คุณเทียมไม่คิดว่าจะได้พบไพศาลที่บ้านพักของท่านเสรี แต่พอพบก็รู้เข้าแล้วว่าเขาตกหลุมพราง ‘งูพิษ’ สูงวัยที่ยังอำมหิตและเยียบเย็นไม่เสื่อมคลาย
หล่อนคงเป็นตัวตั้งตัวตีให้เรียกเขาไปพบที่บ้านพักส่วนตัวของท่านเสรี และที่น่าจะเป็นความคิดของหล่อนที่สุดก็คือให้นายไพศาลมาพบเขายามอยู่ที่บ้านหลังนี้ ต่อจากนี้ หากใครพูดจาทำนองว่าคุณเทียมไม่ได้ร่วมมือหรือเป็นหุ้นส่วนกับท่านเสรี ไพศาลคงค้านหัวชนฝาเป็นคนแรก เพราะเห็นตำตาว่าเขามาพบในช่วงเวลาที่อำนาจกำลังเปลี่ยนมือ
แต่ในเมื่อคุณกอบกุลใช้เขาเป็นเบี้ย เขาก็ใช้หล่อนเป็นโล่ได้เช่นกัน บัดนี้ ถ้าไพศาลเข้าใจว่าเขาจะเป็นหุ้นส่วนรายใหม่ของกลุ่มทุนกลุ่มนี้ ก็ต้องเข้าใจไปแล้วว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่มีคุณกอบกุลร่วมเอี่ยวด้วย
คราวนี้ หากไพศาลจะทำอะไรสักอย่าง นั่นหมายความว่าต้องสู้กับคนถึงสองคน หนึ่งคือคุณเทียมผู้มีบารมีในท้องที่ สองคือคุณกอบกุลเศรษฐินีที่ใครก็รู้ว่าหล่อนร่ำรวยเพียงใด
หากไม่โง่และบ้าจนเกินไป ก็ควรจะรามือก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
แต่...ไพศาลอาจจะทั้งโง่และบ้า หรือมิเช่นนั้นก็คงหน้ามืดตาบอดไปแล้ว เพราะคนของคุณเทียมยังคงรายงานว่ามีคนติดตามปลัดจิณณะไม่ปล่อย
“เอาอย่างไรดีครับ ผมว่ามันเอาจริง” มิตรเอ่ย สีหน้าเป็นกังวลยิ่งขึ้น เขาไม่ได้ห่วงใยคนที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ห่วงคนที่อยู่ใกล้ตัวเป้าหมายจะโดนลูกหลงต่างหาก
คุณเทียมขมวดคิ้ว เคร่งเครียดมากกว่าเดิม ไม่เข้าใจว่าไพศาลคิดอะไร ถึงยังไม่รามือเสียที
“คนของเรารู้จักคนที่นายไพศาลส่งมาไหม”
“ผมลองถามดูแล้ว แต่ไม่มีใครคุ้นหน้าเลย น่าจะเป็นคนจากที่อื่น”
“แปลก...มีลูกน้องตั้งมาก ทำไมต้องใช้คนจากที่อื่นมาทำเรื่องแบบนี้”
ยิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ ก็ยิ่งจัดการได้ยาก หากเป็นสมัยก่อนที่คุณเทียมยังอยู่ในแวดวงของผลประโยชน์เต็มตัว เขาคงสั่ง ‘เก็บ’ อย่างเงียบๆไปแล้ว แต่สถานะของตนเองในเวลานี้และบารมีที่มีตอนนี้ร่อยหรอลงเรื่อยๆเพราะถอยห่างจากวงการอำนาจและผลประโยชน์มาพอสมควร หากสั่ง ‘เก็บ’ เหมือนอย่างที่เคยทำ เกรงว่าเรื่องจะไม่เงียบ หนำซ้ำข่าวของทองสุกคราวก่อนทำให้เป็นที่สนอกสนใจของคนทั้งประเทศ หากมีคนตายเพราะถูก ‘เก็บ’ ในพื้นที่เดิมอีก เรื่องคงยิ่งบานปลาย
คุณเทียมที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่แรกจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวด้วยก็ตอนนี้ อายุปูนนี้แล้ว อีกทั้งยังถอยออกมาจากวงการผลประโยชน์เหล่านี้แล้ว เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่กระดูกกลับลอยมาแขวนคอ หากต้องติดร่างแห ถูกขุดคุ้ยอดีตที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ความเป็นความตาย และชีวิตของผู้คนขึ้นมาในเวลานี้ ก็ไม่ต่างจากตักดินขึ้นมารอกลบหน้าตอนตาย
แต่...จะไม่ทำอะไรก็ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องคราวนี้มีหลานชายอย่างพิทักษ์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“ถ้าจะส่งคุณทิศไปต่างประเทศ ผมว่าควรรีบทำ”
“ฉันต้องหาทางพูดกับเขาก่อน อย่างน้อยก็ต้องทำให้เขาสบายใจว่าเรื่องทุกอย่างเงียบไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมทิ้งปลัดจิณณะไว้ สั่งคนของเรา ดูแลทิศกับปลัดให้ดี แล้วหาทางเอาตัวคนของไพศาลมา ฉันจะจัดการพวกมันเอง”
พิทักษ์ห่วงใยจิณณะแค่ไหน คุณเทียมดูออก หลานชายที่เคยสุขุมกลายเป็นถูกความรู้สึกบางอย่างปลุกปั่นให้ไม่อาจสำรวมได้อย่างเคย
เมื่อมีคนสำคัญ จากสายตาที่เคยระแวดระวังและมองรอบตัวอย่างรอบคอบก็จำต้องแบ่งสันปันส่วนมามองคนข้างกาย น่าเป็นห่วง...คนที่ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นใหญ่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด อาจสละทิ้งได้แม้แต่ตนเอง...
……………………
นับตั้งแต่ชเยนตร์และจารีตบุกมาหาถึงที่ว่าการ จิณณะก็ยังคงไม่กลับไปกรุงเทพฯ เขาไม่ได้ติดต่อกลับไปหาใครในวงศ์กีรติอีก แต่กลายเป็นคนของวงศ์กีรติเองที่เพียรติดต่อมาหาเขา
ญาติผู้พี่ที่ต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อ ก็ยังสู้อุตส่าห์โทรศัพท์มาลา ไปถึงแล้วก็ยังติดต่อส่งข่าว แล้วย้ำหนักหนาว่ากลับมาคราวหน้าจะมาตีกอล์ฟที่สนามของพิทักษ์ให้ได้ ชเยนตร์ยังคงทำตัวเหมือนเดิม ส่วนน้องชายของจิณณะทำตัวสนิทยิ่งกว่า ด้วยการโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและขอคำปรึกษาไม่เว้นแต่ละวัน
อย่างวันนี้...โทรมาคุยเรื่องมารดาอยากทานบัวลอย
“แม่อยากกินบัวลอย? แกก็ไปซื้อมาให้แม่กินสิ จะโทรมาทำไมเนี่ย” จิณณะบ่นอุบใส่โทรศัพท์ แต่พอนึกถึงร้านที่จรรยาชอบ เขาก็ถอนหายใจ ไม่แน่ใจนักว่าน้องชายจะรู้จักร้านโปรดของมารดาหรือไม่
“ร้านที่แม่ชอบอยู่แถวดินแดง แต่ไปตอนนี้คงไม่ทันแล้วมั้ง แกไปพรุ่งนี้สิ” เขาบอกรายละเอียดเรื่องร้านโปรดของมารดาอีกเล็กน้อย น้องชายก็บอกเล่าเรื่องในบ้านต่อ ทั้งเรื่องที่ชเยนตร์ถึงอังกฤษแล้ว เรื่องที่ครอบครัวลุงป้าไปต่างประเทศ จิณณะได้แต่รับฟังเงียบๆ เกือบครึ่งชั่วโมง กว่าน้องชายของเขาจะหยุดเล่า จึงได้วางสาย ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้ตัวว่าเจ้าของบ้านยืนมองเขาอยู่
จิณณะยังคงมาพักอาศัยที่บ้านของพิทักษ์ เพราะช่วงแรกๆที่มาอยู่ เป็นช่วงที่ความรู้สึกกำลังจมดิ่ง จึงไม่ได้ใส่ใจกับความแปลกที่และการอยู่ร่วมกับคนอื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มตั้งสติได้ เขาก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตนเองมาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ หนำซ้ำเวลานี้ยังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยมีเจ้าของบ้านยืนมอง
“เอ่อ...ผมเสียงดังหรือ” พิทักษ์ยิ้มจางแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินเข้ามาหา
“พี่ลงมาชงกาแฟ เห็นไฟเปิดเลยเดินมาดู คุยกับจาหรือ”
พออีกฝ่ายถามถึงน้องชาย จิณณะก็ถอนหายใจเฮือก แล้วเอนหลังพิงพนัก
“มันโทรหาผมทุกวันเลย วันนี้โทรมาบ่นว่าแม่ออยากกินบัวลอย อะไรของมันก็ไม่รู้” แต่ละวันที่จารีตโทรมา ล้วนไม่มีเรื่องไหนสลักสำคัญ นอกเสียจากการบอกเล่าเรื่องราวของคนในครอบครัววงศ์กีรติให้เขารับรู้ ทั้งที่เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องจิปาถะเหลือเกิน อย่างเรื่องที่มารดาอยากทานบัวลอย
ดูเหมือน คนที่เอ่ยปากว่าจะขอออกจากครอบครัววงศ์กีรติ พอเอาเข้าจริง คนในครอบครัวกลับพากันรั้งเอาไว้มั่น
“เพราะจาไม่อยากให้พี่ของเขาไปจริงๆน่ะสิ” คำพูดของพิทักษ์ทำให้หลานนอกคอกที่ประกาศชัดเจนว่าจะไม่กลับไปอีกได้แต่ถอนหายใจ อ้าปากกำลังจะพูด คนข้างกายกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แต่ผมออกมาแล้ว...” เป็นประโยคที่ปลัดหนุ่มจะเอ่ย แต่กลับถูกพิทักษ์แย่งพูดไปเสียก่อน
“จิณกำลังจะพูดแบบนี้ใช่ไหม” คนถูกแย่งพูดได้แต่นิ่ง เมินสายตามองไปทางอื่น
“ทิฐิแบบนั้น มันมีค่าอะไร ถึงได้เก็บเอาไว้”
“แล้วพี่จะให้ผมกลับไปให้เขาเยาะเย้ยเหรอ ว่าผมไปไม่รอด”
ยังไม่ต้องกลับไปเหยียบคฤหาสน์วงศ์กีรติ จิณณะก็รู้ดีว่าจะได้ยินเสียงประเภทใดต้อนรับเขาเป็นประโยคแรก คุณกอบกุลคงเร่งฝีเท้ามาประจันหน้าพร้อมด้วยหน้าตาเหยียดหยามและคำพูดดูหมิ่น
“แต่ที่นั่นไม่ได้มีแค่คุณกอบกุล จิณตอบโต้คุณกอบกุลด้วยการทำร้ายตัวเองกับคนอื่นๆที่เขารักและอยากอยู่กับจิณทำไม” จิณณะเงียบ ก้มหน้านิ่ง
“ตอนนี้ชีวิตจิณยังมีปัญหาใหญ่ พี่เข้าใจถ้าจะยังไม่อยากกลับไปเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนที่นั่น แต่สัญญากับพี่ ถ้าทุกอย่างจบ จิณจะกลับไปหาพ่อแม่และจา”
คนมีปัญหาใหญ่ในชีวิตหันมอง สบตากับคนขอคำสัญญา ในดวงตาของข้าราชการหนุ่มกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบจนคนเห็นอดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อนึกเปรียบเทียบกับดวงตาคู่นี้ที่เคยเป็นประกาย
“...ปัญหาของผม…มันจะจบได้ใช่ไหม”
น้ำเสียงของจิณณะยังเต็มไปด้วยความกังวล คนฟังนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเข้าไปพบคุณเทียมเพื่อสอบถามความเป็นไปเรื่องของไพศาล แต่ลุงของเขาบอกแค่ว่าทุกอย่างเป็นปกติ
...แปลก...ที่ปกติ…
“พี่เพิ่งไปพบลุงเทียม ลุงว่าทุกอย่างปกติ”
“หรือมันจะเลิกไปแล้ว” จิณณะเปรย หากเขาเป็นไพศาล และรู้ว่าต้องชนกับคนที่มีทั้งอิทธิพลและเงินทอง เขาก็คงไม่สู้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีแรงจูงใจอื่น...
“พี่ว่าจะลองหาทางสืบดู” ความเงียบ มีต้นเหตุจากสองเรื่องคือ หนึ่ง...ไพศาลยุติทุกอย่างแล้ว ซึ่งย่อมเป็นเรื่องดี กับสองคือเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบซึ่งหากเป็นเช่นนั้น อันตรายใหญ่ย่อมกำลังมาถึง
“พี่ทิศจะสืบยังไง”
“ท่านนพพร จิณจำได้รึเปล่าที่เราไปงานแต่งงานลูกของเขาแทนลุงเทียม” จิณณะพยักหน้ารับ
“พี่เคยได้ยินข่าวลือว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มทุนที่เป็นแบ็กอัพให้นายไพศาล ถ้าลองไปพบ บางทีอาจทำให้ได้รู้อะไรเพิ่ม”
จิณณะอ้าปากแต่อีกฝ่ายสวนทันควัน
“แต่จิณอยู่เฉยๆก่อน”
“อ้าว! ทำไมล่ะ นี่ปัญหาผมนะ”
“ให้พี่ลองไปพบดูก่อน ถ้าเขาช่วยได้จริง พี่จะพาจิณไปอีกที แล้วอีกอย่าง...” พิทักษ์จ้องมองคนข้างกาย ดวงตาดุคู่นั้นอัดแน่นด้วยความจริงจัง
“ปัญหาของจิณ ไม่ใช่ของจิณคนเดียว เป็นปัญหาของพี่ด้วย” ไม่ต้องน็อกจิณณะด้วยหมัด แต่ปลัดหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนลงไปนอนนับดาว คำพูดของพิทักษ์ทำเอาหัวใจเต้นถี่ เลือดลมสูบฉีดไปทั้งร่าง แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของอีกฝ่ายก็ตรึงเขาไว้อย่างนั้น เบี่ยงหนีไปไหนไม่ได้
พิทักษ์เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูด พูดแต่ละครั้งก็ไม่ได้สวยหรูเต็มไปด้วยคำหวาน แต่...ทำไมมีอิทธิพลต่อหัวใจของจิณณะนักก็ไม่รู้
นานนับนาทีที่ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขาสองคน จิณณะเพิ่งเรียกกำลังแขนขากลับมาได้ แถมต้องใช้การตัดสินใจอย่างฉับพลันหันหน้าหนีสายตาของอีกฝ่าย
“อ...เอ่อ...ป...ปัญหาของผมจะเป็นปัญหาของพี่ได้ไงล่ะ...เอ้อ...ดึกแล้ว ผมว่าผมไปนอนดีกว่า...” ข้าราชการหนุ่มทำเป็นมองนาฬิกาหาข้ออ้างปลีกตัว เพราะขืนยังนั่งอยู่อย่างนี้ เขาคงถูกน็อกไปอีกหลายหมัด
ทว่าคนหาข้ออ้างยังไม่ทันลุกขึ้นยืน แขนก็ถูกคว้าไว้หมับ จิณณะรู้สึกเหมือนใจหล่นลงไปอยู่ที่แขนข้างที่ถูกจับ แต่ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง
“จะไปนอนทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบของพี่หรือ”
“ค...คำตอบอะไร” ปากถามแต่ตามองตรงไปเบื้องหน้า ไม่กล้าหันมองคนที่ยังนั่งอยู่ข้างกัน
“ทำไมปัญหาของจิณถึงเป็นปัญหาของพี่” ตอนนั้นเองที่ปลัดหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเขาตั้งคำถามได้เปิดช่องเสียเหลือเกิน
“ดูเหมือนจูบของพี่วันนั้น จะไม่ทำให้จิณรู้ตัวใช่ไหม”
“ผ...ผม...”
“พี่จูบไปหลายครั้งนะ จิณ ไม่รู้ตัวจริงๆหรือ” คราวนี้จิณณะหันมอง คนพูดยังมองตรงมาที่เขา หน้าตาจริงจังไม่เหมือนตั้งใจจะสร้างบรรยากาศชวนหวามไหวเลยสักนิด ตอนแรกที่หัวใจตกมาอยู่ที่แขน เลยพอจะดึงกลับมาอยู่ที่เดิมได้
“ทำไมผมรู้สึกว่าผมถูกพี่ดุ”
“ไม่ได้ดุ”
“ไม่ได้ดุอะไร เมื่อกี้พี่ดุผมแหม่บๆว่าไม่รู้ตัวจริงๆหรือ? หาว่าผมโง่ชัดๆ”
“ไม่หาเรื่อง”
“ผมไม่ได้หาเรื่...อื้อ!” ไม่ทันได้เถียงจบประโยค พิทักษ์ก็พุ่งเข้าจู่โจมปิดริมฝีปากอย่างรวดเร็ว จิณณะสะดุ้งในวินาทีแรก ขัดขืนเล็กน้อยในวินาทีต่อมา แต่เมื่อถูกยึดใบหน้าไม่ให้หันหนี จากต่อต้านก็กลายเป็นตอบโต้
รสสัมผัสนั้นไม่ได้อ่อนโยน ทว่าก็ไม่รุนแรงเอาแต่ใจ ตรงกันข้ามกลับหนักแน่นและชวนให้หลงใหลคล้อยตาม ริมฝีปากของพิทักษ์ที่บดเบียดลงมาชวนให้หยัดยืนตอบสนองกลับไป เบี่ยงใบหน้าเล็กน้อยก็แนบสัมผัสกันและกันได้ถนัดถนี่
พิทักษ์จูบเก่ง เรื่องนี้จิณณะสัมผัสมาแล้วในคราวก่อนที่ถูกจูบไปหลายครั้งจนแข้งขาอ่อน คราวนี้เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าเสือหลับรายนี้มีลูกล่อลูกชนอีกมากที่จะทำให้เขายินยอมพร้อมใจ เมื่อคิดว่าจะกลายเป็นฝ่ายถูกชักจูง สัญชาติญาณเพศผู้ทำให้จิณณะฮึดสู้ ขยี้ริมฝีปากตอบโต้อีกฝ่ายมากกว่าเดิม
เสียงเครืออย่างพึงใจดังกระหึ่มในลำคอ ก่อนจะเป็นฝ่ายพิทักษ์ที่ถอนจูบแล้วขยับถอยออกมาเล็กน้อย กวาดตามองใบหน้าแดงก่ำของปลัด สายตาที่จิณณะใช้มองเขามีวี่แววดื้อดึงอยู่ในทีแม้ว่าเจ้าตัวจะกำลังหอบฮั่กอยู่ก็ตาม เขาลดสายตาลงมามองที่ริมฝีปากบวมเจ่อ ดูเหมือนเจ้าของจะรับรู้สายตาของเขา ถึงได้รีบยกหลังมือขึ้นมากึ่งถูกึ่งบัง พิทักษ์เลยเหลือบขึ้นมาสบตากับเจ้าของริมฝีปากนั้นใหม่
“ไม่ต้องมามองผมเลย” เสียงพูดอู้อี้ดังลอดออกมาจากหลังมือที่เจ้าตัวปิดปากไม่มิด
“รู้หรือยังว่าทำไมปัญหาของจิณเป็นปัญหาของพี่” ดวงตาดื้อดึงคู่นั้นมีแววไหววูบอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเบนสายตาหลบไปอีกทาง เจ้าตัวดูไม่มั่นใจกับคำตอบที่มีจนพิทักษ์ต้องเรียก
“จิณ...”
“ผม...คาดหวังสูงนะพี่”
“แล้วคิดว่าความรู้สึกของพี่มีน้อยหรือ”
จิณณะหันกลับมามองคนพูด ไม่ว่าอย่างไร สายตาของพิทักษ์ก็ยังมุ่งมั่นและมั่นคง ยิ่งคำพูดของเขาด้วยแล้ว ทั้งจริงจังและหนักแน่นเสียจนคนคาดหวังสูงยังชาดิกไปทั้งร่าง และก่อนที่พิทักษ์จะพูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็ยื่นมือไปปิดปากเขาเสียก่อน
“ผมขอ...”
“...ผมขอเคลียร์ปัญหาก่อนได้ไหม แล้วถ้าทุกอย่างจบลง ผมสัญญาว่านอกจากจะกลับไปหาพ่อหาแม่หาจาแล้ว เรา...จะกลับมาคุยเรื่องนี้กัน”
จิณณะรู้ดีว่าปัญหาที่เขากำลังเผชิญนั้นอันตรายเพียงใด ในเวลาที่ทุกอย่างกำลังประเดประดัง ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาจะยาวนานสักเพียงใด เขาไม่อยาก...ให้ความรู้สึกของพิทักษ์ต้องมาผูกกับคนที่ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย
อย่างน้อยวันนี้เขารับรู้ด้วยหัวใจแล้วว่าความรู้สึกที่พิทักษ์มีให้เขาเป็นไปในรูปแบบใด ถ้าวันหนึ่ง...เขาไม่รอด ความทรงจำสุดท้ายที่มีต่อพิทักษ์ย่อมเป็นความรู้สึกอันแรงกล้านี้ ส่วนพิทักษ์...ถ้าถึงวันนั้น และต้องเดินไปข้างหน้า ก็ทำแค่เพียงเก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ในความทรงจำ ไม่ต้องกังวลถึงคำพูดใดๆที่สัญญาสาบานต่อกัน
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ต้องมีคำพูดอะไรระหว่างพวกเขา พิทักษ์รู้ดีว่าคนที่เอื้อนเอ่ยขอให้ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังสะสางปัญหาย่อมมีความกังวลเรื่องความเป็นความตาย เขาโน้มศีรษะคนตรงหน้าลงมาซบหน้าผากลงกับไหล่ จิณณะไม่ดื้อดึง ยินยอมแต่โดยดี
ท่ามกลางความเงียบของค่ำคืนที่ดึกสงัด
ไม่มีคำพูด
ไม่มีคำสัญญา
ไม่มีคำสาบาน
ทว่า...สัมผัสอุ่นร้อนของริมฝีปากของพิทักษ์กลับแนบลงกับใบหูของจิณณะ พร้อมกับการโอบกอดเอาไว้เพียงหลวมๆ เก็บกักความรู้สึกของกันและกันไว้ใต้อ้อมแขนนี้
ปราศจากคำพูด แล้วใช้เพียงหัวใจ เก็บเป็นความทรงจำตราบนานเท่านาน
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)
เนื่อจากตัวละครเยอะมาก ก็เลยทำแผนผังมาด้วย ผังนี้เฉพาะฝั่งที่เขามีคอนเนคชั่นกัน (ส่วนที่ใส่หัวใจมาก็เพื่อมาดร็อปความเครียดของเรื่องค่ะ ฮ่าฮ่า)
สรุปว่า จิณกับพี่ทิศเป็นตัวประกอบเนาะ ส่วนตัวหลักๆก็พวกคุณๆท่านๆทั้งหลาย
แอบดูมีชนชั้นยังไงไม่รู้แหะ คุณกอบกุล คุณเทียม ท่านเสรี ท่านนคร ท่านนพพร แต่ไพศาลดันเรียกไพศาล ฮ่าฮ่า
จริงๆแล้วเพราะว่าชื่อคุณเทียมเป็นคำพยางค์เดียว พอพิมพ์ในประโยคแล้วบัวรู้สึกแปลกๆ ก็เลยใส่คุณนำหน้าไปด้วย ทีนี้ คุณย่าของจิณจะใส่ชื่ออย่างเดียว ก็กลัวคุณย่าด่าค่ะ ฮ่าฮ่า เลยใส่คุณให้เสมอภาคกัน ส่วนท่านๆพวกนั้นให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวละครลับที่ถ้าเข้าฉากก็จะอยู่ในเงามืดๆงี้ จะมีแค่ชื่อก็กลัวจะดูไม่ขลัง เลยใส่ท่านนำหน้าค่ะ (ก็คือเอาความรู้สึกบัวเป็นหลัก ปราศจากหลักการใดๆเลยค่ะ ฮ่าฮ่า)
วันนี้ค่อนข้างป่วย ไม่แน่ใจว่ามีคำผิดมากน้อยแค่ไหน เดี่ยวบัวกลับมาเช็คอีกทีนะคะ ต้องไปเคลียร์งานอื่นต่อก่อน (เรียงลำดับความสำคัญแล้วนะ คือลงนิยายก่อน ค่อยทำงานอื่น ฮ่าฮ่า)
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ กำลังใจและพื้นที่บอร์ดค่ะ
เจอกันพฤหัสหน้าค่ะ