สั่งการ2
ในความมืดที่เงียบสงบยามราตรีกาล เฟยหยีมองดูท้องฟ้าในยามนี้มันมีแต่ความมืดดำทว่ายังมีแสงสว่างบนขอบฟ้า เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงบนผาราชันย์ พร้อมกับได้ยินเสียงพิณบรรเลงมาพร้อมกับสายลมพัดอ่อนๆ
“ยามทิวาห้วงนภาจันทราส่องแสง ทุกข์ทิ่มแทงหมดเรี่ยวแรงสุดหวั่นไหว
โศกโศกาในราตรีแสนปวดใจ ถึงคนไกลเคยชิดใกล้ให้คำนึง”
เมื่อเด็กหนุ่มได้ฟังก็รู้สึกหดหู่ ตอนนี้ในใจเขาก็มีความคิดถึงที่กลัดกลุ้มอยู่เช่นกัน ทั้งเรื่องของมารดา ทั้งเรื่องของศิษย์พี่น้องในสำนัก ทว่าในใจของหลิงเซียวผู้บรรเลงนั้นต่างออกไป เพราะในใจเขากลับคิดถึงหานอี้ เพราะตัวเขาเฝ้ารอเวลานี้มาเนิ่นนานแล้ว มันใกล้ถึงเวลาในการสะสางความแค้น
หลิงเซียวรู้ดีว่าศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น หากผลออกมาไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ตัวเขาก็คงเหมือนเศษซาก ที่ไม่อยากมีอายุขัยยืนยาวเพื่ออยู่ต่อ เขาลอบถอนใจพลางบรรเลงพิณต่อไป
“ใคร?” หลิงเซียวรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจึงวางฝ่ามือกดแนบสายพิณพร้อมกับเหลียวมองดู
“ข้าน้อยเองขอรับ” เฉิงเฟยหยี เห็นว่าอีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขาได้แอบอยู่จึงไม่คิดพรางตัวจึงเดินออกมาเผชิญหน้ากับหลิงเซียว
“เจ้าคือคนของหุบเขาไหน? เจ้าไม่รู้หรือสถานที่นี้ไม่ใช่สถานที่ให้คนเช่นเจ้ามาเดินได้”
“ข้าน้อยเป็นผู้ติดตามท่านโย่วหลินขอรับ” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมคุกเข่าคำนับก่อนแค่นระบายยิ้มออกมาก่อนก้มหน้าของตนแล้วกล่าวต่อ “ข้ารู้สึกเบื่อจึงได้ออกมาเดินเล่น ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ข้าผิดไปแล้วขอประมุขโปรดอภัย”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่คอยเฝ้าปรนนิบัติโย่วหลิน มาที่นี่ทำไม?”
“ข้าน้อยเดินเล่นบังเอิญได้ยินเสียงฉินที่แฝงด้วยความเจ็บเหน็บหนาวใจ ยิ่งทำให้ใจข้าน้อยหวั่นไหวไปกับเสียงฉิน จึงได้เดินตามเสียงมา มิคิดว่าผู้บรรเลงคือท่านประมุข ข้าผิดไปแล้ว”
หลิงเซียวพอได้ฟังจึงหันมายิ้มให้เขา แม้รอยยิ้มเล็กน้อยของเขา ที่มันกลับแฝงไปด้วยความหนาวเย็นแต่กลับทำให้เฟยหยีกลับรู้สึกยินดี เพราะในตอนนี้นัยน์ตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ
“เจ้าก็รู้สึกโดดเดี่ยวเช่นกันอย่างนั้นรึ?”
เฟยหยีพยักหน้า [เสด็จน้า!] หลิงเซียวหันมองดูใบหน้าที่ยิ้มปนเศร้าของเฟยหยีที่เงยมา แววตาของเด็กคนนี้กลับทำให้เขารู้สึกดี “ลุกขึ้นได้”
“ขอรับ”
“นั่งลงก่อนสิ”
“เด็กหนุ่มอย่างเจ้ามีเรื่องอะไรให้กลัดกลุ้มกัน หรือว่าเจ้าไม่อยากติดตามโย่วหลินไปทำศึก หากเจ้าห่วงใยครอบครัวคนรัก ศึกที่หยุนไหลเจ้าไม่ต้องไปก็ได้ ข้าจะบอกโย่วหลินให้เอง”
หลิงเซียวรู้ดีว่าความเจ็บปวดจากการพลัดพรากเป็นเช่นไร หากเขาใจดำฝืนบังคับคนในแดนมายาทำศึก เมื่อคนไม่ได้เต็มใจ ก็สู้ให้พวกเขาได้อยู่กับครอบครัวคนที่รักอย่างสงบคงจะดีกว่า
“เปล่าขอรับ ข้ายินดีติดตามท่านประมุขทำศึก” แต่คำตอบของเด็กหนุ่มกลับทำให้เขาประหลาดใจ จนหลิงเซียวมองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม แววตาของเด็กคนนี้ช่างดูมีประกายจนทำให้เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่ง “อืม หากเจ้าไม่อยากไปก็ให้มาบอกข้า”
“ท่านประมุขตัดสินใจดีแล้วหรือขอรับที่จะทำศึกกับแดนสวรรค์”
“ทำไม มีอะไร? ...ข้าได้ตัดสินใจแล้ว และก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจ” เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าแล้วกล่าวแย้ง “หากเกิดศึกนี้ขึ้น หกพิภพจะวุ่นวายปั่นป่วน เกิดเภทภัยแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทุกดินแดนจะเดือดร้อนศึกนี้อาจจะกลายเป็นตราปาบให้กับแดนมายาเรา...”
“บังอาจ! เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใครถึงกล่าวกับข้าเช่นนี้”
หลิงเซียวนิ่งงันครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ข้าตัดสินใจไปแล้ว ในตอนนี้แดนมายาก็เหมือนกับล่มสลายไปแล้วคำสาปแช่งดูหมิ่นเหยียดหยามพวกนี้ข้าชินเสียแล้ว คนที่นี่ไร้ซึ่งตัวตนในแดนสวรรค์หรือแดนมารไปนานแล้ว หากจะมีผู้คนสาปแช่งกร่นด่าเพิ่มอีกเรื่องก็ช่างมัน ข้าไม่คิดใส่ใจ”
หลิงเซียวรู้ดีว่าตอนนี้เขาได้เดินสู่วิถีมาร ไม่ใช่เทพเซียนดังเช่นอดีตอีกต่อไป หากเขาจะกระทำเช่นไรก็ไม่คิดแยแสใส่ใจอยู่แล้ว ตัวเขาต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดมาหลายพันปีมันช่างเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายเต็มที
“ทำศึกกับแดนสวรรค์ครั้งนี้อาจเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ ทุกชีวิตจะล้มตายหกพิภพจะเสียความสมดุล คนที่ติดตามท่านเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไป...”
“หยุด!” เฟยหยีรู้ว่าตอนนี้หลิงเซียวกำลังโกรธจึงได้นั่งลงคุกเข่า
“เจ้าคิดว่าเจ้าคือใคร เป็นประมุขของที่นี่หรือไง หรือคิดว่าตัวเจ้าเองเป็นเทียนจวิน (จักรพรรดิสวรรค์) ถึงได้มาสั่งสอนข้า ช่างบังอาจเกินไปแล้ว”
หลิงเซียวเขาได้กดบีบปลายคางของเฟยหยีเงยขึ้นแล้วเน้นหนักอย่างลืมตัว “อ่ะ-อึก”
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้ว หากเจ้าไม่ต้องการที่จะทำศึก ก็ไม่ต้องไป แล้วยังจะมาพูดเรื่องพวกนี้อีกทำไม หรือว่าเจ้าอยากตาย...ใช่หรือไม่”
เฟยหยีมองแววตาที่แข็งกร้าวของหลิงเซียวที่จ้องมองเขาก็ทำให้ในใจเขาเจ็บปวดไม่ต่างจากความกลัดกลุ้มในใจของหลิงเซียว น้ำตาของเด็กหนุ่มก็พลันเอ่อล้นออกมา “ท่านฆ่า ข้าเสียเถอะ ..อึก...อึก สะ-เด็จน้า” มือที่เน้นกดปลายคางเฟยหยีนั้นกลับสั่นไหว
“จ่ะ-เจ้าว่าอะไรนะ”
“เสด็จน้า..ข่ะ-ข้าคือ เฟยหยี.. ท่านน้าจำหลานคนนี้ได้หรือไม่?” พลันเฟยหยีก็เผยร่างของตัวเอง
“นะ-นี่เจ้าคือ..ฟ่ะ-เฟยหยี.. เป็นเจ้าจริงๆ รึ? ...” หลิงเซียวมือสั่นไหวไม่นึกว่าเขาจะได้พบกับหลานชายของตนที่นี่
“ข้าตามหาเจ้าที่หยุนไหลไปทั่ว..สุดท้ายก็ได้เจอกับเจ้าเสียที หลานรักของข้า”
หลิงเซียวยกมือทั้งสองของตนลูบใบหน้าปาดน้ำตาให้กับเฟยหยี “เสด็จน้า” เฟยหยีคุกเข่าเงยหน้ามองหลิงเซียวด้วยน้ำตานองหน้า “หลานกลับมาแล้ว..” ใบหน้าที่เคยเงียบสงบนิ่งเฉยของหลิงเซียวพลันเปลี่ยนไป เขาทรุดกายลงพร้อมกับคว้าตัวเฟยหยีมากอดไว้แนบตัว ความหวังอีกอย่างของตัวเขาคือการได้พบกับเฟยหยี ตอนนี้มันเป็นความจริงแล้ว
“ในที่สุด ข้าก็ได้เจอกับเจ้าเสียที..เฟยหยี”
“เสด็จน้า ฮึก”
“ไหนขอดูเจ้าชัดๆ ทีซิ...นี่เจ้าโตมากขนาดนี้แล้ว ดี ดีจริงๆ”
เฟยหยีน้ำตาล้นปริ่มมองไปที่หลิงเซียว พร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา แม้เขาจะเพิ่งเจอกันแต่ความผูกพันต่อกันทางสายเลือดนั้นเข้มข้น เขาได้มองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่า นี่คือหลานของเขาจริงๆ
“เหมือนมาก เจ้าช่างเหมือนพี่หญิงจริงๆ ข้าดีใจ ดีใจเหลือเกิน”
..
“คำนับท่านประมุข” พลันโย่วหลินกับหยูอิงฮัวก็ทะยานกายมา “เจ้าทั้งสองมีเรื่องอะไร” โย่วหลินและอิงฮัวคุกเข่าก้มคำนับ ขณะที่เฟยหยีอยู่ด้านหลังของผู้เป็นน้า
“พวกข้ามีเรื่องจะมารายงาน ตอนนี้ทางแดนสวรรค์มีการเคลื่อนไหว” อิงฮวาเอ่ยขึ้น
“ว่ามา”
“ทหารสวรรค์และขุนพลห้ากองธงมีการเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ โดยไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกัน?”
หลิงเซียวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ก็ดี ข้าจะได้จบเรื่องนี้ในทีเดียว” ทว่าการมีอยู่ของเฟยหยีกลับทำให้ โย่วหลินกับอิงฮัวประหลาดใจ จนโย่วหลินเห็นเฟยหยี “แล้วนี่เจ้า”
“ท่านน้าโย่วหลิน”
“น่ะ-นี่คือ อ่ะ-องค์ชายน้อย” อิงฮัวได้เห็นเฟยหยีก็จำได้ “ข้าน้อยหยูอิงฮัวถวายพระพรองค์ชาย” การน้อมคำนับของอิงฮัวยิ่งทำให้โย่วหลินงุนงง
“เจ้าทำอะไรอิงฮัว ..องค์ชายอะไรกัน?”
“ยังไม่คุกเข่าคำนับองค์ชายน้อยอีก”
“อ่ะ-องค์ชาย!?!”
“ใช่ องค์ชายน้อยเฉิงเฟยหยี เร็วเข้า” อิงฮัวกระชากเสื้อของโย่วหลินทรุดลงกับพื้น “ข้าน้อยโย่วหลินถวายพระพรองค์ชาย”
“พอแล้วๆ ท่านน้าทั้งสองท่านลุกขึ้นเถอะ” เด็กหนุ่มเข้าไปประคองคนทั้งสองลุกขึ้น
“ที่แท้สตรีชุดม่วงผู้นั้นก็คือท่านนั่นเอง”
“อิงฮัวได้ล่วงเกินองค์ชายแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้คิดโกรธท่านเลย”
โย่วหลินบุ้ยปากมองไปทางเฟยหยี “แต่ข้านะสิ หึ โดนต้มเสียเปื่อยเชียว เหอะ” เฟยหยีมองโย่วหลินก่อนยิ้มแห้งๆ
“ท่านน้าโย่วหลิน ให้อภัยข้าเถิดนะ แต่พี่เสวี่ยเอ๋อร์ถึงไม่ใช่มารดาข้าแต่นางก็เป็นพี่เลี้ยงของข้า..”
“ฮึก...องค์ชาย” โย่วหลินคุกเข่าลงอีกครั้ง แต่มือของเฟยหยีได้คว้าตัวของเขาไว้ทัน ในใจของอิงฮัวและโย่วหลินยินดียิ่งเพราะต่อไปนี้แดนมายาได้มีนายคนใหม่ ไม่นานดินแดนนี้คงกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
“แค่ก แค่ก แค่ก” เสียงไอหอบของหลิงเซียวดังขึ้นพร้อมกระอักเลือดมาคำหนึง จนอิงฮัวและเฟยหยีต้องเข้าไปประคอง “ประมุข” สีหน้าของอิงฮัวยิ่งวิตกกังวล
“เสด็จน้าท่านเป็นอะไร”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
“ท่านประมุขค่ะ..”
“อิงฮัว...” หลิงเซียวหันไปทางอิงฮัว พร้อมเอ่ยกับเฟยหยี “แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย พวกเจ้าไม่ต้องวิตกกังวลเกินไป” อิงฮัวหลุบตาลง คิ้วและสีหน้าของนางเผยออกมาจนเฟยหยีสังเกตเห็น เฟยหยีเข้าไปประคองหลิงเซียวแล้วลอบตรวจดูอาการ
“เสด็จน้านี่ท่าน! ...”
“เอาเถอะ ข้าไม่เป็นไร หยกน้ำแข็งในกายข้ายังสามารถช่วยทำให้ ข้าอยู่มาได้ตั้งหลายร้อยปี ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“แต่พลังเซียนของท่านมันปั่นป่วนต่อต้านกันเองแบบนี้ หากปล่อยไว้นานเข้า ดวงจิตของท่านอาจจะ...”
“เจ้าวิตกเกินไป ... ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้วเฟยหยี ข้ารู้ตัวเองดี หากข้าไม่อยู่ ต่อไปเรื่องในแดนมายานี้คงต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
“เสด็จน้า” คำกล่าวเมื่อครู่ยิ่งทำให้เฟยหยีรู้สึกลำบากใจ “เจ้าไม่สังเกตบ้างหรือ ว่าปราณเทพเซียนบนร่างข้าตอนนี้ไม่มีแล้ว มีแต่เพียงไอมารและจิตมารที่แฝงอยู่ในกาย มันอยู่เพื่อการแก้แค้นเพียงเท่านั้น”
“แต่...แต่มันกำลังทำร้ายตัวท่านอยู่นะ” หลิงเซียวหันมายิ้มกับเฟยหยีอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วงไป ...ดาวเคลื่อนเดือนคล้อย ลิขิตชะตาฟ้า เทพเซียนอย่างเราใช่จะคำนวณได้ทุกสิ่ง มันเป็นชะตากรรมที่ข้าพร้อมจะแบกรับเอาไว้เอง...หลานรักเจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”