*บทนำ*
เมื่อกล่าวถึงคราวที่ผานกู่สร้างโลกนี้ขึ้นมา ได้มีสัตว์เทพทั้งสี่มาเป็นผู้พิทักษ์คอยช่วยเหลือ นั่นคือ เทพมังกร วิหคสวรรค์ (หงส์) เต่ายักษ์ และกิเลน เมื่อผานกู่สร้างโลกนี้แล้วได้ตายลงทำให้ปลายเท้าของเขากลายเป็นเขาหัวซานทางด้านทิศตะวันตก เมื่อครั้งหนึ่งเกิดภัยใหญ่ เสาค้ำฟ้าของผานกู่เกิดถล่มลงมาได้ทำให้แผ่นดินแตกแยกออกมาหลายส่วน มารปีศาจจึงได้ถือโอกาสนี้ออกอาละวาด วุ่นวายปั่นป่วนทั่วทุกดินแดน ทำให้เจ้าแม่หนี่วาต้องลงมาช่วยเหลือจัดการซ่อมแซมท้องฟ้าด้วยการหลอมหินสมานฟ้าห้าสี เพื่อให้ท้องฟ้ากลับมาเป็นดังเดิม เจ้าแม่หนี่วาเกรงว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาอีก ทำให้พญาเต่ายักษ์ยอมสละตนเองโดยนำขาทั้งสี่ของตนค้ำยันท้องฟ้าไปตลอดกาล
แต่ทุกดินแดนก็ยังไม่หยุดวุ่นวายมีการเข่นฆ่าเลือดนองแผ่นดิน เพราะสรรพสิ่งในโลกที่เกิดมาล้วนไร้กฎเกณฑ์ยึดถือ ทำให้ความวุ่นวายไม่สงบลงโดยง่าย เจ้าแม่หนี่วาจึงให้เทพมังกรรับบัญชานำหินสมานฟ้ารวบรวมเหล่าเทพเซียนขจัดภัยร้ายบนโลกและสร้างกฏเกณฑ์บนโลกขึ้นมา โดยมอบหินสมานฟ้าให้เทพมังกรถือครอง เมื่อเทพอสูรและมารร้ายถูกขับไล่ไม่กล้าเหิมเกริม ดินแดนต่างๆ จึงสงบสุขสืบมา
เมื่อเวลาผ่านไปเทพมังกรเห็นว่าการเป็นผู้นำเหล่าเทพนั้นดูจะวุ่นวาย มันมิใช่วิสัยตนเพราะขาดความอิสระ เทพมังกรเห็นว่าหกภพภูมิสงบดีแล้ว (พิภพนรก พิภพเปรต พิภพเดรัจฉาน พิภพอสูร พิภพมนุษย์ พิภพสวรรค์) จึงได้สละตำแหน่งผู้ปกครองเหล่าเทพให้กับญาติเผ่ามังกรที่ร่วมทำศึกด้วยกันมาขึ้นปกครองแทน และไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องราวใดๆ ในทำเนียบเซียนอีกนับแต่นั้น ส่วนบรรดาลูกหลานเทพเซียนและอสูรปีศาจผู้ภักดีต่อเทพมังกรก็ติดตามมาอยู่ ณ วังตะวันตก แดนมายาทางด้านทิศตะวันตก พร้อมกับปิดกั้นดินแดนด้วยอาคมโดยไม่ได้ติดต่อกับภพต่างๆ อีกเลย
1.เสี้ยวจันทรา เภทภัยหมู่ตึกหมื่นปราชญ์
‘กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ชีวิตยาวนานอันแสนเศร้า ดวงจิตเร่าร้อนทุกข์ระทม กล้ำกลืนขื่นขมสุดห้วงใจ นึกถึงคราใดให้หวนคำนึง’
บุรุษหนุ่มรูปงามในชุดสีขาว ได้นอนทอดกายเหยียดยาวร่ำสุราบนต้นหลิว ใบหน้าที่งดงามดูกลัดกลุ้ม ทำให้จิตใจของบุรุษหนุ่มผู้นี้ว้าวุ่นไม่เป็นสุข เนื่องจากเขาได้จมอยู่กับทุกข์เมื่อได้ลิ้มรสสุราจนเป็นที่พอใจแล้วจึงโยนไหสุราออกไปได้ระยะสองวาเศษ แล้วจึงดีดพลังดัชนีผ่านปลายนิ้วไปยังไหสุราจนแตกกระจายหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง เขาจึงทะยานส่งกายลอยละลิ่ว ขึ้นไปกลางอากาศ มือข้างหนึ่งพลันคว้าหักกิ่งหลิวประมาณสองเชี๊ยะ แล้วพาร่างของเขาลงสู่พื้นดินอย่างแผ่วเบาพร้อมร่ายรำเพลงกระบี่ตามเคล็ดวิชาเพื่อแก้ความกลัดกลุ้มที่เกาะกินใจ บางทีการรำกระบี่อาจทำให้ความเจ็บปวดใจที่เขาเป็นอยู่เบาบางลง
"รำกระบี่หยกพราย ตระการกล้าแสงจันทร์ ยกมือพัดโบกสรรพสิ่งพลันพลิ้วไหว โยกกายย้ายร่างอำพรางใจ ต่อเนื่องดุจสายน้ำไหล เปิดม่านกลางใจลวงปลิดวิญญาณ"
เฉิงหลิงเซียว (ภูตจันทราแห่งวังตะวันตก) บุรุษหนุ่มร่างสูงผอมบางก้มมองพื้นดินด้วยกระบวนท่าของเพลงกระบี่ชุดสุดท้าย ก่อนยกใบหน้าที่โศกเศร้าของเขาขึ้น จนสายลมพัดปะทะวูบหนึ่ง ทำให้ปอยผมที่ปิดอยู่เผยออกเห็นใบหน้าที่แสนงดงามแต่แววตากลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
"หานอี้ เจ้าคนใจดำ มันคงถึงเวลาที่เราสองคน จะต้องสะสางเรื่องนี้กันได้แล้ว"
**
"แย่แล้ว..แย่แล้วขอรับ นายท่าน นายน้อยฮูหยินน้อย! "
เสียงของคนรับใช้ในคฤหาสน์หลังใหญ่มีเวรยามคุ้มกันอย่างแน่นหนา จู่ๆ ก็วิ่งร้องตะโกนลนลาน เหมือนว่าภายในคฤหาสน์แห่งนี้มีเรื่องที่ผิดปรกติเกิดขึ้น ตลอดช่วงหลายพันปีสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดร้ายแรงเกิดขึ้นมาก่อน หานเจี้ยนหลิน (ประมุขหมู่ตึกหมื่นปราชญ์) เมื่อได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกจึงรีบรุดออกมาสอบถามเหตุการณ์
"เกิดอะไรขึ้น"
"นายท่านเรือนพิรุณวารี เกิดเพลิงไหม้ขอรับ"
"เจ้าว่าอะไรนะ!! " ใบหน้าตื่นตระหนกของหานเจี้ยนหลินแสดงออกมาทางสีหน้าในทันทีที่ได้ยินบ่าวรับใช้พูดถึงเพลิงไหม้เรือนพิรุณวารี
"เรือนพิรุณวารี เกิดเพลิงไหม้ขอรับ"
"ฮูหยิน!! .. เจ้ามัวยืนเซ่ออยู่ทำไมรีบไปตามคนมาช่วยดับไฟเร็วเข้า" เมื่อหานเจี้ยนหลินสั่งบ่าวรับใช้ก็เร่งรุดไปยังเรือนพิรุณวารีทันที
"ฮูหยิน! "
เรือนพิรุณวารีคือที่พำนักของภรรยาเอกประมุขหาน เมื่อมาถึงก็พบกับเปลวเพลิงที่โหมไหม้ลุกโชติช่วง เขาจึงรีบหาทางที่จะเข้าไปด้านในทันที"ฮูหยิน" เมื่อเข้าไปด้านในประมุขหานได้เห็นฮูหยินนอนสิ้นสติเมื่อสัมผัสจุดชีพจรพบว่าอ่อนล้าเต็มที "ฮูหยิน ฮูหยิน!! " ไม่มีเสียงตอบรับจากฮูหยินประมุขหาน เขาจึงได้อุ้มร่างฮูหยินหานออกมาจากเปลวเพลิง แต่ทว่าเบื้องหน้ากลับปรากฏกลุ่มนักฆ่าที่ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำขวางทางอยู่
"พวกเจ้าเป็นใคร? บังอาจเข้ามาทำร้ายคนในบ้านข้า ใครส่งพวกเจ้ามา!! " หานเจี้ยนหลินตวาดไปแต่ไร้สุ้มเสียงตอบรับจากนักฆ่าปิดหน้ากลุ่มนี้กลับมีเสียงคำสั่งจากหัวหน้าของมันออกมาแทน "ฆ่า!! "
กลุ่มนักฆ่าพลันรีบพุ่งทะยานเข้าหาหานเจี้ยนหลินทันทีประมุขหานร่นถอยสองสามก้าว พอดูกำลังของอีกฝ่ายจึงพุ่งทะยานกายเข้าปะทะที่ดาหน้าเข้ามา สองมือของประมุขหานปัดป่ายด้วยวิชาฝ่ามือ ทว่านักฆ่าพวกนี้ลงมือรวดเร็ว แม่นยำคงจะถูกฝึกมาอย่างดี ทำให้หานเจี้ยนหลินรู้ว่าเขาเองคงมิอาจจะต้านทานยอดฝีมือนี้ได้นานนัก จึงคิดสู้ตายเพียงเท่านั้นในมือจึงปรากฏกระบี่อาวุธของตนออกมาปะทะสู้พลางถอยพลาง สังหารนักฆ่าได้บ้างแต่ก็ยังไม่มากพอ เมื่อเทียบกับพวกมันที่มีอยู่มากจึงไม่ทันได้ระวังตัวทำให้เขาถูกอาวุธลับที่แหวกตัดอากาศเข้ามาทำร้ายจนทำให้ได้รับบาดเจ็บ
“อาวุธลับมีพิษ” อาวุธลับนี้มีพิษร้ายกาจรุนแรงประมุขหานกุมบาดแผลที่เจ็บปวดเกินทนแทบยืนทรงกายไม่ไหว
"ท่านพ่อ! " ทันใดเสียงบุรุษหนุ่มใบหน้าคมเข้มก็พุ่งกายทะยานมาหาบิดาตนด้วยความเป็นห่วง "คนพวกนี้เป็นใคร? "
"หานอี้ รีบหนีไป เจ้าสู้คนพวกนี้ไม่ได้หรอก อึกอึก”
“ท่านพ่อ”
“รับป้ายหยกนี้ไปแล้วรีบไปหาอาจารย์กับน้องของเจ้า "
มือของหานเจี้ยนหลินนอกจากจะส่งมอบป้ายหยกของผู้นำตระกูลให้กับหานอี้ยังมีอาวุธลับที่ลอบทำร้ายเขาซึ่งเป็นหลักฐานอยู่ในนั้นด้วยหานอี้จึงรับเอามาแบบไม่เต็มใจนัก เพราะการรับป้ายหยกนี้เท่ากับว่าต่อไปนี้หมู่ตึกหมื่นปราชญ์จะไม่มีประมุขที่ชื่อหานเจี้ยนหลินอีกต่อไป
"ท่านพ่อ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น" หานอี้เหลือบไปเห็นร่างของมารดาที่นอนอยู่ก็พุ่งกายเข้าไปหาในทันที
"ท่านแม่...ท่านฟื้นสิท่านแม่! " หานอี้ เข้าไปประคองร่างมารดาของตนที่ไร้ซึ่งดวงจิตพลังเซียนที่คุ้มครองกายเริ่มสูญสลาย ทำให้ร่างของฮูหยินหานค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ “ท่านแม่!”
"เจ้ายังจะชักช้าอยู่อีกรีบไปเร็วเข้า ข้าจะต้านพวกมันไว้เอง"
สถานการณ์ในหมู่ตึกหมื่นปราชญ์ย่ำแย่อย่างหนักลมพัดเปลวเพลิงให้โหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน เพลิงที่ลุกเผาผลาญโชติช่วงอยู่ทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำสว่างจ้าสีแดงฉานไปทั่วบริเวณ หมู่บ้านในแดนมนุษย์เบื้องล่างที่ติดกับแดนเซียนต่างตกตะลึง เมื่อมองไปบนยอดเขาที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลหาน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาอาจเกิดอาเพศขึ้นได้ เพราะแดนเซียนด้านนี้เป็นตึกหมื่นปราชญ์ดูแลอยู่ ถ้าด่านแรกของแดนเซียนนี้ถูกทำลาย อาจจะนำพาหายนะมาสู่โลกมนุษย์ได้
"ท่านพี่ รีบไปเร็วเข้า"
"หลิงเอ๋อ"
เสียงคมอาวุธปะทะกันดังเช้ง! จนมีประกายไฟวับแว่บ ดึงสติให้หานอี้กลับคืนมา เมื่อหานอี้หันไปก็พบกับเซียวหลิงเอ๋อ ภรรยาของเขากำลังต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าจำนวนหนึ่งอยู่ หานอี้ไม่มีเวลาคิดมาก เขาจำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดา มันเป็นฝีมือของใครกันแน่ที่กล้าเข้ามาสังหารคนในบ้านของเขาอย่างเปิดเผยและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ แม้จะมีคำถามนี้อยู่ในใจ ถึงร้องตะโกนถามออกไปก็ไร้ประโยชน์
"ทางนี้ ท่านพี่"
เซียวหลิงเอ๋อไม่รีรอรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ควรจะรักษาชีวิตสามีนางเป็นอันดับแรกไม่มีเวลาให้เตรียมตัวอะไรมากนัก จึงได้แต่ชักนำคว้าจับข้อมือหานอี้สามีของตนให้รีบหนีออกจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด เมื่อหานอี้และหลิงเอ๋อ หนีมาได้สักระยะ หานอี้จึงขอให้นางหยุดเพราะยังเป็นห่วงบิดาอยู่
"หลิงเอ๋อ เจ้ารีบหนีไปก่อนเถอะ พี่จะกลับไปช่วยท่านพ่อก่อน"
"ไม่ได้เด็ดขาด ท่านลืมคำสั่งของพ่อท่านแล้วรึว่าให้ท่านทำสิ่งใด ท่านพี่รีบหนีไปเถอะ ข้าจะกลับไปช่วยท่านพ่อเอง"
ทั้งสองหนีมาได้ถึงป่าใหญ่ด้านหลังคฤหาสน์บ้านหานไม่ไกลนัก เซียวหลิงเอ๋อเป็นภรรยาที่แต่งเข้าบ้านหานมาได้ไม่นานแต่นางก็รักหานอี้สุดหัวใจนางตัดสินใจดังนั้นก็ผลุนผลันออกไปแต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปถึงสิบก้าวร่างของนักฆ่าปิดหน้าสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
"ใครส่งพวกเจ้ามา" หานอี้ตะเบ็งเสียงถาม
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ พวกเจ้าทั้งสองจงรู้เพียงอย่างเดียวเถิดว่าเวลานี้เป็นเวลาตายของพวกเจ้าทั้งสอง หึหึ.."
เซียวหลิงเอ๋อ เห็นดังนั้นก็หันไปมองหน้าหานอี้ผู้เป็นสามีแล้วค่อยสืบเท้าก้าวถอยหลังไปประชิดร่างสามีอย่างช้าๆ
"คนที่สั่งพวกเจ้า คือเจ้าของเข็มพิษเล่มนี้ใช่ไหม? เป็นคนส่งพวกเจ้ามา" หานอี้ รู้ว่าผู้ใช้เข็มพิษเล่มนี้เป็นใครและอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ก็ได้ จึงได้หยิบเข็มพิษอาวุธลับที่ทำร้ายบิดาของตนที่ให้ไว้เป็นหลักฐานออกมา
"หึหึหึ รู้ตอนนี้ มันก็คงช่วยอะไรเจ้าทั้งสองไม่ได้หรอก จงเอาคอเจ้ามารับคมดาบของข้าเสียเถอะ หานอี้"
สิ้นประโยคของกลุ่มนักฆ่าปิดหน้าการปะทะกันของสองฝ่ายก็เกิดขึ้นอีกรอบสองสามีภรรยา ผลัดกันรุกรับถอยหนี แต่ก็ไม่สามารถสลัดให้นักฆ่ากลุ่มนี้หลุดไปได้ ทำเพียงแต่สู้ไปหนีไป
เมื่อหานอี้ไม่ได้ทันระวังตัวนักฆ่าที่ซ่อนตัวในเงามืดกระโดดทะยานขึ้นไปกลางอากาศข้ามเหนือศีรษะของหานอี้และภรรยา ระหว่างที่ร่างของนักฆ่ากำลังลอยข้ามก็พลันปรากฏแสงแวววับของปลายเข็มปะทะกับแสงจันทร์วูบหนึ่งก่อนมีเสียงของชิ้นเล็ก พุ่งผ่านตัดอากาศตรงมาที่หานอี้กับเซียวหลิงเอ๋อ ทั้งสองไม่สามารถปัดป้องอาวุธชนิดนี้ได้ทัน เพราะคนใช้มีพลังฝีมืออันเยี่ยมยอดเชี่ยวชาญเรื่องการใช้อาวุธลับชนิดนี้ความรู้สึกเจ็บแปลบแผ่ซ่านเข้าไปในร่างของหานอี้และภรรยา ทั้งสองชะงักไปครู่หนึ่งทั่วร่างเย็นชาวูบวาบเหมือนว่าโดนแช่แข็ง บางทีก็พลันปวดหนึบลึกร้าวสู่อวัยวะภายใน เหมือนโดนทิ่มแทงอย่างรุนแรงจากคมดาบไปทั่วร่างจนรู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ บอกได้ถึงความร้ายกาจของพิษที่อาบอยู่ในอาวุธลับ
"พิษดับตะวันมันเป็นเช่นนี้เอง อึก..อึก บอกข้าได้ไหม? เหตุใดเจ้าจึงทำแบบนี้ แค้นข้านักเจ้าก็ควรจะมาลงที่ข้าเพียงคนเดียว ครอบครัวข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย"
หานอี้เหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ผู้ใช้อาวุธลับผู้นี้กลับยืนหันหลังให้นิ่งเฉยเย็นชามิได้เอ่ยกล่าววาจาใด พอมองให้ชัดหานอี้ก็รู้ว่าผู้ที่ใช้เข็มพิษดับตะวันนั้นเป็นคนละคนกัน ภายในใจเขากลับดีใจอย่างประหลาด แต่อย่างไรเสียเข็มพิษดับตะวันนี้ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาคนนั้นอย่างแน่นอน
หัวหน้านักฆ่าเหมือนรู้ว่าหานอี้กับเซียวหลิงเอ๋อไม่มีทางรอดแล้ว เขาจึงสั่งให้นักฆ่าล่าถอยไป ก่อนตัวเขาเองจะทะยานกายหายลับไปในเงามืด
"อึก..ท่านพี่ ท่านรู้ใช่ไหมว่าคนพวกนี้เป็นใคร? "
หลิงเอ๋อมองหน้าถามหานอี้อย่างสงสัยแต่พิษจากอาวุธลับที่ส่งผ่านความเจ็บปวดเข้ามาในร่างทำให้นางรู้ว่าคงไม่สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกนี้ได้นานนัก นางจึงสกัดชีพจรตัวเองและคิดจะยับยั้งพิษร้ายจากเข็มเล่มนี้ให้กับหานอี้สามีของตน
"ท่านพี่ อึก ข้าขอดูแขนของท่านหน่อยได้ไหม"
หลิงเอ๋อไม่รีรอจับแขนหานอี้ขึ้นมาดูบาดแผลเมื่อเห็นบาดแผลนางจึงตัดสินใจ สกัดจุดไม่ให้หานอี้เคลื่อนไหว พร้อมกับกดสกัดพิษไม่ให้แพร่กระจายแล้วถอนเข็มพิษออกจากตัวหานอี้พร้อมประกบริมฝีปากของตนไปที่บาดแผลดูดเลือดพิษสีดำดุจน้ำหมึก ให้กับหานอี้
"หลิงเอ๋อ!! นี่เจ้า"
หานอี้เองคิดจะห้ามมิให้หลิงเอ๋อกระทำเช่นนี้ นางขยับมืออีกข้างหนึ่งปิดปาก ไม่ให้หานอี้พูดสิ่งใดอีก ก่อนที่จะประกบปากของตนไปที่บาดแผลอีกครั้งเพื่อดูดพิษก่อนบ้วนออกมา ครั้งนี้เหมือนว่าบาดแผลจากดำสนิทกลายเป็นสีแดงน่าจะพอยับยั้งพิษในร่างของหานอี้ไปได้ช่วงนึง ถ้าหากหานอี้พบกับอาจารย์ และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็คงจะปลอดภัยทำให้นางรู้สึกเบาใจลงได้
"ข้ารู้ว่าท่านพี่จะพูดอะไร ข้าอยากจะบอกท่านแม้ว่าท่านจะเป็นเช่นไร ข้าก็ยังรักท่านเสมอ อึก อึก..ต่อไปนี้ ข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าท่านอีกแล้ว ข้าขอมองหน้าท่านชัดๆ อีกสักครั้งจะได้ไหม"
นางฟุบร่างของตนบนอกของสามี พลางทอดสายตาขึ้นมองใบหน้าของหานอี้ใบหน้าของเซียวหลิงเอ๋อดูเปื้อนยิ้มระคนปนเศร้าเป็นที่น่าเวทนา เมื่อครั้งแรกหานอี้เคยทักท้วงห้ามไม่ให้ เซียวหลิงเอ๋อแต่งเข้ามาบ้านหาน แต่นางก็ยังคงดึงดันจะแต่งเข้ามาบ้านหานอย่างเต็มใจ เซียวหลิงเอ๋อเองนางนั้นไม่เคยนึกเสียใจเลยสักนิดเพียงแค่อยู่ใกล้ชิดหานอี้ผู้นี้ แค่นี้ก็คุ้มค่าและมีความสุขเพียงพอแล้วสำหรับนาง แต่เวลาของนางมันช่างแสนสั้นนักเวลาช่างโหดร้ายเหลือเกินก่อนนางจะหลับตาลง น้ำตานางไหลรินออกมาก่อนหยดลงบนอกของสามี พร้อมกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาของเซียวหลิงเอ๋อ ร่างของหลิงเอ๋อค่อยๆ ลอยสลายไปในกลางอากาศ กลิ่นหอมอ่อนๆ ตลบอบอวลชวนให้เศร้ารันทดยิ่งนัก
"หลิงเอ๋อ! หลิงเอ๋อ! "
โศกนาฏกรรมในคืนนี้ ทำให้หานอี้ผู้เป็นสามีรู้สึกผิดยิ่งนักเพราะตั้งแต่แต่งเซียวหลิงเอ๋อมาเป็นฮูหยินบ้านหาน เขาเองก็แทบจะไม่เคยทำหน้าที่สามีที่ดี ให้กับนางเลย
"เฉิงหลิงเซียว เป็นเจ้าใช่ไหมเจ้าสั่งคนมาฆ่าล้างคนในบ้านข้า ทำให้ข้าต้องบ้านแตกเป็นเจ้าใช่ไหมที่ทำ เฉิงหลิงเซียว!!! ....เจ้าแค้นข้านักก็มาลงที่ข้าซิ!! อึก..อึก"
สุดเสียงตะเบ็งหานอี้ ก็กระอักเลือดช้ำออกมาคำใหญ่ ในใจของหานอี้ปานจะแตกสลาย ระคนปนความแค้นและแสนจะรัก เขาไม่เคยคิดเลยว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตระกูลหาน หมู่ตึกหมื่นปราชญ์ไม่เคยมีศัตรูที่ไหน ตระกูลหานอยู่เฝ้าด่านใกล้เขตแดนมนุษย์มีความสงบสุขมาหลายพันปี ไม่เคยมีโศกนาฏกรรม แต่คืนนี้กลับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ทำไมกัน หานอี้นอนหงายครุ่นคิด มองไปที่ดวงจันทร์ที่ทอแสงประกายท้าทายอยู่เบื้องบน ก่อนที่เขาจะหมดสติไป
"หลิงเซียว.... เจ้าทำแบบนี้ทำไม? "