มาแล้วค่า
บทที่ 12
พระดาบสชรานั่งอยู่ท่ามกลางมฤคชาติน้อยใหญ่ กวางป่าเหล่านี้บ้างก็กำลังเคี้ยวยอดหญ้าอ่อนรสดี บ้างก็ยืดคอขึ้นไปใช้ลิ้นตวัดกินใบไม้อ่อนจากกิ่งอันหย่อนปลายลงมาต่ำเตี้ยอย่างเอร็ดอร่อย ด้านหนึ่งเป็นแม่กวางกำลังให้นมลูกน้อยจากพวงถันของนาง มีลูกกวางน้อยๆ กำลังวิ่งตุปัดตุเป๋ด้วยยังไม่คุ้นชินกับขายาวเก้งก้างของตน ทว่าก็ยังอยากรู้อยากเห็นและไม่เกรงกลัวมนุษย์สักนิด
หากรวีพิรุณได้มาเห็นภาพนี้คงจะตาลุกวาว แล้วรีบวิ่งตุเลงๆ เข้าไปหากวางน้อยๆ เหล่านี้พร้อมกับร้องว่า ‘เจ้ากวางน้อย’ จนสุดเสียงเป็นแน่ คิดขึ้นมาดังนี้แล้วให้ในอกสหเดชะเจ็บร้าวเสียจริง
ในท่ามกลางฝูงกวางเหล่านี้พระเทพฤาษีมฤควัจน์กำลังป้อนผลไม้ให้กับกวางหนุ่มๆ สาวๆ หลายตัวจากมือของท่านเอง พวกมันดูคุ้นชินกับท่านอย่างยิ่ง มองจากไกลๆ นับว่าเป็นภาพที่แปลกตามาก กระนั้นสหเดชะก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนามของท่านจึงเป็นมฤควัจน์ คือวาจาแห่งกวาง ไม่แปลกที่ท่านจะมีสหายเป็นฝูงกวางน้อยใหญ่เช่นนี้
สหเดชะและนกุลเดินทางออกจากถ้ำที่พักรักษาบาดแผลก่อนพระสูรยเทพจะเยี่ยมฟ้า สำหรับสหเดชะนั้นเขาอยากจะเดินทางให้เร็วที่สุดโดยการใช้พระขรรค์ของสหายที่ได้มา เพื่อจะไปถึงพระเทพฤษีโดยไว ทว่าเพียงแค่เริ่มร่ายพระเวทก็ให้ปวดแปลบที่แผลอย่างแรง แน่ชัดแล้วว่าในสภาพร่างกายอ่อนแอเช่นตอนนี้เขาไม่อาจใช้พระขรรค์เหาะเหินเดินอากาศได้
นกุลได้แต่มองแล้วส่ายหน้าด้วยระอากับความหุนหันพลันแล่นของ ‘ชาวฟ้า’ ผู้นี้ ไม่รู้บุญนำกรรมส่งใดจึงทำให้มาระหกระเหินเดินกลางป่าเช่นนี้ กระนั้นด้วยหัวใจอันเปี่ยมด้วยมนุษยธรรมและความรักเพื่อนร่วมไตรโลก นกุลจึงช่วยเหลือบุรุษผู้นี้ให้หายจากทุกข์ ก็มิใช่พระอาจารย์ดอกหรือที่พร่ำบ่นให้เขาฟังเช้าเย็นว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์นั้นเป็นบุญอย่างหนึ่ง จะช่วยหนุนส่งให้ตนได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์
ศิษย์พระเทพฤษียื่นน้ำเต้าบรรจุน้ำยาโสมให้สหเดชะ พลางมองเจ้าพิทยาธรหนุ่มกุมมือกับบริเวณบาดแผล พร้อมหอบหายใจฮุบเอาอากาศอยู่เฮือกๆ
นกุลเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจว่า ‘อย่าฝืนตัวเองนักเลยเจ้า ดื่มน้ำโสมนี่เสียก่อน จะได้มีแรงขึ้น หากยังดันทุรังอีก ฉวยเจ้าแดดิ้นไป ก็ไม่ได้ไปช่วยรวีผู้นั้นกันพอดี’
นกุลผู้รักน้ำโสมดุจชีวิตกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อสหเดชะผู้นี้ยอมคว้าเอาน้ำเต้าไปดื่มอั้กๆ แต่ก็ต้องร้องห้ามออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าหนุ่มนี่แทบจะดื่มจนหมด ‘เหวยๆ เหลือไว้บ้างทีหรือพ่อ จะกินหมดนั่นหรือ ประเดี๋ยวก็ล้มเปลี้ยเพลียแรงดอก’
ยานี้มิใช่ไม่แรง หากดื่มมากมายเพียงนั้นเกรงว่าอาจล้มหลับพับไปได้
แล้วด้วยลักษณาการเช่นนี้ ทั้งนกุลและสหเดชะก็ประคับประคองกันผ่านป่ามาจนได้ เมื่อดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกก็ลุถึงผืนป่าแห่งหนึ่งซึ่งอากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าโชยมารวยรินไม่ขาด เสียงน้ำจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักเป็นดั่งดนตรีคอยขับกล่อม สหเดชะได้ยินเสียงนกร้องมาจากคาคบไม้อันครึ้มรกไปด้วยใบบัง ชะรอยเจ้านกน้อยที่กำลังร้องเพลงนี้จะซ่อนอยู่ในระหว่างกิ่งไม้กิ่งใดกิ่งหนึ่งเป็นแน่ เขาจึงมองไม่เห็น...จะได้ยินก็แต่เสียงร้องเสนาะหูเท่านั้น
นกุลเอ่ยอธิบายขณะเดินนำหน้า
“ป่าแห่งนี้เป็นถิ่นของพระอาจารย์ มีพระเวทคอยคุ้มกันมิให้สัตว์ร้ายมาย่ำกราย หากเจ้ามิได้มากับเรา รับรองว่าจะถูกมนต์พระอาจารย์จนเดินเลยผ่านไปแน่ๆ นี่ก็เป็นความดีความเด่นของเราอีกนั่นละ” นกุลเอานิ้วโป้งชี้อกตนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
ความอวดโอ่ของนกุลก็ดี ความเป็นผู้รักการเจรจาปสาทะก็ดี ทำให้ระหว่างเดินทางมานี้สหเดชะไม่เบื่อเลยสักนิด ซ้ำยังเป็นการช่วยให้เขาใจเย็นกับเรื่องของรวีลงได้มากโข เพราะต้องมาใส่ใจกับสิ่งที่นกุลเล่าให้ฟัง
นกุลเอ่ยเล่าเรื่องราวต่างๆ อย่างไม่ปิดบัง กระทั่งทั้งสองเดินทางเข้าสู่ที่โล่งกลางหมู่ไม้แห่งหนึ่ง ณ สถานที่นี้ปรากฏกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรง มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลจากกระท่อมหลังนี้นัก ในสระแห่งนั้นขึ้นอุดมไปด้วยกุมุทชาติดาษดา และในระหว่างหมู่ไม้ที่ขึ้นหนาช่วงหนึ่งพระดาบสชรากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงกวางมากมี
พระเทพฤษีละจากการป้อนผลไม้ให้แก่ฝูงกวาง หันมามองทางบุรุษทั้งสองซึ่งกำลังเดินออกจากชายป่าลัดลานหญ้ามาหาท่าน
นกุลบุ้ยใบ้ให้สหเดชะนั่งลงตรงหน้าท่าน กวางหลายตัวกระดิกหูและเดินออกห่างไปเล็กน้อย ทว่าหลายตัวก็ยังอยู่ที่เดิม ด้วยมันไม่สัมผัสถึงอันตรายใดๆ จากบุรุษที่มาใหม่นี้แม้สักน้อย
สหเดชะกระทำความเคารพพระดาบสด้วยความยำเกรงอย่างยิ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท่าน ก็เห็นใบหน้าของพระเทพฤษีเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มการุณย์
ใบหน้าของท่านแม้แก่ชรา ทว่าก็ราวกับจะอาบไว้ด้วยความอิ่มเอิบบางอย่าง นับว่าเป็นดวงหน้าอันสว่างสดใสใบหน้าหนึ่ง สิ่งที่ทำให้สหเดชะประหลาดใจเหลือคือดวงตาอันคมกริบของท่าน มันคล้ายกับจะเปล่งประกายแห่งเปลวไฟออกมา คล้ายกับว่ามีเปลวร้อนแห่งพระสูรยาทิตย์อันนับเวลาได้โกฎิหมื่นปีรวมไว้ข้างในนั้น นี่คงเป็นตบะอันเกิดจากการปฏิบัติมั่นถือมั่นของท่านเป็นแน่
“มายังไรล่ะพ่อ ทุกข์ร้อนอันใดหรือ” เสียงของท่านนุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งนัก สหเดชะรู้สึกราวกับถูกชโลมด้วยแสงแดดอุ่นๆ ยามสาย
“กระผมเดินทางมากลางป่า พันเอิญเจอะเข้ากับอ้ายยักษ์โขมดไพร ถูกมันเข้ามาทำร้าย แต่เหมือนทุกข์ซ้ำกรรมซัด...ยังมีเจ้ากุมภัณฑ์ตนหนึ่งเข้ามาฆ่าเจ้ายักษ์โขมดนั้น แล้วใช้ดาบคมกล้าแทงกระผมหวังให้ตายตก”
“พ่อมาในป่าคนเดียวละหรือ”
“หามิได้ขอรับ กระผมมากับคนอีกผู้หนึ่ง เป็นน้องน้อยของกระผมเอง ความจริงแล้ว...กระผมผูกจิตเสน่หาปฏิพัทธ์กับเขา มาบัดนี้กลับถูกเจ้ากุมภัณฑ์จัณฑาลผู้นั้นฉุดคร่าไปเสีย เป็นคราวโชคได้นกุลผู้ประเสริฐช่วยรักษาแก้ไขให้ดีขึ้น” สหเดชะยกมือขึ้นพนมเพียบแต้ ขณะนกุลนั้นกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะถูกเอ่ยชม “กระผมตอนนี้ก็เหมือนกวางน้อยตัวหนึ่งผู้ซึ่งมีขาติดอยู่ในบ่วงของนายพราน ไม่อาจสลัดให้หลุดไปได้ เดือดเนื้อร้อนใจเป็นกำลัง เมื่อตกอยู่ในกองทุกข์เสียแล้วชีวิตก็ไร้สุขเหลือแสน หนีร้อนมาพึ่งเย็นหวังว่าพระคุณเจ้าจักช่วยชี้ทางให้กระผมได้ตามน้องน้อยกลับมาได้ หากมิได้มาพบพระคุณเจ้าวันนี้แล้วไซร้ ก็คงไม่แคล้วถูกพรานไพรใจโฉดบั่นคอเลาะเนื้อจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่”
“อ้ายหนุ่มนี่มันพูดจาสำคัญนัก” นกุลบ่นพึม แต่เมื่อถูกพระอาจารย์มองด้วยสายตาตำหนิก็เสไปเหลือบดูไม้ดูหญ้าแทน
พระฤษีมองสหเดชะนิ่งอยู่ คล้ายกับดวงตาของท่านจะส่องประกายจ้า
“ทุกข์ครั้งนี้หนักอยู่นะพ่อเอ๋ย จะแก้ไขให้รอดพ้นได้ยากแท้”
“ยากเข็ญนักหรือขอรับ”
“ยากเข็ญแท้ แต่ก็มีทางแก้ไขอยู่บ้าง”
“ต้องทำเช่นไรหรือขอรับ”
“สหเดชะมิใช่หรือคือนามพ่อ?”
“ขอรับ กระผมมีนามว่าสหเดชะ”
พระฤษีวางมือเหี่ยวย่นลงกับหน้าขาซึ่งห่มไว้ด้วยผ้าคากรอง
“พ่อเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
สหเดชะจนต่อคำพูด เมื่อมองสบกับนัยน์ตาของพระเทพฤษี คล้ายกับท่านจะมองเห็นเข้าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องที่เกิดแก่เขาเองหรือแก่คนเกี่ยวข้องกับเขา
“สหเดชะเอย พ่อยึดติดกับหนุ่มน้อยผู้นั้นมากถึงเพียงนี้ก็ด้วยกรรมจากชาติปางก่อนปั้นแต่ง ฝ่ายนั้นเองก็มีบุญมีกรรมผูกติดกับพ่อไว้แน่นหนาเหลือเกิน อันว่ารักคือกาวเหนียว ยึดติดพ่อไว้กับโลกียะ จักเวียนว่ายตายเกิดอีกนานเท่าใดล่ะพ่อ ชีวิตนี้พ่อไม่หวังจะถึงซึ่งโมกษะทางสว่างดอกหรือ กรรมนี้ก็จักหยุดได้หากพ่อเอาใจใฝ่เพื่อเข้าถึงเป็นหนึ่งกับพระปรมาตมัน”
สหเดชะก้มหน้านิ่งโดยดุษณี
“กระผม...รักเขาเหลือเกิน ชีวิตคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีรวี”
“ฉันเองก็พูดประสาคนแก่นะพ่อ พ่อจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่พ่อเถิด บุญกรรมเกิดเพราะการกระทำของเราเอง หากจะตัดเยื่อไม่ให้เหลือใยก็จะดี แต่ถ้าตัดไม่ได้ก็ดำรงตนให้ดี อย่าก่อกรรมใดอีก นั่นละจึงจะลดทุกข์ลงได้บ้าง”
“กระผมไปพรากเขามาจากแม่...ก่อนเวลาเหมาะควร ทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งทุกข์ หากได้ทำให้เขามีความสุขแม้เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งก็ยังถือว่าดีมากแล้ว บัดนี้เขาถูกคร่าไปไกลจากกระผมเสียแล้ว ใจร้อนรนอยากไปตามกลับมา แต่ก็จนใจด้วยตนเองนั้นไร้กำลัง ไม่อาจต่อกรกับฝ่ายนั้นได้”
ดวงตาของสหเดชะร้อนผ่าว ประหวัดไปถึงโมงยามที่ตนใช้พระขรรค์ตัดน้องออกจากขั้วต้นแม่ มักกะลีผลมิใช่มีจิตใจหรือดวงวิญญาณหรือ แม้เกิดมาเพื่อสุกงอมเพียงเจ็ดวันแล้วเหี่ยวแห้งไป ทว่าปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้มีชีวิตอยู่ในระยะเวลาเจ็ดทิวาราตรีนั้น แม้นับว่าสั้นเหลือเกินหากเทียบกับอายุขัยชาวฟ้า แต่ก็นับเป็นชีวิตอันมีค่าเช่นกัน เขาถืออำนาจอันใดจึงไปฉุดคร่าน้องมาจากต้นแม่ เช่นนี้เขาเองก็ไม่ต่างจากเจ้ากุมภัณฑ์ผู้นั้นน่ะสิ
เขาเม้มปากแน่น ยอมรับคำสอนของพระเทพฤษีแต่โดยดี ด้วยรู้ว่าพระคุณเจ้าท่านเอ่ยมาก็เพื่อให้เขาได้คิด แม้ท้ายที่สุดแล้วเขาจะคิดได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
“ตัวทุกข์นี้สำคัญนัก มันอยู่ในใจของเราเอง พ่อก็เห็นอยู่แล้ว...ว่ามันกัดใจพ่อให้ทรมานเพียงใด”
“ขอรับ กระผมรู้ซึ้งดียิ่งแล้ว”
“รู้เช่นนี้พ่อยังจะตามไปอีกหรือ”
“เมื่อพรากเขามาจากแม่ กระผมก็ผูกติดไว้กับเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วขอรับ มาบัดนี้รู้ว่าใจของกระผมก็คือเขา หากขาดเขาไปก็คงมีแต่จะแดดิ้นดับสิ้นไป”
“พ่ออุบัติขึ้นในจาตุมหาราชิกา มาบังเกิดในเหล่าพิทยาธรชาวฟ้า บัดนี้เพราะกรรมนำส่งแต่ชาติปางก่อนพ่อจึงสูญเสียพระขรรค์คู่กาย ซ้ำวิมานก็ทลายลงเป็นผงธุลี พ่อมิได้อยู่ในหมู่พิทยาธรอีกแล้ว หรือพ่อเป็นเพียงมนุษย์เดินดินเท่านั้น”
สหเดชะเม้มริมฝีปากแน่น “มิใช่ทั้งพิทยาธรหรือมนุษย์ขอรับ”
“เป็นคนแปลกเหล่าแปลกพวก ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ใดทั้งสิ้น มักกะลีผลผู้นั้นก็ด้วยซีนะ”
เขากระอึกกระอัก “ขอรับ รวี...มักกะลีผลผู้นั้นก็ด้วยขอรับ”
“พ่อผ่านทุกข์ผ่านโศกมามากนัก มีบุญได้มาเกิดยังโลกชาวฟ้า กลับต้องร่วงหล่นลงดินอีกครา”
พระเทพฤษีมฤควัจน์นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ก่อนท่านจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอาละพ่อ ฉันจักช่วยพ่อหนุ่มก็แล้วกัน”
สหเดชะก้มกราบราบกับดิน
“พระคุณเจ้าเมตตายิ่งแล้ว”
“อุเบกขาเป็นธรรมของพรหม เห็นพ่อมาด้วยใจร้อนเพราะทุกข์เข็ญ ฉันก็วางเฉยไม่ได้หรอกหนา” ท่านมองดูสหเดชะด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยได้ยินเสียงสะอื้นฮักๆ ดังมาไม่ขาดและทำท่าจะดังขึ้นเรื่อยๆ พอหันไปมองก็เห็นนกุลกำลังเช็ดน้ำตาป้อยๆ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ช่างไม่น่าดูเสียจริงๆ
“อะไรของเอ็งหา นกุล ร้องห่มร้องไห้อย่างกับหญิงผัวตาย”
“พระอาจารย์” นกุลฟูมฟาย “ไม่ร้องได้หรือ ก็ชีวิตของสหเดชะผู้นี้เศร้าอย่างกับอะไร ศิษย์สงสารเขา”
“มันใช่เรื่องของเอ็งเรอะ” ท่านเอ็ด “ตุ่มน้ำที่กระท่อมแทบไม่มีน้ำเหลือแล้ว ไปไป๊...ไปตักน้ำมาใส่ให้เต็มเสีย”
คนกำลังร้องไห้หยุดน้ำตาโดยพลัน “โธ่ ศิษย์เดินทางมาเหนื่อยๆ พระอาจารย์ยังจะใจร้ายใช้งานศิษย์อีกหรือ”
“เอ็งจะให้ข้าแพ่นกบาลเอ็งด้วยไม้เท้านี่ไหม ไปเดี๋ยวนี้เจียวนะ อย่ามัวพิรี้พิไร”
เห็นพระอาจารย์ฉวยเอาไม้เท้ามาถือมั่นไว้กับมือ นกุลก็ตาเหลือก รีบแจ้นไปทางกระท่อมทันที เรียกว่าวิ่งแทบไม่เห็นฝุ่น
พระดาบสหันมามองสหเดชะที่ก้มหน้านิ่งเฉยอยู่ ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“พ่อหนุ่ม ฉันช่วยพ่อหนุ่มได้ไม่มากหรอกนะ จะทำได้ก็เพียงมอบวิชาความรู้ฝีมือให้ติดตัวพ่อเท่านั้น อย่างอื่นก็ขึ้นกับพ่อหนุ่มเองหนา”
“เท่านี้ก็นับเป็นพระคุณมากแล้วขอรับ กระผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณเจ้าอย่างไรดี”
“ไม่ต้องตอบทงตอบแทนอะไรหรอก ถือเสียว่ามาตักน้ำผ่าฟืนช่วยเจ้านกุลมันก็แล้วกัน เท่านี้ก็นับเป็นค่าบูชาครู ฉันจะสอนวิชาให้พ่อ แต่พ่อจะเรียนเร็วเรียนช้าก็แล้วแต่พ่อละนะ”
“กระผมจะเรียนให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ไปช่วยเขาโดยไว อีกอย่าง...ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อเร่งฝึกวิชาเข้าเถิด ทางมักกะลีผลผู้นั้นยังปลอดภัยดี ไม่มีเรื่องร้ายเร็วๆ นี้หรอก”
สหเดชะได้ยินเช่นนั้นก็ใจชื้นขึ้น เขาก้มกราบพระเทพฤษีอีกรอบ
รวี...รอพี่นะ พี่จะมาช่วยน้องในไม่ช้านี้แหละ
+++
รวีพิรุณฟื้นคืนสติ รับรู้ถึงลมเย็นพัดใบหน้า เมื่อลืมตาเห็นชัด ก็พบว่าตนเองกำลังลอยไปในอากาศ ถึงแก่งงงวยว่าวิชาฝึกบินที่เรียนมากับท่านพี่นั้นทำให้เขาเหาะได้เชียวหรือ
แต่แล้วรวีเจ้าก็หัวใจหล่นไปอยู่ที่ท้อง เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดวาบขึ้นมาในหัว บัดนี้สภาพโดยรอบห่มคลุมไว้ด้วยม่านราตรี ภาพจำสุดท้ายก่อนจะหมดสติคือร่างของท่านพี่กระเด็นไปด้วยแรงมหาศาลไปติดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ฝ่ายตัวเขาเองถูกคนผู้หนึ่งดึงร่างไปโดยแรง เขาดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง ทว่าคนผู้นั้นก็ฟาดกำปั้นเข้ากับท้องอย่างแรง จนรวีเจ้ารู้สึกว่าโลกมืดลงฉับพลัน มาฟื้นตื่นอีกทีก็ลอยอยู่ในอากาศนี้แล้ว
“ปล่อยเรานะ!”
รวีแผดเสียง พลางดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เขาถูกโอบรัดไว้ด้วยแขนแข็งแรงข้างหนึ่ง ส่วนอื่นของร่างกายนั้นเป็นอิสระ เจ้ามักกะลีผลจึงทั้งทุบทั้งถอง อนิจจา...เรี่ยวแรงอันน้อยนิดนี้แทบไม่ระคายผิวของบุรุษปริศนาผู้นี้เลยจนนิดเดียว
“นางมักกะลีผลผู้นี้ จะขัดขืนไปไย เราไม่คิดร้ายกับเจ้าหรอก”
เสียงนั้นทรงอำนาจยิ่งนัก ทว่าด้วยอารามร้อนรน รวีพิรุณมิได้ฟังคำใดๆ ทั้งนั้น
“ปล่อยเรานะ เราจะไปหาท่านพี่ ท่านพี่กำลังเจ็บ”
“หุบปากเสีย อย่าเอ่ยอะไรอีก”
จะทุบตีเช่นไรคนผู้นี้ก็ราวกับสร้างขึ้นจากหินผา ไม่สะทกสะท้านใดๆ
“เจ้า...เจ้า...เจ้าคนเลว!” รวีร้องออกมา
“คนเลวรึ?” ฝ่ายนั้นฉงน
“เจ้าทำท่านพี่เจ็บ เจ้าเป็นคนเลว”
“หึๆ” บุรุษผู้นั้นหัวเราะชอบใจ “มันผู้นั้นไปเด็ดเจ้ามาจากต้นนารีผลละซี ตกเป็นเมียมันมากี่มากน้อยแล้วล่ะ จึงเรียกขานกันเป็นท่านพี่ท่านน้องอย่างนี้”
“เราไม่ชอบเจ้า เจ้าเป็นคนไม่ดี!”
“หึ ดิ้นตามใจเจ้าเถิด ไว้กลับไปถึงบ้านเราเมื่อไร จะได้เห็นดี”
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ จะพาเราไปไหน”
“ไปไหนน่ะหรือ ก็บ้านเราน่ะซี”
“บ้าน...บ้านที่ไหน เราไม่อยากไป”
“เราจะบอกอะไรเจ้าไว้ พอไปถึงบ้านของเราแล้วเจ้าอย่าได้แหกปากเอ็ดตะโรเช่นนี้ ประเดี๋ยวพวกร้ายๆ ที่บ้านของเราก็แห่กันมาหาเจ้า”
“พวกร้ายๆ หรือ”
“พวกยักษ์กุมภัณฑ์ยังไงล่ะ”
“กุ...กุมภัณฑ์หรือ กุมภัณฑ์คืออะไร”
คล้ายท่านพี่จะเคยเอ่ยถึงนามนี้มาก่อน อา...ใช่แล้ว ท่านพี่เคยบอกว่าแถบถิ่นนี้มีชนมากหลาย หนึ่งในนั้นคือชาวกุมภัณฑ์ คนผู้นี้เป็นกุมภัณฑ์หรือ คนผู้นี้เป็นคนไม่ดี ฉะนั้นชาวกุมภัณฑ์ก็ต้อง...
“พวกเจ้าเป็นคนไม่ดี!”
“ปากเก่งนัก ใครว่าเราเป็นคนไม่ดี เราแค่เห็นเจ้าอยู่ตรงนั้น...กลิ่นของเจ้าหอมดี เราเลยพามาด้วย จะว่าเป็นคนไม่ดีได้อย่างไร”
“ปล่อยเราลงนะ เราจะกลับไปหาท่านพี่”
“ท่านพี่ของเจ้าคือวิทยาธรที่เราแทงด้วยดาบตรึงไว้กับต้นไม้น่ะหรือ เฮอะ...ป่านนี้มันตายไปแล้วกระมัง ยังจะกลับไปหามันอีกทำไม”
ได้ยินเช่นนี้หัวใจรวีพิรุณแทบหล่นหาย ห่วงนักว่าท่านพี่จะตายตกเช่นคำพูดของกุมภัณฑ์ใจบาปผู้นี้ แต่ในใจก็เชื่อมั่นว่าท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไร ก็ท่านพี่เก่งกาจมากนี่นา ท่านพี่เหาะได้ ท่านพี่หาผลไม้มาให้กิน หาน้ำผึ้งมาให้กิน ท่านพี่เตะยักษ์โขมดจนกรามหลุด ท่านพี่เก่งอย่างนี้เลย
รวีไม่เชื่อคำพูดเจ้ากุมภัณฑ์จอมโป้ปดนี้หรอก ท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไร
ท่านพี่จะต้องมาช่วยรวีอยู่แล้ว!
คิดได้ดังนั้นแล้ว รวีพิรุณก็ตัดสินใจเงียบเสียง ตนรู้บางอย่างบอกให้เขาเงียบไว้ ไม่ว่าเจ้าคนนี้จะทำหรือว่าอะไรก็ให้เงียบไว้เป็นดีที่สุด เว้นแต่ว่าหากมันจะทำอะไรไม่ดีขึ้นมารวีก็จะขัดขืนอย่างสุดกำลัง จะปากกัด เล็บข่วน ขาถีบ เข่าถอง น่องเตะ
“สงบได้แล้วหรือ”
เจ้ากุมภัณฑ์หยาบช้าหัวเราะ “อีกเดี๋ยวก็จะถึงบ้านเราแล้ว”
หลังจากนั้นรวีพิรุณก็ปิดปากเงียบ ในเมื่อขัดขืนใดๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องขัดขืนแล้ว ถึงจะข่วนจะทุบถองอย่างไรก็ไม่ระคายผิวหยาบๆ ของเจ้าคนนี้ รวีก็ต้องเลิกทำให้ตัวเองเสียแรงเปล่า เขาไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้างในเพลาข้างหน้า กระนั้นก็ขอออมแรงไว้ก่อน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถวิ่งไปได้ไกลๆ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะขอวิ่งกลับไปหาท่านพี่ให้ได้เชียวละ
แสงทองเริ่มอาบขอบฟ้า ผืนป่ายังตกอยู่ในความมืด ทว่าอีกไม่นานก็จะสว่างแล้ว รวีพิรุณรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่ามีสิ่งทะมึนอันใหญ่โตกำลังใกล้เข้ามา และเจ้าสิ่งนั้นคล้ายกับน้ำหนักอันหนักอึ้งยิ่งกว่าขุนเขาหรือบรรพตใดๆ มันราวกับจะทาบทับลงมาบนร่างของเขา แล้วกดให้เขาจมลงไปกับดิน
คนผู้นั้นวาดมือไปข้างหน้า แล้วลอยพุ่งตรงไป
เกิดประกายวูบวาบครั้งหนึ่ง แล้วก็คล้ายกับว่าพวกเขาลอยผ่านเยื่อบางๆ เข้าไป
“นั่นปะไร บ้านของเรา”
คนผู้นั้นเอ่ยอย่างผยอง
“โลหะนคร”
ไม่เหมือนกับป่าแห่งมักกะลีผลแม้สักน้อย ไม่เหมือนวิมานของท่านพี่แม้แต่นิด ที่นี่อึดอัด...ราวกับว่าพงไพรได้หายไปจากโลก ราวกับว่าพืชพันธุ์สีเขียวมากมีจะอันตรธานหายไปสิ้น ไม่มีความเขียวขจี ไม่มีความสดชื่นของป่าไม้ใดๆ รวีพิรุณรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ออก
สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้เป็นชั้นช่องสูงใหญ่ทะมึน ราวกับว่ามีขึ้นไว้เพื่อกางกั้นโลกด้านในไว้จากภายนอก มันดำมืดไม่สว่างสดใสเช่นปราสาทของท่านพี่ ในสิ่งปลูกสร้างที่สูงเทียมเมฆและยาวออกไปจนสุดตานี้เอง มีช่องว่างช่องหนึ่งอยู่ตรงนั้นราวกับปากถ้ำ รวีเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าต้นไม้ที่สูงที่สุดสองคนยืนขวางช่องทางนั้นไว้
“ประตูสู่โลหะนคร” คนที่อุ้มรวีพาดไหล่เอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิ
เขาลอยตัวลงต่ำ เมื่อเท้าแตะพื้นจึงเดินอาดๆ เข้าไปหาร่างสูงใหญ่ทั้งสองนั้น รวีใจเต้นระทึก เพราะใบหน้าของคนอีกสองคนนี้น่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน พวกมันมีเขี้ยวใหญ่ๆ โผล่ออกมาจากมุมปากทั้งสองด้าน ซ้ำผิวหน้าก็แดงดั่งเลือด ดวงตาจ้องเขม็งไม่กะพริบ ลิ้นสีแดงแลบออกมายาวถึงคาง
คนที่พารวีมาเดินไปหยุดตรงหน้าร่างใหญ่ยักษ์สองตนนี้ ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “เรากลับมาแล้ว”
แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่ายอดไม้นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละน้อย พวกมันค่อยลดขนาดร่างกายลง ความสูงจากยอดไม้เหลือเพียงสูงเท่าระดับกิ่งก้าน ก่อนค่อยๆ หดตัวลงมาเรื่อยๆ รวีเจ้ามองพลางอ้าปากค้าง ช่างน่าประหลาดเหลือ
ในเวลาไม่นาน ร่างสูงใหญ่นั้นก็กลายมาเป็นบุรุษความสูงไม่ต่างกับคนที่อุ้มรวีพิรุณอยู่นี้เอง เจ้าสองคนนั้นถือดาบไว้ในมือมั่น แล้วคุกเข่าลงกับพื้น ทำความเคารพด้วยเกรงบารมี
“น้อมรับเสด็จกลับโลหะนครพระเจ้าค่ะ”
เขาผู้นี้ไม่แม้แต่จะเอ่ยตอบ เมื่อบุรุษสองคนนั้นลุกขึ้นยืน กลับไปเปิดบานประตูที่ปิดแง้มนั้น เขาก็ก้าวขาไปข้างหน้าสองก้าว แล้วก็พุ่งตัวไปในอากาศอย่างแรง ผ่านช่องประตูนั้นเข้าไป
ทุกอย่างราวกับพร่ามัวลง เมื่อมารู้สึกตัวอีกที รวีพิรุณก็เห็นปราสาทใหญ่โตยิ่งกว่าปราสาทใดๆ ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ความใหญ่โตน่ายำเกรงยิ่งกว่าขุนเขาอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆ คนผู้นั้นพาเขาร่อนลงกับพื้น ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน รวีเจ้ารู้สึกราวกับถูกบีบอัดจากทุกทิศทาง คล้ายกับลมหายใจจะถูกดูดหายไปหมด
ขณะพารวีพิรุณเข้าไปในปราสาทอันใหญ่โตหลังนั้น เจ้ากุมภัณฑ์ใจหยาบก็พลันหยุดนิ่ง หันไปทางด้านหนึ่ง
ณ ระเบียงทางเดินอันทอดยาวออกไปนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เป็นชายร่างสูงยิ่งกว่าคนผู้นี้ ชายคนนั้นมองจ้องพวกเขาทั้งสอง ในสายตานั้นอ่านไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์เช่นไร ทว่าความกดดันรุนแรงก็ส่งผ่านออกมาจากร่างนั้น ทำให้รวีพิรุณแทบจะกระอักไอ
คนผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “กลับมาแล้วหรือ จตุรเศียร”
“พระเจ้าค่ะ เสด็จพี่สัตตพักตร์”
++++
เจอกันตอนใหม่นะคะ มาดูกันว่าใครจะหมู่จะจ่า น้องรวีก็ไม่ยอมใครนะเออ