ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
……………………..
ตอนที่ 8
‘คนใหญ่คนโต’ ไม่ได้พบกันได้ง่ายๆ กว่าจะหาทางติดต่อนัดหมาย ย่อมต้องใช้เวลา แต่คุณเทียมผู้เคยเป็นนักการเมืองระดับประเทศย่อมมีเส้นสายหลายทาง ภายในเย็นวันนั้น เขาก็สามารถลงนัดขอเข้าพบ ‘คนใหญ่คนโต’ ผู้เป็นเส้นสายให้กับนายไพศาลในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันต่อมา รถแวนของคุณเทียมเข้ากรุงเทพฯตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะที่ปลัดจิณณะเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน
วรชิตลุกจากเตียงหัวฟู เมื่อคืน เจ้าของบ้านกลับมาถึงตอนเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ถามเพราะง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น เช้านี้ เลยต้องรีบตื่นมากระแซะเสียหน่อย
“กูนึกว่ามึงจะไม่กลับซะอีก”
จิณณะหันมองพลางเลิกคิ้ว
“ก็มึงไปเดทกับคุณพิทักษ์ กูก็นึกว่าจะค้าง...เฮ่ย!” ขวดอะไรสักอย่างที่โต๊ะหน้ากระจกลอยหวือ หากหลบไม่ทัน ป่านนี้คงได้ลงไปนอนนับดาวบนเตียงตามเดิม
“เดทอะไร โดนบ่นจนหูชา...” พลั้งปากหลุดคำว่าโดนบ่นไปแล้ว จิณณะก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรพูดเรื่องเมื่อวานให้เพื่อนรู้ แต่เพราะโดนพิทักษ์บ่นแม้กระทั่งตอนพามาส่ง อารมณ์หงุดหงิดเมื่อคืนเลยยังค้างมาถึงตอนเช้า จนอยากระบายให้ใครสักคนฟัง
“อ้อ ที่กลับมาเพราะถูกบ่นสินะ ถ้าไม่ถูกบ่นคงค้าง...เอ้อ...”
พอพูดคำว่าค้าง จิณณะก็ตวัดสายตามาดุอีกที วรชิตเลยต้องเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วมึงถูกบ่นเรื่องอะไร”
“ใจร้อน ปากไว พูดไม่คิด ไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน มุทะลุไม่ดูสถานการณ์” มีอีกหลายคำที่ถูกพิทักษ์จำกัดความ เขาน้อมรับทั้งหมดก็ได้ แต่ช่วยพูดรอบเดียว ไม่ต้องพูดซ้ำ เมื่อยหูจะฟังแล้ว
“ถูกทุกข้อเลย” วรชิตดีดนิ้วดังเป๊าะ กำลังจะถูกขว้างอีกสักขวด เสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้าบ้านก็ดังขึ้นมาถึงห้องนอน เรียกความสนใจให้ชะโงกไปดูที่หน้าต่าง
รถเบนซ์สีดำคุ้นตาจอดสนิท คนขับรถร่างสูงก็เปิดประตูลงมายืนรอ ปลัดหนุ่มฝ่ายป้องกันเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เจ้าของบ้าน
“ข่าวดีหรือข่าวร้ายวะ ไอ้จิณ คนที่มึงบอกว่าเมื่อวานเขาบ่นจนหูชา วันนี้ดันมาหาแต่เช้าเลย”
จิณณะกะพริบตาปริบๆ เดินมาส่องที่หน้าต่างแล้วก็พบว่าพิทักษ์แวะมาหาเขาทั้งๆที่เมื่อวานก็เพิ่งแยกจากกันตอนเกือบเที่ยงคืน
ชายหนุ่มในชุดเสื้อโปโลสกรีนชื่อที่ว่าการหมุนตัวก้าวไวออกจากห้องนอนลงไปยังชั้นล่างทันที วรชิตมองตามแล้วได้แต่ส่ายหัว
“หาว่าเขาบ่น แต่พอเขามาหาล่ะไวเชียวนะไอ้จิณ”
.........................
พิทักษ์ไม่ได้มาหาแต่เช้าอย่างไม่มีเหตุผล เหตุผลของเขาคือเมื่อวานเขามาส่งจิณณะตอนเกือบเที่ยงคืน และเรา...จากกันไม่ดีเท่าไร
เขาดุเรื่องที่ฝ่ายนั้นใจเร็วปากไว ครั้งแรกก็ตอนที่นายไพศาลออกจากบ้านคุณเทียม ส่วนครั้งที่สองคือตอนขากลับที่พามาส่ง เขาย้ำว่าให้คิดก่อนพูดให้มากกว่านี้ แต่กลายเป็นคนไม่คิดคือเขาเอง
ไม่คิดว่าการพูดครั้งที่สอง จะทำให้จิณณะหงุดหงิดหน้าตึงเปิดประตูลงจากรถเข้าบ้านทันทีที่รถจอดสนิท
ที่ย้ำก็เพราะ...ห่วง...
ไม่อยากให้ใจร้อนปากไวไม่ดูสถานการณ์อย่างนั้นอีก
“พี่ทิศ...” ประตูบ้านเปิดออก พร้อมด้วยหน้าเจ้าของบ้านโผล่ออกมาด้วยแววตางุนงง
พิทักษ์นิ่งไปเล็กน้อย เหตุผลที่เขามาที่นี่ในยามเช้าทั้งๆที่ปกติไม่เคยมาย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา หนึ่งเพราะมันคงฟังดูแปลกพิกลที่เขาใส่ใจจิณณะขนาดนี้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์แนบแน่นอะไรกับเขาเลย และสองก็เพราะ...ใจของเขาที่แปลก
...มันเขินประหลาด...
“มีอะไรรึเปล่า มาหาผมแต่เช้า” ยิ่งพิทักษ์ไม่ตอบ จิณณะก็ยิ่งเป็นกังวล เขาเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เมื่อวานเพิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคุณเทียม ไม่รู้ว่าผลจากการใช้เส้นสายของคุณเทียมจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนบ้าง
“มารับ” คำตอบของคนมาหาแต่เช้าทำเอาคนฟังชะงัก ดวงตาเหลือกโตเล็กน้อย
“หะ? มารับ? รับไปไหน? วันนี้ผมต้องไปทำงานนะ”
“ไม่ได้รับไปไหน รับไปกินข้าว แล้วจะพาไปส่งที่ว่าการ” จิณณะกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าตนเองฟังผิดหรือไม่
“ก...เกิดอะไรขึ้น...”
“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เตรียมตัวเสร็จรึยัง จะได้ไป แล้วเช้านี้อยากกินอะไร” ปลัดหนุ่มยังงง จู่ๆพิทักษ์ก็มาหาตอนเช้า ปากว่าไม่มีอะไรแต่มารับไปกินข้าว หนำซ้ำยังถามความสมัครใจว่าอยากกินอะไรด้วย ทั้งๆที่...ทั้งๆที่เมื่อวานเพิ่งบ่นเขาเสียยกใหญ่
หรือว่า...เพราะบ่นจนเขาไม่คุยด้วย เช้านี้ก็เลย...มาง้อ
พอคิดมาถึงตรงนี้ จิณณะก็จับจ้องสีหน้าของคนมารับมากกว่าเดิม พิทักษ์เป็นคนนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า แต่เวลานี้เขากลับเห็นวี่แววของความไม่แน่ใจและความกังวล
คนที่มีพร้อมทุกอย่าง แถมไม่มีปัญหาอะไรในชีวิตสักอย่าง จะมีความกังวลอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เขาผุนผันลงจากรถเมื่อคืนนี้
หัวใจของปลัดหนุ่มอิ่มฟู นอกจากจะสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายแล้ว ยังสูบฉีดความสุขขึ้นมาบนใบหน้าอีกด้วย
“ถ้าผมอยากกินอะไร พี่จะตามใจผมทุกอย่างใช่ไหม”
แน่นอนว่าเขาไม่ถามตรงๆหรอกว่ามาง้อเขาหรือ เพราะขืนพิทักษ์พาซื่อตอบตามความจริงมาว่าง้อ คงได้พากันเขิน หรือถ้าตอบว่าไม่ได้มาง้อ คราวนี้หัวใจที่อิ่มเอิบมีหวังห่อเหี่ยวหนักกว่าเดิม
ความคลุมเครือ บางทีก็มีประโยชน์แบบนี้
“ถ้ามีขาย ก็จะพาไป” พิทักษ์ตอบ เหลือบสังเกตสีหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จิณณะเป็นคนมีไหวพริบ และเจ้าตัวก็ไม่ใช่คนแกล้งโง่ด้วย สายตาที่มองตรงมาที่เขาจึงโจ่งแจ้งว่าอ่านเขาออก
ชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะภาวนาให้จิณณะรู้ดีไหมว่าเขาไม่เคยง้อใคร และไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวขนาดนี้ แต่ถ้ารู้แล้ว จะ ‘รู้ตัว’ ด้วยหรือไม่
“ถ้างั้น...”
“แล้วก็ต้องไม่ใช่ของรสจัด เผ็ดจัด” แม้จะมาเพื่อง้อ แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่แสนสำคัญ คนถูกง้อถึงกับถอนหายใจเฮือก
“สุดท้ายก็บ่นอยู่ดี...น่าไปด้วยไหมเนี่ย” ดูเหมือนคำพูดของจิณณะจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขามาง้อ ก็ควรหย่อนยานกฎระเบียบบางข้อในชีวิตบ้าง
ทว่า...พิทักษ์ก็คือพิทักษ์
“นี่ไม่ได้เรียกว่าบ่น แต่ไม่พาไป”
“...แต่ถ้าอยากกิน...ไว้ตอนเที่ยง จะพาไปกิน” ประโยคต่อมาทำเอาจิณณะที่กำลังจะถอนหายใจใส่ถึงกับหยุดลมหายใจตัวเองอยู่เท่านั้น
เป็นครั้งที่สองของเช้านี้ ที่คนตรงหน้าทำให้ได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ
“พ...พาไป?”
“แต่เช้านี้ ไปหาโจ๊ก หาข้าวต้มทานก่อน แล้วตอนเที่ยงพี่จะพาไปทานอย่างอื่น” ไม่ว่าพิทักษ์จะรู้ตัวหรือไม่ว่าเขาแทนตัวว่าพี่ แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ทันรู้ตัวสักนิด
“ตอนเที่ยงไม่ต้องให้ผมเข้าไปทานที่สนามกอล์ฟแล้วหรือ?”
คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย แต่เมื่อตัดสินใจว่ามาที่นี่เพื่อง้อ ก็ย่อมต้องเดินหน้า...ง้อ
“ไม่ต้อง วันนี้จะพา...จิณไปทานอย่างอื่น” ประโยคนี้เขารู้ตัวและตั้งใจ ทว่าปลัดหนุ่มผู้งุนงงยังไม่รู้ตัว พิทักษ์เองก็ไม่ปล่อยให้รู้ตัวด้วย เขาพูดย้ำอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ
“มาเถอะ ตอนนี้ไปทานข้าวเช้ากัน”
ไม่รู้ว่าการง้อนี้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คนถูกง้อไม่ได้โอ้เอ้ เพราะพอถูกชวนอีกครั้ง ก็ได้แต่เดินเงียบๆขึ้นรถไปแต่โดยดี
แล้วเรื่องหนึ่งที่คนทั้งคู่จะจำใส่ใจคือ จิณณะจะต้องเพลาๆเรื่องใจร้อนปากไว ส่วนพิทักษ์...บ่นได้ แต่จิณณะขอแค่รอบเดียวพอ
......................
การไปร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตระดับจังหวัดของไพศาลนั้น อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำตามที่รับปากก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเพียงปลัดลูกกระจ็อก แต่เที่ยงวันนั้น มีเหตุบังเอิญให้จิณณะและพิทักษ์ที่กำลังทานอาหารด้วยกันในร้านละแวกที่ว่าการต้องพบหน้าไพศาลอีกครั้ง
“สวัสดีครับ คุณไพศาล” จิณณะจะไม่ทักก็ไม่ได้ เพราะรายนั้นเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาพอดี ดูแล้วจงใจมากกว่าบังเอิญ
คนถูกทักยังคงยิ้มแย้มตามประสาคนหน้าใหญ่ใจกว้าง
“โอ้ ปลัดจิณณะ คราวนี้ผมจำได้แล้ว” เขาเอ่ย ก่อนจะหันไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับปลัดหนุ่ม
“สวัสดี คุณพิทักษ์” พิทักษ์ยิ้มจางยกมือไหว้ ด้วยนิสัยของเขาไม่ใช่คนช่างพูด แต่เมื่อเหลือบเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนเองแล้ว ก็เกรงว่าจิณณะจะเป็นฝ่ายปากไวขึ้นมาอีก เขาจึงดึงบทสนทนาไว้
“มาทำอะไรแถวนี้หรือครับ หรือมาติดต่อราชการ”
“พอดีผ่านมาแถวนี้ เลยแวะมาทานข้าวเที่ยงเสียหน่อย ร้านนี้อร่อยที่สุดในละแวกนี้นี่ครับ” จิณณะยิ้มเป็นเชิงตอบรับ
“แล้วเสาร์นี้ อย่าลืมที่รับปากผมไว้นะครับปลัด คุณพิทักษ์ ต้องไปให้ได้ล่ะ” ไพศาลไม่คิดว่าปลัดตัวเล็กๆและนักธุรกิจวัยหนุ่มที่แทบจะไม่มีเส้นสายใดนอกจากคุณเทียมจะเป็นแขกที่น่าเชิญชวนซ้ำสอง แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อตอนสายที่เขาได้รับโทรศัพท์จาก ‘ผู้ใหญ่’ ทำให้ต้องหันกลับมามองชายหนุ่มสองคนนี้ใหม่อีกครั้ง
‘อย่าหาเหาใส่หัว หัดอยู่เงียบๆเสียบ้าง’
‘เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้ว คนก็ตายไปแล้ว ไม่ต้องไปฟื้นฝอยอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน’
เรื่องที่ผ่านไปแล้ว นายไพศาลคิดออกเรื่องเดียวคือเรื่องที่บ่อนของเขาถูกทลาย ส่วนเรื่องคนที่ตายไปแล้ว ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนถ้าไม่ใช่ทองสุก เรื่องแรกนั่นพอจะทำหลงๆลืมๆได้อยู่หรอก เพราะผู้จัดการบ่อนไม่ได้ซัดทอด และสุดท้ายเรื่องเงียบหายไปกับสายลม แต่เรื่องที่สอง...คำพูดสุดท้ายของคนตายที่ฝากมากับลูกน้องของเขา ทำให้ทนอยู่เฉยไม่ได้
ไม่คิดว่าเป้าหมายที่อยากจะจัดการให้เด็ดขาด แม้ตายไปแล้วก็ยังไม่ต่างกับอยู่เป็นหอกข้างแคร่ หนำซ้ำยังเป็นหอกข้างแคร่ที่ทำให้ไม่อาจหยุดอยู่แค่ศพเดียว!
...ใช่...คนตายไปแล้ว ไม่ควรฟื้นฝอย แต่ตายไปแค่หนึ่ง ยังมีคนที่ต้องตายอีก!...
“พอดีช่วงนี้ยุ่งมาก อาจจะไปไม่ได้นะครับ” พิทักษ์เป็นฝ่ายเอ่ยปาก ชายร่างท้วมเบี่ยงสายตามาที่คนพูด ก่อนจะหันกลับไปมองข้าราชการอย่างจิณณะอีกครั้ง
ใครๆก็พูดกันว่าหลานชายของคุณเทียมสนิทสนมกับปลัดจิณณะ นั่นทำให้นายไพศาลต้องหันมามองปลัดหนุ่มจากกรุงเทพฯคนนี้ใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยมองข้าม
คนที่ทำให้ผู้ใหญ่ของเขาต้องออกปากว่าให้อยู่เฉยๆ ก็แสดงว่าต้องมีคนใหญ่คนโตที่นี่ ‘ขอ’ ไป เขาไม่เห็นว่าจะมีใครที่นี่ใหญ่โตได้เท่าคุณเทียมอีกแล้ว แล้วคุณเทียมจะขอไปเพื่ออะไร เพื่อพิทักษ์อย่างนั้นหรือ หรือเพราะพิทักษ์ขอความช่วยเหลือแทนคนของตนเอง
“น่าเสียดาย ผมอยากให้ไป เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น ผมมันคนแก่ก็อยากคบค้ากับคนหนุ่มไฟแรงอย่างปลัดจิณณะและคุณพิทักษ์” คนถูกชวนได้แต่ยิ้ม มาคราวนี้ปลัดหนุ่มไม่หุนหันตอบอะไรรวดเร็วแล้ว เพราะเขาเองก็รู้สึกประหลาดกับการเข้ามาสร้างความสนิทชิดเชื้อของนายไพศาลเช่นกัน
“แต่ถ้าว่าง ก็เชิญนะครับ แล้วถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกผมได้เลย ยินดี” ไพศาลทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไป จิณณะไม่ได้หันมองตาม เขาก้มหน้าตักอาหารเข้าปากไปหนึ่งคำ แล้วเงยหน้ามองพิทักษ์ที่มองเลยผ่านไปทางด้านหลังเขาตามทิศที่นายไพศาลจากไป
“พี่ว่าแปลกไหม”
พิทักษ์เหลือบมามองคนถาม ใบหน้าเรียบเฉยทว่ามีแววกังวลในดวงตา
“วันนี้ให้เพื่อนกลับไปนอนที่บ้านเขาได้แล้ว...”
จิณณะเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ทันได้ถาม คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เป็นฝ่ายพูดเสียเอง
“นายไพศาลเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว...” ปลัดหนุ่มชะงัก หัวใจเย็นเยียบ ความกลัวตายพุ่งทะยานเข้ามากลางใจอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องระบุชื่อเลย ว่าเป้าหมายเปลี่ยนเป็นใคร
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะละล่ำละลักถาม
“ผ...ผม...ควรทำยังไงดี”
คนถูกถามนิ่งคิดอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก
“จะมาค้างบ้านพี่ หรือจะให้พี่ไปค้างที่บ้าน”
เป็นการย้อนถามที่ทำให้ปลัดจิณณะลืมความกลัวตายภายในเสี้ยววินาทีนั้น หัวใจที่เย็นเยียบกลายเป็นอุ่นจนร้อน
แค่ประโยคเดียว…ทว่าพลิกหัวใจคนฟังจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
………………………….
‘บ้านพักข้าราชการเก่าๆ‘
จิณณะอาศัยเหตุผลข้อนี้ แล้วเลือก ‘ไปค้างบ้านพี่ทิศ’ แทนที่จะให้พิทักษ์มาค้างบ้านพักของเขา
ส่วนเหตุผลที่บอกวรชิตย่อมไม่ใช่การบอกว่าไพศาลเบี่ยงเป้ามาที่เขาแทนแล้ว แต่โชคดีที่เพื่อนคนนี้เข้าใจอะไรง่าย พอบอกว่าจะไปค้างบ้านพิทักษ์ มันก็ทำตากรุ้มกริ่ม คาดว่าคงเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีมาก
แต่ถึงอย่างนั้น คนจะไปค้างที่อื่นก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องกังวลกับการอยู่คนเดียวมากนัก เขาย้ำหนักแน่นก่อนจะออกจากบ้านพักราชการ
“วันนี้คนที่คุณเทียมส่งมา เป็นมือดีที่สุดที่คุณเทียมมี มึงสบายใจได้”
วรชิตหัวเราะลั่นบ้าน ใจจริงก็ซาบซึ้งความความห่วงใย แต่เวลานี้คือเวลาที่จิณณะกำลังจะออกไปค้างบ้าน ‘แฟน’ แต่ก็ยังไม่วายให้ความอุ่นใจกับเขา
...เหมือนพ่อแม่จะไปฮันนีมูนกัน แต่ก็ยังห่วงลูกที่เฝ้าบ้าน...
“ครับๆคุณแม่ คุณแม่ไม่ต้องห่วง ผมเชื่อมือคนของญาติคุณพ่อ”
คนฟังถึงกับกะพริบตาปริบๆ ความฉลาดมีไหวพริบจะมาจนแต้มเอาก็ตอนตีความคำพูดตรงเด่ของวรชิตก็วันนี้
ทว่าอึดใจเดียว ดวงตาของจิณณะก็เบิกโต แล้วตวัดขาเตะก้นคนพูดไปที
“แม่มึงสิ!” คนถูกเตะไม่ได้มีสีหน้าโอดโอยซ้ำยังหัวเราะแล้วเดินหนีไปที่ประตู อ้าปากอยากจะตะโกนเรียก ‘พ่อ’ ให้มาพา ‘แม่’ ไปที แต่ติดที่ว่ายังไม่สนิทกับพิทักษ์ถึงขั้นนั้น
“คุณพิทักษ์มาพาไอ้จิณไปได้แล้วครับ อยู่นานแล้วเสียงดัง”
“นี่บ้านกูโว้ย กูเสียงดังได้!” เจ้าของบ้านแต่ตัวจะไม่อยู่ที่นี่โวยวาย เดินปึงปังหน้าตาหงิกงอกระแทกไหล่วรชิตออกจากบ้านอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าของรถหรูที่จอดรอเพียงแค่เลิกคิ้วเล็กน้อย ดูจะชินกับอารมณ์แปรปรวนของจิณณะแล้ว พอรับกระเป๋าเป้มาใส่ท้ายรถ ก็ยังหันไปถามด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไม่ลืมอะไรแล้วนะ”
“ไม่” คำตอบสั้นเบา แม้หน้าจะหงุดหงิดคิ้วขมวด แต่น้ำเสียงก็ไม่ใส่อารมณ์กับคนถาม พิทักษ์แตะแขนเบาๆเป็นเชิงให้ขึ้นรถ ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะลาวรชิตที่ยืนส่งอยู่หน้าบ้าน จากนั้นจึงก้าวไปยังฝั่งที่นั่งคนขับ
รถหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านพักราชการของจิณณะไปแล้ว พร้อมกับความเงียบสงบกลับมา วรชิตมองตาม ก่อนจะกวาดตามองรอบตัว เมื่อเหลืออยู่เพียงลำพัง ความกลัวก็เริ่มคืบคลานเข้าสู่หัวใจ แม้ปากจะบอกจิณณะว่าไม่ต้องห่วง แต่ใจก็ยังพะวง เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรลมหายใจสุดท้ายจะมาถึง ความตายอาจเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ยากเหลือเกินที่ต้องทำใจยอมรับมัน
วรชิตส่ายศีรษะไปมาเพื่อขจัดความวิตก
เขาต้องสู้ อย่างน้อยก็สู้กับใจตัวเอง กำลังใจที่มีจะลดลงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
.............................