๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6  (อ่าน 20370 ครั้ง)

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
ต่อให้ไม่ดูชื่อคนเขียนก็รู้ว่าเรื่องนี้ใครเขียน
ภาษาแบบนี้ รูปแบบการเขียนแบบนี้ คุณพี่แป้งจี่รีรีข้าวสารอย่างแน่นอน :3123:
...
จากตัวหนังสือเปลี่ยนเป็นภาพ ภาพนั้นไม่ใช่ภาพที่เราดูจากโทรทัศน์ ไม่ใช่ภาพอย่างเวลาที่เราดูจากเวที แต่คือการดึงให้ผมเข้าไปร่วมอยู่ในเนื้อเรื่องนั้นด้วย  :impress3:
...
แต่ปัญหาก็คือ รวีพิรุณ ทำให้คิดถึงขนมสัมปันนี  :o8:
...
ถึงจะไม่ค่อยได้รีพลายแต่ก็ตามอ่านอยู่นะครับ  :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2020 21:05:11 โดย MyTeaMeJive »

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
น้องเกรย์ Grey Twilight - ฮืออออ ขอบคุณสำหรับบทวิจารณ์ดีๆ ละเอียดมากๆ นี้นะคะ พี่อ่านแล้วอ่านอีกทีเดียว ชอบมากๆ เลยค่ะ ดีใจที่น้องอ่านเรื่องนี้แล้วชอบนะคะ ^___^

ข้อมูลอ้างอิงของเรื่องที่พี่ใช้ประกอบการเขียนนั้นส่วนมากเป็นหนังสือปกรณัมเขียนโดยคนไทย แล้วก็ตำราปกรณัมที่เขียนโดยชาวต่างชาติ, แล้วก็ค้นหาออนไลน์ด้วยค่ะ, ถ้ามีโอกาสจะเอามาแบ่งปันผู้อ่านนะคะ

แต่ต้องบอกก่อนว่าข้อมูลหลายๆ อย่างพี่ก็ดัด, ตัด, แปลง, บิด, ให้เข้ากับพล็อตเรื่องที่ได้วางไว้ ดังนั้นอาจไม่ตรงกับข้อมูลปกรณัมเท่าไหร่นัก แต่ยังไงก็หวังว่าน้องอ่านแล้วชอบนะคะ ^____^ 

น้องที MyTeaMeJive - ขอบคุณน้องทีมากๆ เลยนะคะสำหรับกำลังใจที่ให้มา พี่เอาตอนมาต่อแล้วนะคะ จะดีใจมากๆ ถ้าน้องทีจะอ่านอย่างสนุกแล้วก็มีรอยยิ้มไปด้วย


+++++


บทที่ 16


สหเดชะกระหวัดไปถึงโมงยามเมื่อ ‘อุบัติ’ ขึ้นภายในปราสาทบนวิมานของเขา มีแสงสว่างหนึ่งส่องจ้ายิ่งนัก ทว่ามันกลับไม่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหลบแม้สักนิด มันเป็นแสงอบอุ่นกลุ่มหนึ่งลอยค้างอยู่เบื้องหน้าของเขา เขามองกลุ่มแสงนั้นอยู่นานกระทั่งเห็นว่าภายในนั้นมีวัตถุกลมๆ เล็กๆ ก้อนหนึ่ง เขายื่นมือเข้าไปใกล้ รับรู้ถึงความอบอุ่นสายหนึ่ง คล้ายกับยามที่เอามือเย็นๆ ไปอังไฟ แสงนั้นยิ่งส่องสว่างมากขึ้นเมื่อมือของเขาขยับใกล้ มันคล้ายกับจะสว่างวาบแล้วหม่นวูบ แล้วจึงวาบขึ้นอีก คล้ายกับจังหวะการเต้นของหัวใจ

สหเดชะจำได้ว่าตนประหลาดใจเหลือ แล้วในตอนนั้นเองที่กลุ่มแสงเกิดสว่างจ้าขึ้นยิ่งกว่าครั้งใดแล้วหายวับไป เหลือเพียงแสงนวลๆ อ่อนๆ ล้อมรอบเจ้าวัตถุกลมๆ นั้นซึ่งบัดนี้เขารู้แล้วว่ามันคือแก้วมณีสีเขียวลูกหนึ่ง แล้วทันใดนั้นเอง แก้วมณีลูกนั้นก็ค่อยๆ ลอยเลื่อนเข้ามาใกล้กับหน้าอกของเขา ก่อนมันจะผลุบหายเข้าไปภายในนั้น

ชั่วขณะนั้นเอง...ราวกับมีพลังชีวิตมากมายแล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา และ ‘ตนรู้’ ในหัวของวิทยาธรหนุ่มก็บอกว่า แก้วมณีลูกนี้คือชีวิตของเขา เขาย่อมต้องรักษามันไว้อย่างสุดความสามารถ วิทยาธรตนใดไร้ซึ่งแก้วมณีแล้วก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นวิทยาธรอีกต่อไป มันเป็นพลังปฐมอันหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวกึ่งเทพเมืองฟ้านั่นเอง

มาบัดนี้ ขณะหลับตาทำสมาธิอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเจ้าไพร กำลังแห่งตบะกล้าแข็งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สหเดชะเห็นจากจิตว่าตรงจุดกึ่งกลางของทรวงอกของตนนั้น มีดวงแก้วประไพอุดมด้วยรัศมีเลื่อมพรายราวประกายมรกต มิใช่ ‘แก้วมณี’ เมื่อครั้งอุบัติเป็นวิทยาธร ทว่าคือดวงตบะที่เขาสร้างขึ้นมาจากการฝึกสมาธิกับพระเทพฤษีนั่นเอง

มิใช่มณีแห่งพิทยาธร ทว่ากลับทรงพลังยิ่งกว่า ด้วยเกิดจากดวงใจถวิลหาและมุ่งมั่นจะช่วยชีวิตผู้อื่น...ยิ่งเป็นชีวิตของผู้ที่เขาเอาใจไปผูกด้วยแล้ว ยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีกอักโข

จิตเช่นนี้ก่อเกิดกำลังอันมากมาย

สายลมพัดโบก ยอดไม้ไหวพลิ้ว

สหเดชะลืมตาขึ้นมองโลกเบื้องหน้า

+++

นกุลเงื้อมือขึ้นสูง กำด้ามพร้าในมือแน่น มองฟืนท่อนที่เท่าไหร่ไม่รู้อย่างเข็ดฟัน กำลังบ่นอุบในใจว่าเมื่อไรพระอาจารย์จะให้เราหยุดเสียที นี่ก็ผ่าฟืนจนไม่รู้มือจะด้านไปถึงไหนแล้ว อะไรบางอย่างก็ทำให้นกุลหันไปมองทางชายป่าไกลออกไป

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแนวป่าบริเวณหนึ่ง

เมื่อแรกหันไปมอง นกุลแทบจะแยกบุรุษผู้นั้นไม่ออกจากหมู่ไม้แวดล้อม คล้ายว่าเขากลืนเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ กระนั้นทีเดียว จนนกุลต้องนิ่งขึงไปเป็นครู่ ก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ชายผู้นั้นก้าวเดินอย่างสงบ ไม่เร่งรีบ ทว่ากลับข้ามระยะทางได้รวดเร็วยิ่ง ราวกับว่านกุลเพิ่งหายใจเข้า พอหายใจออก เจ้าหนุ่มนั่นก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

บ๊ะ...เจ้าหนุ่มนี่มันสำคัญนัก!

ศิษย์พระดาบสทิ้งพร้าทิ้งฟืน ลุกขึ้นยืนพรวดเดียวจนหน้ามืด กะพริบตาหลายรอบกระทั่งทัศนวิสัยกลับมาชัดเจนเช่นเดิม นกุลก็เห็นบุรุษตัวสูง หุ่นกำยำล่ำสันยืนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้า

“สำเร็จแล้วหรือ” น้ำเสียงของนกุลปิดความยินดีไว้ไม่มิด “เจ้าสำเร็จวิชาแล้วใช่หรือไม่”

สหเดชะไม่ตอบคำ เพียงยิ้มตอบกลับไป เป็นรอยยิ้มซึ่งสหายสนิทจะมอบให้กันได้ แม้รู้จักกันไม่นานวัน ทว่าก็รู้ซึ้งถึงความหวังดีที่ศิษย์พระดาบสผู้นี้มอบให้

นกุลเพ่งพินิจอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง หัวคิ้วย่นเข้าหากัน “เจ้าเปลี่ยนไปหรือเปล่านี่”

“ข้าหรือ”

“ก็เจ้าน่ะแหละ เจ้าดูผึ่งผายกำยำกว่าเดิม ซ้ำยังคล้ายว่ามี...” รัศมีส่องจากกายจางๆ นกุลจะเอ่ยเช่นนี้ทว่ายั้งปากไว้ทัน อย่าบอกนะว่าเจ้าหนุ่มนี่กลายเป็นเทวาอากาศไปเสียแล้ว นี่พระอาจารย์สอนวิชาอะไรให้! ทำไมไม่สอนเขาบ้าง!

“ไม่มีอะไรๆ” นกุลส่ายหัวให้ตนเอง หลังจากเขม้นมองอีกรอบ แสงเรืองจางๆ นั้นก็หายไปแล้ว เอ...เจ้าแสงนี้เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ น่าฉงนแท้

“นกุล ข้าว่าจะไปกราบลาพระอาจารย์”

สหเดชะเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย สุขุม “แม้ข้าจะตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนพระอาจารย์ แต่ข้าก็ร้อนใจนัก เกรงว่ารวีพิรุณจะได้รับอันตราย”

ยินคำเช่นนั้น นกุลได้แต่ถอนหายใจ แล้วออกเดินนำไปหาพระเทพฤษี

+++

พระดาบสชรากำลังลูบมืออันเหี่ยวย่นไปตามลำตัวกำยำของกวางหนุ่มตัวหนึ่ง มันยืนให้ท่านลูบเล่นอยู่เช่นนั้นโดยไม่ตื่นกลัวใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งสดับเสียงของมนุษย์สองคนเดินมาทางทิศนี้ก็ตาม

พระดาบสหันมาทางทิศของเสียง ท่านยิ้มอย่างเอ็นดูมอบให้ ก่อนจะนั่งลงที่อาสนะสานจากหญ้าปูลาดบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

“มาแล้วหรือพ่อ”

กวางหนุ่มตัวนั้นไม่วิ่งหนีไปอย่างสัตว์ตื่นมนุษย์ ทว่ากลับทรุดตัวลงนอนกับพื้น หันหัวมองมนุษย์หนุ่มสองคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วยอบกายลงกราบพระฤษี

พระเทพฤษีมฤควัจน์จ้องมองใบหน้าของสหเดชะนิ่งนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงเปี่ยมเมตตา

“สหเดชะเอ๋ย ใจเจ้าไม่ร้อนเท่าเมื่อเจ้ามา ทว่าก็ยังห่วงหากับคนที่อยู่ในใจ ฉันจะไม่รั้งพ่อไว้นานหรอกนะ ในเมื่อมีกิจที่ต้องทำก็ควรไปทำให้เสร็จสิ้น”

“ขอรับ พระอาจารย์” สหเดชะพนมมือเอื้อนเอ่ย “ศิษย์สำเร็จวิชาได้ก็เพราะพระอาจารย์สั่งสอน ชีวิตนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะแทนคุณได้เสี้ยวหนึ่งของพระคุณท่าน”

“อย่าเอ่ยให้มากความเลยพ่อ ภูมิรู้ของพ่อมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ฉันเพียงแนะไปตามทางเท่านั้น พ่อก็บรรลุถึงปลายทางด้วยตัวเอง เอาละ ถึงแม้ฉันจะเคยบอกว่ามักกะลีผลผู้นั้นไม่อยู่ในอันตราย แต่พ่อก็จงไปช่วยให้เร็วเถิดจึงดี”

“ขอรับ พระอาจารย์”

“ฉันมีสิ่งนี้ให้พ่อ” พระเทพฤษียื่นของสิ่งหนึ่งมาตรงหน้า “ฉันไปขอมาจากเจ้าป่าพญาไพรที่นี่ แล้วฉันก็บริกรรมคาถาของฉันเองทำให้ทรงอำนาจยิ่งขึ้น เอาไว้ให้พ่อใช้ยามต้องป้องกันตัวเอง”

สิ่งนั้นเป็นพระขรรค์ด้ามหนึ่ง ส่องประกายกับแสงแดด “สิ่งที่พ่อได้มาจากผู้อื่นนั้น บัดนี้คงใช้ไม่ได้แล้วกระมัง รับพระขรรค์เล่มนี้จากฉันไปเถิด ฉันให้พ่อ มันก็เป็นของพ่อนะ”

สหเดชะรู้มาตั้งแต่ตอนยืนทำสมาธิอยู่ใต้ต้นเจ้าไพรแล้ว ว่าบัดนี้เขาไม่อาจใช้พระขรรค์ที่รับมาจากสหายพิทยาธรครั้งก่อนเก่าได้อีก เมื่ออำนาจที่เกิดจากการฝึกตนหลอมรวมกับธรรมชาตินี้ออกผล อำนาจอื่นๆ ที่เคยมีก็หายสูญ

 สหเดชะเอื้อมมือไปรับพระขรรค์เล่มนั้นมา เมื่อสัมผัสถูกโลหะที่สร้างขึ้นเขาก็รู้สึกอุ่นวาบ คล้ายได้ยินเสียงตอบรับยินดีของวัตถุในมือ แล้วทันใดนั้นเอง...พระขรรค์เล่มดังกล่าวก็หายวับไป

“จะใช้เมื่อไหร่ก็ให้พ่อนึกถึงเอานะ พระขรรค์จะปรากฏ” พระเทพฤษีมองผู้ ‘เกิดใหม่’ ยิ้มๆ แล้วก็หันไปมองศิษย์รักศิษย์ขวัญที่นั่งใกล้ๆ กัน “พ่อไปคราวนี้อาจจะศึกหนัก ฉันไม่ให้ไปคนเดียวหรอกนะ เจ้านกุลก็จะไปด้วย”

คนถูกเอ่ยชื่อมองหน้าพระอาจารย์ราวกับจะบอกว่า อ้าว...ฉันด้วยหรือ

“อย่าเถียงเจียวนะ เอ็งไปกับพ่อสหเดชะคราวนี้ก็จะได้ลองวิชาด้วย ไปฝึกฝนตนเองให้เก่งขึ้น ตักน้ำผ่าฟืนที่นี่ก็จะเรียนรู้ได้สักกี่มากน้อย สู้ไปฝึกเอาจริงๆ ไม่ดีกว่าหรือ”

นกุลอ้าปากพะงาบๆ จะเถียงว่าถ้าไม่ได้ฝึกอะไร แล้วอาจารย์จะให้ผ่าฟืนทำไมตั้งมากมาย แต่พระเทพฤษีก็ตัดบทด้วยการยื่นของบางอย่างให้กับมือ “เอานี่ไปด้วย เอ็งจะได้ช่วยเขาได้ง่ายขึ้น”

ท่านวางของบางอย่างลงกับมือของนกุล จากนั้นก็เอ่ยลาขึ้นมาทันทีทันใด “เอาละ เจ้าทั้งสองจงเร่งไปให้เร็วเถิด ก่อนจะสายเกินการ”

+++

“เจ้ายักษ์พวกนี้อวดโอ่โห่หาญจริงหนอ” นกุลกระซิบอยู่ใกล้ๆ “ดูรึ พวกเราแอบลอบเข้ามาใกล้ถิ่นพวกมันขนาดนี้ ทหารลาดตระเวนสักตนก็ไม่มี คงนึกว่าแน่มากกระมัง”

สหเดชะมองอีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “ไฉนเจ้าต้องกระซิบด้วย”

“ก็...” นกุลมองซ้ายมองขวา “...ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดี พระอาจารย์สอนมา”

“จริงรึ”

“เจ้า...” นกุลชักจะเริ่มเขม่นเจ้าคนนี้เสียแล้ว “เถอะน่าๆ ขืนข้าแหกปากเอ็ดตะโรใหญ่โต ฉวยเจ้าพวกทหารในเมืองได้ยินเข้า ก็ยกพวกออกมากันหมดสิ เห็นอย่างนี้ข้าก็ฉลาดนะ”

สหเดชะเอ่ยขัดราวกับไม่สนที่สหายพูด “หากไม่ได้พรของพระอาจารย์ ข้าว่าพวกเราคงยังหาเมืองนี้ไม่เจอหรอก ข้าเคยได้รู้มา...นครโลหะของชาวกุมภัณฑ์ซุกซ่อนอยู่ในป่าด้วยมนตรากล้าแข็ง เพราะเก็บรักษาสมบัติสวรรค์บางอย่างไว้ คงเพราะด้วยมีพระเวทคุ้มกันนี่เอง พวกเขาจึงไม่ต้องระวังแข็งขันอันใด”

“แต่ก็สบช่องให้เราเข้ามาได้พอดี ด้วยมนตร์แล่นลัดตัดทุกทางของพระอาจารย์”

สหเดชะมองสหายราวกับจะเตือนว่าห้ามล้อพระเทพฤษี นกุลเงียบคำทันใด

ตอนนี้พวกเขาหลบอยู่ชายป่าอันอุดมด้วยไม้สูงใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกันแน่น มองเขม้นผ่านแนวไม้เข้าไปที่กำแพงสูงเยี่ยมเทียมเมฆตรงหน้า

นครโลหะยืนสูงทะมึนราวกับจะกลืนดาวกินเดือน ใหญ่โตโอ่อ่าราวกับวิมานจอมเทพบนดาวดึงส์สวรรค์ เพียงมองจากภายนอกเช่นนี้ก็รับรู้ถึงพลังอำนาจแห่งพระเวทมนตราที่ฉาบทาอยู่ทุกตารางโลหะอันก่อกำเนิดเป็นกำแพงเมือง สหเดชะตระหนักว่า ขอเพียงคนนอกเข้าไปใกล้กำแพงไม่กี่ก้าว ย่อมต้องพบจุดจบอันน่าเศร้าเป็นแน่

เขาแหงนมองฟ้ากลางคืน เห็นดวงศศิธรเยี่ยมหน้าออกมาเพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือหลบอยู่หลังกลุ่มเมฆ เมื่อการณ์เป็นดังนั้น จึงเอ่ยกับนกุลทันที

“เราเข้าไปกันเถอะ”

“เจ้าว่าไงข้าก็ว่าตามนั้น”

นกุลแบมือออก บนฝ่ามือของเขาเป็นเมล็ดพืชสีดำสองเมล็ด เขายิ้มยิงฟันให้สหเดชะ แล้วก้มตัวลงไป วางเมล็ดพืชทั้งสองนั้นบนพื้นให้ห่างกันราวหนึ่งวา

เขายืดกายยืนตรง แล้ววาดมือเหนือเมล็ดหนึ่งไปสู่อีกเมล็ดหนึ่ง พลันบัดนั้น...หน่ออ่อนก็แตกออกจากเมล็ด แล้วค่อยเติบโตขึ้นมาประหนึ่งว่าได้รับการประพรมด้วยน้ำทิพย์

ต้นไม้ค่อยเหยียดต้นสูงขึ้น เมื่อถึงระยะหนึ่งจึงค่อยโค้งงอ แล้วพุ่งยอดเข้าไปหาอีกต้น พอยอดต่อยอดก็เกี่ยวกระหวัดรัดพันกันเข้า สุดท้ายแล้วบุรุษทั้งสองก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าซุ้มประตูอันเกิดขึ้นจากต้นไม้สองต้นเกาะเกี่ยวกัน

“เอาละนะ” นกุลว่า

“เจ้าตามข้ามา” สหเดชะชิงเอ่ยเสียก่อน แล้วก้าวเข้าไปในช่องซุ้มไม้นั้นอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง

นกุลมองตามร่างเจ้าหนุ่มที่หายวับไปจากสายตา รู้สึกกล้าๆ เกรงๆ แต่ก็ทำใจให้แข็งดั่งเหล็กกล้า

เอาละวา มาถึงขั้นนี้แล้ว ถือว่าฝึกวิชาไปด้วย ได้ช่วยสหายไปด้วย

อย่างไรเสีย...เราก็ศิษย์พระเทพฤษี

อุเหม่...สหเดชะ นี่เจ้าไม่กลัวอะไรเลยหรือไง!

บ่นฟ้าบ่นดาวแล้ว นกุล...ศิษย์พระฤษีแห่งป่ามฤคี...ก็ก้าวตามสหายเข้าซุ้มต้นไม้ไป


ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5


บทที่ 17


นครโลหะของชาวกุมภัณฑ์มิใช่นครใหญ่อย่างที่พบเจอในถิ่นด้าวแดนมนุษย์ ทว่าเป็นเพียงกลุ่มราชวังงดงามใหญ่โตเรียงรายอยู่ภายในล้อมรอบของกำแพงสูง นอกจากนี้ก็เป็นเขตที่อยู่ของทหารและคนรับใช้อื่นๆ สังคมของชาวกุมภัณฑ์หรือชาวฟ้านั้นแยกกันอยู่เพียงกลุ่มเล็กๆ โดยมีเจ้าเป็นใหญ่เหนือหัวคือท้าวจาตุมหาราช หรือท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ปกครอง

ท้าวกุเวร เป็นใหญ่เหนือชาวยักษ์

ท้าวธตรฐ เป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์

ท้าววิรูปักษ์ ปกครองดูแลชาวนาค

ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าเหนือหัวเหล่ากุมภัณฑ์

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าชาวฟ้าใด ก็จะอยู่แยกกันเป็นเอกเทศ ทว่าอยู่ใต้บัญชาของท้าวมหาราชองค์ใดองค์หนึ่ง ยามเกิดศึกสงครามท้าวมหาราชก็ย่อมจะเรียกระดมพลเพื่อไปหักหาญกับเหล่าอสูรได้

ณ มุมอับแสงจันทร์และแสงคบเพลิงแห่งหนึ่ง ชาวกุมภัณฑ์ร่างสูงกำยำยืนใกล้กัน ดวงตาแข็งกร้าวแดงเรืองดั่งไฟ ทั้งสองยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นครู่ แล้วร่างหนึ่งก็เริ่มขยับ เขามองไปทางซ้ายแล้วย้ายไปมองขวา เมื่อเห็นปลอดยักษ์ก็ค่อยพรูลมหายใจ ดันร่างอีกร่างให้เข้าไปหลบอยู่หลังเรือนหลังหนึ่งซึ่งปิดเงียบ

“เวทพฤกษาของพระอาจารย์นี่เหนือกว่าใครจริงๆ นอกจากจะพาเราข้ามเขตอาคมเข้ามาโดยไม่มีใครรู้แล้ว ยังแปลงเราให้กลายเป็นยักษ์ได้อีก” นกุลผู้ไม่เคยแยกออกได้ว่าชนใดคือยักษ์ ชนใดคือกุมภัณฑ์ กระซิบขึ้นมา “ว่าแต่เจ้าช่างมีใบหน้าเคร่งเครียดสมกับเป็นชาวยักษ์จริงๆ นะ”

“เจ้าเถอะ กุมภัณฑ์ที่ไหนจะลอกแลกลุกลี้ลุกลนอย่างนี้”

“ชนเหล่าใดใช่จะมีพวกเดียวกลุ่มเดียวนะพ่อนะ” นกุลกระเซ้า “ข้าเป็นยักษ์ขี้เล่นบ้างมิได้หรือ”

“อย่าให้เสียการก็แล้วกัน”

“พิโธ่ มือชั้นนี้แล้ว ไม่ต้องห่วง”

นกุลอ้าปากจะคุยโวต่อ ทว่าสหเดชะรุนเขาให้หลบเข้าไปซ่อนกายหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ไม่นานก็มีเสียงย่ำเท้าหนักๆ เดินมาตามทาง ฟังแล้วเป็นคนสองคนเดินมาด้วยกัน

สหเดชะรอให้เสียงย่ำเท้าผ่านไป ทว่าราวกับโชคไม่เข้าข้าง ผู้มาใหม่ทั้งสองกลับหยุดเท้าอยู่ห่างออกไป กระนั้นด้วยตบะอันเพิ่มพูนและทักษะวิชาที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ยินคนสองคนนั้นเริ่มพูดคุย

เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อน “ไฉนเราต้องตรวจตราเข้มงวดเช่นนี้”

อีกเสียงจึงตอบมา “มีเรื่องยุ่งๆ ในตำหนักพระอนุชาเมื่อเย็นนี้น่ะซี”

“เรื่องยุ่งอันใดรึ”

“เจ้าอย่าเอ็ดไป ข้าได้ฟังมาว่ามีคนลอบเข้าไปในตำหนักท่าน ทำข้าวของเสียหายใหญ่โต นายกองจึงสั่งให้เราหมั่นตระเวนดูให้ทั่ว หากพบใครน่าสงสัยให้กุมตัวไปส่งท่านเสีย”

“ยังจับไม่ได้หรือ”

“จะจับได้ยังไร”

“พระอนุชาเป็นถึงจอมกุมภัณฑ์...พระเดชพระเวทมากมาย ท่านจัดการไม่ได้เชียวหรือ”

“หาเรื่องให้ตัวเองแล้วปะไร พูดเช่นนี้เจ้าหมายจะหมิ่นเกียรติท่านรึ เกลือกใครได้ยินเข้า ระวังจะหัวขาด”

“ข้าก็ลืมไป แต่...ข้าได้ยินมาอีกอย่างนะ ไม่เหมือนกับที่เจ้าว่าสักน้อย”

“ยังไร ไม่เหมือนที่ใด”

“ข้าได้ยินมาว่า พระอนุชาพาคนผู้หนึ่งมาที่โลหะนคร งามอย่างนี้ทีเดียว เขาว่าเป็นคู่สยุมพรของพระอนุชาท่าน แต่เขาก็ว่ามีเรื่องวุ่นๆ เพราะคนผู้นั้นแอบหนีจากตำหนักท่านออกมาเที่ยวดูเมือง”

“ประหลาดแท้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ แล้วเรื่องใดจริงเรื่องใดเท็จ จะเชื่อใครกันดีล่ะหือ”

“ช่างเถอะ เชื่อใครไม่ได้ทั้งนั้นละ ได้ยินเขาพูดมากันทั้งคู่ ข้าว่าเรา...เอ๊ะ...”

“อ้าว นี่...เจ้าเป็นอะไรไปล่ะ ทำไมจึง...”

กุมภัณฑ์ตนนั้นเอ่ยไม่จบประโยคก็ท่อนขาอ่อนยวบ ทรุดลงไปกองกับพื้น ทับสหายอีกคนที่ล้มพับไปก่อนหน้า

นกุลพุ่งปราดออกมาจากที่ซ่อน สหเดชะก้าวเท้าตามอย่างรวดเร็ว เห็นนกุลก้มลงไปตบใบหน้าหลับใหลของชาวกุมภัณฑ์ทั้งสองโดยไม่ออมแรงสักนิด

“ตบแรงไปหน่อย แต่มั่นใจได้ว่าราตรีนี้ไม่ตื่นมาแน่ๆ”

“เจ้าทำอะไรพวกเขา” สหเดชะฉงน

“สลัดน้ำมนตร์โสมใส่น่ะซี” นกุลเอ่ยอย่างร่าเริง

“น้ำเมาเอามาทำมนตร์ได้ด้วยรึ”

“น้ำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ว่าแต่เจ้าเถอะ...เห็นหรือยังว่าข้าฉลาดเพียงใด”

“ข้าไม่เคยบอกว่าเจ้าไม่ฉลาด” สหเดชะบอกเสียงเรียบ

“เจ้าไม่เคยพูดแต่สายตาเจ้าบอกเช่นนั้นนี่” นกุลทำประหลับประเหลือก

“รีบลากพวกเขาไปหลบหลังเรือนนั้นเถอะ ประเดี๋ยวมีคนอื่นมาเห็นจะยุ่ง”

“มากันเลย นกุลคนนี้จะรับมือเอง”

“เจ้ากลัวหรือไม่กลัวกันแน่ เมื่อครู่ยังโอดครวญกับข้าว่าเข้าดงยักษ์อย่างนี้บ้าชัดๆ นี่ถ้าพวกเขายกกันมาทั้งกองกรม เจ้าจะไหวหรือ”

“เอาน่าๆ ข้าก็พูดไปเช่นนั้นเอง เจ้าจะเห็นเป็นจริงจังไปทำไม”

ว่าแล้วสองสหายก็ลากร่างไร้สติเมามายของสองทหารกุมภัณฑ์ไปนอนแผ่อยู่ด้านหลังเรือนหลังหนึ่ง

เมื่อจัดการสองกุมภัณฑ์ชั้นทหารนั้นแล้ว สหเดชะก็ยืนมองหน้าสหายศิษย์พระฤษี ฝ่ายนั้นยิ้มมีเลศนัยเท่าที่ใบหน้าเขม็งตึงของกุมภัณฑ์จะยิ้มได้

“เราต้องหาที่อยู่ของรวี” สหเดชะเอ่ยบอก

“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธี”

“วิธีใด”

“ห่อพกวิเศษของพระอาจารย์ช่วยเราได้เสมอ”

นกุลล้วงเข้าไปในห่อพกที่พระเทพฤษีมอบให้ เมื่อแบมือออกจึงเห็นว่าเป็นเมล็ดพืชสองเมล็ดเช่นเคย เขาวางเมล็ดทั้งคู่ลงบนพื้นตรงหน้า แล้ววาดมือจากซ้ายไปขวาอยู่เหนือพวกมัน

“คราวนี้จะมีสิ่งใดออกมา” คนเคยเป็นวิทยาธรเกิดสงสัยขึ้นมาอีก

“จะไปรู้เรอะ ข้าก็แค่วางเมล็ดบนพื้น วาดมือเป็นแนวขวางอย่างที่พระอาจารย์บอก อะไรจะออกมาข้าก็สุดปัญญาจะรู้ เจ้าจะสงสัยอะไรนัก”

นกุลชักจะฉุน แต่สหเดชะกลับอุทานออกมาเบาๆ

เมล็ดพืชบนพื้นทั้งสองบัดนี้ขยับยุกยิก คล้ายมีมือล่องหนไปเขี่ยเล่น แล้วจึงกระดอนขึ้นมาบนอากาศราวหนึ่งวา เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง ก่อนที่พวกมันจะแตกออกดังเป๊าะ แสงเลื่อมพรายถะถั่งหลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ

แสงซึ่งคล้ายของเหลวนั้นค่อยๆ ไหลออกมาจากเศษเมล็ดพืชแตก กลายเป็นแสงสีทองจางๆ แสงนั้นค่อยๆ ก่อรูปร่างขึ้นเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง

มันเหยียดร่างสุดขาอันเรียวงาม เชิดศีรษะอันประดับด้วยเขากิ่งแตกสาขาแผ่กว้าง รูปร่างหยัดยืนสูงสง่า มันหันศีรษะอันงดงามนั้นมาทางสหเดชะและนกุล จุดแสงสว่างจ้าสองจุดที่เป็นดวงตามองตรงมา

“กวางทอง!”

นกุลอุทานเสียงดัง

นับว่าเป็นพระเวทถนัดมือของพระเทพฤษีจริงๆ ด้วยความที่ท่านอยู่กับฝูงกวางทั้งวันทั้งคืน พอเสกกวางออกมาจึงเป็นดั่งกวางหนุ่มออกมายืนอวดเขาอยู่ตรงหน้า

กวางทองตัวนั้นค่อยเหยาะย่างเข้ามาใกล้ ใบหน้าของมันสูงเสมอหน้าของสหเดชะ มันยื่นจมูกเข้ามาใกล้ราวกับจะเอ่ยทักทาย เขาจึงยื่นมือออกไป...คล้ายรู้โดยญาณอะไรบางอย่าง แล้วเขาจึงวางมือลงไปบนพื้นที่ระหว่างดวงตาของเจ้ากวางหนุ่ม เขารู้สึกถึงความอบอุ่น เป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่ออยู่ใกล้พระเทพฤษี คล้ายกับมีกระแสบางอย่างไหลผ่านจากร่างของเขาไปสู่ร่างแสงของกวางทอง

มันหลับตาลงเพียงชั่วเสี้ยวหายใจ แล้วก็หันกายออกวิ่งกุบกับไปทันที

“ตายละวา” นกุลครวญ

“ตาม!” สหเดชะเอ่ยเสียงหนักแน่น แล้วสับเท้าตามออกไป

นกุลอยากจะร้องไห้ พระอาจารย์ก็เสกพระเวทอะไรดีอยู่หรอก แต่กวางทองสว่างโร่อย่างกับพระอาทิตย์แบบนี้ วิ่งไปกลางดึกเช่นนี้คงเห็นกันทั้งนครแล้วกระมัง

บัดนั้น สองหนุ่มรูปงาม ก็ตามกวางทันใด

+++

ร่างกุมภัณฑ์หนักอึ้ง ทว่าไม่นานก็คุ้นเคย มนตร์จำแลงของพระเทพฤษีมิใช่เพียงรูปกายภายนอก ทว่าเนื้อหนังภายในก็กลายเป็นกุมภัณฑ์ไปหมด แม้มิใช่กุมภัณฑ์ระดับเทวะ เป็นเพียงชนระดับล่างเท่านั้น แต่เผ่าพันธุ์เดียวกันมาเห็นก็ไม่เฉลียวใจอันใดแน่ๆ

สหเดชะรูปงามตามกวางราวกับเหาะ ขณะนกุลวิ่งกระหืดกระหอบอยู่ด้านหลัง เจ้ากวางทองวิ่งเสมือนกับดีใจที่ถูกปลดปล่อยให้ออกมารับกลิ่นกลางคืน กีบเท้าสีทองของมันกระทบพื้นทว่าไร้สุ้มเสียงใดๆ และนานเข้าร่างของมันก็ราวกับมีเนื้อหนังจริงๆ แสงสว่างค่อยๆ จางลง ก่อนจะกลายเป็นรัศมีจางๆ ห่อหุ้มกายไว้ แล้วเสียงกีบเท้าของมันก็เริ่มดังขึ้น

มันวิ่งนำไปราวกับรู้ว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่ใด

ขณะออกเท้าตามกวางหนุ่มไปนั้น สหเดชะมองไปรอบๆ และสังเกตว่าพวกตนเริ่มเข้าไปใจกลางนครมากขึ้น สิ่งปลูกสร้างซึ่งก่อไว้เพียงหยาบๆ เริ่มประณีตขึ้น โดยมากเป็นอาคารที่สร้างขึ้นจากวัสดุคล้ายกับโลหะบางอย่าง คล้ายจะดำสนิททว่าก็สะท้อนแสงจันทร์ บางครั้งมีประกายดุจนิล

ณ ยามนี้เอง ทั้งสองก็เริ่มตระหนักว่าทหารกุมภัณฑ์เป็นจำนวนเรือนสิบ กำลังวิ่งไล่หลังตามมา พลางส่งเสียงโหวกเหวก นกุลลอบหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าถมึงทึงมองมา ในมือของทหารเหล่านั้นถือหอกใหญ่ไว้มั่น เขาลอบอุทานในใจ ครั้นจะเอ่ยเตือนสหเดชะ ฝ่ายนั้นก็เอาแต่วิ่งตามกวางอยู่นั่นแล้ว

นกุลแทบตาเหลือกเมื่อหนึ่งในทหารกลุ่มนั้นที่วิ่งไล่กวดมาไม่หยุดพลันกระโดดลิ่วขึ้นไปในอากาศ ลอยโค้งอย่างงดงาม แล้วหล่นตุบลงมาไม่ห่าง แรงกระแทกนั้นมากเหลือจนเขาเซถลาออกนอกทาง แต่นกุลกลับไม่ยั่นระย่อ ตั้งหลักได้ก็สับเท้าวิ่งตามสหเดชะที่นำไปไกลโขแล้ว กุมภัณฑ์เจ้าถิ่นก็วิ่งตาม

“เจ้า หยุดก่อน!”

“อะ...อะไรรึ” นกุลเสียงหืดปนหอบ

“เกิดอันใดขึ้น”

“ก็...หืด...วิ่ง...หืด...ตามกวาง...หืด...น่ะซี”

“กวาง...กวางของผู้ใด มันวิ่งตัดหน้าข้าไปแวบๆ ข้ามัวแต่ตกใจ พอเห็นเจ้าวิ่งตามมัน ข้าก็วิ่งตามเจ้าทันที”

“กวาง...” นกุลหอบอีก “...ของใครก็ช่างเถิด เอาเป็นว่านายกองข้าสั่งให้จับมันให้ได้ เจ้าไปตรวจตราที่อื่นดีกว่า เรื่องตามกวาง...ให้ข้าจัดการเอง” การวิ่งไปพูดไปนี้ช่างยากเย็นเสียจริง กลัวเผยพิรุธให้เห็นก็กลัว กลัววิ่งไม่ทันเจ้าสหเดชะก็กลัว แต่ก็ต้องพูด...ขืนไม่พูดเจ้ายักษ์นี่เกิดสงสัยขึ้นมาก็แย่กันพอดี

“กวางทองมิใช่หรือนั่น” ฝ่ายนั้นว่าอีก

“มิใช่ทองหรอก เจ้ามองพลาดไปเอง”

“พลาดที่ไหน กวางทองสวยงามออกเช่นนั้น ถ้าข้าจับได้...คงได้เลื่อนเป็นนายกองก็คราวนี้แน่”

“บอกแล้วว่าไม่ต้อง ข้าจับเอง เดี๋ยวจับได้จะเอามาให้เจ้า”

“เจ้าเชื่อได้ที่ไหน”

เห็นอีกฝ่ายเอ่ยแข็งขันเช่นนั้น นกุลก็ได้แต่โกยอ้าว เร่งฝีเท้าให้ห่างจากพลพรรคยักษามากที่สุด เขามองไปข้างหน้า หมู่สิ่งปลูกสร้างด้านหน้าบดบังสายตา เขาคล้ายกับมองเห็นว่ากวางทองกับสหเดชะเลี้ยวมุมขวาไปตรงนั้น แต่แล้วทันใดนั้นเองก็ปรากฏกวางทองสว่างเรืองรองกระโจนพรวดออกมาจากหมู่เรือนตรงนั้น

“ฮ้า...เสร็จข้าละ” เจ้ากุมภัณฑ์จอมละโมบผู้นั้นร้องแล้วแล่นผลิวตามไป

หมู่ชนกุมภัณฑ์ถือหอกดูน่าสะพรึงเหล่านั้นพลันเฮละโลตามไปทั้งหมด นกุลถูกกระแทกจนกระเด็นออกมา ทว่าก่อนที่จะล้มไปกลิ้งกับพื้นอย่างหมดท่า เขาก็รู้สึกว่ามีมือแข็งแรงมือหนึ่งจับกระชากเขาให้หลบไปอีกทาง

“สหเดชะ”

“อย่าเอ่ยเสียง”

(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5


สหเดชะกล่าวเพียงนั้น แล้วออกเดินอย่างรวดเร็ว นกุลจึงตามไป

พอพ้นหมู่เรือนนั้นมาได้ ก็เข้าสู่เขตหมู่ไม้ใหญ่หนาแห่งหนึ่ง ร่มเงาของมันสูงเงื้อมราวกับจะบดบังทุกอย่าง แสงจันทร์ไม่อาจลอดเข้ามาภายใต้หมู่ไม้นี้ได้ บัดนี้จึงมีเพียงแสงสว่างเรืองๆ จากร่างปราดเปรียวของกวางทองเท่านั้น

“อะไรกัน...ก็ข้าเห็นกวางทอง...” นกุลบุ้ยใบ้ไปทางที่หมู่กุมภัณฑ์วิ่งตามกวางไป

“ข้าก็ไม่รู้” สหเดชะเอ่ยเรียบๆ “ข้าตามกวางตัวนี้อยู่ดีๆ ก็มีกวางอีกตัวโผล่ขึ้นมาแล้ววิ่งสวนกลับไป”

นกุลนิ่งงัน ก่อนจะเปิดดวงตากว้าง “อ้อ...” เขายกมือท่วมหัว “เป็นเช่นนี้เอง พระอาจารย์จึงสั่งให้ใช้สองเมล็ด”

“นกุล...”

สหเดชะเอ่ยเบาๆ

นกุลหันไปมอง กวางทองหนุ่มนั้นเหยาะย่างกีบเท้าไปมาอยู่ที่เดิม มันเหยียดร่างราวกับจะอวดความงดงามของตนเอง มันมองพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่างของมันจะค่อยๆ โปร่งแสง แล้วกลายเป็นละอองลอยหายไปกับอากาศค่ำคืน

พวกเขาตกอยู่ในความเงียบ

ความมืดยามดึกช่างมากเหลือ กระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นได้ลางๆ

สหเดชะมองสำรวจโดยรอบ หมู่ไม้นี้ขึ้นหนาแน่น ต่อกันไปเป็นทิวแถว คล้ายจะนำไปที่ใดสักแห่ง

“กวางก็ไม่มีให้ตามแล้ว...” นกุลบ่น

“กวางพาเรามาได้เพียงเท่านี้แหละ จากนี้เราไปกันเอง”

“เจ้ารู้ทางหรือ”

“ตามทางหมู่ไม้นี้ไป”

ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ดังนั้นทั้งสองจึงค่อยออกเดินไปตามแนวหมู่ไม้ขึ้นสูงนี้ บางช่วงแสงจันทร์ส่องลอดผ่านลงมา บางช่วงก็มืดจนต้องก้าวเท้าอย่างระวัง ในใจของสหเดชะนึกสงสัยเรื่องสองกุมภัณฑ์นั้นเอ่ยถึงเวรยามแน่นหนา ทว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ทหารสักคน หรือว่าทางเดินหมู่ไม้แห่งนี้จะเป็นสถานที่พิเศษ หากมิใช่ผู้ได้รับอนุญาตก็ไม่อาจเข้ามากระนั้นหรือ

แล้วทันใด เขาก็เห็นแสงไฟด้านหน้า

เขาหลบเข้าไปหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ลอบมองออกไปเห็นทหารยามยืนเรียงแถวอยู่คนละฝั่ง ฝั่งละสามตน พวกเขายืนห่างกันราวสองวา ยืนนิ่งราวกับเสาหลักปักไว้ กระถางคบไฟลุกไหม้สว่าง

สหเดชะค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว นกุลรีบก้าวตามด้วยใจระทึก

ทุกช่วงหายใจเข้า-ออกนั้นช่างอึดอัดมากเหลือ นกุลแทบไม่กะพริบตา ขณะจับจ้องสายตาของตนอยู่กับทหารยามหมู่นั้น

เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ราวชั่วโยนก้อนหิน และขณะที่แสงจันทร์ถูกบังด้วยหมู่เมฆ นกุลก็เผลอสะดุดเข้ากับรากไม้ซึ่งโผล่พ้นดินขึ้นมา

เขาล้มคะมำไปข้างหน้า สหเดชะคว้าเขาไว้ได้ทัน แต่ไม่ก่อนที่เขาจะส่งเสียงอุทานออกไปแล้ว

ทหารยามกลุ่มนั้นหันมาทางทิศของเสียงโดยพร้อมเพรียง ด้วยรู้แน่ชัดว่าเสียงมาจากไหน

เปล่าประโยชน์ที่จะใช้หมู่ไม้เป็นสิ่งกำบัง สหเดชะยืดกายขึ้นตรง ขณะเหล่าทหารยามถือหอกออกท่าพุ่งแทง วิ่งกรูมาหา

ชั่วอึดใจหนึ่ง ราวกับว่านกุลจะเห็นแสงสีเขียวเรืองส่องจากร่างสหเดชะ แล้วเจ้าหนุ่มก็โจนขึ้นจากพื้นพุ่งเข้าหาทหารยามเหล่านั้น

กุมภัณฑ์ตนแรกเสือกปลายหอกเข้าใส่ร่างสหเดชะ ทว่าในชั่วพริบตา พระขรรค์สีขาววับก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา พระขรรค์วาดออกไปด้วยด้านแบน ปัดปลายหอกที่แทงมาอย่างแรงนั้นแฉลบพ้นทาง พระขรรค์ปะทะเข้ากับหัวไหล่ของกุมภัณฑ์ตนนั้น จนเจ้ายักษ์กระเด็นออกไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ร่างกายใหญ่โตราวกับหักยับ ร่วงลงมานอนพับหมดสภาพกับพื้นแน่นิ่งไป

กุมภัณฑ์อีกสองตนทิ่มหอกออกมาโดยแรงด้วยหวังจะแทงให้สหเดชะร่างทะลุขณะเขาลงเหยียบพื้น ทว่าเขาเพียงแค่ใช้ปลายเท้าสะกิดพื้นดินเท่านั้นก็ลอยตัวขึ้นได้โดยง่าย หมุนร่างตีลังกาลงไปหาหอกทั้งสอง มือของเขาฟาดฟันพระขรรค์ออกไป คมพระขรรค์ตัดหอกขาดครึ่ง ปลายหอกตกเปรื่อง เขาหมุนร่างกลางอากาศอีกรอบ ฟาดเท้าเข้ากับลำคออันไร้การปกป้องของกุมภัณฑ์ตนหนึ่ง และใช้ด้ามพระขรรค์ฟาดเข้ากับศีรษะของทหารอีกตน สองกุมภัณฑ์ผู้ไร้หอกกระเด็นออกไปนอนกลิ้งกับพื้นแน่นิ่งไปทันที

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพียงพริบตา เมื่อนกุลวิ่งเข้าไปถึง กุมภัณฑ์สามตนก็นอนแน่นิ่งไม่ส่งเสียงอีกแล้ว

ฝ่ายทหารยามที่เหลืออยู่ เมื่อรู้แน่ชัดว่าผู้บุกรุกคนนี้มีฝีมือพอตัว จึงหยุดเท้าแล้วยืนดูท่าที

“เจ้าเป็นผู้ใด ต้องการอะไรจึงลอบเข้าโลหะนคร”

สหเดชะไม่ตอบ

“ราตรีก่อนนี้เจ้าหลบหนีไปได้ ไฉนกลับมาอีก...ไม่รักชีวิตแล้วรึ”

สหเดชะเดินเข้าไปหา ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยยั่วอย่างไร

นกุลสังเกตเห็นทหารยามคนที่อยู่ไกลกว่าเพื่อนกำลังค่อยๆ เดินถอยหลังกลับไป ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าเจ้าคนนี้อาจจะไปเตือนภัยให้ทหารยามหมู่อื่นรู้ได้ เขาล้วงเข้าไปตรงพกของ แล้วขว้างของบางอย่างในมือออกไปโดยแรง

สิ่งนั้นปักเข้ากับผิวลำคอใต้คางพอดิบพอดี กุมภัณฑ์ตนนั้นนิ่งงัน ตาเหลือก หอกใหญ่ในมือพลันตกเปรื่อง ทั้งร่างเกร็งแข็งแล้วล้มหงายหลังลงไป

“พวกเจ้า!” ทหารยามที่เหลือสองตนราวกับมีไฟในดวงตา มองมาอย่างมาดร้าย “แม้ภายนอกพวกเจ้าจะมีรูปกายเป็นกุมภัณฑ์ แต่ข้าสัมผัสรู้ว่าพวกเจ้าเป็นชาวอื่น มิใช่พี่น้องกุมภัณฑ์ของเรา”

ทหารตนหนึ่งซึ่งนกุลอนุมานเอาว่าเป็นหัวหน้าทหารยามหมู่นี้ มันเริ่มควงหอกในมือเป็นวงกลม พลันบังเกิดประกายไฟขึ้นที่ปลายหอก แล้วทันใดนั้นมันก็เหวี่ยงปลายหอกอย่างแรง ทำให้กลุ่มไฟสีแดงพุ่งเข้ามาหาสหเดชะด้วยความรวดเร็ว

สหเดชะไม่สะทกสะท้านสักนิด เขากำพระขรรค์มั่นในมือ ฟาดลูกเพลิงนั้นครั้งเดียว ลูกไฟเริงร้อนพลันกระจายเป็นเพียงประกายไร้ค่า

เขากระโจนขึ้นจากพื้น พุ่งเข้าหาสองทหารที่เหลือด้วยความเร็ว ฝ่ายนั้นด้วยประหลาดใจเหลือที่ลูกไฟของตนไม่มีผลอะไรสักนิด จึงเผลอยืนนิ่งเฉยอยู่ เป็นโอกาสให้สหเดชะฟันเข้าที่ก้านคอด้วยสันมือแข็งแรง ฝ่ายนั้นตาเหลือก แล้วทรุดกายนิ่งไป

กุมภัณฑ์ที่เหลือพุ่งเข้ามาด้วยหอกเงื้อง่า ทว่าสหเดชะก็พุ่งเข้าไปราวกับศรพุ่งจากแล่ง เขาก้มตัวลงต่ำขณะฝ่ายนั้นกำลังจะฟาดหอกลงมา แล้วเขาก็ทะลึ่งตัวขึ้นไปอย่างเร็ว ฟาดหมัดเสยเข้ากับปลายคางของกุมภัณฑ์ตนนั้น นกุลได้ยินเสียงหมัดกระแทกกระดูกกรามจนต้องย่นคอหดลง พอมองตามไปก็เห็นสหเดชะยืนค้ำอยู่เหนือร่างนอนแผ่อย่างหมดท่าของทหารกุมภัณฑ์ตนสุดท้ายนั้นแล้ว เขาอยู่ในร่างของสหเดชะตัวจริง มิใช่ภายใต้มนตร์จำแลงกายของพระอาจารย์แล้ว

การโรมรันนี้ผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น มองเห็นสหเดชะยืนเด่นอยู่เช่นนั้นนกุลก็ให้เสียววาบ...ทหารยามพวกนี้มีหอกเป็นอาวุธ ปลายหอกก็คมปลาบวาบวับยิ่งนัก หากว่าโดนแทงเข้ามิทะลุเป็นรูโบ๋เลยหรือ ถ้าไม่ติดว่าสหเดชะเจ้าหนุ่มใจระห่ำนี่พุ่งกระโจนเข้าไปจัดการเสียอยู่หมัดด้วยความรวดเร็วราวกับลูกศร ป่านนี้คงมีทหารหมู่อื่นๆ ตามมาสมทบอีกมากมายเป็นแน่

เห็นเช่นนี้แทบไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเป็นคนเดียวกับที่ถูกเสียบตรึงไว้กับต้นไม้ในป่า แล้วเขาผ่านไปเห็นจึงช่วยไว้ ฝีมือร้ายกาจปานนี้...ยากนักจะแพ้ให้แก่ผู้ใด มิพักว่าตอนนี้สหเดชะคงยังไม่ได้ใช้กำลังไปเสียกี่มากน้อยอีกนะ นี่ถ้าสู้สุดกำลังจะเป็นอย่างไร

นกุลถอนหายใจ หันไปนั่งยองๆ สำรวจร่างนอนแบ็บแน่นิ่งของกุมภัณฑ์ตนหนึ่ง จะอย่างไรนกุลก็ศิษย์พระอาจารย์ ท่านสอนเสมอว่า...การปลิดชีวิตผู้อื่นนั้นบาปหนา โทษแรง ถ้าเลี่ยงได้ก็ให้เลี่ยง ที่เขาขว้างไปใส่ยักษ์ตนนั้นก็ยาทำให้หมดสติหรอก

“พวกเขายังไม่ตาย” สหเดชะว่า นกุลเงยหน้ามอง “ข้าเพียงทำให้สลบเท่านั้น”

“ทำไมไม่ฆ่าล่ะ” นกุลถาม

“หนึ่งชีวิตนั้นมีค่า ข้าเป็นใครจึงอาจหาญไปคร่าลมหายใจผู้อื่น”

นกุลลุกขึ้นยืน มองหน้าสหายเงียบๆ ก่อนเอ่ยออกมา “เพราะเช่นนี้เจ้าจึงอาจหาญ”

สหเดชะกำพระขรรค์แน่น แล้วโจนลิ่วไปในสายลม

+++

แสงสว่างโชติช่วงดุจไฟกองกูณฑ์นั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงสูง สหเดชะได้ยินเสียงโห่ร้องรื่นเริง ราวกับกำลังมีการประลอง หรืองานฉลองอะไรบางอย่าง

พวกเขาหลบอยู่หลังไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง อาศัยเงาของมันเพื่อหลีกเร้นจากสายตาของยามซึ่งเดินลาดตระเวนไปมาในบริเวณนี้ ที่ตรงนี้ห่างจากหมู่ไม้ใหญ่สูงที่พวกเขาโรมรันกับทหารยามทั้งหกตนอยู่ไกลโข ทหารยามที่นกุลลากร่างไปนอนในหมู่ไม้แล้ว

ยิ่งเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้พวกเขายิ่งระวังตัว ทั้งเกรงว่าจะถูกจับได้ ทั้งเกรงว่ากวางทองอีกตัวที่วิ่งล่อเหล่าทหารกุมภัณฑ์ไปอีกทางเมื่อครู่ก่อนนั้นจะรายงานให้ผู้บัญชาทราบเรื่อง หากเป็นเช่นนั้นก็เห็นจะลำบากแล้ว

ช่วงหนึ่งอยู่ๆ ทหารลาดตระเวนดูจะหายไป เหลือช่องว่างทางสะดวกให้แก่สองหนุ่ม ทั้งอาศัยเงาวูบไหวอันเกิดจากแสงไฟจากอีกด้าน และอาศัยเสียงวุ่นวายโกลาหลอึงอลจากภายใน ไม่ช้าทั้งสหเดชะและนกุลก็กระโดดขึ้นไปอยู่ด้านบนกำแพงนั้นได้โดยลำบากยิ่ง ก็กำแพงนี้สูงน้อยเสียเมื่อไรล่ะ

สหเดชะมองลอดช่องว่างระหว่างใบสอบนเชิงเทินกำแพง เห็นทางสะดวกดาย จึงรีบขึ้นไปยืนบนกำแพงนั้นทันที และภาพเบื้องล่างก็เปิดเผยสู่สายตาของเขา

ท่อนซุงก่อสูงท่วมศีรษะเป็นเชื้อให้เปลวเพลิงลุกโหม ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

เบื้องล่างนั้นมีกุมภัณฑ์นับได้กว่าร้อยโอบล้อมกองกูณฑ์เป็นวงกว้าง บ้างยืนบ้างนั่ง บ้างปรบมือ โห่ร้อง ส่งเสียงดังโหมหึกอึกทึกยิ่งนัก โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า บนเชิงเทินของกำแพงสูง มีสองร่างหลบเร้นอยู่...และกำลังจ้องมอง

สหเดชะยืนแข็งทื่อ

มองเห็นร่างน้อยๆ ผอมบางกว่ากุมภัณฑ์ตนใด กำลังยืนอยู่ห่างจากเปลวไฟไม่ไกลนัก ร่างนั้นยืนสงบนิ่ง...นิ่งยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็นว่าคนผู้นี้จะนิ่งเฉยเช่นนี้ได้ หากไม่วิ่งเล่นกับหมู่ไม้ให้เท้าสัมผัสหญ้านุ่ม ก็คงเป็นกระโดดโลดเต้นไปกับมวลบุปผา ณ ริมฝั่งน้ำนั่นแล้ว ไฉนจะยืนเฉยๆ ราวกับทำสมาธิเช่นนี้ได้

รวี...รวีพิรุณของสหเดชะนั่นเอง

ชั่วขณะหนึ่งนั้น หัวใจสหเดชะก็เต้นแรง เขาเห็นรวีเจ้ายอดดวงใจเอนกายไปด้านหน้าแล้วออกวิ่งเร็วรี่ รวดเร็วราวกับกวางหนุ่มน้อยกระสันจะลองกีบเท้า

สหเดชะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รวีพิรุณวิ่งเร็วดุจลมหมุน ไม่กี่อึดใจต่อมาก็ไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเรือนกายสูงใหญ่ของใครคนนั้น

คนที่สหเดชะแค้นมันเหลือใจ ก็มันมิใช่หรือ จะเป็นใครได้นอกจากมัน...ที่ลักพาน้องน้อยของข้าไปจากอก

ในท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวเพลิง สหเดชะเห็นรวีสะกิดเท้ากับพื้นดิน แล้วก็โจนร่างลอยลิ่วขึ้นไปกลางอากาศ เขาพลิกร่างพลิ้วเป็นวงกลมดั่งจักรผัน ก่อนจะฟาดเท้าลงไปหวังตีแสกหน้าเจ้ายักษ์ปักหลั่นตนนั้น มันผู้นั้นใช้มือปัดเท้าของรวีออกอย่างง่ายดาย แล้วมืออีกข้างของมันก็พลันคว้าหมับเข้ากับลำคอของรวีน้องน้อย!

จากจุดที่ยืนอยู่ สหเดชะสามารถมองเห็นร่างกายน้อยๆ ดิ้นขัดขืน ทั้งถองทั้งถีบหวังให้หลุดจากเงื้อมมือ

เห็นเช่นนี้ยิ่งหัวใจเจ็บแปลบ พี่ไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม

ร่างเจ้าน้องน้อยที่เขาตระกองกอดไว้อย่างทะนุถนอม

ลำคอขาวระหงของเจ้าพี่เคยแนบจมูกดมดอม บัดนี้กลับมีมือกักขฬะของเจ้ายักษ์สามานย์ตนนี้บีบเค้นอย่างหนัก

โทสะพุ่งเพลิดเริงแรงในอกของสหเดชะ

เขาตะเบ็งเสียงกราดเกรี้ยว

“ปล่อยรวีของข้าเดี๋ยวนี้!”

เสียงนั้นปานราชสีห์พิโรธ มันกระหึ่มเหิมโกญจนาท ฟาดมวลอากาศให้แตกกระจายออกไป เปลวไฟราวกับจะลู่ไปเพราะเสียงนี้ ทุกการเคลื่อนไหวเบื้องล่างราวกับจะนิ่งสนิท ทุกลมหายใจคล้ายถูกกลืนหายลงไปจนหมดสิ้น

ชั่วขณะใจนั้นเอง รวีก็หันมาตามเสียง ใบหน้าขาวมีฝุ่นเปื้อนประปราย ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสุกใสเป็นอย่างยิ่ง

ดวงตากลมโตจ้องจับอยู่ที่ร่างบนเชิงเทินกำแพง เมื่ออนุสติรู้ตนสว่างแจ้ง ตาคู่นั้นก็เบิกโพลง ก่อนสายชลจะเริ่มหลั่งริน รวีพิรุณเม้มปากเป็นเส้นตรงราวอดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะตะโกนก้องไม่ต่างกัน

“ท่านพี่!” 

++++++

เจอกันตอนต่อไปนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
มาต่อกันเลยค่าาา  :katai4:


บทที่ 18




ยินคำน้องร้องเรียกชื่อตน ร่างของสหเดชะก็ไปก่อนความคิด

เขากระโจนจากเชิงเทินลงไปเบื้องล่าง ไม่ยี่หระต่อเหล่ากุมภัณฑ์ซึ่งกำลังคว้าอาวุธมาถือมั่นในมือ ใบหน้าชาวนครเรียบตึง จ้องมองเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยอย่างหมายมาด

เท้ากระแทกพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งขึ้นมา สหเดชะยืดกายขึ้นยืนตรง ยามนี้เขาสง่าผ่าเผยยิ่งนัก ไม่ปรากฏแววยั่นระย่อในดวงตาเลยสักนิด จุดเดียวที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่คือร่างเล็กๆ ของรวีพิรุณ

ฝ่ายรวีเอง ตั้งแต่น้ำตาหยาดลงตามแก้มเพราะเห็นว่าใครมาหาตน เขาก็สะบัดมือโดยแรง มือใหญ่ที่กำรวบลำคอของเขาไว้หลวมๆ ก็คลายออก ร่างรวีหล่นตุบลงไปกับพื้น

รวีวางเท้ากับพื้นได้มั่นคง ไม่เซล้มหรืออะไรทั้งนั้น ครั้นแล้วก็รีบวิ่งออกเท้าสุดแรงเกิด มุ่งตรงไปยังร่างสูงใหญ่ของท่านพี่สหเดชะทันที

ในขณะนี้เอง จตุรเศียรยืนมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ยกมือขึ้นกอดอก เมื่อเห็นทหารจะเข้าขวางรวีไว้ เขาก็ยกมือเป็นสัญญาณ เหล่าทหารใต้บัญชาต่างล่าถอยออกมา หลบเป็นทางโล่งให้รวีวิ่งไปอย่างสบาย

ชั่วอึดใจจากนั้น ร่างขาวๆ ของรวีพิรุณก็โผเข้าหาสหเดชะ ฝ่ายนั้นอ้าแขนออกโดยอัตโนมัติ เมื่อร่างน้องน้อยโผเข้ามา สหเดชะก็รวบกอดไว้ด้วยอ้อมแขนของตน

ร่างกรุ่นกลิ่นคุ้นเคยแนบชิดสนิทกัน สหเดชะใช้เวลาเพียงเสี้ยวในการสูดเอากลิ่นอันหอมจรุงของไม้ดอกซึ่งกรุ่นจากร่างของรวีพิรุณนี้

ภาพความชิดใกล้หลายฉากฉายอยู่ภายในสมองอันว่างเปล่าของสหเดชะ เขาเห็นรอยยิ้มของน้องซึ่งกำลังวิ่งเล่นท่ามกลางทุ่งดอกไม้และหญ้าเขียว เขาเห็นน้องล่องลอยกลางอากาศขณะเขาโอบอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปชมทัศนียภาพกลางหาวของพิทยานคร

บัดนี้เขาไม่ต้องใช้ความทรงจำใดๆ เพื่อเห็นหน้าน้องเจ้าแล้ว เพราะตอนนี้น้องอยู่ในอ้อมกอดเขา อ้อมกอดที่เขามั่นใจว่าจะสามารถปกป้องน้องไว้ได้ คราวนี้เขาจะไม่ให้ใครมาพรากน้องไปจากเขาได้อีกเด็ดขาด!

“ท่านพี่ ท่านพี่สหะ...” สำเนียงเสียงหวานเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู สหเดชะให้ซาบซ่านในอกยิ่งนัก ฝังจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มของน้องแล้วสูดดมกลิ่นอันคุ้นเคยอย่างโหยหา

สูดดมเพื่อให้แน่แก่ใจว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันจริงๆ ไม่ใช่ภาพมายาหลอกตาใดๆ

“รวี...รวีของพี่”

สหเดชะโอบกอดราวกับจะให้ร่างสองร่างรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาโอบกอดด้วยโหยหา โอบกอดด้วยหัวใจอันเอ่อล้นด้วยความรู้สึก
กระทั่งเสียงใสๆ เอ่ยประท้วงเล็กๆ “ทะ...ท่านพี่...”

สหเดชะจึงคลายกอด ดันให้น้องออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้ามอมแมมนั้น

“พี่อยู่นี่แล้ว พี่มาหาน้องแล้ว”

“ท่านพี่...ท่านพี่มีชีวิต...ท่านพี่มาหารวีแล้ว”

“ใช่...พี่มาหารวี พี่ไม่เป็นอะไรเด็ดขาด จะต้องมาหารวีให้ได้อยู่แล้ว”

ตาประสานตา สหเดชะก้มหน้าเอาหน้าผากแนบหน้าผากน้อง แตะริมฝีปากกับริมฝีปากของน้องเพียงเบาๆ รับรู้ถึงความนุ่มของริมฝีปากนั้น รับรู้ถึงความอบอุ่นแห่งชีวิตของอีกฝ่าย

...เท่านี้ก็ดีแล้ว

“เจ้ากล้ามากที่ลอบเข้าโลหะนคร”

เสียงกร้าวแกร่งดังขึ้นทำลายการแสดงความรักของสหเดชะกับรวีพิรุณ สหเดชะรีบดันน้องให้ไปหลบด้านหลังตน

จอมกุมภัณฑ์เดินเข้ามาหาช้าๆ บนใบหน้านั้นแม้เรียบเฉยทว่าก็ปรากฏแววแห่งความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

จตุรเศียรหยุดอยู่ไม่ไกลนัก เขม้นมองมาทางนี้ด้วยสายตายากอธิบาย

“โลหะนครใช่จะเข้ามาแล้วออกไปได้โดยง่าย”

“เราเข้ามาได้ ก็ย่อมออกไปได้”

วาจายกตนข่มท่านอย่างใหญ่โตของสหเดชะนี้คล้ายจะทำให้ใบหน้าของจตุรเศียรเครียดเขม็งขึ้น

“วาจาใหญ่เกินตัวขนาดนี้ เจ้าจำครั้งก่อนที่เจอกันไม่ได้แล้วหรือ”

“อดีตเป็นเช่นไรเราไม่รู้ แต่ตอนนี้เราย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อน”

“น่าสน”

จตุรเศียรเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็วาดมือออกไป เกิดแสงวาบขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อแสงเลือนหายไป ในมือของเขาปรากฏดาบโลหะสีดำมะเมื่อมกำมั่น เขาปักมันไว้กับพื้นดิน

ทหารกุมภัณฑ์โดยรอบส่งเสียงพอใจ พร้อมใจกันถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างให้นายเหนือหัวอย่างรู้แกว

ทว่าเสียงใสของรวีพิรุณกลับเอ่ยขึ้นมาโดยเร็ว “ท่านจะทำอะไร!”

จตุรเศียรยกมือห้าม “เจ้าอย่ายุ่ง ถอยออกไป”

รวีพิรุณทำหน้ายุ่ง สหเดชะเอี้ยวไปมองหน้าน้อง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสุกสว่าง เขาแย้มริมปากเป็นรอยยิ้มอบอุ่น

“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ไม่แพ้เป็นครั้งที่สอง”

“แต่ท่านพี่...”

“เชื่อใจพี่”

สหเดชะกำมือรวีไว้แน่น บีบเบาๆ เป็นเชิงให้ความเชื่อมั่น

“น้องไปอยู่กับสหายพี่ก่อน...”

นกุลวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาใกล้ รวีมองมือที่กอบกุมกันไว้ มองใบหน้าซึ่งประดับด้วยยิ้มอบอุ่นของท่านพี่ รวีย้ำกับตนเองในใจ...ท่านพี่ไม่แพ้หรอก ก็ท่านพี่เก่งอย่างนี้เลย!

รวีก้าวถอยหลังไปยืนใกล้ๆ กับคนตัวใหญ่ๆ อีกคนที่เพิ่งวิ่งเข้ามายืนไม่ไกลนัก เขามองรวีแล้วยิ้มให้ ซึ่งรวีก็ยิ้มตอบกลับ เพราะรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มีแต่ความเป็นมิตรมอบให้

มิใช่ว่าสหเดชะจะไม่สงสัย ว่าระหว่างที่เขาฝึกวิชาอยู่กับพระอาจารย์นั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับรวีพิรุณบ้าง พระอาจารย์บอกว่าน้องไม่อันตราย แต่เขาก็ยังเกรงว่าน้องอาจจะถูกทำทารุณกรรมอะไรบ้างหรือไม่

ต่อเมื่อมาสบหน้าน้องครั้งนี้แล้ว ก็มั่นใจได้ว่าน้องไม่ได้ถูกทำอันตรายอันใด ทว่า...ไฉนรวีคล้ายจะคุ้นเคยกับเจ้ากุมภัณฑ์ตนนี้ยิ่งนัก? น้องดูไม่เกรงกลัวฝ่ายนั้นสักนิด นี่ใช่กิริยาของคนที่ถูกลักพามาจะแสดงออกต่อคนที่ลักพามาหรือ?

เขาเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน ก้าวออกไปอย่างมั่นใจ สะบัดมือออกไปก็ปรากฏพระขรรค์สีเงินส่งแสงสีเขียวเรือง เขากำไว้ในมือมั่น ยืนประจันหน้ากับจอมกุมภัณฑ์แห่งโลหะนครอย่างไม่กลัวเกรง

+++

“คราก่อนเจ้าพ่ายเราในดาบเดียว” จตุรเศียรเอ่ยขึ้นมา

เสียงของสหเดชะนิ่งทีเดียว เมื่อตอบกลับไป “คราวนี้ไม่แม้แต่ดาบเดียว...เพราะเราไม่แพ้”

“หึ”

จตุรเศียรไม่เคยเจอใครช่างวางโตเช่นนี้มาก่อน ตัวเป็นเพียงวิทยาธร...ไม่สิ...มีเพียงกลิ่นจางๆ ของวิทยาธรเท่านั้น ไม่ใช่ชนชาวฟ้าเสียด้วย ไฉนจึงกล้าปากเก่งต่อหน้าเขาเช่นนี้ จอมกุมภัณฑ์แค่นเสียงดูถูกแล้วเอ่ยออกมา “ข้าให้เจ้าเริ่มก่อน”

มาครั้งนี้สหเดชะไม่คิดโอ้เอ้ แม้ฝ่ายนั้นไม่ให้เขาเริ่มก่อน เขาก็คิดจะออกดาบแรกอยู่แล้ว ดังนั้นเพียงอึดใจต่อมาเขาก็พุ่งทะยานมากลางอากาศ พระขรรค์ขนานกับพื้นดิน หันคมเข้าหาฝ่ายนั้น

หะแรกจตุรเศียรคิดจะใช้แค่นิ้วเดียวหยุดอาวุธฝ่ายตรงข้าม แต่แล้วเขาก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง

คนผู้นี้แปลกไปกว่าเก่า แม้ว่าไม่มีกลิ่นอายชาวฟ้า ทว่ากลับคล้ายมีรัศมีบางอย่างส่องออกมาจากร่างกายเพียงบางๆ ซ้ำเขาก็ยังสัมผัสได้ว่า...หากใช้นิ้วเดียวรับพระขรรค์นั้นไว้ละก็ นิ้วเดียวนั้นก็คงขาดจากมือเป็นแน่

ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งออกมาจากตัวของสหเดชะ บังคับให้จตุรเศียรต้องเปลี่ยนท่าตั้งรับ เขาจับเอาดาบโลหะถอนจากดิน กวัดอาวุธขึ้นมาด้านบนทันเวลาที่พระขรรค์ของสหเดชะฟาดมาพอดี

เคร้ง!

อาวุธจากสองฝ่ายปะทะกันโดยแรง เกิดแรงกดดันของตบะวิชากระจายออกโดยรอบ แรงกดดันนั้นมากมายจนทหารกุมภัณฑ์ที่ยืนล้อมอยู่ต้องใช้อาวุธปักกับดินไว้เพื่อยึดมิให้ตนกระเด็นออกไป รวีถูกแรงกดดันกระแทก ทว่ายังโชคดีที่มีนกุลช่วยจับไว้ จึงไม่ถูกแรงนั้นพัดไปไกล

จตุรเศียรหรี่ตา มองสหเดชะนิ่งเฉยอยู่ ขณะมือก็กำดาบโลหะแน่น ต้านกำลังของอีกฝ่ายไว้อย่างแข็งขัน

“ตบะของเจ้า...” จตุรเศียรเอ่ยพึมพำ

ประกายเขียววาบสว่างขึ้นในดวงตาของสหเดชะ พลันบัดนั้นพละกำลังมากมายก็ส่งผ่านมาสู่พระขรรค์ เขาขยับมือปาดพระขรรค์ที่ตรึงกำลังกับดาบโลหะนั้นออกไป เสียงเสียดสีของอาวุธสองชิ้นดังขึ้นระคายหูเป็นที่ยิ่ง แรงกดดันนั้นผลักให้จตุรเศียรต้องผงะออกไป

จอมยักษ์ถึงแก่ผงะหงาย แต่เขาก็ทรงตัวได้โดยไว

ความฉงนเคลือบอยู่กับสีหน้าของจอมยักษ์ แต่แล้วเขาก็ต้องกลับมาใส่ใจกับพระขรรค์วาววับที่ฟาดมาอย่างเร็ว

ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ สหเดชะฟาดพระขรรค์คู่กายมาแล้วหลายสิบครั้ง ประกายไฟจากอาวุธทั้งสองกระจายออกในทุกครั้งที่ปะทะกัน

สหเดชะฟาดพระขรรค์เงินทั้งรวดเร็วและรุนแรง ทุกครั้งที่จตุรเศียรรับแรงฟาดคล้ายกับเท้าของเขาจะจมลงกับดินไปทีละน้อย
เจ้ามนุษย์นี้ไม่ธรรมดา

พอความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา จตุรเศียรก็เริ่มประหลาดใจ 

ยกเว้นเทพไทบนชั้นฟ้าดาวดึงส์และสูงกว่า หรือเท้าจตุโลกบาลแล้ว เขาไม่เกรงใครทั้งนั้น ทว่าเจ้าคนนี้กลับทำให้เขาต้องตั้งรับเชียวหรือ

จตุรเศียรใช้โอกาสหนึ่งตวัดดาบโลหะฟาดกลับไปบ้าง ฝ่ายนั้นตั้งรับไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ กระนั้นก็นับว่าได้ผล...เพราะเจ้ามนุษย์หนุ่มหยุดการโจมตีแล้วกลับไปยืนคุมเชิงอยู่ห่างออกไป

“ถือเสียว่าเราประมาทเจ้าไปมาก นับว่าคำพูดของเจ้าไม่ใหญ่เกินตัว”

จบคำพูดนั้น จอมยักษ์ก็ก้าวไปข้างหน้าในพริบตา บัดเดี๋ยวก็โผล่มาเบื้องหน้าสหเดชะ ฝ่ายนั้นเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว โดยฟาดพระขรรค์ลงมา ทว่าด้วยฝ่ายนี้โจมตีก่อน ดาบโลหะที่ฟาดออกไปแล้วจึงเต็มไปด้วยกำลังรุนแรง เสียงอาวุธสองชิ้นครานี้ปะทะกันดังเปรี้ยงราวกับเสียงฟ้าฟาด ผงคลีฟุ้งตลบ

เสียงฉึกดังขึ้นได้ยินชัดเจน

เมื่อฝุ่นผงจางลง สิ่งที่ผู้เฝ้าดูมองเห็นก็ทำให้เงียบงันกันไปหมด

ดาบโลหะสีดำสนิทปักติดกับพื้น

ทหารใต้บัญชาของจตุรเศียรเองไม่เคยนึกฝันว่าจะเห็นอาวุธหลุดจากหัตถ์ของพระอนุชา มาบัดนี้เห็นกะจะอยู่กับตาแล้วจะส่งเสียงประหลาดใจก็ไม่ได้ จึงได้แต่เงียบอยู่เช่นนั้น

ผงคลีที่จางลงเผยให้เห็นว่าเจ้ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นฟาดศอกมาด้วยความรวดเร็ว ศอกของมันฟันเข้ากับใบหน้าของจอมยักษ์เสียงดังพลั่ก

จตุรเศียรหน้าหันไปกับแรงฟาดนั้น บัดเดี๋ยวใจต่อมาขณะที่เขากำลังงงงันอยู่นั้นเอง เจ้ามนุษย์นั่นก็แทงเข่าเข้ากับช่วงอกของเขาอย่างไม่ออมแรง

จตุรเศียรถึงแก่ตัวงอลงตรงนั้น

เขาไม่เข้าใจ

ในบางครั้งเขาเห็นร่างของมัน ทว่าในบางครั้งก็ราวกับว่ามันหายไปในอากาศเสียเฉยๆ

คล้ายกับว่า...เจ้ามนุษย์ผู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆ โดยรอบ เขาจะจับก็ไม่ได้ จะโจมตีก็ไม่แน่ใจว่าจะโจมตีที่ใด เพราะบัดเดี๋ยวก็หายวับ บัดเดี๋ยวก็ลับไป

เขาเริ่มอารมณ์ขุ่นมัว ทีแรกตั้งใจจะสั่งสอนเจ้ามนุษย์อวดดีผู้นี้เสียหน่อย มาบัดนี้กลับต้องคิดใหม่เสียแล้ว

จตุรเศียรกางนิ้วทั้งห้าออก มีแสงสว่างเจิดจ้า ในมือของเขาปรากฏกระบองอันใหญ่เป็นสีทองอร่าม

ประกายวาบของพระขรรค์เงินฟาดมา ประกายกล้าของกระบองทองซัดกลับไป สองอาวุธวิเศษปะทะรุนแรงเสียงดังสะท้าน

สหเดชะปลิวออกมาเพราะฤทธิ์กระบองทองแห่งจอมยักษ์ ทว่าเขาก็ทรงตัวอยู่ได้อย่างดี เพียงแค่เท้าเขาแตะพื้นสหเดชะก็กระโดดเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้งโดยไม่หยุดพักหายใจสักนิด

กลิ่นอายเจ้ามนุษย์หายไปอีกแล้ว กระนั้นจตุรเศียรก็เห็นประกายวาบของพระขรรค์เงินนั้นพุ่งเข้ามาหา เขายกกระบองทองวิเศษขึ้นต้าน พระขรรค์เล่มนั้นไม่เพียงไม่กระเด็นออกไป มันยังส่งแรงกดดันมหาศาลออกมาทำให้เขาต้องเกร็งมือต้านรับไว้อย่างสุดแรง

จตุรเศียรไม่ใช่คนจำพวกแพ้แล้วพาล เพราะเขายังไม่แพ้ ดังนั้นแม้จะประหลาดใจว่าเจ้าคนคนนี้ฝึกปรือวิชาจนเก่งขึ้นขนาดนี้ได้ในเวลาไม่นาน ซ้ำยังมีชีวิตรอดมาได้อีกด้วยเล่า เขาก็ไม่ใส่ใจจุดนั้น เพียงแต่ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับความ
รู้สึก...ชื่นชม...กลับค่อยๆ ปรากฏในใจของเขา

จตุรเศียรไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าใดนัก

แต่สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้

เขาออกแรงเพิ่มมากขึ้นอีก เพื่อจะปัดพระขรรค์ของฝ่ายนั้นให้กระเด็นไป ทว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ จตุรเศียรก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้านบนทันที เพราะพระขรรค์ที่จ่ออยู่กับกระบองของเขานั้นไม่มีเจ้าของของมัน

เจ้าของพระขรรค์มาปรากฏตัวอยู่เหนือร่างของจตุรเศียร

มือหนึ่งของจอมยักษ์จับกระบองไว้มั่น อีกมือกำเป็นหมัดซัดขึ้นไปด้านบนเพื่อฟาดกะโหลกของสหเดชะให้แตก

หมัดนี้เต็มไปด้วยตบะอันแก่กล้าของจตุรเศียร หากฟาดภูผา ภูผาก็พังภินทุ์ หากซัดกระแสสินธุ์ก็สาดกระจายกลายเป็นไอระเหยหมดสิ้น

ทว่าสิ่งที่รับหมัดของจอมยักษ์ไว้กลับเป็นเพียงฝ่ามือของสหเดชะ ฝ่ามือซึ่งปราศจากแรงกดดันใดๆ ทั้งสิ้น กระนั้น...ฝ่ามือนี้ก็ไม่แตกสลายหรือได้รับบาดเจ็บแม้สักน้อย ด้วยมีอำนาจบางอย่างซึ่งอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งแผ่กระจายออกมา

ชีวิต

จตุรเศียรสัมผัสถึงชีวิตและธรรมชาติโดยรอบ

พลันบัดนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงวัตถุบางอย่างเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วอยู่รอบๆ แล้วโดยที่เขาไม่ทันป้องกันตัว ก็ถูกวัตถุนั้นรัดเข้ามาอย่างรุนแรง

จตุรเศียรทรุดไปนั่งกับพื้น ร่างกายนิ่งขึงจะขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ เพราะบัดนี้ปรากฏว่าเขาถูกเถาวัลย์เส้นใหญ่เท่าแขนของมนุษย์ผู้ชายมัดไว้ทั่วร่าง

จอมยักษ์ถูกจองจำด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

“นี่อะไร”

เขาคำรามออกมา พยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ทันใดนั้นเอง เถาวัลย์ที่พันอยู่รอบกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ไม่นานกลับกลายเป็นกิ่งไม้ใหญ่โอบรัดเขาไว้แน่นหนาจนคล้ายกับจอมยักษ์จะกลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งไปเสียแล้ว

ยิ่งขยับยิ่งขยายใหญ่หรือ!

จตุรเศียรห้ามตนเองไม่ได้ เขาเปิดยิ้มออกมา

ในใจก็โห่ร้องก้องกึก ไม่ได้สู้จนถึงขนาดนี้มานานแล้ว

อึดใจนั้นเอง เขาก็ใช้กำลังตบะของตนจนเกิดแสงสว่างรอบกาย ร่างกายของเขากำยำขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขี้ยวขาวโง้งค่อยงอกออกมาจากด้านใน เวลาผ่านไปเพียงชั่วเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เสียงปริแตกก็ดัง แล้วกิ่งไม้ที่รัดแน่นก็ขาดสะบั้น หล่นลงกับพื้นกองระเนระนาด

บัดนี้ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือจอมกุมภัณฑ์แห่งโลหะนคร ผู้เป็นพระอนุชาของสัตตพักตร์เจ้าเหนือหัว

พระอนุชาผู้มีนามว่า จตุรเศียร

เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของกุมภัณฑ์อันน่ากลัว

รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งสี่ จากปากทั้งสี่

ปากแรกเอ่ยว่า “เราเชื่อว่าดับชีวิตเจ้าด้วยดาบเดียวนั้นแล้ว”

ปากสองเอ่ยต่อ “แต่เจ้าก็รอดชีวิตมา”

ปากสามเปล่งเสียงดัง “แม้คำพูดเจ้าใหญ่โต แต่เจ้าก็สู้กับเราได้”

ปากสี่กล่าวดังนี้ “เจ้าเด็กน้อยบอกว่าเจ้าจะมา เจ้าก็มาจริงๆ”

ปากทั้งสี่เอ่ยพร้อมกัน “เราขอชื่นชม”

+++

เจอกันตอนหน้าค่าาา :hao7:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
จะเป็นยังต่อละเนี่ย รอๆๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด