Kiss the Snow
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kiss the Snow  (อ่าน 30308 ครั้ง)

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
«ตอบ #30 เมื่อ22-12-2018 14:41:43 »


  มารอแล้วจ้า ฮึบ ฮึบ ฮึบ

 :กอด1:  :กอด1:


ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #31 เมื่อ22-12-2018 19:26:47 »

ตอนที่ 3

ตอนที่ไม่ได้สนใจ ต่อให้อีกฝ่ายทักทายฉันท์ก็ยังจำไม่ได้ ตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าเคยพบเจอกันตอนไหน เมื่อไหร่ก็ยังนึกไม่ออก แต่เมื่อได้คุยกันสักครั้งหนึ่ง ฉันท์ก็มองเห็นธนวัฒน์ อาจารย์บรรณารักษ์คนนั้นคอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ อย่างที่เจ้าตัวบอกไว้
สำหรับฉันท์แล้ว เมื่อทักมาก็ตอบกลับไป และยังมีกำแพงสูงกั้นกลาง
แต่ธนวัฒน์ที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ใช้วิธีแวะเวียนมาพบเจอแบบสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความคุ้นเคย จนวันหนึ่งก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะไม้ใต้ตึกเรียนบอกว่าขอยืมโทรศัพท์ ฉันท์ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อส่งโทรศัพท์ให้ อีกคนก็กดโทรฯ เข้าเครื่องของตัวเอง แล้วบอกว่า เย็นนี้จะโทรหา
มาถึงตอนนี้ ฉันท์ก็จะได้รับข้อความหวานทุกเช้า และได้ยินคำพูดนอนหลับฝันดีก่อนนอนทุกคืน
อาจมีคำถามว่าอาจารย์ธนวัฒน์คนนี้อาจมีคนที่คบหาพูดคุยอยู่อีกคน หรือหลายคน แต่ฉันท์ก็เจตนาเว้นช่องว่างในคำตอบนั้นไว้ 
ก็เหมือนกับทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ที่ฉันท์จะเว้นช่องว่างนี้ไว้เสมอ
รู้จักกันเฉพาะในยามพบเจอกัน ส่วนในเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกฝ่ายจะทำอะไร ฉันท์ไม่เคยถามถึง
หลายคนถึงบอกว่าฉันท์ไม่มีใจ แต่ธนวัฒน์กลับรู้สึกท้าทาย และต้องการเข้ามาอยู่ในโลกของฉันท์

นับจากวันที่ทักกันที่ห้องสมุดเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนฉันท์ก็บอกกับธนวัฒน์ด้วยคำเดิมอีกครั้ง
“อาจารย์ครับ ผมขอบอกกับอาจารย์ตามตรง ว่าผมไม่พร้อม”
ธนวัฒน์ยิ้มกว้าง “ก็คุยกัน ทำความรู้จักกันแบบคนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน คนที่ชอบหนังสือเหมือนกันได้ไหม”
“แบบนั้นมันก็ได้ครับ” ฉันท์ย้ำ “แต่ถ้าอาจารย์ต้องการมากกว่านั้น ผมไม่อยากให้เสียเวลา”
“อย่าคิดมากน่า” ชายหนุ่มเข้าใจ “เรายังมีเวลาคุยกันอีกตั้งมาก”
“คุยกันเท่านั้นนะครับ”
“คุยกันเหมือนที่ผ่านมา ได้ใช่ไหม”
ฉันท์พยักหน้า “ก็ได้ครับ”
“งั้นเสาร์นี้ไปดูหนังกับพี่นะ”
เมื่อฉันท์เงียบ ธนวัฒน์ก็รุกต่อ “น้องฉันท์ยังไปดูหนังกับเพื่อนได้เลยใช่ไหม แต่ทำไมถึงได้ปฏิเสธพี่ตลอด”
ในชีวิต มีอยู่หนึ่งคนที่เรียกว่า ‘น้องฉันท์’ แต่ในเวลานี้เขาอยู่ไกลมาก
“ก็ได้ครับ”
ฉันท์ตอบรับไปดูหนังกับธนวัฒน์โดยที่คาดไม่ถึงว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปไกล
....
"มึงตกลงที่จะคบกับอาจารย์ธนวัฒน์จริง ๆ หรือวะ" ต้อมถามขึ้นทันทีที่เจอกันในห้องเรียนตอนเช้าวันจันทร์
"แค่คุยกัน" ฉันท์ตอบไปตามตรง ทำให้ต้อมหัวเราะ
"อะไรของมึงเนี่ย เจ้าชายฉันท์ทัต ไปเดทกันมาเมื่อวันเสาร์ไม่ใช่หรือไง"
"รู้ได้ไง"
"โห" ต้อมทำหน้าตาบิดเบี้ยว "มีคนเห็นมึงเดินกับอาจารย์น่ะสิ กูยังคิดว่ามึงเห็นจากทวิตแล้วเสียอีก"
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่หรอก ยังไม่ได้เข้าทวีตเลย"
"ยังมาทำหน้างงใส่กูอีก นี่เขารีทวีตกันกระหน่ำเลยมึง"
ฉันท์ยังคงทำหน้าตาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งคำถามต่อ ต้อมก็เลยเล่าถึงเรื่องที่ทุกคนวิจารณ์กัน แต่คนที่ตกเป็นเป้าหมายของการวิจารณ์กลับไม่เข้าใจ
"กูเพิ่งไปกับเขาครั้งแรกเองนะ ก็พูดกันไปไกลแล้ว อีกอย่าง....."
เมื่อฉันท์เงียบ ต้อมก็เร่งให้เพื่อนพูดต่อ
"อีกอย่างอะไร"
"อีกอย่างมึงก็รู้ ว่ากูไม่เคยคบกับใครได้นาน พอเขารู้ว่ากูเป็นคนยังไง เดี๋ยวเขาก็ไป คุยกันไปแบบนี้แหละดีแล้ว"
“คุยกันเฉย ๆ จิงดิ”
“จริง” ฉันท์ยืนยัน
ต้อมที่กำลังอยู่ในอารมณ์อยากรู้เรื่องหุบปากเหมือนไล่งับอากาศ แล้วขยับนั่งตัวตรง จากนั้นก็กลับหันมามองหน้าเพื่อนตัวเล็กอีกครั้ง
"งั้นไม่ต้องไปสนใจมนุษย์โซเชี่ยลนั่นก็ได้ เอาที่ตัวตนของมึงกับอาจารย์เนี่ย มีอะไรที่ไม่คลิ๊กกันหรือไง"
"กูจะไปรู้หรือไง เพิ่งคุยกันเอง"
"เออนั่นสินะ" ต้อมนึกได้ ก็ที่ผ่าน ๆ มาเห็นว่าเดินเข้ามาสารภาพรัก วันถัดมาก็ทำตัวติดกันเสียแล้ว แต่คราวนี้ ดูห่าง ๆ ขนาดไปเดทกันแล้ว ต้อมที่ประกาศตัวเป็นเพื่อนสนิทยังมารู้จากไอจีของคนอื่นที่ส่งต่อ ๆ กันมาเลย
"เขาเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องอย่างคนก่อน ๆ บทสรุปมันคงไม่เหมือนกันหรอกน่า แล้วมึงเองก็ดูเฉย ๆ นี่หว่า จะมาก็มา จะไปก็ไป"
ฉันท์ยิ้มมุมปาก ขนาดเพื่อนกันก็ยังสรุปท่าทีของฉันท์ ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ต้องเป็นฝ่ายฟังคำตัดสินของคนที่เข้ามาบอกรัก ว่าไม่ได้ดี และไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง แล้วก็จากไป
ใจคน จะไม่รู้สึกได้อย่างไร
แต่ที่ไม่ฟูมฟาย เพราะรู้ดีเช่นกันว่า มันไม่มีประโยชน์ คนที่เขาจะไป ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ พูดหรือไม่พูด เขาก็ยังไปอยู่ดี
ขณะที่ 2 หนุ่มกำลังคุยกันอยู่ แป้งเพื่อนสาวแท้ในกลุ่มก็เดินเข้ามาทักทายด้วยเรื่องการไปเดทกับอาจารย์ห้องสมุด ตามมาด้วยเพื่อนอีกหลายคนที่ทยอยเข้าห้องเรียนมา ก็รุมถามคำถามเดียวกันจนทำให้ฉันท์สงสัย
"อะไรกันเนี่ย"
"ไม่ต้องมาอะไรเลย" แป้งตีที่ต้นแขนผอม ๆ ของฉันท์ "นั่งเรียนอยู่ข้างกันแท้ ๆ ฉันกลับไปเห็นจากทวิตเตอร์คนอื่นว่าแกไปเดทกับอาจารย์"
“มีคนดึงไปลงเฟซ ลงบล็อคกอสซิปแล้วด้วย” เพื่อนสาวอีกคนยื่นโทรศัพท์ให้ฉันท์ดู
นี่มันอะไรกัน
“แฟนคลับอาจารย์หรือ”
จากที่อ่านความเห็นสรุปได้แบบนั้น คือวิจารณ์ว่าหนุ่มหน้าสวยคนนี้เปลี่ยนคนควงไปเรื่อย และอาจารย์บรรณารักษ์คือคนล่าสุด
มีสาว ๆ หลายคนไม่ชอบฉันท์เอามาก ๆ
ต้อมอาสา “กูช่วยตอบให้นะ”
“ตอบว่า...” แป้งถาม
“สวยเลือกได้ จบป้ะ”
“อย่าเลย ไม่ต้องไปตอบอะไรเขาหรอก อย่าประชดแบบนั้นด้วย” ฉันท์รีบห้าม “โลกของกูไม่ได้อยู่ในโทรศัพท์ เขาอยากว่าอะไรก็ช่างเขาเหอะ”
“โห พ่อพระ” เพื่อนหนุ่มสาวหลายคนประสานเสียงพร้อมกัน
“ไม่ใช่โว้ย” ฉันท์เถียง “แต่คนที่เขาตัดสินเราไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปบอกเขาว่าความจริงคืออะไร เสียเวลาเปล่า ไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
"เดี๋ยวนะ" กอล์ฟ เพื่อนอีกคนท้วงขึ้นเมื่อนึกได้ "เขาเคยเข้ามาทักฉันท์ตอนที่พวกเรานั่งอยู่หน้าตึกด้วยกันไม่ใช่หรือ"
"ใช่แต่นั่นมันนานเป็นเดือนแล้ว"
"แล้วไอ้ฉันท์ก็แอบไปรับนัดเขา แอบไปเที่ยวกับเขา โดยไม่ผ่านการพิจารณาของพวกเราอีกแล้ว" นิดหน่อยเพื่อนสาวที่รูปร่างอ้วนกลมทำเสียงหนัก ๆ เหมือนเป็นความผิดร้ายแรง
"ก็ แค่คุยกัน มันไม่ใช่อย่างนั้น" ฉันท์อยากเถียง แต่กลับยิ้มให้กับเพื่อนที่ช่างแสดงความเห็นได้ต่อเนื่องกันไม่หยุด
"แต่ถ้าแกจะมีแฟนมันก็ดีนะ แต่เวลาแกโดนทิ้งกลับมาน่ะ เพื่อนเครียดนะ" นิดหน่อยบอก "แล้วนี่ทำไมต้องคุยกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ด้วย"
"ไม่ได้คิดจะหลบซ่อนอะไร” บอกไปหลายครั้งแล้วว่ายังไม่พร้อม
"เออ ใช่" แป้งหันไปหากลุ่มเพื่อนสาวทั้งหลาย "มีระเบียบมหาลัยห้ามอาจารย์กับศิษย์คบกันหรือเปล่า"
“คุยกัน” ฉันท์เถียง
“เออ คุยกัน” แป้งหันมาค้อน
"ไอ้ฉันท์ไม่ได้เรียนวิชาห้องสมุดนี่" กอล์ฟบอก "แล้วเราก็เหลืออีกเดือนเดียวก็จะจบแล้วด้วย" เพื่อนตาตี่หันมาให้กำลังใจ "คุยกับผู้ใหญ่อาจดีกว่าคุยกับคนอายุใกล้กันก็ได้นะ"
ฉันท์มองเพื่อน ๆ แล้วก็ส่ายหน้า ทำให้ต้อมทำหน้าที่บอกกับเพื่อนทุกคน
"ฉันท์มันเชื่อว่า ถ้าเขารู้จักตัวตนของมันแล้วเขาก็จะไป"
"อ้าว" เพื่อนทุกคนส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็ช่วยกันสรุป "ฉันท์แม่งกลายเป็นพวกมองความรักในแง่ลบไปเสียแล้ว"
"ไม่ถึงขนาดนั้น กูก็แค่ยอมรับว่าเป็นพวกหน้าตากับนิสัยไปคนละทาง จนคนอื่นรับไม่ได้"
"ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย" แป้งช่วยให้กำลังใจ "อย่าคิดอะไรแบบนั้น อาจารย์ธนวัฒน์อาจไม่ใช่คนที่มาชอบแกเพราะหน้าตาก็ได้"
ฉันท์ยิ้มให้แป้ง ขณะที่นิดหน่อยช่วยเสริมด้วยท่าทางเว่อร์เกินจริง "ก็เวลาที่อีกฝ่ายจะเลิก แกก็ช่วยแสดงท่าทีแบบ ทำไม อะไร ยังไง ผมทำอะไรผิด ผมจะแก้ไข อะไรแบบนั้นไม่ได้หรือไง"
แป้งรีบพยักหน้า "เออใช่ เท่าที่แอบดูมานะ" เพื่อนร่วมห้องพากันร้องแซวเสียงดัง จนแป้งต้องหันไปโวย "พวกแกก็แอบดูอยู่ด้วยกันน่ะแหละ แล้วจะว่ากันเองทำไม" เพื่อนสาวหันมาหาฉันท์อีกที "เขาอาจมาบอกเลิก เพราะหวังให้แกง้อก็ได้ แต่นี่ทุกคนเลยนะ พอเขาบอกว่าจะไป แกก็พยักหน้าตามใจเหมือนตอนที่เขามาขอคบด้วยทุกที"
คำตอบของฉันท์เรื่องนี้เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
"ถ้าเขาจะไป ไม่ว่าจะพูด หรือไม่พูด เขาก็ไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นให้มันหยุดแค่คำว่าคุยนี่แหละดีแล้ว"
นิดหน่อยชี้ไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ “แต่ถ้าแค่เริ่มคุยกันแล้วเจอแบบนี้ มันก็ยากที่จะพัฒนาไปมากกว่าคำว่าคุยกันจริง ๆ แหละ”
ฉันท์หันไปมองอาจารย์ที่ปรึกษาที่เดินเข้ามาในห้องเรียน ปัดภาพเก่า ๆ ออกไปจากสายตา ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
....
เลิกเรียนวันนี้ ฉันท์เดินไปห้องสมุดเพื่อทำรายงาน ธนวัฒน์เดินเข้ามาหาแล้ววางหนังสือเล่มเล็กทางขวามือขณะที่นั่งลง "หนังสือเพิ่งมาใหม่ จะยืมไหม"
ฉันท์มองหน้าปกหนังสือ และมองชื่อคนเขียน เป็นหนังสือคำคมให้กำลังใจ ที่รวบรวมโดยนักธุรกิจชื่อดัง
"ขอบคุณครับ"
แต่ธนวัฒน์กลับชวนคุยต่อ "ที่จริงใกล้สอบแล้ว น้องฉันท์ต้องเร่งทำงานส่งอาจารย์หรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ"
ธนวัฒน์พลอยยิ้มตามไปด้วย "วันนี้ขับรถมาหรือเปล่า"
ฉันท์พยักหน้า ทำให้ชายหนุ่มผิดหวัง "แล้วเมื่อไหร่พี่จะได้ไปส่งน้องฉันท์ที่บ้าน"
"ก็..." ฉันท์อมยิ้ม หันไปเขียนแผนที่ใส่กระดาษแผ่นเล็กแล้วส่งให้ "เลิกงานแล้ว แวะไปกินข้าวที่นี่ก็ได้นะครับ"
เมื่อเห็นว่าคนรับมีท่าทีดีใจฉันท์ก็บอก “อย่าเพิ่งรีบดีใจ กับข้าวธรรมดาอาจไม่ถูกปากพี่ก็ได้”
“ถ้าน้องฉันท์ว่าอร่อย พี่ก็ว่าอร่อยน่ะแหละ”
ฉันท์ยิ้มอ่อนสรุปบทสนทนาด้วยการพูดถึงหนังสืออีกเล่มที่จะเอามาประกอบการทำรายงาน จากนั้นก็ขอตัวลุกไปหาหนังสือ
ธนวัฒน์มองตามแผ่นหลังบางที่เดินห่างออกไป เมื่อหันกลับมาเห็นว่าเพื่อน ๆ ของฉันท์กำลังมองดูอยู่ก็ส่งยิ้มให้กับทุกคนจากนั้นก็ลุกกลับไปประจำที่หลังเค้าน์เตอร์
เมื่อจะออกจากมหาวิทยาลัย ฉันท์โทรศัพท์ไปบอกป้า ว่าเย็นนี้อาจมีสมาชิกไปกินข้าวเย็นด้วยอีกหนึ่งคน จะซื้อกับข้าวสำเร็จรูปจากปากซอยเข้าไป
“เผื่อไว้ ถ้าเขามาเราค่อยเอามาอุ่น แต่ถ้าไม่มาเราก็เก็บไว้วันพรุ่งนี้”
“ขี้เหนียวนะเรา” ป้าพูดขำ ๆ
หลังหกโมงเย็นเพียงเล็กน้อยธนวัฒน์ก็มาจอดรถที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ฉันท์ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมารับ
"คิดว่าจะมาไม่ถูกเสียอีก"
ธนวัฒน์ส่งตะกร้าผลไม้ให้ "เข้าซอยมานิดเดียวแบบนี้หาง่าย” ชายหนุ่มลดเสียงลงท่าทางลึกลับ “มีเรื่องเซอร์ไพรซ์จะบอก"
ฉันท์ยิ้มรอฟังคำเซอร์ไพรซ์ของอีกคน
"อพาร์ทเม้นท์ของน้องฉันท์ อยู่ไม่ไกลจากบ้านพี่"
ฉันท์มีสีหน้าประหลาดใจอย่างที่อีกคนบอกไว้ "จริงหรือครับ"
ธนวัฒน์พยักหน้ายืนยัน ฉันท์ก็เบี่ยงตัวให้เดินคู่กันเข้าไปในบ้านหลังเล็กข้างอพาร์ทเม้นท์
“ลุงครับ ป้าครับนี่พี่ทีมครับ”
ลุงกับป้ารับไหว้แล้วถามไถ่เรื่องทั่วไป อย่างบ้านอยู่ที่ไหน รู้จักกับฉันท์ได้อย่างไร ทำงานอยู่ที่ไหน แล้วพอธนวัฒน์บอกว่า เป็นอาจารย์บรรณารักษ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ฉันท์เรียนอยู่ป้าก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ชวนกินอาหารเย็นพร้อมกัน
“กับข้าวง่าย ๆ นะกินได้ไหม”
“ได้ครับ”
ธนวัฒน์กินง่ายสมกับที่เจ้าตัวบอก ผัดพริกผักบุ้ง กับแกงจืดตำลึงก็อร่อยจนต้องขอเพิ่มข้าวจานที่ 2 ทำให้ป้าหน้าบานยิ้มไม่หุบ
“นี่ไม่เคยมีใครขอเพิ่มข้าวอย่างนี้มานานแล้วนะ”
ธนวัฒน์หันไปมองฉันท์ที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะหันมาตอบเอาใจป้า “แต่กับข้าววันนี้อร่อยมากเลยนะครับ ผมไม่เคยกินที่ไหนอร่อยอย่างนี้มาก่อน ถ้าจะขอมารบกวนมื้อเย็นบ่อย ๆ จะได้ไหมครับ”
“ได้สิ” ป้าตอบทันที “ถ้าทำกับข้าวแล้วมีคนกินเยอะ ๆ อย่างนี้มาทุกวันเลยก็ได้ คนทำกับข้าวชอบ”
“ครับ” ธนวัฒน์หันไปถามฉันท์ “น้องฉันท์อนุญาตไหม”
ฉันท์แค่ยิ้มมุมปาก ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองธนวัฒน์เลยด้วยซ้ำ
อาการแบบนี้ หลายคนตีความว่าฉันท์ไม่ค่อยเต็มใจให้มาทุกวันสักเท่าไหร่ ที่ไม่ได้พูดอะไรเพราะป้าเป็นคนออกปากชวน ซึ่งธนวัฒน์ก็ควรตีความแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ธนวัฒน์ตีความไปในทางตรงข้าม
หลังอาหาร ธนวัฒน์ยังอยู่คุยกับป้าจนเกือบ 2 ทุ่มฉันท์ก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า จะขอกลับบ้าน เพราะมีรายงานที่ต้องทำ
“อ้าว น้องฉันท์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ”
“ไม่ครับ ผมอยู่กับพ่ออีกหลังหนึ่ง ถ้าพี่จะคุยกับป้าเรื่องการทำอาหาร...”
ฉันท์ต้องการหาเรื่องหนีกลับบ้าน แต่ธนวัฒน์มองว่าหึง
ซึ่งมันตลกมากในสายตาของลุงวินัยคนที่รู้จักหลานชายคนนี้ดีที่สุด
“โธ่ น้องฉันท์ เห็นนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าจะหึงเหมือนกันนะเรา”
น้องฉันท์เลิกคิ้วสูงข้างหนึ่ง ทั้งยกยิ้มมุมปาก
ธนวัฒน์หันไปลาลุงกับป้าพร้อมบอกว่าแล้วจะมากินข้าวเย็นด้วยบ่อย ๆ จากนั้นฉันท์ก็เดินไปส่งที่รถ
เมื่อฉันท์เดินกลับมาที่บ้านมองหน้าลุงวินัย ลุงก็พูดทันทีโดยที่ไม่ต้องถาม
“ไอ้คนนี้มันตีความหมายอะไรเข้าข้างตัวเองไปเสียหมด”
“แต่ฉันว่าหน้าตาเขาดูคุ้น ๆนะ” ป้าพูดขึ้นมา แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ส่วนคนที่นึกออกหันมามองหน้าหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาหยิบกุญแจรถ พอหลานจะกลับก็ทำทีเป็นเดินตามมาด้วย
“ที่ว่าเขาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเดียวกันมันก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว จะสอนเราหรือไม่สอนมันก็ไม่เหมาะ รอให้เรียนจบแล้วค่อยคุยกันจะดีกว่า แต่ที่สำคัญคือตัวเราเองที่อย่าเอาเขามาแทนที่คนไกล”
“ผมไม่ได้เอาเขามาแทนที่นะฮะ”
“แล้วเราชอบเขาหรือเปล่า”
ฉันท์ส่ายหน้า ก็เหมือนกับทุกครั้งที่พาใครมาบ้านแล้วลุงถามแบบนี้ ฉันท์ก็จะตอบแบบเดิม
“ไม่ชอบเขา ก็ปฏิเสธเขาให้มันเด็ดขาดไม่ดีกว่าหรือไง ทำแบบนี้สักวันเจอคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เราจะเดือดร้อน”
“เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว สักพักเขาก็จะรู้เองแหละฮะ ว่าผมไม่ได้ชอบเขา”
“ไปคิดแทนเขาแบบนั้นมันไม่ถูก” ลุงวินัยย้ำ “ยิ่งกับคนที่ปากหวาน หลงตัวเองแบบนี้ ค่อย ๆ ห่างออกมาก็แล้วกัน”
...
จากมุมบันไดของอาคารที่พักความสูง 5 ชั้น ฐาติที่ยังคงมาทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 5 ให้กับธามันเดือนละครั้ง มองตามหลังคนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วได้แต่ส่ายหน้า
ข้อความจากเมลที่ส่งไปถึงคนไกล ก็ยังเหมือนเดิม คือแนะนำให้คืนห้อง แล้วก็เริ่มต้นกับคนใหม่อย่างจริงจัง
จนถึงวันถัดมา เพื่อนสนิทและญาติสนิท 2 คนนี้ถึงได้คุยกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
"แค่ให้ไปดูห้องเดือนละครั้ง เบื่อแล้วหรือไง" ธามันถามกลั้วหัวเราะ
"4 ปีแล้วนะ มึงจะฝังใจอะไรนักหนาวะ เขามีคนใหม่พามาบ้านไม่เคยซ้ำหน้า"
รู้จักกันแค่ 2 เดือน ห่างกันไป 4 ปี ธามันยังอยู่ที่เดิม รักน้องฉันท์ของมันอยู่เหมือนเดิม
ธามันยอมรับว่า ครั้งแรกที่ฐาติเล่าเรื่องคนใหม่ของฉันท์นั้นเขาเสียใจมาก จากนั้นก็คิดว่า เพราะตนเองอยู่ไกลและไม่ได้ให้สัญญา ไม่ได้ขอให้เขาคอย ทั้งตนเองยังเป็นฝ่ายที่ผิดคำพูดเพราะไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย ดังนั้น แม้จะได้รับรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป แต่ก็กลับมามีความหวังอยู่เสมอ
พอเห็นสีหน้าคนที่อยู่ไกลเจื่อนลง ฐาติที่มักจะเปลี่ยนเรื่องชวนคุยกลับพูดย้ำให้ธามันคืนห้อง
"คนนี้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นหรือไง" ญาติผู้น้องถาม
"คนนี้คือพี่ทีม ธนวัฒน์"
ชื่อที่ทำให้ธามันนิ่งอึ้ง
"กูรู้ว่ามึงเจ็บ ถึงได้ไม่ค่อยอยากบอกว่าเห็นเขาไปไหนมาไหนกับใครบ้าง” บางทีฐาติก็พูดเกินจริง “แต่พอเป็นคนนี้ กูขอบอกกับมึงเลยนะ ว่าประเด็นมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่อีกคนที่เขาพามาบ้าน มึงคิดดูกรุงเทพฯ มีคนเกือบ 6 ล้าน 5 แสนคน กลับมาเจอกันได้ กูว่าแม่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”
“เขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่น้องเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ อยู่มาหลายปี แต่พอน้องใกล้จบกลับเข้าถึงตัว มันต้องมีอะไรแน่ ๆ” ฐาติจริงจังมาก “เรื่องหาคำตอบนี้ยกให้เป็นหน้าที่กูเอง แต่ตอนนี้มึงต้องคืนห้องไปก่อน ไม่ให้มีชื่อมึงอยู่ในบันทึกผู้เช่า ขอเวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ กูจะบอกกับมึงทุกอย่าง"
ธามันยังคงนิ่งคิดอีกชั่วครู่แล้วพยักหน้า
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ธนวัฒน์ไม่ใช่คนอื่น ทั้งฐาติ และธามันรู้จักผู้ชายคนนี้ดีในระดับหนึ่ง จึงรู้สึกหวาดระแวงว่าการที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันท์ในเวลานี้ ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
และในวันที่เขาจะไป ฉันท์อาจต้องเจ็บ
ธามันคาดหวังว่าเขาจะสามารถกลับไปเมืองไทยได้ทันเวลา ก่อนที่ฉันท์ต้องเจ็บ
...
ฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกาด้วยความกระสับกระส่าย จนเมื่อเด็กนักเรียนผมสั้นเกรียนถีบรถจักรยานเลี้ยวเข้ามาในเขตอพาร์ทเม้นท์ก็ยกมือเท้าเอวโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปเป็นปี กวางมีแต่เพียงความสูงกับเค้าโครงหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่สีผิวยังคงออกสีน้ำผึ้ง และดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความสนุกสนานร่าเริงอยู่เหมือนเดิม
"สายมาก นี่คิดว่าถ้าอีก 5 นาทียังไม่มา กูจะไปแล้ว"
"โห น้าอะ" กวางยกมือไหว้ "หนูก็บอกแล้วไง ว่ามีกิจกรรมที่โรงเรียน นี่ก็รีบที่สุดแล้ว"
"เออ นี่กูคืนห้องแล้วนะ"
กวางดูงง ๆ แต่ก็พยักหน้า "คืนห้องจนได้สินะ" มือเล็กหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้ "อะ งั้นหนูคืนโทรศัพท์น้า"
ฐาติซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้กวางเพราะเบื่อที่ต้องรอนาน หัวข้อที่สนทนาคือวันนี้จะไปที่หอพักเวลานั้น เวลานี้ แล้วก็วางสายไป ก็อยากชวนคุยเรื่องอื่นอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ากวางไม่ชวนคุยต่อฐาติก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรดี
"เก็บไว้ เผื่อมีอะไรก็โทรหา"
"มีอะไรล่ะน้า"
"ก็เออแหละ เผื่อไว้" ฐาติอยากมะเหงกไอ้คนทำหน้าตากวน ๆ สักครั้ง "ถึงจะคืนห้อง แต่ยังมีธุระแถวนี้เหมือนเดิม"
"ต้องรายงานเรื่องของพี่ฉันท์ใช่ปะล่ะ"
ฐาติหันไปมองที่บ้านหลังเล็ก "ถ้าเผื่อเขาถาม"
"ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่เล่าสินะ"
"ทางนี้เขาเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว เราก็เห็นกันอยู่"
"แล้วพี่ธามเขาไม่คบใครเลยเหรอ"
"เขาก็พยายาม"
แต่พอฐาติโบกมือขณะที่จะเดินไปที่รถ กวางก็ท้วงขึ้น "แล้วนี่ตกลงน้าเร่งให้หนูรีบมาหาทำไมเนี่ย"
"ก็จะบอกว่า คืนห้องแล้ว"
"แบบนั้น น้าโทรบอกก็ได้ไม่ใช่หรือไง เพราะน้าก็ไม่เอาโทรศัพท์คืน"
"กูเป็นมนุษย์โบราณไง ชอบการสื่อสารแบบเห็นหน้า"
กวางเกาหัวแกรกๆ "น้า"
"เออ"
"น้าอยากกินไอติมไหม มีร้านไอติมตรงหัวมุมถนน" กวางยิ้มระรื่น
"ตรงไหนวะ" ฐาติหันไปมองรถที่ตอนนี้มีสมบัติชิ้นสุดท้ายของธามันจากห้องพักอยู่ที่เบาะหลัง "มีที่จอดรถไหม"
"มันจะมีได้ไงเล่า น้าซ้อนรถหนูไปดีกว่า กินเสร็จหนูพามาส่ง"
ที่จริงฐาติสนใจร้านนั้น แต่พอมาคิดอีกทีก็จำเป็นต้องปฏิเสธ
"ไว้วันหน้าดีกว่า ถ้ากูผ่านมาแล้วค่อยไปกิน" มือใหญ่หยิบเงินจากกระเป๋า ส่งให้ 500 บาท "พาเพื่อนไปกินสิ"
ตอนที่ขับรถผ่านร้านไอศกรีมเปิดใหม่ตรงหัวมุมถนน ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่จอดรถ
...แล้วมีที่จอดรถตรงไหน ใกล้ ๆ ร้านนี้บ้างวะ...

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2018 13:48:58 โดย MyTeaMeJive »

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #32 เมื่อ22-12-2018 19:29:13 »

(ต่อครับ)

ก่อนที่ฉันท์จะสอบปลายภาคและจบการศึกษาเพียงไม่กี่วัน ธนวัฒน์ก็บอกข่าวว่ากำลังจะลาออกจากงานที่มหาวิทยาลัย
"ได้งานใหม่หรือฮะ หรือจะเรียนต่อ"
"เป็นงานบริษัทของครอบครัวทางพ่อน่ะ ผลัดเขามาหลายปีจนคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว" ธนวัฒน์พูดยิ้ม ๆ "เห็นว่าน้องฉันท์ก็กำลังจะจบ พี่ไปทำก่อน แล้วเดี๋ยวพอน้องเรียนจบจะได้ดึงไปทำงานด้วยกัน"
ฉันท์ส่ายหน้าทันที "ไม่ดีหรอกฮะ เส้นสายแบบนั้นน่ะ แล้วผมก็ยังมีอพาร์ทเม้นท์ที่ต้องดูแล"
อายุขนาดนี้ ฉันท์ย่อมต้องมีแผนการในอนาคตอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่การเป็นพนักงานบริษัท หรือรับราชการกินเงินเดือน เพียงแต่การที่เป็นคนไม่ค่อยได้เล่าเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ ทำให้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ธนวัฒน์ยังไม่รู้
จะว่าไปฉันท์ก็แทบไม่เคยรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับครอบครัวของธนวัฒน์
ไม่ใช่สิ ที่จริงธนวัฒน์เคยชวนไปกินข้าวที่บ้านหลายครั้ง แต่ฉันท์ปฏิเสธ เพราะไม่มีความรู้สึกว่าอยากรู้จักกันมากไปกว่านี้ ฉันท์อาจพาไปกินข้าวกับลุงและป้า แต่ไม่เคยพาไปที่บ้านท้ายซอยหลังนั้น
บางทีฉันท์ก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมถึงได้ปิดกั้นตัวเองขนาดนั้น เรื่องอกหัก รักแล้วเลิกตามประสาวัยรุ่นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
เป็นวัยรุ่น รักแล้วเลิกต้องลืมให้ไว้ เดินต่อให้เร็วที่สุด เพราะช่วงเวลาในการเป็นวัยรุ่นมันสั้น
เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ได้คิดว่าจะไม่พอใจเพื่อนสมัยเรียนมัธยมคู่นั้นแล้ว ไม่ได้รู้สึกมึนงงไม่เลิก ไม่ได้สนใจถ้อยคำต่อว่าในวันที่ต้องแยกจากคนที่คบหาในเวลาต่อมา
แต่น่าจะเป็นเพราะคำถามเกี่ยวกับธามัน และเรื่องของพ่อกับแม่ที่มีผลต่อการกระทำในวันนี้
ยอมรับว่ายังมีคำถามที่ไม่กล้าถาม
ยอมรับว่าที่ไม่คิดจะพาใครไปบ้าน ก็เพราะกังวลว่าเขาอาจไปพบพ่อที่กำลังจะออกไปบ่อน หรือไม่ก็กลับมาจากบ่อนในสภาพบาดเจ็บจากการถูกซ้อม
หรือต่อให้เปิดประตูเข้าบ้านไป แล้วพบกับบ้านที่ว่างเปล่า ก็ไม่อยากให้เขาเห็นอยู่ดี
เบื่อที่ถูกตัดสินว่า ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นั่นเอง
....
2 วันถัดจากการสอบเทอมสุดท้ายจบลง ในตอนที่ฉันท์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน แม่ที่ไม่ได้พบกันมานานกว่า 4 ปีกลับมาพร้อมกับน้องชายอายุประมาณ 3 ขวบอีกหนึ่งคน
ตอนที่เห็นแม่ ฉันท์รู้สึกว่ามีพายุหิมะที่หมุนวนอยู่รอบตัวและเพิ่มความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ

คืนก่อนหน้านั้น ฉันท์ไปงานเลี้ยงกับเพื่อน ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังมีอาการปวดหัวเมาค้าง  ส่วนพ่อยังไม่กลับมาบ้านเหมือนเคย ฉันท์จึงกินยาแล้วนอนพักอยู่ครู่หนึ่งก็ออกมารดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน
ตอนนั้นป้าแจ่มจิตกับแม่เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง
เมื่อฉันท์ยกมือไหว้ แม่ก็แนะนำ “ชิรายูกิ นี่คือจิโระ น้องชายของชิรายูกิ”
ดวงตาและสีผิวที่รับมาจากแม่เหมือนกัน ต่างกันที่จิโระมีคิ้วหนา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นน้องชาย
เด็กตัวเล็กค้อมตัวทำมุม 90 องศาตรงเป๊ะ ฉันท์ตอบรับด้วยการแตะที่ไหล่เล็ก ๆ นั่นแล้วชวนให้เข้าไปนั่งคุยกันในบ้าน 
ชายหนุ่มเดินไปต้มชาให้แม่ แต่ทำน้ำแดงโซดาให้กับน้องชายกับป้า
จิโระเดินมาเกาะขอบโต๊ะมองว่าพี่ชายกำลังทำอะไร 2 คนพี่น้องคุยกันด้วยสายตาและภาษามือ เมื่อฉันท์หันไปหยิบถุงมันฝรั่ง แล้วเขย่า เชิงถามว่าจะกินไหม จิโระตากลมยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง ขอให้พี่ชายตัดถุงขนมให้
แม่กับป้าย่อมไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นแขก ถึงได้เดินตามมาคุยกันในครัว
“ชิรายูกิเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูแลบ้านได้ดีมาก”
ฉันท์ส่ายหน้า “ผมก็แค่ทำความสะอาด แต่ที่จริง...” ฉันท์หันไปมองจุดที่เคยมีโทรทัศน์ และเครื่องเสียงวางอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว “มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม”
“เดือดร้อนเรื่องเงินหรือ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ เงินเก็บที่พ่อกับโอกาซังให้ไว้เผื่อให้ผมเรียนหนังสือน่ะ ยังมีเหลืออยู่ แต่อันนี้...พ่อน่ะฮะ”
แม่ถอนหายใจยาว “ชิรายูกิ ไปอยู่ญี่ปุ่นกับโอกาซังนะ”
แสดงว่าป้าต้องเล่าเรื่องราวหลายอย่างให้แม่ฟังแล้ว...ก็ดีเพราะฉันท์รู้สึกลำบากใจที่จะเล่า
แต่เดี๋ยวนะ...“อะ อะไรนะฮะ”
"โอกาซังอยากมารับชิรายูกิกลับตั้งนานแล้ว แต่คุณพี่" แม่หมายถึงป้า "บอกว่าชิรายูกิมีความตั้งใจมากที่จะเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย อยากให้เรียนจบก่อน ตอนนี้ชิรายูกิก็เรียนจบแล้ว แล้วพ่อเขาเป็นอย่างนี้ โอกาซังก็เลย...อยากให้ชิรายูกิไปอยู่ด้วยกัน"
"ทำไมถึงคิดเอาเองฝ่ายเดียวอย่างนี้ละฮะ" อาการปวดหัวข้างเดียวจู่ ๆ ก็เกิดขึ้นและกำลังรบกวนการคิดและพูด "แล้วมาบอกกันในทันทีแบบนี้มันออกจะเกินไป ไม่คิดบ้างหรือไง ว่าผมก็อาจจะมีเรื่องที่อยากทำ ทั้งต้องดูแลอพาร์ทเม้นท์นี้อีก ที่สำคัญคือคุณลุงไม่สบายนะฮะ" ดวงตากลม ๆ ของฉันท์ หันไปมองเด็กตัวเล็กที่นั่งมองผู้ใหญ่ที่กำลังคุยกัน
แต่แม่หันไปมองป้าแจ่มจิต “คุณพี่ผู้ชายไม่สบายหรือคะ”
ป้าพยักหน้า “เพิ่งไปตรวจมาเมื่ออาทิตย์ก่อน”
“เป็นอะไรคะ”
“มะเร็งลำไส้ ระยะสองแล้ว”
แม่ค้อมตัวลงขอโทษ “ขอโทษด้วยนะคะ เพราะไม่ทราบมาก่อนจึงตัดสินใจแบบนี้”
“เราเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ไม่ต้องขอโทษอะไรกันหรอก หมอนัดตรวจ นัดรักษาแล้ว”
"ขอโทษจริง ๆ นะคะ ทั้งที่คุณพี่ทั้ง 2 คนดูแลชิรายูกิเป็นอย่างดีมาตลอด ดิฉันก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่โน่น ก็คิดอยู่ตลอดว่าทำไมถึงไม่พาชิรายูกิไปด้วย ต่อมาก็มีจิโระ ยิ่งอยากให้อยู่ด้วยกัน คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วไปทำงานที่ญี่ปุ่นน่าจะดีกว่า จึงรอจนจิโระแข็งแรงดีถึงได้ขึ้นเครื่องบินมารับชิรายูกิด้วยกัน แล้วก็อยากเจอกัน อยากเห็นหน้าลูก ไม่อยากโทรศัพท์คุยกันเพราะอาจทำให้เข้าใจกันผิด”
ฉันท์หันไปมองเด็กชายตัวน้อยเต็มตา คิ้วสวยขมวดมุ่น
4 ปีของฝั่งนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แล้วทางฝ่ายของแม่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อะไรที่ทำให้แม่จากไป ต้องอยู่ที่นั่น แล้วกลับมารับเราไปอยู่ด้วย
“ขอโทษที่พูดจาเอาแต่ใจฮะ”
“ไม่เป็นไร โอกาซังเข้าใจ”
ป้าตอบแทนแม่ "ตอนที่กลับไป โอกาซังของเราเขาไปรู้จักกับผู้ชาย พอตั้งท้องผู้ชายก็ทิ้งไป ต้องอยู่ตามลำพัง ป้าชวนกลับมา เขาก็กลัวพ่อของเรา ถ้าฉันท์จะไปอยู่ญี่ปุ่น ป้าก็ว่าดีเหมือนกัน"
ผู้หญิงญี่ปุ่นทิ้งครอบครัวมาอยู่เมืองไทย แต่ก็หย่าร้างกลับไปญี่ปุ่น ครอบครัวทางนั้นคงไม่ยอมรับ มองว่าเป็นความล้มเหลวที่เกิดจากความดื้อรั้น แม่ถึงต้องอยู่ตามลำพังแล้วคบหากับผู้ชายคนหนึ่งจนตั้งท้อง แล้วเขาก็จากไป ช่วงเวลาที่ผ่านมา แม่คงต้องอยู่อย่างยากลำบากมากทีเดียว
อีกเรื่องก็คือ ขณะที่ฉันท์กลับจมอยู่กับโลกส่วนตัวและเอาแต่คิดว่าถูกแม่ปิดบังเรื่องราวมากมาย และหันหลังให้นั้น แท้ที่จริงแม่ติดต่อกับป้าอยู่ตลอดเวลา
"ผมไม่เข้าใจ" ฉันท์มองมือตัวเอง แล้วมองหน้าเด็กชายตัวน้อย "ตอนที่โอกาซังจะไป โอกาซังบอกว่าพ่อไม่ยอมหย่าถ้าจะเอาผมไปด้วย แต่เมื่อพบว่าการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมันยาก อยู่ที่นี่โอกาซังก็กลัวพ่อ แล้วจะพาผมไปญี่ปุ่นในตอนนี้มัน...ผมคงจะไปกับโอกาซังไม่ได้" แต่ถ้าไม่ไปด้วย แม่ก็อาจต้องใช้ชีวิตยากลำบากมากกว่าเดิม
ฉันท์มองแม่ที่ผ่ายผอมลงไปกว่าเดิมและดูเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้คิดเกี่ยงที่จะต้องทำงานเลี้ยงดูแม่และน้องชายต่างพ่อ เพียงแต่ถ้าคิดเรื่องการใช้ชีวิตแบบนั้น ในที่ที่ไม่คุ้นเคยทั้งไม่มีใครยอมรับ ถ้าแม่กับน้องจะกลับอยู่ที่นี่มันไม่ง่ายกว่าหรือ
"ผมหาบ้านหรือคอนโดฯให้โอกาซังอยู่กับจิโระคุงที่นี่ได้นะฮะ ผมเลี้ยงทั้ง 2 คนได้ แล้วจิโระคุงก็ยังไม่ถึงช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียน ถ้าไม่อยากบอกพ่อก็ไม่ต้องบอก เขาเองก็ไม่ค่อยกลับบ้าน ทำอย่างนี้ผมก็ยังดูแลลุงกับป้าได้ด้วยนะฮะ"
"ชิรายูกิ"
แม้จะตัดสินใจมาแล้ว แต่เมื่อฉันท์เสนอว่าจะดูแลแม่กับน้องและทุกคน แม่ก็รู้สึกภูมิใจ และยอมรับว่าการพาฉันท์ไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันเป็นเรื่องที่ไม่ดี
แม่หันไปพยักหน้ากับจิโระ ถามว่าอยากอยู่กับพี่ชายไหม
จิโระพยักหน้าเร็วๆ เดินไปหาฉันท์ “โอนิซัง”
แต่ความสุขเล็ก ๆ นี้กลับมีเวลาไม่ถึง 5 นาที เพราะมันจบลงเมื่อรถญี่ปุ่นคันเล็กมาจอดที่หน้าบ้าน
แม่หันมามองฉันท์กับป้าที่บอกว่า ตอนนี้พ่อใช้รถคันเดิมของฉันท์ที่เคยขับไปเรียน ส่วนรถที่พ่อใช้ประจำ พ่อขายไปหลายเดือนแล้ว
แม่นั่งหลังตรงกำมือแน่น เม้มริมฝีปากสนิท
ฉันท์รู้ว่าแม่โกรธที่พ่อใช้รถของฉันท์ ในความเป็นญี่ปุ่นของแม่ แม่มักจะเกรงใจทุกคน แสดงความขอบคุณทุกคน และเห็นว่าการใช้ของส่วนตัวของผู้อื่นแบบนี้เป็นเรื่องเสียมารยาท ต่อให้เป็นรถยนต์ของลูกก็ตาม
"โอกาซัง ไม่เป็นไรหรอกฮะ ผมไม่ได้ใช้"
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในบ้านแม่ก็เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยปากขึ้นก่อน "ขอคุยด้วยนะคะ"
พ่อยักไหล่ ดวงตาแดงก่ำ ขอบตาคล้ำอย่างคนที่อดนอน ทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามกับแม่ ตวัดสายตามองจิโระเพียงแวบเดียวก็ก้มหน้ามองมือตนเอง

ป้ามองพ่อกับแม่แล้วหันมากวักมือเรียกฉันท์กับน้องให้ออกไปรอที่หน้าบ้าน ต่างก็คิดเหมือนกันว่า การพูดคุยครั้งนี้ไม่น่าไว้ใจ ถึงที่ผ่านมาจะไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นว่าพ่อกับแม่เคยทะเลาะกันหรือใช้กำลังรุนแรง แต่ถ้าเรื่องมาถึงขั้นที่หย่าร้างกัน แล้วแม่ก็กลัวพ่อจนไม่กล้ากลับมาอยู่เมืองไทย
จากที่ทั้ง 3 คนยืนรออยู่ยังได้ยินเสียงพูดคุยกัน มองเห็นว่าพ่อพูดกับแม่ทั้งที่ยังก้มหน้า ขณะที่แม่ก็ยังพูดเบาๆ เหมือนที่ผ่านมา
การเริ่มบทสนทนาด้วยการถามว่าสบายดีไหม ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ฟังดูแล้วมีแนวโน้มที่ดี เมื่อรถเข็นขายผลไม้ผ่านมาหน้าบ้าน น้องชายกระตุกมือของฉันท์ชี้ไปที่รถเข็น ฉันท์ก็ลุกขึ้นยืน แต่เมื่อหันกลับไปมองในบ้าน เห็นพ่อกำลังเดินนำแม่ขึ้นบันไดไปข้างบน
...อาจขึ้นไปเอาของบางอย่าง แต่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ อยากเดินตามขึ้นไปดู แต่เมื่อหันมาเห็นจิโระทำหน้าตาอยากกินผลไม้ ฉันท์ก็จูงมือน้องไปที่รถเข็น
"ปะป๊ะยะ" จิโระ ชี้ที่มะละกอ
"เอามะละกอ 2 ชิ้นครับ" ฉันท์บอกพ่อค้าผลไม้ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานานหลายปี
"ซุยขะ"
ฉันท์ยิ้ม หันไปบอกพ่อค้าว่าเอาแตงโมด้วย พ่อค้าชมว่าเด็กผู้ชายญี่ปุ่นหน้าตาเหมือนตุ๊กตา จิโระยิ้มรับอย่างกับเข้าใจคำชม ทั้งที่ไม่เข้าใจสักคำ
ขณะที่กำลังจ่ายเงิน เสียงปืนก็ดังขึ้นจากในบ้าน
ฉันท์อุ้มน้องส่งให้ป้าแล้วบอกให้รออยู่ที่นี่ ขณะที่ตัวเองรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน เมื่อก้าวผ่านประตูได้ยินเสียงปืนนัดที่สอง และเมื่อมาถึงประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง พ่อกำลังกอดแม่ไว้ด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งถือปืนจ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นคือเสียงปืนนัดที่สาม.....

กวางเป็นหนึ่งในไทยมุงหน้าบ้านของฉันท์ พ่อกับแม่ และพี่ ๆ ก็มาช่วยมุงอยู่สักพักก็พากันกลับไป เพราะต้องไปวิ่งรถ ต้องไปขายของ แต่สั่งไว้ว่าตอนค่ำกวางต้องกลับบ้านไปเล่าให้ทุกคนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น กวางก็เลยเดินเข้าไปหาฉันท์ เพื่อช่วยดูแลจิโระ ระหว่างที่ฉันท์คุยกับตำรวจ ได้ยินแว่วๆ ว่าฉันท์คือคนที่เห็นเหตุการณ์ ส่วนป้าแจ่มจิต กับจิโระอยู่กับคนขายผลไม้ที่หน้าบ้าน
สำหรับกวางแล้ว สามารถบรรยายเหตุการณ์นี้ได้ว่า ‘น่ากลัวมาก’
แต่ฉันท์คือคนที่เห็นเหตุการณ์ เป็นคนที่เข้าไปกอดพ่อกับแม่ร้องไห้ แล้วตะโกนบอกป้าว่าอย่าพาน้องขึ้นไปข้างบน บอกให้โทรเรียกตำรวจ และเขาอยู่ในที่นั่นตามลำพังจนกระทั่งมูลนิธิ ตำรวจ และก็ใครต่อใครที่ตามมากับตำรวจ
กวางบรรยายความรู้สึกของฉันท์ไม่ถูก
รู้แต่ว่า ‘ไม่ควรปล่อยให้พี่ฉันท์อยู่คนเดียวอย่างเด็ดขาด’
ฐาติโทรมาหากวางที่ตอนนั้นกำลังอุ้มจิโระอยู่
"หนูอยู่บ้านพี่ฉันท์ น้าจะให้ทำอะไร" ตอนนี้หนูอาจจะเสียงสั่นไปหน่อย แต่หนูก็รู้หน้าที่นะ
"เออ อยู่ที่นั่นก็ดีแล้ว กูได้ยินข่าวทางวิทยุ กำลังจะบอกให้ไปดูให้หน่อย"
"มีทั้งตำรวจ ทั้งกู้ภัย มีนักข่าวด้วย" กวางรายงาน
"แล้วพี่มึงเป็นไงบ้าง"
"ตกใจดิ คนขาวอยู่แล้วตอนนี้หน้าซี้ดซีด ไม่ได้ร้องไห้นะ แต่ตัวสั่นมาก เขาตอบคำถามตำรวจคนหนึ่งอยู่ ลุงก็ตอบคำถามกับตำรวจอีกคน ส่วนป้านั่งเป็นลมอยู่ตรงนี้เนี่ย หนูเลยดูทั้งป้าทั้งน้อง”
“น้องที่ไหน" 
กวางได้ยินเสียงฐาติหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่าฉันท์ตกใจมาก เสียงคนที่ข้าง ๆ ตอบมาว่า ขอให้กวางช่วยดูทุกคนให้ก่อน
คนนั้นมีน้ำเสียงใหญ่ และดุมาก ไม่ใจดี และไม่ตลกอย่างน้า
"ไม่บอกหนูก็ต้องมาดูอยู่แล้ว" กวางพูดแทรกทั้งที่ฐาติยังไม่ได้สั่ง จากนั้นค่อยตอบคำถาม "แม่พี่ฉันท์กลับมาจากญี่ปุ่นพาน้องมาด้วยชื่อจิโระ แม่จะพาพี่ฉันท์กลับไปอยู่ด้วยกัน แต่ยังไม่ทันจะตกลงอะไร พ่อ...ลุงฉลองพ่อพี่ฉันท์น่ะ เขาก็กลับมาพอดี แม่ก็เลยขอคุยกับพ่อ แต่พ่อพาขึ้นไปบนห้องไม่ถึงนาที ก็ได้ยินเสียงปืน" อันนี้สรุปอย่างสั้นที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี่นา เล่าเท่าที่มั่นใจก็พอ
ฐาติหันไปรายงานให้คนข้าง ๆ ฟังอีกครั้ง
เสียงของคนที่อยู่ข้าง ๆ สั่งงานบางอย่าง ที่ทำให้กวางยังต้องเผลอพยักหน้ารับทราบไปด้วย
..ก็เขาดุจะตาย ไม่ทำตามจะโดนหักคอไหม...
กวางกดวางสายโทรศัพท์ รอจนตำรวจ และกู้ภัย กลับไปพร้อมกับนักข่าว ถึงได้อุ้มจิโระเดินไปคุยกับฉันท์
"พี่ฉันท์ รับคนเลี้ยงเด็กไหม"
"หือ..." ฉันท์ดูงง ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ตัดกับใบหน้าขาวซีด ถ้าเป็นคนอื่นคงดูน่ากลัว แต่พอเป็นฉันท์ยิ่งให้ความรู้สึกว่า คนนี้เหมือนแก้วร้าวที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
"จากนี้พี่คงมีเรื่องยุ่งอยู่ทุกวัน ตอนเย็นโรงเรียนเลิก กับเสาร์ อาทิตย์แล้วก็ปิดเทอม ให้หนูจะมาเลี้ยงน้องนะ หนูทำข้าวเด็กเป็น ทำงานบ้านก็เป็น พี่ไม่ต้องให้เงินหนูหรอก หนูอยากทำ"
กวางยิ้มจริงใจที่สุดในชีวิต ขณะที่อีกคนยิ้มเศร้า แล้วโอบกวางกับจิโระเข้ามากอดไว้ด้วยกัน
"ขอบใจมากนะ"
กวางรู้สึกว่ามีหยดน้ำตาอุ่น ๆ ตกกระทบที่ไหล่
ไม่มีเสียงสะอื้น
ไม่มีคำพูด
การร้องไห้ที่ไม่มีเสียง ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้นะ....

...จบตอนที่ 3...
พี่จ๋าอ่านจบแล้วอย่าเงียบนัก คนเขียนรู้สึกเสียขวัญ
มาคุยกันนะ นะ นะ

น้ำชา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2018 07:50:44 โดย MyTeaMeJive »

ออฟไลน์ KOWPOON

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #33 เมื่อ22-12-2018 21:52:32 »

สงสารน้องฉันท์  งื้ออออออ   น้องต้องเข้มแข็งแค่ไหนถึงจะทนไหว

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #34 เมื่อ22-12-2018 22:12:53 »

ใจหาย ปุ๊บปั๊บมาก สมควรแล้วที่แม่กลัวพ่อ

ออฟไลน์ YouandMe

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #35 เมื่อ22-12-2018 23:06:34 »

แงๆๆๆ ตอนนี้เศร้าจัง...สงสารน้องฉันท์  :m15:
ธามรีบกลับมาดูน้องเถอะ  :mew2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #36 เมื่อ22-12-2018 23:12:19 »

อ่านแล้วมานั่งกังวลกับทุกตอนเลย

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #37 เมื่อ23-12-2018 06:17:36 »

ฉันท์เอ้ยย ทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้
ความสุขมักผ่านไปไว แต่มันไวไป
วันนี้ พรุ่งนี้ ห่างกันนิดเดียวเอง
สงสารน้อง แล้วจะทำยังไงต่อไป
โชคดีที่น้องไม่ได้เป็นคนหัวอ่อน แค่ไม่ค่อยอธิบาย
และชอบคิดไปเองว่าคนอื่นจะเข้าใจสิ่งที่แสดงออก

ธาม ตอนเข้ามา มาแบบมีเป้าหมาย
อยู่ๆ ไป ธามคิดบวกมากขึ้น คิดถึงน้องมากขึ้น
จนตอนนี้ 4 ปีแล้ว ธามกลับมาแล้ว
หวังว่าจะมาช่วยน้องนะ คงไม่มาซ้ำให้เจ็บกว่าเดิม

กวางน่าเอ็นดู ฐาติกวนประสาทมาก
เอาใจช่วยฉันท์นะคะ ให้รอดพ้นจากมารทั้งหลาย

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #38 เมื่อ23-12-2018 11:26:18 »

โธ่ น้องฉันท์
แรกๆ ขัดใจกับความเฉยๆ ของน้อง แต่ตอนนี้สงสารน้องมาก
พี่ธามอยู่ไหน กลับมาดูแลน้องหน่อย ตอนนี้อยากให้น้องมีใครสักคนเป็นที่พึ่งพิง  :hao5:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #39 เมื่อ23-12-2018 12:56:10 »

 :sad4: มีแต่เรื่องเข้ามาไม่ได้หยุดเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
« ตอบ #39 เมื่อ: 23-12-2018 12:56:10 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #40 เมื่อ23-12-2018 13:17:09 »

นิ่งๆเนียนๆแต่เสียขวัญแรง ฮรือออออออออออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2019 14:31:48 โดย ทั่วหล้า »

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #41 เมื่อ24-12-2018 08:40:25 »



 :ling3:  น้องต้องเข้มแข็งขนาดไหนถึงจะผ่านเรื่องแย่ๆ นี้ไปได้

เรื่องครอบครัวก็หนักหนา เรื่องคนเข้ามาหาก็มีแต่คนที่ดูเหมือนมีเบื้องหลังทั้งนั้น

กลัวแต่น้องจะยิ่งปิดกั้นความรู้สึกตัวเองมากกว่าเดิม

  :ling1: 

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #42 เมื่อ24-12-2018 09:30:04 »

ทำไมเกลียดฐาติจังว่ะเรา

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #43 เมื่อ24-12-2018 14:41:58 »

โอยยยยยยยยยยยยยยย คนที่เข้ามาหาก็น่ากลัว
กลับมาเร็วๆได้มั้ยนายธามัน  :hao5:

ออฟไลน์ ปีศาจน้อยสีชมพู

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #44 เมื่อ26-12-2018 20:57:38 »

ความสุขผ่านไปเร็วจริงๆ แค่ 5 นาทีเท่านั้น
สงสารทั้งน้องฉันท์และจิโระ ...เฮ้อออ

ออฟไลน์ Iammai2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #45 เมื่อ27-12-2018 19:43:12 »

หวังว่าจะกลับมาก่อนน้องจะเจ็บ อย่างที่ตั้งใจนะคนพี่
มาให้เห็นความเป็นไปของน้องเอง อย่าฟังคนอื่น
ตอนนี้น้องน่าสงสารพอแล้ว   :sad11:

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #46 เมื่อ27-12-2018 21:08:16 »

เปิดเรื่องใหม่แล้ววว ตัวละครอายุห่างกันทีไรชุ่มชื่นหัวใจทุกที ช่วงนี้ก็รันทดชีวิตไปก่อนนะฉันท์ เดี๋ยวพี่ก็กลับมาแล้วฮะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #47 เมื่อ28-12-2018 05:25:55 »

สงสารน้องฉันท์  :hao5:

ออฟไลน์ huoan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #48 เมื่อ29-12-2018 01:40:38 »

เนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆ โอย อยากอ่านต่อแล้ว
ฐาติเลี้ยงต้อยใช่ไหม รู้สึกอยากปลอบฉันท์เลย

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #49 เมื่อ30-12-2018 18:40:39 »

ตอนที่ 4

กวางคนเดิม คือพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในตอนที่พวกปล่อยกู้กับคนทวงหนี้มาหาฉันท์ที่ศาลาวัด
อันนี้เห็นจริง ๆ ไม่ได้ฟังคนโน้นคนนี้เขาเล่าแล้วมาสรุปให้น้าฟังนะ
คนพวกนั้นมากันตั้งแต่ตอนก่อนที่จะรดน้ำศพพ่อกับแม่ของพี่ฉันท์ แต่ลุงรองของพี่ฉันท์เข้าไปบอกกับพวกเขาว่า ขอให้รดน้ำศพเสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกัน
คือบทสนทนาตรงนี้ค่อนข้างยาว เพราะเจ้าหนี้ไม่ยอม ต้องการคุยเดี๋ยวนี้ แต่ลุงก็รับรองว่าไม่ได้คิดหนีไปไหน ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าพี่ฉันท์เป็นใคร อยู่ที่ไหน ขอให้รออีกครู่เดียวเท่านั้น
“ทุกคนก็รู้กันมาตลอด ว่าเจ้าฉันท์ไม่ค่อยได้รู้เรื่องอะไร แล้วเขาเป็นคนยังไง”

ฉันท์รู้มานานว่าพ่อเล่นพนัน รู้ว่ามีหนี้ แต่ไม่เคยถามและพ่อก็ไม่เคยบอกอะไรให้ชัดเจน มักบอกปัดไปว่าพ่อจัดการได้ แล้วเขาก็ขายของหลายอย่างในบ้านที่ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าเขาเอาไปใช้หนี้ หรือเอาไปต่อทุนเพื่อเล่นการพนัน
แต่ความกังวลมันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหันออกไปมองที่ด้านนอกของศาลาแล้วเห็นคนในกลุ่มเจ้าหนี้ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ลุงรองบอกว่า คนพวกนี้กลัวอิทธิพลของตลาดในระดับหนึ่งแล้วเขาก็อยากได้เงินคืน ที่ต้องพากันยกพวกมามากก็เพื่อต้องการคำยืนยันว่า เราจะพยายามหาเงินมาใช้เงินคืนพวกเขา
ฉันท์ไม่รู้ว่าต้องพูดกับพวกเขาอย่างไร แล้วจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
แต่ต้องทำให้ได้!
ระหว่างนั้นที่ด้านหลังศาลากำลังมีการซุบซิบกันอย่างเมามันชนิดไม่เกรงใจคนที่นอนอยู่ในโลง
ที่จริงทุกคนในที่นี้รู้และได้ยินกันมาตลอด ว่าใครทำอะไรไว้ที่ไหน รวมถึงรู้ว่าฉันท์ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
นี่เป็นเพราะการที่ฉันท์เป็นคนที่อยู่แต่ในโลกของเขาเอง ไม่ค่อยคุยกับใคร เขามีบุคลิกบางอย่างที่ต่อให้มือ 1 เรื่องนินทาอย่างแม่ของเด็กกวางยังไม่อยากบอกกับเขาว่าพ่อของเขาทำอะไรไว้บ้าง
...หนูถึงบอกไง ว่าพี่ฉันท์น่ะ น่าสงสารมากถึงมากที่สุด
หลังรดน้ำศพเสร็จ ก็ได้เวลาที่ฉันท์ต้องไปคุยกับขบวนการเงินกู้ ปรากฏว่าลุงรองต้องไปคุยกับเจ้าอาวาสพอดี จึงฝากลุงวินัยที่อ่อนอาวุโสกว่ากันแค่ปีเดียวให้คอยช่วยเรื่องที่จะคุยกับเจ้าหนี้ แต่ฉันท์กลับขอให้ลุงวินัยอยู่ดูแลป้ากับจิโระ
ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน นั่นมันพวกทวงหนี้นะพี่ฉันท์!
ลุงวินัยไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่เมื่อพี่ฉันท์ยืนยัน ลุงก็บอกว่าจะคอยดูอยู่ใกล้ ๆ
“พวกเขามาก็เพราะว่าอยากได้เงิน ไม่ได้อยากได้ชีวิตของใคร เราต้องยืนยันกับพวกเขาว่า จะพยายามหาเงินมาใช้หนี้ แต่ถ้าไม่ไหวก็แค่ยกมือเรียก”
ลุงวินัยให้คำแนะนำแบบเดียวกับลุงรอง แต่ตอนที่พี่ฉันท์ยืนยันว่า สามารถจัดการได้ใบหน้าของคนพูดน่ะไม่มีสีเลือดเลยสักนิด
หนูเดา (เอาเอง) ว่านี่ต้องเป็นเพราะเขาไม่รู้จักคนพวกนี้ หนูก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จะเดินตามไปด้วย แต่แม่ก็รีบมาดึงมือไว้ บอกว่า ให้รอดูอยู่ใกล้ ๆ จะดีกว่า
แม่หนูน่ะ ทั้งที่เขาเป็นลูกหนี้มืออาชีพ แต่ก็กลับพูดเหมือนกับลุงทั้ง 2 คนในเรื่องที่ว่าเจ้าหนี้เหล่านี้อยากได้เงิน แต่แม่อธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้ากวางหรือคนอื่น ๆ เดินตามไปเป็นขบวนใหญ่ อาจทำให้เจ้าหนี้ คิดว่าเรากำลังจะเบี้ยวหนี้ แล้วก็กลายเป็นการทะเลาะกัน หรืออาจหนักกว่านั้นถึงขั้นลงมือต่อกัน ทีนี้ละเรื่องใหญ่

กวางหันไปมองคนที่อยู่ในศาลา นอกจากกวางกับแม่ที่คอยระวังหลังให้พี่ฉันท์อยู่ตอนนี้ ก็เห็นพวกแม่ครัวกำลังป้องปากนินทา ลุงวินัยทำหน้าที่โบกพัดให้ป้าที่เป็นลมไปอีกรอบ โดยมีจิโระนอนหนุนตักอยู่
ส่วนญาติทางฝั่งพ่อของฉันท์ที่มารดน้ำศพ ตอนนี้หายไปทางไหนกันไม่รู้
พวกเขาตัดฉลองพ่อของฉันท์ออกจากตระกูลมานานกว่า 20 ปีแล้วก็จริง แต่คนตายไปแล้วก็แล้วไปยังไงก็ไม่กลับมา ทำไมไม่ห่วงคนเป็นสักนิด
ใจร้ายชะมัด!
กวางตั้งใจว่าจะขอดูสถานการณ์อีกนิด ถ้าไม่ค่อยดีค่อยกด S.O.S
การถูกเจ้าหนี้หลายคนรุมล้อมและพูดต่อเนื่องกันเพื่อให้ฉันท์จ่ายหนี้แทนพ่อ ไม่ต่างอะไรกับสายลมแรงที่พัดหมุนอยู่รอบตัว ไม่เปิดโอกาสให้มองหาหลักยึด
ฉันท์รู้ว่าพ่อมีหนี้ธนาคารที่กู้มาซ่อมอพาร์ทเม้นท์ที่ฉันท์จะต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนนี้ต่อจากพ่อ แต่ตอนนี้ยังมีหนี้นอกระบบอีกหลายเจ้า ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วเป็นจำนวนที่สูงเกินเงินในบัญชีที่ฉันท์มีอยู่ไปหลายเท่า ต้องรวบรวมเงินค่าเช่าอีกกี่ปีถึงจะพอใช้หนี้ได้หมด
“ผมจะรวบรวมเงินมาทยอยใช้คืนทุกคน”
เมื่อชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบนอกเริ่มพูดจาข่มขู่หลายคำ ฉันท์ก็รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน
ที่ผ่านมาฉันท์มักคิดถึงแต่ตนเอง แต่จากนี้ไป จะทำอย่างเดิมไม่ได้แล้ว
ดวงตากลมมองใบกู้เงินที่ระบุชื่อของพ่อเป็นผู้กู้ เลือกใบที่มีเงินต้นน้อยที่สุดขึ้นมา แล้วถามว่า จนถึงปัจจุบันหนี้จำนวนนี้มีเท่าไหร่ เมื่อเจ้าหนี้บอกยอดหนี้ในจำนวนเกือบแสน ชายหนุ่มก็พยักหน้า “อันนี้ผมพอจะจ่ายได้ก่อน พรุ่งนี้ตอนบ่ายผมจะเอาเงินไปให้ที่ร้านนะครับ”
คนที่จะได้เงินคืนก่อนย่อมพอใจ ส่วนคนอื่น ๆ ยังไม่ค่อยพอใจ
“ผมจะรวบรวมเงินทยอยคืนทั้งหมด แต่ผมเพิ่งรู้จริง ๆ ว่ามีหนี้ส่วนนี้ด้วย รับรองว่าจะหามาคืนแน่นอนครับ”
เป็นการให้คำมั่นทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร
ควรทำอะไรก่อน แล้วลำดับต่อไปคืออะไร
หลังจากที่เจ้าหนี้กลับไปแล้ว ฉันท์เดินกลับไปนั่งกอดเข่าอยู่มุมของศาลา มองด้านหลังโลงศพที่วางอยู่คู่กัน
การไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาญาติพี่น้องฝ่ายพ่อเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ถึงฉันท์จะไม่รู้เรื่องหนี้ แต่เรื่องความขัดแย้งในกลุ่มคนนามสกุลเดียวกัน ฉันท์รู้ทุกอย่าง เพราะมันคือความขัดแย้งแตกหักในแบบที่เรียกว่าไม่เผาผีกันอย่างที่เห็นในวันนี้
พายุนี้รุนแรงเกินไปจนไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรดี
สิ่งที่ควรทำเวลาที่เราเจอกับพายุรุนแรง ก็คือการหาที่กำบังใช่ไหม ถ้าหลบอยู่ตรงนี้รอให้พายุผ่านไป เราค่อยออกไปก็ได้
แต่ถ้าพายุนี้ไม่พัดผ่านไป เราจะหลบอยู่อย่างนี้ตลอดไปก็คงไม่ได้
หรือถ้าถูกพายุพัดพาจนหายไป ลุง ป้า กับจิโระจะทำอย่างไร
คนพวกนั้นก็คงไปหาทั้ง 3 คนเอาใบกู้เงินพวกนั้นให้ดู พูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้าย หากไม่เอาเงินให้เขาตามกำหนดเวลาที่บอก
พวกเขาไม่มีใคร จิโระไม่มีใครอีกแล้ว
ต้องทำอย่างไร
คนที่ร้องไห้ไม่มีเสียงมันส่งผลต่อความรู้สึกของคนที่แอบมองอย่างจริงจัง
....
ศาลาถัดไปเป็นศาลาว่าง กวางเหลียวมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ถึงได้กดโทรศัพท์หาฐาติ แต่ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย น้ำตาก็ร่วงพรู “น้า มาช่วยพี่ฉันท์หน่อย” กวางสะอึกสะอื้นมาตามสายจนฐาติใจเสีย
“พี่ฉันท์ของมึงเป็นอะไร”
“มีเจ้าหนี้มา มากันเยอะเลย ไม่มีใครเข้าไปช่วยพี่ฉันท์สักคน” รวมถึงหนูที่โดนแม่ดึงไว้ให้อยู่ในศาลา แต่ละคนทำเป็นพูดดี แต่สุดท้ายก็เอาตัวรอดกันหมด “น้า พี่ฉันท์ไม่มีใครเลย น้าต้องมาช่วยพี่ฉันท์ เขาร้องไห้ด้วย ร้องเยอะมาก ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่กับศพพ่อกับแม่ของเขา เขายังไม่ร้องไห้เยอะอย่างนี้เลย ” กวางเองก็พูดโทรศัพท์ไปร้องไห้ไป
“เจ้าหนี้หรือ เดี๋ยวกูโทรกลับนะ”
“แล้วน้าจะช่วยพี่ฉันท์ไหมเนี่ย” กวางโวยวาย
“เออ!” ฐาติกระแทกเสียง “ถึงมึงจะไม่บอก ก็ต้องมีอีกคนบอกให้ข้าไปอยู่ดี”
“แล้วทำไมต้องเดี๋ยวโทรกลับ”
“กูก็ต้องถามเขาก่อนสิวะ ว่าจะให้ทำยังไง”
กวางปาดน้ำตาที่มาพร้อมกับน้ำมูก “บอกเขาด้วยนะ ว่าพี่ฉันท์น่าสงสารมาก เขาไม่มีใครแล้ว ช่วยพี่ฉันท์ด้วยนะ”
ฐาติวางสายโทรศัพท์จากกวางแล้วโทรหาคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อครู่

ในคืนแรกของการสวดศพ
ระหว่างที่พายุหิมะที่หมุนวนอยู่รอบตัวยังไม่ลดแรงลม กวางย่องไปหาคนที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หลังโลงศพ คุกเข่าลงข้าง ๆแล้วเรียกเบา ๆ
“พี่ฉันท์”
ฉันท์ปาดน้ำตาหันมาหากวาง แต่เมื่อจะถามว่ามีอะไร กลับไม่มีเสียงออกมา
“มีคนมาหา”
คนตัวผอมบางเกาะผนังเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน แต่พอจะออกไปข้างนอกทันที กวางก็ท้วงขึ้น “หนูว่าพี่ไปล้างหน้าก่อนดีกว่า”
“อืม”
ถึงจะล้างหน้าแล้ว แต่กวางก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ฉันท์ออกไปหาคนที่มาได้ง่าย ๆ บังคับให้ดื่มน้ำหวานอีกแก้ว แล้วก็กำชับว่า “พี่ฉันท์ต้องไม่เงียบเฉย หรือคิดว่าสามารถแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองรู้ไหม” ญาติเยอะเสียเปล่า พอถึงเวลาพากันหายไปไหนไม่รู้แบบนี้ เวลาเจอที่ปรึกษาดี ๆ ก็ต้องยึดไว้ให้แน่น
เมื่อฉันท์หันมามอง กวางก็ตบปากตัวเอง “หนูจำคนอื่นเขามาพูดน่ะ”
ฉันท์ยิ้มเศร้าจับไหล่ของกวางเบา ๆ “ขอบใจมาก”
ชายหนุ่มรูปร่างหนา สวมแว่นตาที่ชื่อฐาตินั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกของศาลา นั่งมองเจ้าเด็กนักเรียนที่เจ้ากี้การให้ลูกพี่ทำนั่นทำนี่มาพักใหญ่กว่าที่จะส่งตัวลูกพี่มาให้
เด็กนี่แม่งโคตรแสบซ่า เจ้ากี้เจ้าการ
แถมตอนที่เดินตามฉันท์มาด้วย ยังมีการส่งสายตาดุ ๆมาให้ด้วย
โอ้ย กูละกลัวมึงจะตายอยู่แล้ว
ฐาติรับไหว้ฉันท์แล้วพยักหน้าเดินนำออกไปคุยที่ด้านนอก
ออกมาห่างจากไอ้เด็กนั่นก่อน ไม่งั้นจะเสียเรื่อง
ฉันท์ลอบสังเกตสีหน้า ท่าทางของคนที่เดินนำไปก่อนแล้วหยุดเดิน ทั้งหันไปมองทางอื่นก็พอจะรู้ว่า เขาไม่ได้เต็มใจที่จะมา
“จำผมได้ไหม”
“ได้ฮะ” ฉันท์ตอบไปว่าจำได้ว่าเป็นเพื่อนของธามัน ที่มาดูแลห้องพักให้นานหลายปี
ฐาติพยักหน้าแล้วเข้าเรื่องที่ต้องมาในวันนี้
ปัจจุบันฐาติทำงานอยู่ที่สำนักงานทนายความ เห็นว่ากำลังมีเรื่องเดือดร้อนอยู่ มีข้อกฏหมายหลายข้อที่ควรรู้ไว้ และเรื่องที่ควรทำก่อนในเวลานี้ ลำดับต่อไป จนถึงเรื่องที่ไม่ควรลืม
ฉันท์นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขารู้มาจากไหนว่ากำลังเดือดร้อน แต่ก็พยายามจำเรื่องที่ฐาติบอกมาให้ได้มากที่สุด
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปชายหนุ่มสวมแว่นตาก็ส่งนามบัตรให้
“ถ้าจะไปติดต่อราชการ หรือมีปัญหาอะไรก็โทรหาได้”
ฉันท์มองนามบัตรแล้วบอกด้วยความเกรงใจ “ขอบคุณที่กรุณาสละเวลามาในวันนี้นะฮะ แต่ผมไม่มีเงิน คงไม่สามารถจ้างทนายได้”
"ฉันขอค่าจ้างเป็นการที่เธอต้องเก็บเรื่องที่เราติดต่อกันเป็นความลับ แต่ถ้ามีคนรู้ว่าเราติดต่อกันฉันถึงจะคิดเงิน"
เมื่อฉันท์มีท่าทีสงสัย ฐาติก็พูดต่อ
"มีคนใช้ให้ฉันทำเรื่องนี้น่ะ เขาเอง ก็ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ"
ฉันท์กัดริมฝีปาก เมื่อมองนามสกุลของฐาติ ก็รู้ว่าคนที่ใช้ฐาติมาคือใคร "พี่เขา...สบายดีหรือเปล่าฮะ"
ฐาติยิ้มมุมปาก "ก็ดี เท่าที่คนแบบมันจะดีได้ละนะ" คนสวมแว่นไม่ได้พูดคุยต่อ แต่จบบทสนทนาด้วยการหันหลังให้แล้วเดินจากไป
ที่ผ่านมา ฉันท์ไม่ชอบการตัดบทสนทนาแล้วหันหลังให้กันแบบนี้เลย เพราะมันคือการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ในครั้งนี้ ตอนที่มองแผ่นหลังของฐาติที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ฉันท์กลับรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง
ฉันท์มองเห็นใครอีกคน ที่ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุยกันมานานแล้ว
เขากลับมาแล้วสินะ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉันท์เปิดเมลเก่า ๆ ขึ้นมาอ่าน มองดูภาพถ่ายที่เก็บใส่โฟลเดอร์ไว้ แล้วนั่งยิ้มทั้งน้ำตา จนจิโระขยับเข้ามาดูด้วยคน
เด็กน้อยอ่านภาษาไทยไม่ได้ แต่พอเห็นรูปก็มีความเห็น
“ฮันซะมุ”
“ฮันซะมุ handsome น่ะหรือ ก็ใช่นะเขาฮันซะมุ”
“ดันยุ”
“ไม่ใช่หรอกเขาไม่ใช่ดารา เขาเป็น...” ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ  “วาการาไน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำอะไรอยู่”
“โอกาซัง...”
ฉันท์ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะตอบน้องชายว่าอย่างไรดี
พอเห็นว่าพี่ชายเงียบไป จิโระก็หันมามองพี่ชาย เห็นว่าดวงตาแดงก่ำมีหยดน้ำตาอาบแก้ม เด็กชายตัวน้อยหันมากอดพี่ชายไว้
2 คนพี่น้องกอดกันร้องไห้เงียบ ๆ จนหลับไป
...
โดยทั่วไปการเสียชีวิตในลักษณะนี้จะไม่สวดศพหลายวัน และจะเผาอย่างรวดเร็ว แต่ฉันท์ขอให้สวดศพจนครบ 7 วันเพื่อรอตา ยาย และน้าสาว น้าชายที่ต้องเดินทางมาจากญี่ปุ่น เสร็จงานพวกเขาขอรับอัฐิส่วนหนึ่งของแม่กลับไป และไม่มีใครคัดค้านการที่ฉันท์ขอจิโระไว้
ระหว่างงานศพ ฉันท์กับน้องย้ายไปนอนที่บ้านพักหลังเล็กของลุงวินัยกับป้าแจ่มจิต ส่วนบ้านที่เกิดเหตุถูกปิดไว้หลายวัน หลังจากที่ทำบุญบ้านแล้วถึงได้พากันย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยกันทั้งหมด 
มีคนงานที่ตลาดมาเรียกให้ฉันท์ไปคุยกับพี่เอื้อยที่เป็นผู้จัดการตลาดอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เธอไม่ได้มาที่บ้าน
ก็เหมือนกับญาติพี่น้องคนอื่น ๆ
ส่วนที่บ้าน ตั้งแต่ทำบุญบ้าน จนถึงทำบุญเมื่อครบ 15 วัน ครบ 30 วัน นอกจากลุงทั้ง 2 คนแล้วก็ยังมีย่าใหญ่ที่เป็นแม่แท้ ๆ ของพ่อที่มางาน
ปู่กับย่าเริ่มทำตลาดหลังจากที่แต่งงานกัน มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความดุร้ายของทั้งคู่เพื่อที่จะควบคุมกิจการ แต่วันนี้ย่าเป็นคนแก่อายุมากกว่า 90 ปีที่หลงลืมเป็นบางเวลา ในตอนที่มาทำบุญที่บ้านนี้ยังต้องให้หลานชายหลานสาวพามา
ย่าลูบผมของฉันท์บอกว่าเสียใจมากที่ไม่ได้มางานศพ เพราะไม่รู้เลยว่า ลูกชายคนเล็กกับลูกสะใภ้ตายแล้ว ทั้งเป็นการตายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นครอบครัว
คนนามสกุลวีนิตาไม่เคยมีใครที่ฆ่าตัวตาย
ย่ายังเสียใจมากที่ในบรรดาลูก หลานจนถึงเหลนจำนวนนับร้อยคน พ่อของฉันท์จะเหลือเพียงลุงรองกับลุงวินัย เพียง 2 คนที่มาช่วยฉันท์จัดงานศพให้พ่อ
ฉันท์บอกกับย่าว่าพวกเขามารดน้ำศพแล้ว และเข้าใจว่าทำไมทุกคนจึงทำเช่นนี้
เพราะเข้าใจจึงไม่ได้เก็บมาเป็นความทุกข์ใจ เพราะในเวลาเดียวกันยังต้องวุ่นวายจัดการเรื่องราวหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องของพ่อ แม่ และจิโระ
ต้องไปติดต่อกับหน่วยงานราชการมากมายเรื่อง ต้องทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ ต้องไปทำเรื่องขอเป็นผู้ปกครองจิโระตามกฎหมาย ต้องติดต่อญาติพี่น้องที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเพื่อแจ้งเรื่องของแม่ และขอเอกสารมากมาย
แน่นอนว่ายังมีเรื่องการหาเงินไปใช้หนี้ของพ่อด้วย
ยุ่งวุ่นวายเกินกว่าที่จะมาสนใจความไม่พอใจเหล่านั้น
แต่ในวันถัดมาหลังจากทำบุญครบ 30 วันฉันท์ก็เก็บผลไม้จากในสวนหลังบ้าน แล้วจูงมือจิโระเอาผลไม้ไปให้ญาติที่อยู่บ้านใกล้กันที่สุดก่อน จากนั้นในวันถัดมาก็เอาไปให้ญาติหลังถัดไป
ฉันท์ไม่พูดเรื่องพ่อกับแม่ ไม่พูดเรื่องเงินที่เป็นหนี้ บอกสั้น ๆ ว่าผลไม้ในสวนมีมากจึงเก็บมาฝากจากนั้นก็ขอตัวไปติดต่อธุระต่าง ๆ
ทำเหมือนแม่ ในเวลาที่พ่อมีปากเสียงกับพี่น้องของเขา
ฉันท์ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำ แต่วันนี้ ตอนที่เก็บผลไม้เรียงใส่ตะกร้า แล้วนำไปมอบให้พวกเขา สิ่งสำคัญอยู่ตรงสีหน้าของพวกเขาในยามที่รับของจากเรา
แม่เคยบอกว่า ถึงพ่อจะโกรธเกลียดกับพี่น้องของเขามากขนาดไหน แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกและทำเหมือนพ่อ ขณะที่พ่อเองก็ไม่เคยห้ามแม่กับฉันท์เอาผลไม้ในสวนไปให้ญาติพี่น้องรอบบ้าน
ยังเคยขับรถไปส่งที่หน้าบ้านแล้วจอดรถรอด้วยซ้ำ 
เลือดของพ่อกับแม่ที่อยู่ตัวร้องบอกว่า พายุมันต้องเบาบางแล้วสงบลง หรือถ้าพายุนั้นจะกลับมาใหม่เราก็ต้องมีความพร้อมมากกว่าเดิม
....
ในร้านกาแฟใกล้กับสำนักงานทนายความ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มจิบกาแฟรสขม ขณะที่ฟังชายหนุ่มในเสื้อแขนยาวสีขาวไทค์ดำ รูปร่างหนา และสวมแว่นตา บรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีมานี้ จนมาถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องออกมานั่งคุยกันที่นี่
เวลาที่ผ่านไป ทำให้ธามันเปลี่ยนจากหนุ่มวัยรุ่นอเมริกันสไตล์ กลายมาเป็น 1 ในผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ขณะที่ฐาติซึ่งเป็นญาติผู้พี่เลือกที่จะออกมาทำงานในบริษัททนายความของพี่ชาย ที่ก็ยังแตกออกเป็นบริษัททนายความและสำนักงานนักสืบ
เป็นการแตกเครือข่ายการทำงานที่เน้นการทำงานสนับสนุนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว
การแตกแขนงงานในลักษณะนี้ ช่วยให้ธุรกิจเคลื่อนตัวได้ดีกว่าการผูกรวมทั้งหมดไว้ด้วยกัน
งานของฐาติช่างสอดคล้องกับนิสัยส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องทั้งหมดที่ฐาติเล่าให้ฟัง หลายเรื่องธามันรู้อยู่แล้ว ทั้งหลายเรื่องยังเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ตอนนี้ขอนั่งฟังเงียบ ๆ จนกระทั่งฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกาแล้วเปลี่ยนไปนั่งอีกโต๊ะ
จากตำแหน่งที่นั่งนี้ บังคับให้คนที่เพิ่งเข้ามาในร้าน ต้องนั่งหันหลังให้กับธามัน โดยมีพุ่มไม้และแผงไม้บังตากั้นอยู่
ฉันท์ยกมือไหว้ฐาติก่อนที่จะนั่งลง ท่าทีของผู้ที่อาวุโสกว่ายังคงเหมือนเดิมคือการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่เพราะไม่อยากขัดใจคนที่สั่งมา ทำให้ฉันท์ยิ่งเกรงใจ แต่เพราะตนเองก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาใคร ถึงได้แต่นั่งตัวลีบรายงานไปทีละเรื่อง
"เรื่องของจิโระ เรียบร้อยแล้วฮะ พอน้าที่ญี่ปุ่นส่งเอกสารมาให้ผมก็รีบไปยื่นเรื่องตามที่คุณแนะนำมา"
"ดี" ฐาติบอกสั้น ๆ มีการทำงานมากมายที่อยู่เบื้องหลัง แต่ฐาติไม่คิดจะทวงบุญคุณ เพราะมีเรื่องร้อนรออยู่ "แล้วเรื่องพวกทวงหนี้ล่ะ สรุปว่ายอดเงินมันเท่าไหร่กันแน่"
โดยทั่วไปเมื่อลูกหนี้ตาย มูลหนี้ย่อมหายไป แต่เจ้าหนี้นอกระบบที่พ่อฉันท์ไปกู้ยืมมา ไม่รู้จักกฎหมายข้อนี้
ฉันท์บอกจำนวนเงินต้น รวมดอกเบี้ยไปตามตรง "ผมคุยกับลุงกับป้า คิดว่าเราจะขายบ้าน เอาอพาร์ทเม้นท์ไว้ เพราะอย่างน้อยเราก็ยังมีอาชีพ แล้วคนที่อยู่ที่นั่นเขาก็อยู่มานาน แต่ผมไปคุยกับคนที่คุณฐาติแนะนำมา เขาประเมินราคาแล้วบอกว่าอพาร์ทเม้นท์ได้ราคาดีกว่า ทำให้ผมยังไม่แน่ใจ"
เพราะอพาร์ทเม้นท์อยู่ค่อนไปทางปากซอยและใกล้ตลาด ย่อมได้ราคาดีกว่าบ้านที่อยู่ท้ายซอย
"ยังมีอีกคนอยากซื้ออพาร์ทเม้นท์ของเธอ"
ที่จริงแล้วคนนี้อยากซื้อบ้าน ต่อมาก็อยากได้อพาร์ทเม้นท์ แล้วก็มาบังคับให้ทำโน่นนี่เพราะอยากได้ตัวเจ้าของบ้านด้วย จากนั้นก็เกิดละอายใจอะไรไม่ทราบได้ ให้หาคนมาทำทีว่าสนใจอพาร์ทเม้นท์ จากนั้นก็เปลี่ยนใจอีกหนลงมาเล่นเอง บอกว่าอยากได้อพาร์ทเม้นท์มาทำคอนโดฯ
บอกตามตรงว่าการที่คนออกคำสั่งสั่งงานกลับไปกลับมา เดี่ยวงานงอก เดี๋ยวงานหาย ทำให้คนรับคำสั่งอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
"ฮะ" ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ เมื่อคิดว่าถ้าขายอพาร์ทเม้นท์แล้วต่อไปทุกคนจะมีรายได้จากไหน
"ถ้าเธอไม่รีบตัดสินใจ อีกไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หนี้ของพ่อเธอมันจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หนี้บ่อน เงินกู้นอกระบบมันเป็นอย่างนี้ โตแบบก้าวกระโดด"
ฉันท์ก้มหน้ามองมือตัวเอง ขณะที่ฐาติมองผ่านไปทางด้านหลังของฉันท์ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นพยักหน้าเร่งให้ฐาติพูดต่อ
"เธอต้องการเงินไปใช้หนี้นะ แล้วลุงก็เป็นมะเร็ง ต้องใช้เงินมากเหมือนกัน"
หยดน้ำตาตกกระทบหลังมือที่กำแน่นอยู่บนหน้าขา
ทั้งที่คิดอยู่แล้วว่า ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องขายสมบัติที่พ่อกับแม่ช่วยกันสร้างขึ้น แต่นั่นก็คือการย้ำว่าเป็นลูกชายที่ไม่ได้ความ
"คนที่ซื้อเขาได้อยากอพาร์ทเม้นท์ เพราะจะทำคอนโดฯ ส่วนบ้านน่ะ ทีแรกเขาก็คิดอยู่ว่า จะซื้อเพื่อจะปลูกอยู่เองแต่จากที่คำนวนมา ขายแค่อพาร์ทเม้นท์อย่างเดียวก็เกินพอแล้ว”
ฉันท์เงยหน้าขึ้นมอง พลางเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม
ตอนแรกที่คุยกันยังคิดว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ผูกธุรกิจไว้กับสำนักงานทนายความของฐาติ แต่พอพูดว่าอยากได้บ้านเพื่ออยู่เอง ฉันท์ก็คิดว่าอาจเป็นธามัน
"เอาอย่างนี้ เธอตั้งราคาของทั้ง 2 แปลงอ้างอิงจากราคาประเมินไว้ก่อน ถ้าเธออยากได้มากกว่านั้นก็บวกไว้ ถ้าตัวเลขไม่มากมายเกินไป ฉันคิดว่า คนซื้อเขาก็คงไม่ได้คิดจะต่อรอง"
หนี้ของพ่อไม่ได้มากขนาดนั้น แล้วเรื่องบ้าน..ตกลงอย่างไรกันแน่
"แต่แปลงบ้านน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณฐาติคิดนะฮะ"
“อ้าว ก็ไหนตอนแรกอยากขายบ้าน เอาอพาร์ทเม้นท์ไว้”
“ใช่ฮะ เพราะผมคิดว่าจะเป็นคนอื่น”
ฐาติเลิกคิ้วสูง
ถ้าเป็นคนอื่น ฉันท์ก็คงขายให้ ‘ตามความเป็นจริง’ แต่ถ้าเป็นคนที่คิดไว้ การที่เขาจะซื้อบ้าน อาจเพราะมีความเข้าใจผิดบางอย่าง 
ฉันท์อธิบายถึงเงื่อนไขและข้อตกลงเกี่ยวกับบ้านท้ายซอยที่มีมาตั้งแต่ก่อนที่ฉันท์จะเกิด ขณะที่ฐาติฟังไปก็ลอบสังเกตสัญญาณจากคนที่นั่งด้านหลังไปพลาง
"งั้นขอฉันกลับไปคุยกับคนที่จะซื้อบ้านก่อน คือเรื่องอยากได้น่ะเขาก็อยากได้ละนะ" คนด้านหลังฉันท์พยักหน้าให้ความมั่นใจ "แต่ถ้ามันมีเงื่อนไขอะไรแบบนี้ เธอเองก็ต้องไปคุยกับคนที่เขาถือโฉนด รวมถึงลุงกับป้าด้วยใช่ไหม”
"คุณจะเอาเอกสารเมื่อไหร่ฮะ"
ฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกา "เธอกลับบ้านไปคุยกันก่อน แล้วก็เตรียมเอกสารไว้ เสร็จเมื่อไหร่โทรมาบอก" เพราะทางนี้น่ะไม่มีปัญหา
คือถ้าลองมีปัญหาหรือเปลี่ยนใจอีกรอบจะให้พี่รัฐฐามาจัดการเองแล้ว ไอ้ฐาติจะหนีไปบวช!
ฉันท์หยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจดรายการสิ่งที่ต้องทำตามที่ฐาติบอก จากนั้นก็ยกมือไหว้ แล้วลากลับไป
ฐาติมองธามันที่นั่งอยู่ด้านหลัง แล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองเพดานร้าน จากนั้นก็ลุกออกจากร้าน อีกอึดใจหนึ่งธามันจึงลุกตามออกมา

คืนนั้นขณะที่กวางกำลังสอน ก.ไก่ให้จิโระ ฉันท์ก็เดินออกมาข้างนอกบ้าน นั่งมองหมายเลขโทรศัพท์เบอร์เดิมที่เคยใช้โทรหาธามันเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนใจโทรหาฐาติ
“ขอโทษที่รบกวนเวลานี้นะครับ เรื่องที่จะซื้อขายอพาร์ทเม้นท์กับบ้านน่ะฮะ ถ้าคนที่ซื้อไม่ใช่พี่ธาม ผมขายอพาร์ทเม้นท์ ไม่ขายบ้าน ถ้าเป็นพี่ธาม ผมตกลงขายอพาร์ทเม้นท์ให้ ส่วนเรื่องบ้าน ผมมีเงื่อนไข...”
....
กองการจัดการทั่วไป เป็นห้องทำงานกวางที่จัดโต๊ะทำงานเข้าหาโต๊ะประชุมตัวใหญ่กลางห้อง
นี่เป็นแผนกการทำงานที่มีคนอยู่เกือบ 50 คนแบ่งงานรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด และพร้อมจะระดมกำลังเข้ามาช่วยกันทำงาน ไปจนถึงพร้อมที่จะเป็นกำลังเสริมให้กับทุกทีมในบริษัท
ยกเว้นลงมือก่อสร้าง
ท้ายห้องทำงานใหญ่ ยังมีห้องทำงานใหญ่ระบุชื่อผู้จัดการกองอยู่ที่หน้าประตู ติดกันคือห้องทำงานเล็ก ๆ อีกห้องด้วยกระจกใส ไม่มีชื่อและตำแหน่งของคนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนี้ คนที่ทำงานในห้องนี้ก็มีอยู่คนเดียว บนโต๊ะก็ไม่มีทั้งชื่อและตำแหน่งเหมือนกัน
ไม่มีรูปภาพ โล่ หรือป้ายประกาศเกียรติคุณสักใบในห้องนี้
แต่คนทั้งบริษัทรู้ว่าที่นี่คือห้องทำงานของใคร เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน พนักงานหลายคนเริ่มเก็บงานบนโต๊ะเตรียมตัวเลิกงาน แต่เจ้าของห้องทำงานก็ยังก้มหน้าอยู่กับแฟ้มรายงานบนโต๊ะ
เลขาฯ ที่อยู่หน้าห้องหันไปมองคนในห้องอยู่หลายครั้ง ยังไม่เห็นว่าจะมีความเคลื่อนไหว ก็เริ่มทำใจว่าเย็นนี้คงได้ทำงานล่วงเวลาอีกเหมือนเคย
ห้องทำงานเล็กแคบขนาดที่วางโต๊ะทำงานหนึ่งชุด กับคอมพิวเตอร์ มีตู้สูงติดผนังด้านหน้า และหลังของโต๊ะทำงาน ก็จะเหลือทางเดินแคบ ๆ ให้เบี่ยงตัวเดินเข้ามาที่โต๊ะได้ ก็ทั้งเล็กและแคบ ขนาดที่ฐาติเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง ยังไม่ทันจะเคาะประตูเจ้าของห้องที่ชื่อธามันก็โบกมือให้เข้ามา เปิดประตูแล้วก้าวตรงเข้ามาเพียง 2 ก้าวก็คือเก้าอี้อีกตัวที่ฐาติจะต้องนั่งลงแล้ว
"คุณดอกเตอร์ธามัน  ก้องเกียรติมนตรี ผู้ช่วยผู้จัดการขอรับ"
ธามันเอียงหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วหัวเราะในลำคอ "อารมณ์ดีแล้วหรือ"
“กูประชดนี่แปลว่ากูอารมณ์ดีหรือ”
ธามันพยักหน้า
"ก็เด็กมึงมันน่ารำคาญ ทำกูอารมณ์เสีย" ฐาติพูดถึงเรื่องเมื่อเที่ยงวันก่อน ซึ่งที่จริงแล้วเขารำคาญคนสั่งงานมากกว่า แต่เพราะคนสั่งงานจ่ายเงินงามมาก จึงหันไปบ่นอีกคนที่ตั้งแต่คุยกันมา ยังไม่เคยเถียงสักคำ
ลืมไปว่าคนที่หลงน้องจนโงหัวไม่ขึ้นจะต้องปกป้องน้องในทันที
"อย่าไปว่าเขาแบบนั้น"
"เออ" ฐาติกระแทกเสียง "เด็กโลกสวย หัวอ่อน น่าสงสาร แม่ง..." สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะเสียดสีอีกคำ ธามันมีสีหน้าเรียบตึงแล้วถามต่อ
"ทำไมมึงอารมณ์ดี"
"เขากลับไปรวบรวมเอกสารแล้ว ส่วนเช็คเงินสดของมึงก็อยู่กับกูแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอาไปจัดการให้ทั้งหมด นี่ถ้าเจรจาซื้อที่ของที่อื่นง่ายอย่างนี้นะ บริษัทเราจะรวยกว่านี้อีก 100 เท่า" ที่อารมณ์ดีก็เพราะเรื่องราวเสร็จลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง
แต่ฐาติยังบ่นเรื่องการทำงานของทั้ง 2 บริษัทอีกหลายคำแล้วสรุปจบด้วยการปัดมือ
"กลับมาที่เรื่องเงินตามเช็คที่มึงเซ็นมาให้กูเนี่ย คุณนายแม่ของท่านผู้ช่วยผู้จัดการเห็นชอบแล้วแน่นะ เงินตั้งหลายล้าน"
"กูเอาเงินมรดกของกูมาใช้ก่อนน่ะ แล้วมีที่กูเล่นหุ้นอยู่ด้วย"
"อ้าวเหี้ยแล้ว เงินมึง แต่ใช้ชื่อบริษัทไปทำโครงการ"
ธามันเคยพูดถึงเรื่องนี้เมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนหน้า แล้วก็เงียบไป ยังคิดว่าได้รับการสนับสนุนจากกรรมการบริหารเพราะใช้ชื่อบริษัทเสียอีก
“มีพี่ ๆ ที่บ้านใหญ่ร่วมอยู่ในกองทุนของมึงด้วยไหม”
ธามันพยักหน้า "กูต้องรายงานผลการทำงานผ่านกรรมการบริหารด้วย"
ฐาติเคาะที่ขมับ "คนนั้นก็ต้องรู้แน่"
...ขณะที่คนนี้เพิ่งรู้! ทำไมถึงได้มีเจ้านายเอาแต่ใจแบบนี้!

(มีต่อครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2018 18:47:12 โดย MyTeaMeJive »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
« ตอบ #49 เมื่อ: 30-12-2018 18:40:39 »





ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
«ตอบ #50 เมื่อ30-12-2018 18:50:05 »

(ต่อครับ)

"เขาต้องรู้อยู่แล้วในสักวันหนึ่ง แล้วว่าที่จริง ไอ้การที่เราทำอะไรก็พูดโยงไปหาเขาตลอด มันทำให้เขาคิดว่าเรากลัว"
"กูรู้ว่ามึงไม่กลัว แต่เขาคือคนที่แตะแล้วสะเทือนทั้งแผ่นดิน" ฐาติยังคงลงท้ายด้วยการเสียดสีเหมือนเคย "ทำไมทุกคนต้องเกรงใจเขาขนาดนี้ด้วยวะ"
เรากำลังพูดถึง ทีม-ธนวัฒน์คนนั้น
คนที่เป็นพี่ชายต่างมารดาของ ธาม-ธามัน
ที่จริงทุกคนเกรงใจพ่อและแม่ของธามันเป็นหลักด้วยความเป็นผู้ใหญ่ และมีทรัพย์สินมากที่สุดในกลุ่ม และเกรงใจธนวัฒน์เพราะเขามีคุณลักษณะบางอย่างที่ทำให้ต้องเกรงใจ
ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจึงหันมากดดันการทำงานของธามัน
…แต่กดดันแล้วช่วยทั้งเงินทุน และสนับสนุนกันแบบลับ ๆ แบบนี้ก็ถือว่ายังสามารถคุยกันได้

เรื่องในครอบครัวของธามัน เป็นเรื่องกอสซิปสุดหรรษาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้
ตอนที่ธนวัฒน์ยังไม่ได้เข้ามาทำงานที่บริษัท เรื่องนี้ออกแนวเมียน้อยผู้มั่งมีตามราวีเมียหลวงผู้ต่ำต้อย แต่พอธนวัฒน์เข้ามาทำงาน เรื่องก็พลิกเป็นเมียหลวงเดินฮัมเพลง ‘ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน’ ตามหลังลูกชายเข้ามาในบริษัท จากนั้นเมียน้อยก็ตอบกลับนิ่ม ๆ ด้วยการส่งลูกชายที่จบการศึกษาแบบอลังการตั้งแต่เกียรตินิยมปริญญาตรี ตามมาด้วยดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำเข้ามาทำงาน
อันนั้นมันเรื่องกอสซิป แต่ข้อเท็จจริงแล้วนี่ไม่ใช่เมียหลวงVSเมียน้อยอะไรหรอก มันเป็นเรื่องของการละเลยทางกฎหมายและจริยธรรมล้วนๆ
อะ-งง-ละ-สิ
ธนาเลี้ยงดูแม่ของธนวัฒน์ แบบไม่มีตัวตน ไม่มีทะเบียนสมรส แต่รับรองบุตร จนกระทั่งเขาสมรสกับเยาวเรศลูกสาวมหาเศรษฐีระดับท็อปเทนของเอเชีย และจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง
1 เดือนถัดมาหลังงานแต่งงานแบบอลังการ หญิงคนหนึ่งจูงมือเด็กชายเดินเข้าบ้านในบ้านหลังใหญ่ และบอกกับเยาวเรศอย่างน่าสงสารว่าเธอกับลูกคือใคร พร้อมแสดงหลักฐานการรับรองบุตร
นี่มันเป็นละครชีวิตที่ทำให้ขาเม้าท์ต้องเกาะขอบเวทีติดตาม และวิจารณ์กันอย่างสนุกปาก ทั้งรอวันที่จะเห็นการปะทะของพี่น้องต่างแม่คู่นี้
ตอนที่ยังเป็นเด็ก ธามันก็เคยปะทะกับธนวัฒน์ แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ผล ทั้งยังทำให้ศัตรูในที่ลับได้ประโยชน์ ธามันก็เดินเกมใหม่
2 พี่น้องพัฒนาทักษะของการชิงดีชิงเด่นไปตามช่วงอายุ พร้อมไปกับการเฝ้าระวังศัตรูในที่ลับคนนั้น
เมื่อช่วงชีวิตมาถึงการทำงานในบริษัทของครอบครัวที่เป็นบริษัทใหญ่ มีกลุ่มผู้บริหารที่เรียกว่าคณะกรรมการบริหารซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเครือญาติเดียวกันนี่แหละ และต่างก็รอให้ใครก็ตามในกลุ่มเดียวกันล้มลงไป
ในบริษัทใหญ่ ธามันอาจดูเหมือนว่าตัวคนเดียว แต่ถ้ามองไปที่บริษัทลูก ธามันก็มีพวกที่เข้มแข็งอยู่กลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในกลุ่มนั้นคือฐาติ คนที่มานั่งมองธามันทำงานอยู่ในเวลานี้
เมื่อเห็นว่าธามันยังก้มหน้าตรวจรายงานข้างหน้า ฐาติก็มองผ่านออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานที่อยู่ด้านซ้ายมือของธามันเพื่อลอบสังเกตอาการของญาติผู้น้อง   
"เมื่อวานพี่ทีมไปกินข้าวที่บ้านเด็กมึง"
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
มือใหญ่ที่จับปากกาอยู่กระตุกเล็กน้อย แต่ใบหน้าคมเข้มยังก้มหน้าอยู่กับเอกสาร ผ่านไปหลายวินาทีสายตาก็ยังอยู่ที่เดิม สุดท้ายก็คือการผ่อนลมหายใจ แล้วเลื่อนมือตรวจข้อความต่อไป
"ธามมึง ตั้งหลายปีแล้ว"
"กูรู้แล้ว"
"มึงจะเสียเวลาไปหลายปี เพื่อคนที่มึงครอบครองไม่ได้ไปเพื่ออะไร” ฐาติพูดตรง “เขาเป็นผู้ชาย แล้วยังเป็นผู้ชายที่เปลี่ยนคนควงไปเรื่อย จนมาถึงพี่ทีม”
ธามันเงยหน้าขึ้นมามอง  "กูเข้าใจที่มึงอึดอัดใจ แต่มึงช่วยเขาดูเอกสาร กับติดต่อราชการอีกนิดเดียว โอนที่ โอนเงิน ดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครไปรบกวนเขาก็ไม่มีอะไรแล้ว"
"ไม่มีอะไรได้ยังไง” ฐาติสัญญาว่าจะพยายามครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย “เรื่องชนกับพี่ทีมในงานกูไม่เกี่ยง แต่เด็กมึงน่ะเขาเป็นอื่นไปแล้ว มึงจะยื้อเขากลับมาเพื่ออะไร ยิ่งคนนั้นเป็นพี่ทีมด้วยแล้ว ต่อให้มึงได้เด็กมึงคืนมา มึงก็ยังขาดทุนอยู่ดี”
“เขาไม่ใช่ของรางวัลให้ต้องแย่งกัน แล้วกูก็แน่ใจว่าเขาไม่เคยเป็นอื่น ที่เขาให้เงื่อนไขเรื่องบ้านมาแบบนั้น มันก็บอกอยู่แล้ว”
“เขาโลเล ไม่มั่นคง”
ธามันส่ายหน้า “เขาเป็นของกูมาตั้งแต่แรก แล้วกูก็ไม่สนด้วยว่าใครจะพูดยังไง”
1 ในคนที่อยู่ในกลุ่มของคนที่พูดก็คือฐาตินี่แหละ
ฐาติแพ้อีกครั้ง...
“หลังจากนี้ ถ้ามึงจะใช้กูทำอะไรก็ใช้มาเถอะ” กูละเบื่อ "มึงงานเยอะ เขาก็ปัญหามากถ้าปล่อยไปมีหวังปัญหาพันคอพวกมึง 2 คนจนตายน่ะแหละ กูขอแค่บ่นนิดบ่นหน่อย"
แต่ฐาติไม่เคยบ่นนิดหน่อย ในเมื่อบ่นเรื่องฉันท์แล้วธามันไม่พอใจ ก็เปลี่ยนไปบ่นเรื่องการติดต่องานราชการ เรื่องระบบงานในบริษัทใหญ่ ธามันก็ตามใจปล่อยให้บ่นไปเรื่อย จนกระทั่งตรวจงานเสร็จ เซ็นงาน แล้วถือแฟ้มออกมาให้กองเลขาฯ ที่อยู่หน้าห้อง ฐาติก็วนกลับมาหาเรื่องโครงการก่อสร้างคอนโดฯ
"มึงบอกพวกกรรมการบริหารว่าไง เขาถึงยอมให้มึงใช้ชื่อบริษัท"
"กูบอกเขาว่า นี่คืองานทดสอบของกู ถ้างานออกมาดีมีกำไร ถือว่ากูผ่านงาน"
ฐาติทำท่าเอียงคอ สีหน้าบอกว่าไม่เข้าใจ ขณะที่ยกมือขวาโบกไปมา "แล้วนี่ไม่ใช่บริษัทของตระกูลท่านพ่อและท่านแม่ของคุณธามันหรือขอรับ"
พ่อของธามันก็อาของฐาตินั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะพูดไปเพื่ออะไร
"บริษัทมีกรรมการบริหาร เครือญาติเต็มบริษัท กูต้องพิสูจน์ตัวเอง"
ต้องพิสูจน์ว่า ธามันเหนือกว่าธนวัฒน์ในทุกทาง!
"เออ ตามใจมึงเหอะ" ฐาติหันไปมองนอกหน้าต่างอีกรอบ ยังไม่ยอมเข้าเรื่องง่าย ๆ
"เจอหนี้อีกก้อนหรือไง" ธามันเดา
ฐาติพยักหน้า ยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้แบบไม่ค่อยเต็มใจ เพราะถึงจะถ่วงเวลาโยกโย้อยู่นาน พอจะพูดขึ้นมาจริงๆก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อน เพราะหนี้ของนายฉลอง วีนิตาช่างซับซ้อน
"ที่สำนักงานกูตอนนี้ ต้องเอาคนครึ่งหนึ่งมาทำเรื่องให้เด็กมึง รับรองว่ากูคิดเงินมึงทุกสตางค์"
"เชิญครับ" ธามันยิ้มไม่เปิดปาก ขณะที่มองเอกสารและภาพถ่ายในมือ
"อันนี้น่าจะเป็นเจ้าสุดท้ายแล้ว เป็นหนี้นอกระบบที่เขากู้มาซ่อมอพาร์ทเม้นท์เมื่อปีก่อน"
แม้จะหันหน้าเข้าหาบ่อนพนัน แต่พ่อของฉันท์ก็ยังคงดูแลอพาร์ทเม้นท์อยู่ ฐาติยืนยันว่าเมื่อปีที่แล้วมีการซ่อมอพาร์ทเม้นท์และทาสีใหม่จริง
เมื่อมาคิดว่า ต้องขายสมบัติของพ่อแม่ที่ประคับประคองกันมานานหลายปีเพื่อใช้หนี้เหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าปวดใจ ธามันจำแผ่นหลังสั่นไหวในตอนที่น้องกำลังร้องไห้ได้ดี
"ทบไปทบมาก็เป็นล้านได้เหมือนกัน"
เคยสงสัยกันว่าทำไมเจ้าหนี้ถึงใจดีนัก
คำตอบที่ได้อยู่ตรงข้ามกับคำว่าใจดี
สำหรับเจ้าหนี้ประเภทมืออาชีพ พวกเขารู้ว่านายฉลองมีเงิน มีทรัพย์สิน และอยู่ในครอบครัวเศรษฐี ถึงจะประกาศตัดขาดกัน แต่เลือดย่อมต้องข้นกว่าน้ำ ย่าใหญ่เจ้าของตลาดเพิ่มทรัพย์ จะปล่อยให้ลูกชายคนเล็กถูกเจ้าหนี้ตามเก็บได้อย่างไร
ส่วนเจ้าหนี้รายย่อยที่มีอยู่หลายเจ้าก็เพราะนายฉลองกู้ยืมแต่ละเจ้าด้วยเงินต้นหลักหมื่น หลายคนมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะได้เงินคืน แต่เขากลับปล่อยให้ดอกเบี้ยทบเงินต้นไปเรื่อย ๆ  พอนำมารวมกันหลายเจ้ามันถึงกลายเป็นเงินจำนวนมาก
ใครจะไปคิดว่า ผลลัพธ์จะออกมาแบบนี้
"เมื่อเที่ยงวันวานน่ะ กูก็แค่พูดขู่เด็กมึงไป แต่พอเข้าไปบริษัทเท่านั้นแหละของจริงมาเลย เสมียนกูเดินยิ้มเหงือกบานเห็นมาแต่ไกล บอกพี่ยังมีอีก 1 เจ้า วันนี้พอทำเล่มเสร็จกูก็เอามาให้มึงก่อน เพราะพรุ่งนี้กูจะได้เอาไปให้เด็กมึงด้วย เห็นแล้วจะเป็นลมตายห่าเลยหรือเปล่าไม่รู้ ยิ่งเจอก็ยิ่งซีดลงไปเรื่อย ๆ"
แต่ตอนนี้ธามันคือคนที่กำลังเครียดเหมือนกับเป็นหนี้ของตนเอง จนฐาตินึกกังวล
...หรือเพราะกูพูดเหน็บพ่อตามึงไปหลายคำ หรือกูยังไม่เลิกว่าแฟนมึง หรือเพราะกูพูดตรงไป
...เออ ช่างเหอะ กูพูดไปแล้วนี่
ถ้ามึงชอบคนมีหนี้ มึงก็ต้องช่วยเขารับภาระหนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา
"มึงไม่เผื่อว่าเด็กมึงเขาจะไปขอความช่วยเหลือจากพี่ทีมเลยหรือวะ"
"ไม่" ธามันแน่ใจ "เขาไม่เล่าความทุกข์ให้ใครฟัง" คนตัวใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้สูง "นิสัยเหมือนกันทั้งพ่อ แม่ ลูก"
ตอนที่ยืนอยู่ข้างกัน ธามันไม่เคยเข้าใจนิสัยแบบนี้ แต่พอมองดูอยู่ห่าง ๆ ถึงได้เข้าใจ
ตอนที่ยืนอยู่ข้างกันรีบด่วนตัดสินเขาว่าปิดกั้นตนเอง และเมินเฉย แต่เมื่อมองดูอยู่ห่าง ๆ จึงเข้าใจว่าที่แท้ฉันท์ทัตเป็นคนเกรงใจคนอื่น และไม่ต้องการเป็นภาระของใคร
ฐาติหัวเราะเสียงแปลก ๆ ในลำคอ "อันที่จริง มีอีกเรื่องที่กูมีลางสังหรณ์แต่ยังไม่มีใครว่างพอที่จะไปตามเรื่องให้"
"อะไรของมึง"
"เออ ข้ามไปก่อน"
"อะไรของมึง" ธามันถามย้ำ
"กูมีลางสังหรณ์ว่า อีกไม่นานมึงจะได้เด็กมึงกลับมา ทั้งที่ส่วนตัวกูแล้ว กูเห็นว่าระดับมึงน่ะหาได้ดีกว่านี้กี่เท่าก็ยังได้"
ธามันส่ายหน้าแก้ต่างให้ฉันท์ตามคาด "อย่าไปว่าเขาแบบนั้น เพราะตัวกูเอง จะในอดีตหรือตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรนัก คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก”
...จนกระทั่งฉันท์บอกชื่อจริงว่าชื่อ ชิรายูกิ
ความพิเศษของชื่อที่มีแต่แม่คนเดียวที่เรียกชื่อนี้
กว่าจะรู้ตัว ว่าขณะที่เราไม่จริงจัง อีกฝ่ายกลับจริงใจกับเรามากที่สุด
"เขาพากูเข้าบ้าน ทำความรู้จักคนในครอบครัวเขา ส่วนกู ทั้งที่โฆษณาไปตั้งมากมาย บอกว่ากูจริงใจ แต่เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับกูเลย แม้แต่มึงเขาก็เจอมึงผ่าน ๆ" ธามันส่ายหน้าแล้วตัดบท เพราะรู้ว่าฐาติไม่ค่อยอยากทำเรื่องนี้สักเท่าไหร่ "กูคงจะไม่กวนเวลาของมึงมากนัก ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ทีม"
ธามันขอให้ฐาติที่อยู่ทางนี้ช่วยดูแลฉันท์ แต่ฐาติไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ในทางตรงข้ามกลับคอยมองจากที่ไกล ๆ พอเห็นว่าฉันท์พาเพื่อนกลับมาบ้านก็รีบบอก ว่าน้องมีแฟนใหม่แล้ว แนะนำให้คืนห้องและตัดใจ
คนเป็นทนายและนักสืบไม่ควรจะมีนิสัยแบบนี้ แต่ฐาติจะมีท่าทีอย่างนี้กับฉันท์เท่านั้น ถึงตอนแรกจะรู้สึกสงสารที่ต้องมาเป็นคนที่ธามันจีบเล่น ๆ แต่พอธามันไม่อยู่ได้ไม่กี่วันแล้วเห็นว่าฉันท์พาคนมาบ้าน จะเพื่อนจริงอย่างที่เด็กกวางบอกหรือไม่ฐาติก็ไม่สนใจ รีบบอกให้ธามันตัดใจ
ยิ่งธามันมีท่าทีผิดหวัง ฐาติก็ยิ่งพาลใส่ฉันท์ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
จนกระทั่งมาเห็นว่าธนวัฒน์มาหาฉันท์ที่บ้าน ก็รู้สึกสงสัยในใจว่า พี่กับน้องอาจมีสเปคคนที่ชอบแบบเดียวกัน
ในเมื่อธามันชอบฉันท์ ถ้าธนวัฒน์มาพบเจอฉันท์ก็น่าจะชอบเหมือนกัน
แล้วมันก็จริง แถมยังทำตัวติดหนึบเหมือนกันอีกต่างหาก
แต่ในฐานะที่อยู่ทีมธามันมาตั้งแต่ต้น แถมเงินดี มันก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป
กวาดอคติทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉันท์ทัตออกไป ฐาติปรับสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเป็นคนละคน
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคน ๆ นี้” หมายถึงทีม-ธนวัฒน์ “ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญ หลายปีมานี้ทั้งมึงทั้งกูฝึกการรับมือกับเขามาไม่น้อย แต่ถ้าคราวนี้ ดึงเอาเด็กมึงมาเกี่ยวด้วยแบบนี้มันก็ไม่แฟร์"
ใช่แล้ว ฐาติกำลังเปลี่ยนขั้วอีกหน...
การจัดการกับธนวัฒน์คืองานถนัด และมักได้รับความร่วมมือจากกลุ่มพี่น้องในรุ่นเดียวกันด้วยดีเป็นอย่างยิ่ง
ธามันพยักหน้าแล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา
"นามสกุลเจ้าหนี้ที่บ่อนมีอยู่คนหนึ่ง เหมือนเพื่อนที่ตอนนี้ทำผับอยู่ เดี๋ยวค่ำ ๆ จะลองโทรหา ถ้านัดได้ มึงไปกับกูไหม"
"พรุ่งนี้กูขึ้นศาลเช้า"
"ยังไม่ได้นัดเลย อาจเป็นพรุ่งนี้ แต่คงไม่ใช่ศุกร์เสาร์หรอก คนเยอะ"
"เออ งั้นนัดได้แล้วบอกมา แต่กูแนะนำให้มึงคุยกับเพื่อนมึงให้เข้าใจก่อน ว่าจะติดต่อเรื่องอะไร แต่กูไม่แนะนำให้มึงไปคุยกับเจ้าหนี้ เพราะมันก็คือการเอาบริษัทพ่วงเข้าไปด้วย กูจัดการเองอย่างเดิมดีกว่า”
จากระดับของหนี้ที่ฉันท์ต้องรับแทนพ่อ ทำให้ธามันเป็นกังวลมาก ว่าจะถูกแก๊งค์ทวงหนี้ทำร้าย หลังจากที่สืบไปจนพบเจ้าหนี้บ่อนคนที่ว่า ฐาติก็นัดเจ้าของบ่อนออกมาคุยธุรกิจที่ห้องส่วนตัวในร้านอาหาร ฝ่ายของฐาติมีคนติดตามมาด้วย 2 คนฝ่ายของเจ้าของบ่อนมาอีก 3 คน แต่ตอนที่คุยกัน ฝ่ายผู้ติดตามแยกไปนั่งอีกโต๊ะ
เรื่องจากปากของเจ้าของบ่อน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของเจ้าหนี้มืออาชีพ ตรงตามเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาทุกอย่าง
“อ๋อ เด็กคนนั้นน่ะหรือ เราส่งคนไปคุยกับมันตั้งแต่งานศพแล้ว” เสี่ยเจ้าของบ่อนพนันบอก “ที่จริงเรื่องมันยาวมาตั้งแต่รุ่นพ่อมันแล้ว พ่อมันเสียหนัก ๆ ก็กลับไปขายของเอาเงินมาจ่าย ตอนที่หนี้ขึ้นไปเป็นหลักแสน มันก็ขายรถ จากนั้นหนี้ก็กลับมาเป็นแสนอีก แต่ทุกคนเห็นอยู่ไง ว่ามันมีของ แต่มันบอกว่ายังไม่ได้กลับบ้านเลย ไม่หนีแน่นอน ปรากฏว่า มันไม่ได้มีแต่หนี้บ่อนนี้แห่งเดียวน่ะสิ ยังมีที่นั่นที่นี่ รายเล็กรายใหญ่ บางเจ้าคิดดอกรายวัน ตอนที่คิดเงินออกมา เด็กนั่นหน้าซีด แต่ก็ยืนยันว่าจะจ่ายคืนให้แน่นอน ก็คงขายอพาร์ทเม้นท์นั่นมาใช้หนี้น่ะแหละ”
ฐาติที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างสีดำกับสีขาวไม่แปลกใจกับการเสแสร้งทำเป็นใจกว้างของเจ้าของบ่อน ทั้งไม่พูดท้วงเรี่องข้อกฎหมาย ที่ลูกไม่ต้องมารับภาระหนี้ต่อจากพ่อด้วย
ถึงจะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่าเวลาไหนควรพูดอะไร
“เขาขายอพาร์ทเม้นท์เพื่อจะเอามาใช้หนี้จริง ๆ” ฐาติบอก  “อย่างนี้พวกเราจะได้ทำสัญญาได้สักที”
“ขายเท่าไหร่” เจ้าหนี้อยากรู้
“ไม่เท่าไหร่หรอก ตึกเก่า แล้วยังมีค่าใช้จ่ายให้คนเช่าเดิมอีก”
เจ้าหนี้หัวเราะร่วน “เค็มเหมือนกันนี่หว่า”
“ไม่ได้เรียกเค็ม แต่เขาเรียกทำธุรกิจ พอเขาบอกตามตรงเรื่องหนี้บ่อน เราก็ต้องตรวจสอบก่อน”
“จะเรียกว่ามันซื่อได้ไหมนะ”
“เด็กไม่รู้จักโลกก็อย่างนี้แหละ”
เจ้าของบ่อนหัวเราะ เด็กแบบนี้แหละคือเหยื่อที่โลกมืดชอบนัก!
....
หลังจากที่ฐาติส่งเทปเสียงไปได้ไม่ถึง 10 นาทีธามันก็โทรกลับมา “ทำไมมึงไม่บอกไปว่า กำลังหาเงินอยู่ อย่าไปยุ่งกับน้อง”
“อ้าวเหี้ย” ฐาติด่าสวน ธามันที่คิดแล้วด่าทันทีแบบนี้ย่อมดีกว่าธามันเวลาที่คิดอะไรอยู่เงียบ ๆ “กูเป็นทนาย นั่นเป็นเจ้าของบ่อน นัดเขาออกมากินข้าวยังต้องให้ของขวัญให้ค่าเสียเวลาเขาอีก จะไปพูดขู่เขาแบบนั้นได้ไหม”
“เออ ขอโทษกูใจร้อน” จากนั้นก็พูดต่อ “แล้วมึงว่าน้องโลกสวย”
ไอ้นี่ก็แม่ง แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย
“ก็โลกสวยจริงไหมเล่า อยู่ในโลกสวยงามที่พ่อแม่สร้างไว้ พอมันพังทลายลงก็ทำอะไรไม่ถูก แล้วนี่มึงก็จะมาสร้างโลกสวย ๆ อีกใบให้เขาอยู่อีก”
“ใช่” ธามันยอมรับตามตรง “กูเป็นคนสร้างเอง เขาไม่ได้ขอ เพราะงั้นมึงห้ามพูดถึงเขาในแง่นั้น แล้วเขาเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
“คร้าบบบ เจ้านาย” ฐาติรับคำสั่งแต่หัวเราะร่วน
เด็กตาเศร้าคนนั้นมีอะไรดี ธามันถึงได้รักมานานและทุ่มให้สุดตัวขนาดนี้
...
ฉันท์เสร็จจากธุระที่สำนักงานการไฟฟ้าตั้งแต่ตอนสาย ก็มาหาลุงรองที่บ้าน ตามที่ลุงให้หลานชายคนหนึ่งไปบอกตั้งแต่เมื่อวันก่อน ว่าให้แวะมาหาเพราะมีเรื่องสำคัญจะให้ไปจัดการ
พอฉันท์มาถึงลุงก็ถามเรื่องราวทั่วไป และการตามใช้หนี้ให้พ่อว่าไปถึงไหนแล้ว ฉันท์ก็บอกไปว่า ใช้หนี้รายสุดท้ายไปแล้ว
“คิดว่ารายนี้น่าจะเป็นรายสุดท้ายจริง ๆละครับ”
ลุงรองถอนหายใจ พลางพยักหน้า
พี่เอื้อยจอดรถกระบะคันเก่งหน้าบ้านลุงแล้วเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางแมนสุด ๆ เหมือนเคย พอทักทายน้องชายเสร็จ ก็หันไปพยักหน้ากับลุง ลุงลุกไปจุดธูปดอกเดียวปักไว้ที่กระถางต้นไม้นอกบ้าน จากนั้นก็เดินมาหยิบซองเอกสารส่งให้

ฉันท์ขับรถคันเล็กผ่านอพาร์ทเม้นท์เข้าไปที่บ้านท้ายซอย ถือซองเอกสารสีน้ำตาลลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบนที่เคยเป็นที่เกิดเหตุ
“พ่อ โอกาซัง ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว พักผ่อนเถอะครับ ขอบคุณมากครับ”
...
เมื่อกลับมาถึงบ้านวันนี้ ต้อม-เพื่อนดวงตาเรียวยาว กำลังรับหน้าที่เลี้ยงจิโระ น้องชายของฉันท์อยู่ที่บ้านหลังเล็กในเขตอพาร์ทเม้นท์  เพราะป้าพาลุงไปโรงพยาบาล ส่วนกวางก็ไปโรงเรียน
"ขอบใจนะต้อม" ฉันท์พูดขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน "กินอะไรหรือยัง"
"กินแล้ว แถวนี้ของกินอุดมสมบูรณ์" แต่ต้อมก็รับห่อผัดซีอิ๊วไปเทใส่จาน "มึงกินหรือยัง กูเทให้มึงละกันนะ"
"ขอบใจมาก" ฉันท์ล้างมือ แล้วเดินไปดูจิโระที่นอนหลับอยู่ในกล่องกระดาษใบใหญ่
ป้าบอกว่า นี่เป็นวิธีการเลี้ยงเด็กอ่อนเหมือนตอนที่แม่เลี้ยงฉันท์ เพราะสามารถลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่เด็กนอนหลับได้ดีกว่าการให้นอนในเปลหรือเตียง
จิโระ 3 ขวบแล้ว จะว่าไปก็โตเกินกว่าที่จะนอนแบบนี้ แต่ป้ายืนยันว่าให้นอนแบบนี้ไปก่อน เพราะฉันท์ก็นอนแบบนี้จนกระทั่งเข้าโรงเรียน
"เลี้ยงโคตรง่ายเลยว่ะ บอกให้กินก็กิน ส่งของเล่นให้ก็เล่น พอง่วงก็เดินมาชี้ที่กล่อง จะขอนอน ภาษาโบราณเขาเรียกว่ารู้อยู่"
ฉันท์พยักหน้าเห็นด้วย "เขาคงรู้ว่า แม่ไม่อยู่เอาใจเขาแล้ว"
หนุ่มตัวเล็กหันมารับจานผัดซีอิ๊ว จากเพื่อน แล้วเดินไปนั่งกินอยู่ใกล้ ๆ
"เกรงใจมึงว่ะ ต้องให้มาเฝ้าน้องหลายหนแล้ว"
"เฮ้ย ไม่เป็นไร กูเริ่มงานที่บริษัทเดือนหน้า แต่ถ้ากูเริ่มทดลองงาน ใครจะดูน้อง เอาไปฝากเนิร์สเซอรี่ไหม ไม่งั้นก็ลองโทรหาแป้ง หรือเพื่อนคนอื่นแวะมาดูให้แป๊บเดียว"
"รอดูสถานการณ์ดีกว่า เพราะกูก็ไม่ได้ติดต่อราชการหรืออะไรทุกวัน"
"แล้วจบเรื่องหรือยัง" สีหน้าท่าทางของต้อมดูเหนื่อยแทน "มันอะไรนักหนาวะ"
"มันหลายเรื่องน่ะ เกือบทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่กูก็เพิ่งรู้ เพิ่งเคยไปติดต่อเป็นครั้งแรก เลยมั่วไปหมดไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ดีที่มีคนที่เขารู้ บอกว่าต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง ต้องจัดตารางทำไปทีละเรื่อง"
"เออ ว่าจะถามหลายหนแล้ว" ต้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ขณะที่ฉันท์กลัวว่าจะถูกถามว่าคนที่ให้คำแนะนำคือใคร แต่ต้อมกลับถามเรื่องตากับยายที่ญี่ปุ่น
“เขาชวนมึงกับน้องไปอยู่ญี่ปุ่นไหม โกรธพ่อมึงหรือเปล่า”
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่ได้ชวน ส่วนเรื่องโกรธพ่อหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้พูดอะไร”
“แต่เขายอมรับว่ามึงเป็นหลานใช่ไหม”
“รับสิ”
“เขาต้องเสียใจมากแน่ ๆ”
ลูกสาวทั้งคนต้องมาจากไปในลักษณะนั้นย่อมต้องเสียใจมากอยู่แล้ว แต่โดยพื้นฐานนิสัยของครอบครัวที่ญี่ปุ่น ที่ถูกสอนมาว่าการแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอย่างรุนแรงนั้นเป็นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ฉันท์จึงไม่ค่อยแปลกใจเห็นตากับยายนั่งนิ่งอยู่ในงานศพ
สำหรับคนที่ไม่รู้จักพวกเขาก็คงมองว่าเป็นความเมินเฉยไม่สนใจ
ถ้าไม่สนใจพวกเขาคงไม่พากันทั้งครอบครัวอย่างนี้ และเพราะรู้ว่าฉันท์ไม่เหลือใคร เขาถึงได้มอบจิโระให้อยู่กับฉันท์
เป็นของขวัญจากแม่ ที่อยากให้ฉันท์รักษาไว้

‘โอกาซังมีความตั้งใจที่จะมอบของขวัญนี้ให้ชิรายูกิคุงมาตั้งแต่แรก ชิรายูกิคุงเองก็รู้ใช่ไหม’ โอะบะซังบอกไว้ ‘จะอย่างไรทั้งชิรายูกิคุงและจิโระคุงก็เป็นหลาน ถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทาง แต่โลกมันเปลี่ยนไป การเดินทางสั้นลง มาหาโอะบะซังได้ตลอด อย่าทำเหมือนกับโอกาซังของชิรายูกิคุงนะ’

"หลายเรื่องกูก็เพิ่งมารู้ทีหลัง เพราะป้าเพิ่งเล่าให้ฟัง ตั้งแต่แรก แม่กูก็ดื้อรั้นจะแต่งกับพ่อแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าพ่อมีปัญหาหลายอย่าง พอเขาหย่ากลับไป ก็พยายามที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว ตอนที่พาจิโระมารับกูไปอยู่ด้วย เขาก็บอกกับโอะบะซัง คุณน้าผู้หญิงไว้คนเดียวว่าจะมาเมืองไทย ตอนที่กูแจ้งข่าวคุณน้าผู้หญิงตกใจมาก ก็แบบคนญี่ปุ่นน่ะ" ฉันท์นึกถึงน้ำเสียงของน้าในวันนั้น "ไม่ได้เอะอะโวยวาย แต่เงียบไปเลย แล้วก็บอกว่า เขาจะทำอะไรบ้าง เราต้องทำอะไรบ้าง จนถึงวันเผาเขาก็มากัน แล้วนี่เขาก็ส่งเอกสาร ส่งข้าวของ ของจิโระมาให้ มีของเล่นใหม่ ๆ มาด้วย"
"แล้วของแม่มึงล่ะ"
"กูไม่ได้ขออะไร"
"อ้าว..."
"กูมีทุกอย่างที่เป็นของแม่อยู่แล้ว คุณตากับคุณยายก็คงอยากให้ลูกสาวของเขาอยู่กับเขาเหมือนกัน"
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ฉันท์รับนิสัยนี้ของแม่มาแบบเต็ม ๆ
ต้อมหันไปมองจิโระที่นอนหลับอยู่ในกล่องแล้วพยักหน้ารับรู้
"มึงเป็นพี่ที่ดีนะ กูดูมาตั้งแต่ตอนงานศพแล้ว เหมือนเขาจะรอให้มึงพูดว่าจะไม่เอาจิโระ แต่มึงก็อยู่กับน้องตลอด เขาก็เลยไม่ได้พูดอะไร"
"ที่จริงเขาพูดนะ" ฉันท์หันมายิ้มกับเพื่อน "น้าผู้หญิงน่ะ เขาบอกอ้อม ๆ ว่า ถ้าอยากกลับไปอยู่ญี่ปุ่น หรือถ้าอยากไปเรียนต่อก็ติดต่อเขาได้ แต่คุณตากับคุณยาย แล้วก็คุณน้าผู้ชาย เขาค่อนข้างใจแข็ง" ภาษาญี่ปุ่นน่าจะเรียกว่าควบคุมตนเอง รักษามารยาท แต่ภาษาไทยน่าจะเรียกว่าใจแข็งนี่แหละใกล้เคียงที่สุดแล้ว
“แต่เขาก็มากัน” ต้อมให้กำลังใจ “เขาอาจเห็นว่า ในเมื่อคุณน้าผู้หญิงเป็นคนติดต่อกับแม่ แล้วก็มึงมาตลอด ก็เลยยกให้คุยไปคนเดียวเลย”
“ก็คงเป็นอย่างนั้น”
"ในครอบครัวหนึ่งก็ต้องมีคนแบบนี้แหละ มันคือความสมดุล"
ฉันท์กินผัดซีอิ๊วคำสุดท้าย แล้วลุกไปล้างจาน "แล้วมึงล่ะ ยังไม่มีงานทำก็ออกมาอยู่คอนโดฯ คนเดียวเสียแล้ว"
ต้อมยักไหล่ "ยังไงก็ต้องออกมาอยู่แล้ว ถ้ามัวแต่คิดไม่ลงมือทำ เมื่อไหร่จะออกมาได้"
"แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะ มึงยังไม่มีงานทำนะ"
"กูมีป๋าเลี้ยง" ต้อมพูดแล้วยักคิ้ว ทำให้ฉันท์ต้องยิ้มขำแล้วส่ายหน้า
"มึงก็พูดเป็นเล่นไป กูเป็นห่วงมึงนะ ยิ่งเรื่องเงินเนี่ย ทั้งที่กูพอจะรู้ว่าเขากู้เงินมาทำอพาร์ทเม้นท์ แต่พอถึงวันที่เขาไม่อยู่ กูถึงเพิ่งรู้ตัว ว่าใช้ชีวิตมา 20 กว่าปีโดยที่ไม่รู้อะไร บางทีก็ยังคิดไปว่า ที่เขาหย่ากันเพราะเรื่องเงินด้วยหรือเปล่า"
"แล้วเรื่องเงินหรือเปล่าล่ะ"
ฉันท์ส่ายหน้า "กูไม่รู้"
ไม่เคยรู้อะไรเลย มีชีวิตอยู่ในโลกที่พ่อ แม่ ลุง กับป้าทำให้ทุกอย่าง ปกป้องไว้ทุกอย่าง
"ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทำไป" ต้อมให้กำลังใจ "แล้ววันนี้มึงก็ไปทำเรื่องบ้านคนเดียวหรือ พี่เขาไม่ได้ไปกับมึงหรือไง"
"พี่เขาต้องทำงาน" ฉันท์ตอบแล้วกดโทรศัพท์ "มึงพูดแล้วกูเพิ่งนึกได้ว่า เขาบอกให้โทรหา ตั้งแต่ตอนที่ทำเรื่องเสร็จ"
เมื่อกดโทรออก มีเสียงเรียกสายเพียงครั้งเดียวอีกคนก็กดรับสาย
ต้อมลุกเดินไปดูจิโระ ระหว่างที่ฉันท์กำลังคุยโทรศัพท์ ได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ตอนที่ฉันท์เล่าเรื่องการติดต่อราชการวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ลุงกับป้ายังไม่กลับมาโรงพยาบาล ส่วนที่บ้านก็มีต้อมมาดูจิโระให้ 

ต้อมอยู่รอจนกระทั่งลุงกับป้ากลับมาจากโรงพยาบาล แล้วฉันท์พาลุงไปอาบน้ำ จากนั้นก็พาไปนอนพัก ถึงได้ขอตัวกลับ
"จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็โทรหากูได้ตลอดเวลานะ"
เมื่อเหลือกัน 2 คนป้าหลาน ฉันท์ถึงได้หันมาคุยกับป้า เปิดสมุดเล่มเล็กที่จดรายการสิ่งที่ต้องจัดการ และกำหนดนัดต่าง ๆ ตั้งแต่การบอกกับผู้ที่พักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ เรื่องที่ลุงต้องเปลี่ยนไปใช้ยาที่มีราคาแพงกว่าเดิม และอีกหลายเรื่องราว
มือผอมของฉันท์จับมือของป้าไว้
"ป้าเอง ก็ต้องตรวจสุขภาพเหมือนกันนะฮะ"
"อย่าเพิ่งเลย เกิดเจอว่าเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน เจ้าฉันท์ก็เหลือตัวคนเดียว"
"ไม่หรอกฮะ ถ้าตรวจเจอป้าก็จะได้รักษา แล้วพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันต่อไปอีกนานๆ ถ้าไม่ไปตรวจแล้วป้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา นั่นต่างหากที่ฉันท์จะเหลือตัวคนเดียวจริงๆ"

…จบตอนที่ 4...
มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะแยะ สลับกันแก้ไขอยู่นาน ยิ่งแก้ไข แต่ละตอนก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ
คิดเห็นอย่างไรบอกกันนะครับ
ขอบคุณมากครับ
น้ำชา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2018 18:55:10 โดย MyTeaMeJive »

ออฟไลน์ ปีศาจน้อยสีชมพู

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #51 เมื่อ30-12-2018 19:58:13 »

อ่านจบ โกรธ ....

โกรธพ่อของฉันท์ ทำไมเห็นแก่ตัวเพียงนี้

 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ huoan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #52 เมื่อ30-12-2018 23:07:30 »

อยากรู้เงื่อนไขที่ฉันท์เสนอให้กับธามันแล้ว

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #53 เมื่อ31-12-2018 00:04:01 »

ทำไมคนพี่ถึงไม่มาปรากฏตัวว่าจะคอยอยู่ข้างๆ น้อง คอยเป็นกำลังใจ คอยเป็นที่พึ่ง
คนน้องเขาก็คงรออยู่เหมือนกัน มัวแต่กลบอยู่ในมุมมืด ระวังพี่ทีมเขาทำคะแนนนำไปไกลนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #54 เมื่อ31-12-2018 02:35:54 »

ต้องใช้สติและความใส่ใจอ่านพอสมควร

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #55 เมื่อ31-12-2018 03:03:35 »

หวังว่าจะได้กลับมาเจอกันเร็วๆนี้ TT

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #56 เมื่อ31-12-2018 03:11:37 »

สงสารฉันท์ มารู้ตัวว่าตัวเองต้องอยู่ลำบาก
ก็ตอนผ่านมาจนไม่เหลือใครแล้ว
แถมน้องไม่รู้อะไรเลย โดนข่มขู่ยังไงก็ได้
แบบยอมจ่ายหมด ให้หมดไปเลยน่ะ
ดีที่ธามันคิดจริงจัง ไม่งั้นฉันท์อาจหนักกว่านี้

แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ ทำให้ฉันท์รู้ว่าจะต้องทำอะไรมากขึ้น
ไม่อยู่กับตัวเอง หรือไม่อะไรก็ได้จนเกินไปแล้ว

ฉันท์มีเงื่อนไขอะไรนะ แล้วได้ซองอะไรมาจากลุงรอง

ธามันคือที่สุดแล้วค่ะตอนนี้ ฐาติคือกวนประสาทมาก
ต้อมมีใครเลี้ยงหรอ พามาแนะนำสิ 5555

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #57 เมื่อ31-12-2018 08:07:34 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #58 เมื่อ31-12-2018 09:18:49 »

ตอนนี้ช่วยไขปมว่าทำไมฉันท์ถึงเป็นคนนิสัยแบบนี้ได้ดีมากเลยค่ะ ตลอดเวลาที่อ่านมาลืมนึกไปเลยว่าฉันท์เติบโตมากับแม่ที่เป็นคนญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นจะเก็บอารมณ์ความรู้สึก ขี้เกรงใจไปทั้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยังไงก็จะรอวันที่พี่กับน้องได้กลับมาเจอกันพูดคุยกันใช้เวลาด้วยกันะคะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
«ตอบ #59 เมื่อ31-12-2018 11:26:31 »

ปัญหาท่วมท้น ถล่มใส่ฉันท์
น้องก็แบกรับแบบสงบไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด