อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อุปถัมภ์เสน่หา [อัศม์เดช] | MASTER Project | ตอนที่ 12 | 31/01/63 P.4  (อ่าน 13976 ครั้ง)

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
*************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************************************



MASTER Project

ชุด คุณท่าน (นิยายรักต่างวัย)

อัศม์เดช

เรื่อง อุปถัมภ์เสน่หา


/////--------------------------------/////

ด้วยความสงสาร ความเอ็นดู จึงคอยช่วยเหลือให้กับสนับสนุนห่างๆ
เขาก็แค่เลี้ยงดูเพื่อจะใช้งานในอนาคต ไม่เคยสนใจมากไปกว่านี้
ไม่คิดเลยว่า การกลับมาพบกันอีกครั้งนั้น
จะเปลี่ยนความรู้สึกไม่เกินเลยเหล่านั้นเป็นอื่นไป
ความเสน่หาที่มีต่อคนที่อายุห่างกันถึงสิบเจ็ดปีรุนแรงมาก
มากเสียจนไม่อาจจะคิดให้เป็นแค่เด็กในความอุปถัมภ์อีกต่อไป

/////--------------------------------/////

สารบัญ

บทนำ
ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   ตอนที่ 4   ตอนที่ 5


/////--------------------------------/////


ฝากแฟนเพจกับทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/
https://twitter.com/Sawachi_Yuki
พูดคุย หวีดหรืออยากจะบอกต่อเรื่องนี้
แท็ก #ท่านอัศม์หนูขวัญ
ยูกิจะอัพเดทข่าวสารทั้งหมดที่เพจกับทวิตเตอร์ค่ะ
หรืออยากจะสอบถามอะไรไปที่เพจกับทวิตเตอร์ได้เลยนะคะ ^^

Enjoy Reading

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2020 23:30:40 โดย SawachiYuki »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig2: :pig2: เรื่องชวนติดตามรอค่ะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อื้อหืออ แค่เปิดมา ก็มีแววว่าจะแซบค่ะ
ท่านอัศม์ ต้องเป็นมาสเตอร์แบบไหนนะ

ออฟไลน์ Lukkadekaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ว้าววว น่าสนุกค่ะ รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
บทนำ




หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเกาะประตูรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ มองเข้าไปภายในที่กว้างขวาง สวนก่อนจะถึงตัวคฤหาสน์ก็สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ เธอมองเหล่าผู้คนกำลังทำงานของตนเองอยู่ ดวงตาอ่อนล้ามีแววแห่งความหวัง แม้จะดูเป็นบ้านที่น่ากลัวเพราะชายชุดดำที่เดินเพ่นพ่าน บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ต้องมีอิทธิพลมาก ใบหน้าซูบโทรมเพราะป่วย ร่างกายผอมแห้งจากการขาดสารอาหาร มือขวาจูงมือเล็กๆ ของเด็กชายน้อยวัยห้าขวบที่สภาพไม่แตกต่างกัน เสื้อผ้าเด็กขาดรุ่งริ่ง ใบหน้า เนื้อตัวมอมแมม ดวงตาอ่อนล้า

สองแม่ลูกช่างน่าเวทนาเหลือเกิน...

“แม่ฮะ หยุดทำไมเหรอ”

“แม่อยากจะขอพึ่งใบบุญของเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาอาจจะใจดีรับแม่เข้าทำงาน แล้วหนูขวัญของแม่จะได้ไม่ต้องคอยเดินไปไหนไกลๆ กับแม่แบบนี้อีก แล้วเราจะได้มีเงินใช้ไงครับ” เธอก้มหน้าลงมองลูกชาย เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มหวาน แม้ว่าจะทรมานร่างกายมากแค่ไหน เธอก็ไม่อยากให้รู้ว่าเธอกำลังอ่อนแอ

เธอกำลังไม่ไหว และเธอก็ไม่อาจจะพาลูกไปทิ้งไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้...เธออยากอยู่กับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ จนลมหายใจสุดท้าย

“แล้วเขาจะให้แม่อยู่เหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องลองก่อน”

“หนูเป็นห่วงแม่ แม่ปวดหัวบ่อย หนูไม่อยากให้แม่เดินแล้ว ถ้าหนูตัวโต หนูจะแบกแม่เดินเอง” เด็กน้อยที่เป็นดวงใจของเธอพูดเสียงร่าเริง

แม้จะลำบาก แต่เธอก็เห็นรอยยิ้มของลูกเสมอ

ปิ๊น!! ปิ๊น!!

สองแม่ลูกสะดุ้งเมื่อโดนบีบแตรรถใส่ พอกันมาก็พบกับขบวนรถหรูสีดำ จอดเรียงกันอยู่ห้าคันเพื่อรอเข้าไปในตัวคฤหาสน์ เธอตั้งสติแล้วประคองทั้งตัวเองและลูกชายให้เดินเลี่ยงออกไป แต่ด้วยร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้เธอล้มลง ลูกชายตัวน้อยเลยพยายามใช้แรงอันน้อยนิดช่วยพยุง

“แม่ฮะ แม่ไหวไหม หนูช่วยนะ ลุกก่อนนะ เขาไล่เราแล้ว” เด็กชายก็เสียงสั่น ปากสั่น เพราะกลัวว่าเจ้าของรถพวกนั้นจะลงมาต่อว่าและทำร้ายตัวเองกับแม่

“แม่...อึก พยายามอยู่ลูก”

เธอพยายามยืนขึ้นทั้งๆ ที่ขาสั่น เรี่ยวแรงไม่มีเพราะไม่ได้ทานข้าวมาหลายมื้อแล้ว พอไม่สำเร็จก็พยายามคลานออกไปให้พ้นประตู ซึ่งกว่าจะไปถึงหญ้าสวยข้างๆ ก็ทำเอาเธอนอนไปอย่างหมดแรง

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายในชุดสูทสีดำเปิดประตูออกมาจากรถคันแรกเพื่อถามไถ่อาการ

“ม่ะ...ไม่ค่ะ ขอโทษที่ขวางทาง”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะกลับขึ้นรถไป ชายอีกคนก็ลงมาจากรถคันที่สอง แต่อะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าเกรงขามกว่ามาก

“เกิดอะไรขึ้น”

“คุณสันต์ครับ พอดีผู้หญิงคนนี้กับลูกชายมาขวางหน้าประตูน่ะครับ ผมเห็นว่าเธอเหมือนจะไม่สบายเลยมาถาม”

“หือ...” ชายที่ดูอายุมากที่ลูกน้องเรียกว่าสันต์เบนสายตามามองสองแม่ลูกที่ตอนนี้คนแม่กลับมานั่งตัวตรงได้แล้ว โดยมีลูกชายคอยใช้มือเล็กๆ นั่นช่วยพัด “พาท่านเข้าไปพักผ่อน เดี๋ยวฉันให้คนมารับทีหลัง”

“ครับคุณสันต์”

ไม่นาน รถทั้งห้าคันก็เคลื่อนตัวเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่

“ดิฉันขออภัยที่ดิฉันกับลูกชายขวางทางเข้านะคะ” เธอพูดพลางยกมือขึ้นไหว้ ใบหน้าอิดโรยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร ฉันชื่อสันต์ธร เป็นคนของตระกูลเตชโรจนโสภณ เจ้าของบ้านหลังนี้น่ะ เธอกับลูกชายทำอะไรที่หน้าบ้านหรือมีคนที่รู้จักทำงานอยู่ในนี้”

“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันกับลูกแค่ผ่านมา เห็นว่าบ้านสวยเลยหยุดดูเท่านั้น”

“เธอสองคนมาจากไหน” ถามไปด้วยสายตาก็สอดส่องไปตามร่างกายของสองแม่ลูก ความรู้สึกแรกที่สันต์ธรรู้สึกเลยคือไม่มีพิษภัย

“เราเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน แล้วก็ไม่มีที่ไหนรับทำงานด้วยค่ะ”
สันต์ธรมองแล้วสะท้อนใจ ถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอยู่ในวงการที่ต้องเด็ดขาด แต่ใช่ว่าหัวใจจะตายด้านเย็นชา แล้ว ‘ท่าน’ เองก็บอกให้เขาช่วยเหลือทั้งสองคนด้วย

“มาทำงานให้ตระกูลเตชโรจนโสภณไหม เมื่อสองวันก่อนเพิ่งมีแม่บ้านลาออกไป ตอนนี้เลยหาคนมาแทนอยู่ มีอาหารให้สามมื้อ มีห้องพักให้ แล้วก็ค่าจ้างเดือนละหมื่นสอง ถ้าทำครัวได้ หรือมีฝีมือในการเย็บปัก ถักร้อย ร้อยพวงมาลัย จะได้เดือนละหมื่นห้า ไม่มีวันหยุด แต่ละวันสามารถพักได้ถ้างานตัวเองเสร็จ สนใจไหม”

“ค่ะ สนคะ ดิฉันทำค่ะ ฮึก ขอบพระคุณนะคะที่เมตตา” ไม่ต้องคิดให้มากมายเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า เธอรับแล้วขอบคุณทั้งน้ำตาพร้อมกับก้มกราบ เด็กน้อยไม่รู้อะไรก็ทำตามแม่ทันที เรียกร้อยยิ้มเอ็นดูจากชายวัยกลางคนในทันที

“ตามนี้ แล้วจะให้หัวหน้าแม่บ้านสัมภาษณ์อีกทีว่าทำอะไรได้บ้าง ฉันต้องดูแลทั้งสองคนก่อนสภาพแบบนี้คงคุยนานไม่ได้”

“ค่ะคุณสันต์ธร ขอบพระคุณค่ะ”

สันต์ธรโทรให้ลูกน้องเอารถออกมารับ พาสองแม่ลูกเข้าไปในตัวคฤหาสน์ใหญ่โต เด็กน้อยมองไปรอบๆ อย่างตื่นตะลึง ชี้นั่นนี่ให้แม่ดู รถขับอ้อมไปด้านหลังคฤหาสน์ ที่มีบ้านพักสองชั้นเหมือนอพาร์ทเม้นท์อยู่สองตึกใหญ่ๆ มีสวนสวยๆ อยู่ข้างหน้าตึก และรอบๆ ซึ่งเนรมิตมาให้คล้ายกันกับข้างหน้าแต่เล็กกว่ามาก ถึงอย่างนั้นมันก็ดูใหญ่อยู่ดี คนเป็นแม่น้ำตารื้นอีกครั้งเมื่อเห็นบ้านพักคนงานที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ ด้านสันต์ธรรู้ว่าเธอคิดอะไรเพราะหันไปมองเด็กน้อยเป็นพักๆ

“เจ้านายของพวกเราคือท่านอัศม์ อัศม์เดช เตชโรจนโสภณ ท่านเป็นผู้นำคนปัจจุบัน นายท่านคนก่อนเสียไปไวมาก ท่านอัศม์ที่ตอนนี้อายุเพียงยี่สิบสองปีก็เป็นผู้นำตระกูลต่อ แล้วก็มีคุณหญิงอัปสร คุณย่าของท่านอัศม์ นายหญิงหรือคุณหญิงน่านฟ้า คุณแม่ของท่านอัศม์ และน้องชายอีกสองท่าน เป็นฝาแฝดกัน คือคุณอินทร์ คุณอัยย์ ท่านทั้งหมดอาศัยอยู่ที่นี่ จำชื่อเจ้านายให้ได้ล่ะ ส่วนของคนงานท่านสั่งให้สร้างบ้านพักให้ดีที่สุด เครื่องอำนวยความสะดวกมีครบทั้งพัดลมและแอร์ ค่าไฟฟ้าแต่ละห้องจะต้องจ่ายเอง ส่วนน้ำใช้ฟรี เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นก็ครบ ดูคล้ายๆ โรงแรม แต่ก็ไม่หรูขนาดนั้น ยังไงท่านก็เห็นคนงานทุกคนสำคัญหมด ทำงานที่นี่ก็ต้องทำตัวดีๆ มีกฎอยู่ไม่กี่ข้อหรอก อย่าทำให้ท่านเดือดร้อน อย่าทะเลาะกันเอง และอย่าทำตัวเป็นโจร”

“ค่ะคุณสันต์ธร ดิฉันจะจำเอาไว้”

“ดีแล้วล่ะ ตึกฝั่งขวาเป็นตึกพักของคนที่ทำงานในพรรค ฉันจะบอกเอาไว้ว่าไม่ใช่พรรคการเมืองอะไร เธอก็น่าจะเดาออกจากชุดพวกนั้น” เธอมองไปยังชายตัวใหญ่ๆ ในชุดสูทสีดำแบบเดียวกัน ที่หูของทุกคนจะมีหูฟังสำหรับใช้รับฟังคำสั่ง

เธอรู้ว่าที่นี่คือที่ของผู้มีอิทธิพลแน่ๆ แต่ถ้าคนที่นี่ใจดี ท่านผู้นั้นก็คงจะมีเมตตามาก

“ทราบค่ะ ดิฉันทราบและไม่ได้กังวลหรือคิดมากอะไร ดิฉันจะทำงานที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณในความเมตตาที่ได้รับค่ะ”

สันต์ธรยิ้มออกมา ยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้มีความคิดที่ดีมาก คำพูดคำจาไพเราะ รู้กาลเทศะ ก็คงจะผ่านงานมาเยอะพอควร

“ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นที่พักของคนงานที่ทำงานที่นี่ ห้องของเธอและลูกก็อยู่ฝั่งซ้าย ดูเยอะใช่ไหม แต่ทุกคนทำงานตลอดเพราะตึกใหญ่ต้องสะอาดเสมอ สวนก็ต้องดูแล”

“ค่ะ”

เมื่อรถจอดที่หน้าตึกฝั่งซ้าย เธอค่อยๆ พาตัวเองลงจากรถอย่างลำบาก ก่อนจะพาลูกชายของตัวเองลงมาด้วย มองไปรอบๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ

ที่นี่น่าอยู่มาก มากมายจริงๆ

“คุณสันต์ครับ เรียกผมมีอะไรให้รับใช้ครับ” ชายคนหนึ่งรีบพรวดพราดเดินมาหาสันต์ธรหลังจากที่คนขับรถของสันต์ธรไปตามในห้องทำงาน สองแม่ลูกเห็นก็ยกมือไหว้ทันที

“ฉันพาคนงานใหม่มาฝากให้ดูแล มีห้องว่างอยู่เท่าไหร่”

“ตอนนี้มีห้องว่างประมาณห้าห้องครับ ชั้นสองสามห้อง ชั้นล่างสองห้องครับ”

“อืม...เธอกับลูกชายชื่ออะไร มีเอกสารอะไรยื่นให้กอบกิจทั้งหมด” เธอเปิดกระเป๋าผ้าที่มีเพียงเอกสารเท่านั้น แล้วหยิบทุกอย่างส่งไปให้กอบกิจทั้งหมด กระเป๋าเสื้อผ้าและเงินเก็บถูกปล้นไประหว่างการเดินทาง ทั้งสองคนเลยไม่ค่อยได้ทานข้าวเพราะไม่มีเงิน

“ดิฉันชื่อขิม ขนิษฐาค่ะ ลูกชายดิฉันชื่อขวัญ เด็กชายขวัญนพัต”

กอบกิจรับมาแล้วเปิดๆ ดู ก็มีเอกสารยืนยันตัวเองครบถ้วน

“เดี๋ยวผมจะจัดการทั้งหมดให้แล้วจะเอาไปคืนให้ที่ห้อง ว่าแต่อยากพักที่ชั้นไหน” ประโยคหลังหันมาถามหญิงสาว

“ขอเป็นชั้นล่างค่ะ”

“โอเค เดี๋ยวผมจัดการให้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะกอบกิจ ฝากดูแลขิมกับขวัญด้วย ฉันไปก่อน เดี๋ยวช่วงเย็นๆ จะให้หัวหน้าแม่บ้านไปหาที่ห้อง เธอก็พาลูกไปพักผ่อนก่อน ช่วงนี้ยังไม่ให้ทำงานหรอกนะเพราะเธอสองคนดูจะไม่ค่อยแข็งแรง ฝากตามหมอให้ด้วยนะกอบกิจ”

“ขอบคุณนะคะคุณสันต์ธร หนูขวัญ ขอบคุณคุณสันต์สิครับ”

“ขอบคุณฮับคุณลุง”

“ลูกครับ เรียกคุณสันต์ว่าคุณลุงไม่ได้นะครับลูก” คนเป้นแม่ห้ามรามเมื่อคิดว่ามันเป้นเรื่องไม่เหมาะสม

“ไม่เป็นไรๆ ฉันอนุญาตให้เรียกคุณลุงได้ ลุงไปนะเจ้าตัวเล็ก” มือหยาบลูบผมของเด็กน้อยอย่างเอ็นดู แล้วเดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปยังตึกใหญ่ หญิงสาวหันมายิ้มให้กอบกิจที่ยิ้มต้อนรับอย่างใจดี

“เดี๋ยวผมไปเอาคีย์การ์ดเข้าห้องให้นะครับ ผมเห็นจากบัตรประชาชน พี่เป็นพี่ผมอยู่สองปี ยังไงขอเรียกพี่ขิมนะครับ ส่วนพี่ขิมก็เรียกผมว่ากิจเฉยๆ พอนะ เจ้าตัวเล็กก็เรียกน้ากิจนะครับ”

“จ้ะ...กิจ”

“ค้าบ น้ากิจสุดหล่อ”

“หึหึ ขี้อ้อน”

ไม่นานกิจก็ออกมาจากห้องที่ติดป้ายว่าผู้ดูแล ยื่นคีย์การ์ดห้องให้ พร้อมกับอธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปด้วย ขนิษฐามองไปรอบๆ ความสุขใจที่เกิดขึ้นทำให้ลืมเรื่องเจ็บป่วยไปหมด

“ต้องใช้คีย์การ์ดกับรหัสผ่านครับ อาจจะยุ่งยากหน่อย แต่ท่านอยากให้ปลอดภัยที่สุด เดี๋ยวผมจะเซ็ตรหัสผ่านให้พี่ขิมตั้งนะครับ รับรองผมจะไม่มองเด็ดขาดเลย” แล้วกอบกิจก็ทำอย่างปากว่า เมื่อบอกให้หญิงสาวกดรหัสผ่านที่ต้องการก็หันหลังให้ จนหญิงสาวยิ้มเอ็นดูคนอายุน้อยกว่า

แกรก!

“ว้าว! แม่ฮะ ห้องสวยจังเลย กว้างด้วย งื้อ นี่หนูฝันอยู่เหรอ เย้ๆ หนูจะได้นอนที่แบบนี้จริงเหรอฮะ” เปิดประตูห้องได้ เด็กน้อยก็วิ่งเข้าไปรอบๆ ห้องด้วยความตื่นเต้น

“สวยจัง กว้างด้วย หนูขวัญ อย่ากระโดดขึ้นเตียงลูก ตัวหนูสกปรก เดี๋ยวคืนนี้เราจะนอนคันนะครับ”

“คร้าบ”

“ที่นี่ให้เรากินข้าวครบสามมื้อ เลยตัดห้องครัวของแต่ละห้องออกไป พื้นที่ก็เลยเพิ่มขึ้นครับ มีห้องน้ำในตัว เฟอร์นิเจอร์ ทีวี แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น เตียงนอนคิงไซส์ มีหมดทุกอย่าง แค่เอาเสื้อผ้าใส่ตู้พอ ว่าแต่กระเป๋าเสื้อผ้าล่ะครับ?”

ขนิษฐาซึมทันที จนกอบกิจลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่รู้ว่าใบหน้าแบบนี้ เธอคงจะเจอเรื่องไม่ดีมาแน่ๆ และคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระเป๋าที่ถามหา

“เป๋าพวกหนู พวกคนไม่ดีมาแย่งไป ใจร้ายมาก เงินกินข้าวพวกหนูก็อยู่ในนั้น เนี่ย หนูกับแม่ไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว” ขวัญนพัตคนลูกเป็นคนตอบให้ มองแม่ที่เหมือนไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก แต่เจ้าหนูวัยช่างจำก็โกรธเคืองพวกที่ทำเรื่อแย่ๆ กับตนและแม่จนต้องอดและต้องเดินเท้าเพราะไม่มีเงิน

“ฮะ? สองวัน ไม่ได้ละๆ เดี๋ยวผมให้คนเอากับข้าวกับปลามาให้ก่อน แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ พี่กับลูกพักผ่อนในห้องไปก่อนนะครับ อ้อ! ผมจะให้เมียเอาเสื้อผ้ามาให้ใส่ ตัวเธอพอๆ กับพี่ขิมเลย ส่วนของเจ้าตัวเล็กน่าจะใส่ของลูกผมได้ ตัวเท่าๆ กัน”

“ขอบคุณนะกิจ พี่นี่เจอแต่คนดีๆ ทั้งนั้นเลย”

สำรวจห้องได้ไม่นานนักก็มีคนมากดออดหน้าห้อง พอเปิดก็เจอหญิงสาวที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกันยืนยิ้มให้ที่หน้าประตู ที่มือมีเสื้อผ้าทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

“กิจให้เอามาให้ค่ะคุณขิม”

“ขอบคุณนะคะคุณ...”

“ดอกไม้ค่ะ เป็นภรรยากิจ จริงๆ เราอายุเท่ากันนะคะ กิจบอกมาน่ะค่ะ ยังไงเรามาเป็นเพื่อนกันก็ได้ บังเอิญที่มีลูกตัวเท่ากันเลย แล้วน้องขวัญอยู่ไหนคะ” คนมาใหม่ส่งของในมือให้ สายตาก็สอดส่องหาลูกชายของเพื่อนใหม่ไปด้วย แล้วก็พบว่าเจ้าตัวเล็กนอนขดที่อยู่พื้นเพราะแม่ไม่ให้ขึ้นเตียง

“หลับไปแล้วค่ะ ขอบคุณดอกไม้มากๆ เราไม่คิดว่าจะมาเจอคนดีๆ แบบนี้เลย”

“พาลูกอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเถอะ จะได้นอนบนเตียง กิจเองก็จะเอาข้าวมาให้ คงจะอยู่ครัวกลางอยู่ เลยอาหารกลางวันไปแล้ว แม่ครัวทำใหม่อยู่น่ะจ้ะ ขิมเป็นคนแข็งแกร่งจริงๆ เลยนะ จากนี้ไปก็สบายแล้วล่ะ เพราะท่านอัศม์จะไม่ปล่อยให้คนของท่านต้องลำบาก”

“เป็นบุญจริงๆ ที่ได้เจ้านายที่มีเมตตาขนาดนี้”

“เราไม่กวนแล้ว แล้วเจอกันนะ กิจบอกว่าคุณสันต์ให้ขิมกับลูกพักจนกว่าจะพร้อมทำงานนี่เนอะ ช่วงนี้ก็พักๆ ไปนะ แล้วอย่า
เกรงใจเรากับกิจล่ะ เพราะถ้าขิมพร้อมเมื่อไหร่ เราจะสอนงานแบบเร่งด่วนชนิดไม่ให้พักเลย ไปแล้วนะ”

“จ้า”

ขนิษฐายิ้มรับ มองส่งเพื่อนใหม่ แล้วก็ปิดประตูเข้าไปในห้อง สองแขนกอดเสื้อผ้าที่ได้รับ น้ำตาไหลพรากซาบซึ้งในน้ำใจที่ใครๆ ก็ต่างมอบมาให้แก่คนอย่างเธอ

เธอตั้งปฏิญาณกับตัวเองในใจว่าจะขอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดทำงานทดแทนบุญคุณของตระกูลเตชโรจนโสภณที่ให้ที่อยู่ที่กินแก่เธอและลูกชาย


ทางด้านตึกใหญ่ สันต์ธรก็กำลังรายงานเรื่องของขนิษฐากับลูกชายให้เจ้านายสูงสุดของตนรับฟัง ซึ่งท่านอัศม์ก็ตั้งใจฟัง มือก็ทำการบ้านที่จะส่งอาจารย์ไปด้วย

“อืม...ฝากสันต์ดูแลให้ด้วยก็แล้วกัน ยังไงสองคนนั่นก็คงต้องการพึ่งเราถึงได้มายืนหน้าบ้านแบบนั้น ให้ทำงานที่นี่แหละดีแล้ว ฉันดูออกว่าเธอไม่ได้เลวร้าย คงเจอแต่เรื่องเลวร้าย ไหนจะลูกชายอีก อ้อ...จัดการเรื่องเรียนให้เด็กคนนั้นด้วยนะ ยังไงเด็กก็ควรได้รับการศึกษา ถอนเงินสดสองหมื่นมาให้ฉัน แล้วตามเธอกับลูกชายมาพบที่นี่ด้วย พรุ่งนี้เก้าโมงก็แล้วกัน”

“รับทราบครับท่านอัศม์ แล้วเรื่องการเดินทางไปเรียนต่างประเทศล่ะครับ ท่านเลือกมหาวิทยาลัยเอาไว้หรือยัง ผมจะได้เตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ครับ”

“กำลังเลือกๆ อยู่ ตอนนี้ก็เพิ่งจบไป จะรีบร้อนทำไม ฉันเหลือโทนิติของที่นี่อีกสองปีนะ ส่วนเรื่องพรรค ก็ตามที่ประชุมวันนี้ว่าจะให้อีกสี่ตระกูลดูแลช่วงที่ฉันเรียนอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ฉันก็ทำงานปกติ ตอนนั้นสันต์ต้องส่งรายงานความเคลื่อนไหวให้ฉันด้วย พวกคุณลุงเป็นเพื่อนคุณพ่อก็จริง แล้วถึงแม้ตระกูลเราทั้งสี่ตระกูลจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอดร้อยกว่าปีก็ตาม ฉันก็ไม่อยากไว้วางใจนักหรอก” ผู้เป็นเจ้านายตอบโดยไม่มองหน้าผู้ฟัง

ท่าทางนิ่งๆ ดูไม่สนใจอะไร กลับสวนทางกับการพูด

“ครับ ผมจะทำตามที่ท่านรับสั่งครับ แต่ผมกำลังนึกห่วงเพราะจะไม่ได้อยู่ดูแลท่านอัศม์อย่างใกล้ชิดตั้งหลายปี”

“ตั้งแต่เกิด ฉันก็อยู่กับสันต์มาตลอด ห่างๆ กันบ้างก็ดีแล้ว”

“ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ท่านอัศม์จะเรียนมากมายขนาดนั้นเลยครับ”

“มันเป็นประโยชน์กับตระกูลนะ ฉันตัดสินใจไปแล้ว และไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ ด้วย ฉันตั้งใจว่าจะเอาใบปริญญาตรีสองใบ โทสอง เอกหนึ่ง ที่สำคัญฉันไม่ได้ฝืน แต่ฉันชอบที่จะเรียน ทุกคณะที่จะเลือกเรียนก็เป็นเพราะฉันชอบทั้งนั้น ดีไม่ดี เราจะได้เจอคอนเนคชั่นใหม่ๆ จากการเรียนหลายๆ คณะก็ได้”

สันต์ธรยิ้มอ่อน เขาเข้าใจดีว่าเจ้านายตัวเองเป็นคนแบบไหน และท่านเองก็เป็นคนมองการณ์ไกลเสมอ ท่านเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง ทุกเรื่องที่ท่านทำจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลที่สุด...

แม้ว่ายังเด็กนัก แต่ท่านเรียนรู้งานของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยกับนายท่านคนก่อน เหมือนคุณพ่อของท่านอัศม์จะรู้ว่าตัวเองคงอยู่นานจนกว่าลูกชายจะพร้อมด้วยวัยวุฒิไม่ได้ เลยรีบถ่ายทอดงานให้

“ผมมีเวลาอีกสองปีสินะครับ จากนั้นอีกสิบปีผมถึงจะได้รับใช้ท่านอัศม์อีก ผมคงแก่หงำเหงือกแล้วล่ะครับ” คนอายุมากกว่าพูดติดตลก

“ฉันจะกลับมาดูแลพรรคกับธุรกิจทุกปิดเทอมนั่นแหละ ตอนอยู่ที่นั่นก็ยังทำงานเป็นปกติ เพียงแค่ลงพื้นที่ไม่ได้ก็เท่านั้น ทำได้แค่งานเอกสาร ส่วนประชุมก็วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เอา” ตอบคนสนิทเสียงราบเรียบ หยุดทำการบ้านในมือเพราะเสร็จเรียบร้อย

“ฉันจะไปหาคุณแม่ เก็บของด้วย” อัศม์เดชสั่งก่อนที่ร่างสูงสมวัยหนุ่มจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานด้วยท่วงท่าที่สง่างาม สมกับเป็นผู้นำของตระกูล เตชโรจนโสภณ และผู้นำสูงสุดของพรรคเบญจเตโช

พรรคเบญจเตโช เป็นพรรคมาเฟียที่มีอำนาจมากที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ทุกภูมิภาคในการทำธุรกิจและคอยจัดระเบียบไม่ให้พวกมาเฟียพรรคอื่น แก๊งอื่น สร้างความเดือดร้อนกับประชนในพื้นที่นั้นๆ ในพรรคจะมีตระกูลอยู่ห้าตระกูลเป็นเสาหลักสำคัญ ผู้นำตระกูลของแต่ละตระกูล จะเป็นผู้นำหลักของพรรค โดยมีอัศม์เดชเป็นผู้นำสูงสุด ซึ่งทั้งห้าตระกูล มีความสัมพันธ์อันดีมาตลอดร้อยกว่าปีที่บรรพบุรุษสร้างพรรคมา

ผู้สร้างตระกูลเตชโรจนโสภณ เป็นผู้ริเริ่มพรรคเบญจเตโช ทำการรวบรวมตระกูลที่มีผู้นำเชื่อใจกันได้ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกันก่อน จึงค่อยตั้งพรรคอย่างจริงจัง ในตอนแรกมีตระกูลประมาณยี่สิบตระกูลที่ร่วมพรรคชั่วคราว พอทดลองทำงานร่วมกันก็พบว่าผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร แนวทาง เป้าหมายแตกต่างกัน หลายๆ ตระกูลก็ค่อยๆ ถอนตัวออก จนในที่สุดสองปีก็เหลือเพียงห้าตระกูล ทั้งห้าตระกูลมีคำที่หมายถึงไฟอยู่ทุกตระกูล เลยตั้งชื่อพรรคว่า เบญจเตโช หมายถึง เปลวไฟทั้งห้า อันได้แก่ ตระกูลเตชโรจนโสภณ ตระกูลพิชญเดชา ตระกูลอัคคเดชโภคิน ตระกูลเดชหิรัญสกุล และตระกูลเลิศธนเดชาโชติ จากนั้นก็เริ่มต้นพรรค สั่งสมอำนาจ ความยิ่งใหญ่มาเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้...





----- Sawachi Yuki -----
   แก้ไขใหม่ ลืมบทนำไปเลย จริงๆ ก็ลงบทนำไปนานแล้วนะคะ ทำไมหายหว่า หรือตอนนั้นลงไม่สำเร็จ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 21:30:51 โดย SawachiYuki »

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
1
พบกัน...เพราะ ‘วาสนา’




“สดชื่นจัง...เย้ ได้อาบน้ำ ทาแป้งหอมๆ”

“จ้ะ ตอนนี้หนูหอมที่สุดเลยครับ” ว้าแล้วก็หอมแก้มพิสูจน์

“แม่ก็หอม แล้วแม่หนูก็สวยด้วย”

“จ้า ลูกเองก็น่ารัก”

“หล่อ...หนูต้องหล่อเท่านั้น คิก”

“หื้ม...หล่อที่ไหนกัน สำหรับแม่ หนูน่ารักที่สุดแล้วครับ”

“ก็ได้ งั้นหนูจะยอมน่ารักกับแม่แค่คนเดียว”

“หนูต้องน่ารักกับทุกคนครับลูก ทุกๆ คนจะได้รักและเอ็นดูหนูไง หนูขวัญของแม่” ขนิษฐายิ้มอ่อนโยน มือบางเช็ดผมให้ลูกชายไปด้วย ส่วนเจ้าตัวน้อยก็นั่งนิ่งๆ ให้ผู้เป็นแม่จัดการเนื้อตัวของตัวเองต่อไป

“ได้ฮับ งั้นหนูจะเป็นคนน่ารักแทนคนหล่อก็ได้”

“ดีมาก...หิวหรือยังครับลูก”

“หิวแล้ว แต่หนูรอได้ ยังไงน้ากิจก็ต้องเอามาให้เรากิน เพราะน้ากอบกิจเป็นคนใจดี” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรลูกอีก

ในวันที่เหนื่อย ท้อแท้ และทุกข์อย่างแสนสาหัส เธอมีเพียงลูกชายที่เป็นทั้งแรงกาย แรงใจ เป็นรอยยิ้ม เป็นเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ และสู้ต่อไป

“เสร็จแล้วครับ”

ติ๊งหน่อง...ติ๊งหน่อง

เสียงออดดังขึ้นอีกครั้งประจวบเหมาะกับสองแม่ลูกที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวในชุดธรรมดาๆ ของดอกไม้ภรรยากิจเดินไปเปิดประตู ก็พบว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกับเด็กสาววัยรุ่น ทั้งคู่อยู่ในชุดฟอร์มแม่บ้านซึ่งก็คือเดรสสีกรมท่า ปกสีขาว แขนเสื้อเป็นขอบขาวเช่นกัน ความยาวปิดหัวเข่า รวบผมเรียบร้อย ตรงเอวผูกผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ปักชื่อ เตชโรจนโสภณ

“สวัสดีค่ะ”

ขนิษฐายกมือไหว้ทั้งสองคนทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กอบกิจ

“สวัสดีค่ะ” เด็กสาววัยรุ่นเป็นคนทักกลับด้วยรอยยิ้ม ในมือถือปิ่นโตขนาดใหญ่ ส่วนอีกข้างถือชุดยูนิฟอร์มแม่บ้านซึ่งเธอคาดว่าน่าจะเป็นของเธอเอง

“ฉันพิไล เป็นหัวหน้าแม่บ้าน พอดีว่าจะมาคุยเรื่องรายละเอียดงานกับเธอน่ะ กล้วยเอาปิ่นโตให้พี่เขาสิ แล้วก็เอาชุดฟอร์มด้วย”

“ขอบคุณนะคะคุณพิไล” ยกมือไหว้อีกครั้งแล้วรับของมา

“แล้วลูกชายเธอล่ะ”

“จริงสิ...หนูขวัญครับ มาหาแม่หน่อยลูก” ขนิษฐาส่งเสียงเรียกลูกชายที่นอนกลิ้งไปมาบนเตียงนุ่ม

“คร้าบ” เด็กชายตัวน้อยลงจากเตียงแล้ววิ่งมาหาผู้เป็นแม่ทันที ไม่ต้องให้คนเป็นแม่บอกว่าต้องทำยังไง เด็กชายขวัญนพัตก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างร่าเริง “สวัสดีครับคุณยาย สวัสดีครับพี่สาว หนูชื่อขวัญเป็นลูกแม่ขิมครับ” พิไลหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ทั้งๆ ปกติแล้วเธอเป็นคนเคร่งขรึม ลูกคนงานคนไหนก็ไม่สามารถทำให้เธอหลุดยิ้มออกมาได้ แต่เด็กชายขวัญนพัตน่าเอ็นดูมากจริงๆ

“จ้า น้องขวัญสุดหล่อ พี่ชื่อพี่กล้วยนะครับ”

“ส่วนนี่คุณพิไลนะหนูขวัญ อย่าเรียกคุณยายรู้ไหมครับ เสียมารยาท” ขนิษฐาแนะนำหัวหน้าแม่บ้านใหม่ ซึ่งอยากให้ลูกชายเรียกให้เหมาะสม

“ช่างเถอะ ให้ลูกเธอเรียกคุณยายดีแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับ ยายพิไล” ใบหน้าที่จะตึงตลอดเวลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กชายตัวน้อยที่ไหว้ขอบคุณเธอโดยที่แม่ไม่ต้องสอน

เธอมองผู้เป็นแม่อีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก็พบว่าแม่ของขวัญนพัตเป็นคนที่สวยมาก สวยหวาน ท่าทางเรียบร้อย ยิ้มสวยอีกต่างหาก แต่ผอมแห้งมาก ไม่มีน้ำมีนวล ซึ่งเธอก็ฟังจากสันต์ธรแล้วว่าเป็นยังไง ส่วนลูกชายก็ได้เค้าโครงหน้าถอดแบบมาจากคนเป็นแม่ ผิวพรรณดี แสดงว่าที่ผ่านมาคนเป็นแม่มักให้ลูกกินอิ่มนอนหลับมากกว่าตัวเองสินะ แล้วโตขึ้นคงจะสวยมากกว่าหล่อ

“เข้าไปนั่งกินข้าวกินปลาก่อนไป ฉันจะไปนั่งรอที่สวนข้างหน้าก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบ กินเสร็จก็ไม่ต้องล้าง เก็บมาให้กล้วยเลย แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะฉันจะให้เธอทำงานใช้คือแน่นอน”

“ค่ะคุณพิไล ขิมขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”

พิไลพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินไปข้างหน้าซึ่งเป็นสวน มีชุดโต๊ะสีขาวตั้งอยู่ให้นั่งเล่น ไม่ห่างจากหน้าห้องของขนิษฐาเท่าไหร่นัก

“กินเสร็จมาเล่นกับพี่นะครับ”

“ฮับผม”

ขนิษฐาปิดประตู พาลูกชายเดินไปนั่งกลางห้องบนพื้น เพราะไม่มีโต๊ะสำหรับใช้ทานข้าวได้ แต่มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เธอเอาชุดไปใส่ไว้ในตู้ แล้วเดินมานั่งกับยอดดวงใจที่พยายามเปิดปิ่นโตตรงหน้า เธอคว้ามันมาเปิดเอง ยิ้มให้ลูกชายที่จ้องมันตาวาว

“ว้าว...น่ากินจังเลยฮะ งื้อ หนูดีใจ”

“แม่ก็ดีใจครับ เอาล่ะ เรามากินข้าวมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเรากันเถอะลูก”

ขวับ ขวับ

ขวัญนพัตส่ายหน้า ผู้เป็นแม่เลยเลิกคิ้ว ถามกลับไปอย่างสงสัย

“ทำไมครับ”

“อาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตของหนู คืออาหารที่แม่ทำต่างหาก”

ได้ยินแบบนั้นคนเป็นแม่ที่รักลูกชายคนนี้ยิ่งกว่าชีวิตก็น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ ตักข้าวป้อนให้ลูกชายตัวน้อย ส่วนลูกชายก็ใช้มือเล็กหยิบช้อนป้อนข้าวแม่ แม้จะทุลักทุเลเพื่อความสูงที่ต่างกัน แต่เธอก็ก้มมาทานข้าวที่ลูกป้อนให้อย่างเต็มใจ

“ขอบคุณครับ เก่งจริงๆ เลยลูกแม่”

“หนูเก่งเหมือนแม่ เพราะหนูเป็นลูกแม่”

“ครับ เราสองคนเหมือนกัน เพราะเราสองคนเป็นแม่ลูกกันไงครับ เป็นครอบครัวเดียวกัน”

“งื้อ...หนูรักแม่”

“แม่ก็รักหนูขวัญนะลูก”

ทั้งสองทานข้าวต่อด้วยความสุขใจ ป้อนกันไป ป้อนกันมา แม้จะเป็นครอบครัวที่ดูเล็กเพราะมีกันอยู่สองคน แต่เธอเชื่อว่าลูกชายจะไม่มีวันขาดความอบอุ่น...

ขวัญของแม่...แม่อยากจะอยู่กับลูกไปนานๆ เลยครับ


เมื่อทานอาหารมื้อแรกในรอบสองวันเสร็จแล้ว ขนิษฐาก็พาลูกชายไปหาพิไลที่นั่งรออยู่ที่สวนด้านหน้าบ้านพัก กล้วยรีบเดินเข้ามาหาลูกชายเธอ ก่อนจะชวนไปเดินเล่น ซึ่งเจ้าตัวน้อยก็รีบตกลงทันที มองหน้าแม่นิดๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้า ยิ้มบาง เป็นการอนุญาต

ส่วนเธอก็เดินไปนั่งตรงข้ามกับพิไลที่พยักหน้าเรียกเธอ

“เอาล่ะ ฉันจะขอพูดคุยกับเธอก่อนว่ามีประสบการณ์อะไรมาบ้าง เพื่อจะได้จัดเธอให้ทำในส่วนที่เธอทำได้” ขนิษฐาหันกลับมามองหน้าพิไลทันทีเมื่อเผลอมองลูกชายที่เดินเล่นอยู่ไม่ไกลอยู่ และรับฟังอย่างตั้งใจ

“ค่ะ ก่อนหน้านี้ขิมเคยทำงานร้านอาหารมาก่อนอยู่แผนกครัวค่ะ ทำได้ประมาณหนึ่งปีกว่าก็โดนไล่ออก แล้วก็รับงานเสริมร้อยพวงมาลัย ตัดชุด เย็บเสื้อผ้า กระเป๋า แล้วแต่เขาจะส่งมาให้ รับทำพวกขนม แต่ขิมก็ทำได้แค่ขนมไทยนะคะ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นทั้งหมด ทำได้ไม่กี่อย่าง เพราะตอนเด็กๆ ขิมถูกยายสอนให้จับงานพวกนี้ ก็เลยมีฝีมือติดตัวมาบ้าง ถ้าคุณพิไลต้องการทดสอบ ขิมยินดีค่ะ”

พิไลรับฟังอย่างตั้งใจ เธอค่อนข้างจะเชื่อที่หญิงสาวพูด เพราะท่าทางของคนที่เป็นงานกับคนไม่เป็นงาน พิไลสามารถดูออก ซึ่งเธอก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นงานแน่นอน

“ฉันต้องทดสอบก่อนอยู่แล้ว แต่เธอต้องพักร่างกายให้พร้อมก่อน เย็นนี้หมอจะมาตรวจเธอกับลูก พรุ่งนี้ตอนแปดโมงสี่สิบห้าจะมีคนมารับเธอกับลูกชายที่นี่ ก็ยืมชุดเรียบร้อยๆ จากดอกไม้ก่อนละกันยังไม่ต้องใส่ฟอร์ม ก่อนหน้านี้ก็ให้ไปที่กินข้าวเช้าที่โรงอาหารให้เรียบร้อย มื้อเช้าครัวจะปิดแปดโมงตรง บางส่วนทำงานเวลาไม่ตรงกัน ถ้าเป็นพวกครัวก็จะเริ่มงานตีห้า ใครเวรซื้อของก็จะต้องไปซื้อของที่ตลาดตอนตีสาม เวลากินข้าวจะผลัดกันมา งานส่วนอื่นๆ อย่างเช่นส่วนหน้าคือดูแลทำความสะอาดตึกใหญ่ของพวกคุณท่าน จะเริ่มแปดโมงครึ่ง ส่วนรับรองจะทำความสะอาดตึกเล็กฝั่งทิศเหนือ ซึ่งเป็นตึกที่ไว้รับรองแขกของคุณอินทร์ คุณอัยย์ยามมาบ้าน ถ้าเธอทดสอบผ่าน ฉันจะให้เธอในส่วนของครัว ซึ่งในส่วนนี้นอกจากทำอาหารและขนมแล้ว ยังรวมถึงการรับแขก ร้อยพวงมาลัยยามที่คุณหญิงอัมรากับนายหญิงต้องการใส่บาตรตอนเช้าหรือไปวัด และรับใช้เจ้านายอย่างใกล้ชิดตลอด ซึ่งงานหลักจะอยู่ครัวของตึกใหญ่”

“ค่ะ”

“แล้วที่นี่ก็ค่อนข้างจะมีคนงานอยู่มาก จะมีส่วนคนทำงานในพรรค เธอจะเห็นตึกพักฝั่งนั้นใช่ไหม”

“เห็นค่ะ”

“ตึกของคนที่ทำงานในพรรคน่ะ คนที่ได้อยู่ที่นี่จะเป็นคนที่ถูกจัดเอาไว้ว่าให้ดูแลคุ้มกันท่านโดยเฉพาะ เพราะนั้นที่นี่มีคนอาศัยอยู่ประมาณร้อยกว่าชีวิต จึงจำเป็นต้องมีกฎที่ต้องปฏิบัติติอย่างเข้มงวด...”

ขนิษฐาตอบรับเป็นพักๆ เธอเข้าใจในสิ่งที่พิไลบอกกล่าวทั้งหมด จากนั้นก็ฟังกฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องรักษาอีกยาวเหยียด แต่เธอพร้อมที่ทำตามอย่างไม่ขัดข้องใจอะไร

ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน เรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย

“ที่พูดมาทั้งหมด เข้าใจใช่ไหม”

“ค่ะ แต่ขิมขอถามหน่อยได้ไหมคะ”

เธอเข้าใจ แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอเป็นกังวล สิ่งที่สามารถทำให้เธอเป็นกังวลได้ ก็มีเพียงแค่เรื่องของลูกชายตัวเองเท่านั้น

“ช่วงเวลาทำงาน ลูกของขิมจะอยู่ที่ไหนได้บ้างคะ”

เพราะขวัญนพัตยังเด็ก แม้จะอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่เธอก็ทราบว่าไม่สามารถพาลูกชายไปทำงานกับเธอได้ ยิ่งถ้าหากงานที่เธอได้ต้องทำที่ตึกใหญ่ด้วยแล้ว

ลูกจะอยู่ยังไง จะอยู่กับใคร...

“ลูกชายเธออายุเท่าไหร่แล้ว”

“ห้าขวบกว่าค่ะ”

“ก็ควรจะขึ้นอนุบาลได้แล้วไม่ใช่หรือไง ห่างจากนี่ประมาณสิบห้ากิโลมีโรงเรียนประถมที่รับอนุบาลอยู่ด้วยนะ เด็กๆ ลูกของคนงานก็เรียนที่นั่นกันหมด เพราะเป็นธุรกิจในตระกูลเตชโรจนโสภณ สันต์แจ้งฉันมาว่าท่านอัศม์ให้ดูแลเรื่องการเรียนของลูกชายเธอ เดี๋ยวกอบกิจจะจัดการเอง เพราะกอบกิจเป็นคนดูแลคนงานทั้งหมด ทั้งหอ ทั้งสวัดการ การลา”

“จริงหรือคะ ลูกชายของขิม จะได้เข้าโรงเรียนเหรอคะ”

“จริงๆ สันต์บอกมาอย่างนั้น คงจะบอกกอบกิจแล้วล่ะ เพราะท่านอัศม์ไม่ชอบงานล่าช้า ถ้าสั่งคือต้องทำทันที ลูกชายเธอเองก็มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่นะ ลูกของกอบกิจก็ห้าขวบกว่า เพิ่งเข้าอนุบาลหนึ่ง นี่ก็เริ่มเรียนได้ไม่ถึงอาทิตย์ คงเข้าชั้นอนุบาลหนึ่งได้เลยล่ะนะ”

“แล้วการเดินทางล่ะคะ ขิมต้องไปส่งลูกเองใช่ไหมคะ”

“จะมีรถตู้ที่ท่านอัศม์สั่งมาใช้รับส่งลูกๆ ของคนงานไปเรียนน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ทำงานได้อย่างสบายใจได้เลย”
ขนิษฐายิ้มหวาน รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาเจ้านายที่ไม่เคยได้เห็นแม้แต่เงา แต่เธอกลับรู้สึกยกท่านไว้เหนือหัวเรียบร้อยแล้ว

“ดีจริงๆ ค่ะ ไม่คิดว่าคนแบบขิม จะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตได้มากมายถึงเพียงนี้”

“ไม่มีใครจะทุกข์ทรมานได้ทุกวันหรอกนะ มันก็ต้องมีบางวันที่เราจะยิ้มได้บ้างแหละ เธอเองก็เหมือนกัน อย่าตัดพ้อชีวิตให้มาก เราเลือกเกิดไม่ได้หรอก แต่เธอเองก็เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่หรือ ถึงได้ลำบากแบบนี้”

หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา เธอไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่เพราะแม่เธอทิ้งเธอไว้ให้ยายเลี้ยง พอยายเสีย เธอก็หมดสิ้นทุกอย่าง หาเลี้ยงตัวเอง แต่เลือกทำในสิ่งที่ลำบาก ดีกว่าต้องทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจ ตอนทำงานร้านอาหาร มีผู้ชายร่ำรวยหน้าตาดีคนหนึ่งมาจีบเธอ และเธอก็พลาดท่า ไม่ใช่เพราะรัก แต่ขัดขืนไม่ได้ เธอชะล่าใจไม่ป้องกันเพราะคิดว่าคงไม่ท้อง แต่ก็พลาดตั้งท้องขวัญนพัตขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นรู้เข้าก็เอาเงินก้อนมารับผิดชอบเธอ พร้อมกับขอโทษอย่างสำนึกผิดจริงๆ เพราะกลัวว่าคนที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานด้วยรู้

ขนิษฐาเลยคิดอยากจะเอาลูกออก เธอกลัวการรับผิดชอบชีวิตใครคนหนึ่ง เพราะแค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แต่เธอก็ทำไม่ลง เธอฆ่าลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไม่ลงจริงๆ

เธอยอมเป็นแม่ที่ลำบาก ดีกว่าเป็นแม่ที่เลว...

ขวัญนพัต เป็นแก้วตาดวงใจของเธอ เป็นชีวิต เป็นลมหายใจ เป็นทุกอย่างที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่...เธออยากจะอยู่กับลูกชายให้มากที่สุด อยากเห็นลูกชายเติบโตขึ้น...

“ว่าแต่ พรุ่งนี้ขิมต้องไปไหนหรือคะ” ขนิษฐาเลิกคิดถึงเรื่องมันยังมาไม่ถึง แล้วสนใจแค่ปัจจุบันก็พอ เพราะไม่ว่ายังไง...การจากกัน ก็เป็นเรื่องที่วันใดวันหนึ่งราต้องพบเจอมันอยู่ดี

“พบท่านอัศม์”

คำตอบที่ได้ทำให้เธอตะลึง ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอ ไม่สิ...ไม่คิดว่าท่านจะต้องการเจอ ทั้งๆ แค่รับเธอเข้าทำงานก็คงพอแล้ว ท่านไม่จำเป็นจะต้องให้เธอพบด้วยซ้ำ แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดี

“จ่ะ จริงเหรอคะ พบท่านอัศม์เหรอคะ”

“จริงสิ ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ว่าฉันก็เข้าใจเธอนั่นแหละ มีอยู่ไม่มากหรอกที่ท่านจะเรียกให้ไปพบแบบนี้ เธอนี่ถือว่าดชคดีเลยล่ะ ทำตัวดีๆ ด้วย”

“ค่ะคุณพิไล ขิมอยากขอบคุณท่าน อยากขอบคุณที่ช่วยเหลือเราสองคนแม่ลูกน่ะค่ะ”

“ตั้งใจทำงานให้ดี ก็ถือว่าตอบแทนท่านแล้วล่ะ”

“ค่ะ ขิมจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ”


ขนิษฐาตื่นแต่เช้าเมื่อได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ของคืนที่ผ่านมา เธอปลุกลูกชายให้ตื่นขึ้นมาด้วยเพื่ออาบน้ำด้วยกัน พอแต่งตัวเสร็จก็พาลูกชายไปเดินเล่นในสวนรอเวลานัดกับกอบกิจและดอกไม้ที่จะไปทานข้าวเช้าพร้อมกัน แล้วเมื่อเธอกับลูกชายเข้าไปในโรงอาหาร ก็พบเจอกับเหล่าคนงานเต็มไปหมด คนเยอะมาก ทุกคนเข้ามาทำความรู้จักกับเธอและลูกชายอย่างเป้นมิตร

“ทุกคน!!! นี่คือขิมนะ แล้วนี่ก็ลูกชายชื่อขวัญ นับจากวันนี้เป็นต้นไปทั้งสองคนจะมาเป็นคนของท่าน กินข้าวหม้อเดียวกันกับพวกเรา ยังไงก็ช่วยดูแลด้วย!!!” กอบกิจที่มีหน้าที่ดูแลคนงานทุกคนทำหน้าที่ประกาศให้ทุกคนที่กำลังสนใจเธออยู่ได้รับรู้ บางคนก็ยิ้มให้ บางคนก็เฉยๆ

ขนิษฐายิ้มแล้วไหว้ทักทายทุกคน ลูกชายตัวน้อยก็ทำตามอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

“ฝากตัวด้วยนะคะ”

เสียงเหล่าคนงานต่างก็ตอบรับด้วยความยินดี บางคนสนใจมากๆ บางคนก็เฉยๆ เพราะก็แค่การแนะนำคนงานคนใหม่อย่างที่ทำปกติ

“ผมประกาศให้พี่ขิมแล้วนะ ทุกคนที่นี่ไม่น่ากลัวหรอก บางคนอาจจะเฉยๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีอะไร เพราะถ้ามีการเขม่นกันเกิดขึ้น ท่านจะไม่เก็บไว้”

“ขอบใจนะกิจ”

“ครับ เราไปทานข้าวกันเถอะ”


เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เธอก็พาลูกมานั่งรอคนที่จะมารับไปตึกใหญ่ และไม่นานเธอก็ได้มาหยียบตึกใหญ่ที่แค่แผ่นเท้าสัมผัสก็รู้สึกหนาวสั่นเพราะมันใหญ่กว่าที่ตาเห็นมาก ทั้งสวย ทั้งใหญ่ แล้วแพงมหาศาลแน่นอน

สันต์ธรพาสองแม่ลูกเข้าไปนั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อยบนพื้นในห้องรับแขก ซึ่งมีพิไลกับกอบกิจนั่งอยู่ด้วยแต่เป็นอีกฝั่งหนึ่ง

“อยู่นิ่งนะลูก เดี๋ยวท่านจะมาแล้ว อย่าทำให้ท่านไม่พอใจนะครับ”

“ครับผม”

แล้วทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ นั่นทำให้ได้ยินเสียงเดินที่ใกล้เข้ามา หญิงสาวลูกหนึ่งหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกจากอก จนรู้สึกว่ามีคนเดินผ่านตัวเองไปแล้วนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ตรงกลาง ร่างสูงสง่าของท่านอัศม์นั่งลง คนสนิทอย่างสันต์ธรก็ยืนเยื้ยงๆ อยู่ข้างหลัง

“ขิม นี่ท่านอัศม์”

“สวัสดีค่ะท่านอัศม์ ขอบพระคุณมากๆ นะคะ ในความเมตตากรุณาที่มีต่อเราสองคน” หญิงสาวพนมมือกลางอกแล้วไว้คนที่อายุน้อยกว่าแต่มีศักดิ์เป็นเจ้านายและผู้มีพระคุณ ขวัญนพัตมองการกระทำของแม่ตลอดแล้วก็ทำตามด้วยท่าทางน่าเอ็นดู คนที่มีสีหน้าราบเรียบตลอดเวลาอย่างท่านอัศม์เผลอมองเจ้าตัวน้อยนั้นไม่วางตา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย

“อืม...ที่อยู่เป็นยังไงบ้าง ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า สันต์บอกว่าเมื่อวานหมอมาตรวจแล้ว ร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีอะไรผิดปกติ แค่อ่อนเพลียกับขาดสารอาหาร เอาเป็นว่าพักอีกสามวันก็แล้วกันค่อยเริ่มงานนะ ฝากด้วยนะพิไล”

“ค่ะท่าน” ทั้งสองขานรับพร้อมกัน เด็กน้อยก้มลงมองมือน้อยๆ ของตัวเองเมื่อเผลอสบตาคมของผู้เป็นเจ้านาย

“กอบกิจจะดูแลเรื่องโรงเรียนของ...ตัวเล็ก ชื่ออะไรน่ะเรา”

ขวัญนพัตสะดุ้งเฮือก เรียกรอยยิ้มของผู้ใหญ่ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี ท่าทางลุกลี้ลุกลน ยิ่งทำให้ท่านอัศม์สนุก ชอบใจ เจ้าตัวเล็กเงยหน้าอ้อนวอนให้แม่ช่วยตอบ เขย่าแขนผอมๆ ของแม่เป็นการเร่ง เจ้าตัวเล็กเกิดอาการตื่นคนไม่กล้าพูด

“ตอบท่านสิครับ”

“งื้อ...หนู เอ้ย ผมชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่น ขวัญครับ” น้องตอบเสียงอ้อมแอ้ม เพราะกลัวพูดผิดกาลเทศะ

“อ้อ ขวัญ...กอบกิจจะเป็นคนดูแลเรื่องโรงเรียนของขวัญ ก็เริ่มเข้าเรียนอาทิตย์หน้าไปเลย อนุบาลไม่มีปัญหาเรื่องเรียนไม่ทันอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายไม่มี ฉันเป็นคนให้ทุนการศึกษาเด็กๆ ของคนงานทุกคนเอง”

“ขอบคุณนะคะท่าน หนูขวัญลูก”

“ขอบคุณครับท่านอัศม์”

“ทุนการศึกษาที่ท่านมอบให้เป็นทุนเปล่า ไม่ต้องใช้ทุนให้ตระกูล ขึ้นอยู่กับเด็กๆ เลยว่าอยากจะทำงานให้เราหรือว่าอยากจะออกไปทำงานข้างนอก เด็กๆ มีสิทธิเลือกได้ ไม่มีข้อผูกมัด” สันต์ธรอธิบายต่อ “ทุนการศึกษามีให้ถึงปริญญาตรี แต่ทุนการศึกษาสำหรับมหาลัย จะต้องทำงานแลก คือต้องมีผลงานจนเป้นที่น่าพอใจ ซึ่งฉันจะเป็นคนประเมินเองว่าควรได้รับทุนหรือเปล่า”

ทุกคนตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี แล้วในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจสันต์ธร เด็กน้อยก็ลองเงยหน้ามองท่านอัศม์อีกครั้ง และครั้งนี้เจ้าของบ้านยังคงจ้องมองน้องไม่วางตาเช่นเคยจนน้องต้องหลบตาซบแขนของคุณแม่ใหญ่ เรียกร้อยยิ้มบางเบาจากคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างท่านอัศม์จนกอบกิจกับพิไลถึงกับแปลกใจ

อัศม์เดชรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ยังไงชอบกล อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กคนนี้มีอะไรที่ตรงข้ามกับเขาก็ได้ ดวงตาที่ส่องประกายสดใส ใบหน้าที่แสนน่ารักน่าเอ็น ผิวพรรณดี แค่มองด้วยตาก็คิดว่าน่าจะนุ่มมากๆ แน่นอน

“นี่ก็จวนได้เวลาประชุมเช้าแล้วครับ”

“งั้นเหรอ...ขวัญ ลุกขึ้นมาหาฉันหน่อยสิ” ถ้าฟังดีๆ ว่านี่เป็นประโยคร้องขอ ไม่ใช่คำสั่ง แต่เด็กน้อยจับใจความไม่ได้ขนาดนั้น มองหน้ายายพิไลของตนสลับแม่ไปมาเพื่อขอตัวช่วย

ช่วยหนูด้วย หนูกลัว ฮือ...หนูกลัว

“แม่จ๋า...หนู”

“ไปเร็วครับ อย่าให้ท่านรอ”

“งื้อ...แต่ว่า”

“เร็วๆ ลูก”

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเด็กหรอก” ท่านอัศม์พูดขึ้น

เด็กน้อยหันกลับไปมองหน้าของผู้มีพระคุณอีกครั้ง เห็นรอยยิ้มบางเบานั่นก็ค่อยๆ เบาใจ แต่ก็ไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น ยิ่งคนๆ นั้นดูยิ่งใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะวางตัวแบบไหน

“ฮะ…”

เมื่อทำอะไรไม่ได้ เด็กน้อยก็ค่อยๆ คลานเข้าไปหา พอถึงขายาวสวยของท่านอัศม์ก็ก้มหน้ามองเท้าของท่านอยู่แบบนั้น

หมับ!!

ร่างเล็กๆ ถูกดึงให้ขึ้นมานั่งเคียงข้างกัน เด็กชายหน้าซีด ตัวแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูก มองแม่กับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่กับพื้นแล้วเตรียมเบะปาก หากแต่คนเป็นแม่ส่ายหน้าเอาไว้ก่อน

ทางกอบกิจและพิไลก็นึกแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลูกคนงานนั่งทัดเทียมกับเจ้านายอย่างท่าน ที่ผ่านมาท่านไม่เคยให้คนงานหรือลูกคนงานคนไหนมานั่งทัดเทียมกัน และไม่เคยพูดคุยอย่างเอ็นดูแบบนี้กับลูกคนงานคนไหนเช่นกัน

ขวัญนพัตเป็นเป็นคนแรก และคงจะเป็นคนเดียว

“กลัวอะไรกันขนาดนั้น” มือแกร่งวางลงบนผมนุ่มของขวัญนพัตแล้วโยกเบาๆ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยผ่อนคลาย ซึ่งเจ้าตัวน้อยก็เริ่มจะผ่อนคลายลงจริงๆ

“สันต์” เรียกชื่อของคนสนิทเบาๆ แบมือไปด้านข้าง แต่ตาก็มองหน้าของเด็กชายอยู่ มืออีกข้างก็ลูบหัวเบาๆ

“ครับท่าน” สันต์ขานรับ พร้อมกับส่งซองน้ำตาลขนาดเอห้าวางบนมือเจ้านายเบาๆ ท่านอัศม์จับไว้แล้วยื่นไปให้เจ้าตัวเล็ก

“เอ้า...ฉันให้ รับไปสิ”

“ขอบคุณครับ” มือน้อยๆ ประกบกันเพื่อไหว้อีกคนเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ ก่อนจะรับซองนั้นมากอดไว้โดยไม่รู้ว่าเจ้านายให้อะไร

กิริยาน่ารัก น่าเอ็นดู...ร่างสูงรับรู้ได้โดยลางสังหรณ์ ว่าขวัญนพัตจะมาทำให้คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยความสดใส

“พาแม่ไปซื้อของใช้นะ อยากได้อะไรก็ซื้อ ที่เหลือก็เอาเก็บไว้นั่นแหละ ไม่ต้องคืน ป่ะ ไปหาแม่เธอเถอะ” เด็กน้อยยิ้มแล้วลุกจากโซฟาตัวใหญ่ ไม่ลืมที่คลานเข่าออกไป

การกระทำที่ทำเองโดยไม่ต้องสอน ยิ่งทำให้อัศม์เอ็นดูเข้าไปกันใหญ่ เด็กน้อยเข้าไปในอ้อมกอดแม่แล้วยื่นซองนั่นให้ เธอขอบคุณลูกชายด้วยรอยยิ้ม แล้วเปิดดู พอเห็นสิ่งที่อยู่ในซองเธอก็เบิกตากว้าง เงยหน้ามองท่านอัศม์ทันที

“ท่านคะ!”

มันเป็นเงินสด แบงค์พันปึกใหญ่ เธอรู้เลยว่าต้องสองหมื่นขึ้นแน่นอน มันมากไป จริงๆ ท่านไม่ควรให้ด้วยซ้ำ แต่ไม่ทันได้ปฏิเสธอะไร คนที่มีสิทธิเด็ดขาดก็เอ่ยวาจาที่ใครก็ไม่กล้าปฏิเสธ

“เอาไปเถอะ ฉันให้ พาเจ้าตัวเล็กไปซื้อเสื้อผ้า ของใช้ในบ้านที่จำเป็น เหลือก็เก็บไว้ แค่นี้ไม่เดือดร้อนฉันหรอก และฉันก็สั่ง”
ขนิษฐารับเอาไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำขอบคุณที่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอีกครั้งถึงจะสมกับความเมตตาที่ตนกับลูกชายได้รับ

“ขอบพระคุณนะคะท่าน ขอบพระคุณมากจริงๆ ค่ะ”

“อยากขอบคุณ อยากตอบแทน ให้ตั้งใจทำงานก็พอ ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะ กลับไปพักผ่อนได้ ให้กอบกิจพาไปซื้อของได้เลย ไปเถอะสันต์”

“ครับท่าน” ทั้งสันต์ธรและกอบกิจขานรับคำสั่งพร้อมกัน

ขนิษฐามองตามแผ่นหลังกว้างไปทั้งน้ำตาที่ไหลริน มือเล็กๆ ของขวัญนพัตคอยเช็ดออกให้อย่างอ่อนโยน เธอกอดเงินที่ได้รับมาแน่น รู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก

 เป็นวาสนาของเธอกับลูกจริงๆ ที่ได้พบท่านอัศม์

“เป็นเด็กดีนะครับลูก อึก เป็นเด็กดี แล้วตอบแทนพระคุณท่านอัศม์นะครับ”

“ฮะ...หนูจะทำตามที่แม่บอกเลย” น้องกอดคุณแม่แน่นเพื่อปลอบให้หยุดร้องไห้ ดวงตาใสซื่อมองหน้าพิไลกับกอบกิจว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งสองคนก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไรกลับมา

งุ้ย...หนูปลอบเองก็ได้!






----- To be continue. -----
   ชอบน้องขวัญมากๆ น้องน่ารักมากเลยเนาะ? เป็นนายเอกที่เราชอบมากๆ อยากจะให้ดูใสซื่อ สดใส ขี้ใจอ่อน เป็นคนอ่อนโยน ขี้กลัว ขี้เกรงใจ แต่ก็เข้มแข็ง (จะพยายามไม่ไปตามอารมณ์จนหลุดคาแรคเตอร์นะคะ)
   ยูกิอยากแต่งเรื่องที่พระนายค่อยๆ ถักทอความรู้สึกไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ ค่อยๆ ผูกพันมากขึ้น จนกลายเป็นความรักที่แน่นแฟ้นยากจะแยกเราจากกัน (ฮา) และที่สำคัญอยากแต่งแบบเลี้ยงต้อยที่อายุห่างกันมากๆ รับอุปถัมภ์ตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดเกินเลย จนกลายมาเป็นสมภารกินไก่วัดในที่สุด 
   พูดคุยเกี่ยวกับน้องขวัญกับท่านอัศม์ได้ในทวิตเตอร์ แท็ก #ท่านอัศม์หนูขวัญ (ใครมีข้อเสนอชื่อแท็กก็บอกกันได้เน่อ) แล้วก็แฟนเพจนะจ้ะ เรื่องนี้ลงทุกวันอังคารนะคะ
   https://www.facebook.com/sawachiyuki/
   https://twitter.com/Sawachi_Yuki

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
หูยยยยย มีเรื่องน่าอ่านมาให้ตามแล้ว

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
งือ น้องน่ารักมากจริงๆค่ะ

 :pig4:

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1600
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ติดตามมม น้องน่ารักมากกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
2
น่าเอ็นดู...เป็น ‘พิเศษ’



ท่านอัศม์ลงจากรถทันทีที่คนเปิดประตูให้ เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับเหล่าแม่บ้านที่มายืนเรียงต้อนรับอยู่ที่ด้านหน้าประตูบ้าน ท่านหยิบน้ำเปล่าที่พิไลเตรียมไว้ให้มาดื่มอย่างเช่นทุกวัน ก่อนเดินผ่านเข้าไปอย่างปกติ หางตาแอบเห็นแม่บ้านคนใหม่ที่ตนเพิ่งจะรับเข้ามาทำงาน จากวันนั้นก็ผ่านมาสองอาทิตย์กว่าแล้ว

“ทำงานที่นี่ไม่ติดขัดอะไรใช่ไหม” ท่านหยุดถามแต่ไม่หันไปมองหน้า

“ไม่ค่ะท่าน” เธอตอบกลับ โดยที่ยังก้มหน้าอยู่แบบนั้น

“อืม...ก็ดี”

ท่านอัศม์เดินต่อ โดยที่สันต์ธรคนสนิทเดินตามอยู่ แต่แล้วท่านก็ชะงักเท้าที่เดิน เมื่อเห็นหญิงสาวอันเป็นที่รักยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า

“คุณแม่จะไปไหนหรือครับ”

“แม่จะไปดูแปลงดอกไม้ที่สวนน่ะค่ะ พอดีเพิ่งให้คนลงดอกไม้เพิ่ม ช่วงเย็นๆ ตอนพระอาทิตย์กำลังตกคงจะสวย อัศม์สนใจไปกับแม่หรือเปล่าคะ”

“เชิญคุณแม่ตามสบายเลยครับ ผมจะแวะไปหาคุณย่าแล้วก็จะทำงานต่อน่ะครับ”

“อย่าโหมงานมากนะคะลูก ส่วนคุณย่าก็อยู่กับสองแฝดค่ะ ที่ศาลากลางน้ำ”

“เจ้าอินทร์ เจ้าอัยย์อยู่บ้านได้ด้วยเหรอครับ”

“อัศม์ก็ไปว่าน้อง น้องก็ต้องเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นบ้างนะคะ อัศม์ก็เคยเป็นนะลูก น้องรู้ว่าตัวเองต้องวางตัวยังไงเหมือนกับลูกนั่นแหละค่ะ”

“ผมก็ไม่ได้ว่าน้อง แค่สงสัยว่ากลับบ้านเร็วเท่านั้นเอง”

“ค่ะลูก งั้นแม่ไปก่อนนะคะ เจอกันตอนมื้อเย็นค่ะ”

“ครับคุณแม่”

อัศม์เดชมองส่งคุณแม่ที่เดินไปยังประตูหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาคุยกับสันต์ธรที่ยืนเงียบๆ ตามหน้าที่ของตน เพราะงานของเขาจะเสร็จสิ้นเมื่อท่านขึ้นนอน

“สันต์ วันนี้มีงานที่ต้องเคลียร์ด่วนหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรด่วนครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำงานแล้ว ฉันจะไปหาคุณย่า สันต์ไปพักผ่อนเถอะ”

“แต่ว่า…”

“ยังไงก็คงไม่ยอมไปใช่ไหม”

“ครับ ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้แล้วเสร็จในแต่ละวัน ไม่เช่นนั้นผมจะนอนไม่หลับ” สันต์ธรตอบด้วยประโยคเดิมๆ ที่มักจะใช้ตอบเสมอเมื่อท่านไล่ให้เขาไปพัก

และแน่นอนว่าเขาไม่เคยขัดคำสั่งท่าน ยกเว้นคำสั่งนี้คำสั่งเดียว

“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามฉันไปนี่แหละ”

“ครับท่าน”


ท่านอัศม์เปลี่ยนทิศทางจากบันไดบ้านเป็นทางออกด้านหลัง ซึ่งจะเชื่อมกับสวนขนาดใหญ่ เพียงแต่ด้านหลังจะทำการขุดสระบัวขนาดใหญ่ที่สามารถพายเรือเล่นได้ ความลึกก็พอประมาณ แล้วสร้างศาลาไม้สีขาวนวลขนาดใหญ่เอาไว้กลางสระ น้องชายของเขาก็ชอบใช้เวลาตรงนั้นกับคุณย่าบ่อยๆ อัศม์คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะตัวเองไม่ค่อยจะมีเวลาให้ครอบครัวเสียเท่าไหร่นัก

“พี่อัศม์!!!” เสียงตะโกนเรียกมาจากศาลากลางสระ แฝดคนพี่ที่พอเห็นเขาเดินอยู่บนสะพานไม้ที่เชื่อมกับศาลาก็ตื่นเต้นราวกับว่าไม่เคยเจอมาเป็นปี

“เสียงดังอะไรกัน” ท่านเดินมาถึงก็ดุน้องชายทันที อินทร์ธรหน้ามุ่ย ยกมือไหว้ขอโทษพี่ชาย อัศม์เดชละความสนใจจากน้องแล้วตรงไปคุกเข่ากอดเอวคุณย่า มือเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นลูบผมของหลานชายคนโตเบาๆ แววตาอ่อนโยนอยู่เสมอทำให้ท่านอัศม์ได้รับพลังนั้นไปด้วย

“เหนื่อยไหมหลาน”

“ไม่เลยครับ”

“ดีแล้วจ้ะ วันนี้ย่าให้คนเตรียมบัวลอยเผือกแบบที่หลานชอบเอาไว้ด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วไม่มีของโปรดอัยย์บ้างเหรอครับคุณย่า” แฝดคนน้องละจากหน้าจอโทรศัพท์ทันทีเพื่อทักท้วง

“ของเราก็มีเมื่อวานแล้วไงคะ”

“แหะๆ จริงด้วย” อัยยวัฒน์หัวเราะแห้งๆ อินทร์ธรเลยหัวเราะเยาะในความหน้าแตกของฝาแฝดตัวเอง อัยยวัฒน์คาดโทษทางสายตาแล้วยิ้มให้พี่ชายคนโต

ท่านอัศม์ส่ายหน้าอย่างระอา หากแต่ความเครียดที่มีก็ถูกผ่อนคลายลงด้วยบรรยากาศแห่งครอบครัว

น้องชายของอัศม์เดชทั้งสองมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนเขา หน้าตาคล้ายคลึงกันหากแต่ท่านจะดุและเข้มกว่า ส่วนแฝดจะมีความอ่อนโยน นิสัยร่าเริงเหมือนกับแม่มากกว่าเคร่งขรึมเหมือนพ่ออย่างเขา

“อินทร์ อัยย์ พาคุณย่ากลับเข้าบ้านเถอะ ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว” อัศม์เดชคิดว่าท่านคงนั่งมานานแล้ว จึงอยากจะให้ไปพักในบ้าน

“ครับ!”

สองแฝดรับคำสั่งอย่างทันที เพราะทั้งคู่ศรัทธาในความเก่งกาจของพี่ชาย และเคารพพี่ชายมากๆ อะไรที่พี่ชายสั่ง ทั้งคู่จะปฏิบัติตามทันที

“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ย่ายังอยากนั่งอีกนิด” คุณย่าปฏิเสธ ร่างสูงไม่ขัดอะไร ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ กับคนเป็นย่าแทน

“คิดอะไรอยู่หรือครับ” ท่านถามเมื่อเห็นสีหน้าของย่า กับตาที่เหม่อมองไปยังฟากบ้านพักคนงานที่มีเพียงถนนถนนกั้นระหว่างสวนกับสวน

“เมื่อกี้ก่อนที่หลานจะมา เด็กๆ ลูกคนงานก็เพิ่งจะนั่งรถกลับมาจากโรงเรียนกัน นึกขึ้นได้ว่า เด็กๆ ที่ยังอยู่อนุบาล ประถม เวลาว่างๆ จะทำอะไร กลับมาก็อยู่กับห้องงั้นหรือ สวนหน้าบ้านก็ไม่มีอะไร ลองหาพวกเครื่องเล่นอะไรมาลงให้เด็กๆ หน่อยสิลูก ย่าว่าเด็กๆ จะได้ไม่เบื่อ บ้านเราก็มีกันแค่นี้ นานๆ ทีจะมีแขกมาเที่ยว ก็ได้คนงานกับเด็กๆ นี่แหละ ที่ทำให้บ้านยังเป็นบ้านไม่ใช่ป่าช้า”

“ผมจะให้สันต์จัดการให้ครับ”

“ย่าอยากทำเอง”

“ครับ?”

“อินทร์ ไปเรียกสันต์มา”

“ครับ คุณย่า”

เพราะต้องการให้ท่านมีเวลาอยู่กับครอบครัว สันต์ธรเลยไม่ได้เข้ามาในศาลาด้วย แต่ยืนรออยู่ที่ปลายสะพานฝั่งที่ติดพื้นดิน

“คุณหญิงมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”

“ช่วยพาเด็กๆ ลูกคนงานมาหาฉันที่นี่ได้ไหม ฉันอยากจะคุยกับพวกเขา”

“ได้ครับ ตอนนี้เลยหรือครับท่าน”

“ตอนนี้เลย”

“ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตโทรศัพท์ให้กอบกิจพาเด็กๆ มากนะครับ”

“จ้ะ”


ทั้งสี่คนรอไม่ถึงยี่สิบนาที เด็กๆ ทุกคนก็พากันเดินมาจากบ้านพักโดยมีกอบกิจนำขบวน เด็กชายหญิงอยู่ในวัยประถมเป็นส่วนใหญ่ อนุบาลก็มีบ้างหนึ่งในนั้นก็มีขวัญนพัต ส่วนมัธยมก็สี่ห้าคน วัยมหาวิทยาลัยก็มี เพียงแต่วัยนี้จะต้องออกไปอยู่ด้วยตัวเองข้างนอก แต่ถ้าทำงานให้ตระกูล จะมีสิทธิ์พักกับครอบครัวที่นี่ได้

ลูกคนงานที่มานั่งอยู่บนพื้นศาลาตรงหน้าทั้งสี่ท่านแม้จะเบียดๆ กันบ้างแต่ก็บรรจุคนได้พอดี นับจำนวนแล้วก็มียี่สิบหกคน ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะพอควร เพราะคนงานที่นี่มีร้อยกว่าชีวิต บ้างก็มีครอบครัว บ้างก็โสดอยู่คนเดียว บ้างลูกก็โตแล้ว

“สวัสดีค่ะ/ครับ”

ทุกคนทำความเคารพแล้วก็ก้มหน้าไม่กล้าเงยมองใครสักคน เด็กชายขวัญนพัตเองก็แอบๆ อยู่ข้างหลังคนตัวใหญ่กว่าเพื่อหลบสายตาคมที่จ้องมองตนตั้งแต่เดินเข้ามาในตัวศาลา

“สวัสดีจ้ะเด็กๆ ไปเรียนกันมาเป็นยังไงบ้าง”

เงียบ...ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบเลยสักคน เด็กๆ หันมองหน้ากันเลิกลักเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนตอบ เพราะไม่ว่าใครก็กลัวกันทั้งนั้น

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ดุหรอก ที่เรียกมาก็แค่จะถามไถ่ พูดคุยเท่านั้น ตรงนี้ใครอายุมากที่สุดหรือ” คุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้เด็กๆ เริ่มผ่อนคลาย

“ผะ ผมครับท่าน ผมอายุสิบเจ็ด อยู่มอปลายครับ”

“น่ะ หนูก็อายุสิบเจ็ดค่ะ”

“คงอยู่ในช่วงคิดว่าจะต่อมหาวิทยาลัยไหนสินะ ตั้งใจเตรียมตัว อ่านหนังสือล่ะ”

“ค่ะ/ครับ”

“ฉันอยากจะถามพวกเธอว่ามีอะไรที่ต้องการหรือเปล่า พอดีฉันอยากจะลงพวกเครื่องเล่นให้ในสวน เวลาเลิกเรียนจะได้มีอะไรผ่อนคลาย เล่นสนุกตามประสาเด็กๆ ฉันให้ทุกคนได้พูดมาคนละอย่าง เตรียมเอาไว้ในใจด้วยล่ะ และห้ามบอกว่าไม่มี...เริ่มจากคนที่อายุมากที่สุดก่อนก็แล้วกัน กอบกิจช่วยลำดับให้ด้วยนะ”

“ครับท่าน”

กอบกิจเรียกชื่อเด็กๆ ทีละคน เจ้าของชื่อนั้นก็แค่บอกว่าต้องการอะไรในสวน บ้างก็บอกชิงช้า ม้านั่ง ซ้ำกันบ้างแต่ก็ไม่ได้บังคับให้หาคำตอบใหม่แต่อย่างใด บ้างก็อยากได้อะไรที่ไม่ได้อยู่ในสนามเด็กเล่น แต่ถ้าใช้ส่วนรวมได้ก็ไม่ว่าอะไร สันต์ธรฟังอย่างตั้งใจก็ได้แต่จำมันไว้ บันทึกเสียงด้วยโทรศัพท์ไปด้วยเอาไว้กลับไปนั่งฟังต่อ แล้วค่อยจัดการนำทุกอย่างมาลงให้ตามคำสั่งของคุณหญิง

“คนสุดท้ายนะครับ...น้องขวัญ”

เฮือก!

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองน้ากอบกิจพ่อของเพื่อนวัยเดียวกันนามว่าแก้วที่ตอบไปแล้วก่อนตัวเองแล้ว แต่ก็เป็นของที่ซ้ำๆ กับคนอื่น

“คือ...ไม่มีฮะ”

ตอบเสียงเบา แม้ว่าคนจะเยอะ แต่มันค่อนข้างจะเงียบกริบ ทุกคนเลยได้ยินเด็กชายตัวน้อยตอบออกไปอย่างชัดเจน คุณหญิงอัปสรมีสีหน้าแปลกใจ เพราะว่าเธอบอกไปก่อนแล้วว่าห้ามตอบว่าไม่มี ไม่อยากได้ แล้วเด็กคนนี้ก็เป็นคนเดียวที่พูดสิ่งที่เธอห้าม
สองแฝดเองก็มองหน้าของขวัญนพัตแล้วก้มองหน้ากันเอง ส่วนท่านอัศม์แม้ว่าจะไม่แสดงสีหน้าอะไร หากเขาก็นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าคำตอบของขวัญนพัตจะเป็นแบบนี้

“ทำไมถึงไม่มี” อินทร์ธรถามออกไป

“หนู...ผมไม่อยากได้อะไรฮะ”

“ทำไมถึงไม่อยากได้” อัยยวัฒน์คาดคั้น

เด็กชายบีบมือตัวเองอย่างประหม่า ใจสั่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้านทั้งสี่คนเลยสักนิด น้ำตาคลอ คนอายุมากที่สุดเห็นแล้วก็ใจอ่อน

“กอบกิจพาเด็กๆ คนอื่นกลับไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเด็กคนนี้อยู่ก่อน” สิ้นคำสั่งของคุณหญิง เด็กๆ ทุกคนก็ต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพแล้วค่อยๆ เรียงแถวกันเดินออกจากศาลาไป ทิ้งเอาไว้แค่ขวัญนพัตที่กำลังนั่งก้มหน้ากลั้นน้ำตาของตนอยู่

“ไม่มีใครอยู่แล้ว อยากได้อะไรพูดมาเลยจ้ะ” คุณหญิงคิดว่าเด็กน้อยคงไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะแยะ หารู้ไม่ว่า เด็กคนนี้ไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ

“ผม...ฮึก ผม”

“อ้าว? ร้องซะแล้ว” อินทร์ธรโพล่งขึ้น

“ไม่มีใครดุหรือว่าอะไรสักหน่อย เจ้าตัวเล็ก บอกพวกเรามา มีของที่อยากได้หรือเปล่า” อัยยวัฒน์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาก่อนจะประคองเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ให้ลุกขึ้น

“ไม่มีฮะ ฮึก...ไม่อยากได้”

มือเล็กๆ เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ปาดซ้ายที ขวาที แต่ก็ไม่หมดเสียที คงเป็นเพราะกลัวจนไม่สามารถหยุดร้องได้ และก็ไม่กล้ามองใครเลยสักคน

“แล้วกัน...”

“อัยย์...พาขวัญมานั่งนี่” สั่งน้องชายพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปข้างๆ บ่งบอกว่าให้พามานั่งข้างตน

“ครับ” แฝดน้องดันตัวเล็กให้เดินไปทางที่ท่านอัศม์นั่งอยู่ เมื่อถึงที่ท่านก็ยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งข้างๆ เป็นการกระทำที่ซ้ำรอยวันแรกที่เจอกัน ทั้งคุณย่าและน้องชายก็พากันมองภาพนี้อย่างแปลกใจ

ไม่ว่าเจ้านายคนไหนก็ไม่เคยให้ลูกของคนงานหรือคนงานขึ้นมานั่งทัดเทียมกัน...ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เกรงว่าคนงานคนอื่นอาจจะคิดเอาได้ว่าเจ้านายลำเอียง เมตตาเด็กไม่เท่ากัน แม้ว่าจะไม่มีคนงานคนไหนคิดแบบนั้นเลยก็ตาม เพราะการที่ท่านเมตตาให้อยู่ที่นี่ ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

หากเจ้านายจะเอ็นดูใครเป็นพิเศษ ก็ไม่มีใครคิดว่าลำเอียงหรอก

“บอกฉันมาซิ ว่าทำไมถึงไม่อยากได้” เจ้าตัวเล็กน้องไห้ตัวโยน ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผู้ใหญ่ห้าคนที่กำลังจ้องมองตนอยู่

“เด็กคงกลัวน่ะลูก” ผู้เป็นย่าเอ่ย

เธอเองก็อยากจะเข้าไปปลอบอยู่หรอก เพียงแต่เห็นว่าหลานชายคนโตกำลังสนใจเด็กน้อยคนนี้ทั้งๆ ที่ไม่ปกติไม่ชอบเข้าใกล้เด็กที่ไหนก็พลอยอยากจะเห็นว่าหลานชายจะรับมือเช่นไร

“ว่าไง...ตอนเจอกันครั้งแรกก็กลัว ครั้งนี้ยังกลัวอีกหรือ ฉันไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้จะทำโทษเธอด้วย เพราะฉะนั้นหยุดร้องได้แล้ว แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าลูกผู้ชายร้องไห้บ่อยๆ มันไม่ดี อยากจะปกป้องแม่ไหม ถ้าอยากก็ต้องเข้มแข็ง หยุดร้องไห้เสีย”

“ครับ ฮึก...จะปกป้องแม่ ฮึก” เด็กน้อยพยายามที่จะหยุดร้องไห้ มือปาดน้ำตาตัวเองออก ข่มตัวเองให้ไม่กลัว เพราะถ้าคิดว่าตัวเองกลัว ตนก็จะร้องไห้

สองแฝดมองหน้ากัน สีหน้าบอกบอกว่าความอิจฉานิดๆ เพราะกับทั้งคู่ พี่ชายไม่เคยพูดด้วยอย่างอ่อนโยนแบบนี้เลย แต่กับลูกคนงานคนนี้ พี่ชายกลับเอ็นดูมากกว่าน้องชายแท้ๆ เสียอีก

“หยุดยัง”

“ครับ อึก” แม้ว่าจะหยุดร้อง แต่ก็จะสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ ดวงตาที่ยังมีคราบน้ำตาติดตามแก้มและใต้ตาค่อยๆ หันไปมองร่างสูงข้างๆ เลยไปยังอินทร์ธร อัยยวัฒน์ คุณหญิงอัปสร และลุงสันต์ของตน

ทุกคนเห็นเห็นใบหน้าของเด็กน้อยอย่างชัดเจนก็รู้สึกว่าน่ารัก น่าเอ็นดู ต่างจากเด็กๆ ลูกคนงานทุกคน บ่งบอกว่าบุพการีต้องหน้าตาดีอย่างแน่นอน เพราะไม่งั้นลูกคงไม่ขาว ผิวพรรณดี และหน้าตาน่ารักแบบนี้

จริงอยู่ที่พ่อของขวัญนพัตเป็นเศรษฐีที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แม่เองก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้หญิงสวย งดงาม ทั้งหน้าตาและกริยา

“เก่งมากเด็กดี ว่าแต่เป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ย่าไม่เคยเห็นเลย”

“ลูกของคนงานใหม่ที่เพิ่งรับทำงานเมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับคุณหญิง ยังไงผมขออนุญาตเล่านะครับ” ท่านอัศม์พยักหน้าน้อยๆ หากแต่สายตาก็ยังคงจ้องเด็กน้อยที่นั่งเทียมตนก็สูงไม่ถึงอก

ทั้งสามท่านนั่งฟังสันต์ธรเล่าเรื่องของขนิษฐาแม่ของเด็กน้อยให้เจ้านายรับฟัง ทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะหันมาจ้องมองเด็กด้วยความอาทร สงสาร ก็จริงอยู่ที่คนงานที่นี่ต่างก็ไม่ค่อยจะมีฐานะ มาก็เพื่อพึ่งใบบุญของพวกท่าน เพียงแต่หญิงสาวที่วัยยี่สิบปลายๆ ในสภาพที่น่าเวทนามาล้มอยู่หน้าบ้านก็เป็นอะไรที่หนักหนาเอาการ แต่ก็ยอมรับว่าแม่ของเด็กคนนี้ต้องเป็นคนแข็งแกร่งมาก

“ดีแล้วที่ช่วยเธอกับลูกไว้...ยังไงก็คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่ในสบายใจ ไม่ต้องกลัวนะลูก” ประโยคหลังเธอหันมายิ้มให้กับเด็กชายขวัญนพัตอย่างอ่อนโยน เจ้าตัวน้อยที่เข้ากับคนง่ายอยู่แล้วพอเห็นว่าเจ้านายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ยิ้มให้จนตาหยี สองมือเล็กประนมกันที่กลางอกแล้วไหว้อย่างสวยงาม

“ขอบคุณครับคุณหญิง” เด็กน้อยเรียกตามลุงสันต์ของตน เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนได้ไม่ยาก ขนาดคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างท่านอัศม์ยังยิ้มบางๆ

“ฮึ่ย! มันเขี้ยวว่ะเจ้าตัวเล็ก” อินทร์ธรลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งข้างๆ กับขวัญนพัตอีกด้านแทน มือใหญ่ขยี้เบาๆ ที่กลุ่มผมนุ่มของเด็กน้อย

“งื้อ...อย่าทำหนู”

“แก้มน่าฟัดมากเลย” อัยยวัฒน์เอื้อมแขนผ่านพี่ชายคนโตไปดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นไม่แรงมากนัก เจ้าตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แล้วหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย

อัศม์เดชปล่อยให้น้องชายแฝดเล่นกับขวัญนพัตเพื่อให้เด็กน้อยผ่อนคลาย ซึ่งมันก็ได้ผลตามที่คาด และเสียงทุ้มก็เอ่ยห้ามปรามน้องชาย “พอแล้ว”

“คร้าบบบ” ทั้งสองรับคำเสียงยาวกวนประสาท พี่ชายคนโตส่ายหน้าไปมา รู้สึกระอาใจกับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของทั้งสองคน ทั้งที่อายุอ่างกันเพียงสองปีเท่านั้น

“เอาล่ะขวัญ จะตอบได้หรือยังว่าจะเอาอะไร ทุกคนตอบหมดแล้วนะ ไม่ตอบไม่ได้ พวกฉันไม่อยากกลายเป็นเจ้าบ้านที่ให้ของไม่เท่าเทียมกัน”

เด็กชายเม้มปาก พยายามนึกสิ่งที่อยากได้ แต่ก็นึกยังไงก็ไม่ออก เพราะของที่ใช้ร่วมกับคนอื่นได้เด็กน้อยไม่มี ยังไงก็ต้องเล่น ต้องใช้ด้วยกัน ทุกคนก้บอกไปหมดแล้ว

ขวัญนพัตไม่มีของที่อยากได้จริงๆ

“ไม่มีฮะ...ผมไม่อยากได้ ที่อยากเล่นทุกคนก็พูดไปหมดแล้วครับ ผมรอเล่นกับทุกคนก็ได้”

“แล้วมีอย่างอื่นที่อยากได้หรือเปล่า” คุณหญิงอัปสรถามขึ้น

“ของที่ใช้ร่วมกับคนอื่น หนู...เอ่อ ผมไม่มี แต่มีของที่อยากจะให้แม่ครับ” เด็กน้อยพูดอ้อมแอ้ม แต่สิ่งที่พูดออกมาสร้างความประหลาดใจให้แก่คนฟังนัก

“อะไรล่ะจ้ะ”

“ยาฮะ...ยาที่แม่กินทุกวัน ผมเห็นมันหมดไปตั้งแต่สามวันก่อน แม่บอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมไม่เชื่อ แม่ชอบปวดหัวแล้วล้มบ่อยๆ”

“ยาอะไรสันต์ วันที่หมอมาตรวจตอนนั้นก็รายงานว่าแค่อ่อนเพลียไม่ใช่เหรอ” ท่านอัศม์หันไปถามคนสนิท ใบหน้าไม่พอใจเพราะคิดว่าคนทำงานพลาด

“หมอแค่ตรวจร่างกายภายนอกครับว่าต้องพักผ่อนกี่วัน ส่วนโรคที่อาจจะเป็นต้องใช้การตรวจที่โรงพยาบาลหรือตรวจอย่างอื่นประกอบกันด้วยถึงจะทราบได้ครับ แต่ถ้าเอาตัวถุงยาไปให้หมอดูน่าจะได้คำตอบนะครับว่าขิมเธอกินยาอะไรอยู่”

“จัดการด้วย”

“ผมว่าผมจะไปคุยกับขิมตรงๆ ดีกว่า ยังไงเธอก็ไม่ควรปิด ยิ่งปัญหาสุขภาพยิ่งไม่ควรปิดครับ”

“งั้นก็จัดการตามวิธีของสันต์ได้เลย”

“ครับท่าน”

เด็กน้อยมองผู้ใหญ่คุยกันไปมา ไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่ก็จับใจความได้ว่าท่านอัศม์จะช่วยแม่ของตน เด็กน้อยยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณทุกๆ คนอย่างเด็กที่ถูกสอนมาดี

“ขอบคุณนะฮะ”

“ชื่ออะไรนะเราน่ะ” อัยยวัฒน์ถาม แม้ว่าจะรู้แล้ว แต่ก็อยากให้เจ้าตัวน้อยแนะนำกับปากตัวเอง

“หนู...ผมชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นชื่อขวัญครับ!!” แนะนำตัวเองเสียงดังฟังฉัน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดีเลย

ท่านอัศม์ที่เหนื่อยๆ จากงานมาก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย

“แทนตัวเองว่าหนูก็ได้จ้ะ น่ารักดี เรียกฉันว่าคุณย่าก็ได้นะ” คุณหญิงอัปสรรู้สึกเอ็นดูมาก เพราะเด็กคนนี้แม้ว่าช่วงแรกๆ จะเกร็ง แต่ตอนนี้กลับผ่อนคลายและคุยเก่งกว่าที่คิด แล้วในความคุยเก่งยังมีมารยาทที่ไม่ค่อยจะหาได้ในวัยซนเท่าไหร่นัก

“ไม่ได้ฮะ แม่บอกว่าอย่าทำตัวเสมอเจ้านาย มันไม่ดี”

“แต่ฉันให้เรียก ก็เรียกเถอะ”

“ผมเรียกคุณหญิงย่าได้ไหมฮะ”

“คุณหญิงย่า? อืม...ก็แปลกดี ไม่เหมือนใครด้วย โอเคจ้ะ ฉันจะให้เราเรียกว่าคุณหญิงย่าก็ได้ แต่เราต้องมาเล่นกับฉันที่นี่ทุกวันได้หรือเปล่า หลังเลิกเรียนก็มาได้เลย พี่ๆ สองคนนี้ไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยนักหรอก เรียนหนัก ฉันก็เหงา อยากมีเพื่อนคุย”

“คุยกับหนูเหรอ? ไม่ดูไร้สาระใช่ไหมฮะ แก้วชอบว่าหนูพูดมาก ไร้สาระ คุณหญิงย่าจะไม่ปวดหัวใช่ไหมฮะ”

“ฮะๆ จะทำให้ปวดแค่ไหนกันเชียว ตัวแค่นี้เอง”

“งั้นหนูจะมาทุกวันเลย คุณหญิงย่าจะมีอะไรให้หนูทำด้วยไหมฮะ ถ้าคุยเฉยๆ หนูกลัวจะมีเรื่องคุยไม่พอ” เด็กน้อยถามหน้าตาซื่อ

“ฮ่าๆ”

ทุกคนหัวเราะร่วน มองกันไปมาเพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้หัวเราะอย่างสนุกสนานกันแบบนี้ ส่วนท่านอัศม์ ถึงจะไม่หัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศของท่านดูผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็น

“ฉันล่ะชอบเด็กคนนี้จริงๆ เห็นทีต้องจับมัดเอาไว้ที่นี่ไม่ให้ไปไหนเสียแล้วล่ะ ขวัญ...โตไปอยากเป็นอะไรล่ะเรา”

“ไม่เอาอุลตร้าแมน” อินทร์ธรแทรกขึ้น เกรงว่าจะได้คำตอบแบบที่พวกเด็กๆ ชอบตอบ แน่นอนว่าตอนเด็กๆ ครูเคยถามเขาแบบนี้เช่นกัน และเขาก็ตอบไปแบบที่ห้ามขวัญนพัตนั่นแหละ

“ใช่...ไม่เอาพวกฮีโร่ การ์ตูนด้วย” อัยยวัฒน์สมทบ

หนูน้อยเอียงคอทำหน้าครุ่นคิดนิดๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ

“เป็นเหมือนแม่ฮะ!!”

“ยังไงวะนั่น?” สองแฝดพึมพำเพราะไม่เข้าใจ

“ทำไมถึงอยากเหมือนแม่ล่ะ” คุณหญิงถามต่อ

“แม่ของหนูเก่ง ทำได้ทุกอย่าง ทำอาหารก็อร่อย ทำขนมเก่ง ทำชุดก็สวย ร้อยพวงมาลัยก็เป็น แม่สวย แม่เรียบร้อย หนูอยากเก่งทุกอย่างเหมือนแม่เลยฮะ”

อัศม์เดชทำหน้าไม่ถูกเพราะคิดภาพตามเจ้าตัวเล็กเป็นเหมือนแม่ไม่ออก คนอื่นๆ ก็เอาแต่หัวเราะ หากสายตากลับอ่อนโยนมองขวัญนพัตอย่างเอ็นดู

เขาก็คิดแบบนั้น...ขวัญนพัตน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ ที่ว่าเช่นนั้นเพราะเขาไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่ แต่กับเด็กคนนี้เขากลับรู้สึกว่าอยากเห็น อยากแกล้ง...หรือจะรับเป็นน้องชายบุญธรรมดี

“อยากเป็นแบบแม่ก็ต้องตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึกฝนนะขวัญ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะสอนให้ก็แล้วกัน เริ่มจากง่ายๆ ไม่อันตราย คือการจัดดอกไม้ สนใจไหม พรุ่งนี้มาเรียนจัดดอกไม้ จัดเสร็จจะเอาไปตั้งโชว์ที่ห้องหรือให้แม่ก็ได้”

“สนฮะ! หนูอยากจัดให้แม่ พรุ่งนี้หนูจะรีบมาหานะฮะคุณหญิงย่า”

คนอายุมากที่สุดสบตากับหลานชายคนโตด้วยดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสนุก ตื่นเต้น แปกใจเล็กน้อยที่ขวัญนพัตทำให้คุณย่าของตนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ตั้งแต่พ่อของเขาเสีย คุณย่าก็เหมือนไม่อยากจะทำอะไรอีกเลย เอาแต่เดินเล่น นั่งเล่น อ่านหนังสือ กิจกรรมโปรดๆ ที่ตัวเองเคยทำมาตลอด ก็ไม่คิดที่จะแตะอีกเลย พอจะกลับมาจับมันอีก ก็เป็นเพราะเหตุผลที่ถ้าเอาไปพูดที่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อแน่
เพราะเด็กห้าขวบ...


หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกวันหลังจากที่เด็กชายขวัญนพัตกลับมาจากโรงเรียน ก็จะตรงมาที่ศาลากลางสระบัวซึ่งคุณหญิงย่าจะนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเด็กที่คอยอยู่รับใช้ มีไม่กี่คนที่รู้ว่าขวัญนพัตมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงอัปสร แม้แต่ขนิษฐาผู้เป็นแม่เองก็ไม่ทราบ หากแต่เธอก็สงสัยว่าลูกชายไปหัดจัดดอกไม้มาจากไหน ถามเจ้าตัวดีก็ไม่ตอบอะไร บ่ายเบี่ยงจนเธอเดาเองว่าคงเป็นคนงานด้วยกันนั่นแหละที่สอนให้

ขวัญนพัตกลายเป็นลูกศิษย์คนสนิทของคุณหญิงย่าไปเลย ผ่านไปสามเดือนกว่า น้องเรียนรู้การจัดดอกไม้ทุกรูปแบบด้วยความตั้งใจ จนจำได้และชำนาญ น้องตั้งใจ ไม่เคยหนีไม่เคยบ่น ในทุกๆ วันมักจะสนุกโดยไม่ต้องเล่นกับเพื่อนเลยก็ได้ แต่บางวันท่านก็ปล่อยให้ขวัญนพัตไปเล่นกับเพื่อนบ้าง เพราะเด็กยังไงก็ต้องมีเพื่อน บางวันก็มีอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์มาเล่นเป็นเพื่อน สำหรับเด็กน้อยคิดว่าสองแฝดมาแกล้งมากกว่า

ส่วนท่านอัศม์จากวันนั้นก็ไม่ค่อยมาเท่าไหร่นักเพราะต้องทำงานและเคลียร์งานก่อนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ท่านก็มักจะมาทักทายคุณย่าของตนบ้างแต่ก็รีบกลับไปทำงานบนห้องต่อ ไม่ได้มีเวลามานั่งเล่นด้วยแต่อย่างใด ซึ่งสำหรับขวัญนพัตนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้ง น้องก็ไม่เคยชินกับท่านเสียทีและยังกลัวท่านเสมอ

คุณหญิงอัปสรเดิมทีท่านเหงามากอยู่แล้ว พอมีขวัญนพัตท่านเลยมีความสุขเหมือนแต่ก่อนได้ ท่านจึงเอ็นดูเด็กน้อยมากเป็นพิเศษ และมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นความผูกพันและความรักไปโดยไม่รู้ตัว ตั้งใจว่าจะสอนทุกอย่างที่ตัวเองเป็นให้ ซึ่งลืมไปเลยว่าขวัญนพัตเป็นเด็กผู้ชาย

ทว่า ลมแห่งความสงบสุขมักจะผ่านไปเร็ว พายุร้ายกำลังจะเข้ามาพัดกระหน่ำชีวิตของขวัญนพัตให้พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...





----- To be continue -----
   ชอบหนูขวัญกันไหมคะ ฮือ...จำได้ว่าตอนที่แต่งเอ็นดูน้องมาก ไม่รู้ตัวเองจะสื่อถึงทุกคนหรือเปล่านะคะ ฝากเข้าไปติดตามยูกิในทวิตเตอร์ @Sawachi_Yuki กับแฟนเพจ Sawachi Yuki นะคะจะไม่พลาดการอัพเดตแน่นอน หรือกดแอด Fav. ไว้ก็ได้จ้า ลงปุ๊บแจ้งเตือนปั๊บเลย

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1600
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชอบหนูขวัญญญ ตอนแทนตัวเองว่าหนูยิ่งน่ารักกก
แงงงง ตอนท้ายคืออะไรรร  :ling3: :katai1:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :z3: หนูขวัญจะเจอกับอะไรเนี่ย

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องขวัญน่ารักมาก
เรียนจบหลักสูตรคุณย่าหนูจะนุ่มนิ่มขนาดไหนเนี่ย

 :pig4:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :3123:
 :pig4:
สนุกๆ ตามๆ

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
จะเกิดอะไรขึ้นกับหนูขวัญนะ หรือว่าแม่จะป่วยหนัก

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
3
จากกัน...เพราะ ‘โชคชะตา’




“ปฏิเสธทางตระกูลจินตนภูวดลไปได้เลยสันต์ ฉันกับคุณสิริกัญญาไม่สามารถสานต่อความสัมพันธ์ได้ แล้วก็เรียนคุณแม่ให้เข้าใจด้วยว่าฉันลองทำความรู้จักด้วยแล้วหนึ่งอาทิตย์ตามที่ท่านต้องการ แต่ฉันก็ไม่สนใจเธออยู่ดี พูดง่ายๆ คือเธอไม่มีคุณสมบัติในการเป็นภรรยาของฉัน”

“ได้ครับท่านอัศม์ แล้วคุณราชาวดีจากตระกูลมณีรังสรรค์ล่ะครับ ท่านจะตอบรับการดูตัวหรือไม่”

“เฮ้อ...มีคนส่งลูกสาวมากี่ตระกูลกัน” ท่านถอนหายใจออกมา

ในวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสามที่เรียนจบระดับปริญญาตรีและเป็นผู้นำตระกูล นี่ไม่ใช่วัยที่เร็วเกินไปที่จะหาคู่ครอง ส่วนตัวท่านเองก็ไม่คิดเรื่องรักๆ ใครๆ อยู่แล้ว ถ้าต้องมีภรรยาก็แค่มีและทำไปตามหน้าที่ที่ต้องมีทายาทสืบทอดตระกูลเท่านั้น เขาไม่สนใจว่าภรรยาจะเป็นคนที่ตัวเองรักหรือชอบพอหรือไม่ แต่ต้องเป็นคนที่เขารู้สึกต้องชะตาด้วย ยังไงเขาก็ต้องการที่แต่งงานครั้งเดียว ต้องการผู้หญิงที่เข้าใจงานของเขา และไม่เรียกร้องหากจะไม่สนใจใยดีหรือมีเวลาให้

พูดง่ายๆ ว่าเขาต้องการแค่คนมาทำหน้าที่เป็นแค่ภรรยา ดอกไม้ประดับข้างกาย ไม่ใช่คนรักที่เขาต้องดูแลเอาใจใส่...แต่ถ้าเจอคนที่ตัวเองรู้สึกว่าจะรักได้ เขาก็ไม่ปล่อยเอาไว้หรอก เพียงแค่ยังไม่มี...

เมื่อก่อนไม่มี

ตอนนี้ก็ยังไม่มี

แล้วไม่แน่ว่า...คงจะไม่มีตลอดไป

“มีเยอะเลยครับ เกือบครบทุกตระกูลที่เป็นพันธมิตร แล้วก็คนที่นายหญิงหามาเองด้วยครับ”

หลังจากที่ลองคบกับลูกสาวที่ถูกเสนอมาจากตระกูลพันธมิตรและคนที่แม่แนะนำ ท่านอัศม์ก็ไม่เห็นจะรู้สึกถูกใจหรือต้องชะตากับใครเลย ก็มีบ้างที่ท่านพึงใจและอยากดูให้นานกว่านี้ ก็เพิ่มระยะเวลาในการคบหาเป็นสองอาทิตย์หากแต่ก็ไม่เคยเกินนี้นัก

“หยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉันไม่อยากหาแล้ว แต่งตอนเรียนจบก็ยังไม่สาย”

“ตอนนั้นท่านก็สามสิบสี่แล้วนะครับ”

“สามสิบแล้วไง วัยนั้นก็ถือว่ายังเหมาะสม ให้ฉันทุ่มเทไปกับการเรียนและทำงานก่อน ระหว่างนี้ถ้าเจอใครถูกใจเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ” ท่านบอกอย่างไม่ใส่ใจ

“ครับท่าน”

ถึงท่านอัศม์จะทดลองคบหาดูใจกับลูกสาวจากตระกูลต่างๆ แต่ท่านไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนที่ดูตัว ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นปัญหานำมาซึ่งการผูกมัดตัวเขาเองก็ได้ หากมีความต้องการปลดปล่อย เขาก็จะใช้บริการจากคนที่รู้จักและมอบค่าปิดปากที่มากพอควร พร้อมกับกฎที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด คือห้ามนำชื่อของเขาไปหากิน ห้ามให้คนที่มาบริการเขานำไปเผยแพร่หรือป่าวประกาศ แล้วท่านอัศม์จะไม่ให้คนเดิมๆ มาบริการ ต้องหาคนมาเปลี่ยนเสมอ แต่ถึงอย่างไรท่านก็ทำงานหนักอยู่ตลอด เวลาพักผ่อนไม่ค่อยมี ท่านเลยไม่ค่อยจะมีความต้องการเท่าไหร่นัก นานๆ ทีถึงจะปลดปล่อยบ้าง

“แล้วเรื่องของแม่เด็กคนนั้นล่ะ”

“ครับ ผมเองก็ได้ให้กอบกิจพาไปหาหมอตลอดทุกนัด อาการไม่ออกมากเท่าไหร่คงเป็นเพราะว่ามีความสุข แต่ก็ใช่ว่าจะหายได้”

“รักษาไม่ได้เหรอ ถ้ารักษาได้ก็รักษาไปเลย ฉันออกทุกอย่างเอง แล้วให้เขาทำงานชดใช้ก็พอ”

“ขิมบอกผมว่า เธอเป็นเนื้องอกในสมองแต่เพราะว่าอาจจะเคยทำงานโรงงาน คงโดนพวกรังสี บวกกับความเครียดต่างๆ แล้วเงินก็ไม่มีพอจะรักษาตัวเองเลยปล่อยไว้แบบนั้น เนื้องอกในสมองครับเลยลามเป็นมะเร็งในสมอง เธอเล่าว่าประมาณห้าเดือน ก่อนจะมาทำงานที่นี่ก็ไปตรวจมาแล้ว พบว่าอยู่ในระยะสอง แต่ตอนนี้ล่าสุดที่เมื่อสามเดือนก่อนที่เราคุยกับขวัญ ผมพาไปตรวจ ผลคือระยะสุดท้ายครับ คงได้แต่รอและทำใจอย่างเดียวครับ”

ท่านถอนหายใจ คิดถึงหน้าสดใสๆ ของเด็กนั่น ที่กำลังจะเต็มไปด้วยน้ำตาก็อดหวั่นใจไม่ได้

“เธอปฏิเสธการรักษา เพราะรู้ดีว่าคงจะไม่หาย เธอรู้มันช้าไปแล้ว ตอนนี้เธอทำใจและทานยาระงับอาการครับ”

ท่านอัศม์พยักหน้าเบาๆ

“หมอบอกไหมว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“หมอบอกว่าแล้วแต่คนครับ บางคนอาจจะอยู่ได้สามเดือน หกเดือน บางคนอยู่ได้เป็นปีก็มีครับ ขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละคน”

“ก็ช่วยดูแลเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”

“ครับท่าน”

ท่านเห็นใจทั้งแม่และลูก แต่โรคภัย ไข้เจ็บ และความตาย มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะวันไหนทุกคนก็ต้องประสบด้วยกันทั้งสิ้น

หากแต่กับผู้หญิงที่เป็นคนดี รักลูกมากที่สุด ทำทุกอย่างก็เพื่อลูกอย่างขนิษฐา ท่านกลับรู้สึกว่าอยากให้เธอหาย อยากให้อยู่กับลูกชายไปนานๆ

อย่าเพิ่งพรากรอยยิ้มของเด็กคนนั้นไปเลย


แต่เหมือนว่าคำขอของท่านอัศม์จะไม่สัมฤทธิ์ผลเมื่อขนิษฐาอาการทรุดและล้มลงระหว่างที่กำลังทำงาน คนงานต่างพากันช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลโดยที่มีพิไลกับกอบกิจเป็นผู้ดูแลจัดการให้ กอบกิจรายงานสันต์ธรทันทีจึงได้พามาโรงพยาบาลที่ตระกูลเตชโรจนโสภณเป็นผู้บริหาร

ระหว่างรอหน้าห้องพิไลก็ได้รับฟังจากปากของกอบกิจว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง เธอน้ำตาไหลร้องไห้ด้วยความสงสารเห็นใจ ตลอดหลายเดือนที่ทำงานกับขนิษฐา พิไลเป็นคนที่ดูแลและสอนงานตลอด เธอเอ็นดูขนิษฐาเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง คิดว่าดีแล้วที่ขนิษฐาได้มาพึ่งใบบุญของท่าน แต่ก็ไม่นึกเลยว่าความโชคร้ายของขนิษฐามันยังไม่หมดไป...

“ฮึก...ทำยังไงดี”

“ป้าพิไล ทำใจเถอะป้า ฉันเองก็ทำใจมาตั้งแต่รู้พร้อมคุณสันต์แล้ว”

“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ฮึก ทำไม”

“พี่ขิมเธอขอ เธอไม่อยากให้ทุกคนเอาแต่พะวงว่าเธอจะทำงานไม่ได้ ไม่กล้าใช้งานเธออย่างเต็มที่ พี่ขิมแค่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ตอบแทนพระคุณท่านเท่านั้น”

พิไลไม่มีอะไรจะพูด เธอได้แต่นั่งร้องไห้จนกระทั่งหมอออกมาบอกว่าปลอดภัยแล้วย้ายไปยังห้องพิเศษที่ใช้อำนาจของท่านอัศม์ในการเข้ามาพัก

กอบกิจรายงานอาการให้กับสันต์ธรทราบ เมื่อถึงเวลาที่เด็กๆ จะเลิกเรียน ขนิษฐาฟื้นแล้ว แต่เขาต้องออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปรับเด็กชายขวัญนพัตมาเยี่ยมแม่ ซึ่งพิไลเป็นคนนั่งเฝ้าอยู่ในห้อง

“ป้าพิไล”

“มีอะไร พักผ่อนไปเถอะ” หญิงวัยกลางคนมองหน้าคนที่หน้าซีดนอนบนเตียง สั่งเสียงดุแบบปกติของตนเอง ทั้งๆ ที่ใจกำลังร่ำร้อง

“รู้แล้วใช่ไหมจ้ะ”

“อืม...ทำไมถึงไม่บอกฉัน ไหนว่าเคารพฉันเหมือนแม่ แต่เรื่องแบบนี้กลับไปบอกกัน” ปลายประโยคเสียงของพิไลสั่นจนจับได้
ขนิษฐายกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษนะจ้ะ ขิมไม่อยากให้ป้าเป็นห่วง”

“ถ้าไม่อยากเป็นห่วงทำไมถึงไม่รักษา”

“การรักษามันแพง ถึงท่านจะช่วยแต่มันก็สายไปแล้วจ้ะป้า มันสายไปแล้ว...ขิมรู้ช้าไป ตอนนี้ก็แค่ทำใจแล้วก็ใช้เวลาอยู่กับลูกให้นานที่สุดก็พอ” น้ำตาของหญิงต่างวัยทั้งสองคนรินไหล

“ขิมเอ้ย...ทำไมชีวิตเธอถึงได้เป็นแบบนี้”

“ป้า...ถ้าขิม ฮึก ถ้าขิมไม่อยู่แล้ว ขิมฝากหนูขวัญได้ไหม อย่าทิ้งหนูขวัญ ช่วยเลี้ยงแกหน่อยได้ไหมจ้ะ ขิมมีเงินในบัญชีที่ได้รับจากการทำงานทั้งหมด แม้มันจะไม่พอให้ขวัญโต แต่อย่าเอาแกไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าได้ไหมจ้ะ ให้แกทำงานแลกข้าว ได้เรียนสูงๆ แล้วก็ให้แกทำงานใช้ทุนแก่ท่าน”

“ทำไมต้องมาพูดตอนนี้ หมอบอกว่าเธอมีโอกาสอยู่ได้อีกนานเพราะสภาพจิตใจดี ร่างกายก็บำรุงเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีความเครียดเธอก็จะไม่ปวดหัว เธอสามารถหายได้ถ้ารักษา คิดดีๆ ไหม อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย”

เธอส่ายหน้าเพราะรู้ว่ามันไม่เป็นความจริง ระยะสุดท้ายแบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางรอด

“ฉันแค่อยากพูดเอาไว้ ป้ารับปากกับฉันนะจ้ะ แล้วฉันสัญญาว่าจะอยู่ให้ได้เป็นปีๆ เลย” แม้ว่าใบหน้าจะซีดเซียว แต่รอยยิ้มของเธอช่างงดงามเสมอ

พิไลพยักหน้ารับฝากทั้งน้ำตา มือที่เหี่ยวไปตามวัยเอื้อมไปลูบเบาๆ ที่ผมของขนิษฐา มันเป็นผมจริง ที่ไม่ร่วงเพราะเธอไม่ได้รักษา อาการแปลกๆ ที่ทำงานร่วมกันมาหลายเดือน ทำไมเธอเพิ่งจะมาสังเกตได้ตอนที่รู้แล้ว ทำไมไม่สังเกตถึงความผิดปกติมาตั้งแต่แรก...

ทำไมเธอถึงต้องอดทนขนาดนี้...


เกือบชั่วโมงที่ห้องพักพิเศษเงียบ พอเด็กชายขวัญนพัตยอดดวงใจของขนิษฐามาถึงก็พุ่งเข้าไปหาแม่ข้างเตียงร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย สะอึกสะอื้นตัวโยน ทำเอาพิไลกับเธอช่วยกันปลอบไปหลายนาทีเลยกว่าหยุดร้องแล้วยิ้มออกมาได้ เด็กชายตัวน้อยสบายใจที่เห็นแม่พูดคุยและยิ้มแย้ม ชวนแม่คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ตอนที่ตัวเองอยู่ในโรงเรียนเจื้อยแจ้ว น่ารักน่าเอ็นดู

ความไม่ประสาของเด็กทำให้พิไลมองภาพนี้น้ำตาคลอ

“หนูกับแก้วได้ออกไปร้องเพลงหน้าห้องด้วย”

“เหรอจ้ะ เก่งจัง”

“งื้อ เพื่อนๆ ชมว่าหนูร้องเพลงเพราะ”

“เรื่องนี้แม่รู้ หนูขวัญร้องเพลงเพราะจริงๆ”

มีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่รู้ว่าลูกมีพรสวรรค์ด้านใด ตั้งแต่เลียนแบบได้ก็เอาแต่ร้องเพลงตามเพลงที่เธอเปิดวิทยุให้ฟัง พอพูดได้ก็ร้องตามเป็นคำๆ ได้ พอมันเข้าที่เข้าทาง ก็ทำให้รู้ว่าลูกชายเธอร้องเพลงเพราะ

“โอ๊ะ...น้ากิจ แล้วคุณหญิงย่าจะไม่รอหนูเหรอจ๊ะ” เด็กน้อยคิดได้จึงหันไปหากอบกิจ ซึ่งได้ยินแบบนั้นก็ตาโต ลืมแจ้งเรื่องนี้ไปสนิทเลย แต่คงคิดว่าสันต์ธรคงแจ้งให้แล้ว พอโทรถามสันต์ธรก็ปรากฏว่าแจ้งท่านให้แล้วจริงๆ

“คุณหญิงย่า?” ขนิษฐากับพิไลเรียกชื่อนั้นอย่างสงสัย

“คุณหญิงอัปสรน่ะป้า คงจำที่เด็กๆ ถูกคุณหญิงท่านเรียกไปเรื่องถามพวกของเล่นได้ไหม ตอนนั้นท่านอัศม์ให้หนูขวัญอยู่คนเดียว คนอื่นๆ กลับไปก่อนรวมถึงตัวผมด้วย ไม่รู้อีท่าไหนหนูขวัญก็กลายเป็นคนโปรดท่านไปแล้ว”

“จริงหรือครับ” คนเป็นแม่ถาม

“ฮะ...หนูไปเรียนจัดดอกไม้กับคุณหญิงย่าทุกวันเลย”

“อ๋อ...”

ในที่สุด สิ่งที่เธอสงสัยมาตลอดก็ได้รับคำตอบเสียที เธอน้ำตาคลอเพราะซาบซึ้งที่คุณหญิงท่านเอ็นดูขวัญนพัตลูกชายเธอถึงเพียงนี้

“ทำตัวดีๆ นะลูก ท่านเมตตาหนูก็ดีแล้ว อย่าดื้อ อย่าเอาแต่ใจกับท่านนะครับ ยังไงท่านก็เป็นเจ้านาย และเราก็ไม่ได้จะมีสิทธิ์มากกว่าทุกคนนะลูก”

“ฮะ...เข้าใจฮะ”

“ดอกไม้ที่หนูจัดก็สวย เก่งมากเลยที่เรียนรู้ได้ไว ท่านสอนอะไร หนูก็เรียนรู้เอาไว้นะลูก ไม่ต้องสนเพศ ผู้ชายก็สามารถหยิบจับงานบ้าน งานฝีมือได้ไม่ต่างกันนะลูก เรียนรู้ไว้จะได้มีวิชาชีพติดตัว”

“หนูจะเก่งเหมือนแม่ฮะ”

“จ๊ะ แม่จะเอาใจช่วย”

เธอไม่ใช้คำว่าจะคอยดู เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่อยากพูดให้ความหวังลูก แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่รู้ประสาว่าประโยคไหนหมายถึงอะไรก็ตาม

“แล้วแม่ไม่เป็นไรจริงๆ นะฮะ”

“ไม่เลย แม่แค่ไม่สบายนิดหน่อยเอง”

“เหรอฮะ ดีแล้วฮะ”

“ทำไมล่ะตัวเล็ก แม่ป่วยแล้วจะไม่ดูแลแม่เหรอ”

“หนูจะดูแลแม่เหมือนทุกครั้งแหละฮะ เรามีกันสองคนนี่นา แม่ป่วยหนูดูแล ตอนหนูป่วยแม่ก็ดูแล สลับกันๆ”

รอยยิ้มเอ็นดูถูกส่งไปให้เด็กตรงหน้า เธอเงยหน้าสบตากับพิไลและกอบกิจด้วยสีหน้าที่มีความสุขจนทั้งสองคนสบายใจ...
มั่นใจว่าขนิษฐาจะอยู่กับเราได้อีกนาน...


เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปี นับจากวันนั้นก็สิบเอ็ดเดือนกว่า เด็กชายขวัญนพัตก็ใกล้จะจบจากชั้นอนุบาลแล้วอีกไม่กี่เดือน ขนิษฐายังมีชีวิตอยู่อย่างที่เข้าใจ แต่ก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ หากแต่ชีวิตประจำวันการกินอยู่ของเธอช่างมีความสุข บรรยากาศในแต่ละวันก็ผ่อนคลายไม่มีความเครียด เธอถึงได้อยู่ได้นานถึงเพียงนี้

ขวัญนพัตเริ่มแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเป็นแม่ไม่หายเสียที แต่ผู้ใหญ่ก็เอาแต่บอกว่าแม่แค่ร่างกายไม่แข็งแรง เลยต้องดูแลตัวเองดีๆ ตลอด น้องก็เลยเลิกสงสัยแล้วก็ดูแลแม่ทุกวันอย่างไม่ปริปากบ่น คุณหญิงอัปสรรู้สถานการณ์ดีเลยหยุดสอนเด็กน้อยชั่วคราว ให้เวลาขวัญนพัตได้อยู่กับแม่ให้นานที่สุด

“แม่ฮะ เดี๋ยวหนูจะไปเก็บดอกไม้มาจัดช่อให้นะฮะ”

“อย่าไปนานนะลูก”

“คร้าบ...”

ดวงตาอ่อนล้ามองตามลูกชายที่วิ่งไปเก็บดอกไม้อย่างร่าเริง ส่วนตัวเธอเองก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ที่สามารถปรับเอนนอนได้ ไม่มีแรงจะลุกไปเดินเล่นกับลูกได้

วันนี้เป็นหยุด ขวัญนพัตไม่ต้องไปเรียน แล้วร่างกายวันนี้ของเธอก็แย่แปลกๆ จึงได้รับอนุญาตจากพิไลให้หยุดพัก

“อึก...”

เธอเริ่มรู้สึกทรมาน ปวดหัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน มันเป็นแบบนี้ทุกวัน แต่ก็ยังทนได้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่วันนี้..เธอกลับรู้สึกว่ากำลังจะทนไม่ไหว...

ถึงเวลาแล้วหรือ...

ขนิษฐายิ้ม ทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทุกอย่างเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ใช้ธรรมะเข้าช่วย สวดมนต์และนึกถึงเรื่องที่มีความสุข

“แม่ฮะ” เรียกเรียกของลูกชายดึงสติเธอให้ลืมตาขึ้น ก็พบช่อดอกไม้ช่อเล็กที่มีดอกไม้หลากหลายยื่นอยู่ตรงหน้า เธอหยิบมันมาถือไว้แนบอก มองหน้าลูกชายน้ำตาคลอ

แม่...ไม่ไหวแล้วลูก

“เรียกน้า...กิจให้แม่หน่อย”

“ได้ฮะ” เด็กน้อยร่าเริงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ วิ่งไปห้องทำงานของกอบกิจที่อยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว ไม่นานกอบกิจก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาเธอพร้อมลูกชายของเธอที่เป็นคนไปตาม

“มีอะไรพี่ขิม รู้สึกไม่ดีเหรอ ปวดหัวหรือเปล่า”

เธอได้แค่ยิ้มบางเบา ดวงตาพร่าเพราะน้ำตากำลังคลอที่เบ้า กอบกิจใจไม่ดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพิไลทันที

“ป่ะ ป้า...พี่ขิมเป็นอะไรไม่รู้ ให้ขวัญเรียกผมมาแต่ไม่บอกว่าเป็นอะไร”

ร่างสูงคุยเสร็จก็เดินมานั่งขุกเข่าที่พื้นหญ้าข้างๆ เก้าอี้ที่นอนพิงอยู่

“กิจ...ฝากดูแลขวัญด้วย...นะ”

“พี่ขิม” กอบกิจเรียกชื่อพี่สาวที่เคารพเสียงเบา เข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อดี น้ำตาเริ่มจะคลอที่เบ้าเตรียมไหลทุกเมื่อ

“ฝาก...ขอบคุณเจ้านายทุกๆ ท่าน...ป้าพิไล...คุณสันต์...ทุกๆ คน แล้วก็กิจด้วย”

“พี่ขิมพูดอะไร ผมจะเรียกหมอ”

ขนิษฐาส่ายหน้า แล้วหลับตา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ไม่ทันหรอก...พี่ ไม่ ว่ะ ไหวแล้ว”

เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่าไม่ไหวจากปากแม่ก็เริ่มร้องไห้ วิ่งเข้ามาเกาะแขนแม่อีกฝั่งหนึ่งทันที ถามเสียงสั่นๆ ว่าแม่เป็นอะไร เจ็บตรงไหน แล้วทำไมไม่หาหมอ คนเป็นแม่ที่จะไม่ได้อยู่ปกป้องลูกแล้วรู้สึกใจสลาย เสียใจที่ต้องให้ลูกมาเห็นเธอจากไปต่อหน้าต่อตา

แต่ได้มีโอกาสบอกลา...เธอก็ดีใจ

“แม่ ฮึก แม่...ไม่เอา” ขวัญนพัตเริ่มจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้ร้องไห้โวยวายเสียงดัง เด็กน้อยน่าสงสาร รู้ว่าแม่กำลังจะจากไป

“ลูกรักของแม่...แม่รักขวัญนะลูก แม่ไม่อยู่...”

“ไม่เอา! ฮือ...แม่ต้องอยู่กับหนู ฮือ ห้ามทิ้งหนู”

ขนิษฐาร้องไห้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลัว แต่กลัวแล้วได้อะไร เพราะยังไงเธอก็ต้องไป เธอไม่ไหวแล้ว...เธอทนมันไม่ได้อีกแล้ว...

“ขิม...” เสียงร้อนรนดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏ พิไลกับคนงานนับสิบมุ่งตรงมายังที่ร่างผอมบางนอนอยู่ หากแต่ก็อยู่ห่างๆ ไม่รายล้อม พิไลมานั่งลงแทนที่กอบกิจที่ลุกขึ้นไปร้องไห้ มือเหี่ยวคว้ามืออ่อนแรงของขนิษฐามากุมเอาไว้...หญิงสาวยิ้มหวานให้คนที่เธอเคารพเหมือนแม่

“ไม่ไหวแล้วเหรอลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนที่มีต่อเธอเสมอเอ่ยเสียงสั่น พิไลพยายามที่จะเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถทนมันได้ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลออกมา หญิงสาวเช็ดมันออกให้ อีกข้างยังคงจับดอกไม้แนบอก มีลูกชายร้องไห้ซบแขนเธอ

“ขิม...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณทุกๆ คนด้วยที่ช่วยเหลือกัน...เสียใจที่จะไม่ได้อยู่ตอบแทน ฮึก...ยังไงช่วยดูแลลูกชายของขิมหน่อยนะคะ แม่...ขอเรียกว่าแม่นะคะ”

“จ้ะ...ลูก”

“ช่วยเอ็นดูขวัญ เหมือนเป็นหลานแท้ๆ นะคะ แกไม่มีใครแล้ว”

“ได้...แม่จะทำให้ลูก แม่จะดูแลขวัญเอง หมดห่วงนะ ไม่ต้องห่วงอะไร ที่นี่เต็มใจดูแลขวัญ”

“ขอบคุณค่ะ”

สายตาอ่อนลาที่อยากจะหลับมันลงแล้วไล่มองทุกคนที่มาส่งเธอ แต่คนร้องไห้ออกมาจากหัวใจ ปีกว่าๆ ที่อยู่ที่นี่ ทุกคนดีกับเธอและลูกชายมาก

“ฝากขอบคุณท่านๆ ด้วยนะคะ สำหรับความเมตตาอาทรที่มีให้กันตลอดมา”

เธอแสดงสีหน้าทรมาน ร่างชักเกรง หายใจเริ่มลำบาก ตาจะลืมไม่ขึ้น แต่ก่อนวาระสุดท้ายนี้ของเธอ ขอมอบมันให้แก่ลูกชายเพียงคนเดียว

“หนูขวัญ...แม่ขอโทษ”

“ฮือ...” เด็กน้อยปล่อยโฮ เงยหน้ามองแม่ทั้งน้ำตา มือผอมยกมาลูบผมของขวัญนพัตเบาๆ พยายามสิ่งยิ้มสวยให้กับดวงใจของตน

“เป็นเด็กดี...ตั้งใจเรียน...ตอบแทนบุญคุณท่าน”

“ฮือ...แม่ฮะ อย่าทิ้งหนู อยู่กับหนู ฮึก หนูรักแม่นะ รักแม่ รักแม่ที่สุด”

“แม่เองก็รักหนูที่สุด...รักหนูนะลูก ขวัญของแม่ แม่รักหนู แม่รักหนู แม่รักหนู...รักหนู รักหนู…”

“ฮือ...หนู ฮึก รัก ฮึก แม่ ฮือ”

“รัก...รัก...รัก...”

ร่างทั้งร่างเกรงชักแล้วตระตุกหนึ่งครั้ง พร้อมๆ กับลมหายใจที่ขาดห้วงลงของเธอ มือที่อยู่บนศีรษะเล็กร่วงลง มืออีกข้างจับดอกไม้ของลูกชายแนบอกอยู่อย่างนั้น ดวงตาหลับพริ้มทั้งน้ำตา ใบหน้าของเธอดูไม่ทรมาน

เธอบอกรักลูกชายจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต...และจากไปอย่างสงบ

“แม่!!! ฮือ อย่าทิ้งหนู ฮือ ลืมตาขึ้นมาก่อน อยู่กับหนู ไม่! กรี๊ดดด!!!”

เด็กชายตัวน้อยไม่อาจยอมรับความสูญเสียได้ มือน้อยๆ เขย่าร่างไร้วิญญาณของแม่ พอแม่ไม่รู้สึกตัวก็กรีดร้องเสียงดังลั่นจนกระทั่งหมดสติไป...

ทุกคนที่ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจพยายามตั้งสติ พิไลลุกขึ้นไปหาเด็กน้อยที่นอนสงบอยู่ที่พื้นช้อนตัวเด็กขึ้นอุ้มมาแล้วพาเข้าไปนอนในห้องพัก ก่อนจะออกมาสั่งงานทุกคน กอบกิจพยายามห้ามน้ำตา ไม่มองใบหน้าพี่สาวที่จากไป พิไลเองก็สั่งงานทั้งน้ำตาเช่นเดียวกัน

“กอบกิจ...ฮึก แจ้งเรื่องนี้กับคุณสันต์ด้วย กล้วย...บอกลพให้ติดต่อวัด”

จากนั้นทุกคนที่ไม่มีงานก็ช่วยกันจัดการเรื่องงานศพของขนิษฐา ถึงเศร้าแค่ไหน เสียใจเท่าไหร่ ทุกคนก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ขนิษฐาที่อยู่ด้วยกันมาปีกว่า สู้และต่อสู้กับมันจนมาถึงวันนี้ เธอช่างเป็นผู้หญิงสวยงามจนถึงเวลาสุดท้าย และเป็นแม่ที่แข็งแกร่งที่สุด

ทุกคนที่นี่ดีกับเธอ เป็นเพื่อนกัน พี่น้องกัน...ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนจะเศร้าซึมแบบนี้


งานศพของขนิษฐาจัดขึ้นที่วัดที่ใกล้กับคฤหาสน์ มีท่านอัศม์เป็นเจ้าภาพงาน สวดศพสามวันแล้วก็เผาตามพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดงานศพ คนที่ดูแลเด็กชายขวัญนพัตไม่ใช่พวกคนงาน แต่เป็นอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์ที่ไม่ปล่อยให้น้องชายตัวน้อยที่มีรอยยิ้มให้กับทุกคนเสมอต้องเสมอคลาดสายตา ดูแลไม่ห่างแม้กระทั่งให้มานอนด้วยกันที่ตึกใหญ่ เขาสองคนอยากให้น้องยิ้มมากกว่าเอาแต่ร้องไห้

คนงานต่างก็มีงานเต็มมือ ทั้งงานที่คฤหาสน์ และงานที่วัด แม้ว่าวัดจะไม่มีคนไปร่วมงานเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกคนงานด้วยกัน แต่แค่นี้ก็เกือบสองร้อยกว่าคนแล้ว นั่นทำให้ต้องมีคนคอยสลับเปลี่ยนดูแลที่วัดด้วย ถึงขนิษฐานจะไม่มีญาติที่ไหน และเป็นเพียงคนงานธรรมดา แต่ทางตระกูลเตชโรจนโสภณก็จัดการทุกอย่างให้อย่างดี

เด็กน้อยใจแหลกสลาย เพราะที่พึ่งเพียงคนเดียวได้จากไป น้องเอาแต่ร้องไห้จนหลับไป ข้าวปลาก็ทานน้อย ตอนอยู่ที่วัดก็เอาแต่นั่งนิ่งๆ หน้าโลงศพของแม่ จ้องมองภาพของแม่ที่กอบกิจถ่ายไว้ตอนไปเที่ยวด้วยกัน น้องร้องไห้ จะหยุดร้องเมื่อหลับ พอตื่นก็ร้องอีก เป็นแบบนี้อยู่ตลอด จนทุกคนเป็นห่วง

คิดถึงแม่...อยากกอดแม่...อยากคุยกับแม่ อยากเห็นรอยยิ้มของแม่...

กอดที่อบอุ่นที่สุด...เสียงที่อ่อนโยน...รอยยิ้มที่สวยที่สุด...

“แม่...”


ความตายพรากเราจากกัน...แต่ความตายพรากความรักที่แม่มีต่อหนูไม่ได้...

แม่มีหนูเป็นที่สุดของหัวใจ...ขอให้หนูเติบโตขึ้นแล้วใช้ชีวิตข้างหน้าให้มีความสุข

แม่จะอยู่ในใจของลูก ลูกอยู่ในใจของแม่...แม่จะไม่เอ่ยกล่าวคำลาใดๆ กับลูก

เพราะแม่จะอยู่กับหนูเสมอ...

   รัก...ขวัญนพัตดวงใจของแม่





มีต่อ

V
V
V

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage

ต่อ


จากวันนั้นจวบจนมาถึงวันนี้ก็ผ่านไปห้าเดือน ขวัญนพัตกำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งแต่อยู่ในช่วงให้ผู้ใหญ่พิจารณาว่าจะต้องไปเรียนที่ไหน

กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ทุกคนช่วยกันเยียวยาจิตใจของเด็กชายโดยการให้ความรักความอบอุ่นเพื่อไม่ให้รู้สึกขาด และก็คอยบอกเสมอว่าแม่ของขวัญนพัตไม่ได้ไปไหน เพียงแค่มองไม่เห็นเท่านั้น .

ใช้เวลานานถึงสามเดือนจนกระทั่งจบจากชั้นอนุบาล อยู่ในช่วงที่โรงเรียนกำลังปิดเทอม จริงๆ จะเอาเด็กชายออกมาก่อนเลยก็ได้เพราะเจ้าตัวสภาพจิตใจไม่พร้อมเท่าไหร่ ยังไงเมื่ออายุถึงก็เข้าประถมได้อยู่ดี แต่พิไลบอกว่าให้ไปเจอกับเพื่อนดีกว่า เผื่อจะกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น ในทุกๆ เย็นเด็กน้อยก็ไปอยู่กับคุณหญิงอัปสรเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือจะมีอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์บ้างในบางวัน ขวัญนพัตกลับมายิ้มสดใส กลับมาหัวเราะสนุกสนาน และไม่เศร้ายามพูดถึงแม่แล้ว มีเพียงรอยยิ้มแห่งความสุขและคำพูดที่บอกว่าภูมิใจที่เป็นลูกแม่ พิไลเองก็ไม่อยากให้หลานชายลืมเรื่องราวของแม่ จึงเล่าเกี่ยวกับขนิษฐาให้ขวัญนพัตฟังทุกวัน แรกๆ ก็ยังร้องไห้ทุกครั้งที่ฟัง พอผ่านไปสักพักก็เริ่มชินและสุขใจในการรับฟังแทน

ส่วนท่านอัศม์ตอนนี้ก็จบปริญญาโทหนึ่งใบในไทยเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางไปประเทศอเมริกาเพื่อร่ำเรียนต่อตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขวัญนพัตไม่ค่อยได้คุยหรือเจอกับท่านก็จริง แต่ก็รู้ว่าท่านคอยช่วยเหลือและดูแลอยู่ห่างๆ เพราะตอนนี้คนที่อยู่ใกล้ชิดเด็กชายที่สุดคือสันต์ธรกับพิไล ทั้งสองบอกเสมอว่าท่านสั่งให้ซื้อหรือทำอะไรเพื่อนเด็กน้อยบ้าง จากเคยกลัวก็ไม่กลัวอีกต่อไป แถมยังรู้สึกเคารพ เทิดทูนอีกด้วย

พิไลไม่มีลูก ไม่มีสามี เธอทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับขนิษฐา ‘ลูกสาว’ ของเธอโดยการให้ขวัญนพัตมาอยู่กับเธอที่ห้อง ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง ส่วนห้องนั้นก็ไม่คืน ไม่เอาของออกและเข้าไปทำความสะอาดเสมอๆ เก็บเอาไว้เพื่อขวัญนพัตในวัยที่เติบโตเป็นวัยรุ่น

“ยายจ๋า...ท่านอัศม์จะเดินทางตอนไหนเหรอฮะ”

“พรุ่งนี้ลูก หนูต้องตื่นเช้าๆ นะ เพราะเราจะไปส่งท่าน”

“งื้อ...ยายต้องปลุกหนูต่างหาก หนูตื่นเองไม่ได้”

สาวโสดวัยกลางคนยิ้ม มองหลานชายบุญธรรมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก

“ได้ซี แล้วยายจะปลุกขวัญเอง ตอนนั้นก็อย่างอแงแล้วกัน เพราะยายไม่ใจดีนา”

“ถ้ายายของหนูไม่ใจดี ก็ไม่มีใครใจดีแล้ว”

“ปากหวาน”

“คิกคิก...รักยายที่สุดเลย”

“ยายก็รักขวัญนะลูก” บอกรักแล้วหอมหน้าผากเบาๆ กล่อมหลานชายให้นอนหลับไป ส่วนเธอเองก็เคลียร์ทุกอย่างในห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะแทรกตัวขึ้นนอนบนเตียงนุ่ม ตระกองกอดหลานชายเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วหลับไปอย่างสุขสบายใจ...
ขิมไม่ต้องห่วงนะ...ขวัญเป็นเด็กดี แม่จะดูแลให้ดีที่สุด ขวัญต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเหมือนขิมได้แน่นอน แม่สัญญา


ช่วงเช้าของวัน คนงานทุกคนมาตั้งแถวตั้งแต่เจ็ดโมงที่หน้าประตูบ้านของตึกใหญ่เพื่อรอส่งผู้นำตระกูลผู้เป็นนายที่กำลังจะไปสนามบิน ในการไปศึกษาต่อของผู้นำตระกูลอย่างท่านอัศม์มีคนตามไปดูแลที่นั่นสามคน สันต์ธรเองก็ไปส่งถึงอเมริกาแต่ไปแค่อาทิตย์เดียวก็กลับมาดูแลตระกูลและเป็นตัวแทนท่าน

ขวัญนพัตยืนอยู่ข้างๆ กับพิไลซึ่งใกล้กับรถที่จอดที่อยู่เพราะยายของตนเป็นหัวหน้าแม่บ้าน เด็กๆ ทุกคนก็ยืนอยู่กับพ่อแม่ของตนเอง หากแต่ก็ไม่ได้ใกล้เหมือนอย่างขวัญนพัตกับแก้วลูกชายของกอบกิจที่เป็นผู้ดูแลคนงานทั้งหมด

“ท่านมาแล้วๆ” สิ้นเสียงทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย

ท่านในชุดธรรมดาๆ ดูแปลกตาแต่ก็ยังคงความสง่างามเดินออกมาจากในตัวบ้าน หยุดยืนอยู่ตรงนั้นมองคนงานทุกคนยืนอยู่ข้างล่างเริ่มแถวจากปลายบันไดยาวไปตามทางที่รถจะแล่นไปยังด้านหน้าคฤหาสน์ ดวงตาคมกริบไล่มองทุกคนแล้วหยุดสายตาที่เด็กชายขวัญนพัตที่ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ท่านจึงส่ายหน้าเบาๆ

“ขอบใจทุกคนมากที่มาส่งฉัน ฉันจะกลับมาบ้านทุกปิดเทอม แต่ถ้าเริ่มต่อโทกับเอกเมื่อไหร่ฉันจะกลับมาที่นี่น้อยลง ก็ให้ทุกคนช่วยกันดูแลคุณย่า คุณแม่ แล้วก็น้องชายของฉันด้วย” ทุกคนที่ท่านกล่าวถึงยืนอยู่ข้างๆ ท่านอัศม์ เตรียมไปส่งที่สนามบินด้วย

“ครับ/ค่ะท่าน”

ท่านอัศม์พยักหน้าน้อยๆ ส่งสัญญาณให้คนขับรถเปิดประตูให้ แล้วท่านทั้งห้าจึงเดินลงมาเพื่อขึ้นรถที่เตรียมเอาไว้ให้เจ้านายสามคัน ท่านอัศม์นั่งกับสันต์ธร คุณหญิงอัปสรกับคุณหญิงน่านฟ้าคันที่สอง และคันที่สามเป็นอินทร์ธรกับอัยยวัฒน์

ฟุบ!

แทนที่ท่านจะเดินขึ้นรถกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าขวัญนพัต มือแกร่งวางไว้บนศีรษะเล็ก เอ่ยเสียงเรียบแต่ขวัญนพัตกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“ตั้งใจเรียน ตั้งใจฝึก เป็นเด็กดีและเชื่อฟังผู้ใหญ่ เข้าใจนะ”

“ครับ”

“เธอเป็นเด็กในความดูแลของฉัน ห้ามทำตัวเกเร เหลวไหล” กำชับอีกรอบ

“ครับ”

“คนอื่นก็ด้วย เป็นเด็กดี ให้ตั้งใจเรียน อย่าทำตัวเกเร” ประโยคต่อมาท่านเอ่ยกับเด็กๆ คนที่อื่นๆ ซึ่งเหล่าลูกคนงานก็ขานรับเสียงดังฟังชัดกันทุกคน

“ครับ/ค่ะ”

“ฉันไปแล้ว”

หมับ!

ในจังหวะที่ท่านเอามืออกจากหัวกลมๆ ของขวัญนพัต มือเล็กก็คว้าหมับที่มือใหญ่อย่างไม่กลัวว่านี่จะเป็นการเสียมรรยาท

“ขอบคุณนะฮะ ท่านอัศม์” เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามองคนตัวสูงที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายแล้วยิ้มตาหยีให้ ท่านอัศม์ระบายยิ้มอ่อนตอบกลับไป เด็กน้อยปล่อยมือแล้วยกมือไหว้ที่คิดว่าสวยงามที่สุดเพื่อลาท่าน “สวัสดีครับ”

ในขณะที่คนอื่นๆ เองก็ทำความเคราพท่านเช่นกัน อัศม์เดชหันไปมองหน้าคนงานทุกคนอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วตัวรถก็เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ไปท่ามกลางเสียงตะโกนอวยพรตามหลังที่ท่านไม่ได้ยิน

“เดินทางดีๆ นะครับ”

“ขอให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยนะคะ”

ดวงตาสดใสมองตามรถที่แล่นออกไป สัมผัสอบอุ่นที่ศีรษะยังคงอยู่ แม้จะใจหายที่จะไม่ได้เจอผู้มีพระคุณอีกนาน แต่ก็ตั้งใจว่าจะทำตามที่ท่านสั่งไว้ไม่ให้ผู้มีพระคุณต้องผิดหวัง





- - - - - To be continue - - - - -

สงสารหนูขวัญ แต่โชคชะตากำหนดมาให้เป็นอย่างนี้ ช่วยกันเป็นกำลังใจให้หนูขวัญด้วยนะคะ นอกจากนี้ก็ยังต้องโบกมือลาท่านอัศม์ที่ขอไปทำตามความฝันก่อนจะมารับตำแหน่งอย่างจริงจังด้วย เรื่องการศึกษาของท่านอัศม์นี่ ยูกิได้แรงบันดาลใจมาจากใครจำชื่อไม่ได้เหมือนกัน แต่มีใบปริญญาตั้งเจ็ดใบ อ่านผ่านๆ ก็เลย เอ้อ คนแบบนี้ก็มีๆ

ฝากติดตามแฟนเพจและทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

https://www.facebook.com/sawachiyuki/
https://twitter.com/Sawachi_Yuki

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :sad11: สงสารหนูขวัญ แต่ยังดีที่มีคนรัก คนดูเเล

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สงสารชีวิตหนูขวัญ แต่โชคยังดีที่หนูยังมีคนรักและเมตตา

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1600
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
กอดๆหนูขวัญนะ เข้มแข็งไว้

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 886
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
อะไรคือต้องแต่งให้เศร้าขนาดนี้..  :hao5: :hao5: :hao5: กว่าจะผ่านมาได้ตาบวมเลย..ยูกิใจร้ายยย

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
4

ครอบครัวใหม่...กับ ‘การเริ่มต้น’

 


ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ตระกูลเตชโรจนโสภณไม่มีอำนาจในประเทศอื่นๆ ในโซนยุโรปในฐานะพรรคมาเฟียก็จริง แต่ก็มีพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ทั่วยุโรปเช่นกัน เมื่อออกนอกโซนเอเชีย ท่านอัศม์เป็นเพียงนักธุรกิจเท่านั้น ทางตระกูลมีบ้านพักตากอากาศอยู่ค่อนข้างมาก ในหลายๆ ประเทศ ในประเทศก็มีหลายหลัง แต่บ้านไม่ใหญ่มากอาศัยการออกแบบตกแต่งที่สวยงามน่าอยู่แทนขนาดเพราะเอาไว้พักผ่อนยามมาเที่ยวหรือว่าทำงาน

อัศม์เดชจึงมาอาศัยอยู่บ้านที่มีอยู่ในประเทศไม่เช่าหอพักหรือคอนโดอยู่เพราะเปลือง แม้ว่าจะห่างจากมหาลัยหน่อยก็ไม่เป็นไร เขามีลูกน้องคอยรับส่งและดูแลอยู่

“วันพรุ่งนี้สันต์ก็จะกลับแล้ว ยังไงอย่าลืมเอาขนมโปรดคุณย่าไปด้วยล่ะ”

“ครับท่านอัศม์”

“เป็นอะไร ทำหน้ายุ่งๆ”

“ผมเป็นห่วงท่าน ไม่อยากกลับเลยครับ”

“เฮ้อ...อยู่กับฉัน ใครจะดูแลบ้าน”

“ถึงจะมีคนดูแล แต่ก็ลำบากน่าดูเลยนะครับ ผมเป็นห่วงจริงๆ”

ท่านอัศม์ส่ายหน้าให้กับคนอายุมากกว่าที่ดูจะเป็นห่วงเขาเกินเหตุ ทั้งๆ ที่ความจริงเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ตอนมัธยมเขาเองก็เรียนอยู่ต่างประเทศ แต่เป็นออสเตรเลีย พอจบไฮสคูลไม่เท่าไหร่ก็ต้องเดินทางกลับไปรับตำแหน่ง เพราะอายุสิบแปดพอดี พ่อเสียตอนเขาอายุได้สิบเจ็ดปี แต่เขาไม่สามารถรับตำแหน่งได้ถ้ายังไม่อายุสิบแปด

สันต์ธรอายุมากกว่าท่านอัศม์เกือบยี่สิบปี ตอนนี้ก็คงสี่สิบกลางๆ แล้ว สามารถเป็นพ่อของเขาได้เลย แต่ว่าเขาติดเรียกสันต์ธรด้วยชื่อเฉยๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่การเรียกแค่ชื่อของอีกคนห้วนๆ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่เคารพสันต์ธรเลย

“ฉันดูแลตัวเองได้”

“ผมทราบครับ”

“พอๆ แล้วเรื่องที่ฉันฝากไว้ล่ะ ปรึกษากับภรรยาว่ายังไงบ้าง”

“ภรรยาผมเธอไม่มีปัญหาครับ ยิ่งเป็นคำขอจากท่านอัศม์เธอยิ่งเต็มใจ กลับไปผมจะรีบจัดการเลยครับ จริงๆ ผมเองก็คิดอยู่แล้วว่าจะรับขวัญมาเป็นลูกบุญธรรม ส่งเสียให้เรียนจบสูงๆ แล้วให้ทำงานให้กับตระกูลอยู่แล้ว แต่ท่านดันขอผมมาก่อน ผมเลยตัดสินใจง่ายขึ้น”

“ฉันก็แค่สงสาร เสียแม่ตั้งแต่เด็กๆ เลยอยากให้มีครอบครัว เริ่มต้นใหม่ แต่ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากสันต์กับภรรยา สันต์แค่รับขวัญเป็นลูกบุญธรรมตามกฎหมาย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดฉันจัดการเอง”

“ไม่ได้หรอกครับท่าน ผมเองก็เต็มใจ เอ็นดูเจ้าขวัญไม่แพ้กัน ถ้าต้องรับมาเป็นลูก คนเป็นพ่อก็ควรจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างของลูกเองสิครับ”

“หึ...ขัดกันอีกแล้วนะ” ท่านอัศม์หัวเราะเบาๆ

“อีกอย่างภรรยาผมก็เหงา อยู่แต่กับบ้าน ลูกชายคนโตเรียนจบไปแล้วตอนนี้ทำงานหนัก ลูกสาวคนรองก็กำลังเรียนมหาลัยปีที่สอง อยู่หอไม่ค่อยกลับบ้าน ลูกสาวคนเล็กเองก็อยู่มอปลายปีสุดทายเตรียมเข้ามหาลัย มีขวัญไปเป็นลูกคนเล็กคนใหม่ก็คงช่วยให้ภรรยาผมไม่เหงาไปอีกสิบกว่าปีเลยครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอจัดการเรื่องการศึกษาก็ได้ ฉันต้องการให้ขวัญฝึกทุกอย่างเพื่อมาดูแลฉันอย่างใกล้ชิด ไม่ได้หมายความว่าจะแทนที่สันต์นะ คล้ายๆ พ่อบ้านน่ะ เพราะหน้าที่นี้ผู้หญิงทำก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ คนงานที่บ้าน อายุมากๆ ก็เริ่มเกษียณแล้ว เหลือแค่พวกสาวๆ ฉันไม่อยากมีปัญหา ให้ขวัญฝึกไว้ พอสิบปีที่ฉันกลับไป ขวัญจะทำหน้าที่นั้น”

“แบบนั้นหาภรรยาไม่ดีกว่าหรือครับ”

“ตอนนี้ฉันไม่คิดจะมีหรือถ้ามีฉันก็ไม่ต้องการให้มายุ่งกับความเป็นส่วนตัวของฉัน ต่อให้แต่งงานฉันก็จะไม่อยู่ห้องเดียวกันแน่นอน สันต์ก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง” อัศม์เดชสบตากับคมของตนกับคนสนิท

“ทราบครับ แต่บางทีท่านอาจจะเจอคนที่รักก็ได้”

“ก็รอให้เจออยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บางทีอาจจะเจอที่นี่ก็ได้”

“ท่านก็...ถ้าเป็นฝรั่ง คุณหญิงน่านฟ้าเป็นลมตายเลยครับ”

“หึ...รู้น่า” ทำหน้าเบื่อโลก

“ทางที่ดีอย่าเป็นคนต่างชาติเลยครับ”

“ใจมันบังคับกันได้ด้วย? เลือกได้ด้วยเหรอว่าจะรักใคร ไม่รักใคร ถ้าเลือกได้ ฉันแต่งไปแล้ว เพราะที่ดูตัวมาทั้งหมดก็มีหลายคนเลยที่อาจจะเป็นคนที่รักได้ แต่ความรู้สึกมันก็ยังไม่ใช่”

“ผมทราบดีครับ”

“อืม...ตามนั้น ให้ขวัญฝึกไปนั่นแหละ ฝึกทุกอย่างทั้งงานในบ้าน เรียนรู้งานในพรรค แล้วก็บริษัทในเครือทั้งหมด ฉันมีความรู้สึกว่าขวัญเป็นคนเก่งและฉลาด ต้องเป็นกำลังที่ดีให้กับตระกูลได้แน่”

ท่านอัศม์เอ็นดูและอุปถัมภ์ขวัญนพัต แต่ก็ไม่คิดว่าจะให้ทุนเปล่าเหมือนเด็กคนอื่นๆ เพราะเขาต้องการให้ขวัญอยู่เป็นกำลังสำคัญให้กับตระกูล

เขาเห็นความซื่อสัตย์ เห็นความจงรักภักดีในแววตาของขวัญนพัต...แล้วความกตัญญูรู้คุณของผู้เป็นแม่ที่มีต่อตระกูล...แค่นั้นมันก็มากพอที่จะเลี้ยงเอาไว้

“ถ้าเป็นความรู้สึกของท่าน ผมก็เชื่อครับ แต่ให้เรียนรู้เยอะแบบนี้มันค่อนข้างจะหนักไปหน่อยไหมครับ”

“เชื่อเถอะว่าเด็กคนนั้นสู้กว่าที่คิด เก่งแล้วก็เข้มแข็งเหมือนแม่แน่นอน”

“ผมเองก็เชื่อแบบนั้นครับ แต่ก็กลัวเด็กจะไม่ไหว ผมรับรองว่าจะรักและดูแลขวัญเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง และจะสอนทุกอย่างตามที่ท่านต้องการครับ”

“อืม...เปิดบัญชีให้ขวัญ แล้วโอนเงินให้ขวัญทุกเดือนในนามของฉัน ส่วนจะเลี้ยงดูรับผิดชอบลูกยังไงก็เครื่องของสันต์กับครอบครัว แต่ฉันจะรับผิดชอบการศึกษาและให้เงินทุกเดือน”

“ท่านอัศม์คิดจะให้ขวัญรวยตั้งแต่เด็กเลยหรือครับเนี่ย เด็กมันไม่ค่อยใช้เงินหรอกนะครับ”

“ก็ออมเอาไว้ใช้ตอนที่ใช้เป็นนั่นแหละ”

“เอ็นดูขนาดนี้ ทำไมไม่รับเป็นลูกบุญธรรมตัวเองล่ะครับ” สันต์ธรถามด้วยเพราะสงสัย

ไม่เคยเห็นท่านจะสนใจหรือชอบเด็กมาก่อน แต่สันต์ธรรับรู้ได้ว่าเวลาท่านอยู่กับขวัญนพัตหรือว่าเห็นจะมีรอยยิ้มที่หน้าเสมอ...

“ฉันคิดอยู่ แต่คิดว่าคงเป็นอะไรที่กดดันเกินไป แล้วฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นพ่อคนได้ด้วย”

“น้องชายล่ะครับ คุณอินทร์ คุณอัยย์ก็เหมือนจะเอ็นดูมากพอตัวด้วย”

“เด็กมันจะโดนหมั่นไส้เอาน่ะสิ แล้วจะไปสร้างรอยแผลให้อีก ฉันไม่อยากให้ขวัญใช้ชีวิตกดดัน คนงานบางคนไม่อิจฉาแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครไม่อิจฉา”

“นั่นสินะครับ”

“สันต์ก็บอกทุกคนไปว่าว่าอยากอุปการะเอง ไม่ต้องบอกว่าเป็นฉัน เก็บเป็นความลับล่ะ” เจ้านายสั่งใบหน้าจริงจังเพราะถ้าใครรู้อาจจะมีปัญหาตามมา

แม้เขาจะไม่สนใจก็ได้ คนที่มีปัญหาก็แค่ไล่ออก แต่คนที่เสียความรู้คือขวัญนพัต เขาไม่ต้องการให้ใบหน้าสดใสนั่นต้องเต็มไปด้วยน้ำตาอีก...

“ได้ครับท่าน”

“ไปพักเถอะ พรุ่งนี้เดินทาง”

“ผมอยู่รับใช้ท่านดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ได้อยู่อย่างใกล้ชิดอีกนาน”

เจ้านายผู้ที่นิ่งขรึมตลอดเวลาถอนหายใจอย่างระอากับนิสัยคนสนิทที่เหมือนพ่อติดลูกไปทุกขณะ แต่อัศม์เดชก็ยอมรับว่ารู้สึกใจหายเหมือนกัน เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้า แม้จะพูดคุยอย่างสนิทสนมกับสันต์ธร สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก แต่แววตาบอกว่าสบายใจ...

สันต์ธรก็เป็นอีกคนที่ทำให้ท่านผ่อนคลายเสมอ ความรู้สึกเหมือนกับคนในครอบครัว

 

สันต์ธรกลับมาได้สองวันแล้ว และวันนี้เขาพาภรรยาของตัวเองมาที่คฤหาสน์ แล้วตรงไปหาขวัญนพัตที่บ้านพักคนงานซึ่งตนได้นัดกับพิไลเอาไว้แล้ว เด็กชายที่ได้ยินว่าลุงสันต์ของตัวเองมาก็รีบมาหาด้วยสีหน้าร่าเริงพอเห็นว่าลุงไม่ได้มาคนเดียวก็ยกมือไหว้คนข้างๆ ที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วหลบหน้าด้วยความเขิน

พิไลนั่งลงข้างๆ รับไหว้ภรรยาของสันต์ธรเพราะเธออายุมากกว่า

“ลุงสันต์ ไหนของฝากหนู”

“โอ๊ะ...ลืมเอามา”

“งื้อ...ไหนบอกว่าจะเอามาให้หนูไง” เด็กน้อยหน้างอ

“เด็กคนนี้หรือพี่สันต์” คนเป็นภรรยาถามสามี

“ใช่...ขวัญ นี่คือภรรยาของลุงเอง ชะ...”

“ป้าชื่อ เกศลูก” เอ่ยแทรกสามีทันที เกศรายิ้มเพราะนึกเอ้นดูแต่แรกเห็น เข้าใจเลยว่าทำไมสามีถึงได้บอกว่าจะต้องตกหลุมรัก

ตกหลุมรักจริงๆ

“หนูชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นขวัญฮับคุณป้า”

“อายุล่ะลูก”

“เจ็ดขวบครับ กำลังจะขึ้นชั้นปอหนึ่ง”

“แล้วจะเรียนที่ไหนจ้ะ”

“เรียนที่ไหนฮะลุงสันต์” เด็กชายหันไปถามสันต์ธรตาแป๋ว

สันต์ธรยิ้มแต่ไม่ตอบ มองหน้าพิไล ส่วนพิไลเองก็รู้เรื่องมาคร่าวๆ แล้ว

“ขวัญ รักลุงสันต์ไหมลูก” ผู้เป็นยายถามหลาน

“รักสิฮะ”

“งั้นถ้าไปอยู่กับลุงสันต์ หนูจะไปไหม บ้านลุงสันต์อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก แต่ก็ใกล้โรงเรียนมากกว่า หนูจะได้เรียนสูงๆ ไงลูก ที่สำคัญเสาร์อาทิตย์หนูจะมาอยู่ที่นี่กับยายได้เหมือนเดิม จันทร์ถึงศุกร์ก็ไปอยู่กับลุงสันต์”

“เหรอฮะ...แค่หนูไม่ต้องห่างจากยาย หนูยังไงก็ได้” เด็กน้อยไม่เรื่องมาก เพราะลุงสันต์ก็เป็นอีกคนที่ตนรักและสนิทด้วย

“แล้วถ้าลุงรับขวัญมาเป็นลูกล่ะ” สันต์ถามขึ้น ทำเอาเด็กน้อยหันขวับมามองหน้าทันที

“หมายความว่ายังไงฮะ?”

“ก็หมายความว่าป้ากับลุงสันต์จะรับหนูเป็นลูกบุญธรรมไงจ้ะ หนูจะมีลุงกับป้าเป็นพ่อแม่ แต่เราไม่ได้จะมาแทนพ่อแม่หนูนะ เราแค่อยากดูแลหนูในฐานะพ่อกับแม่เท่านั้นเอง”

ได้ยินแบบนั้นเด็กชายขวัญนพัตที่ต้องการความอบอุ่นแบบครอบครัวมาตลอดก็ร้องไห้ออกมา เอี้ยวตัวไปกอดยายพิไลของตนด้วยความดีใจ

ไม่มีอะไรที่หนูน้อยจะปฏิเสธ แต่เพียงไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ เด็กชายไม่เคยลืมแม่ของตน แต่ก็อยากจะมีคนที่จะเรียกว่าพ่อกับแม่ได้เหมือนคนอื่นๆ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงก็ได้ แค่ตนสามารถเรียกว่าพ่อกับแม่ได้ก็พอ...

“ว่าไงจ้ะ...ให้เราเป็นพ่อแม่ของหนูได้ไหม”

“ฮือ...ยายจ๋า”

“ว่าไงลูก”

“จ่ะ จริงเหรอฮะ หนูจะมีพ่อแม่ จริงๆ เหรอฮะ ฮึก”

“จริงสิครับลูกพ่อ” ขวัญนพัตเงยหน้าจากยายมองหน้าสันต์ธรทั้งน้ำตา เบะปากแล้วปล่อยโฮเสียงดัง ผู้ใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วยิ้มเอ็นดู

“ทำไมลูกชายของแม่...ถึงได้ขี้แยจังเลย”

“พ่ะ...พ่อ ฮึก ม่ะ...แม่” เสียงเล็กเอ่ยสั่นๆ ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามองพ่อแม่คนใหม่สลับกัน แล้วยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก

“โฮ!!!”

“เอ้า! เจ้าเด็กคนนี้ ดีใจใครเขาร้องไห้ล่ะลูก ดีใจเขาต้องยิ้มกัน” พิไลพูดกลั้วหัวเราะ ส่วนคุณพ่อคุณแม่คนใหม่ก็ลุกขึ้นเดินไปหาเจ้าตัวเล็ก สันต์ธรอุ้ม ‘ลูกชายคนเล็ก’ ขึ้นมา แววตาอ่อนโยนมองเด็กขี้แยแล้วหอมกระหม่อมบางเบาๆ เจ้าตัวเล็กโอบกอดคอเขาทันทีแล้วรัดแน่นราวกับกลัวว่าสันต์ธรจะหนี

เกศราผู้เป็นภรรยาก็กอดตัวของสามีอีกที แม้ว่าโอบไม่รอบ แต่ก็เหมือนว่าสามคนพ่อแม่ลูก กำลังกอดกันอยู่

“ไปอยู่ด้วยกันนะลูก แม่เตรียมห้อง เตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกชายคนเล็กแล้ว จากนี้ไป หนูเป็นลูกพ่อกับแม่ เป็น ‘ขวัญนพัต วรเกียรติสกุล’ เป็นครอบครัวนะคะ”

เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าทั้งที่ยังโอบกอด ‘พ่อ’ ไม่ปล่อย ส่วน ‘แม่’ ก็คอยลูบผมบางๆ ปลอบโยน พิไลมองภาพนั้นอย่างประทับใจและดีใจ

เธอยินดีที่ได้เห็นหลานที่รัก กำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์... ไม่ต้องห่วงแล้วนะขิม...มีคนมาทำหน้าที่พ่อแม่ให้กับลูกของเธอแล้ว หลานฉันจะต้องมีความสุขที่สุดแน่นอน...

“พ่อฮะ...ฮึก แม่ฮะ ขอบคุณ ฮือ ขอบคุณฮะ”

สันต์ธรกระชับอ้อมแขน ตระกองกอดร่างเล็กราวกับกำลังปกป้องลูกจากอันตราย มันเป็นการสัญญา...สัญญาที่จะดูแลเด็กชายขวัญนพัต ดั่งลูกแท้ๆ ของตน

“อุ่นจัง”

แม้จะไม่อุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่ขิม...แต่ก็ให้ความอบอุ่นเหมือนกัน

 

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

ขวัญนพัตเดินก้าวเข้าไปในตัวบ้านที่ใหญ่โต แม้ไม่เท่าคฤหาสน์ท่านอัศม์แต่ก็ใหญ่โตบ่งบอกฐานะที่ไม่ธรรมดา มือขวาถูกจูงโดยผู้เป็นแม่ เหล่าคนรับใช้ต่างก็พากันมาต้อนรับสมาชิกคนใหม่ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เจ้าตัวเล็กสวัสดีสาวใช้ทุกคนอย่างถูกสอนมาให้รู้จักทำความเคารพผู้ใหญ่ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะไหนก็ตาม ส่วนเหล่าสาวใช้ก็รีบรับไหว้แทบไม่ทัน ยิ้มให้อย่างเอ็นดู

ใบหน้าน่ารักหันมองนู่นนี่ด้วยความตะลึงตื่นเต้น

“บ้านใหญ่จังเลยฉะคุณแม่” ยายพิไลสอนให้เด็กชายเรียกพ่อแม่บุญธรรมว่า ‘คุณพ่อ’ และ ‘คุณแม่’ เพราะรู้ว่าฐานะของสันต์ธรค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคม

“ชอบหรือเปล่าคะ”

“ชอบฮะ”

“น้องขวัญมีห้องส่วนตัวด้วยน้า”

“จริงเหรอฮะ ขอบคุณฮะคุณแม่” ขวัญนพัตยิ้มจนตาปิด มองสำรวจรอบๆ บ้านต่อ แต่สายตาก็ต้องไปสะดุดกับผู้ชาย ผู้หญิงสามคนที่เดินตรงมาด้วยสีหน้าราบเรียบ

ขวัญนพัตจับมือเกศราแน่น ขยับไปหลบอยู่ข้างหลัง แต่ก็แอบๆ ชะโงกดู ปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาหญิงสาวที่คนหนึ่งเม้มปาก กำหมัดแน่น

“มาแล้วเหรอทั้งสามคน” สันต์ธรที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยทัก มองหน้าลูกชายลูกสาวสามคนที่จ้องน้องเล็กคนใหม่จนเจ้าตัวน้อยหลบอยู่หลังคุณแม่แล้วยิ้มออกมา

“ขวัญ นี่พี่ชาย พี่สาวของขวัญนะครับ” สันต์ธรบอก ขวัญนพัตได้ยินแบบนั้นก็หน้าหงอย เพราะคิดว่าพี่สาว พี่ชายไม่ชอบตนแน่ๆ ถึงแต่มองตัวเองนิ่งๆ ไม่ยิ้มไม่ทักทาย

“เอ้า! แนะนำตัวสิพี่ๆ” คนเป็นแม่เร่ง

“พี่ชื่อสิงห์ เป็นพี่คนโต”

“พี่ชื่อแก้ม เป็นพี่รอง”

“ส่วนพี่ชื่อแพร แต่ก่อนเป็นน้องเล็ก ตอนนี้เป็นพี่คนที่สาม แล้วตัวล่ะ”

“หนูชื่อเด็กชายขวัญนพัต ชื่อเล่นขวัญฮะ” น้องแนะนำตัวเสียงเบา ไม่กระตือรือร้นเหมือนอย่างที่แนะนำตัวกับคนอื่นๆ เพราะความรู้สึกติดลบไปแล้วว่าพี่ๆ ไม่ต้อนรับ

ทั้งสามคนที่ปั้นหน้าขรึมเห็นหน้าเศร้าๆ ของน้องชายคนเล็กก็ใจแข็งต่อไปไม่ไหว กรูเข้าหาเพื่อปลอบขวัญน้องชายที่แสนน่ารักทันที คนเป็นแม่ถูกผลักออกไปจากวงโคจร แทนด้วยพี่ๆ ที่นั่งคุกเข่ากับพื้นล้อมตัวน้องไหว

“โอ๋ๆ น้องพี่ พี่แกล้งนิดเดียวเอง ไม่ร้องนะคะ” กัญญาวีพี่สาวคนรองเอ่ยเสียงอ้อน

“ใช่แล้วเจ้าตัวเล็ก พวกพี่ยินดีต้อนรับน้องเล็กนะเนี่ย ไม่ร้องๆ” สรทรพี่คนโตพูดแล้วลูบหัวเบาๆ

“พี่ล่ะอยากจะโผเข้ามาฟัดแก้มน้องตั้งแต่เดินมาแล้ว นี่กำมือแน่นมากเลยนะ งื้อ น่ารัก น่าหยิกจริงๆ” แพรนวลพี่สาวคนที่สามซึ่งเป็นอดีตน้องเล็กว่าแล้วก็ฟัดแก้มนุ่มนิ่มทันที

เด็กชายตัวน้อยที่ถูกรุมมองไปยังพี่ๆ ด้วยสายตางงๆ ยิ่งส่งเสริมให้ดูน่ารักน่ากอดเข้าไปใหญ่ แต่พอเห็นพี่ๆ เป็นแบบนี้ก็ดีใจ ยิ้มกว้างออกมาในที่สุด

“หนูนึกว่าพี่ๆ ไม่ชอบหนู”

“โธ่...ใครว่าพวกพี่ไม่ชอบ แค่แกล้งเฉยๆ”

“หนูกลัวแทบแย่เลย”

“มาๆ พี่แพรจะกอดปลอบนะ”

“เดี๋ยวน้องก็อึดอัดหรอกแพร” สรทรดุน้อง แต่ไม่จริงจังนัก กลัวว่าแพรนวลจะกะแรงไม่ถูกแล้วขวัญนพัตจะหายใจไม่ออก

สมกับเป็นพี่คนโตที่เรียนจบมีงานทำแล้ว เพราะขวัญนพัตมองพี่ชายไม่วางตาเลย ดวงตามีประกายวิบวับ จนพี่ชายทนไม่ไหวทำในสิ่งที่ห้ามน้องสาวทำแทน

หมับ!!

“พี่สิงห์!! ไหนว่ากลัวนอกอึดอัดไง ปล่อยเลยนะ”

“โอ๊ยแพร...พี่เจ็บนะ”

“พอทั้งคู่นั่นแหละ ปล่อยเลย มามะ พี่แก้มจะพาไปเดินชมรอบบ้าน แล้วก็ห้องนอนนะขวัญ” กัญญาวีดึงตัวน้องเล็กมาไว้กับตัวเองได้สำเร็จแล้วพาเดินออกไปทันที โดยมีพี่ชายกับน้องสาววิ่งตามมาด้วย

สันต์ธรกับเกศราปล่อยให้ลูกๆ จัดการกันเอาเอง ตอนนี้ทุกคนมีสมาชิกเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน จะต้องไม่ให้ขวัญนพัตรู้สึกเป็นส่วนเกินอย่างเด็ดขาด กับลูกๆ เธอไม่เป้นห่วงนักหรอก เพราะทุกคนดูรักและเอ็นดูน้องดี แต่กับพวกคนใช้เธอกลัวว่าจะปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน เลยกำชับหนักแน่น

“ขวัญเป็นลูกชายของพวกเรา ให้ทุกคนจำเอาไว้ว่าแล้วปฏิบัติกับคุณขวัญให้เหมือนกับคุณๆ ด้วย”

“ค่ะ คุณเกศ”

“แยกย้ายไปเตรียมอาหารไป วันนี้กินที่สวน ต้อนรับสมาชิกใหม่ จัดอาหารให้เต็มที่นะ”

“ค่ะ”

เกศราเดินไปนั่งพักผ่อนด้วยสีหน้ามีความสุข เธอคิดเอาไว้ต่างๆ นาๆ ว่าจะสอน จะพาขวัญนพัตทำอะไรบ้าง สันต์ธรยิ้มให้ภรรยา

“พี่ว่าเรามาเลือกโรงเรียนให้ลูกดีกว่า จะขึ้นปอหนึ่งแล้วไม่ยังไม่รู้ว่าจะให้เรียนที่ไหน”

“จริงด้วย พี่ไม่ได้หาไว้เลยหรือคะ”

“มีมองๆ ไว้บ้าง แต่อยากให้เรียนโรงเรียนที่ตระกูลสนับสนุนหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ แล้วก็ต้องเป็นหลักสูตรอินเตอร์ด้วย ผมว่าจะให้เรียนที่เดียวกับคุณอินทร์ คุณอัยย์เคยเรียน”

“ไกลนะคะ ลูกต้องตื่นเช้าน่าดูเลย”

“แต่มันก็เป็นโรงเรียนที่ท่านเลือกเหมือนกันนะ”

“คงต้องตามแต่ท่านแล้วค่ะ เดี๋ยวเกศจะคอยตื่นปลุกลูกไปเรียน ยังไงเกศก็ตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้ว”

“ครับ”

 

ทางด้านพี่น้องที่กำลังพาน้องชายคนใหม่เดินชมรอบๆ บ้านก็พากันแย่งพูดแย่งแนะนำราวกับเด็กไม่รู้จักโต พอดูรอบๆ เสร็จก็พาน้องชายขึ้นไปดูห้องนอน

“นี่ห้องนอนของขวัญนะ เป็นไงบ้าง พี่กับพี่แพรไปช่วยกันเลือกผ้าห่ม ผ้าปู หมอนข้าง ตุ๊กตาเลยน้า”

“สวยฮะ แล้วก็ใหญ่ด้วย แต่หนูไม่กล้านอนคนเดียว” น้องทำหน้าหงอย

“ฮื่ม...มันเขี้ยว” สรทรเม้มปาก บีบแก้มนุ่มเบาๆ

“พี่รู้ เดี๋ยวพี่กับพี่แก้มจะสลับมานอนเป็นเพื่อนจนกว่าขวัญจะชินดีไหม”

“ดีฮะ” น้องยิ้มออกทันที

เพราะทั้งชีวิตนี้ ขวัญนพัตยังไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน มันค่อนข้างจะน่ากลัวเกินไปสำหรับเด็กที่ต้องนอนในห้องนอนที่ใหญ่โตขนาดนี้

“อ้าว? แล้วพี่ล่ะ” พี่ชายคนโตทำหน้าเหลอหลายามถูกดันออกไปเป็นคนนอก

“พี่สนใจพี่น้องด้วยเหรอ เห็นแต่กลับบ้านดึกๆ คบอยู่กับผู้หญิงแรงๆ”

“อ่ะ...เอ่อ อย่าคุยเรื่องนี้ให้น้องได้ยินสิแพร จุ๊ๆ”

“ไม่ต้องมาจุ๊เลย ถ้าหาพี่สะใภ้ดีๆ ไม่ได้ น้องจะไม่คุยกับพี่สิงห์อีกเลยคอยดู” แพรนวลสะบัดหน้าใส่พี่ชาย เดินจูงมือน้องชายเข้าไปในห้องนอน

“สมน้ำหน้า!”

“อ้าวเฮ้ย! นี่พี่จะเว้ย!!”

“ขวัญ อย่าไปทำตามพี่สิงห์นะ”

“อย่าเสี้ยมน้อง! ขวัญ พี่เป็นพี่ชายที่ดีนะ ทำงานแล้วด้วย เลี้ยงน้องได้สบายเลย”

“มั่ว หลงตัวเองอย่าไปฟัง”

“แก้ม แพร เลิกยุน้องได้แล้ว ฮึ่ย!!”

“ฮ่าๆ”

ขวัญนพัตมองพี่ๆ ที่กำลังสนุกโดยการหาเรื่องกันไปมา วิ่งไล่จับกันโดยใช้ตัวน้องชายไปโล่กำบัง แต่ไม่นานขวัญนพัตก็วิ่งหัวเราะหนีทุกคน จนกลายเป็นว่า ขวัญนพัตกลายเป็นคนถูกตามไล่เสียได้

“ฮ่าๆ อย่าตามหนู”

“มาให้พี่จับซะดีๆ”

“อย่าหนีพี่นะขวัญ”

“ไอ้ตัวเล็ก เสร็จแน่”

สี่พี่น้องวิ่งไล่จับในห้องนอนของขวัญนพัตอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้าน คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างล่างได้ยินก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข

ชีวิตของขวัญนพัตก็เริ่มต้นขึ้นใหม่ ในครอบครัวใหม่ บ้านหลังใหม่นับแต่นั้นมา

 

ขวัญนพัตมีชีวิตที่มีแต่ความสุข ทุกคนที่บ้านนี้ให้ความรัก ความเอาใจใส่ขวัญนพัตดีมากๆ ส่วนเด็กชายเองก็ร่าเริงสมวัย เป็นที่รักของพ่อแม่ และพี่ชายพี่สาว ได้เรียนโรงเรียนที่ดี มีเพื่อนเยอะแยะ เสาร์อาทิตย์ก็จะไปที่คฤหาสน์ตระกูลกับผู้เป็นพ่อเพื่อไปเรียนและฝึกทำงานบ้าน การทำอาหารกับผู้เป็นยาย บ้างก็ไปให้คุณหญิงอัปสรท่านสอนให้

บางครั้งพี่ๆ ก็พาไปเที่ยว ไปซื้อของ วันไหนที่อินทร์ธร อัยยวัฒน์ว่างจากงานก็จะไปรับที่โรงเรียนกินขนมเสร็จก็พาไปส่งที่บ้านสันต์ธร ขวัญนพัตกลายเป็นเด็กที่โชคดีไปเลยเมื่อมีคนรอบข้างแสนดีกับตัวเองแบบนี้ สถานะจะเปลี่ยนไป แต่กับคนงานในคฤหาสน์ขวัญนพัตก็ยังเป็นขวัญนพัตคนเดิม ร่าเริงสดใส เป็นขวัญใจของทุกคน ถึงแม้ว่าเด็กชายจะพิเศษกว่าใครๆ ตรงที่ได้เดินเข้าออกตึกใหญ่เป็นว่าเล่น แต่เด็กน้อยก็ยังคงมารยาทไว้ จะเข้าไปก็ต่อเมื่อเจ้าของบ้านชวนเท่านั้น หากไม่มีใครชวน เด็กน้อยจะขลุกอยู่กับยายและวิ่งเล่นที่สวนบ้านพักคนงานเหมือนเดิม

ขวัญนพัตรู้จักกับเจ้านายทุกคนเป็นอย่างดี ได้รับความเอ็นดู ความเมตตาอย่างท่วมท้น ไม่นานมานี้...คนสุดท้ายที่ไม่คิดว่าจะมาคุยหรือเกลือกกลั้วกับเด็กชายคือคุณหญิงน่านฟ้า คุณแม่ของท่านอัศม์ ท่านก็มองเด็กชายเป็นเด็กคนหนึ่ง ไม่คิดว่ามีอะไร เลยไม่อยากจะไปสนิทสนมหรือเอ็นดูเด็กให้เด็กมันได้ใจ แต่พอได้เด็กชายเดินเป็นเพื่อนดูดอกไม้ในวันหนึ่งก็เกิดติดใจกับความช่างพูด ช่างเจรจา แววตาใสซื่อ มีมารยาทแบบเด็กน่ารักที่บริสุทธิ์ทั้งการกระทำและคำพูด ไม่มีความเอาแต่ใจหรือคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่เหนือว่าคนอื่นๆ อย่างที่คิด เข้าใจเลยว่าทำไมแม่สามีถึงได้ชอบคุยกับเด็กคนนี้นัก แน่นอนว่าเธอก็ติดบ่วงนั้นเข้าจังๆ จนกลายเป็นคุณครูสอนงานฝีมือให้เด็กชายอีกคน

และนับวันขวัญนพัตก็ยิ่งโตขึ้น ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดู ผิวพรรณดี ขาวผ่อง ใบหน้าหวานถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ มีแววว่าโตเต็มที่คงจะสวยหวานมากกว่าหล่อเหลาแน่ เหล่าพี่ชาย พี่สาว รวมทั้งอินทร์ธร อัยยวัฒน์ก็ตามหวง ตามดูแล ประคบประหงมดั่งไข่ในหินเสมอมา...

 



+ + + + + To be continue + + + + +

          ฟ้าหลังฝนของหนูขวัญก็จะงดงามแบบนี้แหละค่ะ ได้ครอบครัวใหม่ที่รักและเอ็นดูน้อง จากนี้ชีวิตของน้องก็จะโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความสุขค่ะ สงสารน้อง เรื่องนี้ใสๆ (?) เน้นฟีลกู้ด ความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ ค่ะ มีปมขัดแย้งของทางพรรคกับพวกแก๊งเล็กๆ บ้าง อย่างน้อยก็จะมีพื้นที่จะให้เหล่าคุณท่านอีกสี่ตระกูลได้เผยโฉมนะคะ ส่วนเรื่องความรักจะเน้นแบบพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ ประมาณไม่รู้ตัวมากกว่าไม่รู้ใจเนอะ ^^ จบการสปอยล์จ้า

          ช่วยกันติดตามแฟนเพจและทวิตเตอร์ยูกิด้วยนะคะ เราไปคุยกันฉันท์เพื่อนหรือพี่น้องได้เลย ยูกิเหงา เพื่อนไม่มีแล้วจ้า

          https://www.facebook.com/sawachiyuki/         https://twitter.com/Sawachi_Yuki

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1600
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
น้องขวัญมีครอบครัวใหม่ที่ดีมากเลยย เอ็นดูหนูขวัญด้วยนะะะ
โตแล้วสวยเหมือนแม่  :impress2:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อยากให้น้องขวัญโตเร็วๆจัง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด