Our Love ep. 13
ปิ่นยังโทรมาไม่หยุดจนภคินต้องเข้าโหมดเครื่องบิน ผมแอบรู้สึกพอใจนิดๆ กับการกระทำนั้น จะยกหน้าที่ในการจัดการเรื่องนี้ให้มันคนเดียว ถ้ามันจัดการได้ มันจะได้ทั้งเพื่อนและแฟนในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้าไม่ได้…
…ไม่เพื่อนก็แฟน ที่จะต้องเดินออกไปจากชีวิตมัน…
ผมไม่อารัมภบททอดน่องอะไรทั้งนั้น พอลงรถได้ก็ก้าวฉับๆ นำภคินตรงไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยากกินทันที ร้านโปรดไอ้หล่อมันนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็อยากกิน
เราได้ที่นั่งว่างติดกระจก พอได้เมนูผมก็จิ้มสั่งทันที เขาเสิร์ฟน้ำชาก่อนเป็นอันดับแรก ผมยกจิบนิดๆ จริงๆ เขาห้ามนำอาหารจากข้างนอกเข้ามากินข้างใน แต่ผมแอบหิ้วถุงมะม่วงเข้ามาด้วย ระหว่างรอก็หยิบขึ้นกัดกินดังกรวบ
ภคินเบ้หน้าทันที มันคงจำรสชาติได้
“ถ้ามึงยังเป็นแบบนี้ อีกสองวันกูพาไปหาพี่หรือพ่อกูแน่ๆ”
ผมบอกรึยังว่าพี่ชายคนโตกับพ่อมันเป็นหมอ แล้วก็เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนแถวฝั่งธนด้วย มันถึงได้ทั้งรวย (เพราะฐานะของทางบ้าน) และทั้งฉลาด (จากพันธุกรรมของพ่อกับแม่)
พี่คนโตเลือกเรียนหมอเพื่อรับช่วงดูแลโรงพยาบาลต่อจากคุณพ่อ ทำให้น้องๆ มีอิสระในการเลือกเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน
ภคินมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ชายล้วน พี่ภาค พี่คนโตสุดเป็นหมอ ตอนนี้ช่วยคุณพ่อบริหารงานและรักษาคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาล
พี่ภู พี่คนรองเรียนบริหารและการตลาด รับช่วงดูแลธุรกิจนำเข้าสินค้าเกี่ยวกับรถยนต์จากคุณปู่
พี่ภพ พี่คนที่สามจะถนัดเรื่องการลงทุนและดูแลธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาฯทั้งหมดของทางบ้าน
ส่วนมันคนสุดท้อง เป็นเพียงคนเดียวที่ยังเรียนอยู่ มันเลือกวิศวะโยธาเพราะความชอบส่วนตัว มันสนิทกับพี่ภพสุด อนาคตคงจะเป็นวิศวะกรไปด้วยควบคู่กับการลงทุนและทำอสังหาฯ แบบพี่ภพ
ผมไม่เถียง เพราะขืนดื้อดึงเรื่องนี้ เป็นอะไรขึ้นมาพ่อแม่จะลำบาก ผมลูกคนเดียวด้วย ยังอยากทำงานใช้หนี้ที่พ่อแม่กู้ยืมมาให้เป็นค่าเล่าเรียนอยู่
ระหว่างรอผมหยิบมือถือมากดเปิดไอจีเล่น พอหมดก็เข้าเฟซต่อ มีข้อความจากกล่องข้อความ ผมกดเข้าไปอ่าน
…แล้วนิ่งไปเพราะข้อความนั้น
“มีอะไร” ภคินคงเห็นความผิดปกติของผม
“เปล่า”
“น่าน” มันยื่นมือมาขอ ผมลังเล ก่อนยื่นมือถือให้มันดู
ปิ่นส่งข้อความมาหาผมครับ ข้อความเดียว แต่ทำเอาผมหน้าชาไปเลย
‘หน้าด้าน อยากได้ผัวคนอื่นจนตัวสั่นรึไง’
ผมมองหน้ามัน ขอบตาร้อนขึ้นมาอีก มองให้รู้ว่าถ้ามันยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คนที่เจ็บสุดคือผม
มันกดข้อความลงในมือถือ ตอบกลับข้อความของปิ่นจากไอดีผมนั่นแหละ
‘อย่าส่งข้อความแบบนี้มาหาน่านอีกนะปิ่น เราคุยกันแล้ว ผมขอร้อง/ภคิน’
ปิ่นออนไลน์อยู่ คาดว่าปิ่นน่าจะได้อ่านข้อความนั้นแล้ว ผมไม่เห็นอีกว่าปิ่นตอบกลับภคินว่าไง มันขยับห่างไปกดยิกๆ แล้วคืนมือถือมาให้ผมตามเดิม ผมรับมาดู
ทั้งข้อความ ทั้งเฟซปิ่นหายไปแล้วครับ มันอันเฟรนด์ให้ผมเรียบร้อย
ผมเงยหน้ามอง
“ปิ่นจะได้ไม่มาวอแวมึงที่นี่ได้อีก”
แล้วที่อื่นล่ะ
แต่ผมไม่ได้ถามออกไป จากข้อความเตือนของภคิน ไม่รู้ว่าปิ่นจะเลิกยุ่งกับผมไปเลยหรือว่าจะหาช่องทางอื่นๆ มาต่อว่าต่อขานผมอีก
มันดึงมือผมไปกุมเบาๆ
“กูจะพยายามแก้ไขเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”
ผมมองตามัน ตอนนี้คงทำได้แค่เชื่อใจเท่านั้น ส่วนมันจะทำได้ไหมเป็นอีกเรื่อง อย่างที่ผมบอก ถ้ามันทำได้ มันจะได้ทั้งเพื่อนและแฟน แต่ถ้าทำไม่ได้ ไม่ใครก็ใครจะต้องเดินออกไปจากชีวิตมัน
ผมไม่พูดอะไร อาหารมาพอดี ความน่ากินของมันทำเอาความวิตกกังวลเรื่องปิ่นลดลงฮวบฮาบ ผมมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตาเป็นประกาย เหมือนในตัวผมมีปีศาจตัวน้อยๆ กำลังกระโดดโลดเต้นเพราะความอยากกิน ผมไม่รอให้ใครมาเปิดพิธี ใช้ตะเกียบคีบกินทันที
อืม…อร่อยมาก…
มันยิ้ม
“ทำหน้าซะเคลิบเคลิ้มเชียว อร่อยขนาดนั้น?”
“อืม อร่อย อยากกินฉิบหาย กูต้องมีพยาธิแน่ๆ สงสัยต้องหายาถ่ายพยาธิมากินด้วย”
มันพยักหน้า คีบกินบ้าง
“เอ้านี่ หน้าปลาแซลมอน ของโปรดมึง” ภคินคีบซูชิหน้าปลาแซลมอนมาใกล้ปาก รองมือไว้ด้านล่างเผื่อหล่น มานาทีนี้ผมไม่คิดอะไรมากแล้ว อ้าปากงับอย่างเดียว เคี้ยวตุ้ยๆ ทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ตามองคนป้อนเป็นประกาย
มันยิ้ม คีบกินต่อ ซูชิถาดใหญ่หมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ผมนั่งพุงยื่น พอเห็นพนักงานถือบิงซูสตรอว์เบอร์รีผ่านหน้าก็อยากขึ้นมาอีก
“อยากกิน?” ภคินมันคงคาดเดาได้ ผมพยักหน้าหงึกๆ
มันยกมือเรียกพนักงานทันที
“ขอบิงซูสตรอว์เบอร์รีหนึ่งครับ”
“ได้ค่ะ” พนักงานยิ้มรับ
“กินไหวเหรอ” มันถามหลังสั่งเสร็จ
ทำไมไม่ถามก่อนสั่งให้กูวะ
“อยากกิน” ไหวไม่ไหวไม่รู้ แต่อยากกิน
มันหัวเราะหึๆ เลื่อนมาจับมือผมอีกรอบ บีบเบาๆ
“ขอโทษแทนปิ่นด้วย แล้วก็ขอโทษอีกครั้งที่หายไป กูสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก กูจะปกป้องมึง ดูแลมึง และจะไม่ทำร้ายจิตใจมึงอีก”
ผมดึงมือออก
“กูเชื่อการกระทำมากกว่าคำสัญญาใดๆ ทั้งนั้น”
มันเลื่อนมาจับมือผมอีกรอบ คราวนี้มันไม่พูดครับ แต่บีบมือแล้วมองตา มองให้รู้ว่ามันจะทำจริงๆ
ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าผมเชื่อการกระทำมากกว่าคำพูด และผมเชื่อว่ามันจะทำได้จริงๆ
…จากคำสัญญาผ่านดวงตาคู่นี้…
จริงๆ ผมเป็นผู้ชาย ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลปกป้อง แต่แปลกที่พอเป็นภคิน ผมกลับยินดีให้มันทำ
เราถอนมือจากกันเมื่อพนักงานนำบิงซูมาเสิร์ฟ สาวน้อยหน้าแฉล้มมองพวกเรายิ้มๆ หน้าแดงก่ำ
“บิงซูสตรอว์เบอร์รีมาแล้วค่ะ”
ผมยิ้มรับ เขาให้ช้อนมาสองอัน ผมจ้วงตักกินทันที ส่วนคุณชายละเลียดกินนิดๆ หน่อยๆ เพราะมันไม่ชอบของหวาน ผมจ้วงตักเอาตักเอา
ธนาโทรไลน์มาหา ภคินมองตาม พอเห็นว่าเป็นธนาก็เงียบตามเดิม
[ทำอะไรอยู่วะ อาการเป็นไงบ้าง ไก่โทรมาจิกกูยิกๆ ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนมึงหน่อย แต่กูมาบ้านทราย คุยกับผู้ใหญ่เรื่องสำคัญอยู่ ปลีกตัวไปตอนนี้ไม่ได้จริงๆ]
“ไม่เป็นไร กูดีขึ้นแล้ว” ผมเหลือบมองภคิน “ภคินมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว” ผมบอกให้มันสบายใจ ไม่งั้นคงได้โทรตามกันให้วุ่นเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนผมแน่ๆ
[อ้าวเหรอ คืนดีกันแล้วเหรอ]
“ก็ไม่เชิง”
[ให้เดาไหม มันหนีปิ่นมาหามึง]
ถูกเผง
[มันติดมึงจะตาย อยู่กับมึงมันมีความสุขกว่าอยู่กับปิ่นเยอะ บางครั้งกูก็ไม่เข้าใจว่ามันจะคบกันไปทำไม]
“ก็มันรักของมัน” ผมให้ข้อสรุป
[ก็จริง]
ธนาถอนหายใจยาว
ความรักเนอะ ห้ามกันไม่ได้หรอก ไม่งั้นจะมีผู้หญิงหลายคนที่ยอมทนให้ผัวตบตีเพียงเพราะรักผู้ชายคนนั้นมากจนไม่อยากแยกจากเหรอ
ภคินก็คงเป็นแบบนั้น
ในทางพุทธศาสนาเขาว่าอะไรนะ
‘คู่เวรคู่กรรม’ ใช่ไหม ถ้าใช้กรรมกันยังไม่หมดก็ยังเลิกไม่ได้
[โอเค มีคนอยู่เป็นเพื่อนกูก็สบายใจแล้ว มีอะไรก็โทรหาละกัน ทรายเขาเป็นห่วงมึงอยู่]
“อือ ฝากขอบใจทรายด้วยนะ”
[ได้]
ผมกดวางสาย ค่อยๆ ใช้ช้อนตักบิงซูตรงส่วนที่มันละลายกินต่อ
อืม..อร่อยเหาะ
ภคินตักลูกสตรอว์เบอร์รีสดที่เขาหั่นแว่นไปผสมกับเกล็ดน้ำแข็งสีขาวน้ำนม แต้มด้วยซอสสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดจนมันพูนช้อน ยื่นมาตรงหน้า
“อะ”
ความน่ากินของมันทำเอาผมไม่คิดจะปฏิเสธ งับเข้าปากทันทีบดเคี้ยวให้เนื้อสตรอว์เบอร์รี่ผสมเข้ากับซอสและน้ำแข็งไส
ภคินยิ้ม วางช้อนลง งอศอกราบกับโต๊ะมองผมกินอย่างเดียว
มันหยิบมือถือมาถ่ายรูปผมตอนกิน ก้มกดยิกๆ แล้ววางมือถือลง ผมเดาเอาว่ามันต้องอัปภาพผมลงโซเชียลเพื่อประจานแน่ๆ
ผมหยิบมือถือมาดูบ้าง
แล้วก็จริงตามคาด มันอัปภาพผมลงไอจีมันเอง
PakinWorld: ‘พาเด็กป่วยมากินขนม’
ภาพนั้นเป็นภาพของผมที่กำลังกินบิงซูด้วยสีหน้าแช่มชื่น
อื้อหือ ผมทำหน้าเคลิบเคลิ้มขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“อิ่มไหม” มันถามอีกรอบหลังผมกินหมด (ไม่น่าเชื่อว่าจะหมด)
“ถ้าให้กินอีก ต้องให้กูไปอ้วกเอาของเก่าออกก่อนนะ”
มันหัวเราะหึๆ เรามองตากัน บรรยากาศเดิมๆ เริ่มหวนคืนมา
…แต่แค่นิดเดียวเท่านั้น
“แวะไปคอนโดกูหน่อยละกัน จะไปเอาโน้ตบุ๊ก ต้องใช้ จะมานอนค้างด้วยจนกว่ามึงจะดีขึ้น”
ตอนแรกว่าจะปฏิเสธ แต่มันค้านขึ้นมาก่อน
“เพื่อนๆ คนอื่นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไม่ให้กูค้าง เดี๋ยวพวกนั้นได้โทรตามกันให้วุ่นอีก”
ก็จริงของมัน
ทีคืนหลังสอบละหายหัว ไอ้พวกเพื่อนเวร
เราพากันกลับทันที ไม่ได้เดินเที่ยวอะไรเพราะอาการผมยังไม่ค่อยดี
“จะนั่งรอที่รถหรือจะขึ้นไปบนห้องด้วยกัน”
“ไปด้วย!”
ต่อให้ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ดีแค่ไหน แต่ผมก็ยังกลัว
ไม่ได้กลัวคนหรอกครับ
…กลัวผีน่ะ
ก่อนหน้านี้ผมเคยดูหนังผีมา เรื่องนั้นมีคนถูกรถชนตายที่ลานจอดแบบนี้แหละ หลังจากนั้นผีก็ยังไม่ไปไหน คอยวนเวียนหลอกหลอนคนที่มาจอดประจำ นั่งๆ อยู่ก็มีคนมานั่งอยู่เป็นเพื่อน
บรื๋อ หลอนให้ตาย ไม่เอาด้วยหรอก
ผมเดินเคียงภคินขึ้นลิฟต์ มุ่งตรงไปยังห้องมัน ผมมาไม่บ่อยนักหรอก ส่วนใหญ่มันจะไปห้องผมมากกว่า
ผมเดินสำรวจไปรอบๆ ระหว่างมันกำลังเดินไปหยิบโน้ตบุ๊กแพ็กใส่กระเป๋า ผมยิ้มเมื่อมีภาพถ่ายเพิ่มขึ้นมาบนชั้นโชว์ในห้องรับแขก เป็นภาพเก่าๆ เมื่อสมัยเรายังหัวเกรียนเรียนร.ด.ด้วยกัน เราสวมชุดร.ด.เต็มยศ มือถือปืนคนละกระบอก ทั้งชุดทั้งหน้าเปื้อนเปรอะเลอะเทอะไปด้วยฝุ่นโคลนจนเดาไม่ออกว่าใครเป็นใคร สภาพไม่น่าดู แต่ปากเราทั้งคู่กลับยิ้มกว้าง ดวงตามีประกายสดใส เพราะวันนั้นเราเหนื่อยกันมากเพื่อให้ผ่านบททดสอบ
…แม้จะเหนื่อย แต่ก็สนุกและภูมิใจ
ผมหยิบขึ้นมาดู ภาพเหตุการณ์เก่าๆ หวนคืนเข้ามาในความคิด ตั้งแต่วันแรกที่เข้าฝึกกระทั่งวันสุดท้ายที่เรียนจบ
ผมวางภาพลง หยิบอีกอันขึ้นมาดู
ภาพนี้เป็นภาพวันที่เราเรียนจบมอหก เรายืนกอดคอกัน (แน่นอนว่าผมเตี้ยกว่ามันเยอะ) เสื้อเราทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน แต่ของภคินจะเยินกว่าของผม เยินไปยันแก้ม
ส่วนคนมือบอนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
…ผมเองนี่แหละ
แทททูด้วยปากสีน้ำเงินเป็นคำว่า ‘เพื่อนกันตลอดไป’
ผมยิ้มไปกับภาพจำในอดีต จำได้ว่าวันนั้นมันต้องถอดเสื้อออกเพื่อให้คนที่เหลือได้ใช้พื้นที่ด้านในได้เขียน
ฮอตจริงอะไรจริง
อยากบอกว่ามีสาวสวยเขียนข้อความบอกรักลงบนกางเกงมันด้วย เพื่อนๆ ทั้งแซวทั้งขำทั้งอิจฉาปะปนกันไป เป็นข้อความสารภาพรักสั้นๆ ว่า…
‘รักนะ แต่งงานกับเราเถอะ’
มันแค่หัวเราะ เพราะสาวสวยที่ว่าดันเป็นสาวที่ติดขนตาปลอมในชุดนักเรียนชายเต็มยศแบบเดียวกัน
กระทั่งวันนี้ชุดนักเรียนเลอะๆ ตัวนั้นของเราก็ยังอยู่ ถูกพับเก็บไว้อย่างดีไม่มีการซักใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อคงไว้ซึ่งความทรงจำดีๆ ของเราตลอดทั้งสามปี
ทุกอย่างมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน
เรียนมอปลายด้วยกันสามปี เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปอีกสามปีกว่ากับชีวิตในรั้วมหา’ลัย ที่ได้ทั้งประสบการณ์ ความสนุกและความทรงจำใหม่ๆ
ผมยิ้ม นึกถึงภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ที่พบกันวันแรก ถูกคัดให้ไปอยู่ห้อง A เหมือนกันตลอดทั้งสามปี อยู่กลุ่มเดียวกัน กินนอนด้วยกันตอนฝึกร.ด. กระทั่งเข้ามหา’ลัยก็เลือกเรียนที่เดียวกัน เลือกคณะเดียวกัน ลงเรียนแทบจะทุกตัวเหมือนกัน
ประสบการณ์รับน้องที่จะลืมไม่ลงเด็ดขาดเพราะความฮอตของมันเป็นเหตุ กระทั่งถึงวันที่มันได้ถูกเลือกให้เป็นเดือนมหา’ลัย
ทุกเหตุการณ์มีแต่ภาพความทรงจำดีๆ มาจนถึงทุกวันนี้
...ยกเว้นเรื่องที่มันทิ้งผมไปเพราะปิ่นแก้วนะ
ผมยืนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้ว่ามีใครมายืนอยู่ด้านหลังกระทั่งถูกจับที่เอวเบาๆ ผมสะดุ้งโหยงหันไปมอง
“ทำอะไรอยู่ กูเสร็จแล้วนะ”
“ตกใจหมด” ผมวางภาพถ่ายในมือลง มันมองตาม ยิ้ม ผมมองไปรอบๆ จะว่าไปห้องมันมีรูปคู่ของเราเยอะอยู่เหมือนกัน
ผมชะงัก เพราะมีรูปถ่ายของผมตอนเราไปเที่ยวสยามโอเซียนเวิร์ดอยู่ด้วย
ไม่ใช่รูปคู่ แต่เป็นรูปผมเดี่ยวๆ เท่านั้น ในภาพผมส่งยิ้มสดใสให้กล้อง ผมพยายามนึกว่าไปถ่ายกันตอนไหน
อ๋อ จำได้แล้ว
ลืมไปเลยว่าเคยถ่ายรูปนี้ไว้ ภคินมันไม่ได้ส่งให้ผมด้วย ผมถึงลืม ไม่คิดว่ามันจะพรินต์เอามาใส่กรอบเก็บไว้แบบนี้
“น่ารักดี”
คำพูดมันทำเอาแก้มผมร้อนผ่าว ละสายตาจากภาพนั้นเสียหันไปมองมันดีๆ
มันถือกระเป๋าไว้ทั้งสองมือ ข้างหนึ่งเป็นโน้ตบุ๊ก อีกข้างเป็นกระเป๋าเสื้อผ้า ผมคิ้วขมวด
“นี่ยังจะเอาไปเพิ่มอีกเหรอ เสื้อผ้ามึงจะล้นตู้กูอยู่แล้วนะ”
“ของจำเป็นอย่างอื่นน่ะ”
ผมไม่ถามว่ามีอะไรบ้าง พร็อปส์เสริมหล่อของภคินมันเยอะ
“ไปกันเถอะ” มันชวน
ผมพยักหน้า เดินนำมันออกจากห้อง ระหว่างทางเท้าผมสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่พื้น ผมก้มมอง ภคินหยุดตาม
…มันเป็นกิ๊บติดผมครับ
อันเล็กๆ สีชมพูลายดอกไม้ ผมก้มเก็บ เดาไม่ยากเลยว่าของใคร
“ปิ่นคงทำตกไว้” ผมยัดสิ่งที่เก็บได้ใส่มือภคิน มันมองงงๆ รับไปดู ขมวดคิ้วแล้วนิ่งคิด
ผมเม้มปาก แค่คิดว่าอ้อมแขนที่มันเคยกอดผมนั้นไม่ใช่ของผมก็รู้สึกปวดแปลบในอกแล้ว
…แต่คนที่ไม่มีสิทธิ์ในอ้อมแขนนั้นคือผมต่างหาก
“กูไม่ได้พาปิ่นมาคอนโดนานแล้วนะ ตั้งแต่…” มันนิ่งไป มองตาผม “วันที่ปิ่นบอกเลิกกูแล้วไปกับแบงค์”
“ไม่ต้องโกหกหรอก หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่”
มันส่ายหน้าอย่างใจเย็น ยกของในมือให้ดู
“น่าจะของหลานสาว วันก่อนพี่สะใภ้พาแอนนี่แวะเอาของฝากจากสวิตเซอร์แลนด์มาให้” มันกลัวผมไม่เชื่อ กดมือแล้วยื่นภาพให้ดู เป็นภาพสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ผมเคยเห็นผ่านภาพเท่านั้น เพราะไม่ค่อยได้ไปบ้านมันเท่าไหร่ (พี่ภูแยกออกไปอยู่บ้านอีกหลังด้วย)
บนหัวสาวน้อยมีกิ๊บแบบเดียวกันทั้งสองข้าง ก็ไม่แปลกที่จะเผอเรอทำหล่นบ้าง
ผมพยักหน้าเข้าใจ มันเอาไปวางไว้บนโต๊ะ พากันก้าวออกจากห้อง
ไม่นานเราก็เดินทางกลับมาถึงหอน้อยของผมอีกครั้ง ห้องผมทั้งห้องควบรวมทั้งห้องน้ำกับระเบียงยังเล็กกว่าห้องนอนของมันซะอีก
ภคินหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิดทันที มันคำนวณไว้แล้วว่าพื้นที่ไหนบ้างเหมาะกับการทำออฟฟิศของเรา เราไม่ใช่ร้านค้าแบบร้านอาหารที่ต้องอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ เข้าถึงง่าย แต่อยู่ที่ชื่อเสียง ผลงาน และการบอกต่อของลูกค้า อาจมีทำโฆษณาบ้างในช่วงแรกๆ
สิ่งสำคัญในยุคนี้น่าจะเป็นเว็บไซต์มากกว่า เพราะลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย มีพื้นที่ให้ลูกค้าได้เห็นผลงานด้วย
ออฟฟิศเราจึงต้องการแค่พื้นที่กว้างๆ พอให้มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าบ้างเท่านั้น นอกนั้นก็ขอสิ่งแวดล้อมดีๆ เพราะเราจะทำเป็นโฮมออฟฟิศ เป็นที่ทำงานแบบบรรยากาศอยู่บ้าน
“เพราะงี้แหละ กูถึงอยากให้มึงมาช่วยกูตัดสินใจเลือก”
“ทำไมต้องกู ไม่ให้ปิ่นช่วยเลือกล่ะ”
มันส่ายหัว
“ปิ่นเขาไม่เห็นด้วยกับกู เขาอยากได้บ้านหลังใหญ่ ส่วนที่ทำงานก็แยกออกไปต่างหาก”
“เขากลัวมึงทำแต่งานจนไม่สนใจเขาล่ะมั้ง”
“ความคิดสวนทางกับกู สำหรับกู เวลาทำงานแล้วได้เห็นหน้าคนรักมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หรือมีลูกๆ มาวิ่งเล่นล้อมหน้าล้อมหลัง กูว่าน่าสนุกกว่าอีก ของเล่นของลูกคือโมเดลบ้าน รถ หรือหุ่นยนต์ที่กูทำเอง”
“กูว่ามึงสร้าง ลูกพังมากกว่า” ผมแซวกลั้วหัวเราะ มันหัวเราะตามบ้าง คงพอนึกภาพตามออก
“กูก็ว่างั้น”
เด็กนะครับ เรื่องซนเป็นเรื่องธรรมชาติ มันมีหลานชายหลานสาวคงพอเดานิสัยเด็กได้
“งั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตละกัน ตอนนี้อยากได้แค่โฮมออฟฟิศเท่านั้น บ้านว่ากันอีกที มาช่วยกูเลือกหน่อย เนี่ย พี่ภพให้มาสิบกว่าที่ ดูดีทุกที่จนเลือกไม่ถูกว่าจะเอาที่ไหน กูให้สิทธิ์มึงเป็นคนเลือกละกัน”
ผมพยักหน้า ไล่ดู ดูดีทุกที่จริงๆ
“เลือกยากว่ะ” เข้าใจเลยว่าทำไมมันเลือกไม่ได้สักที “งั้นเอางี้ดีกว่า เราไปลงพื้นที่กัน ดูของจริงไปเลย ชอบอันไหนมากสุดเอาอันนั้น เผื่อไปคุยแล้วเจอเพื่อนบ้านนิสัยไม่ดีเราจะได้ตัดทิ้ง”
มันหัวเราะ พยักหน้าเห็นด้วย
“มึงพักไปเถอะ กูขอนั่งทำงานก่อน”
“งานอะไร” ผมถามงงๆ
มันยิ้ม
“แผนงานที่อยากทำในอนาคตน่ะ กำลังวางแผนแล้วเสนอพี่ภพ รีบทำไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”
ผมพยักหน้า เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมเข้าห้องน้ำ ลอบมองไอ้หล่อมันนิดหนึ่ง
…ภคินโหมดจริงจังนี่ก็น่ารักดีนะ
Tbc.
#ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ
#ผมท้องกับเพื่อน