูกลักตัวไป ถ้าคนผู้นั้นคิดจะฆ่าก็คงฆ่าเสียที่นี่ ไม่พาไปด้วยให้เหนื่อยหรอก ถ้าคิดได้เช่นนี้ก็พอจะมั่นใจได้ว่ารวีของเจ้าจะยังปลอดภัย”

ปลอดภัยหรือ? เขาไม่อยากให้รวีมีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ

“อย่างไรเราก็ต้องตามเขากลับมา แม้ตัวต้องตายก็ยอม”

“แล้วจะช่วยกลับมาเพื่ออะไร ถ้าเจ้าตายก็สูญเปล่ามิใช่หรือ”

นกุลนึกอยากจะขว้างน้ำเต้าทิ้ง แต่เสียดายน้ำผึ้งรสเลิศนี้จึงกำไว้กับมือแน่น มองเจ้าหนุ่มตรงหน้าอย่างระอาใจ

“นี่เจ้า...” นกุลมองสหเดชะอย่างพิจารณา “เจ้ามิใช่ชาวไพรใช่หรือไม่”

สหเดชะไม่ตอบคำ

“ชาวไพรที่ไหนจะมาเดินท่อมๆ อยู่แถวนี้ให้ยักษ์โขมดจับกิน ที่นี่ยังอยู่ในเขตเทือกวินธัย นับว่าเป็นแดนจาตุมหาราชิกา เจ้าเป็นชาวสวรรค์ใช่หรือไม่”

สหเดชะส่ายศีรษะ

“อย่ามาปดเราเลย เรารู้สึกได้ว่าเจ้ามิใช่มนุษย์ เป็นนักสิทธิ์หรือวิทยาธรล่ะ คงเป็นวิทยาธรแน่ๆ”

คงไม่มีอะไรดีไปกว่ายอมรับสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมา “ท่านกล่าวถูกแล้ว แล้วท่านล่ะ มาอยู่ที่นี่ก็คงไม่ใช่มนุษย์เดินดินล่ะซี”

“เราเป็นมนุษย์” นกุลยิ้มกริ่ม ท่าทางอวดโอ่ “แต่ก็มีฤทธิ์พอตัว เพราะเรามีอาจารย์ดี”

“อาจารย์หรือ”

“ถูกละ เราฝึกวิชาอยู่กับท่านเทพฤาษีมฤควัจน์ อาศรมท่านอยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่ หะแรกเราว่าจะพาเจ้าไปหาพระอาจารย์ แต่ดูร่างกายเจ้าคงเดินทางไม่ไหว จึงพามาให้ไกลจากซากเจ้ายักษ์โขมดเสียก่อน ไว้วันพรุ่งรุ่งเช้า เจ้าพอจะเดินทางได้บ้างจึงจะพาเจ้าไป”

นกุลเห็นสหเดชะขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะพันกันยุ่ง จึงเอ่ยปลอบ “อย่ากังวลไปนัก พระอาจารย์ของเราท่านมีฤทธิ์มาก คงช่วยรักษาเจ้าได้เพียงชั่วอึดใจ ไปหาพระอาจารย์ก่อน...แล้วค่อยคิดอ่านว่าจะทำอย่างไร เจ้าเองก็ไม่รู้มิใช่หรือ ว่าคนที่ลักตัวรวีของเจ้าไปนั้นเป็นใคร แล้วจะหามันได้ที่ไหน”

แม้ในใจจะร้อนรุ่มเพียงใด สหเดชะก็รู้ว่านกุลพูดถูกทุกอย่าง ร่างกายตนในตอนนี้คงไม่อาจต่อกรกับคนที่ฆ่ายักษ์โขมดได้ด้วยหมัดเพียงครั้งเดียวหรอก ซ้ำคนผู้นั้นยังมี...

“มันมีเขี้ยว” สหเดชะโพล่งออกมา

“เขี้ยว?”

“มันเป็นยักษ์...”

“ตายละวา” นกุลพรูลมหายใจ “อย่างนี้เจ้ายิ่งต้องไปหาพระอาจารย์”

นกุลศิษย์พระเทพฤาษีมฤควัจน์แอบลอบครวญในใจ ยักษ์หรือ? เจ้าหนุ่มคนนี้จะรู้หรือไม่...ว่าถ้ากล่าวถึงยักษ์ละก็ คงต้องเป็นยักษ์ที่อยู่อาศัยแถบถิ่นนี้ เขาเองก็ได้เจออยู่บ้าง แม้จะถือว่าตนเองมีฤทธิ์แต่ก็หลบได้เป็นหลบ ไม่อยากสู้รบปรบมือให้ต้องเจ็บตัว

แล้วยักษ์ที่อาศัยอยู่แถบถิ่นนี้คงหนีไม่พ้นยักษ์พวกนั้นน่ะซี เป็นยักษ์ประเภทมีฤทธิ์กึ่งเทพ เป็นบริวารของท้าวโลกบาลนั่นแหละ ยักษ์พวกที่เรียกว่ากุมภัณฑ์

นกุลแอบใคร่ครวญอยู่ในใจ หากถูกพวกกุมภัณฑ์แถวนี้พาตัวไป คงไม่พ้นกลับไปที่นั่นน่ะแหละ

...นครโลหะของชาวกุมภัณฑ์นั่นปะไร!

แค่คิด...น้ำผึ้งที่รสยังติดลิ้นก็แทบจะเปลี่ยนเป็นขมปร่าเสียแล้ว

+++

ถ้าอ่านแล้วชอบอย่างไรก็บอกกันได้เลยนะคะ เจอกันตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 11 [16-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-09-2019 00:09:35
มาต่อแล้วดีใจจัง  ขอให้ช่วยน้องได้นะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 11 [16-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-09-2019 02:01:03
โถ่ ขอให้ตามน้องกลับมาได้นะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 11 [16-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 18-09-2019 11:08:36
กลับมาอัพแล้ววว คิดถึงค่าาา

พี่เจ้ารีบรักษาตัว แล้วไปช่วยน้องรวีเร็ว
พานกุลไปช่วยด้วยก็ดี ดูเป็นฮาดี ขำความกรุ้มกริ้มภูมิใจในตัวเองแบบอวดๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 11 [16-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-09-2019 15:30:32
อย่าให้น้องเป็นอะไรเลย ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 11 [16-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-09-2019 16:00:24
พี่กับน้องทำกรรมอะไรกันมา ลำบากแท้
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 23-09-2019 14:40:37
มาแล้วค่า


บทที่ 12


พระดาบสชรานั่งอยู่ท่ามกลางมฤคชาติน้อยใหญ่ กวางป่าเหล่านี้บ้างก็กำลังเคี้ยวยอดหญ้าอ่อนรสดี บ้างก็ยืดคอขึ้นไปใช้ลิ้นตวัดกินใบไม้อ่อนจากกิ่งอันหย่อนปลายลงมาต่ำเตี้ยอย่างเอร็ดอร่อย ด้านหนึ่งเป็นแม่กวางกำลังให้นมลูกน้อยจากพวงถันของนาง มีลูกกวางน้อยๆ กำลังวิ่งตุปัดตุเป๋ด้วยยังไม่คุ้นชินกับขายาวเก้งก้างของตน ทว่าก็ยังอยากรู้อยากเห็นและไม่เกรงกลัวมนุษย์สักนิด

หากรวีพิรุณได้มาเห็นภาพนี้คงจะตาลุกวาว แล้วรีบวิ่งตุเลงๆ เข้าไปหากวางน้อยๆ เหล่านี้พร้อมกับร้องว่า ‘เจ้ากวางน้อย’ จนสุดเสียงเป็นแน่ คิดขึ้นมาดังนี้แล้วให้ในอกสหเดชะเจ็บร้าวเสียจริง

ในท่ามกลางฝูงกวางเหล่านี้พระเทพฤาษีมฤควัจน์กำลังป้อนผลไม้ให้กับกวางหนุ่มๆ สาวๆ หลายตัวจากมือของท่านเอง พวกมันดูคุ้นชินกับท่านอย่างยิ่ง มองจากไกลๆ นับว่าเป็นภาพที่แปลกตามาก กระนั้นสหเดชะก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนามของท่านจึงเป็นมฤควัจน์ คือวาจาแห่งกวาง ไม่แปลกที่ท่านจะมีสหายเป็นฝูงกวางน้อยใหญ่เช่นนี้

สหเดชะและนกุลเดินทางออกจากถ้ำที่พักรักษาบาดแผลก่อนพระสูรยเทพจะเยี่ยมฟ้า สำหรับสหเดชะนั้นเขาอยากจะเดินทางให้เร็วที่สุดโดยการใช้พระขรรค์ของสหายที่ได้มา เพื่อจะไปถึงพระเทพฤษีโดยไว ทว่าเพียงแค่เริ่มร่ายพระเวทก็ให้ปวดแปลบที่แผลอย่างแรง แน่ชัดแล้วว่าในสภาพร่างกายอ่อนแอเช่นตอนนี้เขาไม่อาจใช้พระขรรค์เหาะเหินเดินอากาศได้

นกุลได้แต่มองแล้วส่ายหน้าด้วยระอากับความหุนหันพลันแล่นของ ‘ชาวฟ้า’ ผู้นี้ ไม่รู้บุญนำกรรมส่งใดจึงทำให้มาระหกระเหินเดินกลางป่าเช่นนี้ กระนั้นด้วยหัวใจอันเปี่ยมด้วยมนุษยธรรมและความรักเพื่อนร่วมไตรโลก นกุลจึงช่วยเหลือบุรุษผู้นี้ให้หายจากทุกข์ ก็มิใช่พระอาจารย์ดอกหรือที่พร่ำบ่นให้เขาฟังเช้าเย็นว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์นั้นเป็นบุญอย่างหนึ่ง จะช่วยหนุนส่งให้ตนได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์

ศิษย์พระเทพฤษียื่นน้ำเต้าบรรจุน้ำยาโสมให้สหเดชะ พลางมองเจ้าพิทยาธรหนุ่มกุมมือกับบริเวณบาดแผล พร้อมหอบหายใจฮุบเอาอากาศอยู่เฮือกๆ

นกุลเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจว่า ‘อย่าฝืนตัวเองนักเลยเจ้า ดื่มน้ำโสมนี่เสียก่อน จะได้มีแรงขึ้น หากยังดันทุรังอีก ฉวยเจ้าแดดิ้นไป ก็ไม่ได้ไปช่วยรวีผู้นั้นกันพอดี’

นกุลผู้รักน้ำโสมดุจชีวิตกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อสหเดชะผู้นี้ยอมคว้าเอาน้ำเต้าไปดื่มอั้กๆ แต่ก็ต้องร้องห้ามออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าหนุ่มนี่แทบจะดื่มจนหมด ‘เหวยๆ เหลือไว้บ้างทีหรือพ่อ จะกินหมดนั่นหรือ ประเดี๋ยวก็ล้มเปลี้ยเพลียแรงดอก’

ยานี้มิใช่ไม่แรง หากดื่มมากมายเพียงนั้นเกรงว่าอาจล้มหลับพับไปได้

แล้วด้วยลักษณาการเช่นนี้ ทั้งนกุลและสหเดชะก็ประคับประคองกันผ่านป่ามาจนได้ เมื่อดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกก็ลุถึงผืนป่าแห่งหนึ่งซึ่งอากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าโชยมารวยรินไม่ขาด เสียงน้ำจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักเป็นดั่งดนตรีคอยขับกล่อม สหเดชะได้ยินเสียงนกร้องมาจากคาคบไม้อันครึ้มรกไปด้วยใบบัง ชะรอยเจ้านกน้อยที่กำลังร้องเพลงนี้จะซ่อนอยู่ในระหว่างกิ่งไม้กิ่งใดกิ่งหนึ่งเป็นแน่ เขาจึงมองไม่เห็น...จะได้ยินก็แต่เสียงร้องเสนาะหูเท่านั้น

นกุลเอ่ยอธิบายขณะเดินนำหน้า

“ป่าแห่งนี้เป็นถิ่นของพระอาจารย์ มีพระเวทคอยคุ้มกันมิให้สัตว์ร้ายมาย่ำกราย หากเจ้ามิได้มากับเรา รับรองว่าจะถูกมนต์พระอาจารย์จนเดินเลยผ่านไปแน่ๆ นี่ก็เป็นความดีความเด่นของเราอีกนั่นละ” นกุลเอานิ้วโป้งชี้อกตนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

ความอวดโอ่ของนกุลก็ดี ความเป็นผู้รักการเจรจาปสาทะก็ดี ทำให้ระหว่างเดินทางมานี้สหเดชะไม่เบื่อเลยสักนิด ซ้ำยังเป็นการช่วยให้เขาใจเย็นกับเรื่องของรวีลงได้มากโข เพราะต้องมาใส่ใจกับสิ่งที่นกุลเล่าให้ฟัง

นกุลเอ่ยเล่าเรื่องราวต่างๆ อย่างไม่ปิดบัง กระทั่งทั้งสองเดินทางเข้าสู่ที่โล่งกลางหมู่ไม้แห่งหนึ่ง ณ สถานที่นี้ปรากฏกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรง มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากกระท่อมหลังนี้นัก ในสระแห่งนั้นขึ้นอุดมไปด้วยกุมุทชาติดาษดา และในระหว่างหมู่ไม้ที่ขึ้นหนาช่วงหนึ่งพระดาบสชรากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงกวางมากมี

พระเทพฤษีละจากการป้อนผลไม้ให้แก่ฝูงกวาง หันมามองทางบุรุษทั้งสองซึ่งกำลังเดินออกจากชายป่าลัดลานหญ้ามาหาท่าน
นกุลบุ้ยใบ้ให้สหเดชะนั่งลงตรงหน้าท่าน กวางหลายตัวกระดิกหูและเดินออกห่างไปเล็กน้อย ทว่าหลายตัวก็ยังอยู่ที่เดิม ด้วยมันไม่สัมผัสถึงอันตรายใดๆ จากบุรุษที่มาใหม่นี้แม้สักน้อย

สหเดชะกระทำความเคารพพระดาบสด้วยความยำเกรงอย่างยิ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท่าน ก็เห็นใบหน้าของพระเทพฤษีเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มการุณย์

ใบหน้าของท่านแม้แก่ชรา ทว่าก็ราวกับจะอาบไว้ด้วยความอิ่มเอิบบางอย่าง นับว่าเป็นดวงหน้าอันสว่างสดใสใบหน้าหนึ่ง สิ่งที่ทำให้สหเดชะประหลาดใจเหลือคือดวงตาอันคมกริบของท่าน มันคล้ายกับจะเปล่งประกายแห่งเปลวไฟออกมา คล้ายกับว่ามีเปลวร้อนแห่งพระสูรยาทิตย์อันนับเวลาได้โกฎิหมื่นปีรวมไว้ข้างในนั้น นี่คงเป็นตบะอันเกิดจากการปฏิบัติมั่นถือมั่นของท่านเป็นแน่

“มายังไรล่ะพ่อ ทุกข์ร้อนอันใดหรือ” เสียงของท่านนุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งนัก สหเดชะรู้สึกราวกับถูกชโลมด้วยแสงแดดอุ่นๆ ยามสาย

“กระผมเดินทางมากลางป่า พันเอิญเจอะเข้ากับอ้ายยักษ์โขมดไพร ถูกมันเข้ามาทำร้าย แต่เหมือนทุกข์ซ้ำกรรมซัด...ยังมีเจ้ากุมภัณฑ์ตนหนึ่งเข้ามาฆ่าเจ้ายักษ์โขมดนั้น แล้วใช้ดาบคมกล้าแทงกระผมหวังให้ตายตก”

“พ่อมาในป่าคนเดียวละหรือ”

“หามิได้ขอรับ กระผมมากับคนอีกผู้หนึ่ง เป็นน้องน้อยของกระผมเอง ความจริงแล้ว...กระผมผูกจิตเสน่หาปฏิพัทธ์กับเขา มาบัดนี้กลับถูกเจ้ากุมภัณฑ์จัณฑาลผู้นั้นฉุดคร่าไปเสีย เป็นคราวโชคได้นกุลผู้ประเสริฐช่วยรักษาแก้ไขให้ดีขึ้น” สหเดชะยกมือขึ้นพนมเพียบแต้ ขณะนกุลนั้นกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะถูกเอ่ยชม “กระผมตอนนี้ก็เหมือนกวางน้อยตัวหนึ่งผู้ซึ่งมีขาติดอยู่ในบ่วงของนายพราน ไม่อาจสลัดให้หลุดไปได้ เดือดเนื้อร้อนใจเป็นกำลัง เมื่อตกอยู่ในกองทุกข์เสียแล้วชีวิตก็ไร้สุขเหลือแสน หนีร้อนมาพึ่งเย็นหวังว่าพระคุณเจ้าจักช่วยชี้ทางให้กระผมได้ตามน้องน้อยกลับมาได้ หากมิได้มาพบพระคุณเจ้าวันนี้แล้วไซร้ ก็คงไม่แคล้วถูกพรานไพรใจโฉดบั่นคอเลาะเนื้อจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่”

“อ้ายหนุ่มนี่มันพูดจาสำคัญนัก” นกุลบ่นพึม แต่เมื่อถูกพระอาจารย์มองด้วยสายตาตำหนิก็เสไปเหลือบดูไม้ดูหญ้าแทน

พระฤษีมองสหเดชะนิ่งอยู่ คล้ายกับดวงตาของท่านจะส่องประกายจ้า

“ทุกข์ครั้งนี้หนักอยู่นะพ่อเอ๋ย จะแก้ไขให้รอดพ้นได้ยากแท้”

“ยากเข็ญนักหรือขอรับ”

“ยากเข็ญแท้ แต่ก็มีทางแก้ไขอยู่บ้าง”

“ต้องทำเช่นไรหรือขอรับ”

“สหเดชะมิใช่หรือคือนามพ่อ?”

“ขอรับ กระผมมีนามว่าสหเดชะ”

พระฤษีวางมือเหี่ยวย่นลงกับหน้าขาซึ่งห่มไว้ด้วยผ้าคากรอง

“พ่อเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

สหเดชะจนต่อคำพูด เมื่อมองสบกับนัยน์ตาของพระเทพฤษี คล้ายกับท่านจะมองเห็นเข้าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องที่เกิดแก่เขาเองหรือแก่คนเกี่ยวข้องกับเขา

“สหเดชะเอย พ่อยึดติดกับหนุ่มน้อยผู้นั้นมากถึงเพียงนี้ก็ด้วยกรรมจากชาติปางก่อนปั้นแต่ง ฝ่ายนั้นเองก็มีบุญมีกรรมผูกติดกับพ่อไว้แน่นหนาเหลือเกิน อันว่ารักคือกาวเหนียว ยึดติดพ่อไว้กับโลกียะ จักเวียนว่ายตายเกิดอีกนานเท่าใดล่ะพ่อ ชีวิตนี้พ่อไม่หวังจะถึงซึ่งโมกษะทางสว่างดอกหรือ กรรมนี้ก็จักหยุดได้หากพ่อเอาใจใฝ่เพื่อเข้าถึงเป็นหนึ่งกับพระปรมาตมัน”

สหเดชะก้มหน้านิ่งโดยดุษณี

“กระผม...รักเขาเหลือเกิน ชีวิตคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีรวี”

“ฉันเองก็พูดประสาคนแก่นะพ่อ พ่อจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่พ่อเถิด บุญกรรมเกิดเพราะการกระทำของเราเอง หากจะตัดเยื่อไม่ให้เหลือใยก็จะดี แต่ถ้าตัดไม่ได้ก็ดำรงตนให้ดี อย่าก่อกรรมใดอีก นั่นละจึงจะลดทุกข์ลงได้บ้าง”

“กระผมไปพรากเขามาจากแม่...ก่อนเวลาเหมาะควร ทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งทุกข์ หากได้ทำให้เขามีความสุขแม้เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งก็ยังถือว่าดีมากแล้ว บัดนี้เขาถูกคร่าไปไกลจากกระผมเสียแล้ว ใจร้อนรนอยากไปตามกลับมา แต่ก็จนใจด้วยตนเองนั้นไร้กำลัง ไม่อาจต่อกรกับฝ่ายนั้นได้”

ดวงตาของสหเดชะร้อนผ่าว ประหวัดไปถึงโมงยามที่ตนใช้พระขรรค์ตัดน้องออกจากขั้วต้นแม่ มักกะลีผลมิใช่มีจิตใจหรือดวงวิญญาณหรือ แม้เกิดมาเพื่อสุกงอมเพียงเจ็ดวันแล้วเหี่ยวแห้งไป ทว่าปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้มีชีวิตอยู่ในระยะเวลาเจ็ดทิวาราตรีนั้น แม้นับว่าสั้นเหลือเกินหากเทียบกับอายุขัยชาวฟ้า แต่ก็นับเป็นชีวิตอันมีค่าเช่นกัน เขาถืออำนาจอันใดจึงไปฉุดคร่าน้องมาจากต้นแม่ เช่นนี้เขาเองก็ไม่ต่างจากเจ้ากุมภัณฑ์ผู้นั้นน่ะสิ

เขาเม้มปากแน่น ยอมรับคำสอนของพระเทพฤษีแต่โดยดี ด้วยรู้ว่าพระคุณเจ้าท่านเอ่ยมาก็เพื่อให้เขาได้คิด แม้ท้ายที่สุดแล้วเขาจะคิดได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง

“ตัวทุกข์นี้สำคัญนัก มันอยู่ในใจของเราเอง พ่อก็เห็นอยู่แล้ว...ว่ามันกัดใจพ่อให้ทรมานเพียงใด”

“ขอรับ กระผมรู้ซึ้งดียิ่งแล้ว”

“รู้เช่นนี้พ่อยังจะตามไปอีกหรือ”

“เมื่อพรากเขามาจากแม่ กระผมก็ผูกติดไว้กับเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วขอรับ มาบัดนี้รู้ว่าใจของกระผมก็คือเขา หากขาดเขาไปก็คงมีแต่จะแดดิ้นดับสิ้นไป”

“พ่ออุบัติขึ้นในจาตุมหาราชิกา มาบังเกิดในเหล่าพิทยาธรชาวฟ้า บัดนี้เพราะกรรมนำส่งแต่ชาติปางก่อนพ่อจึงสูญเสียพระขรรค์คู่กาย ซ้ำวิมานก็ทลายลงเป็นผงธุลี พ่อมิได้อยู่ในหมู่พิทยาธรอีกแล้ว หรือพ่อเป็นเพียงมนุษย์เดินดินเท่านั้น”

สหเดชะเม้มริมฝีปากแน่น “มิใช่ทั้งพิทยาธรหรือมนุษย์ขอรับ”

“เป็นคนแปลกเหล่าแปลกพวก ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ใดทั้งสิ้น มักกะลีผลผู้นั้นก็ด้วยซีนะ”

เขากระอึกกระอัก “ขอรับ รวี...มักกะลีผลผู้นั้นก็ด้วยขอรับ”

“พ่อผ่านทุกข์ผ่านโศกมามากนัก มีบุญได้มาเกิดยังโลกชาวฟ้า กลับต้องร่วงหล่นลงดินอีกครา”

พระเทพฤษีมฤควัจน์นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ก่อนท่านจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เอาละพ่อ ฉันจักช่วยพ่อหนุ่มก็แล้วกัน”

สหเดชะก้มกราบราบกับดิน

“พระคุณเจ้าเมตตายิ่งแล้ว”

“อุเบกขาเป็นธรรมของพรหม เห็นพ่อมาด้วยใจร้อนเพราะทุกข์เข็ญ ฉันก็วางเฉยไม่ได้หรอกหนา” ท่านมองดูสหเดชะด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยได้ยินเสียงสะอื้นฮักๆ ดังมาไม่ขาดและทำท่าจะดังขึ้นเรื่อยๆ พอหันไปมองก็เห็นนกุลกำลังเช็ดน้ำตาป้อยๆ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ช่างไม่น่าดูเสียจริงๆ

“อะไรของเอ็งหา นกุล ร้องห่มร้องไห้อย่างกับหญิงผัวตาย”

“พระอาจารย์” นกุลฟูมฟาย “ไม่ร้องได้หรือ ก็ชีวิตของสหเดชะผู้นี้เศร้าอย่างกับอะไร ศิษย์สงสารเขา”

“มันใช่เรื่องของเอ็งเรอะ” ท่านเอ็ด “ตุ่มน้ำที่กระท่อมแทบไม่มีน้ำเหลือแล้ว ไปไป๊...ไปตักน้ำมาใส่ให้เต็มเสีย”

คนกำลังร้องไห้หยุดน้ำตาโดยพลัน “โธ่ ศิษย์เดินทางมาเหนื่อยๆ พระอาจารย์ยังจะใจร้ายใช้งานศิษย์อีกหรือ”

“เอ็งจะให้ข้าแพ่นกบาลเอ็งด้วยไม้เท้านี่ไหม ไปเดี๋ยวนี้เจียวนะ อย่ามัวพิรี้พิไร”

เห็นพระอาจารย์ฉวยเอาไม้เท้ามาถือมั่นไว้กับมือ นกุลก็ตาเหลือก รีบแจ้นไปทางกระท่อมทันที เรียกว่าวิ่งแทบไม่เห็นฝุ่น

พระดาบสหันมามองสหเดชะที่ก้มหน้านิ่งเฉยอยู่ ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

“พ่อหนุ่ม ฉันช่วยพ่อหนุ่มได้ไม่มากหรอกนะ จะทำได้ก็เพียงมอบวิชาความรู้ฝีมือให้ติดตัวพ่อเท่านั้น อย่างอื่นก็ขึ้นกับพ่อหนุ่มเองหนา”

“เท่านี้ก็นับเป็นพระคุณมากแล้วขอรับ กระผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณเจ้าอย่างไรดี”

“ไม่ต้องตอบทงตอบแทนอะไรหรอก ถือเสียว่ามาตักน้ำผ่าฟืนช่วยเจ้านกุลมันก็แล้วกัน เท่านี้ก็นับเป็นค่าบูชาครู ฉันจะสอนวิชาให้พ่อ แต่พ่อจะเรียนเร็วเรียนช้าก็แล้วแต่พ่อละนะ”

“กระผมจะเรียนให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ไปช่วยเขาโดยไว อีกอย่าง...ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“พ่อเร่งฝึกวิชาเข้าเถิด ทางมักกะลีผลผู้นั้นยังปลอดภัยดี ไม่มีเรื่องร้ายเร็วๆ นี้หรอก”

สหเดชะได้ยินเช่นนั้นก็ใจชื้นขึ้น เขาก้มกราบพระเทพฤษีอีกรอบ

รวี...รอพี่นะ พี่จะมาช่วยน้องในไม่ช้านี้แหละ

+++

รวีพิรุณฟื้นคืนสติ รับรู้ถึงลมเย็นพัดใบหน้า เมื่อลืมตาเห็นชัด ก็พบว่าตนเองกำลังลอยไปในอากาศ ถึงแก่งงงวยว่าวิชาฝึกบินที่เรียนมากับท่านพี่นั้นทำให้เขาเหาะได้เชียวหรือ

แต่แล้วรวีเจ้าก็หัวใจหล่นไปอยู่ที่ท้อง เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดวาบขึ้นมาในหัว บัดนี้สภาพโดยรอบห่มคลุมไว้ด้วยม่านราตรี ภาพจำสุดท้ายก่อนจะหมดสติคือร่างของท่านพี่กระเด็นไปด้วยแรงมหาศาลไปติดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ฝ่ายตัวเขาเองถูกคนผู้หนึ่งดึงร่างไปโดยแรง เขาดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง ทว่าคนผู้นั้นก็ฟาดกำปั้นเข้ากับท้องอย่างแรง จนรวีเจ้ารู้สึกว่าโลกมืดลงฉับพลัน มาฟื้นตื่นอีกทีก็ลอยอยู่ในอากาศนี้แล้ว

“ปล่อยเรานะ!”

รวีแผดเสียง พลางดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เขาถูกโอบรัดไว้ด้วยแขนแข็งแรงข้างหนึ่ง ส่วนอื่นของร่างกายนั้นเป็นอิสระ เจ้ามักกะลีผลจึงทั้งทุบทั้งถอง อนิจจา...เรี่ยวแรงอันน้อยนิดนี้แทบไม่ระคายผิวของบุรุษปริศนาผู้นี้เลยจนนิดเดียว

“นางมักกะลีผลผู้นี้ จะขัดขืนไปไย เราไม่คิดร้ายกับเจ้าหรอก”

เสียงนั้นทรงอำนาจยิ่งนัก ทว่าด้วยอารามร้อนรน รวีพิรุณมิได้ฟังคำใดๆ ทั้งนั้น

“ปล่อยเรานะ เราจะไปหาท่านพี่ ท่านพี่กำลังเจ็บ”

“หุบปากเสีย อย่าเอ่ยอะไรอีก”

จะทุบตีเช่นไรคนผู้นี้ก็ราวกับสร้างขึ้นจากหินผา ไม่สะทกสะท้านใดๆ

“เจ้า...เจ้า...เจ้าคนเลว!” รวีร้องออกมา

“คนเลวรึ?” ฝ่ายนั้นฉงน

“เจ้าทำท่านพี่เจ็บ เจ้าเป็นคนเลว”

“หึๆ” บุรุษผู้นั้นหัวเราะชอบใจ “มันผู้นั้นไปเด็ดเจ้ามาจากต้นนารีผลละซี ตกเป็นเมียมันมากี่มากน้อยแล้วล่ะ จึงเรียกขานกันเป็นท่านพี่ท่านน้องอย่างนี้”

“เราไม่ชอบเจ้า เจ้าเป็นคนไม่ดี!”

“หึ ดิ้นตามใจเจ้าเถิด ไว้กลับไปถึงบ้านเราเมื่อไร จะได้เห็นดี”

“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ จะพาเราไปไหน”

“ไปไหนน่ะหรือ ก็บ้านเราน่ะซี”

“บ้าน...บ้านที่ไหน เราไม่อยากไป”

“เราจะบอกอะไรเจ้าไว้ พอไปถึงบ้านของเราแล้วเจ้าอย่าได้แหกปากเอ็ดตะโรเช่นนี้ ประเดี๋ยวพวกร้ายๆ ที่บ้านของเราก็แห่กันมาหาเจ้า”

“พวกร้ายๆ หรือ”

“พวกยักษ์กุมภัณฑ์ยังไงล่ะ”

“กุ...กุมภัณฑ์หรือ กุมภัณฑ์คืออะไร”

คล้ายท่านพี่จะเคยเอ่ยถึงนามนี้มาก่อน อา...ใช่แล้ว ท่านพี่เคยบอกว่าแถบถิ่นนี้มีชนมากหลาย หนึ่งในนั้นคือชาวกุมภัณฑ์ คนผู้นี้เป็นกุมภัณฑ์หรือ คนผู้นี้เป็นคนไม่ดี ฉะนั้นชาวกุมภัณฑ์ก็ต้อง...

“พวกเจ้าเป็นคนไม่ดี!”

“ปากเก่งนัก ใครว่าเราเป็นคนไม่ดี เราแค่เห็นเจ้าอยู่ตรงนั้น...กลิ่นของเจ้าหอมดี เราเลยพามาด้วย จะว่าเป็นคนไม่ดีได้อย่างไร”

“ปล่อยเราลงนะ เราจะกลับไปหาท่านพี่”

“ท่านพี่ของเจ้าคือวิทยาธรที่เราแทงด้วยดาบตรึงไว้กับต้นไม้น่ะหรือ เฮอะ...ป่านนี้มันตายไปแล้วกระมัง ยังจะกลับไปหามันอีกทำไม”

ได้ยินเช่นนี้หัวใจรวีพิรุณแทบหล่นหาย ห่วงนักว่าท่านพี่จะตายตกเช่นคำพูดของกุมภัณฑ์ใจบาปผู้นี้ แต่ในใจก็เชื่อมั่นว่าท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไร ก็ท่านพี่เก่งกาจมากนี่นา ท่านพี่เหาะได้ ท่านพี่หาผลไม้มาให้กิน หาน้ำผึ้งมาให้กิน ท่านพี่เตะยักษ์โขมดจนกรามหลุด ท่านพี่เก่งอย่างนี้เลย

รวีไม่เชื่อคำพูดเจ้ากุมภัณฑ์จอมโป้ปดนี้หรอก ท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไร

ท่านพี่จะต้องมาช่วยรวีอยู่แล้ว!

คิดได้ดังนั้นแล้ว รวีพิรุณก็ตัดสินใจเงียบเสียง ตนรู้บางอย่างบอกให้เขาเงียบไว้ ไม่ว่าเจ้าคนนี้จะทำหรือว่าอะไรก็ให้เงียบไว้เป็นดีที่สุด เว้นแต่ว่าหากมันจะทำอะไรไม่ดีขึ้นมารวีก็จะขัดขืนอย่างสุดกำลัง จะปากกัด เล็บข่วน ขาถีบ เข่าถอง น่องเตะ

“สงบได้แล้วหรือ”

เจ้ากุมภัณฑ์หยาบช้าหัวเราะ “อีกเดี๋ยวก็จะถึงบ้านเราแล้ว”

หลังจากนั้นรวีพิรุณก็ปิดปากเงียบ ในเมื่อขัดขืนใดๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องขัดขืนแล้ว ถึงจะข่วนจะทุบถองอย่างไรก็ไม่ระคายผิวหยาบๆ ของเจ้าคนนี้ รวีก็ต้องเลิกทำให้ตัวเองเสียแรงเปล่า เขาไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้างในเพลาข้างหน้า กระนั้นก็ขอออมแรงไว้ก่อน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถวิ่งไปได้ไกลๆ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะขอวิ่งกลับไปหาท่านพี่ให้ได้เชียวละ

แสงทองเริ่มอาบขอบฟ้า ผืนป่ายังตกอยู่ในความมืด ทว่าอีกไม่นานก็จะสว่างแล้ว รวีพิรุณรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่ามีสิ่งทะมึนอันใหญ่โตกำลังใกล้เข้ามา และเจ้าสิ่งนั้นคล้ายกับน้ำหนักอันหนักอึ้งยิ่งกว่าขุนเขาหรือบรรพตใดๆ มันราวกับจะทาบทับลงมาบนร่างของเขา แล้วกดให้เขาจมลงไปกับดิน

คนผู้นั้นวาดมือไปข้างหน้า แล้วลอยพุ่งตรงไป

เกิดประกายวูบวาบครั้งหนึ่ง แล้วก็คล้ายกับว่าพวกเขาลอยผ่านเยื่อบางๆ เข้าไป

“นั่นปะไร บ้านของเรา”

คนผู้นั้นเอ่ยอย่างผยอง

“โลหะนคร”

ไม่เหมือนกับป่าแห่งมักกะลีผลแม้สักน้อย ไม่เหมือนวิมานของท่านพี่แม้แต่นิด ที่นี่อึดอัด...ราวกับว่าพงไพรได้หายไปจากโลก ราวกับว่าพืชพันธุ์สีเขียวมากมีจะอันตรธานหายไปสิ้น ไม่มีความเขียวขจี ไม่มีความสดชื่นของป่าไม้ใดๆ รวีพิรุณรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ออก

สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้เป็นชั้นช่องสูงใหญ่ทะมึน ราวกับว่ามีขึ้นไว้เพื่อกางกั้นโลกด้านในไว้จากภายนอก มันดำมืดไม่สว่างสดใสเช่นปราสาทของท่านพี่ ในสิ่งปลูกสร้างที่สูงเทียมเมฆและยาวออกไปจนสุดตานี้เอง มีช่องว่างช่องหนึ่งอยู่ตรงนั้นราวกับปากถ้ำ รวีเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าต้นไม้ที่สูงที่สุดสองคนยืนขวางช่องทางนั้นไว้

“ประตูสู่โลหะนคร” คนที่อุ้มรวีพาดไหล่เอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิ

เขาลอยตัวลงต่ำ เมื่อเท้าแตะพื้นจึงเดินอาดๆ เข้าไปหาร่างสูงใหญ่ทั้งสองนั้น รวีใจเต้นระทึก เพราะใบหน้าของคนอีกสองคนนี้น่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน พวกมันมีเขี้ยวใหญ่ๆ โผล่ออกมาจากมุมปากทั้งสองด้าน ซ้ำผิวหน้าก็แดงดั่งเลือด ดวงตาจ้องเขม็งไม่กะพริบ ลิ้นสีแดงแลบออกมายาวถึงคาง

คนที่พารวีมาเดินไปหยุดตรงหน้าร่างใหญ่ยักษ์สองตนนี้ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “เรากลับมาแล้ว”

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่ายอดไม้นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละน้อย พวกมันค่อยลดขนาดร่างกายลง ความสูงจากยอดไม้เหลือเพียงสูงเท่าระดับกิ่งก้าน ก่อนค่อยๆ หดตัวลงมาเรื่อยๆ รวีเจ้ามองพลางอ้าปากค้าง ช่างน่าประหลาดเหลือ
ในเวลาไม่นาน ร่างสูงใหญ่นั้นก็กลายมาเป็นบุรุษความสูงไม่ต่างกับคนที่อุ้มรวีพิรุณอยู่นี้เอง เจ้าสองคนนั้นถือดาบไว้ในมือมั่น แล้วคุกเข่าลงกับพื้น ทำความเคารพด้วยเกรงบารมี

“น้อมรับเสด็จกลับโลหะนครพระเจ้าค่ะ”

เขาผู้นี้ไม่แม้แต่จะเอ่ยตอบ เมื่อบุรุษสองคนนั้นลุกขึ้นยืน กลับไปเปิดบานประตูที่ปิดแง้มนั้น เขาก็ก้าวขาไปข้างหน้าสองก้าว แล้วก็พุ่งตัวไปในอากาศอย่างแรง ผ่านช่องประตูนั้นเข้าไป

ทุกอย่างราวกับพร่ามัวลง เมื่อมารู้สึกตัวอีกที รวีพิรุณก็เห็นปราสาทใหญ่โตยิ่งกว่าปราสาทใดๆ ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ความใหญ่โตน่ายำเกรงยิ่งกว่าขุนเขาอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆ คนผู้นั้นพาเขาร่อนลงกับพื้น ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน รวีเจ้ารู้สึกราวกับถูกบีบอัดจากทุกทิศทาง คล้ายกับลมหายใจจะถูกดูดหายไปหมด

ขณะพารวีพิรุณเข้าไปในปราสาทอันใหญ่โตหลังนั้น เจ้ากุมภัณฑ์ใจหยาบก็พลันหยุดนิ่ง หันไปทางด้านหนึ่ง

ณ ระเบียงทางเดินอันทอดยาวออกไปนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เป็นชายร่างสูงยิ่งกว่าคนผู้นี้ ชายคนนั้นมองจ้องพวกเขาทั้งสอง ในสายตานั้นอ่านไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์เช่นไร ทว่าความกดดันรุนแรงก็ส่งผ่านออกมาจากร่างนั้น ทำให้รวีพิรุณแทบจะกระอักไอ

คนผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “กลับมาแล้วหรือ จตุรเศียร”

“พระเจ้าค่ะ เสด็จพี่สัตตพักตร์”


++++

เจอกันตอนใหม่นะคะ มาดูกันว่าใครจะหมู่จะจ่า น้องรวีก็ไม่ยอมใครนะเออ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-09-2019 15:46:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-09-2019 16:20:01
เจ้าพี่เก่งอย่างนี้เลย น้องลู๊กก อวยเจ้าพี่เก่งงง
น้องก็สู้คนนะเออ แต่ตอนนี้ขอเงียเก็บเเรงไว้ก่อน5555
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-09-2019 23:38:51
รวีก็ตัวแค่นี้  :ling2:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-09-2019 00:19:49
มีแต่ตัวบอสทั้งนั้น  เอาใจช่วยรวี
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 12 [23-09-2562] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: PJansam ที่ 07-01-2020 22:48:59
ไม่ได้อ่านนิยายนานเลย. หาอะไรอ่านนึกถึงคุณแป้งจี่เป็นคนแรก ยังรอติดตามเสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 13 [20-04-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 20-04-2020 23:39:09
เข้ามาต่อเงียบๆ ขอโทษนะคะหายไปนานเลย กลับมาแล้วน้าาา  :mew6:



บทที่ 13


จตุรเศียร เจ้ายักษ์หยาบช้าที่ทำร้ายท่านพี่และลักพาเขามาที่นี่ กำลังจับเขาพาดบ่าเดินเข้าไปหายักษ์อีกตนที่ยืนอยู่ห่างออกไป เดินเข้าไปพลาง สนทนาโต้ตอบไปพลาง น่าแปลกอย่างยิ่งที่เสียงซึ่งสนทนากันกลับได้ยินชัดเจนเหลือเกิน

“พี่บอกเจ้าว่าให้ทหารสอดแนมออกไปตรวจดูก็ได้ เจ้าไม่ต้องออกไปเอง”

“มิได้พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันอยากออกไปด้วยตัวเอง หม่อมฉันมีฤทธิ์มากกว่าทหารใดๆ หากมีพวกรากษสฤทธิ์ร้ายลอบกัดจะได้จัดการเสีย ถือว่าได้ฝึกฝนวิชา อีกทั้งไม่ต้องให้เสด็จพี่เดือดร้อนใจ”

“เหอะ...เดือดร้อนรึ เจ้าพวกรากษสไพรเหล่านั้นหรือจะสำคัญขนาดให้พี่ต้องประหวั่น แล้วเป็นอย่างไร เจ้าเจออะไรบ้างล่ะ”

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เจ้ายักษ์นามว่าสัตตพักตร์มากเท่าใด รวีก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกัดทับอันมากมาย ราวกับว่าหิมาลัยบรรพตกำลังทิ้งตัวลงมาบนร่างของเขา มักกะลีผลหนุ่มหายใจหอบเอาอากาศเข้าไปอย่างลำบาก

“เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะเจอทหารรากษสสักกลุ่มสองกลุ่ม แต่ไม่รู้พวกมันไปอยู่ที่ไหนเสียหมด เจอะก็แต่เจ้ายักษ์โขมดไพรไร้สังกัดตัวหนึ่งเท่านั้น ขวางหูขวางตาหม่อมฉันจึงฆ่ามันทิ้งเสีย”

“ไปฆ่ามันทำไม ไม่เก็บมันกลับมาเลี้ยงดูเล่นล่ะ”

“มันคิดทำร้ายหม่อมฉัน”

“อย่างนั้นรึ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ” สัตตพักตร์แค่นหัวร่อ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ หางตาปรายมองร่างผอมๆ บนบ่าของจตุรเศียร “แล้วนั่นเจ้าหอบอะไรมาด้วยล่ะ”

“มักกะลีผลพระเจ้าค่ะ”

“มักกะลีผลรึ” ใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่สนใจ ทว่าจมูกโด่งงามนั้นกลับทำราวกับดมกลิ่นในอากาศ “กลิ่นมักกะลีผลไม่จางไปหน่อยหรือ”

“เป็นเช่นนั้นพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ใคร่แน่ใจนัก จึงพากลับมาดู หากเป็นมักกะลีผลจะได้ร่วมภิรมย์สักครา แต่หากเป็นสิ่งอื่นก็คงจะฆ่าทิ้งเสีย”

“มักกะลีผลยิ่งวันยิ่งหอมชวนหลง ยิ่งงอมยิ่งส่งกลิ่นโชยชายไปไกล เจ้าไปไกลถึงป่ามักกะลีผลเชียวหรือ ถ้ากลิ่นจางถึงเพียงนี้ก็คงเพราะเจ้าเพิ่งเด็ดมากระมัง แต่มักกะลีผลสุกงอมพร้อมเด็ดนั้นหอมฟุ้งนักมิใช่รึ แต่เจ้านี่กลับเพียงส่งกลิ่นจางๆ”

“มิได้ เสด็จพี่ หม่อมฉันชิงมาจากคนผู้หนึ่ง” เอ่ยเช่นนั้นแล้วจตุรเศียรก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมา ด้วยนึกสะกิดใจบางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นั้น แต่แล้วก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป ฝ่ายสัตตพักตร์จอมยักษากลับไม่สนใจสักนิดว่าอนุชาของตนได้ไปช่วงชิงมักกะลีผลมาจากใคร เพราะในความทรนงแห่งชาติภุมภัณฑ์นั้น จอมยักษ์ตนนี้เห็นว่าสิ่งใดๆ ในประเทศเขตป่าแห่งนี้ล้วนเป็นของนครโลหะทั้งสิ้น ทั้งตนเองและอนุชาจะช่วงชิงหรือได้มาโดยเปล่าดายก็ไม่เป็นเรื่องผิดอะไร

“เอ...” สัตตพักตร์ยักษาเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคมหรี่มอง “นี่...มิแปลกหน่อยหรือ”

“แปลกอันใดหรือเสด็จพี่”

“ก็มักกะลีผลผู้นี้...เป็นบุรุษมิใช่รึ”

รวีพิรุณสีหน้าซีดเผือด เบี่ยงหน้าไปมองดูบุรุษผู้มีพลังอำนาจกดดันยิ่งใหญ่ผู้นี้ เมื่อดวงตาสบเข้ากับสายตาคมกริบนั้น และเห็นใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ รวีก็ต้องเบิกตากว้าง

สิ่งที่เห็นตรงหน้าคล้ายกับภาพทับซ้อน เพราะบัดเดี๋ยวก็เห็นว่าคนผู้นี้มีใบหน้าอันหล่อเหลาราวปั้นแต่งเพียงใบหน้าเดียว แต่เพียงเสี้ยวหายใจต่อมาก็เห็นว่าใบหน้าของคนผู้นี้ปรากฏเพิ่มขึ้นมาอีกหลายหน้า แต่ละหน้าล้วนแสดงอารมณ์ต่างๆ กันออกไป หน้าหนึ่งขึ้งโกรธ หน้าหนึ่งพึงผยอง หน้าหนึ่งลำพองตน หน้าหนึ่งอวดโอ่ หน้าหนึ่งยิ้มเยาะ หน้าหนึ่งหัวเราะร่า หน้าเหล่านี้ล้วนน่าหวาดกลัว ด้วยมีเขี้ยวขาวโง้ง ผิวขาวเผือดราวไร้เลือด ดวงตาแดงก่ำอย่างลูกไฟ ทว่าเมื่อรวีหลับตาลงแล้วลืมขึ้นมองอีกครั้ง ใบหน้าเหล่านั้นก็หายไป สิ่งที่จ้องกลับมาสบกับดวงตาของเขามีเพียงสองตาคมเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาอวดเบ่งศักดานี้เท่านั้น

“มิใช่งามเช่นสตรี ทว่าก็ชวนมอง แม้มิได้งามหยาดฟ้ามาดินพอให้พี่ต้องสนใจ ทว่าก็พอกล้อมแกล้มได้บ้าง” สัตตพักตร์ทำราวกับไม่สนใจ มองเหยียดก่อนจะหันหลังเดินห่างออกไป “แต่พี่ว่าสนมนางในมีถมไป เจ้าอย่าได้สนใจมันเลย ปล่อยให้มันเหี่ยวเฉาเน่าเปื่อยไปตามเวลาเถิด มิเช่นนั้นก็ให้พวกทหารเอาไปเล่นแก้ขัดดีกว่า”

จตุรเศียรมิได้ตอบคำ สัตตพักตร์จอมยักษาจึงเอ่ยต่อ

“ช่วงนี้พี่จะต้องประกอบพิธีบูชาองค์ศิวะเป็นเจ้า เจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลนครแทนพี่ด้วย หากพวกอันธพาลจากนครกลางหาว หรือพวกรากษสชาวไพรมาก่อเรื่องในเขตแดนของเรา ก็ให้เจ้าจัดการตามสมควรเถิด”

“พระเจ้าค่ะ เสด็จพี่”

คล้อยหลังสัตตพักตร์จอมยักษาผู้เป็นจ้าวนครโลหะไปแล้ว แรงกดดันจากขุมพลังบางอย่างก็ราวกับถูกยกออกไป รวีพิรุณหายใจคล่องขึ้น แต่แม้ไม่กดดันเท่าตอนคนผู้นั้นยังอยู่ แต่ในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เหมาะกับรวีอย่างยิ่ง

ไม่มีสวนสวยเช่นบ้านท่านพี่

ไม่มีผลไม้อร่อยๆ อย่างในป่าดีน้ำอุดมบนเกาะวิมานของท่านพี่ ไม่มีกระต่ายน้อยวิ่งเล่นในกลุ่มหญ้า ไม่มีฟ้าสวยให้มองเห็น มีแต่สิ่งปลูกสร้างใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่ละสิ่งแต่ละอย่างล้วนมีสีหม่นทึม ราวกับว่าทุกอย่างกำลังบีบเข้ามาจากรอบด้าน มักกะลีผลหนุ่มไม่ชอบเลยจริงๆ

เขาอยากพบท่านพี่ แต่เมื่อใจกระหวัดถึงอีกฝ่าย ก็เห็นภาพที่ท่านพี่ถูกเจ้ายักษ์เกเรคนนี้ใช้อาวุธตอกตรึงกับต้นไม้ใหญ่ แม้ใจจะเชื่อมั่นว่าท่านพี่จะต้องปลอดภัย แต่ไหนเลยจะห้ามหัวใจตนเองได้ ไหนเลยจะห้ามมิให้รู้สึกกังวลได้เล่า

เขายังจำได้เมื่อคราวท่านพี่สหเดชะสอนให้เขาเหาะไปด้วยฤทธิ์พระขรรค์ เขาเผลอเหาะเร็วจนเกินไป และท่านพี่ก็ร้องเรียกชื่อเขาเสียงดัง รวีพิรุณยังแว่วกระแสตระหนกในน้ำเสียงของท่านพี่ได้ดี

‘อย่าจากพี่ไป อยู่กับพี่’

ท่านพี่เอ่ยเช่นนั้น ท่านพี่อยากอยู่กับรวี ท่านพี่กลัวรวีจากไกล

รวีพิรุณเองก็...อยากอยู่กับท่านพี่

เจ้ามักกะลีผลรู้สึกเสียวแปลบในอก นี่เป็นความรู้สึกใดกัน เหตุใดจึงเกิดขึ้นเมื่อยามประหวัดถึงท่านพี่เล่า?

“นี่...เจ้ามักกะลีผล เจ้าตายแล้วหรือ”

เสียงหนักๆ เอ่ยขึ้น รวีพิรุณหลุดจากอารมณ์ปวดหน่วงในอก เขาเม้มปากแน่น นึกอยากจะสลัดให้หลุดจากยักษ์ตนนี้ ทว่าก็รู้ว่าสู้แรงไม่ได้แน่ๆ

“หึ เมื่อแรกเจ้าพยศอย่างม้าป่า ทว่าบัดนี้กลับเงียบราวกับหนูเชียวนะ”

รวีราวกับจะเห็นสีอย่างอาทิตย์ยามเย็นพุ่งขึ้นมาที่หัว ส่งเสียงดังออกไป “เราไม่ใช่หนู! เราเป็นรวี!”

“อ้อ...” จุตรเศียรส่งเสียงพอใจ “ชื่อว่ารวีหรอกหรือ”

“เจ้าปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!”

“เรานึกว่าเจ้าจะตายเสียด้วยอำนาจของเสด็จพี่สัตตพักตร์เสียแล้ว ตบะเดชะท่านมีมากเหลือ ใครอ่อนแอเมื่อเข้ามาใกล้ท่านย่อมถูกอำนาจนั้นกดข่ม...บางคนถึงตายก็มี”

“ระ...เราไม่ตาย”

“อ้อ ทำไมล่ะ”

“ก็เราเก่ง!”

รวีรู้สึกว่าร่างนี้สั่นกึกๆ ทีเดียว “เจ้าเก่งอย่างนั้นรึ? ดี...ดีแล้วละ”

“เจ้า...เจ้าหัวเราะรึ?”

น้ำเสียงจอมยักษ์คล้ายนึกสนุก “เจ้ามักกะลีผลเอ๋ย...เจ้านี่น่าสนใจกว่าที่เราคิดไว้เสียอีกนะ”

จตุรเศียรประหวัดไปถึงเมื่อยามออกเดินท่อมๆ อยู่กลางไพรใหญ่กว้าง ยามเท้าย่างเหยียบลงไปในช่องว่างระหว่างไม้ขึ้นหนา จมูกของเขาก็กระสากลิ่นบางอย่าง

คราแรกเป็นกลิ่นสาบสางเหม็นคาวเลือดของยักษ์ไพร เมื่อสูดดมอีกคราก็แน่ใจว่าเป็นยักษ์โขมดที่คอยแอบลอบกินสิ่งมีชีวิตที่หลงมาเดินในป่านี้ แล้วพลันนั้นเอง...อนุชาจอมยักษ์ก็รู้สึกถึงอีกกลิ่นหนึ่ง คราวนี้เป็นกลิ่นแปลกออกไป กลิ่นนี้เรียกให้เท้าทั้งสองเปลี่ยนทิศทางแล้วเดินเข้าไปหา

หอม...

หอมเหลือเกิน...

หอมราวกับลูกไม้สุกงอม เรียกให้คนได้กลิ่นเอื้อมมือขึ้นไปปลิดจากขั้ว

เพียงเท่านั้นจตุรเศียรก็รู้แล้วว่าใกล้ๆ นี้มีอะไร หากทายไม่ผิดคงเป็นมักกะลีแน่ๆ

เมื่อเขากำจัดเจ้าแมลงน่าสมเพชเช่นยักษ์โขมดนั้นแล้ว เขาก็เห็นที่มาของกลิ่นหอมนี้ เป็นคนร่างผอมๆ ตัวเล็ก จะว่าเป็นหญิงหรือชายก็บอกได้ยาก เขาจึงคิดว่าเจ้านี่เป็นหญิงแน่ ก็มักกะลีผลไม่ใช่ว่ามีแต่หญิงหรอกหรือ?

เสด็จพี่สัตตพักตร์นั้นเคยคุยโอ่ว่าได้ลิ้มลองมักกะลีผลมาแล้วมากหลาย ทว่าเขาก็ไม่เคยเห็นแก่ตาตนเองสักที มาบัดนี้เมื่อเจอเข้ากับมักกะลีผลที่พระเชษฐาเคยคุยโวไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นหนุ่มก็นึกอยากจะลองสักครา จึงคิดลักพามา ทว่าเมื่อได้สัมผัสร่างกายจริงๆ และจับร่างเจ้าไว้กับตัวเช่นนี้นานเข้า ก็แน่ใจว่ามักกะลีผลผู้นี้เป็นชาย ซ้ำร้ายเมื่อพิจารณาให้ดี กลับพบว่า...

“ไฉนเจ้ามีกลิ่นวิทยาธร?”

จตุรเศียรเอ่ยขึ้นเมื่อปล่อยให้เจ้ามักกะลีผลลงยืนกับพื้น ฝ่ายนั้นกระโจนออกห่างจากเขาราวรังเกียจเหลือทน ก้าวเท้าตุปัดตุเป๋ไปซุกอยู่มุมหนึ่งของห้อง

พอยืนได้มั่นคงก็ตั้งท่าราวกับว่าหากเขาเข้าไปใกล้เพียงนิดเดียวก็พร้อมจะกระโจนเข้าขย้ำให้เนื้อขาด จตุรเศียรนึกขำท่าทางขึงขังนั้น ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตาของเจ้ามักกะลีผล เขาก็ชะงักไป

เหตุใดมักกะลีผลตัวเล็กๆ เช่นนี้จึงมีแววตาเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จตุรเศียรอยากจะเอ่ยว่ามีประกายตาโชนแสงแห่งความกล้าด้วยซ้ำ กระนั้นก็ไม่อยากจะเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้ มักกะลีผลเมื่อสุกงอมแล้วนับจากนั้นเจ็ดทิวาราตรีก็เหี่ยวเฉาและตายไป จะไปมีชีวิตมากกว่าเป็นเพียง ‘ลูกไม้’ ได้อย่างไร

“เราได้กลิ่นวิทยาธรจางๆ จากร่างเจ้า ตกลงเจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่” เขาเอ่ยขึ้นอีกด้วยหลากใจ

ฝ่ายนั้นปิดปากเงียบ ไม่ยอมเอ่ยคำกับเขาจนนิดเดียว ทีเมื่อครู่ยังต่อปากต่อคำเสียดิบดี “เจ้าไม่เก่งแล้วหรือ?”

“เราเก่งสิ เราเก่งอยู่แล้ว แต่เราไม่พูดกับเจ้า!”

แล้วที่ทำอยู่นี่เรียกว่าอันใดกัน จอมยักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็เผลอปล่อยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา “เจ้าเป็นเพียงมักกะลีผล เราจับเจ้ากินได้หมดในคราเดียว”

“เจ้า...เจ้าจะกินเราหรือ”

สายตาเด็ดเดี่ยวเริ่มวูบไหว ทว่าในอึดใจต่อมาก็กลับมาโชติช่วงอีก

“เราไม่กลัวเจ้าหรอก! ท่านพี่จะต้องมาช่วยเรา!”

รวีพิรุณเอ่ยออกมาเสียงดัง ราวกับจะตะโกนก้องให้ได้ยินไปทั่ว ราวกับจะฝากความคะนึงหาไปกับสายลมให้ไปถึงท่านพี่

“โฮ่” จตุรเศียรแค่นเสียง “เราชอบความเด็ดเดี่ยวของเจ้านัก หวังว่า ‘ท่านพี่’ ของเจ้าจะมาช่วยเจ้าได้ทันนะ”

จตุรเศียรใช้สายตาคมกริบมองจ้องใบหน้านั้น พบว่ายิ่งมองยิ่งพึงใจ ยิ่งประกอบกับสายตาห้าวหาญเด็ดเดี่ยวนี้แล้วยิ่งกระตุ้นให้จอมยักษ์รู้สึกสนุก...เจ้ามุสิกน้อยเอ๋ย เจ้าตกมาอยู่ในโลหะนครแห่งนี้แล้ว อย่าคิดแม้จะหนีออกไป เข้ามาว่ายากแล้ว ออกไปยิ่งยากกว่า ‘ท่านพี่’ อะไรของเจ้านั้นไม่มีหวังแม้แต่จะเข้ามาใกล้ประตูเมืองหรอก

เราจะให้เจ้าทำใจเสียก่อนหนึ่งราตรี ก่อนเราจะจัดการเจ้า

เจ้าจงวิ่งพล่านอยู่ในห้องนี้ หาทางออกให้หมดแรง แล้วเหนื่อยซบสลบไป

เพราะตอนนี้เจ้าเป็นเพียงมุสิกตัวน้อยๆ ไร้ซึ่งกำลังจะมาสู้รบกับเรา

อนุชาจอมยักษ์แค่นหัวร่อ แล้วผันกายจากไป บานประตูโลหะบานใหญ่หนาหนักเลื่อนเข้ามาปิดเสียงดัง เสียงนั้นสะท้อนเข้าไปในอกของเจ้ามักกะลีผล


เจ้าหนุ่มสะทกสะท้าน ราวกับเสียงนั้นได้ลั่นดาลกุมขังเขาไว้ในที่แห่งนี้

แม้จะฮึกเหิมเท่าใด แต่พอถูกปล่อยให้อยู่เดียวดาย ความกล้าหาญใดๆ ก็เริ่มหดหาย ห้องแห่งนี้เย็นเยียบยิ่งนัก พื้นที่เหยียบอยู่เล่าก็เย็นราวกับจะทำให้เท้าแข็งเสียให้ได้

รวีพิรุณทรุดกายลง สองแขนกอดรัดตนเองไว้

ท่าที ‘สู้คน’ เช่นที่แสดงต่อหน้าเจ้ายักษ์เกเรนั้นมลายหายไปแล้ว เหลือเพียงมักกะลีผลผู้เดียวดายในโลกกว้าง...ไม่สิ...ในห้องขังใหญ่โตทว่ามืดทึมแห่งนี้

มักกะลีผลผู้ลืมตามาเห็นต้นหญ้าเขียวขจีส่งประกายพราวด้วยน้ำค้างยามเช้า เห็นสายฝนโปรยปรายลงมาจากฟ้า เห็นกิ่งก้านต้นแม่ส่ายไหวยามลมค่ำคืนรำเพย มองเห็นแสงพระจันทร์เจ้าอาบชโลมทุกสิ่ง มองเห็นเจ้ากระต่ายป่าหูตั้งหางจุกวิ่งซุกซนอยู่ในพุ่มไม้ตรงนั้น แล้ววิ่งพล่านไปที่พุ่มไม้ตรงโน้น

มักกะลีผลผู้ได้ลิ้มลองรสชาติน้ำผึ้งป่าหอมหวาน ได้วิ่งเล่นไปในทุ่งหญ้าและสวนดอกไม้ ได้สัมผัสผิวดินอุดมด้วยหญ้าเขียวนั้นด้วยเท้าของตนเอง ได้สัมผัสชีวิต...ความสว่างไสวแห่งโลก และการได้มีชีวิตอยู่

ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของใครบางคน

ได้รับรู้ถึงสัมผัสร้อนผ่าวจากมือใหญ่แข็งแรงของคนผู้นั้น

รวีพิรุณชันเข่าขึ้นมา แล้วซบหน้าลงไป สองแขนกอดขาเข้ามาชิด ซุกซบใบหน้าเพื่อให้อกที่วูบโหวงหนาวเหน็บนั้นได้อุ่นขึ้นบ้าง
รวีจำได้

ในโมงยามที่ความมืดมิดคล้ายจะดูดดึงให้เขาตกลงไป ตกลงไปในสถานที่ที่มืดมนและลึกสุดหยั่ง ในโมงยามนั้นเขาไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่รู้ว่า...ท่านพี่ทำอะไรบางอย่าง แสงสว่างอบอุ่นนั้นจึงฉุดดึงให้เขากลับมาที่ร่างนี้

...และท่านพี่ก็ทำอะไรบางอย่างเช่นกัน จึงต้องสูญเสียวิมานของท่านไป

หัวอกหัวใจของรวีพิรุณยิ่งปวดแปลบเมื่อนึกไปถึงใบหน้าเด็ดเดี่ยวของท่านพี่ มองเห็นแววตามีประกายวูบไหวเมื่อยามพาเขาเหาะพุ่งลัดเลาะก้อนหินใหญ่น้อยที่กำลังร่วงกราวลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง มองเห็นสันกรามอันเครียดเกร็ง ในประกายวูบไหวของดวงตาท่านพี่นั้น รวีรู้...ว่าท่านพี่เสียใจ

แต่ก็เพียงเท่านั้น ยามมองหน้าหรือสบตากับเขา ท่านพี่มีรอยยิ้มละไมในดวงตา มีรอยยิ้มอบอุ่นบนริมฝีปาก รอยยิ้มที่ส่งผ่านมาที่ดวงตาของเขา ส่งผ่านมาที่ริมฝีปากของเขา และทำให้เขายิ้มออกมาด้วยเช่นกัน

ท่านพี่ไม่เอาเรื่องวิมานมาว่ากล่าวเขา ไม่เอาเรื่องใดๆ มาเอ่ยถึงอีก นอกจากจับมือของเขา แล้วก้าวเดินไปด้วยกัน ท่านพี่และเขาเดินทางกลางเถื่อน

ในยามที่มือสัมผัสกัน เกาะเกี่ยวกันไว้นั้น รวีพิรุณมั่นใจว่าจะไปได้ถึงไหนๆ ทีเดียว

และแม้จะแพ้ให้แก่เจ้ายักษ์เกเรนี่ แต่ท่านพี่จะไม่พ่าย

ท่านพี่จะเข้มแข็ง

ท่านพี่จะไม่ท้อถอย

ท่านพี่ไม่ยอมแพ้

ท่านพี่จะไม่จากไปไหน เหมือนที่ท่านพี่เคยบอกว่า...รวี อย่าจากพี่ไป

มือขาวๆ ของรวีพิรุณบีบไหล่ตนเองแรงขึ้น

ท่านพี่จะต้องมาช่วยรวี

...และทำโทษเจ้ายักษ์เกเรผู้นี้!


รวีพิรุณสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความเงียบและหนาวเย็น

เขางุนงงไปชั่วขณะ มองเขม้นไปทั่วพื้นที่แปลกๆ นั้นด้วยดวงตาพร่ามัว ก่อนจะเริ่มเห็นทัศนียภาพรอบๆ ชัดเจนขึ้น เริ่มจำได้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เขาหลับไปหรอกหรือ

หลับไปทั้งอย่างนั้นหรือ

รวีไม่รู้แน่ชัดว่าพระสูรยาทิตย์ได้ทรงรถออกส่องพื้นโลกหรือยัง เพราะในที่แห่งนี้ราวกับว่าแสงสว่างจะส่องเข้ามาไม่ได้ เขารู้สึกเมื่อยขบอย่างยิ่ง ปวดยอกตามร่างกายไปหมด เขาเหยียดแขนเหยียดขาออกไป ก่อนจะชะงักด้วยนึกสงสัยว่าตนเองตื่นเพราะอะไร

“โอ๊ย...”

รวีสะดุ้งโหยง สะบัดมือโดยแรงเพราะรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกของแหลมทิ่มแทง เมื่อยกมือขึ้นมาดูก็เห็น...ของเหลวสีแดงไหลซิบจากหลังมือ

ท่านพี่ก็เคยมีเจ้าของเหลวนี้ไหลชโลมกายมิใช่หรือ

รวีพิรุณหันซ้ายแลขวา แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน และเขาก็เห็น...

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

เจ้านกน้อย!


+++

เจอกันตอนหน้านะค้า มาลุ้นให้น้องหนีออกไปให้ได้นะคะ เอ...หรือให้พี่สหะมาช่วยดี?



หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 13 [20-04-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-04-2020 01:36:42
รวีต้องปลอดภัยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 13 [20-04-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-04-2020 14:02:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 13 [20-04-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-04-2020 16:57:59
น้องรวีมาแล้ววว
รวีคนเก่ง อดทนนะลู้กก รวีต้องได้กลับไปท่านพี่
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 14 [5-10-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 05-10-2020 19:03:36
 :hao5: มาแล้วนะคะ ต้องขอโทษที่ใช้เวลานานกว่าจะมา

+++


ตอนที่ 14


นกน้อยร้องจิ๊บๆ อยู่ตรงนั้น กำลังตีปีกพั่บๆ ราวกับขัดใจอย่างยิ่ง

เจ้าสัตว์ปีกตัวจ้อยตีปีกเร็วขึ้น พร้อมกับส่งเสียงร้องดังสับสน คล้ายพยายามบอกอะไรบางอย่าง

ทว่ารวีก็ไม่เข้าใจสักที ด้วยมัวแต่ดีใจปนประหลาดใจ ก็ไม่ใช่เจ้านกน้อยตัวนี้หรือที่คอยปลุกเขาในทุกๆ เช้าเมื่อตอนอยู่ที่วิมานของท่านพี่ มันมักจะมาโผล่ให้เขาเห็นบ่อยๆ หรือว่า...เจ้านกน้อยจะชอบรวีมากจริงๆ! ชอบจนต้องตามมาหากัน

“เจ้านกน้อย! เจ้าตามเรามาหรือ” รวีหน้าบาน ยิ้มแฉ่งอวดฟันสวย

จิ๊บ! เสียงร้องเจ้านกน้อยสูงปรี๊ด ราวกับจะบอกอารมณ์ของเจ้าตัว รวีหุบยิ้มฉับ มองเจ้านกอย่างฉงน “เจ้าไม่ได้ตามมาหรือ แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่บ้านเจ้าหรือ”

คล้ายกับเจ้านกน้อยจะหมดความอดทน จึงกระพือปีกแล้วพุ่งเข้ามาหารวีโดยพลันและจิกเข้าไปที่กลางหน้าผากอย่างแรง

“โอ๊ย!” รวีลูบหน้าผากป้อยๆ น้ำตาเล็ดหน่วยตา

“...เจ้าคนโง่เง่า!”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว รวีหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบที่มาของเสียง จึงได้แต่อ้าปากหวอ อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ข้ากำลังพูดกับเจ้า!” เสียงดังมาอีก คราวนี้ชัดกว่าเดิม รวีพิรุณหันขวับไปมองเจ้านกน้อยที่กำลังกระพือปีกอยู่ทันที

“จะ...เจ้าพูดได้!”

“พูดได้สิ” วิหคตัวจ้อยกระพือปีกทรงตัวกลางอากาศ หากมองชัดๆ ราวกับจะเห็นว่ามันยืดอกออกมาด้วยความภาคภูมิ “ก็ข้าเป็นนกวิเศษ”

“นะ...นกวิเศษหรือ!”

“อือ วิเศษมากทีเดียวละ”

“ทำไมนกจึงพูดได้ล่ะ”

“ก็บอกว่าเป็นนกวิเศษไง”

“แล้วกวางน้อย กระต่ายน้อยขนนุ่มฟูล่ะ พูดได้ไหม”

“ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ไม่ใช่นกวิเศษเหมือนข้านี่”

“แล้ว...”

“พอที! เลิกถามได้แล้ว ถ้ารู้ว่าพูดกับเจ้าแล้วเจ้าจะถามมากขนาดนี้ ข้าเงียบไว้เช่นเดิมจะดีกว่า”

รวีพิรุณไม่นำพาต่ออารมณ์เคืองขุ่นของเจ้าวิหคแม้แต่น้อย ยังคงพูดต่อไป “นกน้อยเก่งจัง บินได้แล้วยังพูดได้อีก รวีอยากเก่งแบบนี้บ้าง รวีพูดได้ แต่บินไม่ได้ ท่านพี่สอนแล้วแต่ก็ยังบินไม่ได้”

“เป็นนกวิเศษก็ต้องเก่งอยู่แล้ว เจ้านี่ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ”

“แล้วรวีจะเป็นรวีวิเศษแบบเจ้าได้ไหม” มักกะลีผลหนุ่มเอ่ยถามเสียงสดใส ดวงตาเป็นประกาย

วิหคผู้เอ่ยอ้างว่าตนเป็นนกวิเศษได้แต่ถอนหายใจเยี่ยงอย่างกิริยามนุษย์ มันเห็นใบหน้าขาวทว่ามอมแมมเล็กน้อยนั้นราวกับจะส่องประกายความอยากรู้อยากเห็นออกมา ดวงตาของเจ้าหนุ่มนี้เล่าก็ใหญ่ราวกับไข่วิหคฟ้าซ้ำยังมีประกายระยิบระยับอีกด้วย คล้ายกับมองเห็นมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเคยเจอ

“เจ้าอย่าเพิ่งอยากเป็นสิ่งวิเศษอะไรตอนนี้เลย ตอนนี้เจ้าอยู่ในโลหะนคร พวกกุมภัณฑ์ด้านนอกนั่นก็ร้ายเหลือ พวกมันจะเข้ามาจับเจ้ากินเสียเมื่อไหร่ก็ได้ มิสู้หาทางหนีเอาตัวรอดก่อนหรือ”

“อา...แต่ท่านพี่จะต้องมาช่วยเราซี”

“โอย...” นกน้อยทำเสียงระอา “ตอนนี้เจ้าตัวคนเดียวเปลี่ยวดาย ยังจะรอใครมาช่วยอีกเล่า คนจะมาช่วยเจ้าอยู่ที่ใด ที่นี่เป็นเมืองยักษ์ เจ้าคิดว่าใครจะมาหาเจ้าก่อน คนที่มาช่วย หรือคนที่จะจับเจ้ากิน”

รวีอ้าปากหวออีกรอบ พอคิดตามคำของเจ้าวิหคผู้รู้ภาษาจำนรรจาก็เริ่มตระหนักดังคำของมัน “เจ้ายักษ์เกเรจะกินเรา”

“ก็ถูกน่ะซี”

รวีพิรุณจนแก่คำพูด ได้แต่ปิดปากสนิท พอคิดหนักเข้าก็ก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

แล้วอยู่ๆ เจ้านกน้อยก็เริ่มร้องเพลง จากเสียงจิ๊บ จิ๊บ กลายเป็นทำนองสูงต่ำ ประกอบกันขึ้นเป็นบทเพลงไพเราะยิ่งนัก ฉับพลันนั้นเอง...ห้องที่มืดทึมก็คล้ายจะสว่างเรืองรองขึ้นมา

รวีมองเห็นสภาพห้องที่ไร้เครื่องเรือนอย่างชัดเจนกว่าเก่า พื้นเย็นเฉียบเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนรวีไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว รวีมองเจ้านกน้อยอย่างเลื่อมใสเพราะในความคิดของเจ้าหนุ่มนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ถูกเสกสร้างจากเสียงร้องของสกุณาตนนี้นั่นเอง

สมกับเป็นนกวิเศษจริงๆ!

เจ้านกน้อยนี้เขาเคยเจอมันที่วิมานท่านพี่ มันคงจะตามพวกเขามาล่ะซี หรือไม่อย่างนั้น... ความคิดบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในหัว รวีพิรุณเบิกตากว้างขึ้น

“ท่านพี่ให้เจ้ามาอยู่กับเราหรือ”

“อะไรล่ะนั่น”

“ท่านพี่ให้เจ้ามาอยู่กับเราระหว่างที่ท่านพี่กำลังมาช่วย”

“เจ้าคิดเพ้อฝันอันใด...”

ขณะที่วิหคน้อยจะพูดต่อไปอีก เสียงประตูเหล็กบานใหญ่ก็ดังกึง คล้ายกับมีอะไรเลื่อนเปิดออก รวีหันไปมองที่ประตูนั้นพลางขยับกายลุกขึ้นไปหลบอยู่มุมห้อง เขาเหลียวหาเจ้านกน้อยเพื่อจะให้มาหลบด้วยกัน ทว่ากลับมองไม่เห็นเจ้าสกุณาตัวนั้นเสียแล้ว อีกทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นภายในห้องก็เริ่มจางหายไป จนกระทั่งกลับสู่ความสลัวและเย็นเยียบเช่นเดิม แล้วประตูบานนั้นก็เลื่อนเปิดออก

บุรุษร่างกำยำยืนอยู่ตรงช่องประตู มองเข้ามาเห็นร่างผอมบางเบียดตัวเข้ากับมุมห้องอันมืดทึม เห็นดังนั้นก็ให้นึกกระหยิ่มในใจ จนต้องเอ่ยสัพยอกออกมา

“เจ้าทำอะไรอยู่ล่ะนั่น”

“เจ้ายักษ์เกเร!”

“เอ่ยคำรื่นหูแต่เช้าเชียวรึ ไม่เคยมีใครว่าเราเป็นยักษ์เกเรแล้วรอดชีวิตหรอกนะ”

“เราไม่กลัวเจ้าหรอก”

“ปากกล้าเหลือเกินนะเจ้า”

จอมกุมภัณฑ์ย่างสามขุมเข้ามาหารวีพิรุณซึ่งพยายามกระถดหนีออกห่างไปเรื่อยๆ ทว่าก็ทำไม่ได้ด้วยมีผนังห้องอันเย็นเยียบขวางกั้นไว้

เรือนกายใหญ่สูงเข้ามาใกล้ ราวกับจะคร่อมร่างเล็กๆ ของรวีไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ใบหน้าของรวีซีดเผือด ทำใจกล้าเงยหน้าสู้กับคนตรงหน้า อีกฝ่ายแค่นหัวร่อครั้งหนึ่ง

ครั้นแล้วรวีก็รู้สึกถึงแรงกระแทกอันรุนแรง อุ้งมือแข็งแกร่งดุจเหล็กฟาดเข้ากับลำคอเล็กๆ ของเขา ท้ายทอยของรวีกระแทกกับผนังหินเย็นเยียบ มือนั้นกำรวบเอาลำคอของเขาไว้ บีบแน่นเข้าจนเริ่มหายใจไม่ออก รวีดิ้นรนขัดขืน มือขาวปัดป่ายเปะปะ ก่อนจะใช้เล็บขีดข่วนลงบนท่อนแขนตรงหน้า

รวีอ้าปากกว้าง เสียงวี้ดๆ ดังออกมาจากลำคอราวกับเสียงร้องอ้อนวอน

“เจ้าเป็นเพียงแมลงเม่าตัวน้อยๆ เราจะบี้เจ้าให้มอดด้วยมือ หรือขยี้ให้ม้วยด้วยเท้าก็ง่ายดายนัก อย่าทำตัวเหิมเกริมกับเราอีกเด็ดขาด”

“รวี...เกลียด...เจ้า”

รวีจิกเล็บลงกับมือใหญ่นั้น เท้าก็เตะซ้ายป่ายขวาเปะปะมั่วซั่วไปหมด ทว่ายิ่งทีก็ยิ่งหมดแรง คล้ายกับว่าชีวิตน้อยๆ นี้กำลังค่อยๆ เหือดหายไปจากร่างของเขา

“แต่เราไม่เกลียดเจ้า เราออกจะ...ชอบเจ้า”

มันหัวร่อฮาๆ คล้ายสมใจนักหนาที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของตน

รวีพิรุณทรมานอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าสมองพร่าเบลอ อุปาทานไปว่ายินเสียงอื้ออึงอยู่ในหู แสงสว่างวาบขึ้นในหัวแล้วก็ขาวโพลน คล้ายกับว่าร่างกำลังจะล่องลอยออกไปไกลๆ แต่แล้วทันใดนั้นเอง ก็เกิดความเจ็บแปลบแทรกขึ้นมา เป็นความรู้สึกเช่นตอนถูกเจ้านกน้อยจิกหน้าผาก พลันเจ้ามักกะลีผลก็รู้สึกถึงความอุ่นซ่านบางอย่าง พร้อมกับพละกำลังลึกลับแล่นขึ้นมา

เรี่ยวแรงที่คล้ายจะเหือดหายกลับมาเติมเต็มอีกครั้ง เท้าที่เตะปะป่ายไปอย่างมั่วซั่วก็แน่วแน่ขึ้นอีก รวีส่งเสียงร้องดังออกมา แล้วเตะป้าบออกไปอีกครั้งโดยแรง การเตะครั้งนี้ฟาดเข้าอย่างจังตรงกลางลำตัวของจตุรเศียร

อนุชาจอมยักษ์ถึงกับนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกแปลกแปร่งเสียววาบตรงกลางลำตัว แม้มิใช่เจ็บปวดเพราะเตะนั้นนับว่าอ่อนแรงมาก ทว่าความรู้สึกวูบหนึ่งก็แล่นปราดขึ้นมา จนต้องคลายมือออกจากลำคอระหงที่กำรวบไว้ แล้วผละออกมาเล็กน้อย

จตุรเศียรคิ้วกระตุก มองเจ้ามักกะลีผลผู้นี้อย่างเคือง เมื่อครู่เขาเพียงลองเชิงดูเท่านั้น ไม่นึกว่าเจ้าเด็กน้อยนี่จะเล่นกันขนาดนี้ ถึงกลับกล้าเตะ ‘ตรงนั้น’ ของเขาเชียวหรือ?!

รวีหล่นลงไปนั่งกองกับพื้น กระอักกระไออย่างแรง ใบหน้าแดงเถือก ดวงตาแดงก่ำกบด้วยน้ำตาเอ่อล้น มือกุมลำคอตนเองไว้

เสียงแหบโหยขาดห้วงเอ่ยเบาๆ “รวี...ตีเจ้าบ้าง”

ตีเจ้าบ้าง!?

คำพูดประโยคนั้นคล้ายก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของจตุรเศียร นี่เจ้ามักกะลีผลผู้นี้นึกว่าได้เอาคืนเขาบ้างแล้วหรือ? ด้วยการเตะตรงจุดนั้นของเขาน่ะหรือ?

จตุรเศียรนิ่งงัน ก่อนจะเริ่ม...ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“เจ้า...เจ้านี่ช่าง” อนุชาจอมยักษ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ มองร่างเล็กๆ นั่งกับพื้นนั้นด้วยอารมณ์หลากหลาย

“อย่า...อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาเราจะตีเจ้าอีก”

“...”

“ไม่เห็นหรือ เมื่อกี้...เราเตะเก่งอย่างนั้น”

ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว จตุรเศียรก็อับจนหนทาง ได้แต่แหงนหน้ามองเพดานห้องอันมืดทึมนั้น ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไรกันแน่

อยู่ๆ ริมฝีปากของจตุรเศียรก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เขาก้มหน้าลงมามองร่างเล็กนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ต้นแขนของรวี พร้อมดึงให้ลุกขึ้นมา

“ปะ...ปล่อยเรานะ”

จตุรเศียรไม่สนใจต่อแรงขัดขืน “เจ้าจะเตะจะตีเราอีกก็ได้ แต่ตอนนี้เราหิวแล้ว”

“เรา...เราไม่ไปกับเจ้านะ”

จอมยักษ์ไม่ฟังเสียง ลากรวีพิรุณตามไปแถดๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เราตัดสินใจไม่กินเจ้าแล้ว ไม่ฆ่าเจ้าด้วย...ไม่ต้องกลัว”

+++

หวังว่าเพื่อน ๆ อ่านแล้วจะชอบกันนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 15 [8-10-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 08-10-2020 22:03:32
ต่อตอนใหม่กันเลยเจ้า

+++


บทที่ 15


“ข้าแต่มานพผู้เจริญ” นกุลเอ่ยเสียงระรื่น “ไฉนจึงจ้องข้าอย่างกับนายพรานจ้องสมันน้อยเช่นนั้นเล่า เนื้อข้าไม่นุ่ม ไม่หวานน่ากินดอกหนา อีกมีดพร้าในมือท่านก็สนิมเกรอะเช่นนั้น เห็นจะฟันข้าไม่ตายในครั้งเดียวแน่ ท่านจะเงื้อจะง่าก็ระวังบ้างเถิด ฉวยฟาดเข้ากับกบาลข้าละก็...ได้เลือดเลยนะท่าน”

นกุลพาทีคำหนึ่ง ชำเลืองมองหน้าสหเดชะคราหนึ่ง น้ำเสียงอันเอื้อนเอ่ยนั้นทั้งหยอกล้อทั้งลองเชิง

สหเดชะทำสีหน้านิ่งเฉย มือกำด้ามพร้าเก่าสนิมเขรอะไว้แน่น สายตาจ้องหน้าของนกุลแน่วแน่ พอจ้องเช่นนั้นนานเข้า เจ้าศิษย์เอกของพระดาบสก็เหงื่อแตกพลั่ก คิดในใจว่าเจ้านี่มันสำคัญนัก ขนาดยังไม่ได้เรียนวิชาจากพระอาจารย์สักเท่าไร ยังน่า ‘เกรงขาม’ เพียงนี้ หากมันเรียนนานไปจะมิฉวยพร้าวิ่งไล่ฟันเราหรือ

นกุลพลันรู้สึกยอกแสยง แผ่นหลังหนาวยะเยือก ค่อยๆ ถดหนีออกห่างสหเดชะ

ผ่านไปเพียงวันเดียว นกุลก็เริ่มสนิทสนมกับสหเดชะแล้ว คำแทนตนว่า ‘เรา’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘ข้า’ ราวกับเป็นมิตรชิดใกล้มาแต่ก่อน
ส่วนคำเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่า ‘มานพผู้เจริญ’ นั้นก็เพียงต้องการยั่วโมโหอีกฝ่ายเท่านั้นดอก โดยการเลียนแบบภาษาพาทีของพระอาจารย์ ใครใช้ให้เจ้าหนุ่มนี่นั่งผ่าฟืนไป ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปกันเล่า นกุลนึกหมั่นไส้นัก จึงเอ่ยเย้าออกมา ไม่นึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะฉวยพร้าไว้ในมือแน่น ยกขึ้นมาคล้ายกับจะสับหน้าผากเขาให้แบะเสียนี่ บรื๋อออ...คนอะไรน่ากลัวอย่างกับยักษ์กับมาร แบบนี้เห็นจะมีก็แต่พระอาจารย์เท่านั้นแหละ

“ผ่าฟืนไปถึงไหนกันแล้วล่ะ มิใช่นกุลมันชวนเหลวไหลหรอกหนา”

นี่ก็ด้วย...มีหูทิพย์หรือไรกัน นกุลลอบทำหน้าเบ้ เหล่ตามองก็เห็นพระอาจารย์มอง ‘ศิษย์ใหม่’ ด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู แหม...ทีมองเขานะ อย่าให้พูดเลย ตาเขียวปั๊ด คำก็ไอ้นกุลไม่นั่น สองคำก็ไอ้นกุลไม่นี่ สามคำก็เจ้าคนสันหลังยาว สี่คำห้าคำก็ไม่ต้องพูดแล้ว พระอาจารย์เอาไม้ตะพดไล่ฟาดเขาอย่างเดียว พอตัวเองวิ่งไล่เขาจนเหนื่อยแล้ว ก็ยืนหอบแฮกๆ ยังบอกเขาว่า ‘บ๊ะ...ไอ้นี่ เอ็งหยุดบัดเดี๋ยวนี้นะ มาให้ข้าตีเสียดีๆ’ นกุลคนเก่งจะอยู่ให้โง่รึ ก็เผ่นเสียซี

“ศิษย์น่ะรึจะพาเหลวไหล พระอาจารย์เคยเห็นศิษย์เกียจคร้านการงานด้วยหรือ”

“บ๊ะ จะไม่เคยเห็นได้ยังไร นี่ถ้าข้าไม่เคี่ยวเข็ญเอ็งให้ร่ำเรียนเขียนอ่านศึกษาพระคัมภีร์ประดามี เอ็งมิกลายเป็นอาหารผีโขมดยักษ์ไพรไปแล้วรึ ไม่ได้มานั่งทำหน้าเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่อย่างนี้หรอก ขี้เกียจตัวเป็นขนเกินใครอื่นเขา อีกหน่อยข้าคงนึกว่าเอ็งเป็นลิงไพรที่ไหนเสียละวา”

นกุลได้ฟังคำของพระเทพฤษีแล้วก็จะโกรธแม้สักน้อยก็หาไม่ เพียงแต่นึกขันอยู่ในใจ พระอาจารย์ละก็...รักนกุลจะตายไป ที่ด่าจิกหัวอยู่ทุกวันนี่ก็เพราะรักเพราะเอ็นดูลูกศิษย์คนนี้ล่ะซี

พระเทพฤษีมฤควัจน์ลอบสำรวจหน่วยก้านเจ้าครึ่งวิทยาธรครึ่งมนุษย์ พยักหน้าอย่างพอใจ เจ้าคนนี้มิใช่หมดหวังเสียทีเดียว ยังสามารถสอนสั่งให้เก่งกล้าขึ้นกว่านี้อักโข ท่านไม่สนเจ้านกุลที่นั่งเรียงท่อนฟืนเป็นกองอย่างนวยนาดราวกับมันกำลังกรองมาลัย เอ่ยกับสหเดชะว่า

“พ่อหนุ่มสหเดชะ ยามพ่ออุบัติขึ้นในแดนวิทยาธรนั้นก็ด้วยผลบุญปั้นแต่งแต่ชาติปางก่อน ส่งให้พ่อมีพละ บุญญะ และวิชามากล้น หากต้องการเพิ่มพูนกำลังแห่งตนก็เพียงนั่งบำเพ็ญตบะสวดพระนามองค์มหาเทพเท่านั้น หากมุ่งมั่นหมั่นเพียรพอก็จะได้เพิ่มพูนในตบะและกำลังกล้าแข็ง ทว่าบัดนี้พ่อมิใช่วิทยาธรเสียแล้ว ไม่ต่างกับมนุษย์ผู้หนึ่ง หนทางเส้นนั้นของพ่อจะยากลำบากนัก เราจึงจะให้พ่อฝึกเช่นเจ้านกุลที่ครั้งหนึ่งเคยฝึกมา”

ท่านหยุดพูด เดินกระย่องกระแย่งไปนั่งลงที่ก้อนหินใหญ่ใกล้ๆ นกุลรีบไปยกกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำเย็นๆ มาให้ท่านทันที ทำท่าประจบสอพลออย่างเหลือร้าย

พระเทพฤษีถอนหายใจอย่างระอา ทว่าก็รับน้ำนั้นไปดื่มแก้คอแห้ง แล้วเอ่ยสืบไป

“คนแต่ละคนย่อมมีร่างกายแตกต่างกันไป ความอดทนแตกต่างกันไป ความถนัดก็ย่อมแตกต่างกัน ดูอย่างนกุลนั่นปะไร เมื่อแรกมาอยู่กับฉันก็ถูกเคี่ยวเข็ญเช้าเย็นให้ฝึกทางฝีมือต่อสู้ แต่หัวมันไม่เอาเลยจริงๆ ฉันก็คร้านจะบังคับจึงให้เรียนไปทางหยูกยาสมุนไพร ปรากฏว่าเรียนได้เร็วเหลือเกิน ซ้ำยังไปคิดทำน้ำเมาเสียอีก แต่ฉันก็ไม่ห้ามนกุลมันหรอกนะ ขอแค่ร่ำเรียนได้ดี จะทำน้ำเมาด้วยก็ว่าไม่ได้”

ท่านวางมือลงบนยอดไม้เท้า สายตาเปี่ยมเมตตามองตรงยังดวงตาของสหเดชะ “เอาละ ฉันรู้ว่าถ้าให้พ่อหนุ่มฝึกทางฝีมือต่อสู้ก็เห็นจะไปได้ดี ด้วยเคยเชี่ยวชาญในทางนี้มาก่อน แต่การต่อยตีกับผู้อื่นในพงไพรใหญ่กว้าง หรือในโลกหล้าอันมหึมาแห่งนี้จะใช้เพียงคาถาอาคม หรือพลังตบะอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ฉันจึงอยากจะให้พ่อฝึกพลังทางกาย ให้กายแกร่งดังเพชร แต่ก็ให้อ่อนโยนดุจเดียวกับดอกไม้ที่ขึ้นตามตลิ่งน้ำไหลเอื่อยๆ เช่นกัน”

พระเทพฤษีบอกว่า พิทยาธรก็ดี ฤษีชีไพรก็ดี หรือรุกขเทวาใดๆ ประดามีในหิมวันต์แห่งนี้ ย่อมมีความผูกพันใกล้ชิดกับต้นไม้ใบหญ้า ย่อมสนิทชิดชอบธรรมชาติสีเขียวที่เติบโตงอกงามในแสงแดด สายลม ต้นหญ้าที่ขึ้นเป็นหมู่นั้นเล่า ยามลมพัดแรงพวกมันก็ลู่เอนไปตามลม ยามฝนชะมาก็เอนไปตามแรงฝน ทว่าจะหลุดไปจากพื้นก็หาไม่ ส่วนต้นไม้นั้นเล่าก็ยืนหยัดสู้แดดลมฝน ยืนต้นแข็งแกร่งราวกับผู้กล้า หากทำตัวเช่นพวกมันได้ก็ย่อมจะดียิ่งแล้ว

ด้วยสหเดชะเป็นผู้ที่เรียนรู้เร็ว จึงคิดตามคำของพระเทพฤษีมฤควัจน์ และค่อยๆ เข้าใจว่าท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ตน

“สหเดชะเอ๋ย พ่อจงเดินไปรอบๆ อาศรมฉัน สังเกตสังกาสิ่งต่างๆ รอบกาย มองดูต้นไม้ใบหญ้า หรือห้วยละหานธารน้ำไหล พิจารณาพวกมันให้ถี่ถ้วน ไตร่ตรองทีแล้วทีอีก ให้พ่อมองหาสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียวที่เกาะเกี่ยวจิตใจพ่อไว้ เมื่อพบแน่แล้ว...เมื่อแน่แก่ใจตนแล้ว ก็จงฝึกทำตนให้เป็นอย่างสิ่งนั้น ให้คุ้นเคยกับสิ่งนั้น ให้เข้าใจสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วน...ให้กระจ่างแก่ใจพ่ออย่างสว่างแจ้งแทงตลอด”

แม้จะเป็นศิษย์ที่เชื่อฟัง แต่สหเดชะก็อดเอ่ยถามไม่ได้

“แล้วกระผมจะรู้ได้อย่างไรขอรับ ว่าสิ่งที่มองหาคือสิ่งใด สิ่งใดคือสิ่งที่เกี่ยวใจกระผมที่สุด”

ท่านไม่ว่ากล่าวเขาสักนิด เพียงแต่ยิ้มบางๆ “ก็ฉันบอกไปแล้ว ใจพ่อนั่นปะไร ฉันไม่รู้ดอกว่าใจของชายผู้มีนามว่าสหเดชะนั้นเกี่ยวพันกับสิ่งใด แต่ถ้ามองให้ดี มองอย่างถ้วนถี่ไม่มองเลยไป ก็ย่อมจะค้นพบมันเอง”

สหเดชะยังมีความสงสัยเล็กๆ อยู่ในใจ ทว่าเขาก็ก้มลงกราบท่าน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นพระเทพฤษีไปยืนอยู่ที่ชายป่าห่างออกไปไกลๆ เสียแล้ว ท่านกำลังลูบศีรษะของแม่กวางนางหนึ่ง ลูกน้อยของมันคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง แล้วไม่นานจากนั้นท่านก็เดินหายเข้าไปในราวป่า

“พระอาจารย์นี่ละก็ ชอบแวบไปแวบมาจริงเชียว” นกุลบ่นอุบ “สหเดชะ เจ้าไปฝึกตามที่พระอาจารย์บอกเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดการผ่าฟืนตักน้ำเอง เห็นอย่างนี้ก็อย่าดูถูกนกุลเชียวนะ ถ้าไม่ได้ข้าปรนนิบัติพัดวีพระอาจารย์มาในหลายปีนี้ ท่านไม่ได้ไปเดินเล่นที่นั่นที่นี่ในป่าอย่างนี้หรอก”

นกุลยิ้มพึงใจกับตัวเองแล้วก็ฉวยเอาพร้าที่วางกับพื้นไปผ่าฟืนต่อ ปล่อยให้สหเดชะนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง

+++

คืนวันที่ผ่านเลยหลังจากนั้น สหเดชะเที่ยวเดินท่อมๆ ไปในป่ากว้างซึ่งขึ้นอยู่โดยรอบอาศรมของพระเทพฤษีมฤควัจน์

อาจด้วยมนตร์อันลึกลับแห่งพระดาบส หรืออำนาจตบะของท่านก็เป็นได้ ทำให้บริเวณโดยรอบในระยะเดินเท้าได้ครึ่งวันนั้นไม่มีสัตว์ร้ายใดๆ เข้ามาป้วนเปี้ยนแม้แต่น้อย ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในละแวกป่านี้มีลำต้นสูงใหญ่ ใบบังก็ไม่หนาทึบจนเกินไป

ขณะก้าวย่างไปตามพื้นป่าในวันแดดออก อันวางทับถมไว้ด้วยใบไม้ปลิดขั้วจากกิ่ง เขาสังเกตเห็นแสงสีรูปเงาซึ่งเกิดจากแสงแดดอุ่นๆ สาดส่องลอดใบหนาและคาคบลงมาสู่พื้นดิน

ในวันพระพิรุณมาเยือน สายฝนสาดซัดลงจากฟ้าสีทึม ทว่าสหเดชะก็มิได้ย่นระย่อ เขายังคงเที่ยวเดินไปมุมนั้นมุมนี้ของป่า บ้างก้าวเดินมั่นคง บ้างออกวิ่งไปตามทางเดินที่สัตว์ป่าทำไว้ และยามฝนตกเช่นนี้เขาก็จะยืนหลบอยู่ใต้ใบบังอันหนาแน่นของต้นไม้ใหญ่ต้นใดต้นหนึ่ง เม็ดฝนละเอียดปานใดก็ไม่อาจแตะต้องผิวกายเขาได้

สหเดชะเดินอยู่เช่นนั้นวันแล้ววันเล่า ทั้งยามเช้า ยามสาย พอตกบ่ายเจ้ากวางรุ่นเด็กที่กีบเท้าแข็งแรงพอจะเหยาะย่างไปตามหว่างไพร ก็จะเห็นมนุษย์ผู้นี้ค่อยๆ ก้าวไปในระหว่างต้นไม้ใหญ่น้อย บางครั้งมนุษย์ผู้นี้จะหยุดยืนเงียบๆ มองไปทางนั้นทางนี้ บางครั้งก็เดินเข้าไปหาต้นไม้ใหญ่ๆ สักต้น แล้วยื่นมือไปสัมผัสกับเปลือกไม้บนต้น ยืนหลับตาพริ้มราวกับกำลังนึกคิดอะไรบางอย่าง

บางครั้งมนุษย์ประหลาดผู้นี้ก็จะแหงนมองขึ้นไปที่ยอดไม้ ราวกับจะเพ่งมองผ่านหมู่ใบอันหนาทึบนั้นให้เห็นท้องฟ้าสีครามด้านบน

แมวป่าเพศผู้ตัวหนึ่งผ่านมาเห็นระหว่างออกหาอาหาร มันชะงักไปครู่ ก่อนจะแยกเขี้ยวขู่คำราม เมื่อเห็นว่ามนุษย์ผู้นี้คือคนเดียวกับเมื่อเย็นวานที่มันเจอ มันจึงค่อยเผ่นแผล็วหายไปในสุมทุมหนึ่ง

ราวกับว่าสหเดชะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าแห่งนี้ไปแล้ว คล้ายว่าเขากลืนเข้ากับเงาไม้ที่พาดไปกับลำประโดงเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ผ่านชายป่า คล้ายกับว่าเขากลายร่างเป็นหยาดฝนที่หล่นจากปลายใบของต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วร่วงลงมาตกกระทบกับใบไม้อีกใบของพุ่มไม้เล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ใต้ต้น คล้ายกับว่าเขาเป็นเกสรของดอกไม้ เฝ้ามองโลกภายนอกผ่านกลีบดอกที่ค่อยๆ แย้มบานรับแดดอรุณ และในไม่ช้า...ส่ำสัตว์นานาในป่ากว้างโดยรอบอาศรมพระเทพฤษีต่างก็ละความสนใจจากเขา ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ ปล่อยให้เขาเดินผ่านราวกับเป็นเพียงต้นไม้หรือเครือเถาเครือหนึ่งเท่านั้น

...แต่เขาก็ยังหาสิ่งที่เกี่ยวพันกับจิตใจไม่พบ

ในระหว่างการตามหาสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาอยู่นี้ สหเดชะไม่อาจลืมรวีพิรุณแม้สักชั่วตื่น ภาพเจ้าน้องน้อยคล้ายกับจะอยู่ในเงาไม้ คล้ายจะเกาะติดอยู่กับหลืบของเปลือกไม้ต้นนั้นต้นนี้ ครั้นแล้วก็คล้ายกับจะเห็นน้องเจ้าวิ่งเล่นผ่านหางตาไป ยิ่งวันสหเดชะก็ยิ่งเห็นเงาร่างของรวีพิรุณขยายใหญ่ขึ้นในหัวใจ แม้จะหมั่นท่องถ้อยคำของพระเทพฤษีที่ว่า...รวีพิรุณยังไม่มีอันตรายในเร็ววัน แต่ก็ยังอดห่วงจนอกโหยไม่ได้

แต่ก็เพราะหัวใจที่แผดเผาด้วยรักและโหยหา ทำให้เขาไม่อาจคว้ามือไปจับได้เสียที ว่าสิ่งใดคือตัวตนและจิตใจของเขา

หลายวันผันผ่าน นกุลผู้เพื่อนยากสังเกตเห็นแววตาอมทุกข์ของสหเดชะ จะชวนกินน้ำเมาให้สหายคลายเศร้า เพื่อนก็ไม่เอาด้วย หรือจะชวนไปผ่าฟืนพระอาจารย์ก็หันมามองตาเขียวปั๊ดว่าหน้าที่เอ็งมิใช่หรือ นกุลจึงต้องล่าถอยไป หลบไปต้มน้ำเมาอยู่เงียบๆ คนเดียว ปล่อยให้สหเดชะออกเดินท่องไปในป่าตามลำพังต่อไป

ลุเข้าถึงวันที่เจ็ดหลังจากเริ่มเดินท่องป่า ในเพลาสายนั้นสหเดชะกำลังเดินไปบนทางหว่างต้นไม้ เขาก้มลงมองหอยทากตัวหนึ่งกำลังค่อยๆ เคลื่อนไป เขาไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของมันคือที่ใด แต่ก็ช่างคล้ายกับเขาเหลือเกินที่ค่อยๆ คืบคลานไป ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะลุถึงจุดหมาย

แต่การกระทำใดๆ ก็ตามย่อมมีวันเดินทางถึงจุดจุดหนึ่ง

แรกเริ่มเป็นเสียงคล้ายกับหยดน้ำหล่นลงกระทบใบ แล้วพลันสหเดชะก็ได้ยินเสียงคล้ายกระดิ่งใส เขาหันไปมองทางทิศที่ได้ยินเสียงทันที

บนกิ่งของต้นไม้หนึ่งมีวิหคสีแดงเพลิงเกาะอยู่อย่างมั่นคง มันกำลังไซ้ขนอยู่ด้วยความสบายใจ ราวกับว่าไม่สังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมันอย่างประหลาดใจ

วิหคตัวนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สีสันบนร่างกายของมันนั้นผิดแผกไปจากสัตว์ป่าหรือสกุณาการ้องในป่าแห่งนี้อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงยืนนิ่งจ้องมองมันไม่วางตา

มันเชิดคอขึ้นสูงเช่นชาติพญายูง ราวกับหยิ่งผยองว่าตนเป็นเจ้าแห่งวิหคทั้งปวง แล้วทันใดมันก็โก่งคอ อ้าจะงอยปากออกกว้าง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

เสียงนั้นราวกับเครื่องดนตรีสวรรค์อันบรรเลงจากนิ้วของคนธรรพ์ ช่างสดใส ก้องกังวานหาใดเปรียบ เสียงนั้นดังสะท้อนไปในราวป่า แล้วก็แทรกซึมเข้ามาในร่างกายอันสิ้นหวังของสหเดชะ

ทันทีที่ยินเสียงสวรรค์จากวิหคตัวนี้ คล้ายกับมีพลังร้อนแรงบางอย่างแผ่พุ่งขึ้นมาจากปลายเท้า แล้วอาบไปทั่วร่างกายของเขา จุดเปลวเพลิงบางอย่างในร่างให้ลุกโชติช่วงขึ้นมา

แล้วเจ้าวิหคสีเพลิงนั้นก็กางปีกออกบิน

สหเดชะรีบก้าวขาออกตามทันที

+++

วิหคเพลิงตัวนั้นหายวับไปในอากาศเมื่อเขาวิ่งตามมาได้จนตะวันอยู่เหนือหัว สหเดชะหยุดเท้าแล้วหันมองไปรอบๆ เขาไม่พบเจ้านกตัวนั้นอยู่บนกิ่งหรือคอนไม้ใดๆ เลย และสังเกตว่าต้นไม้บริเวณนี้เบาบางลง เขาได้ยินเสียงนกร้อง แต่มิใช่เสียงไพเราะดุจปักษาสวรรค์เช่นนกเพลิงตัวนั้น เป็นเพียงเสียงนกร้องตามธรรมชาติ

เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปเบื้องหน้า ไม่นานนัก สหเดชะก็เห็นว่าด้านหน้าของตนเป็นพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง ไม่นับเป็นที่โล่งกลางป่าที่ใหญ่เท่าไรนัก และก็มิใช่ที่ ‘โล่ง’ เสียทีเดียว

เพราะ ณ กึ่งกลางของที่โล่งนั้น มีต้นไม้ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง

มันเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงชะเงื้อมขึ้นไปกว่าต้นไม้โดยรอบ มันยืนต้นอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นราชาแห่งพงไพร กิ่งก้านแผ่กว้างออกมา มีระย้าด้วยเครือเถาห้อยย้อยลงเรี่ยดิน

เขามองต้นไม้นี้อยู่นาน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเคลื่อนผ่านไปตามกาลเวลา แต่เขาก็จะยังยืนนิ่งมองมันอยู่เช่นนี้

แล้วทันใด...ภาพรวีน้องน้อยที่นั่งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้บนวิมานของเขา นั่งอยู่ไม่ไกลจากร่มไม้ใหญ่ก็กระจ่างแจ้งแก่ใจเขา
อา...ที่แท้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและใกล้ใจเขามาโดยตลอด

เขาเกิดมาก็มีวิมานบนฟ้า บนวิมานของเขามีป่าใหญ่ ชีวิตหลังอุบัติบนโลกชาวฟ้าก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าและธรรมชาติงามตา
แล้วสิ่งที่อยู่ในใจของเขาในระยะนี้มิใช่รวีพิรุณหรอกหรือ

หะแรกเมื่อเขามองเห็นต้นไม้ต้นนี้ เขายืนตะลึงอยู่นาน มิใช่เพราะสาเหตุอื่นใดนอกจากว่าต้นไม้ต้นนี้ช่างคล้ายเหลือเกิน คล้ายกับต้นไม้ ‘ต้นนั้น’ ที่น้องเจ้าถือกำเนิดขึ้น เขายืนตะลึงเพราะเผลอคิดไปว่าตนเองถูกวิหคเพลิงตัวนั้นพาผ่านห้วงอากาศไปสู่ป่าแห่งมักกะลีผลหรือไร

แต่ต้นไม้ต้นนี้จะเป็นต้นนั้นไปได้อย่างไร เขาไม่มีทางข้ามผ่านระยะทางไกลเช่นนั้นได้ด้วยสภาพที่เป็นอยู่นี้ และวิหคเพลิงตัวนั้นก็อาจเป็นเพียงความคิดฟุ้งซ่านของเขาเอง ต้นไม้นี้ยังอยู่ในเขตป่าของพระเทพฤษีมฤควัจน์

บัดนี้เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว ว่าไม้ต้นนี้แหละคือคำตอบ

เพราะต้นไม้ต้นนี้เป็นพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันกับต้นแม่ของรวี และสิ่งที่เกี่ยวใจของเขาก็คือรวีน้องเจ้า

รอยยิ้มบนใบหน้าของสหเดชะยามนี้กว้างยิ่งกว่ายิ้มของรวีตอนเห็นกระต่ายป่าหรือทุ่งดอกไม้แล้วออกวิ่งเล่นเสียอีก แววตาราวกับอาบด้วยสิ้นหวังของเขานั้นพลันกระจ่างใส ทั้งพราวระยิบราวกับมีดาวประกายพรึกกล่นเกลื่อนอยู่ด้านใน

ขณะนี้เขาอยู่เพียงลำพัง และขณะนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น สหเดชะอกใจเต้นรัว ในห้วงมโนสติมองเห็นใบหน้าอันอาบยิ้มของรวีพิรุณ

แล้วเขาก็ออกวิ่ง

+++

พระเทพฤษีมฤควัจน์กำลังนั่งสมาธิ ท่านค่อยๆ ออกจากการเพ่งดวงแก้วมณีในใจของท่าน หูอันชราทว่ายังได้ยินเสียงชัดเจนนั้นแว่วเสียงนกุลกำลังผ่าฟืนอยู่เลยอาศรมออกไป

เบื้องหน้าของท่านพลันปรากฏดวงแก้วดวงหนึ่ง เป็นดวงแก้วใสกระจ่าง

ภายในนั้นปรากฏที่โล่งกว้างกลางป่า

ณ ใจกลางที่โล่งกว้างนั้นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง บัดนั้นพระดาบสก็อุทานอ้อในใจ เป็น ‘เจ้าไพร’ น่ะเอง ดวงชีวิตของเจ้าหนุ่มสหเดชะนี้ก็ช่างมาต้องกันกับยอดแห่งพฤกษาในป่าของท่านเสียจริง

ผ่านดวงแก้วแววไว พระดาบสมองเห็นแสงแดดส่องจ้าลงมาอาบเจ้าไพร และ ณ โคนต้นของเจ้าไพร สหเดชะยืนกระทำสมาธิอยู่ตรงนั้นเอง

หลายวันมานี้เจ้าหนุ่มไม่กลับมาที่อาศรมเลย แต่ด้วยญาณวิเศษของท่าน พระฤษีจึงรู้ว่าเขายังอยู่ในละแวกป่านี้เอง ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใด

เจ้าหนุ่มยืนตรงแน่วอย่างกับลำต้นของเจ้าไพร ขาข้างหนึ่งยกขึ้นงอพับไขว้ไปอีกด้าน ปล่อยให้เท้าเพียงข้างเดียวเหยียบไว้บนดิน มือข้างหนึ่งยกในท่าพนมหว่างอก ส่วนมืออีกข้างเหยียดตรงออกไปขนานกับพื้นดิน ฝ่ามือหงายขึ้นราวกับว่ารองรับน้ำฝนที่หยดจากใบของต้นเจ้าไพร

ใบหน้าของชายหนุ่มผ่องใส หลับตาพริ้มราวกับตกอยู่ในห้วงฝันอันแสนสุข

ชายหนุ่มสงบนิ่งราวกับได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ใหญ่ไปแล้ว

ทว่าชั่วขณะหนึ่งมือข้างที่ยืดตรงออกไปก็ค่อยขยับ ฝ่ามือที่กางออกก็ค่อยๆ โบกขึ้นลงคล้ายกับเป็นใบไม้ยามต้องลม ร่างกายตรงแหน็วค่อยๆ โยกไปทางซ้าย ทางขวา คล้ายกับลำต้นยามลมโหม แต่แล้วเขาก็กลับมายืนนิ่งในท่าเดิม โดยเท้าข้างที่เหยียบพื้นดินไว้ก็ไม่ละไปจากพื้นตรงนั้นเลย

ดวงตาสว่างโชติช่วงด้วยตบะกล้าของพระเทพฤษี ที่เฝ้ามองโลกมาแล้วไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี ก็พลันเห็นประกายทองระยับอยู่รอบกายของสหเดชะ ก่อนที่ประกายเหล่านั้นจะรวมตัวกัน ค่อยๆ คลุมร่างของสหเดชะไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสว่างเรืองรอง เป็นรัศมีสีเขียวแห่งผืนพงไพรโดยแท้

รัศมีดั่งหนึ่งรุกขเทวดากระนั้น

+++

เจอกันตอนใหม่เจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 15 [8-10-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 10-10-2020 00:48:01
ผมว่าแล้วว่าสไตล์การเขียนของคุณแป้งจี่ต้องเหมาะกับโทนเรื่องแบบนี้ (ใช้ภาษาไทยแบบสละสลวย, เน้นการบรรยายพื้นเรื่อง ซึ่งส่วนมากจะเจอกับนวนิยายที่มีฉากหลังเป็นป่าเขาลำเนาไพร ต่างจังหวัด รวมไปถึงแฟนตาซีไทยโบราณด้วยเช่นกัน)

แค่อ่านภาษาอย่างเดียว ในฐานะนักเสพวรรณกรรม ก็ปลื้มปริ่มอิ่มเอมมากแล้วครับ ชื่อทุกชื่อมีความหมาย และผู้เขียนก็บรรยายอธิบายมันออกมาได้อย่างไหลลื่น ใช้ภาษาสวยงามมาก ทั้งชื่อตัวละคร ทั้งฉากการบรรยาย ทั้งข้อมูลพื้นเรื่อง ผู้เขียนหาข้อมูลมาดี ผสมผสานมันเข้ากับจินตนาการแล้วอธิบายให้ผู้อ่านเห็นภาพ ทำให้อ่านได้อย่างไหลลื่น ไม่มีจุดสะดุดหรือติดขัดใดๆ

พอมาดูที่พล็อตเรื่อง ผมก็ชอบมากอีกเช่นกัน ปัญหาของแฟนตาซีไทยสมัยก่อนคือ โทนเรื่องจะติดมาแนว Heroism คือพระเอกเก่งที่สุดในเรื่องมาตลอด (ซึ่งเป็นจุดที่พอเล่นแล้วจะเกิดแนวฮาเร็มขึ้นมาก) ซึ่งโทนเรื่องแบบนี้ใช้ได้กับแนวนิทานพื้นบ้านเล็กๆน้อยๆ หรือนิทานเด็กสอนใจ ไม่เหมาะกับพล็อตโครงเรื่องสเกลใหญ่ เพราะจะทำให้สมดุลของเรื่องเสียไปหมด ซึ่งเรื่องนี้จะเห็นว่าเปิดเรื่องมาก็ตัดฉับโทน Heroism ออกไปหมดเลย จะเห็นว่าผู้เขียนย้ำผ่านบทบรรยายบ่อยมาก แต่พูดออกมาได้ลื่นไหลให้กลมกลืนกับเนื้อเรื่อง ว่าสหัสเดชะเป็นแค่วิทยาธร อีกทั้งยังติดบ่วงกามอยู่ ดังนั้นฤทธิ์มีจำกัด (ซึ่งนี่เป็นเหตุผลในเรื่องที่ดีมากอันดับหนึ่งเลย เนื่องจากตัวเดินเรื่องหลักต้องไม่เก่งเวอร์จนเกินไป)

การที่สหัสเดชะฤทธิ์ไม่สูง มันเลยทำให้เราเห็นหลายๆมุมของตัวละครนี้ มากกว่ามุมของการ ‘อวย’ ที่มักจะเห็นในนวนิยายแนว Heroism เราจะเห็นมุมมองของความรักความอ่อนหวานระหว่างสหัสเดชะกับรวีพิรุณ ซึ่งเขียนออกมาได้อ่อนช้อยมาก เราเห็นความนอบน้อมของสหัสเดชะต่อเหล่าเทพยดาที่มีฤทธิ์สูงกว่า ซึ่งเขียนแล้วแนบนัยยะของความเคารพต่อผู้อาวุโส ความมีสัมมาคารวะได้อย่างงดงาม ไม่แค่เทพอัศวินเท่านั้น กระทั้งทวารบาล คุณแป้งจี่ก็ยังเคร่งครัดกับสเกลข้อมูล ว่าทวารบาลที่ปกปักษ์ประตูนั้นต้องมีความสามารถสูง จุดนี้ผมประทับใจมากครับ ผู้เขียนไม่เอาความอวยพระเอกมากดทับข้อมูลอ้างอิงของเรื่อง วิทยาธรไม่อาจบุกขึ้นเขาพระสุเมรุได้อย่างอุกอาจอยู่แล้ว ทวารบาลทำหน้าที่ของเขาได้ดี ไม่ใช่ตัวประกอบอ้างอิงที่เหมือนไม่มีบท เพราะแม้จะมีบทแค่ 3-4 บรรทัด แต่ว่าก็สำแดงให้ผู้อ่านรู้ถึงข้อมูลอ้างอิงของเรื่อง และแสดงความสมดุลและสมจริงของพื้นเรื่องได้ นี่เป็นสิ่งที่ดีมากๆ

การที่พล็อตเรื่องไม่ใช่ Heroism นี่ก็ได้ใจผมไปมากกว่า 60% แล้วนะครับ แถมคุณแป้งจี่ยังหาข้อมูลมาได้แน่น ใช้ภาษาได้อย่างสวยงาม ที่สำคัญคือ ควบคุมสมดุลและความสมจริงของท้องเรื่องที่มาจากข้อมูลอ้างอิงปกรณัมไทยโบราณไว้ มีการอธิบายข้อมูลอ้างอิงด้วยกลวิธีเล่าผ่านเหตุการณ์ หรือตัวละคร ไม่ใช่บรรยายเขียนมาทื่อๆ ทำให้ได้เสน่ห์ของการบรรยายนวนิยาย อันนี้ผมต้องบอกเลยว่าเยี่ยมยอดมากๆ เอาใจผมไปเกิน 90% เลย คุณแป้งจี่มาถูกทางแล้วครับ

มาพูดถึงเนื้อหาเรื่องกันหน่อย ผมชอบฉากที่สหัสเดชะโดนกุมภัณฑ์เอาดาบปักมาก นอกจากจะเป็นฉากที่บ่งบอกว่าสหัสเดชะแลกตบะและกำเนิดของตัวเอง เพื่อให้เขาและรวีพิรุณกลายเป็นมนุษย์ที่มีอายุขัยจำกัด แต่กำเนิดนั้นก้ำกึ่ง ไม่อาจนิยามได้ว่าถือเป็นอะไร สหัสเดชะยังมีฤทธิ์เดชของวิทยาธรอยู่บ้าง แต่ผมคาดว่าน่าจะลดลงไปมาก อาจจะเหลือแค่หนึ่งในสามของเดิม ถ้าเปรียบก็น่าจะมีฤทธิ์พอแค่ครึ่งหนึ่งของวิทยาธรทั่วไป ทำให้ไม่อาจต่อกรกับเหล่าชาวสวรรค์หรืออมนุษย์ที่เทียบเชิงชาวสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งการสู้กับรากษสในเรื่องชนะ เป็นจุดที่ยืนยันได้ชัดเจนมาก เพราะรากษสเป็นอสูรชั้นต่ำ ฤทธิ์ไม่มาก และการที่กุมภัณฑ์ผู้นั้นเอาดาบปักสหัสเดชะ ก็เป็นการเดินเรื่องที่ถูกต้องตามหลักข้อมูลอ้างอิง เพราะชาวกุมภัณฑ์นั้นถือเป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในท้าวจตุรโลกบาลผู้คุมสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา กุมภัณฑ์ถือเป็นเทวดาประเภทหนึ่ง แต่รูปกายเป็นยักษ์ มีฤทธิ์มาก ปัญหาของกุมภัณฑ์ที่ไม่อาจกำเนิดขึ้นเป็นตัวตนที่สูงขึ้นได้ เนื่องจากติดในกิเลสคือความดุร้าย เด็ดขาด ไม่ค่อยปราณี กุมภัณฑ์ชั้นสูงจะมีหน้าที่เช่นอารักขาทวารบาล อารักขาสถานที่ ตัดสินคดีความในขุมนรก บางตนที่ฤทธิ์มากก็จะได้รับตำแหน่งพระยมในนรก หรือแม้แต่ยมบาล ที่มีการสร้างภาพเป็นยักษ์สีแดง ก็เป็นรูปเดียวกับการจำแลงภาพของกุมภัณฑ์

ดังนั้นการที่กุมภัณฑ์จะกำจัดรากษสที่ออกสร้างความเดือดร้อน ก็ถือเป็นปกติวิสัย และการที่โจมตีสหัสเดชะด้วย และเอาชนะได้อย่างง่ายๆ ก็ถือว่าเหมาะสมถูกต้องตามข้อมูลอ้างอิงเลย ผมประทับใจมากครับ ฉากนั้นฉากเดียว ตอบโจทย์นัยยะวรรณกรรมได้หลายข้อ ทั้งตรรกะข้อมูลอ้างอิง ทั้งบ่งบอกโทนเรื่องและความสมจริงของพื้นเรื่อง ทั้งเป็นตัวขับเคลื่อนเนื้อเรื่องต่อ

น่าติดตามครับผม คุณแป้งจี่เขียนได้ดีมากๆ ถ้าจะมีอะไรอยากรีเควสต์เพิ่ม ก็คงเป็นอยากให้เพิ่มแหล่งอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลอ้างอิงของเรื่อง เพราะคาดว่าคนที่อ่านนวนิยายเรื่องนี้แล้วติดงอมแงม น่าจะอยากอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลอ้างอิงปกรณัมไทยที่คุณแป้งจี่ได้หาอ่านและทำการบ้านมาก่อนเขียนเรื่องนี้ ถ้ามีแหล่งอ้างอิงที่ให้ผู้อ่านไปอ่านเพิ่มเติมได้ ก็อาจทำให้สามารถซ่อนนัยยะในเรื่อง หรือเขียนไปตามสมดุลและความสมจริงของข้อมูลอ้างอิงได้อีกโดยที่ไม่ต้องอธิบายในเรื่องมากขึ้น (แต่จากที่อ่านมา ผู้เขียนก็อธิบายได้อย่างไหลลื่น กลมกลืนกับการดำเนินและบรรยายเรื่องครับ ผมไม่ห่วงเรื่องนี้เลย)

หรือถ้ายังไง 2 ลิ้งค์เพิ่มเติมด้านล่างนี้ ผู้อ่านท่านอื่น ถ้าหากอยากหาข้อมูลปกรณัมไทย และวรรณคดีไทยอ้างอิงกัน ก็ลองอ่านกันได้เพลินๆครับ
https://writer.dek-d.com/zennee/writer/view.php?id=1279933
https://www.facebook.com/dakini.naga/notes
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 15 [8-10-2563] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-10-2020 20:25:02
ต่อให้ไม่ดูชื่อคนเขียนก็รู้ว่าเรื่องนี้ใครเขียน
ภาษาแบบนี้ รูปแบบการเขียนแบบนี้ คุณพี่แป้งจี่รีรีข้าวสารอย่างแน่นอน :3123:
...
จากตัวหนังสือเปลี่ยนเป็นภาพ ภาพนั้นไม่ใช่ภาพที่เราดูจากโทรทัศน์ ไม่ใช่ภาพอย่างเวลาที่เราดูจากเวที แต่คือการดึงให้ผมเข้าไปร่วมอยู่ในเนื้อเรื่องนั้นด้วย  :impress3:
...
แต่ปัญหาก็คือ รวีพิรุณ ทำให้คิดถึงขนมสัมปันนี  :o8:
...
ถึงจะไม่ค่อยได้รีพลายแต่ก็ตามอ่านอยู่นะครับ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 16-17 [19-01-2564] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 19-01-2021 23:33:20
น้องเกรย์ Grey Twilight - ฮืออออ ขอบคุณสำหรับบทวิจารณ์ดีๆ ละเอียดมากๆ นี้นะคะ พี่อ่านแล้วอ่านอีกทีเดียว ชอบมากๆ เลยค่ะ ดีใจที่น้องอ่านเรื่องนี้แล้วชอบนะคะ ^___^

ข้อมูลอ้างอิงของเรื่องที่พี่ใช้ประกอบการเขียนนั้นส่วนมากเป็นหนังสือปกรณัมเขียนโดยคนไทย แล้วก็ตำราปกรณัมที่เขียนโดยชาวต่างชาติ, แล้วก็ค้นหาออนไลน์ด้วยค่ะ, ถ้ามีโอกาสจะเอามาแบ่งปันผู้อ่านนะคะ

แต่ต้องบอกก่อนว่าข้อมูลหลายๆ อย่างพี่ก็ดัด, ตัด, แปลง, บิด, ให้เข้ากับพล็อตเรื่องที่ได้วางไว้ ดังนั้นอาจไม่ตรงกับข้อมูลปกรณัมเท่าไหร่นัก แต่ยังไงก็หวังว่าน้องอ่านแล้วชอบนะคะ ^____^ 

น้องที MyTeaMeJive - ขอบคุณน้องทีมากๆ เลยนะคะสำหรับกำลังใจที่ให้มา พี่เอาตอนมาต่อแล้วนะคะ จะดีใจมากๆ ถ้าน้องทีจะอ่านอย่างสนุกแล้วก็มีรอยยิ้มไปด้วย


+++++


บทที่ 16


สหเดชะกระหวัดไปถึงโมงยามเมื่อ ‘อุบัติ’ ขึ้นภายในปราสาทบนวิมานของเขา มีแสงสว่างหนึ่งส่องจ้ายิ่งนัก ทว่ามันกลับไม่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหลบแม้สักนิด มันเป็นแสงอบอุ่นกลุ่มหนึ่งลอยค้างอยู่เบื้องหน้าของเขา เขามองกลุ่มแสงนั้นอยู่นานกระทั่งเห็นว่าภายในนั้นมีวัตถุกลมๆ เล็กๆ ก้อนหนึ่ง เขายื่นมือเข้าไปใกล้ รับรู้ถึงความอบอุ่นสายหนึ่ง คล้ายกับยามที่เอามือเย็นๆ ไปอังไฟ แสงนั้นยิ่งส่องสว่างมากขึ้นเมื่อมือของเขาขยับใกล้ มันคล้ายกับจะสว่างวาบแล้วหม่นวูบ แล้วจึงวาบขึ้นอีก คล้ายกับจังหวะการเต้นของหัวใจ

สหเดชะจำได้ว่าตนประหลาดใจเหลือ แล้วในตอนนั้นเองที่กลุ่มแสงเกิดสว่างจ้าขึ้นยิ่งกว่าครั้งใดแล้วหายวับไป เหลือเพียงแสงนวลๆ อ่อนๆ ล้อมรอบเจ้าวัตถุกลมๆ นั้นซึ่งบัดนี้เขารู้แล้วว่ามันคือแก้วมณีสีเขียวลูกหนึ่ง แล้วทันใดนั้นเอง แก้วมณีลูกนั้นก็ค่อยๆ ลอยเลื่อนเข้ามาใกล้กับหน้าอกของเขา ก่อนมันจะผลุบหายเข้าไปภายในนั้น

ชั่วขณะนั้นเอง...ราวกับมีพลังชีวิตมากมายแล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา และ ‘ตนรู้’ ในหัวของวิทยาธรหนุ่มก็บอกว่า แก้วมณีลูกนี้คือชีวิตของเขา เขาย่อมต้องรักษามันไว้อย่างสุดความสามารถ วิทยาธรตนใดไร้ซึ่งแก้วมณีแล้วก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นวิทยาธรอีกต่อไป มันเป็นพลังปฐมอันหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวกึ่งเทพเมืองฟ้านั่นเอง

มาบัดนี้ ขณะหลับตาทำสมาธิอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเจ้าไพร กำลังแห่งตบะกล้าแข็งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สหเดชะเห็นจากจิตว่าตรงจุดกึ่งกลางของทรวงอกของตนนั้น มีดวงแก้วประไพอุดมด้วยรัศมีเลื่อมพรายราวประกายมรกต มิใช่ ‘แก้วมณี’ เมื่อครั้งอุบัติเป็นวิทยาธร ทว่าคือดวงตบะที่เขาสร้างขึ้นมาจากการฝึกสมาธิกับพระเทพฤษีนั่นเอง

มิใช่มณีแห่งพิทยาธร ทว่ากลับทรงพลังยิ่งกว่า ด้วยเกิดจากดวงใจถวิลหาและมุ่งมั่นจะช่วยชีวิตผู้อื่น...ยิ่งเป็นชีวิตของผู้ที่เขาเอาใจไปผูกด้วยแล้ว ยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีกอักโข

จิตเช่นนี้ก่อเกิดกำลังอันมากมาย

สายลมพัดโบก ยอดไม้ไหวพลิ้ว

สหเดชะลืมตาขึ้นมองโลกเบื้องหน้า

+++

นกุลเงื้อมือขึ้นสูง กำด้ามพร้าในมือแน่น มองฟืนท่อนที่เท่าไหร่ไม่รู้อย่างเข็ดฟัน กำลังบ่นอุบในใจว่าเมื่อไรพระอาจารย์จะให้เราหยุดเสียที นี่ก็ผ่าฟืนจนไม่รู้มือจะด้านไปถึงไหนแล้ว อะไรบางอย่างก็ทำให้นกุลหันไปมองทางชายป่าไกลออกไป

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแนวป่าบริเวณหนึ่ง

เมื่อแรกหันไปมอง นกุลแทบจะแยกบุรุษผู้นั้นไม่ออกจากหมู่ไม้แวดล้อม คล้ายว่าเขากลืนเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ กระนั้นทีเดียว จนนกุลต้องนิ่งขึงไปเป็นครู่ ก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ชายผู้นั้นก้าวเดินอย่างสงบ ไม่เร่งรีบ ทว่ากลับข้ามระยะทางได้รวดเร็วยิ่ง ราวกับว่านกุลเพิ่งหายใจเข้า พอหายใจออก เจ้าหนุ่มนั่นก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

บ๊ะ...เจ้าหนุ่มนี่มันสำคัญนัก!

ศิษย์พระดาบสทิ้งพร้าทิ้งฟืน ลุกขึ้นยืนพรวดเดียวจนหน้ามืด กะพริบตาหลายรอบกระทั่งทัศนวิสัยกลับมาชัดเจนเช่นเดิม นกุลก็เห็นบุรุษตัวสูง หุ่นกำยำล่ำสันยืนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้า

“สำเร็จแล้วหรือ” น้ำเสียงของนกุลปิดความยินดีไว้ไม่มิด “เจ้าสำเร็จวิชาแล้วใช่หรือไม่”

สหเดชะไม่ตอบคำ เพียงยิ้มตอบกลับไป เป็นรอยยิ้มซึ่งสหายสนิทจะมอบให้กันได้ แม้รู้จักกันไม่นานวัน ทว่าก็รู้ซึ้งถึงความหวังดีที่ศิษย์พระดาบสผู้นี้มอบให้

นกุลเพ่งพินิจอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง หัวคิ้วย่นเข้าหากัน “เจ้าเปลี่ยนไปหรือเปล่านี่”

“ข้าหรือ”

“ก็เจ้าน่ะแหละ เจ้าดูผึ่งผายกำยำกว่าเดิม ซ้ำยังคล้ายว่ามี...” รัศมีส่องจากกายจางๆ นกุลจะเอ่ยเช่นนี้ทว่ายั้งปากไว้ทัน อย่าบอกนะว่าเจ้าหนุ่มนี่กลายเป็นเทวาอากาศไปเสียแล้ว นี่พระอาจารย์สอนวิชาอะไรให้! ทำไมไม่สอนเขาบ้าง!

“ไม่มีอะไรๆ” นกุลส่ายหัวให้ตนเอง หลังจากเขม้นมองอีกรอบ แสงเรืองจางๆ นั้นก็หายไปแล้ว เอ...เจ้าแสงนี้เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ น่าฉงนแท้

“นกุล ข้าว่าจะไปกราบลาพระอาจารย์”

สหเดชะเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย สุขุม “แม้ข้าจะตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนพระอาจารย์ แต่ข้าก็ร้อนใจนัก เกรงว่ารวีพิรุณจะได้รับอันตราย”

ยินคำเช่นนั้น นกุลได้แต่ถอนหายใจ แล้วออกเดินนำไปหาพระเทพฤษี

+++

พระดาบสชรากำลังลูบมืออันเหี่ยวย่นไปตามลำตัวกำยำของกวางหนุ่มตัวหนึ่ง มันยืนให้ท่านลูบเล่นอยู่เช่นนั้นโดยไม่ตื่นกลัวใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งสดับเสียงของมนุษย์สองคนเดินมาทางทิศนี้ก็ตาม

พระดาบสหันมาทางทิศของเสียง ท่านยิ้มอย่างเอ็นดูมอบให้ ก่อนจะนั่งลงที่อาสนะสานจากหญ้าปูลาดบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

“มาแล้วหรือพ่อ”

กวางหนุ่มตัวนั้นไม่วิ่งหนีไปอย่างสัตว์ตื่นมนุษย์ ทว่ากลับทรุดตัวลงนอนกับพื้น หันหัวมองมนุษย์หนุ่มสองคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วยอบกายลงกราบพระฤษี

พระเทพฤษีมฤควัจน์จ้องมองใบหน้าของสหเดชะนิ่งนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงเปี่ยมเมตตา

“สหเดชะเอ๋ย ใจเจ้าไม่ร้อนเท่าเมื่อเจ้ามา ทว่าก็ยังห่วงหากับคนที่อยู่ในใจ ฉันจะไม่รั้งพ่อไว้นานหรอกนะ ในเมื่อมีกิจที่ต้องทำก็ควรไปทำให้เสร็จสิ้น”

“ขอรับ พระอาจารย์” สหเดชะพนมมือเอื้อนเอ่ย “ศิษย์สำเร็จวิชาได้ก็เพราะพระอาจารย์สั่งสอน ชีวิตนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะแทนคุณได้เสี้ยวหนึ่งของพระคุณท่าน”

“อย่าเอ่ยให้มากความเลยพ่อ ภูมิรู้ของพ่อมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ฉันเพียงแนะไปตามทางเท่านั้น พ่อก็บรรลุถึงปลายทางด้วยตัวเอง เอาละ ถึงแม้ฉันจะเคยบอกว่ามักกะลีผลผู้นั้นไม่อยู่ในอันตราย แต่พ่อก็จงไปช่วยให้เร็วเถิดจึงดี”

“ขอรับ พระอาจารย์”

“ฉันมีสิ่งนี้ให้พ่อ” พระเทพฤษียื่นของสิ่งหนึ่งมาตรงหน้า “ฉันไปขอมาจากเจ้าป่าพญาไพรที่นี่ แล้วฉันก็บริกรรมคาถาของฉันเองทำให้ทรงอำนาจยิ่งขึ้น เอาไว้ให้พ่อใช้ยามต้องป้องกันตัวเอง”

สิ่งนั้นเป็นพระขรรค์ด้ามหนึ่ง ส่องประกายกับแสงแดด “สิ่งที่พ่อได้มาจากผู้อื่นนั้น บัดนี้คงใช้ไม่ได้แล้วกระมัง รับพระขรรค์เล่มนี้จากฉันไปเถิด ฉันให้พ่อ มันก็เป็นของพ่อนะ”

สหเดชะรู้มาตั้งแต่ตอนยืนทำสมาธิอยู่ใต้ต้นเจ้าไพรแล้ว ว่าบัดนี้เขาไม่อาจใช้พระขรรค์ที่รับมาจากสหายพิทยาธรครั้งก่อนเก่าได้อีก เมื่ออำนาจที่เกิดจากการฝึกตนหลอมรวมกับธรรมชาตินี้ออกผล อำนาจอื่นๆ ที่เคยมีก็หายสูญ

 สหเดชะเอื้อมมือไปรับพระขรรค์เล่มนั้นมา เมื่อสัมผัสถูกโลหะที่สร้างขึ้นเขาก็รู้สึกอุ่นวาบ คล้ายได้ยินเสียงตอบรับยินดีของวัตถุในมือ แล้วทันใดนั้นเอง...พระขรรค์เล่มดังกล่าวก็หายวับไป

“จะใช้เมื่อไหร่ก็ให้พ่อนึกถึงเอานะ พระขรรค์จะปรากฏ” พระเทพฤษีมองผู้ ‘เกิดใหม่’ ยิ้มๆ แล้วก็หันไปมองศิษย์รักศิษย์ขวัญที่นั่งใกล้ๆ กัน “พ่อไปคราวนี้อาจจะศึกหนัก ฉันไม่ให้ไปคนเดียวหรอกนะ เจ้านกุลก็จะไปด้วย”

คนถูกเอ่ยชื่อมองหน้าพระอาจารย์ราวกับจะบอกว่า อ้าว...ฉันด้วยหรือ

“อย่าเถียงเจียวนะ เอ็งไปกับพ่อสหเดชะคราวนี้ก็จะได้ลองวิชาด้วย ไปฝึกฝนตนเองให้เก่งขึ้น ตักน้ำผ่าฟืนที่นี่ก็จะเรียนรู้ได้สักกี่มากน้อย สู้ไปฝึกเอาจริงๆ ไม่ดีกว่าหรือ”

นกุลอ้าปากพะงาบๆ จะเถียงว่าถ้าไม่ได้ฝึกอะไร แล้วอาจารย์จะให้ผ่าฟืนทำไมตั้งมากมาย แต่พระเทพฤษีก็ตัดบทด้วยการยื่นของบางอย่างให้กับมือ “เอานี่ไปด้วย เอ็งจะได้ช่วยเขาได้ง่ายขึ้น”

ท่านวางของบางอย่างลงกับมือของนกุล จากนั้นก็เอ่ยลาขึ้นมาทันทีทันใด “เอาละ เจ้าทั้งสองจงเร่งไปให้เร็วเถิด ก่อนจะสายเกินการ”

+++

“เจ้ายักษ์พวกนี้อวดโอ่โห่หาญจริงหนอ” นกุลกระซิบอยู่ใกล้ๆ “ดูรึ พวกเราแอบลอบเข้ามาใกล้ถิ่นพวกมันขนาดนี้ ทหารลาดตระเวนสักตนก็ไม่มี คงนึกว่าแน่มากกระมัง”

สหเดชะมองอีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “ไฉนเจ้าต้องกระซิบด้วย”

“ก็...” นกุลมองซ้ายมองขวา “...ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดี พระอาจารย์สอนมา”

“จริงรึ”

“เจ้า...” นกุลชักจะเริ่มเขม่นเจ้าคนนี้เสียแล้ว “เถอะน่าๆ ขืนข้าแหกปากเอ็ดตะโรใหญ่โต ฉวยเจ้าพวกทหารในเมืองได้ยินเข้า ก็ยกพวกออกมากันหมดสิ เห็นอย่างนี้ข้าก็ฉลาดนะ”

สหเดชะเอ่ยขัดราวกับไม่สนที่สหายพูด “หากไม่ได้พรของพระอาจารย์ ข้าว่าพวกเราคงยังหาเมืองนี้ไม่เจอหรอก ข้าเคยได้รู้มา...นครโลหะของชาวกุมภัณฑ์ซุกซ่อนอยู่ในป่าด้วยมนตรากล้าแข็ง เพราะเก็บรักษาสมบัติสวรรค์บางอย่างไว้ คงเพราะด้วยมีพระเวทคุ้มกันนี่เอง พวกเขาจึงไม่ต้องระวังแข็งขันอันใด”

“แต่ก็สบช่องให้เราเข้ามาได้พอดี ด้วยมนตร์แล่นลัดตัดทุกทางของพระอาจารย์”

สหเดชะมองสหายราวกับจะเตือนว่าห้ามล้อพระเทพฤษี นกุลเงียบคำทันใด

ตอนนี้พวกเขาหลบอยู่ชายป่าอันอุดมด้วยไม้สูงใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกันแน่น มองเขม้นผ่านแนวไม้เข้าไปที่กำแพงสูงเยี่ยมเทียมเมฆตรงหน้า

นครโลหะยืนสูงทะมึนราวกับจะกลืนดาวกินเดือน ใหญ่โตโอ่อ่าราวกับวิมานจอมเทพบนดาวดึงส์สวรรค์ เพียงมองจากภายนอกเช่นนี้ก็รับรู้ถึงพลังอำนาจแห่งพระเวทมนตราที่ฉาบทาอยู่ทุกตารางโลหะอันก่อกำเนิดเป็นกำแพงเมือง สหเดชะตระหนักว่า ขอเพียงคนนอกเข้าไปใกล้กำแพงไม่กี่ก้าว ย่อมต้องพบจุดจบอันน่าเศร้าเป็นแน่

เขาแหงนมองฟ้ากลางคืน เห็นดวงศศิธรเยี่ยมหน้าออกมาเพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือหลบอยู่หลังกลุ่มเมฆ เมื่อการณ์เป็นดังนั้น จึงเอ่ยกับนกุลทันที

“เราเข้าไปกันเถอะ”

“เจ้าว่าไงข้าก็ว่าตามนั้น”

นกุลแบมือออก บนฝ่ามือของเขาเป็นเมล็ดพืชสีดำสองเมล็ด เขายิ้มยิงฟันให้สหเดชะ แล้วก้มตัวลงไป วางเมล็ดพืชทั้งสองนั้นบนพื้นให้ห่างกันราวหนึ่งวา

เขายืดกายยืนตรง แล้ววาดมือเหนือเมล็ดหนึ่งไปสู่อีกเมล็ดหนึ่ง พลันบัดนั้น...หน่ออ่อนก็แตกออกจากเมล็ด แล้วค่อยเติบโตขึ้นมาประหนึ่งว่าได้รับการประพรมด้วยน้ำทิพย์

ต้นไม้ค่อยเหยียดต้นสูงขึ้น เมื่อถึงระยะหนึ่งจึงค่อยโค้งงอ แล้วพุ่งยอดเข้าไปหาอีกต้น พอยอดต่อยอดก็เกี่ยวกระหวัดรัดพันกันเข้า สุดท้ายแล้วบุรุษทั้งสองก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซุ้มประตูอันเกิดขึ้นจากต้นไม้สองต้นเกาะเกี่ยวกัน

“เอาละนะ” นกุลว่า

“เจ้าตามข้ามา” สหเดชะชิงเอ่ยเสียก่อน แล้วก้าวเข้าไปในช่องซุ้มไม้นั้นอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง

นกุลมองตามร่างเจ้าหนุ่มที่หายวับไปจากสายตา รู้สึกกล้าๆ เกรงๆ แต่ก็ทำใจให้แข็งดั่งเหล็กกล้า

เอาละวา มาถึงขั้นนี้แล้ว ถือว่าฝึกวิชาไปด้วย ได้ช่วยสหายไปด้วย

อย่างไรเสีย...เราก็ศิษย์พระเทพฤษี

อุเหม่...สหเดชะ นี่เจ้าไม่กลัวอะไรเลยหรือไง!

บ่นฟ้าบ่นดาวแล้ว นกุล...ศิษย์พระฤษีแห่งป่ามฤคี...ก็ก้าวตามสหายเข้าซุ้มต้นไม้ไป

หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 16-17 [19-01-2564] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 19-01-2021 23:39:22


บทที่ 17


นครโลหะของชาวกุมภัณฑ์มิใช่นครใหญ่อย่างที่พบเจอในถิ่นด้าวแดนมนุษย์ ทว่าเป็นเพียงกลุ่มราชวังงดงามใหญ่โตเรียงรายอยู่ภายในล้อมรอบของกำแพงสูง นอกจากนี้ก็เป็นเขตที่อยู่ของทหารและคนรับใช้อื่นๆ สังคมของชาวกุมภัณฑ์หรือชาวฟ้านั้นแยกกันอยู่เพียงกลุ่มเล็กๆ โดยมีเจ้าเป็นใหญ่เหนือหัวคือท้าวจาตุมหาราช หรือท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ปกครอง

ท้าวกุเวร เป็นใหญ่เหนือชาวยักษ์

ท้าวธตรฐ เป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์

ท้าววิรูปักษ์ ปกครองดูแลชาวนาค

ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าเหนือหัวเหล่ากุมภัณฑ์

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าชาวฟ้าใด ก็จะอยู่แยกกันเป็นเอกเทศ ทว่าอยู่ใต้บัญชาของท้าวมหาราชองค์ใดองค์หนึ่ง ยามเกิดศึกสงครามท้าวมหาราชก็ย่อมจะเรียกระดมพลเพื่อไปหักหาญกับเหล่าอสูรได้

ณ มุมอับแสงจันทร์และแสงคบเพลิงแห่งหนึ่ง ชาวกุมภัณฑ์ร่างสูงกำยำยืนใกล้กัน ดวงตาแข็งกร้าวแดงเรืองดั่งไฟ ทั้งสองยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ แล้วร่างหนึ่งก็เริ่มขยับ เขามองไปทางซ้ายแล้วย้ายไปมองขวา เมื่อเห็นปลอดยักษ์ก็ค่อยพรูลมหายใจ ดันร่างอีกร่างให้เข้าไปหลบอยู่หลังเรือนหลังหนึ่งซึ่งปิดเงียบ

“เวทพฤกษาของพระอาจารย์นี่เหนือกว่าใครจริงๆ นอกจากจะพาเราข้ามเขตอาคมเข้ามาโดยไม่มีใครรู้แล้ว ยังแปลงเราให้กลายเป็นยักษ์ได้อีก” นกุลผู้ไม่เคยแยกออกได้ว่าชนใดคือยักษ์ ชนใดคือกุมภัณฑ์ กระซิบขึ้นมา “ว่าแต่เจ้าช่างมีใบหน้าเคร่งเครียดสมกับเป็นชาวยักษ์จริงๆ นะ”

“เจ้าเถอะ กุมภัณฑ์ที่ไหนจะลอกแลกลุกลี้ลุกลนอย่างนี้”

“ชนเหล่าใดใช่จะมีพวกเดียวกลุ่มเดียวนะพ่อนะ” นกุลกระเซ้า “ข้าเป็นยักษ์ขี้เล่นบ้างมิได้หรือ”

“อย่าให้เสียการก็แล้วกัน”

“พิโธ่ มือชั้นนี้แล้ว ไม่ต้องห่วง”

นกุลอ้าปากจะคุยโวต่อ ทว่าสหเดชะรุนเขาให้หลบเข้าไปซ่อนกายหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ไม่นานก็มีเสียงย่ำเท้าหนักๆ เดินมาตามทาง ฟังแล้วเป็นคนสองคนเดินมาด้วยกัน

สหเดชะรอให้เสียงย่ำเท้าผ่านไป ทว่าราวกับโชคไม่เข้าข้าง ผู้มาใหม่ทั้งสองกลับหยุดเท้าอยู่ห่างออกไป กระนั้นด้วยตบะอันเพิ่มพูนและทักษะวิชาที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ยินคนสองคนนั้นเริ่มพูดคุย

เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อน “ไฉนเราต้องตรวจตราเข้มงวดเช่นนี้”

อีกเสียงจึงตอบมา “มีเรื่องยุ่งๆ ในตำหนักพระอนุชาเมื่อเย็นนี้น่ะซี”

“เรื่องยุ่งอันใดรึ”

“เจ้าอย่าเอ็ดไป ข้าได้ฟังมาว่ามีคนลอบเข้าไปในตำหนักท่าน ทำข้าวของเสียหายใหญ่โต นายกองจึงสั่งให้เราหมั่นตระเวนดูให้ทั่ว หากพบใครน่าสงสัยให้กุมตัวไปส่งท่านเสีย”

“ยังจับไม่ได้หรือ”

“จะจับได้ยังไร”

“พระอนุชาเป็นถึงจอมกุมภัณฑ์...พระเดชพระเวทมากมาย ท่านจัดการไม่ได้เชียวหรือ”

“หาเรื่องให้ตัวเองแล้วปะไร พูดเช่นนี้เจ้าหมายจะหมิ่นเกียรติท่านรึ เกลือกใครได้ยินเข้า ระวังจะหัวขาด”

“ข้าก็ลืมไป แต่...ข้าได้ยินมาอีกอย่างนะ ไม่เหมือนกับที่เจ้าว่าสักน้อย”

“ยังไร ไม่เหมือนที่ใด”

“ข้าได้ยินมาว่า พระอนุชาพาคนผู้หนึ่งมาที่โลหะนคร งามอย่างนี้ทีเดียว เขาว่าเป็นคู่สยุมพรของพระอนุชาท่าน แต่เขาก็ว่ามีเรื่องวุ่นๆ เพราะคนผู้นั้นแอบหนีจากตำหนักท่านออกมาเที่ยวดูเมือง”

“ประหลาดแท้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ แล้วเรื่องใดจริงเรื่องใดเท็จ จะเชื่อใครกันดีล่ะหือ”

“ช่างเถอะ เชื่อใครไม่ได้ทั้งนั้นละ ได้ยินเขาพูดมากันทั้งคู่ ข้าว่าเรา...เอ๊ะ...”

“อ้าว นี่...เจ้าเป็นอะไรไปล่ะ ทำไมจึง...”

กุมภัณฑ์ตนนั้นเอ่ยไม่จบประโยคก็ท่อนขาอ่อนยวบ ทรุดลงไปกองกับพื้น ทับสหายอีกคนที่ล้มพับไปก่อนหน้า

นกุลพุ่งปราดออกมาจากที่ซ่อน สหเดชะก้าวเท้าตามอย่างรวดเร็ว เห็นนกุลก้มลงไปตบใบหน้าหลับใหลของชาวกุมภัณฑ์ทั้งสองโดยไม่ออมแรงสักนิด

“ตบแรงไปหน่อย แต่มั่นใจได้ว่าราตรีนี้ไม่ตื่นมาแน่ๆ”

“เจ้าทำอะไรพวกเขา” สหเดชะฉงน

“สลัดน้ำมนตร์โสมใส่น่ะซี” นกุลเอ่ยอย่างร่าเริง

“น้ำเมาเอามาทำมนตร์ได้ด้วยรึ”

“น้ำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ว่าแต่เจ้าเถอะ...เห็นหรือยังว่าข้าฉลาดเพียงใด”

“ข้าไม่เคยบอกว่าเจ้าไม่ฉลาด” สหเดชะบอกเสียงเรียบ

“เจ้าไม่เคยพูดแต่สายตาเจ้าบอกเช่นนั้นนี่” นกุลทำประหลับประเหลือก

“รีบลากพวกเขาไปหลบหลังเรือนนั้นเถอะ ประเดี๋ยวมีคนอื่นมาเห็นจะยุ่ง”

“มากันเลย นกุลคนนี้จะรับมือเอง”

“เจ้ากลัวหรือไม่กลัวกันแน่ เมื่อครู่ยังโอดครวญกับข้าว่าเข้าดงยักษ์อย่างนี้บ้าชัดๆ นี่ถ้าพวกเขายกกันมาทั้งกองกรม เจ้าจะไหวหรือ”

“เอาน่าๆ ข้าก็พูดไปเช่นนั้นเอง เจ้าจะเห็นเป็นจริงจังไปทำไม”

ว่าแล้วสองสหายก็ลากร่างไร้สติเมามายของสองทหารกุมภัณฑ์ไปนอนแผ่อยู่ด้านหลังเรือนหลังหนึ่ง

เมื่อจัดการสองกุมภัณฑ์ชั้นทหารนั้นแล้ว สหเดชะก็ยืนมองหน้าสหายศิษย์พระฤษี ฝ่ายนั้นยิ้มมีเลศนัยเท่าที่ใบหน้าเขม็งตึงของกุมภัณฑ์จะยิ้มได้

“เราต้องหาที่อยู่ของรวี” สหเดชะเอ่ยบอก

“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธี”

“วิธีใด”

“ห่อพกวิเศษของพระอาจารย์ช่วยเราได้เสมอ”

นกุลล้วงเข้าไปในห่อพกที่พระเทพฤษีมอบให้ เมื่อแบมือออกจึงเห็นว่าเป็นเมล็ดพืชสองเมล็ดเช่นเคย เขาวางเมล็ดทั้งคู่ลงบนพื้นตรงหน้า แล้ววาดมือจากซ้ายไปขวาอยู่เหนือพวกมัน

“คราวนี้จะมีสิ่งใดออกมา” คนเคยเป็นวิทยาธรเกิดสงสัยขึ้นมาอีก

“จะไปรู้เรอะ ข้าก็แค่วางเมล็ดบนพื้น วาดมือเป็นแนวขวางอย่างที่พระอาจารย์บอก อะไรจะออกมาข้าก็สุดปัญญาจะรู้ เจ้าจะสงสัยอะไรนัก”

นกุลชักจะฉุน แต่สหเดชะกลับอุทานออกมาเบาๆ

เมล็ดพืชบนพื้นทั้งสองบัดนี้ขยับยุกยิก คล้ายมีมือล่องหนไปเขี่ยเล่น แล้วจึงกระดอนขึ้นมาบนอากาศราวหนึ่งวา เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง ก่อนที่พวกมันจะแตกออกดังเป๊าะ แสงเลื่อมพรายถะถั่งหลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ

แสงซึ่งคล้ายของเหลวนั้นค่อยๆ ไหลออกมาจากเศษเมล็ดพืชแตก กลายเป็นแสงสีทองจางๆ แสงนั้นค่อยๆ ก่อรูปร่างขึ้นเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง

มันเหยียดร่างสุดขาอันเรียวงาม เชิดศีรษะอันประดับด้วยเขากิ่งแตกสาขาแผ่กว้าง รูปร่างหยัดยืนสูงสง่า มันหันศีรษะอันงดงามนั้นมาทางสหเดชะและนกุล จุดแสงสว่างจ้าสองจุดที่เป็นดวงตามองตรงมา

“กวางทอง!”

นกุลอุทานเสียงดัง

นับว่าเป็นพระเวทถนัดมือของพระเทพฤษีจริงๆ ด้วยความที่ท่านอยู่กับฝูงกวางทั้งวันทั้งคืน พอเสกกวางออกมาจึงเป็นดั่งกวางหนุ่มออกมายืนอวดเขาอยู่ตรงหน้า

กวางทองตัวนั้นค่อยเหยาะย่างเข้ามาใกล้ ใบหน้าของมันสูงเสมอหน้าของสหเดชะ มันยื่นจมูกเข้ามาใกล้ราวกับจะเอ่ยทักทาย เขาจึงยื่นมือออกไป...คล้ายรู้โดยญาณอะไรบางอย่าง แล้วเขาจึงวางมือลงไปบนพื้นที่ระหว่างดวงตาของเจ้ากวางหนุ่ม เขารู้สึกถึงความอบอุ่น เป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่ออยู่ใกล้พระเทพฤษี คล้ายกับมีกระแสบางอย่างไหลผ่านจากร่างของเขาไปสู่ร่างแสงของกวางทอง

มันหลับตาลงเพียงชั่วเสี้ยวหายใจ แล้วก็หันกายออกวิ่งกุบกับไปทันที

“ตายละวา” นกุลครวญ

“ตาม!” สหเดชะเอ่ยเสียงหนักแน่น แล้วสับเท้าตามออกไป

นกุลอยากจะร้องไห้ พระอาจารย์ก็เสกพระเวทอะไรดีอยู่หรอก แต่กวางทองสว่างโร่อย่างกับพระอาทิตย์แบบนี้ วิ่งไปกลางดึกเช่นนี้คงเห็นกันทั้งนครแล้วกระมัง

บัดนั้น สองหนุ่มรูปงาม ก็ตามกวางทันใด

+++

ร่างกุมภัณฑ์หนักอึ้ง ทว่าไม่นานก็คุ้นเคย มนตร์จำแลงของพระเทพฤษีมิใช่เพียงรูปกายภายนอก ทว่าเนื้อหนังภายในก็กลายเป็นกุมภัณฑ์ไปหมด แม้มิใช่กุมภัณฑ์ระดับเทวะ เป็นเพียงชนระดับล่างเท่านั้น แต่เผ่าพันธุ์เดียวกันมาเห็นก็ไม่เฉลียวใจอันใดแน่ๆ

สหเดชะรูปงามตามกวางราวกับเหาะ ขณะนกุลวิ่งกระหืดกระหอบอยู่ด้านหลัง เจ้ากวางทองวิ่งเสมือนกับดีใจที่ถูกปลดปล่อยให้ออกมารับกลิ่นกลางคืน กีบเท้าสีทองของมันกระทบพื้นทว่าไร้สุ้มเสียงใดๆ และนานเข้าร่างของมันก็ราวกับมีเนื้อหนังจริงๆ แสงสว่างค่อยๆ จางลง ก่อนจะกลายเป็นรัศมีจางๆ ห่อหุ้มกายไว้ แล้วเสียงกีบเท้าของมันก็เริ่มดังขึ้น

มันวิ่งนำไปราวกับรู้ว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่ใด

ขณะออกเท้าตามกวางหนุ่มไปนั้น สหเดชะมองไปรอบๆ และสังเกตว่าพวกตนเริ่มเข้าไปใจกลางนครมากขึ้น สิ่งปลูกสร้างซึ่งก่อไว้เพียงหยาบๆ เริ่มประณีตขึ้น โดยมากเป็นอาคารที่สร้างขึ้นจากวัสดุคล้ายกับโลหะบางอย่าง คล้ายจะดำสนิททว่าก็สะท้อนแสงจันทร์ บางครั้งมีประกายดุจนิล

ณ ยามนี้เอง ทั้งสองก็เริ่มตระหนักว่าทหารกุมภัณฑ์เป็นจำนวนเรือนสิบ กำลังวิ่งไล่หลังตามมา พลางส่งเสียงโหวกเหวก นกุลลอบหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าถมึงทึงมองมา ในมือของทหารเหล่านั้นถือหอกใหญ่ไว้มั่น เขาลอบอุทานในใจ ครั้นจะเอ่ยเตือนสหเดชะ ฝ่ายนั้นก็เอาแต่วิ่งตามกวางอยู่นั่นแล้ว

นกุลแทบตาเหลือกเมื่อหนึ่งในทหารกลุ่มนั้นที่วิ่งไล่กวดมาไม่หยุดพลันกระโดดลิ่วขึ้นไปในอากาศ ลอยโค้งอย่างงดงาม แล้วหล่นตุบลงมาไม่ห่าง แรงกระแทกนั้นมากเหลือจนเขาเซถลาออกนอกทาง แต่นกุลกลับไม่ยั่นระย่อ ตั้งหลักได้ก็สับเท้าวิ่งตามสหเดชะที่นำไปไกลโขแล้ว กุมภัณฑ์เจ้าถิ่นก็วิ่งตาม

“เจ้า หยุดก่อน!”

“อะ...อะไรรึ” นกุลเสียงหืดปนหอบ

“เกิดอันใดขึ้น”

“ก็...หืด...วิ่ง...หืด...ตามกวาง...หืด...น่ะซี”

“กวาง...กวางของผู้ใด มันวิ่งตัดหน้าข้าไปแวบๆ ข้ามัวแต่ตกใจ พอเห็นเจ้าวิ่งตามมัน ข้าก็วิ่งตามเจ้าทันที”

“กวาง...” นกุลหอบอีก “...ของใครก็ช่างเถิด เอาเป็นว่านายกองข้าสั่งให้จับมันให้ได้ เจ้าไปตรวจตราที่อื่นดีกว่า เรื่องตามกวาง...ให้ข้าจัดการเอง” การวิ่งไปพูดไปนี้ช่างยากเย็นเสียจริง กลัวเผยพิรุธให้เห็นก็กลัว กลัววิ่งไม่ทันเจ้าสหเดชะก็กลัว แต่ก็ต้องพูด...ขืนไม่พูดเจ้ายักษ์นี่เกิดสงสัยขึ้นมาก็แย่กันพอดี

“กวางทองมิใช่หรือนั่น” ฝ่ายนั้นว่าอีก

“มิใช่ทองหรอก เจ้ามองพลาดไปเอง”

“พลาดที่ไหน กวางทองสวยงามออกเช่นนั้น ถ้าข้าจับได้...คงได้เลื่อนเป็นนายกองก็คราวนี้แน่”

“บอกแล้วว่าไม่ต้อง ข้าจับเอง เดี๋ยวจับได้จะเอามาให้เจ้า”

“เจ้าเชื่อได้ที่ไหน”

เห็นอีกฝ่ายเอ่ยแข็งขันเช่นนั้น นกุลก็ได้แต่โกยอ้าว เร่งฝีเท้าให้ห่างจากพลพรรคยักษามากที่สุด เขามองไปข้างหน้า หมู่สิ่งปลูกสร้างด้านหน้าบดบังสายตา เขาคล้ายกับมองเห็นว่ากวางทองกับสหเดชะเลี้ยวมุมขวาไปตรงนั้น แต่แล้วทันใดนั้นเองก็ปรากฏกวางทองสว่างเรืองรองกระโจนพรวดออกมาจากหมู่เรือนตรงนั้น

“ฮ้า...เสร็จข้าละ” เจ้ากุมภัณฑ์จอมละโมบผู้นั้นร้องแล้วแล่นผลิวตามไป

หมู่ชนกุมภัณฑ์ถือหอกดูน่าสะพรึงเหล่านั้นพลันเฮละโลตามไปทั้งหมด นกุลถูกกระแทกจนกระเด็นออกมา ทว่าก่อนที่จะล้มไปกลิ้งกับพื้นอย่างหมดท่า เขาก็รู้สึกว่ามีมือแข็งแรงมือหนึ่งจับกระชากเขาให้หลบไปอีกทาง

“สหเดชะ”

“อย่าเอ่ยเสียง”

(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 16-17 [19-01-2564] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 19-01-2021 23:43:00


สหเดชะกล่าวเพียงนั้น แล้วออกเดินอย่างรวดเร็ว นกุลจึงตามไป

พอพ้นหมู่เรือนนั้นมาได้ ก็เข้าสู่เขตหมู่ไม้ใหญ่หนาแห่งหนึ่ง ร่มเงาของมันสูงเงื้อมราวกับจะบดบังทุกอย่าง แสงจันทร์ไม่อาจลอดเข้ามาภายใต้หมู่ไม้นี้ได้ บัดนี้จึงมีเพียงแสงสว่างเรืองๆ จากร่างปราดเปรียวของกวางทองเท่านั้น

“อะไรกัน...ก็ข้าเห็นกวางทอง...” นกุลบุ้ยใบ้ไปทางที่หมู่กุมภัณฑ์วิ่งตามกวางไป

“ข้าก็ไม่รู้” สหเดชะเอ่ยเรียบๆ “ข้าตามกวางตัวนี้อยู่ดีๆ ก็มีกวางอีกตัวโผล่ขึ้นมาแล้ววิ่งสวนกลับไป”

นกุลนิ่งงัน ก่อนจะเปิดดวงตากว้าง “อ้อ...” เขายกมือท่วมหัว “เป็นเช่นนี้เอง พระอาจารย์จึงสั่งให้ใช้สองเมล็ด”

“นกุล...”

สหเดชะเอ่ยเบาๆ

นกุลหันไปมอง กวางทองหนุ่มนั้นเหยาะย่างกีบเท้าไปมาอยู่ที่เดิม มันเหยียดร่างราวกับจะอวดความงดงามของตนเอง มันมองพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่างของมันจะค่อยๆ โปร่งแสง แล้วกลายเป็นละอองลอยหายไปกับอากาศค่ำคืน

พวกเขาตกอยู่ในความเงียบ

ความมืดยามดึกช่างมากเหลือ กระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นได้ลางๆ

สหเดชะมองสำรวจโดยรอบ หมู่ไม้นี้ขึ้นหนาแน่น ต่อกันไปเป็นทิวแถว คล้ายจะนำไปที่ใดสักแห่ง

“กวางก็ไม่มีให้ตามแล้ว...” นกุลบ่น

“กวางพาเรามาได้เพียงเท่านี้แหละ จากนี้เราไปกันเอง”

“เจ้ารู้ทางหรือ”

“ตามทางหมู่ไม้นี้ไป”

ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ดังนั้นทั้งสองจึงค่อยออกเดินไปตามแนวหมู่ไม้ขึ้นสูงนี้ บางช่วงแสงจันทร์ส่องลอดผ่านลงมา บางช่วงก็มืดจนต้องก้าวเท้าอย่างระวัง ในใจของสหเดชะนึกสงสัยเรื่องสองกุมภัณฑ์นั้นเอ่ยถึงเวรยามแน่นหนา ทว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ทหารสักคน หรือว่าทางเดินหมู่ไม้แห่งนี้จะเป็นสถานที่พิเศษ หากมิใช่ผู้ได้รับอนุญาตก็ไม่อาจเข้ามากระนั้นหรือ

แล้วทันใด เขาก็เห็นแสงไฟด้านหน้า

เขาหลบเข้าไปหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ลอบมองออกไปเห็นทหารยามยืนเรียงแถวอยู่คนละฝั่ง ฝั่งละสามตน พวกเขายืนห่างกันราวสองวา ยืนนิ่งราวกับเสาหลักปักไว้ กระถางคบไฟลุกไหม้สว่าง

สหเดชะค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว นกุลรีบก้าวตามด้วยใจระทึก

ทุกช่วงหายใจเข้า-ออกนั้นช่างอึดอัดมากเหลือ นกุลแทบไม่กะพริบตา ขณะจับจ้องสายตาของตนอยู่กับทหารยามหมู่นั้น

เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ราวชั่วโยนก้อนหิน และขณะที่แสงจันทร์ถูกบังด้วยหมู่เมฆ นกุลก็เผลอสะดุดเข้ากับรากไม้ซึ่งโผล่พ้นดินขึ้นมา

เขาล้มคะมำไปข้างหน้า สหเดชะคว้าเขาไว้ได้ทัน แต่ไม่ก่อนที่เขาจะส่งเสียงอุทานออกไปแล้ว

ทหารยามกลุ่มนั้นหันมาทางทิศของเสียงโดยพร้อมเพรียง ด้วยรู้แน่ชัดว่าเสียงมาจากไหน

เปล่าประโยชน์ที่จะใช้หมู่ไม้เป็นสิ่งกำบัง สหเดชะยืดกายขึ้นตรง ขณะเหล่าทหารยามถือหอกออกท่าพุ่งแทง วิ่งกรูมาหา

ชั่วอึดใจหนึ่ง ราวกับว่านกุลจะเห็นแสงสีเขียวเรืองส่องจากร่างสหเดชะ แล้วเจ้าหนุ่มก็โจนขึ้นจากพื้นพุ่งเข้าหาทหารยามเหล่านั้น

กุมภัณฑ์ตนแรกเสือกปลายหอกเข้าใส่ร่างสหเดชะ ทว่าในชั่วพริบตา พระขรรค์สีขาววับก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา พระขรรค์วาดออกไปด้วยด้านแบน ปัดปลายหอกที่แทงมาอย่างแรงนั้นแฉลบพ้นทาง พระขรรค์ปะทะเข้ากับหัวไหล่ของกุมภัณฑ์ตนนั้น จนเจ้ายักษ์กระเด็นออกไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ร่างกายใหญ่โตราวกับหักยับ ร่วงลงมานอนพับหมดสภาพกับพื้นแน่นิ่งไป

กุมภัณฑ์อีกสองตนทิ่มหอกออกมาโดยแรงด้วยหวังจะแทงให้สหเดชะร่างทะลุขณะเขาลงเหยียบพื้น ทว่าเขาเพียงแค่ใช้ปลายเท้าสะกิดพื้นดินเท่านั้นก็ลอยตัวขึ้นได้โดยง่าย หมุนร่างตีลังกาลงไปหาหอกทั้งสอง มือของเขาฟาดฟันพระขรรค์ออกไป คมพระขรรค์ตัดหอกขาดครึ่ง ปลายหอกตกเปรื่อง เขาหมุนร่างกลางอากาศอีกรอบ ฟาดเท้าเข้ากับลำคออันไร้การปกป้องของกุมภัณฑ์ตนหนึ่ง และใช้ด้ามพระขรรค์ฟาดเข้ากับศีรษะของทหารอีกตน สองกุมภัณฑ์ผู้ไร้หอกกระเด็นออกไปนอนกลิ้งกับพื้นแน่นิ่งไปทันที

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพียงพริบตา เมื่อนกุลวิ่งเข้าไปถึง กุมภัณฑ์สามตนก็นอนแน่นิ่งไม่ส่งเสียงอีกแล้ว

ฝ่ายทหารยามที่เหลืออยู่ เมื่อรู้แน่ชัดว่าผู้บุกรุกคนนี้มีฝีมือพอตัว จึงหยุดเท้าแล้วยืนดูท่าที

“เจ้าเป็นผู้ใด ต้องการอะไรจึงลอบเข้าโลหะนคร”

สหเดชะไม่ตอบ

“ราตรีก่อนนี้เจ้าหลบหนีไปได้ ไฉนกลับมาอีก...ไม่รักชีวิตแล้วรึ”

สหเดชะเดินเข้าไปหา ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยยั่วอย่างไร

นกุลสังเกตเห็นทหารยามคนที่อยู่ไกลกว่าเพื่อนกำลังค่อยๆ เดินถอยหลังกลับไป ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าเจ้าคนนี้อาจจะไปเตือนภัยให้ทหารยามหมู่อื่นรู้ได้ เขาล้วงเข้าไปตรงพกของ แล้วขว้างของบางอย่างในมือออกไปโดยแรง

สิ่งนั้นปักเข้ากับผิวลำคอใต้คางพอดิบพอดี กุมภัณฑ์ตนนั้นนิ่งงัน ตาเหลือก หอกใหญ่ในมือพลันตกเปรื่อง ทั้งร่างเกร็งแข็งแล้วล้มหงายหลังลงไป

“พวกเจ้า!” ทหารยามที่เหลือสองตนราวกับมีไฟในดวงตา มองมาอย่างมาดร้าย “แม้ภายนอกพวกเจ้าจะมีรูปกายเป็นกุมภัณฑ์ แต่ข้าสัมผัสรู้ว่าพวกเจ้าเป็นชาวอื่น มิใช่พี่น้องกุมภัณฑ์ของเรา”

ทหารตนหนึ่งซึ่งนกุลอนุมานเอาว่าเป็นหัวหน้าทหารยามหมู่นี้ มันเริ่มควงหอกในมือเป็นวงกลม พลันบังเกิดประกายไฟขึ้นที่ปลายหอก แล้วทันใดนั้นมันก็เหวี่ยงปลายหอกอย่างแรง ทำให้กลุ่มไฟสีแดงพุ่งเข้ามาหาสหเดชะด้วยความรวดเร็ว

สหเดชะไม่สะทกสะท้านสักนิด เขากำพระขรรค์มั่นในมือ ฟาดลูกเพลิงนั้นครั้งเดียว ลูกไฟเริงร้อนพลันกระจายเป็นเพียงประกายไร้ค่า

เขากระโจนขึ้นจากพื้น พุ่งเข้าหาสองทหารที่เหลือด้วยความเร็ว ฝ่ายนั้นด้วยประหลาดใจเหลือที่ลูกไฟของตนไม่มีผลอะไรสักนิด จึงเผลอยืนนิ่งเฉยอยู่ เป็นโอกาสให้สหเดชะฟันเข้าที่ก้านคอด้วยสันมือแข็งแรง ฝ่ายนั้นตาเหลือก แล้วทรุดกายนิ่งไป

กุมภัณฑ์ที่เหลือพุ่งเข้ามาด้วยหอกเงื้อง่า ทว่าสหเดชะก็พุ่งเข้าไปราวกับศรพุ่งจากแล่ง เขาก้มตัวลงต่ำขณะฝ่ายนั้นกำลังจะฟาดหอกลงมา แล้วเขาก็ทะลึ่งตัวขึ้นไปอย่างเร็ว ฟาดหมัดเสยเข้ากับปลายคางของกุมภัณฑ์ตนนั้น นกุลได้ยินเสียงหมัดกระแทกกระดูกกรามจนต้องย่นคอหดลง พอมองตามไปก็เห็นสหเดชะยืนค้ำอยู่เหนือร่างนอนแผ่อย่างหมดท่าของทหารกุมภัณฑ์ตนสุดท้ายนั้นแล้ว เขาอยู่ในร่างของสหเดชะตัวจริง มิใช่ภายใต้มนตร์จำแลงกายของพระอาจารย์แล้ว

การโรมรันนี้ผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น มองเห็นสหเดชะยืนเด่นอยู่เช่นนั้นนกุลก็ให้เสียววาบ...ทหารยามพวกนี้มีหอกเป็นอาวุธ ปลายหอกก็คมปลาบวาบวับยิ่งนัก หากว่าโดนแทงเข้ามิทะลุเป็นรูโบ๋เลยหรือ ถ้าไม่ติดว่าสหเดชะเจ้าหนุ่มใจระห่ำนี่พุ่งกระโจนเข้าไปจัดการเสียอยู่หมัดด้วยความรวดเร็วราวกับลูกศร ป่านนี้คงมีทหารหมู่อื่นๆ ตามมาสมทบอีกมากมายเป็นแน่

เห็นเช่นนี้แทบไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเป็นคนเดียวกับที่ถูกเสียบตรึงไว้กับต้นไม้ในป่า แล้วเขาผ่านไปเห็นจึงช่วยไว้ ฝีมือร้ายกาจปานนี้...ยากนักจะแพ้ให้แก่ผู้ใด มิพักว่าตอนนี้สหเดชะคงยังไม่ได้ใช้กำลังไปเสียกี่มากน้อยอีกนะ นี่ถ้าสู้สุดกำลังจะเป็นอย่างไร

นกุลถอนหายใจ หันไปนั่งยองๆ สำรวจร่างนอนแบ็บแน่นิ่งของกุมภัณฑ์ตนหนึ่ง จะอย่างไรนกุลก็ศิษย์พระอาจารย์ ท่านสอนเสมอว่า...การปลิดชีวิตผู้อื่นนั้นบาปหนา โทษแรง ถ้าเลี่ยงได้ก็ให้เลี่ยง ที่เขาขว้างไปใส่ยักษ์ตนนั้นก็ยาทำให้หมดสติหรอก

“พวกเขายังไม่ตาย” สหเดชะว่า นกุลเงยหน้ามอง “ข้าเพียงทำให้สลบเท่านั้น”

“ทำไมไม่ฆ่าล่ะ” นกุลถาม

“หนึ่งชีวิตนั้นมีค่า ข้าเป็นใครจึงอาจหาญไปคร่าลมหายใจผู้อื่น”

นกุลลุกขึ้นยืน มองหน้าสหายเงียบๆ ก่อนเอ่ยออกมา “เพราะเช่นนี้เจ้าจึงอาจหาญ”

สหเดชะกำพระขรรค์แน่น แล้วโจนลิ่วไปในสายลม

+++

แสงสว่างโชติช่วงดุจไฟกองกูณฑ์นั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงสูง สหเดชะได้ยินเสียงโห่ร้องรื่นเริง ราวกับกำลังมีการประลอง หรืองานฉลองอะไรบางอย่าง

พวกเขาหลบอยู่หลังไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง อาศัยเงาของมันเพื่อหลีกเร้นจากสายตาของยามซึ่งเดินลาดตระเวนไปมาในบริเวณนี้ ที่ตรงนี้ห่างจากหมู่ไม้ใหญ่สูงที่พวกเขาโรมรันกับทหารยามทั้งหกตนอยู่ไกลโข ทหารยามที่นกุลลากร่างไปนอนในหมู่ไม้แล้ว

ยิ่งเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้พวกเขายิ่งระวังตัว ทั้งเกรงว่าจะถูกจับได้ ทั้งเกรงว่ากวางทองอีกตัวที่วิ่งล่อเหล่าทหารกุมภัณฑ์ไปอีกทางเมื่อครู่ก่อนนั้นจะรายงานให้ผู้บัญชาทราบเรื่อง หากเป็นเช่นนั้นก็เห็นจะลำบากแล้ว

ช่วงหนึ่งอยู่ๆ ทหารลาดตระเวนดูจะหายไป เหลือช่องว่างทางสะดวกให้แก่สองหนุ่ม ทั้งอาศัยเงาวูบไหวอันเกิดจากแสงไฟจากอีกด้าน และอาศัยเสียงวุ่นวายโกลาหลอึงอลจากภายใน ไม่ช้าทั้งสหเดชะและนกุลก็กระโดดขึ้นไปอยู่ด้านบนกำแพงนั้นได้โดยลำบากยิ่ง ก็กำแพงนี้สูงน้อยเสียเมื่อไรล่ะ

สหเดชะมองลอดช่องว่างระหว่างใบสอบนเชิงเทินกำแพง เห็นทางสะดวกดาย จึงรีบขึ้นไปยืนบนกำแพงนั้นทันที และภาพเบื้องล่างก็เปิดเผยสู่สายตาของเขา

ท่อนซุงก่อสูงท่วมศีรษะเป็นเชื้อให้เปลวเพลิงลุกโหม ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

เบื้องล่างนั้นมีกุมภัณฑ์นับได้กว่าร้อยโอบล้อมกองกูณฑ์เป็นวงกว้าง บ้างยืนบ้างนั่ง บ้างปรบมือ โห่ร้อง ส่งเสียงดังโหมหึกอึกทึกยิ่งนัก โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า บนเชิงเทินของกำแพงสูง มีสองร่างหลบเร้นอยู่...และกำลังจ้องมอง

สหเดชะยืนแข็งทื่อ

มองเห็นร่างน้อยๆ ผอมบางกว่ากุมภัณฑ์ตนใด กำลังยืนอยู่ห่างจากเปลวไฟไม่ไกลนัก ร่างนั้นยืนสงบนิ่ง...นิ่งยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็นว่าคนผู้นี้จะนิ่งเฉยเช่นนี้ได้ หากไม่วิ่งเล่นกับหมู่ไม้ให้เท้าสัมผัสหญ้านุ่ม ก็คงเป็นกระโดดโลดเต้นไปกับมวลบุปผา ณ ริมฝั่งน้ำนั่นแล้ว ไฉนจะยืนเฉยๆ ราวกับทำสมาธิเช่นนี้ได้

รวี...รวีพิรุณของสหเดชะนั่นเอง

ชั่วขณะหนึ่งนั้น หัวใจสหเดชะก็เต้นแรง เขาเห็นรวีเจ้ายอดดวงใจเอนกายไปด้านหน้าแล้วออกวิ่งเร็วรี่ รวดเร็วราวกับกวางหนุ่มน้อยกระสันจะลองกีบเท้า

สหเดชะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รวีพิรุณวิ่งเร็วดุจลมหมุน ไม่กี่อึดใจต่อมาก็ไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเรือนกายสูงใหญ่ของใครคนนั้น

คนที่สหเดชะแค้นมันเหลือใจ ก็มันมิใช่หรือ จะเป็นใครได้นอกจากมัน...ที่ลักพาน้องน้อยของข้าไปจากอก

ในท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวเพลิง สหเดชะเห็นรวีสะกิดเท้ากับพื้นดิน แล้วก็โจนร่างลอยลิ่วขึ้นไปกลางอากาศ เขาพลิกร่างพลิ้วเป็นวงกลมดั่งจักรผัน ก่อนจะฟาดเท้าลงไปหวังตีแสกหน้าเจ้ายักษ์ปักหลั่นตนนั้น มันผู้นั้นใช้มือปัดเท้าของรวีออกอย่างง่ายดาย แล้วมืออีกข้างของมันก็พลันคว้าหมับเข้ากับลำคอของรวีน้องน้อย!

จากจุดที่ยืนอยู่ สหเดชะสามารถมองเห็นร่างกายน้อยๆ ดิ้นขัดขืน ทั้งถองทั้งถีบหวังให้หลุดจากเงื้อมมือ

เห็นเช่นนี้ยิ่งหัวใจเจ็บแปลบ พี่ไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม

ร่างเจ้าน้องน้อยที่เขาตระกองกอดไว้อย่างทะนุถนอม

ลำคอขาวระหงของเจ้าพี่เคยแนบจมูกดมดอม บัดนี้กลับมีมือกักขฬะของเจ้ายักษ์สามานย์ตนนี้บีบเค้นอย่างหนัก

โทสะพุ่งเพลิดเริงแรงในอกของสหเดชะ

เขาตะเบ็งเสียงกราดเกรี้ยว

“ปล่อยรวีของข้าเดี๋ยวนี้!”

เสียงนั้นปานราชสีห์พิโรธ มันกระหึ่มเหิมโกญจนาท ฟาดมวลอากาศให้แตกกระจายออกไป เปลวไฟราวกับจะลู่ไปเพราะเสียงนี้ ทุกการเคลื่อนไหวเบื้องล่างราวกับจะนิ่งสนิท ทุกลมหายใจคล้ายถูกกลืนหายลงไปจนหมดสิ้น

ชั่วขณะใจนั้นเอง รวีก็หันมาตามเสียง ใบหน้าขาวมีฝุ่นเปื้อนประปราย ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสุกใสเป็นอย่างยิ่ง

ดวงตากลมโตจ้องจับอยู่ที่ร่างบนเชิงเทินกำแพง เมื่ออนุสติรู้ตนสว่างแจ้ง ตาคู่นั้นก็เบิกโพลง ก่อนสายชลจะเริ่มหลั่งริน รวีพิรุณเม้มปากเป็นเส้นตรงราวอดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะตะโกนก้องไม่ต่างกัน

“ท่านพี่!” 

++++++

เจอกันตอนต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 26-01-2021 11:32:01
มาต่อกันเลยค่าาา  :katai4:


บทที่ 18




ยินคำน้องร้องเรียกชื่อตน ร่างของสหเดชะก็ไปก่อนความคิด

เขากระโจนจากเชิงเทินลงไปเบื้องล่าง ไม่ยี่หระต่อเหล่ากุมภัณฑ์ซึ่งกำลังคว้าอาวุธมาถือมั่นในมือ ใบหน้าชาวนครเรียบตึง จ้องมองเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยอย่างหมายมาด

เท้ากระแทกพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งขึ้นมา สหเดชะยืดกายขึ้นยืนตรง ยามนี้เขาสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ไม่ปรากฏแววยั่นระย่อในดวงตาเลยสักนิด จุดเดียวที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่คือร่างเล็กๆ ของรวีพิรุณ

ฝ่ายรวีเอง ตั้งแต่น้ำตาหยาดลงตามแก้มเพราะเห็นว่าใครมาหาตน เขาก็สะบัดมือโดยแรง มือใหญ่ที่กำรวบลำคอของเขาไว้หลวมๆ ก็คลายออก ร่างรวีหล่นตุบลงไปกับพื้น

รวีวางเท้ากับพื้นได้มั่นคง ไม่เซล้มหรืออะไรทั้งนั้น ครั้นแล้วก็รีบวิ่งออกเท้าสุดแรงเกิด มุ่งตรงไปยังร่างสูงใหญ่ของท่านพี่สหเดชะทันที

ในขณะนี้เอง จตุรเศียรยืนมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ยกมือขึ้นกอดอก เมื่อเห็นทหารจะเข้าขวางรวีไว้ เขาก็ยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าทหารใต้บัญชาต่างล่าถอยออกมา หลบเป็นทางโล่งให้รวีวิ่งไปอย่างสบาย

ชั่วอึดใจจากนั้น ร่างขาวๆ ของรวีพิรุณก็โผเข้าหาสหเดชะ ฝ่ายนั้นอ้าแขนออกโดยอัตโนมัติ เมื่อร่างน้องน้อยโผเข้ามา สหเดชะก็รวบกอดไว้ด้วยอ้อมแขนของตน

ร่างกรุ่นกลิ่นคุ้นเคยแนบชิดสนิทกัน สหเดชะใช้เวลาเพียงเสี้ยวในการสูดเอากลิ่นอันหอมจรุงของไม้ดอกซึ่งกรุ่นจากร่างของรวีพิรุณนี้

ภาพความชิดใกล้หลายฉากฉายอยู่ภายในสมองอันว่างเปล่าของสหเดชะ เขาเห็นรอยยิ้มของน้องซึ่งกำลังวิ่งเล่นท่ามกลางทุ่งดอกไม้และหญ้าเขียว เขาเห็นน้องล่องลอยกลางอากาศขณะเขาโอบอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปชมทัศนียภาพกลางหาวของพิทยานคร

บัดนี้เขาไม่ต้องใช้ความทรงจำใดๆ เพื่อเห็นหน้าน้องเจ้าแล้ว เพราะตอนนี้น้องอยู่ในอ้อมกอดเขา อ้อมกอดที่เขามั่นใจว่าจะสามารถปกป้องน้องไว้ได้ คราวนี้เขาจะไม่ให้ใครมาพรากน้องไปจากเขาได้อีกเด็ดขาด!

“ท่านพี่ ท่านพี่สหะ...” สำเนียงเสียงหวานเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู สหเดชะให้ซาบซ่านในอกยิ่งนัก ฝังจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มของน้องแล้วสูดดมกลิ่นอันคุ้นเคยอย่างโหยหา

สูดดมเพื่อให้แน่แก่ใจว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันจริงๆ ไม่ใช่ภาพมายาหลอกตาใดๆ

“รวี...รวีของพี่”

สหเดชะโอบกอดราวกับจะให้ร่างสองร่างรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาโอบกอดด้วยโหยหา โอบกอดด้วยหัวใจอันเอ่อล้นด้วยความรู้สึก
กระทั่งเสียงใสๆ เอ่ยประท้วงเล็กๆ “ทะ...ท่านพี่...”

สหเดชะจึงคลายกอด ดันให้น้องออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้ามอมแมมนั้น

“พี่อยู่นี่แล้ว พี่มาหาน้องแล้ว”

“ท่านพี่...ท่านพี่มีชีวิต...ท่านพี่มาหารวีแล้ว”

“ใช่...พี่มาหารวี พี่ไม่เป็นอะไรเด็ดขาด จะต้องมาหารวีให้ได้อยู่แล้ว”

ตาประสานตา สหเดชะก้มหน้าเอาหน้าผากแนบหน้าผากน้อง แตะริมฝีปากกับริมฝีปากของน้องเพียงเบาๆ รับรู้ถึงความนุ่มของริมฝีปากนั้น รับรู้ถึงความอบอุ่นแห่งชีวิตของอีกฝ่าย

...เท่านี้ก็ดีแล้ว

“เจ้ากล้ามากที่ลอบเข้าโลหะนคร”

เสียงกร้าวแกร่งดังขึ้นทำลายการแสดงความรักของสหเดชะกับรวีพิรุณ สหเดชะรีบดันน้องให้ไปหลบด้านหลังตน

จอมกุมภัณฑ์เดินเข้ามาหาช้าๆ บนใบหน้านั้นแม้เรียบเฉยทว่าก็ปรากฏแววแห่งความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

จตุรเศียรหยุดอยู่ไม่ไกลนัก เขม้นมองมาทางนี้ด้วยสายตายากอธิบาย

“โลหะนครใช่จะเข้ามาแล้วออกไปได้โดยง่าย”

“เราเข้ามาได้ ก็ย่อมออกไปได้”

วาจายกตนข่มท่านอย่างใหญ่โตของสหเดชะนี้คล้ายจะทำให้ใบหน้าของจตุรเศียรเครียดเขม็งขึ้น

“วาจาใหญ่เกินตัวขนาดนี้ เจ้าจำครั้งก่อนที่เจอกันไม่ได้แล้วหรือ”

“อดีตเป็นเช่นไรเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เราย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อน”

“น่าสน”

จตุรเศียรเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็วาดมือออกไป เกิดแสงวาบขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อแสงเลือนหายไป ในมือของเขาปรากฏดาบโลหะสีดำมะเมื่อมกำมั่น เขาปักมันไว้กับพื้นดิน

ทหารกุมภัณฑ์โดยรอบส่งเสียงพอใจ พร้อมใจกันถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างให้นายเหนือหัวอย่างรู้แกว

ทว่าเสียงใสของรวีพิรุณกลับเอ่ยขึ้นมาโดยเร็ว “ท่านจะทำอะไร!”

จตุรเศียรยกมือห้าม “เจ้าอย่ายุ่ง ถอยออกไป”

รวีพิรุณทำหน้ายุ่ง สหเดชะเอี้ยวไปมองหน้าน้อง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสุกสว่าง เขาแย้มริมปากเป็นรอยยิ้มอบอุ่น

“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ไม่แพ้เป็นครั้งที่สอง”

“แต่ท่านพี่...”

“เชื่อใจพี่”

สหเดชะกำมือรวีไว้แน่น บีบเบาๆ เป็นเชิงให้ความเชื่อมั่น

“น้องไปอยู่กับสหายพี่ก่อน...”

นกุลวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาใกล้ รวีมองมือที่กอบกุมกันไว้ มองใบหน้าซึ่งประดับด้วยยิ้มอบอุ่นของท่านพี่ รวีย้ำกับตนเองในใจ...ท่านพี่ไม่แพ้หรอก ก็ท่านพี่เก่งอย่างนี้เลย!

รวีก้าวถอยหลังไปยืนใกล้ๆ กับคนตัวใหญ่ๆ อีกคนที่เพิ่งวิ่งเข้ามายืนไม่ไกลนัก เขามองรวีแล้วยิ้มให้ ซึ่งรวีก็ยิ้มตอบกลับ เพราะรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มีแต่ความเป็นมิตรมอบให้

มิใช่ว่าสหเดชะจะไม่สงสัย ว่าระหว่างที่เขาฝึกวิชาอยู่กับพระอาจารย์นั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับรวีพิรุณบ้าง พระอาจารย์บอกว่าน้องไม่อันตราย แต่เขาก็ยังเกรงว่าน้องอาจจะถูกทำทารุณกรรมอะไรบ้างหรือไม่

ต่อเมื่อมาสบหน้าน้องครั้งนี้แล้ว ก็มั่นใจได้ว่าน้องไม่ได้ถูกทำอันตรายอันใด ทว่า...ไฉนรวีคล้ายจะคุ้นเคยกับเจ้ากุมภัณฑ์ตนนี้ยิ่งนัก? น้องดูไม่เกรงกลัวฝ่ายนั้นสักนิด นี่ใช่กิริยาของคนที่ถูกลักพามาจะแสดงออกต่อคนที่ลักพามาหรือ?

เขาเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน ก้าวออกไปอย่างมั่นใจ สะบัดมือออกไปก็ปรากฏพระขรรค์สีเงินส่งแสงสีเขียวเรือง เขากำไว้ในมือมั่น ยืนประจันหน้ากับจอมกุมภัณฑ์แห่งโลหะนครอย่างไม่กลัวเกรง

+++

“คราก่อนเจ้าพ่ายเราในดาบเดียว” จตุรเศียรเอ่ยขึ้นมา

เสียงของสหเดชะนิ่งทีเดียว เมื่อตอบกลับไป “คราวนี้ไม่แม้แต่ดาบเดียว...เพราะเราไม่แพ้”

“หึ”

จตุรเศียรไม่เคยเจอใครช่างวางโตเช่นนี้มาก่อน ตัวเป็นเพียงวิทยาธร...ไม่สิ...มีเพียงกลิ่นจางๆ ของวิทยาธรเท่านั้น ไม่ใช่ชนชาวฟ้าเสียด้วย ไฉนจึงกล้าปากเก่งต่อหน้าเขาเช่นนี้ จอมกุมภัณฑ์แค่นเสียงดูถูกแล้วเอ่ยออกมา “ข้าให้เจ้าเริ่มก่อน”

มาครั้งนี้สหเดชะไม่คิดโอ้เอ้ แม้ฝ่ายนั้นไม่ให้เขาเริ่มก่อน เขาก็คิดจะออกดาบแรกอยู่แล้ว ดังนั้นเพียงอึดใจต่อมาเขาก็พุ่งทะยานมากลางอากาศ พระขรรค์ขนานกับพื้นดิน หันคมเข้าหาฝ่ายนั้น

หะแรกจตุรเศียรคิดจะใช้แค่นิ้วเดียวหยุดอาวุธฝ่ายตรงข้าม แต่แล้วเขาก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง

คนผู้นี้แปลกไปกว่าเก่า แม้ว่าไม่มีกลิ่นอายชาวฟ้า ทว่ากลับคล้ายมีรัศมีบางอย่างส่องออกมาจากร่างกายเพียงบางๆ ซ้ำเขาก็ยังสัมผัสได้ว่า...หากใช้นิ้วเดียวรับพระขรรค์นั้นไว้ละก็ นิ้วเดียวนั้นก็คงขาดจากมือเป็นแน่

ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งออกมาจากตัวของสหเดชะ บังคับให้จตุรเศียรต้องเปลี่ยนท่าตั้งรับ เขาจับเอาดาบโลหะถอนจากดิน กวัดอาวุธขึ้นมาด้านบนทันเวลาที่พระขรรค์ของสหเดชะฟาดมาพอดี

เคร้ง!

อาวุธจากสองฝ่ายปะทะกันโดยแรง เกิดแรงกดดันของตบะวิชากระจายออกโดยรอบ แรงกดดันนั้นมากมายจนทหารกุมภัณฑ์ที่ยืนล้อมอยู่ต้องใช้อาวุธปักกับดินไว้เพื่อยึดมิให้ตนกระเด็นออกไป รวีถูกแรงกดดันกระแทก ทว่ายังโชคดีที่มีนกุลช่วยจับไว้ จึงไม่ถูกแรงนั้นพัดไปไกล

จตุรเศียรหรี่ตา มองสหเดชะนิ่งเฉยอยู่ ขณะมือก็กำดาบโลหะแน่น ต้านกำลังของอีกฝ่ายไว้อย่างแข็งขัน

“ตบะของเจ้า...” จตุรเศียรเอ่ยพึมพำ

ประกายเขียววาบสว่างขึ้นในดวงตาของสหเดชะ พลันบัดนั้นพละกำลังมากมายก็ส่งผ่านมาสู่พระขรรค์ เขาขยับมือปาดพระขรรค์ที่ตรึงกำลังกับดาบโลหะนั้นออกไป เสียงเสียดสีของอาวุธสองชิ้นดังขึ้นระคายหูเป็นที่ยิ่ง แรงกดดันนั้นผลักให้จตุรเศียรต้องผงะออกไป

จอมยักษ์ถึงแก่ผงะหงาย แต่เขาก็ทรงตัวได้โดยไว

ความฉงนเคลือบอยู่กับสีหน้าของจอมยักษ์ แต่แล้วเขาก็ต้องกลับมาใส่ใจกับพระขรรค์วาววับที่ฟาดมาอย่างเร็ว

ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ สหเดชะฟาดพระขรรค์คู่กายมาแล้วหลายสิบครั้ง ประกายไฟจากอาวุธทั้งสองกระจายออกในทุกครั้งที่ปะทะกัน

สหเดชะฟาดพระขรรค์เงินทั้งรวดเร็วและรุนแรง ทุกครั้งที่จตุรเศียรรับแรงฟาดคล้ายกับเท้าของเขาจะจมลงกับดินไปทีละน้อย
เจ้ามนุษย์นี้ไม่ธรรมดา

พอความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา จตุรเศียรก็เริ่มประหลาดใจ 

ยกเว้นเทพไทบนชั้นฟ้าดาวดึงส์และสูงกว่า หรือเท้าจตุโลกบาลแล้ว เขาไม่เกรงใครทั้งนั้น ทว่าเจ้าคนนี้กลับทำให้เขาต้องตั้งรับเชียวหรือ

จตุรเศียรใช้โอกาสหนึ่งตวัดดาบโลหะฟาดกลับไปบ้าง ฝ่ายนั้นตั้งรับไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ กระนั้นก็นับว่าได้ผล...เพราะเจ้ามนุษย์หนุ่มหยุดการโจมตีแล้วกลับไปยืนคุมเชิงอยู่ห่างออกไป

“ถือเสียว่าเราประมาทเจ้าไปมาก นับว่าคำพูดของเจ้าไม่ใหญ่เกินตัว”

จบคำพูดนั้น จอมยักษ์ก็ก้าวไปข้างหน้าในพริบตา บัดเดี๋ยวก็โผล่มาเบื้องหน้าสหเดชะ ฝ่ายนั้นเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว โดยฟาดพระขรรค์ลงมา ทว่าด้วยฝ่ายนี้โจมตีก่อน ดาบโลหะที่ฟาดออกไปแล้วจึงเต็มไปด้วยกำลังรุนแรง เสียงอาวุธสองชิ้นครานี้ปะทะกันดังเปรี้ยงราวกับเสียงฟ้าฟาด ผงคลีฟุ้งตลบ

เสียงฉึกดังขึ้นได้ยินชัดเจน

เมื่อฝุ่นผงจางลง สิ่งที่ผู้เฝ้าดูมองเห็นก็ทำให้เงียบงันกันไปหมด

ดาบโลหะสีดำสนิทปักติดกับพื้น

ทหารใต้บัญชาของจตุรเศียรเองไม่เคยนึกฝันว่าจะเห็นอาวุธหลุดจากหัตถ์ของพระอนุชา มาบัดนี้เห็นกะจะอยู่กับตาแล้วจะส่งเสียงประหลาดใจก็ไม่ได้ จึงได้แต่เงียบอยู่เช่นนั้น

ผงคลีที่จางลงเผยให้เห็นว่าเจ้ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นฟาดศอกมาด้วยความรวดเร็ว ศอกของมันฟันเข้ากับใบหน้าของจอมยักษ์เสียงดังพลั่ก

จตุรเศียรหน้าหันไปกับแรงฟาดนั้น บัดเดี๋ยวใจต่อมาขณะที่เขากำลังงงงันอยู่นั้นเอง เจ้ามนุษย์นั่นก็แทงเข่าเข้ากับช่วงอกของเขาอย่างไม่ออมแรง

จตุรเศียรถึงแก่ตัวงอลงตรงนั้น

เขาไม่เข้าใจ

ในบางครั้งเขาเห็นร่างของมัน ทว่าในบางครั้งก็ราวกับว่ามันหายไปในอากาศเสียเฉยๆ

คล้ายกับว่า...เจ้ามนุษย์ผู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆ โดยรอบ เขาจะจับก็ไม่ได้ จะโจมตีก็ไม่แน่ใจว่าจะโจมตีที่ใด เพราะบัดเดี๋ยวก็หายวับ บัดเดี๋ยวก็ลับไป

เขาเริ่มอารมณ์ขุ่นมัว ทีแรกตั้งใจจะสั่งสอนเจ้ามนุษย์อวดดีผู้นี้เสียหน่อย มาบัดนี้กลับต้องคิดใหม่เสียแล้ว

จตุรเศียรกางนิ้วทั้งห้าออก มีแสงสว่างเจิดจ้า ในมือของเขาปรากฏกระบองอันใหญ่เป็นสีทองอร่าม

ประกายวาบของพระขรรค์เงินฟาดมา ประกายกล้าของกระบองทองซัดกลับไป สองอาวุธวิเศษปะทะรุนแรงเสียงดังสะท้าน

สหเดชะปลิวออกมาเพราะฤทธิ์กระบองทองแห่งจอมยักษ์ ทว่าเขาก็ทรงตัวอยู่ได้อย่างดี เพียงแค่เท้าเขาแตะพื้นสหเดชะก็กระโดดเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้งโดยไม่หยุดพักหายใจสักนิด

กลิ่นอายเจ้ามนุษย์หายไปอีกแล้ว กระนั้นจตุรเศียรก็เห็นประกายวาบของพระขรรค์เงินนั้นพุ่งเข้ามาหา เขายกกระบองทองวิเศษขึ้นต้าน พระขรรค์เล่มนั้นไม่เพียงไม่กระเด็นออกไป มันยังส่งแรงกดดันมหาศาลออกมาทำให้เขาต้องเกร็งมือต้านรับไว้อย่างสุดแรง

จตุรเศียรไม่ใช่คนจำพวกแพ้แล้วพาล เพราะเขายังไม่แพ้ ดังนั้นแม้จะประหลาดใจว่าเจ้าคนคนนี้ฝึกปรือวิชาจนเก่งขึ้นขนาดนี้ได้ในเวลาไม่นาน ซ้ำยังมีชีวิตรอดมาได้อีกด้วยเล่า เขาก็ไม่ใส่ใจจุดนั้น เพียงแต่ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับความ
รู้สึก...ชื่นชม...กลับค่อยๆ ปรากฏในใจของเขา

จตุรเศียรไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าใดนัก

แต่สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้

เขาออกแรงเพิ่มมากขึ้นอีก เพื่อจะปัดพระขรรค์ของฝ่ายนั้นให้กระเด็นไป ทว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ จตุรเศียรก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้านบนทันที เพราะพระขรรค์ที่จ่ออยู่กับกระบองของเขานั้นไม่มีเจ้าของของมัน

เจ้าของพระขรรค์มาปรากฏตัวอยู่เหนือร่างของจตุรเศียร

มือหนึ่งของจอมยักษ์จับกระบองไว้มั่น อีกมือกำเป็นหมัดซัดขึ้นไปด้านบนเพื่อฟาดกะโหลกของสหเดชะให้แตก

หมัดนี้เต็มไปด้วยตบะอันแก่กล้าของจตุรเศียร หากฟาดภูผา ภูผาก็พังภินทุ์ หากซัดกระแสสินธุ์ก็สาดกระจายกลายเป็นไอระเหยหมดสิ้น

ทว่าสิ่งที่รับหมัดของจอมยักษ์ไว้กลับเป็นเพียงฝ่ามือของสหเดชะ ฝ่ามือซึ่งปราศจากแรงกดดันใดๆ ทั้งสิ้น กระนั้น...ฝ่ามือนี้ก็ไม่แตกสลายหรือได้รับบาดเจ็บแม้สักน้อย ด้วยมีอำนาจบางอย่างซึ่งอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งแผ่กระจายออกมา

ชีวิต

จตุรเศียรสัมผัสถึงชีวิตและธรรมชาติโดยรอบ

พลันบัดนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงวัตถุบางอย่างเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วอยู่รอบๆ แล้วโดยที่เขาไม่ทันป้องกันตัว ก็ถูกวัตถุนั้นรัดเข้ามาอย่างรุนแรง

จตุรเศียรทรุดไปนั่งกับพื้น ร่างกายนิ่งขึงจะขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ เพราะบัดนี้ปรากฏว่าเขาถูกเถาวัลย์เส้นใหญ่เท่าแขนของมนุษย์ผู้ชายมัดไว้ทั่วร่าง

จอมยักษ์ถูกจองจำด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

“นี่อะไร”

เขาคำรามออกมา พยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ทันใดนั้นเอง เถาวัลย์ที่พันอยู่รอบกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ไม่นานกลับกลายเป็นกิ่งไม้ใหญ่โอบรัดเขาไว้แน่นหนาจนคล้ายกับจอมยักษ์จะกลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งไปเสียแล้ว

ยิ่งขยับยิ่งขยายใหญ่หรือ!

จตุรเศียรห้ามตนเองไม่ได้ เขาเปิดยิ้มออกมา

ในใจก็โห่ร้องก้องกึก ไม่ได้สู้จนถึงขนาดนี้มานานแล้ว

อึดใจนั้นเอง เขาก็ใช้กำลังตบะของตนจนเกิดแสงสว่างรอบกาย ร่างกายของเขากำยำขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขี้ยวขาวโง้งค่อยงอกออกมาจากด้านใน เวลาผ่านไปเพียงชั่วเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เสียงปริแตกก็ดัง แล้วกิ่งไม้ที่รัดแน่นก็ขาดสะบั้น หล่นลงกับพื้นกองระเนระนาด

บัดนี้ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือจอมกุมภัณฑ์แห่งโลหะนคร ผู้เป็นพระอนุชาของสัตตพักตร์เจ้าเหนือหัว

พระอนุชาผู้มีนามว่า จตุรเศียร

เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของกุมภัณฑ์อันน่ากลัว

รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งสี่ จากปากทั้งสี่

ปากแรกเอ่ยว่า “เราเชื่อว่าดับชีวิตเจ้าด้วยดาบเดียวนั้นแล้ว”

ปากสองเอ่ยต่อ “แต่เจ้าก็รอดชีวิตมา”

ปากสามเปล่งเสียงดัง “แม้คำพูดเจ้าใหญ่โต แต่เจ้าก็สู้กับเราได้”

ปากสี่กล่าวดังนี้ “เจ้าเด็กน้อยบอกว่าเจ้าจะมา เจ้าก็มาจริงๆ”

ปากทั้งสี่เอ่ยพร้อมกัน “เราขอชื่นชม”

+++

เจอกันตอนหน้าค่าาา :hao7:
หัวข้อ: Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 26-01-2021 13:39:51
จะเป็นยังต่อละเนี่ย รอๆๆๆๆ