อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4  (อ่าน 14005 ครั้ง)

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
8

เรียนรู้งาน...ที่ ‘ข้างกาย’

 


หลังจากที่ปิดเทอม เวลาหนึ่งอาทิตย์ขวัญนพัตพายายพิไลไปเดินสายทำบุญเก้าวัดในโซนภาคเหนือ โดยที่มีกัญญาวีกับครอบครัวของเธอไปด้วยกัน เพราะทางครอบครัวไม่อยากให้น้องชายต้องพาพิไลไปกันตามลำพัง ซึ่งพอดีกับที่สามีของเธอลาพักร้อนเอาไว้พอดี นับว่าเป็นความบังเอิญที่ลงตัว ส่วนอีกอาทิตย์หนึ่งที่เหลือ ขวัญนพัตต้องมาทดลองทำงานกับท่าน จะได้คุ้นเคยเอาไว้

ที่สำคัญท่านอยากจะให้ขวัญนพัตได้รู้จักนิสัยของตนเองด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ฟังเอาจากคนอื่น เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติแบบเดียวกันกับทุกคน

วันนี้เป็นวันแรกที่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง...

“หนึ่ง...สอง...สาม ฟู่ โอเคขวัญ พร้อมรับมือแล้วใช่ไหม”

ขวัญนพัตมองประตูไม้ตรงหน้าพร้อมให้กำลังใจตัวเองที่กำลังจะก้าวเท้าไปเข้าไปข้างใน เพียงแค่ประตูห้องนอน ขวัญนพัตก็รู้ว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่จะเหยียบย่างเข้าไป

ใช่แล้ว เขาอยู่หน้าห้องนอนของท่านอัศม์ หนึ่งในหน้าที่ดูแลท่านอัศม์ คือต้องเข้าไปปลุกท่าน ซึ่งโดยปกติแล้วท่านจะใช้นาฬิกาปลุก แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงสั่งให้เขาไปปลุก ตัวขวัญนพัตเองก็หวั่นกลัวว่านิสัยยามตื่นนอนของท่านจะน่ากลัว เพราะเวลาพี่ชายตัวเองตื่นนอนจะเหวี่ยงมากๆ แต่นั่นพี่ชาย เลยรับมือได้ แต่นี่ท่านอัศม์ เป็นเจ้านาย หากท่านไม่พอใจขึ้นมา ขวัญนพัตผิดทั้งขึ้นทั้งร่อง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แกร็ก...

ไม่ใช่ว่าถือวิสาสะเข้าไปเอง แต่ทางยายพิไลบอกว่าหากเคาะประตูแล้วก็ให้เข้าไปเลย เพราะท่านไม่ตื่นง่ายๆ ขนาดนาฬิกาปลุกยังใช้ทั้งหมดห้าเครื่อง และเมื่อเข้าไปไอเย็นก็เข้าปะทะหน้า

“หนาวจัง ทำไมท่านนอนอากาศเย็นๆ ได้นะ”

ร่างบางเดินไปปิดเครื่องปรับอากาศ เห็นตัวเลขในรีโมทก็ตกใจ

“สิบหกองศา…โห”

ดวงตามองไปยังร่างนิ่งๆ บนเตียง ซึ่งเจ้าของห้องยังคงนอนหลับสนิทอยู่ ร่างบางนึกตารางงานของท่าอัศม์ที่ได้ฟังมาจากพ่อ แล้วเดินเลี่ยงเตรียมชุดให้ท่านก่อน ป้องกันท่าโมโหยามตื่นแล้วไล่ออกจากห้อง แล้วเขาจะไม่กล้ามาเตรียมชุดก่อน ขวัญนพัตคิดนั่น นู่น นี่ไปไกล เพราะพ่อกับยายไม่ยอมบอกอะไรเลยว่าเวลาตื่นท่านอัศม์เป็นยังไง บอกให้เข้าไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เออ...ถ้าโดนทุ่มออกมาก็รับผิดชอบใจน้อยๆ ที่พังไปแล้วด้วยก็แล้วกัน…ขวัญนพัตคิดน้อยใจพ่อกับยาย

พอเตรียมชุดให้ท่านเรียบร้อยแล้วก็เดินมาเปิดม่านให้ห้องที่มืดสว่าง มองไปยังเจ้าของห้องก็ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

“ท่านครับ ท่านอัศม์ครับ ถึงเวลาต้องตื่นแล้วนะครับ”

ขวัญนพัตยืนเข้าอยู่ข้างเตียง เอ่ยปลุกท่านเสียงเบาแล้วค่อยๆ เพิ่มเสียงขึ้นตามลำดับ

“ท่านครับ!!

คิ้วเข้มเริ่มขมวด ก่อนที่เจ้าของห้องจะค่อยลืมตา ใบหน้าแสดงถึงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ขวัญนพัตคอแห้งผากสบตาคมดุที่เหมือนจะมองตนเองอยู่ด้วยแววตาที่ไม่พอใจอย่างมาก

“คือ...”

“ออกไป!!!”

คนบนเตียงตวาดไล่เสียงดัง ก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง ร่างเล็กตัวสั่นด้วยความกลัว น้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะร้องออกมาให้ได้

ถึงจะเคยถูกคนขึ้นเสียงใส่มาบ้าง ขวัญนพัตก็ไม่เคยนึกหวาดกลัวมาก่อน แต่ครั้งนี้ กับคนๆ นี้ ขวัญนพัตกลับรู้สึกกลัวจนอยากจะร้องไห้ เพราะแววตาของท่านดูไม่มีแววตาของคนที่มีความเมตตาเลย มันดูพร้อมจะทำลายล้างทุกอย่าง และถ้าขวัญนพัตไม่ออกไปตอนนี้ มีหวังท่านจับทุ่มอย่างที่คิดแน่

แต่ถึงอยากจะออก ก็ไม่สามารถออกไปได้อย่างใจคิด เพราะขามันแข็ง ตัวแข็ง เหมือนโดนแช่เอาไว้

พรึ่บ!!

ท่านอัศม์ลุกขึ้นนั่ง เสยผมด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกตอนเช้า ปรับอารมณ์ของตัวเองโดยการมองไปยังนอกหน้าตาที่มีแสงสว่างยามเช้าบ่งบอกว่าเป็นเวลาตื่นนอนของตัวเอง อารมณ์ก็เริ่มปกติขึ้น ก้มมองร่างบางที่นั่งคุกเข่ากับหน้าอยู่กับพื้นแล้วยิ้มเบาๆ

ปกติท่านไม่ค่อยยิ้มตอนเช้า เพราะหงุดหงิดที่ต้องตื่นนอน ถึงวันนี้เขาจะหงุดหงิดเหมือนปกติ แต่พอเห็นท่าทางกลัวๆ ของขวัญนพัต ผู้ดูแล ‘ของเขา’ กลับทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เงยหน้า”

“ค่ะ ครับ” ใบหน้าสวยเงยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว หลุบตามองจมูกของท่านแทนที่จะสบตา ดวงตายังคงมีน้ำคลอๆ ไม่ถึงกับร้องไห้ออกมา แต่เพียงเท่านั้นท่านก็รู้สึกผิดที่ทำให้เด็กกลัว

“กลัวเหรอ”

“ป่ะ...ครับ กลัวครับ” ร่างบางเลือกที่ตอบไปตามความจริง ลดระดับสายตามาที่คางของท่าน

“อืม...แต่ไม่ได้ออกไปตามที่ไล่ ถือว่าใช้ได้”

“อยากออกครับ แต่ขยับตัวไม่ได้” เด็กน้อยขี้กลัวก็ตอบตามความจริง ท่านอัศม์ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ รู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้ายิ่ง

“หืม...”

“ผมเพิ่งเข้าใจ ว่ากลัวจนตัวสั่นเป็นยังไงก็วันนี้เลยครับ” ขวัญนพัตตอบเสียงเบา สีหน้ายังคงดูหวั่นๆ ไม่ได้มีแววล้อเล่น แต่ทำไมท่านถึงอยากจะหัวเราะออกมาก็ไม่รู้

“หึหึ...” ท่านหัวเราะออกมาอย่างขบขันอารมณ์ดี

หากเป็นเวลาปกติแล้ว เขาจะอารมณ์ปกติก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสายน้ำ เพราะหน้าที่หลายๆ อย่าง กระทั่งเวลานอนของท่านก็แบ่งให้กับงานอยู่บ้าง ทำให้เขาได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“อาบน้ำเลยไหมครับ ผมจะไปเตรียมน้ำ”

“ลุกไหวแล้วหรือไง” ท่านถาม แต่น้ำเสียงหยอกเย้าจนขวัญนพัตใจสั่น ริ้วสีแดงพาดอยู่บนใบหน้า รู้สึกอับอายจนไม่กล้าสบสายตา

“ผมเป็นคนปรับตัวไว รับรองว่าพรุ่งนี้ถ้าปลุกท่านแล้วโดนไล่ออกจากห้องอีก ผมจะเดินไปจัดชุด เตรียมน้ำ ตอนนั้นท่านคงปรับอารมณ์เสร็จแล้ว” ท่านอัศม์มองคนตอบอย่างพึงพอใจ

แม้อารมณ์ตอนถูกปลุกจะเป็นความโมโหจริงๆ แต่เขาก็ใช่ว่าจะทำโทษหรือลงโทษคนที่มาปลุก เพียงแต่ต้องชินกับอารมณ์ตอนตื่นนอนของเขาให้ได้

“ตอนฉันไล่รู้สึกยังไง”

“จะร้องไห้ครับ”

“เป็นผู้ชาย อย่าอ่อนแอ” ท่านว่า

จริงๆ แค่ไม่อยากให้ขวัญนพัตร้องไห้...ผู้ชายก็คน อ่อนแอ เข้มแข็ง ก็มีกันทั้งนั้น

“ผู้ชายก็อ่อนแอได้ครับ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องร้องไร้ออกมา มนุษย์ทุกคนมีน้ำตากันหมดแหละครับ การที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย จะต้องไม่ร้องไห้ มันเป็นการกดดันตัวเองเกินไปครับ เพราะสำหรับบางคน การร้องไห้ถือเป็นการระบายความเครียดครับ”

ท่านฟังอย่างตั้งใจ มองหน้าคนพูดไม่วางตา ท่านเพิ่งจะรู้ตัวเองว่าชอบมองหน้าหวานๆ ของขวัญนพัต สายตาของเขาชอบมองหาใบหน้าสวยๆ นั่นอยู่เสมอ...

มอง...แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมอง แต่มองแล้วรู้สึกสบายใจ 

“ก็คงจะจริงอย่างนั้น”

“ท่านอยู่ในสถานะที่แสดงความอ่อนแอไม่ได้ก็จริง แต่เมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีคนอื่น ผมเชื่อว่าท่าเองก็มีมุมอ่อนแอเหมือนกัน เพียงแต่เก็บเอาไว้คนเดียว ผมไม่เชื่อหรอกครับ ว่าจะมีคนที่เข้มแข็งตลอดเวลาอยู่บนโลกจริงๆ”

“จริงจังมาก” ท่านว่า ก่อนจะขยับมานั่งที่ข้างเตียง สองเท้าใหญ่วางลงบนพื้น ขวัญนพัตขยับตัวลุกขึ้นยืนห่างๆ

“ผมจะไปเตรียมห้องน้ำนะครับ ว่าแต่ท่านจะอาบน้ำอุ่นหรือเปล่าครับ”

“ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวฉันอาบน้ำอุณหภูมิปกติ”

“เอ่อ...ครับ”

“ช่วงเช้าฉันจะดื่มน้ำเปล่าไม่เย็น ไม่อุ่น ก็คือน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติด้วยหนึ่งแก้ว”

“ขออภัยครับ” เรื่องนี้เขาเองก็ทราบว่าท่านต้องดื่มน้ำตอนตื่นนอนเพื่อให้ร่างกายตื่น แต่ดันลืมเอามาจนได้ ขวัญนพัตนึกตำหนิตัวเองที่ไม่มีความรอบคอบ

“จะถือว่าเป็นวันแรก เพราะความตื่นเต้นเลยทำให้พลาดก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเอามาให้นะครับ” ขวัญนพัตอยากจะแก้ตัว แต่ร่างสูงกลับปฏิเสธก่อน

“ไม่เป็นไร ฉันไปดื่มตอนมื้อเช้าเลยก็ได้”

“ครับ”

ร่างแกร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องแต่งตัวแบบ Walk in closet ที่ห้องน้ำอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำก็มองตรวจตราชุดที่เตรียมไว้ พอเห็นชุดที่ขวัญนพัตเตรียมให้เขาก็รู้สึกพึงพอใจ คิดว่าคงผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเลย

“เลือกชุดได้ดี” ท่านหันไปชมคนที่เดินตามเข้ามา

“ผมถูกฝึกมาน่ะครับ”

“งั้นก็รู้สินะว่าต้องรอแต่งตัวให้ด้วย”

“ทราบครับ”

“ก็ดี แต่เธอไม่ต้องห่วง ถ้าวันไหนที่ฉันไม่ต้องการแช่น้ำ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปในห้องน้ำด้วย เพียงแต่รออยู่ตรงนี้ก็พอ”

“รับทราบครับ”

“อืม...”

ท่านอัศม์เดินเข้าห้องน้ำไปทันที โดยที่มีขวัญนพัตยืนรออยู่ด้านหน้าประตูห้องน้ำ ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีท่านก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพสวมชุดคลุมอาบน้ำ ขวัญนพัตรีบหาผ้าขนหนูมายื่นให้ร่างสูงเช็ดผมที่เปียก อัศม์เดชเดินไปนั่งบนเบาะนุ่มเพื่อให้ขวัญนพัตเป่าผมด้วยเครื่องไดร์ให้

ระหว่างการแต่งตัวของท่านกับการช่วยสวมเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มมีเพียงความเงียบงัน แต่สายตาของท่านก็เพียรมองคนตัวเล็กกว่าอยู่ตลอด ส่วนขวัญนพัตก็มักจะไม่กล้าสบตา ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ แม้จะมีช่วงที่ท่านเปลือยช่วงบน รอยสักตรงต้นแขนและหัวไหล่ด้านขวาของท่านอัศม์จะดึงดูดสายตาให้มองอย่างสนใจ

มันเป็นรอยสักมังกรเพลิงที่ส่วนหัวของมังกรอยู่ที่ต้นแขนแกร่ง แต่ส่วนลำตัวยาวจะสักขึ้นไปทางหัวไหล่ไล่ลงไปยังแผ่นหลังกว้าง มันดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมาจริงๆ

“มีอะไรที่อยากจะถามไหม” คนอายุมากกว่าถามขึ้นเมื่อแต่งตัวเสร้จเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มมีความสงสัยอยู่

“ไม่มีหรอกครับ”

“พูดมา อย่าให้ฉันต้องบังคับ”

ก็เห็นชัดๆ ว่ามี จะมาโกหกว่าไม่มีไม่ได้ เขาไม่ชอบคนโกหก ยิ่งคนโกหกไม่เก่งแต่ดันทุรังที่จะโกหก มันน่าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ”

“งั้นก็ว่ามา เธอสงสัยเรื่องอะไร”

“รอยสักครับ”

“อ้อ...รูปมังกรเพลิง ผู้นำของพรรคทั้งห้าคนต้องสักมัน”

“เจ็บไหมครับ?”

“ทำไม อยากสักเหรอ” ท่านไม่ตอบแต่ถามกลับ

“เปล่าครับ ผมเห็นว่าคนในพรรคก็สักกันทุกคน”

“ถามแบบนี้แสดงว่ากลัวที่จะต้องสักงั้นหรือ”

ขวัญนพัตหลบตาไม่กล้าตอบ เป็นคำตอบที่ชัดเจนเหลือเกินสำหรับผู้ที่ถาม ท่านอัศม์หัวเราะออกมาเบาๆ เด็กตรงหน้าเขาเหมือนแมวน้อยแสนขี้กลัวเหลือเกิน

น่ารัก น่าเอ็นดูเสียจริงๆ

“ว่าไงขวัญ เธอกลัวงั้นหรือ”

“กลัวครับ แม้ว่าจะเป็นรอยสักเล็กๆ ผมก็กลัว แค่เข็มฉีดยาผมยังกลัวเลยครับท่านอัศม์ ของท่านอัศม์ใหญ่ขนาดนั้นต้องเจ็บมากแน่ๆ” เด็กน้อยของท่านมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างน่าสงสาร แต่สำหรับท่านแล้วดูน่าแกล้งมากกว่าอีก

“ก็เจ็บจริงๆ นั่นแหละ แต่เธอต้องทำใจนะ ยังไงคนในพรรคก็ต้องสัก เรียนจบเมื่อไหร่ก็ต้องสักแล้วทำพิธีสาบานตนเข้าพรรค”

“ผมไม่สักไม่ได้หรือครับ”

“ไม่ได้” ท่านตอบเสียงเข้ม ใบหน้าสวยซีดเจื่อนไปทันที

“ผมกลัว”

“เป็นผู้ชาย กลัวด้วยเรื่องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” ท่านอัศม์ดุ ยิ่งทำให้ไหล่ของขวัญนพัตตกลงไปอีก เด็กหนุ่มก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิดที่พูดเอาแต่ใจกับผู้มีพระคุณ ทำให้ไม่เห็นสีหน้าแววตาของท่าน

“ขอโทษครับ”

“จำไว้ให้ดี บางสิ่งบางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้”

“ครับ”

“ทุกคนในพรรคต้องสัก ไม่มีข้อยกเว้นทั้งนั้น แต่ไม่ต้องห่วง รอยสักของสมาชิกทั่วไปก็เป็นเพียงรอยสักตราของตระกูล บ่งบอกว่าเป็นคนของตระกูลไหนในห้าตระกูล ที่สำคัญรอยมันก็เล็ก สักในร่มผ้า เจ็บไม่นานก็หายแล้ว”

“ครับ”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่าใครได้รับการยกเว้น” ท่านถาม

“ทราบครับ”

อัศม์เดชเลิกคิ้วให้ขวัญนพัตเป็นนัยว่าให้พูดออกมา

“ภรรยาและลูกของผู้นำตระกูลจะได้รับการยกเว้นครับ ลูกและภรรยาของสมาชิกในพรรคเองก็ได้รับการยกเว้นเช่นกันครับ”

“อืม...ถ้าไม่อยากสักก็มีเพียงแค่ไม่ต้องทำงานให้กับพรรค สองคือการเป็นภรรยาของฉัน และสามเป็นน้องสะใภ้ของฉัน แน่นอนว่าสองข้อหลังเป็นไปไม่ได้”

“ทราบแล้วครับ ท่านอัศม์อย่าได้ใส่ใจกับความขี้ขลาดของผมเลย พอถึงตอนนั้นผมก็จะทำทุกอย่างที่สมควรต้องทำครับ ขออภัยถ้าทำให้ท่านไม่พอใจนะครับ”

“เอาเถอะ ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไร”

ท่านอัศม์หมดสนุกที่จะแกล้งเด็กหนุ่มต่อแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาตามที่คิดสักเท่าไหร่ มองหน้าก็ไม่มอง คำพูดคำจาของเจ้าตัวสำนึกผิดจริงจังจนรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ท่านอัศม์ครับ ถ้าท่านแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอัศม์รับอาหารเช้าดีกว่าครับ ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเช้าพอดีเลยครับ”

อ่านอัศม์พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ห้องรับประทานอาหารโดยที่มีขวัญนพัตเดินตามอยู่ด้านหลัง วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ศึกษางานทางพรรคกับท่านอัศม์ ขวัญนพัตที่ทำหน้าที่ควบสองดูแลท่านไปด้วยก็จำเป้นต้องตัวติดกับท่านตลอดเวลา คล้ายเป็นพ่อบ้านส่วนตัวมากกว่าเป็นผู้ช่วยฝึกหัดของสันต์ธรเสียอีก





 

พรรคเบญจเตโชมีที่ทำการกลางอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ขนาดใหญ่โตสามชั้น ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่สองร้อยห้าสิบไร่ เอาไว้เป็นที่ประชุมผู้นำ เป็นที่พักของสมาชิกที่ไม่ได้สังกัดตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ซึ่งส่วนมากเป็นสตาฟคุมฝึกอยู่ที่นี่ เป็นสถานที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง การใช้ปืนต่างๆ ด้วยครูฝึกมีฝีมือจากทั้งในและต่างประเทศที่ทางพรรคลงทุนซื้อตัวมาเพื่อฝึกฝนให้กับสมาชิกในพรรคห้าตระกูลผู้นำและสมาชิกแก๊งพันธมิตรทั้งหมดกว่าสามร้อยกว่าแก๊ง นอกจากฝึกให้กับสมาชิกในพรรคทั้งห้าตระกูลแล้ว ยังฝึกบอดี้การ์ดมากฝีมือให้บริษัทต่างๆ ที่ส่งมาให้ทางพรรคฝึกฝนให้ คนพวกนี้พอกลับบริษัทไปก็จะมีค่าตัวสูงมาก ผู้ใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลต่างๆ ก็มักจะไว้ใจว่าจ้างบริษัทที่ส่งคนมาฝึกกับทางพรรคมากกว่าที่บริษัทอื่น

ขวัญนพัตเดินตามท่านอัศม์กับพ่อเข้าไปยังที่ทำการของพรรค โดยข้างหลังมีบอดี้การ์ดเดินตามเป็นพรวน นอกจากนี้ยังมีสายตานับสิบคู่มองมาที่ตนอย่างสงสัย เพราะหน้าตาของขวัญนพัตไม่ได้เหมาะที่จะมาที่นี่เลยสักนิด

เข้าไปในตัวอาคารก็เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เพียงแต่เปลี่ยนจากร้านค้าเป็นห้องปฏิบัติการ และคนที่เดินไปมาเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย ขนาดคนทำความสะอาดก็ยังเป็นพ่อบ้าน ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ดูทะมัดทแมงเกินหญิงทั่วไปและมีส่วนน้อยที่จะได้เข้ามาในพรรคหากไม่มีความสามารถจริงๆ

 เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นห้องทำงานของผู้นำตระกูลทั้งห้าคน แล้วยังมีห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมย่อย และห้องประชุมลับที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสม ชั้นสองเป็นที่ทำงานของหน่วยไอทีต่างๆ แล้วก็มีห้องฝึกศิลปะการป้องกันตัว ชั้นล่างสุดจะเป็นชั้นสำหรับพักผ่อน ท่านอัศม์เดินเข้าห้องทำงานของตนเองไป โดยที่มีแค่ขวัญนพัตกับสันต์ธรที่เดินตามเข้าไป ส่วนบอดี้การ์ดจะยืนคุมอยู่ด้านหน้า

ขวัญนพัตเรียนรู้งานทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่การรายงานสถานการณ์ เปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ท่านตรวจสอบ ถ้ามีตรงไหนที่ท่านต้องการทราบเพิ่มก็ต้องตามคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ มาพบท่าน เด็กหนุ่มมองท่านอัศม์ที่ทำงานอย่างจริงจังด้วยสายตาเลื่อมใส ศรัทธา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่ากำลังโดนเด็กน้อยมองด้วยความนับถือสุดๆ

“ตรงนี้ฉันเข้าใจแล้ว สันต์ไปสอนงานขวัญตรงนั้นเถอะ” ท่านอัศม์ชี้ไปยังโซฟาที่อยู่ห่างออกไปสองเมตร

ทั้งสองคนรับคำสั่ง สันต์ธรพาลูกไปนั่งอธิบายถึงงานต่างๆ ส่งรายชื่อคนที่ควรจะรู้จักให้กับลูกชายเอาไว้ค่อยๆ ทำความรู้จักไปเรื่อยๆ เพราะการทำงานข้างกายท่านจะต้องรู้จักทุกคนที่ท่านรู้จักและต้องรู้มากกว่าท่านด้วย

“โดยคร่าวๆ งานก็เป็นแบบนี้”

“ฮะ...ขวัญทราบแล้ว”

“ต้องใช้เวลาลูก แค่รู้จักไม่พอ ต้องทำให้พวกเขาเชื่อถือด้วย”

“งานยากเลยฮะ”

ขวัญนพัตหน้างอ เพราะรู้ตัวเองดีว่ามีหน้าตาไม่ค่อยสร้างความน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ มีแต่สร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองทั้งนั้น

“สิ่งที่จะส่งเสริมให้ขวัญมีความน่าเชื่อถือไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงบุคลิกภาพและปัญญาของลูกด้วย หนูต้องรู้ทันคน วงการนี้ต้องมองโลกให้ร้ายเอาไว้ก่อน ท่านอัศม์เป็นที่หนึ่ง นอกนั้นก็อย่าเชื่อใจ”

“ครับ ขวัญจะจำเอาไว้”

“ดีมาก”

“วันนี้ท่านมีประชุมเหรอฮะ” ขวัญนพัตถาม

“ใช่แล้วลูก”

“ขวัญต้องเข้าไหมฮะ”

“ต้องเข้า ท่านอัศม์บอกพ่อว่าให้เราเข้าประชุมด้วย”

“จะดีเหรอฮะ”

“ก็เข้าไปฟังเฉยๆ ลูก แค่รับรู้สถานการณ์ และให้ลูกชินกับบรรยากาศเวลาประชุมน่ะ”

สันต์ธรมีสีหน้าเป็นกังวล จนขวัญนพัตอดถามไม่ได้

“พ่อเครียดเหรอฮะ”

“เปล่าลูก...ขวัญยืนฟังท่านประชุมได้ใช่ไหม” สันต์ธรถามผู้เป็นลูก สายตามองอย่างนึกเป็นห่วง เพราะนี่เป็นการประชุมใหญ่ของผู้นำทั้งห้ากับหัวหน้าแก๊งพันธมิตรทั้งหมด

เป็นประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำรุ่นใหม่ทั้งห้าคนของตระกูลผู้นำ

“ได้ฮะ”

“นานนะลูก”

“ขวัญยืนได้ พี่ๆ บอดี้การ์ดก็ยังยืนกันได้เลย”

“กินเวลานานมาก เอาไว้เสร็จงานนี้พ่อจะขอท่านอัศม์ให้เราพักผ่อน”

“ไม่เป็นไร หนูไหว หนูต้องทำงานจนกว่าท่านอัศม์จะเข้านอน”

“เก่งมากลูกพ่อ เริ่มงานวันแรกก็เจองานหนักเลย”

“มันเครียดมากเหรอฮะ”

“ก็มีหลายประเด็นที่น่าเครียดอยู่เยอะเลย ช่วงนี้พวกแก๊งเล็กๆ เริ่มอยู่ไม่สงบนัก”

“เหรอฮะ”

“เอาไว้เวลาประชุมขวัญจะรู้เอง ตั้งใจฟังแล้วก็จำไว้นะลูกว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นแบบไหน”

“ได้ครับ”

เวลาผ่านไปสักพัก ท่านอัศม์ก็ไปห้องประชุมที่มีทุกคนมารอกันครบหมดแล้ว ในฐานะประมุขพรรค อัศม์เดชจึงต้องมาช้าที่สุด หากมีใครมาสายกว่าก็มักจะไม่เป็นผลดีต่อแก๊งนั้น เขาไม่อยากทำให้เรื่องเพียงเล็กน้อยมาสั่นคลอนความมั่นคงของพรรค

ขวัญนพัตที่เดินมายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ประธานกับผู้เป็นพ่อตัวสั่นอย่างประหม่า ด้านข้างของท่านอัศม์มีผู้ชายวัยประมาณท่านอัศม์นั่งอยู่ฝั่งละสองคนข้างหลังก็มีคนสนิทหรือผู้ติดตามเช่นกัน ตรงหน้ามีป้ายชื่อตระกูลวางเอาไว้บ่งบอกว่าเป็นหนึ่งในห้าผู้นำพรรค ส่วนด้านล่างเป็นคนอีกหลายร้อยคนซึ่งหันหน้ามายังฝั่งเวทีตรงหน้ามีป้ายชื่อแก๊งพันธมิตร

ร่างบางเกิดอาการตื่นตระหนก หวาดกลัวจนเก็บสีหน้าไม่ได้ เขามองแค่ด้านหลังของท่านอัศม์ ไม่กล้ากวาดสายตามองใครทั้งนั้น สันต์ธรเห็นอาการของบุตรบุญธรรมก็ได้แต่เป็นห่วง แต่สถานการณ์แบบนี้เราจะพูดคุยกันไม่ได้ แม้ว่าในห้องประชุมใหญ่นี้จะมีคนสามร้อยกว่าคนแต่ก็หาได้มีเสียงดังกันไม่

ทุกคน...ทุกคนในนี้คือมาเฟียทั้งหมด น่ากลัว...น่ากลัวจัง

ขวัญนพัตไม่เคยรู้สึกกลัวแบบนี้มาก่อนเลย เพราะที่บ้านเขาก็พบเจอสมาชิกพรรคของตระกูลอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ที่นี่มีแต่ระดับผู้นำ เขาก็เลยหวาดกลัว กลัวว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมออกมา

 ท่านอัศม์เริ่มการประชุมไปแล้ว เหล่าผู้นำอีกสี่คนรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ที่ตระกูลดูแล ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติไม่มีอะไรน่ากลัว เหมือนการประชุมในบริษัทธรรมดา เพียงแต่เรื่องที่คุยกันมักจะเป็นเรื่องการใช้ความรุนแรงของมาเฟียแก๊งเล็กตามพื้นที่ต่างๆ ขวัญนพัตได้ฟังก็ยิ่งตระหนักได้ว่างานที่ท่านอัศม์กับพ่อทำมันอันตรายจริงๆ

“แล้วถ้าหากว่ามาตรการสถานเบาจัดการไม่ได้ จะทำยังไง อย่าหวังพึ่งทางการ พวกนั้นไม่มีทางทำได้ มีแต่ยืมมือของพวกเราเอาหน้ามาตลอด” ท่านอัศม์ถามขึ้นมา

“เรื่องนั้นก็ต้องดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ว่าพวกมันจะทำตัวเหิมเกริมไปมากกว่านี้ไหม” ท่านเขมต์มนัสผู้นำตระกูลพิชญเดชาเอ่ยขึ้น

“เกรงว่ามัวแต่รอดูแล้วไม่ทำอะไรเลยมันจะได้ใจ แล้วทำเรื่องใหญ่เกินกว่าเราจะควบคุมได้เล่า” ท่านทัชชกร ผู้นำตระกูลอัคคเดชโภคินแย้ง

“ฉันค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทัช เราควรจะจัดการควบคู่ไปกับการดูสถานการณ์ ไม่งั้นอาจจะมีเรื่องที่ต้องวุ่นวายทีหลังขึ้นมา” ท่านศรณ์กวินผู้นำตระกูลเดชหิรัญสกุลพูดด้วยสีน้ำเสียงหน่ายๆ

“แล้วจะจัดการยังไง? ไม่สู้ปล่อยให้พวกมันตายใจไป แล้วเราค่อยล้างบางทีหลังไม่ดีกว่าเหรอ จับตัดตอนพวกมันทุกคนไปเลย”

ล้างบาง…?

ตัดตอน...?

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจากปากของท่านชิณณวรรธน์ผู้นำตระกูลเลิศธนเดชาโชติ ขวัญนพัตก็เกิดความรู้สึกหวากลัวจนเกินจะรับไหว หน้ามืดแล้วหมดสติลงในที่สุด

ตึง!!

“ขวัญ!!” สันต์ธรตกใจเรียกชื่อของลูกชายเสียงดังพร้อมทั้งถลาตัวไปเพื่อจะประคองลูกขึ้นอุ้ม เรียกความสนใจจากผู้นำบนเวทีทั้งหมดโดยเฉพาะท่านอัศม์ที่ลุกจากเก้าอี้ประธานมาหาร่างบางทันทีอย่างร้อนใจ

“ขวัญ...ขวัญ เป็นลม? สันต์เดี๋ยวฉันอุ้มเอง สันต์อยู่ที่นี่”

“แต่ว่ามันไม่เหมาะนะครับท่าน ให้ปีมาอุ้มดี...” คนอายุมากกว่าแย้ง แต่ไม่ทันพูดจบดีก็ถูกแทรกด้วยผู้เป็นนายเหนือหัว

“สันต์ประชุมแทนฉันตลอด แล้วนี่ก็อุ้มไม่ไหวไม่ใช่หรือไง แล้วฉันก็ไม่ไว้ใจให้ใครมาอุ้มคนของฉันทั้งนั้น ไปประชุมแทน เดี๋ยวฉันจะกลับมา” ท่านอัศม์พูด น้ำเสียงเด็ดขาดติดร้อนรนจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ร่างสูงช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มแล้วเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีท่ามกลางสายตาของคนในที่ประชุม

หลังท่านออกไปห้องประชุมก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา แต่โชคดีว่าผู้นำอีกสี่ยังคงอยู่ในนั้นด้วย สถานการณ์เลยเป้นปกติโดยไว

ทางด้านท่าอัศม์ที่เดินอุ้มขวัญนพัตออกมา ด้านหลังมีบอดี้การ์ดเดินตามมาด้วยเมื่อเอ่ยจะช่วยก็ถูกเจ้านายตวัดสายตาน่ากลัวมองใส่ บอดี้การ์ดเหล่านั้นเลยทำได้แค่เดินตามเงียบๆ ไม่กล้าปริปากอะไรอีก

“เรียกหมอขึ้นมา”

“ครับท่าน”

ตาคมมองใบหน้าหวานในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วง เขาพาไปยังห้องทำงานของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าท่านอัศม์ได้เสียความเยือกเย็นของตนต่อหน้าคนนับร้อยไปแล้วเพียงเพราะเด็กผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

 

 

+ + + + + To be continue + + + + +

          มาแล้วจ้ะ มาช้าไปกว่าที่แจ้งนิดหน่อย ขออภัยจริงๆ ยูกิเพิ่งปั่นเสร็จร้อนๆ เลย ไม่มีตอนสต็อกเอาไว้แล้วจ้า ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ^^

          https://www.facebook.com/sawachiyuki/

          https://twitter.com/Sawachi_Yuki

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :heaven มันคงกดดันมากจริงๆขวัญถึงได้เป้นลม

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ก็คนของท่านเน๊าะจะให้ใครแตะได้ไง  :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
มีความเป็นห่วงออกนอกหน้ามากท่าน ยังไม่ทันเป็นอะไรกันก็หวงน้องซะแล้ว

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
หนูขวัญลูกก เป็นลมไปเลยย
ท่านพูดจริงเหรอที่น้องไม่สามารถเป็นภรรยาท่านได้น่ะ :hao6: น้องขวัญต้องไม่โดนสักสิ

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
มีความหวงแรง อย่างนี้ยังจะให้ทำงานในพรรคต่อไหมเนี้ยะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ไม่ไหวแล้ว ความพระเอกนี้ ความท่านอัศม์
อย่าได้ให้ใครมาแตะขวัญเด็ดขาดจ้า
ไม่มีแล้ว ต่อให้เป็นคนหน้าซื่อใจเด็ดกับใคร
แต่ไม่ใช่กับขวัญนพัตแน่นอน

เอ็นดู เครียดด้วย บวกกังวล แถมกลัวเยอะอยู่
ขอลาจอ สติดับไปก่อนละกันเนาะขวัญ

แล้วทีนี้ จะแกล้งอะไรน้องอีกไหมล่ะนั่น

ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :กอด1: รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ตามอ่านทันแล้วค่ะ
หนูขวัญน่ารักมากเลยค่ะ
ชอบตอนที่คุยโทรศัพท์กับพี่สิงห์อ่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ขวัญเป็นลมไปเลย

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
9

เป็นมาเฟียไม่ง่าย...ต้อง ‘ปรับตัว’

 


ขวัญนพัตไม่เคยรู้สึกอับอาย และผิดหวังกับตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย ยามที่ได้สติคืนมาแล้วเขาพบว่าตนเองนอนอยู่บนโซฟาในห้องของท่านอัศม์ร่างน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าทำตัวน่าขายหน้าให้กับผู้มีพระคุณและพ่อของตนไปเสียแล้ว

“ทำไงดีเนี่ยขวัญ”

ร่างบางคิดไม่ตก ลุกขึ้นเดินวนเวียนอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกตอนนี้คืออยากหนีหน้าท่านอัศม์กับพ่อ แต่นั่นก็เท่ากับว่าเขาหนีปัญหาซึ่งไม่อาจจะทำได้

“อ่อนแอจริงๆ ได้ยินแค่นั้นก็กลัวจนสั่นไปหมดแล้ว นี่ยังเป็นลมอีก ไอ้ขวัญเอ้ย!” ว่าแล้วก็ขยี้ผมของตัวเองจนไม่เป็นทรง แต่ไม่ทำให้ขวัญนพัตดูน่าเกลียดเลยสักนิดกลับกันให้รู้สึกว่ามีเสน่ห์มากกว่าทรงผมเรียบร้อยๆ ด้วย

แกร็ก

ใบหน้าหวานหันไปยังประตู หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำรุนแรง รีบหยุดเดิน แล้วยืนตรงออกจะมากไปทางเกร็ง มือประสานอยู่ตรงหน้า ก้มหน้างุดไม่สบตาผู้มีพระคุณที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย อัศม์เดชมองร่างเล็กเล็กน้อยก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ส่วนสันต์ธรที่เดินตามมาก็ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยลูกชายคนเล็กที่เอาแต่ก้มหน้า หากแต่ยังไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ เนื่องจากต้องหารือและสรุปการประชุมให้ท่านอัศม์เสียก่อน

“สันต์คิดว่าไง...ขวัญ มายืนข้างๆ ฉัน แล้วทำความเข้าใจไปด้วย” ร่างเล็กสะดุ้ง กุลีกุจรจรเดินไปยืนข้างกายท่านอัศม์เพื่อฟังและวิเคราะห์เนื้อหาหารประชุม

คนอายุน้อยที่สุดได้รับรอยยิ้มเป้นกำลังใจจากคนเป็นพ่อ นั่นทำให้ขวัญนพัตใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยท่านอัศม์ก็ยังให้โอกาสเขาได้เรียนรู้งานต่อ แม้ว่าการประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ หลังจากที่ตัวเองสลบไปกลางคันจะลากลำบากแต่ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถเท่าไหร่

“เรื่องเกิดขึ้นที่เขตเหนือผมจะให้คนตามสืบอีกทีว่ามันเป็นมายังไงกันแน่ หลักฐานมันชี้เป้าเกินไปครับท่าน”

“อืม...อีกสิบนาทีบอกให้เขมต์มาหาฉันด้วยนะสันต์ เรื่องนี้ต้องคุยกับตระกูลที่ดูแลเขตเหนือ แม้ว่าเราจะตรวจสอบได้เลย ก็ไม่ควรข้ามหัวผู้นำพรรคคนอื่นๆ”

“ได้ครับท่าน” สันต์ธรรับคำสั่งแล้วหันไปส่งบอดี้การ์ดอีกคนให้ไปเชิญผู้นำพรรคที่ดูแลพื้นที่เขตเหนือมาก

“คิดว่าพวกแก๊งไหนที่น่าสงสัย” ท่านอัศม์ถามขึ้นต่อ ในมือก็เลื่อนหน้าจอแท็บเล็ตเช็คข้อมูลของแก๊งพันธมิตรในตอนนี้ไปด้วย

“หลักฐานที่จะพูดถึงผมยังไม่มีครับท่าน แต่ถ้าให้วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอย เห็นจะมีอยู่เจ็ดแก๊งครับ”

“เจ็ด? อืม...ฉันขอข้อมูลทั้งแปดแก๊งนี้อย่างละเอียด เอาตั้งแต่วันที่เข้าพรรคเลย ไม่สิ...ขอก่อนที่จะเข้าพรรคมาด้วยให้ได้มากที่สุด”

“ได้ครับ” สันต์ธรก็เรียกบอดี้การ์ดอีกคนให้เข้ามาแล้วถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาจากท่านอัศม์ให้กับลูกน้องไปจัดการ

ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของขวัญนพัต หน้าที่ที่พ่อเลี้ยงตนทำอยู่ต้องใช้สมองวิเคราะห์ ไหวพริบ ละเอียดรอบคอบ ที่สำคัญจะต้องดูน่าเกรงขามใช้งานคนได้ เห็นทีว่างานนี้จะยากเกินไปสำหรับเด็กวัยละอ่อนสีขาวบริสุทธ์ที่ริจะเข้าสู่วงการมาเฟียอันเปรียบเหมือนสีเทาหม่น

สันต์ธรสังเกตเห็นความหนักใจบนใบหน้าลูกชายวัยสิบเจ็ดก็ให้สะท้านในอก คนเป็นพ่อเป็นแม่ แม้จะไม่ใช่สายเลือดแต่ก็เลี้ยงดูว่าสิบกว่าปี เขาไม่ได้มีความต้องการที่จะให้ลูกเดินเข้าสู่วงการนี้ แม้ว่าพรรคจะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย แต่ก็ใช่ว่าพันธมิตรเกือบสองร้อยแก๊งจะไม่มี หลายแก๊งที่เข้ามาสวามิภักดิ์ไม่ได้มาด้วยใจที่ซื่อสัตย์ทุกแก๊งแต่มาเพราะผลประโยชน์ การได้รับตราสัญลักษณ์ว่าเป็นพันธมิตรของพรรคก็เหมือนได้รับการคุ้มครองป้องกันไปแล้วครึ่งหนึ่ง

พรรคร่วมมือกับทางการแต่อยู่เบื้องหลัง เบื้องหลังการนำจับคดีผิดกฎหมายต่างๆ ก็มาจากผลงานของทางพรรคเป็นผู้จัดการทั้งนั้น แต่เบื้องหน้าให้กรมตำรวจได้หน้าไป แก๊งในพันธมิตรก็ไม่รับยกเว้น หากคิดจะทำเรื่องผิดกฎหมายก็ให้หลบจมูกหลบสายตาห้าตระกูลใหญ่ให้ดีก็พอ ซึ่งมีไม่น้อยที่หลบเลี่ยงเก่งขนาดที่พรรคก็ทำอะไรได้ยากเหมือนกัน

สันต์ธรไม่อยากให้ขวัญนพัตต้องเปลี่ยนไปหากคลุกคลีอยู่ในวงการอันตรายนี้ มันมีการแก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น หลอกลวงกันเต็มไปหมด วันหนึ่งที่ขวัญนพัตต้องทำผลงานเขาก็กลัวว่าลูกชายจะไปพัวพันกับพวกเครือข่ายใหญ่ๆ เข้า

บางทีอาจจะต้องลองขอท่านอัศม์ให้ขวัญทำงานในส่วนธุรกิจอย่างเดียว

“แล้วสิบตระกูลสายรองมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างไหม ผู้นำตระกูลแต่ละคนก็ยังคงเป็นพวกรุ่นพ่อของฉันอยู่ นิ่งเงียบเหมือนเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทำตัวไร้พิษสงแต่ซ่อนคมเขี้ยวรอแว้งกัด”

“ระยะนี้ก็ยังคงเงียบครับ นอกจากช่วงที่ท่านอัศม์ไปเรียนแล้ว ก็ไม่มีตระกูลไหนล้ำเส้นหรือทำอะไรเกินเลยครับ ราวกับว่าต้องการให้ท่านอัศม์เชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นปัญหา”

“สิบตระกูลรอง เป็นฉันกับเหล่าอาวุโสผู้นำรุ่นก่อนของแต่ละตระกูลเป็นคนก่อตั้งขึ้นมา ถ้ามีปัญหามากๆ ใช้อำนาจแบบผิดๆ เห็นทีว่าฉันคงต้องเรียกประชุมผู้นำเพื่อหารือใหม่แล้ว”

เหมือนจะเป็นคำพูดลอยๆ แต่นั่นคือสาส์นอย่างหนึ่ง เป็นนัยให้สันต์ธรกระจายข่าวลือนี้ออกไป ที่ผ่านมาเขายังคงจัดการได้เลยยังปล่อยให้สิบตระกูลรองมีอำนาจเหนือกว่าพันธมิตรอื่นต่อไปเพราะเห็นว่าเป็นญาติ อำนาจนั้นไม่เรียกว่ามากหรือน้อยไปนัก หากหาช่องทางเอาประโยชน์ได้ก็ถือว่าเป็นโชคของตระกูลนั้น

“หกในสิบยังคงเชื่อฟังภักดีครับท่าน ไม่มีท่าทีต่อต้านหรือใช้อำนาจในทางที่ผิด เหล่าผู้นำปัจจุบันกำลังทำเรื่องขอลาออกจากตำแหน่งแล้วสืบทอดตำแหน่งสู่รุ่นต่อไปครับ เพื่อแสดงความจริงใจต่อผู้นำพรรคทั้งห้า”

“ไม่วางใจ จับตาดูทุกตระกูลนั่นแหละ เด็กรุ่นใหม่ไฟย่อมแรงกว่า”

“ครับท่าน”

อัศม์เดชวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะเมื่อได้ตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขวัญนพัตที่ยืนข้างกายคอยมองท่านทำงานอยู่ตลอดเวลาอดจะทึ่งกับความเร็วการอ่านของผู้เป็นเจ้านายไม่ได้ และเชื่อว่าท่านคงไม่ได้แค่ดูแบบผ่านๆ ด้วย

เวลาผ่านปสักพักระหว่างที่ท่านอัศม์กับสันต์ธรยังคุยงานกัน บอดี้การ์ดหน้าห้องก็แจ้งว่าเขมต์มนัส ผู้นำตระกูลพิชญเดชาได้มาถึงแล้ว ท่านอัศม์ก็ลุกไปนั่งที่โซฟา โดยมีเพียงขวัญนพัตกับสันต์ธรอยู่เป็นผู้ช่วย ส่วนทางด้านเขมต์มนัสมีผู้ช่วยคนสนิทแค่คนเดียวอายุก็ราวๆ สันต์ธรเช่นกัน

“คราวนี้ขอทักทายอย่างเป็นกันเองนะครับพี่อัศม์”

“ตามสบายเขมต์ ไม่เจอกันนาน ล่าสุดก็งานรับตำแหน่งของนาย”

“ล่าสุดคือที่ประชุมเมื่อเช้าต่างหาก”

“หึ เถียงไม่เคยได้” ท่านอัศม์ส่ายหน้า อีกฝ่ายยิ้มให้พี่ชาย บรรยากาศของทั้งสองมีความสบายไม่อึดอัดอย่างที่ขวัญนพัตคิด นึกว่าการเจอกันของผู้นำพรรคจะกดดันและเครียดกว่านี้เสียอีก แต่ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันดี ไม่ได้มีความเสแสร้งใส่กันด้วย

เรื่องนี้ขวัญนพัตก็รู้ก่อนอยู่แล้วว่าทั้งห้าท่านเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะเด็กๆ ทุกตระกูลจะถูกคัดเลือกเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นผู้นำคนต่อไป เมื่อนั้นก็ให้ทำความรู้จักสนิทสนมและร่ำเรียนด้วยกัน แม้ว่าจะไม่มีใครเกิดในปีเดียวกันเลยก็ตาม นับตามอายุคนที่เป็นพี่ใหญ่คือศรณ์กวิน แห่งตระกูลเดชหิรัญสกุลด้วยวัยสามสิบแปดปีแต่งงานและมีลูกแล้วสองคน เมื่อปีที่แล้วเพิ่งเป็นหม้ายภรรยาเสียชีวิต ต่อมาพี่รองคือท่านอัศม์ในวัยสามสิบสี่ปี พี่สามคือทัชชกร แห่งตระกูลอัคเดชโภคิน ในวัยสามสิบสองปี ตามด้วยเขมต์มนัส ในวัยสามสิบปีบริบูรณ์ ส่วนน้องเล็กคือชิณณวรรธน์ แห่งตระกูลเลิศธนเดชาโชติ ในวัยยี่สิบแปดที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นผู้นำรุ่นใหม่อย่างสมบูรณ์

สันต์ธรเองก็เห็นว่าท่านอัศม์สามารถทำงานได้อย่างสบายใจมากกว่าก่อนมาก เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะเป็นประมุขพรรคก็ใช่ว่าจะมีอำนาจใหญ่ว่าสี่คนที่เหลือมากนัก ยิ่งเป็นเหล่าพ่อๆ ของผู้นำพรรครุ่นนี้ อัศม์เดชก็ยังคงมีความเกรงใจอยู่หลายส่วน ทำอะไรมากไม่ได้ ข้ามหน้าข้ามตาไม่ได้ แต่โชคดีที่ท่านอัศม์ได้รับความเชื่อใจจากผู้อาวุโสทั้งสี่อย่างมาก เลยไม่มีปัญหาอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสั่นคลอน ทั้งสี่ท่านวางใจและเกษียณออกไปด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกหลานมากความสามารถทั้งหลายได้สืบทอดต่อ

“ต้องขอโทษที่ผมคุมเขตตัวเองไม่ดีนะพี่อัศม์ แต่ผมรับปากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี”

“อืม...พี่เชื่อฝีมือนาย แต่ทางพี่ก็ต้องตามดูด้วย หวังว่านายจะรายงานทุกอย่างกลับมาทางฉัน”

“ได้อยู่แล้ว ก็พี่อัศม์เป็นประมุขของเราที่คุมทั้งสี่เขต ผมต้องรายงานอยู่แล้ว”

“มีอะไรก็บอก รู้อะไรมาก็เล่า”

“ผมไม่แน่ใจว่าข่าวที่ผมมีกับที่สันต์หามาได้มันจะแตกต่างกันไหม”

“พูดมาก่อน”

จากนั้นขวัญนพัตก็ตั้งใจฟังที่ผู้นำทั้งสองท่านพูดคุยกันก็จับใจความได้ว่าข้อมูลที่ท่านอัศม์รับรู้จากพ่อของเขากับข้อมูลที่เขมต์มนัสมีก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย เพียงแต่วิธีการที่ทั้งสองท่านคุยกันกลับมีความมั่นใจเป็นอย่างมากที่จะตัดแก๊งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อความวุ่นวายโดยการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการส่งยาล็อตใหญ่ที่ทางการกำลังต้องการตัว แม้ว่าตอนนี้หลักฐานจะชี้เป้าไปที่แก๊งๆ หนึ่งอย่างชัดเจน หากแต่ท่านอัศม์ก็ไม่ปักใจเชื่อเพราะมันชัดเจนเกินไป

คนจะทำความผิด ทำไมต้องเหลือหลักฐานมามัดตัวได้

“ส่งคนเฝ้าดูเจ็ดแก๊งที่เกี่ยวข้องด้วย ตรวจสอบพวกที่มีความบาดหมางก่อน ถ้าไม่เจออะไรใค่อยรื้อตรวจสอบทั้งหมด ไม่แน่ว่าอาจจะมีตระกูลสายรองสักตระกูลอยู่เบื้องหลังแพะรับบาปนี้ด้วยก็ได้”

“ผมก็คิดแบบพี่อัศม์ พี่ทัชกับพี่ศรณ์เองก็บอกว่าช่วงนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ด้วย ทำเป็นเรียกร้องความสนใจเล็กน้อยก็หายเข้ากลีบเมฆ”

“หึ...พวกตาแก่นั่นคิดจะทำอะไรอีกล่ะ คนอื่นเขาไปพักกันหมดแล้ว” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอัศม์เดชกำลังเอ่ยถึงตระกูลรองสี่ตระกูลที่ไม่มีแนวโน้มผลัดเปลี่ยนผู้นำ

“เราควรมีการคุยกันอย่างจริงจังนะพี่”

“ไม่ต้องห่วง” ดวงตาของท่านอัศม์ฉายความเยือกเย็นจนเขมต์มนัสหวั่นใจ “ฉันจะล้างพรรคใหม่”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่ได้อย่างชัดเจน ขวัญนพัตเองก้ใจสั่นด้วยความหวาดกลัว แม้ไม่เห็นสีหน้าแต่น้ำเสียงของท่านอัศม์เปี่ยมไปด้วยพลัง

เขมต์มนัสทำตัวไม่ถูก ปกติพี่ชายคนนี้เป้นคนนิ่งๆ และเลือดเย็นอยู่แล้ว ยิ่งได้เข้ามาทำงานรั้งตำแหน่งผู้นำพรรคจริงๆ ก็ถึงได้รู้ว่าการทำงานกับพี่ชายคนนี้จะเล่นๆ ไม่ได้ ขนาดพี่ใหญ่อย่างศรณ์กวินยังเกรงใจอัศม์เดชมากที่สุด ใบหน้าหล่อมองหน้าสันต์ธรก่อนจะเลยมามองหน้าขวัญนพัต พอร่างบางเห็นอีกฝ่ายมองก็หลบสายตา ก้มหน้าลง

“โอ๊ะ...เธอคือคนที่เป็นลมในห้องประชุม ที่พี่อัศม์อุ้มออกมานี่ครับ”

ร่างบางตกใจจนประหม่าที่ตนกลายเป็นหัวข้อใหม่ของการสนทนาครั้งนี้

“อืม...ลูกบุญธรรมของสันต์น่ะ แล้วก็เด็กในอุปการะของฉัน”

“งั้นก็คนกันเองสินะ สวัสดีหนุ่มน้อย”

เขมต์มนัสถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ใบหน้าหล่อคมสันต์เต็มไปด้วยเสน่ห์ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ คนตัวเล็กอุ่นใจเล็กน้อยที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูน่ากลัว แถมยังดูเป็นมิตรอีกด้วย

“สวัสดีครับท่านเขมต์ ผมชื่อขวัญนพัตครับ เรียกสั้นๆ ว่าขวัญ เป็นลูกบุญธรรมพ่อสันต์ครับ” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองด้วยท่าทางที่มีความมั่นอกมั่นใจขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ดูวางมาด เป็นการวางตัวอย่างเหมาะสมขนาดที่แววตาของเขมต์มนัสยังปรากฎความพึงพอใจ

ทั้งพรรคไม่มีใครไม่รู้ แม้ว่าสันต์ธรจะไม่ใช่ผู้นำพรรคแต่ทุกคนในพรรคย่อมเกรงใจเพราะยามที่ท่านอัศม์ไม่อยู่คนที่ทำหน้าที่แทนก็คือสันต์ธรคนนี้ ผู้นำพรรคอื่นๆ ก็ยังให้ความเคารพนับถือและเกรงใจอยู่หลายส่วนเช่นกัน

“หน้าเด็กมาก แล้วเป็นผู้ชายแน่เหรอ นึกว่าทอม”

“คือว่า...ผมเป็นผู้ชายครับ ส่วนที่ดูหน้าเด็กก็เพราะว่าผมอายุสิบเจ็ดปีครับ”

“โอ้! เด็กมอปลาย?”

“ครับ”

“แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ อย่าบอกนะว่ามาเรียนรู้งานในพรรค ฉันว่าอย่างขวัญไม่เหมาะกับงานในพรรคหรอก พี่อัศม์คิดยังไงครับเนี่ย”

“ขวัญจะทำหน้าที่แทนสันต์ อีกไม่กี่ปีสันต์ก็ต้องเกษียณตัวไปพัก”

“จริงด้วยสิ” สันต์ธรยิ้มให้ท่านเขมต์

“แต่ตำแหน่งของสันต์อันตรายพอๆ กับตำแหน่งผู้นำเลยนะพี่อัศม์ จะให้ขวัญมาปกป้องงั้นหรือ”

“ไม่ขนาดนั้น ฉันฝึกบอดี้การ์ดมาเยอะ ตอนที่ขวัญมาดำรงตำแหน่งก็แค่เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม”

“พี่อัศม์อย่าลืมว่าเราเป็นพวกมีค่าหัวนะ”

“อย่ากังวล ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเตชโรจนโสภณต้องมีดี” อัศม์เดชพูดบอกรูปประโยคคล้ายเป็นการกดดันขวัญนพัตอีกทางหนึ่ง

ร่างบางเองได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้ตัวเองต้องเริ่มปรับตัว รู้ว่าท่านอัศม์เป็นมาเฟียมาตลอด แต่ถูกเลี้ยงมาอย่างคนธรรมดา และอยู่กับงานบ้านงานเรือนเสียส่วนใหญ่ รู้ว่าวงการมาเฟียไม่ขาวสะอาด แต่เพราะไม่เคยเห็นความโหดเหี้ยมหรือได้ยินประโยคน่ากลัวๆ แบบวันนี้มาก่อนก็เลยตกใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้

ยอมรับว่ากลัว...อยากจะหนีด้วย ความมั่นใจที่มีใจตอนแรกหายวับไป แต่คำว่าบุญคุณมันค้ำคออยู่เช่นกัน หากฝืนชะตาไม่ได้ ก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญก็พอ

ปรับตัว...อ่า คงต้องปรับอย่างมากมายเลย เห็นทีว่าอายุยี่สิบห้าก็ยังคงทำงานแบบคุณพ่อไม่ได้

“พี่พูดซะผมคาดหวัง ตอนแรกผมคิดว่าคนรับตำแหน่งนี้น่าจะเป็นลูกชายคนโตของสันต์เสียอีก”

“เจ้าสิงห์มันอยากทำในส่วนบริษัทครับ รายนั้นชอบเห็นเงินมากกว่าเห็นเลือด”

โอย...ทำไมคุณพ่อพูดน่ากลัวจัง

“ตามใจลูกชายสินะ เสียดายฝีมือ เจ้านั่นก็ออกจะเหมาะกับมาเฟียมากกว่าแท้ๆ”

“ลองมาทำดูแล้ว เจ้านั่นก็บอกว่าไม่ใช่แนวครับ”

“ฮะๆ ก็เห็นหน่วยก้านดี เสียดายจริงๆ”

“ผมต้องขอบคุณแทนเจ้าสิงห์มันที่ท่านเขมต์เห็นความสามารถนะครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่ทำไมถึงเป็นลมล่ะเรา ข้าวปลาไม่ได้กินมาเหรอ”

ร่างบางสะดุ้งอีกครั้งเมื่อท่านเขมต์เปลี่ยนมาชวนตนคุยแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “เปล่าครับ ตกใจนิดหน่อยน่ะครับ” อ้อมแอ้มบอกความจริงออกไป

“ตกใจ? ตกใจอะไร ก็การประชุมธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย”

“คือขวัญตกใจคำพูดของเหล่าผู้นำน่ะครับ ลูกชายผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน นี่ก็เป็นครั้งแรก วันแรกที่เริ่มพามาศึกษางานในพรรคน่ะครับ ที่ผ่านมาขวัญมักจะมากับผมแต่ไม่เคยเข้าประชุม” สันต์ธรตอบแทน

ขวัญนพัตเคยศึกษางานพรรคมาบ้างแล้วเวลาต้องมาที่นี่กับพ่อ แต่เป็นการมาเรียนยิงปืนเท่านั้นเลยได้เรียนรู้แบบคร่าวๆ ไปก่อน ซึ่งไม่ได้เจาะลึกครบทุกอย่างอย่างกับที่กำลังฝึกฝนตั้งแต่วันนี้ไป

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง แสดงว่าสันต์กับคุณภรรยาคงเลี้ยงขวัญมาแบบอ่อนโยนสุดๆ เลยนะเนี่ย” วูบหนึ่งที่ขวัญนพัตเห็นประกายความอิจฉาปนเศร้าในสายตาที่แม้จะพูดกับพวกเขาแต่เหมือนว่ามองทะลุไปมากกว่า

“อย่าไปคิดถึงอดีตเขมต์” อัศม์เดชเอ่ยขึ้น เรียกสติของน้องชายให้สติกลับคืนมา

“จริงสิ ขอโทษนะพี่อัศม์ เผลอไปอีกแล้ว”

“ขวัญ อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้ประชดแดกดันนะ”

“ผมไม่คิดหรอกครับท่านเขมต์ ท่านเขมต์อย่าได้คิดมากครับ”

“ฉันเป็นกำลังใจ ถ้ามีปัญหาหรืออยากเรียนรู้จากคนของฉันก็ได้นะ นี่คือคลิน ลูกน้องคนสนิทของฉัน หน้าที่ก็เหมือนที่สันต์ทำนั่นแหละ สารพัด”

“สวัสดีครับ ฝากตัวด้วยนะครับคุณคลิน”

“เรียกพี่ก็ครับน้องขวัญ คนกันเอง”

อีกฝ่ายตอบกลับอย่างเป็นมิตร ดูท่าทางก็อายุสามสิบกว่าๆ ไม่ได้ดูอายุมากกว่าผู้เป็นเจ้านายเลยด้วย ถ้าบอกว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันก็เชื่อ

“ครับ พี่คลิน” ขวัญนพัตเผลอยิ้มหวาน ทำเอาคนถูกยิ้มให้ถึงกับชะงัก แล้วหน้าแดงซ่านทันที เขมต์มนัสเห็นความสวยสดใสอย่างเป็นธรรมชาติของเด็กหนุ่มก็ให้ความรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะมองพี่ชายตรงหน้ากับขวัญนพัตสลับกันไปมาแปลกๆ

มองเสียจนอัศม์เดชสงสัย “มองอะไร?”

“ป่ะ เปล่าครับพี่อัศม์ ไม่มีอะไรเลย” ปฏิเสธแทบจะทันที ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ แต่ก็ไม่วายมองหน้าขวัญนพัตแล้วนึกถึงเหตุการณ์ในห้องประชุมไปด้วย ไม่นานก็ทำสีหน้าแปลกๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“ดี...”

“เอ้อ พี่อัศม์พอมีเวลาไหมครับ ผมสนใจเรื่องของผู้ช่วยฝึกหัดคนนี้สักหน่อย ไม่ทราบพี่อัศม์เลี้ยงดู เอ้ย รับมาอยู่ในความดูแลตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

แม้ว่าจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร เพียงแต่เขาก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นขวัญอายุเท่าไหร่เหมือนกัน

“ตอนไหนนะสันต์”

“ประมาณห้าขวบครับ”

“อืม...นานจริงๆ” เขมต์มนัสลูบคางเบาๆ “ตอนนี้อายุสิบเจ็ด คิดไม่ถึงว่าพี่อัศม์จะใจดีแบบนี้นะเนี่ย เป็นลูกบุญธรรมของสันต์ เด็กในอุปการะพี่อัศม์ พี่อัศม์...” ยังไม่ทันที่เขมต์มนัสจะโพล่งอะไรไร้สาระออกมา ท่านอัศม์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

คนอย่างเขมต์มนัสที่เจ้าชู้ที่สุดในบรรดาผู้นำทั้งห้า เขาที่เป็นถึงพี่ชายและผู้นำมีหรือจะไม่รู้ความคิดอกุศลของผู้เป็นน้องชายคนนี้

“ฉันเอ็นดู เห็นว่าเป็นน้องคนหนึ่ง นี่คนโปรดของคุณย่ากับคุณแม่ แล้วก็สองแฝดด้วย”

ขวัญนพัตที่ได้ยินก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความดีใจ ปลาบปลื้มยินดี ที่ท่านอัศม์ไม่ได้มองตนเป็นเพียงแค่เด็กในความปกครองแต่ยังเอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่ง รู้แบบนั้นก็นึกถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์ขึ้นมา

แม่ฮะ...ท่านอัศม์เมตตาเรามากเหลือเกิน

เขมต์มนัสได้ยินแบบนั้นแล้วสีหน้าแววตาของอัศม์เดชก็ดูนิ่งๆ แต่จริงจัง ไม่มีแววเป็นอย่างอื่น นั่นก็เท่ากับว่าสิ่งที่พี่ชายคนนี้พูดคือความจริง ก็อดเสียดายไม่ได้ นึกว่าตนจะเจอเรื่องสนุกแล้วเสียอีก

ผ่านไปสักพักเขมต์มนัสก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ทั้งยังทิ้งท้ายว่าจะไปหาที่บ้านก่อนกลับไป สันต์ธรเดินออกไปส่งท่านเขมต์ข้างนอกโดยจะไปตรวจตรางานต่างๆ ต่อด้วยเลยไม่กลับเข้ามาในห้องอีก ในห้องจึงเหลือแค่ท่านอัศม์กับขวัญนพัตอยู่กันตามลำพัง

ผู้มีพระคุณวัยฉกรรจ์ผู้ซึ่งมีรูปร่าง หน้าตาหล่อคมน่าเกรงขาม อีกทั้งความสุขุมเยือกเย็นก็ทำให้ท่านประมุขพรรคดูน่ากลัวแม้เพียงแค่เดินผ่าน และตอนี้เพียงแค่ท่านอัศม์นั่งเฉยๆ เงียบๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรเลย ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคุยอะไรกับท่านในตอนนี้

ท่านโกรธหรือไม่...ไม่พอใจหรือเปล่าที่เราทำให้ขายหน้า

“ขวัญ” เสียงทุ้มใหญ่เรียกไม่ดังและไม่เบา แต่ก็ทำเอาร่างเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างหลังสะดุ้งแบบที่อัศม์เดชมองไม่เห็นอาการนั้น

“ค่ะ..ครับ”

“มานั่ง”

“ครับ” แล้วร่างเล็กมานั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามกับคนสั่งที่ก่อนหน้านี้ท่านเขมต์ได้นั่งมัน

ใบหน้าสวยปรากฏความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างชัดเจน อัศม์เดชยังคงนั่งไขว่ข้างนิ่งๆ แต่ดวงตาคมก็มองเด็กหนุ่มตรงหน้าจนขวัญนพัตก้มหน้า มือบีบกันอยู่ตรงตักตัวเอง

“เป็นอะไร”

“ขอโทษครับท่าอัศม์ที่ทำให้ท่านขายหน้า” เด็กหนุ่มพูดขึ้นน้ำเสียงสั่นๆ

“ใคร...”

“ครับ?” เงยหน้าสบตาคมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะไม่กล้าสู้สายตาของผู้มีพระคุณได้เลยเลี่ยงไปมาหลุกหลิกจนท่านอัศม์ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ขอโทษใคร”


(มีต่อ)

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
(ต่อ)


“ขอโทษใคร”

“ขอโทษท่านอัศม์ครับ”

“เวลาพูดทำไมไม่สบตา จะคุยกับใครต้องสบตาคนนั้น ยิ่งจะเข้ามาทำหน้าที่แทนสันต์ในวันข้างหน้ายิ่งต้องกล้า ต้องเด็ดขาด ไม่หลุกหลิกอย่างที่เป็นตอนนี้” ร่างแกร่งสอน

ความจริงเขาหาคนที่พร้อมกว่านี้มาเรียนรู้งานจากสันต์ธรก็ได้ แต่ไม่มีใครเลยที่เขาไว้ใจอย่างเต็มร้อยหรือสนิทใจด้วย สันต์ธรมีลูกชายเพียงคนเดียวแต่เลือกงานในส่วนบริษัทไปแล้ว ก็เหลือทายาทที่เป็นผู้ชายคนเดียวคือขวัญนพัต หากความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาจากครอบครัวของสันต์ธรเลย เขาจะใช้คนจากตระกูลตัวเองก็ได้ ญาติ ลูกพี่ลูกน้องหลายคนก็อยากที่จะมาอยู่ข้างกายเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้เชื่อใจได้มากที่สุด วางใจได้ แล้วก็สบายใจที่จะอยู่ด้วย

นั่นเพราะรู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะไม่มีวันทรยศหักหลัง แม้เพราะคำว่าบุญคุณ แต่นั่นคือความซื่อสัตย์ กตัญญูที่อัศม์เดชต้องการจากคนรอบกาย

“ขอโทษครับ”

“ต้องกล้าเผชิญหน้า ต้องมีไหวพริบ ต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างของพรรค ต้องรู้ว่าควรแข็งกร้าวกับพวกไหน ต้องพูดดีให้เกียรติกับใคร เธอรู้ใช่ไหมว่าพรรคนี้เอาไว้ทำอะไร พวกเราทุกคนคือมาเฟีย ผู้ทรงอิทธิพล ส่วนใหญ่เป็นยังไง คนทั่วไปยังรู้ เธอคงไม่คิดว่าฉันทำเรื่องที่ดีมากอยู่หรอกใช่ไหม”

“ท่านอัศม์เป็นคนดี”

“ฉันแค่มีส่วนที่ดี ไม่ใช่คนดีอะไรเลย มือของฉันเปื้อนเลือด ฉันอยู่ในวงการนี้ เห็นการเข่นฆ่ากัน หักหลังกันมาตั้งแต่ยังเด็กไม่หลงเหลือศีลธรรมอะไรในใจแล้ว”

“แต่คนพวกนั้นก็ไม่ใช่คนดี ทำสิ่งที่ผิด” ขวัญนพัตพูดไปแต่ใจใช่จะคิดดังที่พูด

เขาไม่เคยคิดว่าคนที่ทำผิด คนที่ชั่วช้าต้องถูกตัดสินโดยศาลเตี้ย เพราะเขาเชื่อว่าคนที่ทำผิดทำชั่ว มีเหตุผลในการกระทำเสมอ

“เธอยังไม่เข้าใจอะไรอีกเยอะเลย”

“ท่านเป็นคนดี”

“ฉันดีกับคนในความปกครองเท่านั้น” และใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นในด้านดีของฉันด้วย... ท่านอัศม์ต่อข้อความตัวเองอยู่ในใจ

เขาเป็นคนดี มีเมตตาสำหรับคนในตระกูลที่เป็นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาลงไปเท่านั้น นอกนั้นที่เป็นญาติ พี่น้องบางคนก็อยากจะทำลายเขา ชิงดีชิงเด่นกับเขา หรือแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลไปจากเขา

มีศัตรูทั้งนอกทั้งใน การที่เขามีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ต้องทำอะไรไปบ้างล่ะ? เด็กคนนี้ไม่รู้เลยสักนิด

“ถึงท่านอัศม์จะเป็นยังไงก็ตาม ท่านอัศม์สำหรับผมคือคนดีที่มีเมตตากับผมและแม่ครับ ต่อให้ผมต้องเปื้อนเลือดไปด้วย ผมก็พร้อมที่จะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ”

ขวัญนพัตพูด น้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าและแววตาแน่วแน่มั่นคง ซึ่งมันทำให้อัศม์เดชอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ได้ยินเช่นกัน ขวัญนพัตจะเป็นคนเดียวที่จะทรยศเขาไม่ได้! เด็กคนนี้เขาใส่ใจกว่าคนอื่น ให้ความสำคัญ แน่นอนว่าขวัญนพัตไม่มีสิทธิ์ทรยศเขาและความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น

มุมปากหยักยกขึ้น เป็นรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ

“เธอต้องเรียนรู้อีกมาก ต้องรับความเลวร้ายให้ได้ ที่นี่มีเมาเฟียอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าแก๊ง สิบตระกูลสายรองและห้าตระกูลผู้นำ เธอต้องเรียนรู้จะเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ให้ได้อย่างไม่หวั่นกลัวเหมือนที่สันต์ทำให้ได้ หน้าตาเธอแม้ว่าจะ...จะไม่ให้ดูน่าเกรงขามแต่แววตาคนเราสามารถแช่แข็งคนได้”

“ครับท่านอัศม์ ผมจะปรับตัวและเรียนรู้อย่างตั้งใจครับ”

“แต่เธอควรรู้นะขวัญ”

“ครับ?”

“ฉันไม่ใช่คนดี ทำใจเอาไว้ด้วย หากเห็นฉันในด้านอื่นขึ้นมาจะได้ไม่เป็นลมล้มพับ”

“ครับ” รับคำสั่งเสียงเบาหวิว

“ทำไม กลัวผิดหวังหรือไง”

“ไม่ครับ! ที่จริงผมก็ได้ยินเรื่องของท่านอัศม์มาบ้างแล้ว”

“หึ ถือว่าดีที่มีคนเล่าให้ฟัง แล้วเป็นไง เชื่อหรือไม่?”

“บางเรื่องก็เชื่อ บางเรื่องก็ไม่เชื่อครับ บางเรื่องมันดูไร้เหตุผลเกินไปที่ท่านอัศม์จะทำแบบนั้น”

อัศม์เดชยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เด็กตรงหน้าแม้จะดูขี้กลัวไปหน่อย แต่สติปัญญาถือว่าใช้ได้เลย มีการวิเคราะห์เรื่องราวที่ได้ยินถึงความเป็นไปได้ด้วย

ไม่เลว...

“เธอรู้ไหม ว่าพรรคนี้มีไว้เพื่ออะไร”

ขวัญนพัตนึกอยู่สักพักก็ตอบออกมา

“วัตถุประสงค์ที่บรรพบุรุษตั้งพรรคนี้ก็เพื่อควบคุมพวกมาเฟียและกลุ่มแก๊งอันธพาลให้อยู่ในระเบียบ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนต่อสังคม ให้โอกาสคนที่ก้าวเท้าผิดและสังคมไม่ให้โอกาส และเพื่อให้ทุกแก๊งได้แลกเปลี่ยนซื้อขายได้สะดวก ข้อห้ามสำคัญคือยาเสพติดกับอาวุธเถื่อนครับ”

“อืม...นอกนั้นทางการยังพอทำเป็นไม่เห็นได้ และต้องทำงานตอบแทนทางการที่ไม่คิดจะเข้ามาวุ่นวาย โดยการทลายแก๊งค้ายากับอาวุธเถื่อน”

“คล้ายโจรจับโจรใช่ไหมครับ”

“ใช่...เป็นแบบนั้น”

ขวัญนพัตฟังเรื่องราวน่ากลัวจากปากของท่านอัศม์ไปเรื่อยๆ ก็พบว่าตัวเองเริ่มชินกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว การตอบโต้ผู้ที่คิดโจมตีไม่ใช่เรื่องผิด อาจจะมีบ้างที่พลาดขั้นถึงแก่ชีวิต แต่ก็เพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องสมาชิกพรรค เหล่าผู้นำทั้งห้าไม่ยอมให้ชื่อเสียงของพรรคต้องมาแปดเปื้อนเพราะคนบางกลุ่มแน่

ตอบโต้คนที่หมายเอาชีวิต

ตอบโต้คนคิดคด ทรยศ หักหลัง

“เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าพรรคเราไม่ใช่องค์กรการกุศล จะได้อะไรมาต้องมีการแลกเปลี่ยนไปเสมอ”

“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“ถ้าเธอไม่เจอฉัน เธอคงเป็นเด็กธรรมดาๆ ไม่ต้องมาอยู่ในวงการแบบนี้” น้ำเสียงของท่านอัศม์ราบเรียบพอๆ กับใบหน้า ตัวเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยที่พาเด็กบริสุทธิ์เข้ามาในวงการสีเทานี้

ทุกอย่างมันดำเนินไปในทางที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว เช่นเขาที่หลีกเลี่ยงหน้าที่พวกนี้ไม่ได้

“ถ้าผมกับแม่ไม่เจอท่านอัศม์ ผมคงลำบากมากและอาจจะก้าวไปทางที่ผิดได้ ตอนที่เสียแม่คงไม่รู้จะทำยังไง เป็นเด็กกำพร้าที่หาอนาคตไม่ได้ อาจจะไม่มีเงินเรียนด้วยซ้ำ แต่ท่านอัศม์ทำให้ผมมีพ่อแม่ใหม่ แม่ขิมได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และท่านก็จากไปอย่างไม่ทรมานด้วยครับ หากย้อนเวลากลับไปผมกับแม่ก็เลือกเดินมาเกาะหน้ารั้วบ้านเตชโรจนโสภณเหมือนเดิมครับ”

อัศม์เดชมองรอยยิ้มกว้างสดใสที่ขับให้ใบหน้าอีกฝ่ายสวยงามมากของขวัญนพัตที่มอบให้ตนก็พานมองทุกอย่างสว่างจ้าไปหมด ใจเต้นผิดแปลกไปจากเดิม

เด็กน้อยคนนี้...เมื่อก่อนยังไม่ค่อยกล้าพูดกับเขาอยู่เลย ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเหมือนกันยังกล้าๆ กลัวๆ ทำไมยามนี้ คนตรงหน้าถึงได้ดูผ่อนคลายกับเราได้มากขนาดนี้นะ ปรับตัวเร็วเกินไปหน่อยไหม?

“หึ...ไม่แปลกใจเลยที่เป็นคนโปรดคุณย่ากับคุณแม่”

“อ่า...ทำไมครับ” เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย แววตาที่มองมาใสซื่อเสียจนคนอายุมากกว่าถึงสิบเจ็ดปีเกิดความรู้สึกเอ็นดู

“ประสบสอพลอเก่งเหลือเกิน”

ขวัญนพัตไม่ตอบอะไรได้แต่อ้าปากพะงาบๆ หน้าแดงก่ำ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเลยทีเดียว

 

 
 

+ + + + + To be continue + + + + +

  รู้จักกับท่านเขมต์ไปแล้วนะคะ เซ้นส์ของท่านเขมต์ค่อนข้างแรงจริงเชียว ขนาดเขาสองคนยังไม่รู้สึกอะไรกันเลยก็พยายามจะจับคู่แล้ว ^^ ตอนหน้ามีอะไรสนุกๆ ด้วยแหละค่ะ หนูขวัญเราจะเจอศึก สปอยล์ให้นิดหน่อยคือ ‘คู่หมั้น’ แต่กลัวทุกคนจะคิดมากจนนอนไม่หลับ ใบ้ให้อีกนิดเป็นคู่หมั้นของคุณอินทร์ คุณอัยย์ค่ะ

          ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะจ้ะ รวมถึงคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า

          https://www.facebook.com/sawachiyuki/

          https://twitter.com/Sawachi_Yuki

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาอัพแล้ววว ดีใจมากๆค่ะ ตอนนี้ขวัญเริ่มเรียนรู้งานที่แท้จริงอย่างจริงจังแล้ว ค่อยๆเรียนรู้ไป เชื่อว่าขวัญจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในแบบของตัวเองไม่แพ้คุณพ่อเลย ตอนนี้ความสัมพันธ์ขวัญกับท่านอัศม์ยังไม่เป็นรูปร่างชัดเจน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าขวัญได้รับอภิสิทธิ์กว่าใคร รอติดตามความสัมพันธ์ของขวัญและท่านอัศม์ต่อไปนะคะ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีค่ะ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao3: มีคนเห็นความสัมพันธ์บางๆ เสียดายท่านอัศยังไม่รู้สึกลึกซึ้งมาก

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
รอติดตาม ความสัมพันธ์ไปแบบช้าๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ใจเริ่มกระตุกๆแว้วววว

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สู้ๆนะขวัญ

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
10
เป็นขวัญนพัตต้อง ‘ทำใจ’




ขวัญนพัตใช้เวลาช่วงปิดเทอมสั้นๆ ไปกับการติดตามท่านอัศม์และพ่อของตน ได้เรียนรู้การทำงานของท่านไปเรื่อยๆ บางเรื่องก็ยังคงทำใจฟังไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช็อกจนเป็นลมหมดสติไป มีความเกรงกลัวอยู่แต่ก็เรียนรู้ที่จะเก็บสีหน้า เขาไม่ชอบงานในพรรค แต่ใจก็อยากทำ มันคือความย้อนแย้งทางความคิดที่ขวัญนพัตต้องจัดการตัวเอง

ด้วยคุณธรรมและความใจอ่อนเป็นทุนเดิมของตัวเอง แม้ขวัญนพัตจะมีความอ่อนน้อม ถ่อมตน มีความเรียบร้อย และจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็มีความคิดที่เห็นแก่ตัวอยู่ มีความทะเยอทะยาน ที่สำคัญมีความกตัญญูสูง ไม่ว่างานที่ท่านอัศม์ทำจะไม่ได้ดีงามน่ายกย่องจากคนในสังคม ก็ใช่ว่าจะเป็นอาชญากรของประเทศ คนที่ท่านอัศม์ควบคุมคือคนในวงการมืด ตั้งตนอยู่นอกกฎหมาย การที่จะคุมกลุ่มเหล่านี้ได้จะต้องเป็นคนที่ดำมืดเช่นกันไม่ได้ขาวสะอาด ไม่งั้นก็ทำให้กลุ่มแก๊งเหล่านั้นศิโรราบไม่ได้

ขวัญนพัตที่เรียนรู้งานอย่างจริงจังตั้งใจ กว่าจะรู้ตัวเขาก็เหมือนค่อยๆ ซึมซับปรับตัวไปกับความจริงได้แล้ว หัวใจไม่สั่นหรือตื่นตระหนกเวลาได้ยินคำสั่งเด็ดขาดของท่านอัศม์แล้ว แม้มีความกลัวอยู่ มีความสงสารเห็นใจอยู่ แต่เขาก้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ตนทำอะไรไม่ได้ ถึงทำได้ก็ไม่คิดจะทำด้วย เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมและความรุ่งโรจน์ของตระกูลกับพรรค ท่านอัศม์จำเป็นต้องอยู่เหนือกว่า

‘ท่านอัศม์เป็นประมุขพรรคที่เด็ดขาด เลือดเย็น ฉลาด ต่อกรยาก หูตากว้างไกล มีสายอยู่ทั่วทุกที่’ เขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง เพราะตัวเขาก็รู้จักแค่ท่านเพียงคนเดียว แต่คำว่าเด็ดขาดมากขวัญนพัตคิดว่าเหมาะสมกับท่านที่สุด ส่วนเลือดเย็นก็มีแค่กับกลุ่มคนที่ทำความผิดซึ่งท่านก็ทำตามกฎของพรรคที่มีมา ตัวของเขาในตอนแรกมีความเชื่ออ่อนต่อโลกและมองโลกอย่างสวยงามว่าท่านอัศม์ทำทุกอย่างเพื่อสังคมแต่ความเป็นจริงท่านอัศม์แค่ทำเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลทั้งนั้น ส่วนผลที่ตามมาอื่นๆ ท่านก็แค่เฉยเพราะสังคมสะอาดไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับท่านอัศม์สักนิด ที่ทำทั้งหมดเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันต่างหาก

ถึงอย่างนั้นขวัญนพัตก็เลื่อมใสศรัทธาท่านอัศม์อยู่ดี...


คฤหาสน์ตระกูลเตชโรจนโสภณมีแขกสำคัญมาเยือน เป็นหญิงสาวตระกูลผู้ดี สวยสง่า สูงส่ง ซึ่งมีฐานะคู่หมั้นของสองแฝดเจ้าเสน่ห์ อินทร์ธร อัยยวัฒน์ เธอทั้งสองคนเป็นลูกสาวของตระกูลที่มีชื่อเสียงทางสังคม ระหว่างตระกูลก็ทำธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนาน

ขวัญนพัตมาทำงานอย่างปกติ ท่านอัศม์กับสันต์ธรไปประชุมพรรคไม่ได้ให้ไปด้วยเพราะต้องการให้ขวัญนพัตคอยช่วยพิไลดูแลคุณหญิงอัปสรที่ป่วยมาได้หลายวันแล้วซึ่งเป็นโรคปกติของคนชราวัยแปดสิบสองปีที่ต้องเผชิญ ซึ่งอาการป่วยคราวนี้ทำให้ทุกคนในบ้านรู้สึกกังวลมาก หลายวันมานี้เจ้านายในบ้านต่างก็มีแต่ความเครียด แต่วันนี้หมอประจำตระกูลได้บอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว ทุกคนก็หายห่วง คลายความกังวลลงมาบ้าง

อัศม์เดชไว้ใจแค่คนเก่าคนแก่จึงได้ให้พิไลทำหน้าที่ดูแลย่าของตนเป็นหลักส่วนงานหัวหน้าแม่บ้านก็ให้พิไลสอดส่องหาผู้ที่เหมาะสมมาทำแทน ซึ่งพิไลก็ยินดีตามนั้น อายุของตนก็เลยวัยเกษียณมาปีกว่าแล้ว ตามจริงควรจะลาออกไปพักผ่อนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในบั้นปลาย เพียงแต่ตัวเป็นสาวโสด ทั้งยังมีห่วงคือขวัญนพัต แล้วไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา ก็ขออยู่รับใช้จนกว่าจะแก่ตายที่นี่ ซึ่งท่านอัศม์ก็เข้าใจทั้งยังซาบซึ้งในความซื่อสัตย์นี้เป็นอย่างมาก มอบทั้งบำเหน็จและบำนาญให้กับพิไลอย่างมากมายอย่างที่คนปลดเกษียณได้รับ แต่พิไลออกจะมากหน่อยกลายเป็นเศรษฐีนีแบบชั่วข้ามคืน อีกทั้งยังได้เงินเดือน สวัสดิการ และโบนัสเหมือนเดิมตลอดชีวิตอีกด้วย นอกจากนี้ยังสั่งเด็ดขาดว่าไม่ให้พิไลสวมชุดฟอร์มของแม่บ้านอีกต่อไป มอบชุดอย่างดีสมวัยสำหรับโอกาสต่างๆ และสำหรับใส่ปกติอีกหลายชุดให้ใส่แทน ฐานะของพิไลจึงสูงขึ้นในสายตาของคนอื่นๆ

ขวัญนพัตรู้ดีว่านี่คือการให้เกียรติยายของตนในแบบของท่าน ท่านอัศม์ไม่เคยมองพิไลเป็นบ่าวไพร่แต่มองเสมือนแม่คนหนึ่งมาตลอด เพราะว่าท่านอัศม์ก็ถูกพิไลช่วยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ในฐานะแม่นม

“ดีจริง คุณท่านทานได้เยอะกว่าเมื่อวานมาก”

“ไม่ต้องมาหลอกกัน ฉันรู้ตัวเองดีว่าอยู่มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว”

“โธ่ อย่าพูดเช่นนั่นสิคะ คุณท่านยังคงอยู่ได้อีกนานค่ะ คุณท่านต้องรอเลี้ยงคุณหนูๆ ก่อนสิคะ”

“นั่นสินะ เฮ้อ...แล้วนี่หนูเข็มหนูหวานมาถึงนานแล้วเหรอ”

“มาถึงได้สักพักแล้วค่ะ กำลังนั่งคุยกับคุณหญิง สักพักคงขึ้นมาเยี่ยมคุณท่าน” พิไลตอบคุณหญิงอัปสรไป ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยดูสดใสกว่าเมื่อวานมาก

“นวดตรงนั้นเน้นๆ หน่อยเจ้าขวัญ” คุณหญิงอัปสรบอกกับเด็กหนุ่มที่นั่งนวดขาอยู่ปลายเตียง ทำตัวเงียบเชียบประหนึ่งไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้อง

“ตรงนี้หรือฮะคุณหญิงย่า” ถามพลางกดย้ำลงไป

“ขยับล่างอีกนิด นั่นแหละ สักสองสามนาทีค่อยเลื่อนไปที่อื่น”

“ฮะ”

พิไลยิ้มอ่อนโยนยามมองขวัญขวัญนพัตปรนนิบัติคุณหญิงอัปสร เธอคิดมานานแล้วว่าขวัญนพัตเป็นคนมีวาสนา แม้จะต้องเสียแม่ แต่ก็ได้รับความเมตตาจากเจ้านายที่สุด ไม่เคยมีใครได้รับเท่าที่ขวัญนพัตเคยได้รับ

ขนาดพิไลยังไม่เคยได้นั่งบนเตียงของคุณท่านเลย แต่ขวัญนพัตได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นตลอดเวลาปรนนิบัติพัดวีคนสูงวัย

“คิดว่าตาอินทร์กับตาอัยย์น่าจะมีหลานให้ฉันก่อนตาอัศม์นะ รายนั้นไม่มีวี่แววเลย แต่ฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก อุ้มหลาน อุ้มเหลนมาเยอะแล้ว ถือว่าชาตินี้ไม่มีอะไรอยากได้แล้ว ถ้าตาอัศม์อยากจะเลือกใคร ฐานะไหนฉันก็ไม่ได้กังวลหรืออยากจะอยู่โสดไปจนตายก็ไม่เป็นไร ถ้ามันคือความสุขของหลานฉัน”

“แต่ดิฉันคิดว่าคุณหญิงคงจะไม่ยอมเท่าไหร่”

“คนเป็นแม่ล่ะนะ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าน่านฟ้าจะรักลูกมากขนาดไหนหรือว่ารักหน้าตัวเองมากกว่า แต่โดยฐานะผู้นำตระกูลของอัศม์ ตามกฎแล้วไม่มีใครสามารถบีบบังคับได้ แม้กระทั่งพ่อแม่แท้ๆ ของตนก็ตาม”

คุณหญิงอัปสรเลือกสรรหลานสะใภ้ร่วมกับลูกสะใภ้มาตลอดสิบกว่าปี ตอนนี้คิดว่าควรปล่อยวางเสียที ชีวิตของลูกหลาน ก็ควรปล่อยให้ได้เลือกเอง ส่วนคนเป็นแม่ หากไม่มากเกินไปนัก นางจะไม่เข้าไปยุ่ง ถึงเวลาพักผ่อนจริงๆ เสียที

ที่สำคัญต่อให้ตนไม่ได้อยู่ดูหน้าเหลนสายตรงก็ไม่เสียดายมาก เพราะตลอดสิบปีมานี้ นางมีขวัญนพัตที่เป็นทั้งลูกศิษย์และเด็กในอุปการะที่นางเอ็นดูไม่ต่างจากหลานแท้ๆ ของตนคอยเอาอกเอาใจอยู่แล้ว เด็กคนนี้ไม่ได้ทำเพราะหน้าที่หรือตอบแทนพระคุณอย่างเดียว ที่เห็นมาตลอดคือความจริงใจและความกตัญญูที่มองนางราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน

“ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องของเจ้าพวกนั้นแล้วล่ะ โตๆ กันแล้ว คิดเองได้ อินทร์กับอัยย์ก็เหลือแค่หาฤกษ์แต่งงาน เราหมั้นหมายกันไว้มาก็หลายปีเห็นว่าสมควรแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่น่านฟ้าก็จัดการเอง ฉันไม่ยุ่งแล้วล่ะพิไล”

“ดีแล้วล่ะค่ะ”

“แล้วเราล่ะเจ้าขวัญ มีคนที่ชอบบ้างหรือยัง ได้ข่าวจากเจ้าแก้วว่ามีผู้ชายมาชอบเยอะกว่าผู้หญิง บอกฉันตรงๆ ได้ไหมว่าเราชอบอย่างไหน”

ร่างบางตกใจไม่คิดว่าจู่ๆ ก็โดนถามเรื่องรสนิยมทางเพศขึ้นมาแบบนี้ ลอบมองสีหน้าของผู้ถามสลับกับยายที่นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วก็หลบสายตามองที่ท่อนขาของคุณหญิงอัปสร

“ขวัญไม่ทราบ...แต่ว่า เอ่อ ขวัญคิดว่าน่าจะเป็นผู้ชายฮะ”

เมื่อถามออกมาตรงๆ ขวัญนพัตก็ตอบตรงๆ ทั้งสองท่านเป็นผู้มีพระคุณ เป็นครอบครัว เป็นผู้ปกครอง ยังไงซะตนก็ต้องพูดไปตามจริง

คุณหญิงกับพิไลตกใจแม้ว่าจะทำใจเอาไว้ตั้งนานแล้วก็ตาม พอได้ยินตรงๆ ก็ให้รู้สึกเสียใจ เสียใจที่ทั้งสองคนเลี้ยงดูและอบรบขวัญนพัตเหมือนเด็กผู้หญิง คิดเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ก็ยังคงทำเช่นเดิม ก็ใครใช้ให้ขวัญนพัตเกิดมาน่ารักน่าเอ็นดูราวกับเด็กผู้หญิงล่ะ คุณหญิงอัปสรมีแต่ลูกชาย คุณหญิงน่านฟ้าก็มีแต่ลูกชาย พิไลก็ไม่มีลูกหลานเข้าหา พอมีเด็กเล็กสนใจงานบ้านงานฝีมือ มีอะไรอยากถ่ายทอดก็สอนสั่งไปเสียหมดเปลือก ไม่หวงวิชากันเลย

พูดตามตรงว่าไม่เคยนึกว่าขวัญนพัตเป็นเด็กผู้ชาย รู้ตัวอีกทีก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าสวย จัดการงานในบ้านด้วยท่าทีสง่างามขนาดที่หญิงสาวบางคนยังทำไม่ได้ไปเสียแล้ว

ทั้งภูมิใจและทั้งรู้สึกผิด...

“เอาเถอะ เจ้าจะชอบแบบไหน จะรักใครเพศอะไรก็ตามแต่ใจ ขอแค่มีความสุขก็พอ”

“ใช่แล้วขวัญ ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปกังวลอะไร ยายรับได้ ยังไงครอบครัวของหนูก็รับได้ แต่เชื่อเถอะ ยายว่าพวกเขาคงรู้แต่แรกแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นตาสิงห์คงไม่หวงน้องรุนแรงขนาดให้ตัวเองโสดเพื่อจะได้มีเวลาดูแลเราเลย”

“ยายก็...”

“แล้วตอนนี้มีคนที่ชอบพอหรือยังล่ะ” คุณหญิงอัปสรถามต่อ

“ไม่มีหรอกฮะ”

“แล้วบอกฉันได้อย่างไรว่าชอบผู้ชาย”

“ขวัญ...แค่ชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็เลยคิดว่าน่าจะชอบผู้ชาย แล้วก็เคยมีความคิดว่าตัวเองคบผู้ชาย แต่คิดว่าคบกับผู้หญิงนี่...ไม่เคยเลยฮะ”

เห็นเด็กหนุ่มคนนี้ตอบตรงๆ อย่างใสซื่อก็ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ออกมาดี

“สมัยนี้เปิดกว้าง เสรี ผู้ชายกับผู้ชายจดทะเบียนกันได้ แต่งงานตามประเพณีได้ ใช้ชีวิตด้วยกัน เปิดเผยต่อสังคมได้ถูกต้อง ไม่ผิดครรลองคลองธรรมอะไร ถ้าเราเจอคนๆ นั้นแล้วก็บอกนะ จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือทำให้ถูกต้องตามประเพณีไป ตอนแรกคิดว่าตัวเองไม่มีห่วงอะไรอีกแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีอยู่อย่างหนึ่ง...”

“อะไรหรือฮะคุณหญิงย่า ขวัญช่วยได้ไหมฮะ”

นางส่ายหน้า ยิ้มอ่อนโยน กวักมือให้ขวัญนพัตขยับขึ้นมานั่งใกล้ๆ ร่างบางทำตาม ยังไม่ทันได้ถามอะไร ฝ่ามือเหี่ยวย่นก็วางบนศีรษะแล้วลูบเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน

“ห่วงสุดท้ายก่อนตาย คืออยากส่งเราให้กับคนที่จะดูแลเราไปชั่วชีวิตไงล่ะ”

ขวัญนพัตน้ำตารื้น คว้ามือของคุณหญิงย่ามา เอาแก้มแนบที่ฝ่ามือ เอ่ยเสียงสั่น “งั้นคุณหญิงย่า ก็อยู่นานๆ นะฮะ”

“ฮะๆ พิไล เธอดูเจ้าเด็กคนนี้สิ เป็นหนุ่มแล้วยังจะร้องไห้เป็นเด็กๆ อีก”

“งอแงใหญ่แล้วขวัญ เห็นทียายต้องอบรมเสียใหม่” พิไลทำทีเป็นดุ ไม่ได้จริงจัง ก่อนที่หนึ่งเจ้านายหนึ่งคนสนิทจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างเสียกิริยา

“ฮ่าๆ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น หญิงทั้งสองจึงรีบหยุดแล้วสำรวมกิริยาเฉกเช่นหญิงที่เคร่งครัดกฎระเบียบดังเดิม ขวัญนพัตเองก็เช็ดน้ำตาแล้วรีบลงไปยืนที่ข้างเตียงด้วยท่าทางสำรวมดูผู้ใหญ่ขึ้นไม่มีมาดเด็กขี้อ้อนเมื่อนาทีที่แล้วเลยสักนิด

“คุณแม่คะ หนูเข็มกับหนูหวานมาเยี่ยมไข้ค่ะ” คุณหญิงน่านฟ้าเดินนำสองสาวเข้ามา ใบหน้าสวยยิ้มน้อยๆ ให้กับแม่สามี ส่วนคู่หมั้นของอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์ที่เดินตามหลังมาก็ก้าวมาหาคุณหญิงอัปสรที่มีพิไลคอยพยุงให้นั่ง

“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า”

“ไหว้พระเถอะลูก”

ขวัญนพัตโค้งให้โดยที่ไม่มีใครสนใจมอง แล้วเดินไปยกเก้าอี้มาวางสามตัว ซึ่งเก้าอี้เหล่านี้ถูกเตรียมเอาไว้เพราะช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมคุณหญิงเยอะแล้วท่านก็ไม่สะดวกรับแขกที่ด้านล่าง

“เชิญคุณหญิงและคุณหนูทั้งสองนั่งครับ”

“ขอบใจ!”

“ขอบคุณนะ”

ขวัญนพัตยิ้มรับไม่ได้สนใจเลยว่าหนึ่งในสองสาวมีคนหนึ่งที่ลอบมองตนอย่างไม่พอใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังกระแทกเล็กน้อย ซึ่งไม่มีใครสังเกต แต่คุณหญิงอัปสรรับรู้ได้เลยลอบมองอยู่บ้าง

ร่างบางเดินกลับไปยืนที่เดิม สายตาไม่ได้โฟกัสที่ใครด้วยกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเลยจ้องที่ผนังกำแพงด้านหน้า สลับกับสังเกตที่แขกกับผู้มีพระคุณเป็นระยะๆ

“เข็มมีของบำรุงจากจีนมาเยี่ยมคุณหญิงย่าด้วยค่ะ เป็นยี่ห้อที่ดีที่สุดของจีนเลย บำรุงสุภาพ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วยนะคะ” เธอว่าพลางรับกระเช้าจากคนรับใช้มาแล้วยื่นส่งให้กับคุณหญิง

“ขอบใจมากเลยลูก” คุณหญิงตอบรับน้ำใจจากเขมินทราด้วยสีหน้าอ่อนโยน มือแตะที่ตระกล้าพอเป็นพิธี พยักหน้าให้ขวัญนพัตมารับไป

“หวานไม่ทราบอาการของคุณหญิงย่า เลยไม่แน่ใจว่าหาอะไรมาให้ วันนี้เลยมีแค่น้ำสมุนไพรที่หวานทำเองมาเยี่ยมไข้ หวังว่าคุณหญิงย่าจะไม่รังเกียจนะคะ”

มือย่นแตะที่กระเช้าพอเป็นพิธีเช่นกันแต่ก็มองที่ของด้วย รอยยิ้มและแววตาที่มอบให้มธุรดาแฝงไปด้วยความพึงพอใจที่สุด

“ลำบากหนูหวานแล้ว ขอบใจมากลูก”

เห็นได้ชัดว่ามธุรดาเอาใจใส่มากกว่า ละเอียดอ่อนมากกว่า ของดีที่เขมินทรามอบให้ขวัญนพัตต้องให้หมอตรวจสอบก่อนว่าทานได้หรือไม่ได้ แต่น้ำสมุนไพรของมธุรดาสามารถดื่มได้เลย

“เด็กๆ คุยกับคุณหญิงย่าไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะไปสั่งให้เด็กๆ เตรียมอาหาร”

“คุณหญิง เดี๋ยวผมจัดการเองฮะ” ขวัญนพัตขันอาสาทันทีที่คุณหญิงน่านฟ้าพูดจบ ตามหน้าที่แล้วเขาควรเป้นคนดูแลมากกว่า เพราะตรงนี้ก็มีพิไลแล้ว สามารถแยกออกไปได้

“ไม่ต้องหรอก ขวัญดูแลคุณแม่ที่นี่แหละ เดี๋ยวพอเด็กๆ มาตามก็ให้ขวัญช่วยดูแลคุณหนูทั้งสองรับประทานอาหารที่ห้องอาหารด้วยนะ”

ความหมายคือให้ตนเป็นคนพาลงไปแล้วคอยดูแลอยู่ที่ห้องอาหาร เพราะการที่ให้ขวัญนพัตหรือพิไลที่มีความสำคัญกว่าคนใช้อื่นๆ นำทางย่อมเป็นการให้เกียรติสองสาวมากกว่า

พิไลไม่ได้อยู่ในฐานะสาวใช้อีกต่อไปแล้ว เธอเป็นคนสนิทของคุณหญิงอัปสรทั้งยังเป็นคนสนิทของน่านฟ้าด้วย ความซื่อสัตย์ของพิไลตลอดมา น่านฟ้าต้องการให้เกียรติเสมอ เมื่อมีโอกาสแล้วจึงไม่อาจจะให้พิไลไปทำหน้าที่นั้นต่ออีก

“รับทราบครับ”
ขวัญนพัตรับคำสั่งเสร็จก็กลับมายืนเงียบๆ ที่จุดเดิมซึ่งห่างจากเตียงเล็กน้อย ไม่ได้ดูเสียมารยาทแม้จะใกล้กับเจ้านายแต่ไม่มากเกินไป

“หนูเข็มกับหนูหวานสบายดีนะลูก ไม่เจอกันหลายเดือนสวยขึ้นจริงๆ”

“เข็มสบายดีค่ะ”

“หวานก็สบายดีค่ะ”

คนอายุมากพยักหน้ายิ้มๆ

“คุณหญิงย่าต้องดูแลสุขภาพและพักผ่อนให้มากๆ นะคะ ถ้าหากว่าเข็มมีเวลาคงต้องขออนุญาตมาดูแลคุณหญิงย่าจนหายแน่นอนค่ะ”

“มีน้ำใจคนแก่อย่างย่าก็ซาบซึ้งแล้ว หนูเข็มงานเยอะ ต้องช่วยงานครอบครัว ย่าไม่รบกวนหรอกจ้ะ ขอรับเพียงน้ำใจก็พอแล้วลูก”

“เอาไว้เข็มจะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะคะ”

“จ้ะ แล้วหนูหวานล่ะลูก ทุกวันนี้เห็นยุ่งกับร้านขนม มีอะไรใหม่ๆ ให้ย่าลองชิมบ้างหรือเปล่าฮึ”
“หลายเดือนมานี้ หวานคิดขนมใหม่ๆ ได้อยู่สองสามเมนู เพียงแต่สุขภาพของคุณหญิงย่าอาจจะยังไม่สามารรับประทานได้ค่ะ”

“ได้ยินแบบนี้ก็หดหู่ใจ เจ้าขวัญก็พูดแบบนี้ ทุกวันนี้ย่าอยากจะทานขนมฝีมือของเจ้าขวัญก็ต้องทานในฝันแทน เฮ้อ...แก่แล้วจะกินตามใจปากเช่นตอนสาวๆ ไม่ได้เสียแล้ว”

“ได้ยินจากพี่อัยย์บ่อยๆ ว่าน้องขวัญทำอาหารและทำขนมเก่ง อีกทั้งงานบ้านงานเรือนยังล้ำเลิศเทียบเท่าหญิงชาววัง มีโอกาส หวานก็อยากที่จะแลกเปลี่ยนความรู้สักครั้ง”

“โอ้ ไม่ต้องสักครั้งหรอก หลายๆ ครั้งก็ได้ เจ้าขวัญทำงานของผู้หญิงได้ดีก็จริงแต่งานผู้ชายก็ดีงามไม่แพ้กัน ตอนนี้ก็เริ่มเรียนรู้งานของพรรคแล้ว”

“จริงหรือคะ อายุแค่นี้เก่งจังเลยนะคะ” มธุรดาหันมายิ้มหวานสมกับชื่อให้กับคนที่ถูกพาดพิงถึง เมื่อเห็นว่ารอยยิ้มของมธุรดามีแต่ความจริงใจ ขวัญนพัตก็ตอบกลับด้วยความจริงใจไม่แพ้กัน

“คุณหวานชมกันเกินไปแล้วครับ ผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก”

“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกจ้ะ พี่อัยย์เขาอวดน้องขวัญกับพี่อยู่เป็นประจำ วันไหนเจอกันก็ไม่มีเลยที่จะไม่มีน้องขวัญในบทสนทนา”

“อ่า เป็นเกียรติมากครับ” ได้แต่ตอบรับสั้นๆ ยิ้มรับบางๆ ด้วยเกรงว่าตอบยาวไปจะทำให้ดูไม่ดีได้ ใช้คำพูดไม่ระวังก็เปลี่ยนเจตนาได้เหมือนกัน

ยิ่งไปกว่านั้นขวัญนพัตไม่ได้คิดบวกมองโลกในแง่ดีว่าทุกคำพูดของมธุรดาจะจริงใจทุกคำ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ปากหวานก้นเปรี้ยวใครจะไปรู้

เขมินทรา เป็นสาวมั่น เย่อหยิ่ง และซื่อตรงกับความรู้สึก คิดแบบไหนแสดงออกแบบนั้น ต่อให้ปกปิดดีแค่ไหนก็ยังหลุดนิสัยแท้จริงออกมา

มธุรดา เป็นสาวหวาน กิริยางดงาม อ่อนโยน ไม่ได้ดูไร้ความคิด แววตาบ่งบอกถึงความฉลาดล้ำ มักจะเป็นประเภคคิดก่อนทำ เก็บความรู้สึกเก่ง

“เอาล่ะๆ มัวแต่คุยเรื่องเด็กของย่าอยู่ได้ หนูเข็มไม่ต้องคิดมากนะลูก คนเราเก่งกันคนละด้าน อย่างหนูเข็มเก่งบริหาร โดดเด่น มีหน้าตาในสังคม เรื่องงานพวกนี้เราฝึกฝนกันได้ ไม่ต้องเลิศเลอหรอก แต่ให้สมกับเป็นสะใภ้ก็พอ”

“เข็มก็เริ่มหัดแล้วค่ะ ทำอาหารง่ายๆ พอได้”

“จ้ะ เป็นเอาไว้บ้างเผื่อได้ใช้ประโยชน์”

นี่คือคุณสมบัติต้นๆ ที่คุณหญิงอัปสรใช้เป็นเกณฑ์ในการรักใคร่เอ็นดูว่าที่หลานสะใภ้ เธอเองก็ได้รับการยอมรับจากแม่สามีเพราะมีฝีมือด้านงานเรือนไม่เป็นรองใคร ก็เลยยึดแบบปฏิบัตินี้เรื่อยมา หากแต่ก็ยังลดหย่อนให้กับเขมินทราอยู่บ้าง ตอนที่ได้รู้จักสองสาวแรกๆ มีเพียงมธุรดาที่ถูกใจคุณหญิงอัปสร ส่วนเขมินทราเป็นทางน่านฟ้าที่พอใจนั่นคงเป็นเพราะแม่ของเขมินทราเป็นเพื่อนสนิทของเธอเอง

ดีหน่อยที่อัยยวัฒน์กับมธุรดาคบหาดูใจกันก่อนที่ทางผู้ใหญ่จะมาพูดคุยกัน คู่นี้เลยไม่ได้มีอะไรที่ต้องกังวลเพราะสมัครใจกันทุกคู่ แต่ทางอินทร์ธรกับเขมินทราเกิดจากทางครอบครัวพามาแนะนำให้รู้จัก จะเรียกว่าตั้งใจพามาคลุมถุงชนก็ได้ อินทร์ธรที่ไม่มีคนในใจเป็นพิเศษก็ยอมรับการหมั้นหมายแต่โดยดี ซึ่งระยะเวลาสองปีที่หมั้นหมายกันก็ทำหน้าที่คู่หมั้นต่อเขมินทราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ทว่าช่วงหลังๆ มานี้ขวัญนพัตสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของอินทร์ธร ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องงานหรือว่าเกิดจากความสัมพันธ์กับคู่หมั้นกันแน่ เขามักจะพบว่าอินทร์ธรคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่งด้วยความอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยเห็น และบางครั้งจะแอบได้ยินอินทร์ธรมีปากเสียงกับเขมินทราผ่านทางโทรศัพท์

จะเป็นคนๆ เดียวกันหรือคนละคนกัน ขวัญนพัตยังไม่แน่ชัดนัก ที่ชัดเจนเลยคืออินทร์ธรไม่เคยแสดงออกถึงความอ่อนโยนกับเขมินทรา แววตาไม่ได้ลึกซึ้ง รอยยิ้มที่มอบให้ก็ไม่มีอะไร แค่ยิ้มตามมารยาท ปฏิบัติอย่างให้เกียรติเช่นปกติ ในขณะที่ยามพูดคุยกับใครคนหนึ่งกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้ง


(มีต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 10 (ต่อ)



“ระหว่างหนูเข็มกับตาอินทร์เป็นยังไงบ้างจ้ะ”

“พี่อินทร์ก็ใส่ใจเข็มเหมือนเดิมแหละค่ะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ยามไปทานข้าวที่บ้านเข็มมักจะ ‘ใส่ใจ’ น้องสาวของเข็มมากเป็น ‘พิเศษ’ เอ็นดูน้องสาวเข็มแบบที่ไม่เคยมีให้เข็มเลยสักนิด”

ผู้ที่อยู่ในห้องไม่มีใครที่สัมผัสไม่ได้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ ทุกประโยคมีแต่การกระทบกระเทียบ แววตาตอนที่พูดก็มีประกายกร้าว ราวกับคนทั้งคู่อยู่ข้างหน้าตน

คุณหญิงอัปสรรู้จักน้องสาวต่างมารดาของเขมินทรา ลูกสาวเมียน้อยที่ตอนนี้เลื่อนมาเป็นเมียหลวง เพราะหลังจากที่มารดาของเขมินทราเสียไปเมื่อห้าปีก่อนพ่อของเธอก็รับบสองแม่ลูกเข้ามาในบ้านด้วยฐานะที่เทียบเท่าเธอและแม่ของเธอ นั่นจึงทำให้เขมินทราไม่ชอบแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างพ่อมาก มันเป็นบาดแผลในใจของเขมินทราไม่มีวันจางหาย ยิ่งมารับรู้ทีหลังว่าแม่ของเธอเป็นคนแย่งพ่อมาจากแม่เลี้ยงก็ยิ่งทำใจรับความจริงไม่ได้ เลยเป็นปรปักษ์กับสองแม่ลูกมาโดยตลอด เรื่องราวพวกนี้ในแวดวงคนใกล้ชิดรับรู้กันดี เพราะฐานะของมารดาเลี้ยงของเขมินทราก็ใช่จะไร้สกุลรุนชาติ ต่อให้ถูกตราหน้ามาเมียน้อยแต่ก็เป็นผู้ที่มาก่อน เคยหมั้นหมายกันก่อนที่มารดาของเขมินทราจะวางแผนทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลง

“อินทร์เขาก็คงมีมนุษย์สมัพันธ์ดีไปทั่วแหละลูก”

“ยัยดาวชอบเรียกร้องความสนใจ ทั้งกับคุณพ่อ นี่ก็พี่อินทร์อีก คุณหญิงย่าคะ เข็มอึดอัดที่จะอยู่บ้านหลังนั้นเต็มทีแล้ว พอไม่มีคุณแม่ เข็มก็รู้สึกว่าตัวเองตัวคนเดียว พ่อไม่เข้าใจ แม่เลี้ยงก็ใจร้าย น้องสาวก็ทำให้เข็มเป็นนางร้ายในสายตาของคนอื่นตลอดเวลา ฮึก”

“ไม่เอาลูก ไม่ต้องไห้นะ”

หากถามคุณหญิงอัปสรว่าระหว่างคนพี่กับคนน้องจะเลือกใคร หากเธอรู้จักแต่เขมินทราก็คงเลือกคู่หมั้นหลานชายแต่โดยดี แต่ทว่าตนเคยมีโอกาสไปงานเลี้ยงวันเกิดของขจรเกียรติพ่อของเขมินทราก็เลยมีโอกาสได้พบกับภรรยาใหม่และน้องสาวต่างแม่ของเขมินทรา เด็กคนนั้นงามพร้อมด้วยรูป กิริยามารยาท และความสามารถก็มากเกินอายุ แววตามีแต่ความใสซื่อไร้เดียงสา ทุกคำพูดคำจาไพเราะเสนาะหู บ่งบอกว่ารับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ไม่ได้เป็นเหมือนที่เขมินทรกับน่านฟ้าบอกเลยสักนิด ไม่ว่าจะใช้สายตาที่ผ่านโลกมาเจ็ดสิบกว่าปีมองอย่างไรก็ไม่ได้เห็นความเสแสร้งแกล้งทำจากเด็กคนนั้นเลย

ถึงไม่เคยได้คุยด้วยมากมายนัก แต่เธอปลื้มแม่เด็กดาว ดารารัศมิ์คนนั้นมากกว่าคนพี่เขมินทราเสียอีก

“เข็มคิดว่าเราควรจะพูดเรื่องแต่งงานกันได้แล้วนะคะ หมั้นมาสองปีกว่าแล้ว หากช้ากว่านี้เดี๋ยวคุณหญิงย่าจะไม่ได้อุ้มเหลน”

นี่แช่งกันเรอะ!

ขวัญนพัตแอบพ่นลมหายใจ คิ้วขมวดเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ

“เรื่องนี้ก็ต้องให้ผู้ใหญ่คุย แล้วย่าก็ไปยุ่งไม่ได้ หนูเข็มต้องรอให้แม่น่านฟ้าเป็นคนจัดการ ซึ่งก็ต้องรอถามตาอินทร์ด้วย ตระกูลเราไม่เหมือนตระกูลอื่น หนูก็คงรู้อยู่แล้ว ผู้ชายเป็นใหญ่ หากให้กำเนิดลูกชายก็ถือว่าเป็นว่าเป็นผู้สืบทอด แม้จะต้องเชื่อฟังกตัญญูต่อบุพการี แต่ผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับอะไรกับบุตรสายตรงให้ทำตามที่ต้องการ แม้กับลูกสาวจะขึ้นอยู่กับตัวพ่อแม่ว่าจะเข้าไปยุ่งหรือให้อิสระ แต่ก็บีบบังคับใจไม่ได้ ย่าเองก็ปล่อยให้ลูกหลานเลือกเองมาตลอด แม้ว่าตระกูลเราไม่ค่อยมีสะใภ้มาจากครอบครัวยากจนแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย”

บรรพบุรุษตั้งกฎตระกูลขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เป็นพ่อแม่ของผู้นำตระกูลหรือญาติผู้ใหญ่เข้ามากะเกณฑ์เรื่องของชีวิตคู่ บรรพบุรุษต้องการให้ลูกหลานได้เลือกคู่ครองด้วยตัวเอง ไม่ใช่เลือกเพื่อขยายอิทธิพลหรือคานอำนาจ

เขมินทราได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเครียด เข้าใจว่าคุณหญิงต้องการจะสื่ออะไร คุณหญิงอัปสรต้องการบอกว่าหากอินทร์ธรต้องการถอนหมั้นก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น สถานะปลอดภัยต่อการยืนอยู่ในตระกูลนี้ก็คือการแต่งเข้ามาอยู่ในฐานะสะใภ้ให้เร็วที่สุด เพราะตระกูลนี้ต่อให้แม่กฎห้ามบังคับคลุมถุงชน คู่ครองที่เลือกเองจะต้องให้เกียรติที่สุด คิดจะหย่าก็ทำไม่ได้ ยกเว้นว่าทำผิดจริงๆ

ตระกูลสายตรงเลยไม่มีเรื่องหย่าร้าง ไม่มีเล็ก ไม่มีน้อย เพราะถือว่าให้โอกาสเลือกเองแล้วก็ต้องซื่อสัตย์กับคนที่เลือกไปชั่วชีวิต แม้จะเคยมีบุตรสายตรงแต่งงานใหม่แต่นั่นก็เป็นกรณีภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป

“เข็มทราบแล้วค่ะ ขออภัยที่เข็มวู่วามใจร้อน” หญิงสาวยกมือไหว้สวยงาม คุณหญิงก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เธอไม่กังวลว่าจะรับสะใภ้ที่นิสัยร้ายกาจเข้ามาเพราะมีกฎของตระกูลควบคุมอย่างเข้มงวด ให้เกียรติภรรยาไม่ได้หมายความว่าภรรยาจะเป็นใหญ่หรือมีอำนาจเหนือกว่า

ระบบของตระกูลเหมือนจะกดขี่ผู้หญิงเช่นสมัยก่อนซึ่งมันก็ดูเหมือนใช่ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว อย่างน้อยทายาทผู้หญิงหรือสะใภ้ที่แต่งเข้าก็สามารถออกไปทำงานในบริษัทได้ ทำงานในพรรคได้

“ส่วนหนูหวาน ตาอัยย์เปรยอยู่บ่อยๆ ว่าอยากจะแต่งแล้ว ได้ข่าวว่าคุยกันแล้วใช่ไหม” คุณหญิงหันมาถามหญิงสาวอีกคน

“คุยบ้างแล้วค่ะ เรื่องกำหนดการคงต้องให้ผู้ใหญ่คุยกันเพื่อหาฤกษ์ แต่หวานบอกพี่อัยย์ว่าอยากแต่งช่วงปีหน้า หวานอยากได้เวลาเตรียมงานนานๆ”

“ย่าเข้าใจ หญิงสาวจะมีงานแต่งเดียวในชีวิตย่อมต้องพิถีพิถัน เอาไว้ย่าจะบอกแม่น่านฟ้าให้ไปคุยกับผู้ใหญ่ฝั่งหนูให้เป็นมั่นเป็นเหมาะ แล้วก็เริ่มเตรียมงานได้เลย”

“ขอบคุณค่ะคุณหญิงย่า”

เขมินทราลอบมองเสี้ยวหน้าของมธุรดาอย่างอิจฉา อิจฉาที่ได้เข้าตระกูลแน่ๆ อิจฉาที่แต่งด้วยความรัก อิจฉาที่เธอได้รับความเอ็นดูจากคุณหญิงย่ามากกว่าตน

“หวานมีเรื่องอยากจะเรียนขอคุณหญิงย่า ไม่ทราบว่าได้หรือเปล่าคะ”

“หืม? อะไรหรือลูก”

“พี่อัยย์บอกกับหวานว่าฝีมือการทำอาหารไทยกับขนมไทยของน้องขวัญเป็นเลิศ หวานไม่เคยได้ชิมแต่เชื่อว่าพี่อัยย์ต้องไม่โกหก เลยอยากขอคุณย่าให้น้องขวัญดูแลเรื่องอาหารไทยกับขนมไทยภายในงานน่ะค่ะ”

“โอ้ แขกเหรื่อมากมาย เจ้าขวัญของย่าจะเหนื่อยเอาน่ะสิ ไม่ได้ๆ เจ้าขวัญต้องดูแลการรับแขกต้องอยู่กับตาอัศม์ คนของเขาย่าใช้พละการไม่ได้”

แค่คำว่า ‘เจ้าขวัญของย่า’ ก็ทำให้สองสาวรู้สึกว่าตกเป็นรอง ยิ่งกับเขมินทราถึงกับมองหน้าสวยด้วยความไม่พอใจ และยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสวยกว่าตนก็ยิ่งเสียหน้าเข้าไปอีก พอประโยคที่ว่าเป็นคนของท่านอัศม์ก็ยิ่งรู้สึกว่าขวัญนพัตล่วงเกินไม่ได้

ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนรับใช้ แต่ทำไมถึงได้สูงส่งกว่าเธอ!!

“หวานไม่ทราบ ต้องขออภัยที่ล่วงเกินนะคะ เสียดายจริงๆ ค่ะ”

“ถ้าหนูหวานอยากชิม เอาไว้มาช่วงวันหยุดสิ อาทิตย์หน้าเป็นไง เจ้าขวัญไม่ได้ทำขนมให้ย่ากินมาหลายวันแล้ว คิดว่าคงห้ามถึงอาทิตย์หน้า ถ้าย่าไม่หายตาอัศม์ไม่อนุญาตให้เจ้าขวัญเข้าครัวแน่ กลัวว่าจะตามใจย่าน่ะ”

เป็นจริงดังที่คุณหญิงว่า เหตุผลที่ท่านอัศม์ให้ขวัญนพัตอยู่ข้างกายคุณหญิงอัปสร ไม่ต้องเข้าครัวทำอาหารเพราะกลัวว่าจะใจอ่อนทำของหวานให้ท่านทานเอา

คิดถึงตอนที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลคุณหญิงย่าจากท่านอัศม์แล้ว ขวัญนพัตก็ยิ้มออกมาแล้วก็เหม่อลอย แม้จะคุยเพียงเล็กน้อยแต่ก็อบอุ่นหัวใจดี

‘เข้าใจแล้วใช่ไหม’

‘เข้าใจครับท่านอัศม์’

‘ดี...ฉันไม่อยากทำโทษเธอหรอกนะ หรือต่อให้ทำผิดก็ไม่รู้ว่าจะลงโทษลงหรือเปล่า’

‘ทำไมล่ะครับ หากผมทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎสิครับ’

‘ช่างเถอะ ถ้าไม่อยากให้ฉันเสียการปกครองก็อย่าทำผิด’

‘ค่ะ...ครับ ได้ครับ’

ในตอนที่สั่งนั้นอัศม์เดชเพียงรู้สึกว่านี่เป็นเด็กในอุปการะ เห็นมาเด็กน้อย แม้จะไม่ได้ใส่ใจแล้วก็ละเลยมาตลอดแต่ไม่ได้ลืมว่าให้ความพิเศษกับขวัญนพัตกว่าคนคืน พอกลับมาได้ใกล้ชิดอยู่ระยะนึงก็รู้สึกว่าตนใจร้ายกับเด็กคนนี้ไม่ลงจริงๆ เหมือนกับน้องชายทั้งสองของเขานั่นแหละแม้ว่าอัศม์เดชจะเข้มงวดแต่ก็ใจร้ายทำโทษหนักๆ ไม่ได้

โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มบนใบหน้าตอนนี้ ทำให้สองสาวรู้สึกหมั่นไส้ โดยเฉพาะกับเขมินทรา ส่วนมธุรดาทั้งเสียดายและหมั่นไส้ แต่เธอเป็นคนมีเหตุผลและเคารพคนมีฝีมือ หากได้ประจักษ์ในฝีมือของขวัญนพัต มธุรดาคงยอมรับเอง




+ + + + + To be continue + + + + +

แฮ่ๆ ท่านอัศม์โผล่มาแค่ในความคิดเอ๊งงงง ต้องแบ่งไปตอนหน้าค่ะ ยาวมาก หนูขวัญถึงจะเจอศึกอย่างที่บอกไว้นะคะ หนูขวัญถึงจะเป็นแค่คนรับใช้ (ไม่รู้จะเรียกไง) แต่การเป็นคนข้างกายท่านอัศม์ไม่ว่าใครก้ใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะท่านอัศม์ใหญ่มาก คนข้างกายท่านใครๆ ก็ต้องไว้หน้าและยำเกรง ไหนจะได้รับความเอ็นดูจากสองแฝดอินทร์ อัยย์ด้วย ย่อมสร้างความหมั่นไส้สุดๆ อยู่แล้ว

ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะจ้ะ รวมถึงคอมเมนต์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า

https://www.facebook.com/sawachiyuki/

https://twitter.com/Sawachi_Yuki


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :pig4: หนูขวัญกลับมาแล้ว

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ท่าทางเขมินทรา คงไม่ได้แต่งเข้าตระกูล

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
หนูขวัญลูกกกกกก :กอด1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
สนุกมากค่ะ
รอออออออออออ :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เอ็นดูขวัญ น้องพยายามได้ดีเลยค่ะ
และมีความพิเศษ ที่อัศม์ไม่ยอมรับว่าให้มากกว่าคนอื่น
มีดักทางด้วยนะ ว่าสองข้อหลัง เป็นไปไม่ได้
ระวังจะหวงเอง ห่วงเอง จนไม่ยอมให้ห่างตัวล่ะ

ชอบคุณย่า ยายพิไล เอ็นดู ดูแลขวัญดีมาก และให้ความสำคัญมากด้วย

อื้อหือ มีความว่าที่สะใภ้มองแรงจ้า แต่บอกเลย อย่าพยายาม

ออฟไลน์ Moonoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เห็นเป็นแค่น้องชายคนนึงอย่างงี้ความสัมพันธ์จะไปทางไหนล่ะเนี้ยย

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เป็นกำลังใจให้หนูขวัญนะลูก
ยังต้องเจออะไรอีกเยอะแยะแน่ ๆ เลย

 :กอด1: :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด