8
เรียนรู้งาน...ที่ ‘ข้างกาย’
หลังจากที่ปิดเทอม เวลาหนึ่งอาทิตย์ขวัญนพัตพายายพิไลไปเดินสายทำบุญเก้าวัดในโซนภาคเหนือ โดยที่มีกัญญาวีกับครอบครัวของเธอไปด้วยกัน เพราะทางครอบครัวไม่อยากให้น้องชายต้องพาพิไลไปกันตามลำพัง ซึ่งพอดีกับที่สามีของเธอลาพักร้อนเอาไว้พอดี นับว่าเป็นความบังเอิญที่ลงตัว ส่วนอีกอาทิตย์หนึ่งที่เหลือ ขวัญนพัตต้องมาทดลองทำงานกับท่าน จะได้คุ้นเคยเอาไว้
ที่สำคัญท่านอยากจะให้ขวัญนพัตได้รู้จักนิสัยของตนเองด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ฟังเอาจากคนอื่น เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติแบบเดียวกันกับทุกคน
วันนี้เป็นวันแรกที่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง...
“หนึ่ง...สอง...สาม ฟู่ โอเคขวัญ พร้อมรับมือแล้วใช่ไหม”
ขวัญนพัตมองประตูไม้ตรงหน้าพร้อมให้กำลังใจตัวเองที่กำลังจะก้าวเท้าไปเข้าไปข้างใน เพียงแค่ประตูห้องนอน ขวัญนพัตก็รู้ว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่จะเหยียบย่างเข้าไป
ใช่แล้ว เขาอยู่หน้าห้องนอนของท่านอัศม์ หนึ่งในหน้าที่ดูแลท่านอัศม์ คือต้องเข้าไปปลุกท่าน ซึ่งโดยปกติแล้วท่านจะใช้นาฬิกาปลุก แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงสั่งให้เขาไปปลุก ตัวขวัญนพัตเองก็หวั่นกลัวว่านิสัยยามตื่นนอนของท่านจะน่ากลัว เพราะเวลาพี่ชายตัวเองตื่นนอนจะเหวี่ยงมากๆ แต่นั่นพี่ชาย เลยรับมือได้ แต่นี่ท่านอัศม์ เป็นเจ้านาย หากท่านไม่พอใจขึ้นมา ขวัญนพัตผิดทั้งขึ้นทั้งร่อง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แกร็ก...
ไม่ใช่ว่าถือวิสาสะเข้าไปเอง แต่ทางยายพิไลบอกว่าหากเคาะประตูแล้วก็ให้เข้าไปเลย เพราะท่านไม่ตื่นง่ายๆ ขนาดนาฬิกาปลุกยังใช้ทั้งหมดห้าเครื่อง และเมื่อเข้าไปไอเย็นก็เข้าปะทะหน้า
“หนาวจัง ทำไมท่านนอนอากาศเย็นๆ ได้นะ”
ร่างบางเดินไปปิดเครื่องปรับอากาศ เห็นตัวเลขในรีโมทก็ตกใจ
“สิบหกองศา…โห”
ดวงตามองไปยังร่างนิ่งๆ บนเตียง ซึ่งเจ้าของห้องยังคงนอนหลับสนิทอยู่ ร่างบางนึกตารางงานของท่าอัศม์ที่ได้ฟังมาจากพ่อ แล้วเดินเลี่ยงเตรียมชุดให้ท่านก่อน ป้องกันท่าโมโหยามตื่นแล้วไล่ออกจากห้อง แล้วเขาจะไม่กล้ามาเตรียมชุดก่อน ขวัญนพัตคิดนั่น นู่น นี่ไปไกล เพราะพ่อกับยายไม่ยอมบอกอะไรเลยว่าเวลาตื่นท่านอัศม์เป็นยังไง บอกให้เข้าไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เออ...ถ้าโดนทุ่มออกมาก็รับผิดชอบใจน้อยๆ ที่พังไปแล้วด้วยก็แล้วกัน…ขวัญนพัตคิดน้อยใจพ่อกับยาย
พอเตรียมชุดให้ท่านเรียบร้อยแล้วก็เดินมาเปิดม่านให้ห้องที่มืดสว่าง มองไปยังเจ้าของห้องก็ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“ท่านครับ ท่านอัศม์ครับ ถึงเวลาต้องตื่นแล้วนะครับ”
ขวัญนพัตยืนเข้าอยู่ข้างเตียง เอ่ยปลุกท่านเสียงเบาแล้วค่อยๆ เพิ่มเสียงขึ้นตามลำดับ
“ท่านครับ!!
คิ้วเข้มเริ่มขมวด ก่อนที่เจ้าของห้องจะค่อยลืมตา ใบหน้าแสดงถึงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ขวัญนพัตคอแห้งผากสบตาคมดุที่เหมือนจะมองตนเองอยู่ด้วยแววตาที่ไม่พอใจอย่างมาก
“คือ...”
“ออกไป!!!”
คนบนเตียงตวาดไล่เสียงดัง ก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง ร่างเล็กตัวสั่นด้วยความกลัว น้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะร้องออกมาให้ได้
ถึงจะเคยถูกคนขึ้นเสียงใส่มาบ้าง ขวัญนพัตก็ไม่เคยนึกหวาดกลัวมาก่อน แต่ครั้งนี้ กับคนๆ นี้ ขวัญนพัตกลับรู้สึกกลัวจนอยากจะร้องไห้ เพราะแววตาของท่านดูไม่มีแววตาของคนที่มีความเมตตาเลย มันดูพร้อมจะทำลายล้างทุกอย่าง และถ้าขวัญนพัตไม่ออกไปตอนนี้ มีหวังท่านจับทุ่มอย่างที่คิดแน่
แต่ถึงอยากจะออก ก็ไม่สามารถออกไปได้อย่างใจคิด เพราะขามันแข็ง ตัวแข็ง เหมือนโดนแช่เอาไว้
พรึ่บ!!
ท่านอัศม์ลุกขึ้นนั่ง เสยผมด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกตอนเช้า ปรับอารมณ์ของตัวเองโดยการมองไปยังนอกหน้าตาที่มีแสงสว่างยามเช้าบ่งบอกว่าเป็นเวลาตื่นนอนของตัวเอง อารมณ์ก็เริ่มปกติขึ้น ก้มมองร่างบางที่นั่งคุกเข่ากับหน้าอยู่กับพื้นแล้วยิ้มเบาๆ
ปกติท่านไม่ค่อยยิ้มตอนเช้า เพราะหงุดหงิดที่ต้องตื่นนอน ถึงวันนี้เขาจะหงุดหงิดเหมือนปกติ แต่พอเห็นท่าทางกลัวๆ ของขวัญนพัต ผู้ดูแล ‘ของเขา’ กลับทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เงยหน้า”
“ค่ะ ครับ” ใบหน้าสวยเงยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว หลุบตามองจมูกของท่านแทนที่จะสบตา ดวงตายังคงมีน้ำคลอๆ ไม่ถึงกับร้องไห้ออกมา แต่เพียงเท่านั้นท่านก็รู้สึกผิดที่ทำให้เด็กกลัว
“กลัวเหรอ”
“ป่ะ...ครับ กลัวครับ” ร่างบางเลือกที่ตอบไปตามความจริง ลดระดับสายตามาที่คางของท่าน
“อืม...แต่ไม่ได้ออกไปตามที่ไล่ ถือว่าใช้ได้”
“อยากออกครับ แต่ขยับตัวไม่ได้” เด็กน้อยขี้กลัวก็ตอบตามความจริง ท่านอัศม์ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ รู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้ายิ่ง
“หืม...”
“ผมเพิ่งเข้าใจ ว่ากลัวจนตัวสั่นเป็นยังไงก็วันนี้เลยครับ” ขวัญนพัตตอบเสียงเบา สีหน้ายังคงดูหวั่นๆ ไม่ได้มีแววล้อเล่น แต่ทำไมท่านถึงอยากจะหัวเราะออกมาก็ไม่รู้
“หึหึ...” ท่านหัวเราะออกมาอย่างขบขันอารมณ์ดี
หากเป็นเวลาปกติแล้ว เขาจะอารมณ์ปกติก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสายน้ำ เพราะหน้าที่หลายๆ อย่าง กระทั่งเวลานอนของท่านก็แบ่งให้กับงานอยู่บ้าง ทำให้เขาได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
“อาบน้ำเลยไหมครับ ผมจะไปเตรียมน้ำ”
“ลุกไหวแล้วหรือไง” ท่านถาม แต่น้ำเสียงหยอกเย้าจนขวัญนพัตใจสั่น ริ้วสีแดงพาดอยู่บนใบหน้า รู้สึกอับอายจนไม่กล้าสบสายตา
“ผมเป็นคนปรับตัวไว รับรองว่าพรุ่งนี้ถ้าปลุกท่านแล้วโดนไล่ออกจากห้องอีก ผมจะเดินไปจัดชุด เตรียมน้ำ ตอนนั้นท่านคงปรับอารมณ์เสร็จแล้ว” ท่านอัศม์มองคนตอบอย่างพึงพอใจ
แม้อารมณ์ตอนถูกปลุกจะเป็นความโมโหจริงๆ แต่เขาก็ใช่ว่าจะทำโทษหรือลงโทษคนที่มาปลุก เพียงแต่ต้องชินกับอารมณ์ตอนตื่นนอนของเขาให้ได้
“ตอนฉันไล่รู้สึกยังไง”
“จะร้องไห้ครับ”
“เป็นผู้ชาย อย่าอ่อนแอ” ท่านว่า
จริงๆ แค่ไม่อยากให้ขวัญนพัตร้องไห้...ผู้ชายก็คน อ่อนแอ เข้มแข็ง ก็มีกันทั้งนั้น
“ผู้ชายก็อ่อนแอได้ครับ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องร้องไร้ออกมา มนุษย์ทุกคนมีน้ำตากันหมดแหละครับ การที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย จะต้องไม่ร้องไห้ มันเป็นการกดดันตัวเองเกินไปครับ เพราะสำหรับบางคน การร้องไห้ถือเป็นการระบายความเครียดครับ”
ท่านฟังอย่างตั้งใจ มองหน้าคนพูดไม่วางตา ท่านเพิ่งจะรู้ตัวเองว่าชอบมองหน้าหวานๆ ของขวัญนพัต สายตาของเขาชอบมองหาใบหน้าสวยๆ นั่นอยู่เสมอ...
มอง...แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมอง แต่มองแล้วรู้สึกสบายใจ
“ก็คงจะจริงอย่างนั้น”
“ท่านอยู่ในสถานะที่แสดงความอ่อนแอไม่ได้ก็จริง แต่เมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีคนอื่น ผมเชื่อว่าท่าเองก็มีมุมอ่อนแอเหมือนกัน เพียงแต่เก็บเอาไว้คนเดียว ผมไม่เชื่อหรอกครับ ว่าจะมีคนที่เข้มแข็งตลอดเวลาอยู่บนโลกจริงๆ”
“จริงจังมาก” ท่านว่า ก่อนจะขยับมานั่งที่ข้างเตียง สองเท้าใหญ่วางลงบนพื้น ขวัญนพัตขยับตัวลุกขึ้นยืนห่างๆ
“ผมจะไปเตรียมห้องน้ำนะครับ ว่าแต่ท่านจะอาบน้ำอุ่นหรือเปล่าครับ”
“ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวฉันอาบน้ำอุณหภูมิปกติ”
“เอ่อ...ครับ”
“ช่วงเช้าฉันจะดื่มน้ำเปล่าไม่เย็น ไม่อุ่น ก็คือน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติด้วยหนึ่งแก้ว”
“ขออภัยครับ” เรื่องนี้เขาเองก็ทราบว่าท่านต้องดื่มน้ำตอนตื่นนอนเพื่อให้ร่างกายตื่น แต่ดันลืมเอามาจนได้ ขวัญนพัตนึกตำหนิตัวเองที่ไม่มีความรอบคอบ
“จะถือว่าเป็นวันแรก เพราะความตื่นเต้นเลยทำให้พลาดก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
“อืม”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปเอามาให้นะครับ” ขวัญนพัตอยากจะแก้ตัว แต่ร่างสูงกลับปฏิเสธก่อน
“ไม่เป็นไร ฉันไปดื่มตอนมื้อเช้าเลยก็ได้”
“ครับ”
ร่างแกร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องแต่งตัวแบบ Walk in closet ที่ห้องน้ำอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำก็มองตรวจตราชุดที่เตรียมไว้ พอเห็นชุดที่ขวัญนพัตเตรียมให้เขาก็รู้สึกพึงพอใจ คิดว่าคงผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเลย
“เลือกชุดได้ดี” ท่านหันไปชมคนที่เดินตามเข้ามา
“ผมถูกฝึกมาน่ะครับ”
“งั้นก็รู้สินะว่าต้องรอแต่งตัวให้ด้วย”
“ทราบครับ”
“ก็ดี แต่เธอไม่ต้องห่วง ถ้าวันไหนที่ฉันไม่ต้องการแช่น้ำ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปในห้องน้ำด้วย เพียงแต่รออยู่ตรงนี้ก็พอ”
“รับทราบครับ”
“อืม...”
ท่านอัศม์เดินเข้าห้องน้ำไปทันที โดยที่มีขวัญนพัตยืนรออยู่ด้านหน้าประตูห้องน้ำ ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีท่านก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพสวมชุดคลุมอาบน้ำ ขวัญนพัตรีบหาผ้าขนหนูมายื่นให้ร่างสูงเช็ดผมที่เปียก อัศม์เดชเดินไปนั่งบนเบาะนุ่มเพื่อให้ขวัญนพัตเป่าผมด้วยเครื่องไดร์ให้
ระหว่างการแต่งตัวของท่านกับการช่วยสวมเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มมีเพียงความเงียบงัน แต่สายตาของท่านก็เพียรมองคนตัวเล็กกว่าอยู่ตลอด ส่วนขวัญนพัตก็มักจะไม่กล้าสบตา ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ แม้จะมีช่วงที่ท่านเปลือยช่วงบน รอยสักตรงต้นแขนและหัวไหล่ด้านขวาของท่านอัศม์จะดึงดูดสายตาให้มองอย่างสนใจ
มันเป็นรอยสักมังกรเพลิงที่ส่วนหัวของมังกรอยู่ที่ต้นแขนแกร่ง แต่ส่วนลำตัวยาวจะสักขึ้นไปทางหัวไหล่ไล่ลงไปยังแผ่นหลังกว้าง มันดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมาจริงๆ
“มีอะไรที่อยากจะถามไหม” คนอายุมากกว่าถามขึ้นเมื่อแต่งตัวเสร้จเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มมีความสงสัยอยู่
“ไม่มีหรอกครับ”
“พูดมา อย่าให้ฉันต้องบังคับ”
ก็เห็นชัดๆ ว่ามี จะมาโกหกว่าไม่มีไม่ได้ เขาไม่ชอบคนโกหก ยิ่งคนโกหกไม่เก่งแต่ดันทุรังที่จะโกหก มันน่าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ”
“งั้นก็ว่ามา เธอสงสัยเรื่องอะไร”
“รอยสักครับ”
“อ้อ...รูปมังกรเพลิง ผู้นำของพรรคทั้งห้าคนต้องสักมัน”
“เจ็บไหมครับ?”
“ทำไม อยากสักเหรอ” ท่านไม่ตอบแต่ถามกลับ
“เปล่าครับ ผมเห็นว่าคนในพรรคก็สักกันทุกคน”
“ถามแบบนี้แสดงว่ากลัวที่จะต้องสักงั้นหรือ”
ขวัญนพัตหลบตาไม่กล้าตอบ เป็นคำตอบที่ชัดเจนเหลือเกินสำหรับผู้ที่ถาม ท่านอัศม์หัวเราะออกมาเบาๆ เด็กตรงหน้าเขาเหมือนแมวน้อยแสนขี้กลัวเหลือเกิน
น่ารัก น่าเอ็นดูเสียจริงๆ
“ว่าไงขวัญ เธอกลัวงั้นหรือ”
“กลัวครับ แม้ว่าจะเป็นรอยสักเล็กๆ ผมก็กลัว แค่เข็มฉีดยาผมยังกลัวเลยครับท่านอัศม์ ของท่านอัศม์ใหญ่ขนาดนั้นต้องเจ็บมากแน่ๆ” เด็กน้อยของท่านมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างน่าสงสาร แต่สำหรับท่านแล้วดูน่าแกล้งมากกว่าอีก
“ก็เจ็บจริงๆ นั่นแหละ แต่เธอต้องทำใจนะ ยังไงคนในพรรคก็ต้องสัก เรียนจบเมื่อไหร่ก็ต้องสักแล้วทำพิธีสาบานตนเข้าพรรค”
“ผมไม่สักไม่ได้หรือครับ”
“ไม่ได้” ท่านตอบเสียงเข้ม ใบหน้าสวยซีดเจื่อนไปทันที
“ผมกลัว”
“เป็นผู้ชาย กลัวด้วยเรื่องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” ท่านอัศม์ดุ ยิ่งทำให้ไหล่ของขวัญนพัตตกลงไปอีก เด็กหนุ่มก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิดที่พูดเอาแต่ใจกับผู้มีพระคุณ ทำให้ไม่เห็นสีหน้าแววตาของท่าน
“ขอโทษครับ”
“จำไว้ให้ดี บางสิ่งบางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้”
“ครับ”
“ทุกคนในพรรคต้องสัก ไม่มีข้อยกเว้นทั้งนั้น แต่ไม่ต้องห่วง รอยสักของสมาชิกทั่วไปก็เป็นเพียงรอยสักตราของตระกูล บ่งบอกว่าเป็นคนของตระกูลไหนในห้าตระกูล ที่สำคัญรอยมันก็เล็ก สักในร่มผ้า เจ็บไม่นานก็หายแล้ว”
“ครับ”
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าใครได้รับการยกเว้น” ท่านถาม
“ทราบครับ”
อัศม์เดชเลิกคิ้วให้ขวัญนพัตเป็นนัยว่าให้พูดออกมา
“ภรรยาและลูกของผู้นำตระกูลจะได้รับการยกเว้นครับ ลูกและภรรยาของสมาชิกในพรรคเองก็ได้รับการยกเว้นเช่นกันครับ”
“อืม...ถ้าไม่อยากสักก็มีเพียงแค่ไม่ต้องทำงานให้กับพรรค สองคือการเป็นภรรยาของฉัน และสามเป็นน้องสะใภ้ของฉัน แน่นอนว่าสองข้อหลังเป็นไปไม่ได้”
“ทราบแล้วครับ ท่านอัศม์อย่าได้ใส่ใจกับความขี้ขลาดของผมเลย พอถึงตอนนั้นผมก็จะทำทุกอย่างที่สมควรต้องทำครับ ขออภัยถ้าทำให้ท่านไม่พอใจนะครับ”
“เอาเถอะ ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไร”
ท่านอัศม์หมดสนุกที่จะแกล้งเด็กหนุ่มต่อแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาตามที่คิดสักเท่าไหร่ มองหน้าก็ไม่มอง คำพูดคำจาของเจ้าตัวสำนึกผิดจริงจังจนรู้สึกสงสารขึ้นมา
“ท่านอัศม์ครับ ถ้าท่านแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอัศม์รับอาหารเช้าดีกว่าครับ ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเช้าพอดีเลยครับ”
อ่านอัศม์พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ห้องรับประทานอาหารโดยที่มีขวัญนพัตเดินตามอยู่ด้านหลัง วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ศึกษางานทางพรรคกับท่านอัศม์ ขวัญนพัตที่ทำหน้าที่ควบสองดูแลท่านไปด้วยก็จำเป้นต้องตัวติดกับท่านตลอดเวลา คล้ายเป็นพ่อบ้านส่วนตัวมากกว่าเป็นผู้ช่วยฝึกหัดของสันต์ธรเสียอีก
…
…
พรรคเบญจเตโชมีที่ทำการกลางอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ขนาดใหญ่โตสามชั้น ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่สองร้อยห้าสิบไร่ เอาไว้เป็นที่ประชุมผู้นำ เป็นที่พักของสมาชิกที่ไม่ได้สังกัดตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ซึ่งส่วนมากเป็นสตาฟคุมฝึกอยู่ที่นี่ เป็นสถานที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง การใช้ปืนต่างๆ ด้วยครูฝึกมีฝีมือจากทั้งในและต่างประเทศที่ทางพรรคลงทุนซื้อตัวมาเพื่อฝึกฝนให้กับสมาชิกในพรรคห้าตระกูลผู้นำและสมาชิกแก๊งพันธมิตรทั้งหมดกว่าสามร้อยกว่าแก๊ง นอกจากฝึกให้กับสมาชิกในพรรคทั้งห้าตระกูลแล้ว ยังฝึกบอดี้การ์ดมากฝีมือให้บริษัทต่างๆ ที่ส่งมาให้ทางพรรคฝึกฝนให้ คนพวกนี้พอกลับบริษัทไปก็จะมีค่าตัวสูงมาก ผู้ใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลต่างๆ ก็มักจะไว้ใจว่าจ้างบริษัทที่ส่งคนมาฝึกกับทางพรรคมากกว่าที่บริษัทอื่น
ขวัญนพัตเดินตามท่านอัศม์กับพ่อเข้าไปยังที่ทำการของพรรค โดยข้างหลังมีบอดี้การ์ดเดินตามเป็นพรวน นอกจากนี้ยังมีสายตานับสิบคู่มองมาที่ตนอย่างสงสัย เพราะหน้าตาของขวัญนพัตไม่ได้เหมาะที่จะมาที่นี่เลยสักนิด
เข้าไปในตัวอาคารก็เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เพียงแต่เปลี่ยนจากร้านค้าเป็นห้องปฏิบัติการ และคนที่เดินไปมาเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย ขนาดคนทำความสะอาดก็ยังเป็นพ่อบ้าน ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ดูทะมัดทแมงเกินหญิงทั่วไปและมีส่วนน้อยที่จะได้เข้ามาในพรรคหากไม่มีความสามารถจริงๆ
เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นห้องทำงานของผู้นำตระกูลทั้งห้าคน แล้วยังมีห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมย่อย และห้องประชุมลับที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสม ชั้นสองเป็นที่ทำงานของหน่วยไอทีต่างๆ แล้วก็มีห้องฝึกศิลปะการป้องกันตัว ชั้นล่างสุดจะเป็นชั้นสำหรับพักผ่อน ท่านอัศม์เดินเข้าห้องทำงานของตนเองไป โดยที่มีแค่ขวัญนพัตกับสันต์ธรที่เดินตามเข้าไป ส่วนบอดี้การ์ดจะยืนคุมอยู่ด้านหน้า
ขวัญนพัตเรียนรู้งานทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่การรายงานสถานการณ์ เปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ท่านตรวจสอบ ถ้ามีตรงไหนที่ท่านต้องการทราบเพิ่มก็ต้องตามคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ มาพบท่าน เด็กหนุ่มมองท่านอัศม์ที่ทำงานอย่างจริงจังด้วยสายตาเลื่อมใส ศรัทธา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่ากำลังโดนเด็กน้อยมองด้วยความนับถือสุดๆ
“ตรงนี้ฉันเข้าใจแล้ว สันต์ไปสอนงานขวัญตรงนั้นเถอะ” ท่านอัศม์ชี้ไปยังโซฟาที่อยู่ห่างออกไปสองเมตร
ทั้งสองคนรับคำสั่ง สันต์ธรพาลูกไปนั่งอธิบายถึงงานต่างๆ ส่งรายชื่อคนที่ควรจะรู้จักให้กับลูกชายเอาไว้ค่อยๆ ทำความรู้จักไปเรื่อยๆ เพราะการทำงานข้างกายท่านจะต้องรู้จักทุกคนที่ท่านรู้จักและต้องรู้มากกว่าท่านด้วย
“โดยคร่าวๆ งานก็เป็นแบบนี้”
“ฮะ...ขวัญทราบแล้ว”
“ต้องใช้เวลาลูก แค่รู้จักไม่พอ ต้องทำให้พวกเขาเชื่อถือด้วย”
“งานยากเลยฮะ”
ขวัญนพัตหน้างอ เพราะรู้ตัวเองดีว่ามีหน้าตาไม่ค่อยสร้างความน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ มีแต่สร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองทั้งนั้น
“สิ่งที่จะส่งเสริมให้ขวัญมีความน่าเชื่อถือไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงบุคลิกภาพและปัญญาของลูกด้วย หนูต้องรู้ทันคน วงการนี้ต้องมองโลกให้ร้ายเอาไว้ก่อน ท่านอัศม์เป็นที่หนึ่ง นอกนั้นก็อย่าเชื่อใจ”
“ครับ ขวัญจะจำเอาไว้”
“ดีมาก”
“วันนี้ท่านมีประชุมเหรอฮะ” ขวัญนพัตถาม
“ใช่แล้วลูก”
“ขวัญต้องเข้าไหมฮะ”
“ต้องเข้า ท่านอัศม์บอกพ่อว่าให้เราเข้าประชุมด้วย”
“จะดีเหรอฮะ”
“ก็เข้าไปฟังเฉยๆ ลูก แค่รับรู้สถานการณ์ และให้ลูกชินกับบรรยากาศเวลาประชุมน่ะ”
สันต์ธรมีสีหน้าเป็นกังวล จนขวัญนพัตอดถามไม่ได้
“พ่อเครียดเหรอฮะ”
“เปล่าลูก...ขวัญยืนฟังท่านประชุมได้ใช่ไหม” สันต์ธรถามผู้เป็นลูก สายตามองอย่างนึกเป็นห่วง เพราะนี่เป็นการประชุมใหญ่ของผู้นำทั้งห้ากับหัวหน้าแก๊งพันธมิตรทั้งหมด
เป็นประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำรุ่นใหม่ทั้งห้าคนของตระกูลผู้นำ
“ได้ฮะ”
“นานนะลูก”
“ขวัญยืนได้ พี่ๆ บอดี้การ์ดก็ยังยืนกันได้เลย”
“กินเวลานานมาก เอาไว้เสร็จงานนี้พ่อจะขอท่านอัศม์ให้เราพักผ่อน”
“ไม่เป็นไร หนูไหว หนูต้องทำงานจนกว่าท่านอัศม์จะเข้านอน”
“เก่งมากลูกพ่อ เริ่มงานวันแรกก็เจองานหนักเลย”
“มันเครียดมากเหรอฮะ”
“ก็มีหลายประเด็นที่น่าเครียดอยู่เยอะเลย ช่วงนี้พวกแก๊งเล็กๆ เริ่มอยู่ไม่สงบนัก”
“เหรอฮะ”
“เอาไว้เวลาประชุมขวัญจะรู้เอง ตั้งใจฟังแล้วก็จำไว้นะลูกว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นแบบไหน”
“ได้ครับ”
เวลาผ่านไปสักพัก ท่านอัศม์ก็ไปห้องประชุมที่มีทุกคนมารอกันครบหมดแล้ว ในฐานะประมุขพรรค อัศม์เดชจึงต้องมาช้าที่สุด หากมีใครมาสายกว่าก็มักจะไม่เป็นผลดีต่อแก๊งนั้น เขาไม่อยากทำให้เรื่องเพียงเล็กน้อยมาสั่นคลอนความมั่นคงของพรรค
ขวัญนพัตที่เดินมายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ประธานกับผู้เป็นพ่อตัวสั่นอย่างประหม่า ด้านข้างของท่านอัศม์มีผู้ชายวัยประมาณท่านอัศม์นั่งอยู่ฝั่งละสองคนข้างหลังก็มีคนสนิทหรือผู้ติดตามเช่นกัน ตรงหน้ามีป้ายชื่อตระกูลวางเอาไว้บ่งบอกว่าเป็นหนึ่งในห้าผู้นำพรรค ส่วนด้านล่างเป็นคนอีกหลายร้อยคนซึ่งหันหน้ามายังฝั่งเวทีตรงหน้ามีป้ายชื่อแก๊งพันธมิตร
ร่างบางเกิดอาการตื่นตระหนก หวาดกลัวจนเก็บสีหน้าไม่ได้ เขามองแค่ด้านหลังของท่านอัศม์ ไม่กล้ากวาดสายตามองใครทั้งนั้น สันต์ธรเห็นอาการของบุตรบุญธรรมก็ได้แต่เป็นห่วง แต่สถานการณ์แบบนี้เราจะพูดคุยกันไม่ได้ แม้ว่าในห้องประชุมใหญ่นี้จะมีคนสามร้อยกว่าคนแต่ก็หาได้มีเสียงดังกันไม่
ทุกคน...ทุกคนในนี้คือมาเฟียทั้งหมด น่ากลัว...น่ากลัวจัง
ขวัญนพัตไม่เคยรู้สึกกลัวแบบนี้มาก่อนเลย เพราะที่บ้านเขาก็พบเจอสมาชิกพรรคของตระกูลอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ที่นี่มีแต่ระดับผู้นำ เขาก็เลยหวาดกลัว กลัวว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมออกมา
ท่านอัศม์เริ่มการประชุมไปแล้ว เหล่าผู้นำอีกสี่คนรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ที่ตระกูลดูแล ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติไม่มีอะไรน่ากลัว เหมือนการประชุมในบริษัทธรรมดา เพียงแต่เรื่องที่คุยกันมักจะเป็นเรื่องการใช้ความรุนแรงของมาเฟียแก๊งเล็กตามพื้นที่ต่างๆ ขวัญนพัตได้ฟังก็ยิ่งตระหนักได้ว่างานที่ท่านอัศม์กับพ่อทำมันอันตรายจริงๆ
“แล้วถ้าหากว่ามาตรการสถานเบาจัดการไม่ได้ จะทำยังไง อย่าหวังพึ่งทางการ พวกนั้นไม่มีทางทำได้ มีแต่ยืมมือของพวกเราเอาหน้ามาตลอด” ท่านอัศม์ถามขึ้นมา
“เรื่องนั้นก็ต้องดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ว่าพวกมันจะทำตัวเหิมเกริมไปมากกว่านี้ไหม” ท่านเขมต์มนัสผู้นำตระกูลพิชญเดชาเอ่ยขึ้น
“เกรงว่ามัวแต่รอดูแล้วไม่ทำอะไรเลยมันจะได้ใจ แล้วทำเรื่องใหญ่เกินกว่าเราจะควบคุมได้เล่า” ท่านทัชชกร ผู้นำตระกูลอัคคเดชโภคินแย้ง
“ฉันค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทัช เราควรจะจัดการควบคู่ไปกับการดูสถานการณ์ ไม่งั้นอาจจะมีเรื่องที่ต้องวุ่นวายทีหลังขึ้นมา” ท่านศรณ์กวินผู้นำตระกูลเดชหิรัญสกุลพูดด้วยสีน้ำเสียงหน่ายๆ
“แล้วจะจัดการยังไง? ไม่สู้ปล่อยให้พวกมันตายใจไป แล้วเราค่อยล้างบางทีหลังไม่ดีกว่าเหรอ จับตัดตอนพวกมันทุกคนไปเลย”
ล้างบาง…?
ตัดตอน...?
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจากปากของท่านชิณณวรรธน์ผู้นำตระกูลเลิศธนเดชาโชติ ขวัญนพัตก็เกิดความรู้สึกหวากลัวจนเกินจะรับไหว หน้ามืดแล้วหมดสติลงในที่สุด
ตึง!!
“ขวัญ!!” สันต์ธรตกใจเรียกชื่อของลูกชายเสียงดังพร้อมทั้งถลาตัวไปเพื่อจะประคองลูกขึ้นอุ้ม เรียกความสนใจจากผู้นำบนเวทีทั้งหมดโดยเฉพาะท่านอัศม์ที่ลุกจากเก้าอี้ประธานมาหาร่างบางทันทีอย่างร้อนใจ
“ขวัญ...ขวัญ เป็นลม? สันต์เดี๋ยวฉันอุ้มเอง สันต์อยู่ที่นี่”
“แต่ว่ามันไม่เหมาะนะครับท่าน ให้ปีมาอุ้มดี...” คนอายุมากกว่าแย้ง แต่ไม่ทันพูดจบดีก็ถูกแทรกด้วยผู้เป็นนายเหนือหัว
“สันต์ประชุมแทนฉันตลอด แล้วนี่ก็อุ้มไม่ไหวไม่ใช่หรือไง แล้วฉันก็ไม่ไว้ใจให้ใครมาอุ้มคนของฉันทั้งนั้น ไปประชุมแทน เดี๋ยวฉันจะกลับมา” ท่านอัศม์พูด น้ำเสียงเด็ดขาดติดร้อนรนจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ร่างสูงช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มแล้วเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีท่ามกลางสายตาของคนในที่ประชุม
หลังท่านออกไปห้องประชุมก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา แต่โชคดีว่าผู้นำอีกสี่ยังคงอยู่ในนั้นด้วย สถานการณ์เลยเป้นปกติโดยไว
ทางด้านท่าอัศม์ที่เดินอุ้มขวัญนพัตออกมา ด้านหลังมีบอดี้การ์ดเดินตามมาด้วยเมื่อเอ่ยจะช่วยก็ถูกเจ้านายตวัดสายตาน่ากลัวมองใส่ บอดี้การ์ดเหล่านั้นเลยทำได้แค่เดินตามเงียบๆ ไม่กล้าปริปากอะไรอีก
“เรียกหมอขึ้นมา”
“ครับท่าน”
ตาคมมองใบหน้าหวานในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วง เขาพาไปยังห้องทำงานของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าท่านอัศม์ได้เสียความเยือกเย็นของตนต่อหน้าคนนับร้อยไปแล้วเพียงเพราะเด็กผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งเท่านั้น
+ + + + + To be continue + + + + +
มาแล้วจ้ะ มาช้าไปกว่าที่แจ้งนิดหน่อย ขออภัยจริงๆ ยูกิเพิ่งปั่นเสร็จร้อนๆ เลย ไม่มีตอนสต็อกเอาไว้แล้วจ้า ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ^^
https://www.facebook.com/sawachiyuki/ https://twitter.com/Sawachi_Yuki