บทที่ 6
ชาวเราพร้อมใจสวดมนต์
“ตั้มว่าเราหัวอ่อนเกินไปมั้ย?”
ผมถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ ตั้มเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยว ตอนนี้เรากำลังพักเที่ยงอยู่ที่โรงอาหารของคณะ ตั้มขมวดคิ้ว เขาคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากอีกคำใหญ่ พอกินหมดแล้วถึงได้ตอบคำถามผม
“ในฐานะที่รู้จักกันมาแค่อาทิตย์กว่า กูควรรักษาน้ำใจมึงสินะ”
“แค่ตั้มมึงกูใส่หน้าเราตั้งแต่คุยกันคำแรก เราก็คิดว่าตั้มไม่ต้องรักษาน้ำใจเราแล้วล่ะ”
“เหมือนโดนด่า”
“ไม่ ตั้มคิดไปเอง” ผมถอนหายใจ สบตาเพื่อนใหม่หัวชมพูแล้วถามย้ำ “สรุปว่าไง คิดว่าเราหัวอ่อนเกินไปมั้ย”
“มึงไม่เชิงหัวอ่อนหรอก” เขากลอกตา ขมวดคิ้วแน่นคล้ายกำลังหาคำพูดดีๆ “แค่แบบ...ดีเลย์”
“ดีเลย์?”
“มึงตามคนไม่ค่อยทันว่ะ เท่าที่กูสังเกต” ตั้มยื่นมือมาตบไหล่ผมเบาๆ “ว่าแต่ทำไมเพิ่งถาม หรือเพิ่งรู้ตัวเอง”
“ไม่ คือ เอ่อ ก็ใช่ แต่ก็ไม่”
“สรุปยังไง กูโง่ กูตีความที่มึงตอบไม่ออกหรอกนะ”
“คือเราก็พอรู้ตัวว่าเราคิดตามคนอื่นช้าไปนิด ยิ่งมุกอะไรที่ต้องคิดลึกๆ เรายิ่งต้องใช้เวลาวิเคราะห์ ทีนี้เราก็แบบ เออ ขี้เกียจอะ ปวดหัว เลยปล่อยๆ ผ่านไปจนติดเป็นนิสัย” ผมเริ่มเล่าให้เขาฟัง ตั้มพยักหน้าหงึกๆ คว้าซองทาโร่ข้างตัวขึ้นมาฉีกแล้วหยิบปลาเส้นใส่ปาก “ไม่รู้เป็นเพราะเรามีฝาแฝดด้วยหรือเปล่า…”
“หือ มึงมีแฝด?”
“อืม อยู่ญี่ปุ่น” ผมพยักหน้ารับ “แฝดเรานอกจากหน้าที่เหมือนแล้ว นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนเลย เขาหัวไวมาก ตอนอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันมีเพื่อนคนนึงเข้าหาเรา แฝดเรามองแป๊บเดียวฟันธงใส่เราเลยว่าเข้ามาจีบทั้งที่คุยกันยังไม่ถึงสองประโยค”
“เดี๋ยวนะๆ ตอนอยู่ญี่ปุ่น?”
“อ๋อ ลืมบอกๆ เราเป็นลูกครึ่ง แม่เป็นคนไทย พ่อเป็นคนญี่ปุ่น แต่เกิดที่ไทยนี่แหละแล้วย้ายไปญี่ปุ่นตอนสี่ขวบ” ผมยิ้มเมื่อนึกถึงครอบครัวตัวเอง “พอสิบสี่เรากับแม่ก็ย้ายกลับมาไทยอีกรอบ”
“แล้วแฝดมึงกับพ่อล่ะ?”
“อ้อ…” ผมเม้มปากเล็กน้อย “พวกเขาอยู่ที่ญี่ปุ่นน่ะ...แม่หย่ากับพ่อ พวกเราเลยแยกกัน”
“เฮ้ยๆ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจทำให้เศร้านะ”
“เปล่า ก็ไม่ได้เศร้าหรอก” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “คิดถึงมากกว่า แต่ก็ยังติดต่อกันปกตินะ แค่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเฉยๆ เพราะแบบนี้อะ เราเลยไม่ค่อยสันทัดภาษาไทยเท่าไหร่ พวกคำแสลง หรือคำที่มีหลายความหมายงี้ บางทีเราก็ตามไม่ทัน ตอนอยู่ญี่ปุ่นก็ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ พูดไทยแค่ตอนอยู่บ้าน พอย้ายกลับมาไทยแม่ก็ให้เราเรียนอินเตอร์ เนี่ย ตั้มเก็ตใช่ปะว่าทักษะภาษาไทยเรามันเลเวลไหน”
“เออ ก็พอเข้าใจ”
“แล้วเมื่อเช้าเราก็เพิ่งนึกออก” เล่ามาถึงตรงนี้ก็เผลอเบะปาก “ว่าเราโดนพี่พระพายแกล้งให้พูดว่าอยู่กินกัน”
“ฮะ?”
“คือเราก็ตงิดใจนะ ว่าคำนี้มันแปลกๆ แต่นึกไม่ออกไง ไม่ค่อยได้ใช้ พอเช้ามาเลยเสิร์ชกูเกิ้ลดู ถึงรู้ว่าโดนแกล้ง”
“อ้าว เดี๋ยว สรุปคือมึงกับพี่เขาไม่ได้อยู่กินกัน?” ตั้มทวนคำถาม สีหน้าสงสัย “กูหมายถึงมีอะไรๆ กัน อะไรๆ ที่แบบลึกซึ้ง…”
“บ้าดิตั้ม เรากับพี่พระพายเป็นแค่รูมเมตกันเฉยๆ” ผมแก้ข่าว และเห็นทีต้องแก้ข่าวกับพี่สายฟ้าด้วย ก็ว่าทำไมวันนั้นเขาทำหน้าเหมือนเห็นผี ไม่รู้จะมองผมเป็นคนแบบไหนไปแล้ว “พี่พระพายชอบแกล้งเราอะ ไม่รู้เป็นอะไร เห็นเราตามไม่ทันแล้วสนุกมั้ง”
“อ๋ออออ เฮ้อออ กูเหรอก็นึกไปว่ามึงเป็นพวกหงิมนอกแซ่บใน ยั่วๆ บดๆ”
“หือ บดอะไรเหรอ”
“เอ่อ อย่ารู้เลย” เขาบอกปัด สีหน้ากระอักกระอ่วน ผมเลยไม่เซ้าซี้ถามต่อ แต่จดคำว่าบดไว้ในใจว่าน่าจะมีความหมายอีกแง่ไม่ดีเท่าไหร่ และถ้ายิ่งออกจากปากพี่พระพาย มันต้องไม่บริสุทธิ์ 100% แน่นอน!
“เราก็พยายามจะคิดตามให้ทันนะตั้ม ไม่อยากถูกพี่เขาแกล้ง”
“เออ เดี๋ยวอยู่ไปเรื่อยๆ มึงก็ซึมซับเอง”
“แต่ถ้าซึมซับจนระบบความคิดเราเหมือนของพี่พระพาย เราว่ามันไม่น่าจะดีนะ” ไม่รู้ในหัวเขามีอะไรอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่าต้องน่ากลัวมากแน่ๆ
“หรือไม่ก็ย้ายหอ เปลี่ยนรูมเมต”
“เราจ่ายมัดจำหอไปแล้ว รูมเมตใช่ว่าหาได้ง่ายๆ หรือตั้มจะมาเป็นรูมเมตเรา?”
“โทษที แต่กูชอบนอนคนเดียว”
“ไร้เยื่อใยมากตั้ม” ผมเบะปาก “ส่วนเรานอนคนเดียวไม่ได้ นอนไม่หลับเลย ระแวงไปหมด”
“งั้นก็ต้องยอมรับสภาพล่ะนะ” ตั้มโคลงหัว เขาตบไหล่ผมเบาๆ ให้กำลังใจ “ว่าแต่มึงได้ลายเซ็นพี่วินัยครบหรือยัง ส่งเย็นนี้ตอนเข้ารับน้องนะ”
“เออ ลืมเลย เราฝากพี่พระพายไว้”
“แน่ะ ใช้เส้นเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย” ผมส่ายหัวดิ๊ก “งั้นเดี๋ยวเราไปเอาสมุดก่อน ตั้มขึ้นไปห้องเรียนก่อนก็ได้ ฝากจองที่ด้วยเดี๋ยวเราตามไป”
“โอเค งั้นตอนขึ้นห้องมึงซื้อลูกอมเปรี้ยวๆ มาหน่อย กูง่วงตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ย กลัวหลับคาห้อง”
“ได้ เดี๋ยวเราซื้อขึ้นไปให้”
พอรับปากแล้วก็แยกกัน ผมแวะเซเว่นข้างๆ คณะเพื่อซื้อลูกอมให้ตั้มกันลืมตอนขากลับ เดินวนอยู่ในนั้นสักพักและตัดสินใจซื้อแซนด์วิชปูอัดสองชิ้น ชามะนาวหนึ่งขวดกับลูกอมเพิ่มอีกหนึ่งถุงใส่แยกกับถุงของตั้ม
คณะบริหารอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ผมเดินแป๊บเดียวก็ถึง ได้ยินเสียงบูมเชียร์ดังลั่น สงสัยว่ารับกันทั้งคณะไม่ใช่แค่สาขา ผมเคยได้ยินว่าพี่พระพายเป็นวินัยคณะ เพราะงั้นเขาน่าจะอยู่แถวนี้
อะ นั่นไง ยืนหน้าเข้มคุมปีหนึ่งอยู่ตรงนั้น
ผมรีๆ รอๆ ไม่กล้าเข้าไป ได้แต่มองอยู่ห่างๆ จนกระทั่งพี่พระพายหันมาทางผม เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากเกือบจะยกยิ้มแต่ดีที่เขารู้ตัวแล้วตีหน้านิ่งเหมือนเดิม พี่พระพายหันไปพูดกับพี่สายฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินออกมาหาผม
“ไงเรา คิดถึงพี่เหรอ มาหาถึงที่เลย”
“เรามาเอาสมุดล่าลายเซ็นที่ฝากพี่ไว้”
“เย็นชาจังนะครับ พี่ถามว่าคิดถึงพี่เหรอก็ไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น”
“เรายังไม่ได้คิดบัญชีพี่เรื่องหลอกให้เราพูดคำว่าอยู่กินกันนะ” ผมหน้าบึ้ง เอ่ยคาดโทษเขา “เห็นเราชักจูงง่ายหน่อยก็แกล้ง นิสัยไม่ดีเลยพี่พระพาย”
“อ้าว รู้แล้วเหรอ” เขาหัวเราะ ลูบหัวผมแล้วเปลี่ยนเป็นขยี้จนผมต้องปัดมือเขาทิ้ง “พี่หยอกเล่นนะ อย่าโกรธพี่เลย อะนี่สมุด รู้หรอกว่าหนูไม่คิดถึงพี่หรอก”
“ขอบคุณครับ พี่ให้เพื่อนพี่เซ็นให้เราครบห้าคนแล้วเหรอ”
“เรียบร้อยครับ ไม่โดนลงโทษแน่นอน”
“อื้อขอบคุณนะพี่” ผมเริ่มยิ้มออก ยื่นถุงแซนด์วิชจากเซเว่นให้พี่พระพาย “อะพี่ เราซื้อมาฝาก ตอบแทนที่พี่ช่วยเรา คิดว่าพี่คงต้องยุ่งกับการคุมน้องจนไม่ได้กินอะไรแน่ๆ พี่ๆ ที่คณะเราก็เป็น เราเลยซื้อแซนด์วิชปูอัดมาให้รองท้องไปก่อน อ้อ แล้วก็มีชามะนาวกับลูกอม เผื่อพี่พระพายว้ากแล้วเจ็บคอ”
พี่พระพายยื่นมือมารับไป เขามองหน้าผมอึ้งๆ ท่าทางเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มกว้างจนตาหยี ฝ่ามือใหญ่วางบนหัวผม จับโยกไปมาเบาๆ ตบท้ายด้วยการลูบหัว
“ขอบคุณครับ น่ารักจังเลยนะเรา”
“เราน่ารักกับพี่ขนาดนี้ พี่ก็เลิกแกล้งเราด้วยนะ”
“ยิ่งน่ารักพี่ยิ่งอยากแกล้งเนี่ยสิ”
“โห มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิพี่” ผมงอแงใส่ พี่พระพายเลยหัวเราะออกมาอีกครั้ง เนี่ย เวลาปกติเขาก็ดูเป็นคนดีนะ ไม่น่ากลัวหรือดูคุกคามเหมือนตอนทำนมดุ๊กดิ๊กเมื่อคืน “อ้อพี่ เย็นนี้พี่กินข้าวไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอเรา คณะเราเลิกค่ำๆ อะ”
“อ้าว แล้วหนูจะกลับยังไง?”
“เดี๋ยวเราโบกพี่วินกลับหอก็ได้” ผมตอบ “ปกติเวลาไม่ได้กลับกับพี่เราก็โบกพี่วินนะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ช่วงเย็นๆ น่ะไม่เป็นไร แต่นี่เลิกค่ำไม่ใช่หรือไง?”
“เรากลับได้ๆ พี่ไม่ต้องห่วง”
“พี่ถามก่อนว่าเฟนเลิกกี่ทุ่ม”
“เรากลับเองได้พี่พระพายยยย” ผมลากเสียง ดูเหมือนพี่พระพายจะสวมวิญญาณพี่วินัยใส่ผมซะแล้ว
“หนูตอบไม่ตรงคำถามพี่นะเฟน”
“เฮ้อ เราเลิกทุ่มครึ่งน่ะพี่ โบกพี่วินกลับหอสิบห้านาทีก็ถึง”
“เดี๋ยวพี่รอรับ”
“หืม? พี่เลิกค่ำเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า ห้าโมงเย็นก็ปล่อยน้องๆ กลับบ้านแล้ว”
“อ้าว งั้นพี่ก็กลับห้องไปก่อนเลย” ผมโบกมือไล่เขา “ไม่ต้องรอนะ เสียเวลา เรากลับเองได้จริงๆ โตแล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ปกติหนูไม่ดื้อนะเฟน แต่ทำไมวันนี้ดื้อจังเรา” พี่พระพายขมวดคิ้วใส่ พอผมทำท่าจะอ้าปากพูด เขาก็ยกมือห้าม “ไม่เถียงพี่แล้วนะ เดี๋ยวทุ่มครึ่งพี่มารับ แล้วไปกินข้าวเย็นพร้อมกัน ตามนี้นะครับ”
“แต่พี่…”
“พี่เป็นห่วง”
พอพี่พระพายบอกแบบนั้น ผมเลยได้แต่นิ่ง สุดท้ายก็พยักหน้ารับ ยอมทำตามที่พี่เขาต้องการ
[พระพาย]
เฟนขึ้นเรียนแล้ว ส่วนผมเพิ่งได้พัก สาบานเลยว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ไอ้สายฟ้าจะมาเกาะเตียงขอร้องเสียงอ่อนเสียงหวานให้มาช่วยเป็นวินัยคณะ อย่าหวังเลยว่าจะยอมตกลง!
“ขอกินน้ำหน่อย”
“ของกู” ผมรีบคว้าขวดชามะนาวที่เฟนซื้อมาให้ไปซุกไว้ด้านหลัง สายฟ้าหรี่ตามองก่อนเปลี่ยนเป้าหมาย
“แซนด์วิชก็ได้”
“นี่ก็ของกู”
“งั้นลูกอม”
“ของกูเว้ย!” ผมรวบทุกอย่างใส่ถุงแล้วกอดแนบอกแน่น ถลึงตาจ้องหน้าสายฟ้าไม่ยอมให้มันมาแย่งไปง่ายๆ “เฟนซื้อให้กู มึงเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาแย่งของที่น้องตั้งใจให้กูด้วยความรัก”
“กูถามจริง หวงขนาดนี้ สรุปน้องเป็นอะไรกับมึงวะ”
“อ้อ…” ผมขานรับ หลุดยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงหน้าเฟน “เขาเรียกว่าอะไรนะ เพื่อนนอน?”
“เชี่ย งั้นคนนี้เด็ดมากเลยดิ ปกติมึงไม่มีคู่นอนประจำนี่หว่า มึงมันสายเปลี่ยนแนวแล้วแต่อารมณ์ แถมกับเฟน มึงหวงยิ่งกว่าอะไรดี”
“ใจเย็นนะเพื่อน” ผมตบไหล่มันเบาๆ แล้วเฉลยความจริงในที่สุด “เพื่อนนอนจริงๆ แบบ...นอนเป็นเพื่อน ลูบหัวตบตูดเอ่เอ๊กล่อมให้หลับ”
“...”
“น้องเป็นโรคนอนคนเดียวไม่ได้ว่ะ กูเลยเอ็นดูมากกว่าอยากดูเอ็นน้อง”
“กูถามจริง?”
“โอเค ก็อยากดูเอ็นอยู่นิดหน่อย” ผมยอมรับ เฟนน่ะสเป็คผมเลย รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกที่น้องถ่ายรูปส่งมาให้ในเดมตอนนั้นแล้ว ยิ่งมาเจอตัวจริงยิ่งถูกใจ แต่น้องก็ดูใสเกินกว่าที่ผมจะทำอะไรๆ แบบนั้นด้วย เลยได้แต่หักใจตัวเองไว้ “มึง กูว่า...มันแปลกๆ แล้วว่ะ”
“อะไรที่มึงว่าแปลก”
“เมื่อคืนกูมองน้องนอนแล้วพระพายน้อยมันคึกคัก”
“ไม่เห็นแปลกตรงไหน” สายฟ้ามองผม เขาแค่นเสียงเหอะในลำคอ “คนมักมากในกามอย่างมึงถ้าไม่มีอารมณ์กับคนน่ารักแบบนั้นคงตายด้าน”
“ไม่มึง อันนั้นไม่แปลก กูยอมรับ ที่แปลกน่ะหลังจากนั้น” ผมเล่าต่อ “พอกูคึกคัก กูก็นึกว่าตัวเองของขาด ไม่ได้ไปแซ่บๆ กับใครมาพักใหญ่เลยรู้สึกง่ายกว่าปกติ เลยไปดีลมาได้คนนึง นัดคืนนี้สยามทุ่มครึ่ง”
“แล้วไงวะ”
“เมื่อกี้ที่เฟนมาหา น้องบอกน้องเลิกค่ำให้กูกลับไปก่อนเลย พอถามว่ากี่ทุ่ม น้องบอกทุ่มครึ่ง ตรงกับที่กูดีลนัดเย็บไว้” ผมพักหายใจครู่นึง “ที่แปลกคือกูบอกเฟนว่าจะมารับ แล้วกูก็แคนเซิลคนที่ดีลไปเมื่อกี้นี้ก่อนที่มึงจะเดินมานั่งด้วยเนี่ย กูไม่เสียดายด้วยนะ ทั้งที่ควรเสียดาย”
“อะ กูว่ามันเริ่มแปลกแล้ว”
“ใช่มั้ย”
“มึงให้ความสำคัญเฟนมากกว่าพระพายน้อยของตัวเอง” สายฟ้ามองหน้าผมอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่มึงตัวจริงใช่หรือเปล่าวะ เหมือนที่ผ่านมากูคิดว่ามึงเป็นฝุ่นควันพิษ จู่ๆ กลายเป็นหมอกกิ่วแม่ปาน”
“มึงลากเข้าเรื่องนี้อีกแล้วนะ”
“ไม่ไง ถ้ามึงเป็น PM2.5 เป็นมลพิษต่อน้อง กูจะได้เอาน้ำฉีดไล่มึง”
“แต่นักวิชาการออกมาบอกว่าใช้น้ำฉีดไม่ช่วยอะไร”
“มึงจะจริงจังทำไม ขนาดสวดมนต์ไล่พายุยังได้เลย”
“สวดแล้วช่วย?” ผมเลิกคิ้ว
“มึงไม่ได้อ่านข่าวเหรอ”
“ไม่ ว่าแต่ใครสวด?”
“คนที่มึงก็รู้ว่าใคร”
“โวลเดอร์มอร์?”
“ไม่ โวลเดอร์มอร์ไม่มีจมูก แต่คนนี้เขามีจมูก” สายฟ้าทำหน้าจริงจัง “ชื่อของเขาก็คือ…”
“คือออ?”
“มึงร้องต่อจากท่อนกูนะ เดี๋ยวรู้เลย” สายฟ้ากระแอม “Hit you with that…”
“DDU-DU DDU-DU DU”
“ตื๋ด ตื่อ ตื่อ ดื๊ด ตื่อ ดื๊ด ตื่อ ดื๊ด ดืด ดืด”
“กูต้องอาเย อาเย อาเย อ้าเย่ มั้ย?” ผมกลอกตา “แล้วขอเถอะ คุยกับมึงทีไรพากูเสี่ยงโดนลากคอทุกรอบ กูว่ามึงเล่นแอคนั้นมากเกินไป ปิดๆ ไปได้แล้วมั้ง”
“ไม่ กูมีอุดมการณ์ของกู มึงพูดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้อ่านไบโอทวิตกู”
“จะปิดแอคก็ต่อเมื่ออำนาจคืนสู่มือประชาชน” ผมทวนประโยคที่ท่องได้ขึ้นใจ “กูรู้น่า มึงกรอกหูกูมาหลายรอบแล้ว!”
“รู้แล้วยังจะถามนะครับเพื่อน”
“กลับมาที่เรื่องของกู” ผมเคาะโต๊ะเรียกความสนใจ สบตากับเพื่อนสนิท “เฟนมันน่ารัก กูก็อดแทะเล็มไปเรื่อยตามประสาไม่ได้ แต่พอมากไปกูเนี่ยจะบ้าตาย เกือบอดไม่ไหว”
“เอางี้ มึงเอาวิธีนี้ไปใช้”
“วิธีอะไรวะ”
“สวดมนต์”
“นี่เรายังไม่จบกับสวดมนต์อีกเหรอวะ” ผมแทบจะเอาถุงแซนด์วิชฟาดหน้ามัน ติดที่คิดได้ว่าเฟนอุตส่าห์ซื้อให้เลยยั้งมือไว้ทัน
“เออ ถึงกูจะไม่ชอบลุง แต่ในเมื่อลุงพิสูจน์แล้วว่าสวดมนต์ไล่พายุได้ ทำไมจะสวดให้มึงสงบจิตสงบใจไม่ได้ ประเทศเราเป็นเมืองพุทธ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้แล้ว”
“กูก็สวดอยู่นะ แต่ไม่ได้ผล”
“มึงสวดบทไหน”
“หมาตายลอยน้ำ”
“ไม่ พระพาย เราจะไม่สวดบทหมาตายลอยน้ำ” สายฟ้ายื่นคำขาด “มันไม่เด็ดขาดพอ”
“แล้วมึงว่ากูควรสวดบทไหน?”
“ปลงสังขาร”
“ฮะ?!”
“ยามหนุ่มยามสาว หน้าตาแช่มช้อย งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยานแต่ล้วนเครื่องเหม็น” มันท่องให้ผมฟังเป็นตัวอย่าง สีหน้าจริงจังยิ่งกว่าอ่านสอบ “พอมึงกำหนัดปุ๊บท่องเลยนะ แก่เฒ่าหนังยานล้วนแต่เครื่องเหม็นๆ กูว่าน่าจะช่วยได้มากกว่าหมาตายลอยน้ำตุ๊บป่องของมึง”
“มึงแม่งอัจฉริยะว่ะ กูประทับใจมาก ถ้ามึงลงเลือกตั้งกูจะเลือกมึงเป็นนายก”
“เดี๋ยวกูจะหาเสียงด้วยการแจกหน้ากาก N95 เลย ถูกกว่าแจกเงิ…” สายฟ้าชะงักไป มันส่งเสียงจิ๊จ๊ะ หรี่ตามองหน้าผม “ถุ้ย! เนี่ย บอกกูพาลากเข้าการเมือง มึงเองก็ไม่ต่างกันไอ้เวร”
“ศีลเสมอกันถึงคบกันได้”
“กูสงสารไอ้รัญเลย”
“จริง มันไม่ควรมาคบกับเรา” ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“มึงก็รีบกินรีบเสร็จ จะได้ไปคุมน้องต่อ”
“เออๆ”
[เฟน]
“พี่ ไม่ไหวแล้ว ง่วง”
ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นหน้าพี่พระพาย เขามารอรับผมจริงๆ ด้วย พี่ปล่อยปุ๊บเดินออกจากลานมาก็เจอเขายืนพิงเวสป้ารออยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว พี่ว่าจะพาไปกินกันข้างนอกก่อนค่อยกลับห้อง”
“ไม่ไหวอะพี่ เหนื่อยมาก ซื้อกลับไปกินที่ห้องนะ นะๆๆ” เวลาเหนื่อยๆ งี้ก็กลายเป็นผมอ้อนเขาโดยไม่รู้ตัว
“เบาหน่อยหนู พี่ไม่ไหว”
“อะไรไม่ไหว” ผมเงยหน้าสบตาเขา พี่พระพายทำสีหน้าเลิ่กลั่ก เขาประสานมือกุมตรงเป้าไว้แน่น ริมฝีปากพึมพำอะไรบางอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้ “เหนื่อยเหมือนกันเหรอ เนี่ย เราบอกพี่แล้วว่าไม่ต้องรอ พี่ก็ดื้อจะรอเราให้ได้”
“โอเคๆ พี่ผิดเอง ขึ้นรถได้แล้วครับ” พี่พระพายพาดขาขึ้นคร่อมเวสป้าคู่ใจ เขาส่งหมวกกันน็อกให้ ผมรับมาสวมแล้วขึ้นซ้อนท้ายเขา กอดเอวอีกฝ่ายหมับ “เฮ้ย!”
“เป็นไรพี่ ร้องเสียงดังใหญ่โต?”
“หนูกอดพี่ทำไม?!”
“ก็เราง่วงอะ เหมือนจะวูบเลย ถ้าไม่กอดไว้แน่นๆ เราก็ตกสิพี่” ผมอธิบาย หาวหวอดๆ อยู่ในหมวกกันน็อก “พี่รีบขับเถอะ อยากกลับแล้ว”
“แต่มัน…”
“พี่พระพายยยย กลับห้องน้าาาาา”
“โอ๊ยยย เย็นไว้ตัวกู ปลงสังขารๆๆ”
พี่พระพายออกรถ ผมได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟังไม่ถนัดเพราะเสียงลมตีจนพัดคำพูดเขาหายไปหมด ฟังออกคร่าวๆ แค่ประโยคท้ายๆ ที่ว่า…
“แก่เฒ่าหนังยานแต่ล้วนเครื่องเหม็น ไม่น่ารัก ไม่ขาว ไม่น่ากอดจูบลูบคลำ สังขารไม่เที่ยง…”
“...”
ผมปล่อยให้พี่พระพายท่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย ขี้เกียจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาคิด แต่ฟังพี่พระพายท่องไปท่องมาก็ชักรู้สึกง่วงกว่าเดิม มือที่กอดเอวเขาไว้ค่อยๆ เลื่อนต่ำลง…
“ชิบ! มือ! เฟนมือหนู!” ผมรู้สึกว่ารถเป๋ไปเสี้ยววินาทีนึงก่อนที่พี่พระพายจะประคองให้กลับมาเป็นปกติ เพิ่มเติมคือเขาจับมือผมที่ลงต่ำให้ขึ้นมาเกาะเอวเหมือนเดิม “หนูจะกอดเอวพี่ก็ได้ แต่จะมาสะกิดพระพายน้อยไม่ได้!”
“สะกิดอะไรของพี่อะ” ผมงึมงำ สะบัดหน้าเรียกสติตัวเองแล้วกอดเอวพี่พระพายไว้แน่นอย่างตอนแรก “เดี๋ยวถึงหอเราขออาบน้ำก่อนนะ พี่สั่งพิซซ่ามารอไว้เลย”
“เนี่ย หนูก็เป็นแบบนี้ว่ะเฟน”
ผมปล่อยเขาบ่นไปเรื่อย บ่นอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมทั้งง่วงทั้งหิว อยากกลับถึงห้องไวๆ แทบตายอยู่แล้ว…
“ปลงสังขาร ไม่โด่ ไม่กำหนัด แก่เฒ่าหนังยานแต่ล้วนเครื่องเหม็น!ๆๆๆ”
“...”
เฮ้อ เอาที่พี่พระพายสบายใจแล้วกันนะ
-----------------
บ้านใครฝุ่นเยอะอย่าลืมสวด--- อย่าลืมหาซื้อหน้ากากมาใส่ป้องกันกันนะคะ รักษาสุขภาพกันด้วยเด้อ
หื่นฮากันมาก็หลายตอนแล้ว ให้พี่ พพ ดูเป็นคนดีมั่ง เนี่ย พี่แกก็ไม่ได้เลวร้าย แค่เครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายเฉยๆ หลังจากนี้น้องน่าจะปลอดภัยเพราะพี่แกได้บทสวดปลงสังขารมาจากพี่สายฟ้าแล้ว 55555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ มุกแป้กบ้างขำบ้างโบ๊ะบ๊ะไปตามเรื่อง ไม่คิดว่าคนจะอ่านกันเยอะขนาดนี้ พูดจริง เขียนมาก็หลายเรื่อง เรื่องนี้คนอ่านเยอะมากสุดเท่าที่เขียนมาเลย ขอบคุณนะ ทุกคอมเมนต์ และทุกคนที่เล่นแท็กในทวิตเลย หวังว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนที่พี่ พพ หายบ้านะคะ
#เพื่อนกล่อมนอน