๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 18 [26-01-2564] หน้า 6  (อ่าน 20409 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สุขทุกข์สลับวันยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รวีเป็นอะไรอ่ะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
น้องเป็นอะไร ฮืออออ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
รวีเป็นอะไรลู๊กก

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ผู้ใดมา กรี๊ดดด น้องอย่าเป็นอะไรนะลูก

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5


บทที่ 8


เหงื่อกาฬไหลโซมทั่วร่าง รวีพิรุณใบหน้าซีดเผือดชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้งผุดเต็มไปหมด เขาหอบหายใจหนักหน่วง ส่งเสียงครวญราวกับกำลังตกอยู่ในความเจ็บปวดเหลือแสน

สหเดชะอุ้มร่างของมักกะลีผลไว้แน่นกับอ้อมกอด มองกลุ่มแสงสว่างเจิดจ้านั้นลอยอยู่เหนือพื้นตรงหน้าของตน รังสีเริงร้อนราวกับว่าพระอาทิตย์ได้มาลอยอยู่ ณ เบื้องหน้า พลันบัดนั้น...สหเดชะรู้โดยไม่คลางแคลงใดๆ ว่ากลุ่มพลังนี้คือผู้ใด

เขาค่อยๆ ย่อกายลงกับพื้น วางร่างน้อยๆ ลงตรงหน้า แล้วจึงค้อมศีรษะลงแสดงความเคารพอย่างสูง

“พระอัศวิน”

บัดนี้คำสวดอ้อนวอนของเขาเป็นผลแล้ว พระอัศวินได้ยินคำสวดพระนาม ท่านรีบรุดมาจากราชรถของพระอาทิตย์เพื่อมาฟังคำร้องอ้อนวอนของเขาแล้ว ไม่แปลกเลยจึงมีรัศมีร้อนแรงราวกับไฟ

กลุ่มแสงสว่างเจิดจ้านั้นรวมกันเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามเลิศล้ำผู้หนึ่ง ประทับยืนตรงหน้าสหเดชะ ท่านคือพระนาสัตยะ หนึ่งในพระอัศวินซึ่งเป็นเทพแฝด ด้วยการเป็นเทพของท่าน ดำรงอยู่ในภาวะของพลังงานอันละเอียดสูงส่ง หากจะฝ่าเข้ามาในวิมานของสหเดชะย่อมทำได้โดยง่าย ทว่าเมื่อพระเวทปกป้องวิมานยอมให้ท่านผ่านเข้ามาได้โดยไม่ขัดขวางย่อมแสดงว่าสหเดชะมิได้เห็นท่านเป็นศัตรู

“เราได้ยินคำสวดของเจ้าแล้ว วิทยาธร”

สหเดชะมิได้เอ่ยถามว่าเหตุใดท่านจึงเสด็จมาเพียงองค์เดียว พระทัศระเสด็จไหนเสียเล่า เขาเพียงแต่ค้อมศีรษะไว้เช่นนั้นเพื่อแสดงความเคารพ กระนั้นท่านเทพก็ราวกับจะล่วงรู้ถึงความคิดภายในใจของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

“ข้าแต่องค์เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดช่วยชีวิตของรวีพิรุณ...มักกะลีผลผู้นี้...” สหเดชะเอ่ยตะกุกตะกัก ร้อนรน

“เราจะช่วยหยุดความทรมานของเขาไว้ก่อน” น้ำเสียงของพระนาสัตยะเปี่ยมด้วยเมตตา ท่านเสด็จเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นระดับอก แล้ววาดมือเหนือร่างของรวีพิรุณจากศีรษะไปหาปลายเท้า จากปลายเท้ากลับมาจรดศีรษะ แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของเจ้ามักกะลีผลก็ส่องแสงสีเขียวแมลงทับ ก่อนจะค่อยๆ สงบลง ราวกับว่าอาการแสดงความเจ็บปวดเมื่อครู่นั้นไม่เคยมี

สหเดชะมองร่างซึ่งนอนสงบอยู่ตรงหน้านั้นด้วยแววตาเศร้าหมอง เอ่ยถามเสียงสั่น

“รวีพิรุณ...มักกะลีผลผู้นี้ เขาจะอยู่ต่อมิได้แล้วหรือพระเจ้าค่ะ”

พระนาสัตยะแย้มยิ้มราวกับว่าแสดงความเอ็นดูต่อชื่อรวีพิรุณฉะนั้น

“สหเดชะ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่ามักกะลีผลก็ดี นารีผลก็ดี เขามีธรรมชาติและช่วงเวลาของเขา”

“ข้าพระองค์ทราบดี”

“เช่นนั้น เราจะบอกให้เจ้ารู้อีกอย่าง” ท่านค่อยๆ ย่อกายลงราวกับจะนั่งลงบนพื้นหญ้าตรงหน้า ทว่าทันใดนั้นเองก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากหน้าดิน กลายเป็นบัลลังก์ให้ท่านได้ประทับลงไป

“มักกะลีผลนั้นนับแต่ถือกำเนิดขึ้นมาที่ต้นแม่ ก็ใช้เวลาเจ็ดทิวาราตรีจึงเติบใหญ่สุกงอม แล้วจากนั้นภายในเจ็ดวันหากไม่ถูกปลิดจากขั้วไปก็จะเหี่ยวแห้งไปเอง ดังนี้ มักกะลีผลจึงมีเวลาชีวิตเพียงสิบสี่ทิวาราตรี หรือปักษ์หนึ่ง” ท่านพิจารณาใบหน้าอันอมทุกข์ของวิทยาธรหนุ่ม แล้วเอ่ยสืบไป “แต่หากมักกะลีผลลูกใดไม่ได้ดำเนินชีวิตเช่นที่เรากล่าวไปนี้” ท่านพยักหน้าเมื่อเห็นดวงตาของสหเดชะแสดงความเข้าใจอะไรบางอย่าง “ถูกต้องแล้ว หากมีใครไปเด็ดมักกะลีผลจากต้นก่อนเวลาอันควร...มักกะลีผลลูกนั้นก็จะสิ้นอายุขัยไปในวันที่ถูกปลิดจากขั้วนั้นเอง”

“ถ้าเช่นนั้น...”

“มักกะลีผลน้อยผู้นี้ยังไม่สุกงอมดีนัก เมื่อเจ้าตัดขั้วเขาจากต้นแม่ เขาจึงจะต้องสิ้นอายุขัยภายในวันนั้นเอง”

“แต่พระองค์ก็ได้ช่วยเขาไว้แล้ว...”

“ถูกละ เรากับพระทัศระได้ช่วยเขาไว้ ทว่าสหเดชะเอย...การจะยื้อยุดเอาดวงวิญญาณผู้ใดจากพระยมนั้นยากยิ่งกว่าจับเขาไกรลาสที่เอนเอียงให้ตั้งตรงเสียอีก เรากับพระทัศระรวมกำลังกันก็จึงทำให้เจ้ามักกะลีผลผู้นี้มีชีวิตอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น บัดนี้ก็ใกล้หมดสิ้นเวลาที่ยื้อไว้นั้นแล้ว เขาจึงแสดงอาการทรมานเช่นนี้ออกมา”

ถ้อยคำขององค์เทพราวกับมืออันทรงฤทธิ์คว้านเข้ามาในแผ่นอกของเขาแล้วกระชากเอาดวงใจออกไปทั้งยวง

“สะ...สามวันหรือ พระองค์มิได้บอกให้ข้าพระองค์ได้รู้เลย...”

แม้แววตาจะมีประกายบางอย่างทว่าน้ำเสียงของพระนาสัตยะก็ราบเรียบไร้อารมณ์ใด “ก่อนเจ้ากลับมาวิมาน เราได้บอกสิ่งใดแก่เจ้าหรือ”

“พระองค์ตรัสว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้ยืนยง สิ่งใดเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ใจมนุษย์หมุนเวียนเปลี่ยนผัน...”

“...ไม่มีสิ่งใดให้เจ้ายึดติดได้” ท่านนิ่งไปสักครู่ แล้วจึงเอ่ยต่อ “แม้เป็นเทวดาหรือชาวฟ้าก็จิตใจโลเลเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ยามนี้เจ้ามีจิตปฏิพัทธต่อมักกะลีผลผู้นี้ นานไปภายหน้าเล่า เจ้าจะยังมั่นใจอยู่หรือว่าความรู้สึกเจ้าจะคงเดิม”

“ทูลองค์เทพ หัวใจรักหรือพิศวาส อาศัยเพียงมองตาก็รู้แล้วว่าล้ำลึกยืนยงเพียงใด ข้าพระองค์ปักใจใกล้ชิดมักกะลีผลน้อยผู้นี้แล้ว ย่อมผูกใจไปอีกนาน”

“เจ้ากล่าวคำจริงแท้ แม้ไม่ถามให้กระจ่างเราก็แจ้งใจดี เพราะคำสวดอ้อนวอนอันออกมาจากหัวใจของเจ้าเท่านั้นจึงทำให้เรามาอยู่ที่นี่ เอาละ...สหเดชะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือความสมัครใจของเจ้าเอง เรามิได้บังคับขู่เข็ญให้เจ้ากระทำ บอกเรามาเถิด...สิ่งที่เจ้าปรารถนานั้นคือสิ่งใดกันแน่”

“ขอพระองค์จงช่วยทำให้มักกะลีผลผู้นี้มีอายุยืนยาว แม้ไม่เท่าชาวฟ้าชาวสวรรค์ ก็ขอเพียงเท่าอายุขัยมนุษย์โลกผู้หนึ่งก็พอแล้ว”

ดวงตาของสหเดชะปรากฏประกายเจิดจ้า มีแววมุ่งมั่นจริงใจ ดวงตาขององค์เทพฉายแสงเรืองรองของพลังทิพย์ พลันบัดนั้น พระนาสัตยะตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง

“สหเดชะเอย แม้นเราเป็นแพทย์สวรรค์ ทว่าเรื่องนี้เกินกำลังของเราจริงๆ การมอบชีวิตให้แก่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีเพียงพระพรหมผู้สร้างกับองค์ศิวะเท่านั้นที่ทำได้”

วิทยาธรหนุ่มก้มลงมองใบหน้าหลับพริ้มของรวีพิรุณ เขากุมเอามือบอบบางนั้นไว้ในมือตน บัดนี้ไม่เหลือความองอาจแห่งวิทยาธรผู้เกรียงไกรอีกแล้ว “รวี...รวีพิรุณจะต้องตายหรือพระเจ้าค่ะ”

“สิ่งนี้ได้ถูกลิขิตไว้แล้ว”

สหเดชะก้มหน้าลงต่ำ ริมฝีปากขบเม้มกันเป็นเส้นตรง ไหล่กว้างกำยำสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำ อดกลั้นไว้มิให้น้ำตาไหลออกมา ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมององค์เทพ

“ไร้...ไร้ซึ่งหนทางแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”

พระนาสัตยะถอนพระปัสสาสะยาว ก่อนตรัสออกมา

“มีอยู่หนทางหนึ่ง”

ประโยคนั้นจากโอษฐ์องค์เทพ ราวกับน้ำอมฤตราดชโลม ประกายยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาของวิทยาธร

องค์เทพอัศวินตรัส “หนทางนี้มีราคาสูงนัก”

ท่านชี้นิ้วตรงหน้าผากของสหเดชะ ประกายแสงสีทองเล็กๆ พุ่งเข้าใส่ตรงจุดนั้น สหเดชะพลันเห็นภาพต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัว จริงซี...ยังมีวิธีนี้อีกนี่นา

เขาเห็นแล้ว

สหเดชะก้มลงมองน้องน้อยด้วยแววตาเปี่ยมหวัง กุมมือแน่นเข้า มือของน้องยังอุ่น ชีวิตยังไม่ละจากร่างนี้ แต่ก็คงอีกไม่นาน

“เจ้าเห็นหรือยัง”

“ข้าพระองค์เห็นแล้ว”

“เช่นนั้นก็ยังยินดีจะทำหรือ”

“ยินดีพระเจ้าค่ะ”

“แม้ต้องพานพบความลำบากภายหน้าหรือ”

“พระเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเราจะช่วย...”

พระนาสัตยะวาดพระหัตย์ขึ้นไปด้านบน พลันวิมานของสหเดชะก็กลับสลัวลง ราวกับว่าเหนือเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ถูกกลุ่มเมฆฝนอันมหึมามาคลุมไว้เสียจากพระอาทิตย์

องค์เทพมองสหเดชะนิ่งอยู่

เจ้าวิทยาธรหนุ่มกำลังกุมมือมักกะลีผลแน่น เจ้าหนุ่มผู้นี้กำลังเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตามุ่งมั่นไม่ยั่นระย่อใดๆ แม้นพระองค์จะเอ่ยคำใดทัดทานยามนี้ก็ไร้ผล

“เจ้าไม่เสียใจภายหลังหรือ”

“หากเขาต้องจากไป...ข้าพระองค์จะเสียใจยิ่งกว่า”

“เช่นนั้น...ก็เป็นดั่งเจ้าปรารถนาเถิด”

***

ภมรธรา...วิทยาธรผู้หลงใหลในน้ำเมาและนารีผล กำลังอยู่ในอ้อมกอดของพวกนาง ศีรษะของเขาวางอยู่บนตักอ่อนนุ่มของนารีผลนางหนึ่ง พลางอ้าปากรอรับน้ำเมาจากจอกซึ่งนารีผลอีกนางบรรจงป้อนถึงปาก

อีกมือซึ่งว่างงานก็ฟอนเฟ้นเรือนร่างหนั่นแน่นนุ่มนวลของอีกนาง อา...ถ้านี่มิใช่สวรรค์แล้วจะเป็นที่ไหนเสียล่ะ

ภมรธราหลับตาอย่างเป็นสุข แทบกระอักกับความหอมของเนื้อกายนางทั้งหลาย ทว่า...ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ เจ้าหนุ่มสหเดชะนั่นจะได้กอดน้องน้อยของมันแล้วบ้างหรือยัง

เจ้าผู้นี้ช่างเป็นวิทยาธรที่ประหลาดดีแท้ วันก่อนก็มาขอน้ำผึ้งจากวิมานของเขา มาวันนี้ก็แอบมาเดินท่องไปทั่วทุ่งดอกไม้ จนเขาต้องหลีกจากอกนุ่มๆ ของน้องๆ นี้ไปหา พอเขาอ้าปากปราศรัย มันก็ถามว่า...เจ้ามีกระต่ายบ้างหรือไม่

ขอไหว้องค์หิมวันต์เจ้าข้า มีวิทยาธรที่ไหนตามหากระต่ายกันเล่า? เขาจึงตอบกลับไปด้วยอารมณ์ฉิวว่า ลองมองหาตามสุมทุมพุ่มไม้ดูซี โพรงปล่องช่องตามพื้นต่างๆ ก็ลองก้มหาดู เผื่อจะเจอสักตัวสองตัว ก็แล้วเจ้าจะเอากระต่ายไปทำอะไร คำตอบสำหรับคำถามของภมรธราคือ ริมฝีปากยกยิ้มของสหเดชะ แววตาเต้นระริกเป็นประกาย ท่าทางประหลาดผิดหูผิดตาเช่นนั้นทำเขาส่ายหัวด้วยไม่เข้าใจ 

มาบัดนี้เขาก็ชักอยากจะรู้ว่าเหตุผลกลในมีอะไรบ้าง ตักน้องๆ ก็ไม่อุ่นแล้ว อกน้องๆ ก็ฟอนเฟ้นจนเบื่อแล้ว ลิ้มรสอ้อมกอดพวกนางจนตบะแทบหมดเกลี้ยงแล้ว อย่ากระนั้นเลย ขอโอกาสไปเยี่ยมเยือนสหายรักที่วิมานของฝ่ายนั้นบ้าง

ภมรธราผละจากอ้อมกอดของนารีผลมาภายนอก เขามองไปทั่วๆ วิมานของตนแล้วก็ให้ประหลาดใจยิ่งนัก โดยปรกติแล้วในแดนฟ้ามักอากาศเย็นสบายตลอดวาร ทว่ายามนี้กลับมีไอร้อนแปลกๆ ลอยวนไปทั่ว เขามองหาอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าไอร้อนเหล่านี้มาจากที่ใด

“มาจากวิมานเจ้าสหเดชะหรอกหรือ ชะรอยจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล”

ว่าแล้วก็วาดมือออกไป ปรากฏพระขรรค์เงินในมือ ภมรธรายกพระขรรค์นั้นขึ้นเหนือศีรษะ แล้วร่างอันกำยำก็พุ่งทะยานขึ้นไปสู่เกาะวิมานซึ่งอยู่เหนือกว่าตนไปทันที

***

“แปลก”

ภมรธราขมวดคิ้ว นึกประหลาดใจอยู่ครามครันว่าไอร้อนนั้นหายไปเสียแล้ว ขณะเขาผ่านม่านพระเวทของวิมานสหายเข้าไปภายใน ก็เห็นทุ่งหญ้าอันเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีกำลังเต้นรำกับสายลมอ่อนๆ ข้างป่าผลไม้ซึ่งเจ้าของวิมานหวงแหนนักนั้นเล่าก็มีเสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันออกมา

เหตุการณ์ก็ปรกติดีมิใช่หรือ

ภมรธราร่อนลงไปใกล้พื้นดินมากขึ้น แล้วลอยเลื่อนไปกับพื้นอันเต็มไปด้วยดอกไม้สวยงามสดชื่น ไม่นานก็มองเห็นร่างคุ้นตานอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง จึงเร่งเหาะเข้าไปหา

“เจ้าสหเดชะนอนทำอะไรอยู่ใต้ต้นไม้ล่ะนั่น เอ...นอนกอดใครอยู่รึ? เห็นจะเป็นมักกะลีผลผู้นั้นไม่ผิดแน่”

ภมรธรายิ้มกริ่ม เร่งเหาะเข้าไปหาสหาย เมื่อลุถึงจุดหมายจึงร่อนลงแตะพื้น เขาเห็นร่างสองร่างนอนชิดจนแทบจะก่ายร่างกันอยู่ เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น

งามแท้

ภมรธราสะดุดกึก จ้องใบหน้าที่ซุกอยู่กับไหล่กว้างของสหายตน ชีวิตการเป็นวิทยาธรอันยาวนานนี้ผ่านการกอดนารีผลมาก็มาก กล่าวได้ไม่กระดากปากเลยว่านารีผลนั้นงามหยาดฟ้าทุกนาง ทว่าคนผู้นี้...มักกะลีผลผู้นี้...งามจับตาจริงๆ

งามแปลกกว่าชาติมักกะลีผลอื่นๆ

มิน่าล่ะ ไม่แปลกสักนิดที่สหเดชะสหายเขาต้องวิ่งโร่มองหากระต่ายเอย ขอน้ำผึ้งเอย ก็เพื่อมาปรนเปรอ...คนงามผู้นี้เองหรือ
ภมรธราย่อกายลงนั่งยองๆ กับพื้น พิจารณาใบหน้าของมักกะลีผลร่างผอม โดยไม่สนใจจะมองสหายตนสักนิด อืม...


เจ้ามักกะลีผลเอย

งามพริ้ง งามพิศ ยิ่งหนา

ดวงหน้า เอวองค์ อ่อนหวาน

ผิวกาย ผมเจ้า เยาวมาลย์

นงคราญ เจ้างาม ไปทั้งกาย


ภมรธราถอนหายใจด้วยเสียดาย ดูหรือ...สหเดชะกอดน้องน้อยไว้เต็มอ้อมแขน

ยามได้มาเห็นโฉมเจ้ามักกะลีผลแล้ว เขาไม่แปลกใจจนนิดเดียวว่าเหตุใดสหายผู้นี้จึงรีบตัดขั้วจากต้นแม่แล้วพาหนีมา ก็เจ้างามเช่นนี้ยังไรเล่า

เฮ้อ...แต่น่าเสียดายที่เจ้ามีเนื้อหนังน้อยไปหน่อย ไม่เปรมใจเช่นน้องๆ หุ่นเต็มมือที่วิมานของเขา ก็นับว่าเจ้าสหเดชะโชคดีแล้วที่เขาจะไม่คิดแย่งชิงมา

อา...สหเดชะสหายเรา เจ้าช่างมีความสุขจนน่าอิจฉาเสียจริง

ภมรธราละตาจากร่างผอมบางของมักกะลีผลนั้น หันมามองใบหน้าหลับตาเป็นสุขของสหายตน แล้วก็พลันสังเกตเห็นบางอย่าง

วิทยาธรหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตัดสินใจยื่นมือออกไปสัมผัสกับแขนของสหาย เขาจับนิ่งอยู่ตรงผิวอุ่นๆ ของฝ่ายนั้น จับนิ่งนาน ดวงตาซึ่งหรี่ลงด้วยสงสัยกลับเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แล้วทันใดก็รีบละมือออกมา

ผ่อนลมหายใจเป็นเสียงประหลาด

เขามองไปรอบๆ วิมานแห่งนี้ มองทุ่งดอกไม้อีกครั้ง มองธารน้ำไหล มองป่าผลไม้และสวนขวัญ แล้วมองปราสาทอันเป็นที่พำนักของสหาย

“สหเดชะ เจ้าทำสิ่งใดลงไป?”

ภมรธราครุ่นคิดฉับไว ก่อนหย่อนก้นลงนั่งกับพื้น ยกขาขึ้นมาเตรียมท่าขัดสมาธิ เมื่อพร้อมแล้วจึงหลับตาลง ท่องบ่นพระเวทอันยืดยาวซับซ้อน

แสงสว่างส่องออกมาจากร่างของภมรธรา มันสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะดับหายไป เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น บนพื้นดินเบื้องหน้าของเขา บัดนี้มีพระขรรค์สีเงินสองด้ามวางอยู่

ภมรธราหอบหายใจเหน็ดเหนื่อย นึกหน่ายใจที่ตนเองเสียกำลังไปเพราะเสพรักจากนารีผลเหล่านั้นมากเกินไป กำลังตบะจึงถดถอย เรียกพระขรรค์ออกมาหนึ่งด้ามก็พอทน แต่ให้เรียกพระขรรค์ออกมาอีกด้ามเช่นนี้แทบทำให้หมดแรงทีเดียว

เขายื่นมือออกไปจับแขนของสหายสั่นแรงๆ “สหเดชะ ตื่นเถิดท่าน”

สหเดชะขยับกาย คล้ายกับตื่นจากฝันยาวนาน ใบหน้านั้นสลึมสะลือ ราวกับงงงวยยิ่งนักว่ามาอยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้เช่นไร ขณะที่ฝ่ายนั้นขยับ มักกะลีผลผู้งามพิศก็ขยับเช่นกัน

“ตื่นได้แล้วท่าน”

“ท่าน...ภมรธรา”

“เราเองละ” ภมรธรากลืนก้อนแข็งๆ ในคอลงไป เอ่ยลำบากยิ่ง “ท่าน...ไฉนจึงนอนอยู่ที่โคนไม้นี้เล่า”

“เรา...เราเพียง...” สหเดชะนิ่งไปนิด แล้วดวงตาเบิกโพลง ร้องลั่น “รวี รวีน้องพี่!”

ท่าทางร้อนรนนั้นทำภมรธราแทบพูดไม่ออก แต่เมื่อฝ่ายนั้นมองเห็นว่าคนที่ตนเรียกหากำลังใช้หลังมือขยี้ตาอยู่ ก็อ่อนลง ผวาไปกอดร่างผอมๆ นั้นอย่างแรง

“รวี เจ้า...เจ้าฟื้นแล้ว!”

“ท่าน...ท่านพี่”

ภมรธรามองสองคนกอดกันด้วยประกายตาแรงกล้า เห็นพี่ลูบคลำตามตัวน้องเจ้าตรงนั้นตรงนี้ราวกับเพื่อทำให้ตนแน่ใจว่าร่างนั้นอยู่ตรงนั้นจริงๆ หรือไม่

เขากระแอมไอ “เอ้อ...อย่าว่าเรารบกวนท่านเลยนะ สหเดชะ”

พอได้ยินเสียงเขา สหเดชะจึงได้หันมามอง “ท่านว่าอะไรนะ”

“เราไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่วิมานท่าน แต่...เราคิดว่าท่านควรออกไปจากที่นี่ก่อน”

“ออก...ออกไปจากที่นี่หรือ”

“ถูกต้อง” ภมรธราคว้าพระขรรค์เงินด้ามหนึ่งมาไว้ตรงหน้าสหาย “ต้องออกไปจากวิมานนี้...ตอนนี้เลยทีเดียว”

“เรา...”

“มากับเราเถิด”

ภมรธรายื่นพระขรรค์ให้แก่สหาย แล้วดึงแขนฝ่ายนั้นให้ลุกขึ้น สหเดชะลุกขึ้นได้แล้วจึงช่วยพยุงร่างผอมของมักกะลีผลให้ยืนได้มั่นคง

สหเดชะมองพระขรรค์ของภมรธราที่อยู่ในมือตน

สหายผู้ชื่นชอบดื่มน้ำเมาเอ่ยเสียงเร่งร้อน “ใช้ของเราไปก่อน เร็วเถิด”

ขณะภมรธราควงพระขรรค์เพื่อเหาะขึ้นไปในอากาศนั้น เขาก็ครุ่นคิดอย่างสับสนในใจ สหเดชะ นี่เจ้าทำอะไรเข้าอีกแล้ว!

ร่างของภมรธราลอยละล่องขึ้นจากพื้น เขาหันหลังไปมอง และเห็นสหเดชะตระกองกอดมักกะลีผลนั้นไว้แน่น ก่อนจะควงพระขรรค์ที่เขามอบให้ เขาจึงออกตัวพุ่งขึ้นจากพื้นดิน และเห็นจากหางตาว่าสหเดชะก็พุ่งตามมาติดๆ

พวกเขายังไปไม่พ้นขอบข่ายพระเวทด้วยซ้ำ เกาะวิมานของสหเดชะก็สะเทือนสะท้านเยือก ราวกับมีอะไรมาพุ่งชนอย่างแรง แล้วข่ายพระเวทคุ้มครองเกาะก็สลายวับหายไปทันที

***

หวังว่าเพื่อนๆ จะอ่านแล้วชอบตอนนี้นะคะ
มาลุ้นตอนใหม่กันวันอังคารนี้ค่ะ ^____^

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คุณพี่ทำอะไรไปคะ ฮื่ออออ  :katai1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เอ่าเกิดอะไรขึ้น
หรือเป็นผลกระทบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 8 [28-04-2562] หน้า 4
« ตอบ #99 เมื่อ: 29-04-2019 10:16:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ฮือออ เกิดอะไรขึ้น ต้องกลับไปเป็นมนุษย์ป่าว หรืออะไรยังไง แลกอะไร


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
อะไร ยังไง คุณพี่สละบุญบารมีเพื่อแลกกับอะไรบ้างอย่างใช่ไหม

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
สนุกดีค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หรือสหเดชะหมดพลังกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไม่ค้าง
ไม่ค้างงงงงงงง
ไม่ค้างงงงงงงงงงง แง๊!

ออฟไลน์ NaunaeZaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
OMG!  :sad4:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5




บทที่ 9



เมื่อแรก รวีพิรุณรู้สึกถึงความร้อนอันมากล้นแผ่ซ่านไหลเวียนไปทั่วร่างกาย แล้วความว่างเปล่าอันกะทันหันก็โผล่ขึ้นมากลางอก ราวกับว่าหัวใจและความรู้สึกทั้งปวงถูกมือยักษ์แทงเข้าไปในอกแล้วกระชากเอาดวงใจออกมา

ในอนุสติอันเลือนราง รวีพิรุณรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนของสหเดชะ สัมผัสถึงอ้อมกอดอันสั่นสะท้าน อกใจไหวหวั่น   

ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ

รวีกลัว ท่านพี่ ทำไมในอกของรวีจึงร้อนเช่นนี้ มีแรงบางอย่างกำลังพยายามฉุดดึงให้รวีตกลงไป...ลงไปในที่ว่างกว้างใหญ่นั่น
ที่ว่างมีเสียงร้องโหยหวน เหมือนมีใครกำลังส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน เป็นจำนวนมากยิ่งกว่าใบหญ้าในทุ่งดอกไม้ของท่านพี่ มากมายเสียยิ่งกว่าใบของต้นไม้ในสวนป่า

ท่านพี่ อย่าปล่อยให้รวีตกลงไปในปล่องนั้น รวีไม่อยากไปอยู่กับพวกเขา!

มักกะลีผลรู้สึกถึงหยาดน้ำไหลจากหน่วยตา ร่ำร้องอ้อนวอนเป็นเสียงอันสั่นเทา ขณะเสียงร้องโหยหวนราวกับภูตผีนับแสนล้านโกฏินั้นก็เริ่มดังขึ้น จนกึกก้องกลบทุกเสียงราวกับจะกลืนกินร่างน้อยๆ ของรวีพิรุณไป

เขารู้สึกราวกับว่าได้กลับไป ณ จุดที่ทุกอย่างเริ่มขึ้น ราวกับว่าจะกลับไปสู่ความมืดมิดก่อนตัวเขาจะตื่นขึ้นจากหลับใหล ณ โคนต้นมักกะลีผลฉะนั้น

รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าสัมผัสของสหเดชะค่อยเคลื่อนห่างหายไป

........
....

นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในความรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกแรงมหาศาลบางอย่างดูดลงไปยังปล่องอันว่างเปล่านั้น รวีพิรุณคล้ายจะเห็นแสงสว่างส่องวาบ ครั้นแล้วก็เจิดจ้าขึ้นมา ความร้อนใดๆ ที่ห่อหุ้มร่างของเขาและแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์อยู่นั้นก็พลันค่อยๆ ลดน้อยถอยลง กระทั่งหลงเหลือเพียงความเย็นสบาย คล้ายลมรำเพยอ่อนๆ ที่ทุ่งหญ้าของท่านพี่

ความเย็นสบายนั้นขยับเคลื่อนจากศีรษะลงไปปลายเท้า แล้วค่อนเคลื่อนกลับขึ้นมาที่ศีรษะอีกครั้งหนึ่ง

ริ้วแสงสีทองบางอย่างลอยเลื่อนเข้ามาใกล้ เกาะเกี่ยวเอาแขนขาของมักกะลีผลไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะฉุดดึงให้ลอยขึ้นสูงจากปล่องอันมหึมานั้น เสียงร่ำร้องโหยหวนน่าหวาดแสยงนั้นค่อยๆ เงียบลง เมื่อรวีพิรุณรู้สึกราวกับตนเองเคลื่อนผ่านม่านบางๆ คล้ายตอนโผล่ศีรษะขึ้นมาพ้นผิวน้ำนั่นแหละ...เสียงน่าหวาดกลัวนั้นก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

รวีพิรุณกำลังนั่งอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เขาเห็นแสงระยิบระยับสีทองเป็นประกายลอยเกลื่อนอากาศ มีเสียงเพลงราวกับบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีบางอย่างดังคลออยู่ไม่ขาด แล้วทันใดนั้นเอง เจ้ารวีก็มองเห็นป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มองเห็นผืนป่าลอยเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงเห็นที่ว่างกลางป่าแห่งนั้น สถานที่ซึ่งเขาถือกำเนิดขึ้น มองเห็นใบไม้บนกิ่งส่ายไหวในสายลม เห็นร่างขาวโพลนหลายๆ ร่างติดอยู่กับขั้วของต้นไม้ใหญ่

ต้นแม่มักกะลีผลนั่นเอง

สายลมแรงพัดวูบหนึ่ง ใบไม้หลายใบปลิดปลิวจากต้น ใบหนึ่งตกต้องกายของมักกะลีผลเจ้า อีกใบนั้นรวีพิรุณคว้าไว้ได้ ครั้นแล้วร่างผอมก็ลอยเข้าไปใกล้อีก มองเห็นใบหน้างามพริ้มหลับตาอยู่ ณ โคนต้น พวกนางเป็นนารีผลนั่นเอง

อยู่ๆ นารีผลซึ่งบ้างนั่ง บ้างยืนอยู่ ณ โค้นต้นแม่ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันแล้วหันมามองเขาเป็นจุดเดียว รวีพิรุณผงะไป ก่อนจะมองเห็นว่าพวกนางมิได้ทำสิ่งใดนอกจากมองเขาเงียบๆ แล้วเปิดรอยยิ้มอันเป็นมิตรให้เขา รวีพิรุณยื่นมือออกไปคล้ายกับจะสัมผัสร่างของหนึ่งในพวกนาง ทว่าคล้ายกับมีบางอย่างฉุดรั้งเขาไว้ เมื่อก้มลงมองจึงเห็นริ้วสีทองนั้นยังพันตามร่างเขาอยู่

รวีพิรุณขยับปากจะเอ่ยคำ ทว่าคล้ายมีใครจับลิ้นเขาไว้ ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ แล้วริ้วสีทองนั้นก็ค่อยๆ ฉุดดึงเขาให้ลอยเลื่อนออกห่างจากต้นมักกะลีผลนั้น ลอยตัวพุ่งผ่านม่านอากาศอันเย็นสบาย มองเห็นหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย มองเห็นท้องโพยมอาบด้วยสีกุหลาบ ครั้นแล้วเทือกผาใหญ่กว้างก็ปรากฏตรงหน้า

รวีพิรุณมองเห็นภาพตรงหน้าก็จำได้ขึ้นใจ

มิใช่ท่านพี่หรอกหรือ ที่พาเขาเหาะขึ้นกลางอากาศแล้วจึงทัศนาภาพนี้

พิทยานครมิใช่หรือ นครแห่งชาววิทยาธรน่ะเอง

เกาะวิมานแห่งหนึ่งลอยเลื่อนสูงยิ่ง บนเกาะนั้นเขาเห็นป่าไม้โปร่ง เห็นธารน้ำใส เห็นทุ่งหญ้าดอกไม้ เห็นปราสาทสวยงาม นี่เป็นวิมานท่านพี่มิใช่หรือ

รวีพิรุณมองเห็นร่างของตนนอนแน่นิ่งกับพื้น ใกล้ๆ กันนั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่งมีรัศมีสว่างเรืองรอง บุรุษนั้นหันมามองเขาครู่เดียว แต่เพียงเท่านั้นรวีก็เห็นถึงความเมตตาเปี่ยมล้นแผ่ออกมาจากดวงตาเป็นประกายจ้านั้น แล้วรวีพิรุณก็เห็นใครอีกคนอยู่ใกล้กัน

โอ...นั่นท่านพี่มิใช่หรือ

ท่านพี่นอนแน่นิ่งเคียงข้างกับรวี ท่านพี่เป็นอะไรไปแล้ว

รวีพิรุณขยับจะเข้าไปหา แต่แล้วกลับสัมผัสถึงม่านบางๆ ทว่าแข็งแกร่งยิ่งเหลือกั้นไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้ได้

เสียงอบอุ่นเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้น

“มักกะลีผลหนุ่มน้อยเอ๋ย อย่าเพิ่งร้อนใจ จงยืนดูอยู่ตรงนั้นเถิด”

บัดนี้รวีพิรุณไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งนั้น เหตุไฉนเขาจึงมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วเหตุใดจึงมีร่างของเขานอนอยู่ตรงนั้น นอนอยู่เคียงข้างท่านพี่ ท่านพี่กำลังหลับตาพริ้มเชียว รวีอยากไปหาท่านพี่

บุรุษผู้นั้นวางมือลงบนหน้าอกของท่านพี่ รวีพิรุณมองเห็นไม่ชัดนักว่าเขาทำอะไร แต่แล้วบุรุษผู้นั้นก็ยกฝ่ามือขึ้น แล้ววางลงบนหน้าอกของร่างรวีที่นอนเคียงกับท่านพี่

“อ๊ะ...”

รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าถูกแรงมหาศาลผลักให้ถลาไปด้านหน้า ผ่านม่านแข็งแกร่งนั้นเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

พลันบัดนั้น...เจ้ามักกะลีผลก็รู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่าง กลิ่นบางอย่าง สัมผัสบางอย่าง

อะไรบางอย่างซึ่งเป็นอื่นไปไม่ได้...นอกจากท่านพี่

ความอุ่นของกอดท่านพี่ กลิ่นของท่านพี่ มันมีความสดชื่น ปลอดโปร่งดั่งเช่นวิมานของท่านพี่นี่ไง รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าตนกำลังฝังใบหน้าลงไปบนแผ่นอกของท่านพี่ เกลือกใบหน้าอยู่ในความกำยำนั้น สูดดมกลิ่นอันอบอุ่นของท่านพี่ สัมผัสถึงความแข็งแกร่ง และใจดีนั้น

***

ลมเย็นปะทะใบหน้า รวีพิรุณมองเสี้ยวหน้าคมสันของสหเดชะ อดรู้สึกมิได้ว่าคนผู้นี้ดูแปลกไปกว่าเก่า แต่ไม่รู้ว่าแปลกอย่างใด อย่างไรก็ตาม...รวียิ้มกว้างเต็มใบหน้า โผเข้าไปโอบรอบคอของท่านพี่ด้วยความดีใจ

ขอเพียงได้อยู่กับท่านพี่ ขอเพียงไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนน่าแสยงเกล้าเช่นนั้นก็พอแล้ว

เขาจำได้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ก็ดีใจยิ่งแล้วที่ได้เห็นสหเดชะ ความรู้สึกว่างโหวงในอกหายไปหมดแล้ว และยิ่งเต็มตื้นมากขึ้นเมื่อสหเดชะพุ่งเข้ามากอดไว้แน่น ถ่ายทอดความรู้สึกให้รับรู้ผ่านอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น

มาบัดนี้พวกเขาพุ่งตัวออกมาจากวิมานลอยฟ้าของสหเดชะ รวีพิรุณหันกลับไปมอง จึงเห็นความน่าตกใจบางอย่าง

เกาะวิมานของสหเดชะยามนี้สั่นสะเทือน เศษหินเศษดินเริ่มแตกกะเทาะออกจากตัวเกาะ มีรอยปริแยกปรากฏขึ้นมากมาย ราวกับถูกบางสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าเกาะนั้นพุ่งชน มันสั่นสะเทือนอยู่นาน กระทั่งขอบเกาะด้านหนึ่งเริ่มเอียงกะเท่เร่เค้เก้อยู่อย่างนั้น แล้วเกาะอันใหญ่โตก็ค่อยๆ ลอยต่ำลงไป

“ท่านพี่...บ้านท่านพี่” รวีพิรุณร้องออกมาเสียงดัง

สหเดชะมิได้เอ่ยคำ เพียงแต่กอดกระชับน้องไว้แน่น กัดกรามเป็นสัน จ้องมองเกาะวิมานของตนค่อยลอยต่ำลงไปสู่พื้นดินเรื่อยๆ ดวงตาของเขาแข็งกร้าวแดงก่ำ

“บ้านของเรา...” สหเดชะเอ่ยเสียงเครือ

“ทำไม บ้านถึง...” รวีเสียงแผ่ว

“สหเดชะ” ภมรธราเอ่ยแทรกขึ้นมา “ไปวิมานเราก่อนเถิด”

“ไม่”

วิทยาธรหนุ่มเอ่ยปฏิเสธ อีกฝ่ายถอนฉิวยิ่งแล้ว “เหตุใดท่านจึงดื้อด้าน หุนหันพลันแล่น ไม่คิดก่อนทำ เชื่อคำเราสักครั้งเถิด ไปที่วิมานเราก่อน จะทำอะไรค่อยคิดอ่านกันต่อไป”

“ไม่ได้ ภมรธรา เราจะไม่ไปวิมานท่าน เราจะไม่กวนท่านมากกว่านี้”

สหเดชะเพ่งมองเกาะอันเคยใช้เป็นที่พักพิง บัดนี้ค่อยๆ ปริแยกออกจากกัน ปราสาทของเขาก็ดี ทุ่งดอกไม้ก็ดี ป่าผลไม้อันหวงแหนก็ดี บัดนี้ป่นปี้กลายเป็นภัสมธุลีหมดเสียแล้ว

เกาะวิมานของวิทยาธรนี้เป็นของทิพย์ หากจะสลายลงไปก็ต้องคืนสู่ความว่างเปล่านั่นเอง ดังนั้นเมื่อเศษหินเศษดิน ต้นไม้ใบหน้าอันหาดินสำหรับเกาะรากไว้ไม่ได้เสียแล้วนั้น จึงร่วงหล่นลงไปสู่พื้นดิน ทว่าก่อนจะแตะพื้นดิน...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเกาะแห่งวิทยาธรสหเดชะก็กลายสภาพเป็นเพียงเถ้าธุลี ลอยหายไปกับสายลม

“กระต่าย...กระต่าย!”

รวีพิรุณร้องออกมา พร้อมกับชี้นิ้วใหญ่

เห็นร่างเล็กๆ หลายตัวกำลังพุ่งลงไปด้านล่าง พวกมันกระเสือกกระสนเต็มที สหเดชะสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพุ่งร่างออกไป
“รวี พี่จะเหาะเข้าไปนะ เจ้ารับพวกมันที”

“ดะ...ได้”

น้องพยักหน้า พี่จึงพุ่งเข้าไปหาร่างที่พยายามขยับกายต่อต้านแรงดึงลงสู่พื้นโลกนั้น สหเดชะพุ่งร่างพาน้องหลบหลีกก้อนหินใหญ่น้อยทั้งหลาย เข้าไปหาเจ้ากระต่ายที่อุตส่าห์ไปขอมาจากวิมานของภมรธรา

รวีพิรุณเอื้อมมือออกไปเมื่อเข้าไปใกล้ และด้วยความอัศจรรย์ เขาก็สามารถโอบรับเอาพวกมันเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้ เจ้าสัตว์ตื่นภัยตัวสั่นงันงก เมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดนี้ก็ราวกับจะตะลึงไป

สหเดชะพุ่งลงสู่พื้นโลก พอเท้าแตะพื้นเจ้ารวีก็รีบปล่อยให้กระต่ายที่ช่วยไว้นั้นลงไปอยู่กับพื้น พวกมันตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอหลุดพ้นเจ้าคนร่างผอมมาได้ก็พากันกระโดดแผล็วหายไปในพุ่มรกพงชัฏด้วยความรวดเร็ว

“อ๊ะ...เดี๋ยว เจ้ากระต่ายน้อย จะไปไหน”

ผวาร่างจะตามไป ทว่าสหเดชะก็คว้าแขนไว้ได้ก่อน รวีหันมามองราวกับจะวิงวอนท่านพี่ แต่แล้วก็เห็นแววตาเศร้าหมองในดวงตาท่านพี่ รวีพิรุณจึงเงียบเสียงลง ขยับเข้าไปหาโดยดุษณี

สองร่างยืนอยู่ ณ ที่สูงแห่งหนึ่ง มองดูเกาะวิมานอันใหญ่โตแตกสลายกลายเป็นเพียงหินก้อนเล็กน้อย ไม่เหลือภาพความใหญ่โตเช่นเคยเป็นอีกแล้ว

บัดนี้วิมานที่เคยลอยฟ้า ก็กลับลอยลงสู่ดิน

กลับไปเป็นหนึ่งกับทุกสรรพสิ่งเช่นเดิม

รวีพิรุณมองเสี้ยวหน้าและสันกรามอันแข็งแกร่งของสหเดชะ คล้ายกับเข้าใจถึงความรู้สึกบางอย่าง จึงก้มลงมองมือของวิทยาธรซึ่งกำไว้แน่นเป็นกำปั้น บัดนี้กำลังสั่นระริก

รวีพิรุณเงยขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจบางอย่าง แม้ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็คงไม่ผิดแน่ที่อีกฝ่ายกำลังเศร้าอย่างเหลือแสน รวีเจ้าจึงกอบกำมือของพี่ไว้ในมือตนทั้งสองข้าง เอามือเล็กๆ ขาวนวลนั้นวางทาบกับกำปั้นพี่ ก่อนจะค่อยๆ คลายมันออก แล้วสอดมือข้างหนึ่งของตนเข้าไปสอดประสานนิ้วทั้งห้ากับท่านพี่ จากนั้นจึงวางทาบมืออีกข้างไว้อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับบีบเบาๆ

สหเดชะก้มลงมองคนตัวเล็กที่มอบรอยยิ้มบางๆ ตอบกลับมา

รวีขยับเข้าไปใกล้ ขณะมือกุมมือพี่ไว้ และเอียงตัวเข้าไปหา พิงร่างไว้กับร่างกำยำนั้น ก่อนจะมองซากสุดท้ายของวิมานแห่งวิทยาธรนามว่าสหเดชะสลายกลายเป็นละอองธุลีสู่พื้นดิน

***

“สหเดชะ ท่านจะไปไหน”

ภมรธราลอยตัวตามไป เมื่อเห็นสหเดชะจูงมือมักกะลีผลคนนั้นเดินเข้าไปในระหว่างต้นไม้ใหญ่

“ตอนนี้เรามิใช่พวกพ้องพงศ์เดียวกับท่านแล้ว เราอยู่พิทยานครอีกต่อไปไม่ได้”

ภมรธราถอนหายใจ “ไฉนไม่ปรึกษาเราก่อน ท่านไม่คิด...”

“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วคงกลับไปแก้ไขไม่ได้”

“ท่านช่างหัวแข็งนัก สหเดชะ” ภมรธราลอยไปขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ “แล้วจากนี้จะคิดอ่านทำการใด”

“เราจะออกไปจากที่นี่ก่อน”

“แล้วจากนั้นเล่า...”

“...”

สหเดชะเงียบคำ ชำเลืองมองมักกะลีผลแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ภมรธรา ท่านเป็นสหายเรานับแต่เราลืมตาตื่นในพิทยานคร มาบัดนี้...วิมานเราสูญสิ้น ท่านยังอาทรเรามิต่างอันใดกับพี่น้อง หากวันใดมีโอกาสตอบแทน เราจะยินดีนัก ท่านดีต่อเรายิ่งแล้ว”

“โธ่...สหเดชะ”

ภมรธราครวญคำออกมาด้วยระท้อในใจ สิ้นคำทัดทาน

“ท่านไปที่วิมานเราก่อนมิดีกว่าหรือ”

“เราอิ่มใจที่ท่านช่วยเหลือ แต่เราไม่อยากให้ท่านเดือดร้อนไปกับเราด้วย จำต้องขอลาแล้ว”

“หมู่เทือกวินธัยใหญ่กว้าง อันตรายจากสัตว์ป่าดุร้ายมีมากเหลือ เกลือกว่าท่านเดินทางท่อมๆ กลางป่าเช่นนี้ ไปปะกับสัตว์วิเศษดุร้ายเข้า มิเป็นอันตรายหรือ”

“เรามีพระขรรค์...ของท่าน...จักเป็นอาวุธคอยคุ้มครองกาย”

ภมรธราไม่อยากเห็นสหายผู้น้องต้องจากไปเช่นนี้ คิดหาถ้อยคำห้ามปราม ทว่าเมื่อมองใบหน้าเจ้าสหเดชะก็เห็นเพียงแววตาแน่วแน่ไม่ระย่อต่อภยันตรายใด จึงจนแก่คำพูด ต้องเงียบเสียงไว้ นอกจากสัตว์วิเศษดุร้ายนานาแล้ว ในป่านี้ยังมีสิ่งอื่นที่น่ากลัวกว่าสัตว์อีก ซ้ำยังวิมานที่ลอยเลื่อนสู่ดิน และผิวตรงแขนของสหเดชะที่ภมรธราได้ลองสัมผัสดู บอกให้ภมรธรารู้แน่ว่าหากเจอกับ...สิ่งอื่น...ที่มีฤทธิ์เข้าละก็ ไม่ตัวตายก็เต็มกลืน

“เช่นนั้นให้เราไปกับท่านและหนุ่มน้อยผู้นี้เถิด”

“เราขอรับความหวังดีของท่านไว้ ภมรธรา แต่เราไม่อยากให้ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่านี้ ท่านมิเห็นหรือ...” สหเดชะกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ “วิมานเราเป็นเช่นไร เรากับท่านอยู่กันคนละโลกแล้ว อย่าเอาตัวท่านมาเกี่ยวกับปัญหาของเราเลย”

ภมรธรามองนิ่งอยู่ มองสหเดชะทีหนึ่ง มองหนุ่มน้อยมักกะลีผลนั้นทีหนึ่ง ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยคำ “ขอพระวิษณุช่วยอำนวยชัยให้ท่าน”

แล้วภมรธราก็หลีกทางให้ สหเดชะจูงมือรวีพิรุณให้เดินเคียงกันเข้าไปในหมู่ไม้ใหญ่สูง เฝ้ามองอยู่เช่นนั้นจนเห็นแผ่นหลังของสองคนหายลับไปกับหมู่ไม้ ภมรธราจึงหันหลังเหาะกลับวิมานตน ได้แต่เฝ้าสวดอ้อนวอนองค์พระนารายณ์ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองมิให้สองคนนั้นมีภัยตกต้องถึงตัว

***

สองพี่กับน้องเดินทางตามด่าน แม้หัวใจจะหนักอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งประสบ ทว่าก็ยังดียิ่งแล้วมิใช่หรือ ที่น้องไม่เป็นอะไร สหเดชะค่อยฟื้นคืนความสุขในอก แม้ต้องแลกด้วยสิ่งใด ก็ขอให้ได้มีน้องเคียงใกล้

เขาเห็นน้องเงียบไปก็กังวล เกรงว่าตนจะเป็นต้นเหตุให้เจ้าต้องหม่นหมอง น้องเพิ่งผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสมาเขาจะต้องคอยคุ้มครองให้น้องไม่เป็นอะไร

ทางด่านกลางป่านี้เกิดจากสัตว์ป่ามากมีเดินท่องมาเพื่อหาดินโป่งซึ่งเป็นแหล่งเกลือ จึงพออาศัยเส้นทางนี้ลัดเลาะผ่านไปท่ามกลางไม้ใหญ่ไพรสูงขึ้นแน่นขนัดได้

สหเดชะเดินพลางชี้ชวนให้น้องเจ้าได้ชมดอกไม้ป่านานาพรรณ ซึ่งขึ้นอยู่ในพงหญ้าบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง หรือเป็นดอกของไม้ใหญ่ต่างๆ ชูช่อออกมาล่อภู่ผึ้งให้ลิ้มรสน้ำหวาน ปะเหมาะเข้ากับต้นไม้ใดออกลูกสล้างดูหวานฉ่ำ ก็กระโดดคว้าเอามาป้อนให้ถึงปากน้อง เจอะเข้ากับห้วยละหานธารน้ำก็ปลิดใบไม้มาทำเป็นจอกตักน้ำเย็นใสขึ้นมาให้น้องได้ดื่มชุ่มคอ เหลือเท่าใดตนจึงได้กิน น้องอิ่มท้องแล้วตนจึงกินบ้าง

รวีพิรุณตื่นใจกับป่าใหญ่นี้ ทว่าบางครั้งก็ก้มหน้างุด คล้ายจะซ่อนสีหน้าอึดอัดกังวลจากพี่ แต่แล้วก็ทำเสียงดีใจยามเห็นสัตว์ป่าตัวน้อยบ้าง ตัวใหญ่บ้าง ยามหนึ่งขณะพวกเขากำลังเดินไปอย่างเงียบเสียง เพราะไม่ได้คุยอะไรกัน สหเดชะก็เหลือบไปเห็นสัตว์บางอย่างกำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งนัก จึงสะกิดรวีให้หยุดเดิน เมื่อฝ่ายนั้นหันมามองอย่างสงสัยเขาก็เอานิ้วแตะริมฝีปาก เป็นเชิงบอกให้ไม่กระโตกกระตาก แล้วพยักพเยิดให้น้องมองไปทางเจ้าสัตว์ตัวนั้น

น้องมองตาม แล้วดวงตาสงสัยก็เบิกกว้างขึ้น

เจ้าสัตว์ตัวนั้นเป็นกวางหนุ่มตัวหนึ่ง กำลังก้มลงเคี้ยวหญ้าเขียวที่พื้น แล้วสักหน่อยก็ยืดคอขึ้นไปกินใบไม้อ่อนที่ต่ำพอลิ้นจะกวัดเข้าปากได้ บนหัวของมันมีเขาเป็นกิ่งก้านสาขามากมาย มองดูเช่นนี้งดงามยิ่งนัก

รวีพิรุณสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วร้องออกมา “กะ...กวางน้อย!”

น้อยเสียเมื่อไรล่ะ สหเดชะส่ายหัว

กวางตัวนี้ไม่ได้น้อยเลยสักนิด ยืนเต็มเหยียดแล้วสูงเท่าสหเดชะด้วยซ้ำ

เขาเห็นน้องร้องออกมาก็จะเอ่ยห้ามไม่ให้ส่งเสียงอีก ทว่าช้าเกินการณ์เสียแล้ว ด้วยยินเสียงร้องแปลกประหลาด เจ้ากวางไพรจึงโกยอ้าว เปิดแนบหายไปตรงทางด่านสายหนึ่ง

“อ้าว” น้องทำเสียงเสียดมเสียดาย “ไปซะแล้ว”

“พี่บอกไม่ให้รวีทำเสียงดังไม่ใช่หรือ กลัวมันจะตื่น”

“ท่านพี่ไม่ได้บอกเสียหน่อย” น้องเถียง

“พี่บอกซี พี่เอานิ้วแตะปากอย่างนี้ๆ” สหเดชะทำท่าทางให้ดู

รวีพิรุณทำปากยื่น “ก็น้องดีใจนี่ กวางน้อยตัวนั้นมีกิ่งไม้อยู่บนหัวด้วย กิ่งไม้เยอะแยะไปหมดเลย”

สหเดชะส่ายหัวอย่างระอา ยังจะกวางน้อยอีกหรือ? เขาเอ่ยออกมาอย่างจนใจปนเอ็นดู “เอาเถอะ ป่าใหญ่ไพรกว้างเช่นนี้ ขี้คร้านเจ้าจะได้เห็นจนเบื่อ”

แล้วสองน้องพี่จึงออกเดินอีกครั้ง ทว่าพอเดินได้สักระยะหนึ่ง สหเดชะก็สังเกตว่ารวีพิรุณเริ่มเดินกะเผลก จึงจับไหล่น้องให้หยุด เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ จับพิจารณาเท้าของน้องเจ้า แล้วจึงเห็นว่ามีแผลจากหญ้าคมบาด และหนามไหน่ปักแทงจนเลือดซิบ

“เจ็บเท้าหรือไม่”

“รวีเจ็บ”

“แล้วไยจึงไม่บอกพี่เล่า ฝืนเดินทำไม”

“รวีเดินได้”

“อย่าดื้อสิ มา...พี่จะให้เจ้าขี่หลัง”

“ท่านพี่จะหนักนะ รวีตัวนั้กหนัก”

“เจ้าน่ะหรือตัวหนัก เบาอย่างนี้พี่อุ้มได้ทั้งวันทั้งคืน”

เขามองหน้าน้องพลางเอ่ยประโยคนั้น รวีอ้าปากหวอน้อยๆ มองใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของพี่ แล้วก็พลันเกิดสีแดงเรื่อตรงแก้มขาว ปากเล็กๆ เป็นกระจับก็ยื่นออกมา หันหน้าหนีไม่มองหน้าพี่ราวกับแหนงหน่ายกันเสียแล้ว

“พี่พูดอะไรไม่ถูกใจหรือ”

“ท่านพี่...ท่านพี่...” รวีอึกอัก

“ท่านพี่อะไร” สหเดชะดวงตาเป็นประกาย

“ท่านพี่...บ้า!” น้องแหวออกมา

“อ้าว ทำไมล่ะ”

เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ขณะนั่งหันหลังยองๆ ให้น้องขึ้นมาขี่หลังก็ยังหัวเราะหึๆ กับตัวเองเบาๆ รวีพิรุณนึกหมั่นไส้นัก จึงฟาดเข้าที่ไหล่กำยำทีหนึ่ง

“ตีพี่ทำไม รวีเป็นคนใจร้ายแล้วหรือ”

“ไม่ร้าย ท่านพี่นั่นแหละร้าย”

สองพี่กับน้องเดินทางกลางเถื่อนไปไกล หนทางไกลเพียงใดไม่ย่อระยั่น ไม่น่ากลัวสำหรับสหเดชะสักนิด เขายอมบากบั่นฟันฝ่าความยากลำบากเพื่อท้ายที่สุดแล้วจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับรวีพิรุณเพียงสองคน

เขาไม่ห่วงแล้วละเรื่องอายุขัยของรวีพิรุณ ก็มิใช่ว่าคำสวดอ้อนวอนของเขาเป็นจริงแล้วล่ะหรือ พระนาสัตยะได้ทำให้สิ่งที่เขาขอเป็นจริงแล้ว เขารู้ในอก เขาสะทกสะท้อนในใจ สิ่งที่เสียไปก็คุ้มแล้วกับสิ่งที่ได้มา เขาจับขาน้องให้กระชับเข้ากับสะบักเอวของตนให้แน่นขึ้น เร่งเดินไปตามทางด่าน หรือลัดเลาะไปตามหมู่ไม้ใหญ่สูง

ทั้งพี่และน้องไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลว่าทำไมสหเดชะจึงเลือกจะใช้วิธีเดินท่องป่าแทนที่จะร่ายพระเวทใช้พระขรรค์เหาะไป ซึ่งจะต้องเร็วกว่ามาก ยามนี้พระขรรค์เงินด้ามนั้นซึ่งภมรธรามอบให้ก็ยังเหน็บอยู่ข้างเอวของสหเดชะ แต่เจ้าตัวดูจะไม่อยากใช้มันเสียเลย

รวีพิรุณสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดท่านพี่จึงไม่เหาะไป แต่มีอะไรบางอย่างในใจที่กล่าวเตือนว่าอย่าเอ่ยถามเลย เงียบไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นการดี รวีพิรุณซึ่งในยามปรกติจะโพล่งถามเรื่องที่สนใจหรืออยากรู้ทันที แต่ครานี้กลับเลี่ยงจะเอ่ยถึง

ช่วงหนึ่งรวีพิรุณกอดกระชับวงแขนรอบลำคอพี่แน่นเข้า วางแก้มลงแนบกับลำคอแข็งแกร่งของพี่ ลมหายใจร้อนๆ พ่นใส่ผิวของพี่

สหเดชะตั้งหน้าตั้งตาเดิน ทว่าในใจนั้นตื้นตันยิ่งนัก

ลมหายใจของน้องนี่ปะไร บอกว่ามันยิ่งใหญ่เพียงไหนที่ตอนนี้พวกเขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็เถอะ

***

ไกลเข้าไปในป่าใหญ่แห่งเทือกวินธัย พระสูรยาทิตย์ได้ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว สหเดชะและรวีพิรุณก็ลุถึงพื้นที่โล่งกลางหมู่ไม้แห่งหนึ่ง มันไม่ไกลจากลำธารสายหนึ่งนัก สหเดชะพบว่าตนไม่อาจเดินต่อได้อีกแล้ว จึงหาฟืนมาก่อไฟ และร่ายพระเวทบางบทที่ยังใช้ได้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเข้ามาย่ำกราย

หาผลหมากรากไม้เพื่อกินอิ่มหนำดับหิวแล้ว ก็ชวนมานั่ง เขาแบะขาออกเล็กน้อย แสดงท่าทางให้น้องมานั่งที่ตักของเขา เสร็จแล้วจึงใช้แขนโอบรอบเอวน้องไว้ กอดกระชับให้อุ่นอยู่ข้างกองไฟ กระซิบหยอกเย้าเล่นหัว

ค่ำคืนในป่าเย็นเยียบ น้ำค้างตกลงต้องใบไม้ ความเย็นยิ่งเย็นหนักเข้า กระนั้นน้องพี่ก็อุ่นอยู่ข้างกองไฟ

สหเดชะหล่นหลับเมื่อใดไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ค่อนคืนเสียแล้ว ด้วยได้ยินเสียงหนึ่งในโสต

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

เสียงนี้ปลุกให้เขาตื่นจากหลับ เสียงนกน่ารำคาญนี้ไม่เท่าใดดอก เพียงแต่บางอย่างทำให้เขาไม่อาจนอนต่อไปได้ สัญชาตญาณร้องขึ้นให้เขาต้องระวังตน

มีกลิ่นสาบสางรุนแรงฉุนจมูก ราวกับมันจะโอบคลุมกลุ้มรุมอยู่โดยรอบ ขณะนี้เขากอดน้องนอนหันหน้าเข้าหากองไฟ สหเดชะรู้สึกว่ากลิ่นนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน ขนอ่อนหลังคอลุกตั้ง จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปคว้าพระขรรค์กระชับมั่นไว้ในมือ แล้วผละจากตัวน้อง พลิกตัวไปอีกด้านซึ่งมืดดำไร้แสงไฟ

ใบหน้าหนึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงช่วงสุดแขนยื่น กำลังจ้องมองพวกเขา

สหเดชะแทบผงะ ทว่ามิได้แสดงอาการใดให้รู้ว่าตื่นตระหนก เขาจ้องมองใบหน้านั้นเขม็ง สู้สายตาไม่หลบหลีก

ใบหน้านั้นใหญ่โตโอฬารเหลือเกิน ใหญ่ราวกับหนองน้ำแห่งหนึ่ง มันมีดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากแดงราวกับเปียกไปด้วยเลือด เขี้ยวขาวโง้งราวกับเขี้ยวหมูป่างอกออกมาจากมุมปากทั้งสองด้าน สหเดชะเห็นร่างกายใหญ่โตด้านหลัง มันกำลังหมอบอยู่กับพื้น ร่างกายเอนไปกับแนวราบของพื้นดิน มือใหญ่มหึมาสองข้างยันพื้นไว้มั่น ใบหน้าต่ำเรี่ยดิน จ้องมองมาที่พวกเขาเขม็งอยู่ กลิ่นสาบสางยิ่งรุนแรงขึ้นอักโข

มันอ้าปากกว้างขึ้น ราวกับว่าปากของมันเป็นปากถ้ำ ภายในดำมืด คล้ายกับจะสามารถกลืนกินสัตว์ใดๆ เข้าไปได้ในคำเดียว เสียงร้องตกใจดังขึ้นจากทางด้านหลัง

รวีตื่นแล้ว!

น้องขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา ร่างสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ร่างกายของน้องเจ้าขาวโพลนในความมืด ใบหน้ามหึมานั้นนิ่งอยู่ ทว่าดวงตาหลุกหลิกกลับกลอกกลิ้งลงมาจับจ้องอยู่ที่ร่างตื่นตระหนกของรวีพิรุณ เสียงประหลาดคล้ายกับก้อนหินหลายร้อยลูกกลิ้งลงจากเขาสูงดังขึ้นมาจากภายในปากของสิ่งมีชีวิตใหญ่โตนี้

“เหะ เหะ เหะ” มันหัวเราะชอบใจ “เนื้อ...เนื้อหวานฉ่ำน่าอร่อย”

เพียงคืนแรกที่เข้าป่ามา ก็เจอะเข้ากับยักษ์โขมดแล้วหรือ!

****

ติดตามตอนต่อไปในวันจันทร์หน้านะคะ
แป้งจี่ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้นะคะ เลิฟเลย

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ยอมสละทิพย์วิมานกับบุญที่สั่งสมมาเพื่อน้อ :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จะร้องไห้เลย สงสารทั้งคนพี่คนน้อง แงงง ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยกันนะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เขาคงมีบุญมีกรรมร่วมกันมา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ๏ มณีพิทยาธร ๏ บทที่ 9 [01-05-2562] หน้า 4
« ตอบ #109 เมื่อ: 01-05-2019 23:34:02 »





ออฟไลน์ mijimaria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ความรักของคนพี่ที่มีต่อน้องช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ยอมสละทุกอย่างเพียงเพื่อ ให้มักกะลีผลน้อยๆอย่างน้องรวีมีชีวิตอยู่ต่อ เอาใจช่วยนะคะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ขอให้ทั้งคู่สนุกกับการผจญภัยและรอดพ้นอันตราย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มีความ เพชรพระอุมา สนุกดีจ้า

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
 o22

ยักษ์ ท่านพี่ตอนนี้ไม่รู้จะสู้ไหวหรือเปล่า

ปกป้องน้องรวีด้วยนะ

ออฟไลน์ Justccwpo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ึสนุกมากก

ออฟไลน์ ข้าวสวย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 o18 o18 o18 o18

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5




บทที่ 10



เสียงหัวเราะ เหะ เหะ ของยักษ์โขมดดังเสียดเข้ามาในโสต ไกลออกไปยินเสียงฝูงนกแตกฮือออกจากรังนอน

รวีพิรุณมือเย็นเฉียบด้วยน้ำค้างกลางดึก มือเล็กๆ นั้นสั่นเทา กอดกระชับกับแขนของสหเดชะราวกับจะคว้าไว้เป็นที่พึ่ง

สหเดชะมิได้หันกลับไปมอง ทว่าใช้มือข้างที่ว่างจากการกุมพระขรรค์ประสานมือกับรวีพิรุณ บีบเบาๆ ให้รู้ว่าอย่ากลัวไปเลยน้องรัก อยู่กับพี่ พี่จะคุ้มครองเจ้าเอง

รวีน้องเจ้ากำเนิดมาในแดนฟ้าป่าหิมพานต์ก็เป็นเขตอันเคยเป็นที่พระโพธิสัตว์ทรงเคยมาบำเพ็ญเพียร ไฉนจะเคยเจอกับสิ่งมีชีวิตที่เสพเลือดเนื้อเป็นมังสาหารเช่นนี้เล่า ไม่แปลกเลยที่น้องเจ้าจะกลัวจนตัวสั่น สหเดชะให้อกใจอ่อนยวบ ด้วยสงสารน้องต้องมาเจอกับเจ้ายักษ์ป่าจอมตะกละเช่นนี้

ยักษ์โขมดเป็นรากษสพวกหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าเพียงเดียวดาย คอยจับคนหรือสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร หากมีสิ่งมีชีวิตใดหลงมาย่อมตกเป็นเหยื่อโดยไม่อาจหลบหนี ด้วยยักษ์โขมดมีอำนาจมนตราของผีป่า และมีพละกำลังของยักษ์ การจะรับมือกับพวกมันได้จำต้องเป็นผู้มีพระเวทพอประมาณ

สหเดชะจ้องใบหน้าใหญ่โตของยักษ์โขมดโดยไม่กะพริบตา ยามนี้เจ้ายักษ์จ้องใบหน้าหวาดกลัวของรวีพิรุณเขม็งอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสหเดชะแม้แต่น้อย แต่เขารู้ว่าในอึดใจนี้แหละมันจะต้องลงมือ

แล้วทันใดนั้นเอง หน่วยตาใหญ่โตราวกับไข่สัตว์เลื้อยคลานบางอย่างก็พลิกกลอกกลับมาจับอยู่ที่ใบหน้าของสหเดชะด้วยความรวดเร็ว ชั่วอึดใจนั้น สหเดชะก็ปล่อยมือน้องเจ้า แล้วกอดเข้าที่เอวน้อง กอดกระชับให้แน่น แล้วกระโดดขึ้นสูงจากพื้น ทันเวลาพอดีกับที่วัตถุบางอย่างพุ่งเข้ามาหา

เจ้ายักษ์โขมดฟาดฝ่ามือเข้าใส่สองร่างตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว เสียงดังสนั่นครื้นครั่นเมื่อมือของมันฟาดเข้ากับพื้นดิน ฝุ่นหินเศษดินปลิวกระจายฟุ้ง มันมองพื้นดินว่างเปล่าตรงนั้นอย่างฉงนก่อนจะหันหลังกลับไปมอง จึงเห็นร่างสองร่างลอยอยู่กลางอากาศ มันคำรามลั่น

“เนื้อ...มาให้ข้ากินเสียดีๆ”

สหเดชะเม้มปากเป็นเส้นตรง แม้ฝืนไม่ใช้พระขรรค์ของภมรธราเท่าใด ทว่ายามนี้ศักดิ์ศรีไม่อาจป้องกันตัว ยิ่งมีคนต้องปกป้องด้วยแล้ว เขาก็จำต้องใช้อาวุธวิเศษที่มี

เขาร้องบอกรวีพิรุณด้วยน้ำเสียงซึ่งพยายามทำให้มั่นคง

“เกาะหลังพี่ไว้ รวี...เกาะให้แน่น”

น้องราวกับจะเข้าใจสถานการณ์ จึงรีบเอื้อมมือมาวางบนไหล่แข็งแรงของสหเดชะ แล้วโถมตัวเข้ามาแนบกายกับแผ่นหลังพี่

“ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามปล่อยเด็ดขาด”

สหเดชะคิดใคร่ครวญ แม้ว่าในลักษณะนี้อาจขลุกขลักในการรับมือบ้าง ทว่าเขารู้ว่าในชั่วอึดใจที่ปล่อยให้รวีห่างจากกายเขา เจ้ายักษ์โขมดรากษสตนนี้จะต้องพุ่งเข้าไปหารวีแน่ๆ

เขาท่องบ่นมนตราที่ยังตรึงอยู่ในความจำ พระขรรค์พลันเรืองแสงขึ้นมา เป็นสีแดงเจิดจ้าราวกับติดไฟลุก

ยักษ์โขมดหมุนร่างราวกับแล่นลม มันวาดมือออกมาเป็นวงกว้าง กวาดเอาต้นไม้ต้นไร่ในบริเวณนั้นกระจุยกระจายไปหมด เสียงการเคลื่อนไหวตัวของมันราวกับพายุใหญ่พัดผ่านป่า ในเมื่อมันเสียงดังขนาดนี้ สหเดชะประหลาดใจเหลือเกินว่าเหตุใดตนจึงไม่ทันสังเกต เอาแต่หลับเฉย กระทั่งมันเข้ามาใกล้แล้ว

ฝ่ามือใหญ่ราวกับโขดหินยักษ์ฟาดเข้าหาร่างสองร่างลอยอากาศ สหเดชะเบี่ยงตัวหลบเร็วพลัน แล้วฟาดพระขรรค์โชติแสงเพลิงออกไป

ฉัวะ

คมพระขรรค์ฟาดเข้ากับฝ่ามือของมัน เลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมา นับเป็นแผลที่ลึกเอาการ เจ้ายักษ์โขมดร้องโฮกราวกับเสือเจ็บ

“กิน...ข้าจะกินเจ้า”

มันร้องอย่างโกรธแค้น ไฟในดวงตาลุกพรึบ อ้าปากกว้าง เขี้ยวขาวโง้งยิ่งน่ากลัว มันกระโดดขึ้นจากพื้น ราวกับว่าร่างมหึมานั้นเบาหวิวเสียเหลือเกิน

ความรวดเร็วของร่างใหญ่โตนั้นทำให้สหเดชะประหลาดใจ ไม่นึกว่ายักษ์โขมดซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงในแดนฟ้าจะเก่งกาจและเคลื่อนไหวไปมาได้ปราดเปรียวเช่นนี้

เจ้ายักษ์โขมดอ้าปากกว้าง พุ่งเข้าใส่สหเดชะ หวังจะเขมือบกินร่างสองร่างนั้นให้หมดในคำเดียว ทว่า ‘เนื้อ’ สองร่างนี้ก็ไวเหลือเกิน เจ้ายักษ์โขมดจึงงับได้เพียงอากาศ มันพุ่งชนเข้ากับหมู่ไม้แห่งหนึ่งจนกระจุยไป ในชั่วพริบตามันก็หันกายกลับมา แววตามุ่งร้ายหรี่เล็ก แล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง ปากสีแดงเปรอะไปด้วยเลือดอ้ากว้างหมายมุ่งที่สองร่างเล็กจ้อย

สหเดชะรออยู่แล้ว ในชั่วพริบตานั้นเอง เขาก็วาดขาออกไป แล้วฟาดเข้าใส่ใบหน้าใหญ่โตนั้นเต็มแรง

ขาของสหเดชะฟาดเข้ากับเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของยักษ์โขมดสุดแรง เขาได้ยินเสียงลั่นกร๊อบครั้งหนึ่ง แต่รู้ว่ามิใช่ขาของตน ราวกับช่วงเวลานั้นหยุดนิ่ง แล้วใบหน้าเจ้ายักษ์โขมดเริ่มบิดเบี้ยว ปากซึ่งอ้ากว้างนั้นเผละออก ใบหน้าทั้งหน้าหันไปอีกทาง แล้วร่างอันใหญ่โตของมันก็ลอยละลิ่วไปกระแทกกับหมู่โขดหินด้านหนึ่ง

หินภูเขาร่วงกราวแหลกเป็นจุณ ผงคลีคลุ้งไปหมด เจ้ายักษ์โขมดนอนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับกาย ส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดออกมา มันลูบคลำใบหน้าตนเองด้วยรู้สึกราวกับว่าบางอย่างหายไป แล้วทันใดนั้นเอง มันก็แผดเสียงด้วยความโกรธแค้น ปรากฏว่าเขี้ยวขาวโง้งของมันหักไปข้างหนึ่ง ก็ด้วยแรงเตะของสหเดชะนั่นเอง

มันไม่รอช้าสักนิด พอแผดเสียงคำรามโกรธแค้นแล้วก็พุ่งร่างออกมาราวกับธนูหลุดจากแล่ง ฟาดฝ่ามืออันมีกรงเล็บแหลมคมออกมาด้วย

“จับให้มั่นนะรวี” สหเดชะเอ่ยออกมา และรับรู้ถึงแรงกอดของน้อง

เขาพุ่งเข้าไปหามือใหญ่ของยักษ์นั้น แล้วเบี่ยงลงด้านล่างด้วยความรวดเร็ว มือเจ้ายักษ์พุ่งออกมาแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนทิศทางได้ จังหวะที่มันเห็นว่าสหเดชะเปลี่ยนทิศทางนั้นเอง มันก็รู้สึกถึงความร้อนวูบหนึ่งวาดผ่านใกล้ๆ แล้วเห็นร่างของสหเดชะลอยสูงขึ้นไปในอากาศ มันคิดจะตามไป ทว่ากลับต้องร้องออกมา ด้วยรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

มือข้างหนึ่งของมันขาดบิออกมาตรงบริเวณข้อมือ หล่นลงไปคลุกอยู่กับพื้น เลือดสีขุ่นข้นพุ่งกระฉูดออกมาราวกับสายธาร มันกุมแขนกุดด้วนข้างนั้นพลางแผดเสียงร้องโหยหวน น้ำหูน้ำตาไหลออกมาจนเปื้อนใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวนั้น

มันคู้ตัวลงพลางกุมแผลบนแขนกุดด้วนข้างนั้นไว้ สะอื้นฮักๆ ราวกับเป็นเด็กตัวน้อยๆ

สหเดชะลอยตัวอยู่ห่างออกมา เขาตะเบ็งเสียงให้มันได้ยิน

“ยักษ์ป่า จงไปเสียจากที่นี่เสีย เราไม่อยากเอาชีวิตเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังขืนคิดร้ายกับพวกเราอีก อย่าหาว่าเราไม่เตือน จงไปเสีย!”

เจ้ายักษ์โขมดป่าสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด มันส่งเสียงครืดๆ จากในร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าเกรอะน้ำตาขึ้นมามองหน้าสหเดชะอย่างพยาบาท แล้วใบหน้าซึ่งเหลือเพียงเขี้ยวข้างเดียวก็หันไปอีกทาง ก่อนกระโดดหายเข้าไปในป่า กลิ่นสาบสางของมันก็หายไปด้วย

สหเดชะเห็นเหตุการณ์คลี่คลายลงบ้าง จึงรีบพารวีพิรุณเหาะออกมาจากบริเวณนั้น เพื่อมองหาที่แรมคืนที่ใหม่

ห่างออกมาจากที่แห่งนั้นระยะหนึ่ง มีพื้นที่โล่งเล็กๆ ในระหว่างหมู่ไม้ ด้านหนึ่งเป็นเนินสูงขึ้นไปล้วนอุดมด้วยโขดหิน สหเดชะเห็นว่าพอจะใช้เป็นที่กำบังได้บ้าง จึงร่อนกายลงไป ณ ที่ตรงนั้นทันที

“รวี เป็นอย่างไรบ้าง”

เขาดึงร่างน้องเข้ามาใกล้ รวีใบหน้าซีดเผือด ร่างไม่สั่นแล้ว ทว่าก็ยังเห็นได้ชัดว่ายังกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ตัว...ตัวอะไรน่ะ ท่านพี่”

น้องเอ่ยออกมาเสียงสั่น

“ยักษ์ป่า ยักษ์อันธพาล”

“ยักษ์หรือ เป็นยักษ์ไม่ดีหรือ”

“เป็นยักษ์ไม่ดี” เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา มองหน้าน้อง พลางปัดเศษดินออกจากดวงหน้าขาวผ่องนั้น “พี่สั่งสอนมันไปแล้ว”

“ยักษ์...จะกินเราหรือท่านพี่”

“ไม่หรอก ตอนนี้กินไม่ได้แล้ว พี่อยู่ทั้งคน...จะปล่อยให้มันกินเราได้อย่างไร”

เขามอบรอยยิ้มอบอุ่นให้น้อง หยิบปอยผมกลุ่มหนึ่งทัดหูน้องให้ นิ้วลูบไล้ผิวแก้มนวลนั้นเล่นอย่างเอ็นดู “พี่ไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรรวีเด็ดขาด”

เขาจับจูงน้องให้มานั่งใต้ต้นไม้หนึ่ง แสงจันทร์สาดส่องพอมองเห็นได้รางๆ เขาจับตรงนั้น ดูตรงนี้ ด้วยกลัวว่าในระหว่างที่ต่อสู้กับเจ้ายักษ์โขมดไพรอยู่นั้นจะพลั้งพลาดให้น้องได้รับบาดเจ็บ ทว่าพอเห็นน้องเจ้าไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ ก็เบาใจ

สหเดชะเด็ดใบไม้ใบใหญ่มาวางปูให้รวีได้นั่งลงพักผ่อน เขาก่อไฟขึ้นมาเพื่อให้ความอุ่น ก่อนจะนั่งลงด้วยกัน ดึงร่างน้องให้มานั่งกอดก่าย ซุกร่างเพื่อแบ่งปันไออุ่นในคืนหนาว

เขากลับมาคิดดูแล้ว การเดินทางในป่าแถบถิ่นวินธัยนี้อาจไม่ปลอดภัยสำหรับรวีพิรุณนัก หากเขามาตัวคนเดียวคงไม่ห่วงอะไรมาก แต่น้องไม่มีวิชาใดๆ ไว้ป้องกันตัวเลยสักนิด

เขานี่ช่างไม่เอาไหนจริงๆ ไม่รู้ว่าจะปกป้องคุ้มครองน้องได้มากเท่าใด

นี่หากเขายังมี...

เพียงความคิดนั้นผุดขึ้นในหัว เขาก็รีบปัดมันออกไป จะมานึกเสียดายอะไรตอนนี้ แม้ว่าจะมีเพียงสองมือเปล่า เขาก็จะปกป้องรวีพิรุณมิให้สิ่งใดเข้ามาทำร้ายได้ แม้ต้องปกป้องจนตัวตายก็ยอม

เขากอดกระชับร่างของน้องไว้แน่นในอก ซุกหน้าลงกับซอกคอขาวผ่อง สูดดมกลิ่นหอมคล้ายลูกไม้ของน้อง เกลี่ยจมูกและปากร้อนๆ คลอเคลียอยู่กับผิวเนียนนุ่มนั้น น้องขยับตัวยุกยิก หัวเราะออกมาหลายคำ

“ท่านพี่ มันจั๊กจี้นะ”

“พี่ชอบหอมเจ้า”

“อย่าสิ ท่านพี่”

น้องยิ่งห้าม เขายิ่งซุกไซ้หน้าลงไปกับซอกคอนั้น น้องย่นคอด้วยรู้สึกแปลกๆ ครั้นแล้วพี่ก็นิ่งเฉย พานให้น้องหยุดขยับกายด้วย

สหเดชะเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบๆ

“รวี...ตอนนี้เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง”

“รู้สึกหรือ รู้สึกอะไรหรือ”

“ตอนนี้...” เขากระอึกกระอักในลำคอ “...เจ้าไม่เหมือนก่อนแล้ว เจ้ารู้สึกมีอะไรผิดแปลกในร่างกายหรือไม่”

รวีเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยออกมา “รวีไม่รู้สึกอะไร รวีแข็งแรงดี”

น้องเอี้ยวหน้ามามองเขา รอยยิ้มวาดเต็มใบหน้านั้นจนสว่างไสวไปหมด รอยยิ้มหวานๆ ของน้องไม่เคยทำให้เขาเศร้าซึมได้นานจริงๆ

“เช่นนั้นหรือ” สหเดชะถอนหายใจ “ดีแล้วละ”

สิ่งที่เขาแลกกับชีวิตของรวีพิรุณนั้นล้ำค่าอย่างยิ่ง...ล้ำค่ายิ่งชีวิตของเขาเชียวละ ขอแค่ไม่ต้องกังวลว่าน้องจะต้องจากไปในเร็ววันนี้ก็เพียงพอแล้ว ขอให้อายุขัยของเจ้ายาวนานเท่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งก็พอแล้ว เมื่อกำเนิดมาพวกเรามาจากต่างที่ ต่างเวลา ทว่ายามต้อง ‘จากไป’ เราก็จะจากไปด้วยกัน...พร้อมกัน

โฮกกกกกกกก!!!

เสียงคำรามระเบิดก้องขึ้นในท่ามกลางความเงียบ สหเดชะและรวีพิรุณต่างสะดุ้งกันทั้งสองคน

หมู่ไม้ด้านหน้าของพวกเขาแตกกระจายออกไปราวกับเป็นเศษไม้ สหเดชะรีบผุดลุกขึ้นพร้อมฉุดให้รวีมาอยู่ด้านหลังตน

ยังไม่จบอีกหรือ

สหเดชะสบถในใจ ขณะมองเห็นเงาร่างทะมึนใหญ่โต สูงกว่ายอดไม้ ยืนอยู่ตรงหน้า กลิ่นสาบสางคลุ้งไปทั่วบริเวณ

“เนื้อ! ข้าจะกินพวกเจ้า!”

เสียงคำรามเคียดแค้นของเจ้ายักษ์โขมดเจ้าเก่าดังขึ้นในความโกลาหลนั้น

“แกฟันแขนข้า ข้าจะเคี้ยวแกให้แหลก!”

มันย่างสามขุมเข้ามา ในดวงตานั้นลุกเป็นไฟด้วยความโกรธแค้น มือข้างหนึ่งกุดด้วนไปด้วยคมพระขรรค์ของสหเดชะ มันยกมือข้างที่ยังดีอยู่นั้นขึ้นมาตรงหน้า เล็บสีดำน่าเกลียดของมันค่อยๆ ยืดยาวออกมา ปลายแหลมคมดุจมีด

“ข้าจะฉีกร่างแกเป็นชิ้นๆ กัดกินแกขณะแกยังเป็นๆ ข้าจะสูบเลือดแกตอนแกยังหายใจ...”

คำพูดของเจ้ายักษ์สะดุดไป มันหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปมองที่บริเวณไม่ไกลจากเท้าตนเองเท่าไหร่ สหเดชะเองก็เพิ่งสัมผัสได้ว่าบัดนี้มีขุมพลังหนึ่งปรากฏขึ้น ณ บริเวณนี้

ณ ที่ไม่ไกลจากเท้าของเจ้ายักษ์โขมดนั้นเอง มีบุรุษร่างสูงกำยำผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสูงกว่าสหเดชะเพียงไม่มาก ทว่าความกำยำของร่างกายนั้นอาจทำให้สหเดชะดูตัวเล็กไปทีเดียว

ชายผู้นี้มีเครื่องแต่งกายหรูหรา มิใช่ชาวไพรทั่วไปจักมีได้ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายออกดุดันเคร่งขรึม ตรงมุมปากของเขามีเขี้ยวขาวเล็กๆ โผล่ออกมา ทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูดุดันน่าเกรงขาม เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วจึงแหงนหน้าขึ้นไปมองดูร่างใหญ่โตของยักษ์โขมดไพร

เจ้ายักษ์โขมดราวกับจะกำลังตกอยู่ในอารามตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าผู้มาขัดจังหวะตนเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตร่างเล็กน้อยเท่านี้ มันจึงคำรามอีกรอบ แล้วฟาดมือข้างที่มีกรงเล็บยาวใส่ร่างของบุรุษนั้นอย่างรวดเร็ว

พลั่ก

เสียงเนื้อกระทบเนื้อ บุรุษผู้นั้นยืนเฉย ไม่สะทกสะท้านสักนิด เขาเพียงยื่นแขนข้างหนึ่งออกมาเพื่อรับฝ่ามือของเจ้ายักษ์โขมด เพียงมือเดียวเท่านั้นก็จับให้มันอยู่นิ่งได้

“อั้ก!”

เจ้ายักษ์โขมดร้องออกมา บุรุษผู้นั้นเผยรอยยิ้มตรงมุมปากด้านหนึ่ง เขาจับนิ้วของมันหนึ่งนิ้ว แล้วหมุนด้วยความรวดเร็ว พลันบัดนั้นเอง แขนข้างที่ดีของเจ้ายักษ์ก็ขาดสะบั้นออกมาจากไหล่ทันที เขาโยนแขนข้างนั้นทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

“อ๊ากกกกก” มันร้องเสียงโหยหวน เลือดสีข้นกระฉูดออกมาราวกับธารน้ำ มันทรุดกายลงกับพื้นราวกับไม้ใหญ่โดนพายุล้มครืน
บุรุษผู้นั้นไม่ปล่อยให้เสียงร้องของมันรบกวนโสตได้นาน เขาขยับรวดเร็วราวกับจักรผัน ครู่หนึ่งก็ไปปรากฏอยู่ที่ร่างซึ่งกำลังทรุดกับพื้น ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา เขาค่อยๆ ยืดแขนออกไป เหวี่ยงหมัดอันแข็งแกร่งของเขาวางแหมะอยู่กับส่วนท้องอันใหญ่โตโอฬารของยักษ์โขมด แล้วจึงมีเสียงราวกับก้อนหินใหญ่นับร้อยๆ ก้อนถูกบดขยี้

“โอ้กกก”

เจ้ายักษ์ร้องออกมาได้เพียงเท่านั้นก็ส่งเสียงอึกอักในปาก ด้วยเลือดในกายพุ่งออกมาทางปากจนสิ่งกลิ่นคาวคลุ้งไปหมด หมัดของชายหนุ่มคนนั้นยังติดอยู่ที่ท้องของมัน แต่สังเกตได้ว่าผิวเนื้อบริเวณนั้นเริ่มกระเพิ่มคล้ายกับยามโยนก้อนหินลงผิวน้ำนิ่ง

ท้องของเจ้ายักษ์โขมดกระเพิ่มเป็นวงน้ำ แล้วทันใดร่างของมันก็โย้ไปในทิศทางตรงข้ามกับบุรุษผู้นั้น เกิดเสียงโพละขึ้นมาหนึ่งครั้ง ร่างอีกด้านหนึ่งของเจ้ายักษ์โขมดแตกโพละออกมาราวกับแตงโมถูกตี เลือดเอย เครื่องในเอย พุ่งกระจายออกมาราวกับห่าฝน

เจ้ายักษ์ส่งเสียงร้องน่าสงสารเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะล้มคว่ำลง สิ้นใจตายตรงนั้นเอง

เกิดความเงียบขึ้นในสถานที่แห่งนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

คล้ายกับว่ามีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงตามแผ่นหลังของสหเดชะ

เขามองไปที่ร่างบุรุษผู้นั้น เห็นฝ่ายนั้นยืนนิ่งอยู่ ไม่สนใจสักนิดว่าตนเพิ่งสังหารยักษ์โขมดไปด้วยมือเปล่า บุรุษผู้มีเขี้ยวตรงมุมปากหันมามองทางนี้นิ่งอยู่ แล้วทันใดดวงตาของเขาก็เลิกขึ้นคล้ายกับประหลาดใจ ก่อนจะหรี่ตาลง เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขายื่นมือออกมา สหเดชะเห็นแสงแวบหนึ่งเป็นประกายขึ้นมาในมือของฝ่ายนั้น

ชั่วอึดใจหนึ่งสหเดชะกำลังจะชักพระขรรค์ออกมาบ้าง แต่แล้วเมื่อผ่านไปเพียงชั่วหายใจเข้า ก็พลันเห็นใบหน้าดุดันนั้นโผล่ขึ้นมาในระยะประชิด ห่างเพียงช่วงแขนเดียว แล้วความเจ็บปวดแสบร้อนก็เสียดวาบขึ้นตรงแผ่นอก สหเดชะสะอึกไป ร้องออกมาได้เพียงคำเดียว

“รวี!”

แล้วร่างของวิทยาธรหนุ่มก็ถูกแรงกระแทกผลักให้ลอยละลิ่วออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ พระขรรค์ที่ถือมั่นกลับหลุดออกจากมือ ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นเชื่องช้าราวกาลเวลาเคลื่อนคล้อยชั่วนิรันดร์ เขาเห็นบุรุษผู้มาใหม่นั้นค่อยๆ เอื้อมมือออกมาจับไหล่ของรวีพิรุณ บุรุษผู้นั้นจับเอาร่างของมักกะลีผลที่กำลังจะล้มลงกับพื้นเข้าไปใกล้ แล้วกอดกระชับไว้กับตัว จากนั้นพุ่งทะยานออกไป ชั่วพริบตานั้น สหเดชะเห็นรวีพิรุณหันกลับมามองตน ดวงตาของน้องเจ้าเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ปากเล็กๆ อ้ากว้างออกมา ร้องเป็นคำหนึ่ง “ท่านพี่!”

คำนั้นออกมาพร้อมกับที่ร่างของสหเดชะกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านหลัง เขากระอักเลือดออกมาคำโต ร่างติดแนบกับต้นไม้นั้น “ระ...วี”

“ท่านพี่!”

“รวี!”

แม้กระอักกระไอลิ่มเลือดออกมา กระนั้นสหเดชะก็ยังร้องเรียกชื่อน้องด้วยหัวใจร้าวราน มองร่างของน้องในวงแขนของชายผู้นั้นค่อยๆ ห่างออกไป

เขามองร่างรวีพิรุณที่กำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุม จนกระทั่งร่างทั้งสองหายลับไปในฟ้ากลางคืน

สหเดชะรู้สึกราวกับว่าน้ำตาร้อนๆ ไหลลงมาจากดวงตา เขาก้มลงไปมองที่แผ่นอกของตน และเห็นว่ามีดาบใหญ่เล่มหนึ่งปักไว้แน่น ดาบนี้เองที่ปักร่างเขาตรึงไว้กับต้นไม้

“ระ...วี ระวีของพี่”

เขาเอ่ยปนสะอื้น โหยไห้ในใจ...เห็นดวงหน้าหวาดกลัวของรวีพิรุณแล้วก็ได้แต่เจ็บในอกราวกับจะพังภินธุ์ลงมาเสียให้ได้

รวี...เจ้าถูกพาไปเสียแล้ว


***

พระเอกสายรันทด น่าสงสารพี่สหะ
เจอกันตอนหน้านะคะ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
 :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด