5
กลับมา...เพราะ ‘พรหมลิขิต’
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตามกลไกโดยธรรมชาติของมัน ทุกคนดำเนินชีวิตไปตามปกติ สุข ทุกข์ ทุกคนมีหน้าที่ ก็ใช้ชีวิตตามหน้าที่ของตน
ช่วงที่ท่านอัศม์เรียนปริญญาตรีใบที่สองในมหาลัยชื่อดังของอเมริกา ช่วงปิดเทอมท่านจะกลับมาทำงานที่พรรค ที่บริษัทตลอด ยกเว้นช่วงที่ต้องฝึกงาน ซึ่งต้องฝึกอยู่ที่นั่นและไม่ได้กลับมา ท่านกลับมาอีกครั้งก่อนจะเริ่มต่อโทใบที่สอง มาก็เจอขวัญนพัตบ้าง แต่ไม่บ่อย เพราะตนกลับมาทำงานไม่ได้มาพัก แต่ก็ได้ฟังรายงานเรื่องของเด็กชายตัวน้อยอยู่ตลอด หากเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก แค่รู้ว่าเด็กตั้งใจเรียน ประพฤติตัวดีก็พอแล้ว
แต่แล้วท่านก็ไม่ค่อยมีเวลาอีกเลยเมื่อเริ่มเรียนต่อโทใบที่สอง งานของบริษัทได้อินทร์ธรและอัยยวัฒน์บริหารอยู่ แต่ประธานใหญ่คืออัศม์เดชเวลาประชุมก็ต้องวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เอา เอกสารสำคัญเขาเคลียร์เอง ตรวจสอบการทำงานของน้องชายด้วย ในส่วนของพรรคเขาก็ทำเช่นเดียวกับบริษัท ไม่ได้ทิ้งไปไหนตรวจสอบอยู่เสมอ ทั้งเรียนทั้งงาน ตารางชีวิตในแต่ละวันก็เต็มแล้ว มีอยู่สองครั้งที่ท่านต้องกลับมาเพื่อร่วมงานรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลผู้นำพรรคเบญจเตโช ที่เปลี่ยนผู้นำเป็นรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน ร่วมงานเสร็จก็กลับไปอเมริกาดังเดิม จากนั้นท่านก็ไม่กลับไทยอีกเลยจนจบปริญญาเอกตามเป้าหมายสุดท้าย...
“โอ้โห...คอแทบเคล็ด มองขนาดนี้ไม่เข้ามาขอเบอร์เลยล่ะ”
เสียงไม่สบอารมณ์ของแก้วกานต์เพื่อนรักของขวัญนพัตที่โตมาด้วยกันว่าอย่างหมั่นไส้ผู้ชายคนหนึ่งที่มองเพื่อนรักจนคอแทบหัก
“แล้วนั่นก็อีก เข้ามาจีบเลยไหม”
“อยากให้เขามาจีบตัวเองขนาดนั้นหรือไง ไหนว่าชอบผู้หญิง?” ขวัญนพัตหันหน้าหวานๆ มามองเพื่อนรัก
เพื่อนตัวสูงถึงกับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับความซื่อบื้อของเพื่อนสนิท เพราะเจ้าตัวเหมือนจะไม่รู้เลยว่าตัวเองสวยสะกดขนาดไหน โชคดีที่เป็นชายแท้ เลยไม่หวั่นไหว แต่เขาก็มีความหวงเพื่อนขั้นสูงสุดเหมือนกัน
“ขวัญ...นายซื่อบื้อว่ะ”
“เอ้า...อยู่ๆ ก็มาว่าเราเฉยเลย”
เด็กชายขวัญนพัตในวันก่อนเติบโตขึ้นมากลายเป็นนายขวัญนพัตวัยสิบเจ็ดปีที่หน้าตาสวยหวานพร้อมเป็นศัตรูกับผู้หญิงทั่วโลก ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ระดับ High School Grades 11 เทียบเท่ามัธยมปลายปีที่ห้า ผิวขาวผ่อง ออกแดดทีสะท้อนแสงจนแสบตา เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน ทรงผมเลยไม่ต้องตัดเกรียนเหมือนเด็กรัฐบาล เลยทำให้ใบหน้าดูสวยเข้าไปอีก
“นี่ก็อีก...มอง มองขนาดนี้ เข้ามาสิงเลยไหม” ร่างสูงมองไปยังคนที่จ้องเพื่อนสนิทอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แหนะ...อะไรของแก้วเนี่ย”
“รู้ตัวบ้างไหมขวัญ”
“รู้อะไร?”
“โว้ย...หงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าถูกคุณอินทร์ คุณอัยย์ไหว้วานให้ดูแล จะไม่สนใจใยดีเลย” แก้วกานต์บ่น ใบหน้าหล่อเข้มหงุดหงิดจนขวัญนพัตยิ่งไม่เข้าใจ
ที่พูดไปก็ไม่ใช่ความจริงหรอก ต่อให้ใครไม่ไหว้วาน ก็ทิ้งเพื่อนคนนี้ไม่ได้อยู่ดี
แก้วกานต์มองเพื่อนสนิทที่กำลังเลือกของขวัญวันเกิดให้กับเพื่อนผู้หญิงในห้องที่กำลังจะจัดงานวันนี้ เป็นลูกของคนมีฐานะ ขวัญนพัตเลยถือโอกาสเอาเงินที่ได้รับทุกๆ เดือนจากท่านอัศม์มาใช้ ซึ่งนานๆ จะใช้ที เนื่องจากไม่ได้ลำบากขนาดนั้น พ่อแม่ก็เลี้ยงดูดี เลยปล่อยให้มันสะสมไป พอเช็คยอดคงเหลือแต่ละครั้งก็ถอนหายใจ คือจำนวนที่มีมันมากเกินไปที่คนอายุสิบเจ็ดปีจะมีในครอบครอง เคยคุยกับพ่อว่าจะคืนเงินท่านทั้งหมด ก็ไม่เป็นผลเพราะท่านตั้งใจให้ และบังคับว่าต้องใช้ ขวัญนพัตเลยได้แต่รับมันมาและไม่กล้าใช้เลย
“ไม่แพงไปเหรอขวัญ”
“เราก็ว่ามันแพงแหละ แต่มันเป็นแบรนด์เนมนะ ถ้าซื้อของให้เรนนี่ก็ต้องให้สมฐานะ ไม่งั้นเราจะกลายเป็นตัวตลกของงาน”
“แต่นี่มันแบรนด์เนมราคาแบบหมื่นกว่านะเว้ยขวัญ บ้าไปแล้วเหรอ นี่กะเข้าไปตอกหน้าเลยหรือไง แบบเรนนี่ใช้น้ำหอมไม่ถึงหมื่นหรอก”
“เอาน่า เขาจะได้เลิกดูถูกเราไงแก้ว”
“นายเป็นถึงลูกบุญธรรมคุณลุงสันต์คนสนิทของท่านอัศม์ ร่ำรวยกว่ายัยเรนนี่เยอะเลย เปลืองเงินว่ะ”
“เอาเถอะน่า เราไม่ค่อยใช้เงินนี่ ถือว่าเพื่อความสะใจของแก้วไง”
“ไอ้บ้า นายนี่มันเหลือเกิน” ร่างสูงส่ายหน้า
เพื่อนของตนเป็นคนที่จะไม่ค่อยเดือดร้อนนักถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่นที่สำคัญกับตัวเอง ขวัญนพัตจะเดือดเนื้อร้อนใจมากๆ
“ฮะๆ เอาอันนี้เลยครับ แล้วห่อเป็นของขวัญให้ด้วยนะครับ”
ขวัญนพัตหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปชี้น้ำหอมที่พนักงานแนะว่าผู้หญิงนิยมกันแต่ราคาหลักหมื่น ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นหญิงที่มีฐานะ พร้อมกับส่งบัตรเดบิตไปเพราะต้องการให้หักจากบัญชีที่เป็นบัญชีรับเงินจากท่านอัศม์โดยเฉพาะ ร่างบางไม่อยากใช้เงินเพื่อตอกหน้าใครแบบนี้
แต่เรนนี่ดูถูกแก้วกานต์ เขายอมไม่ได้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบพระคุณมากๆ เลยนะคะ”
ขวัญนพัตรับถุงกระดาษที่มีโลโก้ของร้าน ซึ่งด้านในถุงห่อได้อย่างหรูหรามาก รับรองได้ว่าคนได้รับของขวัญนี้ต้องอึ้ง ตะลึงไปจนถึงชาติหน้าแน่นอน...
ทั้งคู่เดินไปร้านเบเกอรี่ร้านประจำในห้างที่มักจะมาด้วยกันบ่อยๆ สั่งของที่จะทานแล้วนั่งคุยกันอยู่ที่มุมสงบๆ ของร้าน เพราะวันนี้ไม่มีงานต้องกลับไปทำก็เลยมาซื้อของขวัญหลังเลิกเรียนทันที เพื่อไปงานวันเกิดของเพื่อนร่วมคลาสซึ่งถูกบังคับให้ไปก็เลยขออนุญาตพ่อแม่ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
“คุณลุงแกไปอเมริกาใช่ไหม”
“อือ...ไปรับท่านอัศม์กลับน่ะ”
“นี่ท่านก็ไปเรียนถึงสิบปีเลยเนาะ เก่งว่ะ เป็นฉันคงตายตั้งแต่ปริญญาตรีแล้ว” แก้วกานต์พูด สีหน้าที่ประกอบคำพูดเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากขวัญนพัต
“ก็จริง แต่คุณพ่อบอกว่าท่านชอบที่จะหาความรู้น่ะ”
“นายเองก็เหมือนกันขวัญ นอกจากเรียนหนังสือก็เรียนอะไรไม่รู้เยอะไปหมด นี่เป็นลูกคุณลุงสันต์ต้องเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ”
“เราต้องทำเพื่อไปดูแลท่านน่ะสิ แล้วก็ต้องทำงานทดแทนบุญคุณด้วย แก้วล่ะอยากจะเป็นอะไร”
“วิศวกร ฉันจะทำงานให้กับท่านอัศม์นั่นแหละ เป็นบริษัทหนึ่งในเครือของท่าน”
“อ๋อ...บริษัทอสังหาฯ วันก่อนเข้าไปดูงานอยู่นะ มีแต่โครงการเจ๋งๆ ทั้งนั้น ถ้าอยากจะไปอยู่ตรงนั้นก็ต้องตั้งใจเรียนนะเพื่อนนะ”
“ห๊ะ! ไปดูงาน ดูอะไร” แก้วกานต์เบิกตาโพลง เอานิ้วเขี่ยหูราวกับว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไป ถึงจะรู้ว่าเพื่อนเรียนรู้งานของทางคฤหาสน์ ทางพรรค และบริษัทต่างๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ไม่คิดว่าจะไปไกลขนาดนี้แล้ว
เพื่อนคนนี้ เดินห่างไปจากตัวเองอีกแล้ว...แต่แก้วกานต์ก็ไม่ได้อิจฉาอะไร นึกห่วงเพื่อนที่มีงานต้องทำจนอาจจะไม่เคยใช้ชีวิตวัยรุ่นก็ได้
“ไปเป็นเลขาให้คุณอัยย์ เป็นหนึ่งในงานที่ต้องศึกษา เผื่อว่าจะได้แทนตำแหน่งของพ่อได้ในภายภาคหน้า” ขวัญนพัตพูดติดตลก
“ถ้าจะเป็นอย่างนั้นต้องเป็นทุกอย่างเลยนะเว้ย นี่อย่าบอกนะว่ายิงปืนเป็น”
“อื้อ...ปืนจริงหนักมากเลยนะ”
“ศิลปะป้องกันตัวล่ะ”
ขวัญนพัตส่ายหน้า “พ่อไม่ให้เรียน ไม่มีใครให้เรียนสักคน ไม่เข้าใจเหมือนกัน ให้เรียนยิงปืน แต่ไม่ให้เรียนศิลปะป้องกันตัว แบบนี้ตอนไม่มีปืนก็จบเห่สิ”
“ยังจะมาเล่นอีก แต่ฉันว่าฉันเข้าใจนะว่าทำไม”
ก็พวกที่ฝึกให้มันไม่น่าไว้ใจน่ะสิ ถึงไม่ให้เรียน
ขวัญนพัตสงสัย แต่ไม่คิดจะถาม ดูดน้ำสตรอเบอร์รี่ปั่นของโปรดอย่างสบายใจ สลับกับเค้กสตรอเบอร์รี่ของหวานประจำวันที่ถ้าขาดไปก็เหมือนขาดใจตาย
“อาทิตย์หน้าท่านก็กลับมาแล้ว คงจะสง่างามกว่าเดิมน่าดูเลยเนอะ”
“คงงั้น”
“นายไม่ตื่นเต้นหรือขวัญ ท่านอัศม์กลับมาแล้วนะเว้ย”
“เคยตื่นเต้น แต่ตอนนี้เฉยๆ ยังไงบ้านของท่าน ท่านก็ต้องกลับ”
“อิจฉานายว่ะ ได้ทำงานใกล้ชิดท่าน”
“ยังไม่ได้ทำเลย ไม่แน่ท่านอาจจะเปลี่ยนใจเพราะหาภรรยาได้แล้วก็ได้” ร่างบางตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยังไงเขาก้มีทางอื่นให้ทดแทนบุญคุณหลายทางอยู่แล้ว
จะได้ทำงานใกล้ท่านหรือไม่ใกล้ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเสียหน่อย...
ประเทศสหรัฐอเมริกา
“ผมเตรียมพร้อมทุกอย่างเรียบร้อยครับ ของบางส่วนถูกส่งไปก่อนแล้ว ท่านมีอะไรที่ยังไม่ได้จัดการอยู่ไหมครับ” สันต์ธรเอ่ยถามท่านอัศม์ที่กำลังนั่งอ่านข่าวอยู่กับแท็ปเล็ต
ท่านอัศม์ในวัยสามสิบสี่ปี เป็นชายร่างสูง ใบหน้าหล่อคม ยังคงเค้าโครงเดิม แต่เพิ่มเติมคือมาดที่ดูผู้ใหญ่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดูมาดแมนและมีเสน่ห์น่าเข้าหา ที่สำคัญดูเคร่งขรึม สงบนิ่งมากกว่าเดิม
“ไม่มีแล้ว เหลือแค่ของฝาก เลื่อนวันกลับได้ไหม แต่ไม่ต้องบอกคนทางนั้น”
“อยากเซอร์ไพรส์หรือครับ”
“อืม...เป็นอีกสองวันข้างหน้าก็ได้ คงถึงไทยเช้าวันเสาร์ พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อของฝากให้คุณย่า คุณแม่แล้วเจ้าแฝดด้วย อย่าลืมล่ะ”
“ครับท่าน ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดการเลื่อนไฟลท์ให้ครับ”
“อืม”
“ว่าแต่ท่าครับ ยังไม่เจอคนที่จะมาเป็นภรรยาอีกหรือครับ วัยนี้กำลังพอดีเลยนะครับ”
อัศม์เดชถอนหายใจเพราะรู้ว่ายังไงคนสนิทก็ต้องถาม แต่ทำยังไงได้ที่เขาไม่เจอเลย ที่สำคัญสิบปีที่ผ่านมาก็มีแต่งาน เรียนแล้วก็งาน การเที่ยวหรือสังสรรค์มีน้อยมาก นับครั้งได้เลย
“ไม่มี...ไม่เจอ”
“งั้นกลับไปคราวนี้คงเหนื่อยเลยครับ เพราะมีมาต่อแถวยาวเลยครับ คุณหญิงน่านฟ้าก็เริ่มหาไว้แล้วด้วย”
“อืม...ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้น หาคนที่รักไม่ได้ ก็จะเอาคนที่เหมาะสมที่สุดก็แล้วกัน เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ สำหรับฉันมีแต่งานเท่านั้นแหละ”
“ครับ ตอนนี้ทั้งคุณอินทร์ คุณอัยย์ก็มีคนรักแล้วนะครับ พร้อมที่จะหมั้นทันทีที่ท่านกลับไทย”
“อืม...ก็ดีแล้ว”
“ท่านครับ ตอนนี้ขวัญเรียนรู้ทุกอย่างไปได้คร่าวๆ แล้ว แต่งานดูแลคฤหาสน์จะไปได้ดีกว่างานของบริษัทกับงานของพรรค แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ คงเพราะยังเด็กอยู่ต้องอาศัยประสบการณ์ ไม่ทราบว่ากลับไปแล้วท่านจะให้ขวัญทำหน้าที่ดูแลเลยหรือให้เรียนจบก่อนครับ”
“ดูแล? ฉันเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยสินะ ไม่ต้องดูแลฉันแล้วก็ได้ ให้เด็กทำงานที่บริษัทหรือไม่ก็ในพรรคตามที่สันต์เห็นสมควรเลยก็แล้วกัน จะไม่ไม่ต้องอยู่ดึกดื่นรอฉันนอน”
“งั้นหรือครับ ได้ครับ ผมจะจัดการตามนั้น”
สันต์ธรก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่ท่านจะจำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรไว้บ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะใช้ความสามารถของขวัญนพัตให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ ซึ่งการดูแลท่านใครๆ ก็ทำได้ แต่ดูเหมือนว่านิสัยที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวจะเพิ่มระดับมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“แต่ผมคงต้องเรียนเอาไว้ว่า ทุกวันหยุดขวัญจะเข้าไปดูแลคฤหาสน์นะครับ ช่วยคุณพิไลอีกแรง เพราะฝีมือของขวัญดีทุกอย่างตั้งแต่อาหาร ยันงานฝีมือ แล้วคุณหญิงอัปสรกับนายหญิงก็โปรดปรานอาหารฝีมือของขวัญด้วยน่ะครับ ไม่ไปเลยท่านจะไม่พอใจเอาได้”
“อย่างนั้นก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
“มีอะไรอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านก็พักผ่อนเสียนะครับ ผมขออนุญาตออกไปซื้อของฝากลูกๆ กับภรรยาหน่อย”
“ตามสบาย”
สันต์ธรปล่อยให้ท่านพักผ่อนไป ส่วนตัวเองก็จัดการเลื่อนไฟลท์ตามคำสั่งแล้วก็ไปหาซื้อของฝากให้กับครอบครัวของตนเองอย่างที่ตั้งใจ...
...
...
รถคันหรูวิ่งตรงมาจอดยังหน้าบ้านหลังไม่ใหญ่มาก แต่บ่งบอกว่ามีฐานะพอสมควร ประตูด้านหน้าไม่ห่างจากตัวสวนที่จัดงานวันเกิดของลูกสาวเจ้าของบ้านเท่าไหร่ ขวัญนพัตจึงให้คนขับรถที่บ้านจอดที่ด้านหน้าพอ
“พี่แคนจอดรอแถวนี้แหละฮะ เดี๋ยวขวัญก็กลับ ไม่อยู่นานหรอก”
“ครับคุณขวัญ”
ทุกคนที่ถูกชวนมาถึงงานส่วนใหญ่แล้ว ทุกสายตาเลยจ้องมองรถที่ร่างบางกับแก้วกานต์นั่งมาไม่วางตาด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใคร แต่พอเห็นว่าเป็นพวกเขาสองคนเท่านั้น เสียงพูดคุย ซุบซิบก็ดังขึ้น ขวัญนพัตแต่งตัวดูดีและแบรนด์เนมทั้งตัวเพราะพี่ๆ ซื้อให้ทั้งนั้น ส่วนแก้วกานต์เองก็แต่งตัวง่ายๆ หากก็ดูดีกว่าปกติ ที่สำคัญเสื้อผ้าก็ไม่ได้ราคาถูกอะไรด้วย...
“สวัสดีเรนนี่ ขอบคุณที่ชวนเรากับแก้วนะ นี่เป็นของขวัญเราสองคน อาจจะเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็สุขสันต์วันเกิดนะ” ขวัญนพัตยิ้มการค้าให้เจ้าของงานแล้วยื่นกล่องของขวัญที่ดูหรูหราไปให้ เธอรับมาแล้วมองมันด้วยแววตาดูไม่พอใจ
เพราะคำว่าเล็กๆ น้อยๆ สินะ
“ขอบใจนะจ้ะ ยังไงก็อยู่จนถึงช่วงเปิดของขวัญนะ ไปนั่งสิ เดี๋ยวมีคนเอาอาหารไปเสิร์ฟ” หญิงสาวยื่นของให้คนรับใช้อย่างไม่ได้ใส่ใจของขวัญ สาวใช้รีบเอาไว้ไว้รวมๆ กันกับโต๊ะที่มีของขวัญเต็มไปหมด
ทั้งสองคนนั่งคุยกัน รอเวลาที่เจ้าของงานจะเปิดเป่าเค้กและเปิดของขวัญ ทั้งคู่ไม่มีใครแตะอาหารตรงหน้าเลยสักคน มีเพียงแค่จิบเครื่องดื่มเพื่อไม่ให้เสียมารยาทเท่านั้น
เกือบชั่วโมงที่นั่งรอ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะเปิดของขวัญกันเสียที แต่ไม่เห็นเจ้าของงานแกะของขวัญจากขวัญนพัตกับแก้วกานต์เสียที
“กรี๊ด...เจน เธอให้สร้อยฉันเหรอ สวยมากเลย อ๊ะ แบรนด์ LANCY ด้วย ขอบคุณนะ ฉันจะใส่ทุกวันเลยจ้ะ”
“ดีใจที่เธอชอบ นั่นน่ะ สามพันเลยนะ”
การให้ของขวัญก็เหมือนเป็นธรรมเนียม หากถึงวันเกิดของคนที่ให้ตัวเองเมื่อไหร่ ของขวัญที่จะให้คืนต้องไม่ต่ำกว่าที่ตัวเองได้รับ ขวัญนพัตเลยทุ่มทุนเกือบสองหมื่นในการซื้อน้ำหอมแบรนด์ดังของต่างประเทศมา เพราะอยากเห็นสีหน้าของพวกที่ชอบดูถูกคนอื่น แล้วงานของเขา เขาจะชวนเธอด้วย!
บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานของคนอื่น แต่กับสองหนุ่มกำลังง่วง เท่าที่ฟังๆ ดู ของขวัญที่แพงที่สุดคือนาฬิกาแบรนด์เนมราคาห้าพันบาท
“กล่องสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย เอ๊ะ อันนี้ของขวัญกับแก้วใช่ไหม งั้นเราแกะเลยนะ ตื่นเต้นจัง”
“ตอแหล” แก้วกานต์พึมพำ ยังไงเธอก็จงใจแกะของขวัญนพัตเป็นอันสุดท้ายอยู่แล้ว เพื่อบดขยี้พวกเราให้จมยังไงล่ะ
แต่แล้วเจ้าของงานก็เงียบกริบ ทำให้ทุกคนเงียบไปด้วย เรนนี่มือสั่นขณะเปิดกล่องน้ำหอมที่เห็นแล้วว่าเป็นยี่ห้ออะไร เธอหยิบมันออกมาแล้วตาโต เงยหน้ามองขวัญนพัตกับแก้วกานต์หน้าซีด
“ได้อะไรเหรอ ทำไมหน้าซีด อย่าบอกนะว่าให้ของไม่ดีเรนนี่”
“นั่นมันน้ำหอมของ DLer’ ตัวที่ขายดีที่สุด ถ้าราคาโปรโมชั่นก็หมื่นหก ส่วนราคาปกติก็หมื่นแปดกว่าๆ”
“ข่ะ ของปลอมหรือเปล่า” หนึ่งในคนที่มาร่วมงานเอ่ยขึ้น
“เรากลัวว่าเรนนี่จะคิดว่าเราให้ของปลอมเลยบอกพนักงานใส่ใบรับประกันกับที่อยู่ร้านที่เราไปซื้อไว้ในกล่องด้วย หวังว่าเธอจะชอบ แล้วถึงวันเกิดเราเมื่อไหร่ อย่าลืมมานะเรนนี่ วันนี้สนุกมาก เรากับแก้วขอตัวกลับก่อนนะ บ๊ายบาย”
ร่างบางลากเพื่อนออกมาจากงานด้วยรอยยิ้มที่สะใจ แก้วกานต์ลอบมองใบหน้าสวยของเพื่อนแล้วส่าหน้าระอา เพื่อนของเขามันก็ตัวแสบ และร้ายกาจเหมือนกันนั่นแหละ...
ถ้าแก้วกานต์ไม่โดนดูถูก ขวัญนพัตก็จะไม่หักหน้าทุกคนแบบนี้หรอก...
เช้าวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของขวัญนพัต ชายหนุ่มร่างบางตื่นขึ้นมาเมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพราะวันนี้จะต้องไปรับพี่ชายที่สนามบิน เนื่องจากเจ้าตัวงอแงว่าอยากให้เขาไปรับให้ได้ ก็เลยต้องถ่อสังขารตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะไฟลท์พี่ชายแลนดิ้งเจ็ดโมง เลทหน่อยก็แปดโมง
เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยก็ลงไปข้างล่าง ตรงไปยังรถที่มาจอดรออยู่แล้วโดยคนขับรถคนสนิทที่ขวัญนพัตมักจะให้พาไปส่งที่ที่อยากไปตลอด
“อรุณสวัสดิ์ฮะพี่แคน”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณขวัญ เชิญเลยครับ”
ร่างบางขึ้นรถ แล้วตรงไปยังสนามบินทันที เมื่อถึงแล้วก็ไปนั่งรอพี่ชายยังประตูทางออกที่พี่ชายบอกว่าให้รออยู่ตรงนั้น ถ้าออกจากเกทแล้วจะมาหาเอง ซึ่งขวัญนพัตก็เล่นโทรศัพท์รอไป สักพักได้ยินเสียงประกาศบอกว่าเที่ยวบินจากอเมริกามาถึงแล้ว แต่จากออสเตรเลียน่าจะเลทหน่อย
“รอนานขึ้นเหรอเนี่ย”
พี่ชายไปดูงานที่ออสเตรเลียเป็นเวลาสองอาทิตย์กว่าแล้ว คงจะคิดถึงบ้านน่าดู คิดแบบนั้นขวัญนพัตก็ยิ้มออกมา รู้สึกปวดท้องเลยลุกขึ้นเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ
ร่างบางใช้เวลาทำธุระในห้องน้ำนานเกือบยี่สิบนาทีเพราะไม่รีบออกไปเท่าไหร่ ยังไม่ได้ยินเสียงประกาศว่าพี่ชายจะมาถึงอีกด้วย ร่างบางถอนหายใจเซ็งๆ ก้าวเท้าเตรียมออกจากห้องน้ำไป แต่เมื่อกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำ คนด้านนอกก็ผลักมาก่อนและแรงพอที่จะกระแทกหน้าผากสวยอีกด้วย
ผลัวะ!!
ปึก!!!
“โอ๊ย!!!” ร่างบางกุมหน้าผาตัวเองทันที ทำเอาคนที่เข้ามาถึงกับทำหน้าตกใจแต่ก็ปรับสีหน้าเป็นปกติได้ เสียงทุ้มเอ่ยถามนิ่งๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ป่ะ เปล่าครับ ม่ะ ไม่เป็นไร ขอโทษนะครับ”
เด็กนี่แปลก ตัวเองไม่ได้ผิดสักหน่อย...
ร่างสูงสำรวจคนตัวเล็กข้างหน้าที่ก้มหน้ากุมหน้าผากตัวเอง เห็นท่าทางแบบนี้ก็เข้าใจได้ว่าคงจะเจ็บหน้าดู แต่มันก็เป็นอุบัติเหตุล่ะนะ
เขาไม่ได้ตั้งใจและเด็กตรงหน้าก็ไม่ผิด
“จะเข้าใช่ไหมครับ เชิญเลย...ครับ”
ขวัญนพัตเงยหน้าสบตา ร่างทั้งร่างชะงัก ลมหายใจสะดุดกึก ใบหน้าหวานหุบยิ้มลงแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา...
คุ้นๆ รู้สึกคุ้นหน้ายังไงก็ไม่รู้ จริงสิ...เหมือนท่านอัศม์ แต่ท่านอัศม์กลับมาอาทิตย์หน้าไม่ใช่หรือ คงไม่ใช่ แค่หน้าเหมือนล่ะมั้ง ตัวเราเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าท่านหน้าเป็นแบบไหน
ด้านร่างสูงก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าชัดๆ ของคนตัวเล็กกว่าที่ยืนมองตนอยู่ รู้สึกว่าตัวเองจะใจกระตุกแบบแปลกๆ เมื่อใบหน้าหวานนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มสวย
ขวัญนพัตได้สติเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำหน้าดุราวกับไม่พอใจ จึงรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาท
“อ๊ะ...ขออภัยที่เสียมารยาทนะครับ เชิญครับ ผมกำลังจะไปแล้ว” ร่างบางขยับหลีกทางให้หลังจากขอโทษร่างสูงไปที่เสียมารยาทจ้องอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย พอคิดแบบนั้นขวัญนพัตก็เม้มปากขัดเขิน ตำหนิตัวเองว่าทำอะไรเปิ่นๆ ไปจนได้ ทางด้านคู่กรณีเองก็สำรวจใบหน้าสวยอย่างเผลอไผล เห็นที่หน้าผากช้ำนิดๆ ก็ขัดใจ
ไม่ควรมีตำหนิที่ใบหน้าขาวๆ นี่...แต่ว่า รอยยิ้มนี้...คุ้นมาก คุ้นจริงๆ
“เอ่อ...คุณครับ ถ้าคุณไม่เข้า ช่วยหลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมรีบ”
“อืม...ขอโทษ”
ร่างบางยิ้มหวาน ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วเดินเลี่ยงออกจากห้องน้ำไป
“เดี๋ยว...” แต่ยังไม่ทันที่ร่างบางจะเดินไป เขาก็เรียกอีกคนเอาไว้ก่อน
“ครับ?”
“เมื่อกี้เธอมองหน้าฉัน มองทำไม?”
“อ๋อ...ขอโทษที่เสียมารจริงๆ ครับ แต่คุณคล้ายกับผู้มีพระคุณของผมน่ะครับ เลยเผลอ”
“งั้นหรือ...” ร่างสูงมองอย่างแปลกใจ
“ครับ ยังไงขอตัวก่อนนะครับ” ขวัญนพัตไหว้ลาอีกครั้งเพราะอีกคนเป็นผู้ใหญ่กว่าแน่นอนและอายุน่าจะมากกว่าพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำ
ร่างบางหันหลัง แล้วก้าวเท้าเดินไปพอดีกับโทรศัพท์ของตนที่ดังขึ้น ขวัญนพัตมองเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วขมวดคิ้ว
“จ๋า...หนูมาห้องน้ำ ห๊ะ!! เจอพ่อเหรอ พี่สิงห์นอนน้อยแล้วตาฝาดหรือเปล่า พ่ออยู่อเมริกากลับอาทิตย์หน้า พี่ต้องได้รับการพักผ่อนแล้วหนูว่า ไม่ต้องมาพูดเลย นั่งรออยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปตะโกนเรียกใครว่าพ่อนะ หนูอาย...”
ร่างสูงมองตามแผ่นหลังบางที่เดินคุยโทรศัพท์ออกไป มุมปากยกยิ้มเบาๆ ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเผลอทำตัวแปลกๆ ก็รีบสะบัดความรู้สึกนั้นออกไปทันที แล้วเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ
พอทำธุระเสร็จเสร็จเรียบร้อย ขายาวยังไม่ทันได้พ้นประตู คนสนิทก็วิ่งหอบมาหยุดตรงหน้า
“ท่านครับ...”
“อ้าวสันต์ มีอะไร?”
“รีบไปกันเถอะครับ ผมเจอลูกชายคนโตที่นี่ เดี๋ยวแผนเซอร์ไพรส์พังนะครับ ลูกชายผมยิ่งเป็นพวกที่รู้แล้วกระจายข่าวทันทีเลย”
“งั้นก็ไปเถอะ”
ท่านอัศม์กับสันต์ธรรีบเดินกลับไปยังที่เก็บกระเป๋าซึ่งมีลูกน้องอีกสามคนรออยู่แล้ว ตาคมเผลอเห็นเด็กหนุ่มคนที่ชนในห้องน้ำยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่ห่างกันพอควร ซึ่งตัวเล็กๆ นั่นกำลังถูกชายคนหนึ่งเข้ากอดแล้วยกขึ้นหมุนไปรอบๆ ประหนึ่งคิดถึงคนรักที่จากกันไปนาน
คนรักงั้นเหรอ...เด็กคนนั้นก็เหมาะกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ
“ท่านครับ มองใครหรือครับ”
“เปล่าหรอกสันต์”
“หรือเจอคนที่ถูกใจแล้ว แบบประมาณว่าต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นน่ะครับ”
แรกเห็นเหรอ?
“ความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไงล่ะ”
สันต์ธรยิ้ม เพราะคิดว่าตัวเองคงเดาถูก ท่านเจอคนที่ถูกใจแล้ว “ก็แบบใจเต้นมั้งครับ อยากเข้าไปทำความรู้จัก”
“เหรอ...ไร้สาระ กลับกันเถอะ”
ท่านอัศม์เลิกสนใจ เพราะว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ คนอย่างเขาอยู่มาสามสิบสี่ปีไม่เคยจะต้องตาต้องใจใคร แล้วจะมาสนใจเด็กได้ยังไง ดูยังไงก็เด็กมัธยมด้วย...
ทำความรู้จักหรือ...
ก็อยากรู้จักนิดๆ แต่นั่นเป็นเพาะเขาคุ้นรอยยิ้มนั่นต่างหาก รอยยิ้มที่มันอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ รอยยิ้มที่คุ้นๆ ว่าเคยได้รับมันมาจากใครสักคน...
ขวัญนพัตถูกพี่ชายแสดงความคิดถึงได้อย่างน่าอายมาก จนกลัวว่าจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเราสองคนเป็นคนรักกัน ก็เล่นทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งอุ้มหมุนไปรอบๆ แล้วจะเดินจับมือออกไปอีก พอได้อยู่บนรถก็หายใจได้สะดวกหน่อย...
“พี่ซื้อของฝากน้องเยอะมากเลยนะ”
“ของฝากน้องหรือฝากสาว”
“สาวอะไรไม่มีแล้ว ทิ้งไปหมดแล้ว พี่เบื่อ ตอนนี้สนแค่น้องก็พอ”
“หนูว่าพี่ควรจริงใจกับใครสักคนดูบ้างนะ จะได้เจอรักแท้กับเขาสักที อายุมากขึ้นทุกทีแล้วนะเรา”
“หึหึ หนูอยากให้พี่แต่งงานจริงๆ เหรอ อยากให้เขาแย่งความรักของพี่ไปจากน้องเหรอ” สรทรถาม ดวงตาเจ้าเล่ห์แพราวพราวดูขี้เล่นจนน้องชายหมั่นไส้
“ข้ออ้างของคนไม่อยากมีพันธะเถอะ ไม่ต้องเอาหนูมาอ้างเลย”
“ฮะๆ น้องชายคนดีของพี่รู้ดีที่สุด รู้ใจพี่ไปหมดทุกอย่างเลย”
ฟอด!
“น่าร้ากกก น้องรักของพี่”
“พอๆ แก้มหนูระบมไปหมดแล้วเนี่ย แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็ก สามสิบแล้วนะพี่สิงห์ แก่แล้ว”
“ไอ้ตัวเล็กนี่...ปากเสีย”
“ฮะๆ” ขวัญนพัตหัวเราะที่ยั่วโมโหพี่ชายได้ เลยโดนทำโทษเป็นหอมแก้มอีกหลายๆ รอบ
“แล้วพี่ไม่อยู่มีใครมาจีบ มาตอแยหรือเปล่า”
“จีบอะไร ใครจีบหนู มีแต่คนมาจีบแก้วเถอะ”
คนเป็นพี่ชายกลอกตามองบน เบื่อความซื่อบื้อของน้องชายเต็มที แล้วแบบนี้จะไม่ให้ห่วง ไม่ให้หวงได้ยังไง ถ้าไม่ใช่คนดี พี่ชายคนนี้ไม่ยกน้องชายสุดที่รักให้หรอกโว้ย…
ใครจะจีบน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา ต้องผ่านด่านพี่ชายคนนี้ได้ก่อน!!
+ + + + + To be Continue + + + + +
ปกติท่านอัศม์เดินทางจะต้องมีบอดี้การ์ดตามหลังเป็นพรวนให้สมกับตำแหน่ง และมักจะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวมากกว่า แต่คราวนี้กลับมาก่อนกำหนด ไม่อยากเอิกเริก เลยกลับมาแบบปกติจ้า ท่านอัศม์เป็นคนชนชั้นธรรมดา (ไม่ใช่เชื้อเจ้า) ที่ไม่ธรรมดาจ้า
เจอกันตอนหน้านะคะ อ้อ ฝากติดตามแฟนเพจและทวิตเตอร์ของยูกิด้วยน้า
https://www.facebook.com/sawachiyuki/https://twitter.com/Sawachi_Yuki