พิมพ์หน้านี้ - อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: SawachiYuki ที่ 03-02-2019 20:41:56

หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 03-02-2019 20:41:56
*************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************************************



MASTER Project

ชุด คุณท่าน (นิยายรักต่างวัย)

อัศม์เดช

เรื่อง อุปถัมภ์เสน่หา


/////--------------------------------/////

ด้วยความสงสาร ความเอ็นดู จึงคอยช่วยเหลือให้กับสนับสนุนห่างๆ
เขาก็แค่เลี้ยงดูเพื่อจะใช้งานในอนาคต ไม่เคยสนใจมากไปกว่านี้
ไม่คิดเลยว่า การกลับมาพบกันอีกครั้งนั้น
จะเปลี่ยนความรู้สึกไม่เกินเลยเหล่านั้นเป็นอื่นไป
ความเสน่หาที่มีต่อคนที่อายุห่างกันถึงสิบเจ็ดปีรุนแรงมาก
มากเสียจนไม่อาจจะคิดให้เป็นแค่เด็กในความอุปถัมภ์อีกต่อไป

/////--------------------------------/////

สารบัญ

บทนำ
ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5


/////--------------------------------/////


ฝากแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)
https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
พูดคุย หวีดหรืออยากจะบอกต่อเรื่องนี้
แท็ก #ท่านอัศม์หนูขวัญ
ยูกิจะอัพเดทข่าวสารทั้งหมดที่เพจกับทวิตเตอร์ค่ะ
หรืออยากจะสอบถามอะไรไปที่เพจกับทวิตเตอร์ได้เลยนะคะ ^^

Enjoy Reading

หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | |
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 04-02-2019 00:40:05
 :pig2: :pig2: เรื่องชวนติดตามรอค่ะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | |
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-02-2019 00:43:33
อื้อหืออ แค่เปิดมา ก็มีแววว่าจะแซบค่ะ
ท่านอัศม์ ต้องเป็นมาสเตอร์แบบไหนนะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | |
เริ่มหัวข้อโดย: Lukkadekaa ที่ 05-02-2019 05:53:15
ว้าววว น่าสนุกค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | |
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 05-02-2019 11:26:59
 o18 o18 o18
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | บทนำ | 12/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 12-03-2019 21:16:14
บทนำ




หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเกาะประตูรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ มองเข้าไปภายในที่กว้างขวาง สวนก่อนจะถึงตัวคฤหาสน์ก็สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ เธอมองเหล่าผู้คนกำลังทำงานของตนเองอยู่ ดวงตาอ่อนล้ามีแววแห่งความหวัง แม้จะดูเป็นบ้านที่น่ากลัวเพราะชายชุดดำที่เดินเพ่นพ่าน บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ต้องมีอิทธิพลมาก ใบหน้าซูบโทรมเพราะป่วย ร่างกายผอมแห้งจากการขาดสารอาหาร มือขวาจูงมือเล็กๆ ของเด็กชายน้อยวัยห้าขวบที่สภาพไม่แตกต่างกัน เสื้อผ้าเด็กขาดรุ่งริ่ง ใบหน้า เนื้อตัวมอมแมม ดวงตาอ่อนล้า

สองแม่ลูกช่างน่าเวทนาเหลือเกิน...

“แม่ฮะ หยุดทำไมเหรอ”

“แม่อยากจะขอพึ่งใบบุญของเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาอาจจะใจดีรับแม่เข้าทำงาน แล้วหนูขวัญของแม่จะได้ไม่ต้องคอยเดินไปไหนไกลๆ กับแม่แบบนี้อีก แล้วเราจะได้มีเงินใช้ไงครับ” เธอก้มหน้าลงมองลูกชาย เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มหวาน แม้ว่าจะทรมานร่างกายมากแค่ไหน เธอก็ไม่อยากให้รู้ว่าเธอกำลังอ่อนแอ

เธอกำลังไม่ไหว และเธอก็ไม่อาจจะพาลูกไปทิ้งไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้...เธออยากอยู่กับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ จนลมหายใจสุดท้าย

“แล้วเขาจะให้แม่อยู่เหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องลองก่อน”

“หนูเป็นห่วงแม่ แม่ปวดหัวบ่อย หนูไม่อยากให้แม่เดินแล้ว ถ้าหนูตัวโต หนูจะแบกแม่เดินเอง” เด็กน้อยที่เป็นดวงใจของเธอพูดเสียงร่าเริง

แม้จะลำบาก แต่เธอก็เห็นรอยยิ้มของลูกเสมอ

ปิ๊น!! ปิ๊น!!

สองแม่ลูกสะดุ้งเมื่อโดนบีบแตรรถใส่ พอกันมาก็พบกับขบวนรถหรูสีดำ จอดเรียงกันอยู่ห้าคันเพื่อรอเข้าไปในตัวคฤหาสน์ เธอตั้งสติแล้วประคองทั้งตัวเองและลูกชายให้เดินเลี่ยงออกไป แต่ด้วยร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้เธอล้มลง ลูกชายตัวน้อยเลยพยายามใช้แรงอันน้อยนิดช่วยพยุง

“แม่ฮะ แม่ไหวไหม หนูช่วยนะ ลุกก่อนนะ เขาไล่เราแล้ว” เด็กชายก็เสียงสั่น ปากสั่น เพราะกลัวว่าเจ้าของรถพวกนั้นจะลงมาต่อว่าและทำร้ายตัวเองกับแม่

“แม่...อึก พยายามอยู่ลูก”

เธอพยายามยืนขึ้นทั้งๆ ที่ขาสั่น เรี่ยวแรงไม่มีเพราะไม่ได้ทานข้าวมาหลายมื้อแล้ว พอไม่สำเร็จก็พยายามคลานออกไปให้พ้นประตู ซึ่งกว่าจะไปถึงหญ้าสวยข้างๆ ก็ทำเอาเธอนอนไปอย่างหมดแรง

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายในชุดสูทสีดำเปิดประตูออกมาจากรถคันแรกเพื่อถามไถ่อาการ

“ม่ะ...ไม่ค่ะ ขอโทษที่ขวางทาง”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะกลับขึ้นรถไป ชายอีกคนก็ลงมาจากรถคันที่สอง แต่อะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าเกรงขามกว่ามาก

“เกิดอะไรขึ้น”

“คุณสันต์ครับ พอดีผู้หญิงคนนี้กับลูกชายมาขวางหน้าประตูน่ะครับ ผมเห็นว่าเธอเหมือนจะไม่สบายเลยมาถาม”

“หือ...” ชายที่ดูอายุมากที่ลูกน้องเรียกว่าสันต์เบนสายตามามองสองแม่ลูกที่ตอนนี้คนแม่กลับมานั่งตัวตรงได้แล้ว โดยมีลูกชายคอยใช้มือเล็กๆ นั่นช่วยพัด “พาท่านเข้าไปพักผ่อน เดี๋ยวฉันให้คนมารับทีหลัง”

“ครับคุณสันต์”

ไม่นาน รถทั้งห้าคันก็เคลื่อนตัวเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่

“ดิฉันขออภัยที่ดิฉันกับลูกชายขวางทางเข้านะคะ” เธอพูดพลางยกมือขึ้นไหว้ ใบหน้าอิดโรยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร ฉันชื่อสันต์ธร เป็นคนของตระกูลเตชโรจนโสภณ เจ้าของบ้านหลังนี้น่ะ เธอกับลูกชายทำอะไรที่หน้าบ้านหรือมีคนที่รู้จักทำงานอยู่ในนี้”

“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันกับลูกแค่ผ่านมา เห็นว่าบ้านสวยเลยหยุดดูเท่านั้น”

“เธอสองคนมาจากไหน” ถามไปด้วยสายตาก็สอดส่องไปตามร่างกายของสองแม่ลูก ความรู้สึกแรกที่สันต์ธรรู้สึกเลยคือไม่มีพิษภัย

“เราเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน แล้วก็ไม่มีที่ไหนรับทำงานด้วยค่ะ”
สันต์ธรมองแล้วสะท้อนใจ ถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอยู่ในวงการที่ต้องเด็ดขาด แต่ใช่ว่าหัวใจจะตายด้านเย็นชา แล้ว ‘ท่าน’ เองก็บอกให้เขาช่วยเหลือทั้งสองคนด้วย

“มาทำงานให้ตระกูลเตชโรจนโสภณไหม เมื่อสองวันก่อนเพิ่งมีแม่บ้านลาออกไป ตอนนี้เลยหาคนมาแทนอยู่ มีอาหารให้สามมื้อ มีห้องพักให้ แล้วก็ค่าจ้างเดือนละหมื่นสอง ถ้าทำครัวได้ หรือมีฝีมือในการเย็บปัก ถักร้อย ร้อยพวงมาลัย จะได้เดือนละหมื่นห้า ไม่มีวันหยุด แต่ละวันสามารถพักได้ถ้างานตัวเองเสร็จ สนใจไหม”

“ค่ะ สนคะ ดิฉันทำค่ะ ฮึก ขอบพระคุณนะคะที่เมตตา” ไม่ต้องคิดให้มากมายเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า เธอรับแล้วขอบคุณทั้งน้ำตาพร้อมกับก้มกราบ เด็กน้อยไม่รู้อะไรก็ทำตามแม่ทันที เรียกร้อยยิ้มเอ็นดูจากชายวัยกลางคนในทันที

“ตามนี้ แล้วจะให้หัวหน้าแม่บ้านสัมภาษณ์อีกทีว่าทำอะไรได้บ้าง ฉันต้องดูแลทั้งสองคนก่อนสภาพแบบนี้คงคุยนานไม่ได้”

“ค่ะคุณสันต์ธร ขอบพระคุณค่ะ”

สันต์ธรโทรให้ลูกน้องเอารถออกมารับ พาสองแม่ลูกเข้าไปในตัวคฤหาสน์ใหญ่โต เด็กน้อยมองไปรอบๆ อย่างตื่นตะลึง ชี้นั่นนี่ให้แม่ดู รถขับอ้อมไปด้านหลังคฤหาสน์ ที่มีบ้านพักสองชั้นเหมือนอพาร์ทเม้นท์อยู่สองตึกใหญ่ๆ มีสวนสวยๆ อยู่ข้างหน้าตึก และรอบๆ ซึ่งเนรมิตมาให้คล้ายกันกับข้างหน้าแต่เล็กกว่ามาก ถึงอย่างนั้นมันก็ดูใหญ่อยู่ดี คนเป็นแม่น้ำตารื้นอีกครั้งเมื่อเห็นบ้านพักคนงานที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ ด้านสันต์ธรรู้ว่าเธอคิดอะไรเพราะหันไปมองเด็กน้อยเป็นพักๆ

“เจ้านายของพวกเราคือท่านอัศม์ อัศม์เดช เตชโรจนโสภณ ท่านเป็นผู้นำคนปัจจุบัน นายท่านคนก่อนเสียไปไวมาก ท่านอัศม์ที่ตอนนี้อายุเพียงยี่สิบสองปีก็เป็นผู้นำตระกูลต่อ แล้วก็มีคุณหญิงอัปสร คุณย่าของท่านอัศม์ นายหญิงหรือคุณหญิงน่านฟ้า คุณแม่ของท่านอัศม์ และน้องชายอีกสองท่าน เป็นฝาแฝดกัน คือคุณอินทร์ คุณอัยย์ ท่านทั้งหมดอาศัยอยู่ที่นี่ จำชื่อเจ้านายให้ได้ล่ะ ส่วนของคนงานท่านสั่งให้สร้างบ้านพักให้ดีที่สุด เครื่องอำนวยความสะดวกมีครบทั้งพัดลมและแอร์ ค่าไฟฟ้าแต่ละห้องจะต้องจ่ายเอง ส่วนน้ำใช้ฟรี เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นก็ครบ ดูคล้ายๆ โรงแรม แต่ก็ไม่หรูขนาดนั้น ยังไงท่านก็เห็นคนงานทุกคนสำคัญหมด ทำงานที่นี่ก็ต้องทำตัวดีๆ มีกฎอยู่ไม่กี่ข้อหรอก อย่าทำให้ท่านเดือดร้อน อย่าทะเลาะกันเอง และอย่าทำตัวเป็นโจร”

“ค่ะคุณสันต์ธร ดิฉันจะจำเอาไว้”

“ดีแล้วล่ะ ตึกฝั่งขวาเป็นตึกพักของคนที่ทำงานในพรรค ฉันจะบอกเอาไว้ว่าไม่ใช่พรรคการเมืองอะไร เธอก็น่าจะเดาออกจากชุดพวกนั้น” เธอมองไปยังชายตัวใหญ่ๆ ในชุดสูทสีดำแบบเดียวกัน ที่หูของทุกคนจะมีหูฟังสำหรับใช้รับฟังคำสั่ง

เธอรู้ว่าที่นี่คือที่ของผู้มีอิทธิพลแน่ๆ แต่ถ้าคนที่นี่ใจดี ท่านผู้นั้นก็คงจะมีเมตตามาก

“ทราบค่ะ ดิฉันทราบและไม่ได้กังวลหรือคิดมากอะไร ดิฉันจะทำงานที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณในความเมตตาที่ได้รับค่ะ”

สันต์ธรยิ้มออกมา ยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้มีความคิดที่ดีมาก คำพูดคำจาไพเราะ รู้กาลเทศะ ก็คงจะผ่านงานมาเยอะพอควร

“ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นที่พักของคนงานที่ทำงานที่นี่ ห้องของเธอและลูกก็อยู่ฝั่งซ้าย ดูเยอะใช่ไหม แต่ทุกคนทำงานตลอดเพราะตึกใหญ่ต้องสะอาดเสมอ สวนก็ต้องดูแล”

“ค่ะ”

เมื่อรถจอดที่หน้าตึกฝั่งซ้าย เธอค่อยๆ พาตัวเองลงจากรถอย่างลำบาก ก่อนจะพาลูกชายของตัวเองลงมาด้วย มองไปรอบๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ

ที่นี่น่าอยู่มาก มากมายจริงๆ

“คุณสันต์ครับ เรียกผมมีอะไรให้รับใช้ครับ” ชายคนหนึ่งรีบพรวดพราดเดินมาหาสันต์ธรหลังจากที่คนขับรถของสันต์ธรไปตามในห้องทำงาน สองแม่ลูกเห็นก็ยกมือไหว้ทันที

“ฉันพาคนงานใหม่มาฝากให้ดูแล มีห้องว่างอยู่เท่าไหร่”

“ตอนนี้มีห้องว่างประมาณห้าห้องครับ ชั้นสองสามห้อง ชั้นล่างสองห้องครับ”

“อืม...เธอกับลูกชายชื่ออะไร มีเอกสารอะไรยื่นให้กอบกิจทั้งหมด” เธอเปิดกระเป๋าผ้าที่มีเพียงเอกสารเท่านั้น แล้วหยิบทุกอย่างส่งไปให้กอบกิจทั้งหมด กระเป๋าเสื้อผ้าและเงินเก็บถูกปล้นไประหว่างการเดินทาง ทั้งสองคนเลยไม่ค่อยได้ทานข้าวเพราะไม่มีเงิน

“ดิฉันชื่อขิม ขนิษฐาค่ะ ลูกชายดิฉันชื่อขวัญ เด็กชายขวัญนพัต”

กอบกิจรับมาแล้วเปิดๆ ดู ก็มีเอกสารยืนยันตัวเองครบถ้วน

“เดี๋ยวผมจะจัดการทั้งหมดให้แล้วจะเอาไปคืนให้ที่ห้อง ว่าแต่อยากพักที่ชั้นไหน” ประโยคหลังหันมาถามหญิงสาว

“ขอเป็นชั้นล่างค่ะ”

“โอเค เดี๋ยวผมจัดการให้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะกอบกิจ ฝากดูแลขิมกับขวัญด้วย ฉันไปก่อน เดี๋ยวช่วงเย็นๆ จะให้หัวหน้าแม่บ้านไปหาที่ห้อง เธอก็พาลูกไปพักผ่อนก่อน ช่วงนี้ยังไม่ให้ทำงานหรอกนะเพราะเธอสองคนดูจะไม่ค่อยแข็งแรง ฝากตามหมอให้ด้วยนะกอบกิจ”

“ขอบคุณนะคะคุณสันต์ธร หนูขวัญ ขอบคุณคุณสันต์สิครับ”

“ขอบคุณฮับคุณลุง”

“ลูกครับ เรียกคุณสันต์ว่าคุณลุงไม่ได้นะครับลูก” คนเป้นแม่ห้ามรามเมื่อคิดว่ามันเป้นเรื่องไม่เหมาะสม

“ไม่เป็นไรๆ ฉันอนุญาตให้เรียกคุณลุงได้ ลุงไปนะเจ้าตัวเล็ก” มือหยาบลูบผมของเด็กน้อยอย่างเอ็นดู แล้วเดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปยังตึกใหญ่ หญิงสาวหันมายิ้มให้กอบกิจที่ยิ้มต้อนรับอย่างใจดี

“เดี๋ยวผมไปเอาคีย์การ์ดเข้าห้องให้นะครับ ผมเห็นจากบัตรประชาชน พี่เป็นพี่ผมอยู่สองปี ยังไงขอเรียกพี่ขิมนะครับ ส่วนพี่ขิมก็เรียกผมว่ากิจเฉยๆ พอนะ เจ้าตัวเล็กก็เรียกน้ากิจนะครับ”

“จ้ะ...กิจ”

“ค้าบ น้ากิจสุดหล่อ”

“หึหึ ขี้อ้อน”

ไม่นานกิจก็ออกมาจากห้องที่ติดป้ายว่าผู้ดูแล ยื่นคีย์การ์ดห้องให้ พร้อมกับอธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปด้วย ขนิษฐามองไปรอบๆ ความสุขใจที่เกิดขึ้นทำให้ลืมเรื่องเจ็บป่วยไปหมด

“ต้องใช้คีย์การ์ดกับรหัสผ่านครับ อาจจะยุ่งยากหน่อย แต่ท่านอยากให้ปลอดภัยที่สุด เดี๋ยวผมจะเซ็ตรหัสผ่านให้พี่ขิมตั้งนะครับ รับรองผมจะไม่มองเด็ดขาดเลย” แล้วกอบกิจก็ทำอย่างปากว่า เมื่อบอกให้หญิงสาวกดรหัสผ่านที่ต้องการก็หันหลังให้ จนหญิงสาวยิ้มเอ็นดูคนอายุน้อยกว่า

แกรก!

“ว้าว! แม่ฮะ ห้องสวยจังเลย กว้างด้วย งื้อ นี่หนูฝันอยู่เหรอ เย้ๆ หนูจะได้นอนที่แบบนี้จริงเหรอฮะ” เปิดประตูห้องได้ เด็กน้อยก็วิ่งเข้าไปรอบๆ ห้องด้วยความตื่นเต้น

“สวยจัง กว้างด้วย หนูขวัญ อย่ากระโดดขึ้นเตียงลูก ตัวหนูสกปรก เดี๋ยวคืนนี้เราจะนอนคันนะครับ”

“คร้าบ”

“ที่นี่ให้เรากินข้าวครบสามมื้อ เลยตัดห้องครัวของแต่ละห้องออกไป พื้นที่ก็เลยเพิ่มขึ้นครับ มีห้องน้ำในตัว เฟอร์นิเจอร์ ทีวี แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น เตียงนอนคิงไซส์ มีหมดทุกอย่าง แค่เอาเสื้อผ้าใส่ตู้พอ ว่าแต่กระเป๋าเสื้อผ้าล่ะครับ?”

ขนิษฐาซึมทันที จนกอบกิจลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่รู้ว่าใบหน้าแบบนี้ เธอคงจะเจอเรื่องไม่ดีมาแน่ๆ และคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระเป๋าที่ถามหา

“เป๋าพวกหนู พวกคนไม่ดีมาแย่งไป ใจร้ายมาก เงินกินข้าวพวกหนูก็อยู่ในนั้น เนี่ย หนูกับแม่ไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว” ขวัญนพัตคนลูกเป็นคนตอบให้ มองแม่ที่เหมือนไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก แต่เจ้าหนูวัยช่างจำก็โกรธเคืองพวกที่ทำเรื่อแย่ๆ กับตนและแม่จนต้องอดและต้องเดินเท้าเพราะไม่มีเงิน

“ฮะ? สองวัน ไม่ได้ละๆ เดี๋ยวผมให้คนเอากับข้าวกับปลามาให้ก่อน แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ พี่กับลูกพักผ่อนในห้องไปก่อนนะครับ อ้อ! ผมจะให้เมียเอาเสื้อผ้ามาให้ใส่ ตัวเธอพอๆ กับพี่ขิมเลย ส่วนของเจ้าตัวเล็กน่าจะใส่ของลูกผมได้ ตัวเท่าๆ กัน”

“ขอบคุณนะกิจ พี่นี่เจอแต่คนดีๆ ทั้งนั้นเลย”

สำรวจห้องได้ไม่นานนักก็มีคนมากดออดหน้าห้อง พอเปิดก็เจอหญิงสาวที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกันยืนยิ้มให้ที่หน้าประตู ที่มือมีเสื้อผ้าทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

“กิจให้เอามาให้ค่ะคุณขิม”

“ขอบคุณนะคะคุณ...”

“ดอกไม้ค่ะ เป็นภรรยากิจ จริงๆ เราอายุเท่ากันนะคะ กิจบอกมาน่ะค่ะ ยังไงเรามาเป็นเพื่อนกันก็ได้ บังเอิญที่มีลูกตัวเท่ากันเลย แล้วน้องขวัญอยู่ไหนคะ” คนมาใหม่ส่งของในมือให้ สายตาก็สอดส่องหาลูกชายของเพื่อนใหม่ไปด้วย แล้วก็พบว่าเจ้าตัวเล็กนอนขดที่อยู่พื้นเพราะแม่ไม่ให้ขึ้นเตียง

“หลับไปแล้วค่ะ ขอบคุณดอกไม้มากๆ เราไม่คิดว่าจะมาเจอคนดีๆ แบบนี้เลย”

“พาลูกอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเถอะ จะได้นอนบนเตียง กิจเองก็จะเอาข้าวมาให้ คงจะอยู่ครัวกลางอยู่ เลยอาหารกลางวันไปแล้ว แม่ครัวทำใหม่อยู่น่ะจ้ะ ขิมเป็นคนแข็งแกร่งจริงๆ เลยนะ จากนี้ไปก็สบายแล้วล่ะ เพราะท่านอัศม์จะไม่ปล่อยให้คนของท่านต้องลำบาก”

“เป็นบุญจริงๆ ที่ได้เจ้านายที่มีเมตตาขนาดนี้”

“เราไม่กวนแล้ว แล้วเจอกันนะ กิจบอกว่าคุณสันต์ให้ขิมกับลูกพักจนกว่าจะพร้อมทำงานนี่เนอะ ช่วงนี้ก็พักๆ ไปนะ แล้วอย่า
เกรงใจเรากับกิจล่ะ เพราะถ้าขิมพร้อมเมื่อไหร่ เราจะสอนงานแบบเร่งด่วนชนิดไม่ให้พักเลย ไปแล้วนะ”

“จ้า”

ขนิษฐายิ้มรับ มองส่งเพื่อนใหม่ แล้วก็ปิดประตูเข้าไปในห้อง สองแขนกอดเสื้อผ้าที่ได้รับ น้ำตาไหลพรากซาบซึ้งในน้ำใจที่ใครๆ ก็ต่างมอบมาให้แก่คนอย่างเธอ

เธอตั้งปฏิญาณกับตัวเองในใจว่าจะขอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดทำงานทดแทนบุญคุณของตระกูลเตชโรจนโสภณที่ให้ที่อยู่ที่กินแก่เธอและลูกชาย


ทางด้านตึกใหญ่ สันต์ธรก็กำลังรายงานเรื่องของขนิษฐากับลูกชายให้เจ้านายสูงสุดของตนรับฟัง ซึ่งท่านอัศม์ก็ตั้งใจฟัง มือก็ทำการบ้านที่จะส่งอาจารย์ไปด้วย

“อืม...ฝากสันต์ดูแลให้ด้วยก็แล้วกัน ยังไงสองคนนั่นก็คงต้องการพึ่งเราถึงได้มายืนหน้าบ้านแบบนั้น ให้ทำงานที่นี่แหละดีแล้ว ฉันดูออกว่าเธอไม่ได้เลวร้าย คงเจอแต่เรื่องเลวร้าย ไหนจะลูกชายอีก อ้อ...จัดการเรื่องเรียนให้เด็กคนนั้นด้วยนะ ยังไงเด็กก็ควรได้รับการศึกษา ถอนเงินสดสองหมื่นมาให้ฉัน แล้วตามเธอกับลูกชายมาพบที่นี่ด้วย พรุ่งนี้เก้าโมงก็แล้วกัน”

“รับทราบครับท่านอัศม์ แล้วเรื่องการเดินทางไปเรียนต่างประเทศล่ะครับ ท่านเลือกมหาวิทยาลัยเอาไว้หรือยัง ผมจะได้เตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ครับ”

“กำลังเลือกๆ อยู่ ตอนนี้ก็เพิ่งจบไป จะรีบร้อนทำไม ฉันเหลือโทนิติของที่นี่อีกสองปีนะ ส่วนเรื่องพรรค ก็ตามที่ประชุมวันนี้ว่าจะให้อีกสี่ตระกูลดูแลช่วงที่ฉันเรียนอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ฉันก็ทำงานปกติ ตอนนั้นสันต์ต้องส่งรายงานความเคลื่อนไหวให้ฉันด้วย พวกคุณลุงเป็นเพื่อนคุณพ่อก็จริง แล้วถึงแม้ตระกูลเราทั้งสี่ตระกูลจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอดร้อยกว่าปีก็ตาม ฉันก็ไม่อยากไว้วางใจนักหรอก” ผู้เป็นเจ้านายตอบโดยไม่มองหน้าผู้ฟัง

ท่าทางนิ่งๆ ดูไม่สนใจอะไร กลับสวนทางกับการพูด

“ครับ ผมจะทำตามที่ท่านรับสั่งครับ แต่ผมกำลังนึกห่วงเพราะจะไม่ได้อยู่ดูแลท่านอัศม์อย่างใกล้ชิดตั้งหลายปี”

“ตั้งแต่เกิด ฉันก็อยู่กับสันต์มาตลอด ห่างๆ กันบ้างก็ดีแล้ว”

“ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ท่านอัศม์จะเรียนมากมายขนาดนั้นเลยครับ”

“มันเป็นประโยชน์กับตระกูลนะ ฉันตัดสินใจไปแล้ว และไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ ด้วย ฉันตั้งใจว่าจะเอาใบปริญญาตรีสองใบ โทสอง เอกหนึ่ง ที่สำคัญฉันไม่ได้ฝืน แต่ฉันชอบที่จะเรียน ทุกคณะที่จะเลือกเรียนก็เป็นเพราะฉันชอบทั้งนั้น ดีไม่ดี เราจะได้เจอคอนเนคชั่นใหม่ๆ จากการเรียนหลายๆ คณะก็ได้”

สันต์ธรยิ้มอ่อน เขาเข้าใจดีว่าเจ้านายตัวเองเป็นคนแบบไหน และท่านเองก็เป็นคนมองการณ์ไกลเสมอ ท่านเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง ทุกเรื่องที่ท่านทำจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลที่สุด...

แม้ว่ายังเด็กนัก แต่ท่านเรียนรู้งานของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยกับนายท่านคนก่อน เหมือนคุณพ่อของท่านอัศม์จะรู้ว่าตัวเองคงอยู่นานจนกว่าลูกชายจะพร้อมด้วยวัยวุฒิไม่ได้ เลยรีบถ่ายทอดงานให้

“ผมมีเวลาอีกสองปีสินะครับ จากนั้นอีกสิบปีผมถึงจะได้รับใช้ท่านอัศม์อีก ผมคงแก่หงำเหงือกแล้วล่ะครับ” คนอายุมากกว่าพูดติดตลก

“ฉันจะกลับมาดูแลพรรคกับธุรกิจทุกปิดเทอมนั่นแหละ ตอนอยู่ที่นั่นก็ยังทำงานเป็นปกติ เพียงแค่ลงพื้นที่ไม่ได้ก็เท่านั้น ทำได้แค่งานเอกสาร ส่วนประชุมก็วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เอา” ตอบคนสนิทเสียงราบเรียบ หยุดทำการบ้านในมือเพราะเสร็จเรียบร้อย

“ฉันจะไปหาคุณแม่ เก็บของด้วย” อัศม์เดชสั่งก่อนที่ร่างสูงสมวัยหนุ่มจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานด้วยท่วงท่าที่สง่างาม สมกับเป็นผู้นำของตระกูล เตชโรจนโสภณ และผู้นำสูงสุดของพรรคเบญจเตโช

พรรคเบญจเตโช เป็นพรรคมาเฟียที่มีอำนาจมากที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ทุกภูมิภาคในการทำธุรกิจและคอยจัดระเบียบไม่ให้พวกมาเฟียพรรคอื่น แก๊งอื่น สร้างความเดือดร้อนกับประชนในพื้นที่นั้นๆ ในพรรคจะมีตระกูลอยู่ห้าตระกูลเป็นเสาหลักสำคัญ ผู้นำตระกูลของแต่ละตระกูล จะเป็นผู้นำหลักของพรรค โดยมีอัศม์เดชเป็นผู้นำสูงสุด ซึ่งทั้งห้าตระกูล มีความสัมพันธ์อันดีมาตลอดร้อยกว่าปีที่บรรพบุรุษสร้างพรรคมา

ผู้สร้างตระกูลเตชโรจนโสภณ เป็นผู้ริเริ่มพรรคเบญจเตโช ทำการรวบรวมตระกูลที่มีผู้นำเชื่อใจกันได้ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันก่อน จึงค่อยตั้งพรรคอย่างจริงจัง ในตอนแรกมีตระกูลประมาณยี่สิบตระกูลที่ร่วมพรรคชั่วคราว พอทดลองทำงานร่วมกันก็พบว่าผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร แนวทาง เป้าหมายแตกต่างกัน หลายๆ ตระกูลก็ค่อยๆ ถอนตัวออก จนในที่สุดสองปีก็เหลือเพียงห้าตระกูล ทั้งห้าตระกูลมีคำที่หมายถึงไฟอยู่ทุกตระกูล เลยตั้งชื่อพรรคว่า เบญจเตโช หมายถึง เปลวไฟทั้งห้า อันได้แก่ ตระกูลเตชโรจนโสภณ ตระกูลพิชญเดชา ตระกูลอัคคเดชโภคิน ตระกูลเดชหิรัญสกุล และตระกูลเลิศธนเดชาโชติ จากนั้นก็เริ่มต้นพรรค สั่งสมอำนาจ ความยิ่งใหญ่มาเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้...





----- Sawachi Yuki -----
   แก้ไขใหม่ ลืมบทนำไปเลย จริงๆ ก็ลงบทนำไปนานแล้วนะคะ ทำไมหายหว่า หรือตอนนั้นลงไม่สำเร็จ
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 1 | 12/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 12-03-2019 21:34:34
1
พบกัน...เพราะ ‘วาสนา’




“สดชื่นจัง...เย้ ได้อาบน้ำ ทาแป้งหอมๆ”

“จ้ะ ตอนนี้หนูหอมที่สุดเลยครับ” ว้าแล้วก็หอมแก้มพิสูจน์

“แม่ก็หอม แล้วแม่หนูก็สวยด้วย”

“จ้า ลูกเองก็น่ารัก”

“หล่อ...หนูต้องหล่อเท่านั้น คิก”

“หื้ม...หล่อที่ไหนกัน สำหรับแม่ หนูน่ารักที่สุดแล้วครับ”

“ก็ได้ งั้นหนูจะยอมน่ารักกับแม่แค่คนเดียว”

“หนูต้องน่ารักกับทุกคนครับลูก ทุกๆ คนจะได้รักและเอ็นดูหนูไง หนูขวัญของแม่” ขนิษฐายิ้มอ่อนโยน มือบางเช็ดผมให้ลูกชายไปด้วย ส่วนเจ้าตัวน้อยก็นั่งนิ่งๆ ให้ผู้เป็นแม่จัดการเนื้อตัวของตัวเองต่อไป

“ได้ฮับ งั้นหนูจะเป็นคนน่ารักแทนคนหล่อก็ได้”

“ดีมาก...หิวหรือยังครับลูก”

“หิวแล้ว แต่หนูรอได้ ยังไงน้ากิจก็ต้องเอามาให้เรากิน เพราะน้ากอบกิจเป็นคนใจดี” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรลูกอีก

ในวันที่เหนื่อย ท้อแท้ และทุกข์อย่างแสนสาหัส เธอมีเพียงลูกชายที่เป็นทั้งแรงกาย แรงใจ เป็นรอยยิ้ม เป็นเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ และสู้ต่อไป

“เสร็จแล้วครับ”

ติ๊งหน่อง...ติ๊งหน่อง

เสียงออดดังขึ้นอีกครั้งประจวบเหมาะกับสองแม่ลูกที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวในชุดธรรมดาๆ ของดอกไม้ภรรยากิจเดินไปเปิดประตู ก็พบว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกับเด็กสาววัยรุ่น ทั้งคู่อยู่ในชุดฟอร์มแม่บ้านซึ่งก็คือเดรสสีกรมท่า ปกสีขาว แขนเสื้อเป็นขอบขาวเช่นกัน ความยาวปิดหัวเข่า รวบผมเรียบร้อย ตรงเอวผูกผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ปักชื่อ เตชโรจนโสภณ

“สวัสดีค่ะ”

ขนิษฐายกมือไหว้ทั้งสองคนทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กอบกิจ

“สวัสดีค่ะ” เด็กสาววัยรุ่นเป็นคนทักกลับด้วยรอยยิ้ม ในมือถือปิ่นโตขนาดใหญ่ ส่วนอีกข้างถือชุดยูนิฟอร์มแม่บ้านซึ่งเธอคาดว่าน่าจะเป็นของเธอเอง

“ฉันพิไล เป็นหัวหน้าแม่บ้าน พอดีว่าจะมาคุยเรื่องรายละเอียดงานกับเธอน่ะ กล้วยเอาปิ่นโตให้พี่เขาสิ แล้วก็เอาชุดฟอร์มด้วย”

“ขอบคุณนะคะคุณพิไล” ยกมือไหว้อีกครั้งแล้วรับของมา

“แล้วลูกชายเธอล่ะ”

“จริงสิ...หนูขวัญครับ มาหาแม่หน่อยลูก” ขนิษฐาส่งเสียงเรียกลูกชายที่นอนกลิ้งไปมาบนเตียงนุ่ม

“คร้าบ” เด็กชายตัวน้อยลงจากเตียงแล้ววิ่งมาหาผู้เป็นแม่ทันที ไม่ต้องให้คนเป็นแม่บอกว่าต้องทำยังไง เด็กชายขวัญนพัตก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างร่าเริง “สวัสดีครับคุณยาย สวัสดีครับพี่สาว หนูชื่อขวัญเป็นลูกแม่ขิมครับ” พิไลหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ทั้งๆ ปกติแล้วเธอเป็นคนเคร่งขรึม ลูกคนงานคนไหนก็ไม่สามารถทำให้เธอหลุดยิ้มออกมาได้ แต่เด็กชายขวัญนพัตน่าเอ็นดูมากจริงๆ

“จ้า น้องขวัญสุดหล่อ พี่ชื่อพี่กล้วยนะครับ”

“ส่วนนี่คุณพิไลนะหนูขวัญ อย่าเรียกคุณยายรู้ไหมครับ เสียมารยาท” ขนิษฐาแนะนำหัวหน้าแม่บ้านใหม่ ซึ่งอยากให้ลูกชายเรียกให้เหมาะสม

“ช่างเถอะ ให้ลูกเธอเรียกคุณยายดีแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับ ยายพิไล” ใบหน้าที่จะตึงตลอดเวลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กชายตัวน้อยที่ไหว้ขอบคุณเธอโดยที่แม่ไม่ต้องสอน

เธอมองผู้เป็นแม่อีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก็พบว่าแม่ของขวัญนพัตเป็นคนที่สวยมาก สวยหวาน ท่าทางเรียบร้อย ยิ้มสวยอีกต่างหาก แต่ผอมแห้งมาก ไม่มีน้ำมีนวล ซึ่งเธอก็ฟังจากสันต์ธรแล้วว่าเป็นยังไง ส่วนลูกชายก็ได้เค้าโครงหน้าถอดแบบมาจากคนเป็นแม่ ผิวพรรณดี แสดงว่าที่ผ่านมาคนเป็นแม่มักให้ลูกกินอิ่มนอนหลับมากกว่าตัวเองสินะ แล้วโตขึ้นคงจะสวยมากกว่าหล่อ

“เข้าไปนั่งกินข้าวกินปลาก่อนไป ฉันจะไปนั่งรอที่สวนข้างหน้าก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบ กินเสร็จก็ไม่ต้องล้าง เก็บมาให้กล้วยเลย แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะฉันจะให้เธอทำงานใช้คือแน่นอน”

“ค่ะคุณพิไล ขิมขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”

พิไลพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินไปข้างหน้าซึ่งเป็นสวน มีชุดโต๊ะสีขาวตั้งอยู่ให้นั่งเล่น ไม่ห่างจากหน้าห้องของขนิษฐาเท่าไหร่นัก

“กินเสร็จมาเล่นกับพี่นะครับ”

“ฮับผม”

ขนิษฐาปิดประตู พาลูกชายเดินไปนั่งกลางห้องบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะสำหรับใช้ทานข้าวได้ แต่มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เธอเอาชุดไปใส่ไว้ในตู้ แล้วเดินมานั่งกับยอดดวงใจที่พยายามเปิดปิ่นโตตรงหน้า เธอคว้ามันมาเปิดเอง ยิ้มให้ลูกชายที่จ้องมันตาวาว

“ว้าว...น่ากินจังเลยฮะ งื้อ หนูดีใจ”

“แม่ก็ดีใจครับ เอาล่ะ เรามากินข้าวมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเรากันเถอะลูก”

ขวับ ขวับ

ขวัญนพัตส่ายหน้า ผู้เป็นแม่เลยเลิกคิ้ว ถามกลับไปอย่างสงสัย

“ทำไมครับ”

“อาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตของหนู คืออาหารที่แม่ทำต่างหาก”

ได้ยินแบบนั้นคนเป็นแม่ที่รักลูกชายคนนี้ยิ่งกว่าชีวิตก็น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ ตักข้าวป้อนให้ลูกชายตัวน้อย ส่วนลูกชายก็ใช้มือเล็กหยิบช้อนป้อนข้าวแม่ แม้จะทุลักทุเลเพื่อความสูงที่ต่างกัน แต่เธอก็ก้มมาทานข้าวที่ลูกป้อนให้อย่างเต็มใจ

“ขอบคุณครับ เก่งจริงๆ เลยลูกแม่”

“หนูเก่งเหมือนแม่ เพราะหนูเป็นลูกแม่”

“ครับ เราสองคนเหมือนกัน เพราะเราสองคนเป็นแม่ลูกกันไงครับ เป็นครอบครัวเดียวกัน”

“งื้อ...หนูรักแม่”

“แม่ก็รักหนูขวัญนะลูก”

ทั้งสองทานข้าวต่อด้วยความสุขใจ ป้อนกันไป ป้อนกันมา แม้จะเป็นครอบครัวที่ดูเล็กเพราะมีกันอยู่สองคน แต่เธอเชื่อว่าลูกชายจะไม่มีวันขาดความอบอุ่น...

ขวัญของแม่...แม่อยากจะอยู่กับลูกไปนานๆ เลยครับ


เมื่อทานอาหารมื้อแรกในรอบสองวันเสร็จแล้ว ขนิษฐาก็พาลูกชายไปหาพิไลที่นั่งรออยู่ที่สวนด้านหน้าบ้านพัก กล้วยรีบเดินเข้ามาหาลูกชายเธอ ก่อนจะชวนไปเดินเล่น ซึ่งเจ้าตัวน้อยก็รีบตกลงทันที มองหน้าแม่นิดๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้า ยิ้มบาง เป็นการอนุญาต

ส่วนเธอก็เดินไปนั่งตรงข้ามกับพิไลที่พยักหน้าเรียกเธอ

“เอาล่ะ ฉันจะขอพูดคุยกับเธอก่อนว่ามีประสบการณ์อะไรมาบ้าง เพื่อจะได้จัดเธอให้ทำในส่วนที่เธอทำได้” ขนิษฐาหันกลับมามองหน้าพิไลทันทีเมื่อเผลอมองลูกชายที่เดินเล่นอยู่ไม่ไกลอยู่ และรับฟังอย่างตั้งใจ

“ค่ะ ก่อนหน้านี้ขิมเคยทำงานร้านอาหารมาก่อนอยู่แผนกครัวค่ะ ทำได้ประมาณหนึ่งปีกว่าก็โดนไล่ออก แล้วก็รับงานเสริมร้อยพวงมาลัย ตัดชุด เย็บเสื้อผ้า กระเป๋า แล้วแต่เขาจะส่งมาให้ รับทำพวกขนม แต่ขิมก็ทำได้แค่ขนมไทยนะคะ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นทั้งหมด ทำได้ไม่กี่อย่าง เพราะตอนเด็กๆ ขิมถูกยายสอนให้จับงานพวกนี้ ก็เลยมีฝีมือติดตัวมาบ้าง ถ้าคุณพิไลต้องการทดสอบ ขิมยินดีค่ะ”

พิไลรับฟังอย่างตั้งใจ เธอค่อนข้างจะเชื่อที่หญิงสาวพูด เพราะท่าทางของคนที่เป็นงานกับคนไม่เป็นงาน พิไลสามารถดูออก ซึ่งเธอก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นงานแน่นอน

“ฉันต้องทดสอบก่อนอยู่แล้ว แต่เธอต้องพักร่างกายให้พร้อมก่อน เย็นนี้หมอจะมาตรวจเธอกับลูก พรุ่งนี้ตอนแปดโมงสี่สิบห้าจะมีคนมารับเธอกับลูกชายที่นี่ ก็ยืมชุดเรียบร้อยๆ จากดอกไม้ก่อนละกันยังไม่ต้องใส่ฟอร์ม ก่อนหน้านี้ก็ให้ไปที่กินข้าวเช้าที่โรงอาหารให้เรียบร้อย มื้อเช้าครัวจะปิดแปดโมงตรง บางส่วนทำงานเวลาไม่ตรงกัน ถ้าเป็นพวกครัวก็จะเริ่มงานตีห้า ใครเวรซื้อของก็จะต้องไปซื้อของที่ตลาดตอนตีสาม เวลากินข้าวจะผลัดกันมา งานส่วนอื่นๆ อย่างเช่นส่วนหน้าคือดูแลทำความสะอาดตึกใหญ่ของพวกคุณท่าน จะเริ่มแปดโมงครึ่ง ส่วนรับรองจะทำความสะอาดตึกเล็กฝั่งทิศเหนือ ซึ่งเป็นตึกที่ไว้รับรองแขกของคุณอินทร์ คุณอัยย์ยามมาบ้าน ถ้าเธอทดสอบผ่าน ฉันจะให้เธอในส่วนของครัว ซึ่งในส่วนนี้นอกจากทำอาหารและขนมแล้ว ยังรวมถึงการรับแขก ร้อยพวงมาลัยยามที่คุณหญิงอัมรากับนายหญิงต้องการใส่บาตรตอนเช้าหรือไปวัด และรับใช้เจ้านายอย่างใกล้ชิดตลอด ซึ่งงานหลักจะอยู่ครัวของตึกใหญ่”

“ค่ะ”

“แล้วที่นี่ก็ค่อนข้างจะมีคนงานอยู่มาก จะมีส่วนคนทำงานในพรรค เธอจะเห็นตึกพักฝั่งนั้นใช่ไหม”

“เห็นค่ะ”

“ตึกของคนที่ทำงานในพรรคน่ะ คนที่ได้อยู่ที่นี่จะเป็นคนที่ถูกจัดเอาไว้ว่าให้ดูแลคุ้มกันท่านโดยเฉพาะ เพราะนั้นที่นี่มีคนอาศัยอยู่ประมาณร้อยกว่าชีวิต จึงจำเป็นต้องมีกฎที่ต้องปฏิบัติติอย่างเข้มงวด...”

ขนิษฐาตอบรับเป็นพักๆ เธอเข้าใจในสิ่งที่พิไลบอกกล่าวทั้งหมด จากนั้นก็ฟังกฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องรักษาอีกยาวเหยียด แต่เธอพร้อมที่ทำตามอย่างไม่ขัดข้องใจอะไร

ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน เรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย

“ที่พูดมาทั้งหมด เข้าใจใช่ไหม”

“ค่ะ แต่ขิมขอถามหน่อยได้ไหมคะ”

เธอเข้าใจ แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอเป็นกังวล สิ่งที่สามารถทำให้เธอเป็นกังวลได้ ก็มีเพียงแค่เรื่องของลูกชายตัวเองเท่านั้น

“ช่วงเวลาทำงาน ลูกของขิมจะอยู่ที่ไหนได้บ้างคะ”

เพราะขวัญนพัตยังเด็ก แม้จะอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่เธอก็ทราบว่าไม่สามารถพาลูกชายไปทำงานกับเธอได้ ยิ่งถ้าหากงานที่เธอได้ต้องทำที่ตึกใหญ่ด้วยแล้ว

ลูกจะอยู่ยังไง จะอยู่กับใคร...

“ลูกชายเธออายุเท่าไหร่แล้ว”

“ห้าขวบกว่าค่ะ”

“ก็ควรจะขึ้นอนุบาลได้แล้วไม่ใช่หรือไง ห่างจากนี่ประมาณสิบห้ากิโลมีโรงเรียนประถมที่รับอนุบาลอยู่ด้วยนะ เด็กๆ ลูกของคนงานก็เรียนที่นั่นกันหมด เพราะเป็นธุรกิจในตระกูลเตชโรจนโสภณ สันต์แจ้งฉันมาว่าท่านอัศม์ให้ดูแลเรื่องการเรียนของลูกชายเธอ เดี๋ยวกอบกิจจะจัดการเอง เพราะกอบกิจเป็นคนดูแลคนงานทั้งหมด ทั้งหอ ทั้งสวัดการ การลา”

“จริงหรือคะ ลูกชายของขิม จะได้เข้าโรงเรียนเหรอคะ”

“จริงๆ สันต์บอกมาอย่างนั้น คงจะบอกกอบกิจแล้วล่ะ เพราะท่านอัศม์ไม่ชอบงานล่าช้า ถ้าสั่งคือต้องทำทันที ลูกชายเธอเองก็มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่นะ ลูกของกอบกิจก็ห้าขวบกว่า เพิ่งเข้าอนุบาลหนึ่ง นี่ก็เริ่มเรียนได้ไม่ถึงอาทิตย์ คงเข้าชั้นอนุบาลหนึ่งได้เลยล่ะนะ”

“แล้วการเดินทางล่ะคะ ขิมต้องไปส่งลูกเองใช่ไหมคะ”

“จะมีรถตู้ที่ท่านอัศม์สั่งมาใช้รับส่งลูกๆ ของคนงานไปเรียนน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ทำงานได้อย่างสบายใจได้เลย”
ขนิษฐายิ้มหวาน รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาเจ้านายที่ไม่เคยได้เห็นแม้แต่เงา แต่เธอกลับรู้สึกยกท่านไว้เหนือหัวเรียบร้อยแล้ว

“ดีจริงๆ ค่ะ ไม่คิดว่าคนแบบขิม จะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตได้มากมายถึงเพียงนี้”

“ไม่มีใครจะทุกข์ทรมานได้ทุกวันหรอกนะ มันก็ต้องมีบางวันที่เราจะยิ้มได้บ้างแหละ เธอเองก็เหมือนกัน อย่าตัดพ้อชีวิตให้มาก เราเลือกเกิดไม่ได้หรอก แต่เธอเองก็เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่หรือ ถึงได้ลำบากแบบนี้”

หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา เธอไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่เพราะแม่เธอทิ้งเธอไว้ให้ยายเลี้ยง พอยายเสีย เธอก็หมดสิ้นทุกอย่าง หาเลี้ยงตัวเอง แต่เลือกทำในสิ่งที่ลำบาก ดีกว่าต้องทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจ ตอนทำงานร้านอาหาร มีผู้ชายร่ำรวยหน้าตาดีคนหนึ่งมาจีบเธอ และเธอก็พลาดท่า ไม่ใช่เพราะรัก แต่ขัดขืนไม่ได้ เธอชะล่าใจไม่ป้องกันเพราะคิดว่าคงไม่ท้อง แต่ก็พลาดตั้งท้องขวัญนพัตขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นรู้เข้าก็เอาเงินก้อนมารับผิดชอบเธอ พร้อมกับขอโทษอย่างสำนึกผิดจริงๆ เพราะกลัวว่าคนที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานด้วยรู้

ขนิษฐาเลยคิดอยากจะเอาลูกออก เธอกลัวการรับผิดชอบชีวิตใครคนหนึ่ง เพราะแค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แต่เธอก็ทำไม่ลง เธอฆ่าลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไม่ลงจริงๆ

เธอยอมเป็นแม่ที่ลำบาก ดีกว่าเป็นแม่ที่เลว...

ขวัญนพัต เป็นแก้วตาดวงใจของเธอ เป็นชีวิต เป็นลมหายใจ เป็นทุกอย่างที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่...เธออยากจะอยู่กับลูกชายให้มากที่สุด อยากเห็นลูกชายเติบโตขึ้น...

“ว่าแต่ พรุ่งนี้ขิมต้องไปไหนหรือคะ” ขนิษฐาเลิกคิดถึงเรื่องมันยังมาไม่ถึง แล้วสนใจแค่ปัจจุบันก็พอ เพราะไม่ว่ายังไง...การจากกัน ก็เป็นเรื่องที่วันใดวันหนึ่งราต้องพบเจอมันอยู่ดี

“พบท่านอัศม์”

คำตอบที่ได้ทำให้เธอตะลึง ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอ ไม่สิ...ไม่คิดว่าท่านจะต้องการเจอ ทั้งๆ แค่รับเธอเข้าทำงานก็คงพอแล้ว ท่านไม่จำเป็นจะต้องให้เธอพบด้วยซ้ำ แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดี

“จ่ะ จริงเหรอคะ พบท่านอัศม์เหรอคะ”

“จริงสิ ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ว่าฉันก็เข้าใจเธอนั่นแหละ มีอยู่ไม่มากหรอกที่ท่านจะเรียกให้ไปพบแบบนี้ เธอนี่ถือว่าดชคดีเลยล่ะ ทำตัวดีๆ ด้วย”

“ค่ะคุณพิไล ขิมอยากขอบคุณท่าน อยากขอบคุณที่ช่วยเหลือเราสองคนแม่ลูกน่ะค่ะ”

“ตั้งใจทำงานให้ดี ก็ถือว่าตอบแทนท่านแล้วล่ะ”

“ค่ะ ขิมจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ”


ขนิษฐาตื่นแต่เช้าเมื่อได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ของคืนที่ผ่านมา เธอปลุกลูกชายให้ตื่นขึ้นมาด้วยเพื่ออาบน้ำด้วยกัน พอแต่งตัวเสร็จก็พาลูกชายไปเดินเล่นในสวนรอเวลานัดกับกอบกิจและดอกไม้ที่จะไปทานข้าวเช้าพร้อมกัน แล้วเมื่อเธอกับลูกชายเข้าไปในโรงอาหาร ก็พบเจอกับเหล่าคนงานเต็มไปหมด คนเยอะมาก ทุกคนเข้ามาทำความรู้จักกับเธอและลูกชายอย่างเป้นมิตร

“ทุกคน!!! นี่คือขิมนะ แล้วนี่ก็ลูกชายชื่อขวัญ นับจากวันนี้เป็นต้นไปทั้งสองคนจะมาเป็นคนของท่าน กินข้าวหม้อเดียวกันกับพวกเรา ยังไงก็ช่วยดูแลด้วย!!!” กอบกิจที่มีหน้าที่ดูแลคนงานทุกคนทำหน้าที่ประกาศให้ทุกคนที่กำลังสนใจเธออยู่ได้รับรู้ บางคนก็ยิ้มให้ บางคนก็เฉยๆ

ขนิษฐายิ้มแล้วไหว้ทักทายทุกคน ลูกชายตัวน้อยก็ทำตามอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

“ฝากตัวด้วยนะคะ”

เสียงเหล่าคนงานต่างก็ตอบรับด้วยความยินดี บางคนสนใจมากๆ บางคนก็เฉยๆ เพราะก็แค่การแนะนำคนงานคนใหม่อย่างที่ทำปกติ

“ผมประกาศให้พี่ขิมแล้วนะ ทุกคนที่นี่ไม่น่ากลัวหรอก บางคนอาจจะเฉยๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีอะไร เพราะถ้ามีการเขม่นกันเกิดขึ้น ท่านจะไม่เก็บไว้”

“ขอบใจนะกิจ”

“ครับ เราไปทานข้าวกันเถอะ”


เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เธอก็พาลูกมานั่งรอคนที่จะมารับไปตึกใหญ่ และไม่นานเธอก็ได้มาหยียบตึกใหญ่ที่แค่แผ่นเท้าสัมผัสก็รู้สึกหนาวสั่นเพราะมันใหญ่กว่าที่ตาเห็นมาก ทั้งสวย ทั้งใหญ่ แล้วแพงมหาศาลแน่นอน

สันต์ธรพาสองแม่ลูกเข้าไปนั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อยบนพื้นในห้องรับแขก ซึ่งมีพิไลกับกอบกิจนั่งอยู่ด้วยแต่เป็นอีกฝั่งหนึ่ง

“อยู่นิ่งนะลูก เดี๋ยวท่านจะมาแล้ว อย่าทำให้ท่านไม่พอใจนะครับ”

“ครับผม”

แล้วทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ นั่นทำให้ได้ยินเสียงเดินที่ใกล้เข้ามา หญิงสาวลูกหนึ่งหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกจากอก จนรู้สึกว่ามีคนเดินผ่านตัวเองไปแล้วนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ตรงกลาง ร่างสูงสง่าของท่านอัศม์นั่งลง คนสนิทอย่างสันต์ธรก็ยืนเยื้ยงๆ อยู่ข้างหลัง

“ขิม นี่ท่านอัศม์”

“สวัสดีค่ะท่านอัศม์ ขอบพระคุณมากๆ นะคะ ในความเมตตากรุณาที่มีต่อเราสองคน” หญิงสาวพนมมือกลางอกแล้วไว้คนที่อายุน้อยกว่าแต่มีศักดิ์เป็นเจ้านายและผู้มีพระคุณ ขวัญนพัตมองการกระทำของแม่ตลอดแล้วก็ทำตามด้วยท่าทางน่าเอ็นดู คนที่มีสีหน้าราบเรียบตลอดเวลาอย่างท่านอัศม์เผลอมองเจ้าตัวน้อยนั้นไม่วางตา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย

“อืม...ที่อยู่เป็นยังไงบ้าง ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า สันต์บอกว่าเมื่อวานหมอมาตรวจแล้ว ร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีอะไรผิดปกติ แค่อ่อนเพลียกับขาดสารอาหาร เอาเป็นว่าพักอีกสามวันก็แล้วกันค่อยเริ่มงานนะ ฝากด้วยนะพิไล”

“ค่ะท่าน” ทั้งสองขานรับพร้อมกัน เด็กน้อยก้มลงมองมือน้อยๆ ของตัวเองเมื่อเผลอสบตาคมของผู้เป็นเจ้านาย

“กอบกิจจะดูแลเรื่องโรงเรียนของ...ตัวเล็ก ชื่ออะไรน่ะเรา”

ขวัญนพัตสะดุ้งเฮือก เรียกรอยยิ้มของผู้ใหญ่ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี ท่าทางลุกลี้ลุกลน ยิ่งทำให้ท่านอัศม์สนุก ชอบใจ เจ้าตัวเล็กเงยหน้าอ้อนวอนให้แม่ช่วยตอบ เขย่าแขนผอมๆ ของแม่เป็นการเร่ง เจ้าตัวเล็กเกิดอาการตื่นคนไม่กล้าพูด

“ตอบท่านสิครับ”

“งื้อ...หนู เอ้ย ผมชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่น ขวัญครับ” น้องตอบเสียงอ้อมแอ้ม เพราะกลัวพูดผิดกาลเทศะ

“อ้อ ขวัญ...กอบกิจจะเป็นคนดูแลเรื่องโรงเรียนของขวัญ ก็เริ่มเข้าเรียนอาทิตย์หน้าไปเลย อนุบาลไม่มีปัญหาเรื่องเรียนไม่ทันอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายไม่มี ฉันเป็นคนให้ทุนการศึกษาเด็กๆ ของคนงานทุกคนเอง”

“ขอบคุณนะคะท่าน หนูขวัญลูก”

“ขอบคุณครับท่านอัศม์”

“ทุนการศึกษาที่ท่านมอบให้เป็นทุนเปล่า ไม่ต้องใช้ทุนให้ตระกูล ขึ้นอยู่กับเด็กๆ เลยว่าอยากจะทำงานให้เราหรือว่าอยากจะออกไปทำงานข้างนอก เด็กๆ มีสิทธิเลือกได้ ไม่มีข้อผูกมัด” สันต์ธรอธิบายต่อ “ทุนการศึกษามีให้ถึงปริญญาตรี แต่ทุนการศึกษาสำหรับมหาลัย จะต้องทำงานแลก คือต้องมีผลงานจนเป้นที่น่าพอใจ ซึ่งฉันจะเป็นคนประเมินเองว่าควรได้รับทุนหรือเปล่า”

ทุกคนตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี แล้วในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจสันต์ธร เด็กน้อยก็ลองเงยหน้ามองท่านอัศม์อีกครั้ง และครั้งนี้เจ้าของบ้านยังคงจ้องมองน้องไม่วางตาเช่นเคยจนน้องต้องหลบตาซบแขนของคุณแม่ใหญ่ เรียกร้อยยิ้มบางเบาจากคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างท่านอัศม์จนกอบกิจกับพิไลถึงกับแปลกใจ

อัศม์เดชรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ยังไงชอบกล อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กคนนี้มีอะไรที่ตรงข้ามกับเขาก็ได้ ดวงตาที่ส่องประกายสดใส ใบหน้าที่แสนน่ารักน่าเอ็น ผิวพรรณดี แค่มองด้วยตาก็คิดว่าน่าจะนุ่มมากๆ แน่นอน

“นี่ก็จวนได้เวลาประชุมเช้าแล้วครับ”

“งั้นเหรอ...ขวัญ ลุกขึ้นมาหาฉันหน่อยสิ” ถ้าฟังดีๆ ว่านี่เป็นประโยคร้องขอ ไม่ใช่คำสั่ง แต่เด็กน้อยจับใจความไม่ได้ขนาดนั้น มองหน้ายายพิไลของตนสลับแม่ไปมาเพื่อขอตัวช่วย

ช่วยหนูด้วย หนูกลัว ฮือ...หนูกลัว

“แม่จ๋า...หนู”

“ไปเร็วครับ อย่าให้ท่านรอ”

“งื้อ...แต่ว่า”

“เร็วๆ ลูก”

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเด็กหรอก” ท่านอัศม์พูดขึ้น

เด็กน้อยหันกลับไปมองหน้าของผู้มีพระคุณอีกครั้ง เห็นรอยยิ้มบางเบานั่นก็ค่อยๆ เบาใจ แต่ก็ไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น ยิ่งคนๆ นั้นดูยิ่งใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะวางตัวแบบไหน

“ฮะ…”

เมื่อทำอะไรไม่ได้ เด็กน้อยก็ค่อยๆ คลานเข้าไปหา พอถึงขายาวสวยของท่านอัศม์ก็ก้มหน้ามองเท้าของท่านอยู่แบบนั้น

หมับ!!

ร่างเล็กๆ ถูกดึงให้ขึ้นมานั่งเคียงข้างกัน เด็กชายหน้าซีด ตัวแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูก มองแม่กับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่กับพื้นแล้วเตรียมเบะปาก หากแต่คนเป็นแม่ส่ายหน้าเอาไว้ก่อน

ทางกอบกิจและพิไลก็นึกแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลูกคนงานนั่งทัดเทียมกับเจ้านายอย่างท่าน ที่ผ่านมาท่านไม่เคยให้คนงานหรือลูกคนงานคนไหนมานั่งทัดเทียมกัน และไม่เคยพูดคุยอย่างเอ็นดูแบบนี้กับลูกคนงานคนไหนเช่นกัน

ขวัญนพัตเป็นเป็นคนแรก และคงจะเป็นคนเดียว

“กลัวอะไรกันขนาดนั้น” มือแกร่งวางลงบนผมนุ่มของขวัญนพัตแล้วโยกเบาๆ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยผ่อนคลาย ซึ่งเจ้าตัวน้อยก็เริ่มจะผ่อนคลายลงจริงๆ

“สันต์” เรียกชื่อของคนสนิทเบาๆ แบมือไปด้านข้าง แต่ตาก็มองหน้าของเด็กชายอยู่ มืออีกข้างก็ลูบหัวเบาๆ

“ครับท่าน” สันต์ขานรับ พร้อมกับส่งซองน้ำตาลขนาดเอห้าวางบนมือเจ้านายเบาๆ ท่านอัศม์จับไว้แล้วยื่นไปให้เจ้าตัวเล็ก

“เอ้า...ฉันให้ รับไปสิ”

“ขอบคุณครับ” มือน้อยๆ ประกบกันเพื่อไหว้อีกคนเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ ก่อนจะรับซองนั้นมากอดไว้โดยไม่รู้ว่าเจ้านายให้อะไร

กิริยาน่ารัก น่าเอ็นดู...ร่างสูงรับรู้ได้โดยลางสังหรณ์ ว่าขวัญนพัตจะมาทำให้คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยความสดใส

“พาแม่ไปซื้อของใช้นะ อยากได้อะไรก็ซื้อ ที่เหลือก็เอาเก็บไว้นั่นแหละ ไม่ต้องคืน ป่ะ ไปหาแม่เธอเถอะ” เด็กน้อยยิ้มแล้วลุกจากโซฟาตัวใหญ่ ไม่ลืมที่คลานเข่าออกไป

การกระทำที่ทำเองโดยไม่ต้องสอน ยิ่งทำให้อัศม์เอ็นดูเข้าไปกันใหญ่ เด็กน้อยเข้าไปในอ้อมกอดแม่แล้วยื่นซองนั่นให้ เธอขอบคุณลูกชายด้วยรอยยิ้ม แล้วเปิดดู พอเห็นสิ่งที่อยู่ในซองเธอก็เบิกตากว้าง เงยหน้ามองท่านอัศม์ทันที

“ท่านคะ!”

มันเป็นเงินสด แบงค์พันปึกใหญ่ เธอรู้เลยว่าต้องสองหมื่นขึ้นแน่นอน มันมากไป จริงๆ ท่านไม่ควรให้ด้วยซ้ำ แต่ไม่ทันได้ปฏิเสธอะไร คนที่มีสิทธิเด็ดขาดก็เอ่ยวาจาที่ใครก็ไม่กล้าปฏิเสธ

“เอาไปเถอะ ฉันให้ พาเจ้าตัวเล็กไปซื้อเสื้อผ้า ของใช้ในบ้านที่จำเป็น เหลือก็เก็บไว้ แค่นี้ไม่เดือดร้อนฉันหรอก และฉันก็สั่ง”
ขนิษฐารับเอาไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำขอบคุณที่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอีกครั้งถึงจะสมกับความเมตตาที่ตนกับลูกชายได้รับ

“ขอบพระคุณนะคะท่าน ขอบพระคุณมากจริงๆ ค่ะ”

“อยากขอบคุณ อยากตอบแทน ให้ตั้งใจทำงานก็พอ ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะ กลับไปพักผ่อนได้ ให้กอบกิจพาไปซื้อของได้เลย ไปเถอะสันต์”

“ครับท่าน” ทั้งสันต์ธรและกอบกิจขานรับคำสั่งพร้อมกัน

ขนิษฐามองตามแผ่นหลังกว้างไปทั้งน้ำตาที่ไหลริน มือเล็กๆ ของขวัญนพัตคอยเช็ดออกให้อย่างอ่อนโยน เธอกอดเงินที่ได้รับมาแน่น รู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก

 เป็นวาสนาของเธอกับลูกจริงๆ ที่ได้พบท่านอัศม์

“เป็นเด็กดีนะครับลูก อึก เป็นเด็กดี แล้วตอบแทนพระคุณท่านอัศม์นะครับ”

“ฮะ...หนูจะทำตามที่แม่บอกเลย” น้องกอดคุณแม่แน่นเพื่อปลอบให้หยุดร้องไห้ ดวงตาใสซื่อมองหน้าพิไลกับกอบกิจว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งสองคนก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไรกลับมา

งุ้ย...หนูปลอบเองก็ได้!






----- To be continue. -----
   ชอบน้องขวัญมากๆ น้องน่ารักมากเลยเนาะ? เป็นนายเอกที่เราชอบมากๆ อยากจะให้ดูใสซื่อ สดใส ขี้ใจอ่อน เป็นคนอ่อนโยน ขี้กลัว ขี้เกรงใจ แต่ก็เข้มแข็ง (จะพยายามไม่ไปตามอารมณ์จนหลุดคาแรคเตอร์นะคะ)
   ยูกิอยากแต่งเรื่องที่พระนายค่อยๆ ถักทอความรู้สึกไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ ค่อยๆ ผูกพันมากขึ้น จนกลายเป็นความรักที่แน่นแฟ้นยากจะแยกเราจากกัน (ฮา) และที่สำคัญอยากแต่งแบบเลี้ยงต้อยที่อายุห่างกันมากๆ รับอุปถัมภ์ตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดเกินเลย จนกลายมาเป็นสมภารกินไก่วัดในที่สุด 
   พูดคุยเกี่ยวกับน้องขวัญกับท่านอัศม์ได้ในทวิตเตอร์ แท็ก #ท่านอัศม์หนูขวัญ (ใครมีข้อเสนอชื่อแท็กก็บอกกันได้เน่อ) แล้วก็แฟนเพจนะจ้ะ เรื่องนี้ลงทุกวันอังคารนะคะ
   https://www.facebook.com/sawachiyuki/  (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)
   https://twitter.com/Sawachi_Yuki  (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 1 | 12/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 12-03-2019 21:58:51
หูยยยยย มีเรื่องน่าอ่านมาให้ตามแล้ว
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 1 | 12/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 12-03-2019 23:13:23
งือ น้องน่ารักมากจริงๆค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 1 | 12/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 13-03-2019 09:47:19
ติดตามมม น้องน่ารักมากกก
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 19-03-2019 23:25:19
2
น่าเอ็นดู...เป็น ‘พิเศษ’



ท่านอัศม์ลงจากรถทันทีที่คนเปิดประตูให้ เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับเหล่าแม่บ้านที่มายืนเรียงต้อนรับอยู่ที่ด้านหน้าประตูบ้าน ท่านหยิบน้ำเปล่าที่พิไลเตรียมไว้ให้มาดื่มอย่างเช่นทุกวัน ก่อนเดินผ่านเข้าไปอย่างปกติ หางตาแอบเห็นแม่บ้านคนใหม่ที่ตนเพิ่งจะรับเข้ามาทำงาน จากวันนั้นก็ผ่านมาสองอาทิตย์กว่าแล้ว

“ทำงานที่นี่ไม่ติดขัดอะไรใช่ไหม” ท่านหยุดถามแต่ไม่หันไปมองหน้า

“ไม่ค่ะท่าน” เธอตอบกลับ โดยที่ยังก้มหน้าอยู่แบบนั้น

“อืม...ก็ดี”

ท่านอัศม์เดินต่อ โดยที่สันต์ธรคนสนิทเดินตามอยู่ แต่แล้วท่านก็ชะงักเท้าที่เดิน เมื่อเห็นหญิงสาวอันเป็นที่รักยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า

“คุณแม่จะไปไหนหรือครับ”

“แม่จะไปดูแปลงดอกไม้ที่สวนน่ะค่ะ พอดีเพิ่งให้คนลงดอกไม้เพิ่ม ช่วงเย็นๆ ตอนพระอาทิตย์กำลังตกคงจะสวย อัศม์สนใจไปกับแม่หรือเปล่าคะ”

“เชิญคุณแม่ตามสบายเลยครับ ผมจะแวะไปหาคุณย่าแล้วก็จะทำงานต่อน่ะครับ”

“อย่าโหมงานมากนะคะลูก ส่วนคุณย่าก็อยู่กับสองแฝดค่ะ ที่ศาลากลางน้ำ”

“เจ้าอินทร์ เจ้าอัยย์อยู่บ้านได้ด้วยเหรอครับ”

“อัศม์ก็ไปว่าน้อง น้องก็ต้องเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นบ้างนะคะ อัศม์ก็เคยเป็นนะลูก น้องรู้ว่าตัวเองต้องวางตัวยังไงเหมือนกับลูกนั่นแหละค่ะ”

“ผมก็ไม่ได้ว่าน้อง แค่สงสัยว่ากลับบ้านเร็วเท่านั้นเอง”

“ค่ะลูก งั้นแม่ไปก่อนนะคะ เจอกันตอนมื้อเย็นค่ะ”

“ครับคุณแม่”

อัศม์เดชมองส่งคุณแม่ที่เดินไปยังประตูหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาคุยกับสันต์ธรที่ยืนเงียบๆ ตามหน้าที่ของตน เพราะงานของเขาจะเสร็จสิ้นเมื่อท่านขึ้นนอน

“สันต์ วันนี้มีงานที่ต้องเคลียร์ด่วนหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรด่วนครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำงานแล้ว ฉันจะไปหาคุณย่า สันต์ไปพักผ่อนเถอะ”

“แต่ว่า…”

“ยังไงก็คงไม่ยอมไปใช่ไหม”

“ครับ ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้แล้วเสร็จในแต่ละวัน ไม่เช่นนั้นผมจะนอนไม่หลับ” สันต์ธรตอบด้วยประโยคเดิมๆ ที่มักจะใช้ตอบเสมอเมื่อท่านไล่ให้เขาไปพัก

และแน่นอนว่าเขาไม่เคยขัดคำสั่งท่าน ยกเว้นคำสั่งนี้คำสั่งเดียว

“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามฉันไปนี่แหละ”

“ครับท่าน”


ท่านอัศม์เปลี่ยนทิศทางจากบันไดบ้านเป็นทางออกด้านหลัง ซึ่งจะเชื่อมกับสวนขนาดใหญ่ เพียงแต่ด้านหลังจะทำการขุดสระบัวขนาดใหญ่ที่สามารถพายเรือเล่นได้ ความลึกก็พอประมาณ แล้วสร้างศาลาไม้สีขาวนวลขนาดใหญ่เอาไว้กลางสระ น้องชายของเขาก็ชอบใช้เวลาตรงนั้นกับคุณย่าบ่อยๆ อัศม์คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะตัวเองไม่ค่อยจะมีเวลาให้ครอบครัวเสียเท่าไหร่นัก

“พี่อัศม์!!!” เสียงตะโกนเรียกมาจากศาลากลางสระ แฝดคนพี่ที่พอเห็นเขาเดินอยู่บนสะพานไม้ที่เชื่อมกับศาลาก็ตื่นเต้นราวกับว่าไม่เคยเจอมาเป็นปี

“เสียงดังอะไรกัน” ท่านเดินมาถึงก็ดุน้องชายทันที อินทร์ธรหน้ามุ่ย ยกมือไหว้ขอโทษพี่ชาย อัศม์เดชละความสนใจจากน้องแล้วตรงไปคุกเข่ากอดเอวคุณย่า มือเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นลูบผมของหลานชายคนโตเบาๆ แววตาอ่อนโยนอยู่เสมอทำให้ท่านอัศม์ได้รับพลังนั้นไปด้วย

“เหนื่อยไหมหลาน”

“ไม่เลยครับ”

“ดีแล้วจ้ะ วันนี้ย่าให้คนเตรียมบัวลอยเผือกแบบที่หลานชอบเอาไว้ด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วไม่มีของโปรดอัยย์บ้างเหรอครับคุณย่า” แฝดคนน้องละจากหน้าจอโทรศัพท์ทันทีเพื่อทักท้วง

“ของเราก็มีเมื่อวานแล้วไงคะ”

“แหะๆ จริงด้วย” อัยยวัฒน์หัวเราะแห้งๆ อินทร์ธรเลยหัวเราะเยาะในความหน้าแตกของฝาแฝดตัวเอง อัยยวัฒน์คาดโทษทางสายตาแล้วยิ้มให้พี่ชายคนโต

ท่านอัศม์ส่ายหน้าอย่างระอา หากแต่ความเครียดที่มีก็ถูกผ่อนคลายลงด้วยบรรยากาศแห่งครอบครัว

น้องชายของอัศม์เดชทั้งสองมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนเขา หน้าตาคล้ายคลึงกันหากแต่ท่านจะดุและเข้มกว่า ส่วนแฝดจะมีความอ่อนโยน นิสัยร่าเริงเหมือนกับแม่มากกว่าเคร่งขรึมเหมือนพ่ออย่างเขา

“อินทร์ อัยย์ พาคุณย่ากลับเข้าบ้านเถอะ ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว” อัศม์เดชคิดว่าท่านคงนั่งมานานแล้ว จึงอยากจะให้ไปพักในบ้าน

“ครับ!”

สองแฝดรับคำสั่งอย่างทันที เพราะทั้งคู่ศรัทธาในความเก่งกาจของพี่ชาย และเคารพพี่ชายมากๆ อะไรที่พี่ชายสั่ง ทั้งคู่จะปฏิบัติตามทันที

“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ย่ายังอยากนั่งอีกนิด” คุณย่าปฏิเสธ ร่างสูงไม่ขัดอะไร ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ กับคนเป็นย่าแทน

“คิดอะไรอยู่หรือครับ” ท่านถามเมื่อเห็นสีหน้าของย่า กับตาที่เหม่อมองไปยังฟากบ้านพักคนงานที่มีเพียงถนนถนนกั้นระหว่างสวนกับสวน

“เมื่อกี้ก่อนที่หลานจะมา เด็กๆ ลูกคนงานก็เพิ่งจะนั่งรถกลับมาจากโรงเรียนกัน นึกขึ้นได้ว่า เด็กๆ ที่ยังอยู่อนุบาล ประถม เวลาว่างๆ จะทำอะไร กลับมาก็อยู่กับห้องงั้นหรือ สวนหน้าบ้านก็ไม่มีอะไร ลองหาพวกเครื่องเล่นอะไรมาลงให้เด็กๆ หน่อยสิลูก ย่าว่าเด็กๆ จะได้ไม่เบื่อ บ้านเราก็มีกันแค่นี้ นานๆ ทีจะมีแขกมาเที่ยว ก็ได้คนงานกับเด็กๆ นี่แหละ ที่ทำให้บ้านยังเป็นบ้านไม่ใช่ป่าช้า”

“ผมจะให้สันต์จัดการให้ครับ”

“ย่าอยากทำเอง”

“ครับ?”

“อินทร์ ไปเรียกสันต์มา”

“ครับ คุณย่า”

เพราะต้องการให้ท่านมีเวลาอยู่กับครอบครัว สันต์ธรเลยไม่ได้เข้ามาในศาลาด้วย แต่ยืนรออยู่ที่ปลายสะพานฝั่งที่ติดพื้นดิน

“คุณหญิงมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”

“ช่วยพาเด็กๆ ลูกคนงานมาหาฉันที่นี่ได้ไหม ฉันอยากจะคุยกับพวกเขา”

“ได้ครับ ตอนนี้เลยหรือครับท่าน”

“ตอนนี้เลย”

“ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตโทรศัพท์ให้กอบกิจพาเด็กๆ มากนะครับ”

“จ้ะ”


ทั้งสี่คนรอไม่ถึงยี่สิบนาที เด็กๆ ทุกคนก็พากันเดินมาจากบ้านพักโดยมีกอบกิจนำขบวน เด็กชายหญิงอยู่ในวัยประถมเป็นส่วนใหญ่ อนุบาลก็มีบ้างหนึ่งในนั้นก็มีขวัญนพัต ส่วนมัธยมก็สี่ห้าคน วัยมหาวิทยาลัยก็มี เพียงแต่วัยนี้จะต้องออกไปอยู่ด้วยตัวเองข้างนอก แต่ถ้าทำงานให้ตระกูล จะมีสิทธิ์พักกับครอบครัวที่นี่ได้

ลูกคนงานที่มานั่งอยู่บนพื้นศาลาตรงหน้าทั้งสี่ท่านแม้จะเบียดๆ กันบ้างแต่ก็บรรจุคนได้พอดี นับจำนวนแล้วก็มียี่สิบหกคน ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะพอควร เพราะคนงานที่นี่มีร้อยกว่าชีวิต บ้างก็มีครอบครัว บ้างก็โสดอยู่คนเดียว บ้างลูกก็โตแล้ว

“สวัสดีค่ะ/ครับ”

ทุกคนทำความเคารพแล้วก็ก้มหน้าไม่กล้าเงยมองใครสักคน เด็กชายขวัญนพัตเองก็แอบๆ อยู่ข้างหลังคนตัวใหญ่กว่าเพื่อหลบสายตาคมที่จ้องมองตนตั้งแต่เดินเข้ามาในตัวศาลา

“สวัสดีจ้ะเด็กๆ ไปเรียนกันมาเป็นยังไงบ้าง”

เงียบ...ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบเลยสักคน เด็กๆ หันมองหน้ากันเลิกลักเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนตอบ เพราะไม่ว่าใครก็กลัวกันทั้งนั้น

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ดุหรอก ที่เรียกมาก็แค่จะถามไถ่ พูดคุยเท่านั้น ตรงนี้ใครอายุมากที่สุดหรือ” คุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้เด็กๆ เริ่มผ่อนคลาย

“ผะ ผมครับท่าน ผมอายุสิบเจ็ด อยู่มอปลายครับ”

“น่ะ หนูก็อายุสิบเจ็ดค่ะ”

“คงอยู่ในช่วงคิดว่าจะต่อมหาวิทยาลัยไหนสินะ ตั้งใจเตรียมตัว อ่านหนังสือล่ะ”

“ค่ะ/ครับ”

“ฉันอยากจะถามพวกเธอว่ามีอะไรที่ต้องการหรือเปล่า พอดีฉันอยากจะลงพวกเครื่องเล่นให้ในสวน เวลาเลิกเรียนจะได้มีอะไรผ่อนคลาย เล่นสนุกตามประสาเด็กๆ ฉันให้ทุกคนได้พูดมาคนละอย่าง เตรียมเอาไว้ในใจด้วยล่ะ และห้ามบอกว่าไม่มี...เริ่มจากคนที่อายุมากที่สุดก่อนก็แล้วกัน กอบกิจช่วยลำดับให้ด้วยนะ”

“ครับท่าน”

กอบกิจเรียกชื่อเด็กๆ ทีละคน เจ้าของชื่อนั้นก็แค่บอกว่าต้องการอะไรในสวน บ้างก็บอกชิงช้า ม้านั่ง ซ้ำกันบ้างแต่ก็ไม่ได้บังคับให้หาคำตอบใหม่แต่อย่างใด บ้างก็อยากได้อะไรที่ไม่ได้อยู่ในสนามเด็กเล่น แต่ถ้าใช้ส่วนรวมได้ก็ไม่ว่าอะไร สันต์ธรฟังอย่างตั้งใจก็ได้แต่จำมันไว้ บันทึกเสียงด้วยโทรศัพท์ไปด้วยเอาไว้กลับไปนั่งฟังต่อ แล้วค่อยจัดการนำทุกอย่างมาลงให้ตามคำสั่งของคุณหญิง

“คนสุดท้ายนะครับ...น้องขวัญ”

เฮือก!

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองน้ากอบกิจพ่อของเพื่อนวัยเดียวกันนามว่าแก้วที่ตอบไปแล้วก่อนตัวเองแล้ว แต่ก็เป็นของที่ซ้ำๆ กับคนอื่น

“คือ...ไม่มีฮะ”

ตอบเสียงเบา แม้ว่าคนจะเยอะ แต่มันค่อนข้างจะเงียบกริบ ทุกคนเลยได้ยินเด็กชายตัวน้อยตอบออกไปอย่างชัดเจน คุณหญิงอัปสรมีสีหน้าแปลกใจ เพราะว่าเธอบอกไปก่อนแล้วว่าห้ามตอบว่าไม่มี ไม่อยากได้ แล้วเด็กคนนี้ก็เป็นคนเดียวที่พูดสิ่งที่เธอห้าม
สองแฝดเองก็มองหน้าของขวัญนพัตแล้วก้มองหน้ากันเอง ส่วนท่านอัศม์แม้ว่าจะไม่แสดงสีหน้าอะไร หากเขาก็นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าคำตอบของขวัญนพัตจะเป็นแบบนี้

“ทำไมถึงไม่มี” อินทร์ธรถามออกไป

“หนู...ผมไม่อยากได้อะไรฮะ”

“ทำไมถึงไม่อยากได้” อัยยวัฒน์คาดคั้น

เด็กชายบีบมือตัวเองอย่างประหม่า ใจสั่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้านทั้งสี่คนเลยสักนิด น้ำตาคลอ คนอายุมากที่สุดเห็นแล้วก็ใจอ่อน

“กอบกิจพาเด็กๆ คนอื่นกลับไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเด็กคนนี้อยู่ก่อน” สิ้นคำสั่งของคุณหญิง เด็กๆ ทุกคนก็ต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพแล้วค่อยๆ เรียงแถวกันเดินออกจากศาลาไป ทิ้งเอาไว้แค่ขวัญนพัตที่กำลังนั่งก้มหน้ากลั้นน้ำตาของตนอยู่

“ไม่มีใครอยู่แล้ว อยากได้อะไรพูดมาเลยจ้ะ” คุณหญิงคิดว่าเด็กน้อยคงไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะแยะ หารู้ไม่ว่า เด็กคนนี้ไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ

“ผม...ฮึก ผม”

“อ้าว? ร้องซะแล้ว” อินทร์ธรโพล่งขึ้น

“ไม่มีใครดุหรือว่าอะไรสักหน่อย เจ้าตัวเล็ก บอกพวกเรามา มีของที่อยากได้หรือเปล่า” อัยยวัฒน์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาก่อนจะประคองเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ให้ลุกขึ้น

“ไม่มีฮะ ฮึก...ไม่อยากได้”

มือเล็กๆ เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ปาดซ้ายที ขวาที แต่ก็ไม่หมดเสียที คงเป็นเพราะกลัวจนไม่สามารถหยุดร้องได้ และก็ไม่กล้ามองใครเลยสักคน

“แล้วกัน...”

“อัยย์...พาขวัญมานั่งนี่” สั่งน้องชายพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปข้างๆ บ่งบอกว่าให้พามานั่งข้างตน

“ครับ” แฝดน้องดันตัวเล็กให้เดินไปทางที่ท่านอัศม์นั่งอยู่ เมื่อถึงที่ท่านก็ยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งข้างๆ เป็นการกระทำที่ซ้ำรอยวันแรกที่เจอกัน ทั้งคุณย่าและน้องชายก็พากันมองภาพนี้อย่างแปลกใจ

ไม่ว่าเจ้านายคนไหนก็ไม่เคยให้ลูกของคนงานหรือคนงานขึ้นมานั่งทัดเทียมกัน...ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เกรงว่าคนงานคนอื่นอาจจะคิดเอาได้ว่าเจ้านายลำเอียง เมตตาเด็กไม่เท่ากัน แม้ว่าจะไม่มีคนงานคนไหนคิดแบบนั้นเลยก็ตาม เพราะการที่ท่านเมตตาให้อยู่ที่นี่ ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

หากเจ้านายจะเอ็นดูใครเป็นพิเศษ ก็ไม่มีใครคิดว่าลำเอียงหรอก

“บอกฉันมาซิ ว่าทำไมถึงไม่อยากได้” เจ้าตัวเล็กน้องไห้ตัวโยน ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผู้ใหญ่ห้าคนที่กำลังจ้องมองตนอยู่

“เด็กคงกลัวน่ะลูก” ผู้เป็นย่าเอ่ย

เธอเองก็อยากจะเข้าไปปลอบอยู่หรอก เพียงแต่เห็นว่าหลานชายคนโตกำลังสนใจเด็กน้อยคนนี้ทั้งๆ ที่ไม่ปกติไม่ชอบเข้าใกล้เด็กที่ไหนก็พลอยอยากจะเห็นว่าหลานชายจะรับมือเช่นไร

“ว่าไง...ตอนเจอกันครั้งแรกก็กลัว ครั้งนี้ยังกลัวอีกหรือ ฉันไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้จะทำโทษเธอด้วย เพราะฉะนั้นหยุดร้องได้แล้ว แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าลูกผู้ชายร้องไห้บ่อยๆ มันไม่ดี อยากจะปกป้องแม่ไหม ถ้าอยากก็ต้องเข้มแข็ง หยุดร้องไห้เสีย”

“ครับ ฮึก...จะปกป้องแม่ ฮึก” เด็กน้อยพยายามที่จะหยุดร้องไห้ มือปาดน้ำตาตัวเองออก ข่มตัวเองให้ไม่กลัว เพราะถ้าคิดว่าตัวเองกลัว ตนก็จะร้องไห้

สองแฝดมองหน้ากัน สีหน้าบอกบอกว่าความอิจฉานิดๆ เพราะกับทั้งคู่ พี่ชายไม่เคยพูดด้วยอย่างอ่อนโยนแบบนี้เลย แต่กับลูกคนงานคนนี้ พี่ชายกลับเอ็นดูมากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีก

“หยุดยัง”

“ครับ อึก” แม้ว่าจะหยุดร้อง แต่ก็จะสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ ดวงตาที่ยังมีคราบน้ำตาติดตามแก้มและใต้ตาค่อยๆ หันไปมองร่างสูงข้างๆ เลยไปยังอินทร์ธร อัยยวัฒน์ คุณหญิงอัปสร และลุงสันต์ของตน

ทุกคนเห็นเห็นใบหน้าของเด็กน้อยอย่างชัดเจนก็รู้สึกว่าน่ารัก น่าเอ็นดู ต่างจากเด็กๆ ลูกคนงานทุกคน บ่งบอกว่าบุพการีต้องหน้าตาดีอย่างแน่นอน เพราะไม่งั้นลูกคงไม่ขาว ผิวพรรณดี และหน้าตาน่ารักแบบนี้

จริงอยู่ที่พ่อของขวัญนพัตเป็นเศรษฐีที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แม่เองก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้หญิงสวย งดงาม ทั้งหน้าตาและกริยา

“เก่งมากเด็กดี ว่าแต่เป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ย่าไม่เคยเห็นเลย”

“ลูกของคนงานใหม่ที่เพิ่งรับทำงานเมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับคุณหญิง ยังไงผมขออนุญาตเล่านะครับ” ท่านอัศม์พยักหน้าน้อยๆ หากแต่สายตาก็ยังคงจ้องเด็กน้อยที่นั่งเทียมตนก็สูงไม่ถึงอก

ทั้งสามท่านนั่งฟังสันต์ธรเล่าเรื่องของขนิษฐาแม่ของเด็กน้อยให้เจ้านายรับฟัง ทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะหันมาจ้องมองเด็กด้วยความอาทร สงสาร ก็จริงอยู่ที่คนงานที่นี่ต่างก็ไม่ค่อยจะมีฐานะ มาก็เพื่อพึ่งใบบุญของพวกท่าน เพียงแต่หญิงสาวที่วัยยี่สิบปลายๆ ในสภาพที่น่าเวทนามาล้มอยู่หน้าบ้านก็เป็นอะไรที่หนักหนาเอาการ แต่ก็ยอมรับว่าแม่ของเด็กคนนี้ต้องเป็นคนแข็งแกร่งมาก

“ดีแล้วที่ช่วยเธอกับลูกไว้...ยังไงก็คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่ในสบายใจ ไม่ต้องกลัวนะลูก” ประโยคหลังเธอหันมายิ้มให้กับเด็กชายขวัญนพัตอย่างอ่อนโยน เจ้าตัวน้อยที่เข้ากับคนง่ายอยู่แล้วพอเห็นว่าเจ้านายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ยิ้มให้จนตาหยี สองมือเล็กประนมกันที่กลางอกแล้วไหว้อย่างสวยงาม

“ขอบคุณครับคุณหญิง” เด็กน้อยเรียกตามลุงสันต์ของตน เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนได้ไม่ยาก ขนาดคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างท่านอัศม์ยังยิ้มบางๆ

“ฮึ่ย! มันเขี้ยวว่ะเจ้าตัวเล็ก” อินทร์ธรลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งข้างๆ กับขวัญนพัตอีกด้านแทน มือใหญ่ขยี้เบาๆ ที่กลุ่มผมนุ่มของเด็กน้อย

“งื้อ...อย่าทำหนู”

“แก้มน่าฟัดมากเลย” อัยยวัฒน์เอื้อมแขนผ่านพี่ชายคนโตไปดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นไม่แรงมากนัก เจ้าตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แล้วหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย

อัศม์เดชปล่อยให้น้องชายแฝดเล่นกับขวัญนพัตเพื่อให้เด็กน้อยผ่อนคลาย ซึ่งมันก็ได้ผลตามที่คาด และเสียงทุ้มก็เอ่ยห้ามปรามน้องชาย “พอแล้ว”

“คร้าบบบ” ทั้งสองรับคำเสียงยาวกวนประสาท พี่ชายคนโตส่ายหน้าไปมา รู้สึกระอาใจกับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของทั้งสองคน ทั้งที่อายุอ่างกันเพียงสองปีเท่านั้น

“เอาล่ะขวัญ จะตอบได้หรือยังว่าจะเอาอะไร ทุกคนตอบหมดแล้วนะ ไม่ตอบไม่ได้ พวกฉันไม่อยากกลายเป็นเจ้าบ้านที่ให้ของไม่เท่าเทียมกัน”

เด็กชายเม้มปาก พยายามนึกสิ่งที่อยากได้ แต่ก็นึกยังไงก็ไม่ออก เพราะของที่ใช้ร่วมกับคนอื่นได้เด็กน้อยไม่มี ยังไงก็ต้องเล่น ต้องใช้ด้วยกัน ทุกคนก้บอกไปหมดแล้ว

ขวัญนพัตไม่มีของที่อยากได้จริงๆ

“ไม่มีฮะ...ผมไม่อยากได้ ที่อยากเล่นทุกคนก็พูดไปหมดแล้วครับ ผมรอเล่นกับทุกคนก็ได้”

“แล้วมีอย่างอื่นที่อยากได้หรือเปล่า” คุณหญิงอัปสรถามขึ้น

“ของที่ใช้ร่วมกับคนอื่น หนู...เอ่อ ผมไม่มี แต่มีของที่อยากจะให้แม่ครับ” เด็กน้อยพูดอ้อมแอ้ม แต่สิ่งที่พูดออกมาสร้างความประหลาดใจให้แก่คนฟังนัก

“อะไรล่ะจ้ะ”

“ยาฮะ...ยาที่แม่กินทุกวัน ผมเห็นมันหมดไปตั้งแต่สามวันก่อน แม่บอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมไม่เชื่อ แม่ชอบปวดหัวแล้วล้มบ่อยๆ”

“ยาอะไรสันต์ วันที่หมอมาตรวจตอนนั้นก็รายงานว่าแค่อ่อนเพลียไม่ใช่เหรอ” ท่านอัศม์หันไปถามคนสนิท ใบหน้าไม่พอใจเพราะคิดว่าคนทำงานพลาด

“หมอแค่ตรวจร่างกายภายนอกครับว่าต้องพักผ่อนกี่วัน ส่วนโรคที่อาจจะเป็นต้องใช้การตรวจที่โรงพยาบาลหรือตรวจอย่างอื่นประกอบกันด้วยถึงจะทราบได้ครับ แต่ถ้าเอาตัวถุงยาไปให้หมอดูน่าจะได้คำตอบนะครับว่าขิมเธอกินยาอะไรอยู่”

“จัดการด้วย”

“ผมว่าผมจะไปคุยกับขิมตรงๆ ดีกว่า ยังไงเธอก็ไม่ควรปิด ยิ่งปัญหาสุขภาพยิ่งไม่ควรปิดครับ”

“งั้นก็จัดการตามวิธีของสันต์ได้เลย”

“ครับท่าน”

เด็กน้อยมองผู้ใหญ่คุยกันไปมา ไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่ก็จับใจความได้ว่าท่านอัศม์จะช่วยแม่ของตน เด็กน้อยยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณทุกๆ คนอย่างเด็กที่ถูกสอนมาดี

“ขอบคุณนะฮะ”

“ชื่ออะไรนะเราน่ะ” อัยยวัฒน์ถาม แม้ว่าจะรู้แล้ว แต่ก็อยากให้เจ้าตัวน้อยแนะนำกับปากตัวเอง

“หนู...ผมชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นชื่อขวัญครับ!!” แนะนำตัวเองเสียงดังฟังฉัน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดีเลย

ท่านอัศม์ที่เหนื่อยๆ จากงานมาก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย

“แทนตัวเองว่าหนูก็ได้จ้ะ น่ารักดี เรียกฉันว่าคุณย่าก็ได้นะ” คุณหญิงอัปสรรู้สึกเอ็นดูมาก เพราะเด็กคนนี้แม้ว่าช่วงแรกๆ จะเกร็ง แต่ตอนนี้กลับผ่อนคลายและคุยเก่งกว่าที่คิด แล้วในความคุยเก่งยังมีมารยาทที่ไม่ค่อยจะหาได้ในวัยซนเท่าไหร่นัก

“ไม่ได้ฮะ แม่บอกว่าอย่าทำตัวเสมอเจ้านาย มันไม่ดี”

“แต่ฉันให้เรียก ก็เรียกเถอะ”

“ผมเรียกคุณหญิงย่าได้ไหมฮะ”

“คุณหญิงย่า? อืม...ก็แปลกดี ไม่เหมือนใครด้วย โอเคจ้ะ ฉันจะให้เราเรียกว่าคุณหญิงย่าก็ได้ แต่เราต้องมาเล่นกับฉันที่นี่ทุกวันได้หรือเปล่า หลังเลิกเรียนก็มาได้เลย พี่ๆ สองคนนี้ไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยนักหรอก เรียนหนัก ฉันก็เหงา อยากมีเพื่อนคุย”

“คุยกับหนูเหรอ? ไม่ดูไร้สาระใช่ไหมฮะ แก้วชอบว่าหนูพูดมาก ไร้สาระ คุณหญิงย่าจะไม่ปวดหัวใช่ไหมฮะ”

“ฮะๆ จะทำให้ปวดแค่ไหนกันเชียว ตัวแค่นี้เอง”

“งั้นหนูจะมาทุกวันเลย คุณหญิงย่าจะมีอะไรให้หนูทำด้วยไหมฮะ ถ้าคุยเฉยๆ หนูกลัวจะมีเรื่องคุยไม่พอ” เด็กน้อยถามหน้าตาซื่อ

“ฮ่าๆ”

ทุกคนหัวเราะร่วน มองกันไปมาเพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้หัวเราะอย่างสนุกสนานกันแบบนี้ ส่วนท่านอัศม์ ถึงจะไม่หัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศของท่านดูผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็น

“ฉันล่ะชอบเด็กคนนี้จริงๆ เห็นทีต้องจับมัดเอาไว้ที่นี่ไม่ให้ไปไหนเสียแล้วล่ะ ขวัญ...โตไปอยากเป็นอะไรล่ะเรา”

“ไม่เอาอุลตร้าแมน” อินทร์ธรแทรกขึ้น เกรงว่าจะได้คำตอบแบบที่พวกเด็กๆ ชอบตอบ แน่นอนว่าตอนเด็กๆ ครูเคยถามเขาแบบนี้เช่นกัน และเขาก็ตอบไปแบบที่ห้ามขวัญนพัตนั่นแหละ

“ใช่...ไม่เอาพวกฮีโร่ การ์ตูนด้วย” อัยยวัฒน์สมทบ

หนูน้อยเอียงคอทำหน้าครุ่นคิดนิดๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ

“เป็นเหมือนแม่ฮะ!!”

“ยังไงวะนั่น?” สองแฝดพึมพำเพราะไม่เข้าใจ

“ทำไมถึงอยากเหมือนแม่ล่ะ” คุณหญิงถามต่อ

“แม่ของหนูเก่ง ทำได้ทุกอย่าง ทำอาหารก็อร่อย ทำขนมเก่ง ทำชุดก็สวย ร้อยพวงมาลัยก็เป็น แม่สวย แม่เรียบร้อย หนูอยากเก่งทุกอย่างเหมือนแม่เลยฮะ”

อัศม์เดชทำหน้าไม่ถูกเพราะคิดภาพตามเจ้าตัวเล็กเป็นเหมือนแม่ไม่ออก คนอื่นๆ ก็เอาแต่หัวเราะ หากสายตากลับอ่อนโยนมองขวัญนพัตอย่างเอ็นดู

เขาก็คิดแบบนั้น...ขวัญนพัตน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ ที่ว่าเช่นนั้นเพราะเขาไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่ แต่กับเด็กคนนี้เขากลับรู้สึกว่าอยากเห็น อยากแกล้ง...หรือจะรับเป็นน้องชายบุญธรรมดี

“อยากเป็นแบบแม่ก็ต้องตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝนนะขวัญ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะสอนให้ก็แล้วกัน เริ่มจากง่ายๆ ไม่อันตราย คือการจัดดอกไม้ สนใจไหม พรุ่งนี้มาเรียนจัดดอกไม้ จัดเสร็จจะเอาไปตั้งโชว์ที่ห้องหรือให้แม่ก็ได้”

“สนฮะ! หนูอยากจัดให้แม่ พรุ่งนี้หนูจะรีบมาหานะฮะคุณหญิงย่า”

คนอายุมากที่สุดสบตากับหลานชายคนโตด้วยดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสนุก ตื่นเต้น แปกใจเล็กน้อยที่ขวัญนพัตทำให้คุณย่าของตนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ตั้งแต่พ่อของเขาเสีย คุณย่าก็เหมือนไม่อยากจะทำอะไรอีกเลย เอาแต่เดินเล่น นั่งเล่น อ่านหนังสือ กิจกรรมโปรดๆ ที่ตัวเองเคยทำมาตลอด ก็ไม่คิดที่จะแตะอีกเลย พอจะกลับมาจับมันอีก ก็เป็นเพราะเหตุผลที่ถ้าเอาไปพูดที่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อแน่
เพราะเด็กห้าขวบ...


หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกวันหลังจากที่เด็กชายขวัญนพัตกลับมาจากโรงเรียน ก็จะตรงมาที่ศาลากลางสระบัวซึ่งคุณหญิงย่าจะนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเด็กที่คอยอยู่รับใช้ มีไม่กี่คนที่รู้ว่าขวัญนพัตมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงอัปสร แม้แต่ขนิษฐาผู้เป็นแม่เองก็ไม่ทราบ หากแต่เธอก็สงสัยว่าลูกชายไปหัดจัดดอกไม้มาจากไหน ถามเจ้าตัวดีก็ไม่ตอบอะไร บ่ายเบี่ยงจนเธอเดาเองว่าคงเป็นคนงานด้วยกันนั่นแหละที่สอนให้

ขวัญนพัตกลายเป็นลูกศิษย์คนสนิทของคุณหญิงย่าไปเลย ผ่านไปสามเดือนกว่า น้องเรียนรู้การจัดดอกไม้ทุกรูปแบบด้วยความตั้งใจ จนจำได้และชำนาญ น้องตั้งใจ ไม่เคยหนีไม่เคยบ่น ในทุกๆ วันมักจะสนุกโดยไม่ต้องเล่นกับเพื่อนเลยก็ได้ แต่บางวันท่านก็ปล่อยให้ขวัญนพัตไปเล่นกับเพื่อนบ้าง เพราะเด็กยังไงก็ต้องมีเพื่อน บางวันก็มีอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์มาเล่นเป็นเพื่อน สำหรับเด็กน้อยคิดว่าสองแฝดมาแกล้งมากกว่า

ส่วนท่านอัศม์จากวันนั้นก็ไม่ค่อยมาเท่าไหร่นักเพราะต้องทำงานและเคลียร์งานก่อนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ท่านก็มักจะมาทักทายคุณย่าของตนบ้างแต่ก็รีบกลับไปทำงานบนห้องต่อ ไม่ได้มีเวลามานั่งเล่นด้วยแต่อย่างใด ซึ่งสำหรับขวัญนพัตนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้ง น้องก็ไม่เคยชินกับท่านเสียทีและยังกลัวท่านเสมอ

คุณหญิงอัปสรเดิมทีท่านเหงามากอยู่แล้ว พอมีขวัญนพัตท่านเลยมีความสุขเหมือนแต่ก่อนได้ ท่านจึงเอ็นดูเด็กน้อยมากเป็นพิเศษ และมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นความผูกพันและความรักไปโดยไม่รู้ตัว ตั้งใจว่าจะสอนทุกอย่างที่ตัวเองเป็นให้ ซึ่งลืมไปเลยว่าขวัญนพัตเป็นเด็กผู้ชาย

ทว่า ลมแห่งความสงบสุขมักจะผ่านไปเร็ว พายุร้ายกำลังจะเข้ามาพัดกระหน่ำชีวิตของขวัญนพัตให้พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...





----- To be continue -----
   ชอบหนูขวัญกันไหมคะ ฮือ...จำได้ว่าตอนที่แต่งเอ็นดูน้องมาก ไม่รู้ตัวเองจะสื่อถึงทุกคนหรือเปล่านะคะ ฝากเข้าไปติดตามยูกิในทวิตเตอร์ @Sawachi_Yuki กับแฟนเพจ Sawachi Yuki นะคะจะไม่พลาดการอัพเดตแน่นอน หรือกดแอด Fav. ไว้ก็ได้จ้า ลงปุ๊บแจ้งเตือนปั๊บเลย
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 19-03-2019 23:51:39
ชอบหนูขวัญญญ ตอนแทนตัวเองว่าหนูยิ่งน่ารักกก
แงงงง ตอนท้ายคืออะไรรร  :ling3: :katai1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 20-03-2019 07:03:22
 :z3: หนูขวัญจะเจอกับอะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 20-03-2019 09:22:46
น้องขวัญน่ารักมาก
เรียนจบหลักสูตรคุณย่าหนูจะนุ่มนิ่มขนาดไหนเนี่ย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-03-2019 09:25:35
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-03-2019 09:30:46
 :3123:
 :pig4:
สนุกๆ ตามๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 2 | 19/03/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-03-2019 10:51:33
จะเกิดอะไรขึ้นกับหนูขวัญนะ หรือว่าแม่จะป่วยหนัก
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 26-03-2019 23:10:22
3
จากกัน...เพราะ ‘โชคชะตา’




“ปฏิเสธทางตระกูลจินตนภูวดลไปได้เลยสันต์ ฉันกับคุณสิริกัญญาไม่สามารถสานต่อความสัมพันธ์ได้ แล้วก็เรียนคุณแม่ให้เข้าใจด้วยว่าฉันลองทำความรู้จักด้วยแล้วหนึ่งอาทิตย์ตามที่ท่านต้องการ แต่ฉันก็ไม่สนใจเธออยู่ดี พูดง่ายๆ คือเธอไม่มีคุณสมบัติในการเป็นภรรยาของฉัน”

“ได้ครับท่านอัศม์ แล้วคุณราชาวดีจากตระกูลมณีรังสรรค์ล่ะครับ ท่านจะตอบรับการดูตัวหรือไม่”

“เฮ้อ...มีคนส่งลูกสาวมากี่ตระกูลกัน” ท่านถอนหายใจออกมา

ในวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสามที่เรียนจบระดับปริญญาตรีและเป็นผู้นำตระกูล นี่ไม่ใช่วัยที่เร็วเกินไปที่จะหาคู่ครอง ส่วนตัวท่านเองก็ไม่คิดเรื่องรักๆ ใครๆ อยู่แล้ว ถ้าต้องมีภรรยาก็แค่มีและทำไปตามหน้าที่ที่ต้องมีทายาทสืบทอดตระกูลเท่านั้น เขาไม่สนใจว่าภรรยาจะเป็นคนที่ตัวเองรักหรือชอบพอหรือไม่ แต่ต้องเป็นคนที่เขารู้สึกต้องชะตาด้วย ยังไงเขาก็ต้องการที่แต่งงานครั้งเดียว ต้องการผู้หญิงที่เข้าใจงานของเขา และไม่เรียกร้องหากจะไม่สนใจใยดีหรือมีเวลาให้

พูดง่ายๆ ว่าเขาต้องการแค่คนมาทำหน้าที่เป็นแค่ภรรยา ดอกไม้ประดับข้างกาย ไม่ใช่คนรักที่เขาต้องดูแลเอาใจใส่...แต่ถ้าเจอคนที่ตัวเองรู้สึกว่าจะรักได้ เขาก็ไม่ปล่อยเอาไว้หรอก เพียงแค่ยังไม่มี...

เมื่อก่อนไม่มี

ตอนนี้ก็ยังไม่มี

แล้วไม่แน่ว่า...คงจะไม่มีตลอดไป

“มีเยอะเลยครับ เกือบครบทุกตระกูลที่เป็นพันธมิตร แล้วก็คนที่นายหญิงหามาเองด้วยครับ”

หลังจากที่ลองคบกับลูกสาวที่ถูกเสนอมาจากตระกูลพันธมิตรและคนที่แม่แนะนำ ท่านอัศม์ก็ไม่เห็นจะรู้สึกถูกใจหรือต้องชะตากับใครเลย ก็มีบ้างที่ท่านพึงใจและอยากดูให้นานกว่านี้ ก็เพิ่มระยะเวลาในการคบหาเป็นสองอาทิตย์หากแต่ก็ไม่เคยเกินนี้นัก

“หยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉันไม่อยากหาแล้ว แต่งตอนเรียนจบก็ยังไม่สาย”

“ตอนนั้นท่านก็สามสิบสี่แล้วนะครับ”

“สามสิบแล้วไง วัยนั้นก็ถือว่ายังเหมาะสม ให้ฉันทุ่มเทไปกับการเรียนและทำงานก่อน ระหว่างนี้ถ้าเจอใครถูกใจเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ” ท่านบอกอย่างไม่ใส่ใจ

“ครับท่าน”

ถึงท่านอัศม์จะทดลองคบหาดูใจกับลูกสาวจากตระกูลต่างๆ แต่ท่านไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนที่ดูตัว ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นปัญหานำมาซึ่งการผูกมัดตัวเขาเองก็ได้ หากมีความต้องการปลดปล่อย เขาก็จะใช้บริการจากคนที่รู้จักและมอบค่าปิดปากที่มากพอควร พร้อมกับกฎที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด คือห้ามนำชื่อของเขาไปหากิน ห้ามให้คนที่มาบริการเขานำไปเผยแพร่หรือป่าวประกาศ แล้วท่านอัศม์จะไม่ให้คนเดิมๆ มาบริการ ต้องหาคนมาเปลี่ยนเสมอ แต่ถึงอย่างไรท่านก็ทำงานหนักอยู่ตลอด เวลาพักผ่อนไม่ค่อยมี ท่านเลยไม่ค่อยจะมีความต้องการเท่าไหร่นัก นานๆ ทีถึงจะปลดปล่อยบ้าง

“แล้วเรื่องของแม่เด็กคนนั้นล่ะ”

“ครับ ผมเองก็ได้ให้กอบกิจพาไปหาหมอตลอดทุกนัด อาการไม่ออกมากเท่าไหร่คงเป็นเพราะว่ามีความสุข แต่ก็ใช่ว่าจะหายได้”

“รักษาไม่ได้เหรอ ถ้ารักษาได้ก็รักษาไปเลย ฉันออกทุกอย่างเอง แล้วให้เขาทำงานชดใช้ก็พอ”

“ขิมบอกผมว่า เธอเป็นเนื้องอกในสมองแต่เพราะว่าอาจจะเคยทำงานโรงงาน คงโดนพวกรังสี บวกกับความเครียดต่างๆ แล้วเงินก็ไม่มีพอจะรักษาตัวเองเลยปล่อยไว้แบบนั้น เนื้องอกในสมองครับเลยลามเป็นมะเร็งในสมอง เธอเล่าว่าประมาณห้าเดือน ก่อนจะมาทำงานที่นี่ก็ไปตรวจมาแล้ว พบว่าอยู่ในระยะสอง แต่ตอนนี้ล่าสุดที่เมื่อสามเดือนก่อนที่เราคุยกับขวัญ ผมพาไปตรวจ ผลคือระยะสุดท้ายครับ คงได้แต่รอและทำใจอย่างเดียวครับ”

ท่านถอนหายใจ คิดถึงหน้าสดใสๆ ของเด็กนั่น ที่กำลังจะเต็มไปด้วยน้ำตาก็อดหวั่นใจไม่ได้

“เธอปฏิเสธการรักษา เพราะรู้ดีว่าคงจะไม่หาย เธอรู้มันช้าไปแล้ว ตอนนี้เธอทำใจและทานยาระงับอาการครับ”

ท่านอัศม์พยักหน้าเบาๆ

“หมอบอกไหมว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“หมอบอกว่าแล้วแต่คนครับ บางคนอาจจะอยู่ได้สามเดือน หกเดือน บางคนอยู่ได้เป็นปีก็มีครับ ขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละคน”

“ก็ช่วยดูแลเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”

“ครับท่าน”

ท่านเห็นใจทั้งแม่และลูก แต่โรคภัย ไข้เจ็บ และความตาย มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะวันไหนทุกคนก็ต้องประสบด้วยกันทั้งสิ้น

หากแต่กับผู้หญิงที่เป็นคนดี รักลูกมากที่สุด ทำทุกอย่างก็เพื่อลูกอย่างขนิษฐา ท่านกลับรู้สึกว่าอยากให้เธอหาย อยากให้อยู่กับลูกชายไปนานๆ

อย่าเพิ่งพรากรอยยิ้มของเด็กคนนั้นไปเลย


แต่เหมือนว่าคำขอของท่านอัศม์จะไม่สัมฤทธิ์ผลเมื่อขนิษฐาอาการทรุดและล้มลงระหว่างที่กำลังทำงาน คนงานต่างพากันช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลโดยที่มีพิไลกับกอบกิจเป็นผู้ดูแลจัดการให้ กอบกิจรายงานสันต์ธรทันทีจึงได้พามาโรงพยาบาลที่ตระกูลเตชโรจนโสภณเป็นผู้บริหาร

ระหว่างรอหน้าห้องพิไลก็ได้รับฟังจากปากของกอบกิจว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง เธอน้ำตาไหลร้องไห้ด้วยความสงสารเห็นใจ ตลอดหลายเดือนที่ทำงานกับขนิษฐา พิไลเป็นคนที่ดูแลและสอนงานตลอด เธอเอ็นดูขนิษฐาเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง คิดว่าดีแล้วที่ขนิษฐาได้มาพึ่งใบบุญของท่าน แต่ก็ไม่นึกเลยว่าความโชคร้ายของขนิษฐามันยังไม่หมดไป...

“ฮึก...ทำยังไงดี”

“ป้าพิไล ทำใจเถอะป้า ฉันเองก็ทำใจมาตั้งแต่รู้พร้อมคุณสันต์แล้ว”

“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ฮึก ทำไม”

“พี่ขิมเธอขอ เธอไม่อยากให้ทุกคนเอาแต่พะวงว่าเธอจะทำงานไม่ได้ ไม่กล้าใช้งานเธออย่างเต็มที่ พี่ขิมแค่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ตอบแทนพระคุณท่านเท่านั้น”

พิไลไม่มีอะไรจะพูด เธอได้แต่นั่งร้องไห้จนกระทั่งหมอออกมาบอกว่าปลอดภัยแล้วย้ายไปยังห้องพิเศษที่ใช้อำนาจของท่านอัศม์ในการเข้ามาพัก

กอบกิจรายงานอาการให้กับสันต์ธรทราบ เมื่อถึงเวลาที่เด็กๆ จะเลิกเรียน ขนิษฐาฟื้นแล้ว แต่เขาต้องออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปรับเด็กชายขวัญนพัตมาเยี่ยมแม่ ซึ่งพิไลเป็นคนนั่งเฝ้าอยู่ในห้อง

“ป้าพิไล”

“มีอะไร พักผ่อนไปเถอะ” หญิงวัยกลางคนมองหน้าคนที่หน้าซีดนอนบนเตียง สั่งเสียงดุแบบปกติของตนเอง ทั้งๆ ที่ใจกำลังร่ำร้อง

“รู้แล้วใช่ไหมจ้ะ”

“อืม...ทำไมถึงไม่บอกฉัน ไหนว่าเคารพฉันเหมือนแม่ แต่เรื่องแบบนี้กลับไปบอกกัน” ปลายประโยคเสียงของพิไลสั่นจนจับได้
ขนิษฐายกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษนะจ้ะ ขิมไม่อยากให้ป้าเป็นห่วง”

“ถ้าไม่อยากเป็นห่วงทำไมถึงไม่รักษา”

“การรักษามันแพง ถึงท่านจะช่วยแต่มันก็สายไปแล้วจ้ะป้า มันสายไปแล้ว...ขิมรู้ช้าไป ตอนนี้ก็แค่ทำใจแล้วก็ใช้เวลาอยู่กับลูกให้นานที่สุดก็พอ” น้ำตาของหญิงต่างวัยทั้งสองคนรินไหล

“ขิมเอ้ย...ทำไมชีวิตเธอถึงได้เป็นแบบนี้”

“ป้า...ถ้าขิม ฮึก ถ้าขิมไม่อยู่แล้ว ขิมฝากหนูขวัญได้ไหม อย่าทิ้งหนูขวัญ ช่วยเลี้ยงแกหน่อยได้ไหมจ้ะ ขิมมีเงินในบัญชีที่ได้รับจากการทำงานทั้งหมด แม้มันจะไม่พอให้ขวัญโต แต่อย่าเอาแกไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าได้ไหมจ้ะ ให้แกทำงานแลกข้าว ได้เรียนสูงๆ แล้วก็ให้แกทำงานใช้ทุนแก่ท่าน”

“ทำไมต้องมาพูดตอนนี้ หมอบอกว่าเธอมีโอกาสอยู่ได้อีกนานเพราะสภาพจิตใจดี ร่างกายก็บำรุงเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีความเครียดเธอก็จะไม่ปวดหัว เธอสามารถหายได้ถ้ารักษา คิดดีๆ ไหม อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย”

เธอส่ายหน้าเพราะรู้ว่ามันไม่เป็นความจริง ระยะสุดท้ายแบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางรอด

“ฉันแค่อยากพูดเอาไว้ ป้ารับปากกับฉันนะจ้ะ แล้วฉันสัญญาว่าจะอยู่ให้ได้เป็นปีๆ เลย” แม้ว่าใบหน้าจะซีดเซียว แต่รอยยิ้มของเธอช่างงดงามเสมอ

พิไลพยักหน้ารับฝากทั้งน้ำตา มือที่เหี่ยวไปตามวัยเอื้อมไปลูบเบาๆ ที่ผมของขนิษฐา มันเป็นผมจริง ที่ไม่ร่วงเพราะเธอไม่ได้รักษา อาการแปลกๆ ที่ทำงานร่วมกันมาหลายเดือน ทำไมเธอเพิ่งจะมาสังเกตได้ตอนที่รู้แล้ว ทำไมไม่สังเกตถึงความผิดปกติมาตั้งแต่แรก...

ทำไมเธอถึงต้องอดทนขนาดนี้...


เกือบชั่วโมงที่ห้องพักพิเศษเงียบ พอเด็กชายขวัญนพัตยอดดวงใจของขนิษฐามาถึงก็พุ่งเข้าไปหาแม่ข้างเตียงร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย สะอึกสะอื้นตัวโยน ทำเอาพิไลกับเธอช่วยกันปลอบไปหลายนาทีเลยกว่าหยุดร้องแล้วยิ้มออกมาได้ เด็กชายตัวน้อยสบายใจที่เห็นแม่พูดคุยและยิ้มแย้ม ชวนแม่คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ตอนที่ตัวเองอยู่ในโรงเรียนเจื้อยแจ้ว น่ารักน่าเอ็นดู

ความไม่ประสาของเด็กทำให้พิไลมองภาพนี้น้ำตาคลอ

“หนูกับแก้วได้ออกไปร้องเพลงหน้าห้องด้วย”

“เหรอจ้ะ เก่งจัง”

“งื้อ เพื่อนๆ ชมว่าหนูร้องเพลงเพราะ”

“เรื่องนี้แม่รู้ หนูขวัญร้องเพลงเพราะจริงๆ”

มีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่รู้ว่าลูกมีพรสวรรค์ด้านใด ตั้งแต่เลียนแบบได้ก็เอาแต่ร้องเพลงตามเพลงที่เธอเปิดวิทยุให้ฟัง พอพูดได้ก็ร้องตามเป็นคำๆ ได้ พอมันเข้าที่เข้าทาง ก็ทำให้รู้ว่าลูกชายเธอร้องเพลงเพราะ

“โอ๊ะ...น้ากิจ แล้วคุณหญิงย่าจะไม่รอหนูเหรอจ๊ะ” เด็กน้อยคิดได้จึงหันไปหากอบกิจ ซึ่งได้ยินแบบนั้นก็ตาโต ลืมแจ้งเรื่องนี้ไปสนิทเลย แต่คงคิดว่าสันต์ธรคงแจ้งให้แล้ว พอโทรถามสันต์ธรก็ปรากฏว่าแจ้งท่านให้แล้วจริงๆ

“คุณหญิงย่า?” ขนิษฐากับพิไลเรียกชื่อนั้นอย่างสงสัย

“คุณหญิงอัปสรน่ะป้า คงจำที่เด็กๆ ถูกคุณหญิงท่านเรียกไปเรื่องถามพวกของเล่นได้ไหม ตอนนั้นท่านอัศม์ให้หนูขวัญอยู่คนเดียว คนอื่นๆ กลับไปก่อนรวมถึงตัวผมด้วย ไม่รู้อีท่าไหนหนูขวัญก็กลายเป็นคนโปรดท่านไปแล้ว”

“จริงหรือครับ” คนเป็นแม่ถาม

“ฮะ...หนูไปเรียนจัดดอกไม้กับคุณหญิงย่าทุกวันเลย”

“อ๋อ...”

ในที่สุด สิ่งที่เธอสงสัยมาตลอดก็ได้รับคำตอบเสียที เธอน้ำตาคลอเพราะซาบซึ้งที่คุณหญิงท่านเอ็นดูขวัญนพัตลูกชายเธอถึงเพียงนี้

“ทำตัวดีๆ นะลูก ท่านเมตตาหนูก็ดีแล้ว อย่าดื้อ อย่าเอาแต่ใจกับท่านนะครับ ยังไงท่านก็เป็นเจ้านาย และเราก็ไม่ได้จะมีสิทธิ์มากกว่าทุกคนนะลูก”

“ฮะ...เข้าใจฮะ”

“ดอกไม้ที่หนูจัดก็สวย เก่งมากเลยที่เรียนรู้ได้ไว ท่านสอนอะไร หนูก็เรียนรู้เอาไว้นะลูก ไม่ต้องสนเพศ ผู้ชายก็สามารถหยิบจับงานบ้าน งานฝีมือได้ไม่ต่างกันนะลูก เรียนรู้ไว้จะได้มีวิชาชีพติดตัว”

“หนูจะเก่งเหมือนแม่ฮะ”

“จ๊ะ แม่จะเอาใจช่วย”

เธอไม่ใช้คำว่าจะคอยดู เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่อยากพูดให้ความหวังลูก แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่รู้ประสาว่าประโยคไหนหมายถึงอะไรก็ตาม

“แล้วแม่ไม่เป็นไรจริงๆ นะฮะ”

“ไม่เลย แม่แค่ไม่สบายนิดหน่อยเอง”

“เหรอฮะ ดีแล้วฮะ”

“ทำไมล่ะตัวเล็ก แม่ป่วยแล้วจะไม่ดูแลแม่เหรอ”

“หนูจะดูแลแม่เหมือนทุกครั้งแหละฮะ เรามีกันสองคนนี่นา แม่ป่วยหนูดูแล ตอนหนูป่วยแม่ก็ดูแล สลับกันๆ”

รอยยิ้มเอ็นดูถูกส่งไปให้เด็กตรงหน้า เธอเงยหน้าสบตากับพิไลและกอบกิจด้วยสีหน้าที่มีความสุขจนทั้งสองคนสบายใจ...
มั่นใจว่าขนิษฐาจะอยู่กับเราได้อีกนาน...


เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปี นับจากวันนั้นก็สิบเอ็ดเดือนกว่า เด็กชายขวัญนพัตก็ใกล้จะจบจากชั้นอนุบาลแล้วอีกไม่กี่เดือน ขนิษฐายังมีชีวิตอยู่อย่างที่เข้าใจ แต่ก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ หากแต่ชีวิตประจำวันการกินอยู่ของเธอช่างมีความสุข บรรยากาศในแต่ละวันก็ผ่อนคลายไม่มีความเครียด เธอถึงได้อยู่ได้นานถึงเพียงนี้

ขวัญนพัตเริ่มแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเป็นแม่ไม่หายเสียที แต่ผู้ใหญ่ก็เอาแต่บอกว่าแม่แค่ร่างกายไม่แข็งแรง เลยต้องดูแลตัวเองดีๆ ตลอด น้องก็เลยเลิกสงสัยแล้วก็ดูแลแม่ทุกวันอย่างไม่ปริปากบ่น คุณหญิงอัปสรรู้สถานการณ์ดีเลยหยุดสอนเด็กน้อยชั่วคราว ให้เวลาขวัญนพัตได้อยู่กับแม่ให้นานที่สุด

“แม่ฮะ เดี๋ยวหนูจะไปเก็บดอกไม้มาจัดช่อให้นะฮะ”

“อย่าไปนานนะลูก”

“คร้าบ...”

ดวงตาอ่อนล้ามองตามลูกชายที่วิ่งไปเก็บดอกไม้อย่างร่าเริง ส่วนตัวเธอเองก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ที่สามารถปรับเอนนอนได้ ไม่มีแรงจะลุกไปเดินเล่นกับลูกได้

วันนี้เป็นหยุด ขวัญนพัตไม่ต้องไปเรียน แล้วร่างกายวันนี้ของเธอก็แย่แปลกๆ จึงได้รับอนุญาตจากพิไลให้หยุดพัก

“อึก...”

เธอเริ่มรู้สึกทรมาน ปวดหัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน มันเป็นแบบนี้ทุกวัน แต่ก็ยังทนได้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่วันนี้..เธอกลับรู้สึกว่ากำลังจะทนไม่ไหว...

ถึงเวลาแล้วหรือ...

ขนิษฐายิ้ม ทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทุกอย่างเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ใช้ธรรมะเข้าช่วย สวดมนต์และนึกถึงเรื่องที่มีความสุข

“แม่ฮะ” เรียกเรียกของลูกชายดึงสติเธอให้ลืมตาขึ้น ก็พบช่อดอกไม้ช่อเล็กที่มีดอกไม้หลากหลายยื่นอยู่ตรงหน้า เธอหยิบมันมาถือไว้แนบอก มองหน้าลูกชายน้ำตาคลอ

แม่...ไม่ไหวแล้วลูก

“เรียกน้า...กิจให้แม่หน่อย”

“ได้ฮะ” เด็กน้อยร่าเริงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ วิ่งไปห้องทำงานของกอบกิจที่อยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว ไม่นานกอบกิจก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาเธอพร้อมลูกชายของเธอที่เป็นคนไปตาม

“มีอะไรพี่ขิม รู้สึกไม่ดีเหรอ ปวดหัวหรือเปล่า”

เธอได้แค่ยิ้มบางเบา ดวงตาพร่าเพราะน้ำตากำลังคลอที่เบ้า กอบกิจใจไม่ดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพิไลทันที

“ป่ะ ป้า...พี่ขิมเป็นอะไรไม่รู้ ให้ขวัญเรียกผมมาแต่ไม่บอกว่าเป็นอะไร”

ร่างสูงคุยเสร็จก็เดินมานั่งขุกเข่าที่พื้นหญ้าข้างๆ เก้าอี้ที่นอนพิงอยู่

“กิจ...ฝากดูแลขวัญด้วย...นะ”

“พี่ขิม” กอบกิจเรียกชื่อพี่สาวที่เคารพเสียงเบา เข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อดี น้ำตาเริ่มจะคลอที่เบ้าเตรียมไหลทุกเมื่อ

“ฝาก...ขอบคุณเจ้านายทุกๆ ท่าน...ป้าพิไล...คุณสันต์...ทุกๆ คน แล้วก็กิจด้วย”

“พี่ขิมพูดอะไร ผมจะเรียกหมอ”

ขนิษฐาส่ายหน้า แล้วหลับตา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ไม่ทันหรอก...พี่ ไม่ ว่ะ ไหวแล้ว”

เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่าไม่ไหวจากปากแม่ก็เริ่มร้องไห้ วิ่งเข้ามาเกาะแขนแม่อีกฝั่งหนึ่งทันที ถามเสียงสั่นๆ ว่าแม่เป็นอะไร เจ็บตรงไหน แล้วทำไมไม่หาหมอ คนเป็นแม่ที่จะไม่ได้อยู่ปกป้องลูกแล้วรู้สึกใจสลาย เสียใจที่ต้องให้ลูกมาเห็นเธอจากไปต่อหน้าต่อตา

แต่ได้มีโอกาสบอกลา...เธอก็ดีใจ

“แม่ ฮึก แม่...ไม่เอา” ขวัญนพัตเริ่มจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้ร้องไห้โวยวายเสียงดัง เด็กน้อยน่าสงสาร รู้ว่าแม่กำลังจะจากไป

“ลูกรักของแม่...แม่รักขวัญนะลูก แม่ไม่อยู่...”

“ไม่เอา! ฮือ...แม่ต้องอยู่กับหนู ฮือ ห้ามทิ้งหนู”

ขนิษฐาร้องไห้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลัว แต่กลัวแล้วได้อะไร เพราะยังไงเธอก็ต้องไป เธอไม่ไหวแล้ว...เธอทนมันไม่ได้อีกแล้ว...

“ขิม...” เสียงร้อนรนดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏ พิไลกับคนงานนับสิบมุ่งตรงมายังที่ร่างผอมบางนอนอยู่ หากแต่ก็อยู่ห่างๆ ไม่รายล้อม พิไลมานั่งลงแทนที่กอบกิจที่ลุกขึ้นไปร้องไห้ มือเหี่ยวคว้ามืออ่อนแรงของขนิษฐามากุมเอาไว้...หญิงสาวยิ้มหวานให้คนที่เธอเคารพเหมือนแม่

“ไม่ไหวแล้วเหรอลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนที่มีต่อเธอเสมอเอ่ยเสียงสั่น พิไลพยายามที่จะเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถทนมันได้ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลออกมา หญิงสาวเช็ดมันออกให้ อีกข้างยังคงจับดอกไม้แนบอก มีลูกชายร้องไห้ซบแขนเธอ

“ขิม...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณทุกๆ คนด้วยที่ช่วยเหลือกัน...เสียใจที่จะไม่ได้อยู่ตอบแทน ฮึก...ยังไงช่วยดูแลลูกชายของขิมหน่อยนะคะ แม่...ขอเรียกว่าแม่นะคะ”

“จ้ะ...ลูก”

“ช่วยเอ็นดูขวัญ เหมือนเป็นหลานแท้ๆ นะคะ แกไม่มีใครแล้ว”

“ได้...แม่จะทำให้ลูก แม่จะดูแลขวัญเอง หมดห่วงนะ ไม่ต้องห่วงอะไร ที่นี่เต็มใจดูแลขวัญ”

“ขอบคุณค่ะ”

สายตาอ่อนลาที่อยากจะหลับมันลงแล้วไล่มองทุกคนที่มาส่งเธอ แต่คนร้องไห้ออกมาจากหัวใจ ปีกว่าๆ ที่อยู่ที่นี่ ทุกคนดีกับเธอและลูกชายมาก

“ฝากขอบคุณท่านๆ ด้วยนะคะ สำหรับความเมตตาอาทรที่มีให้กันตลอดมา”

เธอแสดงสีหน้าทรมาน ร่างชักเกรง หายใจเริ่มลำบาก ตาจะลืมไม่ขึ้น แต่ก่อนวาระสุดท้ายนี้ของเธอ ขอมอบมันให้แก่ลูกชายเพียงคนเดียว

“หนูขวัญ...แม่ขอโทษ”

“ฮือ...” เด็กน้อยปล่อยโฮ เงยหน้ามองแม่ทั้งน้ำตา มือผอมยกมาลูบผมของขวัญนพัตเบาๆ พยายามสิ่งยิ้มสวยให้กับดวงใจของตน

“เป็นเด็กดี...ตั้งใจเรียน...ตอบแทนบุญคุณท่าน”

“ฮือ...แม่ฮะ อย่าทิ้งหนู อยู่กับหนู ฮึก หนูรักแม่นะ รักแม่ รักแม่ที่สุด”

“แม่เองก็รักหนูที่สุด...รักหนูนะลูก ขวัญของแม่ แม่รักหนู แม่รักหนู แม่รักหนู...รักหนู รักหนู…”

“ฮือ...หนู ฮึก รัก ฮึก แม่ ฮือ”

“รัก...รัก...รัก...”

ร่างทั้งร่างเกรงชักแล้วตระตุกหนึ่งครั้ง พร้อมๆ กับลมหายใจที่ขาดห้วงลงของเธอ มือที่อยู่บนศีรษะเล็กร่วงลง มืออีกข้างจับดอกไม้ของลูกชายแนบอกอยู่อย่างนั้น ดวงตาหลับพริ้มทั้งน้ำตา ใบหน้าของเธอดูไม่ทรมาน

เธอบอกรักลูกชายจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต...และจากไปอย่างสงบ

“แม่!!! ฮือ อย่าทิ้งหนู ฮือ ลืมตาขึ้นมาก่อน อยู่กับหนู ไม่! กรี๊ดดด!!!”

เด็กชายตัวน้อยไม่อาจยอมรับความสูญเสียได้ มือน้อยๆ เขย่าร่างไร้วิญญาณของแม่ พอแม่ไม่รู้สึกตัวก็กรีดร้องเสียงดังลั่นจนกระทั่งหมดสติไป...

ทุกคนที่ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจพยายามตั้งสติ พิไลลุกขึ้นไปหาเด็กน้อยที่นอนสงบอยู่ที่พื้นช้อนตัวเด็กขึ้นอุ้มมาแล้วพาเข้าไปนอนในห้องพัก ก่อนจะออกมาสั่งงานทุกคน กอบกิจพยายามห้ามน้ำตา ไม่มองใบหน้าพี่สาวที่จากไป พิไลเองก็สั่งงานทั้งน้ำตาเช่นเดียวกัน

“กอบกิจ...ฮึก แจ้งเรื่องนี้กับคุณสันต์ด้วย กล้วย...บอกลพให้ติดต่อวัด”

จากนั้นทุกคนที่ไม่มีงานก็ช่วยกันจัดการเรื่องงานศพของขนิษฐา ถึงเศร้าแค่ไหน เสียใจเท่าไหร่ ทุกคนก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ขนิษฐาที่อยู่ด้วยกันมาปีกว่า สู้และต่อสู้กับมันจนมาถึงวันนี้ เธอช่างเป็นผู้หญิงสวยงามจนถึงเวลาสุดท้าย และเป็นแม่ที่แข็งแกร่งที่สุด

ทุกคนที่นี่ดีกับเธอ เป็นเพื่อนกัน พี่น้องกัน...ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนจะเศร้าซึมแบบนี้


งานศพของขนิษฐาจัดขึ้นที่วัดที่ใกล้กับคฤหาสน์ มีท่านอัศม์เป็นเจ้าภาพงาน สวดศพสามวันแล้วก็เผาตามพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดงานศพ คนที่ดูแลเด็กชายขวัญนพัตไม่ใช่พวกคนงาน แต่เป็นอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์ที่ไม่ปล่อยให้น้องชายตัวน้อยที่มีรอยยิ้มให้กับทุกคนเสมอต้องเสมอคลาดสายตา ดูแลไม่ห่างแม้กระทั่งให้มานอนด้วยกันที่ตึกใหญ่ เขาสองคนอยากให้น้องยิ้มมากกว่าเอาแต่ร้องไห้

คนงานต่างก็มีงานเต็มมือ ทั้งงานที่คฤหาสน์ และงานที่วัด แม้ว่าวัดจะไม่มีคนไปร่วมงานเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกคนงานด้วยกัน แต่แค่นี้ก็เกือบสองร้อยกว่าคนแล้ว นั่นทำให้ต้องมีคนคอยสลับเปลี่ยนดูแลที่วัดด้วย ถึงขนิษฐานจะไม่มีญาติที่ไหน และเป็นเพียงคนงานธรรมดา แต่ทางตระกูลเตชโรจนโสภณก็จัดการทุกอย่างให้อย่างดี

เด็กน้อยใจแหลกสลาย เพราะที่พึ่งเพียงคนเดียวได้จากไป น้องเอาแต่ร้องไห้จนหลับไป ข้าวปลาก็ทานน้อย ตอนอยู่ที่วัดก็เอาแต่นั่งนิ่งๆ หน้าโลงศพของแม่ จ้องมองภาพของแม่ที่กอบกิจถ่ายไว้ตอนไปเที่ยวด้วยกัน น้องร้องไห้ จะหยุดร้องเมื่อหลับ พอตื่นก็ร้องอีก เป็นแบบนี้อยู่ตลอด จนทุกคนเป็นห่วง

คิดถึงแม่...อยากกอดแม่...อยากคุยกับแม่ อยากเห็นรอยยิ้มของแม่...

กอดที่อบอุ่นที่สุด...เสียงที่อ่อนโยน...รอยยิ้มที่สวยที่สุด...

“แม่...”


ความตายพรากเราจากกัน...แต่ความตายพรากความรักที่แม่มีต่อหนูไม่ได้...

แม่มีหนูเป็นที่สุดของหัวใจ...ขอให้หนูเติบโตขึ้นแล้วใช้ชีวิตข้างหน้าให้มีความสุข

แม่จะอยู่ในใจของลูก ลูกอยู่ในใจของแม่...แม่จะไม่เอ่ยกล่าวคำลาใดๆ กับลูก

เพราะแม่จะอยู่กับหนูเสมอ...

   รัก...ขวัญนพัตดวงใจของแม่





มีต่อ

V
V
V
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 26-03-2019 23:11:00

ต่อ


จากวันนั้นจวบจนมาถึงวันนี้ก็ผ่านไปห้าเดือน ขวัญนพัตกำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งแต่อยู่ในช่วงให้ผู้ใหญ่พิจารณาว่าจะต้องไปเรียนที่ไหน

กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ทุกคนช่วยกันเยียวยาจิตใจของเด็กชายโดยการให้ความรักความอบอุ่นเพื่อไม่ให้รู้สึกขาด และก็คอยบอกเสมอว่าแม่ของขวัญนพัตไม่ได้ไปไหน เพียงแค่มองไม่เห็นเท่านั้น .

ใช้เวลานานถึงสามเดือนจนกระทั่งจบจากชั้นอนุบาล อยู่ในช่วงที่โรงเรียนกำลังปิดเทอม จริงๆ จะเอาเด็กชายออกมาก่อนเลยก็ได้เพราะเจ้าตัวสภาพจิตใจไม่พร้อมเท่าไหร่ ยังไงเมื่ออายุถึงก็เข้าประถมได้อยู่ดี แต่พิไลบอกว่าให้ไปเจอกับเพื่อนดีกว่า เผื่อจะกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น ในทุกๆ เย็นเด็กน้อยก็ไปอยู่กับคุณหญิงอัปสรเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือจะมีอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์บ้างในบางวัน ขวัญนพัตกลับมายิ้มสดใส กลับมาหัวเราะสนุกสนาน และไม่เศร้ายามพูดถึงแม่แล้ว มีเพียงรอยยิ้มแห่งความสุขและคำพูดที่บอกว่าภูมิใจที่เป็นลูกแม่ พิไลเองก็ไม่อยากให้หลานชายลืมเรื่องราวของแม่ จึงเล่าเกี่ยวกับขนิษฐาให้ขวัญนพัตฟังทุกวัน แรกๆ ก็ยังร้องไห้ทุกครั้งที่ฟัง พอผ่านไปสักพักก็เริ่มชินและสุขใจในการรับฟังแทน

ส่วนท่านอัศม์ตอนนี้ก็จบปริญญาโทหนึ่งใบในไทยเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางไปประเทศอเมริกาเพื่อร่ำเรียนต่อตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขวัญนพัตไม่ค่อยได้คุยหรือเจอกับท่านก็จริง แต่ก็รู้ว่าท่านคอยช่วยเหลือและดูแลอยู่ห่างๆ เพราะตอนนี้คนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กชายที่สุดคือสันต์ธรกับพิไล ทั้งสองบอกเสมอว่าท่านสั่งให้ซื้อหรือทำอะไรเพื่อนเด็กน้อยบ้าง จากเคยกลัวก็ไม่กลัวอีกต่อไป แถมยังรู้สึกเคารพ เทิดทูนอีกด้วย

พิไลไม่มีลูก ไม่มีสามี เธอทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับขนิษฐา ‘ลูกสาว’ ของเธอโดยการให้ขวัญนพัตมาอยู่กับเธอที่ห้อง ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง ส่วนห้องนั้นก็ไม่คืน ไม่เอาของออกและเข้าไปทำความสะอาดเสมอๆ เก็บเอาไว้เพื่อขวัญนพัตในวัยที่เติบโตเป็นวัยรุ่น

“ยายจ๋า...ท่านอัศม์จะเดินทางตอนไหนเหรอฮะ”

“พรุ่งนี้ลูก หนูต้องตื่นเช้าๆ นะ เพราะเราจะไปส่งท่าน”

“งื้อ...ยายต้องปลุกหนูต่างหาก หนูตื่นเองไม่ได้”

สาวโสดวัยกลางคนยิ้ม มองหลานชายบุญธรรมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก

“ได้ซี แล้วยายจะปลุกขวัญเอง ตอนนั้นก็อย่างอแงแล้วกัน เพราะยายไม่ใจดีนา”

“ถ้ายายของหนูไม่ใจดี ก็ไม่มีใครใจดีแล้ว”

“ปากหวาน”

“คิกคิก...รักยายที่สุดเลย”

“ยายก็รักขวัญนะลูก” บอกรักแล้วหอมหน้าผากเบาๆ กล่อมหลานชายให้นอนหลับไป ส่วนเธอเองก็เคลียร์ทุกอย่างในห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะแทรกตัวขึ้นนอนบนเตียงนุ่ม ตระกองกอดหลานชายเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วหลับไปอย่างสุขสบายใจ...
ขิมไม่ต้องห่วงนะ...ขวัญเป็นเด็กดี แม่จะดูแลให้ดีที่สุด ขวัญต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเหมือนขิมได้แน่นอน แม่สัญญา


ช่วงเช้าของวัน คนงานทุกคนมาตั้งแถวตั้งแต่เจ็ดโมงที่หน้าประตูบ้านของตึกใหญ่เพื่อรอส่งผู้นำตระกูลผู้เป็นนายที่กำลังจะไปสนามบิน ในการไปศึกษาต่อของผู้นำตระกูลอย่างท่านอัศม์มีคนตามไปดูแลที่นั่นสามคน สันต์ธรเองก็ไปส่งถึงอเมริกาแต่ไปแค่อาทิตย์เดียวก็กลับมาดูแลตระกูลและเป็นตัวแทนท่าน

ขวัญนพัตยืนอยู่ข้างๆ กับพิไลซึ่งใกล้กับรถที่จอดที่อยู่เพราะยายของตนเป็นหัวหน้าแม่บ้าน เด็กๆ ทุกคนก็ยืนอยู่กับพ่อแม่ของตนเอง หากแต่ก็ไม่ได้ใกล้เหมือนอย่างขวัญนพัตกับแก้วลูกชายของกอบกิจที่เป็นผู้ดูแลคนงานทั้งหมด

“ท่านมาแล้วๆ” สิ้นเสียงทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย

ท่านในชุดธรรมดาๆ ดูแปลกตาแต่ก็ยังคงความสง่างามเดินออกมาจากในตัวบ้าน หยุดยืนอยู่ตรงนั้นมองคนงานทุกคนยืนอยู่ข้างล่างเริ่มแถวจากปลายบันไดยาวไปตามทางที่รถจะแล่นไปยังด้านหน้าคฤหาสน์ ดวงตาคมกริบไล่มองทุกคนแล้วหยุดสายตาที่เด็กชายขวัญนพัตที่ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ท่านจึงส่ายหน้าเบาๆ

“ขอบใจทุกคนมากที่มาส่งฉัน ฉันจะกลับมาบ้านทุกปิดเทอม แต่ถ้าเริ่มต่อโทกับเอกเมื่อไหร่ฉันจะกลับมาที่นี่น้อยลง ก็ให้ทุกคนช่วยกันดูแลคุณย่า คุณแม่ แล้วก็น้องชายของฉันด้วย” ทุกคนที่ท่านกล่าวถึงยืนอยู่ข้างๆ ท่านอัศม์ เตรียมไปส่งที่สนามบินด้วย

“ครับ/ค่ะท่าน”

ท่านอัศม์พยักหน้าน้อยๆ ส่งสัญญาณให้คนขับรถเปิดประตูให้ แล้วท่านทั้งห้าจึงเดินลงมาเพื่อขึ้นรถที่เตรียมเอาไว้ให้เจ้านายสามคัน ท่านอัศม์นั่งกับสันต์ธร คุณหญิงอัปสรกับคุณหญิงน่านฟ้าคันที่สอง และคันที่สามเป็นอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์

ฟุบ!

แทนที่ท่านจะเดินขึ้นรถกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าขวัญนพัต มือแกร่งวางไว้บนศีรษะเล็ก เอ่ยเสียงเรียบแต่ขวัญนพัตกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“ตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึก เป็นเด็กดีและเชื่อฟังผู้ใหญ่ เข้าใจนะ”

“ครับ”

“เธอเป็นเด็กในความดูแลของฉัน ห้ามทำตัวเกเร เหลวไหล” กำชับอีกรอบ

“ครับ”

“คนอื่นก็ด้วย เป็นเด็กดี ให้ตั้งใจเรียน อย่าทำตัวเกเร” ประโยคต่อมาท่านเอ่ยกับเด็กๆ คนที่อื่นๆ ซึ่งเหล่าลูกคนงานก็ขานรับเสียงดังฟังชัดกันทุกคน

“ครับ/ค่ะ”

“ฉันไปแล้ว”

หมับ!

ในจังหวะที่ท่านเอามืออกจากหัวกลมๆ ของขวัญนพัต มือเล็กก็คว้าหมับที่มือใหญ่อย่างไม่กลัวว่านี่จะเป็นการเสียมรรยาท

“ขอบคุณนะฮะ ท่านอัศม์” เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามองคนตัวสูงที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายแล้วยิ้มตาหยีให้ ท่านอัศม์ระบายยิ้มอ่อนตอบกลับไป เด็กน้อยปล่อยมือแล้วยกมือไหว้ที่คิดว่าสวยงามที่สุดเพื่อลาท่าน “สวัสดีครับ”

ในขณะที่คนอื่นๆ เองก็ทำความเคราพท่านเช่นกัน อัศม์เดชหันไปมองหน้าคนงานทุกคนอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วตัวรถก็เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ไปท่ามกลางเสียงตะโกนอวยพรตามหลังที่ท่านไม่ได้ยิน

“เดินทางดีๆ นะครับ”

“ขอให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยนะคะ”

ดวงตาสดใสมองตามรถที่แล่นออกไป สัมผัสอบอุ่นที่ศีรษะยังคงอยู่ แม้จะใจหายที่จะไม่ได้เจอผู้มีพระคุณอีกนาน แต่ก็ตั้งใจว่าจะทำตามที่ท่านสั่งไว้ไม่ให้ผู้มีพระคุณต้องผิดหวัง





- - - - - To be continue - - - - -

สงสารหนูขวัญ แต่โชคชะตากำหนดมาให้เป็นอย่างนี้ ช่วยกันเป็นกำลังใจให้หนูขวัญด้วยนะคะ นอกจากนี้ก็ยังต้องโบกมือลาท่านอัศม์ที่ขอไปทำตามความฝันก่อนจะมารับตำแหน่งอย่างจริงจังด้วย เรื่องการศึกษาของท่านอัศม์นี่ ยูกิได้แรงบันดาลใจมาจากใครจำชื่อไม่ได้เหมือนกัน แต่มีใบปริญญาตั้งเจ็ดใบ อ่านผ่านๆ ก็เลย เอ้อ คนแบบนี้ก็มีๆ

ฝากติดตามแฟนเพจและทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)
https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-03-2019 00:15:04
 :3123: :pig4: :3123:


 o13


หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 27-03-2019 03:02:24
 :sad11: สงสารหนูขวัญ แต่ยังดีที่มีคนรัก คนดูเเล
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 27-03-2019 16:47:15
สงสารชีวิตหนูขวัญ แต่โชคยังดีที่หนูยังมีคนรักและเมตตา
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 27-03-2019 23:15:20
กอดๆหนูขวัญนะ เข้มแข็งไว้
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-03-2019 08:46:31
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 3 | 26/03/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 28-03-2019 12:49:36
อะไรคือต้องแต่งให้เศร้าขนาดนี้..  :hao5: :hao5: :hao5: กว่าจะผ่านมาได้ตาบวมเลย..ยูกิใจร้ายยย
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 02-04-2019 21:32:21
4

ครอบครัวใหม่...กับ ‘การเริ่มต้น’

 


ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ตระกูลเตชโรจนโสภณไม่มีอำนาจในประเทศอื่นๆ ในโซนยุโรปในฐานะพรรคมาเฟียก็จริง แต่ก็มีพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ทั่วยุโรปเช่นกัน เมื่อออกนอกโซนเอเชีย ท่านอัศม์เป็นเพียงนักธุรกิจเท่านั้น ทางตระกูลมีบ้านพักตากอากาศอยู่ค่อนข้างมาก ในหลายๆ ประเทศ ในประเทศก็มีหลายหลัง แต่บ้านไม่ใหญ่มากอาศัยการออกแบบตกแต่งที่สวยงามน่าอยู่แทนขนาดเพราะเอาไว้พักผ่อนยามมาเที่ยวหรือว่าทำงาน

อัศม์เดชจึงมาอาศัยอยู่บ้านที่มีอยู่ในประเทศไม่เช่าหอพักหรือคอนโดอยู่เพราะเปลือง แม้ว่าจะห่างจากมหาลัยหน่อยก็ไม่เป็นไร เขามีลูกน้องคอยรับส่งและดูแลอยู่

“วันพรุ่งนี้สันต์ก็จะกลับแล้ว ยังไงอย่าลืมเอาขนมโปรดคุณย่าไปด้วยล่ะ”

“ครับท่านอัศม์”

“เป็นอะไร ทำหน้ายุ่งๆ”

“ผมเป็นห่วงท่าน ไม่อยากกลับเลยครับ”

“เฮ้อ...อยู่กับฉัน ใครจะดูแลบ้าน”

“ถึงจะมีคนดูแล แต่ก็ลำบากน่าดูเลยนะครับ ผมเป็นห่วงจริงๆ”

ท่านอัศม์ส่ายหน้าให้กับคนอายุมากกว่าที่ดูจะเป็นห่วงเขาเกินเหตุ ทั้งๆ ที่ความจริงเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ตอนมัธยมเขาเองก็เรียนอยู่ต่างประเทศ แต่เป็นออสเตรเลีย พอจบไฮสคูลไม่เท่าไหร่ก็ต้องเดินทางกลับไปรับตำแหน่ง เพราะอายุสิบแปดพอดี พ่อเสียตอนเขาอายุได้สิบเจ็ดปี แต่เขาไม่สามารถรับตำแหน่งได้ถ้ายังไม่อายุสิบแปด

สันต์ธรอายุมากกว่าท่านอัศม์เกือบยี่สิบปี ตอนนี้ก็คงสี่สิบกลางๆ แล้ว สามารถเป็นพ่อของเขาได้เลย แต่ว่าเขาติดเรียกสันต์ธรด้วยชื่อเฉยๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่การเรียกแค่ชื่อของอีกคนห้วนๆ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่เคารพสันต์ธรเลย

“ฉันดูแลตัวเองได้”

“ผมทราบครับ”

“พอๆ แล้วเรื่องที่ฉันฝากไว้ล่ะ ปรึกษากับภรรยาว่ายังไงบ้าง”

“ภรรยาผมเธอไม่มีปัญหาครับ ยิ่งเป็นคำขอจากท่านอัศม์เธอยิ่งเต็มใจ กลับไปผมจะรีบจัดการเลยครับ จริงๆ ผมเองก็คิดอยู่แล้วว่าจะรับขวัญมาเป็นลูกบุญธรรม ส่งเสียให้เรียนจบสูงๆ แล้วให้ทำงานให้กับตระกูลอยู่แล้ว แต่ท่านดันขอผมมาก่อน ผมเลยตัดสินใจง่ายขึ้น”

“ฉันก็แค่สงสาร เสียแม่ตั้งแต่เด็กๆ เลยอยากให้มีครอบครัว เริ่มต้นใหม่ แต่ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากสันต์กับภรรยา สันต์แค่รับขวัญเป็นลูกบุญธรรมตามกฎหมาย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดฉันจัดการเอง”

“ไม่ได้หรอกครับท่าน ผมเองก็เต็มใจ เอ็นดูเจ้าขวัญไม่แพ้กัน ถ้าต้องรับมาเป็นลูก คนเป็นพ่อก็ควรจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างของลูกเองสิครับ”

“หึ...ขัดกันอีกแล้วนะ” ท่านอัศม์หัวเราะเบาๆ

“อีกอย่างภรรยาผมก็เหงา อยู่แต่กับบ้าน ลูกชายคนโตเรียนจบไปแล้วตอนนี้ทำงานหนัก ลูกสาวคนรองก็กำลังเรียนมหาลัยปีที่สอง อยู่หอไม่ค่อยกลับบ้าน ลูกสาวคนเล็กเองก็อยู่มอปลายปีสุดทายเตรียมเข้ามหาลัย มีขวัญไปเป็นลูกคนเล็กคนใหม่ก็คงช่วยให้ภรรยาผมไม่เหงาไปอีกสิบกว่าปีเลยครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอจัดการเรื่องการศึกษาก็ได้ ฉันต้องการให้ขวัญฝึกทุกอย่างเพื่อมาดูแลฉันอย่างใกล้ชิด ไม่ได้หมายความว่าจะแทนที่สันต์นะ คล้ายๆ พ่อบ้านน่ะ เพราะหน้าที่นี้ผู้หญิงทำก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ คนงานที่บ้าน อายุมากๆ ก็เริ่มเกษียณแล้ว เหลือแค่พวกสาวๆ ฉันไม่อยากมีปัญหา ให้ขวัญฝึกไว้ พอสิบปีที่ฉันกลับไป ขวัญจะทำหน้าที่นั้น”

“แบบนั้นหาภรรยาไม่ดีกว่าหรือครับ”

“ตอนนี้ฉันไม่คิดจะมีหรือถ้ามีฉันก็ไม่ต้องการให้มายุ่งกับความเป็นส่วนตัวของฉัน ต่อให้แต่งงานฉันก็จะไม่อยู่ห้องเดียวกันแน่นอน สันต์ก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง” อัศม์เดชสบตากับคมของตนกับคนสนิท

“ทราบครับ แต่บางทีท่านอาจจะเจอคนที่รักก็ได้”

“ก็รอให้เจออยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บางทีอาจจะเจอที่นี่ก็ได้”

“ท่านก็...ถ้าเป็นฝรั่ง คุณหญิงน่านฟ้าเป็นลมตายเลยครับ”

“หึ...รู้น่า” ทำหน้าเบื่อโลก

“ทางที่ดีอย่าเป็นคนต่างชาติเลยครับ”

“ใจมันบังคับกันได้ด้วย? เลือกได้ด้วยเหรอว่าจะรักใคร ไม่รักใคร ถ้าเลือกได้ ฉันแต่งไปแล้ว เพราะที่ดูตัวมาทั้งหมดก็มีหลายคนเลยที่อาจจะเป็นคนที่รักได้ แต่ความรู้สึกมันก็ยังไม่ใช่”

“ผมทราบดีครับ”

“อืม...ตามนั้น ให้ขวัญฝึกไปนั่นแหละ ฝึกทุกอย่างทั้งงานในบ้าน เรียนรู้งานในพรรค แล้วก็บริษัทในเครือทั้งหมด ฉันมีความรู้สึกว่าขวัญเป็นคนเก่งและฉลาด ต้องเป็นกำลังที่ดีให้กับตระกูลได้แน่”

ท่านอัศม์เอ็นดูและอุปถัมภ์ขวัญนพัต แต่ก็ไม่คิดว่าจะให้ทุนเปล่าเหมือนเด็กคนอื่นๆ เพราะเขาต้องการให้ขวัญอยู่เป็นกำลังสำคัญให้กับตระกูล

เขาเห็นความซื่อสัตย์ เห็นความจงรักภักดีในแววตาของขวัญนพัต...แล้วความกตัญญูรู้คุณของผู้เป็นแม่ที่มีต่อตระกูล...แค่นั้นมันก็มากพอที่จะเลี้ยงเอาไว้

“ถ้าเป็นความรู้สึกของท่าน ผมก็เชื่อครับ แต่ให้เรียนรู้เยอะแบบนี้มันค่อนข้างจะหนักไปหน่อยไหมครับ”

“เชื่อเถอะว่าเด็กคนนั้นสู้กว่าที่คิด เก่งแล้วก็เข้มแข็งเหมือนแม่แน่นอน”

“ผมเองก็เชื่อแบบนั้นครับ แต่ก็กลัวเด็กจะไม่ไหว ผมรับรองว่าจะรักและดูแลขวัญเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง และจะสอนทุกอย่างตามที่ท่านต้องการครับ”

“อืม...เปิดบัญชีให้ขวัญ แล้วโอนเงินให้ขวัญทุกเดือนในนามของฉัน ส่วนจะเลี้ยงดูรับผิดชอบลูกยังไงก็เครื่องของสันต์กับครอบครัว แต่ฉันจะรับผิดชอบการศึกษาและให้เงินทุกเดือน”

“ท่านอัศม์คิดจะให้ขวัญรวยตั้งแต่เด็กเลยหรือครับเนี่ย เด็กมันไม่ค่อยใช้เงินหรอกนะครับ”

“ก็ออมเอาไว้ใช้ตอนที่ใช้เป็นนั่นแหละ”

“เอ็นดูขนาดนี้ ทำไมไม่รับเป็นลูกบุญธรรมตัวเองล่ะครับ” สันต์ธรถามด้วยเพราะสงสัย

ไม่เคยเห็นท่านจะสนใจหรือชอบเด็กมาก่อน แต่สันต์ธรรับรู้ได้ว่าเวลาท่านอยู่กับขวัญนพัตหรือว่าเห็นจะมีรอยยิ้มที่หน้าเสมอ...

“ฉันคิดอยู่ แต่คิดว่าคงเป็นอะไรที่กดดันเกินไป แล้วฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นพ่อคนได้ด้วย”

“น้องชายล่ะครับ คุณอินทร์ คุณอัยย์ก็เหมือนจะเอ็นดูมากพอตัวด้วย”

“เด็กมันจะโดนหมั่นไส้เอาน่ะสิ แล้วจะไปสร้างรอยแผลให้อีก ฉันไม่อยากให้ขวัญใช้ชีวิตกดดัน คนงานบางคนไม่อิจฉาแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครไม่อิจฉา”

“นั่นสินะครับ”

“สันต์ก็บอกทุกคนไปว่าว่าอยากอุปการะเอง ไม่ต้องบอกว่าเป็นฉัน เก็บเป็นความลับล่ะ” เจ้านายสั่งใบหน้าจริงจังเพราะถ้าใครรู้อาจจะมีปัญหาตามมา

แม้เขาจะไม่สนใจก็ได้ คนที่มีปัญหาก็แค่ไล่ออก แต่คนที่เสียความรู้คือขวัญนพัต เขาไม่ต้องการให้ใบหน้าสดใสนั่นต้องเต็มไปด้วยน้ำตาอีก...

“ได้ครับท่าน”

“ไปพักเถอะ พรุ่งนี้เดินทาง”

“ผมอยู่รับใช้ท่านดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ได้อยู่อย่างใกล้ชิดอีกนาน”

เจ้านายผู้ที่นิ่งขรึมตลอดเวลาถอนหายใจอย่างระอากับนิสัยคนสนิทที่เหมือนพ่อติดลูกไปทุกขณะ แต่อัศม์เดชก็ยอมรับว่ารู้สึกใจหายเหมือนกัน เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้า แม้จะพูดคุยอย่างสนิทสนมกับสันต์ธร สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก แต่แววตาบอกว่าสบายใจ...

สันต์ธรก็เป็นอีกคนที่ทำให้ท่านผ่อนคลายเสมอ ความรู้สึกเหมือนกับคนในครอบครัว

 

สันต์ธรกลับมาได้สองวันแล้ว และวันนี้เขาพาภรรยาของตัวเองมาที่คฤหาสน์ แล้วตรงไปหาขวัญนพัตที่บ้านพักคนงานซึ่งตนได้นัดกับพิไลเอาไว้แล้ว เด็กชายที่ได้ยินว่าลุงสันต์ของตัวเองมาก็รีบมาหาด้วยสีหน้าร่าเริงพอเห็นว่าลุงไม่ได้มาคนเดียวก็ยกมือไหว้คนข้างๆ ที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วหลบหน้าด้วยความเขิน

พิไลนั่งลงข้างๆ รับไหว้ภรรยาของสันต์ธรเพราะเธออายุมากกว่า

“ลุงสันต์ ไหนของฝากหนู”

“โอ๊ะ...ลืมเอามา”

“งื้อ...ไหนบอกว่าจะเอามาให้หนูไง” เด็กน้อยหน้างอ

“เด็กคนนี้หรือพี่สันต์” คนเป็นภรรยาถามสามี

“ใช่...ขวัญ นี่คือภรรยาของลุงเอง ชะ...”

“ป้าชื่อ เกศลูก” เอ่ยแทรกสามีทันที เกศรายิ้มเพราะนึกเอ้นดูแต่แรกเห็น เข้าใจเลยว่าทำไมสามีถึงได้บอกว่าจะต้องตกหลุมรัก

ตกหลุมรักจริงๆ

“หนูชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นขวัญฮับคุณป้า”

“อายุล่ะลูก”

“เจ็ดขวบครับ กำลังจะขึ้นชั้นปอหนึ่ง”

“แล้วจะเรียนที่ไหนจ้ะ”

“เรียนที่ไหนฮะลุงสันต์” เด็กชายหันไปถามสันต์ธรตาแป๋ว

สันต์ธรยิ้มแต่ไม่ตอบ มองหน้าพิไล ส่วนพิไลเองก็รู้เรื่องมาคร่าวๆ แล้ว

“ขวัญ รักลุงสันต์ไหมลูก” ผู้เป็นยายถามหลาน

“รักสิฮะ”

“งั้นถ้าไปอยู่กับลุงสันต์ หนูจะไปไหม บ้านลุงสันต์อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก แต่ก็ใกล้โรงเรียนมากกว่า หนูจะได้เรียนสูงๆ ไงลูก ที่สำคัญเสาร์อาทิตย์หนูจะมาอยู่ที่นี่กับยายได้เหมือนเดิม จันทร์ถึงศุกร์ก็ไปอยู่กับลุงสันต์”

“เหรอฮะ...แค่หนูไม่ต้องห่างจากยาย หนูยังไงก็ได้” เด็กน้อยไม่เรื่องมาก เพราะลุงสันต์ก็เป็นอีกคนที่ตนรักและสนิทด้วย

“แล้วถ้าลุงรับขวัญมาเป็นลูกล่ะ” สันต์ถามขึ้น ทำเอาเด็กน้อยหันขวับมามองหน้าทันที

“หมายความว่ายังไงฮะ?”

“ก็หมายความว่าป้ากับลุงสันต์จะรับหนูเป็นลูกบุญธรรมไงจ้ะ หนูจะมีลุงกับป้าเป็นพ่อแม่ แต่เราไม่ได้จะมาแทนพ่อแม่หนูนะ เราแค่อยากดูแลหนูในฐานะพ่อกับแม่เท่านั้นเอง”

ได้ยินแบบนั้นเด็กชายขวัญนพัตที่ต้องการความอบอุ่นแบบครอบครัวมาตลอดก็ร้องไห้ออกมา เอี้ยวตัวไปกอดยายพิไลของตนด้วยความดีใจ

ไม่มีอะไรที่หนูน้อยจะปฏิเสธ แต่เพียงไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ เด็กชายไม่เคยลืมแม่ของตน แต่ก็อยากจะมีคนที่จะเรียกว่าพ่อกับแม่ได้เหมือนคนอื่นๆ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงก็ได้ แค่ตนสามารถเรียกว่าพ่อกับแม่ได้ก็พอ...

“ว่าไงจ้ะ...ให้เราเป็นพ่อแม่ของหนูได้ไหม”

“ฮือ...ยายจ๋า”

“ว่าไงลูก”

“จ่ะ จริงเหรอฮะ หนูจะมีพ่อแม่ จริงๆ เหรอฮะ ฮึก”

“จริงสิครับลูกพ่อ” ขวัญนพัตเงยหน้าจากยายมองหน้าสันต์ธรทั้งน้ำตา เบะปากแล้วปล่อยโฮเสียงดัง ผู้ใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วยิ้มเอ็นดู

“ทำไมลูกชายของแม่...ถึงได้ขี้แยจังเลย”

“พ่ะ...พ่อ ฮึก ม่ะ...แม่” เสียงเล็กเอ่ยสั่นๆ ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามองพ่อแม่คนใหม่สลับกัน แล้วยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก

“โฮ!!!”

“เอ้า! เจ้าเด็กคนนี้ ดีใจใครเขาร้องไห้ล่ะลูก ดีใจเขาต้องยิ้มกัน” พิไลพูดกลั้วหัวเราะ ส่วนคุณพ่อคุณแม่คนใหม่ก็ลุกขึ้นเดินไปหาเจ้าตัวเล็ก สันต์ธรอุ้ม ‘ลูกชายคนเล็ก’ ขึ้นมา แววตาอ่อนโยนมองเด็กขี้แยแล้วหอมกระหม่อมบางเบาๆ เจ้าตัวเล็กโอบกอดคอเขาทันทีแล้วรัดแน่นราวกับกลัวว่าสันต์ธรจะหนี

เกศราผู้เป็นภรรยาก็กอดตัวของสามีอีกที แม้ว่าโอบไม่รอบ แต่ก็เหมือนว่าสามคนพ่อแม่ลูก กำลังกอดกันอยู่

“ไปอยู่ด้วยกันนะลูก แม่เตรียมห้อง เตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกชายคนเล็กแล้ว จากนี้ไป หนูเป็นลูกพ่อกับแม่ เป็น ‘ขวัญนพัต วรเกียรติสกุล’ เป็นครอบครัวนะคะ”

เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าทั้งที่ยังโอบกอด ‘พ่อ’ ไม่ปล่อย ส่วน ‘แม่’ ก็คอยลูบผมบางๆ ปลอบโยน พิไลมองภาพนั้นอย่างประทับใจและดีใจ

เธอยินดีที่ได้เห็นหลานที่รัก กำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์... ไม่ต้องห่วงแล้วนะขิม...มีคนมาทำหน้าที่พ่อแม่ให้กับลูกของเธอแล้ว หลานฉันจะต้องมีความสุขที่สุดแน่นอน...

“พ่อฮะ...ฮึก แม่ฮะ ขอบคุณ ฮือ ขอบคุณฮะ”

สันต์ธรกระชับอ้อมแขน ตระกองกอดร่างเล็กราวกับกำลังปกป้องลูกจากอันตราย มันเป็นการสัญญา...สัญญาที่จะดูแลเด็กชายขวัญนพัต ดั่งลูกแท้ๆ ของตน

“อุ่นจัง”

แม้จะไม่อุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่ขิม...แต่ก็ให้ความอบอุ่นเหมือนกัน

 

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

ขวัญนพัตเดินก้าวเข้าไปในตัวบ้านที่ใหญ่โต แม้ไม่เท่าคฤหาสน์ท่านอัศม์แต่ก็ใหญ่โตบ่งบอกฐานะที่ไม่ธรรมดา มือขวาถูกจูงโดยผู้เป็นแม่ เหล่าคนรับใช้ต่างก็พากันมาต้อนรับสมาชิกคนใหม่ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เจ้าตัวเล็กสวัสดีสาวใช้ทุกคนอย่างถูกสอนมาให้รู้จักทำความเคารพผู้ใหญ่ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะไหนก็ตาม ส่วนเหล่าสาวใช้ก็รีบรับไหว้แทบไม่ทัน ยิ้มให้อย่างเอ็นดู

ใบหน้าน่ารักหันมองนู่นนี่ด้วยความตะลึงตื่นเต้น

“บ้านใหญ่จังเลยฉะคุณแม่” ยายพิไลสอนให้เด็กชายเรียกพ่อแม่บุญธรรมว่า ‘คุณพ่อ’ และ ‘คุณแม่’ เพราะรู้ว่าฐานะของสันต์ธรค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคม

“ชอบหรือเปล่าคะ”

“ชอบฮะ”

“น้องขวัญมีห้องส่วนตัวด้วยน้า”

“จริงเหรอฮะ ขอบคุณฮะคุณแม่” ขวัญนพัตยิ้มจนตาปิด มองสำรวจรอบๆ บ้านต่อ แต่สายตาก็ต้องไปสะดุดกับผู้ชาย ผู้หญิงสามคนที่เดินตรงมาด้วยสีหน้าราบเรียบ

ขวัญนพัตจับมือเกศราแน่น ขยับไปหลบอยู่ข้างหลัง แต่ก็แอบๆ ชะโงกดู ปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาหญิงสาวที่คนหนึ่งเม้มปาก กำหมัดแน่น

“มาแล้วเหรอทั้งสามคน” สันต์ธรที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยทัก มองหน้าลูกชายลูกสาวสามคนที่จ้องน้องเล็กคนใหม่จนเจ้าตัวน้อยหลบอยู่หลังคุณแม่แล้วยิ้มออกมา

“ขวัญ นี่พี่ชาย พี่สาวของขวัญนะครับ” สันต์ธรบอก ขวัญนพัตได้ยินแบบนั้นก็หน้าหงอย เพราะคิดว่าพี่สาว พี่ชายไม่ชอบตนแน่ๆ ถึงแต่มองตัวเองนิ่งๆ ไม่ยิ้มไม่ทักทาย

“เอ้า! แนะนำตัวสิพี่ๆ” คนเป็นแม่เร่ง

“พี่ชื่อสิงห์ เป็นพี่คนโต”

“พี่ชื่อแก้ม เป็นพี่รอง”

“ส่วนพี่ชื่อแพร แต่ก่อนเป็นน้องเล็ก ตอนนี้เป็นพี่คนที่สาม แล้วตัวล่ะ”

“หนูชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นขวัญฮะ” น้องแนะนำตัวเสียงเบา ไม่กระตือรือร้นเหมือนอย่างที่แนะนำตัวกับคนอื่นๆ เพราะความรู้สึกติดลบไปแล้วว่าพี่ๆ ไม่ต้อนรับ

ทั้งสามคนที่ปั้นหน้าขรึมเห็นหน้าเศร้าๆ ของน้องชายคนเล็กก็ใจแข็งต่อไปไม่ไหว กรูเข้าหาเพื่อปลอบขวัญน้องชายที่แสนน่ารักทันที คนเป็นแม่ถูกผลักออกไปจากวงโคจร แทนด้วยพี่ๆ ที่นั่งคุกเข่ากับพื้นล้อมตัวน้องไหว

“โอ๋ๆ น้องพี่ พี่แกล้งนิดเดียวเอง ไม่ร้องนะคะ” กัญญาวีพี่สาวคนรองเอ่ยเสียงอ้อน

“ใช่แล้วเจ้าตัวเล็ก พวกพี่ยินดีต้อนรับน้องเล็กนะเนี่ย ไม่ร้องๆ” สรทรพี่คนโตพูดแล้วลูบหัวเบาๆ

“พี่ล่ะอยากจะโผเข้ามาฟัดแก้มน้องตั้งแต่เดินมาแล้ว นี่กำมือแน่นมากเลยนะ งื้อ น่ารัก น่าหยิกจริงๆ” แพรนวลพี่สาวคนที่สามซึ่งเป็นอดีตน้องเล็กว่าแล้วก็ฟัดแก้มนุ่มนิ่มทันที

เด็กชายตัวน้อยที่ถูกรุมมองไปยังพี่ๆ ด้วยสายตางงๆ ยิ่งส่งเสริมให้ดูน่ารักน่ากอดเข้าไปใหญ่ แต่พอเห็นพี่ๆ เป็นแบบนี้ก็ดีใจ ยิ้มกว้างออกมาในที่สุด

“หนูนึกว่าพี่ๆ ไม่ชอบหนู”

“โธ่...ใครว่าพวกพี่ไม่ชอบ แค่แกล้งเฉยๆ”

“หนูกลัวแทบแย่เลย”

“มาๆ พี่แพรจะกอดปลอบนะ”

“เดี๋ยวน้องก็อึดอัดหรอกแพร” สรทรดุน้อง แต่ไม่จริงจังนัก กลัวว่าแพรนวลจะกะแรงไม่ถูกแล้วขวัญนพัตจะหายใจไม่ออก

สมกับเป็นพี่คนโตที่เรียนจบมีงานทำแล้ว เพราะขวัญนพัตมองพี่ชายไม่วางตาเลย ดวงตามีประกายวิบวับ จนพี่ชายทนไม่ไหวทำในสิ่งที่ห้ามน้องสาวทำแทน

หมับ!!

“พี่สิงห์!! ไหนว่ากลัวนอกอึดอัดไง ปล่อยเลยนะ”

“โอ๊ยแพร...พี่เจ็บนะ”

“พอทั้งคู่นั่นแหละ ปล่อยเลย มามะ พี่แก้มจะพาไปเดินชมรอบบ้าน แล้วก็ห้องนอนนะขวัญ” กัญญาวีดึงตัวน้องเล็กมาไว้กับตัวเองได้สำเร็จแล้วพาเดินออกไปทันที โดยมีพี่ชายกับน้องสาววิ่งตามมาด้วย

สันต์ธรกับเกศราปล่อยให้ลูกๆ จัดการกันเอาเอง ตอนนี้ทุกคนมีสมาชิกเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน จะต้องไม่ให้ขวัญนพัตรู้สึกเป็นส่วนเกินอย่างเด็ดขาด กับลูกๆ เธอไม่เป้นห่วงนักหรอก เพราะทุกคนดูรักและเอ็นดูน้องดี แต่กับพวกคนใช้เธอกลัวว่าจะปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน เลยกำชับหนักแน่น

“ขวัญเป็นลูกชายของพวกเรา ให้ทุกคนจำเอาไว้ว่าแล้วปฏิบัติกับคุณขวัญให้เหมือนกับคุณๆ ด้วย”

“ค่ะ คุณเกศ”

“แยกย้ายไปเตรียมอาหารไป วันนี้กินที่สวน ต้อนรับสมาชิกใหม่ จัดอาหารให้เต็มที่นะ”

“ค่ะ”

เกศราเดินไปนั่งพักผ่อนด้วยสีหน้ามีความสุข เธอคิดเอาไว้ต่างๆ นาๆ ว่าจะสอน จะพาขวัญนพัตทำอะไรบ้าง สันต์ธรยิ้มให้ภรรยา

“พี่ว่าเรามาเลือกโรงเรียนให้ลูกดีกว่า จะขึ้นปอหนึ่งแล้วไม่ยังไม่รู้ว่าจะให้เรียนที่ไหน”

“จริงด้วย พี่ไม่ได้หาไว้เลยหรือคะ”

“มีมองๆ ไว้บ้าง แต่อยากให้เรียนโรงเรียนที่ตระกูลสนับสนุนหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ แล้วก็ต้องเป็นหลักสูตรอินเตอร์ด้วย ผมว่าจะให้เรียนที่เดียวกับคุณอินทร์ คุณอัยย์เคยเรียน”

“ไกลนะคะ ลูกต้องตื่นเช้าน่าดูเลย”

“แต่มันก็เป็นโรงเรียนที่ท่านเลือกเหมือนกันนะ”

“คงต้องตามแต่ท่านแล้วค่ะ เดี๋ยวเกศจะคอยตื่นปลุกลูกไปเรียน ยังไงเกศก็ตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้ว”

“ครับ”

 

ทางด้านพี่น้องที่กำลังพาน้องชายคนใหม่เดินชมรอบๆ บ้านก็พากันแย่งพูดแย่งแนะนำราวกับเด็กไม่รู้จักโต พอดูรอบๆ เสร็จก็พาน้องชายขึ้นไปดูห้องนอน

“นี่ห้องนอนของขวัญนะ เป็นไงบ้าง พี่กับพี่แพรไปช่วยกันเลือกผ้าห่ม ผ้าปู หมอนข้าง ตุ๊กตาเลยน้า”

“สวยฮะ แล้วก็ใหญ่ด้วย แต่หนูไม่กล้านอนคนเดียว” น้องทำหน้าหงอย

“ฮื่ม...มันเขี้ยว” สรทรเม้มปาก บีบแก้มนุ่มเบาๆ

“พี่รู้ เดี๋ยวพี่กับพี่แก้มจะสลับมานอนเป็นเพื่อนจนกว่าขวัญจะชินดีไหม”

“ดีฮะ” น้องยิ้มออกทันที

เพราะทั้งชีวิตนี้ ขวัญนพัตยังไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน มันค่อนข้างจะน่ากลัวเกินไปสำหรับเด็กที่ต้องนอนในห้องนอนที่ใหญ่โตขนาดนี้

“อ้าว? แล้วพี่ล่ะ” พี่ชายคนโตทำหน้าเหลอหลายามถูกดันออกไปเป็นคนนอก

“พี่สนใจพี่น้องด้วยเหรอ เห็นแต่กลับบ้านดึกๆ คบอยู่กับผู้หญิงแรงๆ”

“อ่ะ...เอ่อ อย่าคุยเรื่องนี้ให้น้องได้ยินสิแพร จุ๊ๆ”

“ไม่ต้องมาจุ๊เลย ถ้าหาพี่สะใภ้ดีๆ ไม่ได้ น้องจะไม่คุยกับพี่สิงห์อีกเลยคอยดู” แพรนวลสะบัดหน้าใส่พี่ชาย เดินจูงมือน้องชายเข้าไปในห้องนอน

“สมน้ำหน้า!”

“อ้าวเฮ้ย! นี่พี่จะเว้ย!!”

“ขวัญ อย่าไปทำตามพี่สิงห์นะ”

“อย่าเสี้ยมน้อง! ขวัญ พี่เป็นพี่ชายที่ดีนะ ทำงานแล้วด้วย เลี้ยงน้องได้สบายเลย”

“มั่ว หลงตัวเองอย่าไปฟัง”

“แก้ม แพร เลิกยุน้องได้แล้ว ฮึ่ย!!”

“ฮ่าๆ”

ขวัญนพัตมองพี่ๆ ที่กำลังสนุกโดยการหาเรื่องกันไปมา วิ่งไล่จับกันโดยใช้ตัวน้องชายไปโล่กำบัง แต่ไม่นานขวัญนพัตก็วิ่งหัวเราะหนีทุกคน จนกลายเป็นว่า ขวัญนพัตกลายเป็นคนถูกตามไล่เสียได้

“ฮ่าๆ อย่าตามหนู”

“มาให้พี่จับซะดีๆ”

“อย่าหนีพี่นะขวัญ”

“ไอ้ตัวเล็ก เสร็จแน่”

สี่พี่น้องวิ่งไล่จับในห้องนอนของขวัญนพัตอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้าน คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างได้ยินก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข

ชีวิตของขวัญนพัตก็เริ่มต้นขึ้นใหม่ ในครอบครัวใหม่ บ้านหลังใหม่นับแต่นั้นมา

 

ขวัญนพัตมีชีวิตที่มีแต่ความสุข ทุกคนที่บ้านนี้ให้ความรัก ความเอาใจใส่ขวัญนพัตดีมากๆ ส่วนเด็กชายเองก็ร่าเริงสมวัย เป็นที่รักของพ่อแม่ และพี่ชายพี่สาว ได้เรียนโรงเรียนที่ดี มีเพื่อนเยอะแยะ เสาร์อาทิตย์ก็จะไปที่คฤหาสน์ตระกูลกับผู้เป็นพ่อเพื่อไปเรียนและฝึกทำงานบ้าน การทำอาหารกับผู้เป็นยาย บ้างก็ไปให้คุณหญิงอัปสรท่านสอนให้

บางครั้งพี่ๆ ก็พาไปเที่ยว ไปซื้อของ วันไหนที่อินทร์ธร อัยยวัฒน์ว่างจากงานก็จะไปรับที่โรงเรียนกินขนมเสร็จก็พาไปส่งที่บ้านสันต์ธร ขวัญนพัตกลายเป็นเด็กที่โชคดีไปเลยเมื่อมีคนรอบข้างแสนดีกับตัวเองแบบนี้ สถานะจะเปลี่ยนไป แต่กับคนงานในคฤหาสน์ขวัญนพัตก็ยังเป็นขวัญนพัตคนเดิม ร่าเริงสดใส เป็นขวัญใจของทุกคน ถึงแม้ว่าเด็กชายจะพิเศษกว่าใครๆ ตรงที่ได้เดินเข้าออกตึกใหญ่เป็นว่าเล่น แต่เด็กน้อยก็ยังคงมารยาทไว้ จะเข้าไปก็ต่อเมื่อเจ้าของบ้านชวนเท่านั้น หากไม่มีใครชวน เด็กน้อยจะขลุกอยู่กับยายและวิ่งเล่นที่สวนบ้านพักคนงานเหมือนเดิม

ขวัญนพัตรู้จักกับเจ้านายทุกคนเป็นอย่างดี ได้รับความเอ็นดู ความเมตตาอย่างท่วมท้น ไม่นานมานี้...คนสุดท้ายที่ไม่คิดว่าจะมาคุยหรือเกลือกกลั้วกับเด็กชายคือคุณหญิงน่านฟ้า คุณแม่ของท่านอัศม์ ท่านก็มองเด็กชายเป็นเด็กคนหนึ่ง ไม่คิดว่ามีอะไร เลยไม่อยากจะไปสนิทสนมหรือเอ็นดูเด็กให้เด็กมันได้ใจ แต่พอได้เด็กชายเดินเป็นเพื่อนดูดอกไม้ในวันหนึ่งก็เกิดติดใจกับความช่างพูด ช่างเจรจา แววตาใสซื่อ มีมารยาทแบบเด็กน่ารักที่บริสุทธิ์ทั้งการกระทำและคำพูด ไม่มีความเอาแต่ใจหรือคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่เหนือว่าคนอื่นๆ อย่างที่คิด เข้าใจเลยว่าทำไมแม่สามีถึงได้ชอบคุยกับเด็กคนนี้นัก แน่นอนว่าเธอก็ติดบ่วงนั้นเข้าจังๆ จนกลายเป็นคุณครูสอนงานฝีมือให้เด็กชายอีกคน

และนับวันขวัญนพัตก็ยิ่งโตขึ้น ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดู ผิวพรรณดี ขาวผ่อง ใบหน้าหวานถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ มีแววว่าโตเต็มที่คงจะสวยหวานมากกว่าหล่อเหลาแน่ เหล่าพี่ชาย พี่สาว รวมทั้งอินทร์ธร อัยยวัฒน์ก็ตามหวง ตามดูแล ประคบประหงมดั่งไข่ในหินเสมอมา...

 



+ + + + + To be continue + + + + +

          ฟ้าหลังฝนของหนูขวัญก็จะงดงามแบบนี้แหละค่ะ ได้ครอบครัวใหม่ที่รักและเอ็นดูน้อง จากนี้ชีวิตของน้องก็จะโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความสุขค่ะ สงสารน้อง เรื่องนี้ใสๆ (?) เน้นฟีลกู้ด ความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ ค่ะ มีปมขัดแย้งของทางพรรคกับพวกแก๊งเล็กๆ บ้าง อย่างน้อยก็จะมีพื้นที่จะให้เหล่าคุณท่านอีกสี่ตระกูลได้เผยโฉมนะคะ ส่วนเรื่องความรักจะเน้นแบบพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ ประมาณไม่รู้ตัวมากกว่าไม่รู้ใจเนอะ ^^ จบการสปอยล์จ้า

          ช่วยกันติดตามแฟนเพจและทวิตเตอร์ยูกิด้วยนะคะ เราไปคุยกันฉันท์เพื่อนหรือพี่น้องได้เลย ยูกิเหงา เพื่อนไม่มีแล้วจ้า

          https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)         https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-04-2019 22:07:00
 :3123:
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 02-04-2019 22:39:56
น้องขวัญมีครอบครัวใหม่ที่ดีมากเลยย เอ็นดูหนูขวัญด้วยนะะะ
โตแล้วสวยเหมือนแม่  :impress2:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 02-04-2019 23:00:19
อยากให้น้องขวัญโตเร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-04-2019 23:33:02
 o13


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-04-2019 00:01:38
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-04-2019 06:22:48
น้องขวัญตอนเด็กๆน่ารักน่าเอ็นดูมาก อยากเห็นน้องตอนโตจัง
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 4 | 02/04/62 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 03-04-2019 10:42:09
 :ruready  องครักษ์ของหนูขวัญมีเยอะมาก
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 16-04-2019 23:05:19
5

กลับมา...เพราะ ‘พรหมลิขิต’




วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตามกลไกโดยธรรมชาติของมัน ทุกคนดำเนินชีวิตไปตามปกติ สุข ทุกข์ ทุกคนมีหน้าที่ ก็ใช้ชีวิตตามหน้าที่ของตน

ช่วงที่ท่านอัศม์เรียนปริญญาตรีใบที่สองในมหาลัยชื่อดังของอเมริกา ช่วงปิดเทอมท่านจะกลับมาทำงานที่พรรค ที่บริษัทตลอด ยกเว้นช่วงที่ต้องฝึกงาน ซึ่งต้องฝึกอยู่ที่นั่นและไม่ได้กลับมา ท่านกลับมาอีกครั้งก่อนจะเริ่มต่อโทใบที่สอง มาก็เจอขวัญนพัตบ้าง แต่ไม่บ่อย เพราะตนกลับมาทำงานไม่ได้มาพัก แต่ก็ได้ฟังรายงานเรื่องของเด็กชายตัวน้อยอยู่ตลอด หากเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก แค่รู้ว่าเด็กตั้งใจเรียน ประพฤติตัวดีก็พอแล้ว

แต่แล้วท่านก็ไม่ค่อยมีเวลาอีกเลยเมื่อเริ่มเรียนต่อโทใบที่สอง งานของบริษัทได้อินทร์ธรและอัยยวัฒน์บริหารอยู่ แต่ประธานใหญ่คืออัศม์เดชเวลาประชุมก็ต้องวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เอา เอกสารสำคัญเขาเคลียร์เอง ตรวจสอบการทำงานของน้องชายด้วย ในส่วนของพรรคเขาก็ทำเช่นเดียวกับบริษัท ไม่ได้ทิ้งไปไหนตรวจสอบอยู่เสมอ ทั้งเรียนทั้งงาน ตารางชีวิตในแต่ละวันก็เต็มแล้ว มีอยู่สองครั้งที่ท่านต้องกลับมาเพื่อร่วมงานรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลผู้นำพรรคเบญจเตโช ที่เปลี่ยนผู้นำเป็นรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน ร่วมงานเสร็จก็กลับไปอเมริกาดังเดิม จากนั้นท่านก็ไม่กลับไทยอีกเลยจนจบปริญญาเอกตามเป้าหมายสุดท้าย...



“โอ้โห...คอแทบเคล็ด มองขนาดนี้ไม่เข้ามาขอเบอร์เลยล่ะ”

เสียงไม่สบอารมณ์ของแก้วกานต์เพื่อนรักของขวัญนพัตที่โตมาด้วยกันว่าอย่างหมั่นไส้ผู้ชายคนหนึ่งที่มองเพื่อนรักจนคอแทบหัก

“แล้วนั่นก็อีก เข้ามาจีบเลยไหม”

“อยากให้เขามาจีบตัวเองขนาดนั้นหรือไง ไหนว่าชอบผู้หญิง?” ขวัญนพัตหันหน้าหวานๆ มามองเพื่อนรัก

เพื่อนตัวสูงถึงกับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับความซื่อบื้อของเพื่อนสนิท เพราะเจ้าตัวเหมือนจะไม่รู้เลยว่าตัวเองสวยสะกดขนาดไหน โชคดีที่เป็นชายแท้ เลยไม่หวั่นไหว แต่เขาก็มีความหวงเพื่อนขั้นสูงสุดเหมือนกัน

“ขวัญ...นายซื่อบื้อว่ะ”

“เอ้า...อยู่ๆ ก็มาว่าเราเฉยเลย”

เด็กชายขวัญนพัตในวันก่อนเติบโตขึ้นมากลายเป็นนายขวัญนพัตวัยสิบเจ็ดปีที่หน้าตาสวยหวานพร้อมเป็นศัตรูกับผู้หญิงทั่วโลก ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ระดับ High School Grades 11 เทียบเท่ามัธยมปลายปีที่ห้า ผิวขาวผ่อง ออกแดดทีสะท้อนแสงจนแสบตา เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน ทรงผมเลยไม่ต้องตัดเกรียนเหมือนเด็กรัฐบาล เลยทำให้ใบหน้าดูสวยเข้าไปอีก

“นี่ก็อีก...มอง มองขนาดนี้ เข้ามาสิงเลยไหม” ร่างสูงมองไปยังคนที่จ้องเพื่อนสนิทอยู่ฝั่งตรงข้าม

“แหนะ...อะไรของแก้วเนี่ย”

“รู้ตัวบ้างไหมขวัญ”

“รู้อะไร?”

“โว้ย...หงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าถูกคุณอินทร์ คุณอัยย์ไหว้วานให้ดูแล จะไม่สนใจใยดีเลย” แก้วกานต์บ่น ใบหน้าหล่อเข้มหงุดหงิดจนขวัญนพัตยิ่งไม่เข้าใจ

ที่พูดไปก็ไม่ใช่ความจริงหรอก ต่อให้ใครไม่ไหว้วาน ก็ทิ้งเพื่อนคนนี้ไม่ได้อยู่ดี

แก้วกานต์มองเพื่อนสนิทที่กำลังเลือกของขวัญวันเกิดให้กับเพื่อนผู้หญิงในห้องที่กำลังจะจัดงานวันนี้ เป็นลูกของคนมีฐานะ ขวัญนพัตเลยถือโอกาสเอาเงินที่ได้รับทุกๆ เดือนจากท่านอัศม์มาใช้ ซึ่งนานๆ จะใช้ที เนื่องจากไม่ได้ลำบากขนาดนั้น พ่อแม่ก็เลี้ยงดูดี เลยปล่อยให้มันสะสมไป พอเช็คยอดคงเหลือแต่ละครั้งก็ถอนหายใจ คือจำนวนที่มีมันมากเกินไปที่คนอายุสิบเจ็ดปีจะมีในครอบครอง เคยคุยกับพ่อว่าจะคืนเงินท่านทั้งหมด ก็ไม่เป็นผลเพราะท่านตั้งใจให้ และบังคับว่าต้องใช้ ขวัญนพัตเลยได้แต่รับมันมาและไม่กล้าใช้เลย

“ไม่แพงไปเหรอขวัญ”

“เราก็ว่ามันแพงแหละ แต่มันเป็นแบรนด์เนมนะ ถ้าซื้อของให้เรนนี่ก็ต้องให้สมฐานะ ไม่งั้นเราจะกลายเป็นตัวตลกของงาน”

“แต่นี่มันแบรนด์เนมราคาแบบหมื่นกว่านะเว้ยขวัญ บ้าไปแล้วเหรอ นี่กะเข้าไปตอกหน้าเลยหรือไง แบบเรนนี่ใช้น้ำหอมไม่ถึงหมื่นหรอก”

“เอาน่า เขาจะได้เลิกดูถูกเราไงแก้ว”

“นายเป็นถึงลูกบุญธรรมคุณลุงสันต์คนสนิทของท่านอัศม์ ร่ำรวยกว่ายัยเรนนี่เยอะเลย เปลืองเงินว่ะ”

“เอาเถอะน่า เราไม่ค่อยใช้เงินนี่ ถือว่าเพื่อความสะใจของแก้วไง”

“ไอ้บ้า นายนี่มันเหลือเกิน” ร่างสูงส่ายหน้า

เพื่อนของตนเป็นคนที่จะไม่ค่อยเดือดร้อนนักถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่นที่สำคัญกับตัวเอง ขวัญนพัตจะเดือดเนื้อร้อนใจมากๆ

“ฮะๆ เอาอันนี้เลยครับ แล้วห่อเป็นของขวัญให้ด้วยนะครับ”

ขวัญนพัตหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปชี้น้ำหอมที่พนักงานแนะว่าผู้หญิงนิยมกันแต่ราคาหลักหมื่น ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นหญิงที่มีฐานะ พร้อมกับส่งบัตรเดบิตไปเพราะต้องการให้หักจากบัญชีที่เป็นบัญชีรับเงินจากท่านอัศม์โดยเฉพาะ ร่างบางไม่อยากใช้เงินเพื่อตอกหน้าใครแบบนี้

แต่เรนนี่ดูถูกแก้วกานต์ เขายอมไม่ได้

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบพระคุณมากๆ เลยนะคะ”

ขวัญนพัตรับถุงกระดาษที่มีโลโก้ของร้าน ซึ่งด้านในถุงห่อได้อย่างหรูหรามาก รับรองได้ว่าคนได้รับของขวัญนี้ต้องอึ้ง ตะลึงไปจนถึงชาติหน้าแน่นอน...

ทั้งคู่เดินไปร้านเบเกอรี่ร้านประจำในห้างที่มักจะมาด้วยกันบ่อยๆ สั่งของที่จะทานแล้วนั่งคุยกันอยู่ที่มุมสงบๆ ของร้าน เพราะวันนี้ไม่มีงานต้องกลับไปทำก็เลยมาซื้อของขวัญหลังเลิกเรียนทันที เพื่อไปงานวันเกิดของเพื่อนร่วมคลาสซึ่งถูกบังคับให้ไปก็เลยขออนุญาตพ่อแม่ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

“คุณลุงแกไปอเมริกาใช่ไหม”

“อือ...ไปรับท่านอัศม์กลับน่ะ”

“นี่ท่านก็ไปเรียนถึงสิบปีเลยเนาะ เก่งว่ะ เป็นฉันคงตายตั้งแต่ปริญญาตรีแล้ว” แก้วกานต์พูด สีหน้าที่ประกอบคำพูดเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากขวัญนพัต

“ก็จริง แต่คุณพ่อบอกว่าท่านชอบที่จะหาความรู้น่ะ”

“นายเองก็เหมือนกันขวัญ นอกจากเรียนหนังสือก็เรียนอะไรไม่รู้เยอะไปหมด นี่เป็นลูกคุณลุงสันต์ต้องเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ”

“เราต้องทำเพื่อไปดูแลท่านน่ะสิ แล้วก็ต้องทำงานทดแทนบุญคุณด้วย แก้วล่ะอยากจะเป็นอะไร”

“วิศวกร ฉันจะทำงานให้กับท่านอัศม์นั่นแหละ เป็นบริษัทหนึ่งในเครือของท่าน”

“อ๋อ...บริษัทอสังหาฯ วันก่อนเข้าไปดูงานอยู่นะ มีแต่โครงการเจ๋งๆ ทั้งนั้น ถ้าอยากจะไปอยู่ตรงนั้นก็ต้องตั้งใจเรียนนะเพื่อนนะ”

“ห๊ะ! ไปดูงาน ดูอะไร” แก้วกานต์เบิกตาโพลง เอานิ้วเขี่ยหูราวกับว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไป ถึงจะรู้ว่าเพื่อนเรียนรู้งานของทางคฤหาสน์ ทางพรรค และบริษัทต่างๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ไม่คิดว่าจะไปไกลขนาดนี้แล้ว

เพื่อนคนนี้ เดินห่างไปจากตัวเองอีกแล้ว...แต่แก้วกานต์ก็ไม่ได้อิจฉาอะไร นึกห่วงเพื่อนที่มีงานต้องทำจนอาจจะไม่เคยใช้ชีวิตวัยรุ่นก็ได้

“ไปเป็นเลขาให้คุณอัยย์ เป็นหนึ่งในงานที่ต้องศึกษา เผื่อว่าจะได้แทนตำแหน่งของพ่อได้ในภายภาคหน้า” ขวัญนพัตพูดติดตลก

“ถ้าจะเป็นอย่างนั้นต้องเป็นทุกอย่างเลยนะเว้ย นี่อย่าบอกนะว่ายิงปืนเป็น”

“อื้อ...ปืนจริงหนักมากเลยนะ”

“ศิลปะป้องกันตัวล่ะ”

ขวัญนพัตส่ายหน้า “พ่อไม่ให้เรียน ไม่มีใครให้เรียนสักคน ไม่เข้าใจเหมือนกัน ให้เรียนยิงปืน แต่ไม่ให้เรียนศิลปะป้องกันตัว แบบนี้ตอนไม่มีปืนก็จบเห่สิ”

“ยังจะมาเล่นอีก แต่ฉันว่าฉันเข้าใจนะว่าทำไม”

ก็พวกที่ฝึกให้มันไม่น่าไว้ใจน่ะสิ ถึงไม่ให้เรียน

ขวัญนพัตสงสัย แต่ไม่คิดจะถาม ดูดน้ำสตรอเบอร์รี่ปั่นของโปรดอย่างสบายใจ สลับกับเค้กสตรอเบอร์รี่ของหวานประจำวันที่ถ้าขาดไปก็เหมือนขาดใจตาย

“อาทิตย์หน้าท่านก็กลับมาแล้ว คงจะสง่างามกว่าเดิมน่าดูเลยเนอะ”

“คงงั้น”

“นายไม่ตื่นเต้นหรือขวัญ ท่านอัศม์กลับมาแล้วนะเว้ย”

“เคยตื่นเต้น แต่ตอนนี้เฉยๆ ยังไงบ้านของท่าน ท่านก็ต้องกลับ”

“อิจฉานายว่ะ ได้ทำงานใกล้ชิดท่าน”

“ยังไม่ได้ทำเลย ไม่แน่ท่านอาจจะเปลี่ยนใจเพราะหาภรรยาได้แล้วก็ได้” ร่างบางตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยังไงเขาก้มีทางอื่นให้ทดแทนบุญคุณหลายทางอยู่แล้ว

จะได้ทำงานใกล้ท่านหรือไม่ใกล้ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเสียหน่อย...



ประเทศสหรัฐอเมริกา

“ผมเตรียมพร้อมทุกอย่างเรียบร้อยครับ ของบางส่วนถูกส่งไปก่อนแล้ว ท่านมีอะไรที่ยังไม่ได้จัดการอยู่ไหมครับ” สันต์ธรเอ่ยถามท่านอัศม์ที่กำลังนั่งอ่านข่าวอยู่กับแท็ปเล็ต

ท่านอัศม์ในวัยสามสิบสี่ปี เป็นชายร่างสูง ใบหน้าหล่อคม ยังคงเค้าโครงเดิม แต่เพิ่มเติมคือมาดที่ดูผู้ใหญ่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดูมาดแมนและมีเสน่ห์น่าเข้าหา ที่สำคัญดูเคร่งขรึม สงบนิ่งมากกว่าเดิม

“ไม่มีแล้ว เหลือแค่ของฝาก เลื่อนวันกลับได้ไหม แต่ไม่ต้องบอกคนทางนั้น”

“อยากเซอร์ไพรส์หรือครับ”

“อืม...เป็นอีกสองวันข้างหน้าก็ได้ คงถึงไทยเช้าวันเสาร์ พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อของฝากให้คุณย่า คุณแม่แล้วเจ้าแฝดด้วย อย่าลืมล่ะ”

“ครับท่าน ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดการเลื่อนไฟลท์ให้ครับ”

“อืม”

“ว่าแต่ท่าครับ ยังไม่เจอคนที่จะมาเป็นภรรยาอีกหรือครับ วัยนี้กำลังพอดีเลยนะครับ”

อัศม์เดชถอนหายใจเพราะรู้ว่ายังไงคนสนิทก็ต้องถาม แต่ทำยังไงได้ที่เขาไม่เจอเลย ที่สำคัญสิบปีที่ผ่านมาก็มีแต่งาน เรียนแล้วก็งาน การเที่ยวหรือสังสรรค์มีน้อยมาก นับครั้งได้เลย

“ไม่มี...ไม่เจอ”

“งั้นกลับไปคราวนี้คงเหนื่อยเลยครับ เพราะมีมาต่อแถวยาวเลยครับ คุณหญิงน่านฟ้าก็เริ่มหาไว้แล้วด้วย”

“อืม...ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้น หาคนที่รักไม่ได้ ก็จะเอาคนที่เหมาะสมที่สุดก็แล้วกัน เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ สำหรับฉันมีแต่งานเท่านั้นแหละ”

“ครับ ตอนนี้ทั้งคุณอินทร์ คุณอัยย์ก็มีคนรักแล้วนะครับ พร้อมที่จะหมั้นทันทีที่ท่านกลับไทย”

“อืม...ก็ดีแล้ว”

“ท่านครับ ตอนนี้ขวัญเรียนรู้ทุกอย่างไปได้คร่าวๆ แล้ว แต่งานดูแลคฤหาสน์จะไปได้ดีกว่างานของบริษัทกับงานของพรรค แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ คงเพราะยังเด็กอยู่ต้องอาศัยประสบการณ์ ไม่ทราบว่ากลับไปแล้วท่านจะให้ขวัญทำหน้าที่ดูแลเลยหรือให้เรียนจบก่อนครับ”

“ดูแล? ฉันเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยสินะ ไม่ต้องดูแลฉันแล้วก็ได้ ให้เด็กทำงานที่บริษัทหรือไม่ก็ในพรรคตามที่สันต์เห็นสมควรเลยก็แล้วกัน จะไม่ไม่ต้องอยู่ดึกดื่นรอฉันนอน”

“งั้นหรือครับ ได้ครับ ผมจะจัดการตามนั้น”

สันต์ธรก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่ท่านจะจำไม่ได้ว่าเคยพูดอะไรไว้บ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะใช้ความสามารถของขวัญนพัตให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ ซึ่งการดูแลท่านใครๆ ก็ทำได้ แต่ดูเหมือนว่านิสัยที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวจะเพิ่มระดับมากขึ้นกว่าเดิมอีก

“แต่ผมคงต้องเรียนเอาไว้ว่า ทุกวันหยุดขวัญจะเข้าไปดูแลคฤหาสน์นะครับ ช่วยคุณพิไลอีกแรง เพราะฝีมือของขวัญดีทุกอย่างตั้งแต่อาหาร ยันงานฝีมือ แล้วคุณหญิงอัปสรกับนายหญิงก็โปรดปรานอาหารฝีมือของขวัญด้วยน่ะครับ ไม่ไปเลยท่านจะไม่พอใจเอาได้”

“อย่างนั้นก็ได้”

“ขอบคุณครับ”

“มีอะไรอีกไหม?”

“ไม่มีแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านก็พักผ่อนเสียนะครับ ผมขออนุญาตออกไปซื้อของฝากลูกๆ กับภรรยาหน่อย”

“ตามสบาย”

สันต์ธรปล่อยให้ท่านพักผ่อนไป ส่วนตัวเองก็จัดการเลื่อนไฟลท์ตามคำสั่งแล้วก็ไปหาซื้อของฝากให้กับครอบครัวของตนเองอย่างที่ตั้งใจ...

...

...



รถคันหรูวิ่งตรงมาจอดยังหน้าบ้านหลังไม่ใหญ่มาก แต่บ่งบอกว่ามีฐานะพอสมควร ประตูด้านหน้าไม่ห่างจากตัวสวนที่จัดงานวันเกิดของลูกสาวเจ้าของบ้านเท่าไหร่ ขวัญนพัตจึงให้คนขับรถที่บ้านจอดที่ด้านหน้าพอ

“พี่แคนจอดรอแถวนี้แหละฮะ เดี๋ยวขวัญก็กลับ ไม่อยู่นานหรอก”

“ครับคุณขวัญ”

ทุกคนที่ถูกชวนมาถึงงานส่วนใหญ่แล้ว ทุกสายตาเลยจ้องมองรถที่ร่างบางกับแก้วกานต์นั่งมาไม่วางตาด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใคร แต่พอเห็นว่าเป็นพวกเขาสองคนเท่านั้น เสียงพูดคุย ซุบซิบก็ดังขึ้น ขวัญนพัตแต่งตัวดูดีและแบรนด์เนมทั้งตัวเพราะพี่ๆ ซื้อให้ทั้งนั้น ส่วนแก้วกานต์เองก็แต่งตัวง่ายๆ หากก็ดูดีกว่าปกติ ที่สำคัญเสื้อผ้าก็ไม่ได้ราคาถูกอะไรด้วย...

“สวัสดีเรนนี่ ขอบคุณที่ชวนเรากับแก้วนะ นี่เป็นของขวัญเราสองคน อาจจะเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็สุขสันต์วันเกิดนะ” ขวัญนพัตยิ้มการค้าให้เจ้าของงานแล้วยื่นกล่องของขวัญที่ดูหรูหราไปให้ เธอรับมาแล้วมองมันด้วยแววตาดูไม่พอใจ

เพราะคำว่าเล็กๆ น้อยๆ สินะ

“ขอบใจนะจ้ะ ยังไงก็อยู่จนถึงช่วงเปิดของขวัญนะ ไปนั่งสิ เดี๋ยวมีคนเอาอาหารไปเสิร์ฟ” หญิงสาวยื่นของให้คนรับใช้อย่างไม่ได้ใส่ใจของขวัญ สาวใช้รีบเอาไว้ไว้รวมๆ กันกับโต๊ะที่มีของขวัญเต็มไปหมด

ทั้งสองคนนั่งคุยกัน รอเวลาที่เจ้าของงานจะเปิดเป่าเค้กและเปิดของขวัญ ทั้งคู่ไม่มีใครแตะอาหารตรงหน้าเลยสักคน มีเพียงแค่จิบเครื่องดื่มเพื่อไม่ให้เสียมารยาทเท่านั้น

เกือบชั่วโมงที่นั่งรอ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะเปิดของขวัญกันเสียที แต่ไม่เห็นเจ้าของงานแกะของขวัญจากขวัญนพัตกับแก้วกานต์เสียที

“กรี๊ด...เจน เธอให้สร้อยฉันเหรอ สวยมากเลย อ๊ะ แบรนด์ LANCY ด้วย ขอบคุณนะ ฉันจะใส่ทุกวันเลยจ้ะ”

“ดีใจที่เธอชอบ นั่นน่ะ สามพันเลยนะ”

การให้ของขวัญก็เหมือนเป็นธรรมเนียม หากถึงวันเกิดของคนที่ให้ตัวเองเมื่อไหร่ ของขวัญที่จะให้คืนต้องไม่ต่ำกว่าที่ตัวเองได้รับ ขวัญนพัตเลยทุ่มทุนเกือบสองหมื่นในการซื้อน้ำหอมแบรนด์ดังของต่างประเทศมา เพราะอยากเห็นสีหน้าของพวกที่ชอบดูถูกคนอื่น แล้วงานของเขา เขาจะชวนเธอด้วย!

บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานของคนอื่น แต่กับสองหนุ่มกำลังง่วง เท่าที่ฟังๆ ดู ของขวัญที่แพงที่สุดคือนาฬิกาแบรนด์เนมราคาห้าพันบาท

“กล่องสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย เอ๊ะ อันนี้ของขวัญกับแก้วใช่ไหม งั้นเราแกะเลยนะ ตื่นเต้นจัง”

“ตอแหล” แก้วกานต์พึมพำ ยังไงเธอก็จงใจแกะของขวัญนพัตเป็นอันสุดท้ายอยู่แล้ว เพื่อบดขยี้พวกเราให้จมยังไงล่ะ

แต่แล้วเจ้าของงานก็เงียบกริบ ทำให้ทุกคนเงียบไปด้วย เรนนี่มือสั่นขณะเปิดกล่องน้ำหอมที่เห็นแล้วว่าเป็นยี่ห้ออะไร เธอหยิบมันออกมาแล้วตาโต เงยหน้ามองขวัญนพัตกับแก้วกานต์หน้าซีด

“ได้อะไรเหรอ ทำไมหน้าซีด อย่าบอกนะว่าให้ของไม่ดีเรนนี่”

“นั่นมันน้ำหอมของ DLer’ ตัวที่ขายดีที่สุด ถ้าราคาโปรโมชั่นก็หมื่นหก ส่วนราคาปกติก็หมื่นแปดกว่าๆ”

“ข่ะ ของปลอมหรือเปล่า” หนึ่งในคนที่มาร่วมงานเอ่ยขึ้น

“เรากลัวว่าเรนนี่จะคิดว่าเราให้ของปลอมเลยบอกพนักงานใส่ใบรับประกันกับที่อยู่ร้านที่เราไปซื้อไว้ในกล่องด้วย หวังว่าเธอจะชอบ แล้วถึงวันเกิดเราเมื่อไหร่ อย่าลืมมานะเรนนี่ วันนี้สนุกมาก เรากับแก้วขอตัวกลับก่อนนะ บ๊ายบาย”

ร่างบางลากเพื่อนออกมาจากงานด้วยรอยยิ้มที่สะใจ แก้วกานต์ลอบมองใบหน้าสวยของเพื่อนแล้วส่าหน้าระอา เพื่อนของเขามันก็ตัวแสบ และร้ายกาจเหมือนกันนั่นแหละ...

ถ้าแก้วกานต์ไม่โดนดูถูก ขวัญนพัตก็จะไม่หักหน้าทุกคนแบบนี้หรอก...



เช้าวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของขวัญนพัต ชายหนุ่มร่างบางตื่นขึ้นมาเมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพราะวันนี้จะต้องไปรับพี่ชายที่สนามบิน เนื่องจากเจ้าตัวงอแงว่าอยากให้เขาไปรับให้ได้ ก็เลยต้องถ่อสังขารตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะไฟลท์พี่ชายแลนดิ้งเจ็ดโมง เลทหน่อยก็แปดโมง

เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยก็ลงไปข้างล่าง ตรงไปยังรถที่มาจอดรออยู่แล้วโดยคนขับรถคนสนิทที่ขวัญนพัตมักจะให้พาไปส่งที่ที่อยากไปตลอด

“อรุณสวัสดิ์ฮะพี่แคน”

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณขวัญ เชิญเลยครับ”

ร่างบางขึ้นรถ แล้วตรงไปยังสนามบินทันที เมื่อถึงแล้วก็ไปนั่งรอพี่ชายยังประตูทางออกที่พี่ชายบอกว่าให้รออยู่ตรงนั้น ถ้าออกจากเกทแล้วจะมาหาเอง ซึ่งขวัญนพัตก็เล่นโทรศัพท์รอไป สักพักได้ยินเสียงประกาศบอกว่าเที่ยวบินจากอเมริกามาถึงแล้ว แต่จากออสเตรเลียน่าจะเลทหน่อย

“รอนานขึ้นเหรอเนี่ย”

พี่ชายไปดูงานที่ออสเตรเลียเป็นเวลาสองอาทิตย์กว่าแล้ว คงจะคิดถึงบ้านน่าดู คิดแบบนั้นขวัญนพัตก็ยิ้มออกมา รู้สึกปวดท้องเลยลุกขึ้นเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ

ร่างบางใช้เวลาทำธุระในห้องน้ำนานเกือบยี่สิบนาทีเพราะไม่รีบออกไปเท่าไหร่ ยังไม่ได้ยินเสียงประกาศว่าพี่ชายจะมาถึงอีกด้วย ร่างบางถอนหายใจเซ็งๆ ก้าวเท้าเตรียมออกจากห้องน้ำไป แต่เมื่อกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำ คนด้านนอกก็ผลักมาก่อนและแรงพอที่จะกระแทกหน้าผากสวยอีกด้วย

ผลัวะ!!

ปึก!!!

“โอ๊ย!!!” ร่างบางกุมหน้าผาตัวเองทันที ทำเอาคนที่เข้ามาถึงกับทำหน้าตกใจแต่ก็ปรับสีหน้าเป็นปกติได้ เสียงทุ้มเอ่ยถามนิ่งๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ป่ะ เปล่าครับ ม่ะ ไม่เป็นไร ขอโทษนะครับ”

เด็กนี่แปลก ตัวเองไม่ได้ผิดสักหน่อย...

ร่างสูงสำรวจคนตัวเล็กข้างหน้าที่ก้มหน้ากุมหน้าผากตัวเอง เห็นท่าทางแบบนี้ก็เข้าใจได้ว่าคงจะเจ็บหน้าดู แต่มันก็เป็นอุบัติเหตุล่ะนะ

เขาไม่ได้ตั้งใจและเด็กตรงหน้าก็ไม่ผิด

“จะเข้าใช่ไหมครับ เชิญเลย...ครับ”

ขวัญนพัตเงยหน้าสบตา ร่างทั้งร่างชะงัก ลมหายใจสะดุดกึก ใบหน้าหวานหุบยิ้มลงแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา...

คุ้นๆ รู้สึกคุ้นหน้ายังไงก็ไม่รู้ จริงสิ...เหมือนท่านอัศม์ แต่ท่านอัศม์กลับมาอาทิตย์หน้าไม่ใช่หรือ คงไม่ใช่ แค่หน้าเหมือนล่ะมั้ง ตัวเราเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าท่านหน้าเป็นแบบไหน

ด้านร่างสูงก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าชัดๆ ของคนตัวเล็กกว่าที่ยืนมองตนอยู่ รู้สึกว่าตัวเองจะใจกระตุกแบบแปลกๆ เมื่อใบหน้าหวานนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มสวย

ขวัญนพัตได้สติเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำหน้าดุราวกับไม่พอใจ จึงรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาท

“อ๊ะ...ขออภัยที่เสียมารยาทนะครับ เชิญครับ ผมกำลังจะไปแล้ว” ร่างบางขยับหลีกทางให้หลังจากขอโทษร่างสูงไปที่เสียมารยาทจ้องอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย พอคิดแบบนั้นขวัญนพัตก็เม้มปากขัดเขิน ตำหนิตัวเองว่าทำอะไรเปิ่นๆ ไปจนได้ ทางด้านคู่กรณีเองก็สำรวจใบหน้าสวยอย่างเผลอไผล เห็นที่หน้าผากช้ำนิดๆ ก็ขัดใจ

ไม่ควรมีตำหนิที่ใบหน้าขาวๆ นี่...แต่ว่า รอยยิ้มนี้...คุ้นมาก คุ้นจริงๆ

“เอ่อ...คุณครับ ถ้าคุณไม่เข้า ช่วยหลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมรีบ”

“อืม...ขอโทษ”

ร่างบางยิ้มหวาน ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วเดินเลี่ยงออกจากห้องน้ำไป

“เดี๋ยว...” แต่ยังไม่ทันที่ร่างบางจะเดินไป เขาก็เรียกอีกคนเอาไว้ก่อน

“ครับ?”

“เมื่อกี้เธอมองหน้าฉัน มองทำไม?”

“อ๋อ...ขอโทษที่เสียมารจริงๆ ครับ แต่คุณคล้ายกับผู้มีพระคุณของผมน่ะครับ เลยเผลอ”

“งั้นหรือ...” ร่างสูงมองอย่างแปลกใจ

“ครับ ยังไงขอตัวก่อนนะครับ” ขวัญนพัตไหว้ลาอีกครั้งเพราะอีกคนเป็นผู้ใหญ่กว่าแน่นอนและอายุน่าจะมากกว่าพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำ

ร่างบางหันหลัง แล้วก้าวเท้าเดินไปพอดีกับโทรศัพท์ของตนที่ดังขึ้น ขวัญนพัตมองเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วขมวดคิ้ว

“จ๋า...หนูมาห้องน้ำ ห๊ะ!! เจอพ่อเหรอ พี่สิงห์นอนน้อยแล้วตาฝาดหรือเปล่า พ่ออยู่อเมริกากลับอาทิตย์หน้า พี่ต้องได้รับการพักผ่อนแล้วหนูว่า ไม่ต้องมาพูดเลย นั่งรออยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปตะโกนเรียกใครว่าพ่อนะ หนูอาย...”

ร่างสูงมองตามแผ่นหลังบางที่เดินคุยโทรศัพท์ออกไป มุมปากยกยิ้มเบาๆ ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเผลอทำตัวแปลกๆ ก็รีบสะบัดความรู้สึกนั้นออกไปทันที แล้วเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ

พอทำธุระเสร็จเสร็จเรียบร้อย ขายาวยังไม่ทันได้พ้นประตู คนสนิทก็วิ่งหอบมาหยุดตรงหน้า

“ท่านครับ...”

“อ้าวสันต์ มีอะไร?”

“รีบไปกันเถอะครับ ผมเจอลูกชายคนโตที่นี่ เดี๋ยวแผนเซอร์ไพรส์พังนะครับ ลูกชายผมยิ่งเป็นพวกที่รู้แล้วกระจายข่าวทันทีเลย”

“งั้นก็ไปเถอะ”

ท่านอัศม์กับสันต์ธรรีบเดินกลับไปยังที่เก็บกระเป๋าซึ่งมีลูกน้องอีกสามคนรออยู่แล้ว ตาคมเผลอเห็นเด็กหนุ่มคนที่ชนในห้องน้ำยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่ห่างกันพอควร ซึ่งตัวเล็กๆ นั่นกำลังถูกชายคนหนึ่งเข้ากอดแล้วยกขึ้นหมุนไปรอบๆ ประหนึ่งคิดถึงคนรักที่จากกันไปนาน

คนรักงั้นเหรอ...เด็กคนนั้นก็เหมาะกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ

“ท่านครับ มองใครหรือครับ”

“เปล่าหรอกสันต์”

“หรือเจอคนที่ถูกใจแล้ว แบบประมาณว่าต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นน่ะครับ”

แรกเห็นเหรอ?

“ความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไงล่ะ”

สันต์ธรยิ้ม เพราะคิดว่าตัวเองคงเดาถูก ท่านเจอคนที่ถูกใจแล้ว “ก็แบบใจเต้นมั้งครับ อยากเข้าไปทำความรู้จัก”

“เหรอ...ไร้สาระ กลับกันเถอะ”

ท่านอัศม์เลิกสนใจ เพราะว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ คนอย่างเขาอยู่มาสามสิบสี่ปีไม่เคยจะต้องตาต้องใจใคร แล้วจะมาสนใจเด็กได้ยังไง ดูยังไงก็เด็กมัธยมด้วย...

ทำความรู้จักหรือ...

ก็อยากรู้จักนิดๆ แต่นั่นเป็นเพาะเขาคุ้นรอยยิ้มนั่นต่างหาก รอยยิ้มที่มันอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ รอยยิ้มที่คุ้นๆ ว่าเคยได้รับมันมาจากใครสักคน...



ขวัญนพัตถูกพี่ชายแสดงความคิดถึงได้อย่างน่าอายมาก จนกลัวว่าจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเราสองคนเป็นคนรักกัน ก็เล่นทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งอุ้มหมุนไปรอบๆ แล้วจะเดินจับมือออกไปอีก พอได้อยู่บนรถก็หายใจได้สะดวกหน่อย...

“พี่ซื้อของฝากน้องเยอะมากเลยนะ”

“ของฝากน้องหรือฝากสาว”

“สาวอะไรไม่มีแล้ว ทิ้งไปหมดแล้ว พี่เบื่อ ตอนนี้สนแค่น้องก็พอ”

“หนูว่าพี่ควรจริงใจกับใครสักคนดูบ้างนะ จะได้เจอรักแท้กับเขาสักที อายุมากขึ้นทุกทีแล้วนะเรา”

“หึหึ หนูอยากให้พี่แต่งงานจริงๆ เหรอ อยากให้เขาแย่งความรักของพี่ไปจากน้องเหรอ” สรทรถาม ดวงตาเจ้าเล่ห์แพราวพราวดูขี้เล่นจนน้องชายหมั่นไส้

“ข้ออ้างของคนไม่อยากมีพันธะเถอะ ไม่ต้องเอาหนูมาอ้างเลย”

“ฮะๆ น้องชายคนดีของพี่รู้ดีที่สุด รู้ใจพี่ไปหมดทุกอย่างเลย”

ฟอด!

“น่าร้ากกก น้องรักของพี่”

“พอๆ แก้มหนูระบมไปหมดแล้วเนี่ย แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็ก สามสิบแล้วนะพี่สิงห์ แก่แล้ว”

“ไอ้ตัวเล็กนี่...ปากเสีย”

“ฮะๆ” ขวัญนพัตหัวเราะที่ยั่วโมโหพี่ชายได้ เลยโดนทำโทษเป็นหอมแก้มอีกหลายๆ รอบ

“แล้วพี่ไม่อยู่มีใครมาจีบ มาตอแยหรือเปล่า”

“จีบอะไร ใครจีบหนู มีแต่คนมาจีบแก้วเถอะ”

คนเป็นพี่ชายกลอกตามองบน เบื่อความซื่อบื้อของน้องชายเต็มที แล้วแบบนี้จะไม่ให้ห่วง ไม่ให้หวงได้ยังไง ถ้าไม่ใช่คนดี พี่ชายคนนี้ไม่ยกน้องชายสุดที่รักให้หรอกโว้ย…

ใครจะจีบน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา ต้องผ่านด่านพี่ชายคนนี้ได้ก่อน!!






+ + + + + To be Continue + + + + +

ปกติท่านอัศม์เดินทางจะต้องมีบอดี้การ์ดตามหลังเป็นพรวนให้สมกับตำแหน่ง และมักจะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวมากกว่า แต่คราวนี้กลับมาก่อนกำหนด ไม่อยากเอิกเริก เลยกลับมาแบบปกติจ้า ท่านอัศม์เป็นคนชนชั้นธรรมดา (ไม่ใช่เชื้อเจ้า) ที่ไม่ธรรมดาจ้า

เจอกันตอนหน้านะคะ อ้อ ฝากติดตามแฟนเพจและทวิตเตอร์ของยูกิด้วยน้า

https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)

https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-04-2019 01:02:48
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-04-2019 03:44:13
 o18 กลับมาเจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-04-2019 09:39:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: dorabarin ที่ 17-04-2019 21:51:38
ติดตามค่ะ น้องขวัญน่ารักมากมาย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-04-2019 23:31:15
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-04-2019 05:31:33
สนุกมากค่ะ น่ารักมากด้วย

คนเราก็ถูกชะตากันแต่แรกพบเยอะไป
ขนาดไม่รู้จักว่า ใจเต้นไหม สนใจจริงหรือเปล่า
แต่อัศม์จำความรู้สึกแรกพบกับขวัญได้นะ

ขวัญน่ารักมาก คนซื่อ และแสบน่าดู

ทุกคนใจดีและเอ็นดูขวัญมาก
หวง ห่วง ยิ่งกว่าห่วงตัวเองกันไปอีก 5555

สิงห์ ถึงตอนนั้น ชอบใจไม่ชอบใจ ก็ต้องยอมละนะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 5 | 16/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 18-04-2019 18:11:32
หนูขวัญซื่อ ตามใครไม่ทันหรอก ดีนะมีเพื่อนคอยเป็นไม้กันหมาให้
คุณท่านกลับมาแล้ววว ต่างคนต่างจำกันไม่ได้ งื้ออออ
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 23-04-2019 23:32:40
6

การพบกันอีกครั้ง...ของ ‘เรา’





มือใหญ่ประนมที่กลางอกก่อนจะโน้มไปวางบนตักของหญิงสูงวัยแบบไม่แบมือ ศีรษะก้มโค้งให้ปลายนิ้วชี้แตะที่หว่างคิ้วพร้อมกับเอ่ยคำๆ หนึ่งที่ทำให้คนที่รอคอยการกลับมาน้ำตารื้น

“กลับมาแล้วครับ”

“น่าตีจริงๆ เลยหลานคนนี้ มาไม่บอกไม่กล่าว ถ้าย่าหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไง”

คุณหญิงอัปสรลูบที่ผมของท่านอัศม์เบาๆ เมื่อหลานชายคนโตก้มกราบที่ตัก ก่อนจะคลานเข่าไปกรบแม่ตัวเองเช่นเดียวกับที่ทำกับผู้เป็นย่า

“ดีใจที่กลับมาอย่างปลอดภัย โตขนาดนี้แล้วนะลูก สมกับเป็นผู้นำตระกูลและผู้นำพรรคจริงๆ”

ผู้เป็นแม่เอ่ยเสียงสั่น ยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ลูกชายกลับมาอยู่ในสายตา เป็นเรื่องที่น่าแปลกหรือบังเอิญก็ไม่รู้ได้ ที่วันนี้ครอบครัวของท่านอยู่กันครบเลย

“ผมจะไม่ทิ้งคุณย่ากับคุณแม่แล้วครับ”

ร่างสูงลุกขึ้นจากพื้นไปนั่งข้างๆ กับผู้เป็นย่า ในห้องรับแขกนี้มีเพียงพิไลกับเด็กรับใช้อีกสองคนที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น ส่วนสันต์ธรก็ยืนอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้ค้ำหัวเจ้านาย

“แม่ก็ไม่ยอมให้อัศม์ไปไหนแล้วเหมือนกัน”

สองแฝดทำตัวยุกยิก อยากจะพูดกับพี่แต่ก็หาโอกาสแทรกแม่ตัวเองไม่ได้ พอจะอ้าปาก แม่ก็พูดขึ้น ท่านสังเกตเห็นอาการนั้นก็ไม่คิดจะแกล้งอีก หันหน้าไปมองน้องชายที่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว อินทร์ธรได้โอกาสจึงพูดขึ้นก่อน ไม่งั้นจะโดนใครแย่งพูดอีกก็ได้

“พี่อัศม์ สบายดีนะ ตอนนี้พี่หล่อสุดๆ เท่มาก ผมคิดว่าตัวเองจะนำพี่ไปได้ แต่ก็เปล่าเลย แบบนี้สาวๆ คงต่อคิวเรียงยาวมากกว่าเมื่อก่อนแน่นอน”

“พูดมาก บุคลิกมันก็ไปตามวัย แต่แกดูพึ่งพาได้เหมือนกันนะอินทร์”

“โถ่ ผมก็พึ่งพาได้แต่ไหนแต่ไรแล้วนะ”

ท่านอัศม์ยักไหล่ ส่วนย่ากับยายแล้วก็แฝดน้องของอินทร์ธรกลับหัวเราะ ผู้เป็นพี่ชายเลยหันมาคุยกับน้องชายอีกคนที่ยิ่งโตก็ยิ่งเก่งกาจ แล้วก็มีความฉลาดหลักแหลม

“สบายดีนะอัยย์”

“ครับพี่อัศม์ ดีใจที่พี่กลับมาสักที ผมคิดถึงพี่มากๆ เลย”

“ระหว่างสิบปีที่ปล่อยให้แกสองคนดูแลงานในส่วนบริษัท นับว่าทำได้ดีมากๆ คิดเอาไว้หรือยังไงว่าอยากจะบริหารบริษัทไหน”

“ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่พี่ถามคราวก่อนแล้วครับ”

“ผมเองก็เหมือนกัน อะไรที่เราช่วยแบ่งเบาพี่ได้ เราก็จะทำอย่างเต็มที่”

อัศม์เดชยิ้มยิ้มน้อยๆ ให้กับคำตอบของน้องชาย ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี น้องชายทั้งสองคนก็พึ่งพาได้เสมอ ไม่เคยต้องให้เขาต้องเหนื่อยเพียงลำพัง

“พิไลก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” นี่เป็นวิธีชมของท่านอัศม์ที่ต้องคิดพิจารณาสักนิดถึงจะเข้าใจ

ไม่เปลี่ยนไปเลย...ก็หมายความว่าพิไลยังคงสาวเหมือนเมื่อสิบปีก่อนไม่เปลี่ยน

“แหม...ท่านก็ ท่านอัศม์ก็งามนะคะ ถ้าดิฉันยังสาวอยู่คงตกหลุมรักท่านจนโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน”

“อืม”

คำพูดของพิไลไม่ได้มีอะไรเกินจริง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ดวงตาคมดุ ร่างกายสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง มีกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังกาย การแต่งกายก็ผู้ใหญ่สมวัย ท่านอัศม์ของทุกคนเป็นผู้ชายที่มากไปด้วยเสน่ห์ของชายชาตรี ที่แม้ว่าจะอายุมากขึ้นก็จะยิ่งหล่อขึ้นอีกแน่นอน ประกอบกับเป็นคนที่นิ่งๆ สุขุม อาจจะดูเย็นชา แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งอยากเข้าไปค้นหา

ท่านอัศม์...มีเสน่ห์ที่เป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้าหาได้ไม่ยากเลยจริงๆ แค่ท่านให้สายตามอง ทุกคนก็พร้อมที่จะสยบแทบเท้าของท่าน

“สันต์ เอาของฝากมาได้เลย”

หลังจากนั้นท่านก็ให้สันต์ธรเอาของฝากที่ซื้อมาให้ตัวเอง แล้วท่านก็มอบของที่เลือกซื้อด้วยตัวเองให้กับคนในครอบครัวด้วยมือของท่านเอง ส่วนของคนงานก็ปล่อยให้เป็นที่ของกอบกิจในการเอาไปแจกจ่ายให้ครบทุกคน

ท่านใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวอย่างมีความสุข นานๆ ทีจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมกันทั้งห้าคน แต่ละคนเอาแต่ซักถามว่าชีวิตที่นั่นเป็นยังไง แม้ว่าจะไปร่วมแสดงความยินดีตอนรับปริญญาในแต่ละครั้งก็ตาม และทั้งห้าท่านก็เพิ่งจะจากกันได้ไม่กี่อาทิตย์ แต่ความคิดถึงมันก็ทำให้มีเรื่องคุยมากมาย ทดแทนระยะเวลาที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันซึ่งมีมากกว่า โดยที่ท่านค่อยตอบคำถามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ในเวลานี้คฤหาสน์กำลังวุ่นวาย คนงานทุกคนเห็นรถขับเข้ามาในคฤหาสน์ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้านายกำลังเซอร์ไพรส์ด้วยการกลับมาก่อนกำหนด ในครัวคงกำลังวุ่นวายกันใหญ่เพื่อตะเตรียมอาหาร ขนมต้อนรับ ไม่เพียงแต่ในครัว คนงานทุกคนต่างก็พากระตือรือร้น ทำนั่น โน่นนี่เพื่อต้อนรับผู้นำตระกูลที่กลับมาอยู่บ้านอย่างถาวรเสียที



“หือ...มีงานอะไรกัน หรือว่ามีใครมานะ”

ขวัญนพัตมองไปรอบๆ ตัวคฤหาสน์ขณะนั่งอยู่บนรถของบ้านตนเองที่มาส่งกำลังแล่นเข้าไปในคฤหาสน์ ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงรอบๆ ข้างทางก็ทำหน้าฉงน พึมพำกับตัวเองเบาๆ

ร่างบางมาช่วยงานพิไลในวันเสาร์อาทิตย์เป็นปกติเช่นทุกครั้ง เพียงแต่วันนี้มาสายหน่อยเพราะมัวแต่ไปรับพี่ชาย ก็กะมาว่าจะมาช่วยช่วงอาหารกลางวันพอดี ไม่คิดว่าจะมีแขก...

“ขอบคุณนะฮะพี่แคน”

“ครับคุณขวัญ แล้วผมจะมารับเวลาเดิมนะครับ”

“โอเคฮะ”

รถของที่บ้านจะมาส่งขวัญนพัตที่ด้านหลังของตึกเสมอ เพราะเป้าหมายคือยายพิไลที่ประจำอยู่ที่ครัวและตัวตึกไม่ไปไหน สองเท้าเดินไปยังทางที่คุ้นเคย จนมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของครัวใหญ่ หรูและกว้างขวาง ซึ่งในนั้นมีคนงานหลายคนกำลังวุ่นวายทำงานกันอยู่

“สวัสดีฮะทุกคน มีอะไรให้ขวัญช่วยไหมฮะ” ใบหน้าสวยยื่นหน้าไปทักทายคนในครัวอย่างร่าเริงเป็นกันเอง ทำเอาพี่ๆ ในนั้นส่งยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“มีเยอะเลยค่ะ คุณขวัญเข้ามาล้างไม้ล้างมือแล้วทำขนมนะคะ ทำสักสามสี่อย่าง ตอนนี้พวกพี่กำลังทำพวกอาหารกลางวันให้ทุกท่านอยู่น่ะ”

“ได้ฮะพี่กล้วย ว่าแต่มีแขกหรือฮะ?”

“แสดงว่าคุณขวัญยังไม่รู้”

“ครับ?”

“ท่านอัศม์กลับมาแล้ว เพิ่งมาถึงก่อนที่คุณขวัญจะมาประมาณชั่วโมงกว่าได้ค่ะ”

“จริงเหรอฮะ” ขวัญนพัตตกใจ หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นทันที

ก็จริงอยู่ที่ช่วงแรกๆ ที่รู้ว่าท่านจะกลับมา เด็กหนุ่มตื่นเต้นมาก พอผ่านไปก็ไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้กลับรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ขวัญนพัตก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจแทบหลุดออกมาจากอกเลย

ผู้มีพระคุณของเขากับแม่กลับมาแล้ว...

คนที่ทำให้ขวัญนพัตมีทุกวันนี้…ท่านกลับมาแล้ว...

เจ้าชีวิตของขวัญนพัต...

“จริงสิจ้ะ ท่านหล่อมากเลย”

“ทำไมกลับมาเร็วล่ะครับ”

“คุณสันต์บอกว่าท่านอยากเซอร์ไพรส์ เลยเลื่อนวันกลับน่ะจ้ะ”

“แสดงว่าที่พี่สิงห์เห็นเมื่อเช้าก็คือพ่อจริงๆ น่ะสิ” ร่างบางพึมพำเบาๆ สงสัยต้องกลับไปขอโทษพี่ชายที่นอนเป็นตายอยู่ที่บ้านแล้วล่ะนะ

พี่ชายไม่ได้ตาฝาด แต่เป็นพ่อจริงๆ

“นี่พวกพี่ก็เลยจะทำอาหารกลางวันอย่างสุดฝีมือกันอยู่น่ะ แต่เรื่องขนมคงต้องฝากลูกศิษย์เอกของคุณหญิงอัปสรกับนายหญิงแสดงฝีมือนะคะ”

“ได้เลยครับพี่กล้วย”

ทุกคนเรียกขวัญนพัตว่าคุณตั้งแต่ที่ร่างบางใช้นามสกุลวรเกียรติสกุลแล้ว เพื่อเป็นการให้เกียรติสันต์ธร แต่ถึงคำเรียกจะเป็นอย่างไร ขวัญนพัตก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นที่รักของทุกคน

“แล้วยายพิไลของขวัญล่ะฮะ”

“อ๋อ...คอยรับใช้ท่านอยู่ในตึกจ้ะ”

“เหรอฮะ เสียดายใจ เอาไว้เจอตอนยายว่างๆ ก็ได้ฮะ”

ร่างบางยิ้มแล้วเดินไปล้างไม้ล้างมือแล้วสวมเสื้อกันเปื้อนก่อนจะเดินไปยังโซนทำขนม เพราะห้องครัวใหญ่นี้แบ่งออกเป็นสองห้องอีกที ห้องทำเครื่องคาว กับห้องทำเครื่องหวาน จะแยกสัดส่วนเอาไว้อย่างชัดเจน

ขวัญนพัตดูวัตถุดิบในตู้เย็นใหญ่ กับตู้เก็บของที่เป็นวัตถุดิบแห้งแล้วบอกรายการขนมให้คนงานที่อยู่ในส่วนของเครื่องหวานฟังว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ซึ่งร่างบางเลือกทำของโปรดของคุณหญิงย่ากับคุณหญิงน่านฟ้า

“ขนมบุหลันดั้นเมฆ ขนมถ้วย ขนมช่อผกากรอง และบัวลอยเผือก เตรียมของที่จะทำให้พร้อมนะครับ เราจะช่วยกันทำจะได้เสร็จไวๆ”

“ได้เลยจ้ะ คุณขวัญ”

จากคนพี่ๆ คนงานส่วนครัวฝ่ายเครื่องหวานก็ลงมือจัดทำงานของตัวเองด้วยความชำนาญ แต่ทุกคนก็ไม่ลืมเหมือนกันว่าจะต้องทำให้สุดฝีมือ



“มีอะไรกล้วย” พิไลกระซิบถามเสียงเบาเมื่อลูกน้องคนสนิทคลานเข่าเข้ามาหาเธอในห้องรับแขกที่เจ้านายกำลังคุยกันอยู่

“คุณขวัญมาแล้วจ้ะป้า” ทางกล้วยก็กระซิบบอกไปเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเจ้านายที่กำลังคุยกัน แต่หญิงสาวก็ไม่วายแอบมองท่านอัศม์อย่างเผลอไผล

“งั้นหรือ แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่”

“ทำขนมค่ะ”

“ดีแล้ว ให้ขวัญทำขนมอยู่ในครัวนั่นแหละ ฉันยังออกไปไม่ได้ ฝากบอกขวัญว่าคงเจอช่วยอาหารกลางวันเลย”

“ได้ค่ะ งั้นขอตัวก่อนนะจ้ะ”

พิไลมองตามเด็กคนสนิทที่คลานออกไป พอหันกลับมาก็พบว่าอัยยวัฒน์กำลังมองเธออยู่ เธอจึงได้ยิ้มส่งให้ หากแต่อัยยวัฒน์กลับถามขึ้น

“ขวัญมาแล้วเหรอ”

“ค่ะคุณอัยย์”

“ขวัญมาแล้วงั้นเหรอ ทำไมไม่เรียกมาทักทายอัศม์ก่อนล่ะ คนกันเองทั้งนั้น ชื่นไปเรียกขวัญมาไป บอกว่าฉันให้มาตาม”

“ค่ะ คุณหญิง” คุณหญิงอัปสรสั่ง ซึ่งเจ้าของชื่อก็รีบคลานเข่าออกไปตามขวัญนพัตทันที

“อัศม์รู้จักขวัญไหมคะ เด็กคนนั้นเป็นลูกคนงานคนหนึ่งตอนนี้เป็นลูกบุญธรรมของสันต์ เด็กคนนี้น่ารัก น่าเอ็นดูทีเดียว แม่สอนอะไรไปก็ทำได้ดีหมดทุกอย่างเลย ตอนนี้ก็เป็นลูกศิษย์เอกของแม่กับคุณย่าน่ะลูก” คุณหญิงน่านฟ้าพูดกับลูกชาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขยามเอ่ยถึงเด็กคนนั้น

น่าแปลกใจ...เพราะคนเป็นแม่ไม่ค่อยเปิดรับใครเข้ามาใกล้ชิดง่ายๆ ยิ่งคนที่ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันแล้ว ยิ่งไม่มีทาง...

“ตอนนี้ขวัญทำงานในบ้านเก่งมาก ทำเป็นทุกอย่าง เวลารับแขกสำคัญๆ ก็ให้ขวัญมาทำแทนพิไลเป็นบางครั้ง ยิ่งพวกขนมสูตรคุณทวด ทำได้เหมือนมากและอร่อยสุดๆ หลานต้องลองทานดู” คุณหญิงอัปสรก็เอ่ยชมขวัญนพัต สีหน้าเธอช่างดูภูมิใจในตัวของขวัญนพัตเสียจริงๆ

“ผลการเรียนดีนะครับ อันดับหนึ่งของสายชั้นทุกปี” อินทร์ธรสมทบ

“หน้าตาก็ดี สวยชนิดที่ผู้หญิงยังอิจฉา สันต์เองยังเคยบอกเลยว่าหวงลูกชายคนเล็กมาก พวกเราก็เลยตามดู ตามเช็คตลอดเพราะกลัวจะถูกล่อลวง” อัยยวัฒน์พูดต่อ

กลายเป็นว่าหัวข้อการสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องของท่านเป็นเรื่องของขวัญนพัตไปจนได้ ท่านอัศม์เลยได้แต่รับฟังนิ่งๆ เพราะตนเองก็จำใบหน้าเด็กชายตัวน้อยในวันวานไม่ได้เสียแล้ว แต่ก็จำได้ว่าตัวเองก็เอ็นดูขนาดให้สันต์ธรรับอุปการะเป็นลูกบุญธรรม

โตมาเป็นเด็กดีอย่างที่เคยคาดหวังก็ดีแล้ว...

พอเรียนหนักขึ้น วันเวลาผ่านไป เขาก็ลืมไปเลยว่าเคยคาดหวังกับขวัญนพัต และไม่ได้สนใจรายงานเรื่องของขวัญนพัตอีกเลย ฟังผ่านหู แต่ก็ไม่ได้จดจำ



ขวัญนพัตเดินเข้ามาในห้องรับแขก ที่มีผู้ใหญ่อยู่กันพร้อมหน้า แอบสะดุดเล็กน้อยเมื่อเมื่อสบตาคมของคนที่มองมาอยู่ เรียวขาสวยย่อตัวเองลงคุกเข่า แล้วเดินเข่าเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับยายพิไล ร่างบางพนมมือขึ้นกลางอกแล้วไล่ไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันมาไหว้ท่านอัศม์อีกครั้ง ร่างบางค่อนข้างตกใจอยู่มากที่คนที่ตนเดินชนเมื่อเช้า คือคนๆ เดียวกับผู้มีพระคุณ หากแต่ใบหน้าสวยกลับเก็บความรู้สึกเอาไว้อย่างดี

“สวัสดีครับท่านอัศม์”

“เธอ...”

ท่านอัศม์เองก็ค่อนข้างตกใจที่ขวัญนพัตเป็นคนเดียวกับคนที่เขาเจอเมื่อเช้า เหตุการณ์ที่เห็นก่อนกลับนั้นชัดในความทรงจำ ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเล่ามาเลยสักนิด เลยเอาแต่จ้องใบหน้าหวานๆ นั่นโดยไม่รู้ตัว

“อะไรกันพี่อัศม์ เคยเจอขวัญมาก่อนแล้วเหรอครับ” อินทร์ธรถามขึ้น

“อืม...เจอเมื่อเช้า”

“ที่ไหนครับท่าน” สันต์ธรรีบถามทันที

“สนามบิน”

“…” ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ การที่ท่านอัศม์จำได้แสดงว่าไม่ใช่แค่การเดินสวนกัน สองคนนี้ต้องคุยกันแน่นอน ท่านถึงได้จำได้ แต่ที่ทุกคนเงียบนั่นเป็นเพราะว่า...

ท่านจะไม่คุยกับคนที่ไม่รู้จัก...

“ฉันเห็นคนดีของทุกคนกำลังกอด หอมกับผู้ชายที่สนามบิน”

ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็เรียกชื่อร่างบางเสียงดัง

“ขวัญ!!!”

ใบหน้าสวยมองสีหน้าไม่พอใจของคุณหญิงย่า คุณหญิงน่านฟ้า คุณพ่อสันต์ธร อินทร์ธร อัยยวัฒน์ และยายพิไลที่จ้องมองเขาอย่างคาดโทษ ขวัญนพัตกลืนน้ำลาย แอบส่งสายตาไม่พอใจให้ท่านที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยว่ากำลังให้เขาซวย...

“คือว่า...”

“ไอ้เราก็ดูแลมาอย่างดี ทำไมถึงทำแบบนี้” อินทร์ธรหน้าเครียด ซึ่งไม่ต่างจากอัยยวัฒน์ที่ตัดพ้อคนอายุน้อยที่สุดเช่นเดียวกับกับแฝดพี่

“จริง...ทำไมทำตัวน่าผิดหวังแบบนี้”

“เอ่อ...ฟังขวัญก่อน”

“ขวัญจะคบใคร จะมีความรัก พวกเราไม่ว่า แต่อย่าทำให้ตัวเองและครอบครัวก็เสื่อมเสียสิ” คุณหญิงน่านฟ้าเองก็ไม่สนใจฟัง แต่เพราะหวังดีเลยไม่อยากให้คนโปรดด่างพร้อย

“ทุกท่านครับ!” เสียงไพเราะเอ่ยทะลุขึ้นมากลางปล้อง กลัวว่าถ้าไม่รีบอธิบายจะกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “ขอให้ขวัญได้อธิบายก่อนนะครับ คืออย่างนี้นะครับ...” ยังไม่ทันที่ขวัญนพัตจะอธิบายออกไป ผู้เป็นพ่อก็ถามขึ้นมาก่อน แต่ก็เป็นคำถามที่ช่วยชีวิตของร่างบาง

“ขวัญ...เมื่อเช้าไปรับพี่สิงห์เหรอลูก”

ผู้เป็นลูกชายยิ้มแล้วพยักหน้า กวาดสายตาใสๆ มองทุกคน แววตาออดอ้อนร้องขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย

“ฮะ...พี่สิงห์งอแง ให้ขวัญไปรับให้ได้ จริงๆ พี่สิงห์บอกหนูว่าเจอคุณพ่อด้วย แต่หนูคิดว่าพี่สิงห์นอนน้อย ตาฝาดไปเองเสียอีก” ขวัญนพัตยิ้มหวาน แทนตัวเองด้วยสรรพนามน่ารักน่าเอ็นดู

“ครับ...เมื่อเช้าลูกชายของผมก็เดินทางมาถึงเวลาไล่เลี่ยกัน ผมยังเจอเลย แต่ไม่เจอขวัญก็เท่านั้นเองครับ” สันต์ธรช่วยลูกชาย ในใจก็โล่งอกไปที...

“แล้วอัศม์กับขวัญไปเจอกันที่ไหน” คุณหญิงอัปสรถาม

“ห้องน้ำฮะ...พอดีขวัญกำลังจะออกแล้วท่านกำลังจะเข้า มีอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ”

“ตายจริง แล้วเป็นอะไรกันหรือเปล่าลูก” คุณหญิงน่าฟ้าหันมามองลูกชายตัวเอง ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ท่านเลยส่ายหน้าแล้วพูดบอกไป

“ผมเปิดประตูไปกระแทกหน้าผากของขวัญน่ะ”

“ทำไมไม่ระวังเลยขวัญ” ยายพิไลดุ ใบหน้าหวานหน้าหงอยลงเพราะโดนตำหนิในสิ่งที่ตนเองก็ไม่ได้ผิด แต่ที่ผิดเพราะคนอย่างท่านไม่สมควรเป็นฝ่ายผิดสินะ หารู้ไม่ว่าที่ตนโดนดุ เพราะว่ายายเป็นห่วง

“ขอโทษครับ”

ทุกคนพยักหน้ารับ ร่างบางจึงยิ้มหวานให้ทุกคน ยกเว้นท่านอัศม์ ที่ขวัญนพัตไม่กล้ามองหรือสบตาด้วย อาจจะเป็นเพราะไม่พอใจเล็กๆ หากเขาก็เข้าใจได้ว่ายังไงเราก็อยู่ในจุดที่ต่ำกว่า เหตุผลที่ไม่กล้ามองคือกลัว แม้ว่าตอนเด็กๆ จะเลิกกลัวท่านไปนานแล้วเพราะท่านใจดีกับตนมาก

แต่พอมาตอนนี้ ขวัญนพัตคิดว่าโรคกลัวท่านอัศม์กำลังกลับคืนมา ดวงตาสวยหลุบมองพื้น กลัวสายตาที่จ้องราวกับว่าจะมองทะลุผ่านตัวเขาไปให้ได้ นึกอย่างไม่เข้าใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใดตนถึงได้ถูกผู้นำตระกูลเตชโรจนโสภณจ้องไม่วางตาถึงเพียงนี้

ท่านจ้องมาด้วยสายตาดุๆ แบบนี้ นี่เราทำอะไรผิดหรือเปล่านะ?



ขวัญนพัตถูกปล่อยตัวให้มาทำขนมให้เสร็จ ซึ่งก็พอดีกับเวลาอาหารกลางวันของทั้งห้าท่านพอดี ร่างบางเลยได้พักไม่ต้องไปยืนรอท่านๆ รับประทานอาหารเหมือนกับพ่อกับยายที่ต้องยืนในห้องรับประทานอาหารจนกว่าท่านทั้งห้าจะรับประทานเสร็จ

“คุณขวัญจะไปนั่งเล่นที่ศาลาใช่ไหมคะ งั้นเดี๋ยวพี่จะยกของว่างไปให้เหมือนเดิมนะคะ”

“ขอบคุณนะครับพี่ดาว”

ขวัญนพัตได้รับอนุญาตว่าให้สามารถไปนั่งเล่นที่ศาลากลางสระบัวได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เวลาท่านๆ รับประทานอาหารกลางวัน ร่างบางก็จะเลี่ยงมานั่งกินของว่างที่ศาลาเพลินๆ รอคุณหญิงย่ากับคุณหญิงน่านฟ้ามาสอนงาน บ้างก็เอาการบ้านมานั่งทำ แต่วันนี้ท่านกลับมา คงจะอยู่กันกับครอบครัว

“คุณหญิงย่ากับคุณหญิงน่านฟ้าคงจะไม่มาสอนหรอกมั้ง ขอยายกลับบ้านดีกว่า จะได้ลากพี่สิงห์ไปเที่ยว” เล่นโทรศัพท์ไป พูดคนเดียวไป ไม่นานของว่างที่เป็นขนมฝีมือตัวเองกับน้ำชาก็มาเสิร์ฟให้ถึงที่

“ขอบคุณนะฮะพี่ดาว อย่าลืมทานล่ะ ขวัญทำในส่วนของพี่ๆ ไว้ด้วย”

“จ้า พวกพี่ขอบคุณคุณขวัญมากๆ เลยนะ เห็นตั้งแต่ตัวเปี๊ยกๆ โตมาทำขนมเก่งกว่าพี่อีก”

“ฮะๆ ขวัญได้ครูดี”

“ค่ะๆ งั้นพี่ไปทำงานต่อแล้วอยากได้อะไรเพิ่มบอกพี่ได้นะ”

“คร้าบ...พี่ดาวคนสวย”

ร่างบางใช้เวลาไปกับการอ่านบทความต่างๆ ที่สนใจผ่านสมาร์ทโฟนเครื่องหรูที่พี่สาวคนรองซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบสิบหกปีที่ผ่านมา ส่วนปีนี้ที่พึ่งผ่านไปร่างบางได้แท็บเล็ตจากพี่สาวคนที่สามด้วย ตอนนี้พี่ๆ ทำงานกันหมดแล้ว มีแค่ขวัญนพัตที่ยังเรียนอยู่ แต่ก็เป็นน้องเล็กที่พี่ๆ ไม่เคยลืมหรือทอดทิ้ง แม้ว่าพี่สาวคนรองจะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วก็ตาม

เวลาที่ขวัญนพัตจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง มักจะไม่ค่อยรู้สึกตัว อย่างเช่นตอนนี้ที่ร่างบางมัวแต่สนใจบทความตรงหน้า ไม่ได้ยินเสียงเดินทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้เบา

ตึก!

มารู้สึกตัวตอนที่เห็นรองเท้าหนังอย่างดีมาหยุดอยู่ตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็เป็นท่านอัศม์ที่เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะขอเลี่ยงทุกวิถีทาง

“เอ่อ...ท่านจะใช้ตรงนี้หรือครับ”

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน”

“ไม่ต้อง นั่งลงอยู่ด้วยกันนี่แหละ” ท่านสั่งพลางเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเขาแล้วนั่งลง ขวัญนพัตวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตรงหน้า

ศาลากลางน้ำจะมีที่นั่งยาวตามขนาดของศาลาโดยรอบก็จริง แต่ตัวศาลมันค่อนข้างใหญ่แล้วก็กว้างมาก หากนั่งด้านข้าง ต้องคอยหลบแดดไปเรื่อยๆ อีกทั้งพื้นที่ตรงกลางมันก็ว่างอยู่ จึงนำชุดโต๊ะเก้าอี้ที่เข้ากันกับสีของศาลามาตั้งไว้เวลามานั่งนานๆ จะได้ไม่ต้องหลบแดด ขวัญนพัตจึงมีที่นั่งเรียนรู้งาน และนั่งทำการบ้านโดยไม่ต้องย้ายที่บ่อยๆ

ทั้งสองคนเงียบใส่กัน ไม่นานดาวก็เดินเข้ามาใหม่ด้วยของว่างและชุดน้ำชาเหมือนกับของขวัญนพัตแต่ถ้วยชามที่ใช้เป็นของหรูกว่าสำหรับเจ้านายโดยเฉพาะ

“ไม่ต้องริน ไปได้แล้ว”

“ค่ะท่าน”

ขวัญนพัตมองตามพี่สาวใช้ไป ก่อนจะหันมามองท่านที่เอาแต่นั่งกอดอกมองเขานิ่งๆ ไม่สนใจของว่างกับน้ำชาตรงหน้าเลยสักนิด

ถ้าไม่ให้พี่ดาวริน ก็ต้องรินเองสินะ แต่ที่ไม่ริน เพราะไม่อยาก?

“ขออนุญาตครับ” ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปฝั่งท่าน ก่อนจะยื่นมือจับที่กาชาแล้วโน้มตัวนิดๆ รินน้ำชาใส่ถ้วยในท่วงท่าที่ถูกฝึกและผ่านการปฏิบัติมาอย่างดี

กิริยานั้นอยู่ในสายตาของท่านทั้งหมด ความรู้สึกแรกคือท่านประทับใจ เพราะไม่ต้องเอ่ยปากสั่ง ร่างบางก็รู้ว่าควรจะทำอะไร ยังไงในทันที

“ไปนั่งสิ...”

“ขอบคุณครับ”

ร่างบางกลับมานั่งที่เดิม แต่นั่งด้วยท่าทางที่สง่า ตัวตรง หลังไม่ค่อม ไม่เอนกายพิงพนัก เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะผ่อนคลาย...

“เป็นยังไงบ้าง” ท่านถามขึ้น ซึ่งขวัญนพัตจะถือว่านี่คือการชวนคุย ไม่ใช่การสอบปากคำจากผู้มีพระคุณที่ให้ทุนการศึกษากับเขาและส่งเงินให้ใช้ทุกๆ เดือน

“ครับ? ถ้าท่านหมายถึงชีวิตการเป็นอยู่ก็ถือว่าสบายครับ มีความสุขมากๆ ต้องขอบพระคุณที่ท่านมีเมตตาต่อผมกับแม่ ไม่เช่นนั้นผมคงต้องอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็เร่ร่อนไปเรื่อย”

“อืม”

“แต่ถ้าท่านหมายถึงการเรียน ผมก็ตั้งใจเท่าที่ทำได้ครับ ผลการเรียนของผม คุณพ่อก็ส่งให้ท่านดูตลอด แต่ผมก็เข้าใจนะครับ ด้วยภาระหน้าที่ของท่าน ท่านคงไม่ได้สนใจอะไรมากอยู่แล้ว” ขวัญนพัตเผยรอยยิ้มบางๆ

“อืม” พยักหน้ารับเบาๆ

“ใช้ชีวิตที่นั่นลำบากไหมครับ” ร่างบางถามกลับ

“ไม่ถึงกับลำบาก แต่ก็ไม่ได้สบาย”

“ครับ” ร่างบางยิ้มเล็กน้อย แล้วเงียบไป เพราะไม่รู้ว่าจะคุยอีก แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอยากคืนเงินและปฏิเสธเงินที่โอนมาทุกเดือน จึงเอ่ยต่อ “ท่านอัศม์ครับ เรื่องเงินที่โอนเข้าบัญชีทุกเดือน ผมขอคืนให้ได้ไหมครับ แล้วท่านก็ไม่ต้องโอนมาอีก ผมเกรงใจน่ะครับ ขอรับแค่ทุนการศึกษาก็พอครับ”

“ทำไม?”

“พอดีว่าผมไม่ค่อยได้ใช้เลยน่ะครับ แล้วจำนวนมันก็เยอะไปสำหรับเด็กมอปลายอย่างผมด้วย”

“ฉันให้ก็เอาๆ ไปเถอะ”

“แต่...”

“พ่อเธอไม่ได้บอกเหรอว่าฉันสั่งไปยังไง ก็ต้องทำอย่างนั้น ฉันให้เพื่อให้เธอใช้ เธอก็ต้องใช้”

“ครับ...ก็ได้ครับ” เมื่อรู้ว่าปฏิเสธคำสั่งที่สั่งเอาไว้อย่างเด็กขาดไม่ได้ ก็ได้แต่ยอมรับอย่างจำยอม ใบหน้าหงอยๆ นั่นทำให้ท่านอัศม์เผลอยิ้มออกมา

“ขนมน่ะ...อร่อยนะ”

“ขอบคุณนะครับ ดีใจที่ถูกปากท่าน” คราวนี้ขวัญนพัตยิ้มเต็มหน้า เป็นรอยยิ้มที่สวยมาก และเป็นรอยยิ้มเพียงแค่คุ้น แต่มันชัดเจนเลยว่าตัวท่านเองเคยได้รับมาก่อนจริงๆ

รอยยิ้มสดใสของเด็กชายขวัญนพัตในอดีตที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดของเขาได้

ในวันนี้รอยยิ้มนั้นสวยมากขึ้น แต่ยังคงความซื่อ บริสุทธิ์ไม่เปลี่ยนแปลง...









+ + + + + To be continue + + + + +

เขาเจอกันแล้วค่ะ ท่านอัศม์สายเปย์ ตอนนี้ก็เปย์เพราะแค่สงสารกับเอ็นดู นี่ถ้าความรู้สึกเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ ไม่รู้จะเปย์อีกแค่ไหน หนูขวัญเป็นเศรษฐี ตัวเลขในบัญชียังไม่เปิดเผย

ฝากแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ งานเขียนเดินต่อได้ เพราะกำลังจากทุกคนเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งนะคะ ^^

https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)

https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-04-2019 00:16:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-04-2019 01:40:35
 :mc4:


 :3123: :pig4: :3123:

 o13
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 24-04-2019 03:46:59
 :L3: อยากได้แบบนี้บ้าง
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-04-2019 07:45:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-04-2019 08:40:54
รอๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 24-04-2019 10:36:07
เมื่อไหร่ท่านจะหลงรักน้องงง
หนูขวัญน่ารักมากเลยตอนคุณกับคุณพ่อ ทุกคนต่างเอ็นดูน้องงง
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 24-04-2019 13:25:03
เจอกันแล้ว ดีใจจัง
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 6 | 23/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-04-2019 06:14:07
ว้าววว เซอร์ไพรส์กันทั้งบ้านค่ะ และทำวุ่นกันด้วย

อัศม์คือผู้ชายมาดเนี้ยบ แต่ดูอบอุ่น และรักครอบครัว
ดูจากการวางตัว พูดคุยกับคนที่บ้าน งานก็ส่วนงาน

อัศม์ชัดเจนกับทุกคน แต่กับขวัญ ชอบแกล้งน้อง
เห็นน้องแว่บแรกแล้วตะลึง แต่ตอนนี้ทำเข้มใส่ ตลกดี

ชอบความงงของคนที่บ้าน ที่อัศม์มีอาการกับขวัญต่างจากที่เป็นปกติ

ขวัญน่ารักมาก เอ็นดูความฉลาด และความซื่อในบางเวลา
โดนพี่แกล้งอีกแล้ว จะรู้ตัวไหมนะว่าทำพี่เอ็นดูเพิ่มขึ้นได้
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 30-04-2019 23:04:08
7

เด็กน้อยของท่าน...ทำ ‘หน้าที่’





อัศม์เดชกลับมาก็เริ่มทำงานในทันที ประชุมพรรคในวันต่อมา จากนั้นจันทร์ถึงศุกร์ก็เข้าบริษัททุกบริษัทตลอดทั้งอาทิตย์ กลายเป็นว่าตารางงานของท่านแน่นมาก แล้วยังมีงานเลี้ยงต้อนรับกลับมาที่สมาชิกพรรคจัดให้อีก แต่ท่านก็ยังเป็นท่าน ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยกับเขาหรอก

ท่านทำงานจนวันเสาร์เวียนมาอีกครั้งบ่งบอกว่าตัวเองกลับมาครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว ซึ่งในวันนี้ท่านไม่มีงานเร่งด่วนที่ต้องจัดการ เลยพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ตื่นแต่เช้า วิ่งออกกำลังกาย พอถึงเวลาอาหารเช้าก็นั่งรับประทานพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว จากที่เพลียๆ มาตลอดทั้งอาทิตย์ พอเห็นหน้าใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กับพิไลในห้องรับประทานอาหารเพื่อรอรับใช้ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างแปลกประหลาด

อยากจะชวนให้ร่วมโต๊ะด้วย แต่ก็คิดได้ว่าคงจะไม่สมควรเท่าไหร่แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พอจะเอามาอ้างได้ เพราะขวัญนพัตก็เป็นเพียงลูกชายของคนสนิทซึ่งสันต์ธรก็ไม่ค่อยได้ร่วมโต๊ะกับพวกเราท่าไหร่นัก เพราะว่ายึดมั่นในหน้าที่และฐานะของตนเสมอ

“วันนี้ท่านจะใช้ศาลา ขวัญคงจะใช้ไม่ได้นะลูก” พิไลบอกหลานขณะที่กำลังเตรียมขนมกับน้ำชาให้ท่านที่ไปนั่งพักผ่อนที่ศาลาแล้ว

“ครับยาย เดี๋ยวหนูไปนั่งที่สวนบ้านพักก็ได้ฮะ นัดกับแก้วอ่านหนังสือ วันจันทร์พวกหนูสอบ”

“จะปิดเทอมแล้วสินะลูก”

“ครับยาย ปิดเทอมเล็กสองอาทิตย์เอง ยายลาพักร้อนได้ไหมฮะ หนูอยากพายายไปเที่ยว”

“ปิดตอนไหนล่ะลูก”

“สอบเสร็จก็ปิดเลยฮะ”

“ยายก็อยากเที่ยวกับขวัญเหมือนกันนะ เดี๋ยวดูก่อนว่าจะลาวันไหนได้บ้าง”

“เย้! หนูจะรอน้า”

“แล้วจะพายายไปไหนอีกล่ะเรา คราวก่อนไปทะเลแล้วนะ”

“คราวนี้หนูจะพายายเดินสายทำบุญเก้าวัด เดี๋ยวหนูจะจัดทัวร์เองว่าจะพายายไปไหนบ้าง ทำบุญร่วมกัน ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นยายหลานกันอีกไงฮะ”

“อื้อหือ...ช่างพูดจริงเชียวเด็กคนนี้ แต่ก็ดีเหมือนกัน ยายอยากทำบุญ” พิไลยิ้มให้หลานชายที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็น่ารักน่าเอ็นดู แต่ยิ่งโตเธอก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะความใสซื่อของหลานที่ได้ฟังมาจากแก้วกานต์ เรื่องของตัวเองขวัญนพัตจะรู้สึกตัวช้ามาก แต่ถ้าเป็นเรื่องคนสำคัญของขวัญนพัตล่ะก็ จะรู้ตัวเร็วเสมอ

น่าเป็นห่วง...เพราะหน้าตาที่จัดว่าหวาน ทำให้หลานชายเป็นที่หมายปองค่อนข้างเยอะ ดึงดูดเพศเดียวกันเข้าหามากกว่าเพศตรงข้าม พอยุคสมัยเปลี่ยน โลกเปิดกว้างในเรื่องของรักร่วมเพศจนเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว แล้วยังมีกฎหมายที่ให้ผู้ที่รักร่วมเพศจดทะเบียนสมรสกันได้ด้วย พอมันไม่ต้องหลบซ่อนตัวตน จึงส่งผลให้คนเข้าหาขวัญนพัตอย่างเปิดเผย

“งั้นหนูไปหาแก้วแล้วนะฮะ”

“จ้าๆ ไปอ่านหนังสือไป เดี๋ยวค่อยมาช่วยยายทำอาหารมื้อเย็นก็ได้ อาหารกลางวันเดี๋ยวให้พวกพี่ๆ เขาจัดการไป ว่าแต่จะเอาขนมกับน้ำผลไม้ไหมลูก”

“เดี๋ยวขวัญจัดการเองฮะ”

“โอเค เดี๋ยวยายเอาของว่างไปให้ท่านก่อน”

“ครับผม”

ขวัญนพัตมองตามหลังยายพิไลที่เดินนำหน้าเด็กรับใช้ที่ทำหน้าที่ถือถาดของว่างเดินตามยายตนไป แล้วหันมาสนใจตตระเตรียมเสบียงสำหรับอ่านหนังสือสอบของตัวเองต่อ...



ท่านอัศม์นั่งผ่อนคลายอยู่ที่ศาลากลางสระบัวโดยไม่มีสันต์ธรอยู่เนื่องจากท่านต้องการอยู่คนเดียว ซึ่งตอนนี้ก็มีเพียงพิไลกับเด็กรับใช้อยู่กับท่านด้วย

“ดีจริงๆ เลยนะคะที่ดิฉันได้เห็นท่านอัศม์พักผ่อนกับเขาเสียที”

“ตอนอยู่ต่างประเทศฉันก็พักบ่อยนะพิไล”

“แต่ดิฉันไม่เห็นนี่คะ”

ท่านอัศม์ยกน้ำชาขึ้นดื่ม ละสายตาจากหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษมามองใบหน้าแม่บ้านที่อยู่กับตระกูลมาหลายปีด้วยความซื่อสัตย์ ภักดี

“วันนี้ฉันมาแย่งที่ประจำของหลานพิไล เด็กคนนั้นก็คงไม่ได้โกรธหรอกนะ”

“จะไปโกรธท่านได้ยังไงล่ะคะ แล้วที่ตรงนี้ก็เป็นของท่านหาใช่ของขวัญไม่ อย่าพูดเช่นนี้สิคะ”

“แล้วตอนนี้ขวัญไปอยู่ที่ไหนล่ะ” ร่างสูงถามถึง

“ขวัญไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่สวนหน้าบ้านพักคนงานกับเพื่อนรุ่นเดียวกันน่ะค่ะ ลูกชายของกอบกิจค่ะท่าน”

“งั้นหรือ? ใกล้สอบแล้วก็แสดงว่ากำลังจะปิดเทอม”

“ค่ะ เมื่อสักครู่ดิฉันก็คุยกับขวัญเรื่องนี้ เห็นว่าเป็นปิดเทอมเล็กสองอาทิตย์ค่ะ”

“อืม...แล้วปิดเทอมมีแพลนจะทำอะไร”

“ก็จะมาทำงานที่นี่ตามปกติค่ะท่าน ช่วงปิดเทอมเล็กขวัญจะมาเรียนทำขนม ทำอาหาร แล้วก็พวกงานฝีมือกับคุณหญิงอัปสรและคุณหญิงน่านฟ้าค่ะ ส่วนปิดเทอมใหญ่ขวัญจะตามคุณสันต์ไปฝึกงานที่บริษัท แต่เห็นว่าหลังๆ มานี้จะเรียนรู้งานที่พรรคเป็นส่วนใหญ่ แต่ดิฉันก็แน่ใจเท่าไหร่นะคะ”

“ก็ดีแล้ว...ถ้าถามพิไล พิไลอยากให้ขวัญทำงานในส่วนไหนมากกว่ากัน”

“จริงๆ ดิฉันไม่กล้าเลือกหรอกค่ะ แล้วแต่ท่านจะกรุณาขวัญค่ะ แต่ถ้าให้พูดในฐานะของยายแล้ว ดิฉันอยากให้ขวัญทำงานส่วนบริษัทมากกว่าค่ะ เพราะงานของพรรคค่อนข้างอันตราย”

ท่านอัศม์พยักหน้าเข้าใจ งานของพรรคเป็นงานที่เจอกับความกดดัน ความรุนแรง เพราะพรรคต้องดูแลสมาชิกพันธมิตรที่อยู่ในรายชื่อทำธุรกิจได้อย่างสงบไม่มีพวกแก๊งนอกรีตมาปั่นป่วน แล้วก็ต้องคอยจัดการพวกที่คิดทำตัวมีปัญหา แน่นอนว่าถ้าการเจรจาไม่ได้ ก็ต้องใช้ความรุนแรงกัน แต่ถ้าใช้ความรุนแรงไม่ได้ก็ต้องมีจิตวิทยาในการแก้ไขปัญหา

ถ้ามองเผินๆ ขวัญนพัตไม่เหมาะกับงานของพรรคจริง แต่อะไรบางอย่างในตัวก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีประโยชน์กับพรรคเช่นกัน เขาไม่รู้ แต่ความรู้สึกบอกว่ามี...

“ก็จริงต้อง...แต่ฉันฟังมาจากคุณย่ากับคุณแม่ ขวัญเรียนกับพวกท่านมาตั้งแต่เด็ก ชำนาญทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ค่ะ ขวัญก็เลยมาช่วยงานที่นี่ มาคอยรับใช้คุณๆ ท่านน่ะค่ะ บางครั้งก็จะตามไปดูแลเมื่อท่านออกงานเวลาคุณสันต์ไม่ว่างค่ะ”

“อืม...ก็ดีแล้ว แสดงว่าทำงานจริงได้แล้วสินะ”

“ใช่ค่ะ เหลือเพียงให้เจอของจริงและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ค่ะท่าน”

งานของพรรคกับบริษัทจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ จะมีประสบการณ์ได้ก็ต้องได้ทดลองทำงานจริง พบเจอปัญหาจริงและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง

“พิไลไม่คิดลาพักร้อนไปพักผ่อนบ้างหรือ?”

“จริงสิคะ...ขวัญบอกให้ดิฉันลาพักร้อนเพราะช่วงปิดเทอมเล็กนี้จะพาไปดิฉันตระเวนทำบุญเก้าวัดน่ะค่ะท่าน” พิไลพูดไปยิ้มไป นึกถึงหน้าหลานชาย ใบหน้าของเธอก็จะมีแต่รอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

ท่านได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า เห็นด้วยที่หัวหน้าแม่บ้านจะลาพักผ่อนเสียที ทำงานก็เต็มที่มาตลอด พอมีขวัญนพัตถึงได้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนของตัวเองเป็น

“อืม...พิไลไปทำงานเถอะ”

“ค่ะท่าน”

พิไลกับเด็กรับใช้โค้งให้แล้วเดินออกจากศาลากลางสระบัวไปตามคำสั่งของท่าน เขาคุยพอแล้วก็ไม่อยากรู้อะไรอีกแล้ว...ที่เขาถามเรื่องของเด็กในอุปการะก็เพราะว่าต้องการเทียบว่าที่สันต์ธรรายงานมันตรงกันกับที่พิไลพูดหรือเปล่า

จริงๆ ท่านก็ไม่ได้อยากจะจับผิดเด็กอายุสิบเจ็ดหรอก แต่หน้าตาของขวัญนพัตไม่น่าไว้วางใจ ใบหน้าและรูปร่างแบบนั้น เขาเกรงว่าจะทำเรื่องให้เสื่อมเสียและอับอายมาถึงคนที่อุปการะอย่างเขาต่างหาก

“ขอให้เป็นเด็กดีอย่างที่ทุกคนพูดก็แล้วกัน”

สายตาคมมองไปยังตึกบ้านพักของคนงานที่อยู่ตรงหน้า มันอยู่ไม่ห่างจากศาลานี้มากนัก แต่ท่านกลับมองไม่เห็นขวัญนพัตที่บอกกับพิไลว่าจะไปอ่านหนังสือเลย คงจะอยู่ตรงไหนสักจุดที่ต้นไม้บังอยู่ก็ได้

ครืด!!!

ร่างสูงลุกขึ้นยืนตรง ก้าวเท้าเดินออกจากศาลาแล้วตรงไปยังบ้านพักคนงานอย่างไม่มีความลังเล ซึ่งเขาก็คิดว่าควรจะไปตรวจดูความเป็นอยู่ของคนงานเสียหน่อย สองเท้าเริ่มเข้าใกล้ทีละน้อยในจังหวะการก้าวที่ไม่รีบร้อน สายตามองสอดส่องไปรอบๆ ข้างทางตามนิสัยคนช่างสังเกต

ท่านเลือกที่จะไปฝั่งของคนงานส่วนใน บรรยายกาศเงียบเพราะทุกคนไปทำงานกันหมด แต่เพราะมันเงียบ ท่านจึงได้ยินเสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งอย่างชัดเจน

“ฮ่าๆ แก้วไม่เล่นแบบนี้สิ เราจะอ่านหนังสือนะ”

“นายไม่ต้องอ่านเลย แค่นี้ก็ท็อปจนใครก็ไม่สามารถแซงนายได้แล้ว”

“หวาย...ขี้อิจฉานะเราอ่ะ ฮ่าๆ”

“หยุดหัวเราะไปเลยขวัญ หยุดอ่านของตัวเองแล้วมาติวให้เรานี่ แบ่งความฉลาดมาบ้าง”

“เราไม่ติว แบร่! หนีไปอ่านที่อื่นดีกว่า”

“อ่าวเฮ้ย! จะทิ้งกันเลยเหรอขวัญ!”

“ฮ่าๆ แน่จริงก็ตามเรามาดิ”

อัศม์เดชเดินตรงเข้าไปหาร่างบางที่โผล่ออกมาจากด้านข้างตึก แต่ขวัญนพัตหันหลังให้เขาจึงไม่มองไม่เห็น ซึ่งเด็กหนุ่มอีกคนที่ตัวสูงกว่าก็วิ่งตามออกมา พอเจ้าเด็กนั่นเห็นเขาก็ตาโตหน้าซีด รีบเรียกขวัญนพัตเสียงสั่น

“ขวัญ! หยุดนะ!!”

“โหย...ทำมาเป็นดุ เราไม่กลัวแก้วหรอก เรื่องอะไรจะหยุด”

“ขวัญๆ ข้างหลัง อย่าถอยนะ”

“อะไร ไม่ต้องมาหลอกเรา เราไม่เชื่อ” บอกเพื่อนไปแบบนั้น จึงหมุนตัวจะวิ่งหนีเพื่อน ขวัญนพัตคิดว่าเพื่อนจะไล่ตามอย่างทุกที

ปึก!!

แต่เพราะหันด้วยความเร็วจนปะทะกับร่างแกร่งเข้าจังๆ หน้าผากสวยกระแทกที่อกแกร่งของท่าน ก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อย มือกุมหน้าผากตัวเองก่อนจะเงยหน้าสบตากับเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าคมกับตาดุๆ ของท่านเท่านั้น ตาสวยก็เบิกกว้างเบิกกว้าง

“ท่ะ ท่านอัศม์ อ๊ะ!!” ร่างบางผงะ ด้วยความตกใจเลยเผลอถอยหลังแต่วางเท้าผิดจังหวะ

หมับ!!

แต่ในจังหวะที่กำลังจะล้มหงายหลัง เจ้าของร่างใหญ่ก็ขยับเข้ามาคว้าเอวบางเอาไว้ได้ ก่อนจะดึงขึ้นมาจนร่างผอมๆ เซมาหาตัว มือสวยวางแนบอกท่าน ปรับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติจากอาการตกใจก่อนหน้า แต่พอเงยหน้ามองคนที่ช่วยตนก็รู้สึกว่ากำลังหายใจผิดปกติ เพราะเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก ใกล้แบบที่ร่างกายแนบชิดกันเลย

แขนแกร่งก็ยังคงโอบรอบเอวบางเอาไว้อยู่อย่างนั้น...สบตากันอยู่เนิ่นนานราวกับว่าทั้งคู่หลุดเข้าไปในภวังค์อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ

ขวัญนพัตได้สติก่อน เพราะคิดว่าอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมกับเจ้านายสักเท่าไหร่...

“เอ่อ...ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

คนตัวใหญ่ขมวดคิ้ว รู้สึกตัวเองเมื่อได้ยินคนในอ้อมแขนกล่าวขอบคุณ ดวงตาที่มักจะไม่แสดวงอารมณ์อะไร กวาดตาพิจารณาใบหน้าสวยของขวัญนพัตที่ได้เห็นแบบใกล้ๆ

สวย...น่ารัก...

“ระวังๆ หน่อย” ท่านเอ่ยเสียงดุกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

“ข่ะ ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร ทีหลังเล่นอะไรก็มองบ้าง”

“ครับ...เอ่อ ท่านครับ”

“มีอะไร”

“ป่ะ ปล่อยผมได้แล้วครับ” บอกกับคนตัวสูงกว่าเสียงเบา ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองท่าน เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินและอายมาก ใจก็เต้นแรงไม่หยุดเลย

“หืม...”

อัศม์เดชสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าตัวเองกำลังโอบเอวเล็กเอาไว้แน่น ใบหน้าที่นิ่งเฉยและดูดุตลอดเวลาระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ปล่อย แล้วยังโอบรัดแน่นขึ้นพร้อมกับดึงร่างเล็กให้แนบชิดเข้ามาอีก ใบหน้าสวยแดงซ่านไปจนถึงใบหู ท่านจึงอยากจะแกล้งเข้าไปอีก

น่ารักดี...

“ท่ะ ท่านอัศม์”

“เรียกทำไม”

“ปล่อยก่อนครับ...นะครับ” อ้อนผู้เป็นนายเสียงเบา แต่สามารถเขย่าหัวใจของท่านอัศม์ผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับใครได้อย่างง่ายดาย

“หึหึ” ท่านหัวเราะในลำคอเสียงเบาที่ขวัญนพัตได้ยินอยู่คนเดียว ยอมปล่อยแขนให้ร่างเล็กเป็นอิสระ ขวัญนพัตเม้มปากทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงฉานไม่กล้าสบตากับเขา ก้าวเท้าถอยหลังไปสองก้าวเพื่อให้ระยะห่างเหมาะสม ร่างสูงก็ไม่คิดจะแกล้งอะไรเด็กอีก มองเลยไปข้างหลังของขวัญนพัต

แก้วกานต์สะดุ้งเฮือกเมื่อสายตาคมมองมายังตน พอตั้งสติได้ก็รีบเดินมายืนข้างๆ เพื่อน แล้วยกมือไหว้ท่านให้สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่แก้วกานต์มีโอกาสได้อยู่ใกล้ท่านถึงขนาดนี้ ถ้าไม่นับรวมวันที่เด็กๆ คนงานถูกเรียกตัวมาเคยเมื่อสิบกว่าปีก่อน

“สวัสดีครับท่านอัศม์”

“อืม...”

“ท่ะ ท่านอัศม์มาคนเดียวหรือครับ” แก้วกานต์ถามขึ้นเพราะเพื่อนตัวดีเอาแต่เงียบมองพื้นหญ้าอยู่แบบนั้น

ตัวเองควรเป็นคนพูดกับท่านหรือเปล่าขวัญ ตัวเองใกล้ชิดกับท่านมากกว่า ตอนนี้มาทำเป็นอายพูดไม่ออก เราขาแข็ง จะเป็นลมอยู่แล้วขวัญ!

“อืม...”

ตอบสั้น ตอบน้อย ขอบคุณที่ตอบนะครับ ผมรู้สึกยินดีที่ท่านไม่เงียบใส่

ก็เป็นลูกคนงานคนหนึ่งแล้วก็ได้รับทุนการศึกษาเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ โตมาจากที่นี่ แก้วกานต์รู้ดีว่าท่านเป็นคนยังไง ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้วล่ะก็ ท่านเป็นคนที่พูดน้อยตอบน้อย แต่ก็ยกเว้นกับคนที่สนิท

“พิไลบอกกับฉันว่าเธอมาอ่านหนังสือกับเพื่อน แต่ที่ฉันเห็นคือเธอกำลังเล่นซนนะขวัญ” ตาคมมองคนตัวเล็กที่สูงเพียงอกของเขากำลังก้มหน้างุดไม่สบตา

“ผมไม่ใช่เล่นซนนะครับ ก็พวกเราเล่นแบบนี้อยู่เสมอ” ตอบเสียงอ่อย

“ถ้ามัวแต่เล่น จะอ่านหนังสือเสร็จตอนไหน?”

“ก็อ่านเรื่อยๆ ครับ ผมไม่ได้รีบ ก่อนนอนก็มี จริงๆ ผมอ่านทุกวิชาหมดแล้ว ตอนนี้ก็อ่านทวนรอบที่สองครับ เลยมาอ่านกับแก้วจะได้ช่วยกันติว”

คนอายุมากกว่ามองหน้าขวัญนพัตไม่วางตา

“ผมไม่อยากให้เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่เครียดก็เลยผ่อนคลายไปกับมัน ไม่กดดันตัวเอง ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ค่อยตั้งใจใหม่ ผมใช้วิธีแบบนี้กับทุกเรื่องครับ เพราะที่ผ่านมาผมไม่ได้เรียนแค่ในโรงเรียน แต่เรียนรู้งานอื่นๆ จากคุณพ่อด้วยน่ะครับ”

“แสดงว่าก็พร้อมที่จะทำงานแล้ว?”

“ท่านจะให้ผมทำงานแล้วหรือครับ” ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายความดีใจช้อนสบตาคมที่กำลังมองมาอยู่เช่นกัน น้ำเสียงตื่นเต้นและยินดีที่จะได้ทำงานจริง

เพราะคำว่าทำงานจริงคือการที่ไม่ต้องให้พ่อหรือใครต้องคอยชี้แนะว่าต้องทำอะไร ยังไง แก้ปัญหาแบบไหนเหมือนกับที่เรียนรู้งานมาตลอด...แม้จะได้ทำจริงแต่ก็เป็นแค่ผู้ช่วย

“ทำไม อยากทำแล้วหรือ”

“ครับ ผมอยากทำงานแล้ว”

“อยากทำส่วนไหนล่ะ”

“คุณพ่อบอกผมว่าท่านไม่ต้องให้ผมดูแลท่านแล้ว ให้เลือกระหว่างบริษัทกับพรรค จริงๆ ผมยังเลือกไม่ได้เลยครับ อยากลองทั้งสองส่วนเลย พอเรียนจบแล้วผมจะได้เลือกได้ว่าอยากจะไปทำส่วนไหน”

“ฉันคิดว่าเธอจะมีตัวเลือกเดียวคือบริษัท ทำไมถึงสนใจพรรค”

“ไม่ทราบสิครับ แต่รู้สึกว่าพอจะทำอะไรได้บ้างน่ะครับ”

“เรื่องดูแลฉันน่ะ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”

“ครับ?”

“ฉันจะให้เธอเป็นคนดูแลฉัน ตั้งแต่การตื่นนอน และอยู่ข้างๆ ฉันจนกระทั่งนอน”

“อะไรนะครับ ไหนว่าท่าน…”

“ก็เปลี่ยนใจไง เธออุตส่าห์ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ จะไม่ให้ใช้วิชาเลยก็ดูใจร้ายไป”

“แต่ผมก็ได้ใช้วิชาพวกนนี้ในการดูแลคุณๆ ท่านอื่นนะครับ”

ขวัญนพัตไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังเถียงท่านอัศม์อยู่ แต่ถึงท่านจะรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังเถียง หากเขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแล้วยังปล่อยให้เด็กหนุ่มพูดไป

“ก็ถูกฝึกเพื่อดูแลฉันไม่ใช่หรือ”

“ครับ...” รับคำเสียงอ่อย ใบหน้าดูผิดหวัง “ผมจะไม่ได้ทำในส่วนอื่นด้วยเหรอครับ”

“ใครบอก”

“ถ้าการที่เธอต้องดูแลฉันตลอดเวลา นั่นหมายความว่าฉันอยู่ที่ไหน เธอก็อยู่ที่นั่น เธอจะได้ทำงานในส่วนของพรรคและบริษัทไปพร้อมๆ กัน” สิ้นเสียงของท่าน ร่างบางก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เพราะสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กๆ จะได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์ในทุกๆ เรื่องเลย

“ดีใจขนาดนั้นเลย?”

“ครับ...จะได้ตอบแทนพระคุณท่านอัศม์เสียที”

“หึหึ รีบตอบแทนไปทำไม เพราะทั้งชีวิตเธอก็ทดแทนมันไม่หมดหรอก” ขวัญนพัตยู่หน้าอย่างลืมตัวกับประโยคน่าหมั่นไส้จากปากของท่าน

แก้วกานต์ยืนกลืนน้ำลายตัวเอง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน อยากจะเดินออกมาก็กลัวจะเสียมารยาทที่ไม่ลาท่านก่อน

“ก็ทดแทนให้มากที่สุดไงครับ”

“ปากเก่งจริงๆ”

“อ่า ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท”

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

ท่านแค่ชมว่า ‘ปากเก่ง’ ทำไมถึงได้ทำหน้ารู้สึกผิดขนาดนั้น

“ก็...”

อัศม์เดชคงจะไม่รู้ว่าปากเก่งมันไม่ใช่คำชม

“เอาเถอะ ไปเริ่มงานของตัวเองได้แล้ว”

“ครับ? งาน? เริ่มงาน...” ขวัญนพัตงง เริ่มสับสนที่จู่ๆ ก็มีคำสั่งให้เริ่มงาน ทั้งๆ ที่คิดว่าน่าจะได้เริ่มช่วงปิดเทอมเสียอีก...

“ดูแลฉันไง ไปเอาหนังสือ แล้วไปที่ศาลา ฉันพักผ่อนอยู่ที่นั่น ส่วนเธอก็ไปอ่านหนังสือกับฉัน”

“แล้วแก้ว…”

“เราอ่านเองได้ สบายมาก ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวให้พี่จิมสอน วันนี้พี่แกไม่ได้ไปไหน อ่านหนังสืออยู่ในห้องน่ะ ขวัญไปทำงานเถอะ เอ่อ...ขอตัวนะครับท่านอัศม์ สวัสดีครับ”

ท่านพยักหน้ารับไหว้ แก้วกานต์เดินหันหลังกลับไปที่ข้างตึก ส่วนขวัญนพัตก็มองท่านแบบไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ แต่พอถูกกำชับผ่านสายตาดุๆ ก็รีบวิ่งตามเพื่อนไปเก็บหนังสือแล้วกลับมาหาท่านด้วยความรวดเร็ว สองเท้าก้าวเดินตามท่านอยู่ข้างหลัง ตาหวานมองแผ่นหลังกว้างที่เดินด้วยท่วงท่าสง่างามแล้วใจสั่น

ขวัญนพัตนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาแล้วหน้าแดงซ่าน ยกมือมาจับที่อกด้านซ้ายของตัวเองเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ชักจะไม่เข้าใจตัวเองเสียแล้วว่ามันคืออะไร

“เต้นแรงจัง เป็นโรคหัวใจหรือเปล่านะ”

ยิ่งตอนที่อยู่แนบชิดกับท่าน ใจเต้นแรงจนรู้สึกจี๊ดๆ แข้งขาอ่อนแรง ใบหน้าและดวงตาร้อนผ่าว ภาพใบหน้าของท่านที่อยู่ใกล้ ขวัญนพัตพูดได้คำเดียวเลยว่า ‘หล่อ’

“อาการมันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินจากแก้วเลย”

ยังคงพึมพำเบาๆ อยู่คนเดียว แม้จะมองข้างหน้าแต่ก็ไม่มีสติพอจะรู้ว่าท่านกำลังยืนนิ่งๆ มองตัวเองอยู่ จนกระทั่งเกิดเดจาวู

ปึก!!

“อ๊ะ! ขอโทษครับ” แต่คราวนี้ไม่ล้มเพราะขวัญนพัตตกใจมากจนน่าสงสัย ถอยห่างทันทีที่ชนอกท่าน

“เหม่ออะไร”

“เปล่าครับ คิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยน่ะครับ”

“ถ้าทำงานอยู่ แล้วมีศัตรูซุ่มยิง ฉันว่าฉันคงโดนกระสุนโดยที่เธอไม่ทันได้รู้ตัวแน่”

“ขอโทษครับท่าน”

“งานแรกของเธอ แค่เดินตามฉันไปที่ศาลายังทำได้ไม่ดีเลย แล้วแบบนี้จะทำงานจริงๆ ได้งั้นหรือ” เสียงทุ้มยังคงตำหนิขวัญนพัตอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าสวยก้มหน้ารับสภาพ เพราะตัวเองผิดจริงๆ ที่ไม่มีสมาธิ

“ฉันก็รู้ว่าเธอไม่ใช่บอดี้การ์ด แต่คนที่จะอยู่ใกล้ชิดฉัน ตอนนี้มีแค่สันต์ธรและกำลังจะเพิ่มเธอมาอีกคน คนที่อยู่ใกล้ ต้องปกป้องฉันได้ หรือว่าเธอจะให้ฉันปกป้อง?”

“ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอกครับ”

“แต่ฉันคิด...ฉันคิดว่าเธอปกป้องฉันไม่ได้”

“ผมจะพยายามครับ ให้โอกาสผมนะครับท่าน”

“ฉันให้โอกาสแน่ แต่ผิดพลาดยังไงก็ต้องได้รับโทษ ไม่เช่นนั้นจะไม่หลาบจำ”

ท่านอัศม์เป็นคนที่เข้มงวดขนาดไหนขวัญนพัตรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้มีโอกาสได้เจอกับตัว แม้เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยที่มองข้ามก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

เป็นคนใกล้ชิดท่าน ไม่ง่ายเลยจริงๆ

“ผมยินดีรับโทษครับ”

“ก็ดี...มาเดินนำ ฉันจะเดินตามเธอเอง” ท่านอัศม์สั่ง

“แต่…ครับ” อ้าปากเตรียมแย้ง แต่พอตาคมๆ นั่นจ้องมาก็เปลี่ยนเป็นรับคำสั่งนั่นอย่างจำยอม ร่างเพรียวเดินนำท่านไปยังศาลา

ท่านอัศม์ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเดินตามคนตัวเล็กไป กลายเป็นว่าท่านเอาแต่จ้องร่างนั้นเดินโดยไม่สนใจอะไรรอบข้างอย่างเคย คิดในใจว่าเจ้าตัวเล็กเหม่อเพราะมองแต่ตน พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด ระหว่างทางก็เจอกับเหล่าคนงานเดินทำงานกันอยู่ประปราย ซึ่งก็ให้ความสนใจภาพท่านกับขวัญนพัตกันพอสมควร หากแต่ก็ไม่สามารถนินทาในระยะเผาขนได้ พอใกล้ถึงศาลา ร่างเล็กหยุดเดินหมุนตัวกลับมามองท่านอัศม์ ร่างสูงเลิกคิ้ว

“ผมจะไปเอาของว่างกับน้ำชาชุดใหม่มาให้นะครับ ของเดิมคงจะเย็นแล้ว”

“มันไม่เย็นเร็วขนาดนั้นหรอก ฉันกินได้”

“แต่ขนมตากลมทิ้งเอาไว้ไม่ใช่หรือครับ”

“ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องกิน ฉันไม่หิว”

ขวัญนพัตหน้ายุ่ง ถอนหายใจ แล้วเดินบนสะพานไป ร่างสูงยังไม่เดินตาม ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโทรหาคนสนิททันที

“สันต์ บอกพิไลว่าให้เด็กเอาขนมกับน้ำชามาใหม่สองชุด ฉันให้ขวัญนั่งเป็นเพื่อนอยู่ที่ศาลา” ปลายสายรับคำสั่งอย่างสุภาพไม่มีคำถามอะไร ท่านอัศม์เลยวางสายขณะที่สองเท้าก็เดินไปที่ศาลาซึ่งขวัญนพัตกำลังยืนรออยู่ ร่างสูงเดินเข้าไปนั่ง ก่อนที่คนตัวเล็กจะโค้งให้แล้วนั่งตาม

“อ่านเล่มนี้ให้ฟัง”

“แล้วผมจะได้อ่านของตัวเองตอนไหน”

“แค่ทวนไม่ใช่เหรอ อ่านก่อนนอนก็ได้”

ขวัญนพัตรู้สึกเหมือนโดนย้อน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หยิบหนังสือเล่มหนาของท่านมาถือ ดูหน้าปก ก่อนจะเปิดไปยังหน้าที่คั่นเอาไว้

“ผมอ่านต่อจากนี้นะครับ”

“อืม...”

อัศม์เดชนั่งไขว่ห้าง กอดอก แล้วค่อยๆ หลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงนุ่มๆ ของขวัญนพัตอ่านหนังสือให้ฟัง สำเนียงภาษาอังกฤษของร่างบางดีมาก แสดงว่าต้องฝึกกับชาวต่างชาติหรือได้พูดมันอยู่บ่อยๆ พอลืมตาก็เห็นใบหน้าหวานกำลังตั้งใจ แววตาก็เปล่งประกายสดใสเมื่อรู้สึกสนุกไปด้วย

เวลาคลายเครียดหรือพักผ่อน ท่านอัศม์จะเลือกวรรณกรรมต่างประเทศมาอ่าน หากใครรู้เข้าก็คงคิดว่าไม่เหมาะ แต่นี่คือความจริง เป็นเรื่องส่วนตัวที่น้อยคนจะรู้

ใบหน้าไร้อารมณ์จุดรอยยิ้มบางเบาออกมา หลับตาฟังเสียงเพราะๆ ของขวัญนพัตด้วยความเคลิบเคลิ้ม











+ + + + + To be continue + + + + +

ก่อนอื่นแจ้งไว้ก่อนว่าอาทิตย์หน้าไม่ลงค่ะ ^^ เจอกันอังคารหน้าหน้านะคะ ให้กำลังใจยูกิด้วยน้า แล้วเจอกันจ้า

ฝากแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

https://www.facebook.com/sawachiyuki/

https://twitter.com/Sawachi_Yuki
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-04-2019 23:33:36
 :z1:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-04-2019 23:52:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-05-2019 03:12:11
 :hao3: ท่านอัศดจ้าเล่ห์กับเด็กน้อยหรอคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-05-2019 08:13:15
รอๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 01-05-2019 09:57:18
ท่านเริ่มจะเห็นเสน่ห์ในตัวน้องขวัญเพิ่มขึ้น น้องจะตกหลุมรักท่านเร็วๆนี้มั้ย รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 01-05-2019 12:27:51
ท่านดูดุ เข้มงวดมาก กลัวแทนน้องขวัญญญ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-05-2019 13:26:31
 o13
 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: thyme812 ที่ 01-05-2019 15:24:26
 :mew1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 7 | 30/04/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 01-05-2019 19:30:14
ทุกคนต่างห่วง หวงน้องขวัญ ป้องกันคนมาจีบทุกทาง แต่กับท่านจะกันไงอ่ะ ดูท่าจะเนียนเคลม ป๋าสายเปย์ก็งี้  :katai3:  :pig4:
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 18-05-2019 00:49:28
8

เรียนรู้งาน...ที่ ‘ข้างกาย’

 


หลังจากที่ปิดเทอม เวลาหนึ่งอาทิตย์ขวัญนพัตพายายพิไลไปเดินสายทำบุญเก้าวัดในโซนภาคเหนือ โดยที่มีกัญญาวีกับครอบครัวของเธอไปด้วยกัน เพราะทางครอบครัวไม่อยากให้น้องชายต้องพาพิไลไปกันตามลำพัง ซึ่งพอดีกับที่สามีของเธอลาพักร้อนเอาไว้พอดี นับว่าเป็นความบังเอิญที่ลงตัว ส่วนอีกอาทิตย์หนึ่งที่เหลือ ขวัญนพัตต้องมาทดลองทำงานกับท่าน จะได้คุ้นเคยเอาไว้

ที่สำคัญท่านอยากจะให้ขวัญนพัตได้รู้จักนิสัยของตนเองด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ฟังเอาจากคนอื่น เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติแบบเดียวกันกับทุกคน

วันนี้เป็นวันแรกที่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง...

“หนึ่ง...สอง...สาม ฟู่ โอเคขวัญ พร้อมรับมือแล้วใช่ไหม”

ขวัญนพัตมองประตูไม้ตรงหน้าพร้อมให้กำลังใจตัวเองที่กำลังจะก้าวเท้าไปเข้าไปข้างใน เพียงแค่ประตูห้องนอน ขวัญนพัตก็รู้ว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่จะเหยียบย่างเข้าไป

ใช่แล้ว เขาอยู่หน้าห้องนอนของท่านอัศม์ หนึ่งในหน้าที่ดูแลท่านอัศม์ คือต้องเข้าไปปลุกท่าน ซึ่งโดยปกติแล้วท่านจะใช้นาฬิกาปลุก แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงสั่งให้เขาไปปลุก ตัวขวัญนพัตเองก็หวั่นกลัวว่านิสัยยามตื่นนอนของท่านจะน่ากลัว เพราะเวลาพี่ชายตัวเองตื่นนอนจะเหวี่ยงมากๆ แต่นั่นพี่ชาย เลยรับมือได้ แต่นี่ท่านอัศม์ เป็นเจ้านาย หากท่านไม่พอใจขึ้นมา ขวัญนพัตผิดทั้งขึ้นทั้งร่อง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แกร็ก...

ไม่ใช่ว่าถือวิสาสะเข้าไปเอง แต่ทางยายพิไลบอกว่าหากเคาะประตูแล้วก็ให้เข้าไปเลย เพราะท่านไม่ตื่นง่ายๆ ขนาดนาฬิกาปลุกยังใช้ทั้งหมดห้าเครื่อง และเมื่อเข้าไปไอเย็นก็เข้าปะทะหน้า

“หนาวจัง ทำไมท่านนอนอากาศเย็นๆ ได้นะ”

ร่างบางเดินไปปิดเครื่องปรับอากาศ เห็นตัวเลขในรีโมทก็ตกใจ

“สิบหกองศา…โห”

ดวงตามองไปยังร่างนิ่งๆ บนเตียง ซึ่งเจ้าของห้องยังคงนอนหลับสนิทอยู่ ร่างบางนึกตารางงานของท่าอัศม์ที่ได้ฟังมาจากพ่อ แล้วเดินเลี่ยงเตรียมชุดให้ท่านก่อน ป้องกันท่าโมโหยามตื่นแล้วไล่ออกจากห้อง แล้วเขาจะไม่กล้ามาเตรียมชุดก่อน ขวัญนพัตคิดนั่น นู่น นี่ไปไกล เพราะพ่อกับยายไม่ยอมบอกอะไรเลยว่าเวลาตื่นท่านอัศม์เป็นยังไง บอกให้เข้าไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เออ...ถ้าโดนทุ่มออกมาก็รับผิดชอบใจน้อยๆ ที่พังไปแล้วด้วยก็แล้วกัน…ขวัญนพัตคิดน้อยใจพ่อกับยาย

พอเตรียมชุดให้ท่านเรียบร้อยแล้วก็เดินมาเปิดม่านให้ห้องที่มืดสว่าง มองไปยังเจ้าของห้องก็ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

“ท่านครับ ท่านอัศม์ครับ ถึงเวลาต้องตื่นแล้วนะครับ”

ขวัญนพัตยืนเข้าอยู่ข้างเตียง เอ่ยปลุกท่านเสียงเบาแล้วค่อยๆ เพิ่มเสียงขึ้นตามลำดับ

“ท่านครับ!!

คิ้วเข้มเริ่มขมวด ก่อนที่เจ้าของห้องจะค่อยลืมตา ใบหน้าแสดงถึงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ขวัญนพัตคอแห้งผากสบตาคมดุที่เหมือนจะมองตนเองอยู่ด้วยแววตาที่ไม่พอใจอย่างมาก

“คือ...”

“ออกไป!!!”

คนบนเตียงตวาดไล่เสียงดัง ก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง ร่างเล็กตัวสั่นด้วยความกลัว น้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะร้องออกมาให้ได้

ถึงจะเคยถูกคนขึ้นเสียงใส่มาบ้าง ขวัญนพัตก็ไม่เคยนึกหวาดกลัวมาก่อน แต่ครั้งนี้ กับคนๆ นี้ ขวัญนพัตกลับรู้สึกกลัวจนอยากจะร้องไห้ เพราะแววตาของท่านดูไม่มีแววตาของคนที่มีความเมตตาเลย มันดูพร้อมจะทำลายล้างทุกอย่าง และถ้าขวัญนพัตไม่ออกไปตอนนี้ มีหวังท่านจับทุ่มอย่างที่คิดแน่

แต่ถึงอยากจะออก ก็ไม่สามารถออกไปได้อย่างใจคิด เพราะขามันแข็ง ตัวแข็ง เหมือนโดนแช่เอาไว้

พรึ่บ!!

ท่านอัศม์ลุกขึ้นนั่ง เสยผมด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกตอนเช้า ปรับอารมณ์ของตัวเองโดยการมองไปยังนอกหน้าตาที่มีแสงสว่างยามเช้าบ่งบอกว่าเป็นเวลาตื่นนอนของตัวเอง อารมณ์ก็เริ่มปกติขึ้น ก้มมองร่างบางที่นั่งคุกเข่ากับหน้าอยู่กับพื้นแล้วยิ้มเบาๆ

ปกติท่านไม่ค่อยยิ้มตอนเช้า เพราะหงุดหงิดที่ต้องตื่นนอน ถึงวันนี้เขาจะหงุดหงิดเหมือนปกติ แต่พอเห็นท่าทางกลัวๆ ของขวัญนพัต ผู้ดูแล ‘ของเขา’ กลับทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เงยหน้า”

“ค่ะ ครับ” ใบหน้าสวยเงยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว หลุบตามองจมูกของท่านแทนที่จะสบตา ดวงตายังคงมีน้ำคลอๆ ไม่ถึงกับร้องไห้ออกมา แต่เพียงเท่านั้นท่านก็รู้สึกผิดที่ทำให้เด็กกลัว

“กลัวเหรอ”

“ป่ะ...ครับ กลัวครับ” ร่างบางเลือกที่ตอบไปตามความจริง ลดระดับสายตามาที่คางของท่าน

“อืม...แต่ไม่ได้ออกไปตามที่ไล่ ถือว่าใช้ได้”

“อยากออกครับ แต่ขยับตัวไม่ได้” เด็กน้อยขี้กลัวก็ตอบตามความจริง ท่านอัศม์ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ รู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้ายิ่ง

“หืม...”

“ผมเพิ่งเข้าใจ ว่ากลัวจนตัวสั่นเป็นยังไงก็วันนี้เลยครับ” ขวัญนพัตตอบเสียงเบา สีหน้ายังคงดูหวั่นๆ ไม่ได้มีแววล้อเล่น แต่ทำไมท่านถึงอยากจะหัวเราะออกมาก็ไม่รู้

“หึหึ...” ท่านหัวเราะออกมาอย่างขบขันอารมณ์ดี

หากเป็นเวลาปกติแล้ว เขาจะอารมณ์ปกติก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสายน้ำ เพราะหน้าที่หลายๆ อย่าง กระทั่งเวลานอนของท่านก็แบ่งให้กับงานอยู่บ้าง ทำให้เขาได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“อาบน้ำเลยไหมครับ ผมจะไปเตรียมน้ำ”

“ลุกไหวแล้วหรือไง” ท่านถาม แต่น้ำเสียงหยอกเย้าจนขวัญนพัตใจสั่น ริ้วสีแดงพาดอยู่บนใบหน้า รู้สึกอับอายจนไม่กล้าสบสายตา

“ผมเป็นคนปรับตัวไว รับรองว่าพรุ่งนี้ถ้าปลุกท่านแล้วโดนไล่ออกจากห้องอีก ผมจะเดินไปจัดชุด เตรียมน้ำ ตอนนั้นท่านคงปรับอารมณ์เสร็จแล้ว” ท่านอัศม์มองคนตอบอย่างพึงพอใจ

แม้อารมณ์ตอนถูกปลุกจะเป็นความโมโหจริงๆ แต่เขาก็ใช่ว่าจะทำโทษหรือลงโทษคนที่มาปลุก เพียงแต่ต้องชินกับอารมณ์ตอนตื่นนอนของเขาให้ได้

“ตอนฉันไล่รู้สึกยังไง”

“จะร้องไห้ครับ”

“เป็นผู้ชาย อย่าอ่อนแอ” ท่านว่า

จริงๆ แค่ไม่อยากให้ขวัญนพัตร้องไห้...ผู้ชายก็คน อ่อนแอ เข้มแข็ง ก็มีกันทั้งนั้น

“ผู้ชายก็อ่อนแอได้ครับ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องร้องไร้ออกมา มนุษย์ทุกคนมีน้ำตากันหมดแหละครับ การที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย จะต้องไม่ร้องไห้ มันเป็นการกดดันตัวเองเกินไปครับ เพราะสำหรับบางคน การร้องไห้ถือเป็นการระบายความเครียดครับ”

ท่านฟังอย่างตั้งใจ มองหน้าคนพูดไม่วางตา ท่านเพิ่งจะรู้ตัวเองว่าชอบมองหน้าหวานๆ ของขวัญนพัต สายตาของเขาชอบมองหาใบหน้าสวยๆ นั่นอยู่เสมอ...

มอง...แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมอง แต่มองแล้วรู้สึกสบายใจ 

“ก็คงจะจริงอย่างนั้น”

“ท่านอยู่ในสถานะที่แสดงความอ่อนแอไม่ได้ก็จริง แต่เมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีคนอื่น ผมเชื่อว่าท่าเองก็มีมุมอ่อนแอเหมือนกัน เพียงแต่เก็บเอาไว้คนเดียว ผมไม่เชื่อหรอกครับ ว่าจะมีคนที่เข้มแข็งตลอดเวลาอยู่บนโลกจริงๆ”

“จริงจังมาก” ท่านว่า ก่อนจะขยับมานั่งที่ข้างเตียง สองเท้าใหญ่วางลงบนพื้น ขวัญนพัตขยับตัวลุกขึ้นยืนห่างๆ

“ผมจะไปเตรียมห้องน้ำนะครับ ว่าแต่ท่านจะอาบน้ำอุ่นหรือเปล่าครับ”

“ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวฉันอาบน้ำอุณหภูมิปกติ”

“เอ่อ...ครับ”

“ช่วงเช้าฉันจะดื่มน้ำเปล่าไม่เย็น ไม่อุ่น ก็คือน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติด้วยหนึ่งแก้ว”

“ขออภัยครับ” เรื่องนี้เขาเองก็ทราบว่าท่านต้องดื่มน้ำตอนตื่นนอนเพื่อให้ร่างกายตื่น แต่ดันลืมเอามาจนได้ ขวัญนพัตนึกตำหนิตัวเองที่ไม่มีความรอบคอบ

“จะถือว่าเป็นวันแรก เพราะความตื่นเต้นเลยทำให้พลาดก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเอามาให้นะครับ” ขวัญนพัตอยากจะแก้ตัว แต่ร่างสูงกลับปฏิเสธก่อน

“ไม่เป็นไร ฉันไปดื่มตอนมื้อเช้าเลยก็ได้”

“ครับ”

ร่างแกร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องแต่งตัวแบบ Walk in closet ที่ห้องน้ำอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำก็มองตรวจตราชุดที่เตรียมไว้ พอเห็นชุดที่ขวัญนพัตเตรียมให้เขาก็รู้สึกพึงพอใจ คิดว่าคงผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเลย

“เลือกชุดได้ดี” ท่านหันไปชมคนที่เดินตามเข้ามา

“ผมถูกฝึกมาน่ะครับ”

“งั้นก็รู้สินะว่าต้องรอแต่งตัวให้ด้วย”

“ทราบครับ”

“ก็ดี แต่เธอไม่ต้องห่วง ถ้าวันไหนที่ฉันไม่ต้องการแช่น้ำ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปในห้องน้ำด้วย เพียงแต่รออยู่ตรงนี้ก็พอ”

“รับทราบครับ”

“อืม...”

ท่านอัศม์เดินเข้าห้องน้ำไปทันที โดยที่มีขวัญนพัตยืนรออยู่ด้านหน้าประตูห้องน้ำ ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีท่านก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพสวมชุดคลุมอาบน้ำ ขวัญนพัตรีบหาผ้าขนหนูมายื่นให้ร่างสูงเช็ดผมที่เปียก อัศม์เดชเดินไปนั่งบนเบาะนุ่มเพื่อให้ขวัญนพัตเป่าผมด้วยเครื่องไดร์ให้

ระหว่างการแต่งตัวของท่านกับการช่วยสวมเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มมีเพียงความเงียบงัน แต่สายตาของท่านก็เพียรมองคนตัวเล็กกว่าอยู่ตลอด ส่วนขวัญนพัตก็มักจะไม่กล้าสบตา ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ แม้จะมีช่วงที่ท่านเปลือยช่วงบน รอยสักตรงต้นแขนและหัวไหล่ด้านขวาของท่านอัศม์จะดึงดูดสายตาให้มองอย่างสนใจ

มันเป็นรอยสักมังกรเพลิงที่ส่วนหัวของมังกรอยู่ที่ต้นแขนแกร่ง แต่ส่วนลำตัวยาวจะสักขึ้นไปทางหัวไหล่ไล่ลงไปยังแผ่นหลังกว้าง มันดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมาจริงๆ

“มีอะไรที่อยากจะถามไหม” คนอายุมากกว่าถามขึ้นเมื่อแต่งตัวเสร้จเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มมีความสงสัยอยู่

“ไม่มีหรอกครับ”

“พูดมา อย่าให้ฉันต้องบังคับ”

ก็เห็นชัดๆ ว่ามี จะมาโกหกว่าไม่มีไม่ได้ เขาไม่ชอบคนโกหก ยิ่งคนโกหกไม่เก่งแต่ดันทุรังที่จะโกหก มันน่าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ”

“งั้นก็ว่ามา เธอสงสัยเรื่องอะไร”

“รอยสักครับ”

“อ้อ...รูปมังกรเพลิง ผู้นำของพรรคทั้งห้าคนต้องสักมัน”

“เจ็บไหมครับ?”

“ทำไม อยากสักเหรอ” ท่านไม่ตอบแต่ถามกลับ

“เปล่าครับ ผมเห็นว่าคนในพรรคก็สักกันทุกคน”

“ถามแบบนี้แสดงว่ากลัวที่จะต้องสักงั้นหรือ”

ขวัญนพัตหลบตาไม่กล้าตอบ เป็นคำตอบที่ชัดเจนเหลือเกินสำหรับผู้ที่ถาม ท่านอัศม์หัวเราะออกมาเบาๆ เด็กตรงหน้าเขาเหมือนแมวน้อยแสนขี้กลัวเหลือเกิน

น่ารัก น่าเอ็นดูเสียจริงๆ

“ว่าไงขวัญ เธอกลัวงั้นหรือ”

“กลัวครับ แม้ว่าจะเป็นรอยสักเล็กๆ ผมก็กลัว แค่เข็มฉีดยาผมยังกลัวเลยครับท่านอัศม์ ของท่านอัศม์ใหญ่ขนาดนั้นต้องเจ็บมากแน่ๆ” เด็กน้อยของท่านมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างน่าสงสาร แต่สำหรับท่านแล้วดูน่าแกล้งมากกว่าอีก

“ก็เจ็บจริงๆ นั่นแหละ แต่เธอต้องทำใจนะ ยังไงคนในพรรคก็ต้องสัก เรียนจบเมื่อไหร่ก็ต้องสักแล้วทำพิธีสาบานตนเข้าพรรค”

“ผมไม่สักไม่ได้หรือครับ”

“ไม่ได้” ท่านตอบเสียงเข้ม ใบหน้าสวยซีดเจื่อนไปทันที

“ผมกลัว”

“เป็นผู้ชาย กลัวด้วยเรื่องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” ท่านอัศม์ดุ ยิ่งทำให้ไหล่ของขวัญนพัตตกลงไปอีก เด็กหนุ่มก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิดที่พูดเอาแต่ใจกับผู้มีพระคุณ ทำให้ไม่เห็นสีหน้าแววตาของท่าน

“ขอโทษครับ”

“จำไว้ให้ดี บางสิ่งบางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้”

“ครับ”

“ทุกคนในพรรคต้องสัก ไม่มีข้อยกเว้นทั้งนั้น แต่ไม่ต้องห่วง รอยสักของสมาชิกทั่วไปก็เป็นเพียงรอยสักตราของตระกูล บ่งบอกว่าเป็นคนของตระกูลไหนในห้าตระกูล ที่สำคัญรอยมันก็เล็ก สักในร่มผ้า เจ็บไม่นานก็หายแล้ว”

“ครับ”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่าใครได้รับการยกเว้น” ท่านถาม

“ทราบครับ”

อัศม์เดชเลิกคิ้วให้ขวัญนพัตเป็นนัยว่าให้พูดออกมา

“ภรรยาและลูกของผู้นำตระกูลจะได้รับการยกเว้นครับ ลูกและภรรยาของสมาชิกในพรรคเองก็ได้รับการยกเว้นเช่นกันครับ”

“อืม...ถ้าไม่อยากสักก็มีเพียงแค่ไม่ต้องทำงานให้กับพรรค สองคือการเป็นภรรยาของฉัน และสามเป็นน้องสะใภ้ของฉัน แน่นอนว่าสองข้อหลังเป็นไปไม่ได้”

“ทราบแล้วครับ ท่านอัศม์อย่าได้ใส่ใจกับความขี้ขลาดของผมเลย พอถึงตอนนั้นผมก็จะทำทุกอย่างที่สมควรต้องทำครับ ขออภัยถ้าทำให้ท่านไม่พอใจนะครับ”

“เอาเถอะ ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไร”

ท่านอัศม์หมดสนุกที่จะแกล้งเด็กหนุ่มต่อแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาตามที่คิดสักเท่าไหร่ มองหน้าก็ไม่มอง คำพูดคำจาของเจ้าตัวสำนึกผิดจริงจังจนรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ท่านอัศม์ครับ ถ้าท่านแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอัศม์รับอาหารเช้าดีกว่าครับ ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเช้าพอดีเลยครับ”

อ่านอัศม์พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ห้องรับประทานอาหารโดยที่มีขวัญนพัตเดินตามอยู่ด้านหลัง วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ศึกษางานทางพรรคกับท่านอัศม์ ขวัญนพัตที่ทำหน้าที่ควบสองดูแลท่านไปด้วยก็จำเป้นต้องตัวติดกับท่านตลอดเวลา คล้ายเป็นพ่อบ้านส่วนตัวมากกว่าเป็นผู้ช่วยฝึกหัดของสันต์ธรเสียอีก





 

พรรคเบญจเตโชมีที่ทำการกลางอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ขนาดใหญ่โตสามชั้น ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่สองร้อยห้าสิบไร่ เอาไว้เป็นที่ประชุมผู้นำ เป็นที่พักของสมาชิกที่ไม่ได้สังกัดตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ซึ่งส่วนมากเป็นสตาฟคุมฝึกอยู่ที่นี่ เป็นสถานที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง การใช้ปืนต่างๆ ด้วยครูฝึกมีฝีมือจากทั้งในและต่างประเทศที่ทางพรรคลงทุนซื้อตัวมาเพื่อฝึกฝนให้กับสมาชิกในพรรคห้าตระกูลผู้นำและสมาชิกแก๊งพันธมิตรทั้งหมดกว่าสามร้อยกว่าแก๊ง นอกจากฝึกให้กับสมาชิกในพรรคทั้งห้าตระกูลแล้ว ยังฝึกบอดี้การ์ดมากฝีมือให้บริษัทต่างๆ ที่ส่งมาให้ทางพรรคฝึกฝนให้ คนพวกนี้พอกลับบริษัทไปก็จะมีค่าตัวสูงมาก ผู้ใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลต่างๆ ก็มักจะไว้ใจว่าจ้างบริษัทที่ส่งคนมาฝึกกับทางพรรคมากกว่าที่บริษัทอื่น

ขวัญนพัตเดินตามท่านอัศม์กับพ่อเข้าไปยังที่ทำการของพรรค โดยข้างหลังมีบอดี้การ์ดเดินตามเป็นพรวน นอกจากนี้ยังมีสายตานับสิบคู่มองมาที่ตนอย่างสงสัย เพราะหน้าตาของขวัญนพัตไม่ได้เหมาะที่จะมาที่นี่เลยสักนิด

เข้าไปในตัวอาคารก็เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เพียงแต่เปลี่ยนจากร้านค้าเป็นห้องปฏิบัติการ และคนที่เดินไปมาเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย ขนาดคนทำความสะอาดก็ยังเป็นพ่อบ้าน ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ดูทะมัดทแมงเกินหญิงทั่วไปและมีส่วนน้อยที่จะได้เข้ามาในพรรคหากไม่มีความสามารถจริงๆ

 เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นห้องทำงานของผู้นำตระกูลทั้งห้าคน แล้วยังมีห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมย่อย และห้องประชุมลับที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสม ชั้นสองเป็นที่ทำงานของหน่วยไอทีต่างๆ แล้วก็มีห้องฝึกศิลปะการป้องกันตัว ชั้นล่างสุดจะเป็นชั้นสำหรับพักผ่อน ท่านอัศม์เดินเข้าห้องทำงานของตนเองไป โดยที่มีแค่ขวัญนพัตกับสันต์ธรที่เดินตามเข้าไป ส่วนบอดี้การ์ดจะยืนคุมอยู่ด้านหน้า

ขวัญนพัตเรียนรู้งานทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่การรายงานสถานการณ์ เปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ท่านตรวจสอบ ถ้ามีตรงไหนที่ท่านต้องการทราบเพิ่มก็ต้องตามคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ มาพบท่าน เด็กหนุ่มมองท่านอัศม์ที่ทำงานอย่างจริงจังด้วยสายตาเลื่อมใส ศรัทธา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่ากำลังโดนเด็กน้อยมองด้วยความนับถือสุดๆ

“ตรงนี้ฉันเข้าใจแล้ว สันต์ไปสอนงานขวัญตรงนั้นเถอะ” ท่านอัศม์ชี้ไปยังโซฟาที่อยู่ห่างออกไปสองเมตร

ทั้งสองคนรับคำสั่ง สันต์ธรพาลูกไปนั่งอธิบายถึงงานต่างๆ ส่งรายชื่อคนที่ควรจะรู้จักให้กับลูกชายเอาไว้ค่อยๆ ทำความรู้จักไปเรื่อยๆ เพราะการทำงานข้างกายท่านจะต้องรู้จักทุกคนที่ท่านรู้จักและต้องรู้มากกว่าท่านด้วย

“โดยคร่าวๆ งานก็เป็นแบบนี้”

“ฮะ...ขวัญทราบแล้ว”

“ต้องใช้เวลาลูก แค่รู้จักไม่พอ ต้องทำให้พวกเขาเชื่อถือด้วย”

“งานยากเลยฮะ”

ขวัญนพัตหน้างอ เพราะรู้ตัวเองดีว่ามีหน้าตาไม่ค่อยสร้างความน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ มีแต่สร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองทั้งนั้น

“สิ่งที่จะส่งเสริมให้ขวัญมีความน่าเชื่อถือไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงบุคลิกภาพและปัญญาของลูกด้วย หนูต้องรู้ทันคน วงการนี้ต้องมองโลกให้ร้ายเอาไว้ก่อน ท่านอัศม์เป็นที่หนึ่ง นอกนั้นก็อย่าเชื่อใจ”

“ครับ ขวัญจะจำเอาไว้”

“ดีมาก”

“วันนี้ท่านมีประชุมเหรอฮะ” ขวัญนพัตถาม

“ใช่แล้วลูก”

“ขวัญต้องเข้าไหมฮะ”

“ต้องเข้า ท่านอัศม์บอกพ่อว่าให้เราเข้าประชุมด้วย”

“จะดีเหรอฮะ”

“ก็เข้าไปฟังเฉยๆ ลูก แค่รับรู้สถานการณ์ และให้ลูกชินกับบรรยากาศเวลาประชุมน่ะ”

สันต์ธรมีสีหน้าเป็นกังวล จนขวัญนพัตอดถามไม่ได้

“พ่อเครียดเหรอฮะ”

“เปล่าลูก...ขวัญยืนฟังท่านประชุมได้ใช่ไหม” สันต์ธรถามผู้เป็นลูก สายตามองอย่างนึกเป็นห่วง เพราะนี่เป็นการประชุมใหญ่ของผู้นำทั้งห้ากับหัวหน้าแก๊งพันธมิตรทั้งหมด

เป็นประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำรุ่นใหม่ทั้งห้าคนของตระกูลผู้นำ

“ได้ฮะ”

“นานนะลูก”

“ขวัญยืนได้ พี่ๆ บอดี้การ์ดก็ยังยืนกันได้เลย”

“กินเวลานานมาก เอาไว้เสร็จงานนี้พ่อจะขอท่านอัศม์ให้เราพักผ่อน”

“ไม่เป็นไร หนูไหว หนูต้องทำงานจนกว่าท่านอัศม์จะเข้านอน”

“เก่งมากลูกพ่อ เริ่มงานวันแรกก็เจองานหนักเลย”

“มันเครียดมากเหรอฮะ”

“ก็มีหลายประเด็นที่น่าเครียดอยู่เยอะเลย ช่วงนี้พวกแก๊งเล็กๆ เริ่มอยู่ไม่สงบนัก”

“เหรอฮะ”

“เอาไว้เวลาประชุมขวัญจะรู้เอง ตั้งใจฟังแล้วก็จำไว้นะลูกว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นแบบไหน”

“ได้ครับ”

เวลาผ่านไปสักพัก ท่านอัศม์ก็ไปห้องประชุมที่มีทุกคนมารอกันครบหมดแล้ว ในฐานะประมุขพรรค อัศม์เดชจึงต้องมาช้าที่สุด หากมีใครมาสายกว่าก็มักจะไม่เป็นผลดีต่อแก๊งนั้น เขาไม่อยากทำให้เรื่องเพียงเล็กน้อยมาสั่นคลอนความมั่นคงของพรรค

ขวัญนพัตที่เดินมายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ประธานกับผู้เป็นพ่อตัวสั่นอย่างประหม่า ด้านข้างของท่านอัศม์มีผู้ชายวัยประมาณท่านอัศม์นั่งอยู่ฝั่งละสองคนข้างหลังก็มีคนสนิทหรือผู้ติดตามเช่นกัน ตรงหน้ามีป้ายชื่อตระกูลวางเอาไว้บ่งบอกว่าเป็นหนึ่งในห้าผู้นำพรรค ส่วนด้านล่างเป็นคนอีกหลายร้อยคนซึ่งหันหน้ามายังฝั่งเวทีตรงหน้ามีป้ายชื่อแก๊งพันธมิตร

ร่างบางเกิดอาการตื่นตระหนก หวาดกลัวจนเก็บสีหน้าไม่ได้ เขามองแค่ด้านหลังของท่านอัศม์ ไม่กล้ากวาดสายตามองใครทั้งนั้น สันต์ธรเห็นอาการของบุตรบุญธรรมก็ได้แต่เป็นห่วง แต่สถานการณ์แบบนี้เราจะพูดคุยกันไม่ได้ แม้ว่าในห้องประชุมใหญ่นี้จะมีคนสามร้อยกว่าคนแต่ก็หาได้มีเสียงดังกันไม่

ทุกคน...ทุกคนในนี้คือมาเฟียทั้งหมด น่ากลัว...น่ากลัวจัง

ขวัญนพัตไม่เคยรู้สึกกลัวแบบนี้มาก่อนเลย เพราะที่บ้านเขาก็พบเจอสมาชิกพรรคของตระกูลอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ที่นี่มีแต่ระดับผู้นำ เขาก็เลยหวาดกลัว กลัวว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมออกมา

 ท่านอัศม์เริ่มการประชุมไปแล้ว เหล่าผู้นำอีกสี่คนรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ที่ตระกูลดูแล ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติไม่มีอะไรน่ากลัว เหมือนการประชุมในบริษัทธรรมดา เพียงแต่เรื่องที่คุยกันมักจะเป็นเรื่องการใช้ความรุนแรงของมาเฟียแก๊งเล็กตามพื้นที่ต่างๆ ขวัญนพัตได้ฟังก็ยิ่งตระหนักได้ว่างานที่ท่านอัศม์กับพ่อทำมันอันตรายจริงๆ

“แล้วถ้าหากว่ามาตรการสถานเบาจัดการไม่ได้ จะทำยังไง อย่าหวังพึ่งทางการ พวกนั้นไม่มีทางทำได้ มีแต่ยืมมือของพวกเราเอาหน้ามาตลอด” ท่านอัศม์ถามขึ้นมา

“เรื่องนั้นก็ต้องดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ว่าพวกมันจะทำตัวเหิมเกริมไปมากกว่านี้ไหม” ท่านเขมต์มนัสผู้นำตระกูลพิชญเดชาเอ่ยขึ้น

“เกรงว่ามัวแต่รอดูแล้วไม่ทำอะไรเลยมันจะได้ใจ แล้วทำเรื่องใหญ่เกินกว่าเราจะควบคุมได้เล่า” ท่านทัชชกร ผู้นำตระกูลอัคคเดชโภคินแย้ง

“ฉันค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทัช เราควรจะจัดการควบคู่ไปกับการดูสถานการณ์ ไม่งั้นอาจจะมีเรื่องที่ต้องวุ่นวายทีหลังขึ้นมา” ท่านศรณ์กวินผู้นำตระกูลเดชหิรัญสกุลพูดด้วยสีน้ำเสียงหน่ายๆ

“แล้วจะจัดการยังไง? ไม่สู้ปล่อยให้พวกมันตายใจไป แล้วเราค่อยล้างบางทีหลังไม่ดีกว่าเหรอ จับตัดตอนพวกมันทุกคนไปเลย”

ล้างบาง…?

ตัดตอน...?

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจากปากของท่านชิณณวรรธน์ผู้นำตระกูลเลิศธนเดชาโชติ ขวัญนพัตก็เกิดความรู้สึกหวากลัวจนเกินจะรับไหว หน้ามืดแล้วหมดสติลงในที่สุด

ตึง!!

“ขวัญ!!” สันต์ธรตกใจเรียกชื่อของลูกชายเสียงดังพร้อมทั้งถลาตัวไปเพื่อจะประคองลูกขึ้นอุ้ม เรียกความสนใจจากผู้นำบนเวทีทั้งหมดโดยเฉพาะท่านอัศม์ที่ลุกจากเก้าอี้ประธานมาหาร่างบางทันทีอย่างร้อนใจ

“ขวัญ...ขวัญ เป็นลม? สันต์เดี๋ยวฉันอุ้มเอง สันต์อยู่ที่นี่”

“แต่ว่ามันไม่เหมาะนะครับท่าน ให้ปีมาอุ้มดี...” คนอายุมากกว่าแย้ง แต่ไม่ทันพูดจบดีก็ถูกแทรกด้วยผู้เป็นนายเหนือหัว

“สันต์ประชุมแทนฉันตลอด แล้วนี่ก็อุ้มไม่ไหวไม่ใช่หรือไง แล้วฉันก็ไม่ไว้ใจให้ใครมาอุ้มคนของฉันทั้งนั้น ไปประชุมแทน เดี๋ยวฉันจะกลับมา” ท่านอัศม์พูด น้ำเสียงเด็ดขาดติดร้อนรนจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ร่างสูงช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มแล้วเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีท่ามกลางสายตาของคนในที่ประชุม

หลังท่านออกไปห้องประชุมก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา แต่โชคดีว่าผู้นำอีกสี่ยังคงอยู่ในนั้นด้วย สถานการณ์เลยเป้นปกติโดยไว

ทางด้านท่าอัศม์ที่เดินอุ้มขวัญนพัตออกมา ด้านหลังมีบอดี้การ์ดเดินตามมาด้วยเมื่อเอ่ยจะช่วยก็ถูกเจ้านายตวัดสายตาน่ากลัวมองใส่ บอดี้การ์ดเหล่านั้นเลยทำได้แค่เดินตามเงียบๆ ไม่กล้าปริปากอะไรอีก

“เรียกหมอขึ้นมา”

“ครับท่าน”

ตาคมมองใบหน้าหวานในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วง เขาพาไปยังห้องทำงานของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าท่านอัศม์ได้เสียความเยือกเย็นของตนต่อหน้าคนนับร้อยไปแล้วเพียงเพราะเด็กผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

 

 

+ + + + + To be continue + + + + +

          มาแล้วจ้ะ มาช้าไปกว่าที่แจ้งนิดหน่อย ขออภัยจริงๆ ยูกิเพิ่งปั่นเสร็จร้อนๆ เลย ไม่มีตอนสต็อกเอาไว้แล้วจ้า ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ^^

          https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)

          https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 18-05-2019 01:27:27
 :heaven มันคงกดดันมากจริงๆขวัญถึงได้เป้นลม
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-05-2019 01:37:34
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 18-05-2019 08:57:50
ก็คนของท่านเน๊าะจะให้ใครแตะได้ไง  :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 18-05-2019 11:03:31
มีความเป็นห่วงออกนอกหน้ามากท่าน ยังไม่ทันเป็นอะไรกันก็หวงน้องซะแล้ว
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 18-05-2019 13:17:36
หนูขวัญลูกก เป็นลมไปเลยย
ท่านพูดจริงเหรอที่น้องไม่สามารถเป็นภรรยาท่านได้น่ะ :hao6: น้องขวัญต้องไม่โดนสักสิ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 18-05-2019 14:53:53
มีความหวงแรง อย่างนี้ยังจะให้ทำงานในพรรคต่อไหมเนี้ยะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-05-2019 18:02:50
ไม่ไหวแล้ว ความพระเอกนี้ ความท่านอัศม์
อย่าได้ให้ใครมาแตะขวัญเด็ดขาดจ้า
ไม่มีแล้ว ต่อให้เป็นคนหน้าซื่อใจเด็ดกับใคร
แต่ไม่ใช่กับขวัญนพัตแน่นอน

เอ็นดู เครียดด้วย บวกกังวล แถมกลัวเยอะอยู่
ขอลาจอ สติดับไปก่อนละกันเนาะขวัญ

แล้วทีนี้ จะแกล้งอะไรน้องอีกไหมล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 18-05-2019 18:45:04
 :กอด1: รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-05-2019 08:34:24
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 19-05-2019 14:29:48
ตามอ่านทันแล้วค่ะ
หนูขวัญน่ารักมากเลยค่ะ
ชอบตอนที่คุยโทรศัพท์กับพี่สิงห์อ่ะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 8 | 17/05/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-05-2019 17:24:01
ขวัญเป็นลมไปเลย
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 07-06-2019 22:01:15
9

เป็นมาเฟียไม่ง่าย...ต้อง ‘ปรับตัว’

 


ขวัญนพัตไม่เคยรู้สึกอับอาย และผิดหวังกับตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย ยามที่ได้สติคืนมาแล้วเขาพบว่าตนเองนอนอยู่บนโซฟาในห้องของท่านอัศม์ร่างน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าทำตัวน่าขายหน้าให้กับผู้มีพระคุณและพ่อของตนไปเสียแล้ว

“ทำไงดีเนี่ยขวัญ”

ร่างบางคิดไม่ตก ลุกขึ้นเดินวนเวียนอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกตอนนี้คืออยากหนีหน้าท่านอัศม์กับพ่อ แต่นั่นก็เท่ากับว่าเขาหนีปัญหาซึ่งไม่อาจจะทำได้

“อ่อนแอจริงๆ ได้ยินแค่นั้นก็กลัวจนสั่นไปหมดแล้ว นี่ยังเป็นลมอีก ไอ้ขวัญเอ้ย!” ว่าแล้วก็ขยี้ผมของตัวเองจนไม่เป็นทรง แต่ไม่ทำให้ขวัญนพัตดูน่าเกลียดเลยสักนิดกลับกันให้รู้สึกว่ามีเสน่ห์มากกว่าทรงผมเรียบร้อยๆ ด้วย

แกร็ก

ใบหน้าหวานหันไปยังประตู หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำรุนแรง รีบหยุดเดิน แล้วยืนตรงออกจะมากไปทางเกร็ง มือประสานอยู่ตรงหน้า ก้มหน้างุดไม่สบตาผู้มีพระคุณที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย อัศม์เดชมองร่างเล็กเล็กน้อยก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ส่วนสันต์ธรที่เดินตามมาก็ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยลูกชายคนเล็กที่เอาแต่ก้มหน้า หากแต่ยังไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ เนื่องจากต้องหารือและสรุปการประชุมให้ท่านอัศม์เสียก่อน

“สันต์คิดว่าไง...ขวัญ มายืนข้างๆ ฉัน แล้วทำความเข้าใจไปด้วย” ร่างเล็กสะดุ้ง กุลีกุจรจรเดินไปยืนข้างกายท่านอัศม์เพื่อฟังและวิเคราะห์เนื้อหาหารประชุม

คนอายุน้อยที่สุดได้รับรอยยิ้มเป้นกำลังใจจากคนเป็นพ่อ นั่นทำให้ขวัญนพัตใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยท่านอัศม์ก็ยังให้โอกาสเขาได้เรียนรู้งานต่อ แม้ว่าการประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ หลังจากที่ตัวเองสลบไปกลางคันจะลากลำบากแต่ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถเท่าไหร่

“เรื่องเกิดขึ้นที่เขตเหนือผมจะให้คนตามสืบอีกทีว่ามันเป็นมายังไงกันแน่ หลักฐานมันชี้เป้าเกินไปครับท่าน”

“อืม...อีกสิบนาทีบอกให้เขมต์มาหาฉันด้วยนะสันต์ เรื่องนี้ต้องคุยกับตระกูลที่ดูแลเขตเหนือ แม้ว่าเราจะตรวจสอบได้เลย ก็ไม่ควรข้ามหัวผู้นำพรรคคนอื่นๆ”

“ได้ครับท่าน” สันต์ธรรับคำสั่งแล้วหันไปส่งบอดี้การ์ดอีกคนให้ไปเชิญผู้นำพรรคที่ดูแลพื้นที่เขตเหนือมาก

“คิดว่าพวกแก๊งไหนที่น่าสงสัย” ท่านอัศม์ถามขึ้นต่อ ในมือก็เลื่อนหน้าจอแท็บเล็ตเช็คข้อมูลของแก๊งพันธมิตรในตอนนี้ไปด้วย

“หลักฐานที่จะพูดถึงผมยังไม่มีครับท่าน แต่ถ้าให้วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอย เห็นจะมีอยู่เจ็ดแก๊งครับ”

“เจ็ด? อืม...ฉันขอข้อมูลทั้งแปดแก๊งนี้อย่างละเอียด เอาตั้งแต่วันที่เข้าพรรคเลย ไม่สิ...ขอก่อนที่จะเข้าพรรคมาด้วยให้ได้มากที่สุด”

“ได้ครับ” สันต์ธรก็เรียกบอดี้การ์ดอีกคนให้เข้ามาแล้วถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาจากท่านอัศม์ให้กับลูกน้องไปจัดการ

ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของขวัญนพัต หน้าที่ที่พ่อเลี้ยงตนทำอยู่ต้องใช้สมองวิเคราะห์ ไหวพริบ ละเอียดรอบคอบ ที่สำคัญจะต้องดูน่าเกรงขามใช้งานคนได้ เห็นทีว่างานนี้จะยากเกินไปสำหรับเด็กวัยละอ่อนสีขาวบริสุทธ์ที่ริจะเข้าสู่วงการมาเฟียอันเปรียบเหมือนสีเทาหม่น

สันต์ธรสังเกตเห็นความหนักใจบนใบหน้าลูกชายวัยสิบเจ็ดก็ให้สะท้านในอก คนเป็นพ่อเป็นแม่ แม้จะไม่ใช่สายเลือดแต่ก็เลี้ยงดูว่าสิบกว่าปี เขาไม่ได้มีความต้องการที่จะให้ลูกเดินเข้าสู่วงการนี้ แม้ว่าพรรคจะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย แต่ก็ใช่ว่าพันธมิตรเกือบสองร้อยแก๊งจะไม่มี หลายแก๊งที่เข้ามาสวามิภักดิ์ไม่ได้มาด้วยใจที่ซื่อสัตย์ทุกแก๊งแต่มาเพราะผลประโยชน์ การได้รับตราสัญลักษณ์ว่าเป็นพันธมิตรของพรรคก็เหมือนได้รับการคุ้มครองป้องกันไปแล้วครึ่งหนึ่ง

พรรคร่วมมือกับทางการแต่อยู่เบื้องหลัง เบื้องหลังการนำจับคดีผิดกฎหมายต่างๆ ก็มาจากผลงานของทางพรรคเป็นผู้จัดการทั้งนั้น แต่เบื้องหน้าให้กรมตำรวจได้หน้าไป แก๊งในพันธมิตรก็ไม่รับยกเว้น หากคิดจะทำเรื่องผิดกฎหมายก็ให้หลบจมูกหลบสายตาห้าตระกูลใหญ่ให้ดีก็พอ ซึ่งมีไม่น้อยที่หลบเลี่ยงเก่งขนาดที่พรรคก็ทำอะไรได้ยากเหมือนกัน

สันต์ธรไม่อยากให้ขวัญนพัตต้องเปลี่ยนไปหากคลุกคลีอยู่ในวงการอันตรายนี้ มันมีการแก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น หลอกลวงกันเต็มไปหมด วันหนึ่งที่ขวัญนพัตต้องทำผลงานเขาก็กลัวว่าลูกชายจะไปพัวพันกับพวกเครือข่ายใหญ่ๆ เข้า

บางทีอาจจะต้องลองขอท่านอัศม์ให้ขวัญทำงานในส่วนธุรกิจอย่างเดียว

“แล้วสิบตระกูลสายรองมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างไหม ผู้นำตระกูลแต่ละคนก็ยังคงเป็นพวกรุ่นพ่อของฉันอยู่ นิ่งเงียบเหมือนเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทำตัวไร้พิษสงแต่ซ่อนคมเขี้ยวรอแว้งกัด”

“ระยะนี้ก็ยังคงเงียบครับ นอกจากช่วงที่ท่านอัศม์ไปเรียนแล้ว ก็ไม่มีตระกูลไหนล้ำเส้นหรือทำอะไรเกินเลยครับ ราวกับว่าต้องการให้ท่านอัศม์เชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นปัญหา”

“สิบตระกูลรอง เป็นฉันกับเหล่าอาวุโสผู้นำรุ่นก่อนของแต่ละตระกูลเป็นคนก่อตั้งขึ้นมา ถ้ามีปัญหามากๆ ใช้อำนาจแบบผิดๆ เห็นทีว่าฉันคงต้องเรียกประชุมผู้นำเพื่อหารือใหม่แล้ว”

เหมือนจะเป็นคำพูดลอยๆ แต่นั่นคือสาส์นอย่างหนึ่ง เป็นนัยให้สันต์ธรกระจายข่าวลือนี้ออกไป ที่ผ่านมาเขายังคงจัดการได้เลยยังปล่อยให้สิบตระกูลรองมีอำนาจเหนือกว่าพันธมิตรอื่นต่อไปเพราะเห็นว่าเป็นญาติ อำนาจนั้นไม่เรียกว่ามากหรือน้อยไปนัก หากหาช่องทางเอาประโยชน์ได้ก็ถือว่าเป็นโชคของตระกูลนั้น

“หกในสิบยังคงเชื่อฟังภักดีครับท่าน ไม่มีท่าทีต่อต้านหรือใช้อำนาจในทางที่ผิด เหล่าผู้นำปัจจุบันกำลังทำเรื่องขอลาออกจากตำแหน่งแล้วสืบทอดตำแหน่งสู่รุ่นต่อไปครับ เพื่อแสดงความจริงใจต่อผู้นำพรรคทั้งห้า”

“ไม่วางใจ จับตาดูทุกตระกูลนั่นแหละ เด็กรุ่นใหม่ไฟย่อมแรงกว่า”

“ครับท่าน”

อัศม์เดชวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะเมื่อได้ตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขวัญนพัตที่ยืนข้างกายคอยมองท่านทำงานอยู่ตลอดเวลาอดจะทึ่งกับความเร็วการอ่านของผู้เป็นเจ้านายไม่ได้ และเชื่อว่าท่านคงไม่ได้แค่ดูแบบผ่านๆ ด้วย

เวลาผ่านปสักพักระหว่างที่ท่านอัศม์กับสันต์ธรยังคุยงานกัน บอดี้การ์ดหน้าห้องก็แจ้งว่าเขมต์มนัส ผู้นำตระกูลพิชญเดชาได้มาถึงแล้ว ท่านอัศม์ก็ลุกไปนั่งที่โซฟา โดยมีเพียงขวัญนพัตกับสันต์ธรอยู่เป็นผู้ช่วย ส่วนทางด้านเขมต์มนัสมีผู้ช่วยคนสนิทแค่คนเดียวอายุก็ราวๆ สันต์ธรเช่นกัน

“คราวนี้ขอทักทายอย่างเป็นกันเองนะครับพี่อัศม์”

“ตามสบายเขมต์ ไม่เจอกันนาน ล่าสุดก็งานรับตำแหน่งของนาย”

“ล่าสุดคือที่ประชุมเมื่อเช้าต่างหาก”

“หึ เถียงไม่เคยได้” ท่านอัศม์ส่ายหน้า อีกฝ่ายยิ้มให้พี่ชาย บรรยากาศของทั้งสองมีความสบายไม่อึดอัดอย่างที่ขวัญนพัตคิด นึกว่าการเจอกันของผู้นำพรรคจะกดดันและเครียดกว่านี้เสียอีก แต่ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันดี ไม่ได้มีความเสแสร้งใส่กันด้วย

เรื่องนี้ขวัญนพัตก็รู้ก่อนอยู่แล้วว่าทั้งห้าท่านเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะเด็กๆ ทุกตระกูลจะถูกคัดเลือกเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นผู้นำคนต่อไป เมื่อนั้นก็ให้ทำความรู้จักสนิทสนมและร่ำเรียนด้วยกัน แม้ว่าจะไม่มีใครเกิดในปีเดียวกันเลยก็ตาม นับตามอายุคนที่เป็นพี่ใหญ่คือศรณ์กวิน แห่งตระกูลเดชหิรัญสกุลด้วยวัยสามสิบแปดปีแต่งงานและมีลูกแล้วสองคน เมื่อปีที่แล้วเพิ่งเป็นหม้ายภรรยาเสียชีวิต ต่อมาพี่รองคือท่านอัศม์ในวัยสามสิบสี่ปี พี่สามคือทัชชกร แห่งตระกูลอัคเดชโภคิน ในวัยสามสิบสองปี ตามด้วยเขมต์มนัส ในวัยสามสิบปีบริบูรณ์ ส่วนน้องเล็กคือชิณณวรรธน์ แห่งตระกูลเลิศธนเดชาโชติ ในวัยยี่สิบแปดที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นผู้นำรุ่นใหม่อย่างสมบูรณ์

สันต์ธรเองก็เห็นว่าท่านอัศม์สามารถทำงานได้อย่างสบายใจมากกว่าก่อนมาก เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะเป็นประมุขพรรคก็ใช่ว่าจะมีอำนาจใหญ่ว่าสี่คนที่เหลือมากนัก ยิ่งเป็นเหล่าพ่อๆ ของผู้นำพรรครุ่นนี้ อัศม์เดชก็ยังคงมีความเกรงใจอยู่หลายส่วน ทำอะไรมากไม่ได้ ข้ามหน้าข้ามตาไม่ได้ แต่โชคดีที่ท่านอัศม์ได้รับความเชื่อใจจากผู้อาวุโสทั้งสี่อย่างมาก เลยไม่มีปัญหาอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสั่นคลอน ทั้งสี่ท่านวางใจและเกษียณออกไปด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกหลานมากความสามารถทั้งหลายได้สืบทอดต่อ

“ต้องขอโทษที่ผมคุมเขตตัวเองไม่ดีนะพี่อัศม์ แต่ผมรับปากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี”

“อืม...พี่เชื่อฝีมือนาย แต่ทางพี่ก็ต้องตามดูด้วย หวังว่านายจะรายงานทุกอย่างกลับมาทางฉัน”

“ได้อยู่แล้ว ก็พี่อัศม์เป็นประมุขของเราที่คุมทั้งสี่เขต ผมต้องรายงานอยู่แล้ว”

“มีอะไรก็บอก รู้อะไรมาก็เล่า”

“ผมไม่แน่ใจว่าข่าวที่ผมมีกับที่สันต์หามาได้มันจะแตกต่างกันไหม”

“พูดมาก่อน”

จากนั้นขวัญนพัตก็ตั้งใจฟังที่ผู้นำทั้งสองท่านพูดคุยกันก็จับใจความได้ว่าข้อมูลที่ท่านอัศม์รับรู้จากพ่อของเขากับข้อมูลที่เขมต์มนัสมีก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย เพียงแต่วิธีการที่ทั้งสองท่านคุยกันกลับมีความมั่นใจเป็นอย่างมากที่จะตัดแก๊งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อความวุ่นวายโดยการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการส่งยาล็อตใหญ่ที่ทางการกำลังต้องการตัว แม้ว่าตอนนี้หลักฐานจะชี้เป้าไปที่แก๊งๆ หนึ่งอย่างชัดเจน หากแต่ท่านอัศม์ก็ไม่ปักใจเชื่อเพราะมันชัดเจนเกินไป

คนจะทำความผิด ทำไมต้องเหลือหลักฐานมามัดตัวได้

“ส่งคนเฝ้าดูเจ็ดแก๊งที่เกี่ยวข้องด้วย ตรวจสอบพวกที่มีความบาดหมางก่อน ถ้าไม่เจออะไรใค่อยรื้อตรวจสอบทั้งหมด ไม่แน่ว่าอาจจะมีตระกูลสายรองสักตระกูลอยู่เบื้องหลังแพะรับบาปนี้ด้วยก็ได้”

“ผมก็คิดแบบพี่อัศม์ พี่ทัชกับพี่ศรณ์เองก็บอกว่าช่วงนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ด้วย ทำเป็นเรียกร้องความสนใจเล็กน้อยก็หายเข้ากลีบเมฆ”

“หึ...พวกตาแก่นั่นคิดจะทำอะไรอีกล่ะ คนอื่นเขาไปพักกันหมดแล้ว” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอัศม์เดชกำลังเอ่ยถึงตระกูลรองสี่ตระกูลที่ไม่มีแนวโน้มผลัดเปลี่ยนผู้นำ

“เราควรมีการคุยกันอย่างจริงจังนะพี่”

“ไม่ต้องห่วง” ดวงตาของท่านอัศม์ฉายความเยือกเย็นจนเขมต์มนัสหวั่นใจ “ฉันจะล้างพรรคใหม่”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่ได้อย่างชัดเจน ขวัญนพัตเองก้ใจสั่นด้วยความหวาดกลัว แม้ไม่เห็นสีหน้าแต่น้ำเสียงของท่านอัศม์เปี่ยมไปด้วยพลัง

เขมต์มนัสทำตัวไม่ถูก ปกติพี่ชายคนนี้เป้นคนนิ่งๆ และเลือดเย็นอยู่แล้ว ยิ่งได้เข้ามาทำงานรั้งตำแหน่งผู้นำพรรคจริงๆ ก็ถึงได้รู้ว่าการทำงานกับพี่ชายคนนี้จะเล่นๆ ไม่ได้ ขนาดพี่ใหญ่อย่างศรณ์กวินยังเกรงใจอัศม์เดชมากที่สุด ใบหน้าหล่อมองหน้าสันต์ธรก่อนจะเลยมามองหน้าขวัญนพัต พอร่างบางเห็นอีกฝ่ายมองก็หลบสายตา ก้มหน้าลง

“โอ๊ะ...เธอคือคนที่เป็นลมในห้องประชุม ที่พี่อัศม์อุ้มออกมานี่ครับ”

ร่างบางตกใจจนประหม่าที่ตนกลายเป็นหัวข้อใหม่ของการสนทนาครั้งนี้

“อืม...ลูกบุญธรรมของสันต์น่ะ แล้วก็เด็กในอุปการะของฉัน”

“งั้นก็คนกันเองสินะ สวัสดีหนุ่มน้อย”

เขมต์มนัสถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ใบหน้าหล่อคมสันต์เต็มไปด้วยเสน่ห์ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ คนตัวเล็กอุ่นใจเล็กน้อยที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูน่ากลัว แถมยังดูเป็นมิตรอีกด้วย

“สวัสดีครับท่านเขมต์ ผมชื่อขวัญนพัตครับ เรียกสั้นๆ ว่าขวัญ เป็นลูกบุญธรรมพ่อสันต์ครับ” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองด้วยท่าทางที่มีความมั่นอกมั่นใจขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ดูวางมาด เป็นการวางตัวอย่างเหมาะสมขนาดที่แววตาของเขมต์มนัสยังปรากฎความพึงพอใจ

ทั้งพรรคไม่มีใครไม่รู้ แม้ว่าสันต์ธรจะไม่ใช่ผู้นำพรรคแต่ทุกคนในพรรคย่อมเกรงใจเพราะยามที่ท่านอัศม์ไม่อยู่คนที่ทำหน้าที่แทนก็คือสันต์ธรคนนี้ ผู้นำพรรคอื่นๆ ก็ยังให้ความเคารพนับถือและเกรงใจอยู่หลายส่วนเช่นกัน

“หน้าเด็กมาก แล้วเป็นผู้ชายแน่เหรอ นึกว่าทอม”

“คือว่า...ผมเป็นผู้ชายครับ ส่วนที่ดูหน้าเด็กก็เพราะว่าผมอายุสิบเจ็ดปีครับ”

“โอ้! เด็กมอปลาย?”

“ครับ”

“แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ อย่าบอกนะว่ามาเรียนรู้งานในพรรค ฉันว่าอย่างขวัญไม่เหมาะกับงานในพรรคหรอก พี่อัศม์คิดยังไงครับเนี่ย”

“ขวัญจะทำหน้าที่แทนสันต์ อีกไม่กี่ปีสันต์ก็ต้องเกษียณตัวไปพัก”

“จริงด้วยสิ” สันต์ธรยิ้มให้ท่านเขมต์

“แต่ตำแหน่งของสันต์อันตรายพอๆ กับตำแหน่งผู้นำเลยนะพี่อัศม์ จะให้ขวัญมาปกป้องงั้นหรือ”

“ไม่ขนาดนั้น ฉันฝึกบอดี้การ์ดมาเยอะ ตอนที่ขวัญมาดำรงตำแหน่งก็แค่เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม”

“พี่อัศม์อย่าลืมว่าเราเป็นพวกมีค่าหัวนะ”

“อย่ากังวล ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเตชโรจนโสภณต้องมีดี” อัศม์เดชพูดบอกรูปประโยคคล้ายเป็นการกดดันขวัญนพัตอีกทางหนึ่ง

ร่างบางเองได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้ตัวเองต้องเริ่มปรับตัว รู้ว่าท่านอัศม์เป็นมาเฟียมาตลอด แต่ถูกเลี้ยงมาอย่างคนธรรมดา และอยู่กับงานบ้านงานเรือนเสียส่วนใหญ่ รู้ว่าวงการมาเฟียไม่ขาวสะอาด แต่เพราะไม่เคยเห็นความโหดเหี้ยมหรือได้ยินประโยคน่ากลัวๆ แบบวันนี้มาก่อนก็เลยตกใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้

ยอมรับว่ากลัว...อยากจะหนีด้วย ความมั่นใจที่มีใจตอนแรกหายวับไป แต่คำว่าบุญคุณมันค้ำคออยู่เช่นกัน หากฝืนชะตาไม่ได้ ก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญก็พอ

ปรับตัว...อ่า คงต้องปรับอย่างมากมายเลย เห็นทีว่าอายุยี่สิบห้าก็ยังคงทำงานแบบคุณพ่อไม่ได้

“พี่พูดซะผมคาดหวัง ตอนแรกผมคิดว่าคนรับตำแหน่งนี้น่าจะเป็นลูกชายคนโตของสันต์เสียอีก”

“เจ้าสิงห์มันอยากทำในส่วนบริษัทครับ รายนั้นชอบเห็นเงินมากกว่าเห็นเลือด”

โอย...ทำไมคุณพ่อพูดน่ากลัวจัง

“ตามใจลูกชายสินะ เสียดายฝีมือ เจ้านั่นก็ออกจะเหมาะกับมาเฟียมากกว่าแท้ๆ”

“ลองมาทำดูแล้ว เจ้านั่นก็บอกว่าไม่ใช่แนวครับ”

“ฮะๆ ก็เห็นหน่วยก้านดี เสียดายจริงๆ”

“ผมต้องขอบคุณแทนเจ้าสิงห์มันที่ท่านเขมต์เห็นความสามารถนะครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่ทำไมถึงเป็นลมล่ะเรา ข้าวปลาไม่ได้กินมาเหรอ”

ร่างบางสะดุ้งอีกครั้งเมื่อท่านเขมต์เปลี่ยนมาชวนตนคุยแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “เปล่าครับ ตกใจนิดหน่อยน่ะครับ” อ้อมแอ้มบอกความจริงออกไป

“ตกใจ? ตกใจอะไร ก็การประชุมธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย”

“คือขวัญตกใจคำพูดของเหล่าผู้นำน่ะครับ ลูกชายผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน นี่ก็เป็นครั้งแรก วันแรกที่เริ่มพามาศึกษางานในพรรคน่ะครับ ที่ผ่านมาขวัญมักจะมากับผมแต่ไม่เคยเข้าประชุม” สันต์ธรตอบแทน

ขวัญนพัตเคยศึกษางานพรรคมาบ้างแล้วเวลาต้องมาที่นี่กับพ่อ แต่เป็นการมาเรียนยิงปืนเท่านั้นเลยได้เรียนรู้แบบคร่าวๆ ไปก่อน ซึ่งไม่ได้เจาะลึกครบทุกอย่างอย่างกับที่กำลังฝึกฝนตั้งแต่วันนี้ไป

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง แสดงว่าสันต์กับคุณภรรยาคงเลี้ยงขวัญมาแบบอ่อนโยนสุดๆ เลยนะเนี่ย” วูบหนึ่งที่ขวัญนพัตเห็นประกายความอิจฉาปนเศร้าในสายตาที่แม้จะพูดกับพวกเขาแต่เหมือนว่ามองทะลุไปมากกว่า

“อย่าไปคิดถึงอดีตเขมต์” อัศม์เดชเอ่ยขึ้น เรียกสติของน้องชายให้สติกลับคืนมา

“จริงสิ ขอโทษนะพี่อัศม์ เผลอไปอีกแล้ว”

“ขวัญ อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้ประชดแดกดันนะ”

“ผมไม่คิดหรอกครับท่านเขมต์ ท่านเขมต์อย่าได้คิดมากครับ”

“ฉันเป็นกำลังใจ ถ้ามีปัญหาหรืออยากเรียนรู้จากคนของฉันก็ได้นะ นี่คือคลิน ลูกน้องคนสนิทของฉัน หน้าที่ก็เหมือนที่สันต์ทำนั่นแหละ สารพัด”

“สวัสดีครับ ฝากตัวด้วยนะครับคุณคลิน”

“เรียกพี่ก็ครับน้องขวัญ คนกันเอง”

อีกฝ่ายตอบกลับอย่างเป็นมิตร ดูท่าทางก็อายุสามสิบกว่าๆ ไม่ได้ดูอายุมากกว่าผู้เป็นเจ้านายเลยด้วย ถ้าบอกว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันก็เชื่อ

“ครับ พี่คลิน” ขวัญนพัตเผลอยิ้มหวาน ทำเอาคนถูกยิ้มให้ถึงกับชะงัก แล้วหน้าแดงซ่านทันที เขมต์มนัสเห็นความสวยสดใสอย่างเป็นธรรมชาติของเด็กหนุ่มก็ให้ความรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะมองพี่ชายตรงหน้ากับขวัญนพัตสลับกันไปมาแปลกๆ

มองเสียจนอัศม์เดชสงสัย “มองอะไร?”

“ป่ะ เปล่าครับพี่อัศม์ ไม่มีอะไรเลย” ปฏิเสธแทบจะทันที ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ แต่ก็ไม่วายมองหน้าขวัญนพัตแล้วนึกถึงเหตุการณ์ในห้องประชุมไปด้วย ไม่นานก็ทำสีหน้าแปลกๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“ดี...”

“เอ้อ พี่อัศม์พอมีเวลาไหมครับ ผมสนใจเรื่องของผู้ช่วยฝึกหัดคนนี้สักหน่อย ไม่ทราบพี่อัศม์เลี้ยงดู เอ้ย รับมาอยู่ในความดูแลตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

แม้ว่าจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร เพียงแต่เขาก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นขวัญอายุเท่าไหร่เหมือนกัน

“ตอนไหนนะสันต์”

“ประมาณห้าขวบครับ”

“อืม...นานจริงๆ” เขมต์มนัสลูบคางเบาๆ “ตอนนี้อายุสิบเจ็ด คิดไม่ถึงว่าพี่อัศม์จะใจดีแบบนี้นะเนี่ย เป็นลูกบุญธรรมของสันต์ เด็กในอุปการะพี่อัศม์ พี่อัศม์...” ยังไม่ทันที่เขมต์มนัสจะโพล่งอะไรไร้สาระออกมา ท่านอัศม์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

คนอย่างเขมต์มนัสที่เจ้าชู้ที่สุดในบรรดาผู้นำทั้งห้า เขาที่เป็นถึงพี่ชายและผู้นำมีหรือจะไม่รู้ความคิดอกุศลของผู้เป็นน้องชายคนนี้

“ฉันเอ็นดู เห็นว่าเป็นน้องคนหนึ่ง นี่คนโปรดของคุณย่ากับคุณแม่ แล้วก็สองแฝดด้วย”

ขวัญนพัตที่ได้ยินก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความดีใจ ปลาบปลื้มยินดี ที่ท่านอัศม์ไม่ได้มองตนเป็นเพียงแค่เด็กในความปกครองแต่ยังเอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่ง รู้แบบนั้นก็นึกถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์ขึ้นมา

แม่ฮะ...ท่านอัศม์เมตตาเรามากเหลือเกิน

เขมต์มนัสได้ยินแบบนั้นแล้วสีหน้าแววตาของอัศม์เดชก็ดูนิ่งๆ แต่จริงจัง ไม่มีแววเป็นอย่างอื่น นั่นก็เท่ากับว่าสิ่งที่พี่ชายคนนี้พูดคือความจริง ก็อดเสียดายไม่ได้ นึกว่าตนจะเจอเรื่องสนุกแล้วเสียอีก

ผ่านไปสักพักเขมต์มนัสก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ทั้งยังทิ้งท้ายว่าจะไปหาที่บ้านก่อนกลับไป สันต์ธรเดินออกไปส่งท่านเขมต์ข้างนอกโดยจะไปตรวจตรางานต่างๆ ต่อด้วยเลยไม่กลับเข้ามาในห้องอีก ในห้องจึงเหลือแค่ท่านอัศม์กับขวัญนพัตอยู่กันตามลำพัง

ผู้มีพระคุณวัยฉกรรจ์ผู้ซึ่งมีรูปร่าง หน้าตาหล่อคมน่าเกรงขาม อีกทั้งความสุขุมเยือกเย็นก็ทำให้ท่านประมุขพรรคดูน่ากลัวแม้เพียงแค่เดินผ่าน และตอนี้เพียงแค่ท่านอัศม์นั่งเฉยๆ เงียบๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรเลย ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคุยอะไรกับท่านในตอนนี้

ท่านโกรธหรือไม่...ไม่พอใจหรือเปล่าที่เราทำให้ขายหน้า

“ขวัญ” เสียงทุ้มใหญ่เรียกไม่ดังและไม่เบา แต่ก็ทำเอาร่างเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างหลังสะดุ้งแบบที่อัศม์เดชมองไม่เห็นอาการนั้น

“ค่ะ..ครับ”

“มานั่ง”

“ครับ” แล้วร่างเล็กมานั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามกับคนสั่งที่ก่อนหน้านี้ท่านเขมต์ได้นั่งมัน

ใบหน้าสวยปรากฏความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างชัดเจน อัศม์เดชยังคงนั่งไขว่ข้างนิ่งๆ แต่ดวงตาคมก็มองเด็กหนุ่มตรงหน้าจนขวัญนพัตก้มหน้า มือบีบกันอยู่ตรงตักตัวเอง

“เป็นอะไร”

“ขอโทษครับท่าอัศม์ที่ทำให้ท่านขายหน้า” เด็กหนุ่มพูดขึ้นน้ำเสียงสั่นๆ

“ใคร...”

“ครับ?” เงยหน้าสบตาคมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะไม่กล้าสู้สายตาของผู้มีพระคุณได้เลยเลี่ยงไปมาหลุกหลิกจนท่านอัศม์ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ขอโทษใคร”


(มีต่อ)
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 07-06-2019 22:01:47
(ต่อ)


“ขอโทษใคร”

“ขอโทษท่านอัศม์ครับ”

“เวลาพูดทำไมไม่สบตา จะคุยกับใครต้องสบตาคนนั้น ยิ่งจะเข้ามาทำหน้าที่แทนสันต์ในวันข้างหน้ายิ่งต้องกล้า ต้องเด็ดขาด ไม่หลุกหลิกอย่างที่เป็นตอนนี้” ร่างแกร่งสอน

ความจริงเขาหาคนที่พร้อมกว่านี้มาเรียนรู้งานจากสันต์ธรก็ได้ แต่ไม่มีใครเลยที่เขาไว้ใจอย่างเต็มร้อยหรือสนิทใจด้วย สันต์ธรมีลูกชายเพียงคนเดียวแต่เลือกงานในส่วนบริษัทไปแล้ว ก็เหลือทายาทที่เป็นผู้ชายคนเดียวคือขวัญนพัต หากความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาจากครอบครัวของสันต์ธรเลย เขาจะใช้คนจากตระกูลตัวเองก็ได้ ญาติ ลูกพี่ลูกน้องหลายคนก็อยากที่จะมาอยู่ข้างกายเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้เชื่อใจได้มากที่สุด วางใจได้ แล้วก็สบายใจที่จะอยู่ด้วย

นั่นเพราะรู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะไม่มีวันทรยศหักหลัง แม้เพราะคำว่าบุญคุณ แต่นั่นคือความซื่อสัตย์ กตัญญูที่อัศม์เดชต้องการจากคนรอบกาย

“ขอโทษครับ”

“ต้องกล้าเผชิญหน้า ต้องมีไหวพริบ ต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างของพรรค ต้องรู้ว่าควรแข็งกร้าวกับพวกไหน ต้องพูดดีให้เกียรติกับใคร เธอรู้ใช่ไหมว่าพรรคนี้เอาไว้ทำอะไร พวกเราทุกคนคือมาเฟีย ผู้ทรงอิทธิพล ส่วนใหญ่เป็นยังไง คนทั่วไปยังรู้ เธอคงไม่คิดว่าฉันทำเรื่องที่ดีมากอยู่หรอกใช่ไหม”

“ท่านอัศม์เป็นคนดี”

“ฉันแค่มีส่วนที่ดี ไม่ใช่คนดีอะไรเลย มือของฉันเปื้อนเลือด ฉันอยู่ในวงการนี้ เห็นการเข่นฆ่ากัน หักหลังกันมาตั้งแต่ยังเด็กไม่หลงเหลือศีลธรรมอะไรในใจแล้ว”

“แต่คนพวกนั้นก็ไม่ใช่คนดี ทำสิ่งที่ผิด” ขวัญนพัตพูดไปแต่ใจใช่จะคิดดังที่พูด

เขาไม่เคยคิดว่าคนที่ทำผิด คนที่ชั่วช้าต้องถูกตัดสินโดยศาลเตี้ย เพราะเขาเชื่อว่าคนที่ทำผิดทำชั่ว มีเหตุผลในการกระทำเสมอ

“เธอยังไม่เข้าใจอะไรอีกเยอะเลย”

“ท่านเป็นคนดี”

“ฉันดีกับคนในความปกครองเท่านั้น” และใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นในด้านดีของฉันด้วย... ท่านอัศม์ต่อข้อความตัวเองอยู่ในใจ

เขาเป็นคนดี มีเมตตาสำหรับคนในตระกูลที่เป็นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาลงไปเท่านั้น นอกนั้นที่เป็นญาติ พี่น้องบางคนก็อยากจะทำลายเขา ชิงดีชิงเด่นกับเขา หรือแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลไปจากเขา

มีศัตรูทั้งนอกทั้งใน การที่เขามีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ต้องทำอะไรไปบ้างล่ะ? เด็กคนนี้ไม่รู้เลยสักนิด

“ถึงท่านอัศม์จะเป็นยังไงก็ตาม ท่านอัศม์สำหรับผมคือคนดีที่มีเมตตากับผมและแม่ครับ ต่อให้ผมต้องเปื้อนเลือดไปด้วย ผมก็พร้อมที่จะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ”

ขวัญนพัตพูด น้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าและแววตาแน่วแน่มั่นคง ซึ่งมันทำให้อัศม์เดชอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ได้ยินเช่นกัน ขวัญนพัตจะเป็นคนเดียวที่จะทรยศเขาไม่ได้! เด็กคนนี้เขาใส่ใจกว่าคนอื่น ให้ความสำคัญ แน่นอนว่าขวัญนพัตไม่มีสิทธิ์ทรยศเขาและความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น

มุมปากหยักยกขึ้น เป็นรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ

“เธอต้องเรียนรู้อีกมาก ต้องรับความเลวร้ายให้ได้ ที่นี่มีเมาเฟียอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าแก๊ง สิบตระกูลสายรองและห้าตระกูลผู้นำ เธอต้องเรียนรู้จะเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ให้ได้อย่างไม่หวั่นกลัวเหมือนที่สันต์ทำให้ได้ หน้าตาเธอแม้ว่าจะ...จะไม่ให้ดูน่าเกรงขามแต่แววตาคนเราสามารถแช่แข็งคนได้”

“ครับท่านอัศม์ ผมจะปรับตัวและเรียนรู้อย่างตั้งใจครับ”

“แต่เธอควรรู้นะขวัญ”

“ครับ?”

“ฉันไม่ใช่คนดี ทำใจเอาไว้ด้วย หากเห็นฉันในด้านอื่นขึ้นมาจะได้ไม่เป็นลมล้มพับ”

“ครับ” รับคำสั่งเสียงเบาหวิว

“ทำไม กลัวผิดหวังหรือไง”

“ไม่ครับ! ที่จริงผมก็ได้ยินเรื่องของท่านอัศม์มาบ้างแล้ว”

“หึ ถือว่าดีที่มีคนเล่าให้ฟัง แล้วเป็นไง เชื่อหรือไม่?”

“บางเรื่องก็เชื่อ บางเรื่องก็ไม่เชื่อครับ บางเรื่องมันดูไร้เหตุผลเกินไปที่ท่านอัศม์จะทำแบบนั้น”

อัศม์เดชยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เด็กตรงหน้าแม้จะดูขี้กลัวไปหน่อย แต่สติปัญญาถือว่าใช้ได้เลย มีการวิเคราะห์เรื่องราวที่ได้ยินถึงความเป็นไปได้ด้วย

ไม่เลว...

“เธอรู้ไหม ว่าพรรคนี้มีไว้เพื่ออะไร”

ขวัญนพัตนึกอยู่สักพักก็ตอบออกมา

“วัตถุประสงค์ที่บรรพบุรุษตั้งพรรคนี้ก็เพื่อควบคุมพวกมาเฟียและกลุ่มแก๊งอันธพาลให้อยู่ในระเบียบ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนต่อสังคม ให้โอกาสคนที่ก้าวเท้าผิดและสังคมไม่ให้โอกาส และเพื่อให้ทุกแก๊งได้แลกเปลี่ยนซื้อขายได้สะดวก ข้อห้ามสำคัญคือยาเสพติดกับอาวุธเถื่อนครับ”

“อืม...นอกนั้นทางการยังพอทำเป็นไม่เห็นได้ และต้องทำงานตอบแทนทางการที่ไม่คิดจะเข้ามาวุ่นวาย โดยการทลายแก๊งค้ายากับอาวุธเถื่อน”

“คล้ายโจรจับโจรใช่ไหมครับ”

“ใช่...เป็นแบบนั้น”

ขวัญนพัตฟังเรื่องราวน่ากลัวจากปากของท่านอัศม์ไปเรื่อยๆ ก็พบว่าตัวเองเริ่มชินกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว การตอบโต้ผู้ที่คิดโจมตีไม่ใช่เรื่องผิด อาจจะมีบ้างที่พลาดขั้นถึงแก่ชีวิต แต่ก็เพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องสมาชิกพรรค เหล่าผู้นำทั้งห้าไม่ยอมให้ชื่อเสียงของพรรคต้องมาแปดเปื้อนเพราะคนบางกลุ่มแน่

ตอบโต้คนที่หมายเอาชีวิต

ตอบโต้คนคิดคด ทรยศ หักหลัง

“เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าพรรคเราไม่ใช่องค์กรการกุศล จะได้อะไรมาต้องมีการแลกเปลี่ยนไปเสมอ”

“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“ถ้าเธอไม่เจอฉัน เธอคงเป็นเด็กธรรมดาๆ ไม่ต้องมาอยู่ในวงการแบบนี้” น้ำเสียงของท่านอัศม์ราบเรียบพอๆ กับใบหน้า ตัวเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยที่พาเด็กบริสุทธิ์เข้ามาในวงการสีเทานี้

ทุกอย่างมันดำเนินไปในทางที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว เช่นเขาที่หลีกเลี่ยงหน้าที่พวกนี้ไม่ได้

“ถ้าผมกับแม่ไม่เจอท่านอัศม์ ผมคงลำบากมากและอาจจะก้าวไปทางที่ผิดได้ ตอนที่เสียแม่คงไม่รู้จะทำยังไง เป็นเด็กกำพร้าที่หาอนาคตไม่ได้ อาจจะไม่มีเงินเรียนด้วยซ้ำ แต่ท่านอัศม์ทำให้ผมมีพ่อแม่ใหม่ แม่ขิมได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และท่านก็จากไปอย่างไม่ทรมานด้วยครับ หากย้อนเวลากลับไปผมกับแม่ก็เลือกเดินมาเกาะหน้ารั้วบ้านเตชโรจนโสภณเหมือนเดิมครับ”

อัศม์เดชมองรอยยิ้มกว้างสดใสที่ขับให้ใบหน้าอีกฝ่ายสวยงามมากของขวัญนพัตที่มอบให้ตนก็พานมองทุกอย่างสว่างจ้าไปหมด ใจเต้นผิดแปลกไปจากเดิม

เด็กน้อยคนนี้...เมื่อก่อนยังไม่ค่อยกล้าพูดกับเขาอยู่เลย ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเหมือนกันยังกล้าๆ กลัวๆ ทำไมยามนี้ คนตรงหน้าถึงได้ดูผ่อนคลายกับเราได้มากขนาดนี้นะ ปรับตัวเร็วเกินไปหน่อยไหม?

“หึ...ไม่แปลกใจเลยที่เป็นคนโปรดคุณย่ากับคุณแม่”

“อ่า...ทำไมครับ” เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย แววตาที่มองมาใสซื่อเสียจนคนอายุมากกว่าถึงสิบเจ็ดปีเกิดความรู้สึกเอ็นดู

“ประสบสอพลอเก่งเหลือเกิน”

ขวัญนพัตไม่ตอบอะไรได้แต่อ้าปากพะงาบๆ หน้าแดงก่ำ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเลยทีเดียว

 

 
 

+ + + + + To be continue + + + + +

  รู้จักกับท่านเขมต์ไปแล้วนะคะ เซ้นส์ของท่านเขมต์ค่อนข้างแรงจริงเชียว ขนาดเขาสองคนยังไม่รู้สึกอะไรกันเลยก็พยายามจะจับคู่แล้ว ^^ ตอนหน้ามีอะไรสนุกๆ ด้วยแหละค่ะ หนูขวัญเราจะเจอศึก สปอยล์ให้นิดหน่อยคือ ‘คู่หมั้น’ แต่กลัวทุกคนจะคิดมากจนนอนไม่หลับ ใบ้ให้อีกนิดเป็นคู่หมั้นของคุณอินทร์ คุณอัยย์ค่ะ

          ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะจ้ะ รวมถึงคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า

          https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)

          https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 07-06-2019 22:58:00
มาอัพแล้ววว ดีใจมากๆค่ะ ตอนนี้ขวัญเริ่มเรียนรู้งานที่แท้จริงอย่างจริงจังแล้ว ค่อยๆเรียนรู้ไป เชื่อว่าขวัญจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในแบบของตัวเองไม่แพ้คุณพ่อเลย ตอนนี้ความสัมพันธ์ขวัญกับท่านอัศม์ยังไม่เป็นรูปร่างชัดเจน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าขวัญได้รับอภิสิทธิ์กว่าใคร รอติดตามความสัมพันธ์ของขวัญและท่านอัศม์ต่อไปนะคะ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-06-2019 23:25:24
 :hao3: มีคนเห็นความสัมพันธ์บางๆ เสียดายท่านอัศยังไม่รู้สึกลึกซึ้งมาก
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 08-06-2019 08:47:31
รอติดตาม ความสัมพันธ์ไปแบบช้าๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-06-2019 18:27:26
ใจเริ่มกระตุกๆแว้วววว
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 9 | 7/06/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-06-2019 10:01:32
สู้ๆนะขวัญ
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 17-09-2019 18:43:26
10
เป็นขวัญนพัตต้อง ‘ทำใจ’




ขวัญนพัตใช้เวลาช่วงปิดเทอมสั้นๆ ไปกับการติดตามท่านอัศม์และพ่อของตน ได้เรียนรู้การทำงานของท่านไปเรื่อยๆ บางเรื่องก็ยังคงทำใจฟังไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช็อกจนเป็นลมหมดสติไป มีความเกรงกลัวอยู่แต่ก็เรียนรู้ที่จะเก็บสีหน้า เขาไม่ชอบงานในพรรค แต่ใจก็อยากทำ มันคือความย้อนแย้งทางความคิดที่ขวัญนพัตต้องจัดการตัวเอง

ด้วยคุณธรรมและความใจอ่อนเป็นทุนเดิมของตัวเอง แม้ขวัญนพัตจะมีความอ่อนน้อม ถ่อมตน มีความเรียบร้อย และจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็มีความคิดที่เห็นแก่ตัวอยู่ มีความทะเยอทะยาน ที่สำคัญมีความกตัญญูสูง ไม่ว่างานที่ท่านอัศม์ทำจะไม่ได้ดีงามน่ายกย่องจากคนในสังคม ก็ใช่ว่าจะเป็นอาชญากรของประเทศ คนที่ท่านอัศม์ควบคุมคือคนในวงการมืด ตั้งตนอยู่นอกกฎหมาย การที่จะคุมกลุ่มเหล่านี้ได้จะต้องเป็นคนที่ดำมืดเช่นกันไม่ได้ขาวสะอาด ไม่งั้นก็ทำให้กลุ่มแก๊งเหล่านั้นศิโรราบไม่ได้

ขวัญนพัตที่เรียนรู้งานอย่างจริงจังตั้งใจ กว่าจะรู้ตัวเขาก็เหมือนค่อยๆ ซึมซับปรับตัวไปกับความจริงได้แล้ว หัวใจไม่สั่นหรือตื่นตระหนกเวลาได้ยินคำสั่งเด็ดขาดของท่านอัศม์แล้ว แม้มีความกลัวอยู่ มีความสงสารเห็นใจอยู่ แต่เขาก้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ตนทำอะไรไม่ได้ ถึงทำได้ก็ไม่คิดจะทำด้วย เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมและความรุ่งโรจน์ของตระกูลกับพรรค ท่านอัศม์จำเป็นต้องอยู่เหนือกว่า

‘ท่านอัศม์เป็นประมุขพรรคที่เด็ดขาด เลือดเย็น ฉลาด ต่อกรยาก หูตากว้างไกล มีสายอยู่ทั่วทุกที่’ เขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง เพราะตัวเขาก็รู้จักแค่ท่านเพียงคนเดียว แต่คำว่าเด็ดขาดมากขวัญนพัตคิดว่าเหมาะสมกับท่านที่สุด ส่วนเลือดเย็นก็มีแค่กับกลุ่มคนที่ทำความผิดซึ่งท่านก็ทำตามกฎของพรรคที่มีมา ตัวของเขาในตอนแรกมีความเชื่ออ่อนต่อโลกและมองโลกอย่างสวยงามว่าท่านอัศม์ทำทุกอย่างเพื่อสังคมแต่ความเป็นจริงท่านอัศม์แค่ทำเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลทั้งนั้น ส่วนผลที่ตามมาอื่นๆ ท่านก็แค่เฉยเพราะสังคมสะอาดไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับท่านอัศม์สักนิด ที่ทำทั้งหมดเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันต่างหาก

ถึงอย่างนั้นขวัญนพัตก็เลื่อมใสศรัทธาท่านอัศม์อยู่ดี...


คฤหาสน์ตระกูลเตชโรจนโสภณมีแขกสำคัญมาเยือน เป็นหญิงสาวตระกูลผู้ดี สวยสง่า สูงส่ง ซึ่งมีฐานะคู่หมั้นของสองแฝดเจ้าเสน่ห์ อินทร์ธร อัยยวัฒน์ เธอทั้งสองคนเป็นลูกสาวของตระกูลที่มีชื่อเสียงทางสังคม ระหว่างตระกูลก็ทำธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนาน

ขวัญนพัตมาทำงานอย่างปกติ ท่านอัศม์กับสันต์ธรไปประชุมพรรคไม่ได้ให้ไปด้วยเพราะต้องการให้ขวัญนพัตคอยช่วยพิไลดูแลคุณหญิงอัปสรที่ป่วยมาได้หลายวันแล้วซึ่งเป็นโรคปกติของคนชราวัยแปดสิบสองปีที่ต้องเผชิญ ซึ่งอาการป่วยคราวนี้ทำให้ทุกคนในบ้านรู้สึกกังวลมาก หลายวันมานี้เจ้านายในบ้านต่างก็มีแต่ความเครียด แต่วันนี้หมอประจำตระกูลได้บอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว ทุกคนก็หายห่วง คลายความกังวลลงมาบ้าง

อัศม์เดชไว้ใจแค่คนเก่าคนแก่จึงได้ให้พิไลทำหน้าที่ดูแลย่าของตนเป็นหลักส่วนงานหัวหน้าแม่บ้านก็ให้พิไลสอดส่องหาผู้ที่เหมาะสมมาทำแทน ซึ่งพิไลก็ยินดีตามนั้น อายุของตนก็เลยวัยเกษียณมาปีกว่าแล้ว ตามจริงควรจะลาออกไปพักผ่อนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในบั้นปลาย เพียงแต่ตัวเป็นสาวโสด ทั้งยังมีห่วงคือขวัญนพัต แล้วไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา ก็ขออยู่รับใช้จนกว่าจะแก่ตายที่นี่ ซึ่งท่านอัศม์ก็เข้าใจทั้งยังซาบซึ้งในความซื่อสัตย์นี้เป็นอย่างมาก มอบทั้งบำเหน็จและบำนาญให้กับพิไลอย่างมากมายอย่างที่คนปลดเกษียณได้รับ แต่พิไลออกจะมากหน่อยกลายเป็นเศรษฐีนีแบบชั่วข้ามคืน อีกทั้งยังได้เงินเดือน สวัสดิการ และโบนัสเหมือนเดิมตลอดชีวิตอีกด้วย นอกจากนี้ยังสั่งเด็ดขาดว่าไม่ให้พิไลสวมชุดฟอร์มของแม่บ้านอีกต่อไป มอบชุดอย่างดีสมวัยสำหรับโอกาสต่างๆ และสำหรับใส่ปกติอีกหลายชุดให้ใส่แทน ฐานะของพิไลจึงสูงขึ้นในสายตาของคนอื่นๆ

ขวัญนพัตรู้ดีว่านี่คือการให้เกียรติยายของตนในแบบของท่าน ท่านอัศม์ไม่เคยมองพิไลเป็นบ่าวไพร่แต่มองเสมือนแม่คนหนึ่งมาตลอด เพราะว่าท่านอัศม์ก็ถูกพิไลช่วยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ในฐานะแม่นม

“ดีจริง คุณท่านทานได้เยอะกว่าเมื่อวานมาก”

“ไม่ต้องมาหลอกกัน ฉันรู้ตัวเองดีว่าอยู่มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว”

“โธ่ อย่าพูดเช่นนั่นสิคะ คุณท่านยังคงอยู่ได้อีกนานค่ะ คุณท่านต้องรอเลี้ยงคุณหนูๆ ก่อนสิคะ”

“นั่นสินะ เฮ้อ...แล้วนี่หนูเข็มหนูหวานมาถึงนานแล้วเหรอ”

“มาถึงได้สักพักแล้วค่ะ กำลังนั่งคุยกับคุณหญิง สักพักคงขึ้นมาเยี่ยมคุณท่าน” พิไลตอบคุณหญิงอัปสรไป ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยดูสดใสกว่าเมื่อวานมาก

“นวดตรงนั้นเน้นๆ หน่อยเจ้าขวัญ” คุณหญิงอัปสรบอกกับเด็กหนุ่มที่นั่งนวดขาอยู่ปลายเตียง ทำตัวเงียบเชียบประหนึ่งไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้อง

“ตรงนี้หรือฮะคุณหญิงย่า” ถามพลางกดย้ำลงไป

“ขยับล่างอีกนิด นั่นแหละ สักสองสามนาทีค่อยเลื่อนไปที่อื่น”

“ฮะ”

พิไลยิ้มอ่อนโยนยามมองขวัญขวัญนพัตปรนนิบัติคุณหญิงอัปสร เธอคิดมานานแล้วว่าขวัญนพัตเป็นคนมีวาสนา แม้จะต้องเสียแม่ แต่ก็ได้รับความเมตตาจากเจ้านายที่สุด ไม่เคยมีใครได้รับเท่าที่ขวัญนพัตเคยได้รับ

ขนาดพิไลยังไม่เคยได้นั่งบนเตียงของคุณท่านเลย แต่ขวัญนพัตได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นตลอดเวลาปรนนิบัติพัดวีคนสูงวัย

“คิดว่าตาอินทร์กับตาอัยย์น่าจะมีหลานให้ฉันก่อนตาอัศม์นะ รายนั้นไม่มีวี่แววเลย แต่ฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก อุ้มหลาน อุ้มเหลนมาเยอะแล้ว ถือว่าชาตินี้ไม่มีอะไรอยากได้แล้ว ถ้าตาอัศม์อยากจะเลือกใคร ฐานะไหนฉันก็ไม่ได้กังวลหรืออยากจะอยู่โสดไปจนตายก็ไม่เป็นไร ถ้ามันคือความสุขของหลานฉัน”

“แต่ดิฉันคิดว่าคุณหญิงคงจะไม่ยอมเท่าไหร่”

“คนเป็นแม่ล่ะนะ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าน่านฟ้าจะรักลูกมากขนาดไหนหรือว่ารักหน้าตัวเองมากกว่า แต่โดยฐานะผู้นำตระกูลของอัศม์ ตามกฎแล้วไม่มีใครสามารถบีบบังคับได้ แม้กระทั่งพ่อแม่แท้ๆ ของตนก็ตาม”

คุณหญิงอัปสรเลือกสรรหลานสะใภ้ร่วมกับลูกสะใภ้มาตลอดสิบกว่าปี ตอนนี้คิดว่าควรปล่อยวางเสียที ชีวิตของลูกหลาน ก็ควรปล่อยให้ได้เลือกเอง ส่วนคนเป็นแม่ หากไม่มากเกินไปนัก นางจะไม่เข้าไปยุ่ง ถึงเวลาพักผ่อนจริงๆ เสียที

ที่สำคัญต่อให้ตนไม่ได้อยู่ดูหน้าเหลนสายตรงก็ไม่เสียดายมาก เพราะตลอดสิบปีมานี้ นางมีขวัญนพัตที่เป็นทั้งลูกศิษย์และเด็กในอุปการะที่นางเอ็นดูไม่ต่างจากหลานแท้ๆ ของตนคอยเอาอกเอาใจอยู่แล้ว เด็กคนนี้ไม่ได้ทำเพราะหน้าที่หรือตอบแทนพระคุณอย่างเดียว ที่เห็นมาตลอดคือความจริงใจและความกตัญญูที่มองนางราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน

“ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องของเจ้าพวกนั้นแล้วล่ะ โตๆ กันแล้ว คิดเองได้ อินทร์กับอัยย์ก็เหลือแค่หาฤกษ์แต่งงาน เราหมั้นหมายกันไว้มาก็หลายปีเห็นว่าสมควรแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่น่านฟ้าก็จัดการเอง ฉันไม่ยุ่งแล้วล่ะพิไล”

“ดีแล้วล่ะค่ะ”

“แล้วเราล่ะเจ้าขวัญ มีคนที่ชอบบ้างหรือยัง ได้ข่าวจากเจ้าแก้วว่ามีผู้ชายมาชอบเยอะกว่าผู้หญิง บอกฉันตรงๆ ได้ไหมว่าเราชอบอย่างไหน”

ร่างบางตกใจไม่คิดว่าจู่ๆ ก็โดนถามเรื่องรสนิยมทางเพศขึ้นมาแบบนี้ ลอบมองสีหน้าของผู้ถามสลับกับยายที่นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วก็หลบสายตามองที่ท่อนขาของคุณหญิงอัปสร

“ขวัญไม่ทราบ...แต่ว่า เอ่อ ขวัญคิดว่าน่าจะเป็นผู้ชายฮะ”

เมื่อถามออกมาตรงๆ ขวัญนพัตก็ตอบตรงๆ ทั้งสองท่านเป็นผู้มีพระคุณ เป็นครอบครัว เป็นผู้ปกครอง ยังไงซะตนก็ต้องพูดไปตามจริง

คุณหญิงกับพิไลตกใจแม้ว่าจะทำใจเอาไว้ตั้งนานแล้วก็ตาม พอได้ยินตรงๆ ก็ให้รู้สึกเสียใจ เสียใจที่ทั้งสองคนเลี้ยงดูและอบรบขวัญนพัตเหมือนเด็กผู้หญิง คิดเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ก็ยังคงทำเช่นเดิม ก็ใครใช้ให้ขวัญนพัตเกิดมาน่ารักน่าเอ็นดูราวกับเด็กผู้หญิงล่ะ คุณหญิงอัปสรมีแต่ลูกชาย คุณหญิงน่านฟ้าก็มีแต่ลูกชาย พิไลก็ไม่มีลูกหลานเข้าหา พอมีเด็กเล็กสนใจงานบ้านงานฝีมือ มีอะไรอยากถ่ายทอดก็สอนสั่งไปเสียหมดเปลือก ไม่หวงวิชากันเลย

พูดตามตรงว่าไม่เคยนึกว่าขวัญนพัตเป็นเด็กผู้ชาย รู้ตัวอีกทีก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าสวย จัดการงานในบ้านด้วยท่าทีสง่างามขนาดที่หญิงสาวบางคนยังทำไม่ได้ไปเสียแล้ว

ทั้งภูมิใจและทั้งรู้สึกผิด...

“เอาเถอะ เจ้าจะชอบแบบไหน จะรักใครเพศอะไรก็ตามแต่ใจ ขอแค่มีความสุขก็พอ”

“ใช่แล้วขวัญ ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปกังวลอะไร ยายรับได้ ยังไงครอบครัวของหนูก็รับได้ แต่เชื่อเถอะ ยายว่าพวกเขาคงรู้แต่แรกแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นตาสิงห์คงไม่หวงน้องรุนแรงขนาดให้ตัวเองโสดเพื่อจะได้มีเวลาดูแลเราเลย”

“ยายก็...”

“แล้วตอนนี้มีคนที่ชอบพอหรือยังล่ะ” คุณหญิงอัปสรถามต่อ

“ไม่มีหรอกฮะ”

“แล้วบอกฉันได้อย่างไรว่าชอบผู้ชาย”

“ขวัญ...แค่ชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็เลยคิดว่าน่าจะชอบผู้ชาย แล้วก็เคยมีความคิดว่าตัวเองคบผู้ชาย แต่คิดว่าคบกับผู้หญิงนี่...ไม่เคยเลยฮะ”

เห็นเด็กหนุ่มคนนี้ตอบตรงๆ อย่างใสซื่อก็ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ออกมาดี

“สมัยนี้เปิดกว้าง เสรี ผู้ชายกับผู้ชายจดทะเบียนกันได้ แต่งงานตามประเพณีได้ ใช้ชีวิตด้วยกัน เปิดเผยต่อสังคมได้ถูกต้อง ไม่ผิดครรลองคลองธรรมอะไร ถ้าเราเจอคนๆ นั้นแล้วก็บอกนะ จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือทำให้ถูกต้องตามประเพณีไป ตอนแรกคิดว่าตัวเองไม่มีห่วงอะไรอีกแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีอยู่อย่างหนึ่ง...”

“อะไรหรือฮะคุณหญิงย่า ขวัญช่วยได้ไหมฮะ”

นางส่ายหน้า ยิ้มอ่อนโยน กวักมือให้ขวัญนพัตขยับขึ้นมานั่งใกล้ๆ ร่างบางทำตาม ยังไม่ทันได้ถามอะไร ฝ่ามือเหี่ยวย่นก็วางบนศีรษะแล้วลูบเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน

“ห่วงสุดท้ายก่อนตาย คืออยากส่งเราให้กับคนที่จะดูแลเราไปชั่วชีวิตไงล่ะ”

ขวัญนพัตน้ำตารื้น คว้ามือของคุณหญิงย่ามา เอาแก้มแนบที่ฝ่ามือ เอ่ยเสียงสั่น “งั้นคุณหญิงย่า ก็อยู่นานๆ นะฮะ”

“ฮะๆ พิไล เธอดูเจ้าเด็กคนนี้สิ เป็นหนุ่มแล้วยังจะร้องไห้เป็นเด็กๆ อีก”

“งอแงใหญ่แล้วขวัญ เห็นทียายต้องอบรมเสียใหม่” พิไลทำทีเป็นดุ ไม่ได้จริงจัง ก่อนที่หนึ่งเจ้านายหนึ่งคนสนิทจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างเสียกิริยา

“ฮ่าๆ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น หญิงทั้งสองจึงรีบหยุดแล้วสำรวมกิริยาเฉกเช่นหญิงที่เคร่งครัดกฎระเบียบดังเดิม ขวัญนพัตเองก็เช็ดน้ำตาแล้วรีบลงไปยืนที่ข้างเตียงด้วยท่าทางสำรวมดูผู้ใหญ่ขึ้นไม่มีมาดเด็กขี้อ้อนเมื่อนาทีที่แล้วเลยสักนิด

“คุณแม่คะ หนูเข็มกับหนูหวานมาเยี่ยมไข้ค่ะ” คุณหญิงน่านฟ้าเดินนำสองสาวเข้ามา ใบหน้าสวยยิ้มน้อยๆ ให้กับแม่สามี ส่วนคู่หมั้นของอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์ที่เดินตามหลังมาก็ก้าวมาหาคุณหญิงอัปสรที่มีพิไลคอยพยุงให้นั่ง

“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า”

“ไหว้พระเถอะลูก”

ขวัญนพัตโค้งให้โดยที่ไม่มีใครสนใจมอง แล้วเดินไปยกเก้าอี้มาวางสามตัว ซึ่งเก้าอี้เหล่านี้ถูกเตรียมเอาไว้เพราะช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมคุณหญิงเยอะแล้วท่านก็ไม่สะดวกรับแขกที่ด้านล่าง

“เชิญคุณหญิงและคุณหนูทั้งสองนั่งครับ”

“ขอบใจ!”

“ขอบคุณนะ”

ขวัญนพัตยิ้มรับไม่ได้สนใจเลยว่าหนึ่งในสองสาวมีคนหนึ่งที่ลอบมองตนอย่างไม่พอใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังกระแทกเล็กน้อย ซึ่งไม่มีใครสังเกต แต่คุณหญิงอัปสรรับรู้ได้เลยลอบมองอยู่บ้าง

ร่างบางเดินกลับไปยืนที่เดิม สายตาไม่ได้โฟกัสที่ใครด้วยกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเลยจ้องที่ผนังกำแพงด้านหน้า สลับกับสังเกตที่แขกกับผู้มีพระคุณเป็นระยะๆ

“เข็มมีของบำรุงจากจีนมาเยี่ยมคุณหญิงย่าด้วยค่ะ เป็นยี่ห้อที่ดีที่สุดของจีนเลย บำรุงสุภาพ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วยนะคะ” เธอว่าพลางรับกระเช้าจากคนรับใช้มาแล้วยื่นส่งให้กับคุณหญิง

“ขอบใจมากเลยลูก” คุณหญิงตอบรับน้ำใจจากเขมินทราด้วยสีหน้าอ่อนโยน มือแตะที่ตระกล้าพอเป็นพิธี พยักหน้าให้ขวัญนพัตมารับไป

“หวานไม่ทราบอาการของคุณหญิงย่า เลยไม่แน่ใจว่าหาอะไรมาให้ วันนี้เลยมีแค่น้ำสมุนไพรที่หวานทำเองมาเยี่ยมไข้ หวังว่าคุณหญิงย่าจะไม่รังเกียจนะคะ”

มือย่นแตะที่กระเช้าพอเป็นพิธีเช่นกันแต่ก็มองที่ของด้วย รอยยิ้มและแววตาที่มอบให้มธุรดาแฝงไปด้วยความพึงพอใจที่สุด

“ลำบากหนูหวานแล้ว ขอบใจมากลูก”

เห็นได้ชัดว่ามธุรดาเอาใจใส่มากกว่า ละเอียดอ่อนมากกว่า ของดีที่เขมินทรามอบให้ขวัญนพัตต้องให้หมอตรวจสอบก่อนว่าทานได้หรือไม่ได้ แต่น้ำสมุนไพรของมธุรดาสามารถดื่มได้เลย

“เด็กๆ คุยกับคุณหญิงย่าไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะไปสั่งให้เด็กๆ เตรียมอาหาร”

“คุณหญิง เดี๋ยวผมจัดการเองฮะ” ขวัญนพัตขันอาสาทันทีที่คุณหญิงน่านฟ้าพูดจบ ตามหน้าที่แล้วเขาควรเป้นคนดูแลมากกว่า เพราะตรงนี้ก็มีพิไลแล้ว สามารถแยกออกไปได้

“ไม่ต้องหรอก ขวัญดูแลคุณแม่ที่นี่แหละ เดี๋ยวพอเด็กๆ มาตามก็ให้ขวัญช่วยดูแลคุณหนูทั้งสองรับประทานอาหารที่ห้องอาหารด้วยนะ”

ความหมายคือให้ตนเป็นคนพาลงไปแล้วคอยดูแลอยู่ที่ห้องอาหาร เพราะการที่ให้ขวัญนพัตหรือพิไลที่มีความสำคัญกว่าคนใช้อื่นๆ นำทางย่อมเป็นการให้เกียรติสองสาวมากกว่า

พิไลไม่ได้อยู่ในฐานะสาวใช้อีกต่อไปแล้ว เธอเป็นคนสนิทของคุณหญิงอัปสรทั้งยังเป็นคนสนิทของน่านฟ้าด้วย ความซื่อสัตย์ของพิไลตลอดมา น่านฟ้าต้องการให้เกียรติเสมอ เมื่อมีโอกาสแล้วจึงไม่อาจจะให้พิไลไปทำหน้าที่นั้นต่ออีก

“รับทราบครับ”
ขวัญนพัตรับคำสั่งเสร็จก็กลับมายืนเงียบๆ ที่จุดเดิมซึ่งห่างจากเตียงเล็กน้อย ไม่ได้ดูเสียมารยาทแม้จะใกล้กับเจ้านายแต่ไม่มากเกินไป

“หนูเข็มกับหนูหวานสบายดีนะลูก ไม่เจอกันหลายเดือนสวยขึ้นจริงๆ”

“เข็มสบายดีค่ะ”

“หวานก็สบายดีค่ะ”

คนอายุมากพยักหน้ายิ้มๆ

“คุณหญิงย่าต้องดูแลสุขภาพและพักผ่อนให้มากๆ นะคะ ถ้าหากว่าเข็มมีเวลาคงต้องขออนุญาตมาดูแลคุณหญิงย่าจนหายแน่นอนค่ะ”

“มีน้ำใจคนแก่อย่างย่าก็ซาบซึ้งแล้ว หนูเข็มงานเยอะ ต้องช่วยงานครอบครัว ย่าไม่รบกวนหรอกจ้ะ ขอรับเพียงน้ำใจก็พอแล้วลูก”

“เอาไว้เข็มจะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะคะ”

“จ้ะ แล้วหนูหวานล่ะลูก ทุกวันนี้เห็นยุ่งกับร้านขนม มีอะไรใหม่ๆ ให้ย่าลองชิมบ้างหรือเปล่าฮึ”
“หลายเดือนมานี้ หวานคิดขนมใหม่ๆ ได้อยู่สองสามเมนู เพียงแต่สุขภาพของคุณหญิงย่าอาจจะยังไม่สามารรับประทานได้ค่ะ”

“ได้ยินแบบนี้ก็หดหู่ใจ เจ้าขวัญก็พูดแบบนี้ ทุกวันนี้ย่าอยากจะทานขนมฝีมือของเจ้าขวัญก็ต้องทานในฝันแทน เฮ้อ...แก่แล้วจะกินตามใจปากเช่นตอนสาวๆ ไม่ได้เสียแล้ว”

“ได้ยินจากพี่อัยย์บ่อยๆ ว่าน้องขวัญทำอาหารและทำขนมเก่ง อีกทั้งงานบ้านงานเรือนยังล้ำเลิศเทียบเท่าหญิงชาววัง มีโอกาส หวานก็อยากที่จะแลกเปลี่ยนความรู้สักครั้ง”

“โอ้ ไม่ต้องสักครั้งหรอก หลายๆ ครั้งก็ได้ เจ้าขวัญทำงานของผู้หญิงได้ดีก็จริงแต่งานผู้ชายก็ดีงามไม่แพ้กัน ตอนนี้ก็เริ่มเรียนรู้งานของพรรคแล้ว”

“จริงหรือคะ อายุแค่นี้เก่งจังเลยนะคะ” มธุรดาหันมายิ้มหวานสมกับชื่อให้กับคนที่ถูกพาดพิงถึง เมื่อเห็นว่ารอยยิ้มของมธุรดามีแต่ความจริงใจ ขวัญนพัตก็ตอบกลับด้วยความจริงใจไม่แพ้กัน

“คุณหวานชมกันเกินไปแล้วครับ ผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก”

“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกจ้ะ พี่อัยย์เขาอวดน้องขวัญกับพี่อยู่เป็นประจำ วันไหนเจอกันก็ไม่มีเลยที่จะไม่มีน้องขวัญในบทสนทนา”

“อ่า เป็นเกียรติมากครับ” ได้แต่ตอบรับสั้นๆ ยิ้มรับบางๆ ด้วยเกรงว่าตอบยาวไปจะทำให้ดูไม่ดีได้ ใช้คำพูดไม่ระวังก็เปลี่ยนเจตนาได้เหมือนกัน

ยิ่งไปกว่านั้นขวัญนพัตไม่ได้คิดบวกมองโลกในแง่ดีว่าทุกคำพูดของมธุรดาจะจริงใจทุกคำ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ปากหวานก้นเปรี้ยวใครจะไปรู้

เขมินทรา เป็นสาวมั่น เย่อหยิ่ง และซื่อตรงกับความรู้สึก คิดแบบไหนแสดงออกแบบนั้น ต่อให้ปกปิดดีแค่ไหนก็ยังหลุดนิสัยแท้จริงออกมา

มธุรดา เป็นสาวหวาน กิริยางดงาม อ่อนโยน ไม่ได้ดูไร้ความคิด แววตาบ่งบอกถึงความฉลาดล้ำ มักจะเป็นประเภคคิดก่อนทำ เก็บความรู้สึกเก่ง

“เอาล่ะๆ มัวแต่คุยเรื่องเด็กของย่าอยู่ได้ หนูเข็มไม่ต้องคิดมากนะลูก คนเราเก่งกันคนละด้าน อย่างหนูเข็มเก่งบริหาร โดดเด่น มีหน้าตาในสังคม เรื่องงานพวกนี้เราฝึกฝนกันได้ ไม่ต้องเลิศเลอหรอก แต่ให้สมกับเป็นสะใภ้ก็พอ”

“เข็มก็เริ่มหัดแล้วค่ะ ทำอาหารง่ายๆ พอได้”

“จ้ะ เป็นเอาไว้บ้างเผื่อได้ใช้ประโยชน์”

นี่คือคุณสมบัติต้นๆ ที่คุณหญิงอัปสรใช้เป็นเกณฑ์ในการรักใคร่เอ็นดูว่าที่หลานสะใภ้ เธอเองก็ได้รับการยอมรับจากแม่สามีเพราะมีฝีมือด้านงานเรือนไม่เป็นรองใคร ก็เลยยึดแบบปฏิบัตินี้เรื่อยมา หากแต่ก็ยังลดหย่อนให้กับเขมินทราอยู่บ้าง ตอนที่ได้รู้จักสองสาวแรกๆ มีเพียงมธุรดาที่ถูกใจคุณหญิงอัปสร ส่วนเขมินทราเป็นทางน่านฟ้าที่พอใจนั่นคงเป็นเพราะแม่ของเขมินทราเป็นเพื่อนสนิทของเธอเอง

ดีหน่อยที่อัยยวัฒน์กับมธุรดาคบหาดูใจกันก่อนที่ทางผู้ใหญ่จะมาพูดคุยกัน คู่นี้เลยไม่ได้มีอะไรที่ต้องกังวลเพราะสมัครใจกันทุกคู่ แต่ทางอินทร์ธรกับเขมินทราเกิดจากทางครอบครัวพามาแนะนำให้รู้จัก จะเรียกว่าตั้งใจพามาคลุมถุงชนก็ได้ อินทร์ธรที่ไม่มีคนในใจเป็นพิเศษก็ยอมรับการหมั้นหมายแต่โดยดี ซึ่งระยะเวลาสองปีที่หมั้นหมายกันก็ทำหน้าที่คู่หมั้นต่อเขมินทราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ทว่าช่วงหลังๆ มานี้ขวัญนพัตสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของอินทร์ธร ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องงานหรือว่าเกิดจากความสัมพันธ์กับคู่หมั้นกันแน่ เขามักจะพบว่าอินทร์ธรคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่งด้วยความอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยเห็น และบางครั้งจะแอบได้ยินอินทร์ธรมีปากเสียงกับเขมินทราผ่านทางโทรศัพท์

จะเป็นคนๆ เดียวกันหรือคนละคนกัน ขวัญนพัตยังไม่แน่ชัดนัก ที่ชัดเจนเลยคืออินทร์ธรไม่เคยแสดงออกถึงความอ่อนโยนกับเขมินทรา แววตาไม่ได้ลึกซึ้ง รอยยิ้มที่มอบให้ก็ไม่มีอะไร แค่ยิ้มตามมารยาท ปฏิบัติอย่างให้เกียรติเช่นปกติ ในขณะที่ยามพูดคุยกับใครคนหนึ่งกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้ง


(มีต่อ)
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 17-09-2019 18:44:11
ตอนที่ 10 (ต่อ)



“ระหว่างหนูเข็มกับตาอินทร์เป็นยังไงบ้างจ้ะ”

“พี่อินทร์ก็ใส่ใจเข็มเหมือนเดิมแหละค่ะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ยามไปทานข้าวที่บ้านเข็มมักจะ ‘ใส่ใจ’ น้องสาวของเข็มมากเป็น ‘พิเศษ’ เอ็นดูน้องสาวเข็มแบบที่ไม่เคยมีให้เข็มเลยสักนิด”

ผู้ที่อยู่ในห้องไม่มีใครที่สัมผัสไม่ได้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ ทุกประโยคมีแต่การกระทบกระเทียบ แววตาตอนที่พูดก็มีประกายกร้าว ราวกับคนทั้งคู่อยู่ข้างหน้าตน

คุณหญิงอัปสรรู้จักน้องสาวต่างมารดาของเขมินทรา ลูกสาวเมียน้อยที่ตอนนี้เลื่อนมาเป็นเมียหลวง เพราะหลังจากที่มารดาของเขมินทราเสียไปเมื่อห้าปีก่อนพ่อของเธอก็รับบสองแม่ลูกเข้ามาในบ้านด้วยฐานะที่เทียบเท่าเธอและแม่ของเธอ นั่นจึงทำให้เขมินทราไม่ชอบแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างพ่อมาก มันเป็นบาดแผลในใจของเขมินทราไม่มีวันจางหาย ยิ่งมารับรู้ทีหลังว่าแม่ของเธอเป็นคนแย่งพ่อมาจากแม่เลี้ยงก็ยิ่งทำใจรับความจริงไม่ได้ เลยเป็นปรปักษ์กับสองแม่ลูกมาโดยตลอด เรื่องราวพวกนี้ในแวดวงคนใกล้ชิดรับรู้กันดี เพราะฐานะของมารดาเลี้ยงของเขมินทราก็ใช่จะไร้สกุลรุนชาติ ต่อให้ถูกตราหน้ามาเมียน้อยแต่ก็เป็นผู้ที่มาก่อน เคยหมั้นหมายกันก่อนที่มารดาของเขมินทราจะวางแผนทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลง

“อินทร์เขาก็คงมีมนุษย์สมัพันธ์ดีไปทั่วแหละลูก”

“ยัยดาวชอบเรียกร้องความสนใจ ทั้งกับคุณพ่อ นี่ก็พี่อินทร์อีก คุณหญิงย่าคะ เข็มอึดอัดที่จะอยู่บ้านหลังนั้นเต็มทีแล้ว พอไม่มีคุณแม่ เข็มก็รู้สึกว่าตัวเองตัวคนเดียว พ่อไม่เข้าใจ แม่เลี้ยงก็ใจร้าย น้องสาวก็ทำให้เข็มเป็นนางร้ายในสายตาของคนอื่นตลอดเวลา ฮึก”

“ไม่เอาลูก ไม่ต้องไห้นะ”

หากถามคุณหญิงอัปสรว่าระหว่างคนพี่กับคนน้องจะเลือกใคร หากเธอรู้จักแต่เขมินทราก็คงเลือกคู่หมั้นหลานชายแต่โดยดี แต่ทว่าตนเคยมีโอกาสไปงานเลี้ยงวันเกิดของขจรเกียรติพ่อของเขมินทราก็เลยมีโอกาสได้พบกับภรรยาใหม่และน้องสาวต่างแม่ของเขมินทรา เด็กคนนั้นงามพร้อมด้วยรูป กิริยามารยาท และความสามารถก็มากเกินอายุ แววตามีแต่ความใสซื่อไร้เดียงสา ทุกคำพูดคำจาไพเราะเสนาะหู บ่งบอกว่ารับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ไม่ได้เป็นเหมือนที่เขมินทรกับน่านฟ้าบอกเลยสักนิด ไม่ว่าจะใช้สายตาที่ผ่านโลกมาเจ็ดสิบกว่าปีมองอย่างไรก็ไม่ได้เห็นความเสแสร้งแกล้งทำจากเด็กคนนั้นเลย

ถึงไม่เคยได้คุยด้วยมากมายนัก แต่เธอปลื้มแม่เด็กดาว ดารารัศมิ์คนนั้นมากกว่าคนพี่เขมินทราเสียอีก

“เข็มคิดว่าเราควรจะพูดเรื่องแต่งงานกันได้แล้วนะคะ หมั้นมาสองปีกว่าแล้ว หากช้ากว่านี้เดี๋ยวคุณหญิงย่าจะไม่ได้อุ้มเหลน”

นี่แช่งกันเรอะ!

ขวัญนพัตแอบพ่นลมหายใจ คิ้วขมวดเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ

“เรื่องนี้ก็ต้องให้ผู้ใหญ่คุย แล้วย่าก็ไปยุ่งไม่ได้ หนูเข็มต้องรอให้แม่น่านฟ้าเป็นคนจัดการ ซึ่งก็ต้องรอถามตาอินทร์ด้วย ตระกูลเราไม่เหมือนตระกูลอื่น หนูก็คงรู้อยู่แล้ว ผู้ชายเป็นใหญ่ หากให้กำเนิดลูกชายก็ถือว่าเป็นว่าเป็นผู้สืบทอด แม้จะต้องเชื่อฟังกตัญญูต่อบุพการี แต่ผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับอะไรกับบุตรสายตรงให้ทำตามที่ต้องการ แม้กับลูกสาวจะขึ้นอยู่กับตัวพ่อแม่ว่าจะเข้าไปยุ่งหรือให้อิสระ แต่ก็บีบบังคับใจไม่ได้ ย่าเองก็ปล่อยให้ลูกหลานเลือกเองมาตลอด แม้ว่าตระกูลเราไม่ค่อยมีสะใภ้มาจากครอบครัวยากจนแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย”

บรรพบุรุษตั้งกฎตระกูลขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เป็นพ่อแม่ของผู้นำตระกูลหรือญาติผู้ใหญ่เข้ามากะเกณฑ์เรื่องของชีวิตคู่ บรรพบุรุษต้องการให้ลูกหลานได้เลือกคู่ครองด้วยตัวเอง ไม่ใช่เลือกเพื่อขยายอิทธิพลหรือคานอำนาจ

เขมินทราได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเครียด เข้าใจว่าคุณหญิงต้องการจะสื่ออะไร คุณหญิงอัปสรต้องการบอกว่าหากอินทร์ธรต้องการถอนหมั้นก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น สถานะปลอดภัยต่อการยืนอยู่ในตระกูลนี้ก็คือการแต่งเข้ามาอยู่ในฐานะสะใภ้ให้เร็วที่สุด เพราะตระกูลนี้ต่อให้แม่กฎห้ามบังคับคลุมถุงชน คู่ครองที่เลือกเองจะต้องให้เกียรติที่สุด คิดจะหย่าก็ทำไม่ได้ ยกเว้นว่าทำผิดจริงๆ

ตระกูลสายตรงเลยไม่มีเรื่องหย่าร้าง ไม่มีเล็ก ไม่มีน้อย เพราะถือว่าให้โอกาสเลือกเองแล้วก็ต้องซื่อสัตย์กับคนที่เลือกไปชั่วชีวิต แม้จะเคยมีบุตรสายตรงแต่งงานใหม่แต่นั่นก็เป็นกรณีภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป

“เข็มทราบแล้วค่ะ ขออภัยที่เข็มวู่วามใจร้อน” หญิงสาวยกมือไหว้สวยงาม คุณหญิงก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เธอไม่กังวลว่าจะรับสะใภ้ที่นิสัยร้ายกาจเข้ามาเพราะมีกฎของตระกูลควบคุมอย่างเข้มงวด ให้เกียรติภรรยาไม่ได้หมายความว่าภรรยาจะเป็นใหญ่หรือมีอำนาจเหนือกว่า

ระบบของตระกูลเหมือนจะกดขี่ผู้หญิงเช่นสมัยก่อนซึ่งมันก็ดูเหมือนใช่ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว อย่างน้อยทายาทผู้หญิงหรือสะใภ้ที่แต่งเข้าก็สามารถออกไปทำงานในบริษัทได้ ทำงานในพรรคได้

“ส่วนหนูหวาน ตาอัยย์เปรยอยู่บ่อยๆ ว่าอยากจะแต่งแล้ว ได้ข่าวว่าคุยกันแล้วใช่ไหม” คุณหญิงหันมาถามหญิงสาวอีกคน

“คุยบ้างแล้วค่ะ เรื่องกำหนดการคงต้องให้ผู้ใหญ่คุยกันเพื่อหาฤกษ์ แต่หวานบอกพี่อัยย์ว่าอยากแต่งช่วงปีหน้า หวานอยากได้เวลาเตรียมงานนานๆ”

“ย่าเข้าใจ หญิงสาวจะมีงานแต่งเดียวในชีวิตย่อมต้องพิถีพิถัน เอาไว้ย่าจะบอกแม่น่านฟ้าให้ไปคุยกับผู้ใหญ่ฝั่งหนูให้เป็นมั่นเป็นเหมาะ แล้วก็เริ่มเตรียมงานได้เลย”

“ขอบคุณค่ะคุณหญิงย่า”

เขมินทราลอบมองเสี้ยวหน้าของมธุรดาอย่างอิจฉา อิจฉาที่ได้เข้าตระกูลแน่ๆ อิจฉาที่แต่งด้วยความรัก อิจฉาที่เธอได้รับความเอ็นดูจากคุณหญิงย่ามากกว่าตน

“หวานมีเรื่องอยากจะเรียนขอคุณหญิงย่า ไม่ทราบว่าได้หรือเปล่าคะ”

“หืม? อะไรหรือลูก”

“พี่อัยย์บอกกับหวานว่าฝีมือการทำอาหารไทยกับขนมไทยของน้องขวัญเป็นเลิศ หวานไม่เคยได้ชิมแต่เชื่อว่าพี่อัยย์ต้องไม่โกหก เลยอยากขอคุณย่าให้น้องขวัญดูแลเรื่องอาหารไทยกับขนมไทยภายในงานน่ะค่ะ”

“โอ้ แขกเหรื่อมากมาย เจ้าขวัญของย่าจะเหนื่อยเอาน่ะสิ ไม่ได้ๆ เจ้าขวัญต้องดูแลการรับแขกต้องอยู่กับตาอัศม์ คนของเขาย่าใช้พละการไม่ได้”

แค่คำว่า ‘เจ้าขวัญของย่า’ ก็ทำให้สองสาวรู้สึกว่าตกเป็นรอง ยิ่งกับเขมินทราถึงกับมองหน้าสวยด้วยความไม่พอใจ และยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสวยกว่าตนก็ยิ่งเสียหน้าเข้าไปอีก พอประโยคที่ว่าเป็นคนของท่านอัศม์ก็ยิ่งรู้สึกว่าขวัญนพัตล่วงเกินไม่ได้

ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนรับใช้ แต่ทำไมถึงได้สูงส่งกว่าเธอ!!

“หวานไม่ทราบ ต้องขออภัยที่ล่วงเกินนะคะ เสียดายจริงๆ ค่ะ”

“ถ้าหนูหวานอยากชิม เอาไว้มาช่วงวันหยุดสิ อาทิตย์หน้าเป็นไง เจ้าขวัญไม่ได้ทำขนมให้ย่ากินมาหลายวันแล้ว คิดว่าคงห้ามถึงอาทิตย์หน้า ถ้าย่าไม่หายตาอัศม์ไม่อนุญาตให้เจ้าขวัญเข้าครัวแน่ กลัวว่าจะตามใจย่าน่ะ”

เป็นจริงดังที่คุณหญิงว่า เหตุผลที่ท่านอัศม์ให้ขวัญนพัตอยู่ข้างกายคุณหญิงอัปสร ไม่ต้องเข้าครัวทำอาหารเพราะกลัวว่าจะใจอ่อนทำของหวานให้ท่านทานเอา

คิดถึงตอนที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลคุณหญิงย่าจากท่านอัศม์แล้ว ขวัญนพัตก็ยิ้มออกมาแล้วก็เหม่อลอย แม้จะคุยเพียงเล็กน้อยแต่ก็อบอุ่นหัวใจดี

‘เข้าใจแล้วใช่ไหม’

‘เข้าใจครับท่านอัศม์’

‘ดี...ฉันไม่อยากทำโทษเธอหรอกนะ หรือต่อให้ทำผิดก็ไม่รู้ว่าจะลงโทษลงหรือเปล่า’

‘ทำไมล่ะครับ หากผมทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎสิครับ’

‘ช่างเถอะ ถ้าไม่อยากให้ฉันเสียการปกครองก็อย่าทำผิด’

‘ค่ะ...ครับ ได้ครับ’

ในตอนที่สั่งนั้นอัศม์เดชเพียงรู้สึกว่านี่เป็นเด็กในอุปการะ เห็นมาเด็กน้อย แม้จะไม่ได้ใส่ใจแล้วก็ละเลยมาตลอดแต่ไม่ได้ลืมว่าให้ความพิเศษกับขวัญนพัตกว่าคนคืน พอกลับมาได้ใกล้ชิดอยู่ระยะนึงก็รู้สึกว่าตนใจร้ายกับเด็กคนนี้ไม่ลงจริงๆ เหมือนกับน้องชายทั้งสองของเขานั่นแหละแม้ว่าอัศม์เดชจะเข้มงวดแต่ก็ใจร้ายทำโทษหนักๆ ไม่ได้

โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มบนใบหน้าตอนนี้ ทำให้สองสาวรู้สึกหมั่นไส้ โดยเฉพาะกับเขมินทรา ส่วนมธุรดาทั้งเสียดายและหมั่นไส้ แต่เธอเป็นคนมีเหตุผลและเคารพคนมีฝีมือ หากได้ประจักษ์ในฝีมือของขวัญนพัต มธุรดาคงยอมรับเอง




+ + + + + To be continue + + + + +

แฮ่ๆ ท่านอัศม์โผล่มาแค่ในความคิดเอ๊งงงง ต้องแบ่งไปตอนหน้าค่ะ ยาวมาก หนูขวัญถึงจะเจอศึกอย่างที่บอกไว้นะคะ หนูขวัญถึงจะเป็นแค่คนรับใช้ (ไม่รู้จะเรียกไง) แต่การเป็นคนข้างกายท่านอัศม์ไม่ว่าใครก้ใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะท่านอัศม์ใหญ่มาก คนข้างกายท่านใครๆ ก็ต้องไว้หน้าและยำเกรง ไหนจะได้รับความเอ็นดูจากสองแฝดอินทร์ อัยย์ด้วย ย่อมสร้างความหมั่นไส้สุดๆ อยู่แล้ว

ฝากติดตามแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะจ้ะ รวมถึงคอมเมนต์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า

https://www.facebook.com/sawachiyuki/ (https://www.facebook.com/sawachiyuki/)

https://twitter.com/Sawachi_Yuki (https://twitter.com/Sawachi_Yuki)

หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-09-2019 20:32:30
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-09-2019 22:01:49
 :pig4: หนูขวัญกลับมาแล้ว
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 17-09-2019 22:35:24
ท่าทางเขมินทรา คงไม่ได้แต่งเข้าตระกูล
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 18-09-2019 06:36:03
หนูขวัญลูกกกกกก :กอด1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-09-2019 09:22:49
รอๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 19-09-2019 13:30:53
สนุกมากค่ะ
รอออออออออออ :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-09-2019 09:06:21
เอ็นดูขวัญ น้องพยายามได้ดีเลยค่ะ
และมีความพิเศษ ที่อัศม์ไม่ยอมรับว่าให้มากกว่าคนอื่น
มีดักทางด้วยนะ ว่าสองข้อหลัง เป็นไปไม่ได้
ระวังจะหวงเอง ห่วงเอง จนไม่ยอมให้ห่างตัวล่ะ

ชอบคุณย่า ยายพิไล เอ็นดู ดูแลขวัญดีมาก และให้ความสำคัญมากด้วย

อื้อหือ มีความว่าที่สะใภ้มองแรงจ้า แต่บอกเลย อย่าพยายาม
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Moonoii ที่ 20-09-2019 10:19:28
เห็นเป็นแค่น้องชายคนนึงอย่างงี้ความสัมพันธ์จะไปทางไหนล่ะเนี้ยย
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 20-09-2019 13:29:49
เป็นกำลังใจให้หนูขวัญนะลูก
ยังต้องเจออะไรอีกเยอะแยะแน่ ๆ เลย

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-09-2019 21:01:24
ดีใจแทนหนูขวัญ เป็นคนโปรดของทุกคนในตระกูล
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 10 | 17/09/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 22-09-2019 09:14:14
    สนุกมากเลยคะพึ่งตามอ่านทัน อ่านไม่วางเลยคะ

แรกๆอ่านยอมรับว่าแอบเสียน้ำตาไปเยอะอยู่คะ

เพราะสงสารขิมและขวัญชีวิตอาภัพมากแต่ก็ด้วย

ความอบอุ่นของครอบครัวของท่านอัศม์และพี่ๆคน

งานในบ้านที่ทำให้บรรยากาศสดชื่นชึ้นและได้น้อง

ขวัญเด็กน้อยตาใสยิ้มน่ารักคนเดิมกลับมา

พอน้องโตขึ้นก็ยิ่งน่ารักสมวัยเเถมเก่งทั้งงานบ้าน

งานนอกบ้านน้องยิ่งน่ารักแถมคุณย่าก็รักใครๆก็

เมตตา...ชอบมากค่ะเป็นกำลังใจให้นะคะนักแต่ง

         รออ่านตอนต่อไปคะ♥️♥️
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 11 | 23/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 23-01-2020 23:35:50
11
อยู่ดีๆ ก็โดน ‘กลั่นแกล้ง’
[/size]




ขวัญนพัตยืนนิ่งๆ ด้วยท่าทางเหยียดตรงสง่าผ่าเผย ที่แขนขวามีผ้าสีขาวพาดอยู่ ตอนนี้ตัวเขาทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านคอยดูแลเจ้านายเวลารับประทานอาหารด้วยความคุ้นเคยเพราะผ่านการฝึกฝนแบบนี้ซ้ำๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาลอบมองที่โต๊ะอาหารอยู่เป็นระยะๆ เผื่อว่าคุณหญิงน่านฟ้าต้องการอะไรหรือแขกต้องการอะไรเพิ่มเติม
ทุกอย่างก็ราบรื่นดี บรรยากาศเป็นไปตามมารยาทอันพึงควร ล่ะมั้ง
เพล้ง!
“อ๊ะ ขอโทษค่ะคุณหญิงแม่ เข็มไม่ค่อยสบาย มือไม้ไม่ค่อยมีแรง รบกวนขวัญช่วยเปลี่ยนส้อมให้อีกทีสิคะ”
“ได้ครับ”
ขวัญนพัตทำตามที่แขกกิตติมศักดิ์ต้องการโดยไม่อิดออดหรือมีสีหน้าไม่พอใจเลยสักนิด แม้จะรู้สึกตงิดๆ ใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะมันคือหน้าที่ของเขา
“ขอบคุณจ๊ะ”
เขาแค่ยิ้มรับตามมารยาทเท่านั้นไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะตอบกลับมาหลายรอบแล้ว! ใช่ หลายรอบแล้ว ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขมินทราทำอะไรหล่น
มันก็ไม่ได้ติดขัดอะไรนักหรอกถ้าเขาไม่ได้เปลี่ยนส้อม เปลี่ยนช้อน เปลี่ยนมีดให้กับเขมินทราสามรอบแล้ว ไม่รู้ว่ามือไม้อ่อนอะไรนักหนา ทำตกอยู่นั่นแหละหรือปกติเป็นคนซุ่มซ่ามอยู่แล้วก็ไม่รู้ ขวัญนพัตได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่ผิดสังเกต ทว่าคนในห้องก็รู้ดีว่าเขมินทราตั้งใจ
คุณหญิงน่านฟ้าเองก็ชักสีหน้าเล็กน้อย เด็กในอุปการะกำลังโดนกลั่นแกล้งแน่ๆ ถึงเธอจะเป็นเพื่อนกับมารดาของเขมินทรามาตั้งแต่สมัยเรียนและมีความเอ็นดูลูกสาวของเพื่อนอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากกว่าเด็กที่เธออบรมเลี้ยงดูมาจนโตแบบขวัญนพัต
หน้าที่ของขวัญนพัตคือดูแลลูกชายของเธอ ขึ้นชื่อว่าคนของท่านอัศม์แม้เป็นคนขับรถก็สูงส่ง อย่าว่าแต่เป้นคนของลูกชายเลย หากคนที่ถูกปลูกฝังมีดีๆ ก็ย่อมให้เกียรติคนที่ด้อยฐานะกว่า อย่างเธอเองแม้เป้นถึงคุณหญิงคุณนายแต่ก็ไม่เคยกดขี่ข่มเหงคนใช้ในบ้าน ทั้งยังช่วยเหลือให้เกียรติอยู่เสมอ
เห็นทีว่าเวลามีแขกจะให้ขวัญนพัตออกมารับแบบพร่ำเพรื่อไม่ได้
“ขวัญ ให้กล้วยมาทำแทน เรามานั่งกินข้าวซะ คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องมาทำแบบนี้อีก คอยดูแลแค่ตอนตาอัศม์อยู่ก็พอ”
สิ้นคำพูดของน่านฟ้า เขมินทราก็ทราบได้ทันทีว่าตนได้ทำพลาดแล้ว หลังจากนี้คุณหญิงแม่คงมองเธอในอีกด้านหนึ่งอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้มันไม่ได้ผิดที่เธอนะ เด็กคนนี้ต่างหากที่บังอาจมาแย่งความสนใจจากทุกคนไปจากเธอ
ก็แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่โชคดีเท่านั้น!
“ครับคุณหญิง”
เมื่อเป็นคำสั่ง ขวัญนพัตที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตลอด ว่าไม่ควรโต้แย้งหรือขัดใจ ต้องทำตามทุกคำสั่งไม่ว่าตัวเองจะรู้สึกไม่อยากทำก็ตาม
ขวัญนพัตพยักหน้าให้กล้วยที่เดินมาทำหน้าที่แทนตนเล็กน้อยก่อนจะเอาผ้าที่พาดแขนอยู่ไปพับเก็บไว้ แล้วเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ กับมธุรดา เกรงว่าไปนั่งข้างๆ กับเขมินทราแล้วจะโดนกลั่นแกล้ง
เฮ้อ...ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าตัวเองโดนแกล้ง
กล้วยเดินมาตักข้าวให้กับขวัญนพัต ชายหนุ่มหันมายิ้มแล้วพูดขอบคุณเบาๆ จากนั้นก็เริ่มทานอาหารตรงหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ร่วมโต๊ะอาหารกับผู้เป็นนาย
“บางครั้งขวัญก็จะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกแม่น่ะ เด็กคนนี้ไม่ใช่ ‘คนใช้’ แค่ถูกฝึกมาเพื่อให้รับใช้ตาอัศม์ได้ทุกอย่าง”
คุณหญิงน่านฟ้าเน้นคำว่าคนใช้เพื่อตอกย้ำว่าที่สะใภ้ทั้งสองคนให้เข้าใจถึงความสำคัญของเด็กคนนี้ เธอเลี้ยงดูสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กแต่น้อยประหนึ่งลูกของตน เอาความสนิทสนมก็มากกกว่าสะใภ้ทั้งสองคนอยู่ดี
“ค่ะ” สองสาวขานรับคำสั้นๆ ใบหน้ายิ้มหวานประจบเอาใจ
มธุรดาลอยมองเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าข้างกายเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเบาๆ เริ่มรู้แล้วว่านอกจากครอบครัวของคู่หมั้นแล้ว คนที่ต้องให้ความสำคัญก็มีน้องชายคนนี้ของคู่หมั้นด้วย
เธอไม่ได้ไม่ชอบขวัญนพัต แต่มันเป็นศักดิ์ศรีในวิชาชีพมากกว่า พอโดนอัยยวัฒน์เปรียบเทียบตนให้ด้อยกว่าขวัญนพัตอยู่เสมอ เธอก็น้อยใจและอยากจะรู้ว่าที่อัยยวัฒน์อวยเอาไว้มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็เท่านั้น
“คุณหญิงแม่ตักปลาราดพริกถึงไหมคะ เข็มตักให้”
“ก็ดีจ้ะ”
เขมินทราที่ได้เอาใจน่านฟ้าก็เริ่มรู้สึกสบายใจมากขึ้น ไม่วายตวัดสายตาไปมองขวัญนพัตอย่างไม่พอใจด้วย ทั้งยังเลยมามองมธุรดาด้วย
ว่าที่สะใภ้เล็กเองก้ชักจะฉุน เธอไปทำอะไรให้ทำไมต้องมองกันแบบนั้นด้วย
“หลังอาหารกลางวัน พวกหนูจะอยู่ร้อยพวงมาลัยกันไหม พรุ่งนี้วันพระแม่จะร้อยถวายประจำ”
“หวานสะดวกค่ะคุณหญิงแม่ ไม่ได้ทำมานานแล้วเหมือนกัน”
“เข็มเองก็สนใจนะคะ แต่ทำไม่เป็นเลย คงต้องให้คุณหญิงแม่ช่วยสอน”
“ได้สิหนูเข็ม แต่ครั้งแรกคงมีเจ็บนิ้วกันบ้างนะ ช่วงที่ขวัญหัดตอนห้าหกขวบน่ะ มีแผลที่นิ้วเต็มเลย แม่ล่ะสงสารนักเชียว” คุณหญิงน่านฟ้าดึงขวัญนพัตมาในหัวข้อสนทนาอีกแล้ว
เขมินทราใจกระตุก อิจฉาริษยา ส่วนมธุรดากลับตื่นเต้น ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นฝีมือของขวัญนพัตก็ได้ เลยถามออกมาอย่างไม่ระงับอารมณ์
“น้องขวัญล่ะคะ ร่วมด้วยไหม เผื่อช่วยแนะนำอะไรพวกพี่ได้บ้าง”
“ผมต้องร่วมอยู่แล้วล่ะครับ พอดีว่าต้องทำแทนคุณหญิงย่า ท่านจะต้องถวายพระตลอด” ขวัญนพัตปริปากพูดเป็นครั้งแรก
เด็กหนุ่มรู้สึกผวาไปกับสายตาเปล่งประกายของมธุรดา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังมองไม่ออกอยู่เลยว่ามธุรดามีความคิดอย่างไร คงเป็นเพราะว่า ในเรื่องที่สนใจ มธุรดาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ล่ะมั้ง
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จ ทุกคนก็ย้ายไปที่ศาลากลางน้ำ มุมพักผ่อนมุมโปรดของทุกคนในคฤหาสน์ อัศม์เดชยามอยู่บ้านก็จะมาอยู่ที่นี่ ขวัญนพัตที่มาทำงานเสาร์อาทิตย์ก็จะหลบมาอ่านหนังสือหรือทำการบ้านที่นี่เหมือนกัน แต่พอประมุขของตระกูลกลับมา ก็ไม่กล้ามาใช้อีกเลย
“ที่นี่ลมเย็นสบายดีมากเลยนะคะ” มธุรดาเอ่ยขึ้น
“ตาอัศม์ชอบ มุมโปรดของเขา” น่านฟ้าตอบยิ้มๆ
“เข็มก็ชอบนะคะ น่าสร้างไว้ที่บ้าน”
“เอาสิ ให้คนเข้ามาดูได้ แม่อนุญาตให้ทำตาม”
“ขอบคุณนะคะ”
สักพักแม่บ้านก็ทยอยเอาดอกไม้ที่ซื้อจัดใส่พานมาวางไว้ตรงหน้าของแต่ละคนเป็นชุดๆ พร้อมกับอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ขวัญนพัตตรวจดูดอกไม้เล็กน้อยก็เริ่มหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาร้อย ทางด้านคุณหญิงน่านฟ้าเองก็ทำตาม ส่วนมธุรดาไม่ได้ร้อยบ่อยแต่ก็มีพื้นฐาน แค่มองดูตังอย่างก็เริ่มได้แบบไม่ติดขัดอะไร แต่คนที่ลำบากคือสาวทำงานอย่างเขมินทราที่จับกระดาษปากกามาตลอด
“สมศรี ช่วยสอนคุณเข็มหน่อยนะ”
“ค่ะคุณหญิง”
สมศรีขยับไปนั่งช่วยสอนงานให้กับเขมินทรา ส่วนมธุรดาก็ทำไปสลับกับแอบมองขวัญนพัตที่ก้มหน้าก้มตาร้อยพวงมาลัยโดยที่ไม่มองใครเลย ซึ่งเจ้าตัวก็ทำเสร็จพวงแรกในที่สุด ขณะที่เธอยังไม่ถึงครึ่งทาง
“ทำเร็วขึ้นเรื่อยๆ นะ” คุณหญิงชมอย่างภาคภูมิใจ
หากพูดถึงลูกศิษย์ที่เธอเคยสอนมา ขวัญนพัตเป็นลูกศิษย์ที่เธอภาคภูมิใจที่สุดแล้ว
“เพราะได้ฝึกอยู่ตลอดน่ะครับ พี่เพ็ญฝากด้วยครับ” มือขาววางพวงมาลัยพวงสวยลงบนพานแล้ววานให้แม่บ้านซึ่งเป้นพี่คนสนิทเช่นกันนำไปให้คุณหญิงน่านฟ้าตรวจอย่างที่ทำประจำ
“ฝีมือดี ไม่มีตก สมบูรณ์แบบ”
“ขอบคุณครับคุณหญิง”
ได้ยินคำชมแบบนั้นขวัญนพัตก็ดีใจมีความสุข เริ่มที่จะร้อยพวงต่อไปทันทีอย่างชำนิชำนาญ มธุรดาที่ได้เห็นฝีมืออย่างมืออาชีพก็ได้แต่มองอย่างตะลึงอึ้งค้างไป
ขณะที่เขมินทราเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจ เหมือนตัวเองพ่ายแพ้เด็กผู้ชายคนหนึ่ง!
ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง ขวัญนพัตกับคุณหญิงน่านฟ้าก็ร้อยพวงมาลัยครบตามจำนวนที่ต้องทำพอดี จึงให้คนเอาไปเก็บไว้ในตู้เย็น แล้วหันมาช่วยสอนช่วยแนะนำหญิงสาวทั้งสองแทน
“หนูเข็มไม่ต้องเครียด ตอนที่ขวัญฝึกน่ะ พวงแรกออกมาแย่มากเลยนะ ของหนูนี่ถือว่าพอได้เลย” น่านฟ้าให้กำลังใจ มองสภาพพวงมาลัยที่บิดๆ เบี้ยวแล้วยังช้ำจนเละแล้วยิ้มไปไม่ถึงดวงตา
ที่ว่าขวัญนพัตแย่กว่าก็เป็นความจริง แต่นั่นมันเด็กห้าขวบ...
การทำงานฝีมือทายนิสัยคนเราได้นะ มันบ่งบอกว่าเขมินทราไม่ใช่คนอ่อนโยนและไม่ละเอียดอ่อน หากคนอ่อนโยนแม้จะไม่เคยทำมาก่อน พวงมาลัยไม่มีทางช้ำได้แบบนี้แน่นอนถึงมันจะไม่สวยก็ตาม
“ของพี่เป็นยังไงบ้างคะน้องขวัญ” มธุรดาหันมาถามเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
“สวยครับ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณหวานจะไม่ค่อยได้ทำ”
“มือพี่คงเบาน่ะ”
ของมธุรดาแม้จะเทียบกับของขวัญนพัตไม่ได้ แต่ก็ห่างชั้นจากผลงานของเขมินทราอยู่หลายขั้นเลยทีเดียว มีช้ำเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนแบบก็ไม่ได้ยากอะไร
“ไม่หรอกครับ ฝีมือของคุณหวานดีต่างหาก”
“ขอบคุณนะที่ชม รู้สึกดีจริงๆ เลย”
มธุรดาพูดอย่างจริงใจ เรื่องร้อยพวงมาลัยเธอยอมรับอย่างแฟร์ๆ เลยว่าสู้ไม่ได้ ส่วนเรื่องของขวานกับขนมนั้น ต้องได้เห็นฝีมือจริงก่อน เธอถึงจะยอมรับ
ไม่งั้นก็เสียชื่อเจ้าแม่ขนมหวานหมดน่ะสิ!
เขมินทรารู้สึกเหมือนโดนถากถาง เสียหน้า อับอายจนไม่รู้ว่าจะปั้นหน้ายังไง แต่แล้วเธอก็ได้แต่ฉีกยิ้มหวาน กัดฟันถามขวัญนพัตอกกมา
“แล้วน้องขวัญคิดว่าผลงานชิ้นแรก ครั้งแรกของพี่เป็นยังไงคะ”
เอาสิ...จะตอบยังไงล่ะ หึ!
“ถ้าเทียบตอนที่ผมฝึกเมื่อตอนหกขวบแล้ว คุณเข็มทำออกมาได้สวยกว่าอีกครับ ตอนนั้นอย่าว่าเป็นรูปทรงเลย แค่จับดอกไม้ก็ช้ำไปหมด บางดอกก็เละเลยนะครับ”
“แหม...ตอนนั้นน้องขวัญยังเด็กนี่คะ ถ้าได้ลองหัดช่วงวัยประมาณนี้ก็คงจะออกมาดูดีกว่าพี่แล้วล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ราวกับว่าขวัญนพัตจงใจเปรียบเทียบตนว่าฝีมือดีกว่าเด็กหกขวบแค่นิดเดียว
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ คนเรามีความถนัดและความสนใจแตกต่างกัน ลองให้ผมไปทำงานแบบคุณเข็มดูก็ทำออกมาได้ไม่ดีหรอกครับ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เสียงานด้วยซ้ำ”
เด็กคนนี้มันเอาตัวรอดเก่งเหมือนกัน!
“จ้ะ พี่ก็ขอบคุณมาก อย่างน้อยก็สบายใจขึ้นแล้ว ถูกอย่างที่น้องขวัญพูด พี่เป็นผู้หญิงทำงาน เหมาะกับเจรจาธุรกิจมากกว่างานบ้านงานเรือนแบบนี้ อย่างพี่เนี่ยช่วยพี่อินทร์เรื่องธุรกิจกิจการของตระกูลได้ ใช่ไหมคะคุณหญิงแม่”
เขมินทราหาแนวร่วมโดยไม่สังเกตสีหน้าและแววตาของคุณผู้หญิงของบ้านเลยสักนิด น่านฟ้าไม่พอใจอย่างมากที่เขมินทราพูดแบบนั้น ซึ่งก็เท่ากับพูดกระทบเธอด้วย น่านฟ้าแต่งให้พ่อของท่านอัศม์ก็ไม่ได้ช่วยงานในพรรคหรือบริษัทเลย เป็นแต่งานเรือนคอยปรนนิบัติสามีและออกงานสังคมเท่านั้น
วันนี้เขมินทราทำอะไรไม่เข้าหูเข้าตาเธอหลายอย่าง
“แม่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวจะออกมาคุยด้วย”
“หวานไปด้วยค่ะคุณหญิงแม่”
“จ้า”
น่านฟ้ากับมธุรดาเดินออกไปจากศาลากลางน้ำ โดยมีคนรับใช้คนสนิททั้งสองคนของน่านฟ้าเดินตามไปด้วย บนศาลจึงเหลือแค่ขวัญนพัต เพ็ญ และเขมินทราที่หน้าเสียเนื่องจากคุณหญิงน่านฟ้าไม่ตอบรับเธอ
ซึ่งเธอก็เอาความผิดทุกอย่างมาลงที่ขวัญนพัตผู้ซึ่งไม่รู้อะไรด้วยเลย
“ฉันอยากดื่มน้ำส้มคั้นเย็นๆ ช่วยไปเอามาให้หน่อยได้ไหม” เขมินทราหันไปพูดบอกเพ็ญ หญิงสาวมองหน้าขวัญนพัตอย่างเป็นห่วงเพราะไม่มีใครที่จะดูไม่ออกว่าเขมินทราไม่ชอบขวัญนพัตเลยสักนิด
ใบหน้าหวานพยักหน้ายิ้มๆ เพ็ญจึงรับคำสั่งแล้วเดินออกจากศาลาไป ตอนนี้จึงมีแค่เขมินทราที่กำลังชักสีหน้าอย่างไม่เสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไปให้กับเขา
“แค่เด็กกำพร้าที่โชคดีหน่อย ก็เทียบระดับฉันได้งั้นสิ!”
“ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นนี่ครับ” ขวัญนพัตยังคงยิ้มโต้ตอบอย่างสงบนิ่ง
“การมีแกอยู่มันขวางหูขวางตาฉันมาก วันนี้คุณหญิงแม่ดูไม่พอใจฉัน ปกป้องยกยอแก ก็แค่ลูกคนงานในบ้านแล้วคุณสันต์ธรรับเป็นลูกบุญธรรมเท่านั้น มีดีอะไรนักหนา เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า!”
“คุณสืบเรื่องของผมมาเยอะพอสมควรนี่ครับ มีคนที่นี่เป็นสายให้อย่างนั้นหรือ?”
เขมินทรานิ่งไปเมื่อโดนถามกลับมา หลบสายตาดูพิรุธ ก็แน่นอนล่ะ เรื่องพวกนี้มีแค่คนที่คฤหาสน์เท่านั้นที่จะรู้ เพราะสันต์ธรไม่ได้ป่าวประกาศถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง
“พูดอะไรของแก”
“ก็มีแค่คนที่นี่เท่านั้นที่รู้เรื่องผม อีกทั้ง...คนที่นี่มีกฎให้ซื่อสัตย์เก็บความลับ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า คนที่ทำให้คุณรู้เรื่องได้เนี่ย ทำผิดกฎแล้วหนึ่ง แน่นอนว่าผมก็ชักเริ่มสงสัย และจะเริ่มหาตัวคนผู้นั้นให้เร็วที่สุดด้วย เพราะการที่มีคนข้างนอกรู้ความเป็นไปในคฤหาสน์ได้มักจะไม่ค่อยปลอดภัยต่อเจ้านายทุกคน”
เขมินทราเม้มปากอย่างเจ็บใจ ตนทำงาน เจอคนมาหลายรูปแบบแล้ว แต่กลับมาพลาดท่าให้กับเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดแบบนี้มันเสียหน้ามาก
หากเรื่องนี้หลุดไป ทุกคนจะรู้ว่าเธอใช้เงินซื้อคนที่นี่ให้ส่งข่าวให้ และแน่นอนว่าการกระทำนี้มันไม่น่าไว้ใจ ตำแหน่งสะใภ้คงจะห่างไกลไปในทันที
“แกกำลังขู่ฉัน!”
“ผมเปล่า แต่คุณทำตัวเอง ผมทำตามหน้าที่ สำหรับผมที่กำลังฝึกงานในพรรคอยู่ อนาคตต้องทำงานข้างกายท่าน จะให้ผมละเลยเรื่องพวกนี้ผมทำไม่ได้หรอกนะครับคุณเขมินทรา”
“ฉันแค่สืบเรื่องของนายกับพี่อินทร์เท่านั้น ไม่ใช่สืบความเป้นไปของตระกูล”
“ก็ไม่ถูกอยู่ดีนั่นแหละครับ คนมีสองนายมักไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครก็ได้ แต่คุณต้องบอกว่าซื้อข่าวมาจากใคร”
“แกคิดว่าฉันจะโง่เหรอ? เหอะ! ถ้าฉันบอกแกไปแล้วจะทำอะไรได้ จะหาเหตุผลมาไล่คนนั้นออกยังไง ก็ต้องเอาฉันไปเป็นเหตุผลอยู่แล้ว ฉันเกิดมาก่อนแกกี่ปี อย่าคิดหลอกกันง่ายๆ” สาวสวยสะบัดหน้าเชิดๆ
ขวัญนพัตถอนหายใจออกมาเบาๆ
“แล้วคุณคิดว่าคนแบบนั้นจะทำผิดแค่เรื่องซื้อขายกับคุณอย่างเดียวหรือไง คนที่มันไม่ซื่อสัตย์ ให้ตายยังไงมันก็ทำอีก ของคุณไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ารับเป็นสายให้ศัตรูด้วย คุณคิดว่าผมทำผิดไหมล่ะครับ”
“แก...”
“พูดไม่ออก เพราะมันจริงใช่ไหมครับ ผมไม่เถียงหรอกว่าคุณโตกว่า จบสูง และทำงานแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่โตกว่าจะพลาดไม่เป็นนะครับ และไม่ได้หมายความว่าคนอายุน้อยกว่าจะต้องด้อยไปกว่าคนอายุมากกว่าทุกคน”
“ดีจริงๆ เด็กในอุปการะของคนบ้านนี้พูดจาไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ กล้าสั่งสอนกระทั่งฉันที่เป็นคู่หมั้นของพี่อินทร์ จำไว้เลยนะ ฉันไม่เคยคิดไม่ดีกับที่นี่”
ร่างโปร่งบางถอนหายใจ ผู้หญิงคนนี้ฟังที่เขาพูดบ้างไหม ทำไมเข้าใจยากเย็นขนาดนี้ สำหรับคนทำงานแล้วมีวุฒิภาวะแค่นี้เองหรือ หรือว่าเธอจะเป้นโรคหลงตัวเอง?
“ผมก็ไม่ได้หมายถึงคุณ แต่คุณมั่นใจได้ยังไงว่าคนที่รับจ้องคุณจะไม่ไปรับจ้างผู้อื่นด้วย แต่เอาเถอะครับ ถึงคุณจะไม่บอกผมก็ไม่เป็นไร ยังไงซะก็ต้องโผล่หางออกมาสักวัน”
เขมินทราโมโหหน้าดำหน้าแดง ผุดลุกขึ้น พุ่งมาหวังจะทำร้าย แต่คนที่ผ่านการฝึกศิลปะการต่อสู้แบบพื้นฐานมาแล้วย่อมมีประสาทสัมผัสที่ดีกว่า การตอบสนองเลยรวดเร็ว
“แก!!!”
ขวัญนพัตขยับหลบลุกขึ้นแล้วหลบ นั่นทำให้หญิงสาวที่ตั้งใจเข้ามาตบพลาดถลาไปข้างหน้า ก่อนจะสะดุดขาตัวเองล้มหน้ากระแทกกับม้านั่งหน้าผากแตก
“กรี๊ดดดดด!!!”
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น มันประจวบเหมาะกับน่านฟ้า มธุรดาที่กำลังเดินมาพอดี ทั้งสองคนได้ยินเสียงกรีดร้องก็รีบเดินเร็วๆ มายังศาลา
ถาพที่เห็นคือเขมินทราล้มอยู่ที่พื้นมือกุมหน้าผาก ร้องไห้เสียงดัง ขวัญนพัตที่ตั้งสติได้ก็ขยับมาจะช่วยพยุง แต่กลับถูกปัดมือออก
เพี๊ยะ!!!
“อย่าเอามือสกปรกมาแตะฉัน!”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะขวัญ” น่านฟ้าถามเสียงเครียด “ไปช่วยพยุงคุณเข็มเร็ว” แล้วสั่งคนสนิททั้งสองให้ไปช่วยเหลือหญิงสาวที่นั่งหน้าผากแตกอยู่ที่พื้น
“คือว่า...” เด็กหนุ่มอ้าปากเตรียมอธิบาย แต่เขมินทราก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ก็น้องขวัญน่ะสิคะ คนของคุณหญิงแม่ขัดขาเข็มจนหน้าคะมำ ฮึก แตกเลยค่ะ” หญิงสาวเล่าทั้งน้ำตา มือบางยังคงกุมหน้าผากที่แตกเอาไว้
“ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ เผื่อมีอะไรอันตราย”
“ดิฉันจะไปบอกให้คนรถเตรียมตัวนะคะ” คนสนิทคนหนึ่งรีบวิ่งออกไป คุณหญิงม่านฟ้ารีบปรี่เข้ามาดูและถามไถ่ลูกสาวของเพื่อนอย่างเป็นห่วง
ตอนนี้แม้จะไม่เชื่อหรอกว่าขวัญนพัตเป็นคนทำ แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับคนเจ็บก่อน
“เป็นไงบ้างหนูเข็ม”
“เจ็บค่ะคุณหญิงแม่ ฮึก เข็มเจ็บมากเลย” เธอร้องไห้จริง
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้แผลร้ายแรงขนาดนี้มาก่อนเลย นี่เป้นครั้งแรกที่เธอเจ็บได้ขนาดนี้ คิดภาพกลับไปแล้วก็อับอายขวัญนพัตนัก ตั้งใจจะไปทำร้ายมันแท้ๆ ดันมาพลาดท่าเสียเอง
แต่ในความอับอายยังมีโชค เธอก็ฉวยโอกาสนี้แหละทำให้ขวัญนพัตได้รับโทษ เป็นบทเรียนที่ริอ่านมาตีเทียบเธอ ทำให้คนที่เกิดในตระกูลไฮโซอย่างเธอรู้สึกด้อยกว่า
“ให้หวานกดแผลก่อนนะคะพี่เข็ม”
“จ้ะ เบาๆ นะน้องหวาน”
ม่านฟ้าขยับออกห่างให้มธุรดาเข้าไปช่วยใช้ผ้าเช็ดหน้ากดแผลเอาไว้ คุณหญิงหันมาสบตากับขวัญนพัตเล็กน้อย เห็นสีหน้าราบเรียบของอีกฝ่าย ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความกังวล
เด็กคนนี้จะไปทำร้ายคนได้ยังไง ยิ่งผู้หญิงด้วยแล้ว...
“ขวัญ ไปเตรียมของให้ฉัน เราจะไปโรงพยาบาลด้วยกัน”
“ครับคุณหญิง”
ร่างโปร่งบางมองเขมินทราเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากศาลากลางน้ำไปทันทีเพื่อไปเตรียมกระเป๋า ชุดคลุมสำหรับออกข้างนอกให้กับคุณหญิงน่านฟ้า...

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขมินทราก็ถูกนำตัวไปทำแผลและทำการแสกนสมองเพื่อเช็กให้รอบคอบว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ซึ่งนอกจากที่ต้องเย็บแผลแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น
เขมินทรามีสีหน้าไม่พึงพอใจมากยามที่เห็นขวัญนพัตอยู่ในห้องพักผู้ป่วยด้วย ซึ่งการแอดมิดครั้งนี้ เขมินทราต้องการเพื่อความสบายใจทั้งๆ ที่ความจริงกลับบ้านเลยก็ได้
“ผลตรวจก็ไม่มีอะไรมาก หนูเข็มพักผ่อนเยอะๆ นะจ้ะ”
“ขอบคุณนะคะคุณหญิงแม่ คุณหญิงแม่ต้องให้ความยุติธรรมกับเข็มด้วยนะคะ” เธอทำสีหน้าเศร้าสร้อย มธุรดาที่ยังไม่กลับก็ได้แต่มองอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก
“แม่ต้องให้ความยุติธรรมอยู่แล้วจ้ะ”
ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย...
“ขอบคุณค่ะ น้องขวัญ พี่ก็ไม่โกรธเราหรอกนะ แต่ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องมาพี่ยังไม่ได้ยินคำขอโทษจากปากน้องเลยนะคะ ไม่สิ มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้สินะ” เขมินทราแสร้งยิ้มฝืนๆ เรียกความน่าสงสาร
แต่คำพูดเหล่านั้นทำให้ม่านฟ้าพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว คนอย่างขวัญนพัตที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีนั้น หากผิดก็ยอมรับผิด แต่ถ้าไม่ผิดแล้ว เจ้าตัวจะไม่ยอมพูด เพราะนี่คือกฎที่เธอตั้งให้กับเด็กคนนี้เอง
เนื่องจากอดีต ไม่ว่าจะผิดจะถูก ขวัญนพัตชอบพูดขอโทษออกมาเสมอ เธอไม่อยากให้ใช้พร่ำเพรื่อ จึงได้บังคับเรื่องนี้เอาไว้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ สวัสดีค่ะคุณหญิงน่านฟ้า คุณหวาน เอ่อ คุณขวัญ ดิฉันดารารัศมิ์หรือดาวเป็นน้องสาวของพี่เข็มค่ะ คุณพ่อให้มาเป็นตัวแทนของท่าน”
สาวสวย ร่างเล็ก ผิวขาวเนียนของดาราสาวมาแรง เธอเข้ามาในห้องแล้วทักทายทุกคนด้วยกิริยาที่ถูกสอนมาอย่างดี ไหว้งามสง่าอย่างไทย ร้อยยิ้มหวานๆ ของเธอสวยจนขวัญนพัตใจกระตุก ไม่ใช่อาการตกหลุมรัก แต่เป็นความรู้สึกประทับใจต่างหาก
“หนูดาวนั่นเอง” น่านฟ้ายิ้มรับแกนๆ เพราะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่นัก
แม้จะรู้ว่าเพื่อนของเธอเป็นฝ่ายแย่งพ่อของเธอมา แต่ว่าการที่ไม่ยอมจบกับผู้หญิงคนเก่าต่อให้รักมากแค่ไหนก็เป็นการกระทำที่เธอไม่ชอบใจนัก และแม่ของดารารัศมิ์ที่ยอมเป็นเมียน้อยจนท้องออกมาก็เป็นผู้หญิงประเภทที่เธอเกลียดชังอย่างมากด้วย นั่นจึงทำให้น่านฟ้าอคติกับหญิงรุ่นลูกคนนี้ไปด้วย
“พี่เข็ม เป็นยังไงบ้างคะ”
“แกไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นห่วงฉันหรอก ไม่ตายให้แกครองสมบัติง่ายๆ แน่”
ดารารัศมิ์หน้าเสีย ไม่คิดว่าจะถูกพูดแบบนี้ใส่ต่อหน้าคนอื่น หากไม่มีคนอยู่ด้วยเธอคงไม่รู้สึกอะไรเพราะได้ยินมาจนชินแล้ว ทว่าครั้งนี้กลับมีคนอื่นมากมาย พี่สาวคนนี้จงใจหักหน้าและใส่ความเธออย่างที่เคยทำมาตลอดแน่ๆ
“พี่เข็ม...”
ยังไม่ทันที่ดารารัศมิ์จะพูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น คราวนี้เป็นสองแฝดพี่น้องของตระกูลเตชโรจนโสภณ อินทร์ธรและอัยยวัฒน์นั่นเอง
“คุณแม่ น้องหวาน” อัยยวัฒน์ทักทายมากดาก่อนแล้วจึงหันไปยิ้มให้แฟนสาวที่กำลังจะกลายเป็นว่าที่เจ้าสาวเร็วๆ นี้อย่างมธุรดา ส่วนอินทร์ธรนั้นทักทายแม่เสร็จสายตาก็มองอยู่ที่ร่างบอบบางของน้องสาวคนเจ็บ มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย ไม่มีคนทันเห็นแต่ขวัญนพัตเห็น
เรื่องคงไม่ยุ่งไปกว่านี้หรอกมั้ง แต่คุณดาวสวยตรงสเปกของพี่อินทร์จริงๆ นั่นแหละ...ขวัญนพัตคิดอยู่ในใจ
“พี่อินทร์ขา เข็มเจ็บจังค่ะ”
“ครับ เดี๋ยวก็หาย พี่คุยกับหมอเมื่อสักครู่แล้ว”
เขมินทราหน้าเจื่อน เพราะคู่หมั้นไม่ได้สนใจอะไรเธอเลยสักนิด ดารารัศมิ์เองก็ไม่กล้าหันไปมองคนที่มาใหม่เท่าไหร่ จึงดูเป็นการเสียมารยาท ทั้งที่ความจริง เธอติดรถของอินทร์ธรมา แต่เขาให้เธอขึ้นมาก่อน ส่วนตัวเองก็รออัยยวัฒน์จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ” อัยยวัฒน์เป็นคนถามขึ้นมา
เขมินทราได้โอกาสก็จัดการเล่าเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองให้ทุกคนฟัง บอกว่าเธอลุกขึ้นจะเดินไปดูรอบๆ ศาลากลางน้ำ แต่ก็รู้สึกว่าขัดเข้ากับขาใครสักคนก็เลยล้มคะมำลงไป แถมยังบอกอีกว่าตอนนั้นมีแค่เธอกับขวัญนพัตแค่สองคนเท่านั้น
“ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
ทุกคนหันมามองหน้าขวัญนพัตกันทันทีไม่เว้นแม้แต่ดารารัศมิ์ก็มองด้วยเช่นกัน ทางฝ่ายตระกูลเตชโรจนโสภณไม่ปักใจเชื่ออยู่แล้วว่าขวัญนพัตทำ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันอีกด้วย
“แบบนั้นทางเราก็ต้องรับผิดชอบ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่อินทร์ แค่คำขอโทษก็พอ นอกนั้นเข็มไม่ติดใจเอาความค่ะ” เขมินทราเอ่ยอย่างคนจิตใจดี
“อืม...แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนะ ถ้าแค่เดินเล่นจริง ก็ไม่น่ารุนแรงขนาดที่จะหน้าผากแตกได้เลยนะครับ” อัยยวัฒน์พูดข้อสงสัยขึ้นมา
ขวัญนพัตหันหน้าไปสบตาอย่างขอบคุณ คนเป็นพี่อย่างอัยยวัฒน์เห็นท่าทางแบบนั้นก็เชื่อแล้วว่าน้องชายคนน่ารักของตนกำลังถูกปรักปรำ
“พี่อัยย์คิดว่าเข็มโกหกหรือคะ” หญิงสาวถามเศร้าๆ “ความจริงมันก็คงเชื่อยากนั่นแหละค่ะ ช่างมันก็ได้ เข็มไม่ติดใจอะไรแล้ว”
“ไม่ได้ พี่รับรองว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการคลี่คลาย”
อินทร์ธรพูดออกมาเสียงเข้ม เขมินทรารู้สึกลำคอแห้งผาก ทำไมถึงรู้สึกกังวลได้ขนาดนี้กันนะ ไม่จริงน่า...ตอนแรกที่ไล่ให้คนไปเอาน้ำส้มก็มั่นใจว่าไม่มีกล้องแน่ๆ แล้วนะ
หรือคิดจะช่วยไอ้เด็กเหลือขอนี่ หึ! ประคบประหงมกันดีนักนะ...



+ + + + + To be continue + + + + +

เอาแล้วๆ อยู่ดีๆ อยู่เฉยๆ ก็มีคนหมั่นไส้และเกลียด
เข็มเป็นผู้หญิงเพอร์เฟ็กนะ แต่ยามอยากเอาชนะจะไร้เหตุผลสุดๆ
แกล้งขวัญเพราะหมั่นไส้และไม่ชอบใจล้วนๆ จ้า
ไม่มีเรื่องกันมาก่อนแต่อย่างใดเลย ^^
เจอกันพฤหัสหน้านะคะ สวัสดีจ้า

หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 11 | 23/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 24-01-2020 03:43:58
 :pig4: ขอบคุณน้าที่มาต่อ แต่หญิงแม่คะ ผิดน้าที่อคติกับหนูดาว :hao4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 11 | 23/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-01-2020 09:00:58
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: SawachiYuki ที่ 31-01-2020 23:30:06
12
อย่ากระตุกหนวด ‘ท่าน’



ภาพที่สันต์ธรคุยโทรศัพท์ด้วยความเคร่งเครียดอยู่ในสายตาของท่านตลอดเวลา เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ท่านมาคุยธุระเรื่องการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของกลุ่มพันธมิตรที่อยู่ในความดูแลของทางพรรค แต่ผู้ช่วยคนสนิทกลับมีโทรศัพท์เข้ามากะทันหัน แม้ไม่รู้ว่าใคร แต่การที่สันต์ธรจะมีท่าทางซีเรียสได้แบบนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องของครอบครัว
“เอาเป็นว่าผมจะให้คนดูแลอย่างดีให้ เพียงแต่เราต้องตรวจเช็กของทั้งหมดก่อนนำเข้ามาด้วย หวังว่ามิสเตอร์จะเข้าใจ เพราะเราตรวจกันทุกชิ้นอย่างละเอียดจริงๆ”
“ขอแค่สินค้าผมไม่เสียหาย ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ”
“อืม...เป็นอันตกลง มิสเตอร์หว่องอ่านสัญญา แล้วเซ็นรับทราบได้เลย วันที่คุณส่งสินค้าเข้ามา ทางเราจะดูแลให้ดีที่สุดตามระยะสัญญาที่ระบุ” ท่านอัศม์พูดเนิบๆ ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็รับไปเซ็นโดยไม่อ่านรายละเอียด เพราะการให้ทางพรรคเบญจเตโชดูแลให้ดีที่สุดแล้ว
“เรียบร้อยครับ แล้วท่านจะท่านข้าวก่อนไหมครับ แต่ดูท่าแล้วจะมีเรื่องด่วน” ทางมิสเตอร์หว่องพูด เนื่องจากสังเกตเห็นถึงความใคร่รู้จากสายตาของอัศม์เดช
“คิดว่าไม่รบกวนดีกว่า แค่น้ำชาพวกนี้ก็ดีแล้ว” ท่านตอบอีกฝ่ายไป
“เช่นนั้นผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ ขอบคุณที่ไว้ใจพรรคของเรา”
“ผมก็ยินดีเช่นกันที่ทางพรรคให้การสนับสนุน”
การเจรจาครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกของอัศม์เดชที่ท่านจัดการพูดคุยทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะครั้งที่ผ่านๆ มาตัวเขาจะมาพอพูดคุยกับลูกค้าถึงรายละเอียดงานคร่าวๆ แต่พวกรายละเอียดปลีกย่อยที่มากขึ้นสันต์ธรจะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด มาคราวนี้อีกฝ่ายติดโทรศัพท์สำคัญ ตัวเขาก็ไม่ได้ติดขัดอะไรหากต้องทำเอง
เพียงแต่ว่าต้องพูดเพิ่มขึ้นมากหน่อยก็เท่านั้น
ด้านมิสเตอร์หว่องกลับไปแล้ว อัศม์เดชก็นั่งจิบน้ำชารอสันต์ธร และหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูรุ่นล่าสุดของตนขึ้นมาเช็กข่าวสารและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในเครือของตระกูล ส่วนถ้าเป็นของพรรคเขาให้ทางสันต์ธรเป็นคนดูแล ซึ่งในอนาคตหากขวัญนพัตเรียนรู้งานได้ไวก็จะให้ดูแลในส่วนของบริษัทไป แล้วหาคนมาแทนสันต์ธรใหม่หากอีกฝ่ายเกษียณตัวเองออกไป
ท่านอัศม์มองแล้วว่าขวัญนพัตไม่เหมาะกับงานในพรรค แต่ถ้าอีกฝ่ายอยากทำดูก็ไม่ห้ามหรอก ดีเสียอีก เป้นงานให้ครบทุกด้าน จะได้ไม่ต้องเสี่ยงหาคนที่ตนไม่ไว้ใจมาทำ
“ขออภัยท่านอัศม์นะครับที่ปล่อยให้รอนาน” สันต์ธรเดินกลับเข้ามา โค้งให้เจ้านายอย่างรู้สึกผิด ด้านอัศม์เดชก็พยักหน้ารับเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรสันต์ ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ครับ”
“แล้วทางนั้นมีอะไร ทำไมถึงเครียด”
“เอ่อ...ขวัญมีปัญหานิดหน่อยครับ คุณอินทร์เธอโทรมาแจ้ง”
“หืม? ให้ไปดูแลคุณย่า จะมีปัญหาอะไร”
“คือเรื่องมันเป้นแบบนี้ครับ...”
สันต์ธรได้รับเรื่องจากอินทร์ธรมาแบบไหนก็เล่าให้เจ้านายฟังแบบนั้น ระหว่างที่เล่าไป เขาก็ไม่ได้สังเกตสีหน้าของผู้เป็นนายเท่าไหร่ด้วย จึงไม่เห็นแววตาแข็งกร้าวของท่านยามที่ฟังเรื่องทั้งหมด
“หากคนของเราทำจริงก็คงต้องลงโทษไปตามกฎตระกูล” อัศม์เดชบอกเสียงเข้ม
“แต่ขวัญ...”
“สันต์ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันตัดสินอย่างเป็นธรรม”
“ผมกังวล หลักฐานอะไรก็ไม่มีเลย ที่ศาลาพักผ่อนของท่านอัศม์เป็นจุดเดียวที่ไม่มีกล้องวงจรปิด แล้วก็ไม่แน่ใจว่ากล้องที่อยู่ด้านหน้าบันไดเชื่อมจะซูมไปเห็นด้านในหรือเปล่า”
สันต์ธรมีความกังวลอยู่สูงมาก เพราะมั่นใจว่าลูกชายบุญธรรมที่ตนรักและหวงจะไม่ทำอย่างที่เขมินทราให้ร้ายอย่างแน่นอน แต่คู่กรณีเป็นถึงคู่หมั้นเจ้านาย แล้วยังเลือดตกยากออกด้วย
ขวัญนะขวัญ อยู่เฉยๆ ก็มีคนมารังแก...
“แล้วคุยกับขวัญหรือยัง”
“ยังครับ แต่คุณอินทร์บอกว่าขวัญไม่พูดอะไรเลยครับ”
“แล้วขวัญขอโทษอีกฝ่ายไหม?” ท่านอัศม์ยังคงถามต่อ
“ไม่ได้พูดครับ”
“อืม...ก็ชัดเจนว่าคนของเราไม่ได้ทำ เด็กที่ถูกสอนมาโดยครอบครัวสันต์ คุณย่า คุณแม่แล้วพิไล ไม่ใช่เด็กไร้ความรับผิดชอบ ไม่รู้ถูกผิด ฉันเชื่ออย่างนั้น”
สันต์ธรมองผู้เป็นนายอย่างซาบซึ้ง ตัวเขาเองก็รักและเอ็นดูขวัญนพัตไม่ต่างจากลูกแท้ๆ เลย และออกจะเป็นห่วงมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะลูกๆ คนอื่นมีงานการทำกันหมดแล้ว บางคนก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ก็เหลือแค่ขวัญนพัตที่พวกเขาต้องรอดูกันต่อไปว่าลูกจะไปทางไหน
ยิ่งต้องมาทำงานแทนตนในพรรคแบบนี้ สันต์ธรก็ไม่ได้มีความไว้วางใจ หากวันไหนลูกชายไปสร้างศัตรูแบบไม่รู้ตัว กลัวว่าลูกจะรับมือไม่ได้ ทั้งหวงและห่วงมากกว่าลูกแท้ๆ อีก
“ฉันเชื่อใจในขวัญ สันต์ไม่ต้องห่วงหรอก เด็กคนนั้นหากตัวเองผิด ต้องขอโทษออกไปแล้ว”
“เฮ้อ...ครับ เมื่อครู่ผมให้หน่อยรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์ตรวจภาพจากกล้องแล้วครับ”
“ฉันเพิ่งให้เปลี่ยนรุ่นกล้องไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องห่วง ฉันเช็กมาแล้ว ระยะการซูมก็ไกลและชัดพอสมควร”
“ผมก็แค่กังวลครับ กลัวโชคไม่เข้าข้าง”
“งั้นกลับเถอะ สันต์คงเป็นห่วงขวัญแล้ว”
อย่าว่าแต่สันต์ธรเป็นห่วงเลย อัศม์เดชก็รู้สึกว่าตัวเองมีความร้อนใจนิดๆ เหมือนกัน
“ครับ”

ขวัญนพัตนั่งพับเพียบบีบมือตัวเองอยู่ที่พื้นข้างๆ มีพิไลนั่งอยู่ด้วย บนโซฟามีคุณหญิงอัปสร คุณหญิงน่านฟ้า อินทร์ธร อัยยวัฒน์ รวมถึงท่านอัศม์ที่นั่งอยู่ตำแหน่งของประมุข ส่วนสันต์ธรก็ยืนอยู่ด้านหลังของท่านอัศม์อีกที
“เอาล่ะขวัญ ครบแล้ว เล่ามาสักทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น มัวแต่เงียบแบบนี้วันนี้จะรู้เรื่องไหม” คุณหญิงน่านฟ้าสั่ง ทั้งยังตำหนิเด็กหนุ่มที่เอาแต่นั่งนิ่งมาตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลไม่ยอมพูดจา
“คือว่า...”
“บอกท่านไปขวัญ บอกไปตามความจริง” พิไลเร่ง เพราะอยากให้หลานชายพ้นจากข้อครหา
“ผมพูดได้จริงๆ หรือครับ หากพูดไปแล้ว...”
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ความยุติธรรมไม่แยกชายหญิง เธอพูดมาเถอะ” อัศม์เดชทนไม่ไหว จนต้องเป็นคนเอ่ยปากแทน เพราะยังไงเสีย ขวัญนพัตคงไม่กล้าขัดใจท่านอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากเล่าทุกอย่างออกมาให้หมด แต่เลือกใช้คำที่ไม่ทำให้เขมินทราดูแย่ ส่วนบางอย่างที่เขมินทราพูด ขวัญนพัตก็ไม่ได้บอกออกไป
เลือกเก็บเอาไว้ดีกว่า แต่เรื่องที่เขมินทราจ้างเด็กในบ้านให้เป็นสายข่าวให้ ขวัญนพัตย่อมต้องพูดอยู่แล้ว กลัวว่าปิดบังไป จะทำให้เกิดเรื่องเข้าตัวในภายหลังได้
“ตายจริง เรื่องแบบนี้ก็มีงั้นหรือ ใครกันนะที่หนูเข็มจ้างเอาไว้” หลังจากฟังจบแล้ว คนที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นคุณหญิงน่านฟ้าผู้เป็นเพื่อนสนิทของมารดาเขมินทรา
และยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้เด็กๆ หมั้นกันเพียงเพราะต้องการทำตามคำสัญญาที่เคยไว้ให้กับเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
ยอมรับแหละว่าเธอก็ไม่ได้ปลื้มเขมินทรามากนัก แต่คิดว่าฐานะและชาติตระกูลเหมาะสม อีกทั้งอินทร์ธรก็ไม่ได้ขัดใจหรือปฏิเสธด้วย
“ตามหาให้ได้ ทางที่ดีซักจากผู้หญิงคนนั้นเลย” ท่านอัศม์หันไปสั่งสันต์ธร ซึ่งเจ้าตัวก็รับคำสั่งอย่างจริงจัง เมื่อได้ยินความจริงจากลูกชายแล้ว ตนย่อมไม่พอใจผู้หญิงคนนั้น
“แล้วเราจะทำยังไงให้ขวัญหลุดพ้นดีพี่อัศม์” อินทร์ธรถามขึ้น
“ไม่ต้องห่วง ก่อนมาถึงนี่ฉันได้ดูภาพจากกล้องตัวที่อยู่หน้าสะพานเชื่อมแล้ว”
“เจ้าขวัญไม่ได้ทำจริงๆ ใช่ไหม ย่าขอดูหน่อย”
“แม่ก็อยากดู”
อัศม์พยักหน้าให้สันต์ธรเบาๆ ซึ่งชายวัยกลางคนก็รีบเปิดคลิปจากแท็บเล็ตในมือให้อัปสรกับน่าฟ้าดู ส่วนอัศม์เดชก็มองร่างบางที่ยังคงนั่งก้มหน้าไม่สบตาใคร
เขารู้...ขวัญนพัตไม่ได้พูดทั้งหมด อย่างน้อยๆ สาเหตุที่เธอคนนั้นทำมันก็ดูไม่สมเหตุสมผล
“ฉันให้โอกาสเธอพูดอีกครั้งนะขวัญ”
“ครับ?”
ขวัญนพัตเงยหน้าขึ้นสบตาคมของท่าน ก่อนจะรู้สึกใจสั่นอย่างตื่นตระหนก เมื่อดวงตานั้นเหมือนมองเขาออกแบบทะลุปรุงโปร่ง
“เหตุผลที่เขมินทราทำมันเพราะอะไร”
“เอ่อ...”
“ฉันไม่ชอบการโกหก แล้วยิ่งคนที่เป้นเด็กในอุปการะด้วยแล้ว...”
“เธอแค่บอกว่าหมั่นไส้ผมครับ” ขวัญนพัตกลัวว่าตนจะดูไม่ดีในสายตาของท่านอัศม์จึงรีบโพล่งออกมา ด้านคนที่กำลังดูคลิปอยู่ก็ละสายตามามองเด็กหนุ่มทันที
“หมั่นไส้เพราะ?”
“เพราะคุณอินทร์ไปพูดถึงผมบ่อยๆ เธอเลยไม่พอใจน่ะครับ แล้วไหนผมจะเป็นแค่เด็กกำพร้า แต่แค่โชคดีที่คุณพ่อรับเป็นลูกบุญธรรม เธอบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์เทียบเธอ แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะเทียบเธอนะครับ ผมรู้ตัวเองดีว่าตัวเองเป็นใคร แล้วก็มาจากไหน” ประโยคหลังๆ ขวัญนพัตพูดออกมาเสียงเบา ก้มหน้าไม่สบตาใครเหมือนเดิม
ทุกคนมองขวัญนพัตอย่างเห็นอกเห็นใจ เรื่องแบบนี้มันจะไปห้ามความคิดคนได้อย่างไหร่ แต่เขมินทราก็เกินไปจริงๆ นั่นแหละ เด็กก็อยู่ส่วนเด็กไปแล้ว อินทร์ธรจะพูดถึงยังไงก็ใช่เรื่องที่ต้องสนใจงั้นหรือ
“เหลวไหล! เจ้าได้คิดแบบนั้นเชียวนะขวัญ ฉันรักและเอ็นดูเจ้ามาตั้งแต่น้อยจนใหญ่ มองเป็นลูกเป็นหลาน เป็นคนของเตชโรจนโสภณห้ามมองข่มคนและห้ามมองตนต่ำเหมือนกัน เรามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไปม่ต่างจากเขา!” คุณหญิงย่าเอ่ยขึ้นมาอย่างโมโห หลังพูดจบก็ออกอาการเหนื่อยหอบจนพิไลต้องรีบเอาพัดกับยาหอมมาให้
“ผมทราบครับคุณหญิงย่า”
“ทราบก็ดี! อย่าไปแคร์คำพูดของคน ส่วนเรื่องนี้ เอาให้ถึงที่สุด คนของท่านอัศม์ให้ใครมาลูบคมใส่ร้ายง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ แล้วหลานสะใภ้แบบนี้ แม่นานฟ้าควรพิจารณาให้ดี” คุณหญิงอัปสรหันไปเอาเรื่องคนเป็นลูกสะใภ้แทน ซึ่งน่านฟ้าก็มีสีหน้ารู้สึกผิดไปเลย
“คุณย่าไม่ต้องห่วงครับ ผมจะคุยเรื่องนี้พอดี ความจริงแล้วผมมีเรื่องจะสารภาพ แต่เอาไว้ให้คุยเรื่องของขวัญให้เสร็จก่อนแล้วผมค่อยพูด ยังไงเรื่องน้องของผม ย่อมสำคัญกว่าเรื่องของตัวเอง” อินทร์ธรพูดขึ้น ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ แม้จะสงสัยใคร่รู้ว่าอินทร์ธรมีเรื่องอะไร แต่จะรอสักหน่อยก็ไม่เสียหาย
“อัศม์คิดว่ายังไงคะ”
“ผมเห้นด้วยกับคุณย่า ผมไม่ต้องการน้องสะใภ้แบบนี้เหมือนกัน ยิ่งมีพฤติกรรมจ้างคนในให้เป้นสาย ไม่ใช่พฤติกรรมที่ผมจะยอมรับได้” อัศม์เดชพูดเสียงเย็น แววตาเฉียบขาดมากจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง
“บอกไปตามตรง หากทางนั้นมีปัญหาก็มีไป”
“ได้ครับท่านอัศม์”
“เค้นถามเขมินทราด้วยว่าใครเป็นสายให้ แล้วจัดการตามกฎไป”
“ได้ครับ”
สันต์ธรรับคำสั่งแข็งขัน ตัวเขาก็เหมือนถูกลูบคมเหมือนกัน เขมินทราทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติตนที่มีหุ้นในบริษัทของบิดาของเธอเลยสักนิด
เห็นทีว่าจะปล่อยให้จบง่ายๆ ไม่ได้เสียแล้ว
“ตรวจสอบประวัติของคนงานในบ้านใหม่อย่างละเอียด คนงานเก่าแล้วไป แต่ใครที่เข้ามาใหม่ก็เช็กให้ลึกที่สุด ฝากสันต์บอกกับคนที่ดูแลเรื่องนี้ด้วย”
“ได้ครับ”
ขวัญนพัตนั่งนิ่ง มองท่านอัศม์สั่งงานคุณพ่อแล้วยิ้มเบาๆ ร่างบางมองภาพคนตรงหน้าแล้วเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ คิดถึงแม่ผู้ล่วงลับไปแล้ว...
แม่ฮะ...พวกเขาดีกับหนูมากเลย หนูโชคดีจริงๆ นะฮะ

“เอาล่ะ เรื่องของขวัญจบแล้ว แกมีอะไรจะพูดก็ว่ามา” อัศม์เดชหันไปสั่งน้องชายอย่างอินทร์ธรโดยมีอัยยวัฒน์นั่งยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่ข้างๆ
ทุกคนยังคงอยู่ครบ เนื่องจากสันต์ธร พิไล และขวัญนพัตขอตัวออกไปแล้ว แต่ทางเจ้านายก็อนุญาตให้อยู่ได้ เพราะว่าไว้ใจ ทั้งสามคนเลยอยู่ต่อรอฟังเรื่องที่อินทร์ธรจะพูด
“เรื่องถอนหมั้นกับหนูเข็มใช่ไหมลูก” น่านฟ้าถามขึ้น
“ครับ แม่ทราบ?”
“เฮ้อ...ก่อนจะมีเรื่องนี้ แม่ก็รู้ท่าทีเรามาสักพักแล้วล่ะตาอินทร์ ตอนแรกแม่รู้สึกผิดกับเพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่พอได้รู้จักตัวตนของหนูเข็ม แม่เองยังรับไม่ได้เลยลูก และตามกฎแล้วแม่ก็ไม่มีสิทธิ์บังคับอะไรลูกอยู่แล้วล่ะ” คนเป็นแม่อธิบายให้ลูกๆฟัง
“งั้นคุณแม่ก็ให้ผมถอนหมั้นได้ใช่ไหมครับ” อินทร์ธรถามอย่างดีใจ
“จ้ะ แม่คุยกับพ่อของหนูเข็มได้”
“ผมยังมีเรื่องจะบอกอีกเรื่องน่ะครับ คือผมรักน้องดาว รักจริงๆ คุณย่ากับคุณแม่อนุญาตให้ผมคบหาดูใจกับน้องได้ไหมครับ”
สิ้นคำขอของอินทร์ธร ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ด้านอัศม์เดชไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว เพราะเรื่องของน้องชายก็ให้ตัวน้องชายเป็นคนจัดการกันเอง
“ดาว? ดารารัศมิ์ น้องสาวของหนูเข็มน่ะเหรอ” น้ำเสียงของคุณหญิงน่านฟ้าเริ่มแข็ง สีหน้าไม่พอใจจนอินทร์ธรพยายามยิ้มสู้
“ครับ แล้วคุณแม่ไม่ต้องคิดว่าน้องดาวมาแย่งผมไปจากเข็ม ผมเป็นคนเข้าไปยุ่งกับน้องเขาเอง เป็นคนไปตื๊อทั้งที่เขาหนีหน้าผมตลอดเวลา”
“เล่นตัวโก่งราคาล่ะสิ”
“แม่น่านฟ้า” คุณหญิงย่าปรามเสียงเข้ม หลังได้ยินคำพูดไม่เหมาะสมจากปากของลูกสะใภ้ ซึ่งก็ทำให้เธอหน้าเสียไปเลยเหมือนกัน
“ขอประทานโทษค่ะคุณแม่”
“ให้โอกาสลูกมันพูดก่อน เราเองก็ใช่จะรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้นดี แล้วก็นะอย่ารักเพื่อนจนมองไม่เห็นสิ่งที่เพื่อนทำ เพื่อนเธอน่ะไปแย่งเขามาก่อนนะ วางยาเขาจนตั้งท้อง ผู้ชายต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงาน เธอเข้าใจความรักหรือไม่เข้าใจ ทางแม่ของหนูดาวก็ตัดขาดแล้ว ไปอยู่ต่างประเทศหลายปี พอกลับมาตัวผู้ชายก็กลับไปหาเขาเอง ไม่ยอมจบเอง ไหนจะทำเขาตั้งท้องหนูดาวอีก เธอต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่าทางผู้ชายเขาไม่ได้รักเพื่อนของเธอ”
อัปสรพูดเสียยาว น่านฟ้าหน้าเสียไปเลยไม่กล้าโต้แย้งผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดที่ตระกูล
“สำหรับฉัน แม่หนูดาวคนนั้นใช้ได้เลย เรียบร้อยอ่อนหวาน การบ้านการเรือนเพียบพร้อมสมกับที่เป็นลูกของแม่เพ็ญฉายที่เธอไม่ชอบนั่นแหละ เขาเป็นดีเก่า ตระกูลดีกว่าเพื่อนเธอตั้งเท่าไหร่ มองที่ความเป้นจริงเสียบ้างไม่ใช่ลืมหูลืมตา”
“ขอโทษค่ะคุณแม่ น่านจะพยายามปรับความคิดค่ะ”
“ดี แต่อย่าแค่รับปากฉันนะ”
“ค่ะๆ”
“สำหรับย่าอนุญาตนะอินทร์ หากจัดการเรื่องของหนูเข็มเรียบร้อยแล้ว ก็พามาทำความรู้จักกับแม่เราด้วย แต่ต้องเคลียร์กับหนูเข็มก่อน อย่าปล่อยให้คารางคาซัง”
“ครับคุณย่า” อินทร์ธรยิ้มกว้าง
“แหมๆ แกยังจีบเขาไม่ติดเลยนะ รีบไปป่ะ” อัยยวัฒน์แซว
“ก็บอกไว้ก่อนไง เวลาพาเข้าบ้านจะได้ไม่ตกใจ”
“พี่อัศม์ว่าไง” อัยยวัฒน์หันมาถามผู้เป็นประมุขของตระกูลบ้าง เผื่อมีความคิดเห็นอย่างอื่น พวกตนจะได้น้อมรับเอาไว้
“พวกแกรักชอบใครก็ตามนั้น แต่ถ้าเลือกแล้วก็ต้องให้เกียรติ จะมาทำเสื่อมเสียผิดกฎโดยการมีเมียน้อยทีหลังไม่ได้ ฉันตัดแกสองคนออกจากตระกูลแน่ๆ แล้วลูกของพวกแกจะไม่มีสิทธิ์นั่งตำแหน่งประมุข”
“พี่ก็หาภรรยาเร็วๆ สิครับ” อินทร์ธรว่า
“ฉันยังไม่เจอ และไม่คิดว่าชาตินี้จะมีด้วย”
“ครับๆ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจริงจังกับน้องดาวแน่นอน ไม่เคยรักใครมาก่อน แต่คนนี้ผมจริงจังมากครับ หากไม่ได้ลงเอยกับคนนี้ ผมคงเข็ดความรักไปอีกนานแหละ”
น่านฟ้าได้ยินลูกพูดถึงขนาดนั้นก็ถอนหายใจอย่างจำยอม หากว่าลูกรักจริงๆ เธอก็จะยอมเปิดใจรับดารารัศมิ์คนนั้นก็แล้วกัน
ขวัญนพัตที่นั่งฟังอยู่นานถึงกับอมยิ้ม เพราะตัวเขาสงสัยตั้งแต่พฤติกรรมของอินทร์ธรตอนที่อยู่โรงพยาบาลแล้ว พี่ของเรามองแต่เขาไม่วางตาขนาดนั้น ไม่เรียกหลงรักหัวปักหัวปำก็ไม่รู้ไงแล้ว หากสายตาของอินทร์ธรเป็นกระสุนร่างน้อยๆ ของดารารัศมิ์คงพรุนไปแล้ว
อัศม์เดชเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหวานก็ยิ้มออกมาบางเบา โดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว สายตาของตนมักจะมองอยู่ที่ร่างบางของขวัญนพัตเสมอ…



“กรี๊ดดดดด!!!”
เสียงกรีดร้องของเขมินทราดังลั่นห้องพักในโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ผ่านไปแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่พอเช้าตรู่ของวันใหม่ เธอก็ตื่นมาได้รับข่าวร้ายที่สุดจากผู้เป้นพ่อที่มาหาถึงโรงพยาบาล
“แกทำตัวเองทั้งนั้น ทำอะไรไม่คิดคิดจะไปหาเรื่องคนของท่าน”
“คุณพ่อ! คุณพ่อต้องช่วยเข็มนะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ก็อีตุ๊ดนั่นมันหยามหน้าเข็มนี่คะ” เขมินทราโวยวาย ใส่ร้ายไปทั่ว คนเป็นพ่อได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ
“ฉันเป็นพ่อแก ทำไมจะไม่รู้จักนิสัยแก แกมันหัวสูงเหมือนแม่ไม่มีผิด”
“คุณพ่อ!!”
“ฉันตอบรับการถอนหมั้นแล้ว และจะส่งของหมั้นไปคืนเขา แหวนเนี่ยก็ถอดมาซะ”
“เข็มไม่ถอด” หญิงสาวปฏิเสธ
“แล้วแต่แก ฉันจะได้จ่ายเป็นเงินให้กับทางคุณหญิงน่านฟ้าไปแทน”
“คุณพ่อไม่ช่วยเข็มเลย คุณพ่อไม่เคยรักเข็ม”
“ทำไมฉันถึงไม่รักแก?”
“ก็เพราะว่าคุณพ่อไม่รักคุณแม่”
“ฉันไม่รักแม่แก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รักแก แกเป็นลูกฉันนะ ฉันก็รักแกอยู่แล้ว ที่ผ่านมาฉันดูแลแกอย่างดีมาตลอด ให้ทุกอย่างไม่เคยขาด ความรักฉันก็ให้ แต่เรื่องนี้แกทำผิดจริงๆ เข็ม เด็กคนนั้น ลูกบุญธรรมของคุณสันต์ไม่ได้ทำอะไรเลย พ่อดูคลิปจากกล้องแล้ว แล้วไหนจะไปซื้อตัวคนของเขาอีก แกทำแบบนี้มันเหมือนสร้างโจรในบ้านของเขานะ!! หากวันไหนที่มีคนอื่นจ้างคนนั้นของแกซ้ำซ้อน เรื่องมันใหญ่มาแล้วป้ายความผิดมาที่แก แกจะทำยังไง แกรู้จักท่านอัศม์ดีแค่ไหน!!”
เขมินทราเม้มปากแน่น น้ำตานองหน้า แต่ดวงตาแดงก่ำแข็งกร้าวอย่างไม่ยอม
“คุณอินทร์ไม่ได้รักแก เขาหมั้นกับแกเพราะว่าแม่เขาแนะนเท่านั้น เหตุผลเขาก็บอกฉันแล้ว อีกทั้งยังขอโทษที่ทำให้แกเสียโอกาสในการเจอคนอื่นไป”
“ถ้าพี่อินทร์คิดแบบนี้จริงๆ พี่อินทร์ต้องรับผิดชอบเข็มสิคะคุณพ่อ”
“เขาไม่รักแก จะให้รับผิดชอบได้ยังไง”
“เข็มไม่ยอมนะคะ”
“ไม่ยอมแล้วทำอะไรได้? แกกระตุกหนวดของท่านอัศม์โดยการใส่ร้ายคนของท่านแล้ว ตอนนี้พ่อถูกคุณสันต์ธรถอนหุ้นออกจากบริษัท การลงทุนในโครงการอื่นๆ ก็ด้วย สิ่งที่แกทำมันกระทบทุกอย่างเลย รู้บ้างไหม หากไม่มีครอบครัวของคุณเพ็ญมาประคองไว้ เราขาดทุนยับไปแล้ว”
ยิ่งได้ยินแบบนั้นเขมินทราก็ยิ่งรู้สึกไม่ยอม ทำไมครอบครัวของแม่เลี้ยงคนนั้นต้องทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าในครอบครัวอะไรเลย ต้องมองภาพครอบครัวอบอุ่นของทั้งสามคนอย่างเจ็บปวดทุกครั้ง
ยัยดาว! ยัยนั่นมันแย่งทุกอย่างไปจากฉันจริงๆ
“ฮือ...ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเข็มด้วย”
คนเป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจ คว้าลูกสาวคนโตมากอดแล้วลูบผมอย่างปลอบประโลม เลือกที่ไม่พูดว่าอินทร์ธรมาขอคบหากับลูกสาวคนเล็กออกไป
มันเป็นบาปกรรมอะไรของเขากัน ลูกสาวทั้งสองคนของเขาไม่ถูกกันอยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมามีปัญหาเรื่องผู้ชายคนเดียวกันอีกเหรอ...
“ไม่มีรักเข็ม แต่พ่อรักแกนะ”
หญิงสาวไม่รับรู้คำบอกรักนี้ ใจของเธอมันร้อนระอุไปหมด คิดถึงแต่วิธีที่จะทำให้ตนได้หมั้นหมายกับอินทร์ธรดังเดิม...ทั้งยังโยนความผิดพวกนี้ไปที่ขวัญนพัตอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย
ถ้าไม่มีแก ฉันก็ยังคงเป็นคู่หมั้นพี่อินทร์
เพราะแก อีตุ๊ด!!!

ในวันถัดมาอัศม์เดชไม่ได้ไปไหน ยึดศาลาที่มีปัญหานั่งพักผ่อนหย่อนใจตั้งแต่เช้า โดยมีขวัญนพัตเป็นคนดูแลทุกอย่างตั้งแต่ยามตื่น เนื่องจากว่าเจ้าตัวนอนค้างที่คฤหาสน์ ในห้องเดิมที่เคนอาศัยกับแม่เมื่อตอนเด็กๆ นั่นแหละ
“นวดเป็นไหมขวัญ” เขาถามขึ้น
“พอได้ครับ”
“งั้นก็หยุดอ่านก่อน มานวดให้ฉันที”
“ได้ครับท่านอัศม์”
ขวัญนพัตละจากเอกสารต่างๆ ที่ท่านอัศม์ให้คุณพ่อนำมาให้ตนศึกษา โดยที่มีประมุขของตระกูลให้เกียรติสอนงานและแนะนำเอง
เด็กหนุ่มตื่นเต้นและดีใจมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับเกียรตินี้...
“ให้นวดตรงไหนครับ”
“ที่บ่าน่ะ ช่วงนี้รู้สึกว่ามันเมื่อยๆ”
“อ่า...ตรงนี้ใช่ไหมครับ” มือบางวางบนไหล่กว้าง รู้สึกประหม่าเล็กน้อย มือขาวค่อยๆ บีบเพื่อช่วยคลายเส้นให้กับท่านอัศม์โดยเริ่มจากกดน้ำหนักมือไม่มาก
“ใช่ ตรงนั้น แต่มันเบาไปนะ”
“แรงเท่านี้พอไหมครับ”
“อีกนิด แรงๆ”
“ครับ”
“อืม...ดีแล้ว เท่านี้แหละ”
อัศม์เดชหลับตาพริ้มอย่างพึงพอใจ รู้สึกถึงความเนียนนุ่มของมือเล็กที่กดลงมาเสียจริง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่พอดมแล้วก็รู้สึกสบายใจจนต้องหาที่มาของกลิ่น เนื่องจากติดใจเหลือเกิน หากติดอยู่บนที่นอนหมอน คงจะนอนหลับสบาย
“กลิ่นอะไร หอมจริง”
“ไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนี่ครับ”
“มีสิ”
ขวัญนพัตไม่รู้จะตอบอะไร เพราะนอกเหนือจากกลิ่นดอกบัวในสระน้ำก็ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่น้ำชากับขนมที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็กลิ่นตัวเขานี่แหละ
“เธอนวดเก่งดีนะ”
“ผมนวดให้คุณหญิงย่าบ่อยน่ะครับ”
“ดี คราวหลัวงก็นวดให้ฉันบ่อยๆ ละกัน”
“ครับ”
ขวัญนพัตยิ้มกว้าง ดีใจที่ช่วยแบ่งเบาท่านได้ ทักษะการนวดของตนคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้กับผู้อื่นเสียแล้ว ดีใจไม่น้อยที่ท่านอัศม์พึงพอใจ
อัศม์เดชเองก็อมยิ้มอย่างสบายใจ แปลกใจอยู่เหมือนกัน เพียงแค่มีเด็กคนนี้ ไม่ต้องพูดคุยอะไรกันมาก ก็สร้างความสบายใจให้ตนอย่างที่ไม่มีใครทำได้มาก่อนเลย
หรือความรู้สึกของคนที่มีลูกเป็นแบบนี้กันนะ...
 




+ + + + + To be continue + + + + +

ลูกหรืออะไรเอาให้เคลียร์
คราวก่อนก็น้อง คราวนี้ก็ลูก คราวหน้าเป็นอะไรดีนะท่านอัศม์
ฝากเป็นกำลังใจต่อไปด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-02-2020 09:33:40
ท่าทางยัยเข็มจะไม่ยอมจบง่ายๆ
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-02-2020 22:52:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-02-2020 00:33:30
 :3125:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-02-2020 12:48:06
อะ มันต้องตามแล้วแบบนี้ ท่านจะเอายังไงละท่าน 5555

ดูออกนะ