2
น่าเอ็นดู...เป็น ‘พิเศษ’
ท่านอัศม์ลงจากรถทันทีที่คนเปิดประตูให้ เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับเหล่าแม่บ้านที่มายืนเรียงต้อนรับอยู่ที่ด้านหน้าประตูบ้าน ท่านหยิบน้ำเปล่าที่พิไลเตรียมไว้ให้มาดื่มอย่างเช่นทุกวัน ก่อนเดินผ่านเข้าไปอย่างปกติ หางตาแอบเห็นแม่บ้านคนใหม่ที่ตนเพิ่งจะรับเข้ามาทำงาน จากวันนั้นก็ผ่านมาสองอาทิตย์กว่าแล้ว
“ทำงานที่นี่ไม่ติดขัดอะไรใช่ไหม” ท่านหยุดถามแต่ไม่หันไปมองหน้า
“ไม่ค่ะท่าน” เธอตอบกลับ โดยที่ยังก้มหน้าอยู่แบบนั้น
“อืม...ก็ดี”
ท่านอัศม์เดินต่อ โดยที่สันต์ธรคนสนิทเดินตามอยู่ แต่แล้วท่านก็ชะงักเท้าที่เดิน เมื่อเห็นหญิงสาวอันเป็นที่รักยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า
“คุณแม่จะไปไหนหรือครับ”
“แม่จะไปดูแปลงดอกไม้ที่สวนน่ะค่ะ พอดีเพิ่งให้คนลงดอกไม้เพิ่ม ช่วงเย็นๆ ตอนพระอาทิตย์กำลังตกคงจะสวย อัศม์สนใจไปกับแม่หรือเปล่าคะ”
“เชิญคุณแม่ตามสบายเลยครับ ผมจะแวะไปหาคุณย่าแล้วก็จะทำงานต่อน่ะครับ”
“อย่าโหมงานมากนะคะลูก ส่วนคุณย่าก็อยู่กับสองแฝดค่ะ ที่ศาลากลางน้ำ”
“เจ้าอินทร์ เจ้าอัยย์อยู่บ้านได้ด้วยเหรอครับ”
“อัศม์ก็ไปว่าน้อง น้องก็ต้องเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นบ้างนะคะ อัศม์ก็เคยเป็นนะลูก น้องรู้ว่าตัวเองต้องวางตัวยังไงเหมือนกับลูกนั่นแหละค่ะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าน้อง แค่สงสัยว่ากลับบ้านเร็วเท่านั้นเอง”
“ค่ะลูก งั้นแม่ไปก่อนนะคะ เจอกันตอนมื้อเย็นค่ะ”
“ครับคุณแม่”
อัศม์เดชมองส่งคุณแม่ที่เดินไปยังประตูหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาคุยกับสันต์ธรที่ยืนเงียบๆ ตามหน้าที่ของตน เพราะงานของเขาจะเสร็จสิ้นเมื่อท่านขึ้นนอน
“สันต์ วันนี้มีงานที่ต้องเคลียร์ด่วนหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรด่วนครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำงานแล้ว ฉันจะไปหาคุณย่า สันต์ไปพักผ่อนเถอะ”
“แต่ว่า…”
“ยังไงก็คงไม่ยอมไปใช่ไหม”
“ครับ ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้แล้วเสร็จในแต่ละวัน ไม่เช่นนั้นผมจะนอนไม่หลับ” สันต์ธรตอบด้วยประโยคเดิมๆ ที่มักจะใช้ตอบเสมอเมื่อท่านไล่ให้เขาไปพัก
และแน่นอนว่าเขาไม่เคยขัดคำสั่งท่าน ยกเว้นคำสั่งนี้คำสั่งเดียว
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามฉันไปนี่แหละ”
“ครับท่าน”
ท่านอัศม์เปลี่ยนทิศทางจากบันไดบ้านเป็นทางออกด้านหลัง ซึ่งจะเชื่อมกับสวนขนาดใหญ่ เพียงแต่ด้านหลังจะทำการขุดสระบัวขนาดใหญ่ที่สามารถพายเรือเล่นได้ ความลึกก็พอประมาณ แล้วสร้างศาลาไม้สีขาวนวลขนาดใหญ่เอาไว้กลางสระ น้องชายของเขาก็ชอบใช้เวลาตรงนั้นกับคุณย่าบ่อยๆ อัศม์คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะตัวเองไม่ค่อยจะมีเวลาให้ครอบครัวเสียเท่าไหร่นัก
“พี่อัศม์!!!” เสียงตะโกนเรียกมาจากศาลากลางสระ แฝดคนพี่ที่พอเห็นเขาเดินอยู่บนสะพานไม้ที่เชื่อมกับศาลาก็ตื่นเต้นราวกับว่าไม่เคยเจอมาเป็นปี
“เสียงดังอะไรกัน” ท่านเดินมาถึงก็ดุน้องชายทันที อินทร์ธรหน้ามุ่ย ยกมือไหว้ขอโทษพี่ชาย อัศม์เดชละความสนใจจากน้องแล้วตรงไปคุกเข่ากอดเอวคุณย่า มือเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นลูบผมของหลานชายคนโตเบาๆ แววตาอ่อนโยนอยู่เสมอทำให้ท่านอัศม์ได้รับพลังนั้นไปด้วย
“เหนื่อยไหมหลาน”
“ไม่เลยครับ”
“ดีแล้วจ้ะ วันนี้ย่าให้คนเตรียมบัวลอยเผือกแบบที่หลานชอบเอาไว้ด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วไม่มีของโปรดอัยย์บ้างเหรอครับคุณย่า” แฝดคนน้องละจากหน้าจอโทรศัพท์ทันทีเพื่อทักท้วง
“ของเราก็มีเมื่อวานแล้วไงคะ”
“แหะๆ จริงด้วย” อัยยวัฒน์หัวเราะแห้งๆ อินทร์ธรเลยหัวเราะเยาะในความหน้าแตกของฝาแฝดตัวเอง อัยยวัฒน์คาดโทษทางสายตาแล้วยิ้มให้พี่ชายคนโต
ท่านอัศม์ส่ายหน้าอย่างระอา หากแต่ความเครียดที่มีก็ถูกผ่อนคลายลงด้วยบรรยากาศแห่งครอบครัว
น้องชายของอัศม์เดชทั้งสองมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนเขา หน้าตาคล้ายคลึงกันหากแต่ท่านจะดุและเข้มกว่า ส่วนแฝดจะมีความอ่อนโยน นิสัยร่าเริงเหมือนกับแม่มากกว่าเคร่งขรึมเหมือนพ่ออย่างเขา
“อินทร์ อัยย์ พาคุณย่ากลับเข้าบ้านเถอะ ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว” อัศม์เดชคิดว่าท่านคงนั่งมานานแล้ว จึงอยากจะให้ไปพักในบ้าน
“ครับ!”
สองแฝดรับคำสั่งอย่างทันที เพราะทั้งคู่ศรัทธาในความเก่งกาจของพี่ชาย และเคารพพี่ชายมากๆ อะไรที่พี่ชายสั่ง ทั้งคู่จะปฏิบัติตามทันที
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ย่ายังอยากนั่งอีกนิด” คุณย่าปฏิเสธ ร่างสูงไม่ขัดอะไร ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ กับคนเป็นย่าแทน
“คิดอะไรอยู่หรือครับ” ท่านถามเมื่อเห็นสีหน้าของย่า กับตาที่เหม่อมองไปยังฟากบ้านพักคนงานที่มีเพียงถนนถนนกั้นระหว่างสวนกับสวน
“เมื่อกี้ก่อนที่หลานจะมา เด็กๆ ลูกคนงานก็เพิ่งจะนั่งรถกลับมาจากโรงเรียนกัน นึกขึ้นได้ว่า เด็กๆ ที่ยังอยู่อนุบาล ประถม เวลาว่างๆ จะทำอะไร กลับมาก็อยู่กับห้องงั้นหรือ สวนหน้าบ้านก็ไม่มีอะไร ลองหาพวกเครื่องเล่นอะไรมาลงให้เด็กๆ หน่อยสิลูก ย่าว่าเด็กๆ จะได้ไม่เบื่อ บ้านเราก็มีกันแค่นี้ นานๆ ทีจะมีแขกมาเที่ยว ก็ได้คนงานกับเด็กๆ นี่แหละ ที่ทำให้บ้านยังเป็นบ้านไม่ใช่ป่าช้า”
“ผมจะให้สันต์จัดการให้ครับ”
“ย่าอยากทำเอง”
“ครับ?”
“อินทร์ ไปเรียกสันต์มา”
“ครับ คุณย่า”
เพราะต้องการให้ท่านมีเวลาอยู่กับครอบครัว สันต์ธรเลยไม่ได้เข้ามาในศาลาด้วย แต่ยืนรออยู่ที่ปลายสะพานฝั่งที่ติดพื้นดิน
“คุณหญิงมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
“ช่วยพาเด็กๆ ลูกคนงานมาหาฉันที่นี่ได้ไหม ฉันอยากจะคุยกับพวกเขา”
“ได้ครับ ตอนนี้เลยหรือครับท่าน”
“ตอนนี้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตโทรศัพท์ให้กอบกิจพาเด็กๆ มากนะครับ”
“จ้ะ”
ทั้งสี่คนรอไม่ถึงยี่สิบนาที เด็กๆ ทุกคนก็พากันเดินมาจากบ้านพักโดยมีกอบกิจนำขบวน เด็กชายหญิงอยู่ในวัยประถมเป็นส่วนใหญ่ อนุบาลก็มีบ้างหนึ่งในนั้นก็มีขวัญนพัต ส่วนมัธยมก็สี่ห้าคน วัยมหาวิทยาลัยก็มี เพียงแต่วัยนี้จะต้องออกไปอยู่ด้วยตัวเองข้างนอก แต่ถ้าทำงานให้ตระกูล จะมีสิทธิ์พักกับครอบครัวที่นี่ได้
ลูกคนงานที่มานั่งอยู่บนพื้นศาลาตรงหน้าทั้งสี่ท่านแม้จะเบียดๆ กันบ้างแต่ก็บรรจุคนได้พอดี นับจำนวนแล้วก็มียี่สิบหกคน ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะพอควร เพราะคนงานที่นี่มีร้อยกว่าชีวิต บ้างก็มีครอบครัว บ้างก็โสดอยู่คนเดียว บ้างลูกก็โตแล้ว
“สวัสดีค่ะ/ครับ”
ทุกคนทำความเคารพแล้วก็ก้มหน้าไม่กล้าเงยมองใครสักคน เด็กชายขวัญนพัตเองก็แอบๆ อยู่ข้างหลังคนตัวใหญ่กว่าเพื่อหลบสายตาคมที่จ้องมองตนตั้งแต่เดินเข้ามาในตัวศาลา
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ ไปเรียนกันมาเป็นยังไงบ้าง”
เงียบ...ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบเลยสักคน เด็กๆ หันมองหน้ากันเลิกลักเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนตอบ เพราะไม่ว่าใครก็กลัวกันทั้งนั้น
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ดุหรอก ที่เรียกมาก็แค่จะถามไถ่ พูดคุยเท่านั้น ตรงนี้ใครอายุมากที่สุดหรือ” คุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้เด็กๆ เริ่มผ่อนคลาย
“ผะ ผมครับท่าน ผมอายุสิบเจ็ด อยู่มอปลายครับ”
“น่ะ หนูก็อายุสิบเจ็ดค่ะ”
“คงอยู่ในช่วงคิดว่าจะต่อมหาวิทยาลัยไหนสินะ ตั้งใจเตรียมตัว อ่านหนังสือล่ะ”
“ค่ะ/ครับ”
“ฉันอยากจะถามพวกเธอว่ามีอะไรที่ต้องการหรือเปล่า พอดีฉันอยากจะลงพวกเครื่องเล่นให้ในสวน เวลาเลิกเรียนจะได้มีอะไรผ่อนคลาย เล่นสนุกตามประสาเด็กๆ ฉันให้ทุกคนได้พูดมาคนละอย่าง เตรียมเอาไว้ในใจด้วยล่ะ และห้ามบอกว่าไม่มี...เริ่มจากคนที่อายุมากที่สุดก่อนก็แล้วกัน กอบกิจช่วยลำดับให้ด้วยนะ”
“ครับท่าน”
กอบกิจเรียกชื่อเด็กๆ ทีละคน เจ้าของชื่อนั้นก็แค่บอกว่าต้องการอะไรในสวน บ้างก็บอกชิงช้า ม้านั่ง ซ้ำกันบ้างแต่ก็ไม่ได้บังคับให้หาคำตอบใหม่แต่อย่างใด บ้างก็อยากได้อะไรที่ไม่ได้อยู่ในสนามเด็กเล่น แต่ถ้าใช้ส่วนรวมได้ก็ไม่ว่าอะไร สันต์ธรฟังอย่างตั้งใจก็ได้แต่จำมันไว้ บันทึกเสียงด้วยโทรศัพท์ไปด้วยเอาไว้กลับไปนั่งฟังต่อ แล้วค่อยจัดการนำทุกอย่างมาลงให้ตามคำสั่งของคุณหญิง
“คนสุดท้ายนะครับ...น้องขวัญ”
เฮือก!
เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองน้ากอบกิจพ่อของเพื่อนวัยเดียวกันนามว่าแก้วที่ตอบไปแล้วก่อนตัวเองแล้ว แต่ก็เป็นของที่ซ้ำๆ กับคนอื่น
“คือ...ไม่มีฮะ”
ตอบเสียงเบา แม้ว่าคนจะเยอะ แต่มันค่อนข้างจะเงียบกริบ ทุกคนเลยได้ยินเด็กชายตัวน้อยตอบออกไปอย่างชัดเจน คุณหญิงอัปสรมีสีหน้าแปลกใจ เพราะว่าเธอบอกไปก่อนแล้วว่าห้ามตอบว่าไม่มี ไม่อยากได้ แล้วเด็กคนนี้ก็เป็นคนเดียวที่พูดสิ่งที่เธอห้าม
สองแฝดเองก็มองหน้าของขวัญนพัตแล้วก้มองหน้ากันเอง ส่วนท่านอัศม์แม้ว่าจะไม่แสดงสีหน้าอะไร หากเขาก็นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าคำตอบของขวัญนพัตจะเป็นแบบนี้
“ทำไมถึงไม่มี” อินทร์ธรถามออกไป
“หนู...ผมไม่อยากได้อะไรฮะ”
“ทำไมถึงไม่อยากได้” อัยยวัฒน์คาดคั้น
เด็กชายบีบมือตัวเองอย่างประหม่า ใจสั่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้านทั้งสี่คนเลยสักนิด น้ำตาคลอ คนอายุมากที่สุดเห็นแล้วก็ใจอ่อน
“กอบกิจพาเด็กๆ คนอื่นกลับไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเด็กคนนี้อยู่ก่อน” สิ้นคำสั่งของคุณหญิง เด็กๆ ทุกคนก็ต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพแล้วค่อยๆ เรียงแถวกันเดินออกจากศาลาไป ทิ้งเอาไว้แค่ขวัญนพัตที่กำลังนั่งก้มหน้ากลั้นน้ำตาของตนอยู่
“ไม่มีใครอยู่แล้ว อยากได้อะไรพูดมาเลยจ้ะ” คุณหญิงคิดว่าเด็กน้อยคงไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะแยะ หารู้ไม่ว่า เด็กคนนี้ไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ
“ผม...ฮึก ผม”
“อ้าว? ร้องซะแล้ว” อินทร์ธรโพล่งขึ้น
“ไม่มีใครดุหรือว่าอะไรสักหน่อย เจ้าตัวเล็ก บอกพวกเรามา มีของที่อยากได้หรือเปล่า” อัยยวัฒน์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาก่อนจะประคองเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ให้ลุกขึ้น
“ไม่มีฮะ ฮึก...ไม่อยากได้”
มือเล็กๆ เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ปาดซ้ายที ขวาที แต่ก็ไม่หมดเสียที คงเป็นเพราะกลัวจนไม่สามารถหยุดร้องได้ และก็ไม่กล้ามองใครเลยสักคน
“แล้วกัน...”
“อัยย์...พาขวัญมานั่งนี่” สั่งน้องชายพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปข้างๆ บ่งบอกว่าให้พามานั่งข้างตน
“ครับ” แฝดน้องดันตัวเล็กให้เดินไปทางที่ท่านอัศม์นั่งอยู่ เมื่อถึงที่ท่านก็ยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งข้างๆ เป็นการกระทำที่ซ้ำรอยวันแรกที่เจอกัน ทั้งคุณย่าและน้องชายก็พากันมองภาพนี้อย่างแปลกใจ
ไม่ว่าเจ้านายคนไหนก็ไม่เคยให้ลูกของคนงานหรือคนงานขึ้นมานั่งทัดเทียมกัน...ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เกรงว่าคนงานคนอื่นอาจจะคิดเอาได้ว่าเจ้านายลำเอียง เมตตาเด็กไม่เท่ากัน แม้ว่าจะไม่มีคนงานคนไหนคิดแบบนั้นเลยก็ตาม เพราะการที่ท่านเมตตาให้อยู่ที่นี่ ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
หากเจ้านายจะเอ็นดูใครเป็นพิเศษ ก็ไม่มีใครคิดว่าลำเอียงหรอก
“บอกฉันมาซิ ว่าทำไมถึงไม่อยากได้” เจ้าตัวเล็กน้องไห้ตัวโยน ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผู้ใหญ่ห้าคนที่กำลังจ้องมองตนอยู่
“เด็กคงกลัวน่ะลูก” ผู้เป็นย่าเอ่ย
เธอเองก็อยากจะเข้าไปปลอบอยู่หรอก เพียงแต่เห็นว่าหลานชายคนโตกำลังสนใจเด็กน้อยคนนี้ทั้งๆ ที่ไม่ปกติไม่ชอบเข้าใกล้เด็กที่ไหนก็พลอยอยากจะเห็นว่าหลานชายจะรับมือเช่นไร
“ว่าไง...ตอนเจอกันครั้งแรกก็กลัว ครั้งนี้ยังกลัวอีกหรือ ฉันไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้จะทำโทษเธอด้วย เพราะฉะนั้นหยุดร้องได้แล้ว แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าลูกผู้ชายร้องไห้บ่อยๆ มันไม่ดี อยากจะปกป้องแม่ไหม ถ้าอยากก็ต้องเข้มแข็ง หยุดร้องไห้เสีย”
“ครับ ฮึก...จะปกป้องแม่ ฮึก” เด็กน้อยพยายามที่จะหยุดร้องไห้ มือปาดน้ำตาตัวเองออก ข่มตัวเองให้ไม่กลัว เพราะถ้าคิดว่าตัวเองกลัว ตนก็จะร้องไห้
สองแฝดมองหน้ากัน สีหน้าบอกบอกว่าความอิจฉานิดๆ เพราะกับทั้งคู่ พี่ชายไม่เคยพูดด้วยอย่างอ่อนโยนแบบนี้เลย แต่กับลูกคนงานคนนี้ พี่ชายกลับเอ็นดูมากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีก
“หยุดยัง”
“ครับ อึก” แม้ว่าจะหยุดร้อง แต่ก็จะสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ ดวงตาที่ยังมีคราบน้ำตาติดตามแก้มและใต้ตาค่อยๆ หันไปมองร่างสูงข้างๆ เลยไปยังอินทร์ธร อัยยวัฒน์ คุณหญิงอัปสร และลุงสันต์ของตน
ทุกคนเห็นเห็นใบหน้าของเด็กน้อยอย่างชัดเจนก็รู้สึกว่าน่ารัก น่าเอ็นดู ต่างจากเด็กๆ ลูกคนงานทุกคน บ่งบอกว่าบุพการีต้องหน้าตาดีอย่างแน่นอน เพราะไม่งั้นลูกคงไม่ขาว ผิวพรรณดี และหน้าตาน่ารักแบบนี้
จริงอยู่ที่พ่อของขวัญนพัตเป็นเศรษฐีที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แม่เองก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้หญิงสวย งดงาม ทั้งหน้าตาและกริยา
“เก่งมากเด็กดี ว่าแต่เป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ย่าไม่เคยเห็นเลย”
“ลูกของคนงานใหม่ที่เพิ่งรับทำงานเมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับคุณหญิง ยังไงผมขออนุญาตเล่านะครับ” ท่านอัศม์พยักหน้าน้อยๆ หากแต่สายตาก็ยังคงจ้องเด็กน้อยที่นั่งเทียมตนก็สูงไม่ถึงอก
ทั้งสามท่านนั่งฟังสันต์ธรเล่าเรื่องของขนิษฐาแม่ของเด็กน้อยให้เจ้านายรับฟัง ทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะหันมาจ้องมองเด็กด้วยความอาทร สงสาร ก็จริงอยู่ที่คนงานที่นี่ต่างก็ไม่ค่อยจะมีฐานะ มาก็เพื่อพึ่งใบบุญของพวกท่าน เพียงแต่หญิงสาวที่วัยยี่สิบปลายๆ ในสภาพที่น่าเวทนามาล้มอยู่หน้าบ้านก็เป็นอะไรที่หนักหนาเอาการ แต่ก็ยอมรับว่าแม่ของเด็กคนนี้ต้องเป็นคนแข็งแกร่งมาก
“ดีแล้วที่ช่วยเธอกับลูกไว้...ยังไงก็คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่ในสบายใจ ไม่ต้องกลัวนะลูก” ประโยคหลังเธอหันมายิ้มให้กับเด็กชายขวัญนพัตอย่างอ่อนโยน เจ้าตัวน้อยที่เข้ากับคนง่ายอยู่แล้วพอเห็นว่าเจ้านายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ยิ้มให้จนตาหยี สองมือเล็กประนมกันที่กลางอกแล้วไหว้อย่างสวยงาม
“ขอบคุณครับคุณหญิง” เด็กน้อยเรียกตามลุงสันต์ของตน เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนได้ไม่ยาก ขนาดคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างท่านอัศม์ยังยิ้มบางๆ
“ฮึ่ย! มันเขี้ยวว่ะเจ้าตัวเล็ก” อินทร์ธรลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งข้างๆ กับขวัญนพัตอีกด้านแทน มือใหญ่ขยี้เบาๆ ที่กลุ่มผมนุ่มของเด็กน้อย
“งื้อ...อย่าทำหนู”
“แก้มน่าฟัดมากเลย” อัยยวัฒน์เอื้อมแขนผ่านพี่ชายคนโตไปดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นไม่แรงมากนัก เจ้าตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แล้วหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย
อัศม์เดชปล่อยให้น้องชายแฝดเล่นกับขวัญนพัตเพื่อให้เด็กน้อยผ่อนคลาย ซึ่งมันก็ได้ผลตามที่คาด และเสียงทุ้มก็เอ่ยห้ามปรามน้องชาย “พอแล้ว”
“คร้าบบบ” ทั้งสองรับคำเสียงยาวกวนประสาท พี่ชายคนโตส่ายหน้าไปมา รู้สึกระอาใจกับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของทั้งสองคน ทั้งที่อายุอ่างกันเพียงสองปีเท่านั้น
“เอาล่ะขวัญ จะตอบได้หรือยังว่าจะเอาอะไร ทุกคนตอบหมดแล้วนะ ไม่ตอบไม่ได้ พวกฉันไม่อยากกลายเป็นเจ้าบ้านที่ให้ของไม่เท่าเทียมกัน”
เด็กชายเม้มปาก พยายามนึกสิ่งที่อยากได้ แต่ก็นึกยังไงก็ไม่ออก เพราะของที่ใช้ร่วมกับคนอื่นได้เด็กน้อยไม่มี ยังไงก็ต้องเล่น ต้องใช้ด้วยกัน ทุกคนก้บอกไปหมดแล้ว
ขวัญนพัตไม่มีของที่อยากได้จริงๆ
“ไม่มีฮะ...ผมไม่อยากได้ ที่อยากเล่นทุกคนก็พูดไปหมดแล้วครับ ผมรอเล่นกับทุกคนก็ได้”
“แล้วมีอย่างอื่นที่อยากได้หรือเปล่า” คุณหญิงอัปสรถามขึ้น
“ของที่ใช้ร่วมกับคนอื่น หนู...เอ่อ ผมไม่มี แต่มีของที่อยากจะให้แม่ครับ” เด็กน้อยพูดอ้อมแอ้ม แต่สิ่งที่พูดออกมาสร้างความประหลาดใจให้แก่คนฟังนัก
“อะไรล่ะจ้ะ”
“ยาฮะ...ยาที่แม่กินทุกวัน ผมเห็นมันหมดไปตั้งแต่สามวันก่อน แม่บอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมไม่เชื่อ แม่ชอบปวดหัวแล้วล้มบ่อยๆ”
“ยาอะไรสันต์ วันที่หมอมาตรวจตอนนั้นก็รายงานว่าแค่อ่อนเพลียไม่ใช่เหรอ” ท่านอัศม์หันไปถามคนสนิท ใบหน้าไม่พอใจเพราะคิดว่าคนทำงานพลาด
“หมอแค่ตรวจร่างกายภายนอกครับว่าต้องพักผ่อนกี่วัน ส่วนโรคที่อาจจะเป็นต้องใช้การตรวจที่โรงพยาบาลหรือตรวจอย่างอื่นประกอบกันด้วยถึงจะทราบได้ครับ แต่ถ้าเอาตัวถุงยาไปให้หมอดูน่าจะได้คำตอบนะครับว่าขิมเธอกินยาอะไรอยู่”
“จัดการด้วย”
“ผมว่าผมจะไปคุยกับขิมตรงๆ ดีกว่า ยังไงเธอก็ไม่ควรปิด ยิ่งปัญหาสุขภาพยิ่งไม่ควรปิดครับ”
“งั้นก็จัดการตามวิธีของสันต์ได้เลย”
“ครับท่าน”
เด็กน้อยมองผู้ใหญ่คุยกันไปมา ไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่ก็จับใจความได้ว่าท่านอัศม์จะช่วยแม่ของตน เด็กน้อยยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณทุกๆ คนอย่างเด็กที่ถูกสอนมาดี
“ขอบคุณนะฮะ”
“ชื่ออะไรนะเราน่ะ” อัยยวัฒน์ถาม แม้ว่าจะรู้แล้ว แต่ก็อยากให้เจ้าตัวน้อยแนะนำกับปากตัวเอง
“หนู...ผมชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นชื่อขวัญครับ!!” แนะนำตัวเองเสียงดังฟังฉัน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดีเลย
ท่านอัศม์ที่เหนื่อยๆ จากงานมาก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย
“แทนตัวเองว่าหนูก็ได้จ้ะ น่ารักดี เรียกฉันว่าคุณย่าก็ได้นะ” คุณหญิงอัปสรรู้สึกเอ็นดูมาก เพราะเด็กคนนี้แม้ว่าช่วงแรกๆ จะเกร็ง แต่ตอนนี้กลับผ่อนคลายและคุยเก่งกว่าที่คิด แล้วในความคุยเก่งยังมีมารยาทที่ไม่ค่อยจะหาได้ในวัยซนเท่าไหร่นัก
“ไม่ได้ฮะ แม่บอกว่าอย่าทำตัวเสมอเจ้านาย มันไม่ดี”
“แต่ฉันให้เรียก ก็เรียกเถอะ”
“ผมเรียกคุณหญิงย่าได้ไหมฮะ”
“คุณหญิงย่า? อืม...ก็แปลกดี ไม่เหมือนใครด้วย โอเคจ้ะ ฉันจะให้เราเรียกว่าคุณหญิงย่าก็ได้ แต่เราต้องมาเล่นกับฉันที่นี่ทุกวันได้หรือเปล่า หลังเลิกเรียนก็มาได้เลย พี่ๆ สองคนนี้ไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยนักหรอก เรียนหนัก ฉันก็เหงา อยากมีเพื่อนคุย”
“คุยกับหนูเหรอ? ไม่ดูไร้สาระใช่ไหมฮะ แก้วชอบว่าหนูพูดมาก ไร้สาระ คุณหญิงย่าจะไม่ปวดหัวใช่ไหมฮะ”
“ฮะๆ จะทำให้ปวดแค่ไหนกันเชียว ตัวแค่นี้เอง”
“งั้นหนูจะมาทุกวันเลย คุณหญิงย่าจะมีอะไรให้หนูทำด้วยไหมฮะ ถ้าคุยเฉยๆ หนูกลัวจะมีเรื่องคุยไม่พอ” เด็กน้อยถามหน้าตาซื่อ
“ฮ่าๆ”
ทุกคนหัวเราะร่วน มองกันไปมาเพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้หัวเราะอย่างสนุกสนานกันแบบนี้ ส่วนท่านอัศม์ ถึงจะไม่หัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศของท่านดูผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็น
“ฉันล่ะชอบเด็กคนนี้จริงๆ เห็นทีต้องจับมัดเอาไว้ที่นี่ไม่ให้ไปไหนเสียแล้วล่ะ ขวัญ...โตไปอยากเป็นอะไรล่ะเรา”
“ไม่เอาอุลตร้าแมน” อินทร์ธรแทรกขึ้น เกรงว่าจะได้คำตอบแบบที่พวกเด็กๆ ชอบตอบ แน่นอนว่าตอนเด็กๆ ครูเคยถามเขาแบบนี้เช่นกัน และเขาก็ตอบไปแบบที่ห้ามขวัญนพัตนั่นแหละ
“ใช่...ไม่เอาพวกฮีโร่ การ์ตูนด้วย” อัยยวัฒน์สมทบ
หนูน้อยเอียงคอทำหน้าครุ่นคิดนิดๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ
“เป็นเหมือนแม่ฮะ!!”
“ยังไงวะนั่น?” สองแฝดพึมพำเพราะไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงอยากเหมือนแม่ล่ะ” คุณหญิงถามต่อ
“แม่ของหนูเก่ง ทำได้ทุกอย่าง ทำอาหารก็อร่อย ทำขนมเก่ง ทำชุดก็สวย ร้อยพวงมาลัยก็เป็น แม่สวย แม่เรียบร้อย หนูอยากเก่งทุกอย่างเหมือนแม่เลยฮะ”
อัศม์เดชทำหน้าไม่ถูกเพราะคิดภาพตามเจ้าตัวเล็กเป็นเหมือนแม่ไม่ออก คนอื่นๆ ก็เอาแต่หัวเราะ หากสายตากลับอ่อนโยนมองขวัญนพัตอย่างเอ็นดู
เขาก็คิดแบบนั้น...ขวัญนพัตน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ ที่ว่าเช่นนั้นเพราะเขาไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่ แต่กับเด็กคนนี้เขากลับรู้สึกว่าอยากเห็น อยากแกล้ง...หรือจะรับเป็นน้องชายบุญธรรมดี
“อยากเป็นแบบแม่ก็ต้องตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝนนะขวัญ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะสอนให้ก็แล้วกัน เริ่มจากง่ายๆ ไม่อันตราย คือการจัดดอกไม้ สนใจไหม พรุ่งนี้มาเรียนจัดดอกไม้ จัดเสร็จจะเอาไปตั้งโชว์ที่ห้องหรือให้แม่ก็ได้”
“สนฮะ! หนูอยากจัดให้แม่ พรุ่งนี้หนูจะรีบมาหานะฮะคุณหญิงย่า”
คนอายุมากที่สุดสบตากับหลานชายคนโตด้วยดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสนุก ตื่นเต้น แปกใจเล็กน้อยที่ขวัญนพัตทำให้คุณย่าของตนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ตั้งแต่พ่อของเขาเสีย คุณย่าก็เหมือนไม่อยากจะทำอะไรอีกเลย เอาแต่เดินเล่น นั่งเล่น อ่านหนังสือ กิจกรรมโปรดๆ ที่ตัวเองเคยทำมาตลอด ก็ไม่คิดที่จะแตะอีกเลย พอจะกลับมาจับมันอีก ก็เป็นเพราะเหตุผลที่ถ้าเอาไปพูดที่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อแน่
เพราะเด็กห้าขวบ...
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกวันหลังจากที่เด็กชายขวัญนพัตกลับมาจากโรงเรียน ก็จะตรงมาที่ศาลากลางสระบัวซึ่งคุณหญิงย่าจะนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเด็กที่คอยอยู่รับใช้ มีไม่กี่คนที่รู้ว่าขวัญนพัตมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงอัปสร แม้แต่ขนิษฐาผู้เป็นแม่เองก็ไม่ทราบ หากแต่เธอก็สงสัยว่าลูกชายไปหัดจัดดอกไม้มาจากไหน ถามเจ้าตัวดีก็ไม่ตอบอะไร บ่ายเบี่ยงจนเธอเดาเองว่าคงเป็นคนงานด้วยกันนั่นแหละที่สอนให้
ขวัญนพัตกลายเป็นลูกศิษย์คนสนิทของคุณหญิงย่าไปเลย ผ่านไปสามเดือนกว่า น้องเรียนรู้การจัดดอกไม้ทุกรูปแบบด้วยความตั้งใจ จนจำได้และชำนาญ น้องตั้งใจ ไม่เคยหนีไม่เคยบ่น ในทุกๆ วันมักจะสนุกโดยไม่ต้องเล่นกับเพื่อนเลยก็ได้ แต่บางวันท่านก็ปล่อยให้ขวัญนพัตไปเล่นกับเพื่อนบ้าง เพราะเด็กยังไงก็ต้องมีเพื่อน บางวันก็มีอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์มาเล่นเป็นเพื่อน สำหรับเด็กน้อยคิดว่าสองแฝดมาแกล้งมากกว่า
ส่วนท่านอัศม์จากวันนั้นก็ไม่ค่อยมาเท่าไหร่นักเพราะต้องทำงานและเคลียร์งานก่อนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ท่านก็มักจะมาทักทายคุณย่าของตนบ้างแต่ก็รีบกลับไปทำงานบนห้องต่อ ไม่ได้มีเวลามานั่งเล่นด้วยแต่อย่างใด ซึ่งสำหรับขวัญนพัตนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้ง น้องก็ไม่เคยชินกับท่านเสียทีและยังกลัวท่านเสมอ
คุณหญิงอัปสรเดิมทีท่านเหงามากอยู่แล้ว พอมีขวัญนพัตท่านเลยมีความสุขเหมือนแต่ก่อนได้ ท่านจึงเอ็นดูเด็กน้อยมากเป็นพิเศษ และมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นความผูกพันและความรักไปโดยไม่รู้ตัว ตั้งใจว่าจะสอนทุกอย่างที่ตัวเองเป็นให้ ซึ่งลืมไปเลยว่าขวัญนพัตเป็นเด็กผู้ชาย
ทว่า ลมแห่งความสงบสุขมักจะผ่านไปเร็ว พายุร้ายกำลังจะเข้ามาพัดกระหน่ำชีวิตของขวัญนพัตให้พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...
----- To be continue -----
ชอบหนูขวัญกันไหมคะ ฮือ...จำได้ว่าตอนที่แต่งเอ็นดูน้องมาก ไม่รู้ตัวเองจะสื่อถึงทุกคนหรือเปล่านะคะ ฝากเข้าไปติดตามยูกิในทวิตเตอร์ @Sawachi_Yuki กับแฟนเพจ Sawachi Yuki นะคะจะไม่พลาดการอัพเดตแน่นอน หรือกดแอด Fav. ไว้ก็ได้จ้า ลงปุ๊บแจ้งเตือนปั๊บเลย